ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์  (อ่าน 1966 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 1/2
สุกัญญา  รัตนบูรณะ

  ดิฉันศรัทธาและปฏิบัติตมาแนวทางของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก   เนื่องจากคุณปู่คุณย่า  คุณตาคุณยายรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ได้แนะนำและนำให้ปฏิบัติ   เริ่มจาการหัดใส่บาตร   เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม   ตอนแรกก็เป็นการถูกบังคับแกมเต็มใจปฏิบัติบ้าง   ตามประสาเด็กๆที่ต้องทำเพื่อไม่ให้โดนดุ   นานเข้ากลับกลายซึมซับเข้าสู่จิตใจกลายเป็นพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโยมิต้องมีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำ

   ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี  โดยไปถือศีลและปฏิบัติธรรมที่วัด  และแต่ละครั้งก็ชอบที่จะบำเพ็ญบุญอยู่ที่โรงครัว  เพราะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากที่จะทำให้ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้เกิดความสะดวกสบายในการกินอยู่  เห็นชุดขาวก็จะเป็นสุขเหลือเกิน  ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น  ดิฉันไม่เคยทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย  บางช่วงตั้งใจว่าจะให้ตัวเองได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน   และถือเป็นการทดสอบฝึกความอดทนของกายและใจด้วย   ดังนั้นหากมีเวลาไม่ว่าเป็นการไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างจังหวัดที่ทุรกันดาร   ไปทอดกฐินหรือผ้าป่าตามจังหวัดต่างๆ   หรือแนวปฏิบัติใดที่เป็นแนวของพระพุทธองค์ดิฉันปฏิบัติหมด โดยไม่ได้ยึดติดแนวใดเลย แต่จะนำหลักของแต่ละแนวมาปฏิบัติและยึดถือเพื่อมุ่งควบคุพฤติกรรมของตัวเองให้อยู่ในกรอบธรรมให้มากที่สุดเท่านั้น

   ขณะนี้ดิฉันอายุ ๓๐ ปีแล้ว  ระหว่างอายุ ๑๕ ปีถึง  ๒๐ ปีที่ผ่านมานี้  มีมรสุมชีวิตมากมายเหลือเกินเข้ามาให้ขบคิดแก้ไขและหาทางออกให้กับตัวเอง  ครอบครัว  รวมถึงคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา   ทุกข์มีมากกว่าสุข   เพราะทุกๆวันเต็มไปด้าวคำว่าต้องอดทนเมื่อมองย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา   ก็อดภาคภูมิใจในความอดทนของตัวเองไม่ได้   ส่วนหนึ่งก็รู้สึกขอบใจตัวเองที่นำพาตนเข้าสู่การสร้างสมบุญอย่างจริงจัง  สร้างความอดทนให้กับกายและจิตอยู่ตลอดขณะปฏิบัติธรรม  จึงทำให้คำว่าอดทนนั้นมีประโยชน์เหลือเกินเมื่อประสบทุกข์

   ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   ในการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อและแม่ในการลงทุนเพื่ประกอบอาชีพ  ผลที่ได้รับก็คือกลายเป็นภาระหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นหนี้ ๑ รายก็เพิ่มเป็น ๒ ราย ๓ ราย   และต่อๆไปมากขึ้นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย   จิตใจเกิดความหวาดระแวงเมื่อถูกทววงเงิน   เกิดความทุกข์ใจเศร้าใจอย่างหนัก  ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลง  ครอบครัวขาดความอบอุ่น  มีแต่ความเครียดอยู่ตลอดเวลา  ทะเลาะกันเป็นระยะๆ บ้านมิต่างอะไรกับไฟเลย   และไหนจะปัญหาภาระการผ่อนชำระนาคารที่มีค่างวดสูงจนธนาคารกำลังจะยึดบ้าน    ผนวกกับภาระเรื่องการเรียนของน้องชายซึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ  เพราะกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งต้องใช้เงินเพิ่มในการทำวิทยานิพนธ์

   ช่วงเวลานี้พี่สาวและน้องชายต่างออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อไปให้พ้นจากปัญหา เหลือดิฉันคนเดียวที่ต้องรับรู้และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง  นอกจากนั้นดิฉันยังถูกหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ  พยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นตลอดเวลา  โดยกดดันดิฉันทุกเรื่องที่จะทำได้  ไหนจะปัญหาสุขภาพอีกที่ป่วยโดยไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง   ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดที่ดิฉันประสบอยู่ก็เป็นได้ ทุกปัญหาวิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกันหมดเลย ทำให้สงสัยว่าคนทำดีต้องประสบอะไรเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อทั้งทางโลกและทางธรรม

   ดิฉันต้องทำงาน ๗ วัน  ไม่มีวันหยุดเลย  เพื่อหาเงินมาผ่อนหนี้สินให้พ่อและแม่  ส่งธนาคารและส่งน้องเรียน  จนกระทั่งมันทุกข์ที่สุด  นั่นคือหาทางออกไม่ได้แล้ว    แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว    ปลงตกแล้ว  คิดอยู่ในใจว่าบ้านจะถูกยึดก็ให้ยึดไปพ่อแม่จะถูกเจ้าหนี้แจ้งตำรวจจับหรือน้องจะเรียนไม่จบหรือตนเองจะถูกให้ออกจากงาน  ก็ต้องปล่อยไป  จะป่วยจนตายไปเลยก็ต้องปล่อยตามนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นทำให้ดิฉันกลายเป็นคนนิ่งสงบ  ความเงียบเข้ามมาแทนที่ความสบสันและน้ำตา  จนงงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อจิตนิ่งอยู่ได้สักพักก็ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเมื่อทุกข์จนถึงที่สุดจนชินกับความทุกข์นั้นแล้ว     จิตก็สงบนิ่งไปเองอาจเป็นเพราะทุกข์จนเกิดการปล่อยวางไปโดยไม่ตั้งใจกระมัง  จึงจารณาได้ว่าการปล่อยวางนี่เองที่นำมาซึ่งความสงบของจิต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในช่วงที่ทุกข์หนักนั้นกลับทำให้ดิฉันสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ  เมื่อเทียบกับทุกข์ครั้งที่ผ่านมาทำให้เกิดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาใหญ่อีกครั้งค่อยๆแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้

   ประมาณปลายปี ๒๕๔๔ ดิฉันมีโอกาสได้ไปถือบวชที่วัดอัมพวันตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งได้อ่านประวัติของหลวงพ่อและวัดอัมพวันทางอินเตอร์เน็ท  แล้วเกิดความศรัทธาอยากไปกราบหลวงพ่อและอยากได้ถือบวช เมื่อได้ไปถึงวัดดิฉันได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อจรัญ  ได้ฟังธรรมจากท่าน  ซึ่งได้ข้อคืดทางธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมากทีเดียว  ดิฉันได้ถือบวชอยู่ที่นั่น ๓ วัน  รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อและแนวปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก  หลังจากเสร็จสิ้นการบวชดิฉันได้นำแนวกรรมฐานมาปฏิบัติต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถของสภาพกายและใจในขณะนั้น   ด้วยคิดว่าเราย่อมช่วยเหลือตัวเราเองก่อนไม่ว่าจะทางธรรมหรือทางโลก   หลายครั้งรู้สึกท้อต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเหนื่อยงานหรือท้อแท้กับปัญหาขนาดไหนก็จะปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ดิฉันเริ่มมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน มีทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้น  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะรู้จักเรียงลำดับปัญหาที่สำคัญมากไปจนถึงสำคัญน้อยจาก  นั้นก็จะนำเอาทุกปัญหามาคิดหาทางออก  ซึ่งบางปัญหาจะมีทางออกให้เลือกมากกว่า ๑ ทาง เมื่อได้ทางออกแล้วก็จะใจเย็นมากข้นในการแก้ไขโดยไม่คาดหวังมากนัก  นั่นคือหากแก้ไขได้ก็ดีไป  หากแก้ไขไม่ได้ก็จะไม่ฟูมฟาย  จะค่อยๆหาทางออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะแก้ไขได้

   ทุกวันนี้ดิฉันไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย  ในช่วงนี้จะเน้นที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย  นั่นคือการนำสติเข้ามาควบคุม กาย วาจา ใจ คือตามดูตามรู้เพื่อให้จิตละเอียดมากขึ้น  และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมขึ้นอีก รู้สึกใจเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   ปล่อยวางสุขและทุกข์ได้มากขึ้น  รู้จักบริจาคทานมากขึ้น  มีความรักความเมตตาให้กับคนรอบข้าง  รู้จักให้อภัยมากขึ้น  และทำให้รู้จักมีความเกรงใจทุกคนมากขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2554, 07:12:20 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 2/2

  มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ดิฉันได้คำตอบว่าทำไมเราจึงหมดเงินอยู่ตลอดทั้งที่ใช้เงินอย่างประหยัดและอยู่อย่างเพียงพอ   หมดไปกับหนี้สินและภาระที่ตัวเรามิได้สร้างขึ้นมาเลย  จนนับครั้งไม่ถ้วน  คำตอบที่ได้ก็คือ  สมัยที่ยังเรียนหนังสือมีผู้ชายที่อายุมากแล้วคนหนึ่งมาติดพันฉัน  แต่ดิฉันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย  จึงไปปรึษาเพื่อนๆช่วยกันคิดแผนแกล้งลุงคนนั้นให้หมดเงินจะได้หลาบจำไม่กล้ามายุ่งอีก  โดยขอเงินไปเลี้ยงเพื่อนๆ  ลุงบอกว่าไม่มีเงินเพราะเงินเดือนยังไม่ออก มีแต่เงินจากซองกฐิน  แม้ใจก็รู้สึกกลัวบาปอยู่บ้าง  เพื่อนของดิฉันรับซองกฐินไปแกะดึงเงินออกมาจนหมดทุกซอง   ดิฉันยังกำชับให้ลุงคนนั้นเอาเงินเดือนของลุงใส่คืนในซองด้วย    ใจก็ยังคิดและกังวลอยู่ตลอดกลัวจะบาป    แต่เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นมานานมากแล้ว   จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงได้ย้อนขึ้นมาปรากฏในความทรงจำอีก  ที่สำคัญมาปรากฏในขณะปฏิบัติกรรฐานด้วยนี่สิ  ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเงินและภาระที่แบกรับที่ผ่านมา    น่าจะมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผลกรรมของเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยชีวิตของเพื่อน ๒ คนที่ฉีกซองและยุในวันนั้นก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างจากดิฉันเลย  เพื่อนคนหนึ่งถึงขนาดกิจการที่บ้านเกือบล่มสลาย  บ้านถูกยึด  แล้วครอบครัวก็แตกแยก เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ดิฉันกลัวบาปมากขึ้น  ทุกวันนี้ดิฉันบริจาคเงินมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน  และทำบุญให้กับวัดและสถานปฏิบัตืธรรมต่างๆ  ไม่ว่าใครชวนทำบุญอะไรหากมีปัจจัยพอก็จะรีบทำเลยทันที  พร้อมกับบอกตัวเองอยู่เสมอว่าจะนำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปสิอให้คนอื่น ๆ  ได้ทราบ  เพื่อให้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อผลกรรม

   ยังมีอืกเรื่องที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั้นมากขึ้นที่จะสร้างแต่คุณงามความดี  เพื่อชดใช้บาปที่ได้สร้างไว้  นั่นคือในงานเผาศพของยายที่ดิฉันรักมาก  ดิฉันโกรธพระรูปหนึ่งที่เคลื่อนศพคุณยายขึ้นเมรุโดยไม่รอดิฉัน  ดิรู้สึกโกรธเสียใจที่สุด นั่งจ้องหน้าพระรูปนั้นแบบโกรธจัด  นั่งจ้องอยู่นานพอสมควร  จนกระทั่งญาติคนหนึ่งได้เดินมาดึงตัวดิฉันขึ้นไปที่เมรุเพื่อมองรูปภาพยายหน้าโลง  เมื่อเห็นภาพยายจึงได้สติจากเหตุการณ์นั้นทำให้ดิฉันทราบคำตอบที่ว่า ทุกวันนี้ดิฉันไม่ได้ทำร้ายใครเลย  ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังแต่ดิฉันต้องประสบเคราะห์กรรมด้วยการถูกรังเกียจจากคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา    บางคนไม่ชอบหน้าดิฉันเอามากๆทั้งที่ไม่เคยพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ  ไม่ว่าดิฉันจะทำอะไรก็จะถูกกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลาทั้งจากหัวหน้างาน  เพื่อนร่วมงาน  และคนในองค์กร

   สองเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้   เป็นกรรมที่ต้องชดใช้เพราะสร้างไว้อย่างหนัก    ต้องชดใช้คืนด้วยความเต็มใจ  และถือเป็นแบบฝึกหัดให้กับตัวเอง  ในการใช้สติเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ  ไม่คิดโทษโชคชะตาฟ้าดิน  จะมองทุกเรื่องให้เป็นแง่บวกที่สำคัญไม่ลืมที่จะเร่งสร้างบุญให้มากขึ้น  เพื่อเป็นเส้นใยที่แข็งแกร่งนำพาชีวิตให้ได้ไปเกิดในร่มพระพุทธศาสนาอีกครั้ง คิดเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจที่จะมีชีวิตสร้างความเพียรอย่างถึงพร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม
   
   อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นกรรมดีนั่นคือ  ความกตัญที่มีต่อพ่อและแม่  สำหรับฉันไม่ว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องหนี้สินหรือเรื่องใดๆขึ้นมาก็ตาม ดิฉันก็จะหาทางช่วยเหลือท่านอย่างถึงที่สุด ผลบุญที่ดิฉันได้รับในทุกวันนี้ก็คือ  ทุกๆปัญหาที่เข้ามาดิฉันก็จะมีทางออกในการแก้ไขทั้งสิ้น  บางครั้งอยู่เฉยๆก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอด  ไม่มีคำว่าตกอับเลยสักครั้ง

   ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาและความทุกข์เข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ  แต่ทว่าไม่ทุกข์ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว  เพราะดิฉันรู้จักปล่อยวางเป็น   คิดหาทางแก้ไขเป็น  และมองทุกอย่างในแง่บวกมากขึ้น   ส่งผลให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนั้นๆ ได้อย่างแข็งแรง

   ความสุขใจที่เกิดขึ้น   ความปล่อยวางที่เกิดขึ้น   และความเพียรที่เกิดขึ้นนี้เอง   ทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมแต่ความดีตลอดไป  และหากมีโอกาสก็จะแนะนำและนำพาคนรอบข้างได้สร้างสมความดีอย่างต่อเนื่องมากขึ้น

             กรรมฐานเปรียบเสมือนแสงเทียนที่จะนำส่องเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่ที่ดีที่งามทั้งทางโลกและทางธรรม  
เพราะการปฏิบัติกรรมฐาน    ก็คือการฝึกสร้างสตินั่นเอง  คนที่มีสติไม่ว่าจะคิดจะพูดหรือจะทำสิ่งใดก็จะเป็นไปด้วยความถูกความควรไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น   ที่สำคัญบุญบารมีที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีคุณค่าอนันต์ที่จะทำให้เราเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมมากขึ้น

   ขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวง  จงได้เป็นบัจจัยน้อมถวายแด่พระคุณหลวงพ่อจรัญด้วยเทอญ

.........................

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2554, 07:18:23 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
กรรมฐานช่วยคุณแม่ได้
เกื้อกูล  สุขปิติ

ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๔ โรงเรียนพนัสพิทยาคาร  อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี  อายุ ๔๕ ปี มีบุตร ๒ คน สามีรับราชการในตำแหน่งนิเทศ ๗ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการนำนักเรียนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน  ตั้งแต่รุ่นที่ ๑  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖  จนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่   ๒๑   (๓๐ พฤศจิกายน– ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖)    เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

   เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ คุณแม่ของข้าพเจ้าป่วยหนัก  เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี  กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ เดือนเต็มๆ  ตอนนั้นคุณแม่อายุ  ๖๗ ปี วันหนึ่งคุณแม่เล่าว่าฝันเห็นผู้ชาย ๔ คน จะพยายามมาเอาตัวท่านไปท่านบอกว่า “รอลูกสาวก่อน เดี๋ยวลุกสาวจะมา ”

   วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ หมอบอกว่าอาการของคุณแม่ไม่ค่อยดีนักให้เตรียมใจเพราะโอกาสมีแค่  ๕๐%  แต่ต่อมาอีกประมาณ ๔ วันอาการดีขึ้นบ้าง  หมอแนะนำให้กลับบ้านและซื้อเครื่องช่วยหายใจเวลาหอบและขาดอากาศ

   ข้าพเจ้ารับคุณแม่กลับไปพักฟื้นที่บ้านพี่สาว ข้าพเจ้านอนเฝ้าท่าน  เวลาท่านนอนจะทรมานกระสับกระส่าย พอท่านหลับ
ข้าพเจ้าจะสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ  แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแทนท่าน

   หลังจากคุณแม่นอนหลับสนิทจนรุ่งเช้า  ท่านอยากถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร  ข้าพเจ้าไปทำสังฆทานให้ท่านที่วัดใหม่สิริกมลาวาส  กรุงเทพฯ   หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ   ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่ใส่บาตรตอนเช้าสวดมนต์ไหว้พระ  ฟังเทศน์ปัจจุบันคุณแม่แข็งแรงเดินทางไปไหนมาไหนคล่อง

.........................
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณมากคะ สำหรับบทความธรรมะดีๆ อ่านแล้วได้ความรู้มากๆคะ :090: :050: :090:
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ