ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดโลกธรรม ลดแรงกรรม แก้ไขกรรมของสัตว์โลก  (อ่าน 2395 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ พัน ร. มทบ.๑๑

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 476
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
หลวงพ่อวัชระ  เอกวัณโณ
เปิดโลกธรรม ลดแรงกรรม แก้ไขกรรมของสัตว์โลก
ด้วยพลังธาตุธรรม เมตตาบารมี
ณ วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

วันอาทิตย์และวันพระ ทำพิธีเสริมดวง งดเว้นการรักษาโรค-แก้กรรม


เรื่อง รักษาโรคแก้กรรม

การบำบัดรักษาของหลวงพ่อวัชระนั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นเวทย์มนต์หรือใช้ทางไสยศาสตร์ ในการบำบัดรักษา ทั้งหมดที่กระทำการบำบัดให้ผู้เจ็บป่วยนั้น เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม ด้วยการขอบิณฑบาตร โดยอาศัยการแผ่เมตตาธรรมเป็นหลักสำคัญ เพื่อโปรดให้ทุกฝ่ายได้ให้การอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน อันจะทำให้กรรมนั้นเป็นโมฆะ คือ ไม่มีผลที่จะมาอาฆาตพยาบาทก่อกรรมก่อเวรสร้างภพสร้างชาติกันอีกต่อไปนั่นเอง


บางท่านเห็นวิธีการบำบัดรักษาแล้วก็ทึ่ง แต่บางท่านก็งง ว่าหลวงพ่อรักษาด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ผลค่อนข้างแน่นอน เว้นแต่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่ยอมอโหสิกรรมให้เท่านั้น เพราะผู้ที่เจ็บป่วยทั้งในและนอกประเทศได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้หายจากการเจ็บป่วยด้วยวิธีการใช้บารมีธาตุธรรมนี้จนหายนับเป็นจำนวนพัน เพราะในแต่ละวันสูงสุดเคยรักษาถึง 50 คนต่อวัน ค่าเฉลี่ย 20 คน ต่อวัน ซึ่งนับได้ว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงมาก


การแก้ไขวิบากกรรมนี้จำเป็นต้องใช้จิตที่มั่นคง แผ่เมตตาธรรมออกไป ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้พลังจิตค่อนข้างมากบางวันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ? 1 ทุ่มก็บ่อยครั้ง ได้พักตอนฉันเพลเท่านั้น นอกนั้นก็ทำพิธีสงเคราะห์ญาติโยมเป็นส่วนใหญ่ เห็นแล้วน่าเหนื่อยแทน ท่านเปรียบเทียบว่าการใช้พลังจิตก็เหมือนกับการใช้แบตเตอรี่ ใช้มากพลังก็หมดได้เช่นกัน จำเป็นต้องชาร์ทแบตบ่อย ๆ พลังจึงเต็มและได้ผล


บางครั้งจิตเหนื่อยมาก เมื่อเพ่งพลังจิตเข้าช่วยคนไข้ บางทีช่วงบ่าย ๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย แทบจะหลับไปในขณะทำพิธี แต่ด้วยจิตที่สงสารคนป่วย หลวงพ่อก็พยายามรั้งสติกำหนดจิตให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าใครไปที่วัดบ่อย ๆ คงจะสังเกตเห็นหลวงพ่อเหมือนหลับกลางอากาศบ่อยครั้ง ก็ด้วยสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ หากอายุมากกว่านี้อาจจะต้องพักผ่อนหรือหยุดการรักษาด้วยวิธีนี้ เว้นแต่จำเป็นจริง ๆ" ลูกศิษย์หลายท่านเดาว่าหลวงพ่อวัชระอายุประมาณ 40 ปี แต่จริงๆแล้ว หลวงพ่ออายุเกือบเท่าคนวัยเกษียณอายุแล้ว ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อท่านจะยังคงรับกรรมของพวกเราไหวหรือไม่ก็ไม่ทราบ

ถ้าเปรียบเทียบ ผู้กำลังเจ็บป่วยรับกรรม เป็นเสมือน " คนกำลังจมน้ำ " ผู้ปฏิบัติธรรมก็เปรียบเสมือน " ผู้ที่ว่ายน้ำเป็น หรือกำลังเรียนรู้การว่ายข้ามวัฎสงสาร" ให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ........ ซึ่งปณิภาณของหลวงพ่อวัชระคือ "การสร้างคน หรือการสอนคนให้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง " ท่านจึงได้สร้างศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรม , ลานปฏิบัติธรรมแนวธรรมชาติ และห้องพักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม แต่ด้วยวัดอยู่ห่างไกลและขาดบุคคลากรจึงยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร ประกอบกับเมตตาธรรมที่ไม่อาจทนดูคนจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อจึงใช้ในการสงเคราะห์ญาติโยมโดยไม่แบ่งแยกระดับชั้น

หวังว่าเรื่องราวต่างๆคงตอบคำถาม ที่อยู่ในใจของบางคน ให้หายสงสัยได้

เหนือกรรมคือเหนือโลก       

            สังคมมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของสัตว์โลกที่มีกรรมที่อาศัยถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อชดใช้บาปกรรมที่เคยได้กระทำมาและให้โอกาสได้แก้ไขชีวิตใหม่ บ่อยครั้งที่มนุษย์มักกล่าวกันว่า ?เกิดมาเพื่อใช้กรรม? แต่มีส่วนหนึ่งที่เราคิดไม่ถึงว่า ?เกิดมาเพื่อให้โอกาสมาสร้างกรรมดี? ภพมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง ?อบายภูมิ-เทวภูมิ? ดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏสงสารที่หมุนเวียนดั่งกงล้อต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด ภพภูมิต่าง ๆ จึงเป็นที่รองรับสภาพของสัตว์โลกที่ยังดำรงตนลุ่มหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปทาน เวียนเกิดเวียนดับชดใช้กรรมจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งสืบเนื่องกันไปไม่รู้จักจบ จึงวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เพราะความโลภ โกรธ หลง เป็นมูลเหตุ จนกว่าจะรู้จักธรรมะอันเป็นแนวทาง ลด ละ เลิก กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายให้สิ้นไป

                       ปัจจุบันวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เจริญรุดหน้าไปมากสามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้มีอัตราการเสียชีวิตลดน้อยลงจากเดิม แต่เราคงจะเคยได้ยินหรือพบเห็นว่า ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่แพทย์รักษาแล้วไม่หาย แม้จะเอ็กเรย์หรืออุลตราซาวน์บางทีก็ยังไม่พบสาเหตุแห่งการเจ็บป่วย และในที่สุดก็ต้องถูกผ่าตัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หายแต่อย่างใด บางรายก็อาจเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป

            เราเคยคิดสงสัยบ้างไหมว่า การวินิจฉัยโรคของแพทย์ให้ผลคลาดเคลื่อนแม้ในแพทย์ด้วยกันเอง เราอาจจะเชื่อในเทคโนโลยี่ เชื่อในกระบวนการรักษาพยาบาลที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ การวิเคราะห์ที่ประกอบไปด้วยหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่แพทย์ไม่อาจสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต

            ดังนั้นบางครั้งทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ จึงต้องพึ่งพาหลักการของศาสนาว่าด้วยเรื่องของ ?กรรม? กฏของธรรมชาติที่ดูแลความสมดุลของมนุษย์ด้วยความยุติธรรมเที่ยงแท้และแน่นอน แม้มนุษย์จะมีวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่า ?กฎแห่งกรรม? จะถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย

            สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเวียนว่ายตายเกิด หมุนเวียนกันไปตามแรงกรรม ทำกรรมดี ก็ย่อมได้รับผลที่ดี ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลในทางชั่ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่จะทำดีอย่างเดียวหรือชั่วอย่างเดียวไปตลอดชีวิต ย่อมมีดีและชั่วคลุกเคล้ากันไป เพียงแต่น้ำหนักแห่งกรรมตัวใดจะมากกว่ากัน ย่อมจะทำให้ต้องรับวิบากกรรมตัวที่หนักไปก่อน

             แต่ถ้าใครละกรรมชั่วทำตัวอยู่เหนือกรรมดีได้ ก็จะสามารถอยู่เหนือกรรมทั้งหมดได้ เพราะเมื่อสามารถละกรรมชั่ว คือ ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วจะไม่กระทำเด็ดขาด ส่วนอยู่เหนือกรรมดี คือ ทำแต่กรรมดีแต่ไม่ได้ยึดติด หรือถือว่าตัวเองดีเหนือคนอื่น ย่อมทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานได้นั่นเอง จึงสามารถกล่าวได้ว่า ผู้ที่อยู่เหนือกรรมดีและกรรมชั่วทั้งปวง คือผู้อยู่เหนือโลกอย่างแท้จริง

พรหมลิขิต                   

            ใครเล่าที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตที่แท้จริงของเรา เทพเจ้าเหล่าเทวา อินพรหม ยมราช หรือ แผ่นฟ้าและแผ่นดิน บ่อยครั้งที่เรามักพูดกันติดปาก ?สุดแท้แต่พรหมลิขิต? ความเข้าใจเช่นนี้ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก เพราะนั่นเป็นเพียงคำเปรียบเทียบเท่านั้นเอง ถ้าความจริงเป็นเช่นที่ว่า เทพ พรหม เหล่าเทวา สามารถกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ทุกรูปทุกนามได้ก็คงจะดี  มนุษย์ทั้งหลายคงประกอบไปด้วย พรหมวิหาร 4 หรือ หิริโอตตัปปธรรม ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้เป็น พรหม หรือ เทวดา โลกนี้ก็คงจะไม่มีความโหดร้ายปรากฏให้เห็น คงอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทำให้ทุกคนทำแต่ความดีจะได้กลับไปอยู่เบื้องบนด้วยกันทั้งหมด

            ดังนั้นถ้า พรหมไม่ได้ลิขิต และคงไม่ใช่เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์ใดแล้ว ก็อะไรเล่าที่ทำให้ชีวิตมนุษย์หมุนเวียนเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้ คำตอบดูเหมือนจะง่าย แต่จะเข้าใจกันหรือเปล่าไม่ทราบมนุษย์เองนี่แหละเป็นผู้กำหนดและลิขิตชีวิตตนเอง วิถีชีวิตมนุษย์จะดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเกิดจากการกระทำของตนเองเป็นเหตุเบื้องต้นทั้งสิ้น ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น

            ทุกคนที่เกิดมาย่อมเคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาด้วยกันทุกคน จะโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี แม้ความผิดพลาดอันนั้นจะเกิดจากเงื่อนไขของวิบากกรรมในอดีตชาติ แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าวิบากกรรมเหล่านั้นจะไม่สามารถแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้

้ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ                   

             เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของคนเราในแต่ละวัน ที่เป็นสุขหรือทุกข์ก็ดี มันย่อมมิใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นกรรมลิขิต                   

            ความแตกต่างในฐานะความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ และความเกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องของผู้คนนั้น ย่อมเกิดจากกรรมในอดีตชาติส่งผลทั้งนั้น บางคนเกิดมาสมบูรณ์พูลสุข บางคนยากไร้ บางคนรูปร่างหน้าตาสวย บางคนขี้เหร่ ชีวิตจึงไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง เพราะบางทีรวยจริงแต่ไม่มีความสุข บางคนสวยมากแต่ประสพปัญหาชีวิตครอบครัว จนตัดสินใจทำลายตัวเองก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ความพอดีของมนุษย์แต่ละรูปแต่ละนามจึงยากกำหนดให้เป็นมาตรฐานได้ ย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุแห่งกรรม ที่จะส่งผลมาถึงปัจจุบัน และสืบเนื่องต่อไปถึงอนาคต           

            ดังนั้นเรื่องราวที่จะได้นำเสนอต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงเหตุและผลแห่งกรรม ผ่านจากเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีตัวตนอยู่ในปัจจุบัน และจากประสพการณ์ การวิเคราะห์ เรื่องราวที่ได้กลั่นกรองอย่างมีเหตุมีผลที่อธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะชีวิตไม่ใช่เครื่องทดลอง วันเวลาที่ผ่านไปย่อมมีค่า รีบศึกษาและทำความเข้าใจ หาเหตุและผล หาทางแก้ไขชีวิตจิตวิญญาณให้พ้นจากความทุกข์ เข้าสู่หนทางแห่งความสุขที่แท้จริง และในแนวทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามหลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

           อย่าไปคิดว่า มนุษย์จะตัดกรรมของตนเองได้ง่าย ๆ อย่าคิดว่าเพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วจะถึง หรือเจ้ากรรมนายเวรยอมรับง่าย ๆ เงินทองซื้อกรรมไม่ได้  ในเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแนวทางที่ท่านอาจจะแก้ไขวิบากกรรมของตนเองให้เบาบางหรือหายไปได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องจ่ายเงินจนเกินกำลังของตนเอง เพียงแต่ถ้าท่านเชื่อและศรัทธาในเรื่องราวเหล่านี้ เราจะชี้แนะหนทางนั้นแก่ท่าน

กรรมลิขิต                   

           กรรม เป็นหลักคำสอนที่สำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา เพราะท่านได้กล่าวไว้ว่า คนเราเกิดมาก็เพราะกรรม ทำดีย่อมได้ดี-ทำชั่วย่อมได้ชั่ว คือให้เชื่อการกระทำของตนเองว่า เมื่อเราทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ไม่ใช่มีใครบันดาลให้ คนขยันหมั่นเพียรย่อมตั้งตัวได้ คนขี้เกียจย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ ดังพุทธภาษิตที่ว่า
                    "น ชจฺจา วสโล โหติ     น ชจฺจ โหติ พฺราหฺมโณ
                     กมฺมุนา วสโล โหติ      กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ"
                    "บุคคลเป็นคนเลวเพราะชาติก็หาไม่ จะเป็นผู้ประเสริฐเพราะชาติก็หาไม่
                     แต่เป็นคนเลวทรามเพราะกรรม เป็นคนประเสริฐเพราะกรรมต่างหาก"                   

             คำว่ากรรม คือ การกระทำใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นจาก กาย วาจา ใจ เป็นคำกลาง ๆ ที่ใช้ในความหมายทั่ว ๆ ไป ทำดีก็ตามชั่วก็ตาม จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ย่อมจะส่งผลต่อผู้ที่ได้กระทำลงไปนั้นแน่นอน ดังที่ปรากฏเป็นพุทธพจน์ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นั่นคือสัจธรรมที่องค์สัมมาสัมมาพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบจากหลักธรรมชาติ หรือกลไกแห่งธรรมชาติที่ว่า "แรงตกกระทบย่อมเท่ากับแรงสะท้อน" ดังนั้นการกระทำใด ๆ ที่ได้เกิดขึ้น ย่อมมีแรงปฏิกิริยาสะท้อนกลับสู่สิ่งนั้น ตามลักษณะแห่งการกระทำนั้นนั่นเอง และเป็นแรงผลักดันให้เข้าไปสู่ภพภูมิต่าง ๆ เช่น นรก เปรต อสุรกาย เทพ พรหม อรหันต์ เป็นต้น กรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญในหลักของพระพุทธศาสนา                       

             กรรมจึงจำแนกออกได้หลายประการด้วยกัน หากแบ่งตามการกระทำก็แบ่งได้เป็น 3 ทางด้วยกันคือ                               

             1.  กายกรรม     กรรมที่กระทำผ่านทางกาย เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดประเวณี
             2. วจีกรรม       กรรมที่กระทำผ่านทางวาจา เช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
             3. มโนกรรม     กรรมที่กระทำผ่านทางใจ เช่น คิดอาฆาตพยาบาท คิดเพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น เป็นต้น

             ดังนั้นมนุษย์ทุกรูปทุกนามย่อมตกอยู่ในหลักเกณฑ์แห่ง "อำนาจแห่งกรรม"  ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะการกระทำใด ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในแต่ละครั้งหรือแต่ละช่วง ย่อมจะเกิดผลกระทบต่อเนื่องไปในอนาคตสู่มนุษย์ผู้ที่ได้กระทำเสมอ การกระทำในส่วนที่ดีเราเรียกว่า "บุญ" หรือ "กุศล" การกระทำในส่วนที่ไม่ดีเรียกว่า "บาป" หรือ "อกุศลกรรม" เพราะการกระทำในแต่ละช่วงย่อมก่อให้เกิดคลื่นกลไกแห่งกรรม บางทีเราเรียกกันว่า "บ่วงกรรม" แต่ละบ่วงจะเข้ามาพัวพันกับชีวิตของมนุษย์แต่ละรูปแต่ละนามตามแรงสะท้อนแห่งกรรมนั้น จนก่อให้เกิดปฏิกริยาตามวาระ จนบางทีเรากล่าวกันติดปากว่า "ต่างกรรมต่างวาระ" กลายเป็น "ชะตาชีวิต" ที่ไม่หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้แม้แต่น้อย

           ขบวนการแห่งกรรมเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนยิ่งนัก ยากที่คนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงถึงธรรมชาติของกรรมไว้ว่าเป็นสิ่งที่น่าพิศวง เพราะไม่มีตัวตนที่เราจะถูกต้องหรือสัมผัสได้ จะวัดหรือจะชั่งตวงก็ไม่ได้ แต่ก็มีอำนาจแสดงกำลังความสามารถได้ ในหลักการของพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง การกระทำที่ส่งผลต่อชีวิตจิตวิญญาณอันเกิดจากผลของกรรมไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

 
 กัมมัสสะโกมหิ
 เรามีกรรมเป็นของตน
 
 
 
 กัมมะทายาโท
 เราเป็นผู้รับผลของกรรม
 
 
 
 กัมมะโยนิ
 เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
 
 
 
 กัมมะพันธุ
 เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
 
 
 
 กัมมะปฏิสะระโณ
 เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
 
 
 
 ยังกัมมัง กะริสสามิ
 เราทำกรรมอันไดไว้
 
 
 
 กัลยาณังวา บาปะกังวา
 ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม
 
 
 
 ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
 เราจักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น
 
 

จากพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนเราเกิดมาได้นั้นด้วยวิบากแห่งกรรม นอกจากนี้พุทธองค์ยังทรงกล่าวต่อไปว่า "กรรมจำแนกชีวิตสัตว์หรือมนุษย์ให้แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นคนเราในโลกจะหาคนเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งหน้าตา อัธยาศัย นิสัย ฐานะ ความรู้ ความเป็นอยู่ หาไม่ได้ เนื่องจากคนเรา อยู่ใต้อำนาจของกรรม"  ดังนั้นการเกิดแต่ละภพแต่ละชาติย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้ด้วย

ขอบเขตของกรรม

            เรื่องของกรรมนั้น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในหลายพระสูตรด้วยกัน และได้ทรงสรุปชนิดของกรรมในเบื้องต้นเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

            1.  บุราณกรรม หรือ กรรมเก่า อันเกิดจากอายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะชีวิตร่างกายที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่ประกอบไปด้วย ขันธ์ 5 หรืออายตนะ 6 เป็นวิบากขันธ์หรือกรรมเก่า ที่เป็นชนกกรรม ถือว่าเป็นกรรมที่เปรียบเสมือนพ่อผู้ให้การก่อกำเนิดขันธ์ 5 ตามวิบากกรรมนั่นเอง

            2.  นวกรรม หรือ กรรมใหม่ อันเกิดจาก กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมในปัจจุบัน ที่เป็นผลจากบุราณกรรม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผู้ปรุงแต่งโดยการแสดงผ่านทางด้านกริยาอาการต่าง ๆ ที่จะแสดงออกไปมีผลกระทบต่อจิตวิญญาณดวงอื่นในทางลบหรือทางบวกเท่านั้น

           ดังนั้นการกระทำใดในปัจจุบัน หรืออดีต ย่อมมีผลต่อเหตุปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้เกิดภพชาติ อันเป็นที่กำเนิดของเหล่าสัตว์ทั้งหลายมาตราบจนเท่าทุกวันนี้ จึงสมควรที่เราทั้งหลายจะได้รู้จักภพภูมิเหล่านั้นบ้างพอสมควรว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แต่ละภพแต่ละภูมิเป็นที่รองรับจิตวิญญาณประเภทใดกันแน่

           มนุษย์ผู้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ ประพฤติแต่อกุศลกรรม ก็เหมือนกับเตรียมตัวเดินทางไปสู่หนทางแห่งนรกแล้ว เหมือนคำพังเพยที่ว่า ?ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์? อุปมาอุปไมยว่า การทำความชั่วนั้นทำง่าย แต่การทำความดีนั้นทำยาก มนุษย์ผู้ก่อกรรมอันใดไว้ก็ย่อมประสพกับผลกรรมอันนั้นเอง ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว

            ดังนั้นก่อนที่มนุษย์จะขาดใจหรือที่เรียกว่าตาย แล้วไปผุดเกิดเป็นสัตว์นรกหรือเทพเทวาระดับต่าง ๆ ก็ดี ย่อมจะปรากฏชัดเจนใน มรณสันนวิถึ คือ วิถีจิตใกล้จะตาย ก็จะปรากฏเหตุการณ์ที่เป็นเครื่องบอกล่วงหน้าให้รู้ว่าจักไปสู่ภพใดภูมิใดอย่างชัดเจน ท่านเรียกว่า ?อารมณ์? ซึ่งมีอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ

            1.   กรรมารมณ์  หมายถึงกรรมที่ตนได้กระทำไว้แต่ก่อน ๆ มาปรากฏให้ระลึกขึ้นได้เมื่อกำลังมีการร่อแร่ใกล้จะหมดลมหายใจ คือ ถ้าทำบาปไว้ ก็จะปรากฏภาพอกุศลกรรมชนิดนั้นให้เห็นชัดเจนในมโนทวาร แล้วจิตก็ยึดหน่วงเอาภาพอกุศลกรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตลงไปก็น้อมนำไปเกิดในทุคคติภูมิทันที จึงได้ชื่อว่ากรรมารมณ์  ที่จะปรากฏให้คนใกล้ตายได้เห็นเพียงคนเดียว คนอื่นจะไม่เห็น เพราะกรรมเป็นของเฉพาะตัว

            2.   กรรมนิมิตตารมณ์ หมายถึงอุปกรณ์แห่งการประกอบกรรม เช่น อาวุธหรือศาสตราวุธที่ใช้ในการทำร้ายหรือประหารกัน เช่น มีด ปืน แหลน หลาว เป็นต้น หรือภาพนิมิตเครื่องมือที่ใช้ประกอบอกุศลกรรมอื่น ๆ เช่น การพนัน ชนไก่ กัดปลา เรือกสวนไร่นาที่คดโกงเขามา สุดแท้จะประกอบกรรมชั่วด้วยสิ่งใด สื่งนั้นก็จะปรากฏให้ระลึกได้ แล้วยึดเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์นิมิตหมาย เมื่อดับจิตลงไปก็น้อมนำไปเกิดในทุคคติภูมิ ต้องเสวยโทษตามกรรมที่ได้กระทำไว้

            3.  คตินิมิตตารมณ์  ได้แก่นิมิตต่าง ๆ อันบ่งบอกถึงคติแห่งโลกที่ตนจะต้องไปเกิด หลังจากที่จิตดับลงไปแล้ว จะมาปรากฏให้เห็นชัดเจนในมโนทวารคือทางใจ บางทีเป็นภาพที่ตนเคยเห็นบางทีก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ส่วนมากจะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  ในกรณีที่เป็นอกุศลกรรมก็จะเกิดเห็นคตินิมิตรอันชั่วร้ายปรากฏขึ้น เช่น เห็นเปลวไฟอ้นร้อนแรง เห็นหม้อเหล็กแดงที่มีน้ำนรกกำลังเดือนพล่าน เห็นป่างิ้วซึ่งมีหนามเหล็กลุกเป็นเปลวไฟ บางทีเห็นภาพน่าเกลียดน่ากลัวจนร้องเอ็ดตะโรลั่นไปหมด

             ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าทำดีย่อมเกิดในสุคคติภูมิ ถ้าทำไม่ดีย่อมเกิดในทุคคติภูมิ คงชัดเจนในความหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าบางคนทำดีก็มีชั่วก็มีระคนกันไป จะได้ผลเป็นอย่างไร

             ดังนั้นมนุษย์ประเภทนี้ เป็นบุคคลประเภทปานกลาง อกุศลก็ทำ กุศลก็สร้างเหมือนยังตกอยู่ในความประมาท เมื่อถึงแก่กรรมหรือตายลงไป ก็จะยังไม่ดิ่งลงไปสู่ขุมนรกตามอกุศลกรรมเลยทีเดียว ขณะเดียวกันก็ไม่ดิ่งไปยังเทวโลกเพื่อเสวยผลแห่งกุศลกรรมได้ทันทีเหมือนกัน ดังนั้นก็จะถูกให้ไปเกิดในแดนยมโลกนรกโดยยมทูตจะนำตัวไปหา พญายมราช เพื่อสอบสวนพิจารณาโทษานุโทษเสียก่อนว่า ควรจะถูกลงโทษหรือได้รับรางวัลชีวิตในรูปแบบใด

              สัตว์ทั้งหลายขณะที่ใกล้จะจุติ คือ ตาย จะต้องเกิดอารมณ์ขึ้น ไม่กรรมก็กรรมนิมิต หรือคตินิมิตอันใดอันหนึ่ง สัตว์ที่จะตายจะไม่เกิดอารมณ์ขึ้นเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะตายช้าหรือโดยทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะอารมณ์กรรมนั้น ๆ ย่อมเป็นกำลังงานอันสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิสนธิขึ้น กรรม กรรมนิมิต คตินิมิตนั้น เป็นอารมณ์ครั้งสุดท้ายในชาตินั้น ๆ ที่ทรงอิทธิ ทำให้มีภพชาติสืบต่อไป

              อารมณ์ที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายนี้ เป็นที่หมายได้แน่นอนว่าจะต้องไปเกิดตามที่ตนได้เห็น เหมือนเราทำแบบแปลนแผนผังไว้แล้ว ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยตามแบบแปลนนั้น ๆ เช่น ผู้ที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเห็นครรภ์ของมารดา ผู้ที่จะไปเกิดยังเทวภูมิย่อมเห็นเทพยดา นางฟ้าหรือวิมาน ผู้ที่จะไปเกิดในนรกก็ย่อมเห็นการเผาผลาญสัตว์เห็นเปลวไฟ ผู้ที่จะไปเกิดเป็นเปรตก็เห็นปล่องเห็นหุบเขาอันตกอยู่ในความมืดมิด ผู้ที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมจะเห็นสัตว์หรือเห็นเชิงเขา ชายน้ำเป็นต้น ทุกคนก็มีจุดหมายปลายทางคือ ความตาย ไม่ว่าพระราชาหรือกระยาจก ไม่ว่าเทวดาหรือสัตว์นรก ไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญ สำหรับผู้ที่ฉลาดในเรื่องของชีวิตควรจะต้องศึกษาให้รู้ เมื่อเช่นนี้การศึกษาเรื่องความตายจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง จะได้ชื่อว่าไม่ตกอยู่ในความประมาท เพราะศึกษาเล่าเรียนเรื่องความตายเสียให้เข้าใจดีแล้วก็ย่อมมีหวังอยู่เป็นอันมากที่จะไปเกิดในสุคติภูมิ

            การมองดูคนไข้ที่ใกล้ตาย จะแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ แม้จะทายที่ไปของผู้นั้นไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จริง แต่ก็มีส่วนถูกเป็นอันมาก ด้วยการที่คนไข้เกิดอารมณ์ขึ้นเหมือนความฝัน ภาพนั้นย่อมชัดเจนแจ่มใสมาก จิตของคนไข้จะมีความยินดีหรือตกใจกลัวก็ย่อมจะมองเห็นจากการแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ เช่น ถ้าคนไข้เห็นนายนิรยบาลถือหอกโตเท่าลำตาล กำลังเงือดเงื้อจะพุ่งลงมาทรวงอก หรือเห็นน้ำทองแดงกำลังเดือดพล่านจะไหลเข้าในปาก หรือเห็นแร้งกา ๓ ตัวโต มีปากเป็นเหล็กกำลังจะฉีกเนื้อของตัวกิน หรือเห็นอสุรกายโตใหญ่ราวกับภูเขาดำทมิฬกำลังผ่านเข้ามาทำร้าย เมื่อคนไข้เห็นเช่นนี้ก็จะมีความตกใจก็จะต้องโอดครวญด้วยเสียงอันดัง ก็จะแสดงอาการหวาดหวั่นสะดุ้งกลัวอย่างน่าสงสาร หรือแลบลิ้นปลิ้นตาร้องโวยวายให้คนช่วย เช่นนี้อบายภูมิก็มีหวังได้ ถ้าคนไข้เห็นนิมิตที่ปรากฏนั้นเป็นพระเป็นเณร เห็นปราสาทราชวัง เห็นอาภรณ์อันประณีต เห็นคนรักษาศีลคนให้ทาน และคนไข้ก็ยิ้มย่องผ่องใสหน้าตาอิ่มเอิบหรือหัวเราะ เช่นนี้สุคติก็มีหวังได้

            ้ เมื่อเราเอื้อมมือไปหยิบอะไรอย่างหนึ่งบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนมือไป จิตย่อมจะสั่งการโดยตลอด เหตุนี้เองถ้าหากมือที่เอื้อมไปนั้นยังไม่ถึงสิ่งของที่ต้องการ เกิดมีเสียงเอะอะขึ้นจิตก็จะสั่งให้หันไปดูที่เสียงนั้น มือที่เอื้อมก็จะค้างอยู่ คือ เกร็ง โดยทำนองเดียวกันนี้ คนที่ใกล้จะตายเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นครั้งสุดท้าย จะเป็นยินดีหรือตกใจก็ตาม ก็ย่อมแสดงกิริยาท่าทางน่ากลัว หรือยิ้มแย้มทันที จุติจิต (ตาย) ก็เกิดขึ้น ซากศพของผู้นั้นก็ปรากฏอาการค้างอยู่ ซึ่งทำให้เราพอทายว่าจะไปสุคติ หรือทุคติ ได้เป็นส่วนมาก

           พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ทรงแยกกรรมที่จะเป็นเหตุนำให้สัตว์ไปปฏิสนธิ ๔ ประการคือ

           ๑. ครุกรรม หมายถึงกรรมหนัก ทางฝ่ายกุศลกรรม เช่น การเข้าฌาน ทางฝ่ายอกุศล ได้แก่อนันตริยกรรม ห้ามสวรร ค์ ห้ามนิพพานเช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำร้ายพระอรหันต์ เป็นต้น กรรมนี้เป็นกรรมหนักมีกำลังมาก ดังนั้น เมื่อเวลาจุติคือตาย กำลังของกรรมนี้ก็จะเกิดขึ้นเป็นชนกกรรม นำไปสู่การปฏิสนธิ ไม่มีกรรมใดมาขัดขวางได้เพราะเป็นกรรมหนัก มีกำลังมากต้องให้ผลก่อน

            ๒. อาสันนกรรม หมายถึงกรรมที่ใกล้ตาย บุคคลใกล้จะตายจะได้รับอารมณ์อะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นติดชิดกับความตาย เช่น ขณะนั้นเห็นพระพุทธรูป ได้ยินเสียงสวดมนต์ เป็นต้น

            ๓.อาจิณณกรรม หมายถึงกรรมที่ทำที่เป็นนิสัย ถ้าอาสันนกรรมมิได้ให้ผลแล้ว อาจิณณกรรมก็จะมาให้ผล ข้อนี้ก็คือบุคคลทั้งหลายย่อมกระทำกรรมอยู่เสมอ เมื่อเช่นนี้ กรรมที่กระทำอยู่เสมอนี้ก็มีโอกาสมากที่สุด จะกระทบจิตทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นแล้วแต่อารมณ์นั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล

            ๔.กตัตตากรรม หมายถึงกรรมที่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ถือเป็นกรรมเล็กกรรมน้อย ถ้ากรรมอื่น ๆ ทั้งหมดไม่ให้ผลแล้ว กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะมาปรากฎในอารมณ์นำไปสู่การปฏิสนธิได้

             อำนาจกรรม จึงเป็นสิ่งที่กำหนดให้เกิดกลไกแห่งชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมา หาใช่พรหมลิขิต หรือดวงไม่ดี พระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ได้กล่าวถึงชีวิตหลังความตายไว้อย่างน่าสนใจว่า จิตมิใช่มันสมอง ทั้งจิตก็มิได้อาศัยอยู่ในสมอง มันสมองเป็นเพียงทางแสดงออกของจิตเท่านั้น แท้จริงจิตอยู่ภายในช่องหนึ่งของหัวใจทีสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายนั้นเอง คือ หทัยวัตถุ ที่อาศัยของจิตเป็นบ่อเล็ก ๆ โตเท่าเม็ดบุนนาค และมีน้ำสีต่าง ๆ ๖ สี ประมาณ ๑ ฟายมืออันเป็นการแสดงจริตหรืออุปนิสัยของผู้นั้น ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มาก

            ที่ตั้งที่อาศัยอยู่ของจิต (มิใช่กล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด) นั้นประกอบขึ้นมาได้ด้วยกำลังของกรรม กรรมที่เคยกล่าวมาแล้วว่าไม่มีรูปร่างหน้าตาตัวตนนั่นเอง ได้สร้างที่ตั้งอาศัยของจิต เรียก กัมมชรูป และกำลังของกรรมก็ปกปักรักษารูปนี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ากรรมมิได้รักษาที่ตั้งที่อาศัยของจิตไว้แล้ว จิตก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะถึงแก่ความตายทันที สันนกาลตอนท้าย ๆ กัมมชรูปทำให้หทัยวัตถุ คือ รูปอันเป็นที่ตั้งอาศัยของจิตอ่อนกำลังลงเต็มที ที่ตั้งที่อาศัยหมดกำลังที่ทรงตัวอยู่ด้วยดีเหมือนกับรถไฟที่กำลังวิ่งมา ขณะที่ถึงสะพานข้ามแม่น้ำ สะพานข้าแม่น้ำชำรุดเสียแล้ว ดังนั้นรถไฟก็จะต้องชะลอฝีจักรลง มิฉะนั้นก็จะตกจากสะพานลงไป ขณะนี้ใกล้จะถึงความตายมาก คนไข้ถูกโมหะครอบคลุม ขาดสติ ความรู้สึกของคนไข้จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย อาจจะหมดลงและเมื่อถึงท้ายวิถีของมรณาสันนกาล กัมมชรูปก็เริ่มจะดับ คือ ตามธรรมดา กัมมชรูปย่อมจะดับ และเกิดทดแทนกันอยู่ทุกขณะจิต ครั้นแต่ถึงปฐม ภวังค์ของมรณาสันนวิถีไปจนถึงจุติ กัมมชรูปจะดับโดยไม่มีการเกิดทดแทนอีกเลย เมื่อถึงจุติติดกันนั้นก็ปฏิสนธิ ต่อจากนั้นจิตก็เป็นภวังค์

           กำลังของกรรมที่ส่งให้ไปปฏิสนธินั้น สืบเนื่องมาแต่มรณาสันนกาล เช่น ได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จิตก็รับอารมณ์สวดมนต์ในมรณาสันนกาลเป็นตัวส่งให้ไปปฏิสนธิ เพราะยังมีกำลังมากกว่า ส่วนในมรณาสันนวิถีเป็นแต่รับอารมณ์กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต มาจากมรณาสันนกาลแล้วสืบต่อไปจนถึงจุติเท่านั้น และเพราะเหตุที่กัมมชรูปเริ่มดับโดยไม่เกิดอีกมาตั้งแต่ภวังค์ดวงที่ ๑ ในมรณาสันนวิถีจนถึงดวงที่ ๑๗ จุติ คือ ดับหรือตายจึงได้เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้อีกต่อไป ทิ้งแต่ซากศพเอาไว้

           ที่ได้กล่าวมาแล้ว คนเราจะมีชีวิตอยู่หรือจะตายก็ตาม จิตย่อมเกิดดับสืบต่อกันไปอยู่เช่นนี้ตามธรรมชาติ ข้อที่แปลกสักหน่อยก็อยู่ที่จุติเกิดขึ้น คือ จิตดับลงแล้วก็พ้นจากชาติเก่าร่างเก่าเท่านั้น ในทันทีนั้นก็ปฏิสนธิเลย ได้แก่การเกิดขึ้นติดต่อกันด้วยความรวดเร็วมาก โดยมิให้มีอะไรมาคั่นกลางเหมือนกับจิตที่เกิดดับอยู่ตามธรรมดานั้นเอง ด้วยเหตุนี้ คำว่าจิตล่องลอยไปเกิดก็ดี หรือจิตท่องเที่ยวไปตามอำนาจของกรรมที่ดี จึงได้ชื่อว่าเป็นความเห็นผิด

           การที่ผู้ตายไปสู่สุคติหรือทุคตินั้นก็แล้วแต่กรรม แล้วแต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้จะตาย ดังนั้น ผู้ดูแลคนไข้ที่ฉลาดในเรื่องของชีวิต และมีเมตตากรุณาจึงยอมเสียเวลา สละประโยชน์อันจะพึงได้อื่น ๆ มาช่วยเหลือให้สติแก่คนไข้ด้วยความระมัดระวัง

           ถ้าคนไข้ได้เคยศึกษาธรรมะ ได้เคยพูดเรื่องตายมาเสมอ ๆ โดยความไม่ประมาทแล้ว การให้สติแก่คนไข้ก็ง่ายมาก แต่ถ้าคนไข้ไม่เข้าใจธรรมะเลยแล้ว การมีเจตนาให้สติด้วยความหวังดีจะกลับเป็นร้ายไป คนไข้บางคนพูดเรื่องตายไม่ได้ ใจไม่สบายทันที เราก็จำเป็นต้องหาเรื่องอันเป็นกุศลอื่น ๆ ที่คนไข้ชอบ คนไข้บางคนได้ยินการให้สติก็ทราบว่าตัวนั้นใกล้จะตาย ก็เกิดมีความเสียใจเสียดายชีวิตเป็นกำลัง มีความหวาดหวั่นต่อความตายอย่างสุดแสน หรือคนไข้บางคนได้ยินคำว่าให้ระลึกถึงพระอรหันต์ไว้ก็มีความโกรธแค้น โดยคิดว่าลูกหลานจะมาแช่งให้ตาย เพราะจะได้แบ่งทรัพย์สมบัติเหล่านี้นับว่าเป็นทางนำไปสู่อบายทั้งนั้น ขณะที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะต้องระมัดระวังให้จงหนัก การให้อารมณ์ที่ดีแก่คนไข้ก็มีมากมายแล้วแต่จะคิด เช่น นิมนต์พระมาสวด หาพระพุทธรูปมาตั้งให้คนไข้เห็น เล่าธรรมะหรือเรื่องอันเป็นกุศลต่าง ๆ สำหรับผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมาดีแล้วก็เป็นการง่ายดาย เขาจะหาอารมณ์ที่ดีที่สุดของเขาเองได้เป็นส่วนมากมาตั้งแต่ต้น เพราะเขาย่อมรู้ว่าขณะนั้นสำคัญอย่างไร และรู้ว่า ความตายนั้นเป็นเรื่องสมมุติกันเท่านั้นเอง จิต เจตสิก รูป ก็สืบต่อไปยังภพใหม่ชาติใหม่ ไม่เห็นจะแปลกประหลาดพิสดาร น่าหวาดหวั่นอะไรสักกี่มากน้อย จะได้ยกตัวอย่างคนใกล้จะตายคืออยู่ในมรณาสันนกาลเป็นเวลาหลายวันสักเรื่องหนึ่ง

           ชายผู้นี้เป็นคนจีน อายุราว ๕๐ ปี ชอบฆ่าสัตว์อย่างทรมานเป็นประจำ สุนัขของใครเพ่นพ่านเข้ามาต้องโดนตีตาย หรือโดนยาเบื่อ ถ้าไม่มีสุนัขของใครเข้ามา บางทีก็อุตส่าห์เอายาเบื่อไปวางถึงถนนหลวงช่วยกระทรวงสาธารณสุข สัตว์ที่ใช้กินเป็นอาหาร ก็ชอบฆ่าสัตว์ สด ๆ ร้อน ๆ เช่น จะกินปลาก็ต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาปลาเป็น ๆ ใส่ลงไป ฟังเสียงมันดิ้นด้วยความร้อนรนเหมือนได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ บางทีก็เอาปลาลงไปทอดแล้วกดให้แน่น มองเห็นตาของปลาแจ๋วแหว๋ว กล้ามเนื้อด้านบนยังเต้นอยู่ไปมา ถ้าไก่ตัวใดเป็นโรคระบาด เขาจะติดไฟเตาถ่านให้ลุกแดงแล้วจับรวบขาทั้งสองเอาศีรษะปักกดลงไปในเตาอันร้อนระอุนั้นทีละตัว ๆ จนกว่าจะหมด เป็นเคล็ดที่จะแก้โรคระบาด อาชีพของเขาฝืดเคืองลงมามาก ต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา

            ต่อมาที่เขาจะตายนั้นเขาเริ่มเป็นบ้าที่ละน้อย กลางวันชอบนอนตากแดดเสมอ กลางคืนตี ๑ ตี ๒ ก็ชอบลงไปลอยคออยู่ในน้ำ ปลิงเกาะกัดโลหิตไหลโทรม เป็นอยู่เช่นนี้วันละหลายหนที่พวกเราจะต้องช่วยกันจับ เขาชักดิ้นชักงออยู่ครั้งละนาน ๆ อาหารกินได้น้อยที่สุด ญาติพี่น้องก็ไม่เอาใจใส่ เราคนภายนอกมีจิตเมตตาช่วยกันเอง ก่อนเมื่อจะตายนั้นตลอด ๓ วัน ๓ คืน ตัวกระดุกกระดิกไม่ได้เลย อาหารและน้ำอาศัยพวกเราหยอดให้ ตาพองแข็งอยู่ตลอดเวลา หายใจรัว ๆ แสดงว่ายังไม่ตาย ขณะนี้คงอยู่ในมรณาสันนกาล ถ้าว่าตามหลักแล้ว กิริยาอาการที่เป็นมาแต่ต้นชวนให้เห็นว่าได้อารมณ์ที่ไม่ดีที่หน้าแสดงความหวาดเสียวอยู่ตลอดเวลา แต่ร้องไม่ออก บุคคลผู้นี้ขอให้ท่านทายว่าตาย    แล้วจะไปไหน

            ในขณะมรณาสันนกาลนั้น คนไข้ยังมีความรู้สึกตัวอยู่นอกจากจะอยู่ในวิสัญญี คือสลบ แต่แม้ว่าจะมีความรู้สึกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ก็ดี แต่มีกำลังอ่อนมาก การที่มีกำลังอ่อนมากนั้น ก็เพราะว่ากัมมชรูปคือ รูปอันเกิดจากกรรมเป็นผู้สร้าง ได้แก่รูปอันเป็นที่ตั้งของจิตนั่นเอง และเมื่อรูปอันเป็นที่ตั้งของจิตมีกำลังน้อย การแสดงออกของจิตก็อ่อนกำลังลงไป แต่เมื่อถึงมรณาสันนวิถี วิถีสุดท้ายที่ติดกับความตายแล้วคนไข้จะไม่รู้สึกจากทวารทั้ง ๕ เลย ไม่ว่าจะทุบตีหรือเอาไฟไปเผา แต่อย่างไรก็ดี การให้สติแก่คนไข้ก็ต้องเริ่มให้กันตั้งแต่ตอนต้น ๆ ของมรณาสันนกาลก็ยิ่งดี ในขณะที่สติของคนไข้ยังดีอยู่ อารมณ์นั้นจะได้สืบต่อไปจนถึงจุติ

ิ            ทันที่ที่จุติ (ตาย) เกิดขึ้น ปฏิสนธิก็สืบต่อกันไม่ขาดสายเหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธาร ไม่มีอะไรมาคั่นกลางเลย แม้ว่าจะตายที่นี่แล้วไปเกิดที่เชียงใหม่ เพราะจิตเกิดดับรวดเร็วยิ่งนัก ลัดนิ้วมือเดียวถึงแสนโกฏิขณะ ฉะนั้นทันทีที่จุติเกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องพ้นปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวส่ง

 ให้เคดิต ของเวป www.watthamfad.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ก.ค. 2551, 07:13:42 โดย chet »

ออฟไลน์ ~เสน่ห์โจรสลัด~

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 7913
  • เพศ: ชาย
  • " ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่งคุณจะเป็นที่หนึ่ง "
    • ดูรายละเอียด
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สาธุครับ

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
อย่าลืม ให้เคดิต ของเวปที่เอามาด้วนนะครับ หากไม่ได้พิมเอง ขอบคุณครับ
ขอบคุณข้อมูลมาก ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ก.ค. 2551, 08:07:19 โดย M007 »

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
ขอบคุณครับท่าน ไปทำพิธีสาวน้ำตาเทียนกับท่านแล้ว ท่านจะนำเทียนที่สาวนั้นมาปั๊มเป็นองค์จตุคามประจำตัวให้ครับ

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
สุดยอดดีครับ

ออฟไลน์ •••--สายัณ--•••

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1322
  • อัครมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ทุกภพชาติ
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
อีกหนึ่งสายบุญ ทางเลือก