พอดีหลวงพี่สอนว่าการถือของก็ให้เราปฏิบัติธรรมปฏิบัติดีครับ เมื่อเราทำดีแล้วของก็ไม่มีวันเสื่อมครับ การภาวนาพุทโธ หลายคนอาจเข้าใจว่าทำได้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ แต่ตามหลักกรรมฐานไม่ใช่ครับเราสามารถทำได้ตลอดโดยที่ไม่เกี่ยวกับคาบการหายใจเช่น เข้าพุทธ ออกโธ อันนี้เรากำหนดได้ฉพาะตอนนั่งสมาธิเท่านั่น แต่การกำหนดทุกอริยาบทคือให้เราว่าพุทโธ หรือน้อยที่สุดให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกลมหายใจทุกอริยาบท กินเดินนั่งนอน หรือพูดอีกอย่างคือการรู้ตัวมีสติตลอดโดยเอาองค์ภาวนาพุทโธเป็นปัจจัย โดยไม่ต้องสนใจว่าเราจะหายใจกี่ทีว่าพุท หายใจกี่ทีว่าโธ ให้พยายามนึกพยามภาวนา เพราะไอ้การกำหนดลมหายใจพร้อมว่าเข้าพุทธ ออกโธ ตลอดเวลาการทำงาน หลวงพี่ก็บอกว่าไม่มีใครทำได้หรอกครับ ทำงานก็ทำไปเรียนก็เรียนไปให้เรามีสติให้เรารู้ตัวด้วยสติว่าเราทำอะไรอยู่ถ้านึกว่าพุทโธได้ก็ว่าไปสูบบุหรี่ก็ว่าพุทโธในใจไป ไม่ต้องเกร็งว่ามากว่าน้อย ทำไปเรื่อยๆ หลวงพี่บอกอึอยู่ สังวาสอยู่ก็ทำได้ไม่บาปครับ พระอาจารย์กรรมฐานบางรูปก็เรียกว่าการกำหนดรู้อารมณ์ครับ ถ้าเราทำได้เราจะรู้ว่า มีกิเลสมีอารมณ์สุขทุกข์เข้ามาตลอด เมื่อเรารู้อารมณ์เหล่านั้นแล้วก็ให้เราพิจารณาว่ามันเป็นสิ่งไม่เที่ยงแค่การรับรู้โดยจิตซึ่งไม่ละเอียด แล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะตกไปเอง เราก็จะเกิดปิติครับ
ขอบคุณครับคุณเซนต์ปีโป้ (เรียกผิดต้องขออภัยด้วยนะครับ)
ผมว่าเจตนาคุณเซนต์ปีโป้ดีนะครับ และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การเจริญพุท-โธ นั้นไม่ได้เป็นการบังคับให้หายใจเข้าบอกว่าพุท หายใจออกบอกว่าโธ แต่เป็นการเอาสติไปจับอารมณ์ตอนหายใจ คือเมื่อร่างกายหายใจเข้าคุณก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้า ให้รู้ว่าพุท เมื่อร่างกายหายใจออก ให้รู้ว่าออก คือโธ ภาษาพระท่านเรียกว่าบริกรรมนิมิต(คือลมหายใจ)คู่กับบริกรรมคาถา (คือพุท-โธ) เพื่อให้เกิดสตินั่นเอง
แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณเป็นคนบังคับให้ร่างกายหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ แล้วคุณบอกว่าพุท กับโธ นั่นไม่ใช่ตัวสติปัฏฐานสี่หรือสมถกรรมฐานแล้วครับ เพราะนั่นคือการบังคับร่างกาย ทำเท่าไหร่จิตก็ไม่ละเอียด
การปฏิบัติตนที่ถูกต้องคือให้ระลึกรู้ว่าร่างกายกำลังทำอะไร เช่นยืน ก็ให้รู้ว่ายืน ,นอน ก็ให้รู้ว่านอน อาบน้ำก็ให้รู้ว่าอาบน้ำ ทานข้าวเพื่อให้รู้วาทานข้าว ทำไมถึงต้องให้รู้ เพราะตัวรู้คือวิชชา วิชชาเกิดเพื่อจะไปดับอวิชชา คือ เช่นเรานั่งดื่มเหล้า เรารู้ว่าเรานั่งดื่มเหล้า เรามีสติ พอมีสติ วิชชาเกิด ก็หยุดดื่มเหล้า วางแก้วลงเพราะรู้ว่าการดื่มเหล้ามันผิดศีล , เรากำลังถือปืนจะไปฆ่าคนอยู่ ก็ให้รู้ว่าถือปืน พอสติมันรู้ มันก็เกิดวิชชา เราก็ไม่นำปืนไปฆ่าใครต่อใคร เอาปืนไปเก็บ หรือไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เราก็จะไม่ไปนั่งกินเหล้า ไม่ไปถือปืนแน่นอน เพราะเราต้องระลึกรู้ได้ก่อนจะไปซื้อเหล้า ก่อนจะไปซื้อปืน ครับ นี่แหละครับคำว่าสติ ที่พระท่านพยายามสอนให้เรากำหนดให้รู้ เพื่อดับอวิชชา ดับกิเลส เพื่อตัดภพ ตัดชาติ
แต่การกำหนดรู้ระหว่างมีสังวาส (มีเพศสัมพันธ์) ก็กำหนดได้ไม่ผิดอะไร คุณเซนต์ปีโป้พูดถูกต้องแล้ว แต่หากเมื่อคุณกำหนดรู้ พุท-โธ อยู่ คุณก็รู้ว่าขณะจิตนั้นคุณกำลังให้โมหะคือความหลง กามตัณหา กามกิเลสครอบงำใจ คุณก็ต้องหยุดการมีสังวาส เพราะสติรู้ว่ากิเลสครอบงำ ถ้าใครกำหนดตัวสติ พุท-โธ แล้วมีสังวาสต่อไปได้แปลว่าสติคุณยังเกิดไม่รอบ ยังไม่เป็นวิชชา ที่ดับอวิชชาครับ แต่นั่นแค่เป็นเพียงความเคยชินที่คุณบังคับให้พุท-โธต่างหากครับ
ต้องขออภัยด้วยครับ ถ้าหากกล่าวอะไรผิดไป
ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้โปรดงดโทษความผิดทั้งหลายเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ธรรมที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเพื่อยังวิชชาให้เกิดคู่กับใจของพุทธบริษัท 4 หากผิดพลาดต่อพระธรรมคำสอนประการใด ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงงดโทษความผิดทั้งหลายเหล่านี้ด้วยเถิด