"เบื่อกับอยากเป็นของคู่กัน"
เมื่อความอยากเกิดขึ้นจิตก็ดิ้นรนขวนขวาย
หาเหตุและปัจจัยมาสนองตอบความอยาก
ถ้าสนองตอบตัณหาความอยากได้ จิตก็ยินดี
ถ้าไม่ได้ตามที่ปราถนา จิตมันก็เกิดปฏิฆะ
และเมื่อเสพในความอยากจนเต็มที่แล้ว
จิตมันก็จะเบื่อในอารมณ์นั้น ความอยากในสิ่งอื่นก็เข้ามาแทนที่
เป็นเช่นนี้เรื่อยมาคือ"อยากๆเบื่อๆแล้วก็เบื่อๆอยากๆ"
ตามกิเลสตัณหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของอารมณ์
ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์เหล่านี้ ชีวิตของเราก็จะไม่มีความสุข
เพราะเราต้องดิ้นรนขวนขวายหาปัจจัยมาสนองตอบตัณหาไม่สิ้นสุด
แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักข่มกิเลส ดับตัณหาลงได้
ใจเราก็จะไม่เร้าร้อนไม่วุ่นวายทุรนทุรายเพราะตามใจกิเลส
การที่จะข่มกิเลส ดับตัณหาลงได้นั้น ต้องอาศัยปัญญา
การคิดพิจารณา ให้เห็นทุกข์ เห็นโทษของกิเลสตัณหา
จนเกิดความเกรงกลัวและละอายในกิเลสตัณหานั้นขึ้นในจิต
มันจะเกิดความยับยั้งขึ้นในจิตทำให้เราไม่กล้าคิดและกล้าทำ
องค์แห่งคุณธรรมได้เกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว
และถ้าเราเพียงแต่คิดได้ แต่ยังทำไม่ได้นั้น
แสดงว่าเรายังอ่อนกำลัง ยังเป็นผู้พ่ายแพ้
แพ้ต่อกิเลส แพ้ต่อตัณหา ยังเป็นผู้ห่างไกลจากองค์ธรรม
เป็นได้เพียงใบลานเปล่า เป็นเช่นภาชนะที่มีรอยรั่ว
มีประโยชน์ใช้สอยเพียงน้อยนิด...เพราะคิดแต่ไม่ทำ....
:059:ขอบคุณกิเลสตัณหาที่มาเป็นแบบทดสอบอารมณ์
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-กลุ่มยุทธธรรมสัญจร
๒ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๒๒.๔๗ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย