กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => บทความ บทกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 25 ก.ย. 2552, 09:56:41

หัวข้อ: กวีลำนำ...ในยามฟ้าหม่น...
เริ่มหัวข้อโดย: รวี สัจจะ... ที่ 25 ก.ย. 2552, 09:56:41
ว่างเว้นจากการเขียนบทกวีมาหลายวันแล้ว
เนื่องจากมีภาระกิจให้ทำมากมาย ทั้งเรื่องภายในและภายนอก
วันนี้มีโอกาศได้พัก...เพราะว่าฝนตกลงมาตั้งแต่เช้าลงไปปฏืบัติโยธากรรมฐานภาคสนามกลางแจ้งไม่ได้
ฉันเช้าแล้วจึงมีเวลานั่งพักอยู่บนศาลาน้อย...นั่งมองท้องฟ้าผ่านช่องหน้าต่าง...วันนี้ฟ้าครึ้มฝนไม่เห็นแสงแดดเลย
อารมณ์ศิลปินก็บังเกิดขึ้น....นี่คือที่มาของกวีลำนำ...ในยามฟ้าหม่น...เชิญชมและอ่านได้เลย....
             :059:ในยามฟ้าหม่น :059:
   เหม่อมองฟ้า  หน้าฝน  ให้หม่นหมอง
ไร้แดดส่อง       ลงมา     ฟ้าสลัว
มีม่านเมฆ       เต็มฟ้า     พาหมองมัว
ฟ้าสลัว          ซึมเซา     ให้เศร้าใจ
  ละอองฝน      ปลิวมา     ผ่านหน้าต่าง
มาต้องร่าง       ต้องกาย    ให้หวั่นไหว
หนาวสะท้าน     ทั่วกาย     ถึงภายใน
นั่งดูใจ             ดูจิต       พิจารณา
  ธรรมชาติ       มันเป็น     อยู่เช่นนี้
ไม่ควรที่          ยึดติด      และห่วงหา
ปล่อยให้ไป    ตามสายธาร  กาลเวลา
เกิดขึ้นมา      ตั้งอยู่         แล้วดับไป
   ใจไม่ชอบ   เพราะจิต     อนิฐา
เวทนา          ในจิต        นั้นหวั่นไหว
ให้เกิดความ    รักชอบ      และพอใจ
เมื่อไม่ได้       ดังคิด       จิตขุ่นมัว
  ทุกข์เกิดจาก  อามิส       ที่ติดอยู่
เพราะลืมดู      กายใจ      ให้ถ้วนทั่ว
ขาดสติ          ลืมตน       และลืมตัว
จิตขุ่นมัว        เสพทุกข์    ไม่สุขใจ
  เพราะเกิดจาก   กัมมะ     ปลิโพธิ
หวังประโยชน์     ในงาน     นั้นเป็นใหญ่
เพราะอยากให้  งานเสร็จ    โดยเร็วไว
เมื่อไม่ได้         ดั่งคิด       จิตกังวล
  เผลอสติ       เพียงนิด     จิตเศร้าหมอง
เมื่อไตร่ตรอง    จึงเห็น       เป็นเหตุผล
ปลิโพธิ          คือใจ         ที่กังวล
อยากหลุดพ้น ต้องปล่อยวาง โดยทางธรรม
  มองให้เห็น   ให้เป็น        พระไตรลักษณ์
ให้รู้จัก           หนทาง       ที่เลิศล้ำ
และเตือนจิต     เตือนใจ      ให้จดจำ
และจงนำ       มาคิด           พิจารณา
  มองให้เห็น   ว่าเป็น         สิ่งไม่เทียง
อย่าลำเอียง  เข้าข้าง         ด้วยตัณหา
มองให้เห็น    ความเป็น      อนิจจา
ให้รู้ว่า         มันเป็น         เช่นนั้นเอง
  เพราะกังวล    ใจตน       เลยเป็นทุกข์
ไร้ซึ่งสุข       เพราะกิเลส   มันข่มเหง
ถ้ายอมมัน     ตามมัน       นั้นน่าเกรง
เช่นนั้นเอง     ทุกขัง         ดั่งที่เป็น
  เพราะยึดถือ  ยึดมั่น        เลยหวั่นไหว
จึงขุ่นใจ        เศร้าใจ        อย่างที่เห็น
อยากให้มัน    เป็นไป        ใจอยากเป็น
จนลืมเห็น     ความเป็น       อนัตตา
    อนิจจัง       ทุกขัง        อนัตตา
หลักธัมมา      ควรคิด        และศึกษา
การเกิดขึ้น      ตั้งอยู่         และลับลา
เกิดปัญญา     เข้าใจ          พระไตรลักษณ์..
        .................................
 :059:แด่อารมณ์กวีในเช้าที่ฟ้าครึ้มฝน แด่ความกังวลปลิโพธิในจิต :059:
                 รู้เห็นและเข้าใจในกฏของธรรมชาติใจก็ไม่ทุกข์
                   ด้วยความปรารถดี... รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๕ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๕๖ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
หมายเหตุ...ฝนหยุดตกแล้ว ลงไปทำงานภาคสนามได้แล้ว...


             

หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ในยามฟ้าหม่น...
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์ack01~ ที่ 25 ก.ย. 2552, 03:39:35
เพราะกังวล    ใจตน       เลยเป็นทุกข์
ไร้ซึ่งสุข       เพราะกิเลส   มันข่มเหง
ถ้ายอมมัน     ตามมัน       นั้นน่าเกรง
เช่นนั้นเอง     ทุกขัง         ดั่งที่เป็น
  เพราะยึดถือ  ยึดมั่น        เลยหวั่นไหว
จึงขุ่นใจ        เศร้าใจ        อย่างที่เห็น
อยากให้มัน    เป็นไป        ใจอยากเป็น
จนลืมเห็น     ความเป็น       อนัตตา



...กราบนมัสการขอบพระคุณพระอาจารย์ที่เมตตาสอนเรื่องการยึดติดในสิ่งต่างๆ

 และชี้ให้เห็นถึงการปล่อยวางครับ...
หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ในยามฟ้าหม่น...
เริ่มหัวข้อโดย: Lizm Club ที่ 25 ก.ย. 2552, 04:31:54
ขอบคุณสำหรับบทกวีที่ได้นำมาให้อ่านกันยังทรงคุณค่าแล้วแฝงไปด้วยสัจธรรมของการมองเห็นธรรมะ การปล่อยวาง การไม่ยึดติดกับสิ่งที่มีอยู่.......

เหมือนเดิม...........ขอบคุณค่ะ :054: :054: :054:
หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ในยามฟ้าหม่น...
เริ่มหัวข้อโดย: derbyrock ที่ 26 ก.ย. 2552, 12:07:37
มองให้เห็น    ความเป็น      อนิจจา
ให้รู้ว่า         มันเป็น         เช่นนั้นเอง

กราบพระอาจารย์ครับ กราบขอบพระคุณที่สั่งสอนครับ