กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด เส้นทางสายบุญ => เส้นทางสายบุญตามภาคต่างๆ ของไทย และเส้นทางสายบุญในต่างประเทศ => เส้นทางสายบุญภาคอีสาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ธรรมะรักโข ที่ 10 ธ.ค. 2552, 02:01:02

หัวข้อ: วัดโพธิ์ชัย อ. เมือง จ. หนองคาย
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะรักโข ที่ 10 ธ.ค. 2552, 02:01:02
 


(http://img43.imageshack.us/img43/4143/paragraph23170.jpg)
 

 

หลวงพ่อพระใส’
วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย

“หลวงพ่อพระใส” เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว
ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว ของช่างไม้
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย
เป็นพระพุทธรูปที่ชาวเมืองนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง

มีความเชื่อกันว่า หลวงพ่อพระใส ทำการหล่อในสมัยเชียงแสน
ชั้นหลังพระใสเป็นพระพุทธรูปล้านช้าง สมัยนั้นประเทศล้านช้างยังรุ่งเรืองอยู่
และพระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง
พระเจ้าแผ่นดินทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

(http://img27.imageshack.us/img27/8025/paragraph15988.jpg)

พระใส เป็นพระพุทธรูปที่หล่อคราวเดียวกันกับพระเสริม และพระสุก
และคู่เคียงกันมาเสมอ พระใสเป็นพระพุทธรูปที่ผู้หล่อประสงค์จะให้
เป็นพระสำหรับแห่มาแต่เดิม สังเกตได้จากห่วงกลม ๓ ห่วง
โตกว่านิ้วมือติดอยู่กับพระแท่น (หล่อติดกับองค์พระ)
สำหรับผูกสอดเชือกขันกับยานแห่ เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว
พระเกศเดิมซึ่งเป็นของที่มีราคามาก ได้ถูกขโมยลักเอาไป
พระเกศของพระใสที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เป็นพระเกศใหม่

ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนั้น จะมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง
ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติความเป็นมาของการหล่อพระสุก
พระเสริม และพระใส จำนวน ๒๐ ภาพ มีใจความว่า

ในรัชสมัยของ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ.๒๐๙๓-๒๑๑๕
แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคณหุต ทรงมีพระราชธิดา ๓ พระองค์
ทรงพระนามว่า สุก, เสริม และใส

(http://img682.imageshack.us/img682/6002/paragraph16482.jpg)

พระราชธิดาทั้งสามพระองค์มีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา
จึงร่วมพระทัยขอพรจากพระราชบิดา สร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์
มีข้าราชการ ชาวบ้าน และทางวัดได้ระดมช่างและคนมาช่วยกันอย่างมากมาย
ในการหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ก็มีเหตุอัศจรรย์
การหลอมทองเป็นไปด้วยความยากลำบากใช้เวลาช่วยกันสูบเตาหลอมทอง
อยู่ถึง ๗ วัน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย ล่วงเข้าวันที่ ๘ ตอนใกล้เพล
ขณะที่หลวงตากับสามเณรช่วยกันสูบลมหลอมทองอยู่
ปรากฏว่ามีชีปะขาวคนหนึ่งอาสามาช่วยงาน
หลวงตากับสามเณรหยุดพักขึ้นไปฉันเพลบนศาลา
ชาวบ้านมองเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันเททองหล่อพระพุทธรูป
แต่หลวงตากลับเห็นเพียงคนเดียว เมื่อฉันเพลเสร็จหลวงตาลงมาดู
ก็พบว่าทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้งสามเรียบร้อยแล้ว
ส่วนชีปะขาวที่มาอาสาช่วยสูบเตาหลอมทองแทนก็หายตัวไป

จนเมื่อการสร้างพระพุทธรูปเสร็จสิ้น พระราชธิดาทั้งสาม
จึงถวายนามของตนเองให้เป็นนามของพระพุทธรูป
โดย พระเสริม เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์พี่
พระสุก เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์กลาง
และ พระใส เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์สุดท้อง

พระพุทธรูปทั้งสามองค์ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์

 (http://img189.imageshack.us/img189/4861/prasai3jpg.jpg)

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างแห่งเมืองเวียงจันทน์ ก่อกบฏ
พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
เป็นแม่ทัพยกทัพไปปราบจนสำเร็จ ในครั้งนั้นจึงได้อัญเชิญ
พระพุทธรูปมาจากเมืองเวียงจันทน์จำนวนหนึ่งกลับมายังฝั่งไทย
และในจำนวนนั้นก็มี พระเสริม พระสุก และพระใส รวมอยู่ด้วย

การเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้มายังฝั่งไทย
โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควาย นำขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่
ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคง แล้วอัญเชิญมาทางลำน้ำงึมออกลำน้ำโขง
เมื่อแพล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น
บริเวณปากน้ำงึม เยื้องกับบ้านหนองกุ้งเมืองหนองคาย
(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย) ก็ได้เกิดอัศจรรย์
มีพายุใหญ่พัดแรงจัด ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น
พัดแท่นที่ประดิษฐานพระสุกจมน้ำหายไป สถานที่นั้นต่อมาจึงเรียกว่า
“เวินแท่น” ส่วนองค์พระสุกก็จมหายไปในแม่น้ำโขง
สถานที่นั้นต่อมาจึงเรียกว่า “เวินพระสุก” หรือ “เวินสุก”

 (http://img189.imageshack.us/img189/4498/p0115277pic2.jpg)

ส่วน พระเสริมและพระใส นั้น ก็สามารถล่องแพ
ข้ามมายังฝั่งไทยที่เมืองหนองคายได้อย่างปลอดภัย

โดยได้อัญเชิญ “พระเสริม” ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย
ส่วน “พระใส” ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วัดหอก่อง
หรือปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ เมืองหนองคายเช่นกัน
แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว วังหน้าในรัชกาลที่ ๔
ทรงมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญ “พระเสริม”
มาประดิษฐานยังพระบวรราชวัง หรือวังหน้า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ พระเสริมและพระใส
ลงมายังพระนคร ในการอัญเชิญครั้งนั้นปรากฏว่า
ขบวนเกวียนที่ประดิษฐาน “พระใส” จากวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ (วัดหอก่อง)
ขณะกำลังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า วัดโพธิ์ชัย ก็เกิดเหตุขัดข้อง
เกวียนไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ ท้ายที่สุดเกวียนก็หักลง เมื่อซ่อมแล้วก็หักอีก
แม้จะนำเกวียนมาเปลี่ยนใหม่แต่ไม่เป็นผล วัวลากเกวียนก็ไม่ยอมเดิน
ซึ่งแม้จะทำพิธีบวงสรวงแล้วก็ไม่สามารถเดินทางต่อได้

ดังนั้นจึงอัญเชิญพระใสขึ้นประดิษฐานที่ “วัดโพธิ์ชัย” แทน

 (http://img694.imageshack.us/img694/2889/841h.jpg)

ความอัศจรรย์ของพระใสจนได้สมญาว่า “หลวงพ่อเกวียนหัก”
หลวงพ่อพระใสก็กลายเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย
มานับแต่นั้น เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวอีสานและชาวลาว

ส่วนเกวียนที่ประดิษฐาน พระเสริม นั้นไม่มีปัญหาใดๆ
จึงสามารถอัญเชิญไปจนถึงพระนคร ไปประดิษฐานอยู่ในพระบวรราชวัง
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระเสริมจากพระบวรราชวังหรือวังหน้า
ไปประดิษฐานยัง พระวิหารวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
และประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

ชาวอีสานและชาวหนองคายมีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อพระใส
เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่กษัตริย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
ให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนเป็นสำคัญ
และจากความศรัทธาเลื่อมใสนี้
มักจะมีประชาชนมาบนบานขอพรต่อองค์หลวงพ่อพระใส
โดยส่วนใหญ่มักจะบนบานให้แคล้วคลาด เดินทางปลอดภัย
(http://img709.imageshack.us/img709/765/20071208140608img0685.jpg)
 

นอกจากนี้ ยังมีการบนบานเกี่ยวกับสุขภาพ หน้าที่การงาน
เมื่อบนบานและสัมฤทธิผลแล้วก็จะมาแก้บนในช่วงสงกรานต์
โดยนำปราสาทเงิน ปราสาททอง (ปัจจัย) โพธิ์เงิน โพธิ์ทอง ๑ คู่,
พวงมาลัย ๙ พวง, แผ่นทองเปลว ๙ แผ่น และผ้าอังสะ ๓ ผืน
มาทำการแก้บน ซึ่งจะมีพระสงฆ์พาประกอบพิธี

พิเศษที่สุด คือ การบนบานขอลูกจากหลวงพ่อพระใส
คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีลูกและขอพึ่งบารมีหลวงพ่อพระใส
จะต้องมาประกอบพิธีบนบานต่อหน้าหลวงพ่อพระใส
เตรียมขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ขันหมากเบ็ง เทียนเงิน เทียนทอง
โดยมีพระสงฆ์นำประกอบพิธี ๔ รูป

หลังจากเสร็จพิธี ในวันพระสามีภรรยาต้องนุ่งขาวห่มขาว
งดร่วมเพศเด็ดขาด จะต้องถือศีล ๘ อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีลูก
และเมื่อสัมฤทธิ์ดังประสงค์แล้ว รอให้คลอดลูกก่อน
แล้วนำลูกน้อยนั้นมาทำพิธีแก้บน โดยจะมีพระสงฆ์ ๔ รูป
นำประกอบพิธีต่อหน้าหลวงพ่อพระใสและผูกแขนทารกแรกเกิดให้

ถือว่าเป็นการปวารณาเป็นลูกของหลวงพ่อ มีข้อห้าม คือ
เด็กที่เกิดจากการบนบานขอพรจากหลวงพ่อพระใส จะเป็นเด็กซนมาก
แต่ฉลาด พ่อแม่ห้ามตีเด็ดขาด หากวันใดตีเด็ก
เด็กจะป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุทันทีและต้องมาทำพิธีขอขมาองค์หลวงพ่อ

 (http://img30.imageshack.us/img30/2294/paragraph17130.jpg)

สำหรับงานประเพณีสำคัญเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อพระใส
ชาวหนองคายจะยึดถือเอาวันสงกรานต์ของทุกปี
จัดงานสมโภชหลวงพ่อพระใส
โดยในวันที่ ๑๓ เมษายน จะเป็นวันทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระใส
ลงจากพระแท่นแห่รอบพระอุโบสถ เวียนประทักษิณ ๓ รอบ
แล้วอัญเชิญขึ้นสู่ราชรถ เป็นองค์พระประธานนำพระพุทธรูป
จากชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย
แห่ไปรอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำ เพื่อความเป็นสิริมงคล

และในวันสุดท้าย จะมีพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระใส
กลับขึ้นประดิษฐานบนพระอุโบสถเช่นเดิม
เป็นอันเสร็จสิ้นงานประเพณีสมโภชองค์หลวงพ่อพระใสในรอบปี

คาถาบูชาหลวงพ่อพระใส ตั้งนะโม ๓ จบ
อะระหัง พุทโธ โพธิชโย เสยยะคุโณ โพธิสัตโต
มหาลาโภ ปิยัง มะมะ ภะวันตุโน โหตุ สัพพะทา

 (http://img187.imageshack.us/img187/5444/2681207831831jpg198.jpg)
สงกรานต์หนองคาย ณ วัดโพธิ์ชัย                                                                                                                                                                            ขอขอบคุณที่มาจาก...http://www.agalico.com