แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - suwatchai

หน้า: [1]
1
ม็อบพระ - พระเณรวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 300 รูป ชุมนุมประท้วงเจ้าคณะจังหวัด ไม่แต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ซึ่งว่างมา 5 ปี แล้วเคลื่อนไปธ.กสิกรไทยให้ระงับการเงินของวัดทั้งหมด

ม็อบพระ-เณร วัดหลวงพ่อ โสธร กว่า 300 รูป บุกแบงก์ยื่นหนังสือให้ระงับเบิกจ่ายเงินของวัดหลังรักษาการแทนเจ้าอาวาสทำหน้าที่ครบ 5 ปี แต่เจ้าคณะจังหวัดไม่สามารถตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมาปกครองได้ ย้ำไม่ยอมรับสมภารคนนอกที่จะเสนอแต่งตั้ง เพราะพระลูกหม้อในวัดมีความรู้ความสามารถมากกว่า ด้าน "พระพรหมสุธี"เจ้าคณะภาค 12 เชื่อปัญหาไม่บานปลาย เพราะได้พูดคุยกับพระ-เณรภายในวัดจนเป็นที่เข้าใจแล้ว

เวลา 09.00 น. วันที่ 3 พ.ย. ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา จำนวนกว่า 350 รูป ออกมารวมตัวกันบริเวณวัด พร้อมกับป้ายต่อต้านเจ้าคณะปกครอง เรื่องแต่งตั้งเจ้าอาวาสที่ไม่โปร่งใส และต้องการปกป้องผลประโยชน์ของวัด จากนั้นเคลื่อนขบวนเดินเท้าจากวัดมาชุมนุมกันบริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา ฝั่งตรงข้ามสภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา เรื่องขอให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินของวัดโสธรฯ

หนังสือดังกล่าวระบุว่า ตามที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร มีผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2547 ซึ่งตามกฎมหาเถรสมาคม ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมีระยะเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น บัดนี้ครบกำหนดแล้ว แต่เจ้าคณะปกครองยังมิได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดหมดหน้าที่ลง จึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติหน้าที่แทนวัดในนามนิติบุคคล ทั้งนี้ ทางคณะสงฆ์วัดโสธรวราราม จึงขอให้ทางธนาคารระงับการเบิกจ่ายหรือการทำธุรกรรมทางการเงินจากบัญชีของวัดทุกบัญชี มิเช่นนั้นจะถือว่าทำผิดกฎหมาย จนกว่าจะแต่งตั้งผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดได้

จากนั้น นายไพศาล ปัญญาลิขิต ผจก.ธนา คาร ออกมารับหนังสือด้วยตัวเอง และกล่าวยืนยันว่าระหว่างนี้ทางธนาคารจะระงับการทำธุรกรรมทางการเงินจากบัญชีของวัดโสธรวรารามทุกบัญชี จนกว่าจะแต่งตั้งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ สร้างความพอใจให้คณะพระภิกษุสามเณรที่มาร่วมชุมนุมกันในครั้งนี้ จากนั้นทั้งหมดเดินทางกลับวัดอย่างสงบ

พระครูโสภณสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามเปิดเผยว่า เนื่องจากวัดโสธรวรารามได้ว่างตำแหน่งเจ้าอาวาสมานาน มหาเถรสมาคมจึงมีคำสั่งผ่านพระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 และเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่งตั้งพระพรหมสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 12 และกรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการแทนเจ้าอาวาสตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2547 บัดนี้ได้ครบกำหนดเวลา 5 ปีแล้ว ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 19 (พ.ศ.2536) ข้อ 4 ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ต้องดำเนินการเสนอให้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส กรณีพระอารามหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดมิให้เกิน 5 ปี แต่ปรากฏว่า พระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา มิได้ดำเนินการเสนอเจ้าอาวาสรูปใหม่ เพื่อให้เจ้าคณะปกครองดำเนินการแต่งตั้งเจ้าอาวาสตามกฎดังกล่าว ทำให้ที่ผ่านมาการปกครองวัดโสธรวรารามเกิดความเสียหายและเกิดผลเสียเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพระอารามหลวง มีองค์หลวงพ่อพระพุทธโสธรเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิก ชนทั่วประเทศ มีพระภิกษุและสามเณรอยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์สอบถามจากประชาชนทั่วไปว่าเหตุใดจึงไม่มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสให้เรียบร้อย

ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามเปิดเผยอีกว่า ดังนั้น ทางคณะผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามจึงประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และเสียงส่วนใหญ่เห็นควรให้พระปริยัติกิจวิธาน เจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และผู้ช่วยเจ้าอาวาส อาวุโส อายุ 53 ปี พรรษา 32 วิทยฐานะ น.ธ.เอก ป.ธ.4 เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ช่วยส่งเสริมให้การศึกษาของวัดจนขึ้นสู่อันดับหนึ่งของประเทศ และยังจบการศึกษาถึงระดับปริญญาโท สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและได้รับการสนับสนุนจากผู้ช่วยเจ้าอาวาส จำนวน 7 รูป และพระภิกษุสามเณร จำนวน 348 รูป จึงได้ทำเรื่องเสนอต่อเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่เจ้าคณะจังหวัดยังคงเพิกเฉย ทางคณะพระภิกษุสามเณรวัดโสธรวรารามจึงทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน โดยเจ้าคณะจังหวัด อ้างแต่รอพระผู้ใหญ่สั่งการ จนกระทั่งถึงวันที่ 31 ต.ค.แล้ว ก็ยังไม่แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามอย่างเป็นทางการ

พระครูโสภณสรกิจ กล่าวต่อว่า คณะผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุ สามเณร จึงประชุมปรึกษาหารือกันในวัด และมีมติเห็นควรให้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสร่วมกันเป็นคณะกรรมการบริหารวัด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ไปพลางก่อนจนกว่าคณะปกครองจะดำเนินการให้เรียบร้อย และหากมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่มาจากพระนอกวัด เชื่อว่าคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ภายในวัดโสธรวรารามจะไม่ยอมรับ เพราะทราบมาว่า มีความพยายามของพระผู้ใหญ่บางรูปที่จะนำเอาพระพิพิธกิจจาภิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดท่าสะอ้าน และเจ้าคณะอำเภอบางปะกง ซึ่งมีอายุมากถึง 84 ปี มาเป็นเจ้าอาวาส ทั้งที่วัดโสธรวรารามมีพระที่มีความรู้ความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เหตุใดคณะผู้ปกครอง จึงต้องแต่งตั้งพระนอกวัดที่มีความรู้ความสามารถน้อยกว่ามาเป็นเจ้าอาวาส ทำให้พระสงฆ์ภายในวัดเกิดความคลางแคลงใจ ทั้งนี้ เชื่อว่าวัดโสธรวรารามเป็นวัดที่มีรายได้มาก การแต่งตั้งเจ้าอาวาสของเจ้าคณะผู้ปกครองบางรูป จึงอาจเกี่ยวข้องกับการรักษาผลประโยชน์ของตนเองก็เป็นได้

ด้านพระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าการกระทำของพระสงฆ์วัดโสธรวรารามครั้งนี้ แม้จะไม่ผิดระเบียบของสงฆ์ แต่เป็นเรื่องไม่สมควร อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ได้ดำเนินการไปตามระเบียบของมหาเถรสมาคม เพราะเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรเป็นเจ้าอาวาสไปยังเจ้าคณะภาค 12 แล้ว และจะส่งต่อไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาต่อไป เชื่อว่าน่าจะแต่งตั้งเจ้าอาวาสแล้วเสร็จภายในไม่เกินกลางเดือนนี้

นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวถึงปัญหากรณีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามในขณะนี้ว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของมหาเถรสมาคม เป็นเรื่องระบบการปกครองของคณะสงฆ์ที่มีพระผู้ใหญ่ดูแล ตามขั้นตอนของการแต่งตั้ง ตนเป็นเพียงฆราวาส ซึ่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และมหาเถรสมาคม จะเป็นผู้พิจารณาเสนอ โดยเฉพาะวัดโสธรวราราม เป็นพระอารามหลวง ต้องเสนอผ่านทางมหาเถรสมาคม ส่วนการดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ในวัดโสธรฯ นั้น ตนมาไม่ทัน

ด้านพระพรหมสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เปิดเผยถึงกรณีคณะสงฆ์-สามเณร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จำนวนกว่า 300 รูป ได้เดินทางไปที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา ฝั่งตรงข้าม สภ. เมืองเชิงเทรา เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้จัดการธนาคาร ขอคัดค้านการเบิกจ่ายเงินของวัดเนื่องจาก วัดไม่มีผู้มีอำนาจเบิกจ่ายเงิน ด้วยผู้รักษาการวัด ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ 5 ปี ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีอะไร เป็นความเข้าใจผิด ขณะนี้เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินการชี้แจงกับคณะสงฆ์วัดโสธรวรารามแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายก็เข้าใจและยอมยุติการชุมนุมไปแล้ว ส่วนปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายเงินในช่วงที่อาตมาเข้าไปดูแลรักษาการวัดก็ไม่เคยมีปัญหา ด้วยทำตามขั้นตอนและระเบียบทุกประการ สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ วัดโสธรวรารามมีปัจจัยจากการทำบุญเข้าวัดเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้การเบิกจ่ายเงินต้องใช้อย่างระมัดระวัง ตรงนี้ คงทำให้พระลูกวัดเกรงว่าถ้าอาตมาหมดวาระรักษาการลงและไม่มีใครเข้ามาดูแลทันที อาจมีผู้ไม่หวังดีแอบอ้างการเบิกจ่ายเงินอย่างไม่เหมาะสมก็ได้

"สำหรับเรื่องที่อาตมาดำรงตำแหน่งจะครบวาระ 5 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ อาตมาขอยืนยันว่าจะไม่มีการต่ออายุรักษาการเจ้าอาวาสอีก สำหรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดรูปใหม่ เป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดฉะ เชิงเทรา จะเป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่มีความเหมาะสม เสนอไปยังเจ้าคณะภาค ก่อนเสนอตามลำดับไปที่เจ้าคณะหนใหญ่ ก่อนนำเสนอที่ประชุมมหาเถร ฯ พิจารณาแต่งตั้งต่อไป" พระพรหมสุธีระบุ

ด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวในเรื่องเดียวกันว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา รายงานมาถึงตน ทราบว่า พระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เข้าไปชี้แจงให้พระภิกษุ-สามเณรที่มาชุมนุมเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินของวัด ส่วนการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ แทนพระพรหมสุธีในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส ที่จะดำรงตำแหน่งครบ 5 ปี ว่าเป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการส่งรายชื่อมายังสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมแต่อย่างใด สำหรับขั้นตอนของการเบิกจ่ายเงินของวัด เจ้าอาวาสจะเป็นผู้มีอำนาจเต็มแต่งตั้งไวยาวัจกรเป็นผู้แทนดำเนินการเบิกจ่ายเงินของวัด โดยมีคณะกรรมการวัดเป็นผู้ลงมติ ส่วนรักษา การเจ้าอาวาส ก็สามารถมีอำนาจเบิกจ่ายเงินของวัดได้เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส แต่โดยธรรมเนียมมารยาทแล้ว ผู้รักษาการแทนจะไม่ตั้งเบิกจ่ายเงินของวัดโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะไม่ทำรายงานเสนอให้ที่ประชุมมหาเถรฯ ทราบ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในของวัดเท่านั้น และดำเนินการแก้ปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว



2


คณะสงฆ์วัดสันติวิเวก บ้านดอนคำ ต.เมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ได้แจ้งว่า พระมงคลญาณเถร หรือ หลวงปู่มา ถาวโร ประธานสงฆ์แห่งวัดสันติวิเวก พระเกจิอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานชื่อดังแห่งภาคอีสาน ที่ผู้คนต่างรู้จักดี จนได้รับการขนานนามว่า เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำชี ได้มรณภาพอย่างสงบ ด้วยโรคชรา สิริอายุ 98 ปี เมื่อเวลา 10.59 น. วันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ก่อนหน้านี้ หลวงปู่มาได้เข้ามาดูแลการก่อสร้างศาลาทรงไทยแบบล้านนา จำนวน 2 หลัง ทำให้ต้องตากแดดและหายใจเอาฝุ่นละอองจากสิ่งก่อสร้างเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งขาดการพักผ่อน จนเป็นสาเหตุทำให้หลวงปู่มา ซึ่งชราภาพมากแล้วต้องอาพาธ

คณะศิษยานุศิษย์ได้นำเข้ารักษาตามโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ท่านต้องการกลับวัด เพื่อให้งานที่ค้างอยู่แล้วเสร็จ เป็นเหตุให้อาการอาพาธทรุดหนักอย่างรวดเร็ว กระทั่งมรณภาพในที่สุด ท่ามกลางความเศร้าสลดของคณะศิษยานุศิษย์ ต่อมา นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมคณะศิษย์จากหลายจังหวัด ได้เข้าไปกราบเคารพศพ เวลา 15.00 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพหลวงปู่มา ทั้งนี้ คณะสงฆ์วัดสันติวิเวก แจ้งว่าจะไม่ประกอบพิธีฌาปนกิจแต่อย่างใด แต่จะนำศพ หลวงปู่มาบรรจุไว้ในโลงแก้ว ให้สาธุชนได้สักการะต่อไป

สำหรับประวัติ หลวงปู่มา มีนามเดิมว่า มา วรรณภักดี เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2456 ณ บ้านโนนคำ ต.เมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด อายุครบ 20 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2476 ณ วัดดอนประดิษฐาราม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพระครูอุตตรานุรักษ์ (อินทร์ อินทสาโร) วัดกลาง จ.ร้อยเอ็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2431 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติวิเวก พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในราชทินนามที่ พระมงคลญาณเถร กล่าวได้ว่า หลวงปู่มา เป็นพระที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดในสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน





3
เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2552 คณะแพทย์ที่ทำการรักษา พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้นำประกาศมาติดไว้บริเวณกุฏิของหลวงพ่อคูณโดยระบุว่านับตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ขณะหลวงพ่อจำวัด นอนพักผ่อนร่างกาย ห้ามเข้า ห้ามปลุก และห้ามโทรศัพท์เข้าไปในห้อง เพื่อปลุกเรียกโดยเด็ดขาด ขณะกราบนมัสการหรือพบ ห้ามถ่ายรูปและใช้แฟลชโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายต่อสายตา ห้ามใช้ปากกาเมจิกเพื่อให้หลวงพ่อเซ็นหรือเจิมวัตถุมงคลโดยเด็ดขาด เนื่องจากกลิ่นเหม็นในสารเคมีจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหลวงพ่อ และมีข้อเตือนอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวหรือรายได้พิเศษส่วนตัวจนลืมนึกถึงสุขภาพร่างกายของหลวงพ่อ ถ้ารักหลวงพ่อจริงอย่าทำเด็ดขาด

นอกจากนี้ยังมีประกาศข้อความร่วมมือปฏิบัติอีก 1 ฉบับ โดยระบุว่า

เข้าพบหลวงพ่อภายในห้องพักส่วนตัวไม่เกิน 8-10 คน รวมทั้งลูกศิษย์ใกล้ชิดและห้ามนั่งนาน เมื่อเข้าพบในห้องส่วนตัว ขอให้นั่งห่างจากหลวงพ่อ 1-2 เมตร พูดดังได้ แต่อย่าเข้าใกล้จนเกินไป

ท่านที่เป็นโรคติดต่อเช่นไข้หวัด ไอ โรคปอด โรคคัน หรือโรคใด ๆ โดยเฉพาะผู้ที่แต่งกายไม่สะอาดห้ามเข้าโดยเด็ดขาด   


ด้าน พญ.ต้องตา ชนยุทธ ผอ. โรงพยาบาลด่านขุนทด เปิดเผยถึงการนำประกาศมาติดเพื่อขอความร่วมมือว่าแม้ขณะนี้โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังไม่กลับมาแพร่ระบาดอีกแต่ต้องป้องกันไว้ก่อน โดยเฉพาะหลวงพ่อคูณ ต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้น  เบื้องต้นต้องมีระเบียบข้อห้าม เพื่อเป็นการป้องกัน หากจำเป็นต้องเข้าไปกราบใกล้ ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไอ จาม ถ้าเป็นไปได้ควรงดเข้านมัสการโดยเด็ดขาด.



4

สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบ ๆ กับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดา ก้าวลงจากรถไฟในชานชาลาสถานีเมืองบอสตัน

ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่าสามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอก และไม่น่าจะมีธุระอะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้

หล่อนขมวดคิ้ว

"เราต้องการพบท่านอธิการบดี" สามีกล่าวนุ่มนวล

"ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน" เลขาฯ สะบัดเสียงเล็กน้อย

"งั้นเราจะรอ" ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้ และกลับไปเอง

...แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...

เลขาฯ สาวเริ่มไม่แน่ใจจึงเข้าไปเรียนท่านอธิการบดี

"พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียว แล้วก็จะกลับ" หล่อนอธิบาย

ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็พยักหน้าแบบเสียไม่ได้ ความจริงแล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการบดีจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร? ... แต่ก็เถอะนะ ท่านคิด ... ดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ให้ใครต่อใครมาเห็น

ท่านเชิดหน้าอย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่

ภรรยากล่าวขึ้น "ลูกชายของเราเคยเรียนในฮาร์วาร์ด 1 ปี เขารักฮาร์วาร์ดมาก และเขาก็มีความสุขที่นี่อย่างยิ่ง แต่เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต  สามี กับดิฉันจึงอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้


ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมกับคำพูดเหล่านั้นแต่อย่างใด

"คุณผู้หญิง เราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ดแล้วตายไปหรอกนะ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่"

" โอ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอธิการบดี" ภรรยารีบอธิบาย "เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น แต่เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก"

ท่านอธิการกรอกตาไปมา เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้ายกับสูทบ้านนอก

"สร้างตึก! พวกคุณรู้ไหมว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่ง

คุณรู้ไหม?...เราใช้เงินไปมากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ในตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่
"

ภรรยาเงียบไปครู่ใหญ่

ท่านอธิการบดีรู้สึกโล่งอก ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็จะต้องถูกกำจัดให้พ้นไปเสียที

แล้วภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆว่า

"ในการสร้างมหาวิทยาลัย ใช้เงินแค่นี้เองน่ะหรือ?

แล้วทำไมเราไม่สร้างมหาวิทยาลัยของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ?
"

สามีผงกศีรษะ

สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด!

จากนั้น...นายและนางลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ก็เดินทางไปยังพาโลอัลโตในแคลิฟอร์เนีย ที่ๆ ต่อมา...พวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชายที่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณค่า

...........................................................................

.......
*
*
นี่คือ...ประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Stanford *ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคู่แข่งของมหาวิทยาลัย Harvard 

จะเห็นได้ว่า...มันสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงแค่

**เปลือกนอก** เท่านั้น
[/b]

5
มีมารน้อยสามตน แอบมาขโมยความสุขของมนุษย์ เอาไปแล้วก็ปรึกษากันว่าจะเอาไปซ่อนที่ไหนดี

ตนแรกก็ว่าควรเอาไปซ่อนที่ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก

แต่มารน้อยตนที่ 2 ว่าเพื่อนเอ๋ย มนุษย์นั้นไม่กลัวความสูง แต่กลัวหายใจไม่ออก เพราะสังเกตว่ามนุษย์ดำน้ำได้นิดเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาแล้ว เพราะกลัวหายใจไม่ออก แต่บนภูเขาอากาศดี  มนุษย์ชอบไปเที่ยวภูเขา เพราะฉะนั้น เอาไปซ่อนไว้ใต้บาดาลดีกว่า

มารน้อยตนที่ 3 แย้งว่าอย่าเลยเพื่อนเอ๋ย มนุษย์มันเก่ง สร้างเครื่องมือหาของในทะเล ในอากาศได้ เดี๋ยวมันก็หาเจอ

แต่สังเกตได้ว่านัยน์ตามนุษย์มองไปข้างนอก หูก็ชอบฟังเสียงข้างนอก ชอบไปเที่ยวข้างนอก เราควรแอบเอาไปซ่อนไว้ในใจมันดีกว่า มนุษย์หาไม่เจอแน่ ๆ เพราะว่ามนุษย์ชอบหาความผิดของคนอื่น ไม่ชอบขัดใจตัวเอง ไม่ชอบดูจิตใจของตัวเอง มารน้อยทั้ง 3 ตน ก็ตกลงความเห็นเป็นเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่นั้นมา มารน้อยก็เอาความสุขของมนุษย์มาซ่อนไว้ที่ใจ

มนุษย์ผู้โง่เขลามัวแต่ออกไปหาความสุขที่อื่น ที่ภูเขา ที่ชายทะเล ที่คลับ ที่ร้องเพลง จึงหาความสุขไม่พบ ต้องออกไปข้างนอกหาความสุขในที่ผิด ๆ ตลอดมา

อนึ่ง คนที่ไปเที่ยวเธคเที่ยวคลับกินเหล้า เพราะว่าเขามีทุกข์ จึงต้องออกไปหาความสุขมากลบเกลื่อน มาเฉลี่ยเพื่อให้ทุกข์นั้นน้อยลง

แต่พอเมาแล้วกลับบ้าน หายเมาตื่นเช้ามา ทุกข์นั้นก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม โดยหารู้ไม่ว่าความสุขที่เฝ้าติดตามเฝ้าหา อยู่ที่ใจตัวเองนั่นเอง

ใยต้องออกไปหาความสุขที่อื่น .............ต่อให้หาเท่าไหร่
แต่ใจยังร้อนรุ่ม ไม่สงบ ก็หาสุขนั้นไม่พบหรอก.........



6
1.ขโมยไม่กล้าขึ้นบ้านเพราะคนสูบบุหรี่จะไออยู่ตลอดเวลา ขโมยจึงคิดว่าเจ้าของบ้านยังไม่นอน


2.หมาไม่กล้ากัด เพราะคนสูบบุหรี่ร่างกายไม่แข็งแรงต้องอาศัยไม่เท้าคอยพยุงตัวอยู่ตลอดเวลา หมากลัวไม้เท้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้


3.ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแก่ เพราะคนที่สูบบุหรี่มักจะตายก่อนแก่


4. ประหยัดในการซื้อน้ำหอม เพราะคุณจะมีกลิ่นตัวที่หอม ซึ่งเป็นกลิ่นที่คุณชอบ ติดตลอดเวลา


5. คุณจะได้เทรนด์สีของฟันใหม่ เป็นสีเทา-ควันบุหรี่ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม


6. นิ้วคุณจะไม่รู้สึกเจ็บเนื่องจากคีบบุหรี่เป็นประจำ จนทำให้นิ้วด้าน ( กลาง-ชี้)


7. บ้านคุณจะปลอดภัยจากการคุกคามของยุง ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อชิลส์ท๊อก


8. เมื่อถึงระยะสุดท้ายของชีวิต คุณจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจะไม่มีใครเข้ามายุ่งกับคุณเลย แม้แต่ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็ตาม คุณจะเป็นคนที่สังคมรังเกลียด เหมาะมาก สำหรับผู้ที่ชอบสันโดษ หรือมีโลกส่วนตัว



7
 

อันสงครามนั้น เป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ เป็นแหล่งแห่งความเป็นความตาย เป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่หรือดับสูญ จักไม่พินิจพิเคราะห์มิได้ ฉะนั้น พึงวิเคราะห์จากห้าเรื่อง นำมาเปรียบเทียบเพื่อประเมิน ให้ถ่องแท้ในสภานะการณ์หนึ่งคือคุณธรรม สองคือลมฟ้าอากาศ สามคือภูมิประเทศ สี่คือแม่ทัพ ห้าคือกฎระเบียบ
     
ที่ว่าคุณธรรมคือ สิ่งที่ทำให้ทวยราษฎร์และเบื้องบนมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ร่วมเป็นก็ได้ ร่วมตายก็ได้ ทวยราษฎร์มิหวั่นอันตราย
     
ที่ว่าล้มฟ้าก็คือสว่างหรือมืด หนาวหรือร้อน ฤดูนี้หรือฤดูนั้น

ที่ว่าภูมิประเทศ ก็คือ สูงหรือต่ำ ใกล้หรือไกล คับขันหรือราบเรียบ กว้างหรือแคบ เป็นหรือตาย     

ที่ว่าแม่ทัพ ก็คือ สติปัญญา ศรัทธา เมตตา กล้าหาญ เข้มงวด

ที่ว่ากฎระเบียบ ก็คือ ระบบจัดกำลัง ระบบยศตำแหน่ง ระบบพลาธิการ
     
ทั้งห้าเรื่องนี้ แม่ทัพพึงรู้แจ้ง ผู้รู้จักชนะ ผู้ไม่รู้จักไม่ชนะ ในสถานการณ์ กล่าวคือ เจ้านายมีคุณธรรมหรือไม่? แม่ทัพสามารถหรือไม่? ฟ้าดินอำนวยหรือไม่? วินัยเข้มงวดหรือไม่? กองทัพเข้มเข็งหรือไม่? ทหารฝึกดีหรือไม่? การรางวัลลงโทษแจ่มชัดหรือไม่? เรารู้ฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะได้จากนี้ แม่ทัพใดเชื่อแผนศึกเรา ใช้ก็จักชนะ ให้เอาตัวไว้ แม่ทัพใดไม่เชื่อแผนศึกเรา ใช้ก็จักแพ้ ให้ปลดออกไป เมื่อการประเมินผลดีเป็นที่รับฟัง ก็ให้สร้างพลานุภาพขึ้นเพื่อเป็นส่วนช่วยแผนศึก ที่ว่าพลานุภาพก็คือการปฎิบัติการตามสภาพอันจะก่อให้เกิดผลนั่นเอง
     
อันสงครามนั้น คือการใช้เล่ห์เพทุบาย ฉะนั้น รบได้ให้แสดงว่ารบไม่ได้ จะรุกให้แสดงไม่รุก ใกล้ให้แสดงว่าไกล ไกลให้แสดงใกล้ ให้ล่อด้วยผลประโยชน์ ให้ชิงเมื่อระส่ำระสาย ข้าศึกแน่นให้เตรียมรับ ข้าศึกแข็งให้หลีกเลี่ยง ข้าศึกโกรธง่ายให้ก่อกวน ข้าศึกยโสให้เหิมเกริม ข้าศึกสบายให้เหนื่อยล้า ข้าศึกกลมเกลียวให้แยกสลาย ให้จู่โจมเมื่อไม่ระวัง ให้รุกรานเมื่อไม่คาดคิด นี่คืออัจฉริยะของนักการทหาร อันจักกำหนดล่วงหน้ามิได้
     
การประเมินศึกในศาลเทพารักษ์ก่อนรบบ่งบอกชัยชนะ เพราะคำนวณผลได้มากกว่า การประเมินผลในศาลเทพารักษ์ก่อนรบบ่งบอกไม่ชนะ เพราะคำนวณผลได้น้อยกว่า คำนวณผลได้มีมากก็จะชนะ คำนวณผลได้มีน้อยก็แพ้ ถ้าไม่คำนวณก็จักไม่ปรากฏผล เราพิจารณาจากนี้ ก็ประจักษ์ในชัยชนะหรือพ่ายแพ้แล้ว
 
บทวิเคราะห์

บทที่1 ซุนวูได้อธิบายถึงความสำคัญของการค้นคว้าและการวางแผนสงคราม ตลอดจนได้วิเคราะห์เงือนไขการทำสงครามของคู่ศึก วินิจฉัยความมีชัยหรือพ่ายแพ้ และปัญหาบทบาทการบัญชาการของแม่ทัพในสง ครามเป็นต้น อันเรียกว่าได้เป็นปัญหาพื้นฐานของสงครามไว้อย่างมีเอกลักษณ์ของตนเอง
     
ซุนวูได้กล่าวเป็นคำแรกในบทแรกแห่งตำราพิชัยสงครามของตนว่า “อันการสงครามนั้น เป็นเรื่องสำคัญของชาติ เป็นแหล่งแห่งความเป็นความตาย เป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่หรือดับสูญ จักไม่พินิจพิเคราะห์ไม่ได้” ซุนวูได้เน้นเป็นพิเศษในประเด็นการเปิดฉากการสงครามว่า จะต้องวิเคราะห์เงือนไขต่าง ๆ ของคู่ศึกและค้นคว้ากำหนดแผนการรบ ซุนวูเห็นว่าจะต้องวิเคราะห์และเปรียบเทียบทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง จาก “คุณธรรม ลมฟ้า อากาศ ภูมิประเทศ แม่ทัพ กฎระเบียบ” อันเป็น 5 เรื่อง “เจ้านายมีคุณธรรมหรือไม่ แม่ทัพสามารถหรือไม่” “ฟ้าดินอำนายหรือไม่” “วินัยเข้มงวดหรือไม่” “กองทัพเข้มเเข็งหรือไม่” “ทหารฝึกดีหรือไม่” และจากนี้จะสามารถคาดคะเนถึงความมีชัยและพ่ายแพ้ของสงครามได้ จะเห็นได้ว่าซุนวูได้สร้างการวางแผนสงครามอยู่บนพื้นฐานของการยึดถือสภาพความเป็นจริงหรือวัตถุนิยมแบบเรียบง่าย แตกต่างกับขั้นรากเหง้ากับการวางแผนการรบโดยอาศัยการเสี่ยงทายเพื่อให้รู้ผลแพ้ชนะของสงครามแบบงมงาย อันเป็นวิธีการที่มิได้อยู่บนพื้นฐานและคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
     
ในการอธิบายเงื่อนไขแห่งชัยชนะนั้น ซุนวูได้ยกเอา “คุณธรรม” มาไว้เป็นอันดับต้นของ “5 เรื่อง” เห็นว่าการที่กลุ่มผลประโยชน์ที่เกิดใหม่จะช่วงชิงให้ได้มาซึ่งชัยชนะของสงครามนั้น ต้องทำให้ได้ถึงขั้น “ทวยราษฎร์และเบื้องบนมีเจตนารมณ์ร่วมกัน” ดังนี้ จึงจะสามารถทำให้ราษฎรและไพร่ผล “ร่วมเป็นก็ได้ ร่วมตายก็ได้ มิหวั่นอันตราย"

การถือเอา “คุณธรรม” “ลมฟ้าอากาศ” “ถูมิประเทศ” “แม่ทัพ” “กฎระเบียบ” เป็นเงื่อนไขแห่งชัยชนะ จะขยายบทบาทของแม่ทัพอย่างไรในวิถีดำเนินของสงคราม  เป็นเนื้อหาสำคัญประการหนึ่งที่ซุนวูได้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ เขาเน้นว่าเมื่อแผนศึกได้กำหนดลงไปแล้ว แม่ทัพก็จะต้อง “ปฏิบัติตามสถาพอันจะก่อให้เกิดผล” เพื่อสร้างพลานุภาพอันเป็นผลดีแก่สงครามขึ้น
     
ซุนวูได้เสนอว่า”อันสงครามนั้นคือการใช้เล่ห์เพทุบาย” ซึ่งเป็นความเห็นในแง่ “การศึกมิหน่ายเล่ห์” เรียกร้องให้แม่ทัพสันทัดในการใช้มาตรการต่าง ๆ นานาปกปิดความมุ่งหมายของตนหลอกล่อข้าศึกให้ฉงน สร้างความเข้าใจผิดและการคิดไม่ถึงแก่ฝ่ายตรงข้าม เพื่อที่จะ “ให้จู่โจมเมื่อไม่ระวัง ให้รุกรบเมื่อไม่คาดคิด”  “รุกกระหน่ำข้าศึกอย่างมิรั้งรอ”
     
การคำนวณศึกก่อนทำสงครามนั้น ต้องบ่งบอกถึงชัยชนะหรือแพ้ก่อน ที่ว่าได้ชัยชนะเพราะว่าประเมินแล้วผลได้มากกว่า ที่ว่าแพ้เพราะประเมินแล้วผลได้มีน้อยกว่า ต้องประเมินให้รู้ผลแพ้ชนะก่อนจึงค่อยรบ
     
การประเมินศึกนี้  ถือกันว่าเป็นแม่บทของ “ตำราพิชัยสงความซุนวู” 
 
บทที่ 2: การทำศึก

อันหลักแห่งการบัญชาทัพนั้น ต้องใช้รถเร็วพันคัน รถหุ้มหนังพันคัน พลรบสิบหมื่น ขนเสบียงพันลี้ ค่าใช้จ่ายในและนอกประเทศ ค่าใช้จ่ายการทูต ค่าซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ ค่ารถรบเสื้อเกราะ ต้องสิ้นเปลืองวันละพันตำลึงทองดังนี้ จึงจะเคลื่อนพลสิบหมื่นออกรบได้
     
เมื่อรบพึงชนะเร็ว ยืดเยื้อกำลังก็เปลี้ยขวัญทหารก็เสีย ตีเมืองจักไร้พลัง ทำศึกนอกประเทศนาน ในประเทศจักขาดแคลน เมื่อกำลังเปลี้ยขวัญทหารเสีย สูญสิ้นทั้งไพร่พลและเศรษฐกิจ เจ้าครองแคว้นอื่น จักฉวยจุดอ่อนเข้าบุกรุก แม้จะมีผู้เยื่ยมด้วยสติปัญญาก็สุดจะแก้ไขให้กลายดี

เคยฟังว่าทำศึกพึงชนะเร็วแม้จะไม่ดีนัก แต่ไม่เคยเห็นว่ามีการทำศึกที่ชาญฉลาดทว่าต้องยืดเยื้อ ส่วนที่ว่าทำศึกยืดเยื้อเป็นผลดีแก่ประเทศชาติ ก็ไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น ผู้มิรู้ผลร้ายแห่งการทำศึกอย่างถ่องแท้ ย่อมไม่สามารถรู้ผลดีแห่งการทำศึกอย่างถ่องแท้ ได้เช่นกัน      

ผู้สันทัดในการบัญชาทัพ จักเกณฑ์พลมิซ้ำสอง ส่งเสบียงมิซ้ำสาม ใช้ยุทโธปกรณ์ประเทศตน เอาเสบียงจากข้าศึก อาหารของกองทัพจึงพอเพียง

ประเทศชาติยากจนเพราะส่งเสบียงไกลให้กองทัพ ส่งเสบียงไกล ราษฎรต้องลำเค็ญ ใกล้กองทัพของจักแพง ของแพงทรัพย์สินราษฎรจักขอดแห้ง เมื่อพระคลังร่อยหรอ ก็เร่งรีดภาษีไพร่พลสูญเสีย ทรัพย์สินสิ้นเปลือง ทุกครัวเรือนในประเทศจึงว่างเปล่า สมบัติราษฎรต้องสูญไปเจ็ดในสิบส่วน ทรัพย์สินของหลวงรถรบเสียหายม้าศึกอ่อนเปลี้ย เสื้อเกราะและเกาทัณฑ์ ของ้าวและโล่ดั้ง วัวควายและรถสัมภาระ ก็สูญไปหกในสิบส่วน

ฉะนั้น แม่ทัพผู้มีสติปัญญา พึงหาอาหารจากข้าศึก เอาข้าวข้าศึกหนึ่งจง เท่ากับของเราสิบจง เอาอาหารสัตว์หนึ่งสือ เท่ากับของเรายื่สิบสือ
     
ฉะนั้น เมื่อจะเข่นฆ่าข้าศึก พึงให้ไพร่พลโกรธแค้น เมื่อจักกวาดต้อนสินศึก พึงตั้งรางวัลไพร่พล ฉะนั้น ในศึกรถรบ เมื่อยึดรถรบข้าศึกได้กว่าสิบคัน พึงรางวัลผู้ยึดได้ก่อน แล้วให้เปลี่ยนธงบนรถ ขับร่วมในขบวนเรา พึงเลี้ยงดูเชลยให้ดี นี่ก็คือที่ว่ารบชนะข้าศึก เรายิ่งเข้มแข็ง
     
ฉะนั้น ทำศึกจึงสำคัญที่รบเร็ว ใช่สำคัญที่ยืดเยื้อ
     
ฉะนัน แม่ทัพผู้รู้การศึก จึงเป็นผู้กุมชะตากรรมของทวยราษฎร์ เป็นผู้บันดาลความสงบสุขหรือภยันตรายของประเทศชาติ
 
บทวิเคราะห์

ในบทนี้ ซุนวูได้เสนอความคิดรบชนะรวดเร็วที่ว่า “ทำศึกจึงสำคัญที่รวดเร็ว ใช่สำคัญที่ยืดเยื้อ” โดยเน้นหนักเริ่มต้นไปจากความสัมพันธ์ซึ่งต้องพึงพาอาศัยในระหว่างกำลังคน กำลังวัตถุและกำลังทรัพย์ อันนับเป็นการแสดงออกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งการใช้ทัศนะวัตถุนิยมเรียบง่ายของเขาไปค้นคว้าสงคราม
     
ในยุคที่ซุนวูดำรงชีวิตอยู่ กำลังการผลิตของสังคมต่ำมาก การคมนาคมขนส่งไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบวกกับขนาดของสงครามได้ขยายใหญ่ขึ้น เพืยงแต่ขยับตัวก็ “ต้องสิ้นเปลืองวันละพันตำลึงทอง” ถ้าหากปล่อยให้ยือเยื้อไปก็จะ “สูญสิ้นทั้งไพร่พลและเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานั้น แคว้นต่าง ๆ กำลังผนวกดินแดนกลืนกินกันอย่างดุเดือด ถ้าหากสงครามยืดเยื้อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะเกิดสถานการณ์อันตรายซึ่ง “เจ้าครองแคว้นอื่นจักฉวยโอกาสเข้าบุกรุก” ได้ทุกเวลา ในสถาพเช่นนี้การที่ซุนวูคิดที่จะชนะเร็วก็มีเหตุผลที่แน่นอนของเขาอยู่ อย่างไรก็ดี การรบชนะเร็วหรือการรบชนะช้าก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราประเมินไว้แล้วว่า ฝ่ายเราควรจะทำอย่างไรกับสงครามให้มีประโยชน์กับเราให้มากที่สุด
     
เพื่อแก้ความขัดแย้งระหว่างความต้องการของสงครามและความยากลำบากในการส่งกำลังบำรุงของแนวหลัง ซุนวูได้เสนอหลักการ “เอาเสบียงจากข้าศึก” ซึ่งก็คือการช่วงชิงเพื่อก่อปัญหาการส่งกำลังบำรุงในประเทศข้าศึกนั้นเอง ในขณะเดียวกัน เขายังเสนอความคิด “รบชนะข้าศึก เรายิ่งเข้มแข็ง” มีความเห็นว่าควรจะให้รางวัลแก่ไพร่พล ปฏิบัติต่อเชลยข้าศึกด้วยดี และใช้สินศึกมาเสริมเพิ่มกำลังของตนเองให้ใหญ่โตขึ้น ความคิดและหลักการเหล่านี้ ล้วนแต่มีข้อดีที่จะนำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
     
ในตอนสุดท้ายของบทนี้ ซุนวูได้เน้นบทบาทอันใหญ่หลวงของแม่ทัพ นับว่าถูกต้อง แต่การที่เขาขยายบท บาทของ “แม้ทัพผู้รู้การศึก” ไปถึงขั้นว่า “เป็นผู้กุมชะตากรรมของทวยราษฎร์ เป็นผู้บันดาลความสุขหรือภยันตรายของประเทศชาติ” โดยไม่เห็นบทบาทของไพล่พลและทวยราษฎร์นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นจุดอ่อน และเป็นการสะท้อนออกของทัศนะประวัติศาสตร์ที่ถือวีรชนเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างของเขา อันไม่ตรงกับความเป็นจริง



8
บทความ บทกวี / เรื่องของวาสนา...
« เมื่อ: 05 พ.ย. 2552, 12:38:39 »
ภาษาไทยของเรานั้น ส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาบาลีสันสกฤตมากกว่าภาษาอื่น สังเกตได้จากคำศัพท์ที่ใช้สื่อสารกันอยู่ในชีวิตประจำวันจะมีภาษาบาลีหรือสันสกฤตมากเป็นพิเศษ บางคำเรานำมาใช้นานจนชินหูชินตา จนลืมว่าเป็นภาษาต่างชาติไปเลยก็มี

ชื่อและนามสกุลของคนไทย ส่วนมากมีรากมาจากภาษาสองภาษาดังกล่าวข้างต้นทั้งนั้น  ขอยกชื่อคนดังมาเป็นตัวอย่างสักกรณี " บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่มีคำไทยสักคำเลย " บรรหาร " เป็นคำสันสกฤต " ศิลป" ก็สันสกฤต " อาชา"  เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต หรืออย่างชื่อ " ทักษิณ ชินวัตร"  ชิน" เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต นอกนั้นเป็นคำสันสกฤต

ถามว่าทำไมคำบาลีและสันสกฤต จึงมามีอยู่ในภาษาไทยมากมายปานนั้น คำตอบก็คือเพราะทั้งสองภาษานี้ติดมากับพระพุทธศาสนา ซึ่งแพร่มาสู่ภูมิภาคแถบนี้ เมื่อคนไทยรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติ ภาษาทั้งสองนี้ก็เลยมาปะปนกับภาษาไทยด้วย

เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะทราบว่าเดิมทีพระพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน (เถร วาท) ซึ่งใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาศาสนาแพร่เข้ามาก่อนในราวพุทธศตวรรษที่ 3 ในยุคนั้นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาอยู่ที่จังหวัดนครปฐมในปัจจุบันนี้

ต่อมาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานตามเข้ามา มหายานถือภาษาสันสกฤตเป็นภาษาศาสนา คนไทยก็เลยได้อิทธิพลจากภาษาสันสกฤตอีก กอปรกับศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซึ่งใช้ภาษาสันสกฤตก็แพร่เข้ามาสมทบอีกด้วย ภาษาสันสกฤตจึงหยั่งรากลึกยิ่งขึ้น

แม้ว่าจากสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระพุทธศาสนาที่ประชาชนคนไทยนับถือจะเป็นฝ่ายหินยาน (เถรวาท) และภาษาบาลีเองพระภิกษุสามเณรก็เล่าเรียนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม ยังมีอิทธิพลต่อภาษาไทยน้อยกว่าภาษาสันสกฤตอยู่ดี

พูดง่าย ๆ ก็คือว่าภาษาสันสกฤตครองความเป็นแชมป์ว่าอย่างนั้นเถอะ

การนำภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาของตนของคนไทย มิได้เอามาทั้งดุ้น หากเปลี่ยนแปลงรูปและเสียง พร้อมทั้งเปลี่ยนความหมายด้วยในบางครั้ง ยกตัวอย่าง เช่นคำข้างต้น

"วาสนา" เป็นทั้งบาลีและสันสกฤต อ่าน "วา-สะ-นา" ไทยเราอ่านเพื่อให้เข้ากับหูไทยๆ ว่า "วาด-สะ-หนา" ความหมายเดิม หมายถึง "สิ่ง" ที่สั่งสมอยู่ในจิตสันดานยาวนานมาก นอนเนื่องอยู่ภายในจิตเราแน่นแฟ้นและลึกมาก จนแกะไม่ออก เทียบกับคำไทยว่า "สันดาน" นั่นแหละ

ในทางพระพุทธศาสนา "วาสนา" มิใช่เรื่องดีนัก ว่ากันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงละวาสนาได้ พร้อมกับกิเลสทั้งปวง พระอรหันต์นั้นละได้เฉพาะกิเลสเท่านั้น ไม่สามารถละวาสนาได้ ว่ากันอย่างนั้น

แต่ "วาสนา" ในความหมายไทยๆ กลับเป็นเรื่องดี คือหมายถึง " บุญญาบารมี" บางทีก็พูดควบคู่กันว่า "บุญวาสนา" ใครที่ประสบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต คนเขากล่าวขวัญถึงว่า "เขา(หรือเธอ)มีบุญวาสนาหรือ  "เป็นวาสนาของเขา (หรือเธอ) น่ะ" อะไรทำนองนี้

มีเรื่องเล่าในแวดวงผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่ 2 เรื่อง แสดงถึงอิทธิพลของวาสนา... 

เรื่องแรกคือเรื่อง " พระปิลินทวัจฉะ" ท่านผู้นี้มีคำพูดติดปากว่า "วสลิ" (แปลว่า ไอ้ถ่อย) พบใครก็จะถามว่า "ไปไหนมา ไอ้ถ่อย" "สบายดีหรือ ไอ้ถ่อย" อย่างนี้เสมอ คำพูดดูจะเป็นคำหยาบ ไม่สุภาพ แต่จิตใจท่านมิได้หยาบไปด้วย ท่านพูดด้วยจิตเมตตา เป็นคำพูด "ติดปาก" ท่าน แก้ไม่หาย ชาวบ้านที่รู้ว่าอะไรก็ไม่ถือสาท่าน ยกให้ท่าน นอกจากคนต่างถิ่นเท่านั้น ที่ได้ยินเข้า อาจฉุนว่าพระอะไร (วะ) พูดคำหยาบ แต่เมื่อทราบความจริงแล้วก็มิได้ถือสา

ก้อคงเหมือนกับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ แห่งเมืองโคราชกระมัง ท่านก็ติดคำ "กู" "มึง" เวลาสนทนา หลวงพ่อคูณนั้นเป็นที่รู้กันว่าท่านเป็นพระมีเมตตามาก คนเขาเอาเงินเอาทองมาถวายเท่าไร ท่านก็นำไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล และสาธารณสถานหมด ไม่เก็บไว้ร่ำรวยจนเป็น "พระเสี่ย" เหมือนดังเกจิดังอื่นๆ ท่านพูด กูมึง กับใคร ก็ไม่มีใครถือว่าเป็นคำหยาบ กลับฟังแล้วน่ารักเสียอีก

ตรงกันข้าม ถ้าหลวงพ่อคูณท่านเปลี่ยนมาพูดคำไพเราะกับใครเข้า ใครคนนั้นคงตกใจ นึกว่าหลวงพ่อด่าแน่นอน

ย้อนกลับมาพูดถึงหลวงพ่อปิลินทวัจฉะต่อ วันหนึ่งท่านเห็นชายคนหนึ่งขับเกวียน บรรทุกดีปลีผ่านมา จึงร้องถามว่า "บรรทุกอะไร ไอ้ถ่อย" ชายคนนั้นพอได้ยินดังนั้นก็ฉุนกึกทันที พระอะไรวะ พูดจาไม่เข้ารูหูคน จึงตะโกนตอบด้วยเสียงขุ่นๆ ว่า "บรรทุกขี้หนูเว้ย"

เขาขับเกวียนไปเรื่อยๆ หารู้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดีปลีของตน พอไปถึงตลาดนัดกลางเมือง ก็จอดเกวียน เตรียมขนดีปลีลงมาวางขาย

ปรากฏว่า ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูหมดเลย ประชาชนมามุงดูกันด้วยความประหลาดใจว่าคนพิเรน (ไม่มี ทร การันต์นะครับ) อะไรวะ เอาขี้หนูมาขาย ชายหนุ่มเจ้าของดีปลีก็ทำอะไรไม่ถูก ยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ ได้เล่าเรื่องราวให้คนที่มามุงดูฟัง ชายคนหนึ่งบอกเขาว่า คงเป็นเพราะเขา (ชายหนุ่ม) ล่วงเกินพระอรหันต์เข้า จึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ ทางที่ดีควรไปกราบขมาท่านเสีย

ไม่รอช้า ชายหนุ่มกลับไปกราบขอขมาท่าน ท่านยิ้ม กล่าวว่า

"ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย อาตมายกโทษให้"

เมื่อเขากลับมา ก็ปรากฏว่า ขี้หนูได้กลายเป็นดีปลีตามเดิม

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องพระสารีบุตรอัครสาวก ว่ากันว่าท่านมีอารมณ์ศิลปิน หรือถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็ว่า มีอารมณ์โรแมนติคมิใช่น้อย คือเวลาท่านพบสถานที่ที่สวยงดงาม ท่านคล้ายจะ "ลืมตัว" ไปพักหนึ่ง

วันหนึ่งท่านเดินทางผ่านป่าแห่งหนึ่ง พร้อมภิกษุจำนวนมาก ท่านเห็นลำธารใส ไหลเย็น ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันร่มรื่น ท่านก็กระโดดหย็องแหย็งๆ ด้วยความดีใจ

พระสงฆ์ที่ติดตามเห็นเช่นนั้น ก็ไม่สบายใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่นึกตำหนิในใจว่าพระอัครสาวกผู้ใหญ่ ทำไมทำอย่างนี้ ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย

เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระสงฆ์เหล่านั้นคิดอะไรอยู่ จึงตรัสกับพวกเธอว่า

"ภิกษุทั้งหลายเราทราบว่าพวกเธอคิดอย่างไรกับสารีบุตร สารีบุตรทำอย่างนั้น มิใช่เพราะ "ติด" ในความสุนทรีย์ของบรรยากาศแห่งภูมิประเทศที่เธอพบเห็นดอก หากแต่เป็น "วาสนา" ของเธอ"

แล้วพระองค์ก็ตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาลอันนานไกลโพ้น พระสารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ มาชาตินี้จึงติด "วาสนา" ของลิงมา คือชอบเต้นหย็องแหย็งๆ เมื่อมีความดีใจ ว่ากันอย่างนั้น

เรื่องอย่างนี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ทางพระศาสนา ถึงจะเป็นคัมภีร์รุ่นหลังจากพระไตรปิฎก ฟังๆ ไว้ ก็ไม่เสียหลาย ปุถุชนคนสามัญอย่างเราท่าน ภูมิปัญญาหรือความสามารถ ยังห่างไกลเกินกว่าจะไปชี้ว่าเรื่องนี้จริงไม่จริง เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ จริงไหม ?

ว่ากันไปแล้ว เรื่องนี้เป็นวิบากหรือผลของการกระทำที่ทำสืบเนื่องกันยาวนานจน "ติด" ตัวไปไม่รู้กี่อสงไขยกัปว่าอย่างนั้นเถอะ ติดจนแกะไม่ออก แม้ว่ากิเลสตัณหาจะละได้ แต่ "สิ่ง" ที่ว่านี้กลับละไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น บางคนจึงมี "วาสนา" แปลกๆ แก้ไม่หาย ดังพระปิลินทวัจฉะและพระสารีบุตร เป็นต้น หรือที่เห็นชัดๆ ก็หลวงพ่อคูณนั่นแหละ วาสนาของท่านชอบพูดคำสมัยพ่อขุน และมีท่านั่งพิเศษคือนั่งยองๆ ไม่ชอบนั่งพับเพียบเหมือนพระภิกษุทั่วไป

เมื่อมีคนถามว่า ทำไมหลวงพ่อชอบนั่งยองๆ หลวงพ่อตอบว่า กูไม่ชอบดอก ไอ้หลานเอ๊ย มันนั่งของมันอย่างนี้เอง

เมื่อถามอีกว่า นั่นสิครับหลวงพ่อ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อตอบด้วยสำเนียงชาวโคราชว่า "กูว่า มันเป็นท่าเตรียมพร้อมคือกูจะลุกยืนก็ลุกได้ทันที กูจะนั่งพับเพียบก็นั่งได้ทันที นั่งยองๆ นี่ก็มันดีแท่ๆ เด๊ "



9

   ซุนวู มีฉายาว่าจ่างชิง เกิดในสมัยที่ขงจื้อ ( ก่อน ค.ศ. 551 – 497 ) ยังมีชีวิตอยู่ ซุนวูเป็นชาวเล่ออาน ( อำเภอฮั่กหมิน มณฑลซานตุงในปัจจุบัน )ในแคว้นฉีปลายยุคซุนชิว เป็นยอดนักการทหารในสมัยโบราณ คัมภีร์พิชัยสงครามซุนวู เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  เป็นที่ยกย่องบูชาของนักการทหารทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งในประเทศจีนและในต่างประเทศ
   
ซุนวูมีชีวิตอยู่ในยุคที่สังคมจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการที่ระบบศักดินาเข้าแทนที่ระบบทาส ซุนวูเกิดในตระกูลเถียนซึ่งเป็นตัวแทนทางการเมืองของชนชั้นเจ้าในแคว้นฉียุคนั้น ตระกูลเถียนเป็นตระกูลขุนศึกที่มีความรู้และประสบการณ์ทางทหารลึกซึ่งกว้างไกล สภาพแวลล้อมที่ดีเลิศเช่นนี้ทำให้ซุนวูได้เรียนรู้หลักพิชัยสงครามตั้งแต่เด็ก และได้ปูพื้นฐานในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางการทหารและนักทฤษฎิพิชัยสงครามของท่านในภายหลัง
   
เมื่อครั้งที่ซุนวู คนพื้นเมืองรัฐฉีเขียน Art of War ( ศิลปะแห่งสงคราม ) หรือ Sun Tzu Ping Fa ( ตำราพิชัยสงคราม ) เมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว เหอลู่ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าครองนครรัฐหวู่ ประทับใจในสิ่งที่ได้อ่านมากจนถึงกับเรียกตัวซุนวูเข้าพบ
   
เหอลู่ซึ่งได้อ่านศิลปะแห่งสงครามทั้งสิบสามบท อยากทดสอบความสามารถของซุนวู จึงได้เกณฑ์เหล่านางกำนัลในวังทั้งสิ้น 180 นางมาให้ซุนวูฝึกวิชาการทหาร
   
ซุนวูแบ่งพวกนางออกเป็นสองกอง แต่ละกองให้สนมคนโปรดของเหอลู่เป็นหัวหน้า จากนั้นก็ให้พวกนางถือหอก แล้วถามขึ้นว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทางไหนด้านหน้า ทางไหนด้านหลัง ทางไหนด้านขวา ทางไหนด้านซ้าย?”
   
พวกนางกำนัลทั้งหมดรับคำ ซุนวูจึงสั่งว่า “เมื่อข้าสั่งว่า หันหน้า พวกเจ้าต้องหันตรงมาทางข้า เมื่อข้าสั่งว่า หันซ้าย พวกเจ้าต้องหันซ้าย เมื่อข้าสั่งว่าหันขวา พวกเจ้าต้องหันขวา เมื่อข้าสั่งว่า กลับหลัง พวกเจ้าต้องหันทางขวาไปข้างหลัง”

ทั้งหมดรับคำ ซุนวูชูดาบอาญาสิทธิ์เพื่อแสดงถึงความเอาจริงเอาจัง แล้วเริ่มตีกลองให้สัญญาณและตะโกนคำสั่ง แต่ไม่มีใครเคลื่อนไหว พวกนางกลับหัวเราะกันคิกคัก
   
ซุนวูบอกพวกนางอย่างอดทนว่าคำสั่งอาจจะไม่ชัดเจน ดังนั้น ถ้าพวกนางไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ นั่นย่อมเป็นความผิดของผู้บัญชาการทัพ แล้วออกคำสั่งแก่พวกนางอีกครั้งหนึ่ง
   
เมื่อเสียงกลองและคำสั่งดังขึ้นเป็นคำรบสอง เหล่านางกำนัลก็พากันหัวเราะอีก คราวนี้ซุนวูพูดว่า “คำสั่งที่ไม่ชัดเจนและผู้รับคำสั่งไม่เข้าใจ เป็นความผิดของผู้บัญชาการทัพ แต่เมื่อคำสั่งแจ้งชัด ทว่าทหารไม่ปฎบัติ ตาม ย่อมเป็นความผิดของนายทหาร” หลังจากพูดเช่นนั้นซุนวูก็สั่งให้นำตัวหัวหน้าสนมทั้งสองไปประหารชีวิต
   
เมื่อเจ้าครองนครรัฐหวู่ ซึ่งมาชมการหัดทหารอยู่บนโรงยกพื้น เห็นนางสนมคนโปรดกำลังถูกนำตัวไปประหาร ก็รีบส่งคนสนิทมาบอกซุนวูว่า “ข้าเชื่อแล้วว่าท่านสามารถฝึกทหารได้ แต่ถ้าขาดนางทั้งสอง อาหารและเหล้าของข้าคงจะจืดชืดไร้รสชาติ ข้าอยากให้ปล่อยนางเสีย”
   
ซุนวูตอบว่าเมื่อได้รับโองการให้นำทัพแล้ว ขุนพลย่อมปฏิเสธคำสั่งของผู้ปกครองได้ตามที่เห็นควร และยืนกรานให้ประหารชีวิตนางสนมทั้งสองเพื่อเป็นตัวอย่าง แล้วแต่งตั้งนางกำนัลอีกสองคนให้เป็นหัวหน้ากองแทน
   
ผลคือการฝึกทหารดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกนางกำนัลต่างปฏิบัติตามคำสั่งอย่างแข็งขันทั้งซ้ายหัน , ขวาหัน , กลับหลังหัน , คุกเข่า , ลุกขึ้น ด้วยความถูกถ้วนทุกประการ โดยไม่แสดงความเอือมระอาออกมาให้เห็นแม้แต่น้อยนิด
   
เมื่อเหอลู่ไปแล้ว ซุนวูตั้งข้อสังเกตว่า “ท่านเจ้าครองนครเพียงชมชอบถ้อยคำที่ตนเองไม่อาจกระทำได้จริงในทางปฎิบัติ”
   
เจ้านครรัฐหวู่ได้ยินคำวิจารณ์ของซุนวูในเวลาต่อมา ก็ให้รู้สึกอับอายยิ่งนักทั้งก็อดยอมรับความสามารถของซุนวูมิได้ จึงรีบแต่งตั้งซุนวูให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพหวู่
   
นับจากปีที่ 506 ก่อนคริสต์ศักราชเป็นต้นมา ซุนวูกรีฑาทัพถึงห้าครั้งไปตีรัฐฉู่ ซึ่งยึดถือรัฐหวู่เป็นเมืองขึ้น ซุนวูพิชิตกองทัพรัฐฉู่ได้สำเร็จ และเข้าล้อมอิงตู้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐฉู่ ผลคือเจ้านครรัฐฉู่ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมืองหนีและเกือบเอาชีวิตไม่รอด
   
ในช่วงยี่สิบปีหลังจากนั้น กองทัพรัฐหวู่สามารถพิชิตรัฐฉี , รัฐฉิน และรัฐเยว่ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นซุนวูแล้ว ผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนมิได้ทำตามคำสอนของซุนวู ทำให้ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั้งถึงปีที่ 473 ก่อนคริสต์ศักราช รัฐหวู่ก็ดับสูญ...
   
ตำราพิชัยสงครามซุนวูมีเนื้อหาอุดมสมบูรณ์ ซ่อนนัยลึกซึ่งกว้างไกล เป็นผลึกรวมทฤษฎีกับการปฏิบัติจากการวิจัยศึกสงครามในยุคชุนชิว คัมภีร์เล่มนี้ได้สรุปปัญหาต่างๆ เช่น สงคราม ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ฯลฯ ไว้อย่างเป็นระบบ
   
ในปัญหาการสงคราม ซุนวูเห็นว่าการเมืองแบบสะอาดยุติธรรมเป็นปัจจัยสำคัญตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม ซุนวูสอนให้แก้ปัญหาสงครามอย่างสุขุมรอบคอบ คัดค้านการทำสงครามแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เสนอให้รักษาเสถียรภาพทางการเมือง และเตรียมกำลังทหารให้พร้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด      

ในทางยุทธศาสตร์ ซุนวูยกย่องยุทธศาสตร์ชนะโดยสมบูรณ์หรือชนะโดยไม่ต้องรบ  เสนอให้วางแผนยุทธ ศาสตร์เหนือข้าศึกหนึ่งขั้น รักษาความเหนือกว่าในแง่ดุลกำลังเปรียบเทียบ เตรียมการก่อนรบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเน้นการเอาชนะอริรัฐในทางยุทธศาสตร์และทางการทูต
   
ในทางยุทธวิธี ซุนวูเน้นการจู่โจมอย่างฉับพลัน รบเร็วเผด็จศึกเร็ว   

ในด้านบัญชาการรบ ซุนวูเสนอให้สร้างภาวการณ์และผ่อนคลายตามภาวการณ์ รู้เขารู้เรา เรียกร้องให้รบทั้งในแบบและนอกแบบ เลี่ยงจุดแข็งตีจุดอ่อนรู้จักพลิกเป็นฝ่ายกระทำ โจมตีและทำลายข้าศึกด้วยยุทธวิธีเหนือคาดหมาย
   
ในด้านศิลปะแห่งการนำทัพ ซุนวูเสนอให้ผูกใจด้วยพระคุณ สร้างเอกภาพด้วยพระเดช ปกครองด้วยระเบียบวินัย คำสั่งต้องเด็ดขาด ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ทั้งให้รางวัลและลงโทษทัณฑ์ ถนอมรักไพร่พล ไม่ทารุณเชลยศึก และเน้นการสร้างองค์กรตามลำดับชั้น   

แม้ว่าตำราพิชัยสงครามซุนวู จะมีส่วนที่เป็นกากอยู่บ้าง แต่เมื่อนำไปเทียบกับด้านผลึกภูมิปัญญาอันยอดเยี่ยมแล้ว ก็เป็นเพี่ยงจุดด่างเล็กน้อยในเนื้อหยกบริสุทธิ์ ไม่อาจลบล้างคุณค่าอันยิ่งใหญ่ได้เลย
   
ตำราพิชัยสงครามซุนวู มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อศาสตร์พิชัยสงครามในสมัยต่อ ๆ มา นักการทหารและนักพิชัยสงครามในยุคหลัง ล้วนได้ซึมซับเก็บรับประสบการณ์จากผลึกทฤษฎีในคัมภีร์นี้ไม่มากก็น้อย เพราะเหตุนี้เอง ซุนวูจึงได้ชื่อว่า “ปฐมาจารย์พิชัยสงคราม” อีกทั้งมีคำกล่าวทำนองว่า “คัมภีร์พิชัยสงครามทุกเล่ม ไม่พ้นขอบข่ายพิชัยสงครามซุนวู” “ซุนวูไม่อ้างคนรุ่นก่อน แต่คนรุ่นหลังจะไม่อ้างซุนวูหาได้ไม่” นี้คือฐานะทางประวัติศาสตร์ของซุนวูและคุณค่าของพิชัยสงครามซุนวูซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน
   
ตำราพิชัยสงครามซุนวู มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ แรกสุดได้แพร่เข้าไปในญี่ปุ่นเมื่อศตวรรษที่7 ต่อมาได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย เชโกสโลวะเกีย เกาหลี เวียดนาม ฯลฯ ตามลำ ดับ โดยแผ่ซ่านไปสู่ยังนักการเมือง นักการทหาร และนักธุรกิจชาวต่างประเทศ

ตำราพิชัยซุนวูแบ่งเนื้อหาออกเป็น 13 บทหรือบรรพดังนี้...
 
•   บรรพ 1 ประเมินสถานการณ์
•   บรรพ 2 การทำศึก
•   บรรพ 3 ยุทธศาสตร์การรบรุก
•   บรรพ 4 รูปลักษณ์การรบ
•   บรรพ 5 พลานุภาพ
•   บรรพ 6 ความอ่อนแอ-เข้มแข็ง
•   บรรพ 7 การดำเนินกลยุทธ์
•   บรรพ 8 สิ่งผันแปร 9 ประการ
•   บรรพ 9 การเดินทัพ
•   บรรพ 10 ภูมิประเทศ
•   บรรพ 11 พื้นที่ต่างกัน 9 ลักษณะ
•   บรรพ 12 การโจมตีด้วยเพลิง
•   บรรพ 13 การใช้สายลับ



10

ไฟไหม้ศาลาการเปรียญวัดโพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ชาวบ้าน พระ ชี ช่วยดับทัน หวิดเผาศพอดีตเจ้าอาวาสวัดและอดีตรองเจ้าคณะอำเภอที่ตั้งสวดอยู่

มีรายงานว่าเมื่อช่วงบ่ายวันที่26 ต.ค.2552ที่ผ่านมาว่ามีเหตุไฟไหม้ศาลาการเปรียญวัดโพธิ์ประทับช้าง ม.3 ต.โพธิ์ประทับช้าง อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นที่ตั้งศพพระครูวิบูลย์ธรรมาภรณ์ (ประยูร จันทรมณี) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ประทับช้าง และอดีตรองเจ้าคณะอำเภอโพธิ์ประทับช้าง ซึ่งมรณภาพไปเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2551 และมีกำหนดพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 6 ก.พ. 2553

ที่เกิดเหตุมีพระ แม่ชีและชาวบ้านกำลังช่วยกันดับเพลิง พร้อมประสานรถดับเพลิงเข้าฉีดน้ำ ตรวจสอบพบไฟลุกไหม้มาจากบนเพดานและม่านฉากหลังสำหรับตั้งศพพระครูวิบูลย์ธรรมาภรณ์ จากนั้น ม่านซึ่งติดไฟได้ร่วงมาคลุมโลงศพและลุกไหม้โลงทองด้านนอกจนหมด ตลอดจนโต๊ะหมู่บูชา และรูปหล่อพระประธาน ค่าเสียหายประมาณ 5 แสนบาท

ต่อมา พ.ต.ท.ภาณุ พิทยา เวชวิวัฒน์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2) หัวหน้าพิสูจน์หลักฐาน จ.พิจิตรนำเจ้าหน้าที่วิทยา การเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ สันนิษฐานสาเหตุเบื้องต้น น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะศาลาการเปรียญหลังดังกล่าวสร้างมาหลายสิบปี สำหรับสาเหตุที่แท้จริงจะได้ตรวจสอบต่อไป ส่วนศพของพระครูวิบูลย์ธรรมาภรณ์ ถูกไปตั้งไว้ที่กุฏิหลังใหม่ของเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ประทับช้าง

11

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีนให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" อันดับที่ 2 โดยทรงได้รับคะแนนโหวตจากชาวจีนทั่วประเทศถึงกว่า 2 ล้านคะแนน คนไทยสุดปลื้มปีติที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรติ หลังจากก่อนหน้านี้ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" และทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ จากการเสด็จฯเยือนจีนจนครบหมดทั่วทุกมณฑลของจีนที่กว้างใหญ่ไพศาล

นับเป็นข่าวที่พสกนิกรไทยสุดปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง และถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่โลกและชนสองชาติคือไทย-จีนต้องจารึกไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีนให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" หลังจากที่ทรงได้รับการยกย่องและได้รับพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" จากการที่ทรงเจริญสัมพันธไมตรีด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนถึง 20 ครั้ง และยังเสด็จเยือนครบหมดแล้วในทุกมณฑลของจีน ซึ่งมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก นับเป็นราชนิกูลพระองค์เดียวในโลกที่เสด็จเยือนจีนมากที่สุด ทำให้ทรงเป็นประดุจสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน อีกทั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารียังทรงสนพระทัยในภาษาจีน รวมทั้งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของไทย-จีน กระชับแน่นและมีความพัฒนามากขึ้นเป็นทวีคูณ

ทั้งนี้ ข่าวอันน่าปลื้มปีติครั้งนี้เป็นที่เปิดเผยขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค. หลังจากมีรายงานว่ามีข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการโหวตทางอินเตอร์เน็ตจากชาวจีนทั่วประ เทศด้วยคะแนนกว่า 2 ล้านคะแนน ให้สมเด็จพระเทพฯ เป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 2 โดยมิตรที่ดีที่สุดในโลกที่ชาวจีนโหวตให้เป็นอันดับ 1 คือ ฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ที่เป็นผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีนในอันดับอื่นๆ อีก แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการโหวตเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายกวนมู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประ เทศไทยถึงข่าวอันเป็นที่น่ายินดีและสุดปลื้มปีติของคนไทย ในการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงได้รับการยกย่องจากชาวจีนว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลก ว่ายังไม่ทราบข่าวที่แน่ชัด แต่จะขอตรวจสอบไปทางประ เทศจีนก่อนถึงข่าวอันน่ายินดีนี้และจะเปิดเผยให้ทราบ ต่อไป

อย่างไรก็ตามจากพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่มีผู้เขียนไว้เป็นรายงานพิเศษในบล็อกทางอินเตอร์เน็ต มีการระบุไว้ว่า สมเด็จพระเทพฯ หรือที่คนจีนทั่วไป คุ้นเคยกับการกล่าวขานพระนามของพระองค์ว่า "สิรินธร" ได้เสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2524 และเพียง 23 ปีให้หลังก็ทรงเสด็จเยือนจีนได้ครบหมดทุกมณฑล ทั้งที่บางมณฑลของจีนมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย นอกจากนี้สมเด็จพระเทพฯยังทรงเรียนภาษาจีนจนเชี่ยวชาญและยังทรงเคยเสด็จไปศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของจีนเพิ่มเติมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นเวลา 1 เดือน เมื่อปี 2544 สร้างความประหลาดใจและปลาบปลื้มใจแก่คณาจารย์ชาวจีนที่ถวายการสอนอย่างยิ่ง ว่าเหตุใดสมเด็จพระเทพฯจึงทรงให้ความสำคัญกับประเทศจีนและภาษาจีนขนาดนี้ และเมื่อช่วงเวลาแห่งการเรียนภาษาจีนสิ้นสุดลง ทางมหา วิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระองค์เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 44 และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2543 กระทรวงศึกษาธิการของจีนก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมิตรภาพภาษาและวัฒนธรรมจีนแด่สมเด็จพระเทพฯด้วย นอกจากนี้สมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีน ก็ได้ถวายสมัญญาพระนามแด่สมเด็จพระเทพฯ ให้ทรงเป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีนเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2547

นอกจากการเรียนภาษาและวัฒนธรรมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเรียนการเขียนลายสือจีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊กจนเชี่ยวชาญอีกด้วย จากการที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนจีนทุกปีในช่วงที่ผ่านมา ยังทรงถ่ายทอดประสบการณ์การเยือนแผ่นดินจีนตั้งแต่ครั้งแรก เป็นพระราชนิพนธ์ให้คนไทยได้อ่าน อาทิ สารคดีท่องเที่ยวเรื่อย่ำแดนมังกร มุ่งไกลในรอยทราย เกล็ดหิมะในสายหมอก ใต้เมฆที่เมฆใต้ เย็นสบายชายน้ำ คืนถิ่นจีนใหญ่และเจียงหนานแสนงามเป็นต้น ซึ่งทุกพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ไม่เพียงจุดประกายให้คนไทยไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่ยังช่วยให้คนไทยมีความเข้าใจในประเทศจีน คนจีนและวัฒนธรรมจีน เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วย

สำหรับผลโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีนที่ได้มีการโหวตถึงมิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีนจำนวน 10 คน จากจำนวน 50 คนในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีการประกาศผลเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยนอกเหนือจากนายซามารานซ์และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ได้รับการโหวตแล้ว ยังมีผู้ได้รับการโหวตว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีนอีก 8 คนคือ...

     1. Norman Bethune นายแพทย์ชาวแคนาดา ผู้เสียชีวิตในสงครามจีน - ญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยการรักษาชีวิตของทหารจีน

     2. John Rabe ชาวเยอรมันผู้ช่วยชีวิตชาวจีน 250,000 คนระหว่างการสังหารโหดที่นานกิง โดยการรุกรานของญี่ปุ่น

     3. Edgar Snow นักเขียนอเมริกันผู้เขียน "Red Star Over China" ในช่วงทศวรรษปี 1930 ที่ทำให้กองทัพแดงและประธานเหมาเจอตุงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

     4. Dr.Joseph Needham, นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลาเกือบห้าสิบปีในการประพันธ์ผลงานเรื่อง "Science and Civilisation in China".

     5. Israel Epstein ; ชาวโปแลนด์เชื้อชาติจีน

     6. นักการศึกษาชาวนิวซีแลนด์ Rewi Alley ;

     7. นายแพทย์ชาวอินเดีย Kwarkanath S. Kotnis

     8. นาย Morihiko Hiramatsu อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด Oita ประเทศญี่ปุ่น 8 สมัย ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Village One Product) ที่เรียกย่อว่า OVOP แล้วเมืองไทยมาลอกเลียนเป็น OTOP นั่นเอง


ส่วนเว็บไซต์ที่มีการรายงานข่าวผลการโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีน เป็นเว็บไซต์ของจีนคือwww.echinacities.com/main/news/ShowNews.aspx?n=4233 www. m.cri.cn/681/2009/10/12/321s24813.htm web.search.cctv.com/searchquery.php?http:// english.cctv.com/20091012/103661.shtml

ในเว็บไซต์ echinacities.com รวมถึงเว็บไซต์ m.cri.cn และเว็บไซต์ english.cctv.com เผยว่าการประกาศผลครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างสมาคมมิตรภาพกับประเทศต่างชาติแห่งประชาชนจีนกับองค์การบริหารผู้เชี่ยวชาญกิจการต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานีวิทยุสากลจีน (ซีอาร์ไอ) จัดการโหวตทางออนไลน์ให้กับตำแหน่งมิตรแห่งชาติ  10  อันดับของประชาชนชาวจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีในการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน โดยเริ่มให้ชาวจีนโหวตตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-10 ต.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ร่วมโหวตจำนวนทั้งสิ้น 56 ล้านเสียง ส่วนพิธีมอบรางวัลคาดว่าซีอาร์ไอจะจัดขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ในรายงานข่าวไม่ได้ระบุวันและสถานที่ชัดเจนแต่อย่างใด

12
บทความ บทกวี / พุทธบันเทิง
« เมื่อ: 02 พ.ย. 2552, 05:51:57 »

คงจะไม่ต้องเกริ่นอะไรกันมากมายถึงปัญหาที่พวกเราประชาชนตาดำๆ ถูกปัญหาหลากหลายประการรุมเร้าทุกวี่ทุกวัน เพราะไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการบ้านการเมือง หรือปัญหาปากท้อง รวมถึงสภาวะว่างงานที่นับวันยิ่งทำให้ผู้คนต้องเผชิญกับความกังวลและความทุกข์ที่รู้สึกแก้กันไม่ตกเสียที

อย่างไรก็ตาม ทุกคนย่อมแสวงหาทางออกให้แก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยว หากิจกรรมเสริม หรือเลือกที่จะเก็บตัวอยู่กับบ้าน ชนิดที่เรียกว่าประหยัดไว้ก่อนอยู่รอดแน่นอน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อผู้คนเริ่มวิ่งเข้าหาธรรมะในการดับทุกข์ ดับความกังวล ทั้งในรูปแบบของการพึ่งพาร่มเงาพระพุทธศาสนา จนบางรายคิดไปถึงขั้นต้องการจะนิพพานเลยทีเดียว !!!

ทั้งนี้ เราจะสังเกตได้เลยว่าศาสตร์ทุกแขนงย่อมมีกำแพงขวางกั้นอยู่เสมอ ทำให้ผู้คนต่างเข้าถึงได้อย่างลำบาก นอกเหนือเสียจากว่าจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเรียนรู้กันอย่างจริงจังถึงจะเข้าใจศาสตร์นั้นๆ ได้

ศาสตร์ของพระพุทธศาสนาก็เช่นกันที่ประชาชนโดยส่วนมากคิดว่าเป็นอะไรที่เข้าถึงได้ยาก ไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของสงฆ์ แต่ก็ต้องเรียนตามตรงว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าทางพระหรือประชาชนก็ต่างพยายามทำความเข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา อันมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตให้สมดุลด้วยวิธีที่น่าสนใจ โดยการนำส่วนผสมของความบันเทิงมาคลุกเคล้ากับการศึกษา นั่นก็คือ "Eductain ment "

กล่าวคือ เมื่อนำหลักการของพระพุทธศาสนาและหลักธรรมะมาประยุกต์ร่วมกับความบันเทิงเชิงสาระก็กลายเป็นพุทธบันเทิง หรือ " Dhamatainment " ซึ่งต้องเรียนตามตรงเลยว่าไม่เป็นอะไรที่แปลกเลย ไม่ผิดและไม่ไร้สาระ เพราะมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน  นั่นก็คือการทำให้ผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารสามารถเปิดรับหลักความคิดแนวธรรมะที่ไม่ใช่เป็นการสร้างกำแพงด้วยการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจได้ยาก แต่กลับกลายเป็นการวิ่งเข้าหาผู้คนในเชิงรุก

แน่นอนว่าวันนี้คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตท่ามกลางความบันเทิง ทั้งในรูปแบบแสงสีและเสียงที่มอบความสุขให้กับพวกเขาในลักษณะวันต่อวัน มิได้มอบแก่นสารหรือขัดเกลาให้ผู้คนมีคุณภาพทางความคิด  แต่พุทธบันเทิง คือการเปิดอก เปิดใจ เปิดหู และเปิดรับให้คนเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากจะได้สาระและทำให้พวกเขามีส่วนร่วมแล้ว ยังถือเป็นการพัฒนาสุขภาพจิตในระยะยาวด้วยเช่นกัน

ดังนั้น การศึกษาธรรมะกลายเป็นอะไรที่ไม่ยากเลยสักนิด และยังทำให้ให้ผู้คนสามารถลดทิฐิได้ด้วย ซึ่งนับว่าสุดยอดไม่เบาทีเดียว ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ภิกษุนักเทศน์หรือท่าน ว.วชิรเมธี ภิกษุนักเขียน ตลอดจนกลุ่ม Faith Group ที่นำเสนอหนังสือชุดทางออก (The Exit) ที่นำเสนอภาษาชิลๆ พร้อมด้วยเพลงแนวโมเดิร์นป๊อปร็อค ต่างมีเนื้อหาสาระที่เน้นเรื่องธรรมะเป็นพิเศษ   และอีกหลากหลาย กลุ่มคน อาทิ ผู้ที่ผลิตการ์ตูนพระพุทธศาสนาหรือหนังที่เน้นความบันเทิงเชิงสาระอย่างเรื่องหลวงพี่เท่ง ต้องยอมรับเลยว่ามนุษย์กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ผลักดันสังคมไปสู่ความมีคุณธรรมอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นการใช้หนังสือที่เป็นสื่อกลาง การทำเพลง หรือการทำกิจกรรมเชิงพระพุทธศาสนาในทิศทางที่ถูกต้อง นับว่าเป็นแบบอย่างที่ก่อให้เกิดแรงปรารถนาในการทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าและเข้าใจหลักธรรมะ  จนสามารถนำไปประ ยุกต์กับชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว

ผมเองนั้นก็เป็นผู้ที่คอยติดตามเรื่องราวที่เกี่ยวกับธรรมะอยู่เสมอ แต่ต้องเรียนตามตรงเลยว่า ในสมัยที่ยังเป็นเด็กก็ได้เรียนวิชาพุทธศาสนา แต่ตัวเองกลับรู้สึกว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่รู้ว่าทำไมต้องเรียน ทำไมต้องมานั่งสวดมนต์ให้เป็น ทำไมต้องสวด แล้วเก็บมาเป็นคะแนนในการสอบ เพราะถ้าสวดไม่ครบไม่ถูกก็ไม่ต้องจบชั้น

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่ามันไม่มีสิ่งที่กระตุ้นให้เราเปิดรับนั่นเอง จนเป็นเหตุว่าจะทำอย่างไรให้ผู้คนสามารถเปิดรับและเข้าใจจนพร้อมที่จะศึกษาต่อ

การที่พวกเราเห็นพัฒนาการของพระพุทธศาสนาในรูปแบบพุทธบันเทิง  ต้องพูดเลยว่าวันเบิกบานของพุทธศาสนากำลังมาถึงกันอีกครั้งแล้ว...

13


พระสิงห์สานชนะมาร

การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาศัยความศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ หากต้องอาศัยพลังความสามัคคีแห่งกัลยาณมิตรด้วย โดยเฉพาะการจัดสร้างด้วยวิธีการสานด้วย “ตอก” ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากนัก โดยล่าสุด มีการจัดสร้างพระสิงห์สานชนะมาร หน้าตักกว้าง 9.9 ศอก สูง 19 ศอก ประดิษฐานอยู่ที่วัดหิรัญญาวาส บ้านเหมืองแดงน้อย ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย

พระสิงห์สานชนะมาร เป็นลักษณะพระสิงห์หนึ่ง เชียงแสนที่ทำจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดมาจากพม่า อยู่บนดอยสูง นำมาจักสานเป็นองค์พระ  โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นพระไม้ไผ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

วัตถุประสงค์ เพื่อจรรโลงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป และต่อชะตาอายุให้ยืนยาวมั่นคงถาวร ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าองค์พระจักสานลงยางรัก และประกอบพิธีเรียบร้อย ก็จะถวายเป็นพระราชกุศลในวันที่ 5 ธันวาคม 2552

พระสมุห์ภูวไนย ภูวนโย เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาวาส เปิดเผยถึงความเป็นมาว่าพระสิงห์สานชนะมารหรือพระสิงห์หนึ่ง เชียงแสน (โบราณ) ที่ทำจากไม้ไผ่ มีถิ่นกำเนิดมาจากบนดอยเมืองโกล ประเทศพม่า โดยได้ขอเจ้าหน้าที่ของพม่าว่าจะนำไม้ไผ่มุงเพื่อที่จะนำมาสร้างองค์พระ  เจ้าหน้าที่พม่าจึงอนุญาตให้ตัดไม้ได้[/b]


มุ่นพระเกษาที่ทำจากไม้

แต่การตัดและนำลงมาจากยอดดอยสูงนั้น ลำบากมาก เนื่องจากระยะทางและสภาพภูมิอากาศ อีกทั้ง ถนนหนทางยังเป็นทางขรุขระ จึงต้องขอแรงจากชาวปะหล่อง ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยนี้ โดยชาวปะหล่องทั้งหมู่บ้านร่วมร้อยกว่าคนช่วยกันนำไม้ไผ่มุง 39,000 ท่อน ลงมาจากยอดเขา ซึ่งนับเป็นจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวปะหล่อง[/b]


พระหัตถ์และพระอุระ

หลังจากนั้น จึงได้เชิญช่างสานพระด้วยไม้ไผ่คือ นายบุญ หรือเรียกภาษาพื้นบ้านทางเหนือว่า " สล่าบุญ " ซึ่งเป็นสล่าชาวพม่าเชื้อสายไทยใหญ่ และเป็นหนึ่งในสองสล่าเท่านั้นที่ทำพระสานได้ โดยสล่าอีกท่านได้ไปอยู่ประเทศศรีลังกาแล้ว จึงได้แนวคิดและบอกสล่าให้สร้างพระสิงห์สานที่จะประดิษฐานไว้ในบวรพุทธศาสนา โดยใช้ศิลปะแบบพระสิงห์หนึ่งเชียงแสน โดยมีหน้าตักกว้าง 9.9 ศอก สูง 19 ศอก

สล่าบุญถึงกับอุทานออกมาว่าลำพังการสร้างพระอินทร์สานขนาดเล็ก ยังใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก แล้วนี่มีขนาดใหญ่เพียงนี้ จะสร้างสำเร็จหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม  ก็ได้อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากชีวิตนี้มีบุญบารมีที่จะสร้างพระสาน ก็ขอให้อำนวยอวยชัย ให้เกิดบุพนิมิตด้วยเทอญ[/b]


พระพักตร์

พระสิงห์สานชนะมาร เริ่มลงมือสานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 จนมาเสร็จสมบูรณ์เอาในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งใช้เวลาไปทั้งสิ้น 85 วัน ด้วยความร่วมแรงร่วมใจอันแรงกล้าของชาวบ้านในหมู่บ้านเกาะช้างและพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญที่ได้ออกแรงกัน โดยชาวบ้านต่างคนต่างนำเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำจักสาน มาช่วยกันเหลาตอกเป็นแสนเส้น จึงได้ทำสำเร็จขึ้น ซึ่งใช้เวลาเพียง 85 วันจากที่ตั้งใจว่าจะสานให้เสร็จภายใน 99 วันที่ตั้งใจอธิษฐานไว้ โดยองค์พระมีน้ำหนักถึง 2 ตัน

สำหรับไม้ไผ่มุงที่นำมาทำองค์พระนี้ เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาวาสบอกว่าต้องตัดในเดือนสามไทยหรือเดือนกุมภาพันธ์ เพราะว่าการตัดเดือนนี้จะไม่มีมอดมากินไม้ไผ่ หลังจากนั้น จึงนำน้ำส้มจากการเผาไม้ และนำน้ำจากการเผาไหม้มาชุบไม้มุง จึงนำมาจักสานได้ โดยในขณะนี้ก็เป็นองค์พระแล้ว เหลือแต่แค่ทาด้วยน้ำยางรักที่มีลักษณะเป็นสีดำ เพื่อเป็นการรักษาเนื้อไม้ให้อยู่ คงทน ถาวรยาวนานต่อไป

ส่วนเศษไม้มุงที่เป็นเศษไม้จากการเหลาของชาวบ้าน  ก็จะนำเศษไม้มาบดทำเป็นมวลสาร โดยจะทำเป็นพระองค์เล็กสำหรับไว้บูชา

"ความเชื่อตามโบราณว่าผู้ใดได้สร้างพระนี้ด้วยตนเอง หรือร่วมกันสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชานั้น จะบังเกิดอานิสงส์มากมาย พระสิงห์สานเป็นพระแห่งความรัก หากหนุ่มสาวคู่ใดสักการบูชา จะรักกันยาวนานตลอดไป ด้วยอานิสงส์แห่งการได้ใช้ไม้มุง มาทำพระทั้งองค์ จะบังเกิดผลคือ อานุภาพปกคลุมรักษาตระกูลและตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง จะสานต่อชะตาอายุให้ยืนยาวมั่นคงถาวร ไร้โรคภัยไข้เจ็บตลอดไป และกิจการ ร้านค้า ธุรกิจ ให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูนไพบูลย์ ทวีคูณร้อยเท่า พันเท่า และสานต่อตระกูลเพิ่มพูนให้ตระกูลสูงส่งเป็นที่เชิดหน้าชูตา ลูกหลานเป็นคนดี ว่าง่ายสอนง่าย เป็นที่ยอมรับของสังคม และในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 นี้ ซึ่งเป็นวันพ่อ จะได้ถวายพระราชกุศลต่อไป" พระสมุห์ภูวไนย กล่าว[/b]


ชาวบ้านช่วยกันสานไม้ไผ่เพื่อนำไปสร้างพระ

การสร้างพระด้วยการใช้ตอกสานนั้น พระพุทธรูปองค์เก่าแก่ที่สุดคือ "หลวงพ่อสาน " เป็นพระพุทธรูปที่สร้างโดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นองค์ แล้วลงรักปิดทอง ซึ่งเป็นศิลปะรูปแบบของพม่าอันงดงามและทรงคุณค่ายิ่ง ประดิษฐานอยู่ที่วัดจอมสวรรค์ ต.ทุ่งกวาว อ.เมือง จ.แพร่ โดยวัดแห่งนี้มีความวิจิตรงดงามหลายอย่าง หากจะมองดูแต่ภายนอก จะเห็นรูปทรงของวัดพม่า จะแปลกอยู่ตรงที่สร้างด้วยไม้ล้วนๆ ที่สำคัญคือรูปทรงของตัวอาคาร ตัวอาราม เป็นทั้งโบสถ์วิหารและกุฏิไปในตัว

ส่วนอีกองค์หนึ่ง คือ “พระเจ้าอินทร์สาน” เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่สานด้วยตอกทั้งองค์ มีความยาวขององค์พระพุทธรูป 12 เมตร 2 เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์พระธาตุจอมก้อย หมู่ 8 ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน จ.ลำปาง (การเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปตามถนนสายลำปาง-เมืองปาน ประมาณ 45 กม.) ที่มีความงดงามและโดดเด่น และมีเพียงองค์เดียวในประเทศไทยที่วัสดุการสร้างมีความแปลกและสวยงามแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วๆ ไป เพราะใช้เส้นตอกสานให้เป็นองค์พระพุทธรูป จนเป็นที่มาและเรียกกันว่า " พระพุทธเจ้าตอกสาน "

สำหรับตอกที่นำมาสานเป็นองค์พระพุทธรูปนั้น สร้างด้วยไม้ไผ่มุง ที่เชื่อกันว่ามีลักษณะเหนียวและทนทานเป็นพิเศษ โดยไม้ไผ่มุงแตกจะมีกิ่งก้านสาขาเลื้อยขึ้นมุงไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณรอบๆ คล้ายหวาย

พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มช่างจากสิบสองปันนา ช่างที่ร่วมสานมีใจวิรัติ งดบาปอกุศลยิ่งขึ้น โดยสมาทานอุโบสถศีล เพื่อปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย ดวงแก้ว 3 ประการ ละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้บริสุทธิ์ สะอาดผ่องใส นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ก่อนเหลาและสานองค์พระพุทธรูปเจ้าตอกสาน  ต้องสมาทานเบญจศีลเพื่อความเป็นสิริมงคลโดยทั่วกัน ตลอดระยะเวลาในการสร้างหรือสาน ได้มีพระสมณะ สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา อันกอปรด้วยน้ำใจศรัทธาอันแรงกล้า เดินทางมาจากทิศทั้ง 4 ทั้งใกล้และห่างไกล เพื่อปรารถนาที่จะให้องค์พระสำเร็จลงและอยากจะได้เห็นเป็นบุญตา

พระสิงห์สานเป็นพระแห่งความรัก หากหนุ่มสาวคู่ใด สักการบูชา จะรักกันยาวนานตลอดไป ด้วยอานิสงส์แห่งการได้ใช้ไม้มุงมาทำพระทั้งองค์ จะบังเกิดผลคืออานุภาพปกคลุมรักษาตระกูลและตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง[/b]

14


พระรัตนเมธี หัวหน้าพระวินยาธิการ (ตร.พระ) ในเขต กทม. กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ของพระวินยาธิการเขตต่างๆของ กทม.ในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ที่อาศัยผ้าเหลืองหากินโดยการปลอมบวชมากขึ้น ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในช่วงปี 2551 ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงานมากขึ้น ส่งผลให้มีคนมาปลอมบวชเพื่อหากินมากขึ้น โดยรายล่าสุดที่มีการตรวจพบอาศัยอยู่บริเวณด้านหลังวัดเสมียนนารี ซึ่งในช่วงเช้าจะแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ นั่งรถเข็นออกมาบิณฑบาต พอตกเย็นก็กลับบ้านใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ซึ่งเมื่อทางพระวินยาธิการเข้าไปสอบถาม ก็ได้รับการยอมรับว่าปลอมบวชจริง และที่ต้องทำเพราะต้องการนำอาหารไปเลี้ยงลูกสาวที่บ้าน จากนั้นจึงนำตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ยอมรับว่าปัญหาการปลอมบวชเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หมดไปได้เพราะกฎหมายที่ลงโทษไม่รุนแรง

บางรายยอมที่จะปลอมบวชเพื่อให้โดนจับ โดยบอกว่าพอโดนจับก็จะได้ชุดใหม่ 1 ชุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำมาให้แทนจีวรพระ พร้อมทั้งยังได้ขอค่ารถกลับบ้านจากพระที่นำตัวมาส่งด้วย และส่วนใหญ่คนพวกนี้ก็จะกลับมาปลอมบวชใหม่

“การจะแก้ปัญหาปลอมบวชได้นั้น ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญและเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาการว่างงาน ให้คนมีงานทำ รวมทั้งออกกฎหมายลงโทษผู้ที่ปลอมบวชให้มีโทษหนักมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่มีคนกล้ามาปลอมบวชหากินอีก” พระรัตนเมธีกล่าว

ด้าน ดร.อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่าส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้สรุปผล จำนวนพระภิกษุสามเณรที่มีอาจารไม่สมควรแก่สมณวิสัยที่ทางส่วนคุ้มครองฯได้ตรวจพบในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา พบว่ามีพระภิกษุสามเณรขาดความสำรวม และรับแต่ปัจจัย 305 รูป ปักกลดตามย่านชุมชนและพักค้างแรมตามบ้านเรือน 36 รูป เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต 12 รูป เสพยาเสพติดและเล่นการพนัน 1 รูป และปลอมบวช 5 คน สำหรับสถานที่ที่มีการตรวจพบมากที่สุดคือตามหมู่บ้านต่างๆ รวมไปถึงตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของพลุกพล่าน...

15


เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบเจดีย์ทางพระพุทธศาสนาที่มีขนาดใหญ่มากองค์หนึ่งที่ตำบลนาลันทาของรัฐวิหาร โดยทีมนักสำรวจทางโบราณคดีทีมหนึ่งที่มีชื่อย่อว่า ASI (The Archaeological Survey of India) ได้เป็นผู้ค้นพบที่ตั้งขององค์เจดีย์ดังกล่าวที่สร้างขึ้นด้วยอิฐที่ Ghorakatora ห่างไปจากที่ตรงนี้ประมาณ 100 กิโลเมตร

“เจดีย์องค์ที่ได้ถูกขุดค้นพบล่าสุดที่ Ghorakatora องค์นี้ มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง และขนาดขององค์เจดีย์ก็ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเจดีย์ Kesaria Stupa ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตำบลแชมปาราน (Champaran District)   เจดีย์ Kesaria Stupa ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้”  นาย Sujit Nayan หัวหน้าทีมสำรวจทางโบราณคดีที่ค้นพบเจดีย์องค์ล่าสุดนี้กล่าว

พระเจดีย์องค์นี้สูงประมาณ 20-25 ฟุต เจ้าหน้าที่กล่าว

ตามข้อมูลของทีมนักโบราณคดีถือว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นการให้แสงสว่างทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากในแง่ของความเป็นไปของมหาวิทยาลัยนาลันทาแต่ครั้งโบราณกาลว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร สถาบันที่ให้ความรู้แห่งนี้มีผู้กล่าวว่าได้ถูกตั้งขึ้นเมื่อคริสตศตวรรษที่ 5

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงของจีนท่านหนึ่งชื่อว่า Hieun Tsang เคยพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองนาลันทาในศตวรรษที่ 7 เขาได้ทิ้งข้อความบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับระบบของการศึกษาและวิถีชีวิตของพระภิกษุในมหาวิท ยาลัยแห่งนี้เอาไว้ด้วย...

16
บทความ บทกวี / เจ้าพ่อกลับใจ....
« เมื่อ: 31 ต.ค. 2552, 10:05:47 »

นาย Tadamasa Goto ได้เข้าพิธีบวชเป็นพระภิกษุหลังจากที่ได้เกิดวิวาทะกับหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่กล่าวหาว่าเขาได้ส่งข้อมูลลับให้กับ FBI

นาย Tadamasa Goto เป็นหนึ่งในจำนวนหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่โด่งดังในประเทศญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจบวชภายหลังจากที่พฤติกรรมบางอย่างของเขาถูกเปิดเผยออกมา ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่อาชญากรระดับชาติด้วยกันเอง

ในฐานะที่เป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าหรือที่รู้จักกันว่าเป็นแก๊งมาเฟียญี่ปุ่น Goto ได้สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองจากธุรกิจค้าประเวณี เรียกค่าคุ้มครอง และเป็นอาชญากรผู้ดี ในขณะเดียวกันเขาก็ได้สั่งสมชื่อเสียงด้านการก่อความรุนแรงชนิดร้ายแรงสุดๆ ไปด้วย

ก่อนถึงวันที่ชีวิตของเขาจะถึงจุดเปลี่ยนที่เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มใช้ชีวิตในแบบที่เคร่งครัด เขาได้เข้ารับการฝึกที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัด Kanagawa ทางตอนใต้ของโตเกียวตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ Sankei Shimbun โดยอ้างแหล่งข่าวของทางตำรวจ

นาย Tadamasa Goto อายุ 66 ปี ซึ่งแก๊งของเขาเคยร่วมอยู่ในสมาคมแก๊งอาชญากรที่ทรงอำนาจที่มีชื่อว่า Yamaguchi-gumi ได้ถูกขับไล่ออกจากแก๊งยากูซ่า เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วหลังจากที่ได้เกิดการทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรงกับเหล่าหัวหน้าของแก๊งด้วยกันเองเกี่ยวกับการกระทำบางอย่างของเขา

จากบทสัมภาษณ์ที่รู้จักกันในชื่อว่า Japan's answer to John Gotti หรือ "ญี่ปุ่นตอบคำถามของ John Gotti", John Gotti คนนี้เป็นมาเฟียที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของญี่ปุ่น รายงานว่า Goto แสดงความรู้สึกไม่พอใจสมาชิกระดับสูงบางคนท่ามกลางสื่อมวลชนในงานวันเกิดของเขาเมื่อเดือนกันยายนที่แล้วมาที่จัดขึ้นอย่างหรูหรา โดยในงานนี้มีการเชิญแขกที่มีชื่อเสียงมาร่วมงานจำนวนมาก

หลายเดือนก่อนหน้านี้ Goto ได้ดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนมากขึ้นไปอีกอย่างไม่เจตนา เมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้เสนอให้ข้อมูลแก่ FBI เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้เขาเดินทางเข้าไปในสหรัฐอเมริกาเพื่อไปผ่าตัดเปลี่ยนตับเมื่อปี 2001

ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เหล่าหัวหน้าแก๊งอาชญากร Yamaguchi-gumi ทุกคนขาดเพียงผู้นำที่ชื่อว่า Shinobu Tsukasa เพียงคนเดียว เนื่องจากว่าผู้นำคนนี้กำลังติดคุกในข้อหาครอบครองอาวุธเถื่อนเป็นเวลา 6 ปีอยู่ในขณะนั้น ในที่ประชุมนั้น Goto ได้ถูกขับไล่ออกจากสมาคมของแก๊ง ทำให้เกิดความแตกแยกภายในกลายเป็นศัตรูกันเอง

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Sankei, Goto ได้เข้าพิธีบวชอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2552นี้ ซึ่งถือว่าเป็นวันประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในประเทศญี่ปุ่น โดยพิธีนี้ได้จัดขึ้นเป็นการส่วนตัว

อดีตมาเฟียท่านนี้ได้กล่าวถึงโอกาสในชีวิตครั้งนี้ว่า "สำคัญและมีความหมาย ซึ่งพระพุทธเจ้าจะยอมรับผมเป็นศิษย์และให้โอกาสผมในการเริ่มต้นชีวิตใหม่"

ในการทำข้อตกลงกับ FBI มีรายงานว่า Goto ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ฉากหน้าการทำงานของแก๊งยากูซ่า พร้อมรายชื่อของสมาชิกระดับสูงของแก๊ง รวมถึงโยงใยของการก่อม็อบในประเทศเกาหลีเหนือด้วย

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมชี้แจงว่า ทางการเองก็สามารถรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ได้จากพวกนิตยสารที่ออกโดยยากูซ่าเอง

การผ่าตัดเปลี่ยนตับของ Goto มีขึ้นที่ UCLA Medical Center ที่นครลอสเเองเจลิสในฤดูใบไม้ผลิปี 2001 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชื่อ Dr. Ronald W Busuttil ซึ่งใช้ตับของเด็กชายอายุ 16 ปีซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

มาเฟียท่านนี้รู้สึกขอบคุณกับการรักษาครั้งนี้เป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาต้องทนทุกข์กับอาการของโรคตับมานาน โดยเขาได้บริจาคเงินจำนวน 100,000 เหรียญ (หรือ 68,000 ปอนด์) ให้กับโรงพยาบาลแห่งนี้

ความมีน้ำใจในครั้งนี้ของเขาได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นโล่ห์ที่เขียนข้อความเอาไว้ว่า "ด้วยความซาบซึ้งในความกรุณาของกองทุนการวิจัย Goto Research Fund ที่ก่อตั้งขึ้นจากความมีน้ำใจของ Mr. Tadamasa Goto"

Jake Adelstein อดีตผู้สื่อข่าวอาชญากรรมของหนังสือพิมพ์ The Yomiuri Shimbun ถูกข่มขู่เอาชีวิตก่อนที่เขาจะนำเรื่องการผ่าตัดเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้วมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การอารักขาของตำรวจตั้งแต่นั้นมา

เมื่อ Goto ได้รับมอบหมายให้เข้าไปดูแลพื้นที่ของโตเกียวเมื่อปลายทศวรรษที่ 1980 เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่รู้จักกันดี นั่นก็คือยาเสพติด การลักลอบนำคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย และการรีดไถ ก่อนที่กฎหมายต่อต้านแก๊งอาชญากรรมฉบับใหม่ จะบีบบังคับให้ขบวนการเหล่านี้ต้องผันตัวเองเข้าไปสู่ธุรกิจที่หรูหราและทำเงินได้มากมายอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ และการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

ในช่วงสูงสุดของอำนาจ ลูกน้องของ Goto ได้ชื่อว่ามีความสามารถสูงในการก่อความรุนแรงโดยปราศจากคำพูด ซึ่งรวมไปถึงการกวาดล้างธุรกิจต่าง ๆ ที่ปฏิเสธการจ่ายค่าคุ้มครอง และการทุบตีเหยื่อต่อหน้าสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อเอง

จากข้อมูลที่รั่วไหลจากแฟ้มของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อปี 1999 กล่าวว่า "เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมาย Goto ใช้ทุกวิถีทางและวิธีการที่เป็นไปได้ เขาใช้ทั้งการปลอบและขู่เพื่อให้ทุกคนยอมอยู่ในกรอบ แก๊งของเขามีความสามารถในการก่อความรุนแรงและสร้างพฤติกรรมที่ก้าวร้าวในรูปแบบต่างๆ"

17


1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก

2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร

3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่อยู่ที่ 9300 ครั้งต่อปี

4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน

5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก

6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน

7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง

8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า

9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย

10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์

11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต

12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร

13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชั่วโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต

14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน

15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน

16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี

17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์

18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่าติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน

19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน

20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

18

ภาพอันน่าสลดหดหู่พระพุทธรูปในโบสถ์วัด หลวงท้ายตลาด จ.ลพบุรี ถูกมารศาสนาลอบเข้ามาตัดเศียรไปถึง 6 องค์ หนึ่งในนั้นเป็นพระพุทธรูปหลวงพ่อจุ้ย อายุกว่า 200 ปี เมื่อวันที่ 22 ต.ค.52

โจรใจบาปตัดเศียรพุทธรูปอายุ 200 ปีของเมืองลพบุรีหกองค์รวด เผยเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความเสียหายไม่อาจประเมินค่าทางจิตใจชาวพุทธได้ ชาวบ้านต่างพากันสาปแช่ง อยากให้จนท.จับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว

เมื่อเวลา 04.50 น. วันที่ 22 ต.ค.52 พ.ต.ท. อรงค์เดช สะอาดบัว สารวัตรเวร สภ.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี รับแจ้งว่า มีคนร้ายบุกตัดเศียร พระพุทธรูปในวัดหลวงท้ายตลาด ต.ท้ายตลาด อ.เมือง จึงรุดไปตรวจสอบ ภายในโบสถ์พบร่องรอยคนร้ายตัดเศียรพระพุทธรูปไป 6 องค์ ตรวจสอบบริเวณประตูหน้าโบสถ์พบกุญแจประตูหน้าโบสถ์ถูกตัดขาด แล้วคนร้ายเข้าไปตัดเศียรพระในพระอุโบสถได้

ด้านพระสมุห์เอื้อม จันทสโร เจ้าอาวาสวัด หลวงท้ายตลาด กล่าวว่าเมื่อเวลา 02.00 น. สุนัขที่วัดเลี้ยงไว้เห่าเสียงดังผิดปกติ จึงออกมาดู พบประตูด้านหน้าพระอุโบสถเปิด แม่กุญแจถูกตัดขาด ตรวจสอบภายในพบว่าพระพุทธรูปเก่าแก่ซึ่งเป็นที่นับถือสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไปถูกตัดขาดและขโมยเศียรพระไปหลายองค์ สำหรับกลุ่มคนร้ายคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2 คน เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่ามีพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งคนร้ายลักลอบตัดเศียรไปนั้นประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขนาดหน้าตักตั้งแต่ 1 เมตรขึ้นไป อายุกว่า 200 ปี โดยคนร้ายใช้เลื่อยตัดเศียรพระไปเกือบหมดพระอุโบสถ รวม 6 องค์ โดย 1 ในนั้นเป็นพระที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อจุ้ย ความเสียหายไม่อาจประเมินค่าทางจิตใจของชาวพุทธในละแวกวัดนี้ได้ ชาวบ้านพากันสาปแช่ง อยากให้เจ้าหน้าที่จับกุมคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด

************************************************
สาธู...ขอให้ไอ้โจรระยำพวกนี้ ขอให้พวกมันจงตายโหงอย่างทรมาณด้วยการถูกตัดคอเช่นกันด้วยเถิด และขอให้คนที่เกี่ยวข้องกับวีรกรรมชั่วครั้งนี้ จงได้รับกรรมอย่างสาสมโดยเร็วด้วยเถิด.. ทำไปได้ ช่างไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษเอาเสียเลย....[/
b]


19

พฤติกรรมทางศีลธรรมของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับทัศนคติหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อมรวมถึงสถานการณ์และผู้คนรอบตัวด้วย หากมีใครสักคนเป็นลมอยู่บนถนนที่มีคนพลุกพล่าน ถ้าทุกคนพากันเดินผ่านผู้เคราะห์ร้ายโดยไม่หยุดช่วยเหลือเขาเลย คนที่เดินตามมาก็มีแนวโน้มที่จะเดินผ่านเขาไปด้วยเช่นกัน แต่ถ้าบังเอิญมีใครสักคนหยุดเดินแล้วเข้าไปช่วยเขา ก็จะมีใครต่อใครอีกหลายคนเข้าไปทำอย่างเดียวกัน เช่น ซื้อยาดมหรือหาน้ำให้กิน

นักจิตวิทยาคู่หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคยทำการทดลองด้วยการมอบหมายให้นักศึกษาคนหนึ่งแกล้งทำเป็นโรคลมบ้าหมูอยู่คนเดียวในห้อง โดยมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องติดกัน (แต่ไม่รู้ว่ามีการทดลอง) จากการทดลองทำซ้ำหลายๆ ครั้ง พบว่านักศึกษาข้างห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องจะเข้าไปช่วย "ผู้ป่วย" ถึงร้อยละ 85 ของการทดลอง แต่ถ้าหากในห้องข้างๆ นั้นมีคนอยู่ 5 คน ร้อยละ 31 เท่านั้นที่จะมีคนจากห้องนั้นไปช่วย

เขายังได้ทดลองด้วยการสุมควันในห้อง ปรากฏว่าคนที่อยู่นอกห้องหากเห็นควันพวยพุ่งจากใต้ประตูจะรีบวิ่งไปบอกเจ้าหน้าที่ถึงร้อยละ 75 ถ้าเขาอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่กันเป็นกลุ่ม จะมีการรายงานเจ้าหน้าที่เพียงร้อยละ 38 ของการทดลองเท่านั้น

การทดลองนี้ได้ข้อสรุปว่า ผู้คนมีแนวโน้มที่จะทำตัวพลเมืองดีหากว่าอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่กันหลายคน ความใส่ใจที่จะเป็นพลเมืองดีก็ลดลง

กล่าวกันว่าคนเรามักจะทำดีต่อหน้าผู้คน ข้อนี้มีความจริงอยู่ แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ทำตัวเฉยเมย ดูดายต่อปัญหา ไม่อนาทรต่อผู้เดือดร้อน คนอื่นก็มักจะทำตามด้วย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดผู้หญิงจึงถูกลวนลามในรถเมล์หรือถูกฉุดกระชากลากถูเข้าพงหญ้าโดยไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ต่างคนต่างโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น ("แกทำสิๆ" หลายคนคงนึกเช่นนี้ในใจ) หาไม่ก็นึกในใจว่า "ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ" สุดท้ายก็ไม่มีใครทำอะไรเลยสักคน อันธพาลจึงทำร้ายผู้หญิงได้สมใจและลอยนวลไปได้

นอกจากผู้คนแวดล้อมแล้ว สถานการณ์หรือสถานภาพของแต่ละคนก็มีส่วนกำหนดพฤติกรรมของเขาด้วย เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วมีการทดลองที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยมีการทำคุกจำลองขึ้นและมีอาสาสมัครจำนวน 24 คนมารับบทเป็นผู้คุมและนักโทษ อาสาสมัครเหล่านี้ล้วนคัดมาจากผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมาก ผู้ที่รับบทเป็นผู้คุมซึ่งมีอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นได้รับเครื่องแบบ ใส่แว่นตาดำและมีอุปกรณ์ทุกอย่างเหมือนจริง รวมทั้งมีอำนาจเช่นเดียวกับผู้คุมทั่วไป

การทดลองมีกำหนด 14 วัน แต่หลังจากดำเนินไปได้เพียง 6 วันก็ต้องยุติ เพราะนักโทษทนสภาพที่ถูกบีบคั้นในคุกไม่ไหว เนื่องจากผู้คุมใช้อำนาจอย่างเต็มที่ เพียงแค่คืนแรกนักโทษก็ถูกปลุกให้ขึ้นมาวิดพื้นตั้งแต่ตี 2 และทำอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง วันต่อมาเมื่อนักโทษแสดงอาการต่อต้านขัดขืน ก็ถูกลงโทษหนักขึ้น มีการเปลื้องผ้าและจับขังคุกเดี่ยว หลังจากนั้นนักโทษหลายคนมีอาการหงอย หงอ และซึม ขณะที่ผู้คุมแสดงอาการข่มขู่ก้าวร้าวมากขึ้น ผ่านไปไม่กี่วันนักโทษ 4 คนถูกพาออกจากการทดลองเพราะมีอาการคลุ้มคลั่งและซึมเศร้าอย่างหนัก สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด จึงต้องยุติการทดลองก่อนกำหนด 8 วัน

อาสาสมัครที่รับบทผู้คุมบางคนเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า พฤติกรรมที่เขาทำในคุกนั้นตรงข้ามกับที่เขาทำในยามปกติ บางคนยอมรับว่า ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะมีพฤติกรรมรุนแรงอย่างนั้นเพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นคนรักสันติ ส่วนฟิลิป ซิมบาร์โดซึ่งเป็นผู้ทำการทดลองอันลือชื่อดังกล่าว ยอมรับเช่นกันว่า ไม่คาดคิดว่าพฤติกรรมของผู้คนในคุกจำลองจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและเข้มข้นขนาดนั้น

การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์บางอย่างนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนได้ มันสามารถดึงเอาด้านลบหรือความรุนแรงก้าวร้าวในตัวของผู้คนออกมาอย่างคาดไม่ถึง "คนดี"ในยามปกติอาจกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ หรือนิยมความรุนแรงได้หากมีอำนาจมากมายในมือ

ดังที่คุณหมอประเวศ วะสีได้เปรียบเปรยไว้ ไก่ 2 ตัวเมื่อถูกสุ่มครอบ จากเดิมที่เคยหากินอย่างสงบ ก็จะเริ่มจิกตีกัน คนเมื่อถูกครอบด้วยโครงสร้างที่คับแคบ ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แสดงความรุนแรงต่อกัน สังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างคอมมิวนิสต์ (โดยเฉพาะรัสเซียสมัยสตาลิน และจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดึงเอาด้านลบของมนุษย์ออกมาอย่างน่าเกลียด ผู้คนไม่เพียงระแวงต่อกันเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะปรักปรำใส่ร้ายกันเพื่อความอยู่รอดของตัว แม้กระทั่งสามีภรรยาก็ไม่ไว้ใจกัน เพราะกลัวว่าต่างฝ่ายจะเป็นสายให้ตำรวจ

ที่มักพูดกันว่า "ถ้าทุกคนเป็นคนดี สังคมก็จะดีด้วย" เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว คนมิใช่เป็นผู้กำหนดสังคมฝ่ายเดียวเท่านั้น สังคมก็เป็นตัวกำหนดผู้คนด้วย นั่นก็คือ "ถ้าสังคมเลว ทุกคนก็(มีสิทธิ)เป็นคนเลว"

อิทธิพลของสังคมมีผลทางลบต่อจิตใจของผู้คนเพียงใด พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในจักกวัตติสูตร โดยทรงชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เมื่อ (ผู้ปกครอง)ไม่จัดสรรปันทรัพย์ให้แก่เหล่าชนผู้ไร้ทรัพย์ ย่อมทำให้ความยากจนระบาดทั่ว จากนั้นก็จะมีการลักขโมยแพร่หลาย มีการใช้อาวุธระบาดทั่ว มีการฆ่าผู้คน โกหก ส่อเสียด ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ จนเกิดมิจฉาทิฐิ ความฝักใฝ่ในอธรรม ความละโมบ และมิจฉาธรรม เป็นต้น

เห็นได้ว่าการปกครองที่ไม่ก่อให้เกิดการแบ่งปันทรัพย์อย่างทั่วถึง สามารถก่อผลกระทบต่อเนื่อง ไม่เพียงทำให้ผู้คนกินอยู่ฝืดเคืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของประชาชน เริ่มจากการผิดศีลผิดธรรม ตามมาด้วยการกัดกร่อนจิตสำนึกของผู้คน ทำให้กิเลสและความหลงผิดเพิ่มพูนขึ้น

อิทธิพลของสังคมที่มีต่อจิตสำนึกของผู้คน เป็นเรื่องที่ชาวพุทธและคนไทยทั่วไปไม่สู้ตระหนัก    หรือยังให้ความสำคัญน้อยมาก ดังจะเห็นได้จากการนิยมเปลี่ยนจิตสำนึกของผู้คนด้วยวิธีการเทศนาสั่งสอน (รวมทั้งพานั่งสมาธิ) ซึ่งแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่พอ เพราะได้ผลในระดับบุคคลหรือกับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ส่งผลน้อยมากต่อสังคมโดยรวม

การยกระดับจิตสำนึกหรือเสริมสร้างพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คนนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นในวงกว้างได้เลยตราบใดที่โครงสร้างหรือเงื่อนไขทางสังคมยังอยู่ในสภาพที่เป็นปฏิปักษ์กับความดี สภาพดังกล่าวได้แก่ ความยากจนที่แพร่ระบาด การมีอบายมุขทั่วบ้านทั่วเมือง สื่อมวลชนที่ถูกครอบงำด้วยบริโภคนิยม การศึกษาที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้และใฝ่ธรรม ประเด็นเหล่านี้มีการพูดกันมากแล้ว แต่ที่ยังพูดถึงน้อยก็คือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่านอกจากความยากจนแล้ว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมและความรุนแรงในสังคมโดยตรง ล่าสุดคืองานวิจัยของริชาร์ด วิลคินสัน ซึ่งเป็นที่กล่าวขานอย่างแพร่หลายในขณะนี้ เขาได้ชี้ว่าเมื่อเทียบระหว่างประเทศต่อประเทศ รัฐต่อรัฐ เมืองต่อเมือง จะพบว่า สังคมที่มีความแตกต่างทางด้านรายได้สูงมาก (เช่น สหรัฐอเมริกา) มีอาชญากรรมและนักโทษในสัดส่วนที่สูงกว่าสังคมที่มีความแตกต่างทางด้านรายได้น้อยกว่า (เช่น ญี่ปุ่น นอร์เวย์)

ความรุนแรงนั้นเกิดจากคนระดับล่างที่รู้สึกคับแค้น ต่ำต้อย และไม่พอใจคนระดับบนที่ดูถูกตน รวมทั้งเกิดจากความรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบด้วย ขณะที่คนระดับบนนั้นนอกจากมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าแล้ว ยังใช้อภิสิทธิ์ดังกล่าวเบียดบังผลประโยชน์ของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า ทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจถ่างกว้างขึ้น

ความรุนแรงยังเกิดจากช่องว่างทางสถานภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความเหินห่างหมางเมินและพัฒนาไปสู่ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันได้ง่ายมาก งานวิจัยดังกล่าวชี้ว่าในประเทศที่มีความแตกต่างทางรายได้สูงมาก จะมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจสูงมาก เช่น ในสิงคโปร์ มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่าผู้คนส่วนใหญ่ไว้ใจได้ ขณะที่ผู้ที่มีความเห็นดังกล่าวมีมากถึงร้อยละ 65 ในสวีเดน เดนมาร์ค ซึ่งเป็นประเทศที่มีแตกต่างทางรายได้น้อยมาก

ดังที่การทดลองของซิมบาร์โดได้ชี้ชัด สถานภาพที่ต่างกันสามารถดึงเอาด้านลบหรือส่วนที่เลวร้ายในใจของมนุษย์ออกมา เพราะต่างฝ่ายต่างมองซึ่งกันและกันเป็นคนละพวกคนละฝ่าย แม้สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากจะแตกต่างจากสภาพในคุก แต่การที่ผู้คนแบ่งกันตามสถานภาพที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน (เช่น รายได้ซึ่งเชื่อมโยงกับการศึกษาและรสนิยมการบริโภค รวมทั้งอิทธิพลทางการเมือง และ "เส้นสาย") ก็ย่อมทำให้แต่ละฝ่ายมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมทางลบต่อกันและกัน ตรงกันข้ามกับมิตรภาพ ที่มักจะดึงด้านบวกหรือคุณธรรมออกมา (เช่น แย่งกันออกเงินค่าอาหาร)

แม้ว่าการวิจัยของวิลคินสันเน้นเฉพาะประเทศที่ร่ำรวย 20 ประเทศ ไม่รวมประเทศระดับกลางหรือยากจน แต่ก็บอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับประเทศไทยซึ่งมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าประเทศเหล่านั้นมาก (เมื่อปี 2549 กลุ่มคนที่รวยสุดมีทรัพย์สินสูงเป็น 69 เท่าของกลุ่มที่จนสุด) อย่างน้อยการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวบอกเป็นนัยว่า อาชญากรรม ความรุนแรง ตลอดจนความร้าวฉานของคนไทยทั้งประเทศเวลานี้ เป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมไม่น้อยเลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแตกต่างทางด้านสถานภาพทำให้คนไทยเกิดความไม่ไว้วางใจต่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลางมีแนวโน้มดูแคลนคนระดับล่างที่มีฐานะและการศึกษาต่ำกว่าตนอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปิดเผยผลการสำรวจทัศนคติของประชาชนในเอเชีย พบว่าคนไทยเพียงร้อยละ 18 เท่านั้นที่เห็นว่าคนที่มีการศึกษาน้อยหรือไร้การศึกษา ควรมีสิทธิทางการเมืองเท่ากับคนที่มีการศึกษาสูง ตัวเลขดังกล่าวนับว่าต่ำที่สุดในเอเชีย นั่นหมายความว่าร้อยละ 88 เห็นว่าคนที่มีการศึกษาน้อย (หรือคนจน) ควรมีสิทธิทางการเมืองน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาสูง (หรือคนมีเงิน) ทัศนคติดังกล่าวเป็นทั้งผลพวงและสาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศไทยในเวลานี้

การเรียกหาความสามัคคีหรือสมานฉันท์ของคนในชาติ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากบ้านเมืองมีความเหลื่อมล้ำกันมากมายขนาดนี้ ในทำนองเดียวกันการหวังให้คนมีความเมตตากรุณาหรือมีศีลธรรมต่อกันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากสภาพสังคมที่เป็นอยู่มีแนวโน้มที่จะดึงเอาด้านลบของผู้คนออกมา สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากไม่เพียงบั่นทอนสายสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมเท่านั้น หากยังกัดกร่อนจิตวิญญาณของผู้คนด้วย มิพักต้องเอ่ยถึงการบั่นทอนสุขภาพ (การวิจัยของวิลคินสันชี้ว่าในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง มีอัตราการตายของทารก โรคอ้วน การใช้ยาเสพติด และมีความเครียดสูงตามไปด้วย)

พระพุทธเจ้าตรัสว่าปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดความสามัคคีหรือสาราณียธรรมได้แก่ " สาธารณโภคี " หรือการแบ่งปันกัน ในสังคมระดับประเทศ การแบ่งปันไม่อาจทำด้วยการแจกเงินแบบประชานิยม ซึ่งให้ผลชั่วคราว และมิใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่จะต้องทำให้เกิดกลไกการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ทั้งโดยอาศัยกลไกตลาด กลไกรัฐ และกลไกภาษี รวมทั้งกระจายอำนาจทางการเมืองเพื่อให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

ชาวพุทธพึงระลึกว่าธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจบุคคลและประสานให้ผู้คนเกิดความสามัคคี หรือสังคหวัตถุ 4 นั้น ข้อสุดท้ายได้แก่ สมานัตตตา คือความมีตนเสมอ หรือปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากอย่างสังคมไทยจะส่งเสริมให้เกิดธรรมข้อนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ส่งเสริม เราจะหวังให้คนไทยมีความรักและสามัคคีกันได้อย่างไร....

20

เมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 25 ต.ค.52 ที่วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ ศรีสะเกษ พระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะภาค 10 ฝ่ายธรรมยุติพร้อมด้วยพระญาณวิเศษ เจ้าคณะ จ.ศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุติ พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะ จ.อุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต และหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมและประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต  ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธีทอดถวายมหากฐินทาน ประจำปี 2552

ซึ่งพุทธศาสนิกชนจากประเทศสหรัฐอเมริกาและชาวไทยจากทั่วประเทศจำนวนมาก  ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทอดถวายมหากฐินทาน โดยเป็นต้นกฐินขนาดใหญ่ สูง 9 เมตร จำนวน 27 ต้น ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้าขององค์พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร ซึ่งปรากฏว่าได้มีบรรดาพุทธศาสนิกชนพากันนำเอาเงินชนิดต่าง ๆ มาปักต้นเงินกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม้เสียบเงินธนบัตรชนิดต่างๆ ล้นต้นเงินทั้ง 27 ต้น แต่ก็ยังคงมีบรรดาพุทธศาสนิกชนทยอยพากันมาปักต้นเงินกันอย่างต่อเนื่องจนไม้เสียบเงินเบียดเสียดกันเต็มต้นกฐินยักษ์ โดยการใช้เชือกชักลอกนำเอาตะกร้าบรรจุไม้เสียบเงินขึ้นไปปักบนต้นเงิน โดยในปีนี้ น.ส.ญาณิกา ตระกูลรังสี และครอบครัวจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เป็นเจ้าภาพใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งปรากฏว่าได้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 57,589,141 บาท และทองคำหนัก 11 กก.

มีรายงานด้วยว่าในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม และประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต ได้นำพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในพิธีจำนวนมากจัดพิธีจุดเทียนสีชมพูและร่วมกันนั่งสมาธิเพื่อขอให้อำนาจบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อำนาจบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจิมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต ได้โปรดดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็วด้วย



หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก
ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมและประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต
[/b]

21
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยงานวิจัยถึงการเสียชีวิตในจีนที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ เจอร์นอล วันที่ 8 มกราคม 2552 ว่าในปี 2548 คนจีนเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ 673,000 คน เป็นชาย 538,200 คน และหญิง 134,800 คน โดยในจำนวนนี้เสียชีวิตจากมะเร็ง 268,200 คน โรคหัวใจและหลอดเลือด 146,200 คน และโรคทางเดินหายใจ 66,800 คน ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานในปี 2548 ว่า ชาวจีนเสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง 175,000 คน  เป็นชาย 24,000 คน และเป็นหญิง 151,000 คน อันเป็นผลจากการที่หญิงจีนที่ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ 52 ได้รับควันบุหรี่มือสอง รวมกันได้แล้วชาวจีนเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 848,000 คน

ทั้งนี้ มีคนจีนที่สูบบุหรี่กว่า 300 ล้านคน อัตราการสูบบุหรี่ในเพศชายเท่ากับ 49.6% และเพศหญิงเท่ากับ 3.0% การเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่พบไม่บ่อย โดยผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่จะเลิกสูบเมื่อป่วยแล้ว อายุเฉลี่ยที่เลิกสูบบุหรี่ในเพศชายคือ 61 ปี และเพศหญิง 60 ปี และประมาณครึ่งหนึ่งของแพทย์จีนสูบบุหรี่ !!!

งานวิจัยสรุปว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของชาวจีนและรัฐบาลจีนต้องรีบเร่งรณรงค์ควบคุมการสูบบุหรี่อย่างจริงจัง และแม้ว่าประเทศจีนจะเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกประเทศที่ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก แต่มาตรการควบคุมยาสูบต่างๆ ยังอยู่ในระหว่างริเริ่ม คำเตือนบนซองบุหรี่ของจีนยังอยู่ในลักษณะเดียวกับคำเตือนของประเทศอื่นเมื่อยี่สิบปีก่อน กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะที่เพิ่งเริ่มจะมีก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติตาม เปรียบเทียบกับประเทศไทยที่มีผู้สูบบุหรี่ 9.5 ล้านคน อายุเฉลี่ยที่เลิกสูบบุหรี่เท่ากับ 41 ปี อัตราการสูบบุหรี่ในเพศชายเท่ากับ 36.5% เพศหญิงเท่ากับ 1.6% อัตราการสูบบุหรี่ของแพทย์ชายเท่ากับ 6% และคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 42,000 คน



22
ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุเผยสถิติรถกระบะเทกระจาดพุ่ง นั่งหลังเสี่ยงตายกว่านั่งหน้า 8 เท่า หลายประเทศออกกฎหมายห้ามนั่งท้ายกระบะกันแล้ว

นายศาตราวุธ   ผลบูรณ์   แห่งศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย   มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า สถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 6 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ 2545-2550 พบว่าอุบัติเหตุที่เกิดกับรถกระบะสูงเป็นลำดับที่ 3 คือ 18% รองจากรถจักรยานยนต์ 41% และรถยนต์ส่วนบุคคล 25% แม้รถกระบะจะมีสถิติอุบัติเหตุน้อยกว่ารถส่วนตัว   แต่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกลับมีมากกว่า   เนื่องจากผู้โดยสารกระบะหลังเป็นกลุ่มผู้ใช้รถที่ไม่ได้รับการป้องกันเหมือนผู้ใช้รถยนต์อื่นๆ  เมื่อเกิดอุบัติเหตุ  ผู้โดยสารกระบะหลังจะพุ่งเคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทาง ไปกระแทกกับสิ่งต่างๆ ภายในรถ หรือพุ่งไปชนวัตถุข้างทางอื่น เช่น พื้นถนน ข้างทาง เสา ต้นไม้ จนเกิดความรุนแรงมากกว่าที่ควรจะเป็น

ขณะที่การศึกษาสถิติการบาดเจ็บของผู้โดยสารรถกระบะของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พบว่าผู้โดยสารกระบะหลังจะได้รับความรุนแรงจากการบาดเจ็บมากกว่าผู้โดยสารตอนหน้า  สอดคล้องกับการศึกษาในสหรัฐที่ยืนยันว่าความเสี่ยงที่ผู้โดยสารกระบะหลังจะเสียชีวิตมีมากกว่าผู้โดยสารตอนหน้าถึง 8 เท่า ซึ่ง 25-50% ของผู้ประสบอุบัติเหตุเกิดจากการเสียหลัก โดยที่ไม่ได้ชนกับรถคันอื่นๆ

นายศาตราวุธกล่าวว่ามีคนจำนวนน้อยที่จะรู้ว่าการบรรทุกคนหรือของบนกระบะหลังมากๆ  ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเสียหลักหรือพลิกคว่ำมากกว่าปกติ เพราะจุดศูนย์ถ่วงสูงขึ้น เมื่อประเมินปัจจัยด้านเสถียรภาพของรถแล้ว  พบว่าหากมีผู้โดยสารนั่งอยู่บนกระบะหลัง 10 คน  น้ำหนักเฉลี่ยคนละ  60  กิโลกรัม จะมีโอกาสพลิกคว่ำมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า แต่หากผู้โดยสารทั้งหมดยืนขึ้น  โอกาสพลิกคว่ำจะสูงกว่าเดิมถึง 4 เท่า จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่เคยชินกับการบรรทุกของหนักเป็นประจำ  หลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศอียู และอีก 30 รัฐในสหรัฐ จึงออกกฎหมายห้ามผู้โดยสารนั่งกระบะหลัง

อย่างไรก็ตาม นายศาสตราวุธเห็นว่า   สำหรับประเทศไทยเรื่องนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะปัจจัยต่างๆ  ที่ทำให้การโดยสารด้วยรถกระบะ ยังมีความจำเป็นสำหรับการใช้งานที่สำคัญในบ้านเรา จึงได้แต่ฝากผู้ขับขี่ว่าต้องระลึกอยู่เสมอว่ายิ่งบรรทุกของหรือบรรทุกผู้โดยสารมากเท่าใดโอกาสที่จะเสียหลักพลิกคว่ำและเกิดอุบัติเหตุจะมีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งการลดความเร็วลงจากปกติ ไม่เปลี่ยนช่อง ไม่หักเลี้ยวกะทันหัน  จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุของรถกระบะได้ เพื่อไม่ให้อุบัติเหตุแบบเทกระจาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเทศไทย.



23

ภาพยนต์เรื่อง Chandni Chowk to China ได้สร้างความโกรธแค้นในเนปาลเกี่ยวกับการพาดพิงถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมืองกาตมันดุ:Chandni Chowk to China เป็นภาพยนต์อินเดียเรื่องแรกที่สร้างในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีเนื้อหาบางตอนสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนประเทศเนปาลในเรื่องการอ้างอิงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กลุ่มนักศึกษาที่โกรธแค้นเกี่ยวกับเนื้อหาบางตอนของภาพยนต์เรื่องนี้  ได้พากันฉีกโปสเตอร์ของภาพยนต์โรแมนติกแบบเบาสมองเรื่อง Chandni Chowk to China ที่ติดอยู่ที่โรงภาพยนต์ใจเนปาล ในเมืองกาต มันดุทิ้ง ความโกรธแค้นของกลุ่มผู้ประท้วงทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องแขวนการฉายภาพยนต์เรื่องนี้ขึ้นหิ้งไว้ก่อน

ผู้ประท้วงจุดประกายหัวข้อการประท้วงในครั้งนี้ว่ามีการอ้างอิงข้อมูลในภาพยนต์เรื่องนี้ตอนหนึ่งที่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติในประเทศอินเดีย ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถือกำเนิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาทรงเป็นศาสดาของศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติที่สวนลุมพินี ซึ่งในปัจจุบันนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล และได้กลายเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนให้ไปเยี่ยมชมในแต่ละปี

ก่อนที่จะเริ่มฉายรอบปฐมทัศน์ ภาพยนต์เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ภาพยนต์ของเนปาล ซึ่งทางคณะกรรมการชุดนี้ได้ร้องขอให้ทางอินเดียตัดฉากที่เป็นปัญหานั้นออก ซึ่งทางโรงภาพยนต์ใจเนปาลก็ได้ตรวจสอบเนื้อหาของภาพยนต์ดังกล่าว  และได้ทำการตัดฉากที่เป็นข้อพิพาทตามคำสั่งของทางคณะกรรมการออกไปแล้ว  แต่คำพูดที่กลายเป็นประเด็นขัดแย้งยังคงเหลือปรากฎอยู่ และเป็นสาเหตุจุดประ กายในเกิดความโกรธแค้นอย่างกว้างขวางแก่สาธารณชนขึ้น

ผู้ประท้วงได้เรียกร้องให้รัฐบาลนิยมลัทธิเหมาของนายกรัฐมนตรี Pushpa Kamal Dahal ‘Prachanda’ ให้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้กับทางรัฐบาลอินเดีย

ทางด้านเวปไซท์ The Dainikee.com ได้รายงานว่า ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ผู้ที่เป็นนักศึกษาเท่านั้น นาย KP Pathak สมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการพัฒนาภาพยนต์เนปาลและเป็นหัวหน้าของสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์เนปาล ได้ออกมากระตุ้นให้ชาวเนปาลร่วมกันบอยคอทภาพยนต์เรื่องนี้

“ภาพยนต์เรื่องนี้ได้มุ่งไปที่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง” ทางเวปไซท์นี้ได้อ้างคำพูดของนาย Pathak ที่กล่าวว่า “เรากำลังเรียกร้องให้ผู้ชมภาพยนต์ร่วมกันบอยคอทภาพยนต์ประเภทนี้”

ทางด้านผู้กำกับ Nikhil Advani และเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์ Chandni Chowk to China ร่วมกับบริษัท Warner Brothers’ ได้สร้างภาพยนต์ฮินดูเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ร่วมกับบริษัท Warner Brothers โดยมี Akshay Kumar และ Deepika padukone เป็นดารานำในภาพยนต์ที่สร้างขึ้น

24



ชีวิตของมหาตมะ คานธี เป็นชีวิตของผู้ที่ตรวจสอบตัวเองและชำระจิตใจของตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ การทดลองความจริงทั้งหมดของคานธีตั้งอยู่บนรากฐานของความบริสุทธิ์ ในทางการเมืองนั้น คานธีจะใช้วิธีที่สงบแต่เฉียบขาดบนพื้นฐานของความบริสุทธิ์และความยุติธรรมเสมอ เมื่อใดก็ตามที่ท่านเห็นว่าประชาชนของท่านเริ่มใช้วิธีการที่รุนแรงท่านก็จะทัดทานไว้ และถ้าจำเป็นท่านก็จะหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นเสียและหันกลับมาสำรวจความบกพร่องของตนเองและประชาชนของท่าน ในหลายครั้ง  คานธีใช้วิธีอดอาหารเพื่อชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้ประชาชนของท่านสำนึกในความผิดที่ได้ใช้วิธีการที่รุนแรงลงไป

ชีวิตในระยะหลังของคานธีนั้นเป็นชีวิตของความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สุด ท่านยอมรับความผิดพลาดบก พร่องของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับคานธีแล้วการสารภาพความผิดช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง บริสุทธิ์ และระมัดระวังมากขึ้น ท่านกล่าวว่า "ไม่มีสิ่งใดจะน่าละอายไปกว่าการไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง"

อิสรภาพแห่งการปกครองตนเอง

ตามทรรศนะของคานธี ในระบอบประชาธิปไตยที่ดีเสียงส่วนใหญ่ควรจะเป็นประชาธิปไตยเพียงพอ  และมีความเห็นอกเห็นใจที่จะไม่ทำให้ความต้องการของคนส่วนน้อยต้องเดือดร้อน และในทางกลับกันคนส่วนน้อยก็ควรที่จะกล้าลุกขึ้นมายืนหยัดในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและต่อสู้ตามวิธีการแบบ "อหิงสา" รัฐบาลซึ่งเป็นที่นิยมของประชาชนนั้น แม้เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนจะเป็นตัวชี้ขาดแนวนโยบายในทางปฏิบัติ แต่คานธีก็ชี้ด้วยความเป็นห่วงใยว่า "ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพส่วนบุคคลในการแสดงความคิดเห็นและการกระทำเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ด้วยความหวงแหน... ข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งที่เราต้องการคือรัฐบาลที่ไม่ใช้อำนาจบังคับแม้กับคนที่เป็นเสียงส่วนน้อย แต่ควรเลือกใช้ด้วยวิธีการเปลี่ยนใจเขาเหล่านั้น" คานธีเชื่อว่า ปัจเจกชนและคนส่วนน้อยมักจะถูกลืมและไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรในการปกครองด้วยระบบผู้แทนที่กว้างใหญ่ ดังนั้น ท่านจึงนิยมเป็นอย่างยิ่งต่อการปกครองแบบ "สหพันธรัฐ" ที่มีการกระจายอำนาจลงไปถึงหมู่บ้านและให้แต่ละหมู่บ้านได้มีอิสระปกครองตนเอง  โดยแต่ละหมู่บ้านจะสามารถพึ่งตนเองได้ในเกือบทุกๆ ทาง ทั้งในด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม น้ำดื่มและน้ำใช้  การสุขาภิบาล การศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษา เครื่องพักผ่อนหย่อนใจทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เหล่านี้เป็นต้น

กิจกรรมทุกอย่างควรกระทำบนพื้นฐานแห่งความร่วมมือกันเท่าที่จะเป็นไปได้  "อหิงสา พร้อมด้วยวิธีการของสัตยาเคราะห์และการไม่ให้ความร่วมมือ จะเป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบอำนาจกันเองภายในหมู่บ้าน" ชาวบ้านจะผลัดเวรกันรักษาหมู่บ้าน รัฐบาลของหมู่บ้านจะนำโดย "ปัญจยัต" (Panchayat) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันห้าคน บุคคลทั้งห้านี้จะได้รับการเลือกตั้งเป็นประจำทุกปีจากชาวบ้านที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนทั้งชายแหญิง...      ปัญจยัตนี้จะทำหน้าที่ทั้งออกกฎข้อบังคับ ตัดสินความ และบริหารงานรวมกันไปในหมู่บ้านที่มีการปกครองแบบสาธารณรัฐเช่นนี้ เมื่อความต้องการขั้นพื้นฐานทางวัตถุของปัจเจกบุคคลได้รับการตอบสนอง เขาจะเป็นอิสระในการดำรงชีวิตที่เป็นอุดมคติในข้อที่ว่า "เป็นอยู่อย่างเรียบง่ายและคิดอย่างสูง" (Plain Living and High Thinking) และประพฤติปฏิบัติเพื่ออิสรภาพแห่งจิตวิญญาณ เมื่อหมู่บ้านเช่นนี้ไม่ได้สะสมความมั่งคั่งส่วนเกินไว้และก็ไม่มีเจตนาร้ายต่อหมู่บ้านอื่น จึงเป็นที่หวังได้ว่าสันติสุขจะมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการทางจริยธรรมและทางจิตวิญญาณ

ความรักชาติและความรักระหว่างชาติ

แต่แม้คานธีจะสนับสนุนอย่างแข็งขันถึงหมู่บ้านสาธารณรัฐว่าจะนำไปสู่พัฒนาการโดยอุดมคติของปัจเจกชนก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งท่านก็ยังเชื่อถึงความจำเป็นของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในบางเรื่อง เช่น เศรษฐกิจและวัฒนธรรม เป็นต้น อันที่จริงท่านเชื่อว่าเมื่อปัจเจกชนได้พัฒนาจิตสำนึกที่เข้มแข็งทางจริยธรรมและทางสังคมอย่างเต็มที่ภายใต้บรรยากาศอันเหมาะสมของหมู่บ้านแล้ว เขาก็จะพัฒนาความรักในเพื่อนมนุษย์ซึ่งจะทำลายข้อกีดกั้นทั้งหมดในเรื่องชาติและในทางภูมิศาสตร์ด้วย

เช่นเดียวกับนักคิดที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ของอินเดียในปัจจุบัน คานธีเชื่อว่า "ไม่มีวัฒนธรรมใดจะสามารถดำรงอยู่ได้หากพยายามแยกตัวไปอยู่ต่างหาก" ท่านปรารถนาจะเห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมเพื่อความก้าวหน้าในทางที่ดีขึ้นของทุกวัฒนธรรม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงเรื่องการสุขาภิบาล ท่านกล่าวว่า "สิ่งหนึ่งซึ่งเราสามารถเรียนรู้และจะต้องเรียนรู้จากตะวันตกก็คือ วิชาการสุขาภิบาลของเมือง... และเมื่อกล่าวรวมถึงความรักชาติ การไม่สร้างศัตรู หรือการไม่มีความประสงค์ร้ายแล้ว ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าหวาดหวั่นต่อลัทธิวัตถุนิยมของตะ วันตก ข้าพเจ้าก็ไม่ลังเลใจที่จะรับจากตะวันตกในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้าพเจ้า" ดูเหมือนว่าอุดมคติของคานธีในเรื่องความรักชาติจะไม่แยกอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรักชาติของอินเดียได้รับแรงดลใจมาจากความเชื่ออันโดดเด่นของอินเดียในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพื้นฐานของมวลมนุษย์ แม้จะมีความแตกต่างในด้านผิวพรรณและอื่นๆ ก็ตาม และความเชื่อที่ติดตามมาในเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ ดังนั้น ความรักชาติโดยเหตุผลแล้วจะนำไปสู่ความรักระหว่างชาติ ความรักในมนุษย์ทำให้คานธีมีทั้งความรักชาติและความรักระหว่างชาติ ท่านต้องการดำเนินงานทางการเมืองเพื่อฟื้นฟูแก้ไขอินเดีย มิใช่ด้วยการสร้างความเกลียดชังในทางเชื้อชาติหรือทางชนชั้น แต่ด้วยเจตจำนงของสัจจะและความรัก ชีวิตและสัจจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกออกจากกันได้ ชีวิตไม่สามารถที่จะก้าวหน้าไปตามลำพัง อิสรภาพทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และจริยธรรม เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก และต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กันในทุกด้าน จิตวิญญาณที่สมบูรณ์ประกอบไปด้วยการเห็นแจ้งในความจริงอย่างครบถ้วน และความก้าวหน้าในทุกๆ ด้านของชีวิตมนุษย์ คานธีกล่าวว่า "บนหลักการที่ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าย่อมรวมเอาสิ่งที่เล็กกว่าเข้าไว้ อิสรภาพของประเทศหรือเสรีภาพในทางวัตถุย่อมรวมเข้าไว้ในจิตวิญญาณ"

ดังนั้น คานธีจึงกล่าวว่า "ข้อเสนอของข้าพเจ้าเกี่ยวกับปูรณสวราช (Purna Svaraj: การปกครองตนเองโดยสมบูรณ์) มิใช่เป็นอิสรภาพที่แยกอยู่ต่างหากอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจและอย่างมีศักดิ์ศรี" และ "ความเป็นชาตินิยมของเราจะไม่เป็นอันตรายต่อชาติอื่น ตราบเท่าที่เราจะไม่เอาเปรียบใครเท่าๆ กับที่เราจะไม่ให้ใครเอาเปรียบ ด้วยสวราช เราจะรับใช้โลกทั้งมวล"

ทรรศนะอันกว้างไกลและมั่นคงของคานธีช่วยให้ท่านมีอารมณ์เย็น และการชั่งใจของท่านชัดเจนอยู่เสมอ ท่านไม่เคยไร้ซึ่งอารมณ์ขันเลย ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษจากออกซ์ฟอร์ดผู้หนึ่งซึ่งมีโอกาสได้เฝ้าสังเกตคานธีในอังกฤษขณะเมื่อท่านถูก "ซักฟอกและรุมถาม" โดยผู้นำระดับสูงของอังกฤษกลุ่มหนึ่งเป็นเวลาสามชั่ว โมง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "ความตระหนักใจได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าว่านับตั้งแต่โซเครติส (Socrates) เป็นต้นมา โลกยังไม่เคยเห็นใครที่ควบคุมตัวเองได้อย่างเด็ดขาดและมีอารมณ์ที่สงบเย็นเท่ากับเขาเลย" คานธีได้พรรณนาความฝันของท่านอย่างมีชีวิตชีวา ถึงการค่อยๆ ขยายจิตวิญญาณของปัจเจกชนกระทั่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมนุษยชาติทั้งมวลโดยผ่านการรับใช้และการเสียสละตนเอง ในวารสาร Young India รายสัป  ดาห์ (17 กันยายน ค.ศ.1925) ท่านได้ตีพิมพ์ข้อความอันควรแก่การจดจำข้างล่างนี้ในขณะที่ท่านกำลังต่อสู้ด้วยความขมขื่นกับการปกครองของอังกฤษและถูกจับขังคุกกับถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า "ข้าพเจ้าปรารถนาจะเห็นอินเดียเป็นอิสระและเข้มแข็งเพื่อว่าอินเดียจะได้อุทิศตนเองด้วยความเสียสละอย่างเต็มใจและบริสุทธิ์เพื่อโลกที่ดีขึ้นกว่านี้ ปัจเจกชนอุทิศตนให้แก่หมู่บ้าน หมู่บ้านแก่ตำบล ตำบลแก่จังหวัด จังหวัดแก่ประเทศ ประเทศแก่โลกทั้งมวล"

ดังนั้น การเมืองได้กลายเป็นศาสนาตลอดชั่วชีวิตของคานธี ความรักชาติเป็นก้าวที่นำไปสู่ความรักระหว่างชาติ

25


ปางใหม่- วัดขนอนเหนือ บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธเป็นที่ฮือฮาแก่ผู้พบเห็น แต่ชาวบ้านย่านนั้นกราบไหว้ขอพรให้หายเจ็บป่วยมานานนับ 50 ปีแล้ว

ชาวกรุงเก่าฮือฮาพระพุทธรูปปางประหลาด 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นปางพยาบาลภิกษุอาพาธ อีกองค์เป็นปางรับโชค ประดิษฐานอยู่ที่บางปะอินทั้งสององค์ เป็นที่นับถือศรัทธาจากชาวบ้านในด้านช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ

ช่างผู้ปั้นพระเผยอดีตเจ้าอาวาสเป็นคนดำริจัดทำขึ้นตามภาพถ่ายที่ได้มา พอปั้นเสร็จก็ได้รับศรัทธาอย่างเนืองแน่นจากชาวบ้าน ทางด้านผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมชี้เป็นปางที่มีอยู่ในพุทธประวัติอยู่แล้ว เพียงแต่คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไร

สืบเนื่องจากผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวว่าที่วัดขนอนเหนือ ริมถนนสายเอเซีย ต.บ้านกรด อ บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระพุทธรูปลักษณะพิสดาร ไม่เหมือนกับพระพุทธรูปตามวัดต่าง ๆ สร้างความประหลาดใจต่อผู้พบเห็น จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าพระพุทธรูปดังกล่าว ตั้งอยู่ด้านข้างอุโบสถของวัด ประดิษฐานอยู่บนซุ้มปูนปั้นทรงไทย ยกฐานสูงจากพื้นดินประมาณ 180 ซ.ม. ลักษณะของพระพุทธรูปสูงประมาณ 2 เมตร อยู่ในท่านั่งเข่าขวาตั้งชัน ไว้ผมมวย มีใบหน้าอ่อนหวานคล้ายเจ้าแม่กวนอิม ในวงแขนมีรูปปั้นพระสงฆ์นอนคล้ายกับอาพาธอยู่ ที่ฐานพระพุทธรูปเขียนเป็นปูนปั้นว่า "พระพุทธรูปจริยาปางพยาบาลภิกษุอาพาธ"

พระปลัดเนตร โกสโล อายุ 40 ปี เจ้าอาวาสวัดขนอนเหนือ เปิดเผยว่าตั้งแต่มาเป็นเจ้าอาวาสก็เห็นพระพุทธรูปดังกล่าวแล้ว ไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้สร้างเหมือนกันว่าสร้างแบบดังกล่าวทำไม ทราบแต่เพียงว่าอดีตเจ้าอาวาสรูปเดิม ได้สั่งให้ช่างสิริ บ้านอยู่ที่หมู่ 4 ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน ปั้นพระพุทธรูปปางดังกล่าว ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมวัด ต่างสงสัยเข้ามาสอบถามกันบ่อยครั้ง ทางวัดจึงกำลังรวบรวมประวัติพระพุทธรูปดังกล่าวรวมกับประวัติของวัดด้วย เนื่องจากวัดขนอนมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรี อยุธยา นอกจากนี้ ภายในอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนัง เล่าเรื่องราวสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักฐานด้วย

จากการสอบถามนายสิริ ภาคาหาญ อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 ม.4. ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน ช่างปั้นพระพุทธรูปดังกล่าว เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาว่า เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีอาชีพเป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน ชอบงานด้านช่าง แล้วพัฒนาฝีมือจนมาเป็นช่างปูน รับสร้างพระอุโบสถตามวัดต่างๆ และสร้างศาลาทรงไทย ก่อนจะมาเป็นพระพุทธรูปดังกล่าว พระครูพิศาลวิมลกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอนเหนือที่มรณภาพไปแล้วได้นำภาพถ่ายพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธ อุ้มพระอยู่ ซึ่งเห็นว่าแปลกดี แล้วให้ตนเป็นคนปั้น เพื่อให้ชาวบ้านสักการบูชาและขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ช่างสิริกล่าวว่า ในการปั้นครั้งนั้น ตนไม่เคยปั้นพระพุทธรูปมาก่อน รับทำแต่ลวดลายปูนปั้นประดับศาลาและโบสถ์เท่านั้น การปั้นจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล ใช้เวลาปั้นนานประมาณ 1 เดือนจึงเสร็จ พระพุทธรูปออกมาสวยงามดี ชาวบ้านเห็นแล้วเกิดศรัทธาเข้ามากราบไหว้บูชาขอบารมีรักษาโรคภัยไข้เจ็บ จนเป็นที่เลื่องลือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้มีเมตตามารักษาโรคให้ ระหว่างปั้นยังมีชาวบ้านนำพระเครื่องหลายองค์มาบรรจุไว้ที่เศียรและหน้าอกด้วย แต่ไม่ทราบจำนวน

ช่างปั้นพระกล่าวต่อว่า หลังจากปั้นพระพุทธรูปปางพยาบาลเสร็จ ได้มีพระช่วง อาจินตโน อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านหว้า มาให้ตนปั้นพระพุทธรูปอีก 1 องค์ โดยเศียรพระพุทธรูปเป็นเนื้อหินทะเลที่ชาวประมงลากติดอวนได้มา ให้ปั้นต่อเป็นองค์พระท่ายืน นำไปตั้งประดิษฐานไว้ที่ปากทางเข้าวัดบ้านหว้า ริมถนนสายเอเซียก.ม. 11-12 หมู่ 3 ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน โดยปั้นพระพุทธรูปให้มือขวาอยู่ในลักษณะกวักเขาหาตัว มือซ้ายปั้นในลักษณะแบมือรับโชค หรืออุ้มโชคไว้ ตอนนั้นแปลกใจในรูปแบบ คิดอยู่นานว่าจะปั้นออกมาอย่างไร พยายามอยู่หลายครั้งจนปั้นเสร็จสมบูรณ์ พบว่าชาวบ้านให้ความสนใจเข้ามากราบไหว้เป็นจำนวนมากเพื่อขอบารมีโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น จนมีชาว จ.กำแพงเพชร มากราบไหว้แล้วถูกหวยรางวัลที่ 1 จึงมาติดต่อว่าจ้างให้ตนไปปั้นพระพุทธรูปลักษณะเดียวกันที่ จ.กำแพงเพชรด้วย แต่ตนไม่ได้ไปสร้างให้ หลังจากสร้างพระพุทธรูปปางรับโชคเสร็จได้ไม่นาน ทางวัดได้ก่อสร้างอุโบสถหลังใหญ่มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท แต่ประชาชนบริจาคเงินช่วยสร้าง แล้วเสร็จภายในเวลา 1 ปีเท่านั้น

นางยุพา ชองขันปอน อายุ 40 ปี ชาวบ้าน อ.บางปะอิน ที่อยู่ห่างจากวัดประมาณ 2 ก.ม. เปิดเผยว่าเคยเดินทางไปกราบไหว้พระพุทธรูปทั้งสององค์อยู่บ่อยครั้ง เมื่อยามรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย จะนึกถึงพระพุทธรูปองค์นี้ประจำ เมื่อไปสักการะขอพรพระพุทธจริยา ปางพยาบาลภิกษุอาพาธ อาการที่เคยไม่ค่อยสบายจะรู้สึกหายไป เชื่อว่าพระพุทธรูปองค์นี้ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง แล้วเกิดความสบายใจขึ้น

ทางด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระพุทธรูปปางพิสดารที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้ง 2 องค์ว่าจากการที่วัดขนอนเหนือ อ.บาง
ปะอิน ปั้นพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธจนเป็นที่ฮือฮาของนักท่องเที่ยวนั้น พุทธศาสนิกชนชาวไทย นิยมที่จะสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ตามพุทธประวัติ ซึ่งพระพุทธจริยาปางพยาบาลภิกษุอาพาธ น่าจะสร้างมาจากพุทธประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ที่พระองค์เสด็จเยี่ยมพระภิกษุที่อาพาธ ทั้งนี้ ปางพระพุทธรูปดังกล่าวอาจจะไม่ค่อยมีใครสร้างขึ้น จึงทำให้รู้สึกแปลกตา ทั้งที่จริงแล้ว สร้างมาจากพุทธประวัติทั้งสิ้น ส่วนรูปแบบการสร้างปางพระพุทธรูปนั้น จะแตกต่างกันออกไปตามจินตนาการของผู้สร้างและกำลังศรัทธาของประชาชน เช่น พระพุทธรูปยืนบางองค์ก็สูงชะลูดไม่ได้สัดส่วน เป็นต้น ซึ่งก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ด้วยสร้างจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

"หากมองแล้วว่าพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธ ไม่มีลักษณะที่น่าเกลียดและเป็นที่ศรัทธาของประชา ชนก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้ามีพุทธลักษณะที่ไม่เหมาะสมออกไปในแนวอุบาทว์ ก็จะต้องให้ทางเจ้าคณะจังหวัดเข้าไปดูแล อย่างไรก็ตาม มหาเถรสมาคมได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการจัดสร้างพระพุทธรูปไว้ว่าการจะสร้างพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะแปลกๆ ต้องขออนุญาตจากมหาเถรสมาคม หรือเจ้าคณะจังหวัดผู้ปกครองถึงความเหมาะสมก่อน หากวัดไหนสร้างพระพุทธรูปปางพิสดาร โดยไม่ขออนุญาต ก็จะต้องให้ทางเจ้าคณะผู้ปกครองดำเนินการตักเตือน" ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรฯ กล่าว

ส่วนนายแก้ว ชิดตะขบ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีพระพุทธรูปปางพิสดารที่ จ.พระนครศรีอยุธยาว่าพระพุทธรูปแต่ละปางเปรียบเป็นรูปสมมติของพระพุทธเจ้าในอิริยาบถต่างๆ ซึ่งมีการสร้างขึ้นตามความเชื่อในพุทธประวัติ ตามตำนานพุทธประวัติกล่าวว่าในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล ให้ช่างจำหลักพระรูปเหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นจากไม้แก่นจันทน์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธองค์ที่เสด็จไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา นับเป็นการสร้างพระพุทธรูปครั้งแรก แต่เดิมพระพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพ เพราะในสมัยอินเดีย มีข้อห้ามในการสร้างรูปเคารพ แต่เนื่องจากชาวอารยันที่มีเชื้อสายกรีก ซึ่งมาตั้งรกรากอยู่ทางอินเดียตอนเหนือ เคยนับถือศาสนเทวนิยมและจำหลักรูปเคารพของเทพเจ้ากลุ่มโอลิมปัส เมื่อเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา จึงได้จำหลักศิลารูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นเคารพแทน ต่อมาวัฒนธรรมและศิลปะดังกล่าวได้แพร่หลายมาถึงอินเดียใต้และลังกา ก่อนแพร่หลายเข้าสู่เมืองไทย ทั้งนี้ ตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

นายแก้วกล่าวว่า การสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ จะต้องเป็นปางที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติโดยตรง คือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามพุทธประวัติ เช่น ปางไสยาสน์ ปางมารวิชัย ปางลีลา เป็นต้น ซึ่งในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ให้การยอมรับปางพระพุทธรูปทั้งหมด 70 กว่าปางเท่านั้น แต่สำหรับในฝ่ายมหา ยาน อาจจะมีการสร้างปางพระพุทธรูปที่แตกต่างออกไปบ้าง ตามคติความเชื่อของแต่ละนิกาย นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา กล่าวต่อว่า เท่าที่ทราบ ก่อนหน้านี้ในประเทศไทยเคยมีการสร้างพระพุทธรูปปางพิสดารออกมามากมาย บ้างก็ทำได้สวยงาม บ้างก็สร้างออกมาอย่างไม่เหมาะสม ทำให้พุทธศาสนิกชนที่ได้แลเห็นเกิดความไม่สบายใจ หากมีการสร้างออกมาแล้ว ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเกิดความไม่สบายใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือฝ่ายปกครอง ต้องสั่งให้ทางวัดหรือเจ้าของสถานที่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังกล่าว ต้องนำผ้ามาคลุมและเก็บไว้อย่างมิดชิด มิให้นำออกมาสู่ภายนอกอีกต่อไป แต่มีบางกรณีที่มีศิลปินบางท่าน อาจสร้างพระพุทธรูปปางที่แตกต่างออกไปจากแบบที่เป็นทางการ เพื่อความสวยงามทางศิลปะ ตรงนี้ก็สามารถทำได้ แต่ต้องให้มีความเหมาะสมต่อสมณสารูปแห่งพระพุทธรูป คือ มีความสำรวมและงดงามตามหลักทางพระพุทธศาสนา

26

วัดมัลลิกา ดาลดาหรือ " วัดพระเขี้ยวแก้ว " แห่งเมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา เป็นสถานที่ประดิษฐานพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นพระเขี้ยวแก้วเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์ โดยมีหลักฐานรองรับความถูกต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศาว่าด้วยพระทันตธาตุ หลังจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 องค์คือ.....

องค์ขวาบน ประดิษฐานอยู่ที่เจดีย์เกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

องค์ขวาล่าง อยู่ที่แคว้นคันธารราษฎร์ อันได้แก่ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน ซึ่งได้หายสาบสูญไปแล้ว

องค์ซ้ายล่าง อยู่ที่นาคพิภพบาดาล

และสุดท้ายคือองค์ซ้ายบน ประดิษฐาน ณ เกาะลังกาแห่งนี้

นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มาโดยตลอด มิเคยถูกนำออกนอกดินแดนเลยนับตั้งแต่ถูกอัญเชิญมาจากชมพูทวีปโดยเจ้าหญิงเหมมาลา แห่งแคว้นกาลิงคะเมื่อกว่า 1,700 ปีก่อน ชาวศรีลังกาต่างถวายความเคารพต่อพระทันตธาตุอย่างสูงสุด โดยเชื่อกันว่าหากเมื่อใดพระเขี้ยวแก้วถูกนำออกนอกเกาะลังกาแล้ว ก็จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติ

และยังเชื่อว่า หากเมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัยขึ้น การเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกให้ผู้คนสักการบูชา จะสามารถขจัดเภทภัยต่างๆ ได้ โดยจะมีการจัดพิธีสมโภช เปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ในช่วงราวทุก 4-5 ปี โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นเมื่อระหว่างวันที่ 6-16 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา

ทุกวันนี้ ชาวศรีลังกายังคงระลึกถึงเมื่อคราวที่อังกฤษยกทัพเข้ามายึดกรุงศรีวัฒนาปุระแคนดีแห่งนี้เมื่อพ.ศ.2352 ทหารลังกาทุกนายยอมวางอาวุธแต่โดยดี เมื่อทราบว่าอังกฤษสามารถยึดพระเขี้ยวแก้วไว้ได้แล้ว หากมิฉะนั้น การสู้รบก็คงจะยืดเยื้อ ด้วยทหารลังกายังหมายจะต่อสู้โจมตีพวกอังกฤษต่อไปไม่คิดยอมจำนน

หลังจากพวกอังกฤษยึดเอาพระเขี้ยวแก้วไว้ ก็เกิดความแห้งแล้งอย่างหนักติดต่อกันหลายปี เกิดความทุกข์ยากแสนสาหัสทั่วประเทศ ชาวลังกาจึงเจรจากับผู้ปกครองอังกฤษ ขออนุญาตให้มีการนำพระเขี้ยวแก้วมาเปิดบูชาตามประเพณีโบราณ ซึ่งฝ่ายอังกฤษก็ยินยอม

ในระหว่างทำพิธีนั้นเอง ท้องฟ้าที่เคยปราศจากเมฆฝนมาหลายปี ก็บังเกิดฝนเทลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำ และอัศจรรย์ใจให้ผู้คนที่พบเห็น แม้กระทั่งพวกอังกฤษก็เช่นกัน  ปาฏิหาริย์ของพระเขี้ยวแก้ว เป็นเรื่องที่ชาวศรีลังกาเล่าขานกันมิรู้เบื่อ

พิธีการเปิดพระเขี้ยวแก้วซึ่งบรรจุอยู่ในเจดีย์ทองคำ และผอบทองคำเจ็ดชั้น ประดิษฐานในห้องกระจกกันกระสุนอย่างแน่นหนา การนำออกมาให้สาธุชนสักการบูชานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกุญแจที่ใช้เปิดพระเจดีย์ทองแต่ละชั้นมีถึง 3 ดอก แยกกันถือโดยพระมหาสังฆนายก (เทียบได้กับพระสังฆราช) สยามนิกาย 2 องค์ที่ปกครองฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี

ส่วนกุญแจอีกดอกอยู่กับตัวแทนของฝ่ายฆราวาส อันมาจากการเลือกตั้งจากผู้มีเกียรติ อันเป็นที่ยอมรับของทั้งทางฝ่ายศาสนาและประชาชน มีตำแหน่งเรียกว่า "นิละเม" ซึ่งทั้ง 3 ท่านนี้จะต้องมาโดยพร้อมเพรียงกัน ถึงจะเปิดได้

ระหว่างการเปิด คณะกรรมการจะถอดสายสร้อย สายสังวาล เครื่องเพชร เครื่องทองต่างๆ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ามหาศาลที่ชาวพุทธศรีลังกาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ในอดีตจนถึงชาวบ้านปัจจุบัน ได้ถอดคล้องถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนมากมาย จนต้องทำบัญชีบันทึกไว้ทุกชิ้นในทุกครั้งที่ทำการเปิดพระเขี้ยวแก้ว


การเปิดพระเขี้ยวแก้ว จะเริ่มจากพระเจดีย์ทององค์ใหญ่ชั้นนอกสุดเข้าไปหาพระเจดีย์ทองที่ลดหลั่นเล็กลงไปอีก 4 ชั้น ชั้นในจะพบผอบหิน และผอบทองคำฝังอัญมณี และเมื่อเปิดออก ก็จะเป็นกลักทองประดับเพชรพลอยล้ำค่า ซึ่งเป็นที่บรรจุพระทันตธาตุชั้นในสุด

พระเขี้ยวแก้ว จะถูกอัญเชิญนำออกมาประดิษฐานสอดในห่วงเส้นทองคำปักบนฐาน อัญเชิญไว้ในเจดีย์แก้วขนาดใหญ่ เพื่อให้สาธุชนเห็นได้ชัดเจนระยะไม่กี่เมตร  ท่ามกลางการแห่ประโคมของช่างฟ้อน ช่างดนตรี เสียงปี่กลองมังคละดังกระหึ่ม ขับความชั่วร้ายทั้งปวงให้ออกไปจากมณฑลพิธี ภาพชาวศรีลังกาที่แออัดกันเพื่อที่จะขอมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ได้กราบนมัสการพระเขี้ยวแก้ว หลั่งไหลกันมาราวกับสายน้ำ  จำนวนผู้คนนับแสนที่ต่อแถวกันด้วยอาการสงบ ยาวออกไปนอกวัด นับหลายกิโลเมตร ต่างคนมาจากต่างเมือง มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เพื่อที่จะขอสักครั้งเข้าไปกราบนมัสการพระทันตธาตุ มิพักที่จะต่อแถวตั้งแต่ตีสี่ตีห้า กว่าจะได้เข้าไปกราบเพียงไม่กี่อึดใจตอนประมาณบ่ายสามโมงเย็น แล้วเดินยิ้มหน้าใสออกมา เพียงเพื่อจะมาต่อแถวใหม่อีกครั้ง

พระทันตธาตุ สัณฐานคล้ายดอกจำปีตูมปลายสอบ สีเหลืองอมส้ม ตรงปลายสอบเล็กน้อย มีขนาดใหญ่กว่าฟันมนุษย์ธรรมดา

พระเขี้ยวแก้วนี้ย่อมเป็นของแท้จริงอย่างแน่นอน แท้จริงด้วยพระคัมภีร์โบราณที่มีการสืบทอดมานานนับพันปี แท้จริงด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าของชาวพุทธลังกาผู้ปราศจากวิกิจฉาลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย แท้จริงด้วยจิตใจอันงดงามบริสุทธิ์ อันยึดเอาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เพ่งรวมกันเป็นพลังแรงกล้าซึมซ่านอาบอวลทุกอณูอากาศทั่วบริเวณเขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ .......
[/b]





27
ชี้เรียนอยู่ในสำนักเรียนใน กทม. แต่กลับไปสมัครสอบในสนามสอบต่างจังหวัด ซึ่งหากทางสำนักเลขานุการแม่กองบาลีฯ ตรวจพบก็จะกำชับผู้นำข้อสอบ ให้มีการดูแลสนามสอบแห่งนั้นเข้มงวดเป็นพิเศษ

พระธรรมปัญญาภรณ์ เลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง กล่าวว่า สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวงได้กำหนดวันสอบบาลีสนามหลวงประจำปี 2553 โดยจะมีการสอบในช่วงเดือน ม.ค. และ ก.พ.2553

ส่วนการส่งบัญชีผู้สมัครสอบทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค   จะเริ่มส่งบัญชีผู้สมัครสอบได้ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.นี้ และหลังวันที่ 16 ธ.ค. ทางสำนักงานเลขานุการแม่กองบาลีฯ จะพิจารณาเพื่อประกาศรายชื่อและสนามสอบ ทั้งนี้  ในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีผู้สอบบางรูปส่อเจตนาที่จะทุจริตในการสอบ เพราะว่าเรียนอยู่ในสำนักเรียนใน กทม. แต่กลับไปสมัครสอบในสนามสอบต่างจังหวัด โดยหากทางสำนักเลขานุการแม่กองบาลีฯตรวจพบก็จะกำชับผู้นำข้อสอบให้มีการดูแลสนามสอบแห่งนั้นเข้มงวดเป็นพิเศษ

เลขานุการแม่กองบาลีฯ กล่าวต่อไปว่า การที่เรียนในสำนักเรียนใน กทม. แล้วไปสมัครสอบในสนามสอบต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะสนามสอบใน กทม.ก็มีอยู่มาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนตัวผู้สอบได้ เนื่องจากเห็นว่าพระต่างจังหวัดไม่รู้จักพระใน กทม. เมื่อลงสมัครสอบในสนามต่างจังหวัดก็จะให้พระรูปอื่นไปสอบแทน ทั้งนี้ สำหรับโทษของการทุจริตในการสอบบาลีสนามหลวงนั้น หากมีการตรวจพบและเมื่อตรวจสอบแล้วว่ากระทำการทุจริตสอบจริง  ก็จะโดนตัดสิทธิ์ห้ามสอบเป็นเวลา 5 ปี.

ที่มา : ข่าวแวดวงพระสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

*****************************************************
ว้าว....ยังกับพวกนักการเมืองกังฉินเลย จับได้ เว้นวรรค 5 ปี!!![/
b] :004: :004:

28
หลินปิงและหลินฮุ่ย สร้างความตกตะลึงให้กับคณะสงฆ์ทั้งส่วนกลางและภาคเหนือที่เดินทางมาชมความน่ารัก ด้วยการนั่งหมอบตัวลงเหมือนแสดงความเคารพโดยการก้มหัวหลายครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.30 น.ของวันที่ 2 ตค.52 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม.พร้อมคณะสงฆ์ทั้งส่วนกลางและภาคเหนือได้เดินทางมาชมความน่ารักของ หลินปิงและหลินฮุ่ย ในบริเวณคอกกักหมีแพนด้าโดยมีนายชุมพร แสงมณี รอง ผวจ.เชียงใหม่ นายธนภัทร พงษ์ภมร ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ และนายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยส่วนจัดแสดงหมีแพนด้าแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ

โดยหลินฮุ่ย เมื่อคณะสงฆ์มาชม หลินฮุ่ยถึงกับหยุดกินไผ่และได้แสดงท่านั่งหมอบตัวลงเหมือนแสดงความเคารพโดยการก้มหัวหลายครั้ง สร้างความฮือฮาให้กับคณะสงฆ์ที่มากับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เจ้าคณะใหญ่หนเหนือเป็นอย่างมาก โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้เปิดเผยว่าดีแล้ว  เป็นสิรมงคลแล้วที่คณะสงฆ์มาดูมาชมแพนด้าครั้งนี้และได้แผ่เมตตาให้กับครอบครัวหมีแพนด้า อีกทั้ง ยังได้สอบถามความหมายของคำว่า " หลินปิง " ว่าแปลว่าอะไร ซึ่งทางนายธนภัทร พงษ์ภมร ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ก็ได้ตอบว่า หากแปลเป็นภาษจีนก็แปลว่า "ป่าหิมะ หรือป่าน้ำแข็ง หากแปลเป็นภาษาไทยความหมายคือคำว่า " หลิน " เป็นชื่อแม่ และปิง ก็คือน้ำปิง แม่น้ำประจำจังหวัดเชียงใหม่ นำทั้งสองชื่อมารวมกัน เป็น "หลินปิง" ความหมายนั้นคือความเป็นแม่น้ำแห่งฑูตสัมพันธไมตรี.



29

ชาวบ้าน จ.น่าน ประท้วงเจ้าอาวาส ขอตรวจสอบ ลงรักปิดทองพระประธานโบสถ์ วัดหัวเมือง อ.ปัว จ.น่าน อายุเกือบ 100  ปี เหตุทำให้หน้าพระเปลี่ยนไป ข้องใจที่ปิดโบสถ์ทำตอนกลางคืน

ชาวบ้านบ้านหัวเมือง หมู่ที่ 5 ตำบลแงง อำเภอปัว จังหวัดน่าน กว่า 100 คน ได้พากันไปที่วัดหัวเมือง ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านขอพบพระปรัชญา คันธศรีโร เจ้าอาวาสวัดเพื่อขอคำอธิบายในการลงรักปิดทององค์พระประธานของวัดที่มีอายุเกือบ 100 ปี เมื่อ 3 วันก่อน โดยชาวบ้านสงสัยว่า การลงรักปิดทองดังกล่าว เป็นการทำที่มีเงื่อนงำซ่อนเร้น เพราะทำกันในเวลากลางคืนโดยปิดประตูโบสถ์ไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปร่วมด้วย ที่สำคัญเมื่อทำเสร็จสรีระ และพระพักตร์ขององค์พระผิดไปจากเดิม ซึ่งนายอินผาย ชัญญะ อายุ 61 ปี บ้านเลขที่ 98 หมู่ที่ 5 บ้านหัวเมือง ตำบลแงง อำเภอปัว จังหวัดน่านประธานกลุ่มผู้สูงอายุของหมู่บ้าน ตัวแทนชาวบ้านบอกว่าชาวบ้านรับไม่ได้ที่เห็นองค์พระประธานมีหน้าตาบูดบึ้ง ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มเอิบเหมือนองค์เดิม และการดำเนินการของคณะที่ลงรักปิดทอง ก็มีข้อสงสัย เนื่องจากปิดประตูโบสถ์ทำตอนกลางคืน โดยที่ชาวบ้านไม่มีส่วนเข้าไปรู้เห็น และขอให้นำผง เหงื่อไคล ที่ขูดจากองค์พระมาแสดงคืนให้ชาวบ้านด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการหมู่บ้านพร้อมชาวบ้านได้นำรูปภาพองค์พระเดิมที่ยังไม่ได้มีการลงรักปิดทองมาเปรียบเทียบ และขอให้เจ้าอาวาสนำเมาลีบนเศียรพระมาเปรียบเทียบกับรูปภาพด้วย ซึ่งก็ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นของเดิมหรือไม่

ทางด้านพระปรัชญา คันธศรีโร เจ้าอาวาสวัด ได้ชี้แจงกับชาวบ้านและนำคณะที่ทำพิธีลงรักปิดทองมาชี้แจงต่อหน้าชาวบ้าน ซึ่งมีพระคมกฤษณ์ วิชชากโร อ้างว่าเป็นพระลูกวัดของวัดตลุกป่าตาล ตำบลโป่งแดง อำเภอเมือง จังหวัดตาก เป็นช่าง แต่ชาวบ้านของดูใบสุทธิก็ไม่สามารถนำมาแสดงได้ โดยบอกว่าลืมไว้ที่บ้านญาติโยม โดยพระคมกฤษณ์ฯบอกว่า ทำตามพิธีอย่างถูกต้อง ที่ต้องปิดประตูโบสถ์ทำตอนกลางคืนเพื่อให้มีสมาธิและไม่ให้ลมพัดตอนปิดทอง ที่ชาวบ้านเห็นรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะแสงไฟที่ส่ององค์พระสะท้อนเงา จึงทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น

ส่วนเจ้าภาพที่จัดทำเป็นเภสัชกรในตัวเมืองปัว บอกว่าหมดเงินไปกว่า 2 แสนบาท เมื่อชาวบ้านไม่พอใจก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของชาวบ้าน พวกตนทำบุญไปแล้วก็แล้วไป หากมีการพาดพิงทำให้พวกตนเสียหายก็จะฟ้องร้องตามกฎหมาย

ด้านคณะกรรมการหมู่บ้านพร้อมชาวบ้าน ยืนยันว่าจะให้ตั้งกรรมการมาตรวจสอบ พร้อมทำหนังสือร้องไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อมาพิสูจน์ว่า มีการนำของมีค่าในองค์พระไปหรือไม่ และมีการขูดองค์พระหรือไม่ และอาจจะมีการแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อความโปร่งใสต่อไป

เจ้าอาวาสวัดฯ กล่าวอีกว่า ไม่มีการขูดหรือเปลี่ยนแปลงองค์พระแต่อย่างใด ของที่อยู่ในองค์พระก็ไม่แตะต้อง ตอนที่คณะลงรักปิดทององค์พระทำ ก็อยู่ด้วยพร้อมเณร เมื่อชาวบ้านไม่พอใจ สงสัยก็ยินดีให้พิสูจน์ แต่ต่อไปคงไม่มีใครกล้ามาทำบุญหรือร่วมพัฒนาวัดอีก


 

***********************************************************
ช่างทำไปได้เนอะ ไม่กลัวบาปกรรมจะกินกบาลกันบ้างเลย....[/b]

30
หลวงพ่อคูณ อธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล รุ่นพิพิธภัณฑ์กว่า ๑ ล้านองค์ เตรียมแจกศิษยานุศิษย์ วันเปิดพิพิธภัณฑ์ ๑๔ ต.ค.๕๒ นี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการจัดงานฉลองวันเกิดครบ ๘๖ ปี ของพระเทพวิทยาคมหรือกลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ว่าเมื่อเวลา ๑๓.๓๐ น.ของวันที่ ๔ ตุลาคมที่ผ่านมา พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธได้ประกอบพิธีพุทธาภิเศกอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่น " พิพิธภัณฑ์ " ภายในอุโบสถวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาโดยมีพระเกจิชื่อดัง ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วย ได้แก่

- หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา

- พระอาจารย์ติ๋ว วัดมณีชลขันธุ์ จ.ลพบุรี

- หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง จ.ปทุมธานี

- หลวงพ่ออิน วัดหนองบัว จ.นครราชสีมา

- หลวงพ่อจอย วัดโนนไทย จ.นครราชสีมา

- หลวงพ่ออวด วัดศีรษะเกษ จ.สกลนคร

- หลวงพ่อใหญ่ วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา

- หลวงพ่อสมชัย วัดตูม อยุธยา


สำหรับวัตถุมงคลรุ่นนี้ ประกอบด้วยเนื้อทองคำ เนื้อเงิน นวโลหะ และเนื้อผง จำนวน ๑,๐๐๑,๔๐๓ องค์ โดยเนื้อทองคำราคาองค์ละ ๑ ล้านบาท จำนวน ๑๙ องค์ ซึ่งองค์หมายเลข ๑ จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเป็นประธานประกอบพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ที่วัดบ้านไร่ในวันที่ ๑๔ ต.ค. เนื้อทองคำแบบที่ ๒ จำนวน ๑๘๖ องค์ๆ ละ ๑ แสนบาท โดยเนื้อทองคำเนื้อเงินและเนื้อนวโลหะ มีคณะศิษยานุศิษย์สั่งจองหมดแล้ว ยกเว้นเนื้อผง จำนวน ๑ ล้านองค์ จะนำไปแจกให้ศิษยานุศิษย์ในวันที่ ๑๔ ต.ค.เช่นเดียวกัน จากนั้นจึงจะให้เช่าบูชาราคาองค์ละ ๙๙ บาท เงินรายได้ทั้งหมด จะนำเข้าพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ เพื่อบริหารจัดการต่อไป



31
ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ในฐานะรองประธานมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ และรองประธานคณะกรรมการวัดบ้านไร่เปิดเผยว่า เมื่อครั้งพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา มีสิริอายุครบ 7 รอบ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2550 คณะศิษยานุศิษย์ที่เคารพในหลวงพ่อคูณได้ดำริจัดสร้าง "พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ" เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความศรัทธาและบารมีทานอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อคูณ

บัดนี้ การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณได้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 ตนและคณะกรรมการฯ ได้เข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยของพิพิธภัณฑ์และการตกแต่งภายในตัวอาคาร พบว่าสมบูรณ์เรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง



ในการนี้วัดบ้านไร่และชาวอำเภอด่านขุนทดได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานเปิดพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วันที่ 14 ตุลาคม 2552 เวลา 14.45 น. ณ วัดบ้านไร่ สำหรับในวันที่ 4 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อคูณ สิริอายุ 86 ปี ในช่วงเช้าที่วัดบ้านไร่ได้จัดงานมุทิตาสักการะถวายหลวงพ่อคูณ ส่วนในช่วงบ่ายคณะกรรมการมูลนิธิได้นิมนต์หลวงพ่อคูณเข้าไปชมความเรียบร้อยของพิพิธภัณฑ์ พร้อมกันนี้ยังได้อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ได้ หลังจากนั้นจะปิดพิพิธภัณฑ์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จฯ ต่อไป

32
เพื่อน ๆ คะ

เรามีเรื่องอยากเล่าไว้เพื่อเตือนใจลูกผู้หญิงทุกคน ช่วยฟอเวิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะคะ เราอยากให้เราเป็นรายสุดท้าย...


เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง  ทุกครั้งที่เราได้รับFWDเมลมา เราจะเกิดความรู้สึกรำคาญขึ้นมาทันทีและกดลบทิ้ง ทำให้เวลามีการเตือนอะไรเราก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยรับรู้ว่ามี   “ภัยสังคม” อยู่รอบตัว

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเราไปรู้จักผู้ชายคนนี้ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งโดย บังเอิญเราไปกับเพื่อนผู้หญิงหลายคนทั้งๆที่ปกติเราก็ไม่ได้เป็นคนเที่ยวกลางคืนนะ แต่วันนั้นเรามีนัดพบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันนานและเสียงโหวตของคนอยากไปที่นี่ก็มากกว่า เราก็เลยต้องไปเจอเพื่อนที่นั่นทั้งๆที่ไม่ได้อยากไปเลย

เพื่อนเราหลายคนก็พาแฟนมาเปิดตัวซึ่งเราเองไม่เคยมีแฟน เราจึงไปคนเดียว  ก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็นั่งพูดคุยกันตามประสาคนไม่เจอกันนาน  แต่เราก็นั่งได้ไม่นานเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านเพราะว่าเหม็นกลิ่นบุหรี่มาก(เราเป็นภูมิแพ้)และเราก็ไม่ชอบเสียงหนวกหู พูดกันก็ต้องตะโกนอ่ะ  เลยบอกเพื่อนๆว่าขอตัวกลับก่อนเอาไว้วันหลังค่อยเจอกันใหม่

แฟนเพื่อนเราคนหนึ่งก็อาสาเดินออกไปส่งขึ้นแท็กซี่  เพราะว่าไม่อยากให้เราเดินคนเดียวออกจากร้านไป
เพราะเราไม่คุ้นสถานที่เลย และร้านนี้ก็ไกลจากบ้านมาก ๆ แต่พอเราเดินออกมาจากร้านไม่นานรู้สึกตัวอีกที
เราก็ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่บนเตียงในโรงแรมแล้ว....

เรามองตัวเอง...ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน...เนื้อตัวเป็นจ้ำๆ เรารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรายังกะหนังไทยเลยเนอะ  แต่มันคือเรื่องจริง  นี่คือตัวเราหรือเนี่ย...

เราไม่คิดว่าครั้งแรกของเราที่ทนุถนอมมากว่ายี่สิบปีจะต้องมอบให้แก่สัตว์นรกตัวนี้  เรารวบรวมสติได้ในเวลาอันรวดเร็ว บอกกับตัวเองว่าเราไม่สามารถย้อนเวลาคืนมาได้แล้ว  เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราอีกถ้านรกตัวนี้ตื่นขึ้นมา... เราอาจจะถูกมันข่มขืนอีกก็รอบได้

เราเลยรีบแต่งตัวแล้วหวังจะออกจากโรงแรมให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะตื่น เราจะวิ่งๆๆเอาร่างอันโสมมของเราไปให้พ้นจะสถานที่แห่งนี้ให้ได้  เราจะต้องเอาเรื่องมัน  เราจะบอกที่บ้านอย่างไรดี....ป่านนี้พ่อแม่เราจะห่วงขนาดไหนที่ลูกไม่กลับบ้านทั้งคืนโดยไม่ติดต่ออะไรเลย  เราจะแจ้งความดีไหม เพื่อนเรารู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น

สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเรา

ทันใดนั้น..เราก็เห็นโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ของมัน  เราเลยรีบคว้าติดตัวออกมาด้วยหวังเป็นหลักฐานให้รู้ชื่อ– สกุลว่ามันคือใคร ที่อยู่ เบอร์มือถือที่จะติดต่อเอาเรื่องมันได้  เมื่อเราแต่งตัวเสร็จ  เราเลยคว้าเอาออกมาด้วย

ระหว่างทางที่นั่งแทกซี่เราร้องไห้ตลอดทางจนคนขับถามเราว่า

“หนูๆเป็นอะไรรึปล่าว” เราได้แต่ตอบไปว่าไม่ได้เป็นอะไร เพิ่งเลิกกับแฟนเฉยๆ(จะให้เราบอกอย่างไร
ว่าเราเพิ่งถูกข่มขืนมา...)

ระหว่างนั้นเราได้ยินเสียงคนขับหวังดีคอยพูดปลอบใจเราแต่ฟังไม่ได้ศัพท์
เท่าไรนัก เพราะในใจครุ่นคิดแต่เรื่องที่เราจะต้องบอกพ่อแม่เมื่อเรากลับถึงบ้านให้ได้ว่าเราเป็นอะไร ทำไมไม่กลับบ้าน   เรา...ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

เราบอกให้คนขับแวะร้านขายยาเพื่อเข้าไปซื้อโพสตินอร์มาแผงนึง

เราไม่เคยคิดเลยว่าเราเองคนนี้นะหรือที่เคยรู้สึกภาคภูมิใจกับความบริสุทธิของตัวเอง

เรานี่หรือที่เคยรู้สึกเย้ยหยันลูกผู้หญิงด้วยกันเวลาที่พบกระทู้ตามเวบบอร์ดว่าอะไรกินป้องกันการท้อง
หลังการมีเพศสัมพันธ์ได้

เราเคยขยะแขยงคนเหล่านี้เพราะมองแต่เพียงว่าเขาเหล่านั้นไม่รักนวลสงวนตัวรักสนุกเพียงชั่ววูบ แต่ก็เรานี่แหละที่วันนี้ต้องกลับมาเป็นฝ่ายกล้ำกลืนบอกคนขายยาว่าต้องการยาโพส์ทินอร์...คนขายหยิบยาให้เราและพูดว่า“น้อง..ทีหลังกินยาคุมดีกว่านะมดลูกจะได้ไม่พัง” พร้อมกับสายตาเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย...

แล้วเราจะทำอย่างไร..เราจะบอกเขาได้อย่างไรว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเรา..

เราได้แต่ก้มหน้ารับสภาพไป.....

เราขึ้นแทกซี่คันเดิมที่จอดรออยู่ให้ขับไปส่งถึงที่บ้าน

เมื่อถึงบ้านวันนั้นเป็นวันเสาร์ พ่อแม่เราไม่ได้ออกไปทำงาน  เรารีบบอกพ่อแม่ว่าเป็นลม มีคนนำส่งรพ.ติดต่อพ่อแม่ไม่ได้นี่เพิ่งฟื้นกลับมา พอดีในกระเป๋ามีเบอร์เพื่อนที่รพ.เขาเลยตามเพื่อนมาได้คนนึงมารับตัวและจ่ายค่ารักษาไปแล้ว

เราไม่รู้ว่าเขาเชื่อหรือไม่แต่เราคิดออกได้เท่านี้จริงๆ... และรีบบอกพ่อแม่ว่าขอไปนอนพักที่ห้องนอนก่อน พอขึ้นห้องนอน เรารีบหยิบเอามือถือและกระเป๋าสตางค์ของไอ้นรกนั่นออกมาดู  แล้วเราก็ต้องตกใจที่พบว่าตัวเองเป็นกำลังเป็นนางเอกคลิปวิดิโออยู่

มัน...มันถ่ายคลิปเก็บไว้เพื่ออะไร เพื่ออวดคนเพื่อแบลคเมล์เราหรืออะไร..

และไม่ใช่แค่เราคนเดียวยังมีเพื่อนเราในนั้น มีคนอีกเกือบสิบคนที่ตกในสภาพเดียวกับเรา

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเราคนนี้พยายามคะยั้นคะยอนัดพบเพื่อนเก่าเพื่อให้แฟนตัวเองได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆ
หรือปล่าวเนี่ย  เราเลยโทรไปถามเพื่อนเราเหมือนเพื่อนเราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  มันไม่ยอมรับโทรศัพท์และเลิกติดต่อกับเราอีกเลย

เล่ามาถึงจุดนี้อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนระวังตัวให้ดี  อย่าไว้ใจเพื่อนตัวเอง อย่าให้ใครไปส่งเราตามลำพังและหากเกิดอะไรขึ้นต้องมีสติ หากมีโอกาสหยิบมือถือหรือกระเป๋าสตางค์มันออกมาพร้อมกับตัวด้วยก็ได้ เผื่อจะได้มีหลักฐานให้รู้ว่ามันคือใคร เรากล้าพิมพ์เพราะเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตอนนี้เรากำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ป้าเรามีร้านอาหารที่นี่และคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย คงไม่ต้องได้พบเจอกับมันอีก  เราจึงกล้าเล่าให้ฟัง

และมันก็คงทำมาเยอะจนจบมือใครดมไม่ได้หรอกว่าเราคือใครเว้นแต่จะถามจากเพื่อนเรานั้น  แต่เราส่งข้อความไปให้เพื่อนเราว่าถ้ามันบอกว่าเราคือใคร เราก็จะเอาคลิปของมันออกเผยแพร่เช่นกัน เราขู่มันไปให้สมกับความชั่วที่มันทำกะเรา เราก็ไม่แคร์แล้วเพราะว่าเรามีหลักฐานคือคลิปวิดิโอที่พร้อมเล่นงานมันทุกเมื่อ...

*******************************************
ที่มา : Fw.mail

33
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึงหลวงตารูปหนึ่ง ผู้วิ่งหนีตายไปตกหลุมส้วมเปื้อนอุจจาระเต็มตัว พระองค์ได้ทรงตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ภูเขาในป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลจากภูเขานั้น มีหมูป่าฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง และที่ใกล้ๆ สระน้ำนั้นมีฤาษีกลุ่มหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่

อยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์เที่ยวหาอาหารกินอิ่มแล้วได้มาดื่มน้ำที่สระนั้น ขณะนั้นมีหมูป่าอ้วนตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ริมสระนั้นพอดี ราชสีห์พอเห็นหมูนั้นแล้วก็นึกในใจว่า   "สักวันหนึ่ง เราจะมาจับหมูตัวนี้กิน แต่ถ้ามันเห็นเรา มันจะไม่มาที่นี่อีก"

เพราะกลัวหมูนั้นเห็น จึงหลบไปเสียอีกทางหนึ่ง ฝ่ายเจ้าหมูตัวนั้นพอเห็นราชสีห์แอบไปข้างหนึ่ง กลับคิดว่า   "ราชสีห์ตัวนี้กลัวเรา พอเห็นหน้าเราแล้วก็วิ่งหลบหนีไป วันนี้เราจะต่อสู่กับราชสีห์ตัวนี้ละ"

มันชูหัวร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสุ้กันว่า  "สหาย เราก็มี ๔ เท้า ท่านก็มี ๔ เท้าเหมือนกัน กลับมาสู้กันก่อนเถิด ท่านกลัวเราหรือจึงวิ่งหนีไป"

ราชสีห์พอได้ฟังคำท้าของหมูป่านั้นก็พูดขึ้นว่า  "เจ้าหมูป่าเพื่อนเกลอ วันนี้เราไม่สู้กับท่านหรอก แต่อีก ๗ วัน เรามาสู้กันที่นี่ก็แล้วกันนะ"

ตกลงกันตามนั้นแล้วก็กลับเข้าป่าไป ฝ่ายเจ้าหมูป่ารู้สึกเบิกบานใจที่จะได้ต่อสู้กับราชสีห์ จึงนำเรื่องนี้กลับไปเล่าอวดพวกพ้องเป็นการใหญ่ พวกหมูป่าตกใจด่ามันว่า

"เจ้าหมูอ้วนบ้า เจ้าหาเรื่องฉิบหายมาให้พวกเราเสียแล้ว เจ้าไม่เจียมหัวกบาลตัวเอง ไปท้าสู้กับเจ้าไพร ราชสีห์จะมาเขมือบพวกเราก็ครั้งนี้ล่ะ"

มันพอทราบว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่ไปท้าสู้กับราชสีห์ก็กลัวตาย ถามว่า

"แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีละท่านทั้งหลาย" พวกหมูป่าจึงแนะนำมันว่า

"เพื่อนเอ๋ย เจ้าจงไปที่ถ่ายอุจจาระของพวกฤาษี แล้วเกลือกตัวด้วยอุจจาระ ปล่อยให้แห้งติดตัวสัก ๗ วัน พอถึงวันที่ ๗ ก็เกลือกตัวให้ชุ่มด้วยน้ำค้างตอนเช้า แล้วไปยืนอยู่เหนือลมก่อนราชสีห์จะมา ชีวิตเจ้าจะรอดมาได้"

มันจึงได้ทำตามนั้น

ในวันนัดต่อสู้ ราชสีห์พอมาถึงได้กลิ่นตัวหมูป่านั้นก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าหมูป่าเพื่อนเกลอ ท่านช่างคิดหาชั้นเชิงได้ดีมาก หากท่านไม่เปื้อนอุจจาระ เราจะเขมือบท่านเสียตรงนี้แหละ เราขอยอมแพ้ ให้ท่านเป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน"

แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า

"สุกร..เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไป

สหาย... หากท่านประสงค์จะสู้กับเรา เราขอยกชัยชนะแก่ท่าน"


ว่าแล้วก็รีบวิ่งหนีไปเพราะทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว เจ้าหมูป่าก็รีบกลับไปบอกถึงชัยชนะของตนแก่พวกพ้อง แล้วก็พากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะกลัวราชสีห์จะกลับมารังควาญ....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :   

รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดี และอย่าคิดว่าการที่จู่ ๆ ราชสีห์ กลับเงียบไปไม่ตอบโต้เหมือนก่อน เพราะเกรงกลัวพวกหมาวัดก็หาไม่ หากมิเห็นแก่ดวงวิญญาณองค์อาวาสผู้ชุบชีวิต ให้ทางสว่าง จะขบหัวพวกหมาวัดจัญไรปากสามหาวให้แดดิ้นเป็นอาหารพวกแร้งกา..[/
b]


*********************************************
นืทานเรื่องนี้ อย่างน้อยคงให้คติอะไรที่ชัดเจนกว่านิทานหมา ๆ ที่เขียนโดยพวกหมา ๆ ไว้เพื่อพวกหมา ๆ ด้วยกันอ่านบางเรื่อง.... :045: :027:

34
ในปัจจุบันสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย จนทำให้มนุษย์เราต้องมาปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตให้สอดคล้อง และรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมหนึ่งๆ จะต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันภายใต้ความแตกต่างกันทั้ง อายุ, รายได้, ระดับการศึกษา, รสนิยม และเป้าหมายในการดำเนินชีวิต

โดยบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีความต้องการ มีอำนาจในการซื้อ และความพึงพอใจที่หลากหลาย ซึ่งพื้นฐานในความต้องการและพฤติกรรมของมนุษย์นั้น จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในเรื่องของ ค่านิยม, การรับรู้, ความพอใจ และพฤติกรรมผ่านสถาบันครอบครัว, เพื่อน และสังคม หรือบุคคลอื่นๆ ที่มีอิทธิพล โดยมีวัฒนธรรมแทรกซึมอยู่ในการดำเนินชีวิตของบุคคลในแต่ละวัน

วัฒนธรรมของบุคคล จะเป็นตัวพิจารณาถึงการบริโภค และการใช้บริการต่างๆ ทำให้มนุษย์ต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันต่อโลก-ทันคน โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองเพื่อสร้างความสามารถของตัวเองให้มีมากขึ้น
 
มนุษย์เรามีความต้องการที่จะให้ตนเองเจริญก้าวหน้า ดังนั้น  ทุกคนจึงต้องพยายามพัฒนาตนเองเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และมลภาวะที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการดำเนินชีวิต การเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ทำให้มนุษย์มีรสนิยมสูงขึ้น ปรารถนาสิ่งที่ดีขึ้นหรือดีที่สุด มีความสามารถที่จะทำตัวเองให้เข้ากับบุคคลอื่นให้ได้ และเป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุก ๆ คน

การพัฒนาตนเอง เป็นทั้งการพัฒนาความรู้, ทักษะ และพฤติกรรม ไปสู่การพัฒนาทัศนคติ แรงจูงใจ และอุปนิสัยเพื่อค้นหาตนเอง เพิ่มทักษะ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การพัฒนาตนเองอาจเป็นการพัฒนาที่จิตใจของตนเอง หรือพัฒนาไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ทำให้มีคุณภาพชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามที่ใจปรารถนา

การพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต จะต้องมีการพัฒนาในมิติต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.) การพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านร่างกาย         

ได้แก่ การให้ความสำคัญกับสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บริโภคอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ เป็นการการพัฒนาให้ร่างกายมีความแข็งแรง สมส่วน และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

2.) การพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านอารมณ์         

ได้แก่ การสร้างเสริมสุขภาพจิตใจที่ดี รู้จักควบคุมอารมณ์ โดยการพัฒนาทางด้านจิตใจด้วยการให้ทาน การทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ การเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการ การฝึกสมาธิ การผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง การพักผ่อน การท่องเที่ยว เป็นต้น

3.) การพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านสังคม         

เป็นการสร้างการยอมรับ และยกย่องจากสังคม ได้แก่ การเข้าร่วมกิจกรรมกับสังคม หรือหน่วยงานต่างๆ ใช้เวลาว่างบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชุมชน ให้ความร่วมมือกับสังคมในด้านต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตนโดยยึดหลักของกฎหมาย และคุณธรรม จริยธรรม

4.) การพัฒนาคุณภาพชีวิตทางด้านสติปัญญา         

เป็นการเพิ่มทักษะทางด้านความรู้ให้กับตนเอง ได้แก่ การอ่านหนังสื่อ การเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านต่างๆ การศึกษาข้อมูลสารสนเทศจากสื่อต่างๆ การสังเกต และติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

การพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลจะต้องเริ่มต้นด้วยตัวเอง เปิดใจยอมรับกับการพัฒนาตนเองพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องมีความพร้อมสำหรับการศึกษาเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลง แล้วจะทำให้บุคคลนั้นสามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างมีความสุข



35
เว็บไซต์สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ "10 Ways to Build Resilience (= 10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต; resilience = การพลิกฟื้น ยืดหยุ่นกลับสู่สภาพเดิม)"

ผมขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเราได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
 
(1.) Make Connections = สร้างความสัมพันธ์ (connections = เครือข่าย, ความสัมพันธ์)         

ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง สิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)

อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่าคนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
 
การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง

(2.) Avoid Seeing Crises as Unsurmountable Problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่าเป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)         

ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา ก็ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอเช่นกัน

ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว

การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) ก็มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

(3.) Accept That Change Is a Part of Living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
         
ชีวิตมักจะประกอบไปด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด

อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้

เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุดแล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ

(4.) Move Towards Your Goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย         

ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
 
คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว คือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม

(5.) Take Decisive Actions = ทำจริง ไม่โลเล         

คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบๆ ด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"

(6.) Look for Opportunities for Self-Recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา         

คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ

ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาล หรือคุณหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้มีความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
 
ผมสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่าอาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอ แต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวาน แต่ละโมบโลภมาก รับประทานลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ อย่างนี้ เป็นต้น

(7.) Nurture a Positive View of Yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก         

พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ รับประทานอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ

นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
 
ไม่ว่าจะทำงานอะไร ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ

(8.) Keep Things in Perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล         

มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา

การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่ จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ

ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง" น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
 
ฝรั่งมีคำกล่าวว่าในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ

(9.) Maintain a Hopeful Outlook = รักษาความหวังไว้         

ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"

ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรง กันว่าอยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ

(10.) Take Care of Yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย         

ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้า หรือจะเล็กกว่าเส้นผม สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น รับประทานอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ

เรื่องที่ไม่ควรทำคืออย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การรับประทานมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
 
ถ้าเครียดจนเกินไป การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกินไป เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ บ่นๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ

ไม่ว่าวิกฤตจะหนักเพียงไร วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
 
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ได้ ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)

หรือเราจะมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้ "หลังพายุ จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)" ทว่า ตอนนี้เรียนเสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี



*****************************************************
Edited by swc.sompiboon

36
เรื่องของ สามเณรน้อยรูปหนึ่งที่เพิ่งเริ่มออกบิณฑบาตเป็นครั้งแรก

เณรน้อย เป็นเด็กชายจากในเมืองที่พ่อแม่ส่งมาบวชที่วัดบ้านนอก

อายุอานามก็ยังไม่เต็มสิบขวบดี บวชเรียนได้ไม่ถึงสามวัน

หลวงพ่อท่านก็ให้ตามหลวงพี่ออกบิณฑบาตด้วย

เช้าตรู่วันนั้นมีพระลูกวัดนอนซมด้วยพิษไข้หวัดถึงสามรูป

ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก

เณรน้อยจึงเดินตามหลวงพี่ที่เดินอยู่นำหน้าด้วยความประหม่า

เด็กวัดเห็นท่าทางเคอะๆ เขินๆ ของเณรน้อยเข้าก็ชอบใจ

พอพ้นสายตาคนก็ล้อเลียนเอา

ยิ่งถูกล้อเณรน้อยก็ยิ่งทำท่าทำทางไม่ค่อยถูก

ยืนหน้าแดงอยู่ที่ทางแยก

หันมาอีกทีขบวนของหลวงพี่กับเด็กวัดก็เดินอยู่ข้างหน้าไกลลิบแล้ว

เณรเห็นดังนั้นก็รีบจ้ำเพื่อจะตามให้ทัน

แต่ด้วยที่อยู่ในเพศบรรพชิต แม้จะเป็นเด็กก็ไม่กล้าออกวิ่ง

ขณะที่กำลังจะรีบเดินให้ทันหลวงพี่ข้างหน้า

ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง คุณป้าเกล้าผมมวยกำลังยกมือไหว้รอเณรน้อยอยู่

คุณป้า "นิมนต์เณรด้วยเจ้าค่ะ"

พูดจบคุณป้าแกก็หันไปยกโถข้าวที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา

เณรน้อยต้องหยุดเดินหันมาเปิดฝาบาตรเพื่อรับบิณฑบาต

แต่สายตาของเณรนั้นก็ยังคงชำเลืองไปยังขบวนของหลวงพี่ที่เดินห่างออกไปแล้ว

คุณป้าตักข้าวใส่ลงไปหนึ่งทัพพี พร้อมกับแกงส้มใส่ลงไปอีกถุงหนึ่ง

เสร็จแล้วคุณป้าแกก็นั่งยองๆ ลง

เณรน้อยปิดฝาบาตรเสร็จก็เตรียมตัวจะเดินออกไป

คุณป้า "ขอพรด้วยเจ้าค่ะพ่อเณร เมื่อกี้ออกมาไม่ทันพระ วันนี้วันเกิดเจ้าค่ะ"

เณรชะงักเท้าแล้วก็หันกลับมามองโยมเจ้าของวันเกิด

และหลังจากที่ก้มหน้านึกอยู่พักใหญ่

ในที่สุดเณรก็กล่าวอำนวยพรออกมา


"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู"


ว่าจบก็รีบออกจ้ำเดินตามหลวงพี่ไป

คุณป้า " ??? !!! " 
 

 



37
การคิดเชิงกลยุทธ์ ต้องอาศัยการคิดกลวิธี  เหมือนกับการออกศึกสงครามที่ผู้นำทัพจะต้องหากลวิธีอันแยบยลที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้  ซึ่งการคิดกลวิธีก็อาจมีทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ  ดังตัวอย่างนิทานเรื่องกลวิธีของหลวงตารูปหนึ่ง...............

เช้าวันหนึ่งหลวงตาไปถ่ายทุกข์ที่ถาน(ส้วมของพระ)ที่อยู่หลังกุฏิ  บังเอิญไปพบเต่าตัวหนึ่งก็เกิดกิเลสอยากฉันเต่าขึ้นมา  แต่ด้วยความเป็นสงฆ์จะทำอะไรที่โจ่งแจ้งเกินไปก็ดูไม่งาม  หลวงตาจึงครุ่นคิดหากลวิธีที่จะฉันเต่าให้ได้

เมื่อกลับมาถึงกุฏิ  หลวงตาเห็นเด็กวัด 2-3 คนจับกลุ่มกันอยู่  จึงหยิบหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่งเดินไปนั่งใกล้ๆกับกลุ่มเด็กวัด  กางหนังสือออก  แล้วแกล้งอ่านดังๆ

“เมื่อเช้ากูไปถาน  เห็นเต่ามันคลานตัวโตใหญ่”  กลุ่มเด็กวัดหันมามองหลวงตา  แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าหลวงตาอ่านหนังสือธรรมมะหรือเรื่องจริง  จึงไม่สนใจและเล่นกันต่อ  หลวงตาเห็นเด็กไม่สนใจจึงแกล้งอ่านหนังสืออีกครั้ง

“เจอแล้วดูเผิน ๆท่ามันเดิน คงมีไข่ใน”  เด็กวัดได้ฟังก็ตาวาว  เริ่มเข้าใจว่าหลวงตาพูดเรื่องจริง  ต่างวิ่งกรูไปที่ถาน แยกย้ายกันค้นหาจนพบเต่าใหญ่ตามคำบอกเล่าของหลวงตา  จึงช่วยกันจับเต่าและอุ้มมาใกล้ๆกับที่หลวงตาอยู่  ต่างหยิบมีดไม้มาฟัน ทุบเต่าเป็นการใหญ่  แต่ก็ทำอะไรเต่าไม่ได้  เพราะมันหลบหัวลงไปในกระดองที่แข็งแกร่ง  หลวงตาดูอยู่แล้วจึงอ่านหนังสือดังๆ

“มีดไม้ใช้ไม่ได้  ถ้าให้ตายต้องเผาไฟ”  เด็กวัดจึงจัดการตามสัญญาณที่หลวงตาบอกเป็นนัยๆ  แล้วติดเตาถ่านเตรียมต้มเต่าทั้งกระดอง  คว้าหม้อมาหลายใบแต่ก็ใส่เต่าลงในหม้อไม่ได้  หลวงตาจึงว่าต่อ

“หม้อนั้นมันเล็กนัก  แล้วหม้อต้มกรักเอาไว้ทำไม”  (หม้อต้มกรักคือหม้อต้มจีวร) เด็กวัดรู้ว่าหลวงตาอนุญาตให้ใช้หม้อต้มกรักได้  จึงคว้าหม้อนั้นมาจัดการต้มเต่า  พอต้มจนสุกก็ฉีกเนื้อหนัง ไส้และไข่เต่าเตรียมปรุงอาหารต่อไป  แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะใส่อะไรลงไป  หลวงตาชำเลืองดูอยู่เกรงว่าจะไม่อร่อย  จึงอ่านหนังสืออีกครั้ง

“ตะไคร้ใบมะกรูด  มะพร้าวขูดใส่ลงไป”  เด็ก ๆ จึงดำเนินการตามหลวงตาและต้มยำเต่าจนสุกส่งกลิ่นหอมฉุยเตะจมูก  แล้วต่างพากันหยิบถ้วยชามทัพพี รี่มาที่หม้อต้มยำเต่า  หลวงตาเห็นไม่ได้การจึงรีบกล่าวทัดทานด้วยเสียงที่ดังเป็นพิเศษ

“เนื้อหนังเด็กกินได้  ไข่กับไส้ไว้ฉันเพล”

*******************************************************
                 
ขอเตือนนักวางแผนทั้งหลายว่า  อย่าเลียนแบบกลวิธีของหลวงตามาใช้ในการปฏิบัติงานก็แล้วกัน เพราะถึงจะเป็นวิธีการอันชาญฉลาดก็จริง  แต่ก็ไม่สร้างสรรค์  ไม่เช่นนั้นองค์การคงปั่นป่วนแน่…

เอ๊...จะใบ้บอกอะไรและบอกใครดีน๊า ???  14; คิมะออกน่ะ !!!

รอคนหัวไวมาตอบดีกว่าเนอะ..

38
นานมาแล้ว ยังมีชายคนหนึ่ง ตั้งสำนักทำการฝึกสอนศิษย์โดยกำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าใครก็ตามที่ประสงค์จะมาฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์สำนักนี้ จะต้องปฎิบัติอาจารย์ให้ครบ ๓ ปี แล้วอาจารย์จึงจะถ่ายทอดวิชาไว้ให้ติดตัว

บรรดาชาวบ้านใกล้ไกลได้ทราบกิตติศัพท์ ต่างก็พาบุตรหลานมาฝากตัวเป็นศิษย์ วิชาที่อาจารย์จะอบรมสั่งสอนให้ก็ไม่มีอะไรมาก เช้าขึ้นก็สั่งงานให้ศิษย์ทำเป็นเฉพาะคน นับตั้งแต่การรู้จักรักษาความสะอาดของสำนักและบริเวณ ทุกคนต้องปฎิบัติงานในครัว ในห้องอาหาร ตัวอาจารย์จะเข้ามาควบคุมอย่างกวดขัน
ลูกศิษย์ส่วนมากเป็นชาย ไม่คุ้นเคยกับงานนี้ ด้วยความเกียจคร้านจึงพากันหนีกลับบ้านเป็นจำนวนมาก ฝ่ายพ่อแม่เมื่อลูกหลานเล่าให้ฟัง ต่างก็เชื่อลูก พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"ถ้าอาจารย์แกสอนอย่างนี้ ข้าสอนเองก็ได้ "

มีพ่อแม่น้อยคนที่จะปรามลูกของตัวเองว่า

"ดีแล้วให้อาจารย์แกใช้แกหัด เอ็งจะได้เก่ง ไม่เลือกงาน"

ในจำนวนศิษย์มากมายหลายรุ่นนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ นายศิษย์ อดทนฝึกงานจนครบ ๓ ปี อาจารย์สั่งให้ทำอะไรก็ทำเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกอย่าง วันที่ปฎิบัติงานกับอาจารย์จนครบ ๓ ปีนั้น อาจารย์จึงเรียกมาพบ แล้วบอกว่า

"เอ็งเป็นเด็กดีมาก สั่งสอนอะไรก็ปฎิบัติตามได้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นข้าจะให้วิชาแก่เอ็ง เพื่อเอาไปปฎิบัติหาเลี้ยงชีพในอนาคตสัก ๓ ข้อ เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นในภายหน้า ให้ทำตามคำที่ข้าสอนเสมอ ข้อปฎิบัติ ๓ ข้อ นายศิษย์จับคำแล้วท่องจนขึ้นใจ คือ

๑. เดินดีกว่านั่ง

๒. นั่งดีกว่านอน

๓ ทำงานดีกว่าอยู่เฉยๆ

จนนายศิษย์กราบลาอาจารย์กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านก็ยังไม่เข้าใจคำสอน ๓ ข้อของอาจารย์ นำความไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อให้ความเห็นว่า ข้อปฎิบัติ ๓ ข้อนั้นไม่ใช่วิชาวิเศษอะไรเลย ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่า

"เอาเถอะ อาจารย์ว่าเป็นของดี ลูกก็ไปนอนคิดทบทวนดูให้ดีก็แล้วกัน"

นายศิษย์นำคำสอนมาครุ่นคิด รุ่งขึ้นก็ทดลองคำที่อาจารย์ให้ในข้อที่ ๑ คือเดินดีกว่านั่งว่าจะดีอย่างไร จึงแต่งตัวออกจากบ้าน เขาไปพบประกาศฉบับหนึ่งในหมู่บ้านเขียนว่า

"เรามหาเศรษฐีแห่งเมืองนี้ มีลูกสาวอยู่คนเดียว เราต้องการให้ลูกสาวของเราแต่งงานกับชายหนุ่ม ที่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมห้องกันสองต่อสองกับลูกสาวของเรา โดยไม่แตะต้องตัวให้เกิดราคีและอัปยศ ถ้าอยู่ได้ครบ ๗ วัน เราจึงจะจัดพีธีแต่งงานและยกสมบัติให้ครอบครอง"

เมื่ออ่านประกาศแล้ว นายศิษย์ก็กลับบ้านนำความไปเล่าให้พ่อแม่ฟังเพื่อขออนุญาติ เมื่อได้รับอนุญาติแล้ว นายศิษย์จึงเดินทางไปพบเศรษฐีตามประกาศนั้น และขออาสาปฎิบัติตามข้อตกลงทั้งปวง เสร็จแล้วจึงได้รับทราบว่าจะมีคนเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดเวลา หากได้ยินเสียงหญิงสาวร้อง ก็จะถูกทำโทษถึงตาย กระนั้นนายศิษย์ก็ยังยืนยัน จะลองอาสาปฎิบัติดู

ก่อนที่เศรษฐีจะส่งตัวนายศิษย์เข้าไปในห้อง นายศิษย์ขอดาบจากเศรษฐีเล่มหนึ่ง เศรษฐีก็ยอมให้ เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว เขาก็ปฎิบัติตามข้อแรกที่อาจารย์สั่งสอนไว้คือ "เดินดีกว่านั่ง" เขาเดินสำรวจความเรียบร้อยของห้องอย่างถี่ถ้วน จนไม่มีเวลามองดูลูกสาวเศรษฐีเลย ด้วยเขาสืบรู้มาว่าชายหนุ่มที่อาสามาก่อนหน้าเขานั้นตายก่อน ๗ วันโดยไม่มีใครรู้สาเหตุการตาย

ตกเย็นก็มีคนนำข้าวปลาอาหารมาให้กินอย่างดีในห้อง พอตกกลางคืนเขาก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ได้ว่า "นั่งดีกว่านอน" เขาก็ไม่นอน เมื่อเฝ้าสังเกตดูความเรียบร้อยในห้องแล้ว เขาก็นั่งพิงฝาแหงนมองดูเพดาน เขาจึงได้เห็นว่าเพดานนั้นมีช่องเล็กๆอยู่ เขาทำเช่นนั้นจนถึงวันที่หก  เขาก็เห็นงูใหญ่เลื้อยลงมาจากเพดาน เขาก็ปล่อยให้มันเลื้อยลงมา พอได้ระยะจึงเงื้อดาบฟันงูนั้นตาย ลูกสาวเศรษฐีได้ยินเสียงคมมีดก็ตกใจตื่นและร้องขึ้นเมื่อเห็นซากงู คนทั้งหลายรวมทั้งเศรษฐีก็กรูกันเข้ามาในห้อง

ลูกสาวจึงเล่าความจรึงและชี้ไปที่ซากงู แล้วบอกว่านายศิษย์ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวของตนเลย เศรษฐีจึงยกลูกสาวและทรัพย์สินให้นายศิษย์ตามสัญญา แต่นายศิษย์ขอคืนทรัพย์สมบัติ ไม่รับเป็นของตน ขอเพียงอย่างเดียวให้มีสิทธิ์ขอใช้บ้างเมื่อจำเป็น

นายศิษย์ได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นเมียแล้ว ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ ข้อที่ ๓ ว่า "ทำงานดีกว่าอยู่เฉยๆ" จึงปรึกษากับเมีย ขอออกจากบ้านไปทำงาน รับขนของจากท่าเรือไปยังตลาด เมียทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง เขายังคงยืนกรานที่จะไปทำงาน พร้อมกับขอเกวียนและวัวเทียมไปด้วย

นายศิษย์เริ่มรับจ้างขนของตลอดวันไม่กลับบ้าน เพราะเมียเขาทำอาหารกลางวันมาส่งให้ ข่าวนี้รู้ถึงนายสำเภาว่าลูกเขยเศรษฐีมารับจ้างขนของ นายสำเภาไม่ยอมเชื่อ เพราะไม่เคยปรากฎมาก่อนว่าลูกเขยเศรษฐีจะมาทำงานต่ำต้อยอย่างนี้ นายสำเภาจึงเลือกนายศิษย์มาถาม นายศิษย์จึงตอบว่าเป็นความจริง กระนั้นนายสำเภายังหัวเราะเยาะ และพูดขึ้นเองโดยได้มีการท้าทายว่า

"เอาเถอะ ถ้าแกเป็นลูกเขยเศรษฐีจริงแล้ว มาแบกของขับเกวียนอย่างนี้จริง ข้าจะยอมยกสำเภาและสินค้าให้เจ้า ตัวข้าเองจะยอมเป็นลูกจ้างแกด้วย"

ปรากฎว่ากลางวัน วันนั้น เมื่อเมียนายศิษย์ลูกสาวเศรษฐีมาส่งข้าวกลางวันให้นายศิษย์ โดยนั่งแคร่มีคนหาม สำรับกับข้าวคาวหวานก็จัดวางบนเสลี่ยง มีข้าทาสบริวารติดตามขบวน แล้วลงมือปฎิบัติต่อนายศิษย์อย่างดี
นายสำเภาเห็นกับตา และหลังจากคุยถามเมียนายศิษย์ และบ่าวไพร่แล้วจึงยอมเชื่อ แพ้พนัน ออกปากยกสำเภาพร้อมทั้งสินค้าทั้งหมดให้นายศิษย์ และยอมเป็นลูกจ้างในเรือตามสัญญา แตานายศิษย์ไม่ยอมรับของเหล่านั้น ขอให้นายสำเภารักษาไว้ตามเดิม เพียงแต่ขออนุญาติ ให้ตนได้เป็นผู้รับเหมาขนสินค้าแต่เพียงผู้เดียว

นายศิษย์ได้ทำงานขนสินค้าด้วยความขยันขันแข็ง จนในที่สุดก็กลายเป็นเศรษฐี มิได้รับทรัพย์สมบัติหรือมรดกของใครเลย ผู้คนพากันสรรเสริญ ไปจนถึงเมืองไกล


**********************************************************

ความไม่โลภในลาภ ความไม่หลงระเริงในยศศักดิ์
จะทำให้เจริญในการสร้างฐานะและชีวิตด้วยความภาคภูมิใจ[
/b]

คนเราเรียนก็ยังไม่รู้วันจบ งานก็ยังไม่รู้วันสำเร็จ
เป็นขี้ข้าที่ดี ก็ยังทำไม่ได้
ไฉนเลยจึงอยากเป็น อยากได้ในสิ่งที่ตนไม่คู่ควร...[/
b]

39
กบฟุ้งซ่านตัวหนึ่ง  นั่งอยู่ข้างกำแพงวัด

ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด พอพระกลับมาถึงวัดเพื่อฉันเช้า...

 

กบมันนึกในใจ

อยากเกิดเป็นพระ เป็นพระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน ..

เมื่อพระฉันเสร็จ ก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ..

 

ตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ

อยากเกิดเป็นเด็กวัดแล้ว เพราะสบายกว่าพระ

มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย...

เมื่อเด็กวัดกินเสร็จ ก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกัน ล้างจาน...

 

ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ

อยากเกิดเป็นหมาวัดแล้ว เพราะไม่ต้องล้างจาน เหมือนเด็กวัด สบายกว่า...

พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า...

ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัด

 

ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว)

อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย หนำซ้ำยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย...

ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น

พอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ

จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..

 

ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่าน จึงบรรลุธรรมฉับพลัน (Sudden knowledge)

คิดได้ว่า เอ้อ.... เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย (The best to be yourself)

จงเชื่อมั่นในตัวเอง (Be yourself) ......


*********************************************************

กบยังไงก็ไม่ใช่กฎ   กฎจะสักกี่ชาติ ก็ยังเป็นกฎที่มิใช่กบอยู่ดี

เมื่อมีกฎ แต่ไม่รู้จักรักษากฎ  ก็ไม่ต่างอะไรกับกบที่ไม่ต้องมีกฎ...


Frog never bcome regulations

Regulations never bcome a frog

Not observing regulations as they exist

No differ from a frog without regulations....[/
[/b]center]

**************************************************

Composed by swc.sompiboon[/color][/b]


40
ท่าน ใช้คำหยาบคายกล่าวพาดพิงกระทบกัน
ท่าน ท้าทายอีกฝ่ายหนึ่ง สร้างความปั่นป่วน
ท่าน กระทำกรรมของท่านเองทั้งนั้น
ท่าน กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำ
ท่าน ขอความกรุณาผู้ดูแลบอร์ดลงโทษฝ่ายตรงข้าม

ผู้ดูแลบอร์ด มิใด้กล่าวหาให้ร้ายหรือเข้าข้างฝ่ายใด
ผู้ดูแลบอร์ด ลบ หรือ แก้ไขข้อความ ที่เสี่ยงต่อการ สร้างความแตกแยก สร้างความปั่นป่วน
ผู้ดูแลบอร์ด ไม่มีส่วนรู้เห็นการพาดพิงของท่าน ไม่สนับสนุนความแตกแยก
ผู้ดูแลบอร์ด พยายามรักษาความสงบในบอร์ด
ผู้ดูแลบอร์ด (ขอล๊อคกระทู๊นี้)
*


****************************************

โอ้โหท่าน Job และผู้ดูแลทุกท่านครับ.....

ผมดักหน้าพวกท่านว่าอย่ากรุณาย้ายหรือลบกระทู้ร้องเรียนของผม พี่ท่านก็เลี่ยงบาลีออกมาแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ปัดความรับผิดชอบ แล้วเล่นใช้วิธีการล็อคกระทู้เลยนะ ( อย่างนี้เขาเรียกว่าวิธีตีหัวชาวบ้าน แล้ววิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูล๊อคแบบเด็กวัดบางพระหรือเปล่าครับเนี่ย ? )

หากพวกท่านที่นั่งภูมิใจภูมิใจหนากับตำแหน่งผู้ดูแลบอร์ดเว็บวัดบางพระ มีสมองคิดแก้ไขปัญหาแบบนี้เนี่ย ผมก็คงไม่รู้จะว่าอย่างไร เปรียบไปก็เหมือนกับว่ามีคนสองคนทะเลาะกัน แล้วอีกคนถูกแทงวิ่งไปแจ้งตำรวจให้จับคนแทง แต่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่รักษากฎหมาย กลับบอกว่าผมไม่เกี่ยว พวกคุณทะเลาะกันเอง ตำรวจไม่ได้เข้าข้างใคร เพราะฉะนั้น คุณก็ไปเคลียร์กันเอง  Oh, My God..

ผมว่าหากผมเป็นพวกท่าน ผมคงต้องขอลาออกจากตำแหน่งแล้วล่ะ แล้วไปขอให้สัปเหร่อวัดบางพระหรือพวกวินมอเตอร์ไซด์หน้าวัดมาเป็นแทน ยังจะ Work กว่านะครับท่าน อายชาวบ้าน อายเว็บอื่นเขาเปล่า ๆ

ขอเถอะครับเพื่อเห็นแก่ความเจริญของวัดบางพระ หากเว็บนี้ตั้งชื่อว่า " เว็บเด็กวัดบางพระ " ที่มิใช่เป็นการเอาชื่อเสียงเกียรติคุณหลวงพ่อเปิ่นและวัดบางพระมาหากินแล้ว ก็คงไม่มีใครติดใจว่าอะไรกับความคิดเช่นนี้ของพวกท่านหรอก ทำไมเหรอครับ ทั้งบอร์ดผู้ดูแล ไม่มีคนดีมีฝีมือ มีความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญมีความรับผิดชอบกว่านี้อีกแล้วหรือครับ น่าสังเวชอนาคตวัดบางพระของเรานะครับ หากจะมีเว็บของวัดขึ้นมาสักเว็บหนึ่ง ก็ให้มีแต่พวกไม่มีสมองบริหารงาน มีแต่พวกแก็งอันธพาลตกงาน เรียนไม่จบ ผู้หญิงทิ้งมาพยายามสร้างบทบาท สร้างความเป็นมาเฟียในเว็บเพื่อปิดบังปมด้อยตนเอง ใครมีความเห็นไม่ลงรอยกับตน ก็เที่ยวรุมด่า รุมประณามหรือไม่ก็ออกมาทำเป็นขู่ทำร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ พวกที่มีหน้าที่ดูแลจัดการก็ทำเป็นละเลย ไมสนใจ ถ้าไม่เห็นแก่พวกพ้อง ก็คงน่าจะเพราะไม่อยากมีปัญหากับพวกเลว ๆ เพราะกลัวพวกมันจะมากระชากหัวโขนจอมปลอมที่สวมอยู่หรือไงครับ

ทุเรศและน่าสมเพชมากครับ  หากมีสมองคิดบริหารจัดการปัญหาได้แค่นี้ ผมว่าอย่ามีเลยครับกฎกติกาที่ตั้งมา ปล่อยให้แต่ละคนทำอะไรก็ได้ตามถนัดและสันดานที่ติดตัวมา เห็นหลายครั้งหลายคราวที่พวกท่านและไอ้พวกอันธพาลบางตัวที่ชอบออกมาขับไล่ผมหรือใคร ๆ ในทำนองว่าเว็บนี้ เป็นเว็บวัดบางพระ หากใครไม่เห็นด้วยกับพวกตน ก็ให้ออกไปจากเว็บนี้ อย่ามาสร้างความปั่นป่วนหรือทำให้เว็บและครูบาอาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง ผมว่านะคนที่ควรจะอัปเปหิตัวเองออกไปให้พ้นน่ะ น่าจะเป็นพวกท่านบางคนและไอ้พวกอันธพาลเสียมากกว่า  :059: :059: ผมคนเดียวต่อให้คิดทำชั่วทำเลวอย่างที่พวกท่านพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหา ก็คงไม่มีปัญญาทำให้เว็บล่มจม ครูบาอาจารย์เสื่อมเสียได้เพียงนั้นเท่ากับที่พวกท่านละเลยหน้าที่ หรือแก้ไขปัญหาแบบลอยตัวไปวัน ๆ หรอกครับ

ลองคิดใหม่และพิจารณาใหม่นะครับว่าจะทำอย่างไร เห็นบอกว่าเว็บนี้เปิดมา ๗ ปีแล้ว แต่ทำไมช่างล้าหลังชาวบ้านเขาอย่างนี้ล่ะครับ ลองพิจารณาตัวเองกันใหม่นะครับ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีสติปัญญาในทางพัฒนาที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ก็ยอมเสียสละหาคนอื่นที่เขาเป็นคนดีมีฝีมือ มีความรับผิดชอบมาบริหารแทนเถอะครับ อย่าให้ใครข้างนอกเขาต้องมองพร้อมกับหัวเราะไปด้วยว่าเว็บวัดบางพระที่บริหารโดยพวกเด็กวัดไร้แก่นสาร จะไปเอาแก่นดีเหมือนเว็บอื่นได้ที่ไหน ดู ๆ ไปเหมือนเว็บมือถือสาก ปากถือศีลยังไงไม่รู้...

ด้วยความเคารพ

สุวัจชัย สมไพบูลย์   [/b] 

**********************************************************
ปล.ถ้าอ่านข้อความในกระทู้นี้ของผมแล้วรับความจริงไม่ได้ จะใช้วิธีขี้ขลาดโดยการย้าย / ลบ หรือล็อคกระทู้หรือแม้แต่แบนผมเป็นครั้งที่ ๕ ตามฟอร์มอีกก็ได้นะครับถ้าคิดว่าช้างตายทั้งตัว แล้วเอาใบบัวปิดมิด 
 
 

41
เรียนคณะท่านผู้ดูแลเว็บและผู้คุมกฎทุกท่าน

ผมขอความกรุณาให้พวกท่านช่วยพิจารณาดำเนินการลงโทษสมาชิกที่ใช้ Use Name ว่า " มารบูรพา " อย่างเคร่งครัดโดยเร็วเสียที ทั้งนี้ เนื่องจากว่านายมารบูรพาคนนี้ ได้ส่งข้อความ Pm มาถึงผมด้วยข้อความที่หยาบคาย ดูหมิ่นให้ร้ายอยู่หลายครั้งหลายคราว อันเป็นการเข้าข่ายผิดกฎระเบียบข้อ ๔ ที่ทางเว็บเป็นผู้กำหนดขึ้น

๔. ห้ามตั้งกระทู้และหรือส่งข้อความ (pm) ใดๆ ที่หยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้ายหรือหมิ่นประมาท สร้างความแตกแยก สร้างความสับสน สร้างความปั่นป่วน

ซึ่งเมื่อเช้านี้ ผมก็ได้รับข้อความ Pm จากนายมารบูรพาอีกเป็นครั้งที่ ๕ ซึ่ง ๔ ครั้งที่ผ่านมานั้น ผมเองได้เคย Copy ข้อความที่นายมารบูรพาส่งมาขึ้นบนหน้ากระดานเว็บเพื่อให้ทางผู้ดูแลได้รับทราบ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ดำเนินการจัดการอย่างไร กลับปล่อยให้คนคนนี้ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ถ่อยสถุลมาสร้างความรำคาญเดือดร้อนอยู่หลายครั้งหลายคราวเช่นเดียวกับที่พวกท่านปล่อยให้สมาชิกบางคน ออกมาตั้งหรือตอบกระทู้ไร้สาระที่มุ่งเจตนาแต่การด่าส่อเสียดชาวบ้านอยู่ร่ำไป

ผมหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อท่านได้อ่านกระทู้ร้องเรียนของผมนี้แล้ว ท่านจะดำเนินการจัดการลงโทษอย่างเด็ดขาดกับนายมารบูรพาคนนี้และช่วยประกาศผลการพิจารณาดำเนินการของท่านให้ผมและสมาชิกท่านอื่น ๆ ทราบบนหน้ากระดานเว็บด้วยครับ หวังว่าพวกท่านคงจะไม่ใช้วิธีการแบบคนขี้ขลาด ขาดความรับผิดชอบโดยการย้ายหรือลบกระทู้นี้ของผมไปยังผู้ดูแลบอร์ดอีก เพราะนั่นมันจะเป็นการส่อสะท้อนให้เห็นว่าพวกท่านขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่มีเกียรติ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งที่ท่านเป็น คนเราหากไม่รู้จักรักษาหน้าที่ ตำแหน่งอะไรก็ไม่มีความหมาย ไม่ใครเขาชื่นชมยกย่อง

หวังว่าพวกท่านคงจะมีมาตรการลงโทษนายมารบูรพาคนนี้เสียทีนะครับ อย่าทำเฉย อย่าทำลืมกฎกติกาที่ตั้งไว้ เพราะทีเรื่องลบ / ย้ายกระทู้บางอย่างที่ไม่ควรทำและเรื่องอำนาจการตัดสินใจชี้ขาด ท่านยังรู้จักออกมาอ้างกฎข้อโน้นข้อนี้ให้ชาวบ้านเขาเห็นความชอบธรรมของท่าน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ท่านก็ไม่ควรที่จะลืมกฎข้อ ๔ ด้วย หากท่านรับรู้เรื่องร้องทุกข์ของผมแล้วยังนิ่งเฉย ไม่ทำการใด ๆ โดยความรับผิดชอบในหน้าที่ของท่านและ / หรือพยายามปิดหูปิดตาชาวบ้านโดยการย้าย / ลบกระทู้นี้ของผมอีกเพื่อเป็นการส่อเจตนาช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ชอบธรรมหรือเป็นการเล่นพวกพ้อง ในทางกฎหมายเขาบอกว่าท่านเข้าข่ายกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และ ๑๕๘ ซึ่งมีทั้งโทษจำและปรับนะครับ

ขอแสดงความนับถือ
สุวัจชัย สมไพบูลย์

***********************************************

ผู้เขียน หัวข้อ
~มารบูรพา~
ฉัฏฐะ

 ตอบ: มึงปากดีไปป่าว
« ส่งให้: suwatchai เมื่อ: วันนี้ เวลา ๐๙:๔๖:๔๑ » อ้างถึง ตอบ ลบทิ้ง   


--------------------------------------------------------------------------------
แล้วมันจริงไหมละไอสัด


มึงดูหมิ่นถึงครูบาอาจารย์



คงมีแต่เด็กอาบอบนวดอะนะ ที่อยากล่อกับมึง


หน้าอย่างมึงอะนะ


โถ่ ๆ


เด๊กรามยังไม่เอาเลย


หน้าตาหนี หรา หนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ถานะดี


โถ่


เหอๆ


มึงรวยมาจากไหนวะ

๕๕


*******************************************

วันนี้ เวลา ๐๙:๔๖:๔๑ ตอบ: มึงปากดีไปป่าว ~มารบูรพา~ 
 ๐๔ ต.ค. ๕๒, ๑๙:๓๘:๓๒ มึงปากดีไปป่าว ~มารบูรพา~ 
 ๐๓ ต.ค. ๕๒, ๑๙:๓๕:๑๗ (ไม่มีหัวข้อ) ~มารบูรพา~ 
 ๐๓ ต.ค. ๕๒, ๑๗:๑๙:๓๔ (ไม่มีหัวข้อ) ~มารบูรพา~ 
 ๐๑ ต.ค. ๕๒, ๐๙:๐๒:๐๘ (ไม่มีหัวข้อ) ~มารบูรพา~ 

 
 
 


42
ภาพนักศึกษาสยิว คลิปหลุดของน้องแพนเค้ก อ่านด่วนต้องการความช่วยเหลือ ตั๋วฟรีทัวร์ยุโรปช่วงคริสต์มาส ฯลฯ

เจอเมลจ่าหัวเรื่องมาแบบนี้ ใครล่ะจะอดใจไม่คลิก หารู้ไม่ อีเมลล่อใจล่ออารมณ์แบบนี้ลวงเหยื่อติดเบ็ดมานักต่อนักแล้ว แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งเตือนอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนมากก็ยังหลงกลกับคำลวงเหล่านี้

นายคงศักดิ์ ก่อตระกูล ที่ปรึกษาด้านเทคนิคจากบริษัท เทรนด์ ไมโคร กล่าวว่า อาชญากรไซเบอร์ไม่เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีใหม่มาล่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้ติดกับ แต่ยังใช้ความสนใจในสังคมเพื่อหลอกล่อให้ผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจเข้ามาติดกับ เช่น อีเมลลวงที่กล่าวถึงเจ้าชายไนจีเรียกำลังเดือดร้อน และต้องการให้ผู้ที่ได้รับอีเมลนี้โอนเงินไปให้ จากนั้นหากได้ขึ้นครองราชย์เมื่อใดจะตอบแทนด้วยเงินจำนวนมหาศาลอย่างนี้เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีอีเมลเกี่ยวกับเล่าเรื่องนักโทษชาวสเปน ชวนซื้อของช่วงเปิดเทอม การเลือกตั้งของสหรัฐฯ การแข่งขันฟุตบอล เป็นต้น และยังมีอีเมลในรูปแบบข้อความเตือนเหยื่อระวังเกี่ยวกับอีเมลแฝงภัยร้าย ไวรัส โดยใช้วิธีเขียนให้ดูน่าเชื่อถือ แล้วจะหลอกล่อให้เหยื่อคลิกลิงก์ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์อันตรายต่อไป

กลุ่มเป้าหมายที่เป็นที่จับจ้องของพวกต้มตุ๋นไฮเทคพวกนี้มักเป็นผู้บริหาร ระดับสูง และมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลบัญชีธนาคารต่างๆ ของพนักงาน ข้อมูลส่วนตัวในการเข้าสู่ระบบ หรือแม้แต่ที่อยู่อีเมลที่สามารถต่อขยายไปได้ทั้งองค์กร

ด้านนายรัฐสิริ ไข่แก้ว ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทย เสริมว่าแนวทางปฏิบัติในการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดขึ้น อยู่ที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต โดยควรระมัดระวังอีเมลแปลกๆ และอีเมลที่ไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่ว่าผู้ส่งจะเป็นใครก็ตาม ไม่ควรเปิดไฟล์แนบท้ายหรือคลิกลิงก์ที่มีอยู่ในข้อความอีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ เหล่านั้น และไม่ควรเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก

รวมทั้งอย่าติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่จากเว็บไซต์แปลกหน้า นอกจากมั่นใจว่าเว็บไซต์หรือเจ้าของซอฟต์แวร์นั้นน่าเชื่อถือจริง และที่สำคัญคือควรมีระบบป้องกันภัยข้อมูลที่เพียงพอ ใช้บริการสแกนไวรัสแบบเรียลไทม์ (ตรวจสอบทุกนาที) เพื่อช่วยให้การท่องโลกออนไลน์ปลอดภัยไร้กังวล

นายโจอี้ คอสโตย่า นักวิจัยภัยคุกคามขั้นสูงจากบริษัท เทรนด์ ไมโคร เปิดเผยถึงรายงานล่าสุดที่พบว่ามีอีเมลเชื้อเชิญให้คลิกเยี่ยมชมเว็บไซต์ สำนักข่าวของ msnbc.com เมื่อผู้ใช้งานหลงกลคลิกก็ต้องพบเรื่องประหลาดใจ เพราะแทนที่จะเข้าไปที่เว็บไซต์ MSNBC ของไมโครซอฟท์ กลับกลายเป็นเว็บไซต์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น

ยิ่งไปกว่านั้น หน้าจอยังปรากฏข้อความแจ้งให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแฟลชของอะโดบีสำหรับเล่นภาพเคลื่อนไหว แท้จริงแล้วไม่ใช่โปรแกรมอะโดบี แต่เป็นไวรัสตัวร้ายจากตระกูลโทรจัน ที่เข้าไปล้วงข้อมูลในเครื่องต่างหาก และเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถูกหลอก

“แล้วจะทำอย่างไร เมื่อเราได้รับอีเมลซ่อนไวรัสหลอกให้คลิกในลักษณะนี้ ? " วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ ผู้ใช้งานควรมีระบบป้องกันภัยคุกคามบนเว็บที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ" นายโจอี้กล่าวและทิ้งปริศนาให้คิดว่าระบบความปลอดภัยนั้นควรเป็นของเจ้าไหน



43
ตำรวจสันติบาลตั้งหน่วยงานปกป้องพุทธศาสนา กำจัด "มารผ้าเหลือง" บิณฑบาตขาดความสำรวม เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เที่ยวเร่ร่อนเพื่อหาลาภสักการะ พักค้างแรมตามบ้านเรือน..

เมื่อวันที่ 6 ต.ค.52 นายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) พล.ต.ท. ธีรเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าถวายสักการะคณะกรรมการมหาเถรฯ พร้อมทั้งแจ้งให้ที่ประชุมมหาเถรฯ ทราบว่าตามที่มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. ทำให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลมีการจัดส่วนราชการใหม่ และมีหน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบความมั่นคงเกี่ยวกับศาสนา เพราะเห็นว่าปัจจุบันมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ร่วมกันกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกับศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก ซึ่งการแบ่งส่วนราชการดังกล่าวมีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. และต้องการขอความร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เพื่อดำเนินการกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

นายอำนาจ กล่าวต่อว่า การที่ทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาลตั้งหน่วยงานที่เข้ามาดูเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยให้สามารถสืบข้อมูลเชิงลึกเพื่อดำเนินการกับบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวได้มากขึ้น   

ด้านพระรัตนเมธี เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าจุฬามณี กทม. ในฐานะหัวหน้าพระวินยาธิการ (ตร.พระ) ในเขต กทม. กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีสำหรับงานของพระวินยาธิการในการจัดการพระที่ประพฤติปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับสมณสารูป ขาดความสำรวม หรือกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวอาศัยผ้าเหลืองหากิน และเชื่อว่าจะทำให้พวกมิจฉาชีพที่แฝงเข้ามาหาผลประโยชน์จากพระลดลงไปด้วย ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัจจุบันปัญหาพระสงฆ์มีมาก โดยเฉพาะเรื่องของการบิณฑบาตขาดความสำรวม เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เที่ยวเร่ร่อนเพื่อหาลาภสักการะ พักค้างแรมตามบ้านเรือน ปักกลดในย่านชุมชน นุ่งห่มไม่เรียบร้อย เข้าร่วมพิธีสงฆ์โดยไม่ได้รับฎีกา กล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม ตั้งสำนักทรง พักอาศัยอยู่ในที่อโคจร เล่นการพนัน เสพยาเสพติด ดื่มสุรา ก่อความวุ่นวายในสถานที่ราชการ   

พระรัตนเมธี กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่าเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของพระวินยาธิการยังไม่ทั่วถึง แต่เมื่อมีหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองที่ดูแลความสงบและ มีกฎหมายให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มมิจฉาชีพเกิดความเกรงกลัว และพระวินยาธิการพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานใหม่ที่ตำรวจสันติบาลจัดตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดความสงบแก่คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา



*********************************************

ที่มา : ข่าวแวดวงพระสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

44
๑.ใช้นกต่อ เช่น ให้เด็กเล่นละครตบตา ทำทีว่าพลัดหลงจากผู้ปกครอง ให้ช่วยพาไปส่งที่บ้าน เมื่อถึงหน้าประตูบ้านแล้วคุณผู้หญิงกดกริ่งก็จะถูกไฟช็อตจนสลบไป

๒.สัมผัสตัว คุณผู้หญิงที่ไปไหนมาไหนคนเดียว อาจจะมีคนร้ายเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วทำเป็นชน หรือถูกเนื้อต้องตัว และกล่าวคำขอโทษ คนร้ายมีเจตนาที่จะป้ายสารเคมีบางชนิดบริเวณผิวหนัง ซึ่งมีผลทำให้เหยื่อเบลอขาดสติ

๓.กระดาษ ในรูปแบบของการวางกระดาษที่พับเอาไว้ อาจมีข้อความให้ชวนเปิดอ่าน ซึ่งเหยื่อก็จะสูดหายใจเอาสารเคมีบางอย่างที่อยู่ในรูปแบบของฝุ่นผง ในที่สุดเหยื่อจะเบลอ และไม่สามารถครองสติได้

๔.เครื่องดื่ม มักจะเกิดขึ้นกับสาวๆ นักท่องราตรีที่ไม่ทันระวังตัว ทั้งจากการดื่มที่มากเกินไป การวางแก้วทิ้งไว้ การดื่มเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้าที่บางครั้งอาจโชคร้ายโดนวางยา หลับแบบไม่รู้ตัว

๕.รมยา เป็นวิธีที่คล้ายกับภัยร้ายรายวันที่ได้เคยนำเสนอไปแล้ว จะเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงซึ่งใช้บริการแท็กซี่เพียงลำพัง โดยเมื่อคุณผู้หญิงขึ้นนั่ง  คนขับแท็กซี่จะทำทีปรับช่องแอร์ให้หันไปทางผู้โดยสาร ซึ่งเขาได้ป้ายสารเคมีบางอย่างที่ฝ่ามือ การปรับช่องแอร์จึงถือเป็นการทำให้สารเคมีนั้นระเหยไปกับอากาศ จนทำให้ผู้โดยสารหลับไม่รู้สึกตัว

๖.เล่นไสยศาสตร์ โดยใช้โอกาสที่เหยื่อมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ หลอกลวงโดยอ้างการจับเนื้อต้องตัวว่าเป็นวิธีสะเดาะเคราะห์ลงคาถาอาคม บางทีอาจหลอกล่อจนถึงขั้นการมีเพศสัมพันธ์

๗.ไม่ล็อกประตู ไม่ว่าจะเป็นประตูรถ ประตูบ้าน-ห้องเช่า หากคุณผู้หญิงอยู่คนเดียว แล้วไม่ล็อกประตูให้ดี คนร้ายอาจจะบุกเข้ามาทำร้ายร่างกาย ขโมยของมีค่า และข่มขืน

คงไม่มีใครต้องการให้ตนเอง หรือคนรอบข้างต้องตกเป็นเหยื่อภัยร้ายจากการถูกข่มขืนการนำกลวิธีที่ประมวลมานำเสนอไว้ในครั้งนี้ไปเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเพิ่มพูนความระแวดระวังในเบื้องต้น น่าจะช่วยลดจำนวนเหตุร้ายดังกล่าวได้



45
ใครบ้างจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ อุทาหรณ์ที่เกิดจาก “ความสงสารและความหวังดี” ที่ทำให้ต้องพบเจอกับการข่มขืนในรูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
       
ผมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่  แต่อย่างน้อยมันอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณได้ระมัดระวัง ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ ผู้หญิงคนที่ประสบกับเหตุการณ์นี้  เรื่องมีอยู่ว่า.... วันหนึ่งหลังเลิกงาน ผมได้ฟังเรื่องราวกลยุทธ์ในการข่มขืนแบบใหม่จากน้องสาวที่เล่าต่อกันมา ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง หลังเลิกงานผู้หญิงคนนี้กำลังจะกลับบ้าน ระหว่างทางเธอเห็นเด็กตัวน้อยๆกำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างถนน ด้วยความรู้สึกสงสารเด็ก เธอเดินเข้าไปหาและถามว่า "เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ" เด็กน้อยตอบว่า " ผมหลงทาง พี่ช่วยพาผมไปส่งที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ" แล้วเด็กน้อยก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วบอกว่าให้พาไปส่งตามที่อยู่ในนั้น

ด้วยความใจดีของเธอ เธอมิได้สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย เธอก็พาเด็กไปส่งตามที่อยู่นั้น พอถึงที่บ้านของเด็กน้อยตามที่อยู่ในนั้น เธอก็กดกริ่ง ทันใดนั้นเอง กริ่งที่ว่าถูกต่อสายไฟฟ้าแรงสูงเอาไว้ 

แน่นอนมันช็อตเธอจนหมดสติ....วันต่อมาเมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอพบว่า เธออยู่ในบ้านร้างพร้อมกับร่างอันเปลือยเปล่า เธอจำไม่ได้ ไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของผู้ร้าย

นั่นคงเป็นคำถามว่าทำไมทุกวันนี้อาชญากรรมถึงพุ่งไปหาคนที่ใจดี ในครั้งต่อไปถ้ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก ไม่จะกับใครก็ตามขอให้จำไว้ว่า อย่าพาเด็กไปในที่ที่เขาต้องการ ยังไงให้พาไปที่สถานีตำรวจ จะดีกว่า จำไว้เมื่อพบเด็กหลงทาง ทางที่ดีที่สุดควรพาไปที่สถานีตำรวจนะครับ ยังไงช่วยกรุณาส่งข้อความนี้ไปยังเพื่อนผู้หญิงทุกๆคนด้วยนะครับ 


(เพิ่มเติม: หากท่านได้อ่านเรื่องนี้ ช่วยบอกเตือนคนอื่น ๆ ด้วยครับเพื่อป้องกันและระวังภัยที่จะเกิดขึ้น)



46
บทความ บทกวี / รหัสผ่านยอดฮิต
« เมื่อ: 07 ต.ค. 2552, 12:31:19 »
เคยมีการรณรงค์กันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องรหัสผ่านสักเท่าไร ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง
   
เว็บไซต์ส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้ใช้ตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัยโดยอิงจากจำนวนอักษรเป็นหลัก ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร เพราะมีการเอาข้อความง่ายๆ มาใช้ หลายครั้งมีการแจ้งเตือนให้ทราบว่ารหัสผ่านที่ตั้งเอาไว้นั้นช่างเดาง่ายเสียเหลือเกิน แต่ผู้ใช้จำนวนมากก็ไม่สนใจ


และนั่นจึงเป็นที่มาของการเก็บสถิติรวบรวมเอารหัสผ่านกว่า 28,000 รายการที่ถูกขโมยจากเว็บไซต์ในสหรัฐฯ มาวิเคราะห์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เชื่อว่าไม่ต่างจากนิสัยคนไทยซักเท่าไรตามที่ได้เคยสอบถามคนรู้จักหลายๆ คน

ลองมาดูกันว่ารหัสผ่านยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ตั้งกันนั้น .. เดาได้ง่ายขนาดไหน

•   16 เปอร์เซ็นต์: ใช้ชื่อของตัวเองเป็นรหัสผ่าน บางทีก็อาจเปลี่ยนเป็นชื่อของลูกๆ หรือคนใกล้ชิดในครอบครัว เช่น สามี หรือภรรยา เป็นต้น

•   14 เปอร์เซ็นต์: ใช้รหัสผ่านแบบชุดแป้นพิมพ์ที่ติดกัน เช่น 1234, 123456, 1234567 หรือ qwerty เป็นต้น

•   5 เปอร์เซ็นต์: ใช้ชื่อดาราหรือตัวการ์ตูนโปรดมาแทนรหัสผ่าน

•   4 เปอร์เซ็นต์: คนที่เรียบง่ายเหล่านี้ใช้รหัสผ่านว่า password -- ตรงความหมายดี

•   3 เปอร์เซ็นต์: ใช้ถ้อยคำแสดงอารมณ์ความรู้สึก เช่น whatever, yes, no, iloveyou, ihateyou เป็นต้น

สรุปแล้ว 42 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้น ใช้รหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย และเดาได้ง่ายมาก ซึ่งจะนำพาไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขโมยข้อมูล หรือสร้างความเสียหายด้านการเงินจากแฮกเกอร์ที่ต้องการรหัสผ่านเป็นใบเบิกทาง

บริษัท Errata Security ที่ทำงานวิจัยชิ้นนี้แนะนำว่า รหัสผ่านที่ดีควรยาวเกิน 8 ตัวอักษร และมีทั้งตัวหนังสือ ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกัน

อ้อ! แล้วก็อย่าตั้งให้ยากเกินจนจำไม่ได้ เลยต้องติดรหัสผ่านเอาไว้ข้างๆ มอนิเตอร์ด้วยโพสต์อิต .. เพราะนั่นยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ครับ
[/b]

47
บทความ บทกวี / สัจจะ
« เมื่อ: 07 ต.ค. 2552, 12:18:17 »
เป็นมนุษย์สุดประเสริฐเลิศราศี

ชอบ ชั่ว ดี ผิด ถูกไซร้ใจตัดสิน

แม้นครองธรรมาวัฒนาเป็นอาจิณ

ไร้มลทินโศกเศร้าหายมลายผล

หากดำรงตนไว้ในสัจจะ

เป็นปิยกรรมาอันพาผล

คิด ทำ พูดโดยทางดีศรีกมล

เกิดกุศลอันเลิศล้ำนำสุขใจ

ผู้ครองธรรมย่อมประกอบชอบด้วยสัตย์

เปรียบดวงรัตน์อันสว่างกระจ่างใส

สัจจะคือบารมีศรีวิไล

ควรเทิดไว้ให้ประดับอยู่กับตน..[/
b]


48
 
   
1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...

2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...

3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...

4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์

5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...

6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...

7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...

8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...

9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...

10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...

11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...

12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...

13.ฮิปโปผายลมทางปาก...

14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...

15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...

16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...

17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...

18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...

19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...

20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที

21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...

22.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา

23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...

24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...

25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...

26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...

27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน

28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที

29.มันเป็นไปได้ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา

30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว

31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed

32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น

33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์

34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม

35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น

36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ

37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง

38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)

39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต

40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็มาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว

41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว

42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา

43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน

44.นิตยสาร Time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982

45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่30.59.27 ชม.

46.ตอนที่ F4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2

47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต

48.โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน

49.ภาพยนต์เรื่อง Nothing Hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ (45 ล้านบาท)

50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128ครั้ง

51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู

52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม

53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่

54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้

57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่

58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว

59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง

60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้

61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง

62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย

63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี

64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ

65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ

66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว

67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด

68.เลือดของกุ้งมังกรเป็นสีน้ำเงิน

69.รู้หรือเปล่าว่าเว็บ googleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดูสิ)





 










 






 


 

 



 
 
 

   

 
   
 
 
     
     
 

49
ก่อนอื่น ลองพิจารณาดูตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้ดูต่อไปนี้นะครับ....

คุณสมชายเป็นนักสะสมพระเครื่อง มีเงินใช้จ่ายคล่องมือเพราะเป็นเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ส่งออก คุณสมชายชอบสะสมพระเครื่อง ชอบสมาคมกับนักเลงพระ และเป็นคนที่ชอบดื่มพอสมควร มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณสมชาย ย่อมมักจะสวมบทบาทเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเสมอเมื่อเวลาที่ไปเข้าร่วมสนทนาอยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูง อันเป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้มีน้ำใจของคุณสมชาย

คุณสมชายเช่าพระองค์เป็นแสน นับเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินในบรรดาเพื่อนฝูงที่รู้จักกัน แต่การที่เช่าในราคาเป็นแสนนั้น ก็ใช่ว่าเขาจะหลับตาเช่าสุ่มสี่สุ่มห้าแต่อย่างใดไม่ ความละเอียดถี่ถ้วนและความน่าเชื่อถือของพระแต่ละองค์จะต้องได้รับการตรวจสอบจากบรรดาเพื่อน ๆ ที่รักชอบพอกันอยู่เสมอ แต่คุณสมชายดันมีข้อเสียตรงที่ว่าเป็นคนเจอลูกยอไม่ได้ เขาเป็นคนใจอ่อนต่อคำป้อยอ บางครั้งจึงมักได้ของแพงจนเกินไป คุณสมชายสะสมพระเครื่องอยู่หลายปี พอมาก ๆ เข้า คิดรวมกันก็เป็นเงินก็หลายสิบล้านอยู่

แต่แล้ววันดีคืนดี กิจการที่คุณสมชายประกอบการอยู่ ได้เกิดปัญหาติดขัดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ขึ้นมาซะนี่ คุณสมชายก็มานั่งคิดว่าพระเครื่องที่เช่ามาสะสมอยู่นั้น มากมายอยู่ เห็นทีจะต้องปล่อยออกเพื่อเอาเงินมาหมุนซะบ้างแล้ว

เมื่อคิดหาทางออกเช่นนั้นแล้ว คุณสมชายก็แวะเวียนไปหาเพื่อนฝูงที่เคยคบค้าสมาคมกันเพื่อจะให้เป็นธุระช่วยปล่อยของให้หน่อย ซึ่งเพื่อนฝูงบางคนก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีทีเดียวเพราะคุณสมชายถือได้ว่าเป็นกัลยาณมิตร แต่ในขณะที่บางรายก็บ่ายเบี่ยงตอบปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  แต่ที่น่าช้ำใจสุด ๆ ก็เห็นจะเป็นคำตอบที่ว่าพระที่หอบไปให้ดูนั้น มันบอกว่าผิดพิมพ์ ซึ่งคำว่า " ผิดพิมพ์ " ก็หมายถึง " พระเก๊ " นั่นเอง คุณสมชายก็ยั๊วลมออกหูซีครับ เพราะพระเหล่านั้น ล้วนซื้อมาจากพรรคพวกกันแถมไอ้คนที่บอกว่าผิดพิมพ์ก็อยู่ในกลุ่มซะด้วย อีตอนที่ซื้อก็ไม่เห็นว่ามันจะบอกว่าผิดพิมพ์ซะหน่อย พอคุณสมชายโวยวายมากเข้า มันก็บอกว่า " พิมพ์นี้เขาไม่นิยมกัน " เขานิยมพิมพ์อื่น ตกลงว่าคุณสมชายกว่าจะปล่อยพระกะเอาเงินมาหมุนหน่อยก็เล่นปลงไปเลย

คุณสมชายขายพระที่สะสมไว้หลายปีออกไปค่อนกรุ ได้เงินกลับมาไม่ถึงล้าน คุณสมชายเป็นพ่อค้า ถ้าคิดแบบพ่อค้าก็ถือว่างานนี้ขาดทุนป่นปี้

ข้อเตือนใจจากตัวอย่างคุณสมชายที่อยากจะบอกบรรดานักซื้อ นักนิยมสะสมพระเครื่องทั้งหลายว่าราคาซื้อขายพระเครื่องนั้น  ขึ้นอยู่กับกระแสของท้องตลาดเป็นสำคัญ ถ้าหากจะคิดซื้อพระมาเพื่อเก็งกำไรนั้น ย่อมเป็นเรื่องยาก  แต่หากสะสมเพื่อใจรักและเชื่อในพุทธคุณขององค์พระ เช่าหรือแลกเปลี่ยนในหมู่ก๊วนที่ชอบเหมือน ๆ กัน ย่อมสบายใจกว่า...

50
บทความ บทกวี / หัวใจเซียน
« เมื่อ: 30 ก.ย. 2552, 06:28:59 »
คำว่า" เซียน " ที่ผมหมายถึงในที่นี้ หมายถึง " เซียนพระ " ซึ่งคนที่เป็นเซียนพระจริง ๆ นั้น พูดได้เลยว่าเป็นคนที่นอบน้อมถ่อมตนเป็นปกติวิสัย ไม่เสแสร้ง ไม่โอ้อวด คุยโม้คำโต พูดจามีหลักเกณฑ์ อธิบายเข้าใจง่ายแต่ละเอียดลึกในเรื่องที่ตนรอบรู้ ไม่เป็นคนพูดเพ้อเจ้อเป็นน้ำท่วมทุ่ง ไร้สาระ...

เซียนในสนามใหญ่ ๆ ส่วนมาก มักมีสายตาคม ซึ่งในวงการพระเขาเรียกว่า " มองแล้วอ่านขาด " มีปฎิภาณไหวพริบ ดูรู้ว่าคนไหนเอาพระมาหวังให้ดูอย่างเดียว คนไหนหวังเอามาให้เช็ค คนไหนหวังเอามาปล่อย ซึ่งมนุษย์เรานี่ก็มีอยู่หลายประเภท ประเภทที่เอามาโชว์อย่างเดียวหรือชอบโชว์นี่ ถือว่าเป็นโรคจิตประเภทหนึ่ง คืออยากให้คนอื่นพูดถึงตัวเองแล้วปลื้ม กลับบ้านคงกินข้าว นอนหลับสบาย ซึ่งบางทีก็น่าเบื่อน่าหมั่นใส้ บางทีก็น่าเห็นใจและพอจะอภัยให้กันได้ เพราะถือว่าเขาได้โชว์ได้อวดแล้วมีความสุข ก็ถือว่าช่วย ๆ อนุเคราะห์กันไป เซียนใหญ่บางคน เขาจะไม่สนใจเลย ดูไปก็เสียลูกตา เสียเวลาทำมาหากิน ( ขายหรือซื้อพระ ) เปล่า ๆ

เซียนจริง ๆ แล้ว มาดต้องนิ่งทั้งกายและใจ สุขุม เยือกเย็น เห็นของแล้วต้องนิ่งเข้าไว้ ไม่วอกแวกออกอาการ บางคนเห็นของที่นำมาให้ดูหลายชิ้น ก็อาจจะหยิบองค์นั้นดูทีองค์นี้ดูที บางองค์ก็ดูนาน แต่ทีองค์ที่ตนหมายตา กลับดูนิดเดียว จับแค่ผ่าน ๆ ทำให้คนที่เอาพระมาปล่อย เดาใจไม่ถูกว่าองค์ไหนราคาสูง องค์ไหนราคาต่ำ พอถึงตอนตกลงราคาซื้อขายกัน ถ้าเป็นการซื้อขายแบบเหมาทั้งลอต เจ้าของพระที่เอาพระมาปล่อย ไม่รู้ว่าเซียนหมายตาองค์ไหนไว้ เซียนนั้นก็จะใช้วิธีกล้งพูดต่อรองราคาองค์ที่ราคาต่ำ ๆ เข้าไว้ ( ทำเป็นสนใจองค์นั้น ) พอตกลงราคาเสร็จก่อนควักเงินให้กับเจ้าของพระ ก็อาจขอองค์ที่เซียนเห็นแล้วว่ามีราคาสูง เป็นของดีจริงมาเป็นของแถม ซึ่งเจ้าของพระก็มัวแต่ดีใจที่จะได้เงินหรือเกิดความเกรงใจกลัวเขาเปลี่ยนใจไม่ซื้อ จึงหลงกลยอมยกพระดีนั้นให้ฟรี ๆ ไป ซึ่งนี่ก็คือเล่ห์กลอย่างหนึ่งที่อย่ามองข้ามเด็ดขาด

เซียนอีกประเภทหนึ่ง คือประเภทจับแล้ววาง ดูผ่าน ๆ ไม่ค่อยออกความเห็น อาจจะเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์สำหรับตัว จึงเพียงแค่ดูผ่านเฉย ๆ ซึ่งคนที่เป็นเจ้าของพระก็จะรู้สึกใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ  ใจไม่ดี กลับบ้านแล้วไม่สบายใจ เซียนแบบนี้ถือว่าไม่น่าคบด้วยครับ

เซียนบางคนเห็นของไม่ได้ ปากสั่น มือสั่น " อยากได้ " ไปหมด เก็บอาการไม่อยู่ทั้ง ๆ ที่รู้จริง เซียนอย่างนี้ มักจับของไม่ค่อยได้ ถ้าคิดจะทำอาชีพซื้อขายพระ ไม่ดีแน่ แต่ถ้าเป็นผู้คอยให้ความคิดเห็นหรือให้ข้อมูลแล้วคิดค่าวิชา  อย่างนี้สิดี

เซียนอีกประเภทหนึ่งคือเซียนใฝ่ดี เห็นใครแขวนพระอะไรเป็นไม่ได้ต้องขอดูไปหมด คล้ายจะเป็นจะตายให้ได้ถ้าไม่ได้ดู แต่มีกิริยานุ่มนวลสุภาพ ขออนุญาตดู ขออนุญาตส่อง ดูแล้วก็บอกความจริงที่รู้ตามข้อมูลที่มี ซึ่งคนที่อยากเป็นเซียนต้องปฎิบัติอย่างนี้ครับ รับรองอนาคตน่าที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นเซียนใหญ่กับเขาแน่ ทั้งนี้ เพราะของจริงของแท้ เราจะหวังซื้อมาศึกษาอย่างเดียวคงไม่ได้ บางองค์ราคาสูง เปลืองเงินเปล่า ๆ ขออนุญาตของชาวบ้านดูเป็นความรู้ น่าจะดีที่สุด แต่ดูแล้วถ้าเป็นของปลอมหรือไม่มั่นใจ กรุณาอย่าวิจารณ์แบบสาดเสียเทเสีย ไม่แน่ใจก็นิ่งเสีย เพราะไม่งั้นอันตรายอาจเกิดแก่ร่างกายและชีวิตคุณได้เสมอ...เราเตือนคุณแล้วนะ :069: :069:

51
จากการที่ผมได้อ่านบรรดากระทู้ต่าง ๆ ของท่านสมาชิกทั้งหลายในเว็บนี้ ผมพบว่าหลายท่านมีความกังวลใจ ไม่เข้าใจและเกิดข้อลังเลสงสัยเกี่ยวกับการทำผิดข้อห้ามต่าง ๆ ว่าจะมีผลต่อรอยสักที่ตนเองสักมาหรือมีผลทำให้เครื่องรางของขลังที่ติดตัวนั้นเสื่อมลงไปหรือไม่อย่างไร ทำนองนี้

แต่คนเราก็อย่างว่าแหละ คงไม่เคยมีใครเกิดมาแล้วไม่ทำผิด ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม และเช่นเดียวกัน คงไม่มีใครเกิดมาแล้วอยากทำผิดหากไม่เป็นเพราะว่าทำลงไปเพราะความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในปากท้องของตนเองและครอบครัว เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อทวงความยุติธรรมหรือทำลงไปเพราะหักห้ามหัวใจที่ร่ำร้องมิได้

ตรงนี้ ผมจึงอยากถามท่านสมาชิกทั้งหลายว่า [size=16pt]" ข้อห้ามใดที่ท่านคิดว่าเป็นข้อห้ามฉกาจที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งและถ้าหากว่าท่านต้องทำผิดข้อห้ามดังกล่าวนี้ลงไปด้วยความจำเป็นอย่างที่สุด จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วท่านจะดำเนินการเช่นไรที่จะเป็นการผ่อนหนักเป็นเบา เป็นการไถ่บาป หรือจะทำอย่างไรที่ท่านจะไม่ต้องมาวังวนติดอยู่ในการทำผิดข้อห้ามนี้อีก ?[/size]


ก่อนที่ท่านจะตอบกระทู้นี้ ผมขอความจริงใจในการตอบหน่อยนะครับ ตอบแบบโง่ ๆ ถึงยังไงก็ยังดูดีกว่าการตอบแบบไม่จริงใจ ประเภททำเป็นยกตนดี มีศีลมีธรรม ส่วนคนอื่นชั่วหมด อย่างนี้ไม่ต้องมาตอบนะครับ เพราะมันดูแล้วทุเรศ ขอคนที่จริงใจตอบหน่อย..[/b]

52
สุดยอดสิ่งมีชีวิต (The Most Extreme) เป็นรายการซีรี่ย์หนึ่งของเคเบิลทีวีอเมริกา ในช่อง (Animal Planet) ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ในแต่ละตอนจะมุ่งประเด็นไปที่ความสามารถต่าง ๆ ของสัตว์ เช่น ความแข็งแกร่ง ความเร็ว จ้าวเสน่ห์ ยอดนักรบ จอมเขมือบ ฯลฯ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่แสดงความสามารถออกมา แล้วนำเสนอในมุมมองที่แปลก ๆ ของสัตว์ชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ดีการจัดอันดับสัตว์ต่าง ๆ ในรายการไม่ได้อ้างอิงโดยผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เฉพาะด้าน

สุดยอดสิ่งมีชีวิต จะเริ่มรายการโดนการตั้งประเด็นคำถามก่อน แล้วจึงค่อยไล่ลำดับของสัตว์ในด้านต่าง ๆ ขึ้นมาตั้งแต่ลำดับสุดท้ายจนถึงลำดับแรก พร้อมกับมีคำอธิบายและการเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์กราฟิก เพื่อเป็นการให้ผู้ชมมองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นสุดยอดสิ่งมีชีวิตตอน "สุดยอดฉลาม" ก็จะมีการเปรียบเทียบฉลามหัวค้อน (Hammerhead shark) ที่มีสัมผัสสุดยอดทางด้านการมองเห็นและการดมกลิ่น รวมไปถึงสัมผัสพิเศษในการตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเทียบกับทีมนักเจาะระบบเครือข่ายข้อมูล (Hacker) ที่สามารถแกะรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายแบบไร้สายได้ ปัจจุบันออกฉายในประเทศไทยทาง Animal Planet ทรูวิชั่นส์ช่อง 50

ตอนสุดยอดจ้าวความเร็ว:

สุดยอดสิ่งมีชีวิตตอน "สุดยอดจ้าวความเร็ว" ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2545

รายชื่อสัตว์ สถิติสุดยอดสิ่งมีชีวิต

 


อันดับที่ 1 ด้วงเสือ (Tiger Beetle)
ด้วงเสือ ถือเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่มีความเร็วมากที่สุด ซึ่งหากว่าด้วงเสือมีขนาดร่างกายใหญ่โตเท่ากับมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของมัน จะสามารถวิ่งได้เร็วถึงประมาณ 494 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว    


อันดับที่ 2 เหยี่ยวพีรีกริน (Peregrine Falcon)
เหยี่ยวพีรีกริน สุดยอดสิ่งมีชีวิตอันดับสองที่สามารถเคลื่อนที่และพุ่งทะยานไปในอากาศ ด้วยความเร็วสูงถึงประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง    


อันดับที่ 3 เสือชีตาห์ (Cheetah)
เสือชีตาห์ จัดเป็นสัตว์บกที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลก ในการล่าเหยื่อแต่ละครั้ง มันสามารถวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 115 กิโลเมตร/ชั่วโมง



อันดับที่ 4 หอยสังข์ (Cone Snail)
หอยสังข์จัดได้ว่าเป็นนักฆ่าที่รวดเร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบยาชนิดใดที่สามารถช่วยในการรักษาพิษของหอยสังข์ได้ จึงนับได้ว่าพิษของมัน เป็นพิษสังหารที่แท้จริง  


อันดับที่ 5 ฉลามมาโก (Shortfin Mako Shark)
ฉลามมาโก จัดเป็นฉลามที่มีความรวดเร็วที่สุดในการว่ายน้ำล่าเหยื่อ ในบรรดาฉลามด้วยกัน ฉลามมาโกสามารถว่ายน้ำด้วยความเร็ว 48 กิโลเมตร/ชั่วโมงในการล่าเหยื่อ


อันดับที่ 6 นกกระจอกเทศ (Ostrich)
นกกระจอกเทศ เป็นสัตว์ปีกสัตวสองเท้าที่ไม่สามารถบินได้ แต่สามารถวิ่งได้รวดเร็วที่สุดในบรรดาสัตว์สองเท้าด้วยกัน นกกระจอกเทศสามารถวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือประมาณ 11 ฟุต ต่อก้าว  


อันดับที่ 7 กุ้งมือปืน (Snapping Shrimp)
กุ้งมือปืน สร้างเสียงที่ดังจากก้ามในการล่าเหยื่อ ด้วยการสร้างแรงดันน้ำราวๆ 80 kPa ในรัศมี 4 เซนติเมตร ซึ่งมีความรุนแรงพอที่จะทำให้ปลาตัวเล็ก ๆ ช็อคตายได้ เสียงจากก้ามของกุ้งมือปืนมีความดังถึง 218 dB/μPa/m (เดซิเบล/ไมโครปาสคาล/เมตร) เมื่อเทียบเสียงของน้ำตกไนแองการ่าซึ่งดังเพียง 90 dB เสียงในโรงงานอุตสาหกรรมดัง 80 dB เสียงพูดคุยปกติดัง 30 dB  



อันดับที่ 8 กระต่ายป่า (Hare)
กระต่ายป่า เป็นสัตว์มี่สามารถทำความเร็วได้สูงกว่านักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิกถึง 2 เท่า เป็นสัตว์สันโดษอาศัยเพียงลำพังตัวเดียว ไม่รวมกลุ่ม มีขนาดใหญ่กว่ากระต่ายทั่วไป ลูกกระต่ายป่าแรกเกิด สามารถหัดเดินได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างกับกระต่ายทั่วไปที่แรกเกิดตาจะยังมองไม่เห็น และไม่มีขน  


อันดับที่ 9 ไส้เดือนดิน (Earthworm)
ไส้เดือนดิน จัดเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีขาและไม่มีกระดูกสันหลังที่รวดเร็วที่สุด ในการเคลื่อนที่และชอนไชดินให้ร่วมซุย รวมทั้งการหลบหนีอำพรางตัวจากศัตรูด้วยการมุดดินหนีอีกด้วย  


อันดับที่ 10 กิ้งก่าบาซิลิสค์ (Basilisk)
กิ้งก่าบาซิลิสค์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ด้วยขนาดและร่างกายที่เล็ก ทำให้สามารถวิ่งบนผิวน้ำได้เร็วถึง 11 กิโลเมตร/ชั่วโมง
*******************************
สุวัจชัย สมไพบูลย์

53

คาร์ล กุสตาฟ จุง ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาและจิตแพทย์ชาวสวิตช์ ผู้วางรากฐานเกี่ยวกับจิตวิทยาวิเคราะห์ (analytic psychology)  ผลงานเด่นคือ " จิตใต้สำนึกและจิตบำบัดในวงการจิตเวช " เขาเคยกล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นนักศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่โลกเคยพบเห็นมา ปรัชญาของพระพุทธเจ้าคือทฤษฎีวิวัฒนาการและกฏแห่งกรรมที่ยิ่งใหญ่เหนือลัทธิอื่นอย่างห่างไกล”[/b]


แมกซ์ มูลเลอร์ (Max Muller) ศาสตราจารย์ทางนิรุกติศาสตร์ชาวเยอรมันเคยกล่าวว่า” ประมวลศีลธรรมของพระพุทธเจ้า สมบูรณ์มากที่สุดที่โลกเคยรู้จักมา” [/color]


อัลดัส ฮักซลีย์ (Aldous Huxley) นักเขียนนวนิยาย นักวิจารณ์ชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ในบรรดาศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งหมด พุทธศาสนาเป็นเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นที่ดำเนินไปโดยปราศจากการเบียดเบียนทางศาสนา การตรวจสอบ การควบคุม และการซักถาม สอบสวน ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ หรือลูกขุนเพื่อจะเอาผิดหรือควบคุมผู้ไม่นับถือศาสนา" [/color]


อาร์เธอร์ โชเพนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) นักปรัชญาชาวเยอรมัน กล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะถือเอาผลแห่งปรัชญาของข้าพเจ้าเป็นมาตรฐานแห่งความจริง  ข้าพเจ้าก็ควรมีข้อผูกพันที่ต้องยอมรับพระพุทธศาสนาว่าเด่นเป็นพิเศษเหนือกว่าศาสนาที่เหลือ" [/color]


เอช จีเวลล์ (Herbert George Wells) นักเขียนนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีผลลงานอันมีชื่อเสียงรู้จักกันดีทั่วโลก อาทิเช่นเรื่อง The Time Machine เมื่อปี 1985 ได้กล่าวว่า" ศาสนาพุทธได้กระทำไว้มากยิ่งกว่าอิทธิพลอื่นใดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ในอันที่จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าแห่งอารยธรรมโลก " [/color]

********************

สุวัจชัย สมไพบูลย์

54
ภาพต่อไปนี้ที่ท่านสมาชิกจะได้ชม เป็นภาพพญานาคตัวจริงที่มีผู้อ้างว่าถ่ายภาพได้โดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าแถวบริเวณฝั่งลาวหรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวผมแล้วนั้น ผมมีความเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ทีเดียวว่าพญานาค เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงโดยจัดเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่ง ดูภาพข้างล่างนี้แล้ว ลองแสดงความคิดเห็นกันเข้ามาดูนะครับว่าคุณ Believe It or Not !....




สุวัจชัย สมไพบูลย์

55


จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เรียบเรียงโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปัณโณแห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้บันทึกประวัติตอนหนึ่งของแม่ทัพธรรมแห่งภาคอีสานเอาไว้ว่าพระอาจารย์มั่นสมัยที่ท่านไปบำเพ็ญเพียร ณ ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านได้พบกับพญานาคที่เป็นมิจฉาทิฐิตนหนึ่งดังปรากฎข้อความดังต่อไปนี้.....

....ในถ้ำเชียงดาว ซึ่งมิใช่ถ้ำที่ยาวเข้าไปในกลางเขาที่ประชาชนชอบเข้าไปเที่ยวกันเป็นประจำ แต่เป็นถ้ำหนึ่งที่สูงขึ้นไปกว่าถ้ำที่ท่านพักอยู่  ท่านว่าในถ้ำที่ท่านพักมีพญานาคตนหนึ่ง รักษาถ้ำอยู่เป็นประจำมาเป็นเวลานาน แต่รู้สึกจะเป็นพญานาคมิจฉาทิฐิ จึงชอบกล่าวโทษพระอย่างไม่มีประมาณแห่งความพอดี

ขณะที่พระอาจารย์มั่นท่านพักอยู่ถ้ำนั้น มักถูกพญานาคที่รักษาถ้ำตำหนิติเตียนด้วยเรื่องต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ เวลาแผ่เมตตาให้ส่วนกุศล ก็รู้สึกว่าจะรับได้ยาก นั่นก็เพราะคงจะเคยมีกรรมกับพระมานานยังไม่จบสิ้นลงได้  ดังนั้น ขณะที่ท่านพำนักอยู่ที่นั่น จึงถูกคอยจ้องจับโทษอยู่เป็นประจำแทบทุกอิริยาบถแม้ขณะหลับก็ตาม

ตอนกลางคืนเวลาท่านใส่รองเท้าเดินจงกรมมีเสียงดังบ้าง ก็ว่าสมณะอะไรเดินจงกรมมีเสียงดังราวกับเสียงม้าแข่ง ไม่สำรวมระวังบ้างเลย เสียงรองเท้ากระทบดินและหินกระเทือนทั่วภูเขา ไม่คิดว่าใครจะมีความลำบากรำคาญบ้างเลยนิ

ทั้งที่ท่านก็เดินไปมาอย่างเบา ๆ ในท่าสำรวมของผู้บำเพ็ญธรรมไม่ผิดไปจากปรกติธรรมดาเลย

พอท่านทราบว่าพญานาคจ้องจับผิดโทษ ท่านก็พยายามระวังเดินเบา ๆ ก็ยังถูกว่าอีก ว่าสมณะอะไรเดินจงกรมราวกับเขาด้อมจะยิงนก บางครั้งเท้าท่านก็ไปสะดุดหินทางจงกรม มีเสียงดังตุ๊บตั๊บบ้าง เท่านั้นก็ว่าสมณะอะไรเดินจงกรมราวกับเขาเต้นระบำโป๊ โขยกเขยกไม่สำรวมระวังเอาบ้างเลย

บางคราวท่านตกแต่งทางจงกรมให้พอเดินได้สะดวกไม่ขระขระเกินไป พอยกหินมาวางเรียงรายตามทางจงกรม ก็ว่าสมณะอะไรไม่สมควรจับโน่นโยนนี่อยู่ไม่เป็นสุข ไม่คิดว่าหัวใครจะแตกเพราะความกระทบกระเทือนจากความอยู่ไม่เป็นสุขของตน ไม่ว่าการไปการมา การเข้าออกในบริเวณนั้น ท่านต้องได้ทำความระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้เช่นนั้น ก็ยังคงได้รับความตำหนิจากพญานาคมิจฉาทิฐิจนได้

ตอนกลางคืนท่านพักจำวัด ขณะหลับไปอวัยวะส่วนต่าง ๆ อาจไหวติงไปบ้าง พอตื่นนอนขึ้นมา ความรู้สึกที่บันทึกไว้โดยตลอดก็บอกว่าพญานาคตำหนิว่าท่านนอนทำเสียงตุกติกบ้าง เสียงหายใจฟูดฟาดบ้าง เสียงกรนบ้าง ร้อยแปดพันประการที่จะสรรหามาจ้องจับผิดโทษ

ขณะที่ท่านกำหนดจิตดูพญานาคตนที่ขี้โมโหและแสนจ้องจับผิดโทษเก่งทีไร ปรากฎว่าพญานาคตนนี้ก็จะโผล่หัวออกมาคอยจ้องมองท่านอยู่เป็นประจำประหนึ่งว่ามันไม่ยอมพลิกสายตาไปที่อื่นเลย ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าหน้าเสือใจยักษ์ ไม่ยอมรับส่วนบุญจากใครเลยนอกจากตั้งหน้าตั้งตาสร้างแต่ความโมโหโทโสอันเป็นไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลา

ท่านเองก็เมตตาสงสารกลัวพญานาคตนนั้น จะเป็นบาปเป็นกรรมหนักเข้าทุกที แต่ก็สุดวิสัยที่จะอนุเคราะห์ได้ในระยะนั้น เพราะตัวพญานาคเองไม่มาสนใจในเหตุผลอรรถธรรมเอาเสียเลย มีแต่คอยจ้องจับผิดโทษอยู่ท่าเดียว

บางครั้งท่านพระอาจารย์มั่นก็เตือนพญานาคตนนั้นให้ทราบเรื่องสมณะบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านได้อธิบายให้พญานาคตนนั้นเข้าใจว่าท่านมิได้มาที่นี่เพื่อก่อกรรมทำเข็ญแก่ผู้หนึ่งผู้ใด นอกจากมุ่งบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ท่านเตือนพญานาคว่าไม่ควรติดใจใฝ่ต่ำว่าท่านจะมาทำความเดือดร้อนเสียหาย ท่านพยายามทำความดีทุกขณะที่ระลึกได้ ผลบุญที่บำเพ็ญมามากน้อยก็ได้แผ่ไปยังสัตว์โลกที่ควรจะได้รับส่วนบุญที่ท่านมาแผ่อุทิศให้ จึงไม่ควรเดือดร้อนเสียใจว่าท่านมารบกวนความสุขที่ควรจะได้

ท่านพญายามอธิบายให้พญานาคฟังว่าการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังมีชีวิต ซึ่งก็จะต้องมีการพลิกไหวไปมา นอกจากคนหรือสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้น จึงจะไม่สามารถกระดุกกระดิก ตัวท่านแม้เป็นสมณะซึ่งเป็นเพศที่สำรวม แต่ก็มิได้สำรวมแบบคนตาย เพราะลมหายใจยังมีอยู่ จึงจำต้องสูดเข้าสูดออก ค่อยบ้างแรงบ้าง แม้ขณะหลับ ลมหายใจก็ยังทำงานและร่างกายทุกส่วนก็ยังทำงานเช่นเดียวกัน แต่ก็มิได้เลยขอบเขต

การเดินจงกรมก็พยายามค่อยเดินค่อยไปในท่าสำรวม แต่ก็อดถูกตำหนิจากพญานาคมิได้ว่าเดินราวกับม้าแข่ง เป็นต้น ความจริงแล้ว ม้าแข่งซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานกับสมณะผู้มีศีลสำรวมเดินจงกรมด้วยท่าระวังตั้งสตินั้น ก็ผิดราวฟ้ากับดิน

ท่านว่าพญานาคไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันถ้าไม่ใช่ผู้อาภัพในความดีทั้งหลาย หมายยึดนรกเอาเป็นเรือนนอนเท่านั้น ซึ่งท่านเองก็สุดวิสัยที่จะปฏิบัติให้ถูกใจไปเสียทุกอย่าง

ท่านพระอาจารย์มั่นเตือนพญานาคตนนั้นว่าหากยังหวังความสุขความเจริญเหมือนโลกทั้งหลาย พญานาคก็ควรจะสำนึกในความผิดถูกชั่วดีของตนบ้าง ไม่ควรปล่อยให้นรกเข้าไปเผาใจตลอดเวลา น่าจะยังพอมีทางออก การตำหนิติเตียนผู้อื่น แม้เขาจะเป็นผู้ผิดจริงก็ยังจัดว่าเป็นการก่อกวนจิตใจตนให้ขุ่นมัวไปด้วยอยู่นั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของสมณะเช่นท่านก็ยังมองไม่เห็นว่าได้ผิดพลาดจากหลักของสมณะไปที่ตรงไหนบ้าง แต่ก็ได้รับความตำหนิจากพญานาคเรื่อยมา ซึ่งถ้าพญานาคตนนี้เป็นคน ก็น่าจะอยู่กับโลกเขาไม่ได้ คงจะเห็นโลกเป็นขี้แห้งขี้สดไปหมด เอาแต่สำคัญตนว่าเป็นทองคำอันสูงค่าที่จะคละเคล้ากับโลกที่เต็มไปด้วยขี้สกปรกไม่ได้ ทั้งนี้ ก็ล้วนเพราะความเดือดร้อนวุ่นวายของใจที่คิดแต่เรื่องคอยจ้องจับผิดผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุข

ท่านพยายามชี้ให้พญานาคเห็นว่าการจ้องจับผิดผู้อื่นอย่างไม่มีขอบเขต นักปราชญ์ถือว่าเป็นความผิดและเป็นบาปกรรมไม่มีชิ้นดี เป็นการสร้างบาปหาบทุกข์ใส่ตัวเปล่า ๆ  ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้ถูกตำหนิ แต่ตัวท่านก็หาได้เป็นทุกข์ร้อนอะไรเลย  กลับกัน ตัวพญานาคเอง กลับรู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายในไม่เป็นสุข  ไม่ว่าพญานาคตนนั้นจะคิดอะไรออกมา พระอาจารย์มั่นท่านทราบอยู่อย่างเต็มอก  แต่ก็พร้อมทั้งให้อภัยอยู่ตลอดมา

หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้พยายามเทศน์สั่งสอนให้พญานาคที่มีมิจฉาทิฐิได้มองเห็นถึงทางผิดถูกและบาปกรรมที่จะได้รับติดตัวไปอยู่พักใหญ่ ท่นก็ถามพญานาคว่าเป็นอย่างไรบ้างที่ท่านอธิบายธรรมมาให้ฟังทั้งหมดนั้น พญานาคมีความเข้าใจหรือไม่ ซึ่งพญานาคก็ตอบว่าตนเองเข้าใจดีทุกประโยคที่ท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาโปรดสัตว์ผู้อาภัพ แต่เนื่องจากพญานาคตนนี้ มีกรรมหนามาก จึงยังคงไม่เบื่อหน่ายความอาภัพของตน ยังคงถกเถียงกับตัวเองอยู่เวลานี้ ยังไมลงรอยกันได้เลย ใจคอยแต่จะไหลลงทางต่ำที่เคยเป็นมาอยู่เรื่อย ๆ  ไม่ยอมฟังเสียงอรรถธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นนำมาพร่ำสอนบ่างเลย

ท่านพระอาจารย์มั่นถามว่าใจชอบไหลลงทางต่ำนั้น ไหลลงอย่างไร พญานาคตอบว่าก็ใจชอบแต่จะติเตียนท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ทุกขณะที่เผลอตัวทั้งที่พระอาจารย์มั่นก็ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แต่ใจก็ชอบคิดของมันอย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะพอดีและเห็นโทษในความผิดเสียบ้างเพื่อพอจะมีทางเดินเพื่อความดีต่อไปได้

พระอาจารย์มั่นท่านกล่าวกับพญานาคว่าท่านเป็นเพียงผู้แนะแนวทางให้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำหน้าที่แก้ไขหรือถอดถอนแทนพญานาคตนนั้นได้ การแก้ไขดัดแปลงจึงเป็นหน้าที่ที่ตัวพญานาคจะต้องรับผิดชอบตัวเอาเอง จะต้องพยายามทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่ลดละท้อถอย สิ่งที่เคยเป็นภัยก็จะค่อยลดตัวลง สิ่งที่เป็นคุณก็จะมีทางเจริญได้และลบล้างกันไปจนกลายเป็นความดีล้วน ๆ ไม่มีสิ่งชั่วเข้ามาแอบแฝงแทงใจต่อไป

หากว่าพญานาคตนนั้นเชื่อในธรรมมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคยช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์ภัยตลอดมา พญานาคก็จะเป็นผู้มีธรรมคุ้มครองใจ ซึ่งใจที่มีธรรมคุ้มครอง ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ย่อมเป็นสุข ไม่กระวนกระวายส่ายแส่ มีตนเสมอภาคต่อสิ่งทั้งปวง ไม่ชมว่าสิ่งนั้นดี ไม่ตำหนิว่าสิ่งนี้ชั่วจนตัวเองต้องเป็นทุกข์ไปตาม อันหาได้เป็นทางที่นักปราชญ์ท่านดำเนินกัน

พอจบการสนทนา พญานาคก็รับคำท่านพระอาจารย์มั่นว่าจะพยายามทำตามที่ท่านแนะนำ หลังจากนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นก็ทำความเพียรไปและสังเกตพฤติกรรมของพญานาคไป ผลปรากฎว่าดีขึ้นบ้าง กล่าวคือในเวลาที่จิตของพญานาคซึ่งคอยจะจ้องจับผิดโทษท่านพระอาจารย์มั่นอยู่บ่อย ๆ ปรากฎขึ้นมาตามนิสัย พญานาคตนนั้นก็จะคอยทำความกวดขันตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าเป็นความลำบากอยู่ไม่น้อยทีเดียว

เมื่อพระอาจารย์มั่นเห็นความลำบากในการรักษาจิตของพญานาคที่คอยจะคิดไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ ท่านเลยหาอุบายลาพญานาคไปเที่ยวที่อื่น ซึ่งพญานาคก็ยินดีให้ท่านไป เรื่องของพญานาคกับท่าน จึงเป็นอันยุติลงเพียงเท่านี้....







 

56
เป็นคาถาที่มีไว้สำหรับป้องกันอาวุธทุกชนิดที่มีคนปองร้ายร่างกายเราโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว พระคาถาว่าดังนี้...

พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

สัพเพปิ อันตะรายา เอ มาเหสุง

ตัสสะ เตชะสา

57
คาถาอาคม / คาถาแก้อุบาทว์พระยม
« เมื่อ: 15 ก.ย. 2552, 07:01:52 »
ลักษณะของการเกิดอุบาทว์พระยมคือนกเค้า นกแสกทิ้งทูตคับแค , ไก่เถื่อนเข้าบ้านเรือน , งูขึ้นเรือน , วัวเถื่อนเข้าบ้าน , หมาออกลูกสองหัว , ผีพาคนซ่อนไว้ , ผีหลอกคนในเรือน , ผึ้งจับเรือน , คนในเรือนฆ่าฟันกัน , วัวเทียมแอกปลดไม่ทันตายทั้งคู่ , ผีหลอกในเรือนกลางวัน , ผีสั่นเรือน , ผีหัวเราะ , ผีร้องไห้ , เรือนอยู่ดี ๆ หักลง , ฝันร้าย ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะพระยมให้บังเกิดขึ้นทั้งสิ้น ท่านให้ทำบัตรกว้าง ๑ คืบ กระทงลูกหนึ่ง ปั้นรูปพระยมขี่เรือ แล้วเอาวางไว้ยังทิศทักษิณ แล้วกล่าวบูชาด้วยพระคาถาว่า...

โอม พระยายมราชอุปทฺวตาย มหิสสพาหนาย

ทกฺขิณทิสชิตาย อาคจฺฉตุ

ภญชตุ ชิบปาย วิปฺปยตุ

สวาห สพฺพอุปาทฺววินาสาย

สพฺพอนฺตราย วินาสาย

สุขวฑฺฒโก โหตุ

อายุวณฺณสุขพลํ อมฺหากํ

รกฺขตุ สวาห สวาหาย


58

ย้อนไปสักยี่สิบกว่าปีที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพระหลวงปู่รูปหนึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ท่านมีนามว่า " คำคะนิง จุลมณี " แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์

หลวงปู่คำคะนิงนั้น ท่านเป็นพระที่ไม่เหมือนใคร กล่าวคือท่านเคยผ่านการเป็นฤษีชีไพรมาก่อนถึง ๑๕ ปีก่อนที่จะค่อยบวชเป็นพระ เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็มักแสวงหาธรรมอันแปลก ๆ ด้วยการธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยุ่ตามป่าเขานั่นเอง

และแล้วครั้งหนึ่งที่เมืองเชียงตุง....

หลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้พาคณะศิษย์ท่องธุดงค์ในเขตป่าของเมืองแห่งนี้และได้มาปะทะหน้ากับชีปะขาวคำคะนิง  หลวงพ่อปานเห็นสารรูปของคนผู้นี้แล้ว ถึงกับตะลึงเลยทีเดียว

เพราะตอนนั้นหลวงปู่คำคะนิงมีผมยาวถึงเอว หนวดเครารกรุงรัง ห่มผ้าขาดวิ่น มองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร

หลวงพ่อปานท่านได้กล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า " เออ...นี่ พระหรือคนเนี่ย "

หลวงปู่คำคะนิงในเพศชีปะขาวได้ยินเกิดอยากลองภูมิกับหลวงพ่อปานดู จึงถามกลับออกไปว่า " ไอ้พระนั่นมันอยู่ที่ไหนล่ะ "

" ก็เห็นผมยาว เสื้อผ้าขาดปุปะมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร แล้วใครเขาจะรู้ล่ะว่าพระหรือคน " หลวงพ่อปานโต้กลับ

หลวงปู่คำคะนิงตั้งคำถามใหม่ " พระมันอยู่ที่ผมหรือไง "


" ไม่ใช่ "

" พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือเปล่า "

" ไม่ใช่ "

" อ้าว แล้วพระมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ " หลวงปู่คำคะนิงใช้คำถามจี้

หลวงพ่อปานตอบฉับพลันทันที " พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด "

หลวงปู่คำคะนิงยิ้มเยาะก่อนบอกออกไป " แล้วมาถามทำไมว่าพระหรือคน "

" เห็นผมเผ้ายาวรุงรัง ใครจะไปรู้ว่าพระหรือคนกันแน่ " หลวงพ่อปานก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

" พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี เห็นทีต้องเห็นดีกัน "

หลวงปู่คำคะนิงกล่าวเสร็จก็คว้าหวายยาวร่วมวาเห็นจะได้ ขว้างไปเบื้องหน้าหลวงพ่อปาน จากหวายมันก็กลายเป็นงูใหญ่ท่าทางดุร้ายเตรียมฉกกัด หลวงพ่อปานเห็นเช่นนั้น ท่านก็ทำจิตเป็นสมาธิแล้วหยิบใบไม้ขว้างขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ โฉบเฉี่ยวเอางูขึ้นไปสะบัดฟัดเหวี่ยงบนอากาศอยู่พักใหญ่

ในที่สุด งูก็พลัดตกลงดินกลายเป็นช้างตัวมหึมากำลังตกมัน ส่วนนกอินทรีย์ก็ถลาลงสู่พื้นดิน กลายเป็นเสือโคร่งใหญ่มีความดุร้ายไม่แพ้กัน  สัตว์ทั้งสองชนิดเข้าโรมรันพันตูจนฝุ่นคลุ้งไปหมด  แต่แล้วจู่ ๆ สัตว์ทั้งสองกลับสลายหายไป ฝ่ายหนึ่งกลายเป็นลูกไฟเข้าเผาผลาญ ในขณะที่อีกฝ่ายกลายเป็นพายุฝนเข้าแก้ทางกัน

ทั้งหลวงพ่อปานและชีปะขาวคำคะนิงต่างหัวเราะด้วยความชอบใจในอิทธิอภิญญาของกันและกัน  ต่างฝ่ายชมกันและกันและถ่อมตนใส่กัน  แต่ศิษย์ของหลวงพ่อปานที่ร่วมธุดงค์มาด้วย รู้ดีว่าท่านทั้งสองต่างก็มีอภิญญาด้วยกันทั้งคู่....

( ว้าว...เขียนเรื่องนี้แล้วชักอยากรู้จังว่าหากท่านขุนพันธ์เมืองใต้ประลองกำลังฤทธิ์กับยอดขุนพลเมืองนครปฐม แล้วผลมันน่าจะตื่นเต้นเพียงใดน๊อ.. :004: :004: )



*********************
[]ลูกขอน้อมกราบนมัสการบูชาแด่ดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงปู่คำคะนิง จุลมณีแห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์และดวงพระวิญญษณอันศักดิ์สิทธฺขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยาด้วยความเคารพสักการะอย่างสูงสุดในหัวใจ[/color][/color]
สุวัจชัย สมไพบูลย์

59
คาถาอาคม / พระคาถาแคล้วคลาด
« เมื่อ: 14 ก.ย. 2552, 10:11:08 »
เมื่อยามที่มีอันตรายมาขวางหน้า จงมีสติ สมาธิ รำลึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วว่าพระคาถาดังนี้...
พุทโธ ธัมโม สังโฆ

ทะสะ  ปุนะ มาโรกาสัง

นะมะพะทะ

จะปลอดภัยทั้งปวง แคล้วคลาดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นภัยแก่ตัวแล...

60
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาจากอีเมลเพื่อน ซึ่งเรื่องก็มีอยูว่า.....

หญิงคนหนึ่งขับรถเข้าไปเติมแก๊สยังปั๊มแห่งหนึ่ง  จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งมาเสนอบริการทาสีโดยยื่นนามบัตรให้  หญิงคนนั้นก็รับมาอ่านแล้วถือเข้ามาในรถด้วย

สักครู่พอขับรถออกจากปั๊มแก๊ส ก็สังเกตุว่าชายคนนั้นขับรถตามมา และในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยออก  เธอรีบเปิดกระจกหน้าต่างและตรหนักว่ากลิ่นนั้นมาจากมือเธอเอง ซึ่งก็เป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรจากชายคนนั้น

เธอตัดสินใจขับรถและกดอตรดังไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นขึงขับรถหนีไป

สำหรับยามหาภัยที่ป้ายบนนามบัตรนั้นคือยาที่มีชื่อว่า BURUNDANGA ป้ายเพื่อให้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วเจ้าตัวร้ายก็จะถือโอกาสมาขโมยของและ / หรือแม้กระทั่งเข้าข่มขืนผู้เสียหาย โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช่ข่มขืนสาว ๆ ถึง ๔ เท่าเลยทีเดียว

ดังนั้น จำไว้ว่าจงอย่ารับกระดาษ นามบัตร แผ่นพับจากคนแปลกหน้า ( หน้าแปลกก็ไม่เอา  :004: ) หรือแม้แต่คนที่เดินแจกใบปลิวโฆษณา มิฉะนั้น คุณอาจไม่โชคดีเหมือนผู้หญิงคนนี้ก็ได้ !!!!


61
ลักษณะของเหตุการณ์ที่เรียกว่า " อุบาทว์พระเพลิง " นั้นก็คือเห็นเป็นไฟลุกขึ้นกลางเรือน , หินหักเอง , กล้วยออกปลีข้าง ๆ , ฤดูร้อนก็ร้อนแทบตับแตก , ฤดูหนาวก็แสนจะหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ , ข้างขึ้นแท้ ๆ แต่กลับมองไม่เห็นแสงจันทร์ , หนูร้องรอบตัว , หมาขึ้นหลังคาเรือน , เห็ดงอกบนเตาไฟ , กบ เขียดและคางคกขึ้นเรือน

ท่านให้ทำบัตรกว้าง ๑ คืบ , กระทงลูกหนึ่ง , ปั้นรูปพระเพลิงขี่แรดแล้วเอาไปวางไว้ยังทิศอาคเณร์ จากนั้นให้กล่าวบูชาพระคาถาดังนี้....


โอมพระอคฺคีราช  อุปาทฺวตาย

ชคฺคพาหนาย อาคเณยฺย ทิสชิตาย

อาคจฺฉตุ ภุญชตุ ชิปฺปาย

วิปฺปยเต สวาหะ สพฺพอุปาทฺววินาสาย

สพฺพอนุตราย วนาสาย

สุขวฑฺโก โหตุ อายุวณฺณสุขพลํ

อมฺหากํ รกฺขตุ สวาหะ สวาหาย


62
ลองหัดเล่นดู...


ทำยังไงก็ไม่ขึ้น นมัสการหลวงพี่เว็บสอนผมที เคยไปลองอ่านคำแนะนำของหลวงพี่เรื่อง " การโพสต์วีดีโอจากยูทูบของหลวงพี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แบบว่ามันโง่นะครับ ช่วยสอนผมที.. กราบขอบพระคุณครับ

63
ช่วงนี้รู้สึกเครียด ๆ ไม่ค่อยสบายใจกับภาวะบ้านเมือง อีกทั้ง ยังมาเจอพิษคนใกล้ตัวเข้าไปอีก ก็เลยไม่ค่อยมีสมาธิหาสาระดี ๆ อะไรมาใส่เว็บ บังเอิญ search ไปเจอสาวกเจงกิสข่านเวอร์ชั่นแดนอาทิตย์อุทัยเข้า ดูแล้วรู้สึกสบายตา สบายหู ก็เลยลองโหลดมาให้ดูกัน เผื่อใครกำลังมีความเครียดเรื่องอะไรก็ตาม จะได้สบายใจขึ้นบ้างเหมือนกับผม


64
     ลักษณะของอุบาทว์พระอินทร์ คือจะเกิดเหตุการณ์บันดาลให้เป็นไปอันได้แก่ฟ้าผ่าเรือน, รุ้งกินน้ำกลางวัน , รุ้งผ่านบ้าน , จวักหักคาหม้อ , พ่อแม่พี่น้องชอบทะเลาะกัน , วัวควายออกจากคอกไปอยู่ที่อื่น
     
     ท่านให้บูชาด้วยผ้าผ่อนแก้วแหวนเงินทอง ให้ทำบัตรหน้ากว้าง ๑ คืบ , กระทง ๗ กระทง , ปั้นรูปพระอินทร์ขี่ช้างสามเศียร เอาไปวางไว่ยังทิศบูรพา ( ตะวันออก ) และกล่าวบูชาพระคาถาดังนี้:-

โอมพระอินทราธิราช อุปาทฺวตาย

เอยฺยราพาหนาย  ปุพนทิสชิตาย

อาคัจฺฉตฺ กุญชตุ ชีปฺปาย

วิปฺปยตุ สวาท สพฺพอุปาทฺววินาสาย

สพฺพอนุตราย วินาสาย

สุขวฑฺโก โหตุ

อายุวณฺณสุขพลัง อมฺหากํ

รกฺขตุ สวาหะ สวาหาย

65
พระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้ว
 วัดรัมภาราม ( บ้านกล้วย )
อำเภอท่าวุ้ง จ.ลพบุรี
พ.ศ.๒๕๐๔
เนื้อผงน้ำมัน
…………………………………………………..
   

     เป็นพระสมเด็จที่สร้างขึ้นในสมัยพระครูโสภิตธรรมสาส์น อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๓ ( พ.ศ.๒๔๙๓ - ๒๕๑๘ ) พร้อมกับพระสมเด็จกำแพงแก้ว  ท่านพระครูโสภิตธรรมสาส์นได้จัดสร้างพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้วขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจกเป็นของสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ตั้งมูลนิธิเลี้ยงพระ เณร และนักศึกษาในวัด  ด้วยเหตุนี้ จึงนับได้ว่าทั้งพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้วนี้  ต่างก็เป็นพระเครื่องที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างที่ดี
   
     พระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้ว   นับเป็นพระเครื่องที่มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงในวงการนักนิยมสะสมพระเครื่องมานานจวบถึงถึงปัจจุบัน   ทั้งนี้   มิใช่เป็นเพียงเพราะการเป็นพระพิมพ์สมเด็จที่มีการประยุกต์ให้ดีขึ้นจากต้นแบบเดิมเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นเพราะว่าได้มีนำรูปพระแก้วมรกตมาจำลองแบบไว้ภายในครอบแก้วด้วยนั่นเอง ซึ่งเดิมทีแล้ว  ทางวัดได้ทำการแจกจ่ายออกไปโดยที่มิได้มุ่งหวังความโด่งดังอะไรเลย    แต่ผลปรากฎที่ออกมากลับเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง    กล่าวคือใครก็ตามที่ได้พบเห็นพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้วไม่ว่าจะ ณ ที่ใดก็ตาม  จะรู้สึกเหมือนมีอะไรดึงดูดใจให้ต้องเข้าไปชะโงกดูใกล้ ๆ แล้วก็พากันยอมรับในฝีมือช่างโดยปราศจากข้อกังขา แม้ว่าจะมีผู้สร้างพระสมเด็จออกมาเป็นล้าน ๆ องค์  แต่ก็หาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีพระพิมพ์สมเด็จของใครสร้างออกมาได้อย่างเป็นที่โดดเด่น  มีเอกลักษณ์เฉพาะเช่นนี้ และที่สำคัญมวลสารที่นำมาจัดสร้างทั้งพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้ว ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความขลังได้ไม่น้อยเลยที่เดียว

มวลสารที่นำมาจัดสร้าง :

     - ดินเก่าในกรุวัดราชบูรณะ  จ.อยุธยา

     - ดินเก่าวัดพระรูป  จ.สุพรรณบุรี

     - ดินเก่าวัดมหาธาตุ  จ.ลพบุรี

     - ดินกรุวัดหินตั้ง จ.สุโขทัย

     - ดินกรุวัดอรัญญิก จ.พิษณุโลก

     - ดินกรุวัดนครชุม จ.พิจิตร

     - ดินกรุวัดบรมธาตุทุ่งเศรษฐี  จ.กำแพงเพชร

     - ไคลสีมาวัดโพธิ์แก้วนพคุณ จ.สิงห์บุรี

     - ไคลสีมาวัดเกาะแก้ว  จ.ลพบุรี

     - ไคลสีมาวัดเขาแก้ว จ.ลพบุรี

     - ไคลสีมาวัดป่าแก้ว จ.อยุธยา

     - ไคลสีมาวัดชุมแก้ว จ.ปทุมธานี

     - ไคลสีมาวัดอ่างแก้ว จ.สมุทรสาคร

     - ไคลสีมาวัดแก้ว จ.ลพบุรี

     - ดินสังเวชนียสถานจากอินเดีย ๗ ตำบล

     - ทรายจากกระถางธูปในสถานที่ที่มีผู้คนสักการะบูชา ๗ แห่ง

     - เกสรดอกไม้บูชาพระ ๗ แห่ง

     - ใบโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นำมาปลูกในประเทศไทย ๗ ต้น

     - คัมภีร์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ตัวขอมผูกอาราธนาหลวงพ่อผู้ทรงคุณพิเศษ ๗ รูป

     - ดินจอมปลวก ๗ จอม

     - น้ำมนต์ ๗ วัดเป็นตัวประสานมวลสาร

พิธีพุทธาภิเษก :   

     ได้มีการจัดพิธีตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำโดยได้มีการอัญเชิญองค์พระแก้วมรกตจำลองสู่โรงพิธี  จากนั้นพระสงฆ์ ๗ รูปเจริญพระพุทธมนต์เย็น  พอตะวันตกดิน พระสงฆ์เริ่มสวดพุทธาภิเษก คณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษนั่งปรกปลุกเสกตลอด ๗ คืน หลังจากนั้น  พอขึ้น ๑๔ ค่ำก็สวดเดินธาตุและสวดญัตติตามคัมภีร์โบราณก่อนจะนำออกให้ชาวบ้านญาติโยมบูชาต่อไป 

     อนึ่ง ก่อนหน้านั้น  ทางวัดได้อาราธนาหลวงพ่อผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของคนไทยทั้งประเทศในสมัยนั้น ๗ องค์มาร่วมทำการปลุกเสกอันได้แก่ :-

     ๑.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก  จ.อยุธยา

     ๒.หลวงปู่คำมี  วัดถ้ำคูหาสวรรค์  จ.ลพบุรี

     ๓.หลวงพ่อชม วัดตลุก จ.ชัยนาท

     ๔.หลวงพ่อมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี

     ๕.หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว จ.สิงห์บุรี

     ๖.หลวงพ่อโสภิตธรรมสาส์น วัดรัมภาราม จ.ลพบุรี

     ๗.หลวงพ่อสมดี จ.สิงห์บุรี

     เมื่อสร้างและทำพิธีปลุกเสกเสร็จสมบูรณ์แล้ว   ทางวัดก็ได้มอบพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำ แพงแก้วให้แก่พระเกจิอาจารย์ทั้ง ๗ รูปไปจำนวนหนึ่ง  ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามากน้อยเท่าใด  แต่โดยเฉพาะหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกนั้น  น่าจะได้มากกว่าเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ   เนื่องจากปรากฎภายหลังว่าหลวงพ่อจงท่านได้นำเอาพระสมเด็จกำแพงแก้วแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหาไปจำนวนหนึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว   และภายหลังปรากฎว่าพระสมเด็จทีแจกไปนั้น  เป็นที่นิยมศรัทธาอย่างสูง  โดยผู้ที่ได้รับแจกต่างพากันเข้าใจไปว่าเป็นพระสมเด็จสร้างโดยหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ทั้งแท้ที่จริงแล้วเป็นของวัดรัมภารามนั่นเอง

ของปลอม :
   
     เนื่องจากพระสมเด็จรุ่นนี้ เป็นที่ได้รับความนิยมศรัทธาอย่างมาก   จึงสันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งอาจจะมีการทำปลอมแปลงออกมาต้มตุ๋นหมูสนาม  ดังนั้น  ในการเล่นหาจึงควรพึงระวังให้มาก  ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่าพระสมเด็จพุทธภูมิและพระสมเด็จกำแพงแก้ว เป็นพระ “เนื้อผงน้ำมัน“ ที่มีความแกร่งต่างจากพระผงน้ำมันสำนักอื่น ๆ  โดยสีสันวรรณะขององค์พระนั้น มีหลายสีไม่เหมือนกันโดยเท่าที่พบ จะมีทั้งสีขาวอมชมพู , สีขาวออกเทา , สีกลีบดอกจำปี , สีช็อคโกแลต , สีแดงคล้ายสีดินเผา , และสีขาวอมฟ้า

 









**********************

สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากบทความนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ครูบาอาจารย์ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...

สุวัจชัย สมไพบูลย์   

66
คาถาบทนี้ใช้สำหรับปลุกเครื่องรางต่าง ๆ เวลาจะใช้ติดตัวไปไหนมาไหน หรืออยากจะว่าเครื่องรางพระเครื่อง จะเคยเข้าพิธีปลุกเสกหรือไม่ จะปลุกขึ้นหรือไม่ ให้ว่าพระคาถาดังนี้ ...

โอมกำเนิด พระวิสูตร กูจะปลุกพระวินัย

กูจะใช้พระขัน โอมปลุก ๆ ลูก ๆ สวาหะ

กูจะปลุกทั้งตัวนะ กูจะปลุกทั้งตัวโม

กูจะปลุกทั้งอิติปิโส  นามพระพุทธเจ้า

กูจะปลุกพระธรรมะเจ้า ทั้งแปดหมื่น

สี่พันพระธรรมขันธ์

กูจะปลุกทั้งอิติกันไกร  กูจะปลุกพระสูตร

ทั้งพระวินัย ทั้งแปดพระคัมภีร์

เข้าอยู่ในหัวใจกู  เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ

ยะธาพุทธโมนะ  ยะนะโมธาพุทธ

นะผูกโมมัด พุทธรัดธารึง

ยะกลึงคะเร สวาหะ

พุทธังกลึง ธัมมังกลึง สังฆังกลึง ๆ

ด้วยนะโมพุทธายะ...center]

67
     วันนี้ ได้ไปอ่านบทความอันหนึ่งของท่านอาจารย์สชัยข์เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมของทางวัดบางแห่งที่ท่านอาจารย์ได้ประสบมาด้วยตนเอง เห็นว่าน่าสนใจและมีสาระดี อีกทั้ง ตัวผมเองก็เคยเจอกับเรื่องทำนองนี้มาไม่น้อย ซึ่งครั้งล่าสุดที่ได้ไปสัมผัสมาก็คือในงานไหว้ครูประจำปี ๒๕๕๒ ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมานี้เอง

     บทความดังกล่าวที่ท่านอาจารย์สชัยเขียนให้พวกเราได้อ่านและลองคิดตามไปนั้น ท่านว่าเอาไว้ดังนี้...

     โดยทั่วไปแล้ว บรรดาวัดต่าง ๆ ทั้งหลาย ย่อมมีการจัดพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายพิธีกรรม เช่น การตักบาตรประจำปี งานสมโภชต่าง ๆ กิจกรรมสวดมนต์ การเทศน์มหาชาติ งานฉลองพระอุโบสถ นอกจากนี้ บางวัดก็ยังมีการจัดพิธีอื่น ๆ เสริมขึ้นมา เช่น พิธีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาเสริมบารมี พิธีการสวดภาณยักษ์และการสวดบูชาเทพยดาต่าง ๆ ซึ่งแต่ละวัดก็จะมีวิธีการและพิธีกรรมที่ทั้งแตกต่างกันออกไป เหมือนกันบ้าง คล้ายกันบ้าง หรือบางทีก็ไม่เหมือนใครเลยก็มี ซึ่งก็ว่ากันไปตามถนัดของแต่ละที่แต่พิธีกรรมเหล่านี้ อาจารย์ขออย่างเดียว อย่าทำให้คนหลงงมงายก็พอ เพราะอาจารย์เชื่อว่าแต่ละคนที่มาเข้าร่วมพิธี ก็คงมีทุกข์ใจที่แตกต่างกันออกไป จึงหันหน้ามาเข้าวัดเพื่อขจัดปัดเป่าทุกข์ที่อยู่ในใจให้หมดไป หรือเบาบางลง แต่ถ้ามาเจอบางวัด จัดพิธีกรรมแบบมอมเมา หรือบางวัดแค่ให้สถานที่แล้วก็มีการจัดพิธีโดยกลุ่มคนที่ทำมาหากินทางด้านนี้โดยเฉพาะ ก็คงจะยิ่งแย่หน่อย เสียทั้งเงินทั้งเวลาเปล่า

     เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อาจารย์ได้ไปร่วมสังเกตุการณ์พิธีกรรมสวดบูชาราหูที่วัดขุนจันทร์ กรุงเทพ ฯ ซึ่งพิธีกรรมที่จัดขึ้นนี้ ก็เป็นพิธีที่เรียบง่าย ผู้คนที่มาเข้าร่วมในพิธีกรรมก็เป็นคนแถวละแวกวัดและคนที่ได้เคยมาร่วมพิธีแล้ว ก็กลับมาร่วมพิธีอีก มีคนมาร่วมพิธีกันหลายร้อยคน กะด้วยสายตาคราว ๆ น่าจะถึงหนึ่งพันคน

     ทางวัดได้จัดให้มีชุดบูชาพระราหูด้วยของดำให้กับผู้ที่มาร่วมงานได้ทำบุญในอัตราชุดละ ๙๙ บาท ส่วนใครจะเอาของไหว้มาเอง ทางวัดก็ไม่ว่าหรือจะเข้ามาไหว้พระราหูด้วยมือเปล่า ไม่ได้ทำบุญกับทางวัด อาจารย์ก็เห็นว่าคณะกรรมการของวัดก็ต้อนรับดี ผิดกับบางวัดถ้าใครไม่มาทำบุญของที่วัดทางจัดไว้ ก็จะเกิดอาการไม่พอใจ ไล่ให้ไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง แต่ที่วัดขุนจันทร์นี้ กลับต้อนรับทุกคนที่เข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จัดเก้าอี้ให้นั่งกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อาจารย์ก็เดินดูไปทั่ว ๆ บริเวณวัด ก็สะอาดตาดี ต้องยกความดีนี้ให้กับท่านเจ้าอาวาสที่ได้ใส่ใจในเรื่องราวต่าง ๆ ภายในวัดได้เป็นอย่างดี

     เมื่อพิธีกรรมเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น.  อาจารย์ก็เริ่มจับใจความว่าพิธีกรรมครั้งนี้ มีอะไรบ้าง พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยคณะสงฆ์จำนวน ๑๒ รูปสวดมนต์บูชาพระ และต่อด้วยสาธยายพระปริต พระสูตรและมงคลคาถาต่าง ๆ มากมาย จนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงมีการหยุดพักประมาณ ๑๕ นาที แล้วจึงมีการสวดมนต์ต่อ และในตอนท้ายของพิธีกรรม จะมีพราหมณ์มาอ่านโองการ นำประชาชนสวดมนต์บูชาพระราหู รับพระราหู และส่งพระราหู ซึ่งทำให้อาจารย์รู้สึกประทับใจว่า พิธีกรรมนี้พระสงฆ์ได้ทำพิธีอย่างงดงาม ได้นำพระสูตรต่าง ๆ มาสวดให้กับประชาชนที่เข้าร่วมพิธีได้ฟังกัน  ซึ่งเชื่อกันว่าผู้ที่ได้รับฟังพระสูตรต่าง ๆ เหล่านี้ จะได้ความเป็นสิริมงคลกลับไปและช่วยอำนวยพรให้ประสบความสุขความเจริญตามที่ได้มีการบันทึกไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ

     แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดหูขัดตาอาจารย์อย่างมากก็คือมีผู้เข้าร่วมพิธีบางคน ย้ำว่า " บางคน " เท่านั้น ได้แสดงอาการเหมือน " องค์ลง " คือมีการร่ายรำผสมกับการปรบมือบ้าง หัวเราะบ้าง และบางคนก็มีอาการกรีดร้อง ทุบขา ปรบมือ ซึ่งอาจารย์เห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวในใจ อยากเดินไปบอกคนที่แสดงอาการแปลก ๆ ว่าให้สงบสติอารมณ์หน่อย ทั้งนี้ เพราะการแสดงออกเช่นนี้ เหมือนเป็นการประจานความโง่ของตัวเองออกมา เพราะอะไร??? ก็เพราะว่าขณะที่พระกำลังสวดมนต์ให้พร ถ้าคน ๆ นั้นถูกผีร้ายเข้าสิง ก็น่าจะแสดงอาการทุรนทุรายเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อความศักดิ์สิทธิ์ของพุทธมนต์  แต่ถ้าคน ๆ นั้นมีองค์เทพประทับอยู่  ก็น่าจะนั่งฟังพระพุทธมนต์อย่างเรียบร้อยให้สมกับความเป็นเทพหรือเทวดา  แต่สิ่งที่ปรากฎออกมาก็คืออาการที่ขาดความสำรวมและให้เกียรติต่อพระสงฆ์และองค์หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งอาการนี้ได้แสดงออกมาเป็นพัก ๆ บางครั้งก็มีการชูไม้ชูมือเหมือนการใบ้หวย  มองอีกทีก็เหมือนคนกำลังสติไม่ดี แต่ที่ดูแล้วรู้สึกได้เลยก็คือคน ๆ นั้นรู้สึกพอใจที่ตัวเองได้เป็นจุดสนใจในพิธีกรรมครั้งนี้

     ถัดมาในเดือนสิงหาคม อาจารย์ก็ได้ไปร่วมพิธีนี้อีกครั้ง  คน ๆ นั้นก็มาร่วมพิธีเหมือนเดิม แต่คราวนี้จะแตกต่างไปหน่อย ตรงที่ว่าพอเริ่มสวดปุ๊บ คน ๆ นั้นก็กรีดร้องด้วยเสียงอันดังกว่าครั้งก่อนและแสดงอาการที่มากกว่าเดิม ซึ่งอาจารย์เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้นที่พิธีกรรมดี ๆ จะต้องถูกคนบางคนมาทำให้พิธีมัวหมอง แต่หลังจากที่คน ๆ นั้นได้กรีดร้องสักพัก ก็มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินเข้าไปหาคน ๆ นั้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า " พอได้แล้ว นั่งลงแล้วฟังพระสวด ถ้าไม่หยุดจะจับออกไปนอกวัด ".... ได้ผล หลังจากนั้นไม่ถึงนาที  อาการผีเข้ากรีดร้องหรือร่ายรำ ก้ไม่ได้ปรากฎอีกเลยตลอดพิธี แล้วอย่างนี้ จะเรียกว่าอะไรดีครับ " องค์ลง " หรือ " Show Off " กันแน่ ????

******************
     จากเรื่องที่ท่านอาจารย์สชัยข์ได้ไปประสบและนำมาเล่าสู่ในบทความนี้ ก็คงคล้ายกับที่ผมไปเจอะเจอมาด้วยตัวเองโดยเฉพาะในงานพิธีไหว้ครูที่วัด ๆ หนึ่งในจังหวัดปทุมธานีนั่นแหละครับ
     
     ทุกปีที่ผมไปเข้าร่วมพิธี ตั้งแต่เริ่มพิธีเป็นต้นมา ก็จะต้องมีพวกบรรดาเจ๊ ๆ ป้า ๆ ไปจนถึงวัยคุณยายอายุคราว ๖๐ - ๗๐ ขวบออกมาร่ายรำหรือถึงขั้น Dance กระจายสุดเหวี่ยงกันหน้าปะรำพิธีที่มีพระพุทธรูป ตลอดจนองค์เทวรูปและเศียรพ่อปู่พระบรมครูฤศีต่าง ๆ วางไว้ อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงอยู่ต่อหน้าองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่กำลังทำพิธีครอบเศียรให้กับบรรดาศิษยานุศิษย์นับเป็นพัน ๆ คนอย่างเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติและเคารพครูบาอาจารย์อีกด้วย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนมีองค์เทพหรือครูบาอาจารย์มาสถิตในร่าง จะต้องแสดงอาการที่ไม่สำรวมเช่นนั้นออกมาด้วยหรือ ??? ทั้งที่ตัวผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ทางหลวงพ่อทักว่ามีองค์และให้มาเข้าพิธีรับขันธ์เรื่อยมาจนกระทั่งถึงขันธ์ ๙ แล้ว แต่ก็ไม่เคยมีอาการใด ๆ ทั้งสิ้น

     และที่รับไม่ได้อย่างยิ่งเลยก็คือที่วัดนี้ จะมีแก๊งค์กะเทยอยู่กลุ่มหนึ่งที่อาศัยเกาะวัดนี้ไม่ไปไหน แต่ก็ยังพอคอยช่วยเหลือหลวงพ่อและทางวัดในเรื่องงานต่าง ๆ อยู่บ้าง ( ดีกว่าบางวัดที่มีแต่พวกเกาะกินและเกาะดังโดยไม่เคยเห็นทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่นสารสักอย่าง !!! ) กะเทยพวกนี้ มักชอบออกมาเป็นหัวโจกนำ Dance กันอย่างสุดฤทธิ์สุดเหวี่ยงเหมือนประหนึ่งให้ดูว่ามีร่างองค์พระแม่มาราตีหรือพระแม่อุมาอะไรทำนองนี้แหละมาประทับร่าง ทีนี้ ก็จะมีพวกเด็กตุ๊ด พวกกะเทยที่มาเข้าร่วมพิธีรับขันธ์เหมือนกัน ค่อย ๆ พากันออกมา Dance กลางวงกับเขาด้วย รวมไปถึงพวกเจ๊ ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายที่ทยอยกันตามออกมาเต้นแอ่นหน้าแอ่นหลังเหมือนคนเมา ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือว่านอกจากพวกกะเทยและพวกตุ๊ดซี่ อีแอบทั้งหลายแล้ว ก็ไม่ปรากฎว่าจะมีพวกผู้ชายแท้ ๆ เกิดอาการองค์ประทับเช่นนั้นด้วยเลยสักคน แปลกมั๊ยหล่ะ ?
     การที่ผมบอกว่ารับไม่ได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็เพราะว่าทำเนาแค่ใครต่อใครพากันไม่สำรวมกิริยา พากันออกมาส่ายร่ายรำหรือเต้นท่าทุเรศ ๆ อย่างที่คนมีองค์เทพ ครูบาอาจารย์ประทับมิพึงกระทำแล้ว พวกกลุ่มกะเทยดังกล่าวยังมีการเต้นท่ายั่วยวนอุบาทว์ อาทิเช่น โยกส่ายเอวและพยายามดันตรงเป้าเข้าใส่หน้าคนที่กำลังนั่งรอเข้าพิธี บางคนก็พยายามแอ่นและซอยกระเด้าท่อนล่างเข้าหาผู้ชมที่ไม่อยากชมของอุบาทว์เช่นนี้ เป็นต้น หรือไม่บางคนก็ทำเป็นเปลือยอกให้เห็นเต้านมดำ ๆ ที่พยายามไปกินยาคุมของผู้หญิงเพื่อให้มีเต้าโต ๆ แล้วก็ทำเป็นส่ายสะบัดนมเข้าหาคนดู ลองนึกภาพดูนะครับว่ามันน่าอุบาทว์ขนาดไหน นี่ขนาดพิธีไหว้ครูอันเข้มขลังแท้ ๆ นะครับเนี่ย...แล้วอย่างนี้หรือครับที่เขาเรียกว่า " องค์ลง " หรือเป็นแค่การ ShowOff กันไปเท่านั้นจริง ๆ  ? :063:



68
ผมมีคำถามที่อยากจะถามความคิดเห็นเพื่อนสมาชิกในเว็บนี้ดูนะครับ ผมอยากรู้ว่าหลาย ๆ ท่านจะมีคำตอบในใจที่ตรงกับคำตอบในใจผมเพียงใด เผื่อผมจะได้ตัดสินใจอะไรบางเรื่องได้อย่างชัดเจนกว่านี้...

ถ้ามีคนถามคุณว่า " ระหว่างการเป็นคนดีที่ต้องรักษาหน้าที่กับการเป็นคนธรรมดาที่ยึดถือความถูกต้อง " สองอย่างนี้คุณจะเลือกเป็นอย่างไหน ส่งคำตอบกันเข้ามานะครับ....

69

พระพุทธสิหิงค์นะปัดตลอด พิมพ์พระของขวัญ
พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครศรีธรรมราช
พ.ศ.๒๕๒๘
เนื้อผง
……………………………………………………………………..
   

     พระพุทธสิหิงค์รุ่นนี้   มีรูปทรงสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ฐานกว้าง 1.6 ซม.และสูง 2.3 ซม.โดยประมาณ   ซึ่งจำลองแบบมาจากพระพุทธสิหิงค์องค์ประดิษฐาน ณ หอพระพุทธสิหิงค์ที่ตั้งอยู่ในศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช   ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธสิหิงค์  มีเส้นเป็นขีดรวม 16 ขีดอันหมายถึง “ มหาโสฬสมงคล “ ส่วนด้านหลังเป็นตัวยันต์  “ นะปะถะมัง “   ซึ่งเป็นยันต์ที่พ่อท่านมุ่ยใช้ในการเขียนและลบทำผงปถมังและใช้ประทับลงในวัตถุมงคลทุก ๆ รุ่นของท่าน
   
     วัตถุมงคลดังกล่าวนี้ จัดสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้สมทบทุนในการสร้างพระอุโบสถ
   
     การที่พระพุทธสิหิงค์ของพ่อท่านมุ่ยรุ่นนี้     ได้รับการเรียกว่า “ พระพุทธสิหิงค์นะปัดตลอด “ ก็เนื่องจากว่าที่ด้านหลังขององค์พระประทับด้วยยันต์นะปะถะมัง ซึ่งเป็นยันต์ที่พ่อท่านมุ่ยท่านใช้ในการเขียนทำผงปถมังโดยมีลูกศิษย์และชาวบ้านหลายคนต่างพากันเห็นว่าเมื่อเวลาที่พ่อท่านมุ่ยเขียนและลบผงแต่ละครั้งนั้น ผงจะทะลุกระดานชนวนสู่ขันที่รองรับข้างล่างเอง  ดังนั้น  ผงปถมังของพ่อท่านมุ่ยบางครั้งจึงเรียกว่า “ ผงนะปัดตลอด “ และด้วยเหตุนี้เอง  พระพุทธสิหิงค์รุ่นนี้ จึงได้รับการเรียกว่า “ พระพุทธสิหิงค์นะปัดตลอด “ ด้วยเช่นกัน

มวลสาร :   

    นอกจากผงปถมังหรือผงนะปัดตลอดดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีมวลสารอื่น ๆ อีกหลายอย่างผสมอยู่ด้วย อาทิเช่น :-

     - ผงพุทธคุณ

     - ว่าน 108 ชนิดเช่น ว่านสาวหลง , ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว , ว่านมหาลาภ ฯลฯ

     - แป้งเสก

     - ชานหมาก

     - แร่

     - ฯลฯ

จำนวนการสร้าง :   

     พระรุ่นนี้ได้เตรียมการสร้างมาตั้งแต่ปี๒๕๒๗ จนกระทั่งมากดพิมพ์เป็นองค์พระเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ซึ่งได้พระเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ องค์

การปลุกเสก :   

     หลังจากได้พระครบตามจำนวนแล้ว     พ่อท่านมุ่ยได้สั่งให้ลูกศิษย์นำพระทั้งหมดไปขอบารมีจากพระเกจิอาจารย์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยได้มีการพิจารณาคัดเลือกอย่างดีเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ ท่านขึ้นมาทำการปลุกเสกเดี่ยวก่อน  ซึ่งแต่ละท่านล้วนแล้วแต่ทรงคุณทางวิทยาคมชั้นยอดทั้งสิ้น อันได้แก่….
   
     ๑.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ :  ท่านนี้จัดว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ที่พิสดารมากถึงขนาดที่ว่าพล.ต.ต.ขุนพันธ์ธรักษ์ราชเดช ยังให้ความศรัทธานับถือและนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกทุกครั้งที่ท่านขุนพันธ์เป็นเจ้าพิธี
   
     ๒.พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู :  ท่านนี้นับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก่งทางด้านเมตตามหานิยมอันเป็นที่สุดของเมืองนครเลยทีเดียว
   
     ๓.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง : เป็นพระเกจิอาจารย์ที่พ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์และพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาต่างให้ความนับถือยกย่องอย่างยิ่ง
   
     ๔.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ : ท่านนี้เป็นศิษย์ของพ่อท่านซัง วัดวัวหลุง  ซึ่งพระปิดตาของท่าน จัดเป็นพระปิดตายอดนิยมของภาคใต้  อีกทั้ง เชือกคาดเอวและตะกรุดโทนของท่านก็มีประสบการณ์ทางด้านคงกระพันดีมากทีเดียว
   
     ๕.พ่อท่านเจิม วัดหอยราก : ท่านนี้มีความเชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์เป็นหนึ่งไม่รองใคร   ซึ่งพระปิดตากับพระปรกโพธิ์ของท่านกำลังเป็นที่แสวงหากันอย่างมากทางภาคใต้
   
     ๖.พ่อท่านน่วม วัดหลวงครู : ท่านนี้เก่งทางด้านเมตตา – โชคลาภซึ่งวัตถุมงคลของท่านแต่ละรุ่น ล้วนสร้างอย่างพิถีพิถันทั้งสิ้น
   
    ๗.พ่อท่านผอม วัดหญ้าปล้อง : ท่านนี้เป็นเป็นพระที่มีความสมถะ   ย่ามไม่ถือ  รองเท้าไม่ใส่  มีพลังจิตกล้าแข็งมาก
   
    ๘.พ่อท่านสังข์ วัดดอนตรอ : ท่านนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางคาถาอาคมเป็นพิเศษท่านหนึ่งของภาคใต้  มีอายุยืนเกือบร้อย ๆ ปี  เหรียญรุ่นแรกของท่านตอนนี้ มีราคาถึงหมื่นแล้ว
   
    ๙.พ่อท่านหีด วัดเผียน :   ท่านนี้เป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน  ชอบเก็บตัวเงียบ ๆ  แต่มีอภินิหารน่าทึ่งมากทีเดียว
   
     ๑๐.พ่อท่านรุ่น วัดมุขธารา :   เป็นพระเกจิอาจารย์ที่แตกฉานในสรรพวิชาทางไสยศาสตร์หลายแขนง  สร้างวัตถุมงคลแต่ละรุ่นออกมา  ไม่ค่อยพอแจก
   
     หลังจากที่พระเกจิอาจารย์ชั้ยยอดทั้งสิบท่านของเมืองนครศรีธรรมราชปลุกเสกเดี่ยวเสร็จแล้ว  พ่อท่านมุ่ยก็ได้ทำการปลุกเสกเดี่ยวเพิ่มพลังพุทธคุณทับลงไปอีกเป็นเวลาหลายวันจนกระทั่งท่านพอใจ จึงนำออกให้ทำบุญ
   
     สำหรับพระรุ่นนี้แม้ว่าจะมีจำนวนสร้างถึง ๑๐,๐๐๐ องค์เลยก็ตาม  แต่ก็ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้ง่าย ๆ  ทั้งนี้  เพราะมีชาวพุทธทั้งในมาเลย์เซียและสิงคโปร์แห่มาทำบุญขอรับพระกันมากและก็มีหลายคณะด้วยกัน  ซึ่งมาทำบุญครั้งหนึ่งก็หอบเอาพระกลับไปที่ละหลายร้อยองค์   เพราะฉะนั้น พระพุทธสิหิงค์นะปัดตลอดรุ่นนี้  จึงเหลือตกค้างในเมืองไทยอยู่อีกเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่สร้างเท่านั้นเอง



********************

    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากบทความนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครศรีธรรมราชและครูบาอาจารย์ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....

สุวัจชัย สมไพบูลย์

70

พระรูปเหมือนหลวงพ่อพริ้ง
วัดแจ้ง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ.๒๕๐๖
เนื้อผงว่าน
………………………………………………………..
[/b]   

     พระรูปเหมือนหลวงพ่อพริ้งเนื้อผงว่านรุ่นนี้ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมคล้ายพระสมเด็จ โดยด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อพริ้งนั่งสมาธิเต็มองค์ มีเส้นโค้งครอบเหมือนพระสมเด็จ    ส่วนด้านหลังเป็นรูปพระธาตุเจดีย์อยู่ภายในซุ้มโค้งเช่นกัน ขนาบข้างองค์พระธาตุเจดีย์ทั้งสองด้านด้วยอักขระขอมสี่ตัวอ่านว่า“ทุ สะ นิ มะ “   ส่วนด้านล่าง เป็นตัวหนังสือไทยเขียนว่า “ พ่อเฒ่าขรัวพุทธสรณ์ “
   
     ในการสร้างพระผงว่านหลวงพ่อพริ้งรุ่นนี้    ได้มีการเตรียมการสร้างอยู่เป็นปีโดยเริ่มจากการเสาะหาว่านต่าง ๆ นับร้อยชนิด รวมแล้วเป็นจำนวนกองโต  ต่อจากนั้น จึงนำเอาว่านเหล่านั้นมาตากจนแห้งแล้วบดละ เอียดก่อนจะนำไปผสมกับวัสดุมวลสารอีกหลายอย่าง   อาทิเช่น  ดอกไม้แห้ง ผงวิเศษ ฯลฯ  และที่พิเศษสุด ๆ เลยก็คืออัฐิและเถ้าอังคารพ่อเฒ่าขรัวพุทธสรณ์ที่ได้จากเจดีย์เก่าที่วัดแหลมดิน  ตำบลลิปะน้อย  อ.เกาะสมุย  ซึ่งพ่อเฒ่าขรัวพุทธสรณ์ได้สร้างเอาไว้สมัยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
   
     เมื่อกดพิมพ์เป็นองค์พระนับได้หลายหมื่นองค์แล้ว หลวงพ่อพริ้งได้จัดให้มีพิธีพุทธาภิเษกขึ้นโดยท่านได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์หลายท่านมาร่วมปลุกเสกด้วย  ซึ่งคราวนั้นนับเป็นพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งสำคัญที่สุดของเกาะสมุยเลยทีเดียวโดยพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีปลุกเสกในคราวนั้นก็อาทิเช่น …

     ๑.หลวงพ่อพริ้ง วัดแจ้ง เกาะสมุย
   
     ๒.หลวงพ่อแดง วัดแหลมสอ:พระเกจิอาจารย์ท่านนี้นับได้ว่าเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาแห่งเกาะสมุย อย่างแท้จริง  มีอภินิหารหลายอย่าง  ซึ่งยังคงเป็นที่กล่าวขวัญกันอยู่จนทุกวันนี้
   
     ๓.หลวงพ่อวัฒน์ วัดศรีทวีป ( วัดใหม่ ) :   ท่านนี้นับเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานของเกาะสมุย มีความรู้ในภูมิธรรมอย่างลึกซึ้ง  เชี่ยวชาญวิทยาคมและไสยศาสตร์หลายแขนง  แต่ชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อย่างสมถะมาโดยตลอด
   
     ๔.หลวงพ่อเริ่ม วัดคีรีวงการาม : ท่านนี้นับว่าเป็นพระที่แก่กล้าและเชี่ยวชาญวิทยาคมอย่างมากด้วยอีกรูปหนึ่งเช่นกัน 
   
     ๕.หลวงพ่อพุ่ม วัดคีรีมาส :เป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าทางวิทยาคมและไสยศาสตร์เป็นที่นับถือของชาวเกาะสมุยและคนภาคใต้อย่างมาก  ซึ่งแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังเคยมีประสบการณ์กับวัตถุมงคลของท่านอย่างน่าทึ่งมาแล้ว
   
     ๖.หลวงพ่อพร้อม  วัดราษฎร์เจริญ  เกาะพงัน : ท่านนี้เป็นพระน้องชายของหลวงพ่อพริ้ง   มีวิทยาคมศักดิ์สิทธิ์พอ ๆ กัน    เคยรูดใบมะขามมาเสกเป่าเป็นฝูงผึ้งบินให้ชาวบ้านได้เห็นกับตามาแล้ว
   
     เนื่องจากพระผงว่านรุ่นนี้ มีจำนวนการสร้างมากถึงหลายหมื่นองค์ หลังจากเสร็จพิธีและนำพระออกแจกให้ทำบุญแล้ว จึงยังมีเหลืออีกเป็นจำนวนมาก  ซึ่งหลวงพ่อพริ้งและทางวัดก็ได้แจกพระให้กับชาวบ้านที่มาทำบุญที่วัดมาตลอด  แม้ว่าจะไม่บริจาคเงินทำบุญท่านก็แจก ใครไปขอท่าน   แจกให้ทั้งนั้น  แม้แต่เด็ก ๆ ไปขอท่านก็แจกให้หมด ครั้งเมื่อคราวงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อพริ้งเมื่อปี ๒๕๒๐ ทางวัดได้นำเอาพระผงว่านรุ่นนี้ออกให้ทำบุญในราคาองค์ละ ๑๐ บาท กระนั้นก็ยังคงมีพระเหลืออยู่อีกมากพอสมควร   พูดได้ว่าสมัยนั้นคนเกาะสมุย  จะมีพระผงว่านรุ่นนี้ทุกครัวเรือนก็ว่าได้เลยทีเดียว
   
     พระผงว่านรุ่นนี้ นับได้ว่าเป็นอิทธิวัตถุมงคลชั้นยอดของเกาะสมุยก็ว่าได้  ทั้งนี้  เพราะนอกจากมวลสารของเนื้อพระจะเยี่ยมสุดยอดแล้ว  ยังถือว่าเป็นการรวบรวมพระเกจิอาจารย์ทั้งเกาะสมุยและเกาะพงันมาร่วมกันปลุกเสกในคราวเดียวกัน  อีกทั้ง ในพิธียังได้มีการประทับทรงอัญเชิญดวงพระวิญญาณพ่อเฒ่าขรัวพุทธสรณ์ให้มาร่วมปลุกเสกอีกด้วย
   
     ส่วนในด้านประสบการณ์นั้นก็เกิดขึ้นมาแล้วนับเป็นร้อย ๆ รายเลยทีเดียว โดยเฉพาะบรรดาทหารตำรวจที่เคยต่อสู้กับผกค.ทางภาคใต้เมื่อครั้งอดีต  ต่างมีประสบการณ์กับพระผงว่านรุ่นนี้กันมาก    พระผงว่านรุ่นนี้แม้จะมีจำนวนการสร้างมากจนทางวัดต้องใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะแจกหมด  แต่ทุกวันนี้ในพื้นที่เกาะสมุย เองก็ใช่ว่าจะพบเห็นกันง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว....



71
พระผงเนื้อว่านหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ
วัดโคกสมานคุณ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
พ.ศ.๒๕๓๗
...
b]

     จัดสร้างโดยพระครูสมานคุณากรหรือที่ชาวสงขลาเรียกและรู้จักท่านในนามว่า “ หลวงพ่อจันทร์ “ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๗ อันตรงกับวันเสาร์ห้า   เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ซึ่งโบราณถือว่าเป็นวันมหาอุด  มหาโชคและเป็นวันที่กล้าแข็ง สามารถบันดาลให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ได้อย่างน่าอัศ จรรย์

     ก่อนที่จะสร้างพระหลวงพ่อปานลิ้นดำนี้   หลวงพ่อจันทร์ได้เก็บรวบรวมผงต่าง ๆ  ว่านเก่า ตลอดจนวัตถุธาตุอันเป็นมงคลต่าง ๆ นำมารวบรวมเอาไว้เป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้แล้ว  ยังมีดอกไม้  ดอกมะลิอันเป็นมงคลในพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถวัดโคกสมานคุณนำมาเป็นส่วนผสมอีกด้วย โดยในขณะนั้น  หลวงพ่อจันทร์ยังมีศักดิ์เป็นพระครูสังฆรักษ์อยู่   พร้อมกันนั้น  หลวงพ่อจันทร์ยังได้นำเอาผงว่านที่แตกหักของพระเครื่องหลวงพ่อปานที่สร้างเมื่อปี ๒๕๐๖ และนำทูลถวายพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมาเป็นส่วนผสมหลักในการสร้างครั้งนี้ด้วย

     สำหรับผงว่านมงคล  ที่นำมาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระผงเนื้อว่านหลวงพ่อปานรุ่นนี้ ประกอบด้วย :-

     - ว่านชนิดต่าง ๑๐๘ ชนิด

     - กำยาน ๕ กิโลกรัม

     - ผงขี้ธูปวัดพะโคะ

     - เปลือกไม้ยางที่หลวงปู่ทวดเคยวางไม้เท้า

     - ผงตะไบเงินยวง

     - ผงใบต้นสังกรณี

     - ผงใบยอที่งอกบนต้นไม้อื่น เรียกว่า “ ยอไม่ตกดิน “

     - ผงปูนที่สกัดจากยอดพระธาตุ จ.นครศรีธรรมราช

     - ดอกสวาท

     - ดอกใบรักซ้อน

     - กาฝากรักซ้อน

     - กาฝากรักป่า

     - ดินกากยายักษ์

     - ดินโป่งปูที่ปิดรูปู ๑๐๘ รู

     - ดอกไม้บูชาพระค่ามพระอารามต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ

     - ผงเก่าที่เก็บไว้จากหลวงพ่อปานลิ้นดำที่เหลือมาจากการสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖

     - ดอก / ใบ / ต้นพุทธรักษา

     - ดอกสายหยุด

     - ใบเสียบต้นใหญ่ที่ฝังรกหลวงปู่ทวด

     - ไข่หินถ้ำพระธาตุเขาสายร้อยยอด จ.ประจวบ ฯ

     - ข้าวสารหิน จ.ลพบุรี

     - ดอกพญางิ้วดำ

     - ธาตุแร่เหล็กน้ำพี้ จ.อุตรดิตถ์

     - เพชรเขาพระงาม จ.เพชรบุรี

     - ขี้ธูปเขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี

     - ขนมปังหรือขนมโคคนธรรพ์ในถ้ำอุตรดิตถ์

     - ดินกรุพระนางตราท่าศาลา นครศรีธรรมราชอายุกว่า ๘๐๐ ปี

     พระผงเนื้อว่านหลวงพ่อปาน ลิ้นดำที่สร้างในครั้งนี้มีพระเกจิอาจารย์จากทั่วทั้งภาคใต้ก็ว่าได้   ที่ไปร่วมกันปลุกเสกในครั้งนี้ อาทิ ....

     - หลวงพ่อแดง วัดควนนางพิมพ์ จ.พัทลุง

     - หลวงพ่อร่วง ปกาสิทธิ์ วัดศาลาโพธิ์ ( ดับเทียนชัย )

     - หลวงพ่อล้วน วัดน้ำน้อยใน

     - หลวงพ่อเรือง วัดประตูชัย

     - หลวงพ่อบุญ วัดคลองแห
   
     - หลวงพ่อรื่น วัดช่องเขา

     - พระครูประภัสสรธรรมคุณ วัดทรายขาว

     - หลวงพ่อเอียด วัดบางกล่ำ

     - หลวงพ่อจันทร์ วัดเจริญราษฎร์

     - พระครูโกวิทธรรมสาร วัดห้วยลาด

     - พระครูมนุญธรรมานุวัตร วัดหูแร่

     - หลวงพ่อจำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ

     - หลวงพ่อพราง วัดโคกทราย

     - หลวงพ่อจันทร์ วัดโคกสมานคุณ

     - หลวงพ่อปรีชา รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย

     - พระอาจารสมนึก วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช

     ในการสร้างพระเนื้อว่านหลวงพ่อปาน ลิ้นดำนี้       หลวงพ่อจันทร์ท่านมีความประสงค์ที่จะบูชาคุณของหลวงพ่อปานซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน   ทั้งนี้  เมื่อตอนหลังจากที่หลวงพ่อจันทร์ได้บวชแล้วท่านก็ได้ร่ำเรียนพระธรรมวินัยกับหลวงพ่อปาน  ตลอดจนคาถาอาคมอยู่เป็นเวลานานหลายปีจนกระทั่งหลวงพ่อปาน มรณภาพ
   
     สำหรับรูปลักษณ์ของพระเนื้อว่านหลวงพ่อปานลิ้นดำนี้   จะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มีขนาดความสูง ๓ ซม. ฐานล่างกว้าง ๒ ซม.   ตรงกลางจะเป็นรูปองค์หลวงพ่อปานลิ้นดำ  ห่มจีวรเฉวียงบ่า   พาดสังฆาฏิในท่าจับหัวเข่า  นั่งอยู่บนฐานเขียง ด้านหลังองค์พระจะนูนคล้ายหลังเบี้ย  มีอักษรภาษไทยปั๊มอ่านว่า “ หลวงพ่อปาน วัดโคกสมานคุณ “ สีเนื้อออกดำอมเทาหรือดำอมเขียว




*********************
สาระประโยชน์ที่เกิดจากบทความนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อปานลิ้นดำ วัดโคกสมานคุณ จ.สงขลาและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....

สุวัจชัย สมไพบูลย์

72

พระปิดตามหาอุด มหาสะท้อน
หลวงพ่อไซร้ วัดช่องลม
อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๕
……………………………………………..
   

     ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔  ประเทศไทยได้เข้าสู่สงครามอินโดจีนและมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒  ประชาชนชาวอุตรดิตถ์ต่างอยากได้ของดีของขลังไว้คุ้มครองตัว  ด้วยเหตุนี้  หลวงพ่อจึงได้จัดสร้างพระปิดตา “ เนื้อผงมหาอุดผสมว่านคงกระพันเคล้ารัก “  และปลุกเสกด้วยพระคาถา “ โสฬสมหาอุดมหาสะท้อน “ ( ผู้ที่คิดร้าย  ปองร้าย  จะถูกมหามนต์นี้สะท้อนเข้าหาตัวเอง )

พุทธลักษณะ :
   
     หลวงพ่อไซร้ท่านมีวิชาหลายด้าน  รวมถึงวิชาแกะสลัก  ซึ่งท่านได้ทำการแกะหินมีดโกนเป็นรูปพระปิดตาคล้าย ๆ กันไว้   ๓ - ๔ พิมพ์โดยท่านแกะเป็นรูปพระภควัมปตินั่งสมาธิราบบนแท่น  พระเศียรรูปไข่  พระกรรณทั้งสองข้างเป็นเส้นยาวจรดพระอังสา    รอบพระเศียรมีประภามณฑลลายกนกเป็นวงกลม  พระวรกายชะลูด  พระอุทรแบนราบ  ยกมือทั้งสองข้างยืนออกมาตรง ๆ เบื้องหน้า   และยกปิดตาขึ้นคลุมทั่วบริเวณใบหน้า  ข้อมือขนานกันที่บริเวณคาง  ทำให้ดูคล้ายกึ่งพนมมือ  ต้นแขนทั้งสองแนบชิดลำตัว  ไหล่ทั้งสองข้างตั้งฉากเป็นสง่า  พระบาทขวาซ้อนพระบาทซ้าย  ข้างองค์พระมีลายกนกประกอบงดงามอีกทั้งสองข้าง  กลาวแท่นที่ประทับ  ทำเป็นหมอนยาวนูนออกมาเป็นปลายแหลมสามเหลี่ยมทั้งสองข้างรวมเป็นหกเหลี่ยมและมีอักษรไทยเป็นตัวลึกลงไปในพิมพ์  อ่านว่า “ ทองดี “
   
     มีผู้รู้บางท่านกล่าวว่า “ ทองดี “ เป็นชื่อโยมบิดาของหลวงพ่อ    แต่บางท่านก็ว่าเป็นชื่อเดิมของพระยาพิชัยดาบหักที่ชื่อ  “ ทองดี ฟันขาว “     ซึ่งหลวงพ่อท่านคงจะใช้ชื่อวีรบุรุษเพิ่มพลังเข้าไปในองค์พระอีกพลังหนึ่งก็เป็นได้    แต่ในขณะเดียวกัน  บางพิมพ์ก็ไม่มีชื่อ “ ทองดี “ ปรากฏอยู่  โดยแกะเป็นหมอนยาวโดด ๆ  นอกจากนี้  บางพิมพ์ก็แกะดูคลับคล้ายคลับคลาตัวหลวงพ่อไซร้เอง  กล่าวคือเป็นพิมพ์ชะลูดและหัวโต
   
     ด้านหลังองค์พระ  มีลักษณะเรียบ  มีอักขระขอม ๔ ตัวเขียนว่า “ สะ จะ นา ติ “  ซึ่งจารด้วยเหล็กจารลายมือหลวงพ่อตามแนวยาว  ตัวอักขระบรรจงสวยงาม  ตัวได้ขนาดเท่ากัน จารไว้แทบทุกองค์  แต่บางองค์ก็มิได้จาร

ขนาด :
   

     องค์พระมีขนาดกระทัดรัด  ฐานกว้าง ๑.๒ ซม. X  สูง ๒.๓ x หนา ๐.๕ ซม.

มวลสาร :
   
     ผงพุทธคุณผสมว่านคงกระพัน   สามารถมองเห็นเศษมวลสาร  มีความแห้งแกร่งหนึกนุ่ม  ออกสีดำ   สีน้ำตาลอมดำ  สีน้ำตาลปนเทา  นอกจากนี้  เป็นเนื้อตะกั่วหลังลายไม้ก็มี

จำนวนการสร้าง :
   
     - เนื้อผงว่านประมาณ ๓,๐๐๐ องค์

     - เนื้อตะกั่วประมาณ ๕๐๐ องค์

สนนราคา :   

     ผู้รู้พุทธคุณและท้องถิ่น  เสาะหากันในราคาหลักพัน
   
     อนึ่งในวงการประกวดพระ  ได้เคยมีผู้ลงสปอนเซอร์ประกวดกันเป็นพระปิดตาพิมพ์หนึ่งของหลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่ามาแล้ว



*************************

สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากบทความนี้  ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงพระวิญญาณขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อไซร้ วัดช่องลม จ.อุตรดิตถ์และครูบาอาจารย์ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....

สุวัจชัย สมไพบูลย์

73
พระเนื้อว่านผสมชานหมาก
พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช
รุ่น สข.๑
พ.ศ.๒๕๐๐
…………………………………………
   

     จัดเป็นพระเครื่องหรือวัตถุมงคลที่ชาวบ้านทางภาคใต้ให้ความนิยมและศรัทธากันมากทีเดียว   ทั้งที่แม้ว่าพระรุ่นนี้ จะราคาไม่แพงมากเหมือนเหรียญบางรุ่นของท่านก็ตาม   แต่พระรุ่นนี้ก็เป็นที่เชื่อถือทางภาคใต้มานานแล้วว่า “ ดีจริง “

มวลสาร
   
     พระเนื้อว่านรุ่นสข.๑ นี้  เอากันแต่เฉพาะเนื้อหามวลสารของพระอย่างเดียวก็ถือว่าจัดอยู่ในขั้นสุดยอดเลยทีเดียว  กล่าวคือมวลสารหลักของพระรุ่นนี้ประกอบไปด้วย :-
     ๑.ว่าน : ว่านที่นำมาสร้างพระรุ่นนี้  รวมกันแล้วมีนับเป็นร้อย ๆ ชนิดเลยทีเดียว   มีทั้งว่านที่มีอิทธิฤทธิ์และมีคุณวิเศษในตัวเองโดยธรรมชาติ  ตลอดจนพืชที่เป็นสมุนไพรอีกหลายชนิดด้วยกัน  ซึ่งสมัยก่อนตามป่าเขาทางภาคใต้   ล้วนแต่มีว่านซึ่งมีคุณวิเศษตามธรรมชาติขึ้นอยู่เต็มไปหมด  จึงมีชาวบ้านนำมาถวายพ่อท่านคล้ายอยู่เป็นประจำ ซึ่งเมื่อท่านได้มาก็นำไปตากแดดให้แห้ง  แล้วนำมาเก็บรวมไว้ในกุฏิโดยท่านจะทำการปลุกเสกว่านเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ว่านได้รับการปลุกเสกจากท่านนานติดต่อกันเป็นปี ๆ เลยทีเดียว
   
     ๒.ชานหมาก : เป็นของดีอีกหย่างหนึ่งของพ่อท่านคล้ายที่ชาวบ้านอยากได้กันมากจนกล่าวกันว่าชานหมากของพ่อท่านคล้ายไม่เคยคายตกลงถึงกระโถนเลย    เพราะพอท่านจะคายก็มีชาวบ้านแย่งกันเอามือมารองรับไว้ก่อนแล้ว  ทั้งนี้ เพราะต่างก็ประจักษ์กันเป็นอย่างดีถึงความศักดิ์สิทธิ์ในชานหมากของท่าน
   
     นอกจากว่านและชานหมากที่เป็นมวลสารหลักดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็ยังมีมวลสารอื่น ๆ อีกหลายอย่างอาทิเช่น ผงวิเศษ เกสรดอกไม้ ฯ ซึ่งมวลสารเหล่านี้  พ่อท่านคล้ายได้นำมาปลุกเสกรวมกับว่านและชานหมากอยู่นานหลายปีจนกระทั่งมาถึงในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งเป็นวาระมงคลที่มีการฉลองสมโภชพระพุทธศาส นาเจริญมาครบ ๒๕๐๐ ปี  ท่านจึงได้นำเอามวลสารเหล่านี้ไปทำการบดจนละเอียด    แล้วนำมาคลุกเคล้ากับ “ น้ำมนต์ “ ผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว  จากนั้นก็นำไปกดพิมพ์ในแม่พิมพ์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์  เช่น พิมพ์รูปเหมือน , พิมพ์พระประจำวัน , พิมพ์นางพญา , พิมพ์นางกวัก ฯลฯ    ซึ่งการกดพิมพ์ก็ใช้เวลาอยู่นานเป็นเดือน ๆ จนได้พระจำนวนมากพอเป็นหมื่น ๆ องค์

การปลุกเสก
   
     พ่อท่านคล้ายได้ทำการปลุกเสกเดี่ยวตลอด ๗ คืนเต็ม ๆ   ซึ่งพอเสร็จพิธีแล้วท่านก็ได้มอบสายสิญจน์ที่ใช้ในการปลุกเสกทั้งขดแก่พ่อท่านเดช  ( สำหรับพ่อท่านเดชนี้  ภายหลังเมื่อพ่อท่านคล้ายได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระธาตุน้อยแล้ว  ก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแทนพ่อท่านคล้าย ) โดยท่านได้บอกให้พ่อท่านเดชเอาสายสิญจน์ที่ใช้ในการปลุกเสกพระเนื้อว่านรุ่น สข.๑ นี้แจกแก่ชาวบ้านทั่วไป พ่อท่านเดชสงสัยจึงถามเหตุผล    พ่อท่านคล้ายก็บอกว่า “ ต่อไปจะหาพระรุ่นไหนศักดิ์สิทธิ์เหมือนรุ่นนี้  ไม่มีอีกแล้ว “ พ่อท่านเดชก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก จึงถามเหตุผลอีกครั้ง  พ่อท่านคล้ายก็บอกว่า “ ตอนปลุกเสกอยู่นั้น  เทวดากี่องค์ต่อกี่องค์ ลงมาช่วยกันหมด “    นี่แหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านภาคใต้เขาถึงได้ศรัทธาพระรุ่นนี้กันมาก

ประสบการณ์
   
     ประสบการณ์ของพระรุ่นนี้มีอยู่หลายด้านด้วยกัน    แต่ที่เจอกันบ่อยมากที่สุดคือด้าน “ เมตตา – แคล้วคลาด “ ส่วนทางด้านคงกระพันก็มีอยู่เหมือนกัน บางคนโดนพวกสัตว์มีพิษอย่างผึ้ง ต่อ แตน  แมงป่องและตะขาบกัดต่อย    เอาพระเนื้อว่านรุ่นนี้ปิดตรงปากแผล  อานุภาพของพระจะดูดพิษจนรู้สึกหนึบ ๆ ได้และจะหายปวดภายในเวลาไม่นาน  บางคนขนาดว่าโดนงูกะปะหรืองูเห่ากัด  พระว่านรุ่นนี้ก็เคยรักษาหายมาแล้ว









********************

สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากบทความนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงพระวิญญาณขององค์พระเดชพระคุณพ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์และครูบาอาจารย์ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....

สุวัจชัย สมไพบูลย์

74

พระคาถาพญาสิงหราช
หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
สุสานทุ่งมน จ.สุรินทร์
…………………………………………

พุทธะเสฏโฐมหานาถัง  วัณณะโกสิงหะนาทะกัง
พุทธะสิระสาเตชะ มาระเสนา
ปะราเชยยัง  ชัยยะภะวันตุเม
………………………………………..

พระคาถานี้ ถ้าจะเข้าเฝ้าขุนนางท้าวพระยา พระมหากษัตริย์ ท่านให้เสกแป้งหรือเสกน้ำมันทาตัว คนทั้งหลายเห็นเรา  เกรงกลัวเรานัก หรือจะเสกหมากกินก็ได้ เป็นมหา อำนาจ  มีตบะเดชะดีนัก ถึงแม้เป็นความกันก็ดี ให้ภาวนาพระคาถานี้ไป คู่ความเห็นหน้าเรา มันกล่าวความมิออกเลย  เกิดความเกรงกลัวแก่เรานัก  โชคลาภ  แคล้วคลาด เมตตามหานิยม ดีนักแล ฯ

75
พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว
หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย จ.สุพรรณบุรี
ปี ๒๔๙๗
เนื้อดินผสมผงใบลานเผา
…………………………………………………….
   [/b]
     
     พระขุนแผนรุ่นนี้ หลวงพ่อแต้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดพระลอยเป็นผู้สร้างไว้เมื่อปี ๒๔๙๗  โดยจำลองแบบมาจากพระโคนสมออยุธยา   ซึ่งนอกจากเนื้อดินผสมผงใบลานเผาแล้ว   ก็ยังมีเนื้อดินเผาออกสีแดงสีดอกพิกุล  รวมไปถึงเนื้อผงสีขาวอีกด้วยโดยมีจำนวนการสร้างทั้งสิ้นมากพอสมควร  ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงไม่ค่อยแพงโดยอยู่ตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อยต้น มีพุทธคุณเด่นทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดภัยอันตราย












76
เหรียญหลวงพ่อวัดน้ำรอบโคกกลอย จ.พังงา
รุ่น ๑
พ.ศ.๒๕๑๐
ทองแดงรมดำ
………………………………………………………………
 

     เป็นเหรียญที่มีส่วนผสมในการสร้างเป็นเนื้อโลหะที่แปลกไม่เหมือนใคร ด้วยว่ามีส่วนผสมจาก “ ดาบประหารนักโทษสมัยก่อน ๗ เล่ม “ ด้วยกัน  ทั้งนี้  เพื่อเป็นการถือเคล็ดทางมหาอำนาจ ป้องกันตัว ตลอดจนกันและแก้คุณไสย   รวมไปถึงภูติผีปีศาจทั้งหลาย นับเป็นสุดยอดเหรียญที่มีประสบการณ์สูงอีกเหรียญหนึ่งของภาคใต้และได้รับความนิยมกันอย่างมากในพื้นที่  





77
           
    หลวงพ่อน้อย คนฺธโต  อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง  จ.นครปฐม   นอกจากท่านจะสร้างกะลาแกะราหูอมจันทร์อันลือลั่นสะท้านแผ่นดินแล้ว หลวงพ่อน้อยท่านยังได้สร้าง ? วัวธนู ? ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
   โดยตามตำนานที่แท้จริง    หลวงพ่อน้อยท่านได้สร้างวัวธนูขึ้นตามตำราที่ได้ตกทอดกันมาโดยเชื่อกันว่าสมเด็จพระวันรัตน์  วัดป่าแก้ว ( เดิมชื่อวัดพระยาไทย )   หรือในปัจจุบันก็คือวัดใหญ่ชัยมงคลนั่นเอง  เป็นเจ้าของต้นตำรับในการสร้างวัวธนู   ซึ่งวิธีการสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น ท่านจะสร้างในโบสถ์ โดยมีการจัดเตรียมโรงพิธีซึ่งใช้ผ้าขาวขลิบทองขึงปิดทั่วห้องพิธี  รวมทั้งเพดานฝ้าด้วย   มีเครื่องเซ่นบัดพลีเป็นหัวหมู   พร้อมทั้งอาหารคาวหวาน   ผลไม้นานาชนิด   ล้อมวงด้วยด้ายสายสิญจน์รอบโบสถ์  พอถึงฤกษ์สิทธิโชคที่หลวงพ่อได้กำหนดไว้  ก็เริ่มพิธีด้วยการจุดธูปเทียนชัย
   ในสมัยนั้น    ผู้ที่จะเข้าพิธีปลุกเสกวัวธนู   ต้องเป็นผู้ชายล้วนที่บำเพ็ญเพียรถือศีลห้าก่อนพิธีเจ็ดวัน   อีกทั้ง   ต้องนุ่งขาวห่มขาว ทั้งนี้  ซึ่งการสร้างวัวธนูนั้น จะต้องสร้างให้เสร็จภายในเวลา ๒ ชั่วโมง ๒๗ นาที   และต้องสร้างในวันมาฆบูชาหรือในวันวิสาขบูชาเท่านั้น    จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่น ๆ
   การสร้างวัวธนูนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าพิธีก็มี....
   ๑.ผูกโครงสร้างของวัวธนูด้วยเส้นลวด
   ๒.เตรียมแผ่นโลหะสำหรับทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ
   ๓.ชันโรงจากต้นพุทรา   ซึ่งมีทั้งหลวงพ่อน้อยท่านเก็บไว้และผู้ให้สร้างวัวธนูนำมาเองโดยนำ ไปใส่ในภาชนะตั้งไฟ    แล้วทำการเคี่ยวเตรียมไว้
   การสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น   ก่อนอื่นต้องสร้างโครงสร้างให้เป็นรูปร่างวัวธนูขึ้นมาก่อนด้วยเส้นลวดที่ทำจากเนื้อโลหะ ซึ่งโลหะที่นำมาทำเส้นลวดนั้น  มักได้แก่โลหะจำพวกทองแดง  เงิน  นาค  ทองคำ  เป็นต้น   แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นพวกทองแดงเสียมากกว่า
   ส่วนแผ่นโลหะที่นำมาทำเป็นตะกรุดดอกเล็กก็เช่นกัน     มีทั้งโลหะเนื้อทองแดง  เงิน  นาคและทองคำ
   พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้   หลวงพ่อน้อยจะลงจารอักขระขอมในแผ่นโลหะพร้อมกับม้วนเป็นตะกรุด   ท่านลงจารด้วยคาถาหัวใจพระฉิม ? นะชาลิติ ?     บางแผ่นอาจมีลงจารคำว่า ? นะ ๑๒ ? และ ? โม ๒๑ ? เข้าไว้ด้วย  ซึ่งหมายถึงพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด )
   เสร็จแล้วท่านจะส่งต่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีนำไปใส่บรรจุในโครงลวดที่จะสร้างวัวธนู แล้วให้เอาชันโรงที่เคี่ยวไว้พอกทับโครง แล้วจึงปั้นเป็นวัวธนูต่อไป
   วัวธนูที่ปั้นเสร็จแล้ว  ท่านจะนำมาเจิมเขาด้วยน้ำมันจันทน์ทุกตัว พร้อมทั้งภาวนาพระคาถากำกับซ้ำอีกครั้ง
   นอกจากสร้างด้วยโครงลวดแล้ว   วัวธนูของหลวงพ่อน้อย  วัดศีรษะทองที่สร้างด้วยชันโรงล้วน ๆ ก็มี แต่ไม่มากนัก โดยเกิดจากการที่ว่าในขณะที่ทำพิธีนั้น ชันโรงที่เคี่ยวเตรียมไว้เกิดมีเหลือ และผู้เข้าร่วมพิธีต้องการวัวธนูเพิ่มอีก หลวงพ่อท่านก็จะปั้นให้โดยไม่ต้องมีลวดเป็นโครงร่าง
   วัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น  จะมีรูปลักษณ์ขนาดเล็กและใหญ่ต่างกันไป  แล้วแต่ผู้สร้างจะออกรูปแบบโครงสร้างของลวดเป็นแบบไหน วัวธนูตัวที่ใหญ่ที่สุด มีการสร้างตัวยาวขนาด ๖ นิ้วก็มี แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก
   ส่วนวัวธนูที่สร้างด้วย ? เขากระทิง ? นั้น   จะมีการสร้างไว้ไม่มาก ส่วนใหญ่ผู้สร้างแกะเขาเป็นรูปวัวมาแล้วเอาเข้าร่วมในพิธี ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายฝีมือทีเดียว

ลักษณะที่พึงสังเกตวัวธนูของหลวงพ่อน้อย:   
   ๑.วัวธนูที่แท้จริง    จะมีโครงลวดและแผ่นตะกรุด  จึงทำให้มีน้ำหนัก  หากวัวธนูตัวใดมีน้ำ หนักเบา ต้องถามที่มาที่ไปให้ละเอียดถี่ถ้วนแน่ชัด
   ๒.วัวธนูที่สร้างจากชันโรง เนื้อชันโรงจะมีความแห้งและแน่นตัวมาก เมื่อใช้กล้องส่องดู จะเห็นเนื้อชันโรงเหมือนผสมผงอยู่ด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือเปลือกต้นพุทราผุที่เอามาเคี่ยวรวมกันนั่นเอง
   ๓.ชันโรงที่ปั้นเป็นวัวธนู   จะต้องมีสีแดงดำอมน้ำตาล  สีจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   ผิวกายของวัวธนู จะมีลักษณะหยาบ ไม่เรียบร้อย
   ๔.ไม่มีการลงอักขระใด ๆ ที่ตัววัวธนูทั้งสิ้น      หากมีนั่นย่อมแสดงว่าเอามาลงในภายหลัง นอกจากนี้  ไม่มีการปิดทองที่ตัววัว ถ้ามีปิดก็ปิดเป็นบางจุดเท่านั้น    ถ้าปิดทั้งตัวเป็นการปิดทีหลังแน่นอน   ทั้งนี้ เพราะการสร้างวัวธนูนั้น มีกำหนดเวลาในการทำพิธีน้อยและต้องเสร็จให้ทันภายในพิธีด้วย

วิธีบูชาวัวธนู:   
            ในการบูชาวัวธนูของหลวงพ่อน้อย จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงครั้งแรกเท่านั้น   กล่าวคือจะต้องไปหาน้ำจากสระถึง๕แห่ง   สระละนิดสระละหน่อยมาใส่แก้วไว้บูชา  ต่อจากนั้นให้หาใบพุทรา ๕ ใบ  หาใบหญ้าคา ๕ ใบ แล้วนำมารวมเป็นขอดไว้ใบละเปาะ  แต่ละขอดให้ภาวนาพระคาถา ? อุปคุตมัดมาร ? ที่ว่า ? อิมํ  อฺงคพนฺธนํ  อธิฎฐามิ ?
   เสร็จแล้วให้จุดเทียน ๑ คู่ ธูป ๔ ดอกบูชา   แล้วให้น้อมรำลึกถึงปรมาจารย์ผู้ริเริ่มการสร้างวัวธนู ซึ่งก็คือสมเด็จพระวันรัตน์  วัดป่าแก้วเป็นท่านแรก และองค์สุดท้ายให้น้อมรำลึกถึงหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เสร็จแล้วให้ภาวนาพระคาถากำกับวัวธนู ซึ่งมีข้อความดังนี้....
   ? เวทาสากุกุ  ทาสาเวทา ยัสสะตะถะสาสา  ทิกุกุทิสาสา กุตะกุ  ภูตะภุโค โหตุเต ชัยยะมังคลานิ ?

พุทธคุณและคุณประโยชน์ของวัวธนู :   เชื่อกันว่าวัวธนูของหลวงพ่อน้อย  วัดศีรษะทองนั้น มีพุทธคุณแบบที่เรียกว่าครอบจักรวาลเลยทีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตามหานิยม  มีเสน่ห์ การค้าการขายดีเยี่ยม    ทั้งปกป้องคุ้มครองตนเองและบ้านพักอาศัย   ทำให้ศัตรูกลับมารัก ทำน้ำมนต์ก็ดีเลิศ กล่าวคือใช้น้ำที่อาบวัวธนูนั้นมาอาบตัวเรา เชื่อว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยอยู่ ก็จะหายวันหายคืน ถ้าอาบประจำ ก็จะทำให้เกิดมีโชคลาภทั้งปี


   

    หลวงพ่อน้อย  คนฺธโชโต วัดศีรษะทอง    เดิมชื่อว่า ? น้อย ?   นามสกุล  ? นารารัตน์ ?  ชา ตะเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕ แรม ๑๓ ค่ำ ปีมะโรง ณ ตำบลศีรษะทอง จ.นครปฐม  ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๘ เวลาเพลพอดีด้วยอาการสงบ

*********************

สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากบทความนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อน้อย คนฺธโชโต วัดศีรษะทอง ตลอดจนครูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจบันชาติของข้าพเจ้า...สุวัจชัย สมไพบูลย์
   

78
บทความ บทกวี / บททดสอบชีวิต
« เมื่อ: 16 ส.ค. 2552, 03:47:12 »

อันชีวิตหลากรสบททดสอบ
มีช้ำชอกตรอมตรมซมบาดแผล
มีหลากเรื่องประดาล้าดวงแด
มีร่ำร้องอ่อนแอแพ้ลมลวง

ท่ามดวงแดเผยพ่ายหน่ายดวงจิต
เฝ้าหลงติดชิดช่วงทัณฑ์บาศบ่วง
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่ล้าทรวง
มิต้องห่วงผลกรรมกระทำมา

ชีวิตเป็นชีวิตมีรูปขันธ์
ความจาบัลย์ก่อห้วงความเหว่ว้า
ธัมมารมณ์หลงเร่เร้ามายา
ทวารทั้งห้าสัมผัสรัดเกาะกุม

ดับอารมณ์วิญญาณทำฉันท์ใด
แถลงไขให้รู้ลดร้อนรุ่ม
อภิบาลโอบเอื้อความการุณ
ให้เป็นบุญคนพ่ายหายระกำ

จงถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าท่านมาได้อย่างไร
มาทำไม... มาแล้วได้อะไร... และเวลานี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่
พร้อมทั้งบอกกับตัวเองเสมอตลอดเวลาว่า
เรากำลังเดินไปหาความตาย.....
[/size]

79
บทความ บทกวี / แสงเทียน แสงธรรม
« เมื่อ: 16 ส.ค. 2552, 03:31:26 »

จากก่อเกิดกลละมาเนืองเนือง
อัพพุทะรองเรืองเป็นฟองสี
กรองชิ้นเนื้อลักษณะอัญมณี
ฆนะรีสัณฐานก้อนกลมกลึง

เป็นปัญจะสาขาปุ่มห้าแห่ง
พร้อมสัดส่วนจัดแบ่งกลุ่มเคล้าคลึง
แบ่งรูปลักษณ์สามสิบสองตรองรำพึง
ไตรลักษณ์จึงก่อเกิดกำเนิดกาย

สนธิกาลภพใหม่ในภพแรก
ผลวิบากสอดแทรกภพทั้งหลาย
ทั้งบุญญาบารมีสร้างพร่างพราย
ปวัตติกาลก้าวใหม่ได้เกิดมา

จึงสมควรสรรค์เสริมเติมต่อราก
ผลแห่งการวิบากปักแน่นหนา
หลุดไหลลื่นอารมณ์ภาวนา
ปรารถนาวิจารกร่อนนิวรณ์ลา

เจตนามหากุศลจิต
เพื่อบูชิตกายใจให้เบิกฟ้า
บ่มหทัยใฝ่สมอภิญญา
ทิพย์ธารามธุรินปริญญาณ

แสงเทียนส่องแสงธรรมนำชีวิต
พรรษาพิศบ่มเพาะเสนาะขาน
จิตไสวใสวาวดาวสังวาลย์
รอบกรอบแก้วสถานบ้านภายใน

เวลาของชีวิตสิ้นน้อยนิดทุกนาที
ประพฤติคุณความดีเมื่อยังมีลมหายใจ
อย่ารอให้แก่เฒ่าจะตายเน่าเข้าโลงไป
ขาดทุนสูญกำไรไม่มีใครช่วยแก่ตัว
เมื่อยังมีชีวิตอย่าให้จิตใจมืดมัว
เลิกทำบาปกรรมชั่ว คิดเกรงกลัวไม่มัวเมา
[/size][/color]

80

ขอน้อมกายเคารพนบกราบไหว้         บูชาคุณแม่นั้นมั่นยืนมิคืนคลาย

หล่อหลอมรวมความรักจากพ่อแม่      จากความรักยิ่งแท้แปลความหมาย

จากหัวใจสองดวงหลอมละลาย         ลูกจึ่งได้ปฏิสนธิกาล

ตามในแห่งกำเนิดเกิดจากภพ           มาประสบพบสุขสนุกสนาน

จากวิบากพรากภพนพวิญญาณ          มาจากกาลก่อนเกิดครรภ์มารดา

จากกลละลักษณะหยาดน้ำใส           แม่เฝ้าคอยห่วงใยเป็นนักหนา

เกรงลูกน้อยกลอยใจเคลื่อนออกมา     ระวังไวลูกจ๋าอย่าสะเทือน

แม่ถนอมออมกายให้ลูกสุข               เมื่อก่อร่างตัวลูกรูปเสมือน

อัพพุทะเป็นฟองงามประเทือง            แม่ฟูเฟื่องความสุขผูกดวงใจ

แม่อดเปรี้ยวอดหวานมิผ่านสบ            กลัวลูกจบชีวาพาหวั่นไหว

ฤทธิ์แสลงสำแดงลูกข้างใน               แม่หวั่นไหวอันตรายลูกเปลี่ยนแปร

แม่ออมชอมยอมล่ะในรสจัด              มิให้ลูกอัตคัดความพ่ายแพ้

สิ่งกัดกร่อนเนื้อกลอยเจ้าดวงแด...


สละสวยสละสาวคราวอุ้มท้อง            แม่ไม่ร้องไม่บ่นแม่ทนได้

แม่ถนอมครรภ์แก่แม่เต็มใจ               จะหาใครเหมือนแม่แพ้ทุกคน

ครบสิบเดือนเคลื่อนคลอดรอดชีวิต       แม่ใกล้ชิดลูกน้อยคอยฝึกฝน

ถึงลำบากตรากตรำใจแม่ทน              สายเลือดข้นแม่กลั่นปันลูกกิน

แม่ป้องริ้นป้องไรมิให้ผ่าน                 แม่สงสารห่วงลูกกว่าทรัพย์สิน

แม่อดออมถนอมยิ่งชีวิน                   แม่ได้ยินลูกร้องแม่ป้องมา

ยามลูกร้องแม่ขมระทมไห้                 ยามลูกไข้แม่ร้อนนอนผวา

ยามลูกทุกข์แม่กร่อนร้อนอุรา              ยามลูกยาสิ้นสร่างแม่สุขใจ

คราลูกหิวแม่ยิ่งน้ำตาร่วง                   แม่เป็นห่วงดิ้นรนค้นมาให้

แม้แม่อดหมดข้าวมิเป็นไร                  สละได้ลูกอิ่มแม่ทนเอา

ใครไหนเล่าอบรมบ่มนิสัย                   แม้เติบใหญ่ไม่ถอยคอยนั่งเฝ้า

พระคุณเลิศประเสริฐกำเนิดเรา             ใครไหนเล่าคุณแท้เท่าแม่เอย

เป็นลูกสาวแม่เฝ้าคอยห่วงหา              กลัวลูกยาโดนหนุ่มมาผ่าเผย

กลัวจอมใจช้ำชอกหลอกละเลย            มาเฉลยคำหวานหว่านวาจา

คอยพร่ำบ่นจนลูกผูกสมัคร                  ละความรักจากแม่หนีไกลหน้า

คิดว่าแม่ก้าวล้ำย่ำวิญญา                    เบื่อระอาคำแม่แท้อาทร

กับลูกชายหมายมั่นเมื่อเติบกล้า           อภิญญาอบร่ำคำสั่งสอน

อายุครบบวชเรียนเพียรบวร                 เฝ้าอาทรวอนไท้เทพธาดา

ชายผ้าเหลืองเปรื่องปราชญ์แสนบาดจิต   ขอลูกชิดเชยชมศาสนา

ปฏิบัติขัดเกลาเฟื่องปัญญา                  หมายใจชายผ้าลูกผูกพาไป

ใครหาญผิดคิดคดปดพ่อแม่                 เป็นมั่นแท้อบายภูมิจะชิดใกล้

จะไปผุดจุติอวีจิไกล                          สถานนี้ไร้มีกินแม้สิ้นกาย

อันโทษทัณฑ์รอรับสดับรู้                    พื้นแผ่นคุไฟร้อนเผาทั้งหลาย

ภูเขาเหล็กร้อนแรงบดมลาย                 เหล็กแหลมร้อนแทงกายจากยมบาล

กว่าสิ้นสุดจุดนี้หลายกัลล์นัก                มิคิดพักผ่อนผันสิ้นสงสาร

ต้องรับโทษหลายขุมหลายกัปล์กาล       ยังมิผ่านเศษกรรมรอย่ำยี

ในกรรมหนักหลักใหญ่เนรคุณ              ต่อบิดาเกื้อหนุนดั่งชีพนี้

มารดายิ่งเทิดทูนหนุนภักดี                  ทั้งสองมีพระคุณหนุนเกิดมา

ทั้งครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิทย์                 ท่านประสิทธิ์วิชาให้เก่งกล้า

ให้ความรู้ประศาสน์อภิญญา                 จงน้อมกายบูชาขมาคุณ

ในความดีมีทำวันละนิด                      เฝ้าบูชิตน้อมกายใฝ่เกื้อหนุน

มีบุญญาบารมีเจิดจรูณ                       นำเป็นทุนทำนบสุคติภูมิ.....


81


คนเราถ้ารักที่จะก้าวหน้า ควรมีความทะเยอทะยานเอาไว้บ้าง...
แต่ความทะเยอทะยานที่เกินพอดี ก็เป็นเรื่องได้เหมือนกัน...
และนี่คือนิทานของสุนัขตัวหนึ่ง.....


กาลครั้งหนึ่งที่น่าจะนานมาแล้ว?..มีสุนัขเฝ้าไร่อยู่ตัวหนึ่ง มันมีชื่อว่า 'เหลี่ยม'
     
     แน่นอนว่าเมื่อเป็น 'หมาเฝ้าไร่' หน้าที่ของเหลี่ยมก็คือคอยดูแลเฝ้าไร่ให้กับเจ้าของไม่ให้มีคนหรือสัตว์แปลกหน้าบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ ๆ มันรับผิดชอบ...
     
     เขาว่าคนเราถ้ารู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เรื่องต่าง ๆ ก็คงไม่เกิด...ทว่าประโยคนี้คงใช้ไม่ได้กับเหลี่ยม...โฮ่ง ๆ !!
     
     เหลี่ยมเป็นสุนัขเฝ้าไร่ที่ไม่มีความพึงพอใจในหน้าที่และชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง มันฝันว่าสักวันจะต้องผันชีวิตไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ได้
     
     "สักวันหนึ่งฉันจะต้องได้นอนในบ้านที่แสนจะอบอุ่นแทนการนอนในไร่ที่ร้อนเปรี้ยงในตอนกลางวันและสุดจะหนาวเหน็บในยามค่ำคืนคอยดูเถอะ..บางทีนะ...ฉันอาจจะได้เป็นอะไรที่ดีกว่าหมาเฝ้ายามก็ได้" เหลี่ยมฝันหวานประสาสุนัขที่ทะเยอทะยาน

วันหนึ่งซึ่งอากาศร้อนอบอ้าว...
     
     เหลี่ยมแก้ร้อนด้วยการลงไปนอนแช่น้ำในบ่อที่อยู่ท้ายไร่ ก่อนจะขึ้นมานอนผึ่งลมบนกองฟางหนานุ่มแล้วผล็อยหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ ๆ เหลี่ยมเดินแบบสบายอารมณ์เพื่อกลับไปกินน้ำที่บ่ออีกครั้ง ระหว่างที่มันจะก้มลงไปกินน้ำนั้นเอง เจ้าสุนัขเฝ้าไร่ผู้ทะเยอทะยานก็ต้องตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นราชสีห์ตัวหนึ่งอยู่ในบ่อน้ำและกำลังจ้องมองตรงมาที่มัน เหลี่ยมหางลู่ขาสั่นถอยกรูดออกมาจากบ่อน้ำเตรียมกระโจนหนีแบบไม่คิดชีวิต แต่ยังไม่ทันได้โกยฝุ่นตลบมันก็นึกเอะใจอะไรขึ้นมา...
     
     สุนัขเฝ้าไร่ค่อย ๆ ย่องกลับไปยังบ่อน้ำก่อนจะชะโงกหน้ามองลงไปในบ่อเพื่อความแน่ใจอีกที แล้วมันก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เพราะราชสีห์ตัวที่เห็นเมื่อครู่แท้จริงก็คือเงาในน้ำของมันนั่นเอง...
     
     เหลี่ยมเห็นเงาของตัวเองมีเศษฟางติดอยู่ตามเนื้อตัว โดยเฉพาะบริเวณคอของมันซึ่งมีฟางฟูฟ่องติดอยู่รอบ ๆ จนเต็มไปหมด มองดูคล้ายขนที่แผงคอของราชสีห์ เหลี่ยมเอียงซ้ายเอียงขวามองเงาที่อยู่ในน้ำแล้วรำพึงขึ้นมาว่า.....
     
     "เรานี่ดูดี ๆ ก็คล้ายพญาราชสีห์เหมือนกันแฮะ" สุนัขเฝ้าไร่กระหยิ่มยิ้มย่องแล้วคำรามออกมาราวกับเป็นราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่...โบร๋ว...โบร๋ว !!
     
     เหลี่ยมพาแผงคอที่เต็มไปด้วยเศษฟางเดินสำรวจไปรอบ ๆ ไร่ด้วยท่าทางที่คิดว่าดูสง่างามที่สุด มันคิดว่าถ้าตัวเองได้เป็นพญาราชสีห์จริง ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย...และมันต้องดีกว่าการเป็นสุนัขเฝ้าไร่หรือแม้กระทั่งสุนัขเฝ้าบ้านแน่นอน...
     
     เหลี่ยมเดินเชิดหน้าฝันหวานคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มกลิ้ง สุนัขเฝ้าไร่ในคราบของพญาราชสีห์(ที่คิดไปเอง)พลิกตัวลุกขึ้นมาอย่างหัวเสีย
     
     "ใครหนอบังอาจมาขัดจังหวะความสุขของข้าได้...." เหลี่ยมตวาดออกมา
     
     "โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิดท่านราชสีห์ผู้สง่างาม...ข้าน้อยไม่ได้เจตนา...ข้าน้อยไม่ทันเห็นท่านเดินผ่านมาทางนี้" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว
     
     เมื่อเหลี่ยมมองไปยังร่างของต้นเหตุที่ทำให้มันล้มเมื่อครู่ ก็เห็น ตุ่น ตัวหนึ่งที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าราวกับเจอผู้หยิบยื่นความตายมายืนอยู่เบื้องหน้า
     
     "ไหน...เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ" เหลี่ยมถามเสียงดัง
     
     "ขะ...ข้าน้อยเรียกท่านว่าท่านราฃสีห์ผู้สง่างาม" ตุ่นละล่ำละลักตอบ
     
     "ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือราชสีห์ เหตุใดถึงมาขวางเส้นทางเดินของข้าเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าสมควรที่จะจับเจ้ามากินเสียดีไหม ?" สุนัขเฝ้าไร่พูดเสียงดังขึ้นไปกว่าเดิมอีก มันภาคภูมิใจมากที่ถูกมองว่าเป็นราชสีห์...ไม่ใช่ 'หมา'
     
     "อย่ากินข้าน้อยเลยท่านราชสีห์ผู้มีจิตใจกว้างขวาง ข้าน้อยมัวแต่ก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่เลยไม่ทันได้ระวัง ขอท่านโปรดอภัยและไว้ชีวิตข้าน้อยสักครั้งเถิด แล้วข้าน้อยจะบอกข่าวดีให้ท่านได้รับรู้" ตุ่นบอก
     
     "ฮึ...ดีนะที่วันนี้ข้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เจ้าถึงยังมีลมหายใจพูดพล่ามอยู่ได้...ว่าแต่ข่าวดีของเจ้าคืออะไรรีบบอกมา...ชักช้าข้าเกิดเปลี่ยนใจอยากกินตุ่นเป็นอาหารเย็น เจ้าจะหมดโอกาสพูด"
     
     "คือข้าน้อยได้ข่าวมาว่า ตอนนี้พญาราชสีห์ที่ดูแลป่าด้านบูรพากำลังจะสละตำแหน่งด้วยชราภาพมากแล้ว จึงเปิดโอกาสให้บรรดาราชสีห์หนุ่มผู้กำยำทั้งหลายได้ขึ้นหาเสียงเพื่อให้บรรดาสัตว์ป่าใหญ่น้อยได้เลือกเข้ามาเป็นพญาราชสีห์ตัวใหม่...ข้าน้อยคิดว่านี่น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับท่านราชสีห์ผู้สง่างาม ที่จะได้ไปแข่งขันกับราชสีห์ตัวอื่น ๆ...และข้าน้อยเชื่อว่าหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ ตำแหน่งพญาราชสีห์ตัวใหม่คงอยู่ในอุ้งเท้าของท่านแน่ ๆ เพราะคงไม่มีราชสีห์ตัวใดจะสง่างามดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเท่าท่านอีกแล้ว.." ตุ่นพูดพลางเข้ามาคลอเคลียแถว ๆ เท้าของเหลี่ยม
     
     "หยุดเยินยอเพื่อเอาตัวรอดเสียทีเถอะเจ้าตุ่น...แม้สิ่งที่เจ้าพูดเกี่ยวกับตัวของข้าจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม...เอาล่ะ...เพื่อเห็นแก่ข่าวที่แสนจะน่ายินดีนี้ของเจ้า...ข้าจะปล่อยเจ้าไป...แล้วอย่ามาเกะกะให้เป็นที่รำคาญใจอีกนะ"
     
     "ขอบพระคุณมากขอรับท่านราชสีห์...ขอบพระคุณมาก" พอรู้ว่าตัวเองรอดตายแน่แล้ว เจ้าตุ่นก็รีบมุดดินหายไปอย่างรวดเร็วทันที
     
     ส่วนเหลี่ยมสุนัขเฝ้าไร่ผู้ทะเยอทะยาน มันครุ่นคิดอยู่ในใจว่าตัวเองคงเหมือนราชสีห์เอามาก ๆ ถึงทำให้เจ้าตุ่นกลัวลนลานได้ขนาดนั้น และหากเป็นดั่งที่เจ้าตุ่นว่า ก็คงไม่ใช่เรื่องยากจริง ๆ ที่มันจะได้ตำแหน่งราชสีห์เจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่มาครอบครอง...
     
     "พอกันทีกับชีวิตของหมาเฝ้าไร่...และไม่สำคัญอีกแล้วสำหรับความต้องการที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน...สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นกำลังรอเราอยู่...หึ...หึ" เหลี่ยมหัวเราะออกมา ก่อนตัดสินใจเดินทางออกจากไร่มุ่งหน้าสู่ป่าบูรพาทันที
     
     ความฝันของสุนัขเฝ้าไร่ตัวหนึ่งกำลังจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว !!

ที่ลานกว้างกลางป่าบูรพา...
     
     สัตว์ป่าใหญ่น้อยกำลังล้อมวงฟังบรรดาราชสีห์หนุ่มทั้งหลายขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ทีละตัว...ทีละตัว...โดยมีราชสีห์เฒ่าผู้พร้อมจะสละตำแหน่งเจ้าป่าให้กับสิงโตตัวที่เหมาะสมที่สุดซึ่งได้รับเลือกและเห็นชอบจากประชาชนชาวสัตว์ทั้งหลาย
     
     เหลี่ยมมาถึงและด้อม ๆ มอง ๆ ดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแหวกฝูงสัตว์ตัวอื่น ๆ เข้ามาจนติดกับหน้าเวทีปราศรัย หลังจากที่ราชสีห์หนุ่มตัวสุดท้ายปราศรัยเรียกคะแนนเสียงจบลง ราชสีห์เฒ่าจึงคำรามออกมาว่า
     
     "ยังมีราชสีห์ตัวใดต้องการที่จะเข้าแข่งขันคัดเลือกการเป็นเจ้าป่าอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีข้าจะได้ปิดการคัดเลือกและเริ่มนับคะแนนเสียง"
     
     เสียงของราชสีห์เฒ่าแม้จะเป็นเสียงที่ชราเอามาก ๆ แต่มันก็มีพลังพอที่จะทำให้ทั่วอาณาบริเวณเงียบกริบไปชั่วขณะ...แล้วเสียงหนึ่งก็ทำลายความเงียบสงบขึ้นมา...ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของสัตว์ป่าใหญ่น้อย...ใช่แล้ว...เสียงที่ทำลายความเงียบสงบที่ว่าก็คือเสียงของเหลี่ยมนั่นเอง...
     
     "ช้าก่อน...ยังมีข้าราชสีห์ผู้สง่างามอีกตัวหนึ่ง" สิ้นเสียง สุนัขเฝ้าไร่ในร่างของราชสีห์ (ที่คิดไปเอง) ก็กระโจนออกมายืนอยู่กลางลานกว้างท่ามกลางสายตานับพันคู่ของสรรพสัตว์
     
     เหลี่ยมกระหยิ่มอยู่ในใจที่เห็นสัตว์ทั้งหลายล้วนจ้องมองมายังมัน ไม่เว้นแม้แต่บรรดาราชสีห์ที่เข้าร่วมการแข่งขันและราชสีห์เฒ่าเจ้าป่า...
     
     "สัตว์พวกนี้คงคิดว่าเราเป็นราชสีห์จริง ๆ ดูสิจ้องกันใหญ่เชียว...ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเข้าร่วมการคัดเลือกเจ้าป่าตัวใหม่โดยไม่มีผู้ใดสงสัย...และถ้าเราสง่างามดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามตามที่เจ้าตุ่นนั่นบอกล่ะก็...โอกาสของการได้เป็นพญาราชสีห์เจ้าป่าตัวใหม่ก็คงไม่ใช่ความฝันอีกแล้ว...หึ ๆ ๆ " เหลี่ยมคิดอยู่ในใจแต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง
     
     แต่แล้วความฝันที่เด่นชัดของสุนัขเฝ้าไร่ก็เหมือนถูกลมแรงกระโชกใส่จนจางหายไปในอากาศเมื่อมีเสียงของสัตว์ตัวหนึ่งดังขึ้น
     
     "เจ้านั่นมันหมาไม่ใช่รึ ?..."
     
     "ใช่ ๆ จริง ๆ ด้วย" มีเสียงฮือฮาของบรรดาสัตว์ตัวอื่น ๆ ตามมา
     
     "แล้วไปยุ่งอะไรกับการคัดเลือกของราชสีห์เขาเล่า...เดี๋ยวก็โดนตะปบเป็นอาหารเลี้ยงฉลองหรอก...แล้วไปคลุกหญ้าคลุกฟางที่ไหนมาล่ะกระเซอะกระเซิงเชียว" เสียงฮือฮาดังขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะสนั่นไปทั่วป่าบูรพา
     
     สุนัขเฝ้าไร่ผู้ทะเยอทะยานรู้สึกราวกับว่าตัวเองลีบเล็กเหลือเท่ากระบอกไม้ไผ่ บัดนี้เหลี่ยมรู้แล้วว่าสายตาทุกคู่ของสรรพสัตว์ที่จ้องมองมันนั้นหาใช่เพราะความสง่างามน่าเกรงขาม       หากแต่เป็นเพราะความฉงนระคนตกตะลึงที่เห็นสุนัขตัวหนึ่งแบกความเซ่อซ่าออกมาอยู่ท่ามกลางการคัดเลือกเจ้าป่าของบรรดาราชสีห์
     
     เหลี่ยมรู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีไปในบัดดล...ทว่ามันไม่ใช่ตุ่น...ดังนั้นสุนัขเฝ้าไร่ผู้คิดว่าตัวเองละม้ายคล้ายราชสีห์จึงกระโจนพรวดแหวกฝูงสัตว์ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโกยแบบไม่คิดชีวิตออกมาจากป่าบูรพา
 
มืดค่ำมากแล้ว...
     
     เหลี่ยมพาร่างกายที่อิดโรยเหนื่อยล้ากลับมายังไร่ที่มันอยู่ มันอยากจะซุกกายลงบนกองฟางที่หนานุ่มและหลับให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อเห็นเจ้าของไร่ยืนถือไม้รออยู่ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว
     
     "หนอย...ไอ้หมาขี้เกียจ...ข้าอุตส่าห์วางใจให้ดูแลเฝ้าไร่ดันหนีไปเที่ยวเสียนี่ เมื่อไม่อยากทำงานก็ไม่ต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว...ไปเลยไป...ไปให้พ้นไร่ของข้าเดี๋ยวนี้" พูดจบเจ้าของไร่ก็เอาไม้ไล่ตีเหลี่ยมจนมันวิ่งหนีออกมาแทบไม่ทัน
     
     อนิจจาหมาเฝ้าไร่...บัดนี้กลายเป็นหมาจรจัดไปเสียแล้ว...ไม่มีแม้แต่กองฟางหนานุ่มให้ซุกหัวนอน...เหลี่ยมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสำนึกผิดในความทะเยอทะยานที่เกินพอดีของตัวเอง !!
 
ท้ายเรื่อง :
     
     นอกจากความทะเยอทะยานที่เกินพอดีแล้ว เหลี่ยมไม่น่าหลงเชื่อเจ้าตุ่นตัวนั้นง่าย ๆ เลย เพราะการที่ตุ่นมองเห็นมันเป็นราชสีห์นั้น แท้จริงแล้วเจ้าตุ่นตัวนั้นมันสายตาสั้น...เฮ้อ !!


 
 


82
บทความ บทกวี / สร้างพลังบุญ
« เมื่อ: 09 ส.ค. 2552, 10:27:11 »



ในหนึ่งวันสิ่งแปลกเกิดมากมาย          ทั้งเรื่องร้ายเรื่องดีมีให้แก้
ความสับสนหลากเรื่องเป็นตัวแปร        บางครั้งแย่บ้างสุขคลุกเคล้าไป

เป็นเพราะกรรมนำมาพาให้เกิด           ความล้ำเลิศหม่นมัวมิผ่องใส
โชคชะตาเปลี่ยนผันบั่นทอนไกล         ความเป็นไปบิดเบือนเลื่อนตามกรรม

ไตรสิกขาชี้นำความถูกต้อง                อริยมรรคชี้บ่งให้เกิดธรรม
แสงเงินทองส่องทางสว่างล้ำ              สุกสกาวงดงามตามครรลอง

มีปัญญารู้็้้้้้่้้จริงสิ่งที่เกิด                      ครองจิตเพลิศทุกยามงามผุดผ่อง
ด้วยแก่นแท้ศาสนาพานำร่อง             ให้ชีวิตสมปองในทางดี

ตุ่มยังเต็มด้วยน้ำที่พร่ำหยด               มดตัวเล็กสร้างรังให้สุขี
ปลวกขนดินกองใหญ่เท่าคิรี               คนเรานี้มิสร้างบุญสุนทร

สร้างกุศลชาตินี้ไว้ดีกว่า                    บุญกิริยาจะติดไม่ทุกข์ร้อน
มีศีลธรรมนำให้มิอาวรณ์                    เอื้ออาทรต่อกันพ้นภัยพาล

83
     

     ย้อนหลังไปเมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้ว  หลวงพ่อหร่ำ วัดกร่าง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี    ได้ถึงแก่กาลมรณ ภาพจากผู้ที่เคารพนับถือไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งนับเป็นการสูญเสียพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าของ อ.สามโคก จ.ปทุมธานีที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง...
     หลวงพ่อหร่ำ วัดกร่างชาตะเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๑๕ ที่บ้านตำบลบางกระบือ อ.สามโคก ปทุม ธานี เป็นบุตรของคุณพ่อแอบและคุณแม่เผือน     ท่านได้ศึกษาหาความรู้ทางอักขระสมัยในวัดบ้านกร่างจนอ่านออกเขียนได้และได้เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรจนอายุครบอุปสมบท  พระอธิการนอม วัดกร่างจึงรับเป็นธุระอุปสมบทให้ร่วมกับโยมบิดามารดาของหลวงพ่อหร่ำ
     เมื่อุปสมบทแล้ว  ท่านได้ศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฎฐานจากหลวงพ่อนอมซึ่งเป็นพระผู้เชี่ยวชาญในด้านกัมมัฎฐานและพระเวทวิทยาคมยิ่งนัก พระอาจารย์นอมองค์นี้ เป็นสหายทางธรรมกับหลวงพ่อกลั่น ธัมมะโชโตแห่งวัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา  ซึ่งคราใดก็ตามที่หลวงพ่อกลั่นท่านเข้ามากรุงเทพ ฯ ท่านจะต้องแวะวัดกร่างเพื่อเยือนหาสู่หลวงพ่อนอมอยู่เสมอ    โดยหลวงพ่อกลั่นอ่อนอาวุโสกว่าหลวงพ่อนอม และนอกจากนี้ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกก็ยังเคยมาศึกษาวิชากับหลวงพ่อนอมถึงที่วัดกร่างอีกด้วย พระเวทวิทยาคมที่ถ่ายทอดจากหลวงพ่อนอมสู่หลวงพ่อหร่ำเมื่อครั้งยังเป็นพระบวชใหม่ จึงมีความเข้มขลังและแกร่งกล้าอย่างยิ่ง
     ครั้นเมื่อหลวงพ่อนอมมรณภาพลง     พระอาจารย์กันต์ที่เป็นคู่สวดของหลวงพ่อหร่ำก็ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน  แต่ไม่นานก็สึกลาเพศไป ทางวัดกร่างขาดเจ้าอาวาสสืบแทน   ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันอาราธนาหลวงพ่อหร่ำที่เป็นพระผู้สำรวมระวังในพระธรรมวินัยขึ้นครองวัดสืบแทน
     หลวงพ่อหร่ำองค์นี้  ปลายชีวิตหลวงพ่อนอมได้ไว้ใจให้ลงตะกรุดโทนและถวายให้ท่านปลุกเสกกำกับ และตอนหลังหลวงพ่อนอมได้บอกกับญาติโยมว่า " ถ้าต้องการได้ตะกรุดโทนล่ะก้อ ไม่ต้องมาหาฉันเพราะฉันหูตาไม่ดีแล้ว ให้ท่านหร่ำเขาลงให้และปลุกเสกให้     ส่วนถ้าจะให้ฉันปลุกเสกก็ค่อยเอามาให้ตอนหลังก็ได้ ท่านหร่ำเขาก็เสกได้เหมือนฉันนั่นแหละ "
     หลวงพ่อหร่ำนิยมออกธุดงค์เป็นประจำ ท่านได้นำพระกรุเก่าที่ได้จากการธุดงค์มาบรรจุไว้ในวัดกร่างที่มีผู้พบแตกกรุตอนหลัง ซึ่งต่างคิดว่าหลวงพ่อหร่ำท่านสร้างไว้ แต่ความจริงแล้วเข้าใจผิด  เพราะหลวงพ่อไปนำพระเหล่านี้จากกรุเก่าที่ท่านธุดงค์มาบรรจุไว้ ซึ่งสร้างปรากฎการณ์อภินิหารมากมาย
     ตะกรุดโทนของหลวงพ่อหร่ำ   เรื่องมหาอุดสุดยอด  ยิงปืนไม่ลั่น  กระบอกปืนบวมกันมานักต่อนักแล้ว ส่วนเหรียญทำบุญอายุของท่านปี ๒๔๖๙ ที่คณะศิษย์ได้ร่วมใจกันจัดสร้างให้หลวงพ่อหร่ำปลุกเสก    ด้านหน้าเป็นรูปท่านนั่งเต็มองค์  ตรงหน้าหลวงพ่อมีบาตรน้ำมนต์และมีลิงอยู่ด้วย  ซึ่งลิงที่ปรากฎนี้เป็นการแทนความหมายปีเกิดของท่านซึ่งก็คือปีวอก  ด้านหลังเป็นยันต์สี่   เหรียญนี้ทางมหาอุดดังมากจนมีเรื่องเล่าเป็นตำนานสืบต่อมาว่า...
     ในคืนเดือนมืดวันหนึ่ง  มีชายฉกรรจ์สามคนพายเรือมาจอดที่หน้าวัดกร่าง แล้วทั้งสามคนก็เดินขึ้นไปบนกุฎิหลวงพ่อหร่ำซึ่งยังจุดตะเกียงลานเหมือนจะรอชายทั้งสามอยู่ พอชายทั้งสามกราบนมัสการหลวงพ่อหร่ำท่านก็พูดลอย ๆ ว่า " ไอ้คนโตเอาหัวของข้าไปปล้นเขากิน   ไอ้คนกลางเอาอกของข้าไปลักวัวความยชาวบ้านเขา ส่วนไอ้คนสุดท้องเอาขาข้าไปย่องเบา  พวกเอ็งมันเอาข้าไปหากินจนเขาเดือนดร้อนกันไปทั่ว  ข้ารอพวกเอ็งมานานแล้ว  รู้ว่าอย่างไรเสียพวกเอ็งก็ต้องมาหาข้า   เพราะเอ็งมันเห็นว่าหลวงตาองค์นี้ช่วยพวกเอ็งหากิน ต่อไปนี้หากเอ็งไปปล้นใครอีก หรือไปขโมยของใครอีก   จะต้องฉิบหายตายโหงแม้โลงก็จะไม่มีใส่ เอาชิ้นส่วนของข้าคืนมาให้หมด "
     ทั้งสามคนตกใจหน้าซีดตัวสั่นปากคอสั่นเพราะไม่เคยมาหาหลวงพ่อหร่ำ    แต่ท่านกลับพูดได้อย่างถูกต้องทุกอย่าง คนโตที่เป็นพี่ใหญ่เคยใช้เหรียญหลวงพ่อหร่ำไปปล้นแล้วถูกเจ้าทรัพย์ยิงเอา แต่ยิงไม่ออก ออกก็ไม่ถูก ถูกก็ไม่เข้า  จึงชวนน้องคนกลางกับคนสุดท้องมาร่วมทำมาหากินในทางลักขโมยโดยเอาเลื่อยตัดแบ่งเหรียญหลวงพ่อหร่ำเป็นสามส่วนเหมือนที่หลวงพ่อหร่ำบอก
     ชายที่เป็นพี่ใหญ่โต้หลวงพ่อหร่ำว่า   " ให้ผมเลิกอาชีพโจรลักเล็กขโมยน้อยไม่ยาก ผมรับปาก เพราะเมื่อหลวงพ่อสาปแช่งแล้วผมก็ไม่อาจจะทำมาหากินทางทุจริตได้อีก     แต่เรื่องให้ผมคืนชิ้นส่วนเหรียญให้หลวงพ่อ ผมทำไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบชีวิตของพวกผมเล่า "
     หลวงพ่อหร่ำจึงหยิบเหรียญรุ่นแรกของท่านออกมาจากย่ามสามเหรียญ   แล้วบอกกับพวกโจรว่า " เอาชิ้นส่วนมาแลกเป็นเหรียญเต็ม ๆ ไป ข้าเก็บเอาไว้ให้พวกเอ็งสามเหรียญ จงเลิกอาชีพนี้เสีย ไปประกอบอา ชีพใหม่ให้สุจริต แล้วใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ แม้แต่อาญาบ้านเมืองก็จะไม่มาคร่าตัวไปได้ "
     หลวงพ่อหร่ำเป็นพระที่มีพรรษกาลสูง  อายุยืนยาวมาจนถึงวัยอายุ ๘๘ จึงมรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน   พ.ศ.๒๕๐๔ ด้วยพรรษที่ ๖๘
     ทุกวันนี้เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อหร่ำ  หากสวย ๆ ราคาขยับไปอยู่หลักหมื่นกลาง ๆ แม้แต่เหรียญรุ่นสองและรูปถ่ายอัดกระจก ก็มีค่านับเป็นพัน ส่วนพระกรุที่พบในวัด  บางพิมพ์ราคาหลักพันไปจนถึงพันกลางเหมือนกัน แต่ค่อนข้างจะหายาก และนี่ก็คือตำนานของหลวงพ่อหร่ำ วัดกร่างที่ชาวปทุมธานี ไม่มีใครลืมได้มาจนถึงทุกวันนี้...

***************************
     สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากกระทู้บทความที่ข้าพเจ้าได้เป็นผู้เรียบเรียงมานี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ดวงวิญญาณหลวงพ่อหร่ำ วัดกร่าง จ.ปทุมธานี  ตลอดจนครูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....
สุวัจชัย สมไพบูลย์

84
    พอดีเห็นสมาชิกหลายท่านให้ความสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับการไม่เน่าเปื่อยในสังขารของหลวงปู่ทิม วัดพระขาวและกำลังรอชมรายการบันทึกลึกลับที่จะออกอากาศวันที่ 7 สิงหาคม 2552 นั้น ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้เช่นกันและพอดีว่าผมมีภาพงานทำบุญ 100 วันของหลวงปู่ตอนที่ทางวัดนำสังขารท่านออกจากโลงเพื่อนำไปบรรจุโลงแก้วต่อเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมาโดยภาพดังกล่าวนี้ ผมได้เก็บมาจากเว็บ Ok nation อีกต่อหนึ่ง จึงอยากให้ท่านสมาชิกผู้สนใจทั้งหลายลองพิจารณาดูถึงความมหัศจรรย์ในสังขารของหลวงปู่ที่ไม่เพียงแต่ไม่เน่าเปื่อยแล้ว ยังมีผมและเล็บงอกอีกด้วยทั้งที่นอนอยู่ในโลงมาเป็นเวลานานถึง 100 วัน....








































85
   ก่อนที่เราจะมาดูความหมายของสำนวน " ทิฐิพระ มานะคนแก่" นี้กัน ก่อนอื่นเรามาดูความหมายของคำสองคำนี้กันก่อนนะครับ
   คำว่า " ทิฐิ " ( Pride ): หมายถึง ความอวดรั้นถือดี
   คำว่า " มานะ " ( Peseverance ):หมายถึง ความพยายาม ความตั้งใจจริง และอีกความหมายหนึ่ง หมายถึง " ความถือตัว " ( Holding in esteem )
   เพราะฉะนั้น คำว่า" ทิฐิ " และ " มานะ " ในสำนวน " ทิฐิพระ มานะคนแก่ " ที่กล่าวถึงในที่นี้ จึงมีความหมายว่า " ความอวดดื้อถือดี และความถือตัว " นั่นเอง  หรือถ้าจะแปลให้สั้น ๆ รวมกันก็คงจะได้ความหมายว่า " ความดื้อรั้น " (Stubbornness )
   ปกติแล้ว คนดื้อรั้นมักไม่ค่อยมีใครชอบ แต่เมื่อไม่ชอบก็ไม่ควรทำตัวดื้อรั้นเสียเอง....
   คนดื้อรั้นมักเป็นคนไม่มีเหตุผล ถือความคิดของตนเป็นใหญ่ ไม่ชอบฟังความคิดเหตุผลของคนอื่น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว คนดื้อรั้น มักจะเป็นเด็ก ๆ เพราะไม่คอ่ยรู้ประสีประสาอะไร ทั้งนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเด็กไม่คอยมีเหตุผลเหมือนผู้ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเด็กเมื่อดื้อรั้นก็พอจะให้อภัยกันได้
   การที่เขาพูดว่า " ทิฐิพระ มานะคนแก่ " นั้น ก็เพราะว่าคนแก่กับพระนั้น เมื่อมีความดื้อรั้นแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายที่สูดสำหรับคนใกล้ตัวหรือคนที่โชคร้ายบังเอิญต้องไปคบหาสมาคมด้วย ทั้งนี้ เพราะหากเด็กดื้อรั้นแล้ว ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่หากลงว่าคนแก่กับพระดื้อรั้นแล้ว นับเป็นเรื่องน่าหนักใจครับ คนแก่เมื่อดื้อรั้นก็จะอ้างว่า " กูอาบน้ำร้อนมาก่อน รู้มากกว่ามึง " ส่วนพระหากดื้อรั้นขึ้นมาบ้าง ก็มักอ้างว่า " กูไปไหน ๆ ใคร ๆ เขาก็ไหว้ นั่นก็แสดงว่ากูดีกว่ามึง เพราะฉะนั้น มึงอย่าสะเออะมาสอนกูซะให้ยาก " ซึ่งผมคิดว่าท่านสมาชิกหลาย ๆ ท่านคงจะเคยมีประสบการณ์ได้พบเจอกับความดื้อรั้นของพระและคนแก่มาบ้างแล้ว
ไม่มากก็น้อย
    ผมมีตัวอย่างอันหนึ่งที่เห็นว่าน่าจะสอดคล้องกับสำนวนไทยที่กล่าวมานี้ อีกทั้ง น่าจะให้ประโยชน์สาระแก่ท่านสมาชิกไว้เป็นเครื่องเตือนใจอะไร ๆ ได้บ้าง  ตัวอย่างที่ว่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในพงศาวดารสามก๊ก อันเป็นพงศาวดารที่เหล่าบรรดานักการทหาร นักปกครองในอดึต เรื่อยมาจนถึงบรรดานักบริหารทั้งหลายในยุคไอที ต่างศึกษาค้นคว้าและนำข้อคิดต่าง ๆ ในพงศาวดารสามก๊กนี้ไปใช้หรือประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและองค์กรอย่างมากมายจนมีคำพูดติดปากอันหนึ่งว่า " ถ้าไม่ได้อ่านสามก๊ก จงอย่าคิดการใหญ่ " เอาหล่ะเพื่อมิให้เสียเวลา ขอเชิญท่านสมาชิกลองอ่านตัวอย่างที่ผมยกมาจากในพงศาวดารสามก๊กได้เลยครับ....
     ในตอนที่โจโฉยกกำลังทัพรุกไล่เล่าปี่ไปจนมุมที่เมืองกังแฮ ตอนนั้นโจโฉยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าบดขยี้กองทัพของเล่าปีซะเลยทีเดียว ทั้งนี้ เนื่องจากโจโฉเห็นว่าเมืองกังแฮมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองกังตั๋งของซุนกวน เกรงว่าจะไปกระทบกระทั่งกับซุนกวนอันจะนำมาซึ่งการเปิดศึกสองด้านพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ โจโฉจึงพยายามเกลี่ยกล่อมซุนกวนไว้เป็นพวก แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเล่าปี่เองก็ส่งขงเบ้งไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนเพื่อไว้ช่วยยันกำลังโจโฉเช่นเดียวกัน ซึ่งท้ายที่สุด ซุนกวนก็ยอมตัดสินใจร่วมมือกับเล่าปี่
    เมื่อตัดสินใจว่าจะร่วมมือกับเล่าปี่เพื่อเปิดศึกกับโจโฉแล้ว ซุนกวนจึงแต่งตั้งให้จิวยี่เป็นแม่ทัพ มีอำนาจอาญาสิทธิ์ทั้งปวง...
    ตอนที่จิวยี่ได้รับอาญาสิทธิ์แต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่นั้น จิวยี่เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สามสิบกว่า ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งในขณะนั้น ในเมืองกังตั๋งเองก็มียอดขุนพลอยู่หลายคน ซ้ำบางคนก็มีอาวุโสคราวพ่อของจิวยี่ด้วยซ้ำ แต่ทำไมน๊อ ซุนกวนจึงได้ไว้ใจแต่งตั้งจิวยี่ขุนพลหนุ่มทีมีอายุเพียงแค่สามสิบกว่าให้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจเด็ดขาดล้นแผ่นดินเช่นนั้น ?
   ครั้งนั้น มียอดขุนพลอาวุโสด้วยทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์อันช่ำชองในการศึกอยู่ท่านหนึ่งชื่อว่า " เทียเภา " ซึ่งเป็นผู้ที่เคยร่วมรบเคียงบ่าคียงไหล่มาตั้งแต่สมัยพ่อและพี่ชายของซุนกวนเลยทีเดียว โดยนับเป็นผู้ที่สร้างความดีความชอบยิ่งกว่าบรรดาขุนพลทั้งหลายในเมืองกังตั๋ง เทียนเภาผู้นี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดและมีความสามารถอย่างเพียบพร้อมที่จะเป็นแม่ทัพใหญ่ได้
   เทียเภาคงจะคิดว่าตนเองทำศึกมาก็มาก ความสามารถก็มี ความดีความชอบก็เยอะ แล้วทำไมซุนกวนถึงปล่อยให้เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างจิวยี่ข้ามหัวมาเป็นแม่ทัพ จึงเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง อีกอย่างตั้งแต่มีการสถาปนาเมืองกังตั๋งขึ้นเป็นใหญ่ ก็ไม่เห็นปรากฎว่าจิวยี่ ได้สร้างความดีความชอบที่ไหนมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ( เป็นอย่างนี้ มันก็น่าโมโห น้อยใจอยู่หรอกนะ )
   แล้วไอ้เด็กคนนี้ มันมีดีมาจากไหนกันวะ ? เทียเภาคงจะคิดอย่างนี้
   ส่วนจิวยี่เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เรียกประชุมขุนนางและนายทหารทั้งปวงทันที แต่เทียเภากลับไม่ยอมไปร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ เพราะไม่พอใจและถือดีในตนเองว่ามีอาวุโสและชั่วโมงบินกว่าจิวยี่ทุกอย่าง แต่ก็ได้ส่งลูกชายไปร่วมประชุมแทนโดยให้ไปบอกกับจิวยี่ว่าตนเองป่วย ไปประชุมไม่ได้จริง ๆ
   เมือขุนนางและนายทหารทั้งหมดมาพร้อมกันแล้ว จิวยี่ก็เริ่มประชุมทันทีโดยเริ่มที่การบอกกล่าวให้ทุกคนทราบถึงกฎอัยการศึกของการสงคราม จากนั้น จิวยี่ก็เริ่มแบ่งงานแบ่งหน้าที่ให้กับนายทหารที่ได้รับการแต่งตั้งและจัดขบวนศึกเพื่อพร้อมจะทำสงครามไว้เสร็จสรรพ
   หลังจากประชุมเสร็จ ขุนนางและนายทหารแต่ละคนต่างก็แยกย้ายเตรียมการตามหน้าที่ ลูกชายเทียเภาที่มาร่วมประชุมแทนพ่อก็กลับไปรายงานผลการประชุมและการจัดขบวนทัพให้เทียเภาทราบ
   เทียเภาฟังแล้วเห็นว่าจิวยี่จัดขบวนทัพได้อย่างถูกต้องตามกลยุทธ์พิชัยสงครามทุกอย่าง ก็ถึงกับตกใจเอามือลูบอกและพูดว่า " จิวยี่นี่กูคิดว่าเป็นเด็กมิได้รู้สิ่งใด กลับรู้ดีกว่ากูผู้ใหญ่อีกด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีสติปัญญาสามารถจัดแจงทหารวางกองทัพถูกที่ขบวนศึก สมควรแล้วที่จะเป็นแม่ทัพหลวงได้ ตัวกูนี้ซะเปล่าที่มัวแต่คิดประมาทมิควร "
   ที่เขาว่า " ความรู้เรียนเท่าทันกันได้ " ก็คงเป็นความจริงอย่างว่าน่ะครับ ดูอย่างจิวยี่ก็แล้วกัน ขนาดมีอายุ่อ่อนรุ่นคราวลูกเทียเภา แต่กลับสามารถเรียนรู้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามอย่างแตกฉาน เทียเภาขนาดว่าหัวหงอกแล้ว ยังเรียนมาไม่รู้เท่าเลย....
   เทียเภาจากที่ตอนแรกถือตัวว่ามีอาวุโสกว่าจิวยี่ จึงอวดดีสบประมาท แต่พอรู้ความจริงว่าจิวยี่แม้จะเป็นเด็ก แต่ก็มีความรู้มากกว่าตน ก็เลิกทิฐิแล้วเข้าไปขอขมาต่อจิวยี่ว่า " ข้าถือทิฐิมานะว่าเป็นผู้ใหญ่ ประมาทท่านสำคัญว่าเป็นเด็ก มิได้มาปรึกษาราชการคำนับท่านนั้นผิดนักหนา ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด "
   ส่วนจิวยี่ก็ไม่ได้โกรธถือโทษอะไร อาจจะเพราะเห็นว่าเทียเภาเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้อาวุโส ซึ่งผู้ใหญ่ที่ยอมลดทิฐิเมื่อเห็นว่าตนเองผิดเช่นนี้ ท่านสมาชิกคิดว่าน่าจะมีสักกี่คนกันในสังคมเรา ผมเองก็คงจะไม่ปลื้มนักหรอกหากได้ยินลูกหลานพูดว่า " ใหญ่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน "

ปล. กระทู้บทความเรื่องนี้ มิได้มีเจตนาที่จะเป็นการกล่าวลบหลู่พระสงฆ์องคเจ้าหรือผู้อาวุโสใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่มีจุดประสงค์เพื่อให้ท่านสมาชิกทั้งหลายที่ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ ได้เกิดประกายความคิดที่จะลด ละ เลิกความทิฐิดื้อรั้น ถือตัว อันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสังคมลงให้มากที่สุดเพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข พร้อมหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า....

86
   ขอเชิญศิษยานุศิษย์ทั้ง 108 สาขาอาชีพขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อทองกลึง สุนทโรแห่งวัดเจดีย์หอย อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานีเข้าร่วมงานไหว้ครูประจำปีโดยพร้อมเพรียงกัน เพือ่เป็นศิริมงคลและแสดงถึงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
   ลูกศิษย์ท่านใดที่ยังไม่ได้รับขันธ์หรือต้องการรับขันธ์ ขันธ์ 5 , ขันธ์เทพ , ขันธ์ 9 , พานครู , พานเสริมบารมี ให้ติดต่อรับขันธ์และจองขันธ์ได้ที่คณะกรรมการของทางวัดและหลวงตาประสานที่เบอร์โทรหมายเลข 089 - xxx - xxxx ได้ทุกวันที่หน้าองค์หลวงพ่อใหญ่นาคปรกสีดำองค์ใหญ่
 
                                            กำหนดงานไหว้ครูประจำปี 2552                                
                                    วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2552 ( ขึ้น 7 ค่ำเดือน 10 )
เวลา 07.39 น.- ทำพิธีสักการะถวายเครื่องสังเวย บูชาบรมครู
เวลา 12.39 น.- เริ่มพิธีรับขันธ์ ครอบครู ขันธ์ 5 ขันธ์เทพ ขันธ์ 9 พานครูและพานเสริมบารมีโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อทองกลึง สุนทโรพร้อมรับของที่ระลึกจากมือหลวงพ่อ ( โปรดแต่งกายด้วยชุดขาว )

87
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

88
   เมื่อพูดถึงพระเครื่อง ในสายตาของชาวพุทธ ต่างก็มีมุมมองทัศนคติที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล กล่าวคือ บางคนก็มองว่าพระเครื่องมีไว้เพื่อสืบทอดพระศาสนา บ้างก็ว่าเอาไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเกือบทั้งหมดในสายตาของชาวไทยที่นับถือบูชาในพระเครื่อง ต่างมักจะนึกถึงเรื่องของพุทธคุณเป็นหลักใหญ่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพุทธคุณในแง่ของความคงกระพันชาตรี มหาอุด เมตตามหานิยม เป็นต้น ยิ่งพวกบรรดาพ่อค้าแม่ขายต่าง ๆ ด้วยแล้ว ต่างก็พยายามเสาะแสวงหาพระเครื่องที่มีพุทธคุณในทางเมตตามหานิยมเพื่อให้ซื้อง่ายขายคล่อง จนบางครั้งก็ลืมนึกถึงการกระทำของตนเองว่าเป็นไปตามหลักที่สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอันว่าด้วย " ผล " ย่อมมาจาก "เหตุ " ( การกระทำ ) หรือไม่ กล่าวคือหากจะให้คนรักคนชอบ ก็ต้องยิ้มแย้ม โอภาปราศัยด้วยดี ไม่ใช่ชอบพูดกระโชกโฮกฮาก แต่ดันหาพระเครื่องที่มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมมาแขวนคอ เมื่อขายของไม่ได้หรือขายของไม่ดี ก็โทษว่าพระเครื่องไม่ขลัง ไม่ดีจริง อย่างนี้ก็คงจะไม่ถูก...ทั้งนี้ เพราะพระเครื่องเป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นกำลังใจให้คนผู้นั้นฮึดสู้เท่านั้น  เมื่อคุณมีกำลังใจ จะทำอะไร คุณย่อมมีความรู้สึกมั่นใจและพร้อมจะอดทนสู้อุปสรรคต่าง ๆ ที่ขวางหน้า เพราะคิดว่าอย่างน้อย เราก็มีพระอยู่ข้างเรา ซึ่งเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วในอันที่จะทำให้เราเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ จนสามารถก้าวไปสู่จุดหมายที่วางไว้
     สำหรับมุมมองของผมเกี่ยวกับพระเครื่อง ก็คงจะไม่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้น คือเชื่อในเรื่องของพระพุทธคุณเป็นหลัก เวลาที่ผมจะหาพระสักองค์ขึ้นคอ ผมก็มักจะเฟ้นหาพระที่คิดว่าดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับตนเอง ซึ่งคำว่า " ดีที่สุด " ในความหมายของผมนี้ ไม่ใช่พุ่งเป้าไปที่พระดัง ๆ ราคาแพง ๆ  แต่ผมจะเลือกพระที่คิดว่าดีหรือพระที่ควรแก่การกราบไหว้บูชาได้อย่างสบายใจเป็นหลักโดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าพระที่เราแขวนคอนั้น เป็นพระบริสุทธิ์จริง ๆ หรือเป็นพระที่เกิดจากแรงเชียร์ของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย
     ตัวผมเป็นผู้ที่มีความนับถือและบูชาด้วยความเคารพในศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เพราะผมคิดว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ได้ปิดหูปิดตาเรา ทุกอย่างล้วนเป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ทั้งสิ้นและรอเวลาให้เราค้นหาพิสูจน์ได้ตลอดเวลา ไม่ได้สอนให้เราเชื่ออย่างงมงายโดยปราศจากเหตุผล ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคิดว่า " ผมโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาในบวรพระพุทธศาสนา "
*******************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดเห็นนี้  ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่ครูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....จาก: สุวัจชัย สมไพบูลย์

89
กราบเรียนท่านสมาชิกทุกท่าน....
   ตามที่มีกระทู้เรื่องการล่ารายชื่อสมาชิกเพื่อขอถอดถอนผมออกจากการเป็นสมาชิกของเว็บนี้นั้น ก่อนอื่นผมคงต้องกราบขอบพระคุณอย่างสูงที่อย่างน้อยพวกท่านได้ให้ความสนใจต่อความคิดเห็นของผมซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของอีกหลาย ๆ แสนความคิดที่คนทั้งประเทศ รวมไปถึงต่างประเทศที่กำลังเฝ้ามองวัดบางพระและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสนอกสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหน่วยงานที่กำกับดูแลองค์การหรือสถาบันทางด้านศาสนา อาทิเช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น
   ผมเองคงไม่ทราบหรอกครับว่าพวกท่านสมาชิกที่กำลังรวบรวมรายชื่อให้ได้ 100 คนขณะนี้ จะล่าได้ครบหรือไม่ หรือเมื่อครบแล้วจะสามารถบีบให้ทางคณะกรรมการบอดร์ด ตลอดจนผู้แลเว็บนี้ ทำการขจัดผมออกไปจากเว็บนี้ตามประสงค์ของพวกท่านได้หรือไม่  แต่ที่แน่ ๆ เท่าที่ดู ผมคิดว่ายอดจำนวนรายชื่อสมาชิกที่พวกท่านตั้งไว้นั้น ดูจะน้อยไปนิดเมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ในเว็บนี้ น่าจะอย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งนะครับ คนอื่นเขาจะได้ไม่มองว่าเป็นแค่กลุ่มรายชื่อสมาชิกแกงค์หน้าเดิม ๆ ที่ช่วยกันรุมยำคนเพียงคนเดียว
   เอาเถอะครับ ผมบอกแล้วตั้งแต่ในกระทู้ก่อน ๆ ว่าผมไม่โกรธพวกท่านหรอกครับ จะทำอะไรก็ทำไป อย่างไรผมก็ยังยึดถือคติว่า " เราบ่ผิด ดาบนั้นคืนสนอง " อยู่ดีครับ
   ทำไงได้หล่ะครับ ไม่ว่าอย่างไรหากในสายตาของบางคนบางกลุ่ม เห็นว่าไม่ดี เห็นว่าเข้าไปขัดผลประ โยชน์ ผมจะทำอย่างไร จะอธิบายเปิดใจอย่างไร อย่างเช่นที่ผมเปิดใจในกระทู้ " เปิดใจเสือน้อยผู้บ๊องแบ๊ว " พวกคุณบางคนก็ยังคงหลับหูหลับตา ไม่ยอมรับอยู่ดี ขนาดพอผมลงกระทู้ปุ๊บ ก็มีพวกที่เล่นไม่เลิกบางคนอย่างเช่น คุณโจรสลัด , คุณต้นน้ำ เป็นต้น ออกมาเขียนโพสต์ด่าเสียดสีไปนอกเรื่องนอกราว เช่นหยิบยกเอาเรื่องเว็บ Yedke ขึ้นมาพูดเพื่อให้ผมเจ็บอาย....บอกเลยครับ ผมไม่รู้สึกอะไรด้วยหรอกครับ กับการแสดงความเห็นที่เขาเปิดโอกาสให้แสดงอย่างเปิดเผย ถ้ามันผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน เขาก็คงไม่สามารถมาเปิดโอกาสให้ผมหรือใครออกความเห็นได้หรอกครับ คนที่น่าจะเจ็บอายมากกว่าก็คือบางคนที่แอบเอาเรื่องนี้มาคิดทำลายคนอื่นเขานั่นมากกว่า ผมไม่อยากจะเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า " พวกหน้าตัวเมีย " หรอกนะครับ
    ส่วนเรื่องการโต้ตอบท่านสมาชิกบางคนที่หลายคนอ่านแล้วรู้สึกว่าผมใช้คำพูดรุนแรงเกินไปหน่อยนั้น อันนี้ ผมต้องกราบขออภัยท่านสมาชิกทั้งหลายด้วย แต่ใจจริงแล้ว ผมไม่อยากจะใช้คำพูดเช่นนั้นหรอกหากว่าท่านสมาชิกที่ถูกผมโต้ตอบ จะไม่โพสข้อความอะไรทีมีเจตนาด่าผมฟรีโดยแบบหยาบคายหรือส่อเสียดที่เป็นการล้ำเส้นความมีมารยาทเกินไป พวกท่านว่าติติงผมได้ครับ ค้านความเห็นผมได้ ผมยินดีรับฟัง แต่ขอให้อยู่ในกรอบของความพอดีในแบบครรลองประชาธิปไตย ซึ่งคำว่า " ประชาธิปไตย " ก็ไม่ได้หมายความเฉพาะแค่เรื่องเสียงส่วนใหญ่หรือการสมัคร สส.อะไรอย่างที่สมาชิกบางท่านเคยยกเอามาว่าผม หากพวกท่านพูดกับผมดี ๆ อย่างที่สุภาพชนเขาทำกัน ไม่คิดอยากทำตัวแจ้งเกิดในเว็บโดยการด่าหรือใช้คำส่อเสียดผมแรง ๆ อย่างไรเหคุผลก่อน แถมไม่ตรงเป้าตรงประเด็นอีก ผมก็พูดกับทุกคนดีเช่นกัน เคยเห็นกระทู่ไหนของผมบ้างมั๊ยครับที่ผมใช้คำพูดกูมึงหรือท้าตีท้าต่อยกับคุณ..... ขอโทษนะครับ หรือใช้คำว่า " ปี้ " ว่า " เย็ด " กับคุณเช่นกัน... ผมจำได้ว่าเคยมีท่านสมาชิกบางท่านเคยโพสต์เสียดสีผมด้วยคำสำนวนว่า " กิริยาส่อภาษา วาจาส่อสกุล" ผมว่าสำนวนนี้ตรงใจผมมากเลยครับ เหมาะกับคนบางประเภทดี
    อ้อ...อีกเรื่องหนึ่งนะครับ อยากจะบอกให้พวกท่านสมาชิกได้พิจารณาไว้ ก็คือว่าสมาชิกบางท่านที่รู้ตัวว่าน่าจะมีอายุน้อยกว่าผมแน่ ๆ ผมเชื่อว่าพวกท่านเหล่านี้ อย่างน้อยก็คงจะเคยเข้าพิธีไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์กับองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อและวัดบางพระมาบ้างแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกท่านก็เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับผม เป็นเลือดสีเดียวกันเหมือนอย่างที่ผมเป็นเลือดชมพูฟ้าของสวนกุหลาบเป็นต้น และก็จะต้องเป็นไปตลอดชีวิต.... ทีนี้ ไม่ว่าพวกท่านจะยอมรับผมหรือไม่ จะเชื่อหรือไม่ว่าผมเป็นศิษย์อาจารย์เดียว สำนักเดียวกับท่านก็ตาม ยังไงโดยวัยวุฒิทั้งหลายแล้ว ผมก็น่าจะเป็นศิษย์รุ่นพี่ของพวกท่านบางคนที่กล่าวมา เวลาที่ท่านไม่พอใจอะไรผม จะติติงผม จะคัดค้านผม พวกคุณมีสิทธิ์ทำได้ทั้งนั้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ทุกอย่างน่าจะเป็นไปโดยอย่างที่สุภาพชนเขาทำกันเป็นสากล คงไม่มีสถาบันไหนหรอกครับที่ศิษย์รุ่นน้องจะมาคะนองปากอย่างที่พวกคุณทำกันแม้แต่สถาบันอย่างปทุมวันหรืออุเทนถวาย เพราะถ้าสถาบันใดที่มีศิษย์รุ่นน้องที่มีพฤติกรรมแบบนั้น ผมบอกได้คำเดียวว่าสถาบันนั้นคงต้องพินาศในที่สุด และเมื่อสถาบันวัดบางพระทีมีอายยืนยาวมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายต้องมาพินาศลง ผมก็คิดว่าพวกท่านก็คงจะไม่มีหน้าไหน เสนอหน้าออกมารับผิดชอบนอกจากออกไปหาที่เกาะใหม่ก็เท่านั้น ฝากไว้ให้คิดด้วยนะครับ เพราะขนาดท่านสมาชิกอาวุโสท่านหนึ่งคือคุณลุงต้อ ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายกับผมอย่างที่คนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาไม่น่าทำกัน แต่ผมก็ไม่เคยตอบโต้คุณลุงต้ออย่างเสีย ๆ หาย ๆ เลยสักครั้งเช่นกันเพราะผมถือว่าแม้ท่านไม่ใช่นักบริหารอย่างผม แต่ท่านก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก และที่สำคัญคือเป็นศิษย์รุ่นพี่ครับผม ด่ามาเถอะครับ ผมน้อมรับด้วยความเต็มใจ เจอหน้าผมจะชกหน้าผมสักเปรี้ยงก็ได้ ผมจะไม่โต้ตอบหรือแจ้งความ
อย่างเด็ดขาด...ด้วยความเคารพครับ

90
กราบเรียท่านสมาชิกชาวเว็บวัดบางพระทุกท่านครับ....
     ผม suwatchai ในฐานะเจ้าของกระทู้ " มีอะไรคาใจกับผมหรือเปล่า? " ที่สร้างความฮือฮาให้แก่บรรดาท่านสมาชิกทั้งหลายจนพากันรุมด่า รุมทึ้ง ( แต่ก็ยังอยู่ดีครบทุกส่วน ) บางรายที่ทนเห็นความหฤโหดนี้ไม่ได้ถึงกับต้องออกมาช่วยแสดงความเห็นในเชิงแนวเดียวกับผม แล้วก็ถูกรุมเละจนต้องขอลาออกกลางอากาศไปนั้น ( ตกลงว่ามีผมหน้าด้านอยู่คนเดียว )
     ก่อนอื่น ผมอยากอธิบายที่มาที่ไปคร่าว ๆ เกี่ยวกับหัวข้อนี้ก่อนนะครับเท่าที่เวลาผมจะพอเหลือ เพราะเดี๋ยวสักสี่ทุ่มครึ่ง ผมจะต้องรับบึ่งไป Route 66 เพื่อไปเปิดไอ้นั่นของน้องพริตตี้คนหนึ่ง คือหมายถึงเปิดขวดน่ะครับ อย่าคิดมาก...
     เหตุที่ผมตั้งชื่อหัวข้อเช่นนี้ ก็เพราะว่าเดิมทีผมได้โพสต์กระทู้บางเรื่องที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ เป็นข้อคิดแก่บรรดาสมาชิกทั้งหลาย แต่อาจเป็นเพราะทางผู้คุมกฎไม่เห็นดีเห็นงามด้วยหรือยังไงไม่ทราบ จึงได้แบนกระทู้ของผมทิ้งไปถึง 3 เรื่อง 3 อรรถรส ดังนั้น ผมจึงหมดความอดทน เพราะรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมและแน่ใจว่าเรื่องที่จะนำมาลงโพสต์นั้น น่าจะเป็นประโยชน์จริงและไม่ขัดต่อกฎระเบียบที่วางไว้ ดังนั้น ผมจึงได้ตั้งกระทู้ถามไปยังคุณนนท์ในฐานะผู้คุมกฎว่า " มีอะไรคาใจกับผมหรือเปล่า ? " เพราะว่าบางทีไม่แน่ใจว่าผมไปทำอะไรสะดุดต่อมลูกหมากคุณนนท์เข้าหรือเปล่า ไม่ได้มีเจตนาถามอย่างนักเลงอะไรทั้งนั้น  ดังนั้น จึงขอให้ท่านสมาชิกทั้งหลายเข้าใจตามนี้ด้วย
                                         ............................................
     เรื่องที่สองที่ผมมักเห็นท่านสมาชิกที่ไม่เข้าใจในตัวผม มักถามผมว่าผมเข้ามาในเว็บนี้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร....
     คำตอบก็คือว่ามีวัตถุประสงค์เหมือนคนทั่วๆ ไปที่เข้ามานั่นแหละ นั่นก็คือมาหาความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจงแต่เรื่องการสักยันต์หรือเรื่องพระเครื่องเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในด้านอื่น ๆ ด้วย แต่ทีนี้ พอเข้ามาสัมผัสจริง มันมีความรู้สึกว่าเว็บนี้ จะจำกัดให้พูดกันแต่เฉพาะบางเรื่อง อาทิเช่น เรื่องสักยันต์และเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับพระเครื่องหรือการแจ้งข่าวงานกุศลต่าง ๆ ซึ่งมันน่าที่จะมีอะไรที่มีสาระมากไปกว่านี้ ไม่ใช่วันๆ เปิดเว็บนี้ขึ้นมาก็เจอแต่เรื่องการสักยันต์อวดกัน การงัดเอาพระเครื่องขึ้นมาโชว์แล้วก็พากันตอบกระทู้ชมไปชมมา " ดีครับ / สวยครับ / อยากได้ครับ / ขอโมทนาครับ / พิมพ์นิยมเลยครับ ผมชอบ " อะไรประมาณนี้อยู่ร่ำไป ไม่เบื่อบ้างหรือครับ ?
    และที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งก็คือสมาชิกหลายท่านในเว็บนี้ ไม่ค่อยมีใจเปิดกว้างเป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร พอใครแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับตนปุ๊บ ก็จะมองคน ๆ นั้นว่าเป็นตัวป่วนหรือเป็นเกรียนอะไรก็แล้วแต่ หาว่าคน ๆ นั้นลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ เป็นพวกบัวใต้น้ำบ้างล่ะ ซึ่งตรงจุดนี้ผมอยากจะเรียนให้ทุกท่านทราบว่าใครจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ผมได้รู้จักองค์หลวงพ่อเปิ่น อีกทั้งได้มีโอกาสเข้าพิธีไหว้ครู เข้ารับการครอบเศียรด้วยมือหลวงพ่อเองมาตั้งแต่ที่ท่านสมาชิกบางท่านยังไม่รู้จักวัดบางพระ ยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัสตัวท่านตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ
   เวลาที่ท่านสมาชิกบางท่าน ออกมาด่าออกมาว่าผมในทำนองว่าไม่เคารพหรือดูหมิ่นหลวงพ่อเปิ่นและวัดบางพระนั้น ผมขี้เกียจเถียงเรื่องนี้ เพราะเคารพหรือไม่เคารพ ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจคน ๆ นั้น ทุกวันนี้ นั่งทำงานหน้าคอม ฯ หรือในขณะที่กำลังพิมพ์กระทู้อยู่นี้ ผมจะมีรูปถ่ายของท่านขณะมองหางตาและยิ้มละมุนอย่าง บอกความนัยว่า " กูรู้นะมึงกำลังทำอะไร คิดอะไร " แขวนอยู่ด้านหลังผมตลอด ซึ่งรูปนี้ ท่านเป็นคนลงปิดทองคำเปลวสามแผ่นให้ผมด้วยมือท่านเองเมื่อปี 42 ผมขอรับรองได้เลยว่าผมไม่ใช่คนศาสนาอื่นหรือพวกรับจ้างอาจารย์อะไรมาป่วนทั้งสิ้น....
 ..................................................................
    ส่วนเรื่องที่สามที่เป็นประเด็นปัญหาอย่างมาก นั่นก็คือเรื่องทัศนคติเกี่ยวการสักยันต์ของผม ตรงนี้ถ้าถามว่าผมชอบการสักยันต์มั๊ย  ผมตอบตรงเลยว่าชอบถึงชอบมากและมีความเชื่อถือศรัทธาในเรื่องการสักยันต์มานานแล้ว แต่ที่ผมชอบมาค้านเรื่องนี้นั้น ก็เพราะว่าผมเห็นจากในเว็บของเราที่มีสมาชิกพากันไปสักกับอา จารย์ต่าง ๆ ในวัดบางพระของเรา แล้วชอบนำมาอวดกันไปอวดกันมา จริง ๆ ก็เป็นเรื่องสิทธิส่วนตัวของแต่ละคนที่ใครจะสัก จะอวดกันยังไงก็ได้ แต่พอดีว่าผมคิดว่าในเมื่อเราเองก็เป็นเลือดสายวัดบางพระเหมือนกัน แถมยังมีวัยอาวุโสกว่าอีกหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ ก็น่าที่จะตักเตือนหรือให้สติแก่คนรุ่นหลัง ผมไม่ได้ว่าคนมีอายุน้อยกว่าผมหรือเข้าวัดทีหลังผมต้องโง่กว่าผมเสมอไป แต่บางทีแล้ว การที่เราอายุมากกว่าเขา ก็น่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมากกว่าพวกเขา ผมถึงเจตนาดีที่จะเตือนว่าอย่าทำอะไรให้มันเอิกเกริกเหมือนแฟชั่นหรือเหมือนการแต่งรถซิ่งเกินไป มันจะดูไม่งาม ชาวบ้านนอกวัดหรือที่เขามาทำบุญทำทาน มากราบสังขารหลวงพ่อ มาเห็นเข้า ตลอดจนผู้คนทั่วไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ที่เปิดเว็บนี้อ่านแล้วมาเจอเรื่องนี้เข้า เขาจะคิดยังไง โดยเฉพาะทางคณะกรรมการเถระสมาคมและสำนักพระพุทธศานา วันหลังหากมีโอกาส ผมจะเล่าให้ฟังว่าตัวเองไปเกี่ยวอะไรด้วยกับทางคณะกรรมการเถระสมาคม ( สงสัยว่าไปขายพระกับหลวงพ่อหลวงตาเหล่านั้นละมั้ง!!! )
....................................................
      สุดท้าย พวกที่ไม่พอใจผมทั้งหลาย จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ต่อให้คุณเขียนโพสด่าผมยังไง ผมก็ไม่รู้สึกหรอกครับ เพราะผมคิดว่าผม " คิดดี ทำดีเพื่อสังคมไทย เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ " อยู่แล้ว ส่วนคำด่าของคุณที่ยกมาประเคนให้นั้น ผมไม่รับซะอย่าง แล้วคุณคิดว่าจะกลับไปหาใคร เคยได้ยินคำพูดประโยคนี้มั๊ยครับ " เราบ่ผิด ดาบนั้นคืนสนอง "     :004: :004: :004:

91
เรียนคุณนนท์:
    ก่อนอื่นผมขอเรียนให้ทราบว่าผมมีความเคารพการตัดสินใจตามตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบของคุณในเว็บนี้   แต่ผมก็มีข้อที่ไม่เข้าใจอยู่บางเรื่องเกี่ยวกับการลบกระทู้บางเรื่องของผมออกไปซึ่งรวมไปถึงเป็นการทำให้ผมเกิดความไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเว็บนี้ว่าเพื่ออะไรกันแน่....
    ผมเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่เขียนไว้ในหน้าแรกของเว็บนี้และเข้าใจกฎกติกามารยาทที่ทางเว็บวางไว้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าในการตอบกระทุ้ของคุณ osloและการตั้งกระทู้เรื่อง "ทำไปได้ยังไง " ของผมในคืนนี้ มันมีอะไรเสียหาย ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างนั้นเหรอครับ
    การที่ผมออกความเห็นให้ท่านสมาชิกซึ่งเป็นเยาวชนของชาติ หัดหันมารู้จักใช้ความคิดไปในทางที่ถูกที่ควรที่น่าจะเป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์และประเทศชาติของเรา มันผิดเหรอครับ? ทำไมเว็บนี้ชอบส่งเสริมให้คนคิดแต่เรื่องงมงาย เช่นเรื่องสักยันต์อะไรทำนองนี้ ไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นให้ทันกับความก้าวหน้าของโลกทีกำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะบ้างเลยหรือครับ? คุ้มเหรอครับกับการที่ให้เยาวชนของชาติมามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องอย่างนี้?  ผมเข้าใจดีครับว่าการสักยันต์ที่นี่ เป็นตัวตนอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงและความศรัทธาให้กับวัดบางพระและครูบาอาจารย์ไล่มาตั้งแต่หลวงปู่หิ่มมาจนถึงองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา แต่ผมคิดว่านะถ้าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ผมว่าพวกท่านก็คงไม่เห็นด้วยหรอกครับกับการที่จะให้พวกเยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติ มาหลงมัวเมากับเรื่องอย่างนี้เพื่อแลกกับชื่อเสียงของวัดและของท่าน ไม่อย่างนั้น หลวงพ่อของเราคงจะไม่สนับสนุนทุนในการสร้างโรงเรียนและจัดหาอุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ แม้กระทั่งชุดคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำหรอกครับ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านต้องการให้เยาวชนของชาติ ใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียนความรู้ที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ ถามหน่อยเถอะครับ สักจิ้งจกให้เยาวชนมันมีประโยชน์ต่อชาติตรงไหน คุณนนท์คงยังจำได้นะครับว่าผมเคยโพสต์ข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่คนนอกเขามองยังไงเกี่ยวกับเรื่องพระสักยันต์โดยเฉพาะการสักให้ผู้หญิง ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีอยู่เต็มอกว่าวัดดังในจังหวัดนครปฐมที่เขาพูดถึงในข่าวนั้นคือวัดอะไร... แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่าหากเว็บนี้ มีความปรารถนาดีที่จริงใจต่อญาติโยมที่เขานับถือศรัทธาในวัดบางพระและหลวงพ่อของเรา ก็ไม่ควรที่จะทำอะไรเหมือนเห็นแก่ได้เห็นแก่ชื่อเสียงหรือค่าครูไม่กี่บาท   ปล่อยให้คนทั้วไปโดยเฉพาะเยาวชนของชาติพากันหลงมัวเมากับเรื่องที่มันไม่เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ หัดมองโลกภายนอกบ้างว่าเขามองเรื่องนี้กันยังไง ไม่ใช่เปิดเว็บขึ้นมาเพื่อดึงดูดคนให้เอาแต่หลงงมงายเกินเหตุ อ้างแต่ความเคารพความศรัทธาในครูบาอาจารย์ หรือวัน ๆ มีแต่เอาพระเอารอยสักยันต์มาอวดแล้วก็ป้อยอกันเองเหมือนคนบ้า
     ผมว่าการที่คุณหรือเว็บมาลบกระทู้ของผมในเรื่องดังกล่าวนี้ มันส่อเจตนาให้เห็นเลยว่าทางเว็บนี้มีความจริงใจหวังดีต่อสถาบันหรือต่อแผ่นดินแค่ไหน
     ผมดูครูบาอาจารย์ที่ทำการสักในวัดบางพระปัจจุบันแล้ว บอกตรง ๆ ว่าบางรูปนั้นยังดูวัยไม่เท่าไหร่ ก็ตั้งตนเป็นจอมขมังเวทย์สักยันต์ซะแล้ว แทนที่จะเอาเวลาไปศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อมาโปรดบุญแก่ญาติโยม  ไม่รู้ท่านจะบวชไปเพื่ออะไรหรือว่าโยมพ่อโยมแม่ของท่าน ตั้งใจให้ลูกหลานมาบวชเพื่อเรื่องพวกนี้กันแน่...
     ส่วนเรื่องการที่คุณหรือทางเว็บลบกระทู้เรื่อง " ทำไปได้ยังไง " ของผมโดยอ้างว่าผมไปพาดพิงถึงเรื่องการเมือง เรื่องสถาบันอะไรของคุณนั้น
     ขอโทษนะครับการที่ผมกล่าวประณามข้าราชปกครองบางคนโดยมิได้มีการเจาะจงว่าใคร ตำแหน่งใดที่มีพฤติกรรมไปในทางให้การสนับสนุน นิ่งเฉยที่จะดูแลสวัสดิภาพของคุณยายวัย 97 และจัดการลงโทษอย่างเด็ดขาดกับนังลูกสาวอัปรีย์ มันไม่ถือเป็นการพาดพิงถึงเรื่องการเมืองหรอกครับ ไม่อย่างนั้นบรรดาสื่อต่าง ๆ ที่พากันออกมาด่าเรื่องนี้ เขาคงโดนฟ้องกันอ่วมอรทัยแล้วล่ะครับ เพราะความจริงมันมีให้เห็นอยู่อย่างนั้นจริง ๆ ผมเห็นว่านี่มันใกล้จะถึงวันแม่แล้ว ก็อยากให้ลูกทุกคนนึกถึงความรักของแม่ นึกถึงพระคุณของแม่โดยผมยกเรื่องแม่ผมเป็นตัวอย่าง ผิดอีกเหรอครับ ตกลงว่าเว็บคุณนี่จะเอาแต่เรื่องไปในทางที่ให้คนมัวเมาแต่เรื่องอวดรอยสักยันต์และอวดพระเครื่องเท่านั้นน่ะเหรอครับ
     หัดเปิดใจให้กว้างหน่อยสิครับ สร้างเว็บขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งที ก็ควรจะเปิดกว้างสำ หรับทุกความคิดเห็นที่มีประโยชย์ มีสาระ ไม่ใช่เปิดมาเพื่ออย่างที่กล่าวมา คนทั่วไปเขาดูแล้ว เขาจะมองว่าคุณเปิดเว็บเพื่อก๊วนบางกลุ่ม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่สังคม ความคิดใครเห็นด้วยไปในทางเดียวกัน ก็ถือเป็นสมาชิก ใครไม่เห็นด้วยหรือติติงเพื่อเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ก็หาว่าเป็นคนที่ชอบขัดคอชาวบ้านเขา 
    ผมว่าก่อนจะลบระทู้ของผม น่าเปิดใจกว้างให้สมาชิกได้อ่านและออกความเห็นกันก่อนดีมั๊ยครับ ถ้าส่วนใหญ่เห็นว่ามันเป็นอย่างที่คุณคิด จะลบทิ้งไปก็คงไม่สาย แม้แต่ตอนนี้ ผมก็ทำใจอยู่แล้วว่าคุณจะต้องลบกระทู้ฉบับนี้ของผมทิ้ง ไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้ผู้อื่นได้รู้เห็น รวมถึงคุณอาจจะdelete ผมออกจากสมาชิก เว็บนี้อีกด้วย ก็ไม่เป็นไรครับทำได้เลย แต่ผมก็อยากจะเตือนสติให้คุณระลึกถึงเรื่องของประเทศไทยเราในสงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับว่าทำไมรัฐบาลไทยสมัยนั้นที่ยอมรับให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยอันเป็นการยอมรับต่อชาวโลกอย่างเปิดเผยว่าอยู่ข้างฝ่ายอักษะ แต่พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม แต่ประเทศไทยกลับยังเป็นผู้อยู่ฝ่ายชนะสงครามที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับญี่ปุ่น นั่นก็เพราะว่าเราโชคดีที่ยังมีคนไทยอีกกลุ่มที่เรียกว่าเสรีไทยคอยร่วมมือกับนานาประเทศที่ "รักความถูกต้อง" จึงทำให้ประเทศชาติไม่ล่มจมเพราะแพ้สงครามไงหล่ะ พูดมาเท่านี้ พอรู้ใช่มั๊ยครับว่าผมหมายความว่าอย่างไร....[/email]

หน้า: [1]