แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jesus

หน้า: [1]
1
ดูจากฝีเข็มแล้วน่าจะเจ็บน่าดูเลยนะฮะพี่ :002:

2
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

3
สุดๆเลยครับ บารมีหลวงปู่คุ้มครองครับ

4
                                 
                                   
                                                                      ฝากด้วยครับ

ถูกใจมากเลยค่ะ ขออนุญาตเอาไปแชร์นะคะ

ได้เลยครับตามสบาย  :005: :005: :005:

5
                                 
                                   
                                                                      ฝากด้วยครับ

6
น้องชาย assis.aod   คุ้นๆนะครับใช่พี่โต้งรึป่าวเอ่ย

7
ยินดีต้อนรับโยมเพชรกลับมาสู่บอร์ดครับห่างหายไปนานเลยนะครับ[/size]

8
ขออภัยนะครับ พระอาจารย์แป๊ว นะครับ ไม่ใช่ พระอาจารย์แป๋ว

9
เถรวาทครับ

                                              จระเข้สวยมากไม่ทราบว่าพระอาจารย์ท่านใดเมตตาสักให้ครับ

10
ขอบคุณสำหรับรูปภาพครับพี่ ผมก็ได้มา1องค์ครับ

11
ทุกๆภาพมีจิตวิญญาณอยู่ในภาพและสื่ออารมณ์ได้ดีมากๆเลยครับพี่

12
ขอบคุณทุกคนนะคะ ทางคนถ่ายตั้งใจว่าจะไปถ่ายงานไหว้ครูปีนี้อีกด้วยนะคะ

มีใครจะไปงาน แล้วพอที่จะให้สัมภาษณ์ได้บ้างคะ ขอบคุณค่ะ
ถ่ายแล้วรบกวนนำมาลงให้ชมอีกนะครับ ชอบในฝีมือการถ่ายมาก
จะรอติดตามชมผลงานนะครับ

13
สุดยอดครับ ดูแล้วได้อารมณ์มากๆ :053: :053: :053:

14
คนเราเมื่อมีลาภก็เสื่อมลาภ
เมื่อมียศก็เสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์
เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา เป็นของคู่กันเช่นนี้
จะไปถือสาอะไรกับปากมนุษย์
... ถึงดีแสนดีมันก็ติ
ถึงชั่วแสนชั่วมันก็ชม
นับประสาอะไรพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดา ยังมีมารผจญยังมีคนติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นโลกธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้

คำสอนของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต

16
วันนี้พี่ที่บริษัทไปวัดเขาแก้วมาครับแต่ไม่เจอหลวงพ่อ แต่คนคนในวัดบอกว่ามีของหลวงพ่อกัน เป็นมีดปากกา ราคา 400 บาทพี่เค้าจะบูชามาให้ แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่เลยรอรอบหน้าดีกว่า รอบนี้ไม่มีวาสนาครับ :070: :070: :070:

ปล.ถ้าจะเอาให้ชัวร์ต้องรับจากมือหลวงพ่อเลยรึเปล่าครับ

17
โดนดัก555+ ขอบคุณมากครับที่นำบทความดีๆมาให้ติดตามบ่อยๆครับ

19
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า  กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ท่านเป็นชายชาตรี  ใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อศึกษาชีวิตของราษฎรตามหัวเมืองต่าง ๆ และที่สำคัญท่านชื่นชอบพุทธเวท ไสยเวท  เป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์เสด็จประพาสไปที่ใด  หากทราบว่ามีพระอาจารย์ดีเรื่องอาคมเป็นที่ศรัทธาของคนทั่วไป  พระองค์จะไปกราบนมัสการสนทนาในเรื่องของธรรมะและพุทธาคมอยู่เป็นนาน  พร้อมกับฝากตัวเป็นศิษย์อีกด้วย  ในจำนวนพระเกจิอาจารย์มีชื่ออยู่ในยุคนั้นที่เสด็จในกรมทรงศรัทธามากเป็นพิเศษและไปมาหาสู่บ่อย ๆ คือ “หลวงปู่ศุข”  หรือ “ท่านพระครูวิมลคุณากร”  แห่งวัดปากคลองมะขาวเฒ่า  อำเภอสิงห์บุรี  จังหวัดชัยนาท

แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าแปลง เมื่อกล่าวถึงพุทธาคมของหลวงปู่ศุข ก็จะต้องเขียนเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ  และถ้าหากเขียนเรื่องเสด็จในกรมในเรื่องความขมังเวท  ก็จะต้องมีเรื่องของหลวงปู่ศุข เข้ามาเกี่ยวข้องกันจนแยกไม่ออก

หลวงปู่ศุข เกิดเมื่อปี พ.ศ.2396  ความเป็นมาในช่วงวัยเด็กจนเป็นหนุ่มรุ่นนั้น  ข้อมูลมีกันอยู่หลายกระแส  คือท่านเป็นเด็กซุกซน  ชอบลงว่ายน้ำเกาะเรือโยงในแม่น้ำเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้มารดาของท่านเป็นห่วง  ห้ามปรามก็ไม่เชื่อ  ทำให้มารดาโกรธและทำโทษเฆี่ยนตีสั่งสอน แต่ผลจากการลงโทษนั้นทำให้เด็กชายศุขโกรธผู้เป็นแม่ รุ่งขึ้นจึงเกาะเรือโยงหนีออกจากบ้าน

แต่อีกข้อมูลก็แจ้งว่า  ตอนเมื่อท่านเยาว์วัยอายุประมาณ 7 ปี  มารดานำไปฝากเรียนหนังสือกับพระอาจารย์ผู้เรืองอาคม  วัดปากคลองมะขามเฒ่า จนมีความรู้ความชำนาญในเรื่องภาษาไทย จากนั้นจึงได้อำลาพระอาจารย์ไปแสวงหาวิชาความรู้เพิ่มเติมในกรุงเทพฯ โดยที่ท่านยังไม่บวชเป็นพระภิกษุหรือสามเณรแต่อย่างใด

ขณะที่อยู่ในกรุงเทพฯ จนถึงวัยหนุ่มอายุ 18 ปี  ได้พบเนื้อคู่ซึ่งเป็นสาวสายย่านบางเขน ชื่อสมบูรณ์ หนุ่มศุขใช้ชีวิตครองเรือนจนมีบุตรคนหนึ่งซื่อสอน (บ้างก็ว่าชื่อชวน)  ใช้ชีวิตอย่างปุถุชนธรรมดาจนเบื่อ

ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจหักคานเรือน  หนีภรรยาและบุตรไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดโพธิ์ทอง  จังหวัดนนทบุรี  โดยมีอาจารย์เชย เป็นพระอุปัชฌาย์

ครั้นบวชเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว  หลวงปู่ศุขก็มุ่งวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด ถือวัตรธุดงค์อยู่ตามสถานที่วิเวกสันโดษ  เยี่ยงพระอนาคาริกทั้งหลายในสมัยนั้น

การธุดงค์ไปตามป่าเขาของหลวงปู่ศุข ทำให้ท่านได้พบพระวิปัสสนาจารผู้ทรงคุณและมีความรู้หลายท่าน จนมีความเจนจบในไสยศาสตร์หลายสาขาอีกด้วย

ครั้นมารดาของท่านถึงแก่กรรมลง  หลวงปู่ศุขก็ได้กลับบ้านเพื่อจัดการฌาปนกิจศพเป็นที่เรียบร้อย ขณะเดียวกันท่านก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่านับแต่นี้ไปในกาลภายหน้าจะยึดมั่นในบวรพุทธศาสนา  โดยจะถือเพศบรรพชิตอยู่ในวัดปากคลองมะขามเฒ่าไปจนตลอดชีวิต  ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ศุข ก็อยู่อย่างพระวิปัสสนาในวัดปากคลองมะขามเฒ่า มีความเคร่งครัดในศีลาจารวัตร  เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะในเรื่องพรหมวิหาร 4  คือ เมตตา กรุณา มุทิตา  อุเบกขา

พระครูวิมลคุณากร หรือ  หลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากจะเป็นพระวิปัสสนาจารที่สามารถแล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่รอบรู้ด้านปริยัติธรรม  มีความรู้แตกฉานในหลักธรรมและพระไตรปิฎก  โดยเฉพาะในเรื่องวิชาไสยศาสตร์ วิทยาคมต่าง ๆ นั้นท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นเลิศ  มีหลักฐานบันทึกของสานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งว่า

“หลวงปู่ศุขสำเร็จในอารมณ์กำหนดธาตุทั้ง 4  มี ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  ซึ่งถือว่าเป็นผลแห่งฌานด้วย “กสิณ”  สมาบัติ  สามารถทำอะไร ๆ ได้ เช่น  ผูกหุ่นพยนต์ ล่องหนหายตัวกำบังกาย  ทั้งสามารถระเบิดน้ำลงดำในทะเล หรือเดินบนผิวน้ำ  สะเดาะโซ่ตรวจ สะกดทัพ ท่านสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้”

จากหนังสือ กรมหลวงชุมพรฯ เรียบเรียงโดย บุรี  รัตนา

เดือนยี่ปีนั้นกำลังอยู่ในหน้าแล้ง  มีชาวเหนือทางจังหวัดอุตรดิตถ์ เดินทางมาค้าขายโดยมีช้างเป็นพาหนะประมาณ 8-9 เชือก แต่สินค้าที่ขายกันนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอะไรแน่ สมัยนั้นปรากฏว่าการคมนาคมไม่สะดวกราบรื่นเท่าที่ควร  2 ข้างทางเต็มไปด้วยป่าพงดงดิบ  พ่อค้ากลุ่มนี้มีประมาณ 15 คน เดินทางจากจังหวัดอุตรดิตถ์  ผ่านสุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี จนถึงชัยนาท พ่อค้าเหล่านั้นได้พากันพักแรมอยู่ที่ใต้ถุนศาลาวัดปากคลองมะขามเฒ่า แต่แล้วบรรดาพ่อค้านี้ได้ปล่อยช้างให้กินใบไผ่ใบหญ้าอยู่ตามบริเวณวัด 2-3 วัน  แล้วก็ช้าง 8-9 เชือกนี้เองบังเอิญไปเหยียบย่ำต้นไม้ของหลวงพ่อที่ปลูกไว้ เช่น ต้นกล้วย  ผัก พริก  มะเขือ  และไม้ดอกสีต่าง ๆ บางทีช้างก็ใช้งวงเอาใบกล้วยมากินจนแหลกลาญเสียหาย

ความจริงหลวงพ่อก็มิได้เอ่ยว่าประการใด  บรรดาชาวบ้านแถวนั้นก็จูงลูกเด็กเล็กแดงมายืนดูช้างอยู่ในวัดจำนวนมาก  เพราะมีทั้งช้างสีดอ ช้างพัง ช้างพลาย  และลูกช้างอีกราว 2-3 เชือก ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 16.30 น.  พวกเลี้ยงช้างที่มานั้นพากันหุงข้าวปลาอาหารอยู่ใต้ถุนศาลา กะว่ารุ่งขึ้นจะพากันเดินทางลงใต้  คือผ่านจังหวัดสิงห์บุรี ระหว่างที่หุงข้าวกันอยู่นั้น  ชาวบ้านก็ได้ยินกลุ่มชาวเหนือที่กำลังนึ่งข้าวกันอยู่นั้นพากันบ่นว่า ข้าวไม่พอกินกัน อีกคนหนึ่งจึงพูดว่า

"จะไปยากอะไร นกพิราบอยู่บนหลังคาโบสถ์เป็นฝูง ๆ ปืนเราก็มี  หน้าไม้ก็มี จัดการเอาเลย"

ชาวบ้านแห่งวัดมะขามเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงช่วยกันห้ามปราม อธิบายให้ฟังทั่ว ๆ กันว่า  การกระทำดังนั้นจะผิดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยห้ามไว้นานแล้วว่าไม่ให้ยิงนกภายในบริเวณวัด  แม้ว่าจะเป็นการพูดทักท้วงที่ละมุนละม่อมเพียงไร  เขาก็หาฟังเสียงไม่  คนหนึ่งคว้าปืนแก๊ปขึ้นประทับบ่ายิงไปยังนกพิราบฝูงนั้น สับนกดังเชี๊ยะ ๆ ตั้งหลายครั้งหลายครา  พยายามยิงเท่าไหร่ลูกปืนก็หาออกไปสังหารชีวิตนกพิราบแม้แต่ตัวเดียว

พวกที่หมายมั่นจะกิจเนื้อนกพิราบให้จงได้ก็พยายามต่อไป คือเปลี่ยนเป็นหยิบหน้าไม้ออกไปยิง แต่เมื่อยิงทีไรลูกศรก็ตกจากร่องหน้าไม้ทุกที เป็นที่น่าประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นตาม ๆ กัน ร้อนถึงชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่ง ท่าทางภูมิฐานเอาเรื่อง เปล่งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราดตามอารมณ์ดีเดือดว่า

“ขรัวตาวัดนี้มีอะไรดีหรือวะ ชะ  ชะ”

พูดแล้วก็คว้าได้ขวานสั้นคมกริบเล่มหนึ่ง  ฟันลงที่หน้าแข้งเสียงดังฉาด ๆ กระเด็นออกมาเป็นฟืนหุงข้าว  ทำให้ผู้คนที่ต่างมุงดูอยู่บังเกิดความพิศวงเป็นกำลัง  เพราะเห็นขวานกระทบหน้าแข้งกระเด็นออกมาเป็นท่อนฟืนได้

ชาวเหนือผู้เลี้ยงช้างยิ่งแลเห็นผู้คนสนใจในอาคมของตนก็ยิ่งกำเริบใจ วางท่าหนักขึ้นไปอีก แสดงอาการถากหน้าแข้งต่อไปไม่หยุดยั้ง  ในที่สุดก็ได้ฟืนเป็นกองใหญ่

ขณะนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งตะลีตะลานไปรายงานกับหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าว่า บัดนี้มีคนดีมาจากเหนือแสดงอาการถากหน้าแข้งให้เป็นฟืนหุงข้าวก็ได้  สร้างความตื่นเต้นให้แก่ใคร ๆ ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก

หลวงพ่อถามโพล่งออกมาว่า  “ใครวะ  คนดีคนเก่ง”

ชาวบ้านตอบว่า  “คนเลี้ยงช้างครับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อได้ฟังคำตอบชัดแจ้งดีแล้วก็พูดด้วยเสียงอันดังฉุนเฉียวว่า

“เอ ไม่ได้การเสียแล้วไอ้ห่านี่บังอาจมาฉากเสาศาลาของกู เดี๋ยวเหอะ  กำแหงใหญ่แล้วพวกนี้”

ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำพอดี  หลวงพ่อจึงคิดจะทำการดัดสันดานพวกนี้ให้เข็ดหลาบเสียบ้าง  ไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร  มันไม่รู้จักกู  ดีละ  เพราะท่านทราบว่าจวนถึงเวลาที่พวกเลี้ยงช้างจะต้องต้อนช้างไปผูกแล้วสุมไฟให้นอน  หลวงพ่อเผ่นลงจากุฏิพร้อมด้วยกะลามะพร้าวซีกหนึ่ง เดินไปลานหญ้าหน้ากุฏิ  หยุดบริกรรมร่ายพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์เรียกฝูงช้างให้มารวมกัน จากแรงฤทธิ์อิทธิเดชของเวทมนต์หลวงพ่อ  ช้างก็ถูกลมพัดปลิวเหลือตัวเท่าแมลงวันตกอยู่ตรงหน้า  แล้วท่านก็เอากะลาครอบลง เอาเท้าเหยียบตรึงด้วยพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ เป่าลงบนกะลาครอบนั้น  จากนั้นหลวงพ่อก็เดินกลับเข้าไปในกุฏิ

ส่วนพวกเลี้ยงช้างนั้นเล่า  หลังจากกิจข้าวปลาอาหารจนอิ่มหนำสบายใจดีแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ต้อนช้างให้เข้านอน แต่เมื่อมุ่งหน้าไปยังที่ช้างอยู่ก็หาเห็นช้างแม้สักเชือกไม่  ช้างหายไปไหนหมด ทุกคนพบกับปัญหาที่คาดไม่ถึง แล้วก็ออกค้นหากันไป  จนกระทั่งอ่อนใจ หนักเข้าถึงกับร้องไห้ขึ้นไปกราบเท้าหลวงพ่อพลางปรับทุกข์ให้ท่านฟัง “ถ้าช้างถูกขโมยไปหมดแล้ว  พวกเขาจะกลับบ้านไม่ได้”  พวกเขาว่าอย่างนี้  หลวงพ่อฟังแล้วก็เลยถือโอกาสสั่งสอนว่า

“เรามาทำมาหากิจ ก็จงทำมาหากิจโดยซื่อสัตย์สุจริต มีความอุตสาหะหมั่นเพียร อย่าได้คิดเบียดเบียนคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อน  จะได้เอาเงินกลับไปบ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่นี่พวกมึงกำแหงมาก  ศาลาของกูสร้างต้องเสียเงิน  แต่มึงเอาขวานมาถากศาลาของกูเสียหาย”

พวกเลี้ยงช้างต่างฟังกันเงียบไม่ยอมปริปากประการใด  หลวงพ่อก็พูดต่อไปว่า

“ศาลาของกูเสียหายอย่างนี้ มึงต้องเอาเงินมาเปลี่ยนทำเสาศาลากูให้ดีเหมือนเดิม กูถึงจะคืนช้างให้พวกมึง”

พวกเลี้ยงช้างเหล่านั้นจำใจต้องยอมรับผิดเพราะตนผิดจริง ๆ แล้วมอบเงินให้กับหลวงพ่อให้พอกับการเปลี่ยนเสาศาลาให้มีสภาพดีเหมือนเดิม เมื่อหลวงพ่อได้รับเงินแล้วก็พูดว่า

“มึงตามมา แล้วพรุ่งนี้มึงต้องไปนะ ต้นไม้ต่าง ๆ ของกูฉิบหายหมด  เห็นไหม”

พวกเลี้ยงช้างค่อย ๆ เดินตามหลวงพ่อมา  จนกระทั่งถึงที่ช้างถูกกะลาครอบเอาไว้

“นี่ ช้างของมึง  กูเอากะลาครอบเอาไว้”

พูดจบหลวงพ่อก็เปิดกะลาที่ครอบออก  ช้างที่เล็กเท่าตัวแมลงวันก็กลับกลายร่างใหญ่โตเท่าเดิม เหล่าชาวเหนือเห็นดังนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าหลวงพ่อแล้วนำช้างกลับไปพักผ่อนตามปกติ

ความแก่งกล้าสามารถในด้านวิชาไสยศาสตร์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีผู้บอกเล่ากันต่อไปในที่ต่าง ๆ โด่งดังไปถึงในรั้วในวัง และทำให้กรมหลวงชุมพรฯ ทราบเรื่องที่ว่านี้มาตลอด  แต่ก็ทรงเฉย ๆ อยู่

มีอยู่คราวหนึ่งพระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณฯ ได้นำพระเครื่องเก่าองค์หนึ่งมาถวายแก่กรมหลวงชุมพรฯ  แล้วทูลว่าพระเครื่ององค์นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอด ตกทอดมาตั้งแต่วังหน้า เนื่องจากพระองค์ชอบพิสูจน์หรือทดลองให้เห็นจริง จึงให้มหาดเล็กนำพระเครื่ององค์นั้นไปแขวนที่ปลายไม้  จากนั้นพระองค์จึงมีพระบัญชาให้นาวาเอกพระยาพลพยุหรักษ์ เป็นผู้ทดลองยิงพระเครื่ององค์นั้น  โดยใช้ปืน ร.ศ. บรรจุกระสุนที่เลือกแล้วเป็นอย่างดี ท่ามกลางผู้ที่ยืนดูการทดลองจำนวนมาก  จากการยิง 3 นัด  ผลปรากฏว่าปืนกระบอกนั้นไม่มีเสียงระเบิดทั้ง 3 นัด  คงมีเสียงสับนกกระทบตูดชนวนลูกปืนดัง แชะ แชะ แชะ   อันหมายความว่า  กระสุนด้านและไม่ทำงาน เสด็จในกรมทรางมีบัญชาให้หันลำกล้องปืนไปทางอื่นและยิงใหม่  ปรากฏว่ากระสุนเดิมทั้ง 3 นัด ส่งเสียงสนั่น อันหมายถึงกระสุนมิได้ด้าน

นับตั้งแต่ครั้งนั้นกรมหลวงชุมพรฯ จึงมีความเชื่อถือในพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของไสยศาสตร์และ พุทธานุภาพ  พร้อมกันนั้นได้เริ่มเสาะแสวงหาอาจารย์ดี เพื่อศึกษาวิชาไสยศาสตร์จากผู้ทรงคุณต่าง ๆ

ครั้นชื่อเสียงกิตติคุณของหลวงปู่ศุขมีมากขึ้น ก็มีความสนพระทัย  ความคิดใคร่จะไปทดลองดูให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาว่าเป็นอย่างไร หากมีโอกาสเมื่อใดก็จะไปพบหลวงปู่ศุขให้จงได้ ในครั้งนั้น กรมหลวงชุมพรฯ เสด็จไปตากอากาศภาคเหนือและเสด็จกลับด้วยเรือทหารล่องลงมาทางแม่น้ำเจ้าพระยา แต่แทนที่จะล่องกลับถึงกรุงเทพฯ  พระองค์ทรงรับสั่งให้เรือกลไฟที่จูงเรือประเทียบล่องลงมาตามลำน้ำท่าจีน  อันแม่น้ำท่าจีนนั้นแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ชัยนาท ไหลลงสู่อ่าวไทยที่เมืองสมุทรสาคร  มีความยาวถึง 200 กม.  และเส้นทางสายแม่น้ำท่าจีนนี้ได้ไหลผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่าด้วย  เมื่อเรือพระที่นั่งล่องมาถึงวัด ก็บังเอิญให้เรือมีอันขัดข้องโดยไม่ทราบสาเหตุ  แม้จะพยายามแก้ไขเครื่องยนต์อย่างไรก็ไม่สำเร็จ (ภายหลังหลายคนเชื่อว่าคงเป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข)  ในที่สุดก็เลยต้องชะลอเรือทั้งหมดเข้าไปจอดที่ศาลาวัดปากคลองมะขามเฒ่า ขณะที่เรือประเทียบและเรือกลไฟเข้ามาเทียบอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ พระองค์ทรงแลเห็นเด็กลูกศิษย์วัดกำลังชุลมุนอยู่กับการตัดหัวปลีเอามากองที่ข้างศาลาทีละหัวสองหัว จนเรือเข้าเทียบศาลาท่าน้ำนั่นแหละจึงเห็นหัวปลีกองโตขึ้น ขณะเสด็จในกรมทรงยืนบนเรือมองดูการกระทำของเด็กวัดเหล่านั้นด้วยความฉงนพระทัย  ได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่กองหัวปลี ท่าทางเคร่งขรึม ท่านมองรอบ ๆ กองหัวปลีอยู่ 2-3 อึดใจ  แล้วจึงหย่อนร่างนั่งบนกองหัวปลีนั้น พระภิกษุรูปนั้นนั่งหลับตาภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นท่านก็หยิบหัวปลีขึ้นมาเป่าลูบไล้ไปมา จากนั้นท่านเหวี่ยงหัวปลีลงพื้น  แล้วเสด็จในกรมตลอดจนทหารข้าราชบริพารต้องตกตะลึงเพราะหัวปลีนั้นเมื่อตกถึงพื้นกลายเป็นกระต่ายสีขาวนวล กระโดดโลดเต้นอยู่ไปมา ภิกษุรูปเดิมหาได้หยุดเสกเป่าหัวหลี  ท่านทำอย่างต่อเนื่อง  หัวปลีกลายเป็นกระต่ายขาวหลายตัววิ่งอยู่บนศาลาและพื้นดินเต็มไปหมด

เมื่อเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนี้ กรมหลวงชุมพรฯ พร้อมด้วยนายทหารและข้าราชบริพารทั้งปวงในที่นั้นก็เข้าไปแสดงอาการคารวะต่อพระภิกษุรูปนั้นโดยทั่วหน้ากัน

ครั้นกระต่ายวิ่งมาหาท่านทีละตัว  ท่านก็เอามือลูบคลำไปมาสักครู่ แล้วปล่อยวางลงกับพื้น กระต่ายก็กลับเป็นหัวปลีอย่างเดิม และทำอยู่อย่างนั้นทุกตัว  จนกลายเป็นหัวปลีกองโตเหมือนเดิม

กรมหลวงชุมพรฯ  ได้สอบถามพูดคุยกับหลวงพ่อองค์นั้น (ขณะนั้นเสด็จในกรมเรียกหลวงพ่อ)  จึงทราบว่าพระภิกษุที่อยู่เบื้องหน้าท่านก็คือ “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า”  ที่พระองค์ได้ยินชื่อเสียงมาช้านานนั่นเอง

และหลวงปู่ศุขก็รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือพระราชโอรสแห่งพระพุทธเจ้าหลวง “กรมหลวงชุมพรฯ” นั่นเอง

การพูดคุยกันวันนั้นเป็นที่ถูกอัธยาศัยกันทั้ง 2 ฝ่าย  เสด็จในกรมจึงอยากพักอาศัยอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าสักหลายวัน หลวงปู่ศุขก็มิได้ว่ากระไร  ยกศาลาท่าน้ำให้เป็นที่จอดเรือ ความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุชราและโอรสของเจ้าเหนือหัวได้เริ่มขึ้นแล้ว

เสกทหารกลายเป็นจระเข้

วันรุ่งขึ้น  เสด็จในกรมได้ขึ้นไปสนทนากับหลวงปู่ศุขบนกุฏิ การสนทนาในวันนั้นส่วนมากก็วนเวียนอยู่กับฤทธิ์อาคมเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย  หลวงปู่ศุขก็เล่าบอกตามความเป็นจริงในทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ

ยิ่งพูดคุยกันมากเสด็จในกรมก็ยิ่งรู้ว่าหลวงปู่ศุขมีอาคมมากมาย ทั้งยังสามารถเสกคนให้เป็นจระเข้ได้อีกด้วย ในตอนหนึ่งของการสนทนา หลวงปู่ศุขได้สอบถามกรมหลวงชุมพรฯ  ว่า “ปรารถนาจะใคร่ชมคนกลายเป็นจระเข้หรือไม่”  เสด็จในกรมและข้าราชบริพารที่นั่งอยู่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากเห็นคนกลายเป็นจระเข้”

เมื่อทุกคนอยากดูการเสกคนเป็นจระเข้ หลวงปู่ศุขจึงบอกให้เสด็จในกรมคัดเลือกคนรูปร่างล่ำสันแข็งแรง พระองค์จังคัดเลือกพลทหารมาได้คนหนึ่งชื่อ “จ๊อก”

จากนั้นหลวงพ่อสั่งให้เอาเชือกเส้นใหญ่มักที่เอวของพลทหารจ๊อกอย่างแน่นหนา  แล้วพาไปที่สระน้ำแห่งหนึ่งในวัด ให้พลทหารผู้นั้นนั่งคุกเข่าลงข้างสระ  แล้วสั่งให้หลับตาพนมมืออยู่นิ่ง ๆ ส่วนตัวหลวงปู่จับปลายเชือกไว้แน่น พลางบริกรรมคาถาอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วก็เป่าพรวดลงไปที่ศีรษะพร้อมกับใช้ฝ่ามือที่ไม่ได้จับปลายเชือกตบลงที่กลางหลัง  พร้อมกับผลักพลทหารจ๊อกตกลงไปในสระน้ำเสียงตูมใหญ่

สายตาทุกคู่จ้องเป็นจุดเดียว  กรมหลวงชุมพรฯ ยืนมองร่างพลทหาร  ท้องน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ครั้นน้ำสงบลงจึงแลเห็นร่างของจระเข้ตัวโตอยู่ในน้ำ  ส่วนหัวมีเชือกผูกติดตัวแหวกว่ายวนเวียนสะบัดหากฟาดน้ำอยู่ไปมา

ทุกคนในที่นั้นต่างอัศจรรย์ในความขมังเวทย์ของหลวงปู่ศุข ส่วนกรมหลวงชุมพรฯ ทรงทอดพระเนตรดูลูกน้องกลายเป็นจระเข้  แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำด้วยใจระทึก ร่างของจระเข้พยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะดำดิ่งลงก้นสระ  ติดแต่ว่าถูกล่ามเชือกอยู่ โดยเหล่าทหารเข้าช่วยหลวงปู่ดึงเอาไว้

หลวงปู่ศุขได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า “ท่านจะให้ลูกน้องกลับเป็นคนหรือจะให้เขาเป็นจระเข้อยู่อย่างนั้น”  กรมหลวงชุมพรฯ  ได้ตรัสตอบว่า “ต้องการให้เขากลับเป็นมนุษย์อย่างเดิม”  หลวงปู่ศุขจึงให้พวกทหารช่วยกันดึงเชือกให้หัวจระเข้โผล่ขึ้นมาพร้อมกับสั่งกำชับว่า  “อย่าปล่อยให้เชือกหลุดมือหรือขาด  หากจระเข้หลุดไปแล้วมันจะดำลึกลงกบดานที่ก้นสระ โอกาสที่จะทำให้คืนร่างเป็นมนุษย์คงยาก”

พวกทหารจึงช่วยกันดึงรั้งเชือกกันสุดแรง กลายเป็นการชักเย่อระหว่างคนกับจระเข้ ส่วนหลวงปู่ศุขท่านเดินกลับกุฏิ  ครู่ใหญ่ถือบาตรน้ำมนต์ตรงมายังขอบสระที่จระเข้กำลังตะเกียกตะกายหนี จากนั้นท่านได้บริกรรมคาถากำกับน้ำมนต์อยู่อึดใจแล้วท่านได้สั่งด้วยเสียงอันดังว่า “เอา  ออกแรงดึงขึ้นมาหน่อย”  ทหารทุกคนทำตาม ออกแรงดึงให้ร่างจระเข้ลอยบนผิวน้ำ หลวงปู่ศุขจึงเอาน้ำมนต์ที่เสกแล้วเทราดบนหัวจระเข้ ความอัศจรรย์เกิดขึ้นเป็นคำรบสอง ร่างจระเข้ที่ดิ้นรนและฟาดหางไปมานั้นค่อย ๆ มีอาการสงบลง  แล้วร่างที่ขรุขระของจระเข้ก็กลายเป็นผิวเนื้อของมนุษย์ทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นทหารคนเดิมในเวลาต่อมา

กรมหลวงชุมพรฯ  มองดูทหารผู้นั้นด้วยความอัศจรรย์ในเป็นที่สุด  เรื่องที่พระองค์ไม่เคยพบเห็นในชีวิตก็ได้มาเห็นที่วัดของหลวงปู่ศุข (เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้  “สระประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ถูกถมเป็นพื้นดินราบและส่วนหนึ่งของสระได้ปลูกสร้างตึกเจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่ารูปต่อ ๆ มา)

อนึ่ง  จากหนังสือพระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ โดยชัยมงคล  อุดมทรัพย์  ได้บันทึกไว้เป็นความตอนหนึ่ง  ดังนี้

จากการบอกเล่าของพลทหารจ๊อก ภายหลังร่างกลับกลายเป็นคนว่า  ขณะที่ตนลงไปในสระก็มิได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นจระเข้แต่อย่างใด  เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองมีพละกำลังมหาศาลผิดปกติเท่านั้น  และแหวกว่ายน้ำด้วยจิตใจคึกคะนองฮึกเหิม  ในอยากดำผุดดำว่ายทั้งที่มองตัวเองแล้วก็มีร่ายกายเหมือนคนทุกอย่าง

ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับวิชาเสกคนให้เป็นจระเข้ของคุณทวี เย็นฉ่ำ ผู้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์คนหนึ่งของเมืองไทยกล่าวไว้ว่า  “จระเข้วิชา”  ก็คือ  “คน”  ซึ่งแก่กล้าวิชาอาคม  และมีเหตุให้กลายร่างเป็นจระเข้  เพราะความเรืองวิชาอาคมของตนเอง  จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตามที  ทำให้ไม่สามารถรดน้ำมนต์ลงไปที่ตัวจระเข้ได้  บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นจระเข้ต่อไปจนกว่าจะแก้มนต์กำกับหรือมนต์อาถรรพณ์ได้

ดังเช่นตำนาน “จระเข้คน”  จากจังหวัดพิจิตรอันเป็นแดนอาถรรพณ์ต้นกำเนิดนิทานพื้นบ้านอันลือลั่น เรื่องไกรทองและชาละวันนั่นเอง

มีเรื่องเล่าจากนายเนตร แพงกลิ่น  ที่เคยบวชเรียนอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า  ได้เล่าถึงคนกลายเป็นจระเข้แล้วมาให้หลวงปู่ศุขช่วยแก้อาถรรพณ์ให้ว่า ณ ท่าเรือทองนี้ (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)  มีการลงอาถรรพณ์ไว้ หากจระเข้วิชามาถึงท่าเรือทองนี้ จะต้องลอยหัวโผล่ขึ้นมา  ไม่สามารถดำน้ำได้อีกต่อไป คราวนี้พวกญาติจะนำน้ำมนต์หลวงปู่ศุขไปราดที่หัว  จระเข้วิชาก็จะกลายเป็นคนตามเดิม โดยจะนอนแน่นิ่งเกยตื้นริมตลิ่งอยู่

บางทีมีเรื่องทุลักทุเลไม่อาจราดน้ำมนต์ที่หัวจระเข้ได้  เพราะความกลัวของบรรดาญาติ หรืออะไรก็ตามแต่  บางทีเป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ ก็มี

จระเข้วิชาเมื่อถูกราดด้วยน้ำมนต์แก้อาถรรพณ์แล้ว  จะกลายเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา ญาติจะช่วยกันประคองไปหาหลวงปู่ศุขที่กุฏิ ท่านก็จะทำพิธีแก้อาถรรพณ์รักษาให้ นานอยู่ประมาณ 7-8 วัน คนผู้นั้นจึงจะพูดได้

ในบันทึกของนายเนตร แพงกลิ่น  ยังกล่าวอีกว่า  “เคยเห็นมีการรักษาจระเข้วิชานี้ประมาณ 3-4 ครั้งเท่านั้น และทั้งหมดเป็นจระเข้จากจังหวัดพิจิตร  จุดสังเกตจระเข้วิชาปากจะสั้น มีรูปร่างเหมือนหัวปลี

ย้อนกลับมาเรื่องเสด็จในกรมพระองค์ได้เห็นการเสกหัวปลีเป็นกระต่ายขาว จนถึงการเสกพลทหารจ๊อกเป็นจระเข้ แล้วทรงยอดรับว่าอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั้นเหนือกว่าพระเกจิอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่พระองค์ประสบพบมา รู้สึกพอพระทัยจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า

ศิษย์เอกของหลวงปู่ศุข

ตลอดชีวิตของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั้น  มีลูกศิษย์มากหลาย แต่ผู้ที่นับเนื่องได้ว่าเป็น  “ศิษย์เอก”  มีเพียงท่านเดียวเท่านั้น คือ “กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์”

ที่นับเป็น “ศิษย์เอก”  มิใช้เพราะกรมหลวงชุมพรฯ  มีเชื้อเจ้าหรือเป็นโอรสของรัชกาลที่ 5  แต่ที่นับเป็นศิษย์เอกก็เพราะศิษย์คนนี้รักและเคารพอาจารย์อย่างยอมตายถวายชีวิต  กับอาจารย์จะสั่งอย่างไรก็ทำตามได้ รับถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์ไว้ได้มากที่สุด และทำตามอาจารย์ได้ในการแสดงอิทธิฤทธิ์และอภินิหาร

มีบันทึกจากคนเฒ่าคนแก่ยืนยันว่า  “เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ”  ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงปู่ศุขไว้มากที่สุดเหนือกว่าศิษย์คนใด และมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งดุจบิดากับบุตร

กาลต่อมาเมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์  (19 พฤษภาคม พ.ศ.2466)   เมื่อหลวงปู่ศุขท่านทราบถึงกับนั่งนิ่งซึม ท่านอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนั้นนานมากดุจท่านปลงวอย่างหนักกับกฎแห่งวัฏสงสาร  หรือสังสารวัฏในโลกนี้ ในที่สุดปลายปี พ.ศ.2466  หลวงปู่ศุขได้มรณภาพลงด้วยโรคชราอันเป็นปีเดียวกับที่กรมหลวงชุมพรฯ สิ้นประชนม์

ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นจะมีมากมายขนาดไหนคงจะต้องศึกษาจากบันทึกของ นายผล   แก้วนพรัตน์ ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ศุขอีกท่านหนึ่ง  ได้ระบุว่า  เสด็จในกรมได้เคยพระราชทานเรือสำปั้นให้หลวงปู่ศุขลำหนึ่งเพื่อใช้ในเวลาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ  โดยเรือลำนี้เป็นเรือมีประทุนกว้างประมาณ 5 ศอก  ยาวราว 3 วา มีแจวหัว 2  แจวท้าย 2  มีห้องส้วมและห้องครัวพร้อมในตัว

บันทึกของนายผลกล่าวอีกว่า  มีอยู่ครั้งหนึ่งมีเรือโยงผ่านมาและรู้ว่าเป็นเรือของหลวงปู่ศุข เขาก็จะหย่อนเชือกลงมาให้เพลาเรือของหลวงปู่ศุขมีโซ่สั้นเพียงนิดเดียว ซึ่งแสดงว่าเกียรติคุณของท่านในขณะนั้นเป็นที่รู้จักกันมาก

กรมหลวงชุมพรฯ  นอกจากพระองค์จะถวายเรือสำปั้นมีประทุนแล้ว พระองค์ยังได้ถวายเรือให้หลวงปู่ศุขใช้ในการบิณฑบาต เรือลำนี้มีความยาว 8 ศอก เป็นเรือที่สั่งต่อเป็นพิเศษคือทำด้วยไม้ชิ้นเล็ก ๆ อัดด้วยตะปูทองแดงทั้งลำ เรือลำนี้ไม่ต้องใช้ชันยาก็ไม่รั่ว นอกจากนี้ตรงกลางลำเรือยังมีพนักพิงสายงาม  มีพนักทำโปร่ง สามารถถอดออกจากเรือได้  ทำเป็น 3 ชิ้น  เวลาไม่ใช้ก็พับได้

เวลาที่หลวงปู่ศุขท่านนั่งเรือออกบิณฑบาต  ท่านจะนั่งตรงกลาง มีลูกศิษย์พายหัวพายท้าย หลังจากที่หลวงปู่ได้มรณภาพลง  เรือลำนี้ยังคงใช้ได้อยู่จนถึงสมัยสมุหทองหล่อ  ทัศมาลี จากนั้นเรือลำนี้ก็ได้นำมาเก็บไว้ที่หอประชุมทางด้านเหนือของบริเวณวัด เพราะเป็นหน้าแล้ง และไม่ได้นำมาใช้อีกเลย

หลายครั้งที่หลวงปู่ศุขได้รับการนิมนต์จากเสด็จในกรมให้ไปพำนักที่วังของพระองค์ที่นางเลิ้ง โดยเสด็จในกรมได้จัดที่พักให้หลวงปู่ศุขพักอยู่กลางสระน้ำ พระและลูกศิษย์ที่ตามหลวงปู่มาจะอยู่ชั้นล่าง ส่วนหลวงปู่ศุขจะอยู่ชั้นบน  ที่พำนักแห่งนี้เป็นที่สอนและทดลองวิชาระหว่างอาจารย์กับศิษย์ นายผล แก้วนพรัตน์ ได้เล่าว่า  เคยเห็นหลวงปู่ศุขและกรมหลวงชุมพรฯ ได้ทดลองวิชาควายธนูในกุฏิเหลืองกลางสระนี้ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

ในบันทึกของนายผลยังได้เล่าอีกว่า ได้ตามหลวงปู่ศุขเข้ากรุงเทพฯ  และพำนักที่วังเสด็จในกรมหลายครั้ง ซึ่งขณะนั้นเขายังเป็นเด็กซุกซน  ลงไปว่ายน้ำในสระแล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนใบบัวขนาดใหญ่  (บัววิคตอเรีย)  จนถูกหลวงปู่ศุขเอ็ดเอา ระหว่างที่พำนักอยู่นั้น นายผลเคยติดตามเสด็จในกรมไปเที่ยวย่านสำเพ็ง  พระองค์เสด็จโดยนุ่งกางเกงถลกขาข้างหนึ่ง มือถืออ้อยเคี้ยวอ้อยและเสด็จไปเรื่อย ๆ เพราะในช่วงนั้นเป็นหน้าร้อน

มีเรื่องเล่าบอกต่อ ๆ กันมาถึงเสด็จในกรมพระองค์ทรงโปรดการใช้วิถีชีวิตกลางแจ้ง พระองค์เสด็จมาวัดปากคลองมะขามเฒ่าบ่อย ๆ ส่วนใหญ่แล้วพระองค์จะเสด็จมาทางเรือ บางครั้งก็มีเรือติดตามมาด้วยหลายลำ  ในการเสด็จมาของพระองค์นั้น  บางครั้งพระองค์จะนำหม่อมและโอรสมาด้วย  ซึ่งก็มีหลักฐานลายพระหัตถ์ในสมุดเซ็นเยี่ยมของวัดปากคลองมะขามเฒ่า 

บางครั้งกรมหลวงชุมพรฯ  จะทรงคุยกับหลวงปู่ศุขจนถึงดื่น  บางครั้งจะประทับที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าอยู่เป็นเดือน ๆ ซึ่งนอกจากจะมาศึกษาวิชาไสยศาสตร์แล้ว  พระองค์ยังถือโอกาสพักผ่อนพระวรกายและคลุกคลีกับราษฎร ในบางครั้งพระองค์ก็ทรงพระสำราญโดยเสวย “ไอ้เป้”  ซึ่งเป็นน้ำขาวที่ขึ้นชื่อมากแถบอุทัยธานี มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไอ้เป้ว่า  วันหนึ่งเสด็จในกรมฯ พบกับนายยอด พระองค์ทรงถามนายยอดว่า  “อ้ายยอด  อ้ายน้ำหวาน ๆ ขม ๆ มีที่ไหนวะ”  นายยอดรีบทูลบอก  “มีตรงนี้เองกระหม่อม”  เสด็จในกรมทรงบอก “กูให้วันละบาท  มึงเอาใส่กามาให้กูตรงต้นกระจะทุกวันนะ”  นายยอดกระทำตามที่รับสั่ง จัดหาไอ้เป้มาไว้ที่ต้นกระจะทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่ง พระองค์เสด็จมาไม่พบกาที่ใส่ไอ้เป้ จึงสั่งให้คนไปตามหาอ้ายยอด  ครั้นได้พบจึงตรัสถาม  “วันนี้ทำไมไม่นำกาน้ำมาให้”  นายยอดจึงทูลตอบพระองค์ว่า  “ตำรวจจับคนทำชื่อตาปั่นไปเสียแล้ว” 

เสด็จในกรมจึงเขียนจดหมายให้มหาดเล็กถือไปที่อำเภอเพื่อไปรับตัวตาปั่น  ดีประเสริฐ  คนทำไอ้เป้กลับมาจากตำรวจ

ได้วิชาหายตัวอยู่ในขวดโหลทำน้ำมนต์

ครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ  ได้เสด็จไปศึกษาวิทยาคมกับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขณะที่พระองค์สนทนากับพระอาจารย์สองต่อสองอยู่นั้น  พอดีมีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งได้แวะมากราบหลวงปู่ พ่อค้าจีนรายนี้เป็นชาวเกาะไหหลำ เจ้าของเรือบรรทุกสินค้าที่ล่องมาจอดอยู่ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ เมื่อเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขแล้วก็ออกปากขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศุขเพื่อนำไปพรมเรือเดินทะเลให้เป็นสิริมงคล  ปลอดภัยในการเดินทาง และเจริญรุ่งเรืองในการค้าขาย  แต่ตอนที่พ่อค้าจีนรายนี้เข้าไปกราบหลวงปู่นั้น กะเร่อกะร่าเข้าไปไม่รู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่กับหลวงปู่นั้นเป็นใคร เวลานั้นเสด็จในกรมนั่งถือขวดโหลแก้วใส่น้ำอยู่ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใครก็ไม่มีความคารวะเสด็จในกรม แล้วพ่อค้าจีนก็ออกปากขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศุข ทางฝ่ายหลวงปู่ก็พุดดุเอาว่า

“ไม่มีสัมมาคารวะ  เจ้านายกำลังเสด็จเซ่อซ่าเข้ามาได้ไง”

เสด็จในกรมได้ยินหลวงปู่กล่าวดุพ่อค้าจีนรายนั้น พระองค์จึงตรัสขัดขึ้นว่า

“โธ่ หลวงพ่อก็ในเมื่อสัตว์ผู้ยากที่ไหน ๆ พากันมาหาหลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์เขาไปเถอะ”

หลวงปู่ศุขฟังเสียงขัดของเสด็จในกรมอย่างนั้น  ก็มีท่าทางไม่พอใจที่เสด็จในกรมมาขัดคอต่อหน้าพ่อค้าจีน  (แต่บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นการแกล้งทำโกรธเพื่อจะลองวิชาให้พระองค์ได้เห็น) ขณะเดียวกันพ่อค้าจีนที่เข้าไปขอน้ำมนต์ก็ถือขวดโหลใส่น้ำเตรียมมาพร้อมเพื่อให้หลวงปู่เสกน้ำมนต์ให้  ทันใดสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  หลวงปู่ศุขผุดลุกขึ้นยืนแล้วเปลื้องอังสะออก  ทันใดนั้น ทั้งเสด็จในกรมและพ่อค้าจีนก็แลเห็นหลวงปู่ศุขกระโดดลงไปนั่งอยู่ในขวดโหลของพ่อค้าจีนรายนั้น ขวดโหลใบเล็กแต่มีร่างย่อของหลวงปู่ศุขนั่งแช่น้ำอยู่ในนั้น เป็นที่อัศจรรย์นัก

การเข้าไปอยู่ในขวดโหลเกิดขึ้นรวดเร็วจนใคร ๆ จับตาดูไม่ทันว่าท่านหายตัวและย่อตัวลงไปตอนไหน ท่านนั่งแช่น้ำในขวดโหลอยู่ครู่หนึ่งจึงกระโดดออกจากขวดโหล  พ่อค้าจีนยกมือขยี้ตาตัวเองด้วยความฉงน ส่วนหลวงปู่ศุขเดินไปหยิบอังสะมาครองเช่นเดิม แล้วกลับมานั่งลงเบื้องหน้าของเสด็จในกรมและพ่อค้าจีน

“น้ำมนต์เสร็จแล้ว เอาไปสิ”

หลวงปู่ศุขบอก  พ่อค้าชาวจีนก็รีบปิดฝาขวดน้ำมนต์แล้วกราบลาหลวงปู่ไป ปล่อยให้เสด็จในกรมและหลวงปู่ศุขได้สนทนากันต่อไป

ชาวจีนผู้นี้เมื่อได้น้ำมนต์ไปใช้สมใจนึก  ก็ล่องเรือไปค้าขายที่กรุงเทพฯ ได้กำไรเกินคาด  ขากลับขึ้นมาจากกรุงเทพฯ จึงซื้อ “ลิ้นจี่กระป๋อง”  มาถวายหลวงปู่  บังเอิญตอนนั้นหลวงปู่จำวัดอยู่พอดี และเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อหลวงปู่จำวัดนั้น “ห้ามมิให้ผู้ใดปลุกเด็ดขาด”  นอกจากเป็นเวลาฉันเพลหรือฉันยา  โดยอนุญาตให้เด็กวัดใช้ไม้เคาะที่ฝากุฏิเป็นสัญญาณ  แต่พ่อค้าจีนผู้นี้ก็ยังกะเล่อกะล่าเข้าไปปลุกท่านตื่นขึ้นมา  หลวงปู่คว้าตาลปัตรซึ่งอยู่ใกล้มือตีชาวจีนผู้นั้นทันที สิ่งที่หลวงปู่ทำนั้นแม้จะแฝงด้วยอารมณ์โกรธ  แต่ก็ไม่ทำร้ายใครให้ได้บาดเจ็บ  เพียงแต่ทำให้ตกใจเพราะตาลปัตรเป็นของเบาและแบน เป็นการเตือนชาวจีนให้ทราบว่าตัวท่านไม่พอใจและควรมีสัมมาคารวะนั่นเอง

ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของหลวงปู่ศุขที่เข้าไปอยู่ในขวดโหลคราวนี้เป็นต้นเหตุให้กรมหลวงชุมพรฯ ขอเรียนวิชานี้กับหลวงปู่และเป็นผลสำเร็จ พระองค์ได้นำไปทดลองแสดงให้ “หม่อม” ของท่านดูเป็นขวัญตา  ดังปรากฏในหนังสือ “พระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์”  เขียนโดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์  มีใจความว่า

คราเมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้กลับจากการเรียนวิชากับหลวงปู่ศุขมาใหม่ ๆ ได้มีบัญชาให้หม่อมทุกคน (ที่เคยมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า กับเสด็จในกรมจำนวน 8 คน ดังปรากฏรายนามตามลายเซ็นในสมุดเยี่ยมของขุนเธียรแพทย์)  มารวมกันแล้วให้หาขวดโหลใส่น้ำสะอาดมาใบหนึ่ง ครั้นแล้วสั่งให้หม่อมทุกคนหลับตาและกลั้นลมหายใจจนเต็มกลั้น  แล้วจึงลืมตาขึ้นมาใหม่  หม่อมทุกคนจึงได้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า พระองค์ประทับทรงพระสรวลอยู่ภายในขวดโหลนั้นอย่างสำราญพระอารมณ์

เมื่อหม่อมทั้ง 8 ได้อึดใจอีกครั้งหนึ่งและหลับตาลงพร้อมกันอีกครั้ง  ต่างก็ได้เห็นเสด็จในกรมทรงออกมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่วางขวดโหลเป็นร่างปกติพร้อมกันนั้นตรัสว่า “เป็นวิชาที่เรียนมาจากหลวงพ่อศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า"

เสือมาทดสอบจิต

เรื่องนี้หลวงพ่อเจริญ  ธมมถิโร    ได้เล่าให้ฟังว่า    ครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ   เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าพร้อมด้วยหม่อมของท่านหลายคน

ในครั้งนั้นเสด็จในกรมได้เดินเข้าไปชมภายในพระอุโบสถ ซึ่งพระองค์ได้เขียนภาพไว้ที่ผนังด้านใน  ทางด้านทิศตะวันตก (เป็นภาพพระแม่อุมา)  หลังจากที่พระองค์ได้เข้าไปชมเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาข้างนอก   พระอุโบสถ ทันใดนั้นเอง  พอพระองค์เดินเลี้ยวพ้นมุมพระอุโบสถเท่านั้นก็ปรากฏร่างของเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่งยืนผงาดแยกเขี้ยวคำรามเข้าใส่พระองค์ด้วยเสียงอันดังแห่งเจ้าป่า  ในวินาทีแรกเสด็จในกรมทรงตกพระทัย  ชะงักงัน  บรรดาหม่อมน้อย ๆ ของพระองค์ต่างร้องวี้ดว้ายด้วยความกลัวพากันกระถดถอยหนีจ้าละหวั่น  แต่พระองค์ก็ชายชาติเชื้อทหาร  เป็นศิษย์มีครู  เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อทรงระลึกได้เช่นนี้จึงบอกเดินต่อไปท่ามกลางสายตาของเหล่าหม่อม  เสือตัวนั้นได้ก้าวถอย พอพ้นพระอุโบสถเสือใหญ่ตัวนั้นก็หายลับไป

กรมหลวงชุมพรฯ  เดินตามทางต่อไปด้วยอิริยาบถปกติจนถึงถาน (ส้วม)  ของหลวงปู่ศุข  ก็พบจีวรหลวงปู่พาดอยู่ข้างฝาถานอันทำด้วยไม้ ทันใดนั้นหลวงปู่ได้เดินออกมาพร้อมกับยิ้มให้ กรมหลวงชุมพรฯ ก็ทรงยิ้มตอบพร้อมกับยกมือขึ้นนมัสการ

กรมหลวงชุมพรฯ ได้รับการถ่ายทอดวิชาทุกชนิดที่ท่านสนพระทัย  มียกเว้น 4 อย่างเท่านั้นที่หลวงปู่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ได้เพราะอาจารย์ของท่านสั่งห้าม  วิชาดังกล่าวประกอบด้วย

1.  ทางคด  บางแห่งเรียกกระสุนคด  วิชานี้นับว่ามีอันตรายอย่างสูง  ถ้าตกอยู่กับคนไม่ดี เพราะวิชานี้เสกลูกปืนเพียงลูกเดียวยิงเข้าไปในกองทัพข้าศึก ทหารจะล้มตายทั้งกองทัพ  วิชานี้หลวงปู่ศุขเคยทำให้พระองค์เห็นเมื่อครั้งหลวงปู่รับนิมนต์ไปพักที่วังนางเลิ้ง โดยหลวงปู่เสกลูกปืนลูกเดียวยิงใบบัวในสระทะลุทุกใบ (คันกระสุนวิเศษที่ใช้ยิง “ทางคต” นี้ทำจากไม้ที่ถูกฟ้าผ่า โดยหลวงปู่ทำขึ้นด้วยมือท่านเอง  ปัจจุบันอยู่ที่วัดศรีวิชัยวัฒนาราม   จ.ชัยนาท)

2.   วิชาเสกขี้เถ้าเป็นไฟประลัยกัลป์  เมื่อนำขี้เถ้าไฟมาปลุกเสกแล้วสาดออกไปทางทิศใดจะบังเกิดไปอาคมดวงใหญ่ไหม้ลุกลามใหญ่โตทางทิศนั้น ข้าศึกศัตรูไม่อาจผ่านและดับไฟได้ หากขี้เถ้าอาคมตกลงในเมืองไหน  บ้านเมืองนั้นจะพินาศเป็นจุณ

3.  เสกข้าวสารให้เป็นภูเขา เมื่อนำข้าวสารมาบริกรรมปลุกเสกแล้วขว้างไปทางทิศใดจะเกิดเป็นภูเขาใหญ่ขึ้นในทิศทางนั้น  ซึ่งวิชานี้จะทำให้บังเกิดแผ่นดินไหว กระแสน้ำไหลบ่าท่วมฉับพลัน บังเกิดภูเขาไฟระเบิด  และมีพายุร้ายต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  ผู้คนในทิศทางนั้นจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

4.  เสกทรายให้เป็นน้ำ  วิชานี้เมื่อบริกรรมเสกทรายแล้วสาดซัดออกไปจะปรากฏเป็นน้ำ เป็นห้วยหนองคลองบึงจนถึงแม่น้ำใหญ่  (จะบังเกิดฝนตกหนัก  ฟ้าผ่า  และอุทกภัยต่าง ๆ ในบริเวณนั้นได้)  วิชานี้หลวงปู่ศุขกล่าวว่าสามารถทำให้เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำได้

วิชาพิเศษทั้ง 4 อย่างนี้  สอนให้ใครไม่ได้ นอกนั้นหลวงปู่ศุขสามารถสอนให้กรมหลวงชุมพรฯ  ได้ทั้งสิ้น

การฝึกสอนนี้กระทำกันทั้งที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าและที่วังกรมหลวงชุมพรฯ เองที่กรงเทพฯ

เรียนวิชาวิเศษ “ระเบิดน้ำ”

จากบันทึกของนายแพทย์สำนวน  ปาลวัฒน์วิไชย ที่ออกสอบถามชาวบ้านคนเก่าแก่ที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเขียนถึงการเรียนวิชาขมังเวทของเสด็จในกรมกับหลวงปู่ศุข  ได้บันทึกไว้เป็นใจความดังนี้

อันการเรียน  “ระเบิดน้ำ”  ของกรมหลวงชุมพรฯ นี้ นายแฉล้ม เอี่ยมรอด คนเก่าแก่ได้เล่าว่า (เล่าเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2521  และได้สอบถามเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521)  ได้มีการเรียนระเบิดน้ำกันในเดือน 4  หลังจาก นายแฉล้ม บวชได้ประมาณ 4 พรรษา ตกประมาณเดือนมีนาคม 2464

คราครั้งนั้น กรมหลวงชุมพรฯ ได้ฝึกเรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขที่โบสถ์น้ำหน้าวัด โดยเสด็จในกรมนั่งบริกรรมอยู่บนโบสถ์น้ำพักหนึ่ง ก็กระโดดไปในน้ำตูมใหญ่  แต่กรมหลวงชุมพรฯ  สามารถทนอยู่ใต้น้ำได้เพียง 4  อึดใจใหญ่เท่านั้น แล้วพระองค์ก็ทรงโลดขึ้นมาบนผิวน้ำ จนผิวน้ำแตกกระจาย จากนั้นพระองค์ทรงกล่าวกับหลวงปู่ว่า “ทนไม่ไหว” 

ผลการทดสอบเรียนระเบิดน้ำในวันแรกไม่อาจเป็นผลสำเร็จได้  ในวันรุ่งขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ  ได้ขอทดสอบผลการเรียนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พระองค์มีความตั้งใจสูงแบบยอมตายถวายชีวิตกับวิชาพิเศษนี้ทีเดียว

ฝ่ายหลวงปู่ศุขก็เอาจริงเช่นกัน แต่ท่านก็มีความเสี่ยงเพราะศิษย์ท่านนี้มิใช่สามัญชน  หากเป็นถึงโอรสของพระมหากษัตริย์ ทว่าศิษย์กับอาจารย์ต่างก็ “ใจถึง”  ด้วยกัน  โดยหลวงปู่นั้นถึงกับเตรียมไม้ถ่อค้ำเรือไว้อันหนึ่ง  ไม้ถ่อนี้ท่านยืมมาจากเรือบรรทุกข้าวที่จอดอยู่หน้าวัด  หลวงปู่บอกว่า “ถ้าโผล่ขึ้นมาอีกจะเอาไม้ถ่อค้ำคอ”  ปรากฏว่าในการทดสอบครั้งที่ 2  เสด็จในกรมสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จ   คือทนอยู่ในน้ำได้ถึง 3 ชม.  แล้วจึงขึ้นบก

ในบันทึกยังเล่าว่าหลวงปู่ศุขปลื้มใจมากที่ศิษย์เอกเรียนวิชานี้ได้สำเร็จ ท่านได้คุยให้ชาวบ้านและมัคนายกฟังว่า  การที่กรมหลวงชุมพรเรียนครั้งนี้สำเร็จ เพราะได้ฝึกจิตได้สูงแล้วนั่นเอง

การเรียน “ระเบิดน้ำ”  นี้ทำในตอนกลางวัน  หลังจากที่หลวงปู่ฉันเพลแล้ว โดยมีชาวบ้าน  มัคนายก และพระเณรที่วัดร่วมดูอยู่ประมาณ 20-30 คน  รวมทั้งพระภิกษุแฉล้ม  (นายแฉล้ม เอี่ยมรอด)  ผู้เล่าด้วย

ในบันทึกของนายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย ยังกล่าวอีกว่าได้มีโอกาสคุยกับนายเชื้อ แตงฉ่ำ  บ้านหมู่ที่ 5 ต.หาดท่าเสา  อ.เมือง  จ.ชัยนาท อายุ 84 ปี  ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าตนเคยเห็นกรมหลวงชุมพรฯ เรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขด้วยตาตนเอง  ดังนี้

ครานั้น  ตัวผู้เล่ารู้ว่ากรมหลวงชุมพรฯ เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะผู้ใหญ่บ้านบอกเมื่อตนไปที่วัดก็เห็นกรมหลวงชุมพรฯ  ซึ่งสักตามตัวจนดูดำไปหมด  ได้ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินตามหลวงปู่ไปที่แพโบสถ์น้ำ

เมื่อพิธีเริ่มขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ  ลงไปที่แพโบสถ์น้ำต่อหน้าหลวงปู่ศุข  ผู้เป็นอาจารย์ซึ่งนั่งบริกรรมอยู่ ครั้นแล้วพระองค์ท่านได้กระโดดลงไปในน้ำ  ดำผุดดำโผล่อยู่หลายครั้ง  ครั้งสุดท้ายหลวงปู่จับพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ กดลงไปในน้ำ คราวนี้เสด็จในกรมจมหายลงไปในน้ำนานมากเป็นชั่วโมง ๆ จนนายเชื้อเองคิดว่าเสด็จในกรมต้องสิ้นพระชนม์แน่คราวนี้

ทว่า ท่าทีสีหน้าของหลวงปู่มีแต่ความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างสูง  ไม่ได้มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนพิธีเสร็จ กรมหลวงชุมพรฯ โผล่ขึ้นมาแล้วปีนขึ้นแพโบสถ์น้ำ ทำให้นายเชื้อ หายใจโล่งอก

หลวงปู่ศุขได้เดินขึ้นฝั่งไปที่กุฏิ มีเสด็จใจกรมเดินตามและพากันขึ้นไปบนกุฏิ

ยังมีเรื่องการเรียนระเบิดน้ำของกรมหลวงชุมพรฯ  อีกเรื่องหนึ่ง  จะเป็นการเรียนระเบิดน้ำขั้นต้นหรืออย่างไรก็สุดจะสันนิษฐานได้  เพราะเป็นเรื่องของการ “แอบดู”  และได้เห็นมา ดังนี้

นางหีบ สุขทอง  เป็นผู้เล่าเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2523  มีใจความว่า คราวนั้น นางหีบได้คลอดบุตรและกำลังอยู่ไฟในตอนกลางวันสามีของตนชื่อนายยอด  ได้ทราบจากผู้ใหญ่อุ่น ศุภรัตน์  ว่าตอนกลางคืนกรมหลวงชุมพรฯ  จะเรียนระเบิดน้ำ  จึงได้ชวนกันไปแอบดู

หลวงปู่ศุขและกรมหลวงชุมพรฯ ฝึกเรียนกันในตอนเที่ยงคืนวันเพ็ญเดือน 12  มีทหารควบคุมทางเข้าทุกทางไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปดู  หลวงปู่เดินนำกรมหลวงชุมพรฯ  ลงไปในน้ำตรงต้นมะเดื่อหน้าวัดทางทิศใต้  กรมหลวงชุมพรฯ ถือเทียน 7 เล่ม  พนมมือ  หลวงปู่ศุขเอาบาตรครอบพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ  แล้วกดลงไปในน้ำ

เสด็จในกรมทะลึ่งพ้นน้ำขึ้นมาถึง 2 ครั้ง จนหลวงปู่ศุขต้องกล่าวว่า  “จะไม่เอาหรือไง ตัดสินใจให้ดี”  คราวนี้หลวงปู่กดบาตรที่ครอบพระเศียรลงไปนานมาก เสด็จในกรมจึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำและเทียนดับหมด

เรื่องนี้จะเป็นการเรียนวิชาอะไรไม่ทราบแน่นอน เพราะนายยอดเป็นผู้เล่าให้นางหีบฟัง

อันวิชา  “ระเบิดน้ำ”  นี้ก็เป็นวิชาเดียวกับที่ไกรทองใช้ลงไปปราบชาละวัน จระเข้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ในตำนานท้องถิ่นไทยนั่นเอง คือการจุดเทียนส่องลงไปใต้น้ำโดยเทียนไม่ดับ

ว่ากันว่าน้ำจะระเบิดเป็นช่องลงไปในบาดาล  ผู้สำเร็จวิชานี้เดินไปในน้ำหายใจดุจบนบก ไม่มีอันตรายใดๆ

เป็นที่คาดกันว่าการที่กรมหลวงชุมพรฯ  ต้องการเรียนวิชานี้เพื่อคิดช่วยชาติบ้านเมืองในยามคับขัน โดยใช้ยุทธวิธีลงไปในน้ำระเบิดเรือรบข้าศึก

ผ้าเจียดของพระอาจารย์

การเรียนพุทธาคมของเสด็จในกรมเป็นไปด้วยดีจนคนทั่วไปยอมรับว่า  กรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีกฤติยาคมสูงส่งหาใครเทียบเสมอได้ในยุคนั้น

ในกองทัพเรือยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ข้าราชบริพาร  จนถึงลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนนายเรือ รู้กันว่าพระองค์ทรงโปรดการลองวิชา และชีวิตของพระองค์เต็มไปด้วยความผาดโผนมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  (รัชกาลที่ 6)  ครองราชย์อยู่นั้น  เป็นยุคที่กีฬามวยไทยเฟื่องฟู  ค่ายมวยต่าง ๆ ผุดขึ้นมากมาย ทางราชสำนักจึงจัดให้มีการแข่งขันกีฬามวยไทยขึ้นในกรุงเทพฯ  เพื่อหาเงินบำรุงสมทบทุนซื้อปืนให้กองเสือป่าทั่วประเทศ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้นายแม็ค เศียรเสวี (พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี)  นายเสือป่าใหญ่ เป็นผู้จัดการหาเงินสมทบมีประกาศเรียกนักมวยฝีมือดีจากทุกภาคทุกหัวเมืองให้เข้ามาอยู่รวมกันโดยพักอยู่ที่สโมสรเสือป่า ใกล้เขาดินวนา และในสมัยนั้นเองได้มีนักมวยจากโคราช ฝีมือยอดเยี่ยมมีชื่อเสียงเข้ามาร่วมอยู่ด้วย คือ นายทับ จำเกาะ  และนายยัง หาญทะเล

โดยเฉพาะนายยัง หาญทะเล มีชื่อเสียงดีเป็นพิเศษ นักมวยคนนี้เป็นชาวนครราชสีมา  บ้านอยู่ตำบลหัวทะเล ฝีมือในการชกมวยจัดว่าสูงมาก เพราะเคยชกนักมวยจีนชั้นครูถึงแก่ความตายไปถึง 2 คน

แต่ข่าวบางกระแสกล่าวว่า นายยัง หาญทะเล เป็นศิษย์เอกของเสด็จในกรม เนื่องจากนายยังเคยรับราชการทหารเรือ เพราะความมีชั้นเชิงในเรื่องหมัดมวยติดตัวมาด้วย  เสด็จในกรมจึงทรงโปรดปรานนายยังเหนือกว่าใคร ๆ

ในคราวเสด็จประพาสเรือรบหลวง  เกี่ยวกับการฝึกภาคทะเล  นายยังคนนี้ก็ติดตามไปด้วย ขณะเรือรบหลวงกำลังแล่นฝ่าคลื่นกลางทะเลลึกในอ่าวไทยในวันหนึ่ง  ก็มีเสียงเป่าแตรเรียกทหารประจำการเข้าแถว  แล้วเสด็จในกรมทรงดำเนินตรวจพลบนดาดฟ้าเรือ จากนั้นทรงมีรับสั่งให้เรือรบหลวงทอดสมอลอยลำกลางทะเล  ในโอกาสนี้เสด็จในกรมทรงแจกผ้าเจียดลงเลขยันต์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ทหารทุกคน พระองค์มีรับสั่งว่า

“ผ้าเจียดที่ข้านำมาแจกแก่พวกเจ้านี้ เป็นของท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่า  มีอานุภาพและอภินิหารยิ่ง  ถ้าใครมีความเคารพนับถือสามารถเดินบนผิวน้ำไม่จมน้ำตายและป้องกันสัตว์ร้ายนานาชนิด  การที่นำมาแจกในวันนี้ใครจะทดลองโดดลงในทะเลให้ข้าดูบ้างหรือไม่”

ทหารทุกคนฟังแล้วเงียบกริบ  ไม่มีใครกล้าตอบและคงไม่มีใครคิดเสี่ยง เพราะขณะนั้นเรือลอยลำอยู่ท่ามกลางดงฉลาม เสด็จในกรมรู้สึกไม่พอพระทัยในความไม่พูด ไม่กล้าของเหล่าทหารทั้งหลาย พระองค์จึงตรงมาที่นายยัง หาญทะเล ทรงรับสั่งถามว่า  “อ้ายยัง เอ็งพอจะกล้าลงไปว่ายเล่นในทะเลให้สนุกสักครั้งหรือไม่  ให้ข้าเห็นความศักดิ์สิทธิ์ในผ้าเจียดของท่านอาจารย์สักหน่อยไม่ได้รึ”

นายยังทูลตอบ “เมื่อเป็นพระประสงค์  กระหม่อมจะขออาสาพระเจ้าข้า”

เสด็จในกรมดีพระทัย พร้อมกับทรงพระสรวลอย่างชอบใจในความไม่ประหวั่นพรั่นพรึงของนายยัง จึงรับสั่งอีกว่า

“อ้ายยัง  มึงสมชายชาติทหาร  จะรอช้าอยู่ทำไม อาราธนาแล้วระลึกถึงท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าเสียก่อน  แล้วกระโดดลงไปเลย”

นายยังยอดนักมวยเมืองโคราชจึงออกเดินไปยังกราบเรือ  แล้วก็พุ่งตัวลงในทะเลลึกอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น  เหมือนปาฏิหาริย์  เหล่าทหารเรือทุกคนได้เห็นนายยังลงไปยืนเด่นบนผิวน้ำอย่างอัศจรรย์ และรอบข้างนายยังมีปลาฉลามหลายตัวเวียนว่ายอยู่รอบ ๆ แต่ไม่ได้ทำอันตรายนายยังแม้แต่น้อย

ทหารเรือต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเพราะบุญบารมีกฤติยาคมของเสด็จในกรมและความขลังศักดิ์สิทธิ์ของผ้าเจียดหลวงปู่ศุข  ลูกประดู่ทุกคนรีบยกผ้าเจียดขึ้นไว้ทันที

ครั้นนายยังไต่บันไดเรือขึ้นมา  ก็คุกเข่าเข้ากราบถวายบังคมเสด็จในกรม  พระองค์ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย ก้มพระวรกายลงเอาพระหัตถ์ลูบศีรษะนายยังด้วยความเอ็นดูพลางตรัสว่า

“อ้ายยัง  เอ็งนี่หาญทะเล  สมสกุลที่ข้าตั้งไว้ให้ดีแท้”

เจอ “ตากัน” ยอดนักเลง

ครั้นเสด็จในกรมไปตากอากาศทางเรือ  พอถึงสัตหีบก็เอาเรือเล็กลงเพื่อเที่ยวหายิงสัตว์ให้เพลิดเพลินบนเกาะ  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนกกระยางฝูงหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ทรงประทับปืน ร.ศ. และเหนี่ยวไกยิงทันที น่าประหลาด  ลูกกระสุนปืน ร.ศ. กลับไม่ระเบิด  พยายามยิงหลายครั้งก็ยิงไม่ออกอยู่ดี เสด็จในกรมทรงประหลาดพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสงบนิ่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง  จึงลืมพระเนตร รำพึงขึ้นว่า

“ชะรอยจะต้องมีผู้มากอาคมอยู่บนเกาะแห่งนี้แน่”  จากนั้นพระองค์ทรงพระราชดำเนินชมแมกไม้ไประยะหนึ่ง ก็เหลือบเห็นกระต๊อบเล็กอยู่หลังหนึ่งมุงด้วยจาก  เสด็จในกรมจึงแวะเข้าไปดูพร้อมกับมหาดเล็ก

ขณะเดียวกัน  ประตูกระต๊อบเปิดออก ชายวัย 50 ปีเศษ ก้าวเดินออกมา เขามองดูเสด็จในกรมและมหาดเล็กอย่างเฉยชา แล้วพูดด้วยซุ่มเสียงขึงขังว่า “นี่..พวกนี้จะมาล่าสัตว์ในป่านี้ไม่ได้นะ”   เสด็จในกรมทรงพระสรวลก้องพลางตรัสว่า “สัตว์ในป่านี้แกเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อไร..แกชื่ออะไรล่ะ”  ชายสูงอายุตอบ  “ชื่อกัน” 

เสด็จในกรมถามอีก “ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว  ไม่กลัวเสือกินหรือ” 

“ไม่อยากอยู่ใกล้มนุษย์มันเหม็นสาบ ข้าอยู่ที่นี่นายแล้ว  ตกเบ็ดหาปลา เก็บผักเก็บหญ้ากิน เลี้ยงตัวคนเดียวสบายใจดี.. แกล่ะเป็นใคร บังอาจมายิงสัตว์ในป่าที่ข้ารักษาอยู่  ในแถวนี้ไม่มีใครกล้ามารังแกสัตว์ในเกาะนี้หรอกนะ”  ตากันบอก เสด็จในกรมได้ฟังคำพูดเย่อหยิ่งของตากัน  ทรงรู้สึกหมั่นไส้เหลือกำลัง จึงตรัสออกไปว่า

“แกนี่รู้สึกอวดดีนักนะ  เดี๋ยวก็จับตัวไปถ่วงลงในอ่าวให้ขาดใจตายเสียเลย”

ตากันได้ฟังก็หัวเราะลั่นไม่แยแสคำขู่ แล้วยังพูดท้าทายอีกว่า  “อย่าว่าแต่อ่าวแค่นี้เลย  ในท้องทะเลข้ายังเคยเดินเล่นนั่งเล่นหลาย ๆ วันเลย  พวกเอ็งเก่งจริงจับข้าใส่กระสอบมัดเอาไปถ่วงในอ่าวได้เลย”

เสด็จในกรมถูกลองดีอย่างนี้มีหรือจะทรงยอม  และอยากดูของดีจากตากันด้วย  ทรงรับสั่งมหาดเล็กที่ติดตามมาด้วยช่วยกันจับตากันมักใส่กระสอบ  เอาขึ้นเรือเล็กไปถ่วงที่เรือรบจอดทอดสมออยู่ โดยเอาเชือกโยงปากกระสอบติดไว้กับเรือรบ  ทั้งยังทรงรับสั่งอีกว่า “ถ่วงให้นานครบ 24 ชม. แล้วค่อยเอาขึ้น ถ้าตายก็เอาไปฝังบนเกาะให้เป็นผีเข้าเกาะไปเลย”(กล่าวกันว่าเสด็จในกรมทรงทราบดีว่า“ตากัน” มีวิชาไสยเวทพอตัว จึงเกิดการลองวิชากันขึ้น) 

ครั้นครบ 25 ชม. ทหารเรือก็ช่วยกันดึงกระสอบขึ้นมาบนเรือ แล้วแก้มัดปากกระสอบออก  ทุกคนต้องตะลึงเพราะเห็นตากันนั่งขัดสมาธิยิ้มแฉ่ง เชือกที่เคยมัดมือมัดเท้าหลุดออกหมด  ตากันลุกขึ้นแล้วคลานเข่าเข้ามากราบเสด็จในกรม  (คงทราบแล้วว่าคนที่ตนท้าทายเป็นเชื้อพระวงศ์)  พระองค์จึงตรัสว่า  “ตากัน แกมีวิชาอะไรดี”

ชายขมังเวทรีบทูลตอบ “เกล้ากระผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าจึงมีวิชาอาคมติดตัวอยู่บ้างพะยะค่ะ”

เสด็จในกรมทรงได้ยินเช่นนั้นก็ปีติยินดีอย่างยิ่ง  ตรัสบอกไปว่า  “เออ..เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันกับฉันนะสิ”  แล้วพระองค์ได้ให้เรือเล็กไปส่งที่ฝั่ง  พร้อมทั้งมอบอาหารการกินที่จำเป็นไปด้วย

ในเวลาต่อมาจึงเรียกอ่าวแห่งนี้ว่า “อ่าวตากัน”

ส่วนตากันนั้นชาวบ้านย่านสัตหีบและบางเสร่นั้นศรัทธากันมาก จนเป็นที่เลื่องลือว่า แกเก่งด้านกสิณ  สามารถที่จะใช้อำนาจจิตบังคับธรรมชาติได้ เช่น  ห้ามฝน  ลุยไฟ ล่องหน  กำบังตน เรียกลมเรียกฝนได้

มีวัตถุมงคลที่แกสร้างจนดังสืบมาทุกวันนี้คือ  “ปลัดขิก”  ซึ่งทำมาจากกัลป์ปังหา  ซึ่งมีอยู่ในท้องทะเล  ถือเป็นของขลังตามธรรมชาติ   ว่าวันว่า...หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการทำปลัดขิกนั้น ก็ร่ำเรียนวิชามาจาก “ตากัน”  นี้แหละ

หลวงปู่ศุขให้ตะกรุดสามกษัตริย์

ในคราวหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า  มีจางวางถึกตามเสด็จไปด้วย พร้อมกับทหารเรืออีกหลายนาย  และวันนั้นหลวงปู่ศุขได้ทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 12.00 น. พอดี หลวงปู่ได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า

“วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมภาพได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้ว  แต่ยังขาดของสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้พระองค์จะขาดไม่ได้เพราะจะต้องติดตัวไว้กับพระองค์เสมอ เป็นของวิเศษที่มีอภินิหารมาก”

นอกจากนี้หลวงปู่ได้ตระเตรียมสิ่งของไว้ให้คือ แผ่นโลหะเป็นเงินหนัก 1 บาท นาคหนัง 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท รวมเป็น 3 กษัตริย์  สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้

เมื่อลงตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือจะคล้องคอก็ได้  ของสิ่งนี้แหละที่หลวงปู่ศุขตั้งใจทำถวาย และกล่าวกับพระองค์อีกว่า  “รอเดี๋ยว เข้าที่บูชาก่อน”

จากนั้นหลวงปู่ก็เข้าห้อง  จุดธูปเทียนจนควันตลบออกมาถึงข้างนอก สักครู่หนึ่งจึงเรียกเสด็จในกรมเข้าไปในห้อง  ครู่ใหญ่ทั้ง 2 ก็เดินออกมาจากห้อง ในมือของหลวงปู่ศุขถือเหล็กกับแผ่นโลหะและด้ายควั่นสีขาว  อีกมือหนึ่งถือเทียนเล่มโตนำเสด็จในกรมลงจากกุฏิ  จางวางถึกและทหารคนสนิทรีบก้าวตามออกไปด้วยจนถึงศาลาน้ำหน้าวัด  หลวงปู่จึงพูดว่า

“พระองค์รออยู่ที่นี่เดี๋ยว  อาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้”

กรมหลวงชุมพรฯ  มิได้ตรัสตอบแต่ประการใด คงยืนนิ่งอยู่ที่ศาลาพร้อมด้วยเหล่าทหารคนสนิท  ส่วนหลวงปู่ศุขก็หันตัวก้าวเดินลงบันไดท่าน้ำ  มีเทียนเล่มใหญ่จุดไฟลุกโชติช่วง ตัวท่านค่อย ๆ จมหายไปในน้ำในที่สุด

ทุกคนเฝ้ามองด้วยใจระทึก  เพราะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก  น้อยคนจะมีโอกาสเช่นนี้  หลายคนเฝ้าจับจ้องท้องน้ำอย่างใจจดใจจ่อ  ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลวกวนไปมา  นานเกือบหนึ่งชั่วโมง  หลวงปู่จึงเดินขึ้นมาที่บันไดศาลาท่าน้ำ  เทียนยังสว่างเหลือเพียงคืบกว่า ๆ ผ้าสบง จีวร หาได้เปียกน้ำอะไรมากมาย (หมาด ๆ)

หลวงปู่ขึ้นมาแล้วก็มุ่งสู่กุฏิทันที  แต่ก็ไม่ลืมหันมาสั่งเสด็จในกรมฯ ให้ไปกุฏิพร้อมกัน เมื่อเดินไปถึงและเข้าห้องบูชา หลวงปู่เอาเทียนที่เหลือปักไว้บนโต๊ะหมู่บูชา  จึงได้นั่งลง  หลวงปู่ศุขส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมฯ  พลางว่า

“เก็บไว้ให้ดี ไปไหนมาไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วย”

พระองค์ทรงกราบแล้วรับเอาตะกรุดจากหลวงปู่ พลางตรัสถามว่า  “ท่านอาจารย์  ตะกรุดนี้มีข้อห้ามอะไรหรือไม่”  หลวงปู่บอก  “ไม่มีห้ามอะไร  ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ”

จากนั้นหลวงปู่เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกให้เหล่าทหารที่ตามเสด็จพร้อมกับประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วหน้า  จนเวลา 15.30 น.  พระองค์จึงได้มาลงเรือและเสด็จกลับ

ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ กรมหลวงชุมพรฯ มิเคยเอาออกห่างพระวรกายเลย เท่าที่ทราบมาตะกรุดดอกนี้ตกอยู่ที่หม่อมเจ้ารังสิยากร  เนื่องจากก่อนที่เสด็จในกรมจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ดอกนี้ออกจากคาดเอว มอบให้กับหม่อมของท่าน ทรงรับสั่งว่า “เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น”

“เจ้าตุ่น”  นี้คือหม่อมเจ้ารังสิยากร  โอรสพระองค์โปรดของเสด็จในกรม

ในช่วงสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา (เสด็จในกรมสิ้นพระชนม์แล้ว)  หม่อมเจ้ารังสิยากรประทับอยู่ใกล้วัดคอกหมู  คลองบางหลวง ฝั่งธนบุรี  วันนั้นเวลา 10.30 น.  ฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตรส่งป้อมบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพญี่ปุ่น เครื่องบินสีน้ำเงินสะท้อนแสงอาทิตย์วับวาวเต็มท้องฟ้า

หม่อมเจ้ารังสิยากรแหงนหน้ามองฝูงบินที่บินผ่านไปพร้อมกับพูดกับนายทหารผู้หนึ่งที่ยืนมองดูเครื่องบินด้วยกัน “นี่เครื่องบิน บี.27”   ฉับพลันนั้น  ก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดที่ลงถล่มทางปากคลองตลาดเทเวศร์สนั่นหวั่นไหว นายทหารผู้นั้นทำความเคารพก่อนจะถามหม่อมเจ้ารังสิกากรว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวลูกระเบิดหรือ”  หม่อมเจ้ารังสิยากรได้ฟังก็ควักเอาตะกรุดขึ้นจากกระเป๋าเสื้อชูให้ดู  แล้วพูดว่า  “จะต้องกลัวอะไร นี่..เสด็จพ่อให้ของดีไว้”

ใช่แล้ว  เป็นตะกรุดสามกษัตริย์ที่หลวงปู่ศุขทำถวายกรมหลวงชุมพรฯ นั่นเอง

                                                                               
                                             
                                           

20
ใช่วัดยายร่ม ถ.พระราม2ป่าวครับ

21
เป็นธรรมะ กับเรื่องใกล้ตัวดีครับ น่าจะนำไปใช้ และเข้าใจกันได้ง่าย
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

อนุโมทนาบุญแก่ผู้ที่สนใจทุกท่าน และ ขอให้บุญรักษาครับ

-โทษคนอื่นได้กิเลส โทษตนเองได้ปัญญา
-กิเลสไหลท่วมท้นใจทั้งคืนวัน คิดว่าปัญญาเพียงน้อยนิดจะเอาชนะกิเลสได้

*ควรใช้ปัญญาพิจารณาทุกครั้งในการรับข้อมูล ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อครับ

คำถาม
พระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปใหน ถ้าเรานิพพานแล้วเราจะรู้ตัวใหมว่าเราจะไม่ได้เกิดอีกแล้วเราจะได้ภูมิใจกับกรรมดีที่เราทำมาทั้งหมด (ที่อุตสาห์ละกิเลส เพราะการทำความดียากกว่าทำความชั่ว เราต้องพยายามทำ แต่ความชั่วไม่ยากเลยเพราะมันเป็นไปตามกิเลสของเรา)แล้วทำไงถึงจะนิพพานไม่ต้องเกิดอีก การนิพพานจะมีความสุขมั้ย คงไม่ต้องทำงาน ไม่หิว ไม่หนาว ไม่ร้อน นะคะ

ตอบ
พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว คำว่า ดับขันธ์ ก็ได้แก่ การดับของอำนาจปัจจัยที่จะก่อให้เกิดรูปขันธ์ นามขันธ์ที่จะตั้งขึ้นปฏิสนธิในภพใหม่ เพราะการสิ้นกิเลส เสมือนไฟสิ้นเชื้อ..
ดังนั้นพระนิพพานจึงไม่ใช่เมืองหรือสถานที่ที่ใครๆจะไปมีความสุขเช่นที่เข้าใจกัน...เมื่อสิ้นการเกิดแล้ว ก็ไม่มีรูปที่จะต้องรับทุกข์เพราะการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายอีกต่อไป... ไม่มีนาม ได้แก่ จิต เจตสิกที่จะเกิดขึ้นมารับรู้ความสุขความทุกข์อีกต่อไป ไม่มีการมารับรู้อารมณ์ใดๆทั้งหมดอีกต่อไป ก็การดับอย่างนี้.... ย่อมไม่มีโอกาสที่จะมีรูปมีนามตั้งขึ้นใหม่เพื่อมารับทุกข์แห่งวิบากใดๆได้อีก กรรมที่เหลือนับชาติไม่ถ้วนที่ยังไม่ส่งผลนั้น.... ก็เป็นอันว่า เป็น อโหสิกรรมไปโดยสิ้นเชิง
ดับสิ้นไม่เหลือเชื้อให้เกิดได้อีก.... เหมือนดับไฟ... ถามว่า ไฟที่เคยสว่างนั้นไปอยู่เสียที่ไหนกันเล่า?...

เมื่อนามรูปดับไปแล้ว เพราะหมดเหตุและปัจจัยที่จะสืบต่อการเกิดขึ้นอีก.... ถามว่า ดับแล้วไปไหน ?....ปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน ?.....ท่านผู้ถามก็พึงตอบคำถามว่า ไฟ เมื่อดับแล้ว ไฟที่เคยสว่างนั้นไปอยู่เสียที่ไหน?
เมื่อนามดับแล้ว ไม่มีเหตุและปัจจัยให้นามดวงใหม่เกิดขึ้นมารับอารมณ์ใดๆอีก ก็อย่าพึงหมายว่าเราจะได้รู้ตัวไหมว่าเราจะไม่ได้เกิดอีก...ความคิดอย่างนี้ เพราะยังมีกิเลสที่เยื่อใยแม้ในคุณความดี ยังปรารถนาที่จะภูมิใจในความดีที่ตนกระทำแล้ว อย่างนี้ ไม่ใช่อารมณ์ของคนสิ้นตัณหา เช่น พระอรหันต์เลย
แต่เป็นอารมณ์ของปุถุชนที่ยังถูกกิเลสครอบงำไว้หนาแน่น ใจย่อมไม่อาจจะน้อมไปนึกถึงสภาวะของพระนิพพานได้ ก็ต้องอาศัยการฟังธรรม ฟังแล้วก็คิดเอา อนุมาณตามเหตุและผลเท่านั้น ใจจริงๆนั้น ย่อมหยั่งลงไปน้อมไปเพื่อพระนิพพานได้ยากนัก
เพราะแค่รู้ว่า จะไม่ได้เกิดอีก ใจก็แป้วไปแล้ว ด้วยอำนาจ ภวราคานุสัยที่อยู่ประจำใจในสัตวโลกทุกรูปทุกนาม...ต้องอาศัยปัญญาที่ฟังธรรมมากๆ เกิดศรัทธาแล้ว เกิดปัญญาแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ ใจจึงจะค่อยๆน้อมไปหาหนทางดับทุกข์

พระอรหันต์นั้น หาเยื่อใยไม่ได้แล้ว... กุศลก็หมด อกุศลก็หมดด้วยสิ้นอาลัย...เหลือแต่จิตที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป เป็นมหากิริยาจิตที่เกิดขึ้นมากระทำการงานน้อยใหญ่..... มหากิริยาจิตนั้น ไม่ก่อผลเป็นวิบากอีกต่อไปแล้ว...จึงสิ้นเชื้อสิ้นกิเลสไป..
ดังนั้น แม้ใจอยากจะภาคภูมิใจในคุณความดีนั้น ก็ยังเป็นด้วยอำนาจของราคานุสัยนั่นเอง...พระอรหันต์ท่านไม่มีกิเลสเหลือแล้ว ก็ถือว่า คำถามนี้เป็นโมฆะคำถาม เพราะเป็นธรรมที่ไม่เกิดแก่พระอรหันต์ และการหมดนามเพราะหมดปัจจัยหลังการตายของท่านนั้น ก็ไม่มีนามใหม่เกิดได้อีกต่อไป... การรู้อารมณ์ใดๆก็ไม่มีอีกต่อไปค่ะ
พระนิพพานนั้น ชื่อว่า บรมสุข...ชื่อว่า สันติสุข..หาใช่ความสุขด้วยกามคุณอารมณ์อย่างที่พวกเราปรารถนาก็หาไม่... แต่สุขเพราะสิ้นกิเลส สิ้นเยื่อใยในทุกสิ่ง สุขเพราะการที่ไม่ต้องเกิดมารับทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องสงวนรักษา ไม่หิว ไม่หนาว ไม่ร้อน เพราะไม่มีทั้งนามและ รูปอีกต่อไป... เรียกว่า สิ้นทุกข์ ค่ะ
การที่จะแจ้งพระนิพพาน ต้องเจริญปัญญา ต้องเรียนปรมัตถธรรม แล้วเจริญวิปัสสนา ทำปัญญาบารมีไป ...บารมีเต็มเมื่อไหร่ ก็ถึงได้ แจ้งได้ค่ะ...อย่างพวกเรา ก็อนุมานว่านับแต่เริ่มต้นทำบารมีเพื่อพระนิพพานเพราะใจนั้นน้อมไปจริงๆ..ก็ประมาณว่า ทำบารมีสั่งสมไปเป็นแสนกัปป์...อันนับชาติไม่ได้เลย ในชีวิตที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

หากเปรียบเสมือนหนึ่งเม็ดทราย คือหนึ่งชีวิต ... ก็เม็ดทรายทั่วทั้งปฐพีบนผืนโลกนั้น ยังน้อยกว่าชาติการเกิดที่พวกเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำบารมีเลยค่ะ...
เห็นยาวนานปานฉะนี้ ก็อย่าพึงท้อแท้ ไม่สายเลยที่จะเริ่มต้นนับหนึ่ง...สักวันหนึ่ง ก็เมื่อไหร่ เมื่อนั้นนั่นแหละ..บารมีคงเต็มได้ค่ะ...
ระหว่างทางแห่งการทำบารมี หากเจริญปัญญา ปัญญาย่อมฉลาดในการทำเหตุ ดังนั้น ชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์แสนสาหัส เพราะหมั่นกระทำบุญไว้เป็นที่พึ่ง ที่เกาะ ก็เรียกว่า เกิดมาก็ยังมีหวังได้ประสบสุขเป็นอันมาก..
สุขแล้วก็ไม่หลง ....ไม่หลงโลก ไม่หลงอารมณ์ บารมีจึงจะถูกสั่งสมไว้เป็นปัจจัยได้ในทุกๆชาติค่ะ

ขอบคุณ เวป raksa-dhamma ครับ

22
ประวัติพระอาจารย์สมชายไม่ทราบครับคงต้องรอผู้รู้ เเต่รู้ว่าค่าบูชาครูต่างจากกุฏิพระอาจารย์ท่านอื่นๆเเน่ครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ

23
ส่วนใหญ่เป็นหลวงพี่แป๊วนะครับ















ขออภัยด้วยนะครับภาพไม่ค่อยชัดเพราะใช้มือถือถ่าย



24
ถ้าผมจำไม่ผิดผมว่าหลวงพี่แป๊วเคยสักให้เพื่อนผมในวันเสาร์ห้านะครับ เดี๋ยวเอาไว้ว่างๆผมจะถ่ายรูปมาให้ดูนะครับ
ปล.ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะครับ

25
(พระราชธรรมวิจารย์) หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง หรือ วัดสุนทรธรรมทาน

ท่านเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ และยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากครูบาอาจารย์หลายๆท่าน หลวงปู่ท่านก็เป็นหนึ่งในเกจิดังช่วงยุคสงครามอินโดจีน หลวงปู่จะมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอมอย่างมาก เดินทางไปหาสู่กันประจำ ในยุคหลัง พ.ศ.2500 ท่านจะได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกพระในพิธีต่างๆตลอดเวลา โดยมากจะเป็นพิธีในกรุงเทพฯหรือจังหวัดใกล้เคียง พระและวัตถุมงคลของท่านจะเด่นในเรื่องเมตตา มหานิยม แคล้วคลาดและคงกะพัน ในทางเมตตา มหานิยมจะพิสูจน์ได้จาก พระเอกหนังดัง มิตร ชัยบัญชา ดาราดังตลอดกาลของวงการหนังเมืองไทย เป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วประเทศ ทางด้านคงกะพัน วัดแคนางเลิ้งอยู่ในถิ่นนักเลงในสมัยนั้น นักเลงดังๆในยุค แดง ไบเล่ย์ ปุ๊ ระเบิดขวด ถ้าไม่เก่งจริงลูกศิษย์ลูกหาเดือดร้อนแน่

การจัดสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงปู่ธูป จะจัดแบ่งเป็นสามยุคคือยุคต้นช่วงสมัยสงครามอินโดนจีนจะเป็นผ้ายันต์ ผ้าประเจียดและตะกรุดเสียส่วนมาก ด้านพระเครื่องจะสร้างไว้น้อย โดยมากจะเป็นพระผงแล้วนำไปชุบรักไว้อีกที (ต้องดูให้ดีๆว่าถูกยุคไหม) ยุคกลางคือช่วงปีพ.ศ.2504หลวงปู่จะสร้างพระผงน้ำมันเสียส่วนใหญ่ ยุคท้ายคือช่วงตั้งแต่ พ.ศ.2514-2517ท่านจะสร้างเป็นพระผง ด้านหลังมีฝังแร่ หรือจีวร หรือไม่มีฝังเลยก็ได้ เอกลักษณ์ในพระของท่านโดยมากจะปั๊มเป็นยันต์ใบพัด ที่ไม่ปั๊มก็มี แต่มีน้อยมาก ส่วนที่ปั๊มด้วยยันต์ตัวอื่นก็มีแต่หายากมาก เครื่องรางที่ขึ้นชื่อของท่านจะเป็นลูกอม เป็นเนื้อผงมีสองแบบคือขนาดเล็กไว้พกติดตัว และขนาดใหญ่หน่อยเรียกว่าลูกอมศรีสวาทด้านในจะใส่กริ่งเอาไว้ เขย่าจะมีเสีย เอาไว้แขวนหน้าร้านหรือใส่ไว้ในลิ้นชักเก็บเงิน เด่นทางด้านเมตตาค้าขาย เครื่องรางอีกอย่างคือผ้ายันต์สาลิกาน้ำจันทร์เป็นผ้ายันต์ปั๊มหมึก เด่นครบวงจรทั้งเมตตา มหานิยมและคงกะพันแต่ไหนแต่ไรก็หายากมากคนเก็บกันหมด

พระเครื่องของท่านเป็นของดีราคาถูกพุทธคุณสูง แถมราคาไม่สูงมากเพราะพระของท่านจะโดนลูกศิษย์ลูกหาสายตรงเก็บเข้ารังหมด ไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักในวงการมากนัก ปัจจุบันพระของท่านเริ่มๆทยอยแตกรังออกมาบ้าง เมื่อคนในไปบูชาเริ่มมีประสบการณ์ พระเครื่องของท่านจะหายากกว่านี้ครับ


CREDIT  Palungjit.com

27
เสือเผ่นผมไม่มี เอาเสือครูไปดูก่อนได้ ไหม อยากบอกว่าเสือที่วัดบางพระมีเสน่ มากๆๆ ว่ากันไหม




ขอถามเป็นความรู้นะครับ เสือครูในรูปอาจารย์ท่านไหนสักให้ครับ ขอบคุณครับ

28
รบกวนอยากทราบว่า นามหลวงปู่ อ่านยังไงครับ  ฐิตคุโณ  (ถิ- ตะ -คุ-โน) หรือว่า  (ถิ-คุ-โน) ครับ

น่าจะเป็น ทิ- ตะ -คุ-โน ครับ
ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะครับ

29
พระอาจาร์พันชอบให้ยันต์ใหญ่เป้งๆครับ ขอกราบนมัสการพระอาจารย์พันครับ

30
สาธุ กราบนมัสการหลวงปู่หิ่ม เเละขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล :053: :053:

31
ขอบคุณสำหรับธรรมมะดีๆเเละภาพประกอบสวยๆนะครับ

32
สวยงามมากครับพี่  :016: :015:
ปล. หายไปนานกลับมาอีกทีเกือบเต็มหลังเลยนะครับ


33
แล้วถ้าเราไม่ไปผิดลูกเมียคนอื่น แต่เรามี....หลายคนจะผิดมั้ยครับ....สงสัยครับ

ผมว่าก็ไม่น่าจะดีนะครับลองศึกษาคำว่า ผิดลูกผิดเมีย ให้ดีนะครับ

ผิดถูกขออภัยด้วยนะครับ

36
นำมาให้ชมเพิ่มเติม ที่เเขนทั้ง2ข้างนะครับ




37
ขอบคุณมากครับ กำลังจะขึ้นนอนเลยลองเข้ามาอ่านดูเเต่พออ่านจบเท่านั้นเเหละค้าบพี่....ไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว :075: :075:


38
สวยสุดๆเลยครับพี่ เห็นเเล้วเเบบว่าตาร้อน :054:

39
ของดีต้องอดทนครับ.... :054: :054: :054:
ครับลูกศิษย์หลวงพี่เเป๊วต้องอดทนครับ

40
ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นนะครับ :002: :002: :002:

41
ติชมได้ตามสบายเลยนะครับ

42
ผมว่าหงส์คงไม่ไช่ของหลวงพี่แป๊วน๊ะ๊ครับ 07;
ขอคอนเฟิมเลยครับ  หงส์ของหลวงพี่เเป๊ว100% เเน่นอนครับ

43
สวัสดีครับ ชื่อเหน่งครับอยู่พระราม2ครับ ถ้าเจอกันที่กุฏิหลวงพี่เเป๊วก็ทักทายได้นะครับ หลวงพี่เเป๊วจะเรียกผมว่ายุทธนะครับ

44
ดูท่าทางพี่จะเป็นคนรักเด็กนะครับอุปการะไว้หลายคนเลย

45
ขอบคุณครับ ข้อมูลเเน่นจริง :016: :015: :053:

46
ไม่น่าจะห้ามนะครับ
 ผิดถูกอภัยด้วยนะครับ

47


ไม่ต้องสงสัยมากหร็อกครับ  คุณนึกให้เขามาอยู่กับเราเขาก็อยู่
ให้ของเล่น น้ำแดงนึกบอกเอาก็ได้ครับ


มีลูกเยอะเเยะเลยนะครับพี่ถ้าเลี้ยงไม่ไหวเเบ่งมาให้ผมบ้างก้อได้นะครับ

48
กราบนมัสการหลวงพี่เเป๊วครับเเละขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

49
ไปมาเหมือนกันครับ  วันไหว้พอดีเลย คิดว่าคนจะน้อย 555+ ผมคนที่ไปกับเด็กตัวเล็กๆง่ะครับ พอจำได้ไหมเอ๋ย ที่กลับประมาณ 6 โมงอ่ะครับ
รถจอดอยู่แถวไหนในวัดง่ะครับ  แสดงว่า มีคนเอามาคล้องไว้กับที่ปัดน้ำฝนถึงในวัดเลยใช่ไหมครับ
ขอบารมี หลวงพ่อช่วยคุ้มครองคุณด้วยนะครับ สาธุ สาธุ
ผมก้อไปครับ พี่คนที่หลวงพี่ให้เอาคนที่เมาไปส่งนครชัยศรีใช่เปล่าครับ
ผมคนที่ใส่เสื้อดำนะครับจำได้หรือเปล่า...

50
ซึ้งเเละกินใจมากครับ
ขอบคุณครับ

51
กราบนมัสการหลวงพี่พันครับ

52
ลำดับที่24ครับ สะดวกทางเลือกที่2ครับวันเเละเวลาเดี๋ยวผมจะเเจ้งอีกทีนะครับ
 :053: :054:

53
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

54
ขอขอบคุณท่านพระอาจารย์และเจ้าของกระทู้มากครับ
ขอลงทะเบียนด้วยคนครับขอบคุณมากครับ :053: :054:

56
สุดยอดครับ ขอบคุณครับ :016: :015: :053:

57

 อยากทราบสาเหตุหรือสัยญานว่าของจะขึ้นด้วยครับ




น้ำมันจะขึ้นก่อนครับแล้วก็ตามด้วยค่าโดยสารรถประจำทางทีนี้ของทุกชนิดจะขึ้นตามมาติดๆปิดท้ายด้วยกระเทียมโลละร้อยกว่าบาทแล้ว
 แซวเล่นๆครับ.....สาระอันสำคัญของการสักยันต์นั้นมีมากกว่าสักมาเพื่อให้ของขึ้น....

ฮามากครับ ผมอ่านเเล้วฮาจนเกือบตกเก้าอี้เลยอ่ะ หัวเราะวันละนิดจิตเเจ่มใสนะครับ :007: :004:

58
ลายเส้นแบบนี้น่าจะเป็นการลงเข็มของหลวงพี่แป๊วครับ
ผิดถูกยังไง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ลายมือนี้ไม่ใช่ของหลวงพี่เเป๊วเเน่นอนครับส่วนจะเป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านไหนรอผู้รู้อยู่ครับ

อันนี้คือลายมือหลวงพี่เเป๊วครับ ขอบคุณภาพจากท่านโยมเพชรด้วยครับ

59
   1.ไปนำรูปของคนๆนั้นมาจะสีหรือขาวดำก็ได้(แต่ขอแบบปัจจุบันไม่เกิน 3เดือน)

   2.ไปนำจานสังกะสี(สังกะสีเท่านั้น)ไปวางไว้ในป่าช้าวางหงาย3 คืน  แล้ววางคว่ำ 3 คืน

   3.นำรูปคนที่เราเกลียดใส่ลงไปในจานแล้วถุยน้ำลายใส่หนึ่งทีแล้วเทน้ำผึ้งเดือนห้า(เดือนห้าเท่านั้น)ใส่ลงไป  แล้วเอาด้ามขวานลงไปคนสัก 3 รอบ

  4.นำจานที่ใส่น้ำผึ้งกับรูปไปให้หมาเลีย(ให้เลียจนน้ำผึ้งหมด)อย่าให้รูปหายนะ

  5.นำจานใส่น้ำผึ่งเดือนห้าอีกครั้ง(แต่ไม่ต้องใส่รูปลงไปเก็บไว้)แล้วนำไปวางขวางหน้าประตูบ้านมันไว้

  6.ซุ่มดูมันและถือรูปมันไว้ในมือ

  7.พอจังหวะที่มันมาเจอจานน้ำผึ้งวางอยู่และกำลังก้มลงหยิบจาน ก็ให้เราดูรูปให้แน่ใจ แล้ว "กระโดดออกไปฟันด้วยขวานที่หัว"  แล้วมันก็จะตาย...

ขำขำนะครับอย่าโกรธกันนะ :002: :007: :006:

60
บทความ บทกวี / บังเอิญหรือวาสนา
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2553, 10:09:54 »
มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด



คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่


เครดิต www.soccersuck.com

61
ด้านเมตตา ยันต์กวางเหลียวหลัง  ยันต์เพชรพญาธร ยันต์สาริกา ยันต์หงษ์ 

ยันต์จูงนาง ยันต์บัวบังใบ  จิ้งจกต่างๆ  ลองศึกษาจากกระทู้เก่าๆนะครับ ประสบการณ์ดีทุกยันต์ครับที่พระอาจารย์ท่านเมตตา
เพียงแต่จะเมตตาด้านไหนเท่านั้นเองครับ อิอิ เพราะแต่ละคนเจอคนละแบบ

นอกจากหลวงลุงติ่ง ก็มี หลวงลุงต้อย หลวงพี่ญา หลวงพี่นัน หลวงพี่มาร์ค ท่านก็สักได้ครับ


น้ำมันผมว่าขอได้ ไม่น่ามีปัญหานะครับ อิอิ บอกท่านสิครับ พระอาจารย์ผมเดินทางมาไกลขอด้านเมตตามหานิยมครับ
มาไกลด้วยไม่น่ามีปัญหา น้ำมันขอได้ครับ
ขอให้เดิทางปลอดภัย โชคดีครับ





สักไว้เยอะๆเลยนะคะ

ข้อความมีแก้ไข สงสัยจะมีหยอกแรงๆ กับเพื่อนสมาชิกแน่เลยนะครับ   :075: :075:




ถ้าเข้าไปสักน้ำมันกับหลวงน้าติ่ง โชคดีอาจจะได้ ๗ จุด มหาเสน่ห์ .. ละก็ ..เพลินละครับ พี่น้อง 


๗ จุด มหาเสน่ห์ คืออะไรหรอครับวานผู้รู้ชวยบอกผมที ขอบคุณครับ

62
ในกระบวนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ภูได้สร้างขึ้นไม้ครูเป็นของที่หายากมาก  เพราะท่านสร้างน้อยมากส่วนมากจะแจก เฉพาะ
ศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น เพราะกรรมวิธีการสร้างยากมาก จนท่านเคยพูดว่า "ไม่มีใครทำได้อย่างกู" วิชานี้คนที่มีบุญวาสนา
เท่านั้นถึงจะเรียนสำเร็จ

ไม้เท้าพ่อครูเป็นวัตถุอาถรรพณ์ ก่อนที่จะทำจะต้องหา ไม่ไผ่สีสุกกอที่ฟ้าผ่า และทอดยาวไปทางทิศตะวันออกทั้งกอ
เมื่อกอไผ่ถูกฟ้าผ่าต้องนั่งเฝ้าดูภายในเจ็ดวัน ถ้ามีช้างโขลงมาพบก่อไผ่สีสุก แล้วกระโดดข้ามก่อไผ่ไปทั้งโขลงจึงจะใช้ได้
ก่อนจะตัดต้องประกอบพิธีพลีกรรม โดยขอตัดไม้ไผ่ลำที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออก และตัดเอาท่านปลายเพียง ๓ ปล้อง
เท่านั้น

ในตำราระบุไว้ว่า ไม้ไผ่ลำนี้เปรียบประดุจไม้ยันพระวรกายของท้าวเวสสุวรรณ เมื่อได้ไม้ไผ่มาแล้ว ท่านก็นำมาจิ้มบน
ศพที่กล้าแข็ง คือศพคนตาย วันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ จึงเป็นเสร็จพิธีแล้วนำไม้ท่อนนี้เก็บเอาไว้ เพื่อตัดมาบรรจุ
อีกทั้งยังมีกระดูกแร้งส่วนมากไม้ที่จะทำไม้เท้าพ่อครูมีไม้รักซ้อน ไม้พยุง บางคนก็นำไม้ชนิดอื่นมาให้ท่านทำก็มี

กล่าวกันว่าถ้าใครอยากได้ไม้เท้าพ่อครูจะต้องขอท่านก่อนวันเสาร์ล่วงหน้าหนึ่งวัน ถ้าท่านรับปากในวันเสาร์ตอนเช้า
ผู้ที่มาขอจะต้องจัดเตรียมหัวหมู บายศรีปากชาม มะพร้าวอ่อนกล้วย ขนมต้มแดง ต้มขาว ใส่ถาดไปทำพิธี แล้วเอาไม้ตะพด
เจาะรูหัวท้าย หรือหัวเดียวก็ได้ไปถวายท่าน ท่านก็จะประกอบพิธีบรรจุไม้เท้าพ่อครู พร้อมกับอุดด้วยชันนะโรง ใต้ดิน
และจัดตอกนำมาลงอักขระบรรจุเข้าไปที่เจาะรูไว้ศิษย์ใกล้ชิดได้กล่าวว่า บางเสาร์จะมีหัวหมูเครื่องบายศรีถึง ๙ หัวด้วยกัน
แสดงว่าวันนั้นท่านทำถึง ๙อันการบรรจุไม้เท้า ถ้าข้างเดียว หรือสองข้างก็เรียกว่าไม้เท้าพ่อครู แต่มีบางท่านเรียก นิ้วชี้พระอิศวร
หรือต้นตายปลายเป็น

เมื่อท่านกระทำให้ผู้ใดก็ตาม ท่านจะกำชับหนักหนา ห้ามเอาไปตีใครเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผู้ที่ถูกตีถึงกับเสียจริต
(บ้า) รักษาไม่หาย นอกจากโดนกลั่นแกล้งถึงกับน้ำตาเป็นสายเลือดถึงสุดที่จะอดกลั้นได้  ในกระบวน วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้สร้างขึ้น เป็นของที่หายากมาก อิทธิฤทธิ์ของไม้เท้าพ่อครู
ใช้ป้องกันตัวเมื่อยาคับขัน ป้องกันโจรผู้ร้ายคุณไสย และภูติผีปีศาจ ไม่กล้ากล้ำกลายมารบกวน ซึ่งมีผู้ประสบมามากมาย
 
 
 
 



 

63
พ่อเเม่คือพระอรหันต์ในบ้าน ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ :054:

64
ขอบคุณครับถ้ามีโอกาสไปวัดจะร่วมทำบุญด้วยคนครับ

65
ศิษยานุศิษย์กว่าครึ่งแสนร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ"ครูบาผัด" เกจิอาจารย์ล้านนา ต้นตำรับตะกรุดกาสะท้อน ฮือฮารอบๆวัดฝนตกหนักแต่บริเวณพิธีลมพัดเย็นสบายไม่มีฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะที่ช่วงเผาศพทั้งปราสาทและโลงต่างไหม้ไฟหมด ทว่าสังขารครูบาผัดกลับไม่ไหม้ไฟ "ครูบาน้อย"ศิษย์เอกต้องนั่งอธิษฐานจิตล้างอาคมพระอาจารย์ จากนั้นไฟจึงเผาสรีระครูบาผัดจนหมดเป็นที่อัศจรรย์แก่ลูกศิษย์จนต้องก้มกราบ พร้อมกับเปล่ง"สาธุ"ดังกระหึ่ม

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 30 มี.ค.ที่เมรุชั่วคราวบริเวณลานอเนกประสงค์เจดีย์ 9 คณาจารย์ วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ มีพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูพิศิษฏ์สังฆการ หรือครูบาผัด ผุสฺสิตธมฺโม เกจิอาจารย์ชื่อดังล้านนา เจ้าตำรับตะกรุดกาสะท้อน โดยมีนายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ประธานฝ่ายฆราวาส เป็นผู้อัญเชิญผ้าไตรพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 5 ผืน และอัญเชิญไฟหลวงพระราชทานเข้าประกอบพิธี ฝ่ายสงฆ์มีพระเทพวิสุทธิคุณ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิธีพระราชทานเพลิงศพครูบาผัดครั้งนี้มีประชาชนและศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศมาร่วมพิธีกว่าครึ่งแสนคน ทำให้บริเวณเมรุชั่วคราวพื้นที่กว่า 30 ไร่แคบลงไปถนัดตา โดยช่วงทำพิธีเพื่ออัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและไฟหลวงพระราชทานนั้น เกิดลมพายุพัดตลอดเวลา ขณะเดียวกันรอบๆ วัดศรีดอนมูลเกิดพายุและฝนตกอย่างหนัก แต่บริเวณพิธีพระราชทานเพลิงศพครูบาผัดกลับไม่มีฝนมีแต่ลมพัดสร้างความเย็นสบายแก่ผู้มาร่วมพิธีเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ทุกคนต่างยกมือท่วมหัวสาธุ เพราะเชื่อว่าเป็นบุญญาบารมีของครูผาผัด

หลังเสร็จพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและไฟหลวงพระราชทานแล้ว พระสงฆ์ ประชาชนและศิษยานุศิษย์ร่วมกันวางดอกไม้จันทน์ จากนั้นพระราชทานเพลิงโดยใช้พลุและดอกไม้ไฟนานาชนิดตามประเพณีแบบโบราณเพื่อเผาทั้งปราสาทนกหัสดีลิงค์ โดยมีรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลชมภู คอยดูแลไม่ให้เพลิงลุกลามจำนวน 5 คัน

ทั้งนี้ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ปราสาทนกหัสดีลิงค์และลามไหม้โลงศพแก้วบรรจุสังขารครูบาผัดจนเป็นจุณไปในพริบตา ปรากฏว่าสรีระของครูบาผัดที่นอนสงบอยู่ในโลงแก้วกลับไม่ไหม้ไฟทั้งที่เปลวเพลิงลุกโหมรุนแรงตลอดเวลา ประชาชนและศิษยานุศิษย์ที่เฝ้าดูต่างฮือฮาและพากันก้มลงกราบพร้อมกับเปล่งคำว่า "สาธุ" ดังกระหึ่ม กระทั่งไฟได้ไหม้ปราสาทนกหัสดีลิงค์และโลง ศพจนหมดแล้วแต่กลับเหลือสรีระของครูบาผัดนอนทอดยาวบนกองเพลิงไม่ได้ไหม้ไฟไปด้วย

จากนั้นคณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์จึงร้องขอให้พระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อย เตชปัญโญ ศิษย์เอกครูบาผัด นั่งอธิษฐานจิตเพื่อล้างอาคมในตัวครูบาผัดให้หมดสิ้นไปเพื่อไฟพระราชทานจะได้ไหม้ส่งดวงวิญญาณไปสู่สัมปรายภพ เมื่อครูบาน้อยนั่งจิตอธิษฐานเพลิงก็ค่อยๆไหม้สรีระครูบาผัดไปเรื่อยๆ จนหมดเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้อยู่ร่วมงานหลายหมื่นคน

นายภัทร กองคำ คณะกรรมการวัดศรีดอนมูล เปิดเผยว่า สาเหตุที่สรีระของครูบาผัดไม่ไหม้ไฟนั้น น่าเชื่อว่าเป็นเพราะวิชาอาคมในตัวของครูบาผัดยังล้างออกไปไม่หมด ตอนที่ครูบาผัดมรณภาพทางครูบาน้อย ศิษย์เอกก็ได้นำน้ำสมป่อยล้างวิชาอาคมออกจากตัวครูบาผัดแล้วครั้งหนึ่ง คาดว่ายังคงมีวิชาอาคมบางส่วนยังล้างไม่ออก โดยเฉพาะวิชาตะกรุดกาสะท้อนที่แรงกล้าติดตัวท่าน


                                                                               
                                                                               
                                                                               
                                                                                 

เครดิตภาพจาก : คุณ RAPIN9 www.picpro.net   

66
เรื่องเทพหรือเทวดาที่ชื่อ "ท้าวหิรัญพนาสูร" หรือ "ท้าวหิรัญฮู" นี้เล่ากันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เทพองค์นี้บางคนก็เล่าว่า เป็นอสูรที่ตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ (ประพฤติในทางที่ดีงาม) คอยติดตามป้องกันภัยอันตรายไม่ให้มากล้ำกรายรัชกาลที่ 6 และข้าราชบริพารที่อารักขา มีผู้เคยเห็นร่างท่านเป็นยักษ์ดุร้ายน่าเกรงขาม แต่ในยามปกติเล่ากันว่า "ท่านท้าวหิรัญฮู" ตนนี้ เป็นเทพที่มีรูปงามเลยทีเดียว

ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ทรงสื่อกับบรรดา "โอปปาติกะ" หรือ "วิญญาณ" ได้บ่อยครั้ง ซึ่งผู้เขียนเคยนำมาเล่าให้ฟังแล้วว่าครั้งหนึ่ง พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นผู้ที่ตายแล้วมาหา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาจึงดูคล้ายกับว่าพระองค์ทรงมี "สัมผัสที่ 6" ในทางเร้นลับไม่น้อย

ในเรื่องของ "ท้าวหิรัญพนาสูร" เทพผู้อารักขารรัชการที่ 6 เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัย ร.ศ. 126 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองลพบุรี เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ในคืนวันเสด็จประพาสคืนหนึ่ง มีผู้ตามเสด็จท่านหนึ่งได้มีนิมิตฝันประหลาดเห็นชายหุ่นล่ำสันใหญ่โตมาหา บอกว่าชื่อ "หิรัญ" เป็นอสูรชาวป่า ที่มานี่จะมาบอกว่า ต่อแต่นี้เขาจะคอยตามเสด็จล้นเกล้าฯ รัชการที่ 6 ไม่ว่าจะประทับอยู่ที่ใด เขาจะคอยดูแลและระวังภัยไม่ให้เกิดขึ้นกับพระองค์ท่านได้ เมื่อรัชการที่ 6 ทรงทราบเหตุการณ์ในฝันจึงทรงมีพระราชดำรัสให้จุดเทียน จัดเตรียมอาหารเซ่นสังเวย "ท้าวหิรัญฮู" ในป่าเมืองลพบุรีนั้นทันที และทุกครั้งไม่ว่าจะเสด็จฯ ไปแห่งหนใด ในเวลาค่ำถึงยามเสวย พระองค์จะมีพระราชดำรัสให้จัดอาหารเซ่นสังเวย "ท้าวหิรัญฮู" ทุกครั้งไป

และเมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ก็ยังทรงระลึกถึง "ท้าวหิรัญฮู" อยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงมาหล่อรูปท้าวหิรัญฮูด้วยทองสัมฤทธิ์ จากนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารจัดเครื่องเซ่นสังเวย และเชิญ "ท้ายหิรัญฮู" เข้าสถิตในรูปหล่อนั้น พระราชนามให้ว่า "ท้าวหิรัญพนาสูร" แต่งองค์ทรงเครื่องสวมชฎาแบบโบราณ มีไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ

มหาดเล็กคนสนิทของรัชกาลที่ 6 ผู้หนึ่ง คือ "จมื่นเทพดรุณทร" ท่านผู้นี้ได้เล่าให้ข้าราชบริพารฟังต่อ ๆ กันมาว่า "ในหลวง (ร.6) ทรงเรียกท้าวหิรัญพนาสูรว่า "ตาหิรัญฮู" ซึ่งคนในวังสมัย ร.6 จะรู้ถึงกิตติศัพท์ของ "ตาหิรัญฮู" ดีว่าสำแดงเดชและอภิืนิหารอย่างไรบ้าง จึงเล่ากันปากต่อปากเรื่อยมา อย่างเรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปท้าวหิรัญพนาสูร โดยให้พระยาอาทรธรศิลป์ (ม.ล.ช่วง กุญชร) เป็นผู้ดำเนินการ โดยมีมิสเตอร์แกลเลตตี นายช่างชาวอิตาเลี่ยนที่มาทำงานในกรมศิลปากรเป็นผู้หล่อ เมื่อหล่อเสร็จก็จะยกขึ้นตั้งบนฐานในพระราชวังพญาไท มิสเตอร์แกลเลตตีก็เอาเชือกผูกคอท้าวหิรัญฮูชักรอกขึ้นไป เสร็จแล้วมิสเตอร์แกลเลตตีก็ป่วยกะทันหันทำงานไม่ได้ เพราะคอเคล็ดโดยไม่รู้สาเหตุ พอพระยาอาทรไปเยี่ยม ท่านพอจะรู้สาเหตุจึงบอกว่าคงเป็นเพราะเอาเชือกไปผูกคอรูปหล่อท้าวหิรัญฮูให้เอาดอกไม้ ธูป เทียนไปขอขมาเสีย เมื่อนายช่างชาวอิตาเลี่ยนทำตามคอที่เคล็ดจึงกลับมาเป็นปกติอย่างอัศจรรย์

กับอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับ "ท้าวหิรัญพนาสูร" ที่เล่ากันมา เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตแล้วรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ต่อ วันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จฯ ตรวจรถยนต์พระที่นั่ง ซึ่งเป็นพระราชมรดก โดยมีกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์เสด็จไปด้วย กรมหมื่นฯ ท่านนี้ได้กราบทูลขอรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งมีรูปท้าวหิรัญฮูติดอยู่ด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 7 ก็พระราชทานให้ เล่ากันว่าเมื่อเอารถกลับไปไว้ที่วังสี่แยกหลานหลวง คืนนั้นก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ในโรงเก็บรถทั้งคืน ครั้งลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร จึงคิดว่าอาจเป็นเสียงหนู แต่ขณะที่กำลังคิดในทางที่ดีก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะจู่ ๆ ไฟในโรงรถก็เกิดสว่างจ้าขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่โรงรถปิดอยู่ จึงเรียกคนขับรถและมหาดเล็กไปช่วยกันดู แต่พอเปิดประตูโรงเก็บรถก็ต้องใจหายเป็นครั้งที่ 2 เพราะไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย และยังน่าสงสัยที่เห็นรถจอดขวางโรง ซึ่งแต่แรกไม่ได้จอดในลักษณะนี้ จึงต้องช่วยกันกลับรถจอดใหม่ จากนั้นรุ่งขึ้น กรมหมื่นอนุวัติจาตุรงค์ต้องจัดเครื่องเซ่นสังเวยท้าวหิรัญฮูเพื่อขอขมา และไม่กล้าใช้รถพระราชทานคันนั้นอีกเลย

อภินิหารของท้าวหิรัญพนาสูรยังมีเล่าอีกหลายเรื่อง อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นกับเชื้อพระวงศ์ในตระกูลดิศกุลพระองค์หนึ่ง เมื่อครั้งที่ประชวรปัสสาวะเป็นเลือด ท่านได้เสด็จมารักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอเอกซเรย์ดูบอกว่าต้องผ่าตัด บรรดาพระญาติทราบถึงประวัติท่านท้าวหิรัญฮูดี จึงเอาดอกไม้ ธูป เทียนไปสัการะรูปหล่อ ซึ่งประดิษฐานอย่ในบริเวณโรงพยาบาล ผลปรากฎว่าโรคที่เป็นกลับหายโดยไม่ต้องผ่าตัดอย่างไม่น่าเชื่อ

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2522 กับอาจารย์สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บสาหัสมาก ขาซ้ายหัก ขาขวากระดูกแตก ต้องเข้าเฝือกทั้ง 2 ข้าง ท่านถูกนำไปรักษาตัวที่แรกเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงเปลี่ยนมารักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พญาไท ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลพญาไท ท่านหมดความรู้สึกไปครั้งหนึ่งในระหว่างที่สลบท่านเห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนมองอยู่ข้างเตียง ในจิตของอาจารย์ท่านนี้รู้ในทันทีว่านั่นคือ "เทพท้าวหิรัญฮู" เพราะมีรูปร่างหน้าตา มีลักษณะบางอย่างบ่งบอก อาจารย์ท่านนี้จึงยกมือไหว้ ขอให้ท่ายช่วยให้หายเจ็บป่วย ท้าวหิรัญฮูก็พยักหน้าจากนั้นไม่นานอาการเจ็บป่วยของอาจารย์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้ และท่านก็ไม่เคยลืม "ท้าวหิรัญพนาสูร"

ทุกวันนี้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ยังมีคนมากราบไหว้ "ท้าวหิรัญพนาสูร" อยู่ไม่ขาด โดยศาลของท่านตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งแม้รัชกาลที่ 6 จะสวรรคตไปนานแล้ว หน้าที่ของ "ท้าวหิรัญพนาสูร" ก็ยังคงดูแลช่วยเหลือคนไข้และคนดีอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะติดต่อหรือมองเห็นท่านได้ เพราะท่านอยู่คนละภูมิ ซึ่งซ้อนอยู่กับภูมิมนุษย์ของเรา

ที่มา :www. puansanid.com

67
หลวงปู่ครูบาอินตา เจ้าอาวาสวัดวังทอง ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน เป็นพระมหาสังฆเถระที่มีอายุพรรษา
อาวุโสเป็นลำดับที่ 2 ในแผ่นดินล้านนา รองจากครูบาดวงดี และอาวุโสสูงสุด ในจังหวัดลำพูน อายุ 101 ปี 80 พรรษา

สถานที่ตั้ง
วัดวังทอง ต.เหมืองง่า อ.เมืองลำพูน หลังสถานีรถไฟลำพูน หรือสอบถามชาวบ้านแถวนั้นได้  

ครูบาอินตา เกิดวันเสาร์ แรม 10 ค่ำเดือน 2 ตรงกับวันที่ 12 มกราคม 2453 ปีจอ (ปีเส็ด ) ซึ่งอยู่ในช่วง แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ครูบาอินตา เกิดที่ บ้านเหมืองง่า ม.2 ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน โยมพ่อชื่อนายตา โยมแม่ชื่อนางบัวแก้ว นามสกุล ธนาขันธรรม ท่านเป็นหลานท่านเจ้าคุณพระญาณมงคล (ครูบาปวน อภิชโย ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำพูน รูปที่ 4 อดีตเจ้าคณะแขวงลี้ อดีตเจ้าอาวาสวัดเหมืองง่า อยู่ในครอบครัวชาวนา ซึ่งในขณะนั้นเป็นอาชีพที่มีฐานะยากจน มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา 5 คน พระเดชพระคุณเป็นคนสุดท้อง และมีน้องบิดาเดียวกัน แต่ต่างมารดาอีก 5 คน

ขะโยมวัดเหมืองง่า
ครูบาเมื่อเป็นเด็กชาย อินตา ธนาขันธรรม อายุ 7 ขวบ (พ.ศ. 2460) โยมพ่อแม่นำมาฝากกับครูบาปวน อภิชโย ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะแขวงชั้นเอกราชทินนามที่พระครูมหาศีลวงค์
ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเมืองลำพูนเจ้าอาวาสเหมืองง่า ครูบาฯ ได้เป็นเด็กวัดและได้เรียนหนังสือครั้งแรกกับครูบาปวน และได้เรียนหนังสือพื้นเมือง(ภาษาล้านนา) ในสมัยนั้น
ที่โรงเรียนวัดเหมืองง่า ซึ่งเป็นโรงเรียนแรก ในตำบลเหมืองง่า ในจบชั้นประถมปีที่ 4 พ.ศ. 2464

ระหว่างเป็นเด็กวัดและบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น ครูบาฯ ได้เรียนคาถาและวิทยาคมจากครูบาปวน เล่ากันว่าเป็นผู้ที่ถือของคลังและวิทยาคมเป็นอย่างมาก
พ่อเจ้าเหนือหัวพลตรี มหาอำมาตย์โทเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหอคำเมืองนครลำพูน ถึงกับมีความเลื่อมใสเป็นพิเศษ
ซึ่งพระสงฆ์ที่เจ้าเหนือหัวทรงให้ความเคารพนับถือเป็นพิเศษมีอยู่ 4 รูป ด้วยกันคือ
1. ครูบาธรรมชัย ธัมมัมชโย วัดประตูป่า ต.ประตูป่า อ.เมือง ลำพูน
2. ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง ต.ศรีวิชัย อ.ลี้ ลำพูน
3. พระญาณมงคล (ครูบาปวน อภิชโย) วัดเหมืองง่า ต.เหมืองง่า อ.เมืองลำพูน
4. ครูบาติกขะปัญโญ วัดวังทอง อ.เมือง ลำพูน
ครูบาติกขะรูปนี้ ถูกบังคับให้สละสมณเพศ หลังจากหลวงจักรคำฯ ถึงแก่พิราลัย และครูบายังได้เรียนคาถาวิทยาคม ยังได้สืบทอดวิถีการสะเดาะเคราะห์
และได้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัย ได้ 3 ปี ได้กราบลาครูบาศรีวิชัยเดินทางกลับวัดเหมืองง่า เพื่อที่จะเข้าพิธีญัตติจตุถกรรมวาจาเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2474
ในครั้งนั้น ครูบาปวน รักษาการเจ้าคณะนครลำพูน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาสุดใจ ญาณวุฒิ วัดพระธาตุหริภุญชัย เป็นพระกรรมวาจารย์
พระครูสมุห์จรูญ วัดพระธาตุหริภุญชัย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า ธนักขันโธ

ครูบาติกขะ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังทอง เจ้าจักรคำฯ ให้ความนับถือศรัทธาเป็นพิเศษ หลังจากเจ้าจักรคำถึงแก่พิราลัย พ.ศ. 2584
พระครูบาติกขะเป็นพระผู้ที่เข้มงวด ในเรื่องการปฏิบัติและเป็นผู้ที่ถือของขลัง ในครั้งนั้นได้มีชาวบ้าน ไปแจ้งพ่อแคว่น (กำนัน) ว่าครูบาติกขะได้ฆ่าวัวของชาวบ้านว่ามากินหญ้าหน้าวัด
เพราะวัวของ ชาวบ้านได้มาทำความเสียหายแก่วัดวังทอง ครูบาติกขะได้ถือก้อนหินเท่าลูกกำปั้นปาถูกกะโหลกหัวของวัวเสียชีวิต กำนันในสมัยนั้นได้มาสอบสวนหาสาเหตุท่านไม่ยอมพูด
กำนันได้ใช้กำลังชกต่อยครูบาติกขะ ท่านไม่ได้ตอบโต้แต่พอตอนกลางคืนกำลังพักผ่อน ได้ล้มพับลงกับที่แล้วมีเลือดไหลออกปาก จมูก จนเสียชีวิตกับที่สร้างความแปลกใจให้แก่ลูกบ้าน ครอบครัว เป็นอย่างยิ่ง
ทำให้ทุกคนสงสัยว่า ครูบาติกขะเป็นผู้ที่ให้กำนันเสียชีวิต เพราะเชื่อในวิทยาคมของครูบาติกขะ ซึ่งชาวล้านนาเรียกพิธีนี้ว่า "การตู้ของใส่ของ" สาเหตุอย่างถึงที่ ครูบาติกขะถูกบังคับให้สละสมณเพศ
เพราะว่าครูบาติกขะเป็นผู้ไม่เกรงกลัวอำนาจการปกครอง ทำให้คณะกรรมการและคณะสงฆ์ยำเกรง จนทำให้คณะสงฆ์ชั้นปกครองไม่สามารถทำงานได้สะดวกเพราะเกรง ในวิทยาคมของครูบาติกขะ

ครูบาอินตา มรณะภาพแล้วฟื้น

เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ครูบาอินตาได้อาพาธหนัก และเข้ารักษาที่ รพ.ลำพูน จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2532 อาการยังไม่ดีขึ้นและทรุดหนักจนไม่รู้สึกตัว
แพทย์จึงนำส่งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ แพทย์ได้นำครูบาอินตาเข้าห้อง ไอซียู และไม่รู้สึกตัวถึง 8 วัน พอถึงวันที่ 7 มีนาคม 2532 แพทย์ได้มาแจ้งว่าครูบาอินตามรณภาพแล้ว
ทำให้ลูกศิษย์ ต่างเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ขณะที่แพทย์จะฉีดยาศพ ปรากฏว่า เข็มฉีดยากับแทงไม่เข้าและได้หักงอ แพทย์จึงตัดสินใจไม่ฉีดยาศพ และเมื่อจะอาราธนาศพขึ้นรถ
เพื่อไปส่ง ณ วัดวังทอง ครูบาอินตา ก็รู้สึกตัวและเหนื่อยหอบ สร้างความตกในแก่แพทย์ และได้นำครูบาอินตาเข้าห้อง ไอซียู และรักษาจนหายปกติ

พระครูถาวรศีลคุณ หรือหลวงปู่ครูบาอินตา ธนกฺขนฺโธ เจ้าอาวาสวัดวังทอง ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน ได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบด้วยโรคชรา ในเช้าวันพฤหัสบดี ที่ 18 มิ.ย 2552 เวลา 06.00 น.

68
ขอบคุณมากๆนะครับ

69
ขอบคุณมากครับ :054: :054: :054:

70
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

 

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก

 

ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง

 

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน

 

จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

 
 



 
 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง

 

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

 

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง

 

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

 
 



 
 

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

 

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า

 

' ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า

 

ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน '

 
 



 
 

คนตักน้ำตอบว่า ' เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า

 

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง

 
 



 
 
 

เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า

 

และทุกวันที่เราเดินกลับ ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น

 

เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว

 

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ '

 
 



 
 
 

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

 

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น

 

อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

 

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น

 

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

 

มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น (จริงๆ)

   

71
ขอบคุณครับที่เเจ้งข่าว

72
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
 
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
 
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
 
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
 
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
 
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
 
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
 
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
 
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
 
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
 
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
 
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
 
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
 
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
 
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
 
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง




๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
 
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
 
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
 
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี




ไม่อยากให้ข้อความดีๆแบบนี้อยู่แค่ในกล่องเมลล์ แล้ววันนึงเราก็จะลืมมันไปหวังว่ามันจะมีประโยชน์

74
ขอแสดงความเสียใจด้วยคนครับ

75
ผมว่าหลวงพี่รู้นะครับเพราะผมก้อไม่เคยได้ยันต์ซำเลยนะครับ

76
เหรียญเจ้าพ่อกู่ช้าง รุ่นแรก :074: :074:ผมก้อใช้อยู่ครับเดี๋ยวคนใยพื้นที่เริ่มเก็บเเล้วนะครับ

77
ขอบคุณมากๆครับได้กำลังใจมาเยอะมากสำหรับบทความดีๆเเบบนี้ :005: :005: :054:

79
เห็นด้วยกับท่านเอ็มเมืองไร่ขิง คอมเม้นโดนครับ :054:

80
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นนะครับ ไปกัวลาลัมเปอร์ครับ
 :002:

81
มีใครเคยไปมาเลเซียบ้างครับ พอดีจะไปดูงานเเต่เเบบว่าไม่เคยไปต่างประเทศอ่ะครับเเถมไปคนเดียวอีกต่างหากยังไงก็รบกวนขอข้อมูลด้วยนะครับ :086:

ป.ล. วันเสาร์ผมจะเข้าไปสักที่กุฏิหลวงพี่เเป๊วนะครับใครไปก้อทักทายได้นะครับ...ทรงผมอาจจะเเปลกๆหน่อยนะครับ

ขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้าด้วยนะครับ :075:

82
เเค่เรื่องเล็กน้อยๆครับคุยกันดีๆก้อได้ยังไงก้อศิษย์เดียวกันไม่จำเป็นต้องเเรง
ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยนะที่ที่นี่ด้วย :054:

84
เข้ามาฮาตอนดึกๆครับฮาจริงๆ  :007:

85
คืออยากทราบข้อมูลของพ่อหนานสม อ่ะครับว่าอยู่ที่ไหน ค่าครูเท่าไหร่ ท่านเก่งด้านไหนพอดีกลางเดือนหน้าจะขึ้นไปที่ลำพูนครับขอรบกวนท่านที่รู้ช่วยเเนะนำด้วยนะครับ

ครับ พ่อหนานอินสมอยู่บ้านท่ามะโอ ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ครับ เข้าไปแยกไฟแดงโรงเรียนสารภีวิทยาคมแล้วตรงไปจะเห็นป้ายหมู่บ้านท่ามะโอพอถึงตู้ยามตำรวจก้อเลี้ยวซ้ายตรงไปบ้านพ่อหนานอยู่ขวามือตรงข้ามร้านขนมจีนเล็กๆหน้าบ้านมีป้ายผ้าสีแดงบนหัวว่าสัก เสก เลข ยันต์ พ่อหนานเก่งด้านเมตตามหานิยมคงกระพันแกก้อสักครับส่วนเรื่องค่าครูเนี่ยแล้วแต่ยันต์ที่คุณจะลงครับน่าจะประมาณ299-499นะครับเท่าที่เห็นมาครับส่วนถ้าพี่จะมาจริงๆก้อโทรหาพ่อหนานก้อได้ครับ
ขอขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล

86
คืออยากทราบข้อมูลของพ่อหนานสม อ่ะครับว่าอยู่ที่ไหน ค่าครูเท่าไหร่ ท่านเก่งด้านไหนพอดีกลางเดือนหน้าจะขึ้นไปที่ลำพูนครับขอรบกวนท่านที่รู้ช่วยเเนะนำด้วยนะครับ

87
ใกล้บ้านผมเลยอ่ะผมอยู่ท่าข้ามนี่เอง  ถ้าว่างๆจะเเวะไปยี่ยมนะครับอนุโมทนากับบุญกุศลครั้งนี้ด้วยคนครับ

88
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง

89
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดดีๆ

90
ขอบคุณมากๆครับ

91
ขอร่วมไว้อาลัยด้วยครับเเละขอบคุณสำหรับข่าวสารครับ

92
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ เเต่ชอบมากๆเลยอ่ะกุมารเทยเนี่ย
 ผิดถูกประการใดขอภัยล่วงหน้านะครับ

93
ขอบคุณครับพุทธคุณครอบจักรวาลจริงๆ

94
ครับขอขอบคุณทุกความเห็นนะครับขอบารมีองค์หลวงพ่อเปิ่นคุ้มครองทุกท่านนะครับ

95
เมื่อคืนฝันเห็นหลวงพ่อครับเหมือนกับว่าท่านมีกิจนิมนต์เเล้วให้ผมไปส่งนี่เเหละในฝันท่านยิ้มแย้มเเจ่มใสมากพูดคุยกับผมเเต่ผมดันจำไม่ได้ว่าท่านพูดอะไรบ้างอ่ะครับผมว่าว่างๆผมต้องไปกราบหลวงพ่อที่วัดเเล้วล่ะครับเเล้วพี่ๆน้องๆชาวบางพระคิดยังไงกับฝันของผมหรอครับช่วยให้คำเเนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นล่วงหน้านะครับ

96
ขอบคุณมากๆเลยครับ

97
ขอบคุณมากครับ

98
ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความเห็นนะครับเเละต้องขอโทษที่กระทู้ยาวไปนะครับพอดีมือใหม่หัดตั้งกระทู้ครับ เเหะ เเหะ :075:

100
พญานาคราชผู้พิทักษ์พระธาตุพนม
 
       

เรื่องพญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  (แก้ว  กนฺโตภาโส  ป.ธ. ๖ ,  น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ ) พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ท่านพ่อ” ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ท่านเกิดเมื่อปี  ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  เมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๗๑  มีนามเดิมว่าแก้ว  อุทุมมาลา  มีชาติภูมิใกล้ๆ  กับพระธาตุพนมนี้เองศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค  ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้ และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดี  ประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า  นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมารมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย  ในปี  พ.ศ. ๒๔๙๙  ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้ส่งพระภิกษุ  สามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก  ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ

ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้  ท่านพ่อเคยกล่าวว่า “ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า  และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ  ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว  ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น  เป็นเรื่องของส่วนบุคคล”  สำหรับเรื่องพญานาคนี้  เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้  ๑  ปี  เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕  ค่ำ พ.ศ.  ๒๕๐๐  คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง  แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า  ๒๐  นาที  ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน  นายไกฮวด  ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน  เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี  พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น  จากทางด้านทิศเหนือ  มองเห็นได้แต่ไกล  จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด  หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น  พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม  โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง  ต่อมาอีกสองวัน  คือวันขึ้น  ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  ได้ให้สามเณรทรัพย์  นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า  แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล  ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน  สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง  ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม  ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล  มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว  สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ  พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗  ได้กลับกลายเป็นมาณพ  ๗  ชาย  ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม  จะว่าก้มมิใช่  ยืนก็มิใช่  อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม  สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก  ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า  พ่อเณรมีธุระอะไร  อย่ากลัวจงบอกมา  สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร  ตั้งใจจะกลับกุฏิ  พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า  “พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง  ขอไปด้วย  จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์  ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า  สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที  สักครู่ก็หันมายกมือไหว้  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  พร้อมกับพูดว่า  “สวัสดีท่านเจ้าคุณ  หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ?  มาจากไหน ?  เสียงประทับทรงตอบว่า “พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช  มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย  มีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ  คือ  ๑.  พญาสัทโทนาคราชเจ้า  เป็นประธาน  ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓.  พญาหิริวุฒนาดโค  ๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค  ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค  ๖. พญาจาคะวุฒนาโค  ๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆ ทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถวายเดียวก็พอใจแล้วจะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”

                ท่านพ่อฯ ได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายประการ  แต่ยังไม่ปลงใจเชื่อแต่อย่างใด  ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่า  แสดงธรรมสั่งสอนเมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ  และแนะแนวทางแก้ไข  ท่านพ่อฯ เริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์หเห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางในตรวจสอบด้วย “ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์  ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน  ๗  องค์  ปรากฏร่างทิพย์  มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น  สีน้ำเงิน  สีเขียวนิล  สีเขียวอ่อน  สีเหลือง  สีชมพู  สีแสด  และสีขาว  องค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่าหาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่

                พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณ  หรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจ  ได้ไต่ถามทักทายทางในโดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?

                ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า  “หม่อมฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้า  เป็นหัวหน้า  หรือประธานหมู่คณะ  องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค  องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค  องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค  องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค  องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค  องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค  มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย  พระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อนมีนิสัยไม่ดี  อาศัยแต่อามิสของชาวบ้าน  เครื่องเซ่นสรวง  หมูเห็ดเป็ดไก่  เหล้ายาปลาปิ้ง  เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนา  ทำให้พระพุทธศาสนาหมอง  หม่อมฉันจึงได้  ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”

                พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ  แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นจำนวนมากว่า  “ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”

                ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้องตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุ ทุกประการ  เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก  และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้ว  จึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า 

                “ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา  จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”

                ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบอย่างไพเราะว่า

                “ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา  อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้น  ย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ”  ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้  แล้วได้ถามต่อไปว่า

                “ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้  เฝ้าอย่างไร?”

                พญานาคราชตอบว่า

                “หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้า  รักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค  รักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้  พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้  พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

            “พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร”  ท่านพ่อถามต่ออีก

                “พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เอง  จะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก  มีสระน้ำ  มีสวนดอกไม้  มีภูเขาเงิน  ภูเขาทอง  ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชะมดูก็ได้  ผู้ใกสมาธิทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ  ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ?” ร่างทรงสามเณรตอบ

                ท่านพ่อ  ถามต่อไปอีกว่า

                “ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่า  ที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ”

                “ถูกต้องแล้ว  เมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมืองและพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์  ได้เสด็จกลับชมพูทวีปด้วยอธิษฐานจิตวิญญาณแล้ว  พระอินทราธิราชเจ้า  ได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้าพากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์  และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์  เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่  ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดา  เมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่เพื่อรับหน้าที่แทน  ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว  สภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือ  ว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์  ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว  อย่างพวกหม่อมฉันนี้  พอมาถึงที่นี่สภาวะทิพย์ด้วยบุพฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว”

                พญาสัทโทนาคราชเจ้า  ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรง ท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า

                “ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร?”

                “ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้  ตัวด้วงในไม้หายใจได้  ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร  หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน” ร่างทรงตอบ  ท่านพ่อถามต่อไปว่า “สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์ มีฌาณสมาธิแก่กล้า  ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก  ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้น  เหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้  หม่อมฉันสงสัย”

                “ผู้มีฌานแก่กล้า  มีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้  วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก  แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็  สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ  หนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ  สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ  ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์  หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง  คือ  ต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ  เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า  พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้  นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้ว  ยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว

            “ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง”  ทนพ่อฯ  ถาม

                “ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไป  ผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณรหรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น  ฆราวาสไม่เอา  ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐาน  เหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล  แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดูว่า  เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่  ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกาย  ก็จะได้สั่งยาให้กินเช่นยาไทย  ยาจิต  ยาฝรั่ง  หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา  แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน  มึนซึมกระทือ  เป็นบ้าใบ้  เสียจริต  มึนงงหลงใหล  หวาดกลัวร้องไห้  หัวเราะ  ใจคอหงุดหงิด  จิตไม่เที่ยง  ฝันร้ายนอนสะดุ้งคิดมาก  ปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี  คุณคนทำ  ผีเข้าเจ้าสิง  เป็นโรคลมต่าง ๆ ไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ เจ็บท้อง  เจ็บหน้าอก  ง่อยเปลี้ยเสียขา  ตามืดบอด  ปวดหลังปวดเอว  สัตว์พิษกัดต่อย  อะไรเหล่านี้  จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์” พญานาคราช  กล่าว

                “สาธุ  เป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้  หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”

                ท่านพ่อฯ กล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้  คือ  พญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ  เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์  รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช

                “พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”

                “เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอา  ขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา  ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง  หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว  ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช  คือ  ต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัยถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉันก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้น  แล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม  จุดธูปเจ็ดดอก  กล่าวอัญเชิญก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

                นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรงพญานาคทั้ง ๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม  ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  ๒๕๐๐  เป็นต้นมา  ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร  ได้กล่าวอยู่เสมอว่า  พระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์  เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปี  องค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสานและพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ  เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกิน  ไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดีเป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์ บ้างก็มาขอหยูกยา  บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์  บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก

                “ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่  เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่นแล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว  เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน  เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์  วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่าน  เมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป”  สำหรับไหพระธาตุนี้   เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี  ๒๕๑๘  ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ  ๓  เมตร  อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย  ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม

                นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้ว  พญานาคราชเจ้าที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วยเป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตา  คนป่วยเป็นพันรายหายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

                วิธีการรักษาก็คือ  ขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน  ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด  ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร  ท่านพ่อฯ ซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้  จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามานั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ  ๑  วา  โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์  เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว  พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย  เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง  และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่  ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ  ๑  นาที  ก็สามารถจะบอกได้ว่า  ในท้องมีนิ่วกี่ก้อน  จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น  สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา  แล้วพ่นออกจากปาก  (ปากของสามเณร  โดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)

                พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ  หลับตาทำสมาธิ  จิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า  “ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้น  มองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อยมีรัศมีสุกปลั่ง  เหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร  เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้  แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิม  จากนั้นก็เห็นสามเณรพ่อนก้อนนิ่วออกจากปาก”

                ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์  นั่น  คือ  รักษาโรคมะเร็งขแงเม็ดเลือดขาว  หรือลูคีเมีย  ด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้  พ่นออกมาทางร่างประทับทรง  ลงกระโถนแล้วเต็มเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์  ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้  หายเป็นปกติมีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ

                พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น  นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว  ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำ  คนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย  เช่น  สูบตะปูขนาด  ๓  นิ้ว  ๓  ดอก  ออกจากคนไข้รายหนึ่ง  อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก  บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง  ก้อนกรวดบ้าง  ด้วยมัตตาสังข์  คางคกตายซาก  เศษกระดูก  ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร  อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ  ท่านพ่อฯ  ได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน  ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก  เช่น  เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย  คุณไสยสด ๆ ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น  แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓-๔ กิโลกรัมก็มี  ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า

                ท่านพ่อฯ  บอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม  พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น  เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก  แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว  จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่  ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น  พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้  ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว  แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้าท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง  ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไป  ก็จะหายเป็นปกติ

                การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้า  ด้วยการเข้าประทับทรงนี้ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์  แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด  เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน  รายไหนจะไม่รอด  พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่า  คนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ  ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่  ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา  เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวัน  แต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึงอยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้  พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี

 
 
 
 
 
 
 
   
 




 

 
 
   
 
 

101
ร่วมไว้อาลัยหลวงปู่อีกคนครับ

102
บ้านอยู่ซอยเดียวกันเลยครับพี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ

103
กระทู้นี้นี้ดุเดือดดีเเฮะ เเต่ก้อต้องขอขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

104
1 จากเพื่อนครับเพื่อนมาสักก่อนเลยชวนมา
2 เคยมาเเบบว่าไม่เคยนับครับเมื่อก่อนมาประมาณเดือนละ2-3ครั้ง
3 เคยทันกราบหลวงพ่อประมาณ3-4ครั้งมั้งครับตอนนั้นท่านเริ่มอาพาธเเล้ว
4 สักครับทั้งหมึกทั้งนำมัน
5 จากกูเกิ้ลครับ
6 ก้อยังคิดไม่ออกเหมือนกันครับเเต่ตอนนี้อยากให้พวกเราศิษ์วัดบางพระทุกคนรักกันมากๆครับ

105
สวยงามมากครับ....ขอบคุณมากครับ

106
ขอร่วมแสดงมุทิตาจิตด้วยนะครับ

107
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับเเละเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะครับ

108
พี่ khomkrit ใช่พี่ที่ใส่ชุดซาฟารีเมื่อวานที่กลับบ้านที่ราชบุรีป่าวครับ

109
ส่วนตัวเเต่ก่อนสักนำมันครับไม่เคยบอกหลวงพี่เลยเเต่ก้อไม่เคยได้ยันต์ซำนะครับ

หน้า: [1]