แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - shs

หน้า: [1]
1
วันนี้(25 กรกฎาคม 2553 ) พระองค์ภาฯ ได้เสด็จฯพระราชดำเนิน ที่วัดบางปลาหมอด้วยนะ  เพราะว่า เมื่อวานนี้ 24/7/2553 ชาวบ้านและข้าราชการแถวๆละแวกนั้นมาร่วมกันทำความสะอาดวัดยกใหญ่ครับ.

2
กราบนมัสการหลวงพ่อสุ่นครับ.

จากการที่ได้ลองสัณนิษฐานดูเล่นๆแต่ความเป็นไปได้ก็มี คือหลวงพ่อสุ่น ท่านน่าจะเกิดราวๆปีพ.ศ.2369-2373 นี่แหละ เพราะว่าท่านเป็นสหธรรมิก กับหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลฯ (เกิด2376 มรณภาพ 2456) และ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย (เกิด2371 มรณภาพ 2451) น่าจะอายุอานามใกล้เคียงกัน

ส่วนปีมรณภาพของหลวงพ่อสุ่นนั้น ก็น่าจะประมาณปลายปี 2450 ถึง กลางปี 2451 เพราะมรณะก่อนที่หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี จะมรณะไม่นาน(ตามหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ท่านบอกกับหลวงพ่อปานว่า "ถ้าพ่อตายแล้ว ให้ไปหาท่านเนียมนะ ท่านก็เก่งเหมือนกัน" แล้วหลวงพ่อปานก็ได้เรียนวิชาอยู่กับหลวงพ่อเนียมได้อีกไม่นาน หรือประมาณ 3เดือนนี่แหละ แล้วหลวงพ่อเนียมก็มรณภาพลง).


3
ขออนุญาตนำเรื่องราวบางตอน ของหลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่ได้เขียนลงไปในหนังสือสนทนาธรรม มาให้ได้อ่านกันครับ.
... สำหรับ หลวงพ่อสุ่น นั้น คงจะทราบประวัติมาบ้างแล้ว ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" หลวงพ่อสุ่นองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ มีความเคารพมาก

- มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่หน้าวัด มองเห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัด ก็ยกพระแสงปืนยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แล้วผลที่สุดจะหันปากกระบอกปืนไปทางไหนอากาศบริเวณวัดทั้งหมดนั้นยิงไม่ออก พระองค์มีความสงสัยเลยขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาส สมัยนั้นคือหลวงพ่อสุ่น

หลวงพ่อสุ่น เลยบอกว่า "อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรในวัดก็ยิงไม่ออกทั้งนั้น"

หลวงพ่อสุ่น ท่านบอกว่า "เป็นอำนาจพุทธานุภาพ" พระองค์ได้ฟังอย่างนั้นก็ปลื้มใจ เกิดปิติและมีความมั่นใจ ก็เลยถามว่า

"ถ้ากระผมอยากเป็นคนยิงไม่ออกบ้าง จะได้ไหมครับ?" ท่านก็บอกว่าได้ "ได้! แต่ต้องรับปากเสียก่อนว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเขตบริเวณวัดทั้งหมด จะไม่ทำอันตรายต่อสัตว์ จะไม่ละเมิดของสงฆ์" ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้ว หลวงพ่อสุ่น ก็ขอพระแสงปืนประจำตัว เป็นปืนเล็กๆ กระบอกหนึ่ง เอามาเสกๆ แล้วก็ส่งให้

ท่านบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไป ถ้าพระองค์ติดพระแสงปืนกระบอกนี้อยู่ละก้อ ยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างทำอะไรพระองค์ไม่ได้"

พระองค์ก็บอกว่า "อาวุธทุกอย่างอาจจะไม่ได้ติดตัวในบางขณะ และผมอยากจะให้ติดตัวผมเองไม่มีอันตรายจากอาวุธ"

หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ก็ก้มพระเศียรมา"

ในหลวงท่านก็ก้มพระเศียรลงไป หลวงพ่อสุ่น ก็ลงกระหม่อมให้ แล้วก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ปรากฏว่ายิงไม่ติด ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ ๖ มีความเลี่อมใสมาก

- นี่เป็นปฏิปทาอีกตอนหนึ่ง ของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของ หลวงพ่อปาน ที่นำประวัติของพระคู่สวด (หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล) และพระอุปัชฌาย์ของ หลวงพ่อปาน มาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะได้ทราบว่า คนมีบุญญาธิการสูง มีบารมีมากอย่างหลวงพ่อปาน ท่านจึงพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ดี มีความเป็นพระจริงๆ มีความเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส มีความรู้ความสามารถครบถ้วนทุกอย่าง และมีการสำเร็จมรรคผลมาก่อน จึงจัดว่าเป็นการเหมาะสมที่สุด สำหรับผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็น พระพุทธเจ้า...

(คัดบางตอนจากหนังสือ สนทนาธรรม เล่ม ๓ หน้า ๔๑ - ๔๓ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

4
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2551 ท่านเจ้าอาวาส เมตตานำที่ตำหมากของหลวงพ่อสุ่น มาให้ชม ผมจึงขออนุญาตถ่ายรูปไว้เพื่อเป็นศิริมงคลครับ.

5
นี่เป็นภาพบรรยากาศวันทอดผ้าป่าที่วัดบางปลาหมอ เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 (ผมใส่เสื้อเบอร์10ครับ)

6
นมัสการหลวงพ่อสุ่น ครับ.

ครั้งแรกเลยที่ไป วัดบางปลาหมอ ผมเองก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องพระเครื่องหรือวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังหรอก แต่ก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้น (ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไปไหว้พระตามวัดวาอารามบ้าง ก็ไม่ได้สนใจ) เรื่องมีอยู่ว่า.....

วันที่ 18 มีนาคม 2550 ภรรยาได้ชวนไปวัดบางปลาหมอ แต่ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน รู้เพียงว่าอยู่พระนครศรีอยุธยา เพราะว่าได้ฟังจากรายการวิทยุตอนกลางคืนโดยคุณ"ปัญจศรี" ที่เล่าถึงเรื่องราวหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ซึ่งมีหลวงพ่อสุ่น เป็นพระอาจารย์.

ภรรยาจึงพูดกับผมว่า ขนาดลูกศิษย์(หลวงพ่อปาน) ยังเก่งขนาดนี้ แล้วหลวงพ่อสุ่น ผู้เป็นอาจารย์จะเก่งขนาดไหน ก็เลยเกิดความศรัทธาจึงเดินทางไปกราบนมัสการท่าน โดยถามทางชาวบ้านมาเกือบตลอดทาง พอมาถึงวัดแล้ว ก็รับประทานน้ำแข็งไสก่อน เพราะร้อนมาก(ประมาณบ่าย2โมงกว่าๆ) จากนั้นภรรยา,คุณอา,ลูกสาวคนโตและเพื่อนบ้าน ได้ถามร้านค้าว่าจะไปกราบหลวงพ่อสุ่นได้ตรงไหน ทางร้านค้าก็ชี้ให้ดูว่า นั่นไง มณฑปท่าน โดยชี้ไปทางขวามือให้ขึ้นไปตรงนั้นหรือจะเดินผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาสก็ได้ ภรรยาจึงเดินไปทางขวา โดยไม่ผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาส(ไม่อยากผ่านเพราะถ้าเจอท่านแล้ว จะคุยกับพระไม่เป็น)แล้วบอกผมว่าเดี๋ยว มาเจอกันที่รถ ส่วนผมกับลูกสาวคนเล็กก็แยกไปถวายซีดีสวดมนต์กับท่านเจ้าอาวาส แต่ยังไม่ทันจะเดินไป(เพราะน้ำแข็งไสยังไม่หมดถ้วย) ก็เห็นภรรยา,คุณอา,ลูกสาวคนโตและเพื่อนบ้าน เดินย้อนกลับมาจากทางขวามือ ก็สงสัยอยู่ในใจว่า"ไหนบอกว่าจะขึ้นทางโน้นเลย ไม่อยากผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาส แต่ก็ยังเดินผ่านอยู่ดี" แต่ก็ไม่ได้ถาม ผมรีบไปถวายซีดีสวดมนต์ให้กับท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า ให้ไปกราบหลวงพ่อสุ่นก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน (พอดีท่านมีแขกอยู่2-3คน) หลังจากกราบหลวงปู่ที่มณฑปเสร็จแล้วก็ถามกับลูกสาวคนโตว่า "ไหนแม่บอกว่าจะขึ้นทางโน้นเลย ไม่เดินผ่านหน้ากุฏิหลวงพ่อ แล้วเดินย้อนกลับมาทำไม" ลูกสาวคนโตบอกว่า ไม่มีทางขึ้น เป็นกำแพง(ศาลาการเปรียญ)สูงทึบยาวตลอดแนวเลย ไม่มีทางขึ้น จึงได้เดินย้อนกลับมานี่ไงหล่ะ. ผมก็ชี้ไปที่บันได แล้วพูดว่า นั่นไม่ใช่บันไดหรอกหรือ มันจะไม่มีทางขึ้นได้ยังไงกัน ลูกสาวคนโต บอกว่าก็ที่เดินไปไม่เห็นบันไดจริงๆ ทั้ง 4 คนพูดเหมือนกันหมด
  จากนั้นก็ไปพบท่านเจ้าอาวาส ได้ถวายซีดีสวดมนต์ ท่านเจ้าอาวาสได้ให้รูปหลวงพ่อสุ่น ตอนมรณภาพ(นอนตะแครง) ท่านบอกว่าชาวต่างชาติ(สิงคโปร์ ,ฟิลิปปินส์)เคารพนับถือมาก ผมจึงถามว่าเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้มั๊ย? ท่านบอกว่าได้ และยังได้ให้เหรียญเสมาปี 2508 มาอีก(อาจจะปั๊มออกมาเพิ่มทีหลังอีก เพราะใหม่เหลือเกิน ) พร้อมกับพระเนื้อผงรูปเหมือนหลวงพ่อสุ่น หลังยันต์เกราะเพชร ปี2537 ท่านบอกว่าต้องเก็บซ่อนในกล่องไม้เปลี่ยนแม่กุญแจใหม่อยู่เรื่อย เพราะชอบมีคนมาขโมยไปขาย จากนั้นก็ลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสกลับบ้าน.

เช้าวันที่19 มีนาคม 2550 ผมไปทำงานตอนเช้า ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถึงทางตัดใหม่บางไผ่ ฝนเริ่มตกแรง ผมกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ลงทางลาดพอดี ด้วยเกรงว่าโทรศัพท์มือถือจะเปียกฝน จึงเบรครถทั้งที่คิดเสมอว่า ถ้าฝนเพิ่งเริ่มตกอย่าเบรคโดยทันทีทันใด เพราะจะทำให้รถล้มได้ แต่การกระทำไวกว่าความคิด ผลสรุปว่า รถล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ศีรษะไถลพื้นไปพอประมาณ ล้อหน้าคด โช๊คคด แฮนด์เบี้ยว แต่ร่างกายมีรอยแผลถลอกที่ตาตุ่มขวาและข้างหัวเข่าขวา เลือดออกแค่ยางบอนเท่านั้นเอง. ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่วัดบางปลาหมอ แล้วรูปท่านที่ได้รับมาผมได้ไว้ในกระเป๋าสตางค์แค่นั้นเอง ไม่มีวัตถุมงคลอื่นใดเลย แล้วผมก็ขับรถไปทำงานต่อแบบคดๆอย่างงั้นแหละ รอตอนเย็นออกเวร จึงไปหาที่ซ่อม มาถึงร้านซ่อมตีราคาค่าซ่อมที่ 1,600.-

ผมกลับบ้านมาคุยกับภรรยาว่า "หลวงพ่อสุ่น ท่านคงรู้ว่า เช้าวันที่ 19มี.ค.50 นี้ผมต้องได้รับอันตรายแน่ จึงดลบันดาลไม่ให้ภรรยาผมเห็นบันไดทางขึ้นมณฑปทางโน้น ยังไงต้องให้มาพบเจ้าอาวาสด้วย เพื่อที่จะได้รูปภาพตอนมรณะไปไว้ติดตัว เพื่อผ่อนหนัก ให้เป็นเบา  ผมจึงคุยกับภรรยาว่า งั้นจัดทอดผ้าป่า(ได้ยินท่านคุยกับแขกเรื่องทอดผ้าป่า ตอนที่กำลังจะไปกราบหลวงพ่อสุ่น) สร้างเขื่อนที่วัดบางปลาหมอ 1 กอง (ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 ได้เงินทั้งสิ้น สี่หมื่นแปดพันกว่าบาท.)




7
ท่านพระมหาประเสริฐ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันรูปนี้ได้เล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวของหลวงพ่อสุ่น ว่าหลวงพ่อสุ่นนั้นเป็นสหธรรมิก(เพื่อน) กับหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคัณธ์ (ข้างวัดพระขาว) เมื่อเวลาที่หลวงพ่อปั้น แจวเรือผ่านหน้าวัดบางปลาหมอ หลวงพ่อสุ่น ก็จะทักทายหลวงพ่อปั้น ว่า เอ้า...ท่านจะไปไหนล่ะ? หลวงพ่อปั้นบอกว่าจะไปในเมือง  หลวงพ่อสุ่น จึงพูดต่อว่า แล้วทำไมไม่ไปหล่ะ รออะไรอยู่ หลวงพ่อปั้น ก็พูดว่า ก็ท่านมาขวางไว้จะไปได้อย่างไรเล่า หลวงพ่อปั้นก็ถามหลวงพ่อสุ่น เช่นกันว่า แล้วท่านทำอะไรอยู่เหรอ หลวงพ่อสุ่น จึงว่า กำลังจะกินหมากน่ะ หลวงพ่อปั้น จึงพูดต่ออีก แล้วทำไมไม่ตำซะทีหล่ะ หลวงพ่อสุ่น บอกว่า จะตำได้ยังไงหล่ะ ก็ท่านขัดไว้เหมือนกันนี่.

ท่านมหาประเสริฐ (ท่านน่าจะอายุราวๆ 60 เห็นจะได้) บอกว่า เมื่อสมัยก่อนนั้น พระอุปัชฌาย์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีแค่ 4 รูปเท่านั้นเอง แล้วหลวงพ่อสุ่น ก็คือ 1 ใน 4 ครับ.

8
หลวงพ่อสุ่น ท่านเป็นพระที่ยากต่อการค้นคว้าประวัติ ได้ยินแค่คำบอกเล่าจากเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันว่า ท่านเป็นคนในพระราชสำนักมาก่อนจากหลักฐานที่พอจะสัณนิษฐานได้ แต่ท่านเบื่อก็เลยหันมาทางธรรม.

ลายมือท่านสวยมากครับ จากการที่ได้เห็น(18 มีนาคม 2550)ในคัมภีร์ใบลานที่ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนำมาให้ชม.

9


รูปหล่อหลวงพ่อสุ่น ที่มณฑปวัดบางปลาหมอ

ขอบคุณท่าน"ธรรมะรักโข" ที่ชี้แนะครับ.

10
ขอบคุณครับเดี๋ยวดึกๆจะลองดู ตอนนี้ขอทำงานก่อน.

11
ขออีกครั้งนะครับ...ถ้าภาพยังไม่มาอีกขอผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ.

13
กราบนมัสการหลวงพ่อสุน สุนทโร ครับ. 
ตอนนี้ใครที่จะไปกราบนมัสการหลวงพ่อสุ่น ง่ายแล้วครับ เพราะสะพานที่สร้างข้ามแม่น้ำน้อยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขับรถข้ามไปได้เลยสะดวกสบาย  ท่านศักดิ์สิทธิ์มากๆเลยนะ จะบอกให้ ใครไม่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองไม่รู้หรอกครับ.  เอาไว้งวดหน้าผมจะมาเล่าให้ฟ้งนะครับ.

หน้า: [1]