"กมฺมุนา วตฺตตีโลโก".....
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
ที่สุดของพรหมวิหาร ๔ ก็คือการวางอุเบกขา
เพราะเราเมตตาสงสาร จึงเข้าไปสงเคราะห์ช่วยเหลือ
ถ้าเขาดีขึ้นเราก็ยินดีด้วยกับเขา...แต่ถ้าสงเคราะห์แล้ว
ยังเหมือนเดิมหรือแย่ลงกว่าเดิมก็ต้องทำใจปล่อยวาง
เพราะว่าเราทำหน้าที่ของเรานั้นสมบูรณ์แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นวิบากกรรมของเขาเองที่จะต้องได้รับ
.....อุเบกขา......
เพราะเราเข้าใจในวิสัยของสัตว์โลกที่มีกรรมเป็นของเฉพาะตน
มิได้เกิดความน้อยใจหรือเสียใจเพราะไม่ได้หวังอะไรจากการสงเคราะห์เขา
เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว...ถือว่าเป็นการสร้างบารมี
ผลจะอกมาอย่างไรเป็นเรื่องของวิบากกรรมของแต่ละคน
เรารับเอาแต่บุญไม่ไปร่วมในบาปกรรมของเขา
สิ่งที่ทำลงไปแล้วใจเป็นสุขทุกครั้งที่คิดถึงนั้นคือบุญ
แต่ถ้าทำไปแล้วใจเป็นทุกข์ แสดงว่าการกระทำนั้นยังไม่ถูกต้อง
แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีงามก็ตาม
เพราะเราทำไปโดยหวังผล ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของเราเอง
จิตของเรานั้นยังไม่บริสุทธิ์เพียงพอใจมันเลยเศร้าหมอง
แต่ถ้าเราบริสุทธิ์ใจไม่หวังผลตอบแทนในการกระทำ...ใจของเราก็จะเกิดปิติ
....กว่าจะถึงวันนี้....
ที่เรารู้จักการวางใจให้เป็นอุเบกขาได้นั้น
ต้องผ่านวันเวลามายาวนานพบพานหลายสิ่งที่สะเทือนใจ
กว่าจะรู้กว่าจะเข้าใจเราต้องวุ่นวายใจไปหลายครั้ง
เพราะเราไปมุ่งหวังในการกระทำของเรา
ไปกำหนดผลความสำเร็จไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้มาก็เสียใจ
วันเวลาที่ผ่านไปเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
และสอนเราให้เข้าใจในเรื่องของผลกรรม.....
:054:กรรมแหละเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก
เชื่อมั่นในเรื่องของกรรมและวิบาก
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๙ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๖.๔๘ น. ณ กุฏิน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย