:059:ในช่วงปี 38-40 หลังจากออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว
มักจะเดินทางไปเก็บตัวปฏิบัติธรรมที่พระบาทขุนยวม ซึ่งอยู่ในป่า
ห่างจากตัวอำเภอตลาดขุนยวมประมาณ 7 กิโลเมตรห่างจากหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่ใกล้สุดคือบ้านแม่แก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงมีอยู่สามหลังคาเรือน
ซึ่งการบิณฑบาตรนั้นต้องเดินลงดอยมารับบิณฑบาตรที่ตลาดขุนยวม
ตอนลงมานั้นเดินง่ายเพราะเดินลงดอยอย่างเดียว ออกจากสำนักตีห้าครึ่ง
ถึงตลาดขุนยวมเวลาประมาณเจ็ดนาฬิกาใช้เวลารับบาตรในตลาดประมาณครึ่งชั่วโมง
แต่ตอนกลับขึ้นสำนักต้องใช้เวลานานเพราะเดินขึ้นดอยอย่างเดียวและมีอาหารเต็มบาตร
จะกลับถึงสำนักพระบาทขุนยวมเวลาประมาณ 10.00น. เป็นประจำทุกวัน
เวลาประมาณเที่ยงกระเหรี่ยงที่บ้านแม่แกก็จะขึ้นมาเอาอาหารที่เหลือ
:059:สิ่งที่ได้จากการไปปฏิบัติบนดอยในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญก็คือ
ความวิเวก วามเงียบสงบ เพราะอยู่ไกลไม่มีใครมารบกวนเวลาปฏิบัติ
และเป็นการฝึกความอดทนต่อความอยากลำบากในการเดินขึ้นลงดอยทุกวัน
และประการสุดท้ายก็คือเป็นการฝึกฝนร่างกายให้มีความแข็งแรง
ซึ่งในปีแรกปีสองนั้นไม่มีปัญหาการปฏิบัติก้าวหน้าเพราะไม่มีผัสสะรบกวน
จึงปฏิบัติได้เต็มที่มีเวลาอยู่กับตัวเองมากกว่าที่อยู่ในสถานที่อื่น
:059:แต่ในปีที่สามปัญหาก็ตามมา มีการตัดไม้ทำลายป่าใกล้ๆกับสำนัก
เพราะเป็นป่าไม้สักที่สมบูรณ์ มีต้นสักมากมายและมีขนาดใหญ่จำนวนมาก
นายทุนเลยจ้างชาวบ้านชาวกระเหรี่ยงเข้ามาลักลอบตักไม้สักกันเป็นประจำ
ทางฝ่ายบ้านเมืองพวกตำรวจ ป่าไม้ก็เข้ามาจับกุม พร้อมทั้งต่อว่าพระว่ารู้เห็นเป็นใจ
เห็นการทำผิดกฏหมายแล้วไม่แจ้งให้ทางการรับทราบ รับรู้ ทั้งที่รู้ ที่เห็นอยู่ทุกวัน
หลังจากฝ่ายทางการกลับไป ฝ่ายนายทุนและชาวบ้านก็ขึ้นมา พร้อมทั้งต่อว่าพระ
ว่าเป็นสายให้ทางการ เป็นผู้แจ้งข่าวให้ฝ่ายทางการคือป่าไม้และตำรวจขึ้นมาจับกุม
พระเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่องฝ่ายทางการตำรวจป่าไม้ก็หาว่าพระเป็นพวกเดียวกับนายทุน
นายทุนก็หาว่าพระเป็นสายให้กับฝ่ายทางการพวกเดียวกับป่าไม้และตำรวจ
เวลาลงไปรับบิณฑบาตรก็เจอกับสายตาที่ไม่เป็นมิตรของฝ่ายนายทุนและลูกน้อง
เวลาฝ่ายทางการบ้านเมืองขึ้นมาตรวจป่าก็ถูกต่อว่า ว่าไม่ช่วยดูแลรักษาป่า
จะอธิบายอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการระแวงซึ่งกันและกัน
:059:จึงต้องตัดสินใจทิ้งสำนักพระบาทขุนยวม ไปหาที่ปฏิบัติแห่งใหม่
ปล่อยให้เขาแก้ไขกันเอง ให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรมของแต่ละคน
"ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ความวุ่นวายและปัญาหา ย่อมตามมาถึง"
กรรมจึงต้องมาตกที่พระ ทั้งที่ไม่ได้ทำ และไม่มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่เขาทำ
"กรรมตกที่พระ"คงเป็นเพราะวิบากกรรมที่เคยทำมาในอดีตชาติ"จึงต้องมารับกรรม"
ถ่ายทอดจากประสพการณ์ที่ได้ผ่านมาในอดีต นำมาเล่่าสู่กันฟัง
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-วจีพเนจร-สมณะชายขอบ
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๓๓ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย