ผู้เขียน หัวข้อ: การใช้"ตาทิพย์"เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน...โดยหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร  (อ่าน 8561 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ธรรมะรักโข

  • มีสติ...กำหนดรู้...อยู่ที่จิต
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 749
  • เพศ: ชาย
  • ผู้รักษาธรรม
    • ดูรายละเอียด
การใช้ ”ดวงตาทิพย์” เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน


โดย...พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร)
เจ้าอาวาส(องค์ปัจจุบัน) วัดธรรมมงคล สุขุมวิท101 กรุงเทพฯ
*** ข้อมูลโดยย่อเกี่ยวกับ พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) ***

1. ท่านเป็นลูกศิษย์โดยตรงของ…
1) ท่านเจ้าคุณ พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ (พระอุปัชฌายะ)
2) หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต
3) พระอาจารย์ กงมา จิรปุญโญ

2. ในสายหลวงปู่มั่น ปัจจุบันนี้ท่านอยู่ในหมู่ของผู้มีอาวุโสสูงที่สุด(ที่ยังมีชีวิตอยู่)ในสายนี้ เช่น
1) หลวงปู่ เหรียญ วรลาโภ
2) หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน

3. ผลงานที่สำคัญของท่าน เช่น
1) สถาบันพลังจิตตานุภาพ : ปัจจุบันมีผู้สำเร็จเป็นครูสอนสมาธิไปจากสถาบันนี้ จำนวนประมาณ 3,000 – 4,000 คนแล้ว (ส่วนมากเป็นฆราวาส)
2) สร้างวัด ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมประมาณ 20 วัด
3) พระมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศ บรรจุพระบรมสารีริธาตุที่ได้รับจากพระสังฆราชแห่งประเทศบังคลาเทศ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงวางศิลาฤกษ์โดยพระองค์เอง
4) พระพุทธรูปหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เนื้อหยกตันทั้งองค์) หน้าตักกว้าง 1.66 เมตร สูง 2.20 เมตร และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชฯ ทรงเสด็จมาพุทธาภิเษกโดยพระองค์เอง


การใช้ ”ดวงตาทิพย์” เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

เราไม่ต้องไปพูดขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นั่นมันเป็นการสมมติส่วนหนึ่ง แต่ตามความเป็นจริงแล้วเมื่อจิตของเราแน่วแน่ เราอยากจะเข้าจิตเมื่อไรก็เข้าได้ อย่างนั้นใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปสมมติอะไรให้มันยาก เมื่อถึงเวลาทำสมาธิ พอขัดสมาธิเสร็จจิตก็ลงไปเลย ก็ใช้ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดความชำนาญ หรือเรียกว่าเป็นสมาธิเข้าขั้น

จิตที่เป็นสมาธิเข้าขั้นนั้นมีการทดสอบได้ เราจะทดสอบด้วยตนเองเมื่อไรก็ได้ เราทดสอบจิตของเราว่า จิตของเราอยู่ในขั้นที่มีกระแสจิตแล้วหรือยัง ถ้ามีกระแสจิตแล้วหลับตาก็มองเห็น ถ้าไม่มีกระแสจิตหลับตามันก็เท่านั้น กระแสจิตนั้นก็คือกระแสธรรม เป็นกระแสที่ได้รับจากพลังของจิต ก็เหมือนกันกับพลังไฟฟ้า พลังแสงอาทิตย์ ที่มันบังเกิดขึ้นมีแสงสว่างออกไป ถ้าไม่มีกำลัง ไม่มีพลัง แสงเหล่านั้นก็ออกมาไม่ได้

เมื่อจิตของเราเกิดพลังขึ้นมา เราก็จะได้รู้ว่า จิตของเรามีกระแสจิตแล้ว หลับตาทดสอบดูอะไรก็ได้ จะพิจารณาดูกะโหลกศีรษะหรือจะพิจารณาดูกระดูกซี่โครงก็ได้ หรือจะพิจารณาดูหมดทั้งตัวว่ามันตายไปก็ได้ จะเป็นตัวเราก็ได้ตัวคนอื่นก็ได้ หรือเราจะมองดูกระดูกที่ถูกเผาไฟแล้วทั้งหมด ถ้าเรามองไปยังไม่เห็นก็ถือว่า จิตนั้นยังไม่มีกระแสจิต

คำที่ว่าเห็นนั้นมันชัดแจ้ง มันไม่เหมือนกันกับเราลืมตามอง เพราะเราลืมตามองมันเป็นตาหนังหรือเรียกว่า ตาสมมติ มองดูกระดูกก็อย่างนั้น มองดูเนื้อหนังก็อย่างนั้น มันเป็นเพียงสื่อสัมพันธ์เท่านั้นสำหรับตานอกที่เรียกว่า ดวงตาของเรานี้

***** แต่ส่วนกระแสจิตหรือเรียกว่า “ดวงตาใน” นั้นเรามองชัดลงไปด้วยความสามารถแห่งปฏิภาคนิมิต ซึ่งเป็นนิมิตที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ เราสร้างขึ้นมาเป็นกะโหลกศีรษะ โครงกระดูก หรืออะไรเราก็สร้างขึ้นมาได้ ถ้าสร้างขึ้นมาได้เช่นนั้นแล้ว เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ผู้นั้นมีกำลังจิตสูงจริงๆ

***** อันนี้บอกเอาไว้ เผื่อใครทำได้คนนั้นก็จะได้ทำให้ก้าวหน้าต่อไป เผื่อว่าใครยังทำไม่ได้ก็ให้รู้ไว้ว่า กระแสจิตเกิดขึ้นจากพลังของจิต และเป็น ”ดวงตาทิพย์” ดวงตาทิพย์นี้เป็นดวงตาทิพย์ที่มีประสิทธิภาพ คือ สามารถมองดูเห็นชัด

สำหรับผู้ที่มีสมาธิแก่กล้า เช่น พวกฤาษีต่างๆ จะทำสมาธิเพื่อฤทธิ์เดช เพื่อจะเป็นการแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ เขาทำเพื่อให้มันพิเศษๆไป อย่างนั้นมันเป็นจุดประสงค์ของพวกฤาษี แต่จุดประสงค์ของพระพุทธศาสนานั้น ไม่เหมือนกันกับจุดประสงค์ของฤาษี จุดประสงค์ของพระพุทธศาสนา ต้องการกำจัดกิเลสให้สิ้นไปจากจิตโดยสิ้นเชิง

***** แต่หากว่าพวกฤาษีเหล่านั้น ต้องการอยากจะทำกิเลสให้หมด ฤาษีก็ทำได้ง่ายกว่าพวกเรา เพราะมีเครื่องมือครบแล้ว ( คือ พลังจิตสูง , ฌาน 4 และอภิญญา 5  ) พร้อมที่จะทำลายกิเลสได้ทุกเมื่อ...

มีพวกฤาษีประมาณห้าร้อยตนออกจากป่าหิมพานต์ มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในต้นไม้นั้นมีปราสาทเทวดาอยู่ข้างบน……………
………ฤาษีได้ยินเทวดาเล่าว่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้ว ก็อยากจะไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า จึงได้ลาเทวดา แล้วก็พากันเหาะจากสถานที่นั้นไปยังวัดพระเชตวัน เมื่อเหาะไปถึงแล้วก็ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า

***** พระองค์แนะวิปัสสนาให้นิดเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาไตรลักษณ์ คือ ให้พิจารณา อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ “ พิจารณาเพียงเท่านี้ชั่วโมงเดียวฤาษีทั้งห้าร้อยก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสไปได้ “

ฤาษีเหล่านั้นแต่ก่อนทำไมถึงไม่สำเร็จ ก็เพราะว่าไม่รู้จักวิปัสสนา จึงไม่เกิดความสำเร็จขึ้น ทำไมฤาษีจึงเหาะได้ ก็เพราะฤาษีมีฌาน แต่เป็นโลกียฌาน แล้วทำไมฤาษีเหล่านั้นจึงแสดงฤทธิ์ได้จนกระทั่งเศรษฐีต่างๆ พากันเลื่อมใส ก็เพราะว่าฤาษีเหล่านั้นได้บำเพ็ญฌานสำเร็จแล้ว แต่ฌานที่ได้สำเร็จแล้วนั้นไม่ใช่ว่ากิเลสจะหมดไปด้วย เพราะพวกฌานต่างๆ นั้นไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลสได้ ไม่เหมือนกับวิปัสสนา

***** เพราะฉะนั้นฤาษีทั้งห้าร้อยนั้น เมื่อไปฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงถึงไตรลักษณ์ “ ฤาษีทั้งห้าร้อยก็สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีพลังจิตอยู่พร้อมแล้ว “


พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) ท่านแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า…

1. แต่ส่วนกระแสจิตหรือเรียกว่า “ดวงตาใน” นั้นเรามองชัดลงไปด้วยความสามารถแห่งปฏิภาคนิมิต ซึ่งเป็นนิมิตที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ เราสร้างขึ้นมาเป็นกะโหลกศีรษะ โครงกระดูก หรืออะไรเราก็สร้างขึ้นมาได้ ถ้าสร้างขึ้นมาได้เช่นนั้นแล้ว เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ผู้นั้นมีกำลังจิตสูงจริงๆ

2. อันนี้บอกเอาไว้ เผื่อใครทำได้คนนั้นก็จะได้ทำให้ก้าวหน้าต่อไป เผื่อว่าใครยังทำไม่ได้ก็ให้รู้ไว้ว่า กระแสจิตเกิดขึ้นจากพลังของจิต และเป็น ”ดวงตาทิพย์” ดวงตาทิพย์นี้เป็นดวงตาทิพย์ที่มีประสิทธิภาพ คือ สามารถมองดูเห็นชัด

3. เมื่อจิตของเราเกิดพลังขึ้นมา เราก็จะได้รู้ว่า จิตของเรามีกระแสจิตแล้ว หลับตาทดสอบดูอะไรก็ได้ จะพิจารณาดูกะโหลกศีรษะหรือจะพิจารณาดูกระดูกซี่โครงก็ได้ หรือจะพิจารณาดูหมดทั้งตัวว่ามันตายไปก็ได้ จะเป็นตัวเราก็ได้ตัวคนอื่นก็ได้ หรือเราจะมองดูกระดูกที่ถูกเผาไฟแล้วทั้งหมด

*********

จากทั้ง 3 ข้อความที่คัดมานี้ แสดงอย่างชัดเจนที่สุดว่า พระครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้ ”ฤทธิ์” คือ “ดวงตาทิพย์” ในการเจริญมหาสติปัฏฐานและวิปัสสนา

**********

การฝึกเจริญมหาสติปัฏฐานและวิปัสสนามีหลายวิธี สามารถทำได้ทั้ง ”นอกฌานหรืออยู่ในฌาน” ดังนั้นวิธีของแต่ละท่านก็อาจแตกต่างกันไป

- ผู้ที่มีอัธยาศัยแบบสุกขวิปัสสโก หลายท่านก็จะฝึกนอกฌาน (จิตยังมีนิวรณ์ 5 อยู่)

***** ผู้ที่มีอัธยาศัยแบบวิชชา 3 หรือ อภิญญา 6 หลายท่านก็จะฝึก ในฌาน หรือ ใช้ฤทธิ์ (เช่น ดวงตาทิพย์ เป็นต้น) เพราะท่านเห็นว่า การฝึกในฌาน หรือ ใช้ฤทธิ์ นั้นเป็นการฝึกในขณะที่จิตปราศจากนิวรณ์ 5 อย่างแท้จริง ดังนั้นการที่จะตัดกิเลสและบรรลุธรรมย่อมเป็นไปได้ง่ายมากๆอย่างยิ่ง
สมดังข้อความ (2 บรรทัดสุดท้าย) ที่ว่า “ เพราะฉะนั้นฤาษีทั้งห้าร้อยนั้น เมื่อไปฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงถึงไตรลักษณ์ ฤาษีทั้งห้าร้อยก็สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีพลังจิตอยู่พร้อมแล้ว “


ขอท่านสมาชิกทั้งหลายพึงพิจารณาเนื้อความเหล่านี้ “ด้วยจิตอันบริสุทธิ์เป็นกลางอย่างแท้จริง” แล้วท่านจะได้รับประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากคำสอนของพระครูบาอาจารย์ เพื่อจะได้นำไปใช้เจริญวิปัสสนาได้อย่างถูกทางและถูกต้อง ต่อไปด้วยเทอญ


{ คัดลอกมาจาก : หนังสือ “คุณค่าของชีวิต : ธรรมเทศนาแนวทางการปฏิบัติธรรม” (หัวข้อ : สมาธิวิสุทธิ) โดย พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) หน้าที่ 91 – 92 พิมพ์ครั้งที่ 2 /2543 ของ วัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ }

โดย...พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร)

*******

ออฟไลน์ salawit_sangsanit

  • กายะวาจะจิตตัง อะหังวันทา พระยาภุชงค์ นาคราชเจ้า วิสุทธิเทวา ปูเชมิ
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 272
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
โดย...พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) ปัจจุบันสมณศักดิ์พระอาจารย์
พระเทพเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) เจ้าอาวาส(องค์ปัจจุบัน) วัดธรรมมงคล สุขุมวิท101 กรุงเทพฯ
ครับผม