57
« เมื่อ: 12 ต.ค. 2553, 11:57:09 »
1.วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน อ.เกาะคา จ.ลำปาง
2.วัดพระธาตุช่อแฮ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ตามท่านยอดรักค่ะ ^^
3.วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน อ.เกาะคา จ.ลำปาง รูปปั้นพระมหาเกสรปัญโญ
ลุง เป็ง ชี้ให้ผมดูรูปปั้นภายในวิหาร บอกว่านี่เป็นรูปปั้นของมหาเกสรปัญโญ ขนาดเท่าตัวจริง ซึ่งปั้นโดยตัวท่านเอง ในสมัยที่เป็นเจ้าอาวาส โดยมีเจ้าฟ้าจากเมืองเชียงตุงเป็นผู้อุปถัมภ์สร้างวัดถวายให้ และมหาเกสรนี้เป็นผู้เขียนใบลานเกี่ยวกับวัดนี้ไว้มาก ชาวบ้านที่นี่นับถือท่านมาก ทุกครั้งที่มาทำบุญที่วัดก็จะเข้ามากราบไหว้รูปปั้นพระมหาเกสรนี้ทุกครั้ง
ประวัติ ของ “ มหาเกสรปัญโญภิกขุ ” เดิมเป็นสามเณรน้อยบวชจากเมืองหริภูญชัย จังหวัดลำพูน เดินทางมาจำพรรษาที่วัดไหล่หินเมื่อราว จ.ศ. 1000 เศษ (ประมาณปี พ.ศ. 2181 ) เป็นสามเณรที่รักสันโดษ ไม่ค่อยจะมีใครสนใจนัก และมักถูกสามเณร รุ่นโตกว่ารังแกอยู่เป็นประจำ แต่มีความจำเป็นเลิศ สามารถแสดงธรรมเรื่องพระเวส--สันดรชาดกได้อย่างถูกต้องแม่นยำโดยไม่ต้องเปิด ใบลานอ่าน สร้างความแปลกใจให้กับพระอาจารย์เป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นสามเณรที่เกียจคร้าน และทำให้พระอาจารย์ไม่ค่อยจะพอใจอยู่เป็นประจ
สามเณรน้อยได้ถูกพระ อาจารย์ทดสอบความสามารถด้วยการให้เรียงใบลานจากโรงธรรม โดยที่ได้แกะเชือกที่ผูกใบลาน ออกหมด ทุกใบ ทุกกัณฑ์ และให้สามเณรเกสรจัดเรียงใหม่ ซึ่งก็ได้จัดเรียงอย่างถูกต้องครบทุกกัณฑ์ภายในเวลาไม่นานนัก
สร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็น จนมีผู้เกรงขามในตัวสามเณรน้อยผู้นี้
จ.ศ. 1012 (พ.ศ. 2193 ) ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีนามว่า “ มหาเกสรปัญโญภิกขุ ” และได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสใน เวลาต่อมา
พระ มหาเกสร เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความรู้แตกฉานในการเขียนธรรม (จาร) ลงบนใบลานเป็นอักขระพื้นเมืองเหนือได้วันละมากๆ จนมูลเหล็กจาร(ขุยใบลาน) เต็มกะลามะพร้าว ซึ่งหาผู้เสมอเหมือนไม่ได้
ตาม ประวัติของท่านที่ปรากฏในเรื่องปฏิหาริย์ ก็มีเล่าว่า ท่านออกไปบิณฑบาตยังแดนไกลถึงหมู่บ้านไทยใหญ่แคว้นเชียงตุง ประเทศพม่าอยู่ทุกเช้า จนมีผู้ เลื่อมใสศรัทธา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้นมัสการถามว่า
” ท่านจำพรรษาอยู่วัดใด ”
ซึ่งท่านก็ตอบในเชิงปริศนาว่า
“ เจริญพร อาตมาอยู่วัดขบไม่แตก ”
เจ้า ฟ้าเมืองเชียงตุงได้ฟังดังนั้นจึงให้ทหารอำมาตย์ค้นหาวัดจนทั่วเมืองเชียง ตุง แต่ก็ไม่พบวัดดังกล่าว และด้วยแรงศรัทธา ของเจ้าฟ้าฯที่มีต่อท่านมหาเกสร จึงสั่งให้ทหารนำมะพร้าวมาปอกเปลือกและขูดให้เกลี้ยง แล้วผ่ามะพร้าวออกเป็นสองซีกโดยนำไปใส่บาตรซีกหนึ่ง ส่วนอีกซีกหนึ่งได้เก็บรักษาไว้ พร้อมกับบอกท่านมหาฯว่า
“ ขออาราธนาพระคุณเจ้าฉันท์เนื้อมะพร้าวแล้วกรุณาเก็บกะลามะพร้าวไว้ด้วย ข้าพเจ้าจะไปรับเอากะลาในภายหลัง ”
จาก นั้นจึงได้ให้บริวารออกติดตามหาวัดของพระมหาเถระเจ้า และกะลามะพร้าว ซึ่งต่อมาอีก 4 เดือน เสนาอำมาตย์พวกหนึ่งได้เดินทางมาเขลางค์นคร และได้สืบเสาะ จนพบว่าท่านอยู่ที่วัดไหล่หิน พร้อมกับได้นมัสการถามถึงกะลามะพร้าว มหาเกสรปัญโญเจริญพรตอบว่า ยังมีอยู่ พร้อมกับหยิบเอากะลามะพร้าวออกมาจากใต้เตียงนอน ยื่นให้เสนาอำมาตย์ เมื่อนำกะลาที่อำมาตย์นำมาจากเมืองเชียงตุง ประกบคู่กับกะลามะพร้าวที่มหาเกสรยื่นให้ปรากฏว่าเข้ากันได้พอดี จึงกราบลาและ แจ้งให้กับเจ้าฟ้าฯเมืองเชียงตุงได้ทราบ จึงได้พาข้าทาสบริวารเดินทางมาที่วัดไหล่หินโดยผ่านมาทางจังหวัดเชียงราย
ลุง เป็งได้เล่าประวัติของท่านมหาเกสรพร้อมกับชี้ให้ดูปูนปั้นรูปกะลามะพร้าว ด้านหน้าวิหารที่แสดงถึงเรื่องราวของอดีต เจ้าอาวาสวัดไหล่หิน ซึ่งเป็นผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวัดเป็นอย่างมาก และวิหารที่เห็นเก่าแก่นี้ก็ด้วยแรงศรัทธา จากเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเป็นประธานสร้างถวายเมือปี จ.ศ. 1045 (พ.ศ.2226) โดยฝีมือช่างจากเชียงตุงประเทศพม่า
4.วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน อ.เกาะคา จ.ลำปาง
5.หลวงปู่เขียว อินทมุนี องค์อรหันต์แห่งวัดทรงบล นครศรีธรรมราช ตอบตามท่านนามมงคลจ้ะ
ปล.มาแก้ตัวค่ะ