ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค2…ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์หลังจากที่พวกเราหมู่คณะได้เดินทางกลับจากถ้ำคนธรรพ์ มาถึงที่บ้านจุดที่
พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้พักเหนื่อยกันสักเล็กน้อย จึงได้เตรียมเต้นท์เสบียง
และสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อไป…………..
การเดินทางในครั้งนี้ไม่ต้องมีพรานผู้นำทาง เพราะท่านอาจารย์ชาเป็นคนนำ
ทางเอง ระหว่างการเดินทางได้เดินผ่านลำห้วยที่หนึ่ง สวนยางพารา ไร่หน่อ
ไม้ สวนทุเรียนพื้นเมือง การเดินทางจะเป็นคนละทาง กับทางไปถ้ำคนธรรพ์
แล้วก็มาเจอกับลำห้วยที่สอง หลังจากนั้นก็เดินขึ้นเขาและค่อยๆ สูงชันขึ้น
เรื่อยๆ จนขึ้นมาถึงยอดเขา และพบกับถ้ำวังนายพุด ซึ่งปากถ้ำมีลักษณะ
ใหญ่โตและโอโถงมาก………..
ถ้ำวังนายพุด
อังเดรกับทางเข้าถ้ำวังนายพุด
เพดานถ้ำวังนายพุดปังปอนกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้ายเต่าตัวใหญ่พวกเรา…นั่งพักเหนื่อยกันสักพักนึงก็ออกเดินทางเข้าภายในถ้ำกัน พอเข้ามา
ได้สักระยะนึง ก็จะพบกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้าย
เต่าตัวใหญ่มาก เมื่อเดินผ่านหินรูปเต่ามาสักพักใหญ่ก็มาถึงทางที่จะออกไป
สู่ป่าอาถรรพ์ ซึ่งจะเป็นช่องรูเล็กๆ ที่สามารถลอด ได้ทีละคนเท่านั้น
ช่องรูนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นซอกหินที่สามารถลอดขึ้นไปได้ทีละคน
โดยใช้หลังพิงผนังถ้ำ แล้วค่อยๆกระดึ้บๆ ขึ้นไป….
พวกเราจึงค่อยๆ คลานเข้าช่องรู และให้คนนึงขึ้นไปก่อน คนนั้นคือท่าน
อาจารย์ชา เพื่อรอรับสัมภาระที่จะส่งขึ้นไปทีละชิ้นๆ เมื่อหมดแล้วก็จะเป็น
พวกเราที่จะต้องลอดรูขึ้นไปทีละคนๆ จนครบทั้งหมด 14 คน
หลังจากลอดรูกันมาได้แล้วพวกเราหมู่คณะ ก็ลงเขากันแบบทุลักทุเลจน
ผ่านโขดหินภูผาและขอนไม้ใหญ่ จนถึงด้านล่างซึ่งเป็นทางราบเรียบลงสู่
ผืนป่า พวกเราหมู่คณะได้มีความสามัคคีกันมากได้ดูแลช่วยเหลือซึ่งกัน
และกันทั้งๆ ที่บางคนเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับ
ใจมากกับทริปนี้………………….
สภาพผืนป่าแห่งนี้อังเดรช่างภาพของพวกเรา…กับต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบต่อมาเมื่อเดินได้สักระยะนึง พบต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ ขึ้นเรียง
รายอยู่มากมายในผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ชาได้เล่าให้ฟังว่าไม่มีใคร
สามารถตัดไม้และนำออกไปได้ เพราะว่าทางเข้าออกป่าแห่งนี้มีทางเดียว
เสมือนป่ามหาอุดมีภูเขาล้อมรอบ ต้องลอดรูถ้ำที่ผ่านมาดังกล่าว และในผืน
ป่าแห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์มากมีสัตว์ป่าเช่นช้าง เสือ หมี เก้งกวาง ลิง
ค่าง ชะนี และต่างๆอีกมากมาย…………………
เมื่อเดินทางมาได้สักพักนึงก็ถึงลำห้วยซึ่งเป็นปลายน้ำตก สายน้ำที่ไหลก็จะ
ไหลลงรูไปโผล่ที่ไหนอีกไม่รู้ ท่านอาจารย์ชาบออกว่าไปโผล่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
เพราะที่ภูเขาแห่งนี้มีถ้ำต่างๆ อีกมากมาย…………………..
ท่านอาจารย์ชาเห็นว่าพวกเราเดินทางกันมาทั้งวันและเหนื่อยล้ามามากแล้ว
จึงได้ตกลงกันที่จะพักค้างแรมที่ลำห้วยแห่งนี้ เพราะใกล้แหล่งน้ำที่จะใช้สอย
พวกเราจึงได้ทำการกางเต้นท์กันใกล้ๆ ลำห้วยแห่งนี้ และได้อาบน้ำอาบท่า
พักผ่อนกันตามอัธยาศัย หลังจากนั้นก็ก่อกองไฟกันเพื่อต้มน้ำร้อนและกิน
มาม่าคัพคนละถ้วยเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นในวันนั้น
จุดที่พวกเรา…กางเต้นท์พักค้างแรมกันน้องเก๋...โภชนากำลังต้มน้ำร้อนเพื่อทำมาม่าให้พวกเราหมู่คณะทานกันพวกเราหมู่คณะกำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัยต่อมาท่านอาจารย์ชาบอกว่าได้มีเทวทูตผู้นำสารมาบอกท่านอาจารย์ชาว่า
จะมีเทวดามาขอฟังธรรมจำนวนมาก ในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ให้พวกเราเตรียมตัว
กันไว้และมานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ……………………
เมื่อได้ถึงเวลานัดหมายแล้ว พวกเราก็ได้มานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ โดย
ที่ตอนนั้นไม่ค่อยจะมียุงเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเพราะในผืน
ป่าแบบนี้คงจะรอดจากยุงยาก…………….
ต่อมาท่านอาจารย์ชาให้นำธาตุกายสิทธิ์ที่ทุกคนได้จากถ้ำคนธรรพ์มาตรวจเช็ค
ดูว่าเป็นอะไรกันบ้าง ชิ้นแรกของเก๋สีแดง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญานาคดูแลรักษา
อยู่ ชิ้นที่สองของข้าพเจ้าสีม่วง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญาเต่าดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่
สามของพี่นวลสีขาวใส แก้วพญาเสือดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่สี่ของท่านอ้วนเป็น
พระธาตุพระสีวลี ชิ้นที่ห้าและหกของพี่ตูนและตุ่มเป็นพญาเหล็กไหลตัวผู้และ
ตัวเมีย เป็นชนิดที่ดีเกี่ยวกับเมตตาโชคลาภคุ้มครองภัย ไม่ใช่ชนิดแบบมหาอุด
เมื่อตรวจเช็คธาตุกายสิทธิ์เสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ชาได้หันมาถามผู้เขียนว่าจะ
แสดงธรรมเรื่องอะไรดี ผู้เขียนก็ตอบว่า…….
แสดงธรรมเรื่อง บุญอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา และการไม่ยึดติดอยู่กับ
ความหลงในความเป็น เทวดา ซึ่งมีเหตุให้เสื่อมได้ แสดงไตรลักษณ์ และ
ความไม่ประมาท ท่านอาจารย์ชาก็เห็นดีด้วย…….
ท่านอาจารย์ชาจึงเริ่มพิธี และกล่าวว่าใครเห็นอะไรอย่าตกใจนะทำจิตใจ
ให้สงบอย่าวอกแวก จึงเริ่มกล่าวคำอาราธนาศีลอาราธนาธรรมและกล่าวคำ
เทศนาดังนี้
“กุศลกรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทวดา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ.
ขณะนี้ กุศลกรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายสมควร นำมาทบทวน
อันทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้ แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้เป็น ของไม่
เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ เมื่อกุศลกรรมที่ได้ กระทำไว้
หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะกลายเป็นทุกข์ หรือจะต้องไปเกิดใหม่ ตามภพ
ภูมิ ตามกรรมดีกรรมชั่วของตน ที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่………………
ทิพยสมบัติมิใช่อัตตาตัวตน ที่เราท่านจะยึดถือหวงแหนเอาไว้ได้ ด้วย เหตุ
นี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อน ปรินิพพานว่า
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความ ไม่ประมาทนั้น คือควร
ระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้วและ พากเพียรกระทำต่อไป มิให้ขาด
สวรรค์ก็ดี วิมาณก็ดี ล้วนเกิดขึ้น มีขึ้น ด้วยอำนาจของจิตที่เป็นกุศลธรรมส่ง
เสริมให้เป็น เช่นนั้น จิตเป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้
อย่าง มนุษย์ แต่จิตก็ใช่ว่า จะบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมาธิไม่ได้
แม้…มนุษย์เองก็ได้อาศัยจิตทำให้กายกระทำ ตามที่ตนปรารถนา ฉะนั้นท่านที่
เป็นเทวดาทั้งหลาย พึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิต เจริญสมาธิเถิด
การบริจาคทานด้วยจิต ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตาแก่ สรรพสัตว์ทั้ง
หลาย ผู้ใดมีทุกข์ ก็พึงอธิษฐานให้เขาพ้นทุกข์ เอาจิต ช่วยเขาให้เป็นสุข ผู้ใด
ผิดหวัง ก็เอาจิตช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งนับได้ว่า เป็น ทานบารมีอันยิ่งใหญ่
ศีลก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต ระลึกถึงศีลที่ทำให้เป็นเทวดา ก็จะเห็นได้ ว่า เพราะ
มีเมตตาละเว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะมีเมตตาไม่ กล่าววาจา
ให้เขาหลงผิด กระทำในสิ่งผิด เพราะมีเมตตาไม่ทำผู้อื่นเศร้า เสียใจต้อง
การละเมิดลูกเขา ผัวเขา เมียเขา เพราะมีเมตตาไม่ถือเอาทรัพย์สินที่เจ้าของ
เขาหวงแหน ได้มาด้วยความทุกข์ยาก เพราะมีเมตตาต่อตนเอง ไม่เสพของมึน
เมา เช่น สุรา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษ ต่างๆ ดังนี้ จึงเป็นศีล
จิตของท่านเป็นกุศลจิต จึงนับว่าได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์ สมาธิก็คือทำจิตให้
ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นเล่า ก็คือการ ตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่า
พุทโธ ให้เป็นอารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นไปเป็นลำดับ
เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทวดา บุญแห่งการเจริญศีล เจริญ ภาวนา ก็จะมา
เพิ่มเติมให้คงความเป็นเทวดาต่อไปอีก เมื่อพ้นจากเทวดาไปแล้ว ก็อาจไปจุติใน
มนุษย์โลก ในที่ดีมีสุข ได้ปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญาญาณ
รู้แจ้งนิพพานต่อไป
เมื่อท่านผู้เป็นเทวดาได้ตระหนักชัดว่า ความเป็นเทวดานั้น ยังเป็น โลกียสมบัติ
ซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท
เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตร
ลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
จงขวนขวายละสมมติ ไปสู่วิมุตติเถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ข้าพเจ้า ได้อาราธนาธรรมคำสอนขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นข้อระลึก
แด่ท่านผู้เป็นเทวดาพอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้ท่านทั้งหลายอย่ามีทุกข์
เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตราย ใดๆ อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข
ตามกุศลกรรม ของตนเถิด” เทวดาทั้งหลายกล่าว สาธุการ แล้วเสด็จกลับไปยังวิมาน
ของตน……..
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีสายฝนโปรยปรายลงมา พวกเราก็คิดว่าคงจะตกไม่หนักอาจ
เป็นเทวดาปะพรมน้ำมนต์ แต่ที่ไหนได้กับตกหนักลงเรื่อยๆ ท่านอาจารย์ชากล่าว
ว่าให้พวกเราเข้าเต้นท์ที่พักกันดีกว่า เมื่อฝนหยุดแล้ว ค่อยออกมาเพื่อปฏิบัติ นั่งสมาธิ
ภาวนากันต่อไป………………..
ฝนเริ่มตกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่านอาจารย์ชาจึงเพ่งดูด้วยทิพย
จักษุญาณจึงทราบว่าเป็นไปด้วยฤทธิ์ของพญามาร นี่ขนาดแค่ส่งลูกน้องมานะ…..
เพราะว่าผืนป่าอาถรรพ์แห่งนี้ จะมีระยะเวลาเป็นช่วงๆ ช่วงระยะเวลาใดของเทวดา
ช่วงระยะเวลาใดของมารและอสูร ท่านอาจารย์ชายังบอกอีกว่า พวกมารนี้มันคอย
จ้องที่จะขัดขวางการ บำเพ็ญความเพียรและการกระทำความดีต่างๆของมนุษย์และ
เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่าในผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยมีใครพักค้างแรมอยู่ได้ เคยมีพระธุดงค์
4 รูป มาปักกลดพักค้างแรม ณ.ผืนป่าแห่งนี้ ได้เสียชีวิต 3 รูป รอดชีวิตออกมาได้
1 รูป เแต่เป็นบ้าและเสียสติ
พวกเราเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าดังกล่าวจบแล้ว ก็หาได้มีความเกรงกลัวอันใดไม่ แต่กับนั่ง
สมาธิกันอยู่ภายในเต้นท์ของแต่ละคน ข้าพเจ้าผู้เขียนอยู่เต้นท์เล็กคนเดียวและรับ
น้ำฝนไม่ไหว เต้นท์เกิดรั่ว จึงได้ไปอาศัยอยู่เต้นท์ของพี่บัติ ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดใหญ่
สามารถนอนได้สี่ถึงห้าคน ซึ่งภายในเต้นท์มีพี่บัติ ข้าพเจ้าและท่านอ้วน
ต่อมา…..ได้ยินท่านอาจารย์ชา สวดมนต์เสียงดังลั่นสนั่นป่า พร้อมสลับกับพระ
ธรรมเทศนา ฝนที่ตกเริ่มซาๆลงบ้าง………..
แต่สักพักนึง………ก็เริ่มตกหนักอีก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำราม….. ตูม…บึม…บึม…
บึม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว….อย่างกับระเบิดไดนาไมค์….
น้ำในลำห้วยก็เริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งค่อยๆเออท่วมเต้นท์ที่พักของพวกเรา…
ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่าพวกมารพยายามจะให้น้ำท่วมพัดพวกเรา…และเพื่อที่จะขับ
ไล่พวกเรา…ให้ไปเสียจากที่นี่…..เพื่อจะบำเพ็ญความเพียร…ไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
ขณะนั้นข้าพเจ้าดูนาฬิกา เวลาประมาณ เที่ยงคืนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว
ท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…จึงตกลงที่จะย้าย…แต่ไม่ได้ย้ายหนีออกจากป่า…เพียง
ย้ายจากจุดนั้น ไปหาที่จุดที่สูงกว่า ซึ่งอยู่ใกล้ติดกับต้นไม้ใหญ่และเพื่อหลบทางน้ำ
พวกเรา…จึงช่วยกันขนย้ายเต้นท์กันแบบทุลักทุเล
หลังจากนั้น………เมื่อเสร็จแล้วพวกเรา…ก็เข้านอนกันด้วยความอ่อนเพลียและได้ยิน
เสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์อีกเป็นระยะๆ ส่วนตัวของข้าพเจ้า…นั้นเมื่อได้ยินท่าน
อาจารย์ชา สวดมนต์คราใดก็จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เป็นระยะๆเหมือนกันครานั้น….
จนกระทั่งเสียงสวดมนต์เงียบไป ข้าพเจ้าก็ได้งีบหลับไปแบบหลับๆตื่นๆเพราะนอนไม่
ค่อยหลับ จะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆเต้นท์ของพวกเรา…ตลอด ส่วนฝนนั้น
ก็ยังคงตกอยู่พร้อม กับเสียงน้ำไหลเชี่ยวกราก ทั้งคืน
จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์พร้อมกับพระธรรมเทศนา และคำ
ประกาศชัยชนะต่อพวกมาร…ที่พวกเราหมู่คณะบำเพ็ญความเพียรได้เป็นผลสำเร็จ
ข้าพเจ้าจึงได้ตื่น…ลุกออกจากเต้นท์มาล้างหน้าแปรงฟันที่ลำห้วย ก็แลดูน้ำในลำห้วย
ดูปกติดี ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ช่วยกันเก็บเต้นท์….
พร้อมกับสัมภาระต่างๆ…ต้มน้ำร้อนดื่มกาแฟและกินมาม่าคัพกัน
เมื่อเสร็จแล้วท่านอาจารย์ชา…ก็กล่าวนำพวกเรา…เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้า
ที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาเทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตย์อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ที่ช่วยดูแลคุ้มครอง
พวกเรา…เมื่อคืนนี้
หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็เดินทางกลับออกจากผืนป่าแห่งนั้นโดยเดิน
ทางกลับกันทางเดิมและต้องลอดรูทีละคนสู่ถ้ำวังนายพุด และเมื่อถึงหน้าถ้ำแล้วได้ร่วม
กันถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกตามภาพนี้
ทั้งสองภาพ…พวกเราหมู่คณะ 14 ชีวิตที่ร่วมผจญภัยในวันนั้นเมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน…จุดที่พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้มีชาวบ้านละแวกนั้นนั่งสนทนา
กันอยู่สี่ถึงห้าคนและกล่าวทักทายท่านอาจารย์ชาว่า เมื่อเวลาท่านอาจารย์ชากลับมา
ณ.สถานที่แห่งนี้และเข้าไปในป่าแห่งนั้น จะทำให้มีฝนตกหนักทุกที จนชาวบ้านไม่ได้
กรีดยางพารากัน และท่านอาจารย์ชาได้ถามชาวบ้านว่าช่วงนี้มีน้ำผึ้งป่าแท้ขายมั้ย!!!
ชาวบ้านตอบว่ามี ขวดละ 600 บาท จึงได้สั่งซื้อไปทั้งสิ้นจำนวน 5-6 ขวด
ต่อมา…พวกเรา…ก็เดินทางกลับมาที่วัดวังหอน ท่านอาจารย์ชาได้นำแบบแปลนที่จะ
สร้างเมรุเผาศพให้กับกรรมการวัดเพื่อที่จะให้ทางผู้รับเหมาคิดราคาและเสนอราคาค่า
ก่อสร้าง
ต่อมาท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็ขึ้นไปที่มณฑป…เพื่อกราบลา ตาหลวงแสง
มณฑป ตาหลวงแสง วัดวังหอนท่านอาจารย์ชาก็ได้นำธาตุกายสิทธิ์ของแต่ละคนให้ตาหลวงแสงเสกให้ โดยท่านอาจารย์
ชานำวางไว้บนฝาโลงแก้วแล้วกล่าวว่า ตาหลวง ตาหลวงลูกหลานได้ของดีมาจากในถ้ำ
ตาหลวงช่วยเสกเป็นสิริมงคลให้หน่อย สักครู่นึงก็เป็นอันเสร็จพิธี
ต่อมาพวกเราได้แวะที่บ้านนายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย เพราะแกเคยบอกไว้ว่า ก่อนจะ
กลับกันให้แวะที่บ้านแกก่อน แกจะให้ดูรูปเหมือนฤาษีโบราณ ที่ขุดได้หลังวัด พ.ศ.หนึ่ง
พันสองร้อยกว่าปี ที่บ้านแก
และดูเหล็กไหลชนิดต่างๆ แกมีเยอะ ครบร้อยแปดชนิด ประเภทตอนที่แก
ได้มามีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือปัจจุบันใหญ่หนักสองกิโลก็มี…
เมื่อไปถึงบ้านนายพรานนำทางแล้ว แกก็นำเหล็กไหลชนิดต่างๆมาให้พวกเราชมกันมีทั้ง
เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลสายฟ้า และอื่นๆอีกมากมายพร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณ
ความสามารถพิเศษของเหล็กไหลชนิดต่างๆ จนมาถึงสรรพคุณของเหล็กไหลสายฟ้าว่า
สามารถควบคุมเหล็กไหลทุกชนิดได้ เมื่อเหล็กไหลชนิดใดอยู่ใกล้จะสำแดงฤทธิ์ไม่ได้
ต้องขออนุญาตจากผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลสายฟ้าก่อน และได้ให้พี่ตูนเลือกเหล็กไหล
ไปหนึ่งชิ้น บอกว่าเป็นส่วนยอดของเหล็กไหลชนิดที่พี่ตูนได้ และบอกอีกว่าของแก
เมื่อมีเหล็กไหลครบทุกชนิดแล้วจำเป็นต้องแบ่งๆให้คนอื่นๆที่มีบุญบารมีบ้าง ไม่งั้นจะร้อน
ต่อจากนั้นมาแกก็นำเหล็กไหลสายฟ้าเก็บใส่กล่องไว้บนหิ้ง……..
หลังจากนั้นแกก็นำรูปเหมือนฤาษี ที่แกขุดพบที่บริเวณหลังวัดเป็นเนื้อโลหะ มาให้ชม
รู้สึกว่าท่านอ้วนดูแล้วชอบอยากจะขอเช่า จากคุณสุนัย
นายพราน…แกบอกว่ามาช่วยสร้างเมรุเผาศพที่วัดวังหอนให้เสร็จแล้วแกจะให้…
ต่อจากนั้นคุณสุนัย…ก็ถามว่าใครที่ยังไม่ได้ของดีบ้าง แกจะให้ แล้วแกก็หยิบเพชรหน้าทั่ง
มาแจกคนที่ไม่ได้ของดีจากในถ้ำคนละชิ้น และก้อนแก้วขนเหล็กหนึ่งก้อนให้ไปตัดแบ่งกัน
สิบสี่คน
ก้อนแก้วขนเหล็กที่คุณสุนัยให้มา
หลังจากนั้นก่อนจะกลับท่านอาจารย์ชาได้ขอจับมือคุณสุนัยนายพรานและพูดขึ้น
ว่า” ขอบคุณมากนะ” แล้วนำเหล็กไหลสายฟ้าออกมาโชว์ให้กับพวกเรา…ดูที่หน้าประตูบ้าน
ต่อเมื่อนายพรานคุณสุนัย เห็นเข้าก็ตกใจ นึกว่าท่านอาจารย์ชา แอบหยิบของแกไปเพราะว่า
เหล็กไหลชิ้นนี้แกหวงมาก ไว้เป็นตัวคุมเหล็กไหลทุกชนิดด้วย แกจึงเรียกท่านอาจารย์ชาให้
นำเข้ามาดูใกล้ๆ และได้หยิบกล่องที่ใส่เหล็กไหลสายฟ้า ออกมาดู ปรากฏว่าของแกยังอยู่
ครบเหมือนเดิม เมื่อได้นำมาเทียบกันผลปรากฏว่ารูปร่างลักษณะเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด
(รูปร่างเป็นแท่งยาวคล้ายสากตำข้าว) พวกเรา…ก็เห็นกันทุกคน คุณสุนัยแกก็เลยยิ้มแบบ
เจือนๆ และกล่าวว่าทุกคนที่ได้ของดีจากในถ้ำคนธรรพ์นั้นเมื่อกลับไปกรุงเทพฯแล้วให้ไป
ไหว้และทำบุญที่วัดพระแก้วมรกต เพื่อเป็นสิริมงคลและจะได้ของดีตามมาอีกเรื่อยๆ
และพวกเรา…ก็ได้ร่ำลาคุณสุนัยนายพรานแห่งหมู่บ้านวังหอนเพื่อเดินทางกลับอำเภอ
ทุ่งสง เพื่อไปส่งท่านอาจารย์ชาที่บ้านต่อไป
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านท่านอาจารย์ชาแล้ว พวกเรา…ก็แวะทานอาหารที่ตรงข้ามบ้านท่าน
อาจารย์ชา ระหว่างรอกับข้าวและเครื่องดื่มอยู่นั้น ก็ได้สนทนาพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ที่
พวกเรา…ได้ประสบพบพานกันมา จนมาถึงเรื่องเหล็กไหลสายฟ้าว่าท่านอาจารย์ทำอย่างไร
ถึงมีขึ้นมาได้ ท่าน…บอกว่าแสดงฤทธิ์ให้นายพรานนำทางเห็น บ้างว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าและ
ได้อธิษฐานถามเหล็กไหลสายฟ้าแล้วว่าสามารถแยกตัวออกได้มั้ย กับตอบมาว่าได้ ก็เลย
ลองให้แยกดู แต่มีความคิดว่า สักวันสองวัน ก็จะให้กลับไปที่บ้านนายพรานดังเดิม
เมื่อสนทนากันไปสักพักนึง ท่านอาจารย์ชาก็เริ่มมีไอเดียว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าให้ทุกคนมาเริ่ม
ประมูลกันว่าใครจะได้เป็นเจ้าของเหล็กไหลสายฟ้า แต่ไม่ได้ประมูลตีค่าเป็นเงินตรา…..
ให้ประมูลกันด้วยศีล โดยให้เริ่มต้นถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ เริ่มต้นประมูลที่ถือศีลสองวันก่อน
แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่บัติเป็นคนยกมือเอาเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะ
ประมูลแข่ง เพราะว่าบางคนก็ได้ของดีมาบ้างแล้ว จึงอยากให้พี่บัติได้เป็นเจ้าของบ้าง
เหล็กไหลสายฟ้าที่ท่านอาจารย์ชาโคลนนิ่งมา
หลังจากนั้นเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเรา…ก็กราบลาท่านอาจารย์ชาและก็แยก
ย้ายกันเดินทางไปภูเก็ตบางส่วนยะลาบางคนและกรุงเทพมหานคร
โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 3 รวมธาตุกายสิทธิ์…ที่วัดพระแก้วมรกต