แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - กระเบนท้องน้ำ

หน้า: [1]
1



ขออนุโมทนาบุญ   ด้วยครับ

2


  งดงามมากมายครับ ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมเป็นวิทยาทาน   :016:

3


  งดงามมากมายครับพี่เจมส์

  ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม
    :016:

5






เรื่องนี้ เคยมีการนำเสนอ ออกรายการทีวี รายการชั่วโมงพิศวง   
จัดโดยนายป๋อง ได้นำไปชมพิธีล้างป่าช้า แห่งหนึ่ง ที่จังหวัดชลบุรี
ระหว่างทำการล้างป่าช้านั้น ก็ได้ขุดพบ ซากศพ ที่มีแต่แผ่นหนังมนุษย์
ไม่เน่าไม่เปื่อย และที่ด้านหลังแผ่นหนังนั้น ก็มีลายสักยันต์ ไว้เต็มหลัง
แล้ว ด้านล่าง จะมีรอยสัก เขียนไว้ว่า ที่ระลึก แห่งความคงกระพัน
เจ้าหน้าที่ล้างป่าช้า พร้อมทีมงาน ได้เข้ามาดู พร้อมวิพากษ์ วิจารณ์กันไป
ต่างๆ นานา จนมีคนหนึ่ง ไม่เชื่อเรื่องความคงกระพัน ได้รับอาสาทดลอง
โดยการ เอามีดปลายแหลมแทงแล้วกรีด แผ่นหลังนั้น ปรากฎว่า อำนาจ
ความแหลมคมของมีดนั้น ไม่สามารถระคายผิวได้ แม้แต่น้อย ลองหลายครั้ง
ก็ไม่เข้า จึงเกิดความกลัวที่ได้ลบหลู จึงไปนิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจ้าพิธีมา
ทำพิธีล้างอาถรรพ์ โดยการทำพิธีแผ่เมตตา และน้ำมนต์ พรมที่แผ่นหลังนั้น
เป็นเสร็จพิธี หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนเดิม ได้ลองเอามีด กรีดและแทง อีก
ปรากฎว่า เข้าครับ จึงได้ตัดชิ้นส่วนไปทำพิธีทางศาสนา ต่อไป


ขอขอบคุณที่มาจาก… คุณ  Pong Rescue Tung

6
ช่วงที่ 4
กฎระเบียบทั้งหมดจะควบคุมโดยอัตโนมัติ หากใครทำผิดกฎจะถูกต้องโทษโดยการขยายเวลาอายุกรรมในเมืองลับแลต่อไปอีกแล้ว แต่กรณี ถ้ามีความผิดร้ายแรงจะต้องไปเกิดโดยทันทีดังนั้นการอยู่ในเมืองลับแล เป็นการได้แก้ตัวให้ประพฤติชอบ อยู่ในกรอบของศีลธรรมอยู่ในสภาวะของกายทิพย์ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ อยู่ในพื้นที่ที่จำกัด และมีโอกาสสร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้เพราะเมืองลับแลอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์ แต่ใครล่ะจะชอบความลำบากยากเข็นในเมืองมนุษย์ ฉะนั้นชาวเมืองลับแลจึงไม่ค่อยจะเข้าใกล้มนุษย์สักเท่าไร เพราะมนุษย์จะมีความไม่ดีติดตัวมาเยอะมาก อาจทำให้ชาวเมืองลับแลพลอยเสื่อมถอยจากศีลธรรมได้ง่าย แต่เมื่อคราวถึงวันพระชาวเมืองลับแลจะมีโอกาสได้เข้าวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ ถือศีล สวดมนต์ภาวนา คนเมืองลับแลจึงมักชอบพระมาก โอกาสสัมผัสเมืองลับแลกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงเกิดขึ้นบ่อย ยิ่งเมื่อถึงวันพระ จิตใจของมนุษย์ หรือกิจกรรมในเมืองมนุษย์จักอบอวลไปด้วยบุญทานที่เกิดขึ้นทำให้จิตมนุษย์กับ จิตคนเมืองลับแลสื่อกันได้ง่าย เพราะมนุษย์ก็มักรักษาศีลอุโบสถกันทุก ๆ วันพระ นี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่การสื่อสารของข้าพเจ้ราและชาวเมืองลับแลดูติดต่อ กันได้ง่ายในวันพระเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าก็มิได้ตั้งใจไว้ก่อนพิธีกรรมที่ เกิดขึ้นในวันพระของชาวเมืองลับแลนั้น เป็นเพราะว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ได้เปิดให้ชาวเมืองลับแลได้ขึ้นไปทำบุญ ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนา เพราะสวรรค์บนชั้นดาวดึงค์นั้นมีวัดอยู่ และทางเบื้องบนยังเล็งเห็นว่าชาวเมืองลับแลนั้นยังมีสถานะความเป็นเทวดาอยู่ จึงสมควรได้รับความอนุเคราะห์ตรงส่วนนี้ เพราะในเมืองลับแลนั้นไม่มีวัดไม่มีพระ การขึ้นไปสู่วัดนั้นข้าพเจ้าได้ตามดูเห็นชาวเมืองเดินกันไปสู่ภูเขาลูกหนึ่ง ที่เชิงเขามีบันไดเวียนไปทางขวาเพื่อขึ้นเขา บันไดนั้นเป็นบันไดแก้วเลื่อมพรายระยับตา ดังสวรรค์เนรมิตความกว้าง ยาว ของขั้นบันไดเดินขึ้นได้พอดี ความสูงประมาณตามขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อย การเดินเวียนขวาไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าต้องขออนุญาติเทพพรหมทั้งหลายเพื่อขอให้วัตถุประสงค์ของข้าพเจ้า สำเร็จตามที่ได้อธิษฐานไว้แต่ต้นให้สำเร็จลุล่วง เพราะกลัวว่าการข้ามเขตเลย จากที่ขอไว้แต่ต้นของเมืองลับแลตอนนี้จะก้าวล่วงถึงสวรรค์จะเป็นการล่วงที่ สูง แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ สาเหตุที่ขึ้นไปได้นั้นข้าพเจ้ารู้ดีแต่ขอละไว้ที่นี่ เพื่อสานเรื่องเมืองลับแลให้จบ บันไดที่ใช้ขึ้นสู่วัดแห่งนี้ช่างวิจิตรตระการตายิ่ง เป็นลักษณะแก้วผลึกใส สีรุ้งเจิดจรัส เงาระยับเช่นเดียวกับประกายของเลื่อมเพชรประดับฉันนั้น เมื่อขึ้นสู่ยอดเขามีก้อนเมฆขาวลอยวน บางส่วนก็กระจายเกลื่อนบนพื้นที่เดินอยู่ ชาวเมืองลับแลแต่งกายงามล้ำกว่าปกติทุกวัน นุ่งใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ สีสันงดงามตาเครื่องประดับก็พอมีบ้างพองดงามตามวิสันชาวบ้าน บริเวณวัดสุดเจริญหูเจริญตา ไม่มีที่ใดเหมือน โบสถ์หรือวิหารสุดตระการตา องค์พระปฏิมาเป็นทองคำทั้งองค์ ซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาต่างๆ หรือที่เรียกว่า แก้วนพรัตน์ ยากที่จะมีสิ่งใดเปรียบเทียบได้ คนเมืองลับแลต่างมีสิ่งของมาสักการะเป็นดอกไม้และอาหารทิพย์เพียงเล็กน้อย ไม่มีข้าวของรุงรังเหมือนเมืองมนุษย์เรา แต่ทุกคนมีความสุขเต็มเปี่ยม มีความยิ้มแย้มแจ่มใสดี และกลับมีความงามดั่งนางฟ้ารวมทั้งผู้ชายก็ดูมีสง่าราศีดังเทพบุตรหรือเขา เหล่านั้นเปลี่ยนสภาพจิตเป็นเทวดาในวันพระหรือกระไร

การดับของชาวเมืองลับแล ก็เป็นเช่นเดียวกับการเกิด คือ จิตเปลี่ยนสถานเฉย ๆ ด้วยบุญ การมาก็มาด้วยบุญ การกลับก็กลับด้วยบุญ เมื่อถึงวาระแห่งการหมดกรรมจะรู้ได้ด้วยตนเอง คือปิติจะเกิดกับผู้ที่หมดกรรมหรือหมดวาระจากเมืองลับแล และเขาเหล่านั้นจะได้สู่ภพภูมิที่ตัวเองมาคือไปเป็นเทวดาเพื่อเสวยบุญต่อ ณ จุดที่ลงมา คือลงมาจากจุดไหนก็ขึ้นไปสู่จุดนั้นในเรื่องของทรัพย์สมบัติของชาวเมือง ลับแลนั้นเป็นด้วยฤทธิ์ที่ติดตัวไปจากการเป็นเทวดาจะเกิดด้วยการเนรมิตอย่าง หนึ่ง จะเกิดด้วยการรู้ที่ซ่อนขุมสมบัติอย่างหนึ่ง เพียงสองอย่างนี้ถ้ารู้ว่าควรให้ใครได้ก็สามารถให้ได้ เมื่อรู้ว่ามีทรัพย์อยู่ เช่น โจรได้ปล้นเศรษฐีนำทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ในถ้ำ ชาวเมืองลับแลรู้ที่ซ่อน เมื่อเศรษฐีนั้นเกิดที่ใด ทรัพย์สมบัตินั้นก็ยังเป็นสิทธิ์ของเศรษฐีคนเดิมได้อย่างสุจริต เทวดาใด ๆ ก็สามารถมอบสมบัตินั้นคือเจ้าของหรือชาวเมืองลับแล ย้ายไปไม่ให้คนชั่วหรือคนทั่วไปพบก็มีสิทธิ์ทำได้ แต่การที่จะทำอะไรสักอย่าง ต้องมีเหตุให้พึงกระทำตามความเหมาะสม หรือทำให้เกิดความสมเหตุสมผลมิใช่การเบียดบังทรัพย์เพื่อตน อาจทำได้เพื่อเกิดประโยชน์ส่วนรวม แต่ยังไม่พบเหตุการณ์ที่ต้องกระทำเช่นนั้น แต่ทรัพย์สมบัติของชาวเมืองลับแล มีแน่นอน

แต่การมีไว้ซึ่ง เพื่อเอาไว้บูชาพระถวายเป็นของส่วนรวม เก็บไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นในการช่วยสร้างชาติ สร้างศาสนา ให้เกิดความสงบร่มเย็น แต่ต้องรอวาระเวลาที่ภพภูมิ เปิดติดต่อไปมาหาสู่กัน โดยมีผู้บริสุทธิ์ เช่นพระสงฆ์ผู้มีญาณสมาธิแก่กล้า หรือพระธุดงค์ผู้มีฌานสมาบัติสูง หรือผู้มีจิตบริสุทธิ์เยี่ยงพระอรหันต์ หรือจะเป็นผู้มีบุญฤทธิ์ และโพธิสัตว์ผู้มีบารมีเปี่ยมล้นสามารถผ่านเข้าไปสู่ดินแดนแห่งนี้ได้ โดยที่จะไปถูกบดบังด้วยประการทั้งปวงอันตัวข้าพเจ้าตั้งสัจจะไว้เพียงขอนำ ข้อมูล แห่งความจริง ลืมนึกถึงสมบัติทรัพย์ทั้งหลายเลยได้แต่เพียงรู้ แม้นถ้าใครผ่านแดนลี้ลับแห่งนี้ได้ ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีและมีไมตรีจิตจากชาวเมืองลับแล เพราะบุคคลที่ถูกปล่อยให้ล่วงล้ำเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามนี้นั้น เป็นบุคคลผู้ผ่านการกลั่นกรอง ทางกายและทางใจแล้วทั้งสิ้น บุคคลดังกล่าวเมื่อผ่านดินแดนแห่งนี้แล้ว จะไม่ทำให้แดนลับแลแปดเปื้อนมีมลทิลแต่ประการใดและดินแดนแห่งนี้มิใช่มีแต่ สถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดในประเทศไทย แดนแห่งเมืองลับแลนี้ มีทับซ้อนซ่อนอยู่ทั่วไปในดินแดนที่สงบสงัด ปราศจากความว้าวุ่นแห่งโลกของโลกียะ กิเลสที่พอกหนาของมนุษย์ ข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนแด่องค์พระศรีสยามเทวาธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์ ด้วยบารมีแห่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ราชาเจ้าทุก ๆ พระองค์ บุญกุศลใด ๆ ที่เกิดจากข้อเขียนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลให้กับชาวเมืองลับแลทั้งหลายขอกุศลบุญ ที่เกิดจงบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้สู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ

ที่มา: หนังสือนะโภคทรัพย์ โดย กบจำศีล
ขอบคุณที่มา ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่...ท่องเมืองลับแล

7
ช่วงที่ 3
การเกิดของชาวเมืองลับแล เมืองลับแลเป็นดินแดนที่มีความเป็นอยู่คล้ายมนุษย์แต่ก็มีความเป็นอยู่และ ดำรงไว้ในลักษณะของเทวดา คือกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา อาหารสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างก็ทำขึ้นเองบางอย่างก็ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นสถานที่อยู่ในลักษณะกึ่งทิพย์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะมีความคงอยู่ในสภาพของจิตหรือมีกายอยู่ในลักษณะกายละเอียดหรือกายทิพย์ ยังมีการกินการอยู่คล้ายมนุษย์ แต่ไม่เหมือนมนุษย์ไปเสียทั้งหมด การเกิดเมืองลับและเป็นลักษณะของหมู่บ้านมีทั่วไป ตามภูเขาและป่าไม้ เพราะต้องอาศัยสถานที่ ที่จะทำการซ้อนของภูมิอย่างสงบละเว้นจากความวุ่นวาย คือภูมิของเมืองลับแลต้องซ่อนอยู่กับป่าไม้และภูเขาเท่านั้นและมีกระจัด กระจายทั่วไปแต่ก็ไม่มากนัก ฉะนั้นในเมืองไทยก็มีเมืองลับแลทับซ้อนอยู่หลายแห่งแต่ละแห่งก็จะมีผู้ดูแล ตามแต่ละจุดคือหัวหน้าหมู่บ้าน สภาพความเป็นอยู่ก็คล้าย ๆ กัน ต่างกันก็มีบ้างเพียงเล็กน้อย หรือมากน้อยตามภูมิเดิมที่ก่อนจะมาเกิดเป็นคนเมืองลับแล เช่นถ้าเคยเกิดเป็นครุฑ นาค มนุษย์ ยักษ์ หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็มักไม่รวมกันเป็นกลุ่มแต่จะแยกไปอยู่ตามสังคมของตนแต่ส่วนมากชาวเมือง ลับแลเกิดจากภูมิของเทวดา เป็นเทวดาผู้มีบุญน้อย เทวดาเมื่อทำบุญมาน้อยจะทำให้จิตหรือใจถูกกระทบได้ง่ายการเป็นเทวดาแล้วมัก หลงติดกับความสุขในการเสพอย่างเพลิดเพลินในสิ่งที่เป็นทิพย์เมื่อจิตใจไม่ เข้มแข็งพอทำให้เกินเลยขอบเขตของเทวดาไม่ได้เช่นความต้องการต่างๆ จนผู้อื่นได้รับผลกระทบหรือกระทำอันใด ๆ ซึ่งมีผลกระทบกับผู้อื่นทำให้ผู้อื่นไม่รู้สึกยินดี หรือกลั่นแกล้งผู้อื่น จาบจ้วงผู้อื่น กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมในลักษณะที่ไม่ใช่เทวดาทำ สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้การเรียกว่าผิดกฏสวรรค์ มีอันทำให้เกิดการจุติหรือเกิด ตามความผิดที่พึงกระทำ การวินิฉัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผลที่ได้รับอาจต้องตกนรกหรือไปเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หรืออย่างเบาได้ลดชั้นการเป็นเทวดาโดยให้ไปเกิดยังเมืองลับแล

เมืองลับแลจึงได้ชื่อว่า เป็นสวรรค์ชั้นโลกมนุษย์แยกกันอยู่เป็นเมือง เป็นหมู่บ้าน มีความเป็นอยู่แบบกึ่งทิพย์ บ้างก็มีความอยากที่จะทำนาเพาะปลูก มีความสุขกับการประกอบอาชีพเพาะปลูก เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรดี เรียกว่าเป็นงานอดิเรก หรือ การหาของป่า การปลูกพืชสมุนไพร การรักษาศีลเป็นหลักสำคัญ การดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คืออยู่ที่ความชอบแตกต่างกันหรือการติดจากอดีตชาติเคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วชอบ อย่างไรก็จะปฏิบัติตัวอย่างนั้น บางคนอาจมีครอบครัวหรือไม่มีครอบครัวก็ได้ แล้วแต่ความสมัครใจของทุกฝ่ายหรือจะอยู่รวมกันอย่างพี่น้องก็มี การกินอาหารก็เหมือนกันแล้วแต่ไม่จำกัด เพราะเป็นไปในลักษณะของการกินทิพย์ เพราะอาหารที่ทำขึ้นมักเป็นการทำในลักษณะโบราณคือ การกวนข้าวทิพย์ กินเพื่อความเป็นศิริมงคลหรือทำเพื่อการบูชา เทพ พรหม หรือบูชาพระ เพราะคนเมืองลับแลไม่ต้องกินข้าวก็อยู่ได้ หรือเก็บใบไม้มาเสกเป็นข้าวและกับข้าวก็ได้ เป็นกรณีไปแล้วแต่ใครชอบทำอย่างไร แต่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านซึ่งมีเจ้าบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ ดูแล การลงมาของเทวดาที่จะมาเกิดยังเมืองลับแลจะลงมาในลักษณะของแดนสวรรค์ คือ เมื่อผิดกฎสวรรค์ก็ตกวืดลงมาเลยไม่ต้องสอบสวนคดีความ เป็นไปในลักษณะอัตโนมัติ เมื่อตกมายังหมู่บ้านใดก็ต้องเข้าไปรายงานตัวกับหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจะพิจารณาว่า บุคคลนี้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับคนในหมู่บ้านนี้หรือไม่ก็จะส่งไปตามสถานะความผูกพันธ์กับคนที่อยู่ก่อน แล้ว เช่นอาจเป็นญาติกันมาก่อนก็ไปอยู่กับญาตินั้น ๆ ถ้าไม่มีญาติก็ไปอยู่เดี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะถูกส่งไปตามพื้นเพเก่าตามกรรมที่เคยทำในสมัยที่เป็นมนุษย์ เช่นครั้งหนึ่งเคยเกิดมาเป็นมนุษย์แถวภาคกลางตายลงด้วยบุญที่ทำไปเกิดเป็น เทวดาแต่ทำผิดกฎสวรรค์ก็ตกสวรรค์ไปเกิดที่เมืองลับแลในสภาพของมนุษย์ ตอนที่ตาย จะเป็นหญิงหรือชายรูปพรรณสัณฐานเช่นไร ก็จะกลับไปเป็นแบบนั้น และจะลงมาอยู่เมืองลับแลแถวภาคกลางคือเป็นพื้นเพเดิม ส่วนเทวดาชั้นสูง ๆ ที่ตกลงมาสู่เมืองลับแลก็จะได้ยกเป็นเจ้าเมืองบ้างหรือหัวหน้าหมู่บ้านบ้าง หรือเศรษฐีผู้มีบริวารบ้างแล้วแต่บุญเก่า ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าได้พบได้ลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ 3 คือชั้นยามา สาเหตุที่ลงมาเกิดเมืองลับแลเนื่องจากเกิดความวิตก เป็นห่วงกังวลถึงครอบครัวหาทางช่วยครอบครัวของท่านหาทางแก้แค้นต่อผู้ ประสงค์ร้ายกับครอบครัวท่าน เป็นเหตุให้ต้องลงมาเกิดอยู่ที่เมืองลับแล เพราะเมื่อเป็นเทวดาก็ต้องอยู่ในกรอบของเทวดา คือการทรงไว้ซึ่งหิริโอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป หวังที่จะเอาบุญอย่างเดียว ไม่ยุ่งกับสรรพสัตว์ให้เป็นไปตามบุญหรือกรรม เพราะเหตุที่จะเกิดกับมนุษย์หรือสัตว์นั้นจะต้องมีสาเหตุจากการกระทำหรือ เรียกว่าเหตุเกิดจากกรรม เทวดาไม่มีหน้าที่ไปแก้ไขเหตุการณ์มีแต่ช่วยสงเคราะห์บุญได้ให้เกิดบุญทำได้ เทวดาส่วนใหญ่ที่ลงมาเกิดเมืองลับแล มักเป็นเทวดาที่อยู่ชั้นแรก ๆ ของสวรรค์คือทำบุญมาน้อยทำให้จิตไม่แข็งพอ มักผิดพลาดได้ง่าย สำหรับเรื่องของอายุของคนเมืองลับแลนั้นถูกกำหนดด้วยกรรมที่เกิดเป็นราย บุคคล ซึ่งมีอายุกรรมไม่เท่ากัน แล้วแต่เป็นกรณีไปขั้นต่ำสุดคือ 10 ปีมนุษย์ถึง 100 ปีและ 500 ปีก็มี โดยนับเวลาตามสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 ของภูมิเทวดา ฉะนั้นเวลาของเมืองลับแลต่างกับเวลาของในเมืองมนุษย์เทียบได้กับเวลา เว้นของเมืองลับแลเท่ากับ 50 วันของมนุษย์ ตัวอย่างการกระทำความผิดของเทวดา ผู้มีฤทธิ์ไปดลใจมนุษย์ให้มนุษย์ทำผิดศีล ก็โดนค่อนข้างหนักตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขั้นต่ำ 100 ปีมนุษย์ หรือเทวดาดลใจมนุษย์แล้วไปก่อเหตุร้ายแรงจะเจตนาหรือไม่ก็ตามถ้ามีความ วุ่นวายเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์อาจโดน 300-500 ปีมนุษย์ ถ้ามีการตายเกิดขึ้นโดยสาเหตุจากเทวดาก็จะต้องลงไปเกิดทันที โดยลงโลกมนุษย์หรือไปตามกรรมชั่วเก่าที่ทำมาก่อนบุญนั้นเก็บไว้ก่อนหรือถ้า บุญมากก็ไปเกิดเป็นมารหรือยักษ์ พญานาค ในป่าหิมพานต์

สถาณะสภาพของชาวเมืองลับแล ดังได้กล่าวแล้วว่าเมื่อจะมาเกิดยังเมืองลับแลจะกลับสภาพร่างกายตอนเป็น มนุษย์ ก่อนเป็นเทวดา ดังนั้นถ้าตายตอนวัยไหน อายุเท่าไร เมื่อมาเป็นคนเมืองลับแลก็จะกลับไปสู่วัยนั้น และจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดอายุของการอยู่ในเมืองลับแล ถ้าตายตอนเด็กก็เกิดเป็นเด็ก ตายตอนแก่ก็เกิดมาเป็นคนแก่ ตอนทารกไม่มีเพราะการเกิดเป็นทารก ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยฉะนั้นไม่มีทารกในเมืองลับแล

ความเป็นคนเมืองลับแล คล้ายกับการอยู่กรรมของพระหรือการอยู่กรรมของผู้ปฏิบัติธรรมแต่ยังดีที่ความ เป็นอยู่นั้นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีกายเป็นทิพย์จึงไม่ต้องเปลี่ยนสภาพร่างกาย บางคนไม่ต้องกินก็ได้ ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ แต่จะมีความรู้สึกคล้ายมนุษย์ ชอบสังคม ชอบมีการดำรงชีวิต ชอบทำอย่างมนุษย์ แต่ก็มีธรรมเนียมหรือกฎของเมืองลับแลอยู่ ซึ่งชาวเมืองลับแลจะรู้ได้โดยอัตโนมัติ คือรู้ได้ด้วยจิตถึงสิ่งที่พึงห้ามกระทำ คือ

1. การรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด
2. ห้ามออกนอกเขตเมืองลับแลโดยมิได้รับอนุญาติ
3. ห้ามประพฤติปฏิบัติตัวเลินเล่อต่อสาธารณชน
4. ห้ามเสพเยี่ยงมนุษย์

8
ช่วงที่ 2
ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้เขตของหมู่บ้านมากขึ้นทุกที และมิได้หันหลังมาดูทิศทางที่ข้าพเจ้ามาแต่มีความรู้สึกว่ามีป่าไม้และภูเขา อยู่เบื้องหลังก็เท่านั้นเพราะเวลานี้ข้าพเจ้าสนใจแต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้อง หน้า และสิ่งที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ข้าพเจ้าเพียงนึกถึงคนที่จะพูดคุยด้วยเท่านั้น ก็มีสิ่งปรากฏเป็นอัศจรรย์นัก คล้าย ๆ กับการมาปรากฏโดยฤทธิ์ คือการมาโดยไม่ทำให้เราตกใจจะเป็นไปในลักษณะของการปรากฏแสงเรือง ๆ และสว่างขึ้นพร้อมทั้งมีบุคคลปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงนั้นหายไป การปรากฏตัวของชาวเมืองลับแลกับคนแปลกหน้าเช่นข้าพเจ้าไปนำพาซึ่งความต้อง การของเขาทั้งหลาย แต่ก็ยากนักเมื่อเราหลุดรอดเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถ ปฏิเสธได้ครั้งแรก ๆ ข้าพเจ้าก็พบลัษณะแบบนี้ และเคยพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็จบการพูดคุยกันไป แต่ครั้งนี้วัตถุประสงค์ข้าพเจ้าต้องการสำรวจต้องการรู้สิ่งที่ยังคลางแคลง ใจอยู่อย่างมาก

ผู้ที่มาปรากฏและต้อนรับข้าพเจ้า เป็นหญิงอายุสัก 20-25 ปี โดยประมาณ เปิดรับไมตรีจากข้าพเจ้าเป็นอย่างดี มีความสงบเสงี่ยมด้วยคำพูด วาจา ใบหน้าที่อิ่มเอิบความจริงใจ ข้าพเจ้าสำรวจรูปพรรณสัณฐานการแต่งกายกริยามารยาทของหญิงชาวเมืองลับแลผู้ นี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนชาวบ้านของมนุษย์ทั่วไป การแต่งกายด้วยเสื้อแบบโบราณลายลูกไม้กับผ้าซิ่น แลดูคล้าย ๆ กับการแต่งกาย ของลูกท่านหลานเธอในยุคโบราณของไทยเรา ผิวพรรณหน้าตาไม่จัดว่าขี้เหล่ ถ้าได้รับการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าคงเข้าขั้นประกวดได้คนหนึ่ง ทรงผมไว้แบบธรรมชาติ ยาวพองามสีดำสลวย การแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าเป็นไปในลักษณะของธรรมชาติทั้ง สิ้น แต่ดูสะอาดสะอ้านเกินชาวบ้าน เนื้อตัวไม่มีรอยตำนิเท่าแมวข่วนก็หามีไม่ สีผิวของผู้หญิงชาวเมืองลับแลดูแล้วสีคล้ายกันหมดคือค่อนข้างขาว และมีความสะอาดหมดจดเหมือนกัน เธอแจ้งเพียงว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้มาต้อนรับ ตามความประสงค์ของข้าพเจ้าในการมาและทำการเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเดินทางไป บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าพเจ้าตามหญิงผู้นั้นไป และสังเกตุสองข้างทางที่ผ่านไป ทุกครัวเรือนมีผู้คนอยู่ บางบ้านก็ให้ความสนใจกับข้าพเจ้าพอสมควร แต่ก็ไม่มีใครซักถามหรือพูดคุยกันให้ได้ยินบ้างเลย ขนาดของหมู่บ้านเป็นหมูบ้านตามชนบท มีบ้านเรือนสัก 20-30 หลังคา บ้านเรือนแต่ละหลังมีขนาดเท่า ๆ กันหมด ไม่พบสัตว์เลี้ยงใด ๆ ทั้งสิ้น ช่วงกลางทางข้าพเจ้าได้ไต่ถามชื่อของหญิงสาวผู้นำทางและเรื่องอื่น ๆ ตลอดทาง คือ เธอชื่อ มะลิ เป็นบุตรสาวของเจ้าบ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้าน วันนี้เป็นวันพระชาวบ้านเตรียมตัวกันไปวัด จึงไม่มีใครสนใจเรื่องอื่น ๆ ชั่วครู่เดียวก็มาถึงกลางหมู่บ้าน หญิงชื่อมะลิก็พาข้าพเจ้ามาสู่เรือนหลังหนึ่ง ซึ่งมีขนาดของการปลูกสร้างที่ใหญ่กว่าเรือนหลังอื่น ๆ สักหนึ่งเท่าตัว แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับอนุญาติเข้าไปข้างใน

รับรู้ด้วยจิตเพียงว่า ด้านในเรือนเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์ เรือนที่ข้าพเจ้าถูกเชิญขึ้นมาสู่นอกชาน ดูพอเหมาะในการต้อนรับแขกไปในตัว หญิงสาวขอตัวเข้าบ้าน โดยปรากฏชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งผิวขาว ดูมีสง่าราศี ส่วนสูงประมาณ 170 ซ.ม. อายุประมาณ 50 เศษ ดูแข็งแรง ลักษณะใบหน้าได้รูปสมส่วนกับวัย แลดูเป็นผู้ใหญ่มีเมตตา แต่งกายดูภูมิฐานแบบคนชนบทอัธยาศัยไมตรี มีความเป็นกันเองเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าตามสบาย แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ และอธิบายสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากรู้มากมาย บางอย่างข้าพเจ้า เพียงนึกใจใจคำตอบก็ถูกป้อนออกมาจากหัวหน้าหมู่บ้านเกือบทั้งหมด

9
ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่...ท่องเมืองลับแล

ช่วงที่ 1
บริเวณชายแดนเหนือสุดขอบสยามเป็นสถานที่ที่พระอริยสงฆ์เจ้า หลายต่อหลายรูปได้เดินทางจาริกแสวงหาสัจธรรม เป็นแหล่งที่ครั้งหนึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญสูงสุดของอารยธรรม และเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการธุดงวัตร ซึ่งเป็นภาคสำคัญของพระสงฆ์สายปฏิบัติหรือที่หมู่สาธุชนให้ชื่อว่าพระป่า ซึ่งในช่วงการอยู่ใต้ร่มกาสวพัตช่วงหนึ่งจะทำการเพื่อหลีกเร้นปลีกวิเวกมา อยู่ท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติ แมกไม้ ลำธาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำต่าง ๆ มีแนวเขาสลับซับซ้อน หมู่ถ้ำ ภูเขาน้อยใหญ่ มีทุ่งลานหินและป่าโปร่งทั้งป่าดิบสลับกันไปเหมาะแ ก่การแสวงหาสถานที่ในการบำเพ็ญตน ถือศีลปฏิบัติธรรมสำหรับผุ้มีศีลหรือคณะสงฆ์สายปฏิบัติหรือพระป่า รวมทั้งเหล่าฆราวาส ทายาทธรรมทั้งหลายเป็นอย่างมากและเป็นดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในสมัยพุทธกาลไว้ ว่าพุทธสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกเผยแพร่ประกาศพระ ศาสนามาทางปัจจันต์ประเทศ (ประเทศแถบสยามในยุคสมัยทวาราวดี) และทรงกล่าวเป็นพุทธทำนายไว้เป็นหลักฐานทางพระไตรปิฎกไว้ว่า ในกาลล่วงสองพันห้าร้อยปีขึ้นพุทธศานาจัก เจริญยิ่งในดินแดนปัจจันต์ประเทศแห่งนี้ และยังทรงประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นหลักบานแห่งความเจริญซึ่งจุดศูนย์กลางแห่งนี้ในกาลข้างหน้า ณ เทือกเขา เวภาพบรรพต ที่ได้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ในปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เองที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งดินแดนของพระศรีอาริยเมตไตย์องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาลข้างหน้า

ข้าพเจ้าก็ได้หลีกเร้นมาถือศีลปฏิบัติธรรมดินแดนที่กล่าวถึง ข้างต้นนานนับเกินเดือนและเลยปีผ่านไป ได้พบครูบาอาจารย์ โดยบังเอิญท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก และทำให้ข้าพเจ้าเกิดติดกับธรรมชาติ ไม่อยากหวนคืนสู่สังคมมนุษย์ที่เป็นคนเมือง แต่เป็นเพราะกรรมและวาระผูกพัน ทำให้ข้าพเจ้าต้องไป ๆ มา ๆ และได้เก็บความรู้ประสบการณ์เขียนบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย หลายเรื่อง ดังจะยกมาให้อ่านเป็นตอน ๆ ไป เมืองลับแล...

ข้าพเจ้ากำหนดจิตทำสมาธิภาวนาคาถาตามที่ครูบาอาจารย์ได้อบรม สั่งสอนมาเพื่อสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สมาธิ ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อที่จะได้เข้าสู่แดนที่จะไป เป็นการกำหนดจิตเพื่อดูให้รู้ว่า บริเวณแห่งใดเป็นแดนที่ใกล้ประตูเข้าออกของแดนที่เรียกว่า เมืองลับแล

เพียงครู่เดียวข้าพเจ้าก็เข้าสู่มิติอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็น มิติที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์เราหรืออีกนัยหนึ่งตามหลักพุทธศาสนาเรียกว่าการ ทับซ้อนของภพภูมิ และนี่ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งมีความผิดแผกต่างจากโลกมนุษย์ แต่ก็หาสิ้นเชิงไม่ เป็นดินแดนที่หลายต่อหลายคนกล่าวถึง และก็มีมากมายหลายคนที่ได้สัมผัส กล่าวขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ยากนักที่ผู้ใดจะอรรถาธิบาย ให้ข้าพเจ้าฟังและเข้าใจได้ดีพอจนทำให้ข้าพเจ้าสนใจที่จะทำการศึกษาค้นคว้า ให้เกิดความข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งด้วยตนเอง ซึ่งต้องมีผู้กำหนดเส้นทางชี้นำ การประพฤติปฏิบัติแนวทางวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งต้องใช้เวลา และความบริสุทธิ์แห่งการรักษาศีล ถือเนกขัมมะ ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ ทั้งทางกาย วาจาใจ และการที่จะผ่านแดนลี้ลับต่าง ๆ ขั้นต้นต้องมีพื้นฐานด้านการรักษาศีลก่อนทั้งสิ้น

การที่จะเข้าไปสัมผัสถึงภพภูมิต่าง ๆ นั้นจะต้องผ่านขั้นตาอนการฝึกความอดทนสร้างเสริมบารมี ทั้งทางกายและทางจิต เช่นเดียวกับการบวชทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือฝึกหรือสร้างบารมี 10 ทัศ เมื่อผ่านการฝึกฝนโดยมีครูอาจารย์เป็นผู้กำกับแล้ว ยังต้องอาศัยบุญหรือกรรมเป็นด่านสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอต่อโพธิสัตว์ซึ่งบารมีสูง โปรดจงช่วยรวมบุญบารมีของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งมวลแผ่ไปให้กับภพภูมิต่าง ๆ และข้อตั้งสัจจะอธิษฐานขอนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเปิดเผย เพื่อเป็นแรงศรัทธา เครื่องชี้นำให้สำหรับผุ้อื่น ผู้ไฝ่รู้เร่งขวนขวาย ในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เพียรทำบุญกุศลเพื่อกาลข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้น ในการเวียนว่ายตายเกิด ขอความรู้ที่เกิดจากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้จงเป็นพื้นฐาน สำหรับการดำเนินชีวิตสู่ ความสุข สงบ ถึงนิพพานในการต่อไป ก่อนที่โลกของเรา จะล่มสลายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ รบราฆ่าฟันกันจนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ หรือสงครมล้างโลกและสงครามศาสนาที่กำลังอุบัติขึ้นในกาลปัจจุบัน

เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าสู่เมืองลับแล หรือมิติมหัศจรรย์ที่หลายคนกล่าวถึง ในครั้งแรกก็เกิดความ มึนงงสงสัย ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ใดกันแน่จึงถอนตัวกลับออกมาอยู่บ่อย ๆ จนจิตเคยชินกับความรู้สึก แปลก ๆ แล้วจึงได้มีความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เกิดความรู้ในสิ่งที่เราสัมผัส ได้ การได้สัมผัสในครั้งต่อ ๆ มา ก็ยังความรู้สึกที่แปลกไปอยู่ดี ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะโสทประสาทของข้าพเจ้า

มันช่างเป็นสัมผัสอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจาก ที่ใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถอธิบายของความบริสุทธิ์ สะอาด ความเยบสงบ ความอบอุ่น ความสบาย ความเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไร้สิ่งที่เป็นมลพิษทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกรับรู้ได้ถึงว่านี่คือเมือง เมืองหนึ่ง และสถานที่นี้คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านคนมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มียวดยานพาหนะใด ๆ ไม่มีถนนที่สร้างเป็นอน่างถาวร ไม่วัตถุใด ๆ แอบแฝงหรือปะปนท้องฟ้าดูรู้สึกเย็นตา ดูท้องฟ้าอยู่ไม่ไกลนัก เมฆลอยต่ำจนเกือบน่าจะสัมฟัสได้ถึงไอน้ำเลยเชียวแต่ก็ไม่ต่ำนัก ทำให้รู้สึกว่าเหมือนหมู่บ้านชาวเขาที่อยุ่ยอดดอยที่ใดที่หนึ่งปานนั้น แต่ดูพื้นที่ก็เป็นที่ราบ มีภูเขาบ้างก็เท่านั้น มีป่าไม้ชายเขา แต่ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญในยุคนี้เลย แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็อาศัยขุนเขาและป่าไม้เป็นปกติอยู่ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นอีกชั้นบรรยากาศหนึ่งหนึ่งหรืออย่างไร และมความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้มิใช่ดินแดนแห่งความสับสนวุ่นวาย ไร้การแก่งแย่งชิงดี แย่งกันกินแย่งกันอยู่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่พักอาศัย เป็นการปลูกสร้างโดยหลักธรรมชาติล้วน ๆ หรือที่เราเรียกว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยล้วน ไม่มีวัตถุปรุงแต่งแม้แต่ชิ้นเดียว ดูความเรียบร้อยของการปลูกสร้างบ้านแต่ละหลังคงไว้ซึ่งความใหม่และความสะอาด ฝุ่นละอองแม้เพียงนิด ก็ไม่มี ความสกปรกของขยะมูลฝอย สักชิ้นก็หามีไม่ บ้านเรือนแต่ละหลังคงสภาพเหมือนกันหมดไม่มีความเหลื่อมล้ำทางอายุการใช้งาน เหมือนการปลูกสร้างในเวลาเดียวกันและนี่เองที่ควรเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น สิ่งเนตมิต พื้นดินที่มีการเหยียบย่างของุ้คน เป็นพื้นดินที่ราบเรียบละเอียดอ่อน เมื่อเดินผ่านไปแล้วก็ไม่มีรอยใด ๆ เกิดขึ้น ต้นไม้ที่ปลูกใกล้กับบ้านคนก็ไม่มีใบที่ล่วงหล่นสักใบหรือเขาเก็บไปทิ้งหรือ อย่างไร บ้านเรือนแต่ละหลังมีลักษณะบ้านไม้กิ่งไม้ไผ่ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไทยแบบชาวบ้านปลูกอย่างง่ายมีนอกชานยื่นมาเล็กน้อย เรือนแต่ละหลังไม่ใหญ่มากนัก เหมาะสำหรับอยู่อาศัย 3-5 คนโดยประมาณพอดีใต้ถุนบ้านสะอาดตาไม่มีสิ่งใด ๆ ที่มอบงแล้วสะดุดตาหรือไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ทำให้มองแล้วรกรุงรังสักชิ้น เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ หมู่บ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า และเป็นวันพระ 15 ค่ำ พอดีโดยมิได้กะเกณฑ์ จะเป็นสาเหตุใดก็ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมไม่มีใครใส่ใจข้าพเจ้าเลยทุกคนมุ่งที่ จะทำกิจกรรมใด ๆ อยู่สักอย่าง จะมีก็เพียงกลิ่นไอ ความหอมกรุ่นของอาหารบางอย่าง ซึ่งก็มิใช่กลิ่นของอาหารในโลกมนุษย์เรา

10
กราบนมัสการหลวงพ่อเปิ่นและพระอาจารย์ทุกๆรูปครับ...

ขอให้พระอาจารย์ทุกๆรูปมีสุขภาพที่แข็งแรงครับ

และขอบารมีหลวงพ่อเปิ่นปกป้องคุ้มครองให้พี่ๆน้องๆ

ชาววัดบางพระทุกๆท่าน มีแต่ความสุข..และความเจริญครับ

สวัสดีปีใหม่ 2555 ครับ  :114: :114: :090: :114: :114:

11
พุทธคุณเด่นด้านเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยมครับ

14

เป็นภาพเพิ่มเติมในขณะกำลังลอดรูถ้ำเพื่อออกสู่ป่าอาถรรพ์ในภาคที่2









หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน...
ต่อไปเป็นภาพการเปลี่ยนแปลงของธาตุกายสิทธิ์




จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีชมพูและสีเหลืองเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาจากเดิม



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองเปลี่ยนรูปทรงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีเขียวเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีธาตุกายสิทธิ์ของปังปอนเพิ่มเข้ามาโดยได้สีของ
ทุกคนมารวมกันและมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโคร



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีขาวหลุดออกจากกรอบทองที่เลี่ยมไว้ในภาคที่3-4และเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีม่วงเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาและธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองเปลี่ยนรูปทรงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมา



เป็นภาพที่ธาตุกายสิทธิ์สีต่างๆออกลูกเพิ่มมาอีก



เป็นภาพอีกมุมหนึ่งและธาตุกายสิทธิ์สีเขียวไม่ยอมออกลูกอีกเช่นเคย



เป็นภาพอีกมุมหนึ่งของธาตุกายสิทธิ์สีต่างๆที่ออกลูกมา



สรุปผล
1.ธาตุกายสิทธิ์สีแดงมีขนาดเท่าเดิม(ไม่เพิ่มขนาดอีก)เพราะออกมาจากถ้ำมีขนาดใหญ่อยู่แล้ว
2.ธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองของอาจารย์ชามาตอนแรกมีขนาดเล็กสุดแต่เดี๋ยวนี้มีขนาดใหญ่สุดแล้ว
3.ธาตุกายสิทธิ์สีขาวของพี่นวลมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่2
4.ธาตุกายสิทธิ์สีชมพูของมุกมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่3
5.ธาตุกายสิทธิ์สีแดงของเก๋มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่4
6.ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่5
7.ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงของผู้เขียนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่6


15
ผมไม่ทราบว่า ได้เฉพาะ กลุ่มบุคคล หรือ ผู้ที่มีของเก่าติดตัวมา   เพราะเห็นนํามาเผยแผ่หลายครั้งหลายคราถ้าบุคคลอื่น มีความต้องการอยากจะหามาบูชาบ้าง พอจะเป็นไปได้ไหมครับ  เพราะมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่พอสมควร


เป็นของคู่บารมีที่ติดตามทุกภพทุกชาติ(ที่เป็นมนุษย์)ตราบจนกว่าจะสำเร็จมรรคผลเข้าสู่นิพพานครับ

16
หลังจากภาคที่แล้ว…เหล็กไหลสายฟ้า ได้ล่องหนหายไปอย่างไร้วี่แวว และ
พี่อู๊ดได้ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงส่วนพี่ปุ๊กได้พระธาตุจำนวน 2 องค์ นั้น
ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2554 พี่ต๋อยได้มารับท่านอาจารย์ชา มุกและข้าพเจ้าผู้
เขียนไปที่บ้าน เพื่อทำน้ำมนต์เพิ่มอีก บอกว่า เผื่อขาดเหลือจะได้มีน้ำมนต์เก็บ
สต็อกไว้ ใครมาใครไปเดือดร้อนจะได้มาเอาไปใช้ได้

หลังจาก ที่พี่ต๋อยได้นำโอ่งดินที่ทำน้ำมนต์เมื่อคราวก่อนมาไว้ที่ห้องพระ และได้
นำน้ำมนต์ที่ทำพิธี เมื่อครั้งที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก ที่พี่ต๋อยแบ่งมาเป็นหัวเชื้อใน
การทำพิธีครั้งนี้

เมื่อเดินทางถึงบ้านพี่ต๋อยแล้ว ขณะนั้นพี่นวลไม่อยู่ที่บ้านไปทำธุระข้างนอก ยังไม่
กลับมา เมื่อพวกเรา…ได้ขึ้นไปบนห้องพระ พี่ต๋อยก็ได้หยิบเพชรพญานาคที่มีเก้า
เม็ดเก้าสี มีสีน้ำเงิน ,ฟ้า,เขียว,แดง , ม่วง, ขาว ,ส้ม , ชมพูและสีชา
และสร้อยข้อมือที่ทำจากเงินและฝังเพชรพญานาคอีกแปดเม็ด ที่พี่นวลได้สั่งซื้อมา
ทางจังหวัดหนองคาย ให้ท่านอาจารย์ชาชมและดูว่าเป็นของแท้ที่มีจิตวิญญาณ
ถือครองอยู่หรือไม่………………………

เมื่อท่านอาจารย์ชาดูแล้ว บอกว่าเป็นหินแท้หรือคริสตรัล ที่ทำและเจียรนัยขึ้นมา
จากฝีมือของมนุษย์ และไม่มีจิตวิญญาณถือครอง แต่สามารถนำมาเสกเป็นวัตถุ
มงคลได้ พี่ต๋อยจึงได้ให้ท่านอาจารย์ชาเสกให้…………………….
ท่านอาจารย์ชา จึงกล่าวขึ้นว่าเสกด้วยกำลังของรูปฌานหรืออรูปฌานดี แต่อรูป
ฌานไม่ได้เข้ามาสี่ปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เสนอว่า ให้เสกด้วยกำลังของอรูปฌานดี
กว่า ท่านอาจารย์ชา จึงแยกเสกเฉพาะเพชรพญานาค เก้าเม็ดเก้าสีก่อน ส่วน
สร้อยข้อมือจะเสกให้ต่อหน้าเจ้าของคือตอนที่พี่นวลกลับมาแล้ว

ต่อมา…ได้มีพี่เทพ ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ต๋อยได้นัดกับท่านอาจารย์ชา ไว้ว่าจะนำ
ล่อแก กระจกเว้า กระจกนูนและสิงห์คาบดาบ มาให้ท่านอาจารย์ชาเจิมและเสก
ให้ เพื่อจะนำไปติดที่บ้านต่างจังหวัดแถวจังหวัดอยุธยา เพื่อแก้เรื่อง ฮวงจุ้ย
พี่ต๋อยจึงโทรบอกพี่เทพ ให้ตามมาที่บ้านของพี่ต๋อยเลยเพราะท่านอาจารย์ชาอยู่
ที่นี่ เมื่อพี่เทพมาถึงที่บ้านพี่ต๋อยแล้ว ก็ได้ขึ้นไปสมทบบนห้องพระ และได้มาทัน
ตอนที่ท่านอาจารย์ชากำลังจะเสกเพชรพญานาคพอดี

หลังจากที่ท่านอาจารย์ชาเสกเสร็จแล้ว ได้ส่งคืนให้กับพี่ต๋อยและบอกว่าได้เสก
ด้วยกำลังของรูปฌาน ได้เสกไว้ ในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภและป้องกันภัย
พิบัติต่างๆ และได้ทำการเจิมและเสกล่อแก กระจกเว้า กระจกนูนสิงห์คาบดาบให้
กับพี่เทพ พร้อมทั้งอันเชิญพระธาตุเสด็จมา อยู่บนฝ่ามือให้กับพี่เทพ หนึ่งองค์
หลังจากที่ พี่ต๋อยเอ่ยปากขอ ให้กับพี่เทพด้วยวิธีที่เคยทำมาแล้วในภาคก่อนๆ

ต่อมาสักพักนึง พี่นวลได้กลับมาและขึ้นมาบนห้องพระ ท่านอาจารย์ชาจึงได้เสก
สร้อยข้อมือทำจากเงินและฝังเพชรพญานาคอีกแปดเม็ดนั้นให้กับพี่นวลด้วยกำลัง
ของอรูปฌาน

สักครู่ต่อมา เมื่อท่านอาจารย์ชาเสกเสร็จ จึงได้กล่าวว่าเข้าอรูปฌานไม่ได้เพราะไม่
รู้มีอะไรมากระทบ ซึ่งมีพลังอำนาจมากอยู่ภายในบริเวณห้องพระนี่แหละ ท่านจึงไม่
เข้าอรูปฌาน เลยใช้แต่รูปฌานเสกเท่านั้น
พวกเรา…จึงได้แต่มองหาไปมาภายในบริเวณห้องพระ ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแปลกปลอม
และมาเพิ่มหรือไม่ แต่หาไปจนทั่วแล้วก็ไม่มี

ต่อมาท่านอาจารย์ชา จึงถามหาเทียนขี้ผึ้งแท้สิบเล่มที่นำกลับมาจากที่วัดเมื่อครั้งทำ
น้ำมนต์คราวก่อน เมื่อได้แล้วท่านจึงนำมารวมกันเข้าทั้งสิบเล่ม และได้จุดเทียนเพื่อ
ทำน้ำมนต์พร้อมทั้งเจิมและเขียนยันต์ที่โอ่งน้ำมนต์ลูกนั้น หลังจากนั้นท่านอาจารย์
ชาได้ใช้ฝ่ามือแตะจับที่ขอบโอ่งทั้งสองข้าง พร้อมทั้งบริกรรมและเสกน้ำมนต์ไป

จนกระทั่งน้ำมนต์ในโอ่งนั้นหมุนวนไปมา ท่านอาจารย์ชา เห็นว่าเดี๋ยวโอ่งจะแตกจึง
ได้หยุดพิธีกรรมลงและได้กล่าวว่าแค่นี้ก็ขลังพอแล้ว เกินไปกว่านี้กลัวว่าโอ่งจะระเบิด
และแตกออกเป็นแน่ ……………………….

เมื่อเสร็จพิธีเสกน้ำมนต์ เรียบร้อยแล้ว พี่ต๋อยได้บอกให้ข้าพเจ้าตักน้ำมนต์หนึ่งขวด
แบ่งให้กับพี่เทพ ในขณะนั้นเอง ที่ข้าพเจ้ากำลังก้มลงใช้แก้วเพื่อจะตักน้ำมนต์ใส่
ขวดให้กับพี่เทพนั้น


เหล็กไหลสายฟ้า

ปรากฏว่า ข้าพเจ้าได้เห็นเจ้าเหล็กไหลสายฟ้า อยู่ภายในโอ่งน้ำมนต์………………
ข้าพเจ้าจึงได้ร้องบอกให้ท่านอาจารย์ชาและทุกคนได้ทราบ จึงขออนุญาตล้วงหยิบ
เจ้าเหล็กไหลสายฟ้าขึ้นมา และมอบให้กับท่านอาจารย์ชา……………….

ท่านอาจารย์ชา กล่าวว่า เป็นเพราะแสงรัศมีและพลังของเจ้าเหล็กไหลสายฟ้านี่เอง
ที่มากระทบเรา และคงอยากจะโชว์เดี่ยวในการทำน้ำมนต์ครั้งนี้

ท่านอาจารย์ชาจึงได้มอบให้กับพี่ต๋อยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและบอกว่าคงอยากจะอยู่
กับพี่ต๋อยเป็นแน่………………..

พี่ต๋อยจึงได้เล่าให้ทุกคนฟังว่า ในระหว่างที่ขับรถและเดินทางจากอำเภอทุ่งสงไป
กรุงเทพฯนั้น พี่ต๋อยได้ขอยืมจากพี่บัติมาชมบารมี และกำไว้ในมือจึงเกิดอาการ
ตุ๊บ ตุ๊บ ในมือ เหมือนสัมผัสพลังได้ หลังจากที่เคยจับและชมของคนอื่นๆ มาบ้าง

แล้วไม่เป็นแบบนี้ เลยชอบและได้อธิษฐานจิตขอว่าถ้าแบ่งแยกตัวออกมาได้อีกขอ
ให้แบ่งแยกออกมาเพื่อจะได้ให้ลูกชายไว้ป้องกันตัวและคุ้มภัย และครั้งนึงช่วงที่อยู่
ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ระหว่างที่นั่งรอทุกคนมาพร้อมกันตามนัดนั้น ได้ขอยืมจาก
พี่บัติ ซึ่งมาถึงก่อนแล้ว ได้กำไว้ในมือและนั่งทำสมาธิหลังจากนั้นก็ได้ พูดเปรยๆว่า
อยากจะให้แบ่งแยกตัวออกมาอีก เพื่อจะได้ให้กับลูกชาย ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ยิน

พี่ต๋อยเมื่อลำดับเหตุการณ์ดู จึงคิดว่า เหตุผลที่เหล็กไหลสายฟ้ามาอยู่ด้วยเป็นเพราะ
ด้วยแรงอธิษฐานเป็นแน่…………….





                                    +++จบบริบูรณ์+++

17
หลังจากภาคที่แล้ว…เอ๋ผู้จัดการร้าน…ของพี่บัติได้ธาตุกายสิทธิ์แบบลูกแก้วสีขาวใส
ซึ่งแบ่งแยกออกมาจากธาตุกายสิทธิ์ของพี่นวล

ต่อมา….หลังจากที่พี่ต๋อย และพี่นวลกลับกันแล้ว และใกล้จะปิดร้านแล้วก็ได้มี
นายผอม ซึ่งเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัวและยังเป็นญาติของท่านอาจารย์ชาเข้ามาขอ
ของดีจากท่านอาจารย์ชาบ้าง

ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าได้แต่มีข้อตกลงกันก่อนว่า จะต้องปฏิบัตินั่งสมาธิก่อน
นอนทุกวันๆละห้าถึงสิบนาทีก็ได้ จะทำได้มั้ย นายผอมก็รับคำว่าได้ด้วยความตั้งใจ

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ได้ให้นายผอมยื่นมือและให้แบฝ่ามือไว้
หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ก็ใช้ฝ่ามือของท่านวางคว่ำไว้บนฝ่ามือ
ของนายผอมโดยไม่ติดกัน ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 2-3 นิ้ว แล้ววนไปวนมา

หลังจากนั้นสักพักนึง เมื่อท่านอาจารย์ชา นำฝ่ามือออกก็มีพระธาตุจำนวน 1 องค์
มาอยู่บนฝ่ามือทำให้นายผอม เกิดอาการตกตะลึงและดีใจมาก

เมื่อหันมาบอกกับข้าพเจ้า และกำลังดีใจอยู่นั้นเมื่อก้มกลับลงมองบนฝ่ามืออีกครั้ง
อัศจรรย์มากกับมีพระธาตุเสด็จเพิ่มมาอีก 3 องค์รวมเป็น 4 องค์ พอรีบจะ
ห่อกระดาษและใส่ในซองพลาสติกใส่ยานั้น กับลดลงอีกเหลือแค่ 3 องค์เท่านั้น

ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่ารีบๆ เก็บนะ แล้วอย่าลืม…
ปฏิบัติตัวตามที่ได้สัญญาและรับปากไว้กับท่านอาจารย์ชา และอย่าผิดสัญญาไม่งั้น
พระธาตุเสด็จกลับหมด อย่าลืมว่าเสด็จมาได้ก็เสด็จกลับได้เหมือนกัน

หลังจากนั้นต่อมาเมื่อปิดร้านแล้ว ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้แยกย้ายกลับบ้านไป และ
เวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าท่านอาจารย์ชา ก็ได้โทรมาหาข้าพเจ้าถามว่า ตอนที่ยก
พานบายศรีบรมครูไปให้ท่านอาจารย์ที่ห้องนั้น เห็นอะไรผิดสังเกตุหรือไม่
ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เห็นมี ก็ปกติดี หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ได้เล่า…

ให้ข้าพเจ้าฟังว่าเห็นเหล็กไหลสายฟ้ามาปักเสียบอยู่ข้างเทียน บนยอดของบายศรี
พรุ่งนี้ลองเข้ามาดูว่าใช่ตัวเดิมที่หาย ไปตอนเวียนทักษิณาวัตร รอบองค์พระแก้ว
มรกตหรือไม่





เหล็กไหลสายฟ้ามาปักเสียบอยู่ข้างเทียน บนยอดของบายศรี



วันรุ่งขึ้นที่ 5 กันยายน 2554 ข้าพเจ้าได้เข้าไปดูเหล็กไหลสายฟ้า ที่ร้านรำมะนา
ค๊อฟฟี่ และได้บอกกับท่านอาจารย์ชาว่าใช่ ตัวเดิมแน่นอนเหมือนกันเปี้ยบ

ต่อมา…ตอนเย็น พี่บัติเข้ามาที่ร้าน…ท่านอาจารย์ชาจึงได้ให้พี่บัติดูและได้ถ่ายรูปไว้
เพื่อที่ข้าพเจ้าได้มีรูปภาพประกอบเรื่อง…ในภาคที่2 และภาคที่3
เพราะว่าก่อนหน้านั้นไม่ได้ถ่ายรูปเหล็กไหลสายฟ้าไว้เลย

ต่อมา…คืนนั้นเองมุกภรรยาท่านอาจารย์ชา ได้นั่งสมาธิและได้ส่งจิต ไปหาหลวงปู่
วิไลที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก และได้เกิดเห็นนิมิตว่าธาตุกายสิทธิ์ ทุกอย่างทุกชนิด
ของมุกแตกกระจายเป็นผงไม่มีชิ้นดี

มุกตกใจและเสียใจมาก ต่อมา…ได้ยินเสียงของหลวงปู่วิไล ได้เทศน์สอนธรรม
มาว่า “ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน” เพียงประโยคเดียวแต่กินใจ

ต่อจากนั้นมุกก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรหล่นมาบนมือ ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น จึงสงสัย
และได้ถอยออกจากสมาธิและลืมตาก้มลงดู ผลปรากฏว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์สีแดง
ขนาดเล็กรูปทรงแบบแฮมเบอร์เกอร์อยู่บนฝ่ามือ และรีบเปิดกระเป๋าดูธาตุกายสิทธิ์
สีชมพูว่ายังอยู่สภาพเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อเห็นว่าอยู่ในสภาพที่ดี และไม่ได้แตก
กระจายเป็นผงเหมือนในนิมิต ทำให้มุกดีใจมาก และกราบขอบพระคุณหลวงปู่วิไล
ที่ได้เมตตาสั่งสอนธรรม เพื่อให้มุกได้คิดและสะกิดใจ



ธาตุกายสิทธิ์สีแดงที่มุกได้ขณะนั่งสมาธิ


และมุกคิดว่าครั้งนี้ธาตุกายสิทธิ์คงมาจากที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ที่วัดเป็นแน่!!!



วันรุ่งขึ้นวันที่ 6 กันยายน 2554 เอ๋ได้มาเล่าให้ข้าพเจ้าผู้เขียนฟังในตอนเย็นๆว่า
ได้เห็นท่านอาจารย์ชา คว้าลูกแก้วขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 3-4 นิ้วจาก
ในอากาศมาให้ชม เห็นแล้วสวยและงดงามมาก และกำลังตกตะลึงอยู่แทบควบคุม
สติไว้ไม่อยู่ จึงไม่ได้ขอจากท่านอาจารย์ชาไว้ ลูกแก้วจึงได้หายไป…

หลังจากนั้นข้าพเจ้าผู้เขียนจึงได้สอบถามท่านอาจารย์ชาว่า ที่เอ๋เล่ามานั้นจริงเท็จ
ประการใด ท่านอาจารย์ชาเล่าว่า…

วันนี้ช่วงกลางวัน ไม่มีแขกที่ร้าน…และอยู่กับเอ๋เพียงสองคน จึงรู้วาระจิตของเอ๋
ว่าที่ทำพิธีแยกธาตุกายสิทธิ์ให้เอ๋ ครั้งก่อนนั้น เอ๋ยังไม่เชื่อเต็มร้อยเปอร์เซนต์
และเห็นว่าเป็นคนนอกศาสนาพุทธ จึงได้แสดงให้เอ๋ดูว่า ของเหล่านี้มีอยู่จริงและ
เห็นต่อหน้าต่อตาแบบนี้คงจะปฏิเสธยาก

และหวังเพื่อที่จะสอดแทรกธรรมะให้เอ๋ ได้เข้าใจเพื่อจะได้ไม่เชื่ออะไรผิดๆ แบบ
งมงาย และไม่มีเหตุผลและยังบอกกับเอ๋อีกว่าไม่ได้ให้เอ๋ เลิกนับถือศาสนาอิสลาม
หรือเปลี่ยนศาสนา มานับถือศาสนาพุทธ เพราะทุกศาสนา ต่างก็สอนให้คนเป็น
คนดีเพียงแต่ได้ชี้ให้เห็นว่าส่วนไหน และสิ่งไหนที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นและ
ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์เท่านั้น

ต่อมา…ในวันที่ 7 กันยายน 2554 ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้เข้ามาที่ร้านรำมะนา
ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติและพี่บัติได้มอบให้ท่านอาจารย์ชาดูแล และบริหารจัดการอยู่

ได้นั่งสนทนา กับท่านอาจารย์ชาและพี่บัติ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงเจ้าเหล็กไหล
สายฟ้าว่าเป็นยังไงบ้าง เพื่อที่จะขอชมบารมีอีก ท่านอาจารย์ชาจึงได้บอกว่า
“มันไปเสียแล้ว” ท่านจึงได้สื่อถามเจ้าเหล็กไหลว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ไป มัน
ตอบมาว่าไม่อยากกลับไปที่เดิม แล้วหลังจากแยกตัวออกมา และตอนนี้มันเป็นตัว
ของตัวเองแล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ และไม่มีใครเป็นเจ้าของแล้ว

เมื่อถึง…ตอนค่ำๆ ของวันนั้นเอง ได้มีพี่อู๊ดกับพี่ปุ๊ก เพื่อนที่ทำงานสมัยอยู่โตโยต้า
กับพี่เต่าเข้ามาที่ร้าน…มานั่งสนทนาและปรึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ชา

สักพักพี่เต่าได้ตามเข้ามาที่ร้าน…และได้นั่งสนทนากัน
จนมาถึงเรื่องที่พี่เต่าได้ของดีคือธาตุกายสิทธิ์และได้เล่าเรื่องคร่าวๆที่พวกเรา…ไปได้
ของเหล่านี้มา จึงทำให้พี่อู๊ดอยากจะได้บ้าง

หลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกแปลกประหลาดคือรู้สึกเมตตาและสงสารอยากจะให้ธาตุกาย
สิทธิ์กับพี่อู๊ดมาก จึงได้ออกปากถามท่านอาจารย์ชาว่า ผมอยากจะให้ธาตุกายสิทธิ์
สีม่วงของผมแบ่งแยกให้กับพี่คนนี้จะได้มั้ย

ท่านอาจารย์ชา บอกว่าต้องลอง ให้เขาอธิษฐานจิตขอต่อธาตุกายสิทธิ์สีม่วงดู
ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งชื่อธาตุกายสิทธิ์สีม่วงนี้แล้วว่า ” แก้วไชยสิทธิ์ รัตนมณี “

ต่อมา…หลังจากที่พี่อู๊ดได้ทำการอธิษฐานจิต ต่อแก้วไชยสิทธิ์แล้วนั้น ก็ได้ยื่น
ส่งให้ท่านอาจารย์ชา
ท่านอาจารย์ชา ได้นำธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลือง และบอกให้นำธาตุกายสิทธิ์สี
ชมพูของมุกมาช่วยกันด้วยเพราะกำลังไม่พอ

จากนั้นท่านอาจารย์ชาได้ให้พี่อู๊ดยื่นและแบฝ่ามือไว้ ต่อจากนั้นได้นำธาตุกายสิทธิ์
ทั้งสามชนิดวางลงบนฝ่ามือของพี่อู๊ด และได้ทำลักษณะเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา
ต่อมาสักพักนึง เมื่อพี่อู๊ดค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า ธาตุกายสิทธิ์สี
ม่วงได้คลอดหลานออกมาสีม่วง มีขนาดเล็ก รูปร่างลักษณะกลมแบบลูกแก้ว



ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงที่พี่อู๊ดได้


ทำให้พี่อู๊ดทั้งตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ และดีใจเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงได้ข้อสังเกต
ว่าธาตุกายสิทธ์ทุกชนิดที่ผ่านมาเมื่อเวลาแบ่งแยก หรือคลอดหลานออกมาแล้วนั้น
จะมีลักษณะรูปร่างไม่เหมือนกับตัวแม่และตัวลูกเลย

ต่อมาพี่ปุ๊กเพื่อนพี่อู๊ด อยากจะได้บ้าง ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่าจะให้เป็นพระธาตุ…
จะเอามั้ย พี่ปุ๊กจึงได้บอกว่าเอาค๊ะ แต่จะขอให้พี่ชายไปบูชา 1 องค์ และ
สำหรับตัวเองหนึ่งองค์

ท่านอาจารย์ชา จึงให้แบฝ่ามือไว้ และได้ทำลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำให้พี่
หมูและผอม หลังจากที่พี่ปุ๊กได้พระธาตุแล้ว ก็ได้ถามว่าเป็นพระธาตุขององค์ไหนค๊ะ
ท่านอาจารย์ชาเมื่อดูแล้วได้บอกว่าเป็นของพระอัญญาโกญฑัญญะ



พระธาตุที่พี่ปุ๊กได้ 2 องค์


หลังจากนั้น…เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว พี่อู๊ดพี่ปุ๊กและพี่เต่า ก็ได้กราบลาท่าน
อาจารย์ชากลับบ้านไป

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้สอบถามท่านอาจารย์ชาว่าข้าพเจ้าผู้เขียนมีความเกี่ยวพันอะไร
กับพี่อู๊ดในอดีตชาติหรือไม่

ท่านอาจารย์ชาได้ตอบว่าเกี่ยว ในชาติที่เจ็ดนั่นแหละที่ข้าพเจ้าเป็นขุนพลแม่ทัพอยู่
พี่อู๊ดก็อยู่ภายในเมืองและใกล้ชิดกับข้าพเจ้าพอสมควร

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาได้กล่าวอีกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราได้มาพบเจอกัน
และได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมานั้น    ล้วนเป็นเพราะกรรมเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น





โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค7…เหล็กไหลสายฟ้า…กลับมา

18
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค5…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ



หลังจากภาคที่แล้ว..ในวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554 ระหว่างการเดินทางกลับ
กรุงเทพฯนั้น ท่านอาจารย์ชาได้เปลี่ยนไปนั่งรถคันของพี่เต่า เพื่อให้ท่านอ้วนได้
ย้ายไปรถคันที่จะรีบมุ่งหน้า ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อบินกลับจังหวัดภูเก็ต
ซึ่งก็คือรถคันของพี่ต๋อย ที่มีพี่นวลอังเดรและเก๋นั่งอยู่ และมีท่านอ้วนอังเดรและเก๋
รวมทั้งหมดสามคน ที่จะต้องรีบบินกลับจังหวัดภูเก็ตด่วนในค่ำวันนั้น

ในระหว่างที่ท่านอาจารย์ชานั่งอยู่ภายในรถคันของพี่เต่า ที่มีพี่หมูเพื่อนพี่เต่าเปลี่ยน
มาขับแทนมีน้องแหม่มภรรยาพี่เต่า และพี่ตูนกับตุ่มนั่งรวมอยู่ด้วย ในระหว่างที่รถ
แล่นไปนั้นได้สนทนาธรรมกันอยู่หลายเรื่อง…………….

จนกระทั่งมาถึงเรื่องการแสดงและการทำอิทธิฤทธิ์ได้ ท่านอาจารย์ชา ก็เลยสาธิต
ให้……….ชมกันด้วยการให้พี่หมูยื่นมือและให้แบฝ่ามือไว้ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา
ก็ใช้ฝ่ามือของท่าน วางคว่ำไว้บนฝ่ามือของพี่หมูโดยไม่ติดกัน ซึ่งมีระยะห่างกัน
ประมาณ 2-3 นิ้ว แล้ววนไปวนมา

หลังจากนั้นสักพักนึง เมื่อท่านอาจารย์ชานำฝ่ามือออก ก็มีพระธาตุจำนวน 1 องค์
มาอยู่บนฝ่ามือ ทำให้พี่หมู เกิดอาการตกตะลึงและดีใจ จนแทบขับรถไม่ได้หลัง
จากตั้งสติได้แล้ว จึงได้ถาม…………….

ท่านอาจารย์ชาว่า พระธาตุเสด็จมาได้อย่างไร ท่านอาจารย์ชา ได้ตอบว่าจำ
ได้มั้ยตอนที่ลาหลวงปู่วิไลกลับกันนั้น… หลวงปู่…ได้บอกว่าคืนที่พวกเรา…ทำน้ำมนต์
กันนั้นมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มเป็นจำนวนมาก ที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ที่วัด



ท่านอาจารย์ชาได้ทำให้…พระธาตุเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ


หลวงปู่วิไลซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านอาจารย์ชาแล้วนั้น ได้อนุญาตให้ท่านอาจารย์
ชามอบพระธาตุให้กับบุคคล ที่เห็นว่าเหมาะสม และคู่ควร โดยใช้ฤทธิ์อัญเชิญเอา
จากพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ได้ทุกเมื่อ…

เมื่อพวกเรา…ได้เดินทางถึงกรุงเทพฯ ด้วยเวลาประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ ของวันนั้น
พวกเรา…บางส่วนก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่ร้านรำมะนา ค๊อฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติ เพื่อ
พักเหนื่อยและทานอาหารเย็นกัน รวมทั้งแบ่งขวดน้ำมนต์กัน และข้าพเจ้าได้นำพาน
บายศรีบรมครูไปให้ท่านอาจารย์ชา ที่ห้องพักในระแวกใกล้เคียงนั้น

ระหว่างที่นั่งรออาหารเย็นอยู่นั้น พวกเรา…ได้นั่งคุยกันถึงเรื่อง ที่พี่หมูได้พระธาต…
และบางคนที่ยังไม่ได้อะไรเลย โดยเฉพาะน้องแหม่มกับพี่เต่า เพื่อนพี่โชคชัย
จึงลองขอท่านอาจารย์ชาดู ท่านอาจารย์ชาจึงให้น้องแหม่ม ลองอธิษฐานจิตขอต่อ
ลูกแก้วธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองของท่านอาจารย์ชาดู……………

ส่วนท่านอาจารย์ชาก็ได้พูดกับลูกแก้วสีเหลืองนั้นว่า “ แบ่งแยกออกให้เค้าเถอะ ”
และให้พี่โชคชัยนำธาตุกายสิทธิ์ของแก มาเป็นตัวช่วยในการดึงดูดด้วย………………
(ท่านอาจารย์ชา ได้บอกว่า ธาตุกายสิทธิ์สีดำ ของพี่โชคชัยมีพลังงานในเรื่องการ
ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว)

หลังจากน้องแหม่มได้อธิษฐานจิต และส่งธาตุกายสิทธิ์สีเหลือง คืนให้ท่านอาจารย์
ชาแล้ว ท่านอาจารย์ชาก็ให้น้องแหม่มแบมือ……
ท่านอาจารย์ชาได้นำธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลือง และธาตุกายสิทธิ์สีดำของพี่โชคชัย
วางลงบนฝ่ามือ และใช้มือของท่านอาจารย์ชาคว่ำปิดลง และให้ฝ่ามือของน้องแหม่ม
อีกข้างนึงคว่ำทับฝ่ามือของท่านอาจารย์ชาอีกที และให้พี่โชคชัย ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ
และท่องคาถาว่า “ เนี้ย เมี้ย เพี้ย เพี้ย ”

สักอึดใจนึง ท่านอาจารย์ชา ได้ชักฝ่ามือออกและให้ฝ่ามือของน้องแหม่มที่อยู่ด้าน
บนลงมา คว่ำปิดทับลงแทน และได้ให้น้องแหม่มค่อยๆแง้มเปิดฝ่ามือออกทีละนิด
เพื่อลุ้นว่า จะมีสิ่งใดปรากฏออกมาหรือไม่

ผลปรากฏว่า… ธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลืองของท่านอาจารย์ชา คลอดหลานออกมา
สีเหลือง มีขนาดเล็กเท่าๆ กับลูกที่คลอดออกมาในโอ่งน้ำมนต์ครั้งก่อน………ต่างกัน
ตรงที่มีลักษณะกลมแบบแฮมเบอร์เกอร์ พวกเราต่างเฮ กันลั่นสนั่นร้านด้วยความตื่น
เต้นทึ่งและอัศจรรย์ใจมาก ที่ได้เห็นกับตาในครั้งนี้…….



ธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองได้คลอดหลานให้กับน้องแหม่ม


ต่อมาได้ลองให้พี่เต่า นำธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยมา อธิษฐานจิตดูบ้างว่า ถ้ามี
บุญบารมีพอที่จะมีสิทธิ์ได้ครองครองเป็นเจ้าของกับเขาบ้าง…ก็ขอให้ได้ด้วยเทอญ
และให้พี่ต๋อยเจ้าของธาตุกายสิทธิ์ต้องอธิษฐานจิต…กำกับและเต็มใจที่จะมอบให้ด้วย
หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ทำเหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อครั้งที่ทำกับน้องแหม่มตะกี้
และให้พี่โชคชัยทำเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วด้วย



ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่เต่า


ผลปรากฏว่า…เมื่อพี่เต่าค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ก็มีหลานคลอดออกมาสีเขียว
ขนาดเล็ก มีลักษณะกลมแบบลูกแก้ว พวกเรา…รู้สึกอัศจรรย์ใจและแปลกประหลาด
ใจมากว่าธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยไม่ออกลูกมาเลยในโอ่งน้ำมนต์ เมื่อครั้งที่ทำ
พิธี…ที่วัด แต่กลับมาออกหลานให้พี่เต่าได้

จึงทำให้ข้าพเจ้า………ผู้เขียนสงสัยเป็นอันมาก

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มองเห็นบอสเข้ามานั่งในร้าน…พอดี( บอสก็คือเด็กหนุ่มรูปร่าง
อ้วนท้วนสมบูรณ์) ที่บ้านอยู่ในระแวกนั้น และเป็นลูกค้าขาประจำของที่ร้าน…
ซึ่งตอนแรกบอส ได้ตกลงกันว่าจะไปทำน้ำมนต์ที่วัดในครั้งนี้ด้วย แต่ได้ยกเลิก
กระทันหันเพราะติดธุระสำคัญ

และท่านอาจารย์ชาได้เคยบอกไว้ด้วยว่า บอสนี่ก็คือลูกชายของท่านอ้วนคนที่สอง
ในอดีตชาติครั้งนั้นที่ท่านอ้วนเป็นเศรษฐี พอภรรยาเสียชีวิตลงก็ได้แบ่งสมบัติให้ลูก
ทั้งสามและท่านอ้วนก็ได้ออกบวชเป็นฤาษี…

ข้าพเจ้า จึงได้เข้าไปตามบอสในร้าน…ให้มาพบท่านอาจารย์ชา เพราะอยากให้บอส
ได้ธาตุกายสิทธิ์บ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะได้เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน…..
ในครั้งอดีต…และถ้ำแห่งนั้นด้วย

และข้าพเจ้าก็เต็มใจที่จะให้ธาตุกายสิทธ์สีม่วงของข้าพเจ้า แบ่งแยกออกมาให้บอส
อีก หลังจากที่เคยออกลูกมาแล้วเมื่อครั้งที่ทำน้ำมนต์คราวก่อน

ต่อมา…เมื่อบอสได้อธิษฐานจิตและได้ส่งธาตุกายสิทธ์สีม่วงให้ท่านอาจารย์ชาและ
ท่านได้วางลงบนฝ่ามือของบอส โดยทำเหมือนกับทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเมื่อบอสค่อยๆ
แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า คราวนี้ไม่มี และธาตุกายสิทธิ์สีม่วงไม่ออกหลาน
มาแต่ประการใด ทำให้พวกเรา…อึ้งและข้าพเจ้าได้พูดว่าบอสคงจะอธิษฐาน…ด้วยจิต
ที่ไม่สงบนิ่งเป็นแน่…

ต่อมามุกภรรยา ท่านอาจารย์ชา ก็มีความประสงค์ที่จะให้พี่ชาย ซึ่งเป็นเพื่อน
ของพี่ต๋อยบ้างเพราะเห็นว่าที่ไปวัดเพื่อทำน้ำมนต์ในครั้งนี้ มีพี่ชายคนเดียวที่ยังไม่ได้
จึงได้โทรติดต่อไปยังพี่ชาย ซึ่งได้กลับบ้านไปก่อนแล้ว พี่ชายได้ตอบกลับมาว่า
” เข้าบ้านแล้วขี้เกียจออกมา ”

มุกภรรยาท่านอาจารย์ชาได้มีความตั้งใจแล้วที่จะให้พี่ชายแต่พี่ชายไม่เอา จึงได้บอก
ให้บอสลองตั้งใจอธิษฐานจิต ดูอีกครั้งกับธาตุกายสิทธิ์สีชมพูของมุก เมื่อได้อธิษฐาน
จิต เสร็จแล้วจึงได้ส่งธาตุกายสิทธ์สีชมพู ให้กับท่านอาจารย์ชา


หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ก็ทำเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถึงกับต้องใช้
พลังจิตมากและรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก เหมือนกับพึ่งเดินขึ้นเขา ลงเขามา
ต่อมาสักพักนึง เมื่อบอสค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่าธาตุกายสิทธิ์
สีชมพูคลอดหลานออกมามีขนาดเล็ก ลักษณะรูปทรงแบบแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้
บอสรู้สึกทึ่งและดีใจมาก



ธาตุกายสิทธิ์สีชมพูที่คลอดหลานให้กับบอส


ต่อมาหลายๆท่านก็กราบลาท่านอาจารย์ชาและแยกย้ายกันกลับบ้านไป คงเหลือ
แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนพี่ต๋อยและพี่นวล ที่ยังนั่งทานอาหารกันอยู่
จนกระทั่งเอ๋ ผู้จัดการของร้านรำมะนา ซึ่งเป็นอิสลามได้ ถามว่าเมื่อตะกี้ ตอนอยู่
ข้างนอกร้านทำอะไรกันเหรอ เห็นมุงดูกันใหญ่และเฮกันลั่นเสียงดังมาก
ข้าพเจ้าจึงได้ตอบว่าท่านอาจารย์ชา ได้ทำปาฏิหารย์ให้ธาตุกายสิทธิ์ แบ่งแยกออก
หลานให้กับพี่เต่าน้องแหม่มและบอส

จึงทำให้เอ๋ อยากดูอีกและอยากได้บ้าง ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าได้แต่มีข้อตก
ลงกันก่อนว่า จะต้องฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวันโดยเริ่มจากห้าถึงสิบนาทีเป็นอย่าง
น้อย เอ๋จะทำได้มั้ย เอ๋ซึ่งเป็นอิสลามก็ตอบว่าได้และได้สัญญากับท่านอาจารย์ชา

หลังจากนั้นต่อมา…………………..
ท่านอาจารย์ชา ได้ถามพี่นวลว่าอยากจะให้ธาตุกายสิทธิ์ของเราแบ่งแยกออกมา
มั้ย พี่นวลก็เต็มใจที่จะให้ และข้าพเจ้าได้ถามท่านอาจารย์ชาว่าจะสามารถทำได้
อีกมั้ยเพราะว่าธาตุกายสิทธิ์สีดำของพี่โชคชัยและตัวพี่โชคชัยก็ไม่อยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ชาตอบว่าไม่แน่ใจเหมือนกันต้องลองดู…………..

ต่อจากนั้นพี่นวลนำธาตุกายสิทธิ์สีขาวใส รูปทรงแบบดวงตาของปลาหรือแบบแฮม
เบอร์เกอร์ ให้เอ๋ได้อธิษฐานจิต เสร็จแล้วจึงได้มอบให้ท่านอาจารย์ชา

ท่านอาจารย์ชาให้เอ๋ แบและหงายฝ่ามือไว้ หลังจากนั้นได้หยิบธาตุกายสิทธิ์
ลูกแก้วสีเหลืองของท่านอาจารย์ชาและบอกข้าพเจ้าว่ากำลังไม่พอ ให้นำธาตุกาย
สิทธิ์สีม่วงของข้าพเจ้ามาร่วมด้วย จากนั้นได้นำธาตุกายสิทธิ์ทั้งสามชนิดวางลง
บนฝ่ามือของเอ๋ และได้ทำลักษณะเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา

ต่อมาสักพักนึง เมื่อเอ๋ค่อยๆ แง้มมือออก เพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า ธาตุกายสิทธิ์
สีขาวใสคลอดหลานออกมา มีขนาดเล็ก รูปร่างลักษณะเป็นลูกแก้วกลมใส
ทำให้เอ๋ตกตะลึง อัศจรรย์ใจ และดีใจเป็นอย่างมากถึงกับ อุทานออกมา………
ว่า” ไม่น่าเชื่อเลยน๊า”



ธาตุกายสิทธิ์สีขาวของเอ๋








โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน…

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค6…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ (ต่อ)

19



           สุขสันต์วันเกิด...ขอให้มีความสุขนะครับ........ :114:

20
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค4…การทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

หลังจากภาคที่แล้วพวกเรา…ได้นำน้ำมนต์จากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง,วัดพระแก้ว
มรกต,พระปฐมเจดีย์ และวัดทรงธรรมกัลยาณี    เพื่อที่จะใช้เป็นส่วนผสมทำน้ำ
มนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

ท่านอาจารย์ชา บอกว่าให้พวกเรา… รวมธาตุกายสิทธิ์ ของทุกคนลงในน้ำมนต์
และจะต้องทำพิธีในถ้ำเท่านั้น ถ้ำใดก็ได้ ถึงจะขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก

พวกเรา…………. จึงได้ตกลงกัน ที่จะทำพิธีในครั้งนี้ ที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก
อ. คอนสาร จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นวัดที่ หลวงปู่วิไล เขมิโย เป็นเจ้าอาวาสอยู่

ท่านอาจารย์ชา ดูฤกษ์ยามแล้ว บอกว่าวันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2554 เวลา
ประมาณพลบค่ำ เป็นวันและเวลาที่ดี ที่จะทำพิธีในครั้งนี้ได้สำเร็จ

และจะทำให้น้ำมนต์นั้นขลังศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งอื่น ๆ
อาจจะทำได้ไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ เท่าครั้งนี้

เมื่อถึงเช้า วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2554 เวลาประมาณ เก้าโมงเช้า พวกเรา…ได้
เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยพาหนะรถยนต์สามคัน สิบหกชีวิตและอีก
หนึ่งครอบครัวที่เดินทางล่วงหน้าไปเจอกันที่โน่น และได้จองบ้านพัก ที่เขื่อนจุฬา
ภรณ์หลังใหญ่ไว้ให้พวกเรา………………

เมื่อถึงเวลาประมาณ ห้าโมงเย็นกว่าๆ พวกเรา…ก็เดินทางถึงวัดถ้ำพญาช้างเผือก
อ.คอนสาร จ. ชัยภูมิ โดยพร้อมเพรียงกัน ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นเจ็ดถึงแปด
ชั่วโมง รวมทั้งระยะเวลาที่พักและรับประทานอาหารกันด้วย

เมื่อเข้าไปภายในวัดแล้ว ท่านอาจารย์ชา ได้เดินไปเพียงคนเดียวก่อน เพื่อตามหา
หลวงปู่วิไล เขมิโย เมื่อท่านอาจารย์ชา ได้ขึ้นเขาไปตามหาแต่ก็ไม่พบ….
สักพักนึงได้ยินเสียงหลวงปู่เรียกว่าอยู่ข้างล่างนี่ และหลวงปู่…ได้นั่งรอที่ศาลา
เก็บวัสดุก่อสร้างที่ด้านหน้าพระเมรุเผาศพเพื่อรอรับแขก…………

ท่านอาจารย์ชา ได้สนทนากับหลวงปู่วิไลและได้กล่าวคำขอฝากตัวเป็นศิษย์…..
จึงได้ให้พวกเรานำพานบายศรีบรมครู ซึ่งท่านอาจารย์ชาเป็นคนทำเองกับมือ ที่
รถ ภายในลานจอดมาให้ หลวงปู่วิไลได้กล่าวกับท่านอาจารย์ชา ว่าทำมาสวยดี
โน่ะ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เห็น….พานบายศรีบรมครูนั้นเลย………….


บายศรีบรมครู ที่ท่านอาจารย์ชาทำเอง


และท่านอาจารย์ชาได้ให้พวกเรา…ทุกคนตามขึ้นไปกราบหลวงปู่วิไล ที่ศาลาหลัง
นั้น…โดยพร้อมเพรียงกัน แล้วท่านอาจารย์ชาได้กล่าวนำ คำปวารณาตัวขอเป็น
ศิษย์ของหลวงปู่วิไล พร้อมทั้งส่งมอบพานบายศรีบรมครูให้หลวงปู่วิไล… หลังจาก
ที่หลวงปู่…ได้รับพานบายศรีบรมครูแล้ว ก็ได้เทศนาธรรมและให้พร…………
แก่พวกเรา…ทุกคน

ต่อมา ท่านอาจารย์ชา ก็ได้ขออนุญาตทำน้ำมนต์ภายในบริเวณ ถ้ำพญาช้างเผือก
และได้นำธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนที่ได้มา… ให้หลวงปู่…ชมและเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล
หลวงปู่วิไลกล่าวคำอนุญาตให้ทำน้ำมนต์ที่ถ้ำแห่งนั้นได้ และยังกล่าวอีกว่า อาจจะ
ได้เพิ่มกันอีกนะเพราะ ที่ถ้ำแห่งนี้ก็มีของดีอยู่เยอะ ตามวาสนาและบารมีของแต่ละ
คน ท่านอาจารย์ชาจึงได้นำธาตุกายสิทธิ์ทั้งหมด ใส่ลงในแก้วน้ำดื่มของหลวงปู่…
รวมธาตุกายสิทธิ์ทั้งสิ้น สิบเอ็ดชนิด (ของมุกสองชนิดมีหินสีน้ำตาลที่ตามมาจากถ้ำ
มาอยู่ในกระเป๋าสะพายเมื่อครั้งก่อนด้วย ) พร้อมกับรินน้ำใส่ในแก้ว เพื่อเป็น
ปฐมฤกษ์ และได้เดินทางไปยังถ้ำพญาช้างเผือกกัน


ธาตุกายสิทธิ์ภายในแก้วน้ำดื่มของหลวงปู่วิไล



พระประธานภายในถ้ำ


เมื่อได้เข้าไปภายในถ้ำ…แล้วพวกเรา…ได้กราบพระประธาน ภายในถ้ำ…และได้หา
ทำเลจุดที่จะนั่งทำน้ำมนต์กัน ก็ได้จุดที่อยู่สูงขึ้นจากถ้ำ ไปอีกหน่อยนึงซึ่งตรงนั้น
เป็นโพรงเข้าไป และหยุดลงตรงหน้าพระปางป่าเลไลย์ ซึ่งมีรูปปูนปั้นของพญางูอยู่
ด้วย ได้นำพานบายศรีบรมครูวางไว้ด้านหน้าพระปางป่าเลไลย์และโอ่งดินขนาดเล็ก
ที่จะทำพิธี พร้อมทั้งใส่น้ำมนต์ที่นำมาจากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
วัดพระแก้วมรกต, พระปฐมเจดีย์ และวัดทรงธรรมกัลยาณี ลงในโอ่ง พร้อมน้ำดื่ม
บริสุทธิ์ขวดลิตรอีกหกขวด รวมทั้งสิ้นประมาณแปดลิตรกว่า


พระปางป่าเลไลย์



ปักเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว 10 เล่มบนปากโอ่ง


หลังจากนั้นได้นำเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว จำนวน 10 เล่ม เท่ากับจำนวนคนที่เป็นเจ้า
ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น ปักไว้ที่โอ่งน้ำมนต์พร้อมทั้งโยง สายสิญจน์จากเทียน
แต่ละเล่มไปหาคนแต่ละคน เพื่อนั่งปลุกธาตุและคุมธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น โดย
ท่านอาจารย์ชา ให้ท่องคำว่า….. “ นะมะพะทะ ” ไปจนกว่าจะเสร็จพิธี
และ ได้โยงสายสิญจน์ไปให้พี่โชคชัยด้วย โดยให้พี่โชคชัยท่อง คำว่า…………..
“ เนี้ยเมี้ย เพี้ย เพี้ย ” ซึ่งเป็นคาถาคุมของและเรียกของ
ของพี่โชคชัยเองในอดีตชาติ

ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของธาตุกายสิทธิ์ ก็นั่งร่วม…..อยู่ในพิธีด้วย
เมื่อเริ่มพิธีทำน้ำมนต์ ท่านอาจารย์ชาได้จุดเทียนแต่ละเล่มจนครบทั้งสิบเล่ม แต่เล่ม
ไหนที่เจ้าของมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอยู่ ก็จะจุดเทียนติดยากสักหน่อย…

หลังจากนั้นพวกเรา…เก้าคนท่องคำว่า “นะมะพะทะ” และพี่โชคชัยท่องคำว่า “เนี้ย
เมี้ย เพี้ย เพี้ย” ส่วนท่านอาจารย์ชา ก็แยกจิตออกเป็นสาม จิตที่หนึ่งคอยคุมทุกคนที่
กำลังท่องคำว่า “ นะมะพะทะ” เพราะเป็นคาถาปลุกธาตุ กลัวของจะขึ้นกัน

จิตที่สองคอยคุมพี่โชคชัย และช่วยเรียกของให้อีกแรงนึง จิตที่สามกำลังทำน้ำมนต์
จากวิชาที่หลวงปู่สุภา…ได้ถ่ายทอดไว้ให้เมื่อครั้งก่อนที่เคยเข้าไปเยี่ยมหลวงปู่…ที่วัด
และได้ลองทำจากวิชานี้เป็นครั้งแรก (ก่อนที่จะสูญหายไปพร้อมกับหลวงปู่…เพราะ
หลวงปู่สุภา มีอายุถึง 116 ปีแล้ว)


กำลังช่วยกันยกโอ่งน้ำมนต์ลงมา


หลังจากนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้วได้ดับเทียน และแกะสายสิญจน์ออก พร้อมทั้งช่วยกัน
ยกโอ่งน้ำมนต์ลงสู่ด้านล่างเพื่อที่จะตักแบ่งใส่ภาชนะให้กับทุกคนต่อไป
ต่อมาท่านอาจารย์ชารู้สึกแน่นหน้าอกมากแถวๆลิ้นปี่ ข้าพเจ้าจึงได้ใช้มือช่วยกดที่
บริเวณนั้น ท่านอาจารย์ชาบอกว่าปรับธาตุไม่ทันเพราะได้แบ่งจิตออกเป็นสามจึง
เกิดอาการดังกล่าวขึ้น…………

ก่อนที่จะตักน้ำมนต์จากโอ่งแบ่งกันนั้น…………………..
ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้แหวกดอกไม้ออกและก้มลงดูที่โอ่งน้ำมนต์นั้น……….
ผลปรากฏว่ามีธาตุกายสิทธิ์แตกเพิ่มออกมาอีกจำนวนนึง พวกที่ไปด้วยกัน
และยังไม่มีธาตุกายสิทธิ์ต่างก็ลุ้นกันว่ามีสีอะไร เผื่อว่าจะได้เป็นเจ้าของกันบ้าง
ท่านอาจารย์ชา จึงได้กล่าวว่าถ้าชิ้นไหนที่ออกมาใหม่และแม่เหล็กสามารถดูดติด
ได้ละก้อ ให้เป็นของพี่โชคชัย


พี่บัติกำลังตักน้ำมนต์แบ่งกัน






ธาตุกายสิทธิ์ที่เพิ่มออกมาในโอ่งน้ำมนต์



ธาตุกายสิทธิ์ที่ท่านอาจารย์ชา ล้วงหยิบขึ้นมาจากโอ่งน้ำมนต์


เมื่อตักน้ำมนต์จากโอ่งหมดแล้ว ท่านอาจารย์ชา จึงได้ล้วงหยิบลงไปในโอ่งเพื่อนำ
ธาตุกายสิทธิ์ทั้งหมดขึ้นมา ผลปรากฏว่าธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆได้โคลนนิ่งออกมา
รูปทรงต่างๆเหมือนกับตัวแม่เลย แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก เฉพาะของพี่ต๋อยสีเขียว
ไม่ออกมา เหล็กไหลตัวผู้ตัวเมียของพี่ตูนและตุ่มไม่ออกมา หินสีน้ำตาลของมุกไม่
ออกมา นอกนั้นออกมาตามสีของธาตุกายสิทธิ์ของแต่ละคน ท่านอาจารย์ชา
บอกว่าสีและรูปร่างลักษณะเหมือนใคร ก็เป็นของคนนั้น (ดังภาพข้างล่างนี้)




ธาตุกายสิทธิ์ที่แยกตัวออกลูกมา


หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ออกมาจากถ้ำพญาช้างเผือก ขณะนั้นเวลาประมาณสองทุ่ม
กว่าๆแล้ว พวกเราจึงได้เดินลงมาจากถ้ำเพื่อไปหาหลวงปู่วิไล แต่ขณะนั้นหลวงปู่…
ได้ทำสมาธิเข้าฌานสมาบัติแล้ว พวกเรา…จึงไม่รบกวนและได้เดินทางกลับบ้านพัก
บนเขื่อนจุฬาภรณ์ และได้ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าจะมาใส่บาตรท่านที่วัดกัน

เมื่อเดินทางถึงบ้านพักหลังดังกล่าวแล้ว พวกเรา…ก็รับประทานอาหารเย็นกันและ
อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนกันตามอัธยาศัย พวกเราบางกลุ่มต่างก็นั่งชมบารมีของธาตุ
กายสิทธิ์กัน


พวกเรา…นั่งชมบารมีของธาตุกายสิทธิ์กัน





ธาตุกายสิทธิ์ออกลูก……..มีสีเขียวที่ไม่ออก



พี่โชคชัยกำลังส่องดูธาตุกายสิทธิ์สีดำแบบแม่เหล็กดูดติดได้ของตัวเอง


จนกระทั่ง ท่านอาจารย์ชาจึงได้เล่าเรื่องในอดีต…เหตุผลที่พวกเราได้ธาตุกายสิทธิ์
เหล่านี้กันว่า ย้อนหลังไปชาติที่เจ็ดหรือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าปีที่แล้ว

พวกเรา…ได้เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็คือบริเวณหมู่บ้านที่วัดวังหอนตั้งอยู่
ในปัจจุบันนี้และที่ถ้ำวังนายพุด ก็เคยเป็นที่อยู่ของฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า ฤาษีอินทฤทธิ์
ท่านมีอิทธิฤทธิ์มาก สำเร็จอรูปฌาม 8 เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านแห่งนั้นมาก
ใครไปหา ขอของดีของขลังจากท่านๆ ก็หยิบเอาหินหรือธาตุต่างๆที่อยู่บริเวณนั้นเสก
ด้วยกำลังของรูปฌามบ้าง อรูปฌามบ้าง ให้ไว้ป้องกันตัว ฤาษีองค์นั้นก็คือท่าน
อาจารย์ชา ในปัจจุบัน

และ ได้มีพี่น้องอยู่ห้าคน ที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของฤาษีองค์นั้น เพราะพ่อแม่ตายหมด
แล้วคือ 1.หมอสมชาย 2.พี่ต๋อย 3.พี่โบ้เม่ง 4.พี่โชคชัย 5.มุกน้องสาวคนเล็ก รวม
เป็นชายสี่คน หญิงหนึ่งคน

ซึ่งในชาติปัจุบันนี้ สี่คนแรกได้มาเกิดเป็นเพื่อนกัน ส่วนมุกมาเกิดเป็นภรรยาท่าน
อาจารย์ชา ส่วนนายบ้านที่ปกครองในหมู่บ้านแห่งนั้นก็คือพี่บัติ ซึ่งมีน้องสาวคือเก๋
ในชาติปัจจุบัน และมีชาวสวนปลูกผักขาย ชอบทำอาหารมาถวายฤาษีองค์นั้น
เป็นประจำก็คือพี่นวลซึ่งมีน้องสาวก็คือตุ่ม ในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นก็มีขุนพล
แม่ทัพจากเมืองแห่งหนึ่งปัจจุบันก็คือจังหวัดพัทลุง ชื่อว่าไชยสิทธิ์ ก็คือข้าพเจ้าผู้
เขียนเมื่อว่างเว้นจากศึกสงคราม ก็มักจะแวะมาพักอยู่กับฤาษีองค์นั้นซึ่งเป็นอาจารย์

และได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาการต่างๆ โดยมักจะมีนายทหารคนสนิทติดสอยห้อยตามมา
ด้วยเสมอคนนั้นก็คือพี่ตูนในชาติปัจจุบัน และยังมีเศรษฐีอยู่คนหนี่งมีที่ทางมากมาย
ให้คนเช่าเมื่อภรรยาตายลงก็เสียใจเป็นอันมาก จึงได้ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกทั้งสามคน
แล้วบวชเป็นฤาษีฝากตัวเป็นศิษย์ ร่ำเรียนพระเวทจาก ฤาษีอินทฤทธิ์

ฤาษีองค์ที่เป็นอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น จนสามารถแสดงฤทธิ์ได้เสมือน
ผู้เป็นอาจารย์

จนกระทั่งฤาษีอินทฤทธิ์ตายลง ฤาษีองค์นั้นจึงมีชื่อเสียงโด่งดังแทนและมีชื่อสียง
มากกว่าฤาษีอินทฤทธิ์เสียอีก ดังจนกระทั่งหลายร้อยปีต่อมา จึงเหลือเพียงตำนาน
เล่าขาน ฤาษีองค์นั้นก็คือท่านอ้วนในปัจจุบัน

อยู่มาจนกระทั่ง พวกเราก็ได้ตายไปเปลี่ยนภพภูมิกัน สวรรค์บ้างมนุษย์บ้าง ของขลัง
เหล่านั้นที่ท่านฤาษีได้เสกให้ไว้ก็ยังคงอยู่ ณ.ที่แห่งนี้ แปรธาตุไปบ้าง จนกระทั่งพวกเรา
ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ณ.ปัจจุบันและได้มา ณ .สถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่เคย
อยู่ จนธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นพบเจ้าของเดิมเข้า………………..
จึงได้แสดงฤทธิ์ให้เห็นในรูปแบบต่างๆ ดังที่ผ่านมา

พอรุ่งขึ้นตอนเช้าพวกเรา…ก็แวะที่ตลาดนัดระหว่างทาง เพื่อซื้ออาหารคาวหวานและ
น้ำผึ้งเพื่อที่จะใส่บาตรหลวงปู่วิไล เดินทางมาถึงวัด พวกเรา…ได้ใส่บาตรทันพอดี หลัง
จากนั้นก็ร่วมกัน รับประทานอาหารที่วัด จนหลวงปู่วิไลฉันภัตตาหารเสร็จแล้วพวกเรา…
นำโดยท่านอาจารย์ชา ก็เข้ากราบลาหลวงปู่วิไล เพื่อเดินทางกลับกัน ก่อนกลับก็ได้รวม
กันถวายปัจจัยที่จะสร้างพระบนยอดเขา รวมทั้งธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนให้หลวงปู่ได้ชม
ว่าเมื่อคืนได้เพิ่มมาและให้หลวงปู่แผ่บุญบารมีให้กับธาตุกายสิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่
พวกเรา…


หลวงปู่วิไล กำลังชมบารมีและอธิฐานจิตแผ่บุญบารมีให้กับธาตุกายสิทธิ์


หลวงปู่วิไล ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า เมื่อคืนตอนที่พวกเราทำน้ำมนต์กันในถ้ำ
นั้นมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มเต็มเลย และชี้ไปที่สวิทย์ไฟให้พวกเรา…เปิดไฟชม ที่ห้องพิพิธ
ภัณฑ์ของหลวงปู่วิไลว่าทุกอย่างล้วนมาเองทั้งสิ้น


ภายในพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่วิไล





พวกเรา…ได้ขออนุญาตหลวงปู่วิไล ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก


หลังจากเดินทางออก จากวัดถ้ำพญาช้างเผือก พวกเรา…ก็ได้แวะไปกราบ หลวงพ่อ
สายทอง ที่วัดป่าห้วยกุ่ม และได้ให้หลวงพ่อสายทองชมธาตุกายสิทธิ์ รวมทั้งให้หลวงพ่อ
สายทอง อธิษฐานจิตแผ่บุญบารมีเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พวกเราหมู่คณะทุกคน
หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน

ขณะนั้นเวลาประมาณ 11โมงกว่าแล้ว ของวันที่ 4 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา




โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค5…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ

21
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค3…รวมธาตุกายสิทธิ์…ที่วัดพระแก้วมรกต

หลังจากที่พวกเราหมู่คณะได้แยกย้ายเดินทางกลับบ้าน ในวันที่ 14 สิงหาคม 2554
นั้น พอรุ่งขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆ ก็เกิดเหตุ
การณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น….นั่นก็คือปังปอนลูกชายท่านอาจารย์ชาคนโตได้ยินเสียง
เหมือนคนพูดกระซิบ…ที่ข้างหู…ว่ามีของดีตามมาแล้ว ให้ไปหาในกระเป๋า…

ปังปอนก็ได้บอกเรื่องที่ได้ยินเสียงนี้…กับท่านอาจารย์ชาและมุกแม่ของปังปอนและ
ได้ไปหาในกระเป๋าเดินทางของตัวเองเป็นการใหญ่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ

ท่านอาจารย์ชา ก็เลยลองดูที่ กระเป๋าหนังใส่โทรศัพท์มือถือ ที่แน็บอยู่ข้างเอวบ้าง
พอรูดซิบออกดู เห็นสิ่งผิดปกตินั่นก็คือ พบหินก้อนนึง มีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือได้
มาอยู่ในกระเป๋า ท่านอาจารย์ชา ก็ได้หยิบขึ้นมาดูและได้ส่งให้มุกดู ให้ลูกชายดู
และให้ญาติๆ ที่เห็นเหตุการณ์ดูกันประมาณ 3-4 คน

ต่อมา สักพักนึงก็ได้ส่งหินก้อนนั้น……
กลับมาที่มือท่านอาจารย์ชา หินก้อนนั้นก็กลิ้งขลุกขลิกๆ อยู่บนมือ สักพักนึงก็กลับ
กลายเป็นลูกแก้ว มีสีเหลืองสดใส และบนท้องฟ้าก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น ทั่วทั้งอำเภอ
ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คล้ายๆกับพระอาทิตย์ทรงกลดหรือรุ้งกินน้ำ ซึ่งเวลาก็
จะใกล้ค่ำแล้ว กินเวลาที่เกิดสิ่งมหัศจรรย์นี้ เกือบจะหนึ่งชั่วโมง ผู้คนทั้งอำเภอทุ่งสง
ต่างหยุดถ่ายรูปบนท้องฟ้าและต่างพากันสงสัยว่าเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น


ภาพลูกแก้วสีเหลืองขนาดเล็กของท่านอาจารย์ชา







ภาพลำแสงประหลาดที่เกิดขึ้นทั่วทั้งอำเภอทุ่งสง หลังจากที่หินได้กลายเป็นลูกแก้ว


หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ได้โทรศัพท์ไปเล่าเรื่อง…ให้พี่ต๋อยฟัง เมื่อ…ได้ฟังแล้วพี่
ต๋อยก็พูดเล่นๆว่าถ้าของอาจารย์มาแล้ว สีเหลือง ของผมก็มีโอกาสมาเหมือนกัน ของ
ผมน่าจะเป็นสีเขียว ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าสีเขียวคงจะยาก เพราะว่าสีเขียวนี่แหละ
ที่ทำให้พวกหมอที่มีวิชาอาคม กระโดดรูตายในถ้ำคนธรรพ์มาแล้ว

หลังจากนั้นต่อมา เช้าวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 ท่านอาจารย์ชาและมุกได้เดินทาง
ถึงกรุงเทพมหานคร

บ่ายวันนั้นเองพี่ต๋อยและพี่นวล ได้มารับท่านอาจารย์ชาไปที่บ้าน เพื่อที่จะให้ท่าน…ดู
เรื่องการต่อเติมปรับปรุงบ้านใหม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้ติดตามไป
ที่บ้านของพี่ต๋อยซึ่งเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า…ในครั้งนี้ด้วย

เมื่อไปถึงบ้านพี่ต๋อยได้เห็นบ้านสองชั้นที่ทาสีใหม่ทั้งหลัง สีนั้นคือสีเขียว ชั้นบนเขียวโทน
อ่อน ชั้นล่างเขียวโทนเข้ม รถเก๋งบีเอ็ม ซีรีย์ 7 ที่จอดอยู่ของพี่ต๋อยก็สีเขียว
เมื่อเข้าสู่ตัวบ้าน ท่านอาจารย์ชา ก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร นั่งคุยกันถึงเรื่องของที่จะไหว้
เพื่อขมาและบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนของเรา
เพราะเมื่อใดที่เราต่อเติมบ้าน จะต้องบอกกล่าวเจ้าบ้านเจ้าเรือนทุกครั้ง
ส่วนเจ้าที่ ไม่เป็นไร

ต่อมา พี่นวลเห็นแสงสีขาวแว็บๆ มาจากห้องพระ แสงคล้ายๆ หลอดไฟนีออนที่เสียและ
กระพริบๆ คิดว่าข้าพเจ้าเปิดไฟและลืมปิดและหลอดไฟคงจะเสีย เพราะว่าข้าพเจ้าได้ขึ้น
ไปห้องพระที่อยู่ชั้นบนเพื่อนำรูปหล่อโลหะหลวงปู่เทพโลกอุดร ขนาดหน้าตัก 5 นิ้วไปเก็บ
ไว้ให้ที่บนโต๊ะหมู่ หลังจากที่พี่นวลเช่ามาในวันนั้น

พี่นวล ก็ได้มาบอกท่านอาจารย์ชาช่วยดูให้หน่อยว่าเป็นแสงของอะไร ท่านอาจารย์ชาก็
บอกว่าเป็นแสงของพระธาตุละมั้ง เพราะว่าท่านอาจารย์ชาได้นำพระธาตุมาให้พี่นวลด้วย
วันนั้น หนึ่งผอบ แต่…….เอ…เมื่อลองตรวจดูด้วยญาณอีกครั้ง ก็ทราบว่าเป็นของดีที่
ตามออกมาจากในถ้ำคนธรรพ์ รู้สึกว่าจะมีสามชิ้น ชิ้นแรกเป็นของท่านอาจารย์ชาแล้ว
ชิ้นนี้อาจจะเป็นชิ้นที่สองของพี่ต๋อยตามบุญบารมีเก่า

ท่านอาจารย์ชา พี่ต๋อยพี่นวลและข้าพเจ้าผู้เขียน ก็ได้รีบขึ้นไปยังห้องพระเพื่อที่จะหาของ
เผื่อว่าจะอยู่บนพาน และบนโต๊ะหมู่บูชาพระ หาสักพักนึงก็ไม่พบ ท่านอาจารย์ชาก็เลย
บอกให้พี่ต๋อยลองหาดูเองบ้าง เพราะว่าของแบบนี้ต้องบารมีของใครของคนนั้น หาสักพัก
นึงก็ไม่พบ พี่ต๋อยจึงได้กำหนดจิตอธิษฐานว่า ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะมาเป็นคู่บารมีและ
ร่วมสร้างบุญสร้างกุศลร่วมปฏิบัติธรรมกัน ตราบเข้าสู่นิพพาน และพรุ่งนี้ก็จะพาไปเที่ยว
ทำบุญที่วัดพระแก้วมรกตด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาจารย์ชาก็เห็นแสง พรุ่งตรงเข้าสู่ตัวพี่ต๋อยซึ่งกำลังนั่งสมาธิสงบ
อยู่ จึงได้นำพานขนาดเล็กและพวงมาลัยที่มีอยู่บนพานขึ้นรับแสง และได้นำพานวางไว้บน
มือของพี่ต๋อย พร้อมทั้งให้พี่ต๋อยใช้ฝ่ามือปิดลงบนพานนั้น
หลังจากนั้นแสงก็ได้หายไป

สักครู่ใหญ่ พี่ต๋อยก็ได้ลืมตาออกจากสมาธิ และได้หันไปถามท่านอาจารย์ชาว่ามาหรือยัง
ท่านอาจารย์ชาไม่ตอบ หันไปถามข้าพเจ้า ว่าจะมาบนพานมั้ย ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าตอบว่าจะ
มาหรือไม่มา เพราะว่าเปอร์เซนต์ ไม่มามันเยอะกว่าอยู่แล้ว ต่อจากนั้นมาพี่ต๋อยก็ค่อยๆ
แง้มฝ่ามือออกเพื่อลุ้นว่าบนพานจะมีหรือไม่

ผลปรากฏว่ามี ไม่น่าเชื่อ…สีเขียวมรกตด้วย ข้าพเจ้านึกว่าพูดเล่น ข้าพเจ้า พี่นวล ท่าน
อาจารย์ชา ต่างก็มาดูบนพานกัน พบว่า…มีสีเขียวมรกต รูปร่างลักษณะแบบรูปไข่ โดย
มีพวงมาลัยห่อหุ้มไว้อย่างดีเลย พี่ต๋อยและพี่นวลจึงได้ร้องเรียกแม่และลูกชายลูกสาวขึ้น
มาชมบารมีกันบนห้องพระ


ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวมรกต ที่พี่ต๋อยได้


ต่อมา…พวกเรา…ก็ได้กลับมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟสดรำมะนา ซึ่งอยู่ติดกับซอยคลองลำ
เจียก 21 ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติ ได้นำธาตุกายสิทธิ์สีเขียว ของพี่ต๋อยมานั่งชมบารมีกัน

โทรตามพี่โชคชัยเพื่อนพี่ต๋อยและมุกภรรยาท่านอาจารย์ชา ซึ่งอยู่ช่วยทำอาหารที่ร้านแห่ง
นั้น มาชมบารมีกัน เมื่อพี่โชคชัยและมุกได้ชมบารมีเสร็จแล้วนั้น มุกก็ได้อธิษฐานจิตบ้าง
ว่าคนอื่นที่ไปถ้ำแห่งนั้น ได้กันเกือบหมดแล้ว มุกยังไม่ได้เลย ถ้ามาก็ขอเป็นสีชมพูนะพรุ่ง
นี้จะได้พาไปวัดพระแก้วมรกตกัน เพราะว่าพรุ่งนี้พวกเราได้นัดกันแล้วว่าจะไปไหว้และทำ
บุญที่วัดพระแก้วมรกตกัน ตามที่นายพรานนำทางคุณสุนัยได้เคยบอกไว้

ส่วนพี่โชคชัยก็ถามท่านอาจารย์ชาบ้างว่า แล้วผมจะมีสิทธิ์ได้กับเค้าบ้างมั้ย ท่านอาจารย์
ชาก็ตอบว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าคุณไม่ได้ไปที่ถ้ำแห่งนั้น แล้วจึงใช้ญาณตรวจดูอีก
ทีว่าจะมีโอกาสได้มั้ย ก็ตอบว่าของคุณมีโอกาสได้ ตอนที่พวกเรารวมธาตุกายสิทธิ์และไป
ทำน้ำมนต์กันที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก จังหวัดชัยภูมิ ให้ท่องคาถาเรียก อาจจะมาได้ของคุณ
น่าจะเป็นสีดำ เป็นแบบแม่เหล็กดูดติดได้

ถึง…..ตอนค่ำประมาณ 2 ทุ่มสี่สิบห้า มุกได้ช่วยเก็บของปิดร้านและกลับยังที่พัก พอเปิด
ประตูห้องเข้าไปเท่านั้น ก็มองไปเห็นธาตุกายสิทธิ์สีชมพู มีลักษณะกลมรีแบบรูปไข่วางอยู่
บนที่นอน จึงทำให้มุกรู้สึกดีใจมากและได้ให้ท่านอาจารย์ชาดู พร้อมทั้งบอกให้โทรไปบอก
พี่ต๋อยว่าของมุกมาแล้วเหมือนกัน


ภาพธาตุกายสิทธิ์สีชมพูที่มุกได้


แต่แล้วจู่ๆธาตุกายสิทธิ์ที่อยู่บนฝ่ามือของท่านอาจารย์ชา ก็ได้ล่องหนหายไป จึงทำให้มุกรู้
สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เมื่อตะกี้ เพิ่งดีใจไปหยกๆ ทำให้คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ
ต่อเมื่อ…หลับไปแล้ว จึงได้ฝันไปว่ายังอยู่ภายในห้องนี้แหละ….ยังไม่ไปไหนหรอก!!!

ตี่นเช้า ขึ้นมาเวลาประมาณตีห้า มุกรีบหาธาตุกายสิทธิ์ ทั่วทั่งห้อง…แต่ก็ไม่พบ จึงได้แต่
ทำใจ ต่อมาประมาณ 8 โมงกว่าๆก่อนจะออกจากห้องมุกก็ได้บอกกับท่านอาจารย์ชาว่ามุก
คงไม่ได้ไปวัดพระแก้วมรกตแล้วละ เพราะว่าของมุกไม่มี ขอให้ท่านอาจารย์ชาไปกันเถอะ
พอก้าวขาออกจากประตูและจะปิดประตูห้องเท่านั้นละ ได้ยินเสียงกระโดดลงบนพี้นห้อง
เสียงดัง……เป๊ค……เป๊ค…….เป๊ค มุกจึงได้หยิบขึ้นมาดู และได้พูดขึ้นว่า
“ ชอบหยอกและขี้เล่นจริงๆนะ ”

หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานัดหมาย เวลาประมาณ สิบโมง พวกเรา…ได้นัดเจอกันที่ศาลเจ้า
พ่อหลักเมือง มีพี่บัติ, พี่ตูนกับตุ่ม ,พี่ต๋อยกับพี่นวล ข้าพเจ้าท่านอาจารย์ชาและมุก ส่วนเก๋
และท่านอ้วนที่อยู่ จ.ภูเก็ตไม่ได้มาเพราะติดธุระ แต่พี่ต๋อยก็ได้ให้เก๋และท่านอ้วนออกชื่อ
บอกกล่าวกับธาตุกายสิทธิ์นั้นๆแล้ว

เมื่อพวกเราได้มากันพร้อมหน้าแล้ว ท่านอาจารย์ชา..................
ได้ให้พวกเราทุกคนนำธาตุกายสิทธิ์ที่ได้มา รวมใส่ในถุงกำมะหยี่สีแดง รวมทั้งของพี่บัติซึ่ง
เป็นเหล็กไหลสายฟ้าที่ท่านอาจารย์ชาได้ให้ไว้ และได้ทำการตักน้ำมนต์ที่ศาลเจ้าพ่อหลัก
หลักเมืองไปหนึ่งขวด เพื่อจะได้ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทยต่อไป


เหล็กไหลสายฟ้าของพี่บัติ



องค์พระแก้วมรกต


ต่อจากนั้น…พวกเราก็เดินทางไปวัดพระแก้ว เมื่อเข้าถึงภายในพระอุโบสถที่พระแก้วมรกต
ประดิษฐานอยู่ ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลใส่ชุดสีกากีเข้ามาเชิญไปที่ด้านหน้าสุด โดยเข้ามาเชิญ
พี่ต๋อยเข้าไปเป็นคนแรก พวกเรา…ก็เลยกรูตามกันเข้าไปและได้นั่งกันแถวๆหน้าสุดใกล้กับ
องค์พระแก้วมรกต

ต่อจากนั้นท่านอาจารย์ชาได้นำถุงกำมะหยี่ที่บรรจุธาตุกายสิทธิ์ต่างๆวางลงบนกล่องบริจาค
ต่อหน้าองค์พระแก้วมรกต เพื่อให้องค์พระแก้วมรกตได้ประสิทธิประสาทพรเพื่อเป็นสิริมงคล
แก่ธาตุกายสิทธิ์ เหล่านั้น

หลังจากนั้นพี่ต๋อยได้ลุกขึ้น เดินเข้า ไปหาเจ้าหน้าที่…คนนั้น เพื่อขอน้ำมนต์หนึ่งขวดใหญ่รวม
ทั้งยังขอให้ถือถุงกำมะหยี่บรรจุธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ให้เดินเวียนทักษิณาวัตรรอบองค์พระแก้ว
มรกตสามรอบ ณ. บริเวณชั้นในที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าไปได้
นอกจากพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ที่เข้าไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
ตามฤดูต่างๆเท่านั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เวียนทักษิณาวัตรครบสามรอบแล้วก็ได้นำขวดน้ำมนต์และถุงกำมะหยี่สีแดง
ส่งคืนให้กับพี่ต๋อย ท่านอาจารย์ชาจึงได้บอกว่าให้แกะถุงและส่งคืนธาตุกายสิทธิ์ให้แต่ละ
คนเลย เมื่อได้แกะเชือกที่มัดถุง ซึ่งผูกไว้อย่างแน่นหนาถึงสามชั้น พี่ต๋อยก็ตั้งใจว่าจะหยิบ
ของพี่บัติออกมาก่อน ซึ่งเป็นเหล็กไหลสายฟ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว เมื่อได้หยิบธาตุกาย
สิทธิ์นั้นขึ้นมา ผลปรากฏว่ามีลักษณะกลมสีขาวขุ่นมัวคล้ายลูกอม ก็
คิดว่าเป็นของมุกที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่มุกไม่ยอมรับและบอกว่าไม่ใช่

พวกเรา…จึงคิดว่าองค์พระแก้วมรกตคงดูดสีและความสดใสต่างๆไปหมดคงเหลือแต่ความ
หมองมัว พี่ต๋อยจึงนำธาตุกายสิทธิ์ชิ้นนั้นใส่ลงไปในถุงกำมะหยี่ใหม่
และไว้หยิบขึ้นมาทีหลังสุด เพื่อดูว่าจะเป็นของใคร

หลังจากนั้น…พวกเรา….ก็คอยลุ้นกัน ชิ้นที่หนึ่งหยิบออกมาแล้ว สีเขียวของพี่ต๋อยยังอยู่
เหมือนเดิม แต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่สอง สีชมพูของมุกยังเหมือนเดิม แต่กับสดใส
ขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่สามสีขาวใสของพี่นวล ยังเหมือนเดิมและยังสดใสขึ้นมากกว่าเก่า
ชิ้นที่สี่สีดำของพี่ตูนยังเหมือนเดิม ชิ้นที่ห้าสีดำของตุ่มยังเหมือนเดิม ชิ้นที่หกของ
ท่านอาจารย์ชายังเหมือนเดิม แต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่เจ็ดของข้าพเจ้า (ผู้เขียน)
ก็ยังเหมือนเดิมแต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่าเช่นเดียวกับทุกสี ชิ้นสุดท้ายออกมาไม่มีใคร
แล้วคงต้องเป็นของพี่บัติ ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกแปลกใจมากที่เหล็กไหลสายฟ้าได้หาย
ไปกลายเป็นอย่างอื่นแทน ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่า…ธาตุกายสิทธิ์นี้น่าจะเป็นตัวจริง
ของพี่บัติแล้วละ




รวมธาตุกายสิทธิ์ที่ไปวัดพระแก้วมรกต





ธาตุกายสิทธิ์ของพี่บัติกำลังกินน้ำผึ้งซึ่งเป็นเหล็กไหลชนิดหนึ่งเหมือนกัน



องค์พระปฐมเจดีย์


หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางไปพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ได้นำธาตุกายสิทธิ์
เวียนทักษิณาวัตรรอบองค์พระปฐมเจดีย์สามรอบ และตักน้ำมนต์มาหนึ่งขวดเพื่อจะได้
ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทยต่อไป

ต่อมาก็ได้แวะที่วัดทรงธรรมกัลยาณี จังหวัดนครปฐม วัดที่มีพระภิกษุณีในเมืองไทย
พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมบรรยากาศภายในบริเวณวัด…………..ชมรูปเหมือนพระภิกษุณีที่
สำเร็จอรหันต์เมื่อครั้งพุทธกาล หลายพระองค์


พระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภาตถาคตเจ้า


พวกเรา…ยังได้นำธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนมาวาง……………….
ที่หน้าพระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภาตถาคตเจ้า ซึ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งที่
เก่งทางด้านหมอยารักษาโรคมาก พร้อมทั้งได้สวดมนต์บูชาพระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภา
ตถาคตเจ้า และขอน้ำมนต์เพื่อจะได้ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุด
ในเมืองไทยต่อไป

หลังจากนั้นพวกเรา…ก็เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร และได้แยกย้ายกลับบ้านไป



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป

ในประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค4…การทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

22
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค2…ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์


หลังจากที่พวกเราหมู่คณะได้เดินทางกลับจากถ้ำคนธรรพ์ มาถึงที่บ้านจุดที่
พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้พักเหนื่อยกันสักเล็กน้อย จึงได้เตรียมเต้นท์เสบียง
และสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อไป…………..

การเดินทางในครั้งนี้ไม่ต้องมีพรานผู้นำทาง เพราะท่านอาจารย์ชาเป็นคนนำ
ทางเอง ระหว่างการเดินทางได้เดินผ่านลำห้วยที่หนึ่ง สวนยางพารา ไร่หน่อ
ไม้ สวนทุเรียนพื้นเมือง การเดินทางจะเป็นคนละทาง กับทางไปถ้ำคนธรรพ์
แล้วก็มาเจอกับลำห้วยที่สอง หลังจากนั้นก็เดินขึ้นเขาและค่อยๆ สูงชันขึ้น
เรื่อยๆ จนขึ้นมาถึงยอดเขา และพบกับถ้ำวังนายพุด ซึ่งปากถ้ำมีลักษณะ
ใหญ่โตและโอโถงมาก………..









ถ้ำวังนายพุด



อังเดรกับทางเข้าถ้ำวังนายพุด



เพดานถ้ำวังนายพุด



ปังปอนกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้ายเต่าตัวใหญ่

พวกเรา…นั่งพักเหนื่อยกันสักพักนึงก็ออกเดินทางเข้าภายในถ้ำกัน พอเข้ามา
ได้สักระยะนึง ก็จะพบกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้าย
เต่าตัวใหญ่มาก เมื่อเดินผ่านหินรูปเต่ามาสักพักใหญ่ก็มาถึงทางที่จะออกไป
สู่ป่าอาถรรพ์ ซึ่งจะเป็นช่องรูเล็กๆ ที่สามารถลอด ได้ทีละคนเท่านั้น

ช่องรูนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นซอกหินที่สามารถลอดขึ้นไปได้ทีละคน
โดยใช้หลังพิงผนังถ้ำ แล้วค่อยๆกระดึ้บๆ ขึ้นไป….

พวกเราจึงค่อยๆ คลานเข้าช่องรู และให้คนนึงขึ้นไปก่อน คนนั้นคือท่าน
อาจารย์ชา เพื่อรอรับสัมภาระที่จะส่งขึ้นไปทีละชิ้นๆ เมื่อหมดแล้วก็จะเป็น
พวกเราที่จะต้องลอดรูขึ้นไปทีละคนๆ จนครบทั้งหมด 14 คน

หลังจากลอดรูกันมาได้แล้วพวกเราหมู่คณะ ก็ลงเขากันแบบทุลักทุเลจน
ผ่านโขดหินภูผาและขอนไม้ใหญ่ จนถึงด้านล่างซึ่งเป็นทางราบเรียบลงสู่
ผืนป่า พวกเราหมู่คณะได้มีความสามัคคีกันมากได้ดูแลช่วยเหลือซึ่งกัน
และกันทั้งๆ ที่บางคนเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับ
ใจมากกับทริปนี้………………….



สภาพผืนป่าแห่งนี้





อังเดรช่างภาพของพวกเรา…กับต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ


ต่อมาเมื่อเดินได้สักระยะนึง พบต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ ขึ้นเรียง
รายอยู่มากมายในผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ชาได้เล่าให้ฟังว่าไม่มีใคร
สามารถตัดไม้และนำออกไปได้ เพราะว่าทางเข้าออกป่าแห่งนี้มีทางเดียว
เสมือนป่ามหาอุดมีภูเขาล้อมรอบ ต้องลอดรูถ้ำที่ผ่านมาดังกล่าว และในผืน
ป่าแห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์มากมีสัตว์ป่าเช่นช้าง เสือ หมี เก้งกวาง ลิง
ค่าง ชะนี และต่างๆอีกมากมาย…………………

เมื่อเดินทางมาได้สักพักนึงก็ถึงลำห้วยซึ่งเป็นปลายน้ำตก สายน้ำที่ไหลก็จะ
ไหลลงรูไปโผล่ที่ไหนอีกไม่รู้ ท่านอาจารย์ชาบออกว่าไปโผล่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
เพราะที่ภูเขาแห่งนี้มีถ้ำต่างๆ อีกมากมาย…………………..

ท่านอาจารย์ชาเห็นว่าพวกเราเดินทางกันมาทั้งวันและเหนื่อยล้ามามากแล้ว
จึงได้ตกลงกันที่จะพักค้างแรมที่ลำห้วยแห่งนี้ เพราะใกล้แหล่งน้ำที่จะใช้สอย
พวกเราจึงได้ทำการกางเต้นท์กันใกล้ๆ ลำห้วยแห่งนี้ และได้อาบน้ำอาบท่า
พักผ่อนกันตามอัธยาศัย หลังจากนั้นก็ก่อกองไฟกันเพื่อต้มน้ำร้อนและกิน
มาม่าคัพคนละถ้วยเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นในวันนั้น



จุดที่พวกเรา…กางเต้นท์พักค้างแรมกัน



น้องเก๋...โภชนากำลังต้มน้ำร้อนเพื่อทำมาม่าให้พวกเราหมู่คณะทานกัน



พวกเราหมู่คณะกำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัย


ต่อมาท่านอาจารย์ชาบอกว่าได้มีเทวทูตผู้นำสารมาบอกท่านอาจารย์ชาว่า
จะมีเทวดามาขอฟังธรรมจำนวนมาก ในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ให้พวกเราเตรียมตัว
กันไว้และมานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ……………………

เมื่อได้ถึงเวลานัดหมายแล้ว พวกเราก็ได้มานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ โดย
ที่ตอนนั้นไม่ค่อยจะมียุงเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเพราะในผืน
ป่าแบบนี้คงจะรอดจากยุงยาก…………….

ต่อมาท่านอาจารย์ชาให้นำธาตุกายสิทธิ์ที่ทุกคนได้จากถ้ำคนธรรพ์มาตรวจเช็ค
ดูว่าเป็นอะไรกันบ้าง ชิ้นแรกของเก๋สีแดง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญานาคดูแลรักษา
อยู่ ชิ้นที่สองของข้าพเจ้าสีม่วง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญาเต่าดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่
สามของพี่นวลสีขาวใส แก้วพญาเสือดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่สี่ของท่านอ้วนเป็น
พระธาตุพระสีวลี ชิ้นที่ห้าและหกของพี่ตูนและตุ่มเป็นพญาเหล็กไหลตัวผู้และ
ตัวเมีย เป็นชนิดที่ดีเกี่ยวกับเมตตาโชคลาภคุ้มครองภัย ไม่ใช่ชนิดแบบมหาอุด
เมื่อตรวจเช็คธาตุกายสิทธิ์เสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ชาได้หันมาถามผู้เขียนว่าจะ
แสดงธรรมเรื่องอะไรดี ผู้เขียนก็ตอบว่า…….

แสดงธรรมเรื่อง บุญอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา และการไม่ยึดติดอยู่กับ
ความหลงในความเป็น เทวดา ซึ่งมีเหตุให้เสื่อมได้ แสดงไตรลักษณ์ และ
ความไม่ประมาท ท่านอาจารย์ชาก็เห็นดีด้วย…….

ท่านอาจารย์ชาจึงเริ่มพิธี และกล่าวว่าใครเห็นอะไรอย่าตกใจนะทำจิตใจ
ให้สงบอย่าวอกแวก จึงเริ่มกล่าวคำอาราธนาศีลอาราธนาธรรมและกล่าวคำ
เทศนาดังนี้

“กุศลกรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทวดา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ.
ขณะนี้ กุศลกรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายสมควร นำมาทบทวน
อันทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้ แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้เป็น ของไม่
เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ เมื่อกุศลกรรมที่ได้ กระทำไว้
หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะกลายเป็นทุกข์ หรือจะต้องไปเกิดใหม่ ตามภพ
ภูมิ ตามกรรมดีกรรมชั่วของตน ที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่………………

ทิพยสมบัติมิใช่อัตตาตัวตน ที่เราท่านจะยึดถือหวงแหนเอาไว้ได้ ด้วย เหตุ
นี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อน ปรินิพพานว่า
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความ ไม่ประมาทนั้น คือควร
ระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้วและ พากเพียรกระทำต่อไป มิให้ขาด
สวรรค์ก็ดี วิมาณก็ดี ล้วนเกิดขึ้น มีขึ้น ด้วยอำนาจของจิตที่เป็นกุศลธรรมส่ง
เสริมให้เป็น เช่นนั้น จิตเป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้
อย่าง มนุษย์ แต่จิตก็ใช่ว่า จะบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมาธิไม่ได้

แม้…มนุษย์เองก็ได้อาศัยจิตทำให้กายกระทำ ตามที่ตนปรารถนา ฉะนั้นท่านที่
เป็นเทวดาทั้งหลาย พึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิต เจริญสมาธิเถิด
การบริจาคทานด้วยจิต   ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตาแก่   สรรพสัตว์ทั้ง
หลาย ผู้ใดมีทุกข์ ก็พึงอธิษฐานให้เขาพ้นทุกข์ เอาจิต ช่วยเขาให้เป็นสุข ผู้ใด
ผิดหวัง ก็เอาจิตช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งนับได้ว่า เป็น ทานบารมีอันยิ่งใหญ่

ศีลก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต ระลึกถึงศีลที่ทำให้เป็นเทวดา ก็จะเห็นได้ ว่า เพราะ
มีเมตตาละเว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะมีเมตตาไม่ กล่าววาจา
ให้เขาหลงผิด กระทำในสิ่งผิด เพราะมีเมตตาไม่ทำผู้อื่นเศร้า เสียใจต้อง
การละเมิดลูกเขา ผัวเขา เมียเขา เพราะมีเมตตาไม่ถือเอาทรัพย์สินที่เจ้าของ
เขาหวงแหน ได้มาด้วยความทุกข์ยาก เพราะมีเมตตาต่อตนเอง ไม่เสพของมึน
เมา เช่น สุรา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษ ต่างๆ ดังนี้ จึงเป็นศีล

จิตของท่านเป็นกุศลจิต จึงนับว่าได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์ สมาธิก็คือทำจิตให้
ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นเล่า ก็คือการ ตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่า
พุทโธ ให้เป็นอารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นไปเป็นลำดับ
เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทวดา บุญแห่งการเจริญศีล เจริญ ภาวนา ก็จะมา
เพิ่มเติมให้คงความเป็นเทวดาต่อไปอีก เมื่อพ้นจากเทวดาไปแล้ว ก็อาจไปจุติใน
มนุษย์โลก ในที่ดีมีสุข ได้ปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญาญาณ
รู้แจ้งนิพพานต่อไป

เมื่อท่านผู้เป็นเทวดาได้ตระหนักชัดว่า ความเป็นเทวดานั้น ยังเป็น โลกียสมบัติ
ซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท
เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตร
ลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
จงขวนขวายละสมมติ ไปสู่วิมุตติเถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

ข้าพเจ้า ได้อาราธนาธรรมคำสอนขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นข้อระลึก
แด่ท่านผู้เป็นเทวดาพอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้ท่านทั้งหลายอย่ามีทุกข์
เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตราย ใดๆ อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข
ตามกุศลกรรม ของตนเถิด” เทวดาทั้งหลายกล่าว สาธุการ แล้วเสด็จกลับไปยังวิมาน
ของตน……..

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีสายฝนโปรยปรายลงมา พวกเราก็คิดว่าคงจะตกไม่หนักอาจ
เป็นเทวดาปะพรมน้ำมนต์ แต่ที่ไหนได้กับตกหนักลงเรื่อยๆ ท่านอาจารย์ชากล่าว
ว่าให้พวกเราเข้าเต้นท์ที่พักกันดีกว่า เมื่อฝนหยุดแล้ว ค่อยออกมาเพื่อปฏิบัติ นั่งสมาธิ
ภาวนากันต่อไป………………..

ฝนเริ่มตกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่านอาจารย์ชาจึงเพ่งดูด้วยทิพย
จักษุญาณจึงทราบว่าเป็นไปด้วยฤทธิ์ของพญามาร นี่ขนาดแค่ส่งลูกน้องมานะ…..
เพราะว่าผืนป่าอาถรรพ์แห่งนี้ จะมีระยะเวลาเป็นช่วงๆ ช่วงระยะเวลาใดของเทวดา
ช่วงระยะเวลาใดของมารและอสูร ท่านอาจารย์ชายังบอกอีกว่า พวกมารนี้มันคอย
จ้องที่จะขัดขวางการ บำเพ็ญความเพียรและการกระทำความดีต่างๆของมนุษย์และ
เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่าในผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยมีใครพักค้างแรมอยู่ได้ เคยมีพระธุดงค์
4 รูป มาปักกลดพักค้างแรม ณ.ผืนป่าแห่งนี้ ได้เสียชีวิต 3 รูป รอดชีวิตออกมาได้
1 รูป เแต่เป็นบ้าและเสียสติ

พวกเราเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าดังกล่าวจบแล้ว ก็หาได้มีความเกรงกลัวอันใดไม่ แต่กับนั่ง
สมาธิกันอยู่ภายในเต้นท์ของแต่ละคน ข้าพเจ้าผู้เขียนอยู่เต้นท์เล็กคนเดียวและรับ
น้ำฝนไม่ไหว เต้นท์เกิดรั่ว จึงได้ไปอาศัยอยู่เต้นท์ของพี่บัติ ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดใหญ่
สามารถนอนได้สี่ถึงห้าคน ซึ่งภายในเต้นท์มีพี่บัติ ข้าพเจ้าและท่านอ้วน
ต่อมา…..ได้ยินท่านอาจารย์ชา สวดมนต์เสียงดังลั่นสนั่นป่า พร้อมสลับกับพระ
ธรรมเทศนา ฝนที่ตกเริ่มซาๆลงบ้าง………..

แต่สักพักนึง………ก็เริ่มตกหนักอีก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำราม….. ตูม…บึม…บึม…
บึม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว….อย่างกับระเบิดไดนาไมค์….
น้ำในลำห้วยก็เริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งค่อยๆเออท่วมเต้นท์ที่พักของพวกเรา…
ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่าพวกมารพยายามจะให้น้ำท่วมพัดพวกเรา…และเพื่อที่จะขับ
ไล่พวกเรา…ให้ไปเสียจากที่นี่…..เพื่อจะบำเพ็ญความเพียร…ไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
ขณะนั้นข้าพเจ้าดูนาฬิกา เวลาประมาณ เที่ยงคืนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว

ท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…จึงตกลงที่จะย้าย…แต่ไม่ได้ย้ายหนีออกจากป่า…เพียง
ย้ายจากจุดนั้น ไปหาที่จุดที่สูงกว่า ซึ่งอยู่ใกล้ติดกับต้นไม้ใหญ่และเพื่อหลบทางน้ำ
พวกเรา…จึงช่วยกันขนย้ายเต้นท์กันแบบทุลักทุเล

หลังจากนั้น………เมื่อเสร็จแล้วพวกเรา…ก็เข้านอนกันด้วยความอ่อนเพลียและได้ยิน
เสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์อีกเป็นระยะๆ ส่วนตัวของข้าพเจ้า…นั้นเมื่อได้ยินท่าน
อาจารย์ชา สวดมนต์คราใดก็จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เป็นระยะๆเหมือนกันครานั้น….

จนกระทั่งเสียงสวดมนต์เงียบไป ข้าพเจ้าก็ได้งีบหลับไปแบบหลับๆตื่นๆเพราะนอนไม่
ค่อยหลับ จะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆเต้นท์ของพวกเรา…ตลอด ส่วนฝนนั้น
ก็ยังคงตกอยู่พร้อม กับเสียงน้ำไหลเชี่ยวกราก ทั้งคืน

จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์พร้อมกับพระธรรมเทศนา และคำ
ประกาศชัยชนะต่อพวกมาร…ที่พวกเราหมู่คณะบำเพ็ญความเพียรได้เป็นผลสำเร็จ
ข้าพเจ้าจึงได้ตื่น…ลุกออกจากเต้นท์มาล้างหน้าแปรงฟันที่ลำห้วย ก็แลดูน้ำในลำห้วย
ดูปกติดี ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ช่วยกันเก็บเต้นท์….
พร้อมกับสัมภาระต่างๆ…ต้มน้ำร้อนดื่มกาแฟและกินมาม่าคัพกัน

เมื่อเสร็จแล้วท่านอาจารย์ชา…ก็กล่าวนำพวกเรา…เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้า
ที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาเทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตย์อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ที่ช่วยดูแลคุ้มครอง
พวกเรา…เมื่อคืนนี้

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็เดินทางกลับออกจากผืนป่าแห่งนั้นโดยเดิน
ทางกลับกันทางเดิมและต้องลอดรูทีละคนสู่ถ้ำวังนายพุด และเมื่อถึงหน้าถ้ำแล้วได้ร่วม
กันถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกตามภาพนี้





ทั้งสองภาพ…พวกเราหมู่คณะ 14 ชีวิตที่ร่วมผจญภัยในวันนั้น

เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน…จุดที่พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้มีชาวบ้านละแวกนั้นนั่งสนทนา
กันอยู่สี่ถึงห้าคนและกล่าวทักทายท่านอาจารย์ชาว่า เมื่อเวลาท่านอาจารย์ชากลับมา
ณ.สถานที่แห่งนี้และเข้าไปในป่าแห่งนั้น จะทำให้มีฝนตกหนักทุกที จนชาวบ้านไม่ได้
กรีดยางพารากัน และท่านอาจารย์ชาได้ถามชาวบ้านว่าช่วงนี้มีน้ำผึ้งป่าแท้ขายมั้ย!!!
ชาวบ้านตอบว่ามี ขวดละ 600 บาท จึงได้สั่งซื้อไปทั้งสิ้นจำนวน 5-6 ขวด

ต่อมา…พวกเรา…ก็เดินทางกลับมาที่วัดวังหอน ท่านอาจารย์ชาได้นำแบบแปลนที่จะ
สร้างเมรุเผาศพให้กับกรรมการวัดเพื่อที่จะให้ทางผู้รับเหมาคิดราคาและเสนอราคาค่า
ก่อสร้าง
ต่อมาท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็ขึ้นไปที่มณฑป…เพื่อกราบลา ตาหลวงแสง



มณฑป ตาหลวงแสง วัดวังหอน


ท่านอาจารย์ชาก็ได้นำธาตุกายสิทธิ์ของแต่ละคนให้ตาหลวงแสงเสกให้ โดยท่านอาจารย์
ชานำวางไว้บนฝาโลงแก้วแล้วกล่าวว่า ตาหลวง ตาหลวงลูกหลานได้ของดีมาจากในถ้ำ
ตาหลวงช่วยเสกเป็นสิริมงคลให้หน่อย สักครู่นึงก็เป็นอันเสร็จพิธี

ต่อมาพวกเราได้แวะที่บ้านนายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย เพราะแกเคยบอกไว้ว่า ก่อนจะ
กลับกันให้แวะที่บ้านแกก่อน แกจะให้ดูรูปเหมือนฤาษีโบราณ ที่ขุดได้หลังวัด พ.ศ.หนึ่ง
พันสองร้อยกว่าปี ที่บ้านแก

และดูเหล็กไหลชนิดต่างๆ แกมีเยอะ ครบร้อยแปดชนิด ประเภทตอนที่แก
ได้มามีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือปัจจุบันใหญ่หนักสองกิโลก็มี…

เมื่อไปถึงบ้านนายพรานนำทางแล้ว แกก็นำเหล็กไหลชนิดต่างๆมาให้พวกเราชมกันมีทั้ง
เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลสายฟ้า และอื่นๆอีกมากมายพร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณ
ความสามารถพิเศษของเหล็กไหลชนิดต่างๆ จนมาถึงสรรพคุณของเหล็กไหลสายฟ้าว่า
สามารถควบคุมเหล็กไหลทุกชนิดได้ เมื่อเหล็กไหลชนิดใดอยู่ใกล้จะสำแดงฤทธิ์ไม่ได้
ต้องขออนุญาตจากผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลสายฟ้าก่อน และได้ให้พี่ตูนเลือกเหล็กไหล
ไปหนึ่งชิ้น บอกว่าเป็นส่วนยอดของเหล็กไหลชนิดที่พี่ตูนได้ และบอกอีกว่าของแก
เมื่อมีเหล็กไหลครบทุกชนิดแล้วจำเป็นต้องแบ่งๆให้คนอื่นๆที่มีบุญบารมีบ้าง ไม่งั้นจะร้อน

ต่อจากนั้นมาแกก็นำเหล็กไหลสายฟ้าเก็บใส่กล่องไว้บนหิ้ง……..
หลังจากนั้นแกก็นำรูปเหมือนฤาษี ที่แกขุดพบที่บริเวณหลังวัดเป็นเนื้อโลหะ มาให้ชม
รู้สึกว่าท่านอ้วนดูแล้วชอบอยากจะขอเช่า จากคุณสุนัย

นายพราน…แกบอกว่ามาช่วยสร้างเมรุเผาศพที่วัดวังหอนให้เสร็จแล้วแกจะให้…
ต่อจากนั้นคุณสุนัย…ก็ถามว่าใครที่ยังไม่ได้ของดีบ้าง แกจะให้ แล้วแกก็หยิบเพชรหน้าทั่ง
มาแจกคนที่ไม่ได้ของดีจากในถ้ำคนละชิ้น และก้อนแก้วขนเหล็กหนึ่งก้อนให้ไปตัดแบ่งกัน
สิบสี่คน



ก้อนแก้วขนเหล็กที่คุณสุนัยให้มา


หลังจากนั้นก่อนจะกลับท่านอาจารย์ชาได้ขอจับมือคุณสุนัยนายพรานและพูดขึ้น
ว่า” ขอบคุณมากนะ” แล้วนำเหล็กไหลสายฟ้าออกมาโชว์ให้กับพวกเรา…ดูที่หน้าประตูบ้าน
ต่อเมื่อนายพรานคุณสุนัย เห็นเข้าก็ตกใจ นึกว่าท่านอาจารย์ชา แอบหยิบของแกไปเพราะว่า
เหล็กไหลชิ้นนี้แกหวงมาก ไว้เป็นตัวคุมเหล็กไหลทุกชนิดด้วย แกจึงเรียกท่านอาจารย์ชาให้
นำเข้ามาดูใกล้ๆ และได้หยิบกล่องที่ใส่เหล็กไหลสายฟ้า ออกมาดู ปรากฏว่าของแกยังอยู่

ครบเหมือนเดิม เมื่อได้นำมาเทียบกันผลปรากฏว่ารูปร่างลักษณะเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด
(รูปร่างเป็นแท่งยาวคล้ายสากตำข้าว) พวกเรา…ก็เห็นกันทุกคน คุณสุนัยแกก็เลยยิ้มแบบ
เจือนๆ และกล่าวว่าทุกคนที่ได้ของดีจากในถ้ำคนธรรพ์นั้นเมื่อกลับไปกรุงเทพฯแล้วให้ไป
ไหว้และทำบุญที่วัดพระแก้วมรกต เพื่อเป็นสิริมงคลและจะได้ของดีตามมาอีกเรื่อยๆ
และพวกเรา…ก็ได้ร่ำลาคุณสุนัยนายพรานแห่งหมู่บ้านวังหอนเพื่อเดินทางกลับอำเภอ
ทุ่งสง เพื่อไปส่งท่านอาจารย์ชาที่บ้านต่อไป

เมื่อเดินทางมาถึงบ้านท่านอาจารย์ชาแล้ว พวกเรา…ก็แวะทานอาหารที่ตรงข้ามบ้านท่าน
อาจารย์ชา ระหว่างรอกับข้าวและเครื่องดื่มอยู่นั้น ก็ได้สนทนาพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ที่
พวกเรา…ได้ประสบพบพานกันมา จนมาถึงเรื่องเหล็กไหลสายฟ้าว่าท่านอาจารย์ทำอย่างไร
ถึงมีขึ้นมาได้ ท่าน…บอกว่าแสดงฤทธิ์ให้นายพรานนำทางเห็น บ้างว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าและ
ได้อธิษฐานถามเหล็กไหลสายฟ้าแล้วว่าสามารถแยกตัวออกได้มั้ย กับตอบมาว่าได้ ก็เลย
ลองให้แยกดู แต่มีความคิดว่า สักวันสองวัน ก็จะให้กลับไปที่บ้านนายพรานดังเดิม

เมื่อสนทนากันไปสักพักนึง ท่านอาจารย์ชาก็เริ่มมีไอเดียว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าให้ทุกคนมาเริ่ม
ประมูลกันว่าใครจะได้เป็นเจ้าของเหล็กไหลสายฟ้า แต่ไม่ได้ประมูลตีค่าเป็นเงินตรา…..
ให้ประมูลกันด้วยศีล โดยให้เริ่มต้นถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ เริ่มต้นประมูลที่ถือศีลสองวันก่อน
แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่บัติเป็นคนยกมือเอาเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะ
ประมูลแข่ง เพราะว่าบางคนก็ได้ของดีมาบ้างแล้ว จึงอยากให้พี่บัติได้เป็นเจ้าของบ้าง



เหล็กไหลสายฟ้าที่ท่านอาจารย์ชาโคลนนิ่งมา


หลังจากนั้นเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเรา…ก็กราบลาท่านอาจารย์ชาและก็แยก
ย้ายกันเดินทางไปภูเก็ตบางส่วนยะลาบางคนและกรุงเทพมหานคร



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 3 รวมธาตุกายสิทธิ์…ที่วัดพระแก้วมรกต

23
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค 1…ถ้ำคนธรรพ์
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จริงของผู้เขียน (กระเบนท้องน้ำ)
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2554
ณ.บ้านวังหอน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช


เริ่มต้นออกเดินทางจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลาประมาณ 09.35
ด้วยพาหนะรถยนต์สามคัน สิบสี่ชีวิต ลัดเลาะวิ่งไปตามเส้นทางทุ่งสง-กะปาง
ก่อนถึงอำเภอกะปาง จังหวัดตรัง เพียงเล็กน้อย เราก็เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านวังหอน
ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช

ได้ไปถึงที่วัดวังหอนเป็นที่แรก พวกเราหมู่คณะนำโดยท่านอาจารย์ชา
ได้ขึ้นไปกราบขอพร ตาหลวงแสง ธมมฺสโร อดีตเจ้าอาวาสองค์แรก
บนมณฑป ตาหลวงแสง ธมมฺสโร ท่านนอนอยู่ในโลงแก้ว
สรีระร่างกายตาหลวงไม่เน่าไม่เปื่อย แต่กับแข็งเสมือนหิน


สรีระสังขารตาหลวงแสง วัดวังหอน

เสร็จแล้วพวกเราหมู่คณะได้ออกเดินทางไปยังบ้านของอดีตผู้ใหญ่บ้านวังหอน
ซึ่งเป็นญาติๆ ของท่านอาจารย์ชา ได้นำรถยนต์มาจอดไว้ที่บ้านหลังนี้
และได้คุณสุนัยชาวบ้านละแวกนั้นเป็นคนนำทางสู่ถ้ำคนธรรพ์ ส่วนชาวบ้าน
คนอื่นๆในละแวกนั้นไม่ค่อยมีใครอยากจะไปถ้ำคนธรรพ์กัน เพราะแหยงๆ
กลัวความอาถรรพ์ของถ้ำ

แล้วเริ่มออกเดินทางโดยที่ยังไม่ต้องนำเต้นท์และสัมภาระต่างๆไป
ด้วยเพราะท่านอาจารย์ชา จะพาไปเที่ยวที่ถ้ำคนธรรพ์กันก่อน
แล้วค่อยย้อนกลับมาขนเสบียงเต้นท์และสัมภาระ เพื่อที่จะไปค้าง
ที่ถ้ำวังนายพุดหรือในป่าอาถรรพ์ ท่านอาจารย์ชาบอกว่าให้ลองไป
ดูสถานที่กันก่อนแล้ว ค่อยตกลงกันว่าจะพักค้างตรงไหนดี
เพราะถ้าพักค้างกางเต้นท์ภายในถ้ำวังนายพุดก็จะไกล
จากแหล่งน้ำและห้องน้ำที่มีหมื่นกว่าไร่

อีกทั้งยังต้องขึ้นลงเขาที่สูงชันทำให้ไม่สะดวก พวกเราจึงได้ตก
ลงกันที่จะพักค้างในป่าอาถรรพ์(โดยที่ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นป่าอาถรรพ์)
เพราะท่านอาจารย์ชายังไม่บอกและยังไม่ได้เล่ารายละเอียด


เริ่มออกเดินทางกัน….(คนที่หันหน้ามาคือน้องเก๋ สาวสวยประจำทริปนี้)


นายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย

ในระหว่างการเดินทางระยะแรกก็ผ่านลำห้วยที่หนึ่งมาก่อน ผ่านสวนยางพารา
และก็มาเจอลำห้วยที่สอง พอพ้นจากนั้นก็เริ่มขึ้นเขาบุกป่า ถางกิ่งไม้ใบหญ้า
ไปตลอดทางเพราะเป็นทางรกไม่มีผู้คนสัญจร เมื่อเดินได้สักระยะนึงนายพราน
นำทางก็พามาเจอทางตันไม่มีปากถ้ำมีแต่หน้าผาหิน
ท่านอาจารย์ชา เลยนำไปอีกทางโดยมีผู้เขียนตามไปเป็นคนที่สอง
และได้เดินไปพบปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์จนได้
พวกเราหมู่คณะก็เดินแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไป จนครบสิบห้าชีวิต
(รวมทั้งนายพรานนำทางด้วย)


พวกเราเดินป่าแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไป


พี่บัติกำลังนำกิ่งไม้มาให้เกาะยึดระหว่างที่จะลงสู่ลำห้วย


พี่ต๋อยกำลังช่วยพยุงท่านอ้วนลงสู่ลำห้วย


บริเวณปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์

เมื่อพักเหนื่อยและพักอิริยบทที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำพอสมควรแล้ว
ท่านอาจารย์ชา ก็ได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าถ้ำ

หลังจากนั้นก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ภายในถ้ำซึ่งมืดมาก ด่านแรกที่พบคือ
ค้างคาวจำนวนเป็นแสนๆตัว บินสวนออกมาเสียงดังสนั่นอย่างกับเฮลิ
คอปเตอร์ พร้อมทั้งกลิ่นเหม็นตลบอลอวล ของขี้ค้างคาว ทำให้รู้สึก
แสบจมูกแทบหายใจไม่ออก

ด่านที่สองเจองูเหลือมขนาดเท่าขา 3 ตัว บริเวณริมฝั่งซ้ายของถ้ำ
หัวบอลลูกชายท่านอาจารย์ชาคนที่สองได้ร้องบอก พวกเราหมู่คณะ
ให้พยายามเดินชิดทางด้านขวากัน

เมื่อผ่านพ้นด่านงูไปแล้วก็พบเจอด่านที่สาม กับทางที่ลื่นมากพากัน
ล้มลุกคลุกคลานกันไม่เป็นขบวน เพราะพื้นถ้ำเต็มไปด้วยดินโคลน
และหุบเหว หลุมบ่อมากมาย ต้องค่อยๆเดินกันไป อย่างมีสติ
และคอยระวังตัว จนกระทั่งนายพรานนำทางพามาถึงทางตัน
ไม่มีทางไปแล้ว (แต่ก่อนนี้เคยเป็นทางไปได้)
เลยเดินย้อนกลับมาหน่อยนึง จึงได้พบทางแยกด้านซ้าย
เมื่อเดินไปได้ซักระยะนึงก็พบกับบริเวณด่านที่สี่
ซึ่งบริเวณนี้เป็นคนละเรื่องกับด่านต่างๆที่ผ่านมา
พื้นถ้ำสะอาดสะอ้านมีน้ำใสขังอยู่เทียมตาตุ่ม บาง
ช่วงถึงหัวเข่า อากาศไม่อับชื้น รู้สึกสบายๆ

จนกระทั่งตุ่มแฟนพี่ตูนรู้สึกว่าได้เหยียบอะไรเข้าลื่นๆ ท่านอาจารย์ชา
ที่เดินตามหลังมาก็ช่วยส่องไฟฉายดูที่พื้นให้ เพราะเห็นแสงสีแดงๆ
สะท้อนขึ้นมาจะดูว่าคืออะไรเมื่อท่านอาจารย์ชาเห็นแล้วก็เลยไล่ตะครุบ
มันก็วิ่งหนีไป หนีมา เหมือนมีชีวิต จับได้แล้วก็กระโดดทะลุฝ่ามือออกมา
พี่บัติและเก๋ก็ได้เข้ามาช่วยกันจับ เมื่อเก๋ได้ยื่นมือจะช่วยเท่านั้นเอง
มันก็วิ่งเข้ามาอยู่บนฝ่ามือเก๋อย่างสงบนิ่ง ช่างน่าแปลก ท่านอาจารย์ชา
เลยบอกว่าคงอยากจะอยู่กับเก๋เป็นแน่…

จึงได้ส่องไฟดูปรากฏว่ามีรูปร่างกลมรีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือของผู้เขียน
มีสีแดงเข้มสวยงามมาก (ตามรูป)


ธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ชิ้นแรก

หลังจากนั้นท่านอ้วนก็ได้ชิ้นที่สองในน้ำอีก อยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่พบ
กับชิ้นแรก ตอนแรกที่ได้มีลักษณะคล้ายสี่หลียมลูกเต๋า
มีสีดุจสีสังข์หรือน้ำนม ต่อมาค่อยๆเริ่มมีความโค้งมนขึ้นมาบ้าง

หลังจากนั้นพวกเราในหมู่คณะก็เริ่มมีกำลังใจและเริ่ม
ส่องไฟและกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อเสาะหาของแปลกๆกันบ้าง
และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวบอลร้องเรียกขึ้นมาจาก
ด้านหน้าว่า “อาจารย์ๆมาดูเหล็กไหลเร็ว “ เร็วเข้า พวกเราจึงได้
กรูกันตามเข้าไปดู จึงได้เห็นเหล็กไหลเป็นครั้งแรก
ซึ่งโผล่ออกมาจากรังผนังถ้ำ ก้อนใหญ่เท่ากำปั้นได้ บริเวณโดย
รอบตัวเหล็กไหลมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำและขี้เหล็กไหลเต็มไปหมด

พวกเราก็เลยทดลองดึงกันดูว่าจะหลุดออกมาจากรังมั้ย ลองกันหลาย
คนแต่ไม่สามารถดึงออกมาได้จึงได้หมดความสนใจลง
และเริ่มเดินทางกันต่อไป

จนกระทั่งพี่ตูนได้เดินไปพบชิ้นที่สามเข้าให้คราวนี้เป็นเหล็กไหลอีก
แต่ทีนี้ตัวเล็กอยู่ในรัง จึงได้ร้องเรียกท่านอาจารย์ชา
ให้ไปช่วยเอาออกให้หน่อย อาจารย์ชาจึงลองสะกิดดูเพียงเล็กน้อย
ก็หลุดออกมาจากรังอย่างง่ายดาย (อันนี้เค้าคงจะให้มั้ง)

หลังจากนั้นพี่ตูนกับตุ่มก็พบชิ้นที่สี่อีกเป็นเหล็กไหลเหมือนกันแต่โต
กว่าชิ้นแรกคงเป็นตัวผู้หลังจากได้ตัวเมียแล้ว

จากนั้นเมื่อเดินลึกเข้าถ้ำไปเรื่อยๆ ก็ไปพบกับรอยเท้าของคนธรรพ์
และผนังถ้ำที่ดูสวยงามแลดูเสมือนห้องหับห้องนอนอัน
วิจิตรงดงาม เสมือนมีใครบรรจงมาตบแต่งเอาไว้





รอยเท้าคนธรรพ์…สังเกตุดูจะมีนิ้วเท้าสี่นิ้ว

ต่อมานายพรานนำทาง บอกว่าเห็นทีคงจะพอแค่นี้ เพราะเดินทางอยู่
ภายในถ้ำก็สามชั่วโมงแล้ว เดินต่อไปถ่านไฟฉายคงไม่พอเป็นแน่
พวกเราหมู่คณะจึงเห็นพ้องกันว่าควรเดินกลับ จึงเริ่มหันหลังเดินทาง
กลับและเดินไปได้สักระยะนึง

คราวนี้!พี่นวลเป็นคนได้ชิ้นที่ห้า ท่านอาจารย์ชาก็เดินอยู่ใกล้ๆกันพอดี
พี่นวลได้พูดอยู่กับตุ่มว่าพี่ไปแล้วนะ… ตุ่มถามว่าพี่จะไปไหน พี่นวล
บอกว่าพี่จะไปเอาดวงตา…ดวงตา…

จึงได้เห็นอะไรแววๆอยู่ในน้ำ เมื่อได้หยิบขึ้นมาพอแบมือให้ท่านอาจารย์ชา
ดูปรากฏว่าชิ้นเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียวได้สีขาวใส แล้วค่อยๆโตขึ้น โตขึ้น
เป็นกลมใสเหมือนดวงตาจริงๆ ต่อหน้าต่อตาท่านอาจารย์ชา
จึงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก


บริเวณใกล้ๆที่พบธาตุกายสิทธิ์….ลักษณะเหมือนดวงตาของปลา ใสเหมือนแก้ว



หลังจากนั้นข้าพเจ้าผู้เขียนก็ลองตริตรองดูว่า…เอ๊ เห็นทีต้องลองอธิษฐาน
ขอดูบ้างถ้าอยู่เฉยๆคงไม่ได้เป็นแน่ เพราะใจนึงก็อยากจะได้กับเขาบ้าง
เห็นได้กันหลายคนแล้ว อีกใจนึงก็รู้สึกเฉยๆเพราะไม่อยากได้อะไรอยู่แล้ว

จึงลองเสี่ยงอธิษฐานว่า
“ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ.สถานที่นี้จะมาเป็นคู่บารมีเพื่อบำเพ็ญประโยชน์สร้าง
บารมีและสืบทอดพระพุทธศาสนากับข้าพเจ้าละก้อขอให้ปรากฏและข้าพเจ้า
ได้พบเจอด้วยเถิด”

หลังจากนั้นก็เดินทยอยออกตามกันมาจนพ้นเขตด่านที่สี่ ซึ่งหมดพื้นที่ที่น้ำขัง
อยู่ ข้าพเจ้าก็ทำใจแล้วว่าคงจะไม่พบ หรือได้อะไรเป็นแน่แล้ว !

..……………..แต่เดชะบุญ!!! จู่ๆท่านอาจารย์ชาที่กำลังเดินอยู่หน้าข้าพเจ้า
ก็พูดออกมาว่ามีเทวดาสื่อมาบอกว่า “ยังมีอีกหนึ่งชิ้น”
ให้ไปล้วงหาในแอ่งน้ำสุดท้าย ก่อนที่จะหมดเขตแดนที่มีน้ำขังอยู่
ท่านอาจารย์ชาจึงเดินย้อนกลับไปล้วงหาในแอ่งน้ำนั้น โดยนึกว่า
คงบอกให้แกแน่แล้ว แต่หาเท่าไรๆก็ไม่พบ
พวกเราหมู่คณะได้ตามไปช่วยหา จึงได้ตกลงกันว่า
ให้ผลัดกันล้วงถ้าผู้ใดล้วงพบก็ให้เป็นของคนนั้น

ก็มีท่านอาจารย์ชาล้วงคนแรกไม่พบ คนที่สองเก๋ ก็ไม่พบ
คนที่สามพี่ต๋อยไม่พบ คนที่สี่ปังปอนลูกชายท่าน
อาจารย์ชาคนโต ไม่พบ คนที่ห้าพี่นวลก็ไม่พบ
คนที่หกมุกภรรยาท่านอาจารย์ชาไม่พบ คนสุดท้ายข้าพเจ้า
ก็ลองล้วงควานหากับเค้าบ้างเพราะว่าในแอ่งน้ำนั้นขุ่น
จนมองไม่เห็นอะไรแล้ว
ล้วงหาสักพักจนทั่วแล้วก็ไม่พบ แอ่งน้ำนั้นก็ใช่ว่าใหญ่
มากมายอะไรนัก จึงขอลองล้วงดูใหม่อีกสักครั้ง
คราวนี้ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ ก็ดูเหมือนไม่น่าจะมี
แต่จู่ๆก็มีอะไรไม่รู้ลื่นๆนิ่มๆเหมือนน้ำมันตับปลา
มาลอยอยู่ในฝ่ามือจึงกำและหยิบขึ้นมาดูและให้ท่านอา
จารย์ชาดู มันจึงค่อยๆแข็งขึ้นๆ ลักษณะกลมรีมีสีม่วงสดใส


บริเวณน้ำแอ่งสุดท้ายที่กำลังล้วงหาของกัน


ธาตุกายสิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์


รวมธาตุกายสิทธ์ที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์


เป็นภาพที่กำลังวัดร่องรอยที่ธาตุกายสิทธิ์หลุดหล่นจากมือของผู้ที่มาขอชมบารมี


เป็นภาพที่หล่นกระแทกกับมีดพร้าของนายพรานผู้นำทางเข้าพอดี……ผลปรากฏว่ามีดพร้าบิ่น
ตามร่องรอยที่เห็นดังกล่าว


หลังจากนั้นเมื่อเดินทางออกมาถึงหน้าถ้ำแล้ว ท่านอาจารย์ชา
ได้นำกล่าวคำอธิษฐาน ขออนุญาตนำสิ่งที่ได้ทั้งหมด ออกจากสถาน
ที่แห่งนั้น และได้เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนั้นมีพวกหมอที่มีวิชาอาคม
มาทำพิธีเรียกของหาของ ได้ของแล้ว…ของนั้น
กับวิ่งเข้าตัวแล้วกระโดดลงเหวลงรูภายในถ้ำแห่งนี้ตายไปจำนวน
สามศพแล้ว แต่พวกเราที่ได้นี้ไม่ได้ใช้วิชาอาคมบังคับหรือ
ลองดีอะไรแล้วแต่เขาจะให้ และยังบอกอีกว่าอาจารย์ได้เข้าไปในถ้ำ
แห่งนี้สี่ครั้ง ลักษณะภายในถ้ำจะไม่เหมือนกันสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่
ห้าแล้วที่เข้าไป สี่ครั้งที่เข้าไปจะเข้าไปได้ไม่นานก็จะ
ได้ยินเสียงระฆังตี เพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ให้เข้าไปแล้ว แปลกครั้งนี้
ไม่ยักกะมีเสียงระฆังเลย

หลังจากนั้นพวกเราหมู่คณะ ก็เดินทางกลับไปยังบ้านจุดที่จอดรถไว้
เพื่อกลับไปเอาเต้นท์เสบียงและสัมภาระต่างๆ เพื่อที่จะไปพักค้างที่ถ้ำวัง
นายพุดและป่าอาถรรพ์ต่อไป

รวมระยะเวลาที่เดินทางไปกลับ…..
ทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงกว่า ระยะทางไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตรกว่าๆ



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 2 ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์

24


วัดติโลกอาราม เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา เป็นวัดที่พระเจ้าติโลกราช แห่งราชอาณาจักรล้านนา โปรดให้พระยายุทธิษถิระ เจ้าเมืองพะเยา สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2019-2029 ในบริเวณที่เรียกว่า บวกสี่แจ่ง




วัดแห่งนี้เป็นชื่อวัดที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ซึ่งถูกค้นพบได้ในวัดร้างกลางกว๊านพะเยาหรือในบริเวณหนองเต่า จากข้อความที่ปรากฏในศิลาจารึก ทำให้รู้ว่าวัดนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 500 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวัดที่มีผู้ปกครองเมืองพะเยาได้สร้างถวาย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแก่พระเจ้าติโลกราช ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรล้านนา






วัดติโลกอารามจมอยู่ในกว๊านพะเยาเนื่องจากในปี พ.ศ. 2482 กรมประมงสร้างประตูกั้นน้ำในกว๊านพะเยาเพื่อกักเก็บน้ำ จึงทำให้บริเวณกว๊านพะเยาที่แต่เดิมเป็นชุมชนโบราณ และมีวัดอยู่เป็นจำนวนมากต้องจมน้ำ




ในอดีตพื้นที่กว๊านพะเยาเป็นพื้นที่รองรับน้ำจากเทือกเขาไหลลงมาเป็น ลำห้วย ลำธาร แม่น้ำ และกลายเป็นหนองน้ำเล็กใหญ่ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน ของทุกปี ปริมาณน้ำจะลดลงทำให้ชาวบ้านสามารถใช้พื้นที่เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์และเป็นเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างตัวเมืองกับหมู่บ้านรอบๆ กว๊านพะเยาและเมื่อหลายร้อยปีมานั้นพื้นที่ในบริเวณของกว๊านพะเยาจะเป็นชุมชนหมู่บ้านมีวัดวาอารามอยู่หลายวัดและวัดติโลกอารามเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา



กว๊านพะเยา อยู่ในเขตอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เป็นทะเลสาบน้ำจืดใหญ่เป็นอันดับ 1 ในภาคเหนือ และ อันดับ 3 ของประเทศไทย (รองจาก หนองหาน และ บึงบอระเพ็ด) [1] คำว่า "กว๊าน" ตามภาษาพื้นเมืองหมายถึง "บึง" เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ใจกลางเมืองพะเยา มีทิวเขาเป็นฉากหลัง เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากห้วยต่างๆ 18 สาย มีปริมาณน้ำเฉลี่ยปีละ 29.40 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพันธ์ปลาน้ำจืดกว่า 48 ชนิด มีเนื้อที่ 12,831 ไร่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาต่างๆ ทัศนียภาพโดยรอบกว๊านพะเยา มีส่วน ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ที่สวยงามประทับใจผู้พบเห็น จนอาจจะกล่าวได้ว่าหัวใจของเมืองพะเยาอยู่ที่กว๊านพะเยานี่เอง




ริมกว๊านพะเยาเป็นร้านอาหารและสวนสาธารณะให้ประชาชนพักผ่อนหย่อนใจ กว๊านพะเยาในอดีตแต่เดิมเคยเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมีสายน้ำอิงไหลพาดผ่านคดเคี้ยวทอดเป็นแนวยาวไปตลอด จากทิศเหนือจรดขอบกว๊านฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประกอบกับมีหนองน้ำน้อยใหญ่หลายแห่งและร่องน้ำหลายสายที่ไหลลงมาจากขุนเขาดอยหลวงแล้วเชื่อมติดต่อถึงกัน ทำให้พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำแห่งนี้จึงมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักและมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่เป็นชุมชนนานนับตั้งแต่โบราณ



เจดีย์พญานาคคู่ภายในกว๊านพะเยา



อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมืองตรงข้ามกว๊านพะเยา





เวียนเทียนกลางน้ำแห่งเดียวในโลก

เทศกาลเวียนเทียน ที่วัดติโลกอาราม มีความแตกต่างจากการเวียนเทียนในวัดอื่นๆ คือ วัดติโลกอาราม จะเวียนเทียนโดยการนั่งเรือเวียนเทียนรอบวัดซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำ โดยในแต่ละปีจะมีการเวียนเทียน 3 ครั้ง คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา


การเดินทาง

วัดติโลกอาราม สามารถเดินทางจากแยกประตูชัยเข้าสู่ตัวเมืองพะเยา โดยใช้ถนนประตูชัย และถนนพหลโยธิน จากนั้นจึงเลี้ยวซ้ายบริเวณธนาคารกสิกรไทย ตามถนนท่ากว๊าน จนถึงท่าเรือกว๊านพะเยา




ขอบพระคุณที่มาของข้อมูล...วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

25
งดงามมากมายครับ

ขอบคุณที่นำมาให้ชมกัน

26


ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

27



กราบนมัสการหลวงพี่เว๊บครับ  ขอบพระคุณกับคลิปวีดีโอดี ๆ เพื่อเตือนสติครับ

ดูแล้วน้ำตาไหลเลยครับ...หดหู่มาก...

28


วิธีโพสต์รูปตามลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=2148

   
วิธี Resize รูป เพื่อความเหมาะสมสำหรับโพสในเว็บบอร์ดครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11663

29

  ขอร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของหลวงตาขวัญด้วยครับ

30
งดงามมากมายครับ ขอบคุณที่นำมาให้ชมครับ

31
ขอบคุณครับ สำหรับคลิปดีๆ ดูแล้วซึ้งจริงๆ

32

         



เป็นนิทานริมกองไฟเรื่องหนึ่งของชาวป่าที่ชาวกรุงผู้ห่างไกลสัมผัสเพียงคำบอกเล่า ส่วนใหญ่พวกพรานไปนั่งห้างยิงสัตว์ตอนกลางคืน หรือเข้าป่าลึกถึงจะมีสิทธิ์เจอ เล่ากันว่าเป็นเสือแก่ที่กินคนมามากจนสามารถจำแลงร่างได้ พอเหยื่อเผลอก็ตะครุบกิน ส่วนการแปลงร่างก็ทำได้ไม่จำกัด เป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี และที่แนบเนียนกว่านี้ก็คือแปลงเป็นพระธุดงค์ เพราะคนจะไม่ระแวงเอาเลย


        เรื่องราวของเสือสมิงมีบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสต้นไปถึงจันทบุรี เป็นที่รู้กันว่าทรงโปรดที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในหัวเมืองต่างๆ หลายจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะได้ทรงเห็นทุกข์สุขของราษฎรได้ใกล้ชิดมากกว่าจะทรงรับรายงานจากทางราชการเพียงอย่างเดียว และอีกอย่างก็เป็นการแปรพระราชฐานเพื่อพระพลานามัยจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นด้วย



        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปถึงจันทบุรี



        ตอนนั้นจันทบุรีเป็นป่าเสียมากกว่าเป็นเมืองและสวนผลไม้อย่างเดี๋ยวนี้ มีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งช้าง ม้าป่า และเสือ โดยเฉพาะเสือถือว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าทางกรุงเทพต้องการเสือก็ต้องมาดักเอาที่นี่ เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก เพราะเหตุนี้ เจ้าเมืองจันทบุรีนอกจากจะต้องดูแลราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแล้วยังมีหน้าที่คล้ายๆ รพินทร์ ไพรวัลย์ คือต้องคอยปราบเสือไม่ให้มารังควานชาวบ้านอีกด้วย



        ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เสือที่จันทบุรีอุกอาจมาก บุกเข้าไปในบ้านคนแล้วคาบคนในบ้านไปกินเสียดื้อๆ ขนาดในเมืองมันก็ยังไม่กลัว กล่าวกันว่าเป็นเสือแก่ที่ไม่ว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นๆได้ ก็เลยเข้าบ้านมาจับคนกินแทนเพราะง่ายกว่า ทำเอาชาวเมืองจันท์ระส่ำระสายเสียขวัญกันไปทั้งเมืองแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน



        พระยาจันทบุรีเห็นเสือชักจะกำแหงก่อกวนคนมากเกินไปเสียแล้ว ก็ตัดสินใจเปิดศึกขั้นเด็ดขาดด้วยการประชุมพรานมือดีมาหลายคน แจกปืนให้ แยกย้ายกันออกไปล่าเสือ คนไหนไม่มีปืนก็ทำจั่นดัก ล่ากันเอาจริงเอาจังฆ่าเสือตายไปมาก ที่เหลือก็เตลิดหนีเข้าป่าลึก ทำให้ชาวบ้านหายขวัญเสียกลับมาทำมาหากินอย่างสงบได้อีกครั้ง



        เรื่องเสือจริงสงบลงไม่ทันไร ชาวบ้านก็เริ่มขวัญเสียกันใหม่เพราะมีข่าวเล่าลือเรื่องเสือสมิง ประจวบกับเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพอดี ในพระราชนิพนธ์ ทรงบันทึกไว้ว่า





"...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทันเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้"


อ่านแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกัน เพราะดูๆแล้วอาจารย์คนนี้คิดน้ำมันทาตัวคนให้เป็นเสือขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ยังแปลกๆอยู่ แล้วเสือลูกศิษย์ทำไมวิ่งถึงข้ามชายแดนมาไกลขนาดนี้แทนที่จะอยู่ถิ่นเดิมในเขมร อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้เสือกินคนเสียแล้วกลับคืนร่างเดิมไม่ได้ อาจารย์จะทำอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็คงจะไม่ทรงเชื่อข่าวลือนี้เท่าไร เพราะทรงบันทึกต่อไปว่า



"...เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ "

 

 

เสือสมิงที่สำแดงร่างเป็นพระธุดงค์ได้นี้ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วก็ยังเคยได้ยิน เป็นคำบอกเล่าของพระธุดงค์รูปหนึ่ง ว่าได้ธุดงค์ผ่านไปถึงสำนักสงฆ์ที่มีลักษณะวิเวกเปลี่ยวร้าง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา

ครั้งแรกเห็นไกล ๆ นึกว่าไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลย แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปถึงจริง ๆ กลับมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่รูปหนึ่ง มีหน้าตาดุน่ากลัว อย่างที่เรียกว่าดุอย่างเสือ ! พูดจาด้วยสำเนียงฟังดูแปร่งหู ภายในสำนักสงฆ์วางข้าวของอัฐบริขารดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ

พระหน้าดุรูปนั้นชวนให้พระธุดงค์จำวัดอยู่ด้วยกันในสำนักสงฆ์ โดยอ้างว่าแถวนี้เสือดุ แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ บอกแต่ว่าตั้งใจจะขึ้นมาขออนุญาตปักกลดภาวนาอยู่ที่ลานกว้างด้านหน้า ถัดออกไปสักประมาณ 100 เมตร หลังจากพูดคุยกันอีกคำสองคำก็ลากลับ

พระธุดงค์เคยได้ยินมาเหมือนกันเรื่องพระกลายเป็นเสือสมิง โดยอธิบายไว้ว่า เสือบางตัว หรือคนที่เคยเล่นคุณไสยอย่างหนักจนกลายเป็นเสือบางคน บางครั้งชอบอวดวิชาด้วยการจองเวรขบกัดแต่พระธุดงค์ จนในที่สุด สามารถกลายร่างเป็นพระธุดงค์ได้ ! โดยใช้อาคมแก่กล้าของตน

แต่พระธุดงค์รูปที่กำลังเล่าถึงอยู่นี้ก็มีวิชาไม่เบา ท่านมีควายธนูทำด้วยไม้ไผ่ติดมาในย่าม เย็นนั้น พอปักกลดเสร็จ ก็โอมอ่านคาถาปลุกควายธนูของตน แล้ววางขวางไว้หน้ากลด อธิษฐานว่า 'ใครมุ่งร้ายจึงให้ราวี'

คืนนั้นได้เรื่อง ขณะที่พระธุดงค์นั่งภาวนาอยู่ในกลด ได้ยินเสียงควายธนูหายใจฝืดฝาด เดินวนเวียนรอบกลด สักพักได้กลิ่นสาบเสือโชยมาอย่างแรง จากนั้นฟังคล้ายควายธนูของท่านตะกุยดินทะยานไปข้างหน้า สู้กับอะไรบางอย่างอยู่ในที่มืด นานสัก 10 นาทีก็เงียบสนิท

ตอนเช้าท่านจึงออกจากกลดมาเก็บควายธนู ซึ่งก็ได้กลับมายืนนิ่งอยู่หน้ากลดเป็นที่เรียบร้อย ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร รอบบริเวณมีร่องรอยดินและหญ้าถูกตะกุยเหมือนสัตว์ใหญ่สองตัวสู้กัน

เมื่อพระธุดงค์ขึ้นไปบนสำนักสงฆ์เพื่อจะลาเดินทางต่อ ก็พบพระหน้าดุรูปนั้น นอนบอบอยู่บนเสื่อ ท่าทางอิดโรยเหมือนไม่ได้นอน จีวรบางแห่งมีรอยขาด แต่ยังแข็งใจพยุงตัวเองขึ้นเอ่ยปากชวนให้พระธุดงค์อยู่ต่ออีกคืน แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ จากนั้นจึงอำลาเพื่อธุดงค์ไปยังที่แห่งอื่นต่อไป


ตำนานเสือสมิง

เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมาแต่นมนาน ถึงความน่ากลัวของศาสตร์อาถรรพ์ ที่มีปรากฏเกิดขึ้นว่า เสือที่ดุร้ายและมักชอบจับคนกินเป็นอาหาร เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้น ก็อยู่สิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีความเป็นอาถรรพ์ ที่สามารถจำแลงแปลงกายบิดเบือนตนเสือให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ เพื่อเที่ยวหลอกล่อคนที่เป็นเหยื่อให้หลงกล ทำให้จับกินได้ง่ายขึ้น ครั้นยิ่งกินคนมากขึ้น วิญญาณก็ยิ่งสิงสู่ในตัวเสือมากเข้าเท่าใด เสือตัวนั้นก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ซึ่งเรื่องความเป็นมาของเสือมิใช่มีแต่เสือมันกินคนแล้วมันจะกลายเป็นเสือสมิงได้เท่านั้น มีอีกอย่างที่ทำให้เกิดความเป็นเสือสมิง คือ พวกที่เรียนวิชาเสือ คือการเรียกเอาวิญญาณเสือนั้นมาเข้าสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวในทั้งสองเรื่องที่กล่าว คือ ทั้งวิชาเรียกเสือ และอาคม ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิง ครั้นเสือตนนี้ได้ไปกินคนเข้า ก็กลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าขานและค่อนข้างดังมาก เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า กลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ว่า

มีชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนที่ว่า มีเสือตัวใหญ่เข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนั้น เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้านมาก จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ฝ่ายทหารหน่วย ตชด. จึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั่นไปในตัว

กลางดึกคืนหนึ่งนั้นฝ่าย ตชด. ได้จัดกำลังตรวจตราหน่วยหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็เข้าที่พัก บนศาลาที่จัดกันไว้ เป็นที่พักผ่อนนอนหลับ และในตอนดึกคืนนั้น ศาลาที่หน่วย ตชด. พัก เกิดสั้นไหวโยกเอน เมื่อทหารที่นอนตื่นกันลุกขึ้นมาดู กลับเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ พิงสีตัวอยู่ที่โคนเสาศาลา ทหารกำลังหน่วยนั้นได้ยิงใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้น บาดเจ็บและหายไปในความมืดนั้น ครั้นรุ่งเช้า หน่วยทหารจึงทำการติดตามแกะรอยเลือดเสือตนนั้นไป จากการติดตามรอยเลือดนั้นผลปรากฏว่า รอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุม เนินดินแห่งหนึ่ง แล้วไม่ปรากฏรอยเลือดนั้น ไปทางไหนอีก ทหารที่ติดตามนั้นเห็นเนินดินแล้วจึงตัดสินใจในความสงสัยกันบางอย่าง จึงขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น เมื่อขุดไปลึกพอประมาณ ก็ต้องอึ้งกันไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นในหลุมนั้นปรากฏว่า เป็นศพผู้ชายคนหนึ่งแต่ตัวท่อนล่างนั้นเป็นสภาพของเสื่อลายพาดกลอน ดูเหมือนว่า เป็นการกลายร่างจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง จากการถามที่มาของศพชายผู้นี้ ได้ความว่า เป็นคนในหมู่บ้านย่านนั้น และสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงตาย

ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ชายผู้นี้ผิดผีอะไร อย่างไร ซึ่งหนังสือนั้นมิได้กล่าวถึง จึงยากต่อการวิเคราะห์ได้

ในช่วงสมัยนั้นก็มีวิชาที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คือวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองค้นในประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า  ดูก็จะเห็นความใกล้เคียงในเรื่องความเป็นไป

เรื่องของวิชาแปลงร่างนี้ ก็มีปรากฏในเรื่องขอกสินดิน แต่โดยเฉพาะวิชาเสือสมิง และวิชาจระเข้แปลงรูปนี้ ได้สาบสูญไปแล้ว เพราะที่จริงวิชาอย่างนี้ที่สุดแล้วให้โทษมากกว่าให้คุณครับ

ปัจจุบันคณาจารย์ หรือผู้เรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือ ลงเครื่องรางและลงอักขระยันต์มากกว่า เรียกลงคน
 
 
 
 


ขอขอบพระคุณที่มาจาก... http://www.vcharkarn.com/varticle/239

33
วิธีโพสต์รูปตามลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=2148

   
วิธี Resize รูป เพื่อความเหมาะสมสำหรับโพสในเว็บบอร์ดครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11663

34

HBD ย้อนหลังนะครับ...น้องกวาง  ขอให้มีความสุขสมหวัง  มีสุขภาพแข็งแรง

คิดหวังสิ่งใดขอให้สมปรารถนาทุกประการ บารมีหลวงพ่อเปิ่นคุ้มครอง

35
ขอบคุณครับสำหรับภาพ...ที่นำมาให้ชมกัน

กราบนมัสการหลวงปู่่เปลื้องด้วยครับ

36
HBD.ครับต้นน้ำ... O0

ขอให้มีความสุข คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้ได้สมความปรารถนาทุกประการ

ไม่เจ็บ ไม่จน มีสุขภาพแข็งแรง   

37

ขอบคุณครับ...สำหรับภาพบรรยากาศวัดทั้งสามที่นำเสนอ

38

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของพี่เสริฐ ด้วยครับ

และขอร่วมไว้อาลัยต่อกับการจากไปของพี่เสริฐด้วยครับ

39
หลวงปู่เล่าว่า จิตวิญญาณของท่าน พอวูบวาบออกจากร่างไป ก็ไปรวดเร็วมากไม่สนใจใยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสึ้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ สติของท่านตามจิตวิญญาณไป (ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตนะครับว่า หลวงปู่คำคะนิงท่านแยก “สติ” ต่างหากกับ “จิตวิญญาณ” แต่ตามความเป็นจริงนั้น “สติ” ก็คือตัว “ญาณปัญญา” หรือ จิตฝ่ายกุศลนั่นเอง คือจิตในจิต)
“จิตวิญญาณของอาตมาไปอย่างรวดเร็วมาก เป็นลักษณะเดินไป แต่ไม่ได้สังเกตว่า จิตที่ไปนั้นมีร่างกายไปด้วยหรือเปล่า”
“อาตมาใช้สติตามไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จะว่าจิตในจิตมันติดตามกันก็ได้”
จิตวิญญาณของท่านเดินไปแต่ไปอย่างรวดเร็วมาก (เข้าใจว่าเป็นสภาพของกายทิพย์พาจิตวิญญาณท่านไป) ทางที่ไปนั้น เป็นทางสายใหญ่กว้างมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง 8,000 วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”
ศาลาพันห้อง อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารเป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้าง 8,000 วา จำนวน 8 สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิง ลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาวและเฒ่าแก่ เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนนมองสุดลูกลูกตามองเห็นแต่หัวดำบ้างหงอกบ้างนับไม่ถ้วน คล้ายหัวตัวไหมนับล้าน ๆ ตัวในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ดูไปอีกทีคล้ายกระแสน้ำไหลเอื่อยพัดพาผู้อื่นไปตามน้ำ
ผู้คนมากมายเหลือคณานับ ทุกคนเดินไปเงียบกริบไม่มีใครพูดจากันเลย ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้ว เดินรวมอยู่ในหมู่ร่างวิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกันได้ต่างต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้
พอไปถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำ ถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบคล้ายเปลวไฟลุกไหม้ทหารยามพูดกับหลวงปู่คำคะนิงว่า
“สร้างเวรสร้างกรรมพอแรงแล้วน้อ หลวงปู่ถึงได้มาทางนี้”ว่าแล้วก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงปู่ไว้ เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้า แต่ไม่รู้สึกเจ็บทหารยามหลายคนในที่นั้นต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอกก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน
หลวงปู่ได้พบครูบาอาจารย์เก่า ๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้ว ถูกควบคุมตัวมาเพื่อชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้
จ่ายมบาล นำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธานเอึ้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่บันทึกประวัติคดีมนุษย์แต่ละคน เพียงแต่เอามือแตะเข้าที่ปกสมุดเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั้บ ๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็ว พอถึงรายชื่อของใคร สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน
พญายมบาลบอกว่า มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์คำพูดทุกคำมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทาน ตัวหนังสือจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษขึ้นในสมุดของยมโลก (สงสัยจะคล้ายเครื่องโทรพิมพ์ในโลกมนุษย์เรา) เมื่อยมบาลเปิดดูบัญชีแล้วก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า
“เฮ้ย.....พวกเจ้าทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย โน่น.....สระน้ำอยู่โน่น พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาพบข้า รีบออกไปเร็ว ๆ ข้าเหม็นจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ก้มลงมองสำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ เต็มไปด้วยอุจจาระส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้มาเปรอะเปื้อนได้อย่างไร
ต่างก็พากันวิ่งชุลมุนออกจากห้องตรงไปยังสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงก็วิ่งตามไปด้วย สระน้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม
ทุกคนต่างพากันกระโดดลงไปในสระน้ำ หลวงปู่คำคะนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันทีหลวงปู่คำคะนิงตกใจบังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัสต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไปความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ร่างวิญญาณคนอื่น ๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำแล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึบขึ้นแดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปในทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสนส่งเสียงร้องโอดโอยโหยหวลอยู่ในสระน้ำเป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว
หลวงปู่คำคะนิงรู้ได้ในบัดดลว่า ที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก” ขุมแรกสำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม
หลวงปู่คำคะนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้องใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่เป็นด่านเมืองนรกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านจะต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้ส่ำสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยก็ไม่เคยทำให้มันตกตาย ถึงอาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนา เพราะไม่เห็น
แต่เมื่อไม่มีเจตนาย่อมไม่ถือเป็นบาปเมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพญายมแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า ตบะธรรมของหลวงปู่แก่กล้า ที่มาเมืองนรกนี้เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูในบัญชีแล้ว บารมีของหลวงปู่ยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ สมควรที่หลวงปู่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมใน โลกมนุษย์ ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับ
หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกดีใจที่ไม่ถูกพิพากษาตัดสิน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อาตมาบำเพ็ญภาวนาอยู่ในธรรม กินในธรรมตลอดมา จะมาตกนรกได้อย่างไร




ขอขอบพระคุณ...เว็บธรรมะสาธุ

40
บทความ บทกวี / ขี้เป็ดเป็นทองคำ
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 11:55:34 »
ประมาณร้อยปีก่อนเป็นปลายสมัยราชวงศ์ชิง ครั้งนั้น ไต้หวันยังเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน ที่อำเภอไทเป ตำบลปาตู่ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อฮุ่ยโกว เธอถูกยกให้เป็นลูกสะใภ้บ้านแซ่กัวตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน มิใช่เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน แต่เป็นเพราะแม่ของเธอมีลูกมาก และต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างจนไม่อาจเลี้ยงดูลูกที่เกิดมาใหม่ได้อีก ครอบครัวแซ่กัวนั้นนอกจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กชายชิงจือแล้ว ยังมีย่าแก่ ๆ อีกคนหนึ่ง เป็นครอบครัวที่สงบสุขและค่อนข้างจะเงียบเหงา ดังนั้นเมื่อได้หนูน้อยฮุ่ยโกวมาเลี้ยง จึงนำความสุขความยินดีมาสู่ครอบครัวแซ่กัวเป็นอันมาก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนูน้อยฮุ่ยโกวจากเด็กทารกกลายเป็นแม่หนูไว้หางเปียน่ารักและเติบโตเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด รอบรู้ขยันขันแข็ง ทุกคนในครอบครัวรักเธอมาก ขณะเดียวกันเด็กชายชิงจือก็เติบโตเป็นชายหนุ่มน่ารักอายุได้ 22 ปี พ่อแม่เห็นว่าเด็กทั้งสองรักใคร่กันดีจึงได้กำหนดวันอันเป็นมงคล แล้วจัดพิธีแต่งงานให้กับเด็กทั้งสองอย่างถูกต้อง ชีวิตแต่งงานของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข ความราบรื่น ชิงจือไปทำงานค้าขายที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอจีหลงไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก ส่วนฮุ่ยโกวอยู่บ้านปรนนิบัติรับใช้ย่าและพ่อแม่ของสามีด้วยความเคารพกตัญญู แต่ความสุขความราบรื่นก็มิได้คงอยู่ตลอดไป ไม่นานต่อมา ญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานประเทศจีนกวางสูฮ่องเต้ผู้ด้อยสมรรถภาพได้แก้ปัญหาสงครามด้วยการยกมณฑลไต้หวันทั้งเกาะให้แก่ญี่ปุ่นไป ประชาชนชาวจีนบนเกาะไต้หวันจึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างกลัวตาย ภายใต้การปกครองอย่างกดขี่ทารุณของญี่ปุ่น ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นกาฬโรคยังระบาดครั้งใหญ่กวาดล้างชีวิตผู้คนไปมากมาย พ่อแม่ของชิงจือนอนป่วยอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายตามกันไป จากนั้นเป็นต้นมา ความทุกข์ความโศกเศร้าก็เข้าครอบงำครอบครัวแซ่กัว เหมือนความมืดของกลางคืนที่คืบคลานเข้ามาทุก ๆ ด้าน วันหนึ่งขณะที่ชิงจือกำลังขนถ่ายสินค้าอยู่ในร้านที่เขาทำงานอยู่ บังเอิญลังไม้บรรจุสินค้าหนักอึ้งชั้นบนโค่นลงมาชิงจือหลบไม่ทัน ขาข้างซ้ายถูกทับอย่างแรง กระดูกและเนื้อแหลกเหลวทันที ทางร้านรีบนำส่งโรงพยาบาล เขาถูกตัดขาข้างซ้ายทิ้งโดยไม่มีทางเลือกเลย แม้ว่าฮุ่ยโกวจะเป็นหญิงที่เข้มแข็งอดทน แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นติด ๆ กันอย่างรุนแรงอย่างนี้ก็ทำให้เธอต้องนอนร้องไห้อยู่หลายคืน แต่กระนั้นก็ตาม ในเวลากลางวันต่อหน้าย่าผู้ชราฮุ่ยโกวยังคงยิ้มอย่างสดชื่นอ่อนโยน ดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอยู่เช่นเดิม

เมื่อชิงจือกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน เขากลายเป็นคนพิการและตกงาน ทางบ้านไม่มีเงินสำรองและรายได้อะไรเลยจึงจำใจต้องขายที่ขายบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วสามชีวิตก็ย้ายไปอยู่ในกระท่อมมุงแฝกเชิงเขาตำบลยุ่ยฟัง หลังกระท่อมที่อยู่อาศัย มีถ้ำมืดที่ไม่รู้ว่าความลึกเท่าใดอยู่ถ้ำหนึ่ง รอบ ๆ ถ้ำเต็มไปด้วยขวากหนามหญ้ารก มีต้นไม้ใหญ่อยู่ปากถ้ำ เบื้องหน้าเป็นสระน้ำไม่ใหญ่นัก แต่น้ำในสระใสสะอาด ฮุ่ยโกวนำเสื้อผ้ามาซักในสระนี้ทุกเช้า พอมีเวลาว่างก็ปราบพื้นที่บริเวณสระน้ำ แล้วหาเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเพื่อทุ่านค่าใช้จ่าย ชีวิตที่สันโดษสงบเงียบผ่านไปสามปี เงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญที่ได้จากการขายที่ขายบ้าน ถูกใช้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่ถึงจะเจียดใช้อย่างไรเมื่อมีแต่ทางจ่าย โดยไม่มีทางรับ เงินก็มีแต่ร่อยหรอลง และในที่สุดก็ใกล้จะหมด ฮุ่ยโกวยังคงเป็นหลานสะใภ้และภรรยาที่ดีโดยไม่เปลี่ยนแปลง เธอปรนนิบัติย่าและสามีเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด ในที่สุดเมื่อข้าวสารกำมือสุดท้ายหมดลง ฮุ่ยโกวก็จำต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเธอเอง แม่แนะนำเธอว่า "อย่าทนอยู่กับความทุกข์ยากต่อไปเลย ผัวเจ้าก็พิการหาเลี้ยงไม่ได้ ควรจะแต่งงานใหม่เสียตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก" เมื่อได้ยินแม่แนะอย่างนี้ ในสมองของฮุ่ยโกวปรากฎภาพย่าเฒ่า ซึ่งเธอต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ และสามีที่เหลือแต่ขาข้างเดียวขึ้นมาทันที แล้วน้ำตาของเธอก็หยดสู่พื้น เธอตอบแม่ว่า "ฮุ่ยโกวรู้ว่าแม่หวังดี แต่จะให้ฮุ่ยโกวเนรคุณต่อสามีและครอบครัวของสามีผู้มีพระคุณนั้น ฮุ่ยโกวทำไม่ได้" เมื่อฮุ่ยโกวปฏิเสธอย่างนี้แล้วแม่ก็ไม่พอใจ และไม่สนใจการกลับมาของฮุ่ยโกวอีก การจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจึงสะดุดอยู่แค่ลำคอ โชคดีที่พี่สะใภ้ของฮุ่ยโกวเป็นคนดี มีความเข้าใจ นางจูงมือน้องสามีเข้าไปในห้องส่วนตัวซับน้ำตาให้และยัดเยียดเงินยี่สิบเหรียญลงไปในมือน้องสามี ขณะนั้นเป็นเวลาหน้าหนาว เสื้อตัวเก่าที่ใส่มานานของฮุ่ยโกวบางเกินกว่าจะต้านลมหนาวได้ พี่สะใภ้จึงคะยั้นคะยอแกมบังคับจะพาฮุ่ยโกวไปซื้อผ้าตัดเสื้อที่อำเภอจีหลง ฮุ่ยโกวเติบโตขึ้นในชนบท แม้สามีจะเคยทำงานอยู่ที่อำเภอจีหลง แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง เธอจึงตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงของขายและผู้คนในอำเภอจีหลงยิ่งนัก เมื่อพี่สะใภ้เลือกซื้อผ้าให้เธอได้แล้ว ฮุ่ยโกวก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องจักสานแห่งหนึ่ง เธอได้ความคิดขึ้นมาว่า บนภูเขาหลังกระท่อมที่เธออาศัยอยู่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่มากมาย หากเธอจะตัดลงมาให้สามีลองจักลองสานเป็นภาชนะบางอย่างแล้วนำมาขายบ้างก็คงจะดี เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ฮุ่ยโกวทำก็คือรีบตัดเย็บเสื้อผ้าที่พี่สะใภ้ซื้อให้ชิ้นนั้น แต่มิใช่เพื่อตัวเอง เธอตัดเย็บให้ย่าเพราะย่าก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่มาหลายปีเต็มที หลังจากนั้นงานประดิษฐ์เครื่อง

จักสานก็เริ่มขึ้น ฮุ่ยโกวงานหนักหน่อย เธอจะต้องเป็นคนขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ลงมาเพื่อให้ชิงจือสามีซึ่งพิการเหลือแต่ขาข้างเดียวของเธอเป็นผู้จักตอก แล้วทั้งสองก็จะขะมักเขม้นช่วยกันสาน แรกทีเดียวผลงานที่ทำออกมาทั้งหยาบ ทั้งไม่ได้รูปร่างสัดส่วน แต่ทั้งสองก็ไม่ละความพยายาม จนในที่สุดความชำนาญก็เกิดขึ้น ผลงานก็ประณีตงดงาม เมื่อรวบรวมได้พอประมาณแล้ว วันหนึ่งฮุ่ยโกวก็หาบไปขายในอำเภอจีหลง ปรากฎว่าเป็นที่ชื่นชอบของตลาดเธอขายหมดอย่างรวดเร็ว ได้เงินพอซื้อข้าว เกลือ น้ำมัน ถั่ว กลับมาด้วย เป็นกำลังใจให้ฮุ่ยโกวและชิงจือมีมานะพยายามยิ่งขึ้น ขณะนั้นย่าอายุเจ็ดสิบกว่ามากแล้ว ชีวิตที่แร้นแค้นทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม อ่อนแอ ฟันฟางแทบไม่มีเหลือ อาหารการกินได้แต่ของอ่อน ๆ โดยเฉพาะย่าชอบกินไข่เป็ด บัดนี้ฮุ่ยโกวพอมีเงินที่จะซื้อไข่เป็ดมาเลี้ยงดูย่าได้แล้ว และด้วยความกตัญญูจึงทำให้เธอคิดต่อไปว่าหลายวันกว่าเธอจะได้เข้าไปขายเครื่องจักสานในอำเภอเสียที ไข่เป็ดที่ซื้อมาเพื่อเก็บไว้กินก็จะไม่สด สู้ซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยงไว้ออกไข่ไม่ได้ทุ่นเงินกว่าและได้ไข่สด ๆ กินอีกด้วย คิดได้ดังนั้นแล้ว คราวต่อไปเมื่อฮุ่ยโกวนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอ เธอก็เลือกซื้อลูกเป็ดตัวเมียกลับมาด้วยหลายตัว ฮุ่ยโกวทำเล้าไว้ใกล้ ๆ สระน้ำหลังบ้าน ถึงเวลาก็ปล่อยให้เป็ดลงไปว่ายน้ำไซ้หาอะไรกินตามธรรมชาติ เป็ดเหล่านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและไข่ให้กินอย่างสม่ำเสมอ ชะรอยจะเป็นด้วยความกตัญญูของฮุ่ยโกวที่ทำให้เทพยดาฟ้าดินได้ประจักษ์ เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฮุ่ยโกวกำลังทำความสะอาดลานบ้านก็บังเอิญเหลือบไปเห็นขี้เป็ดที่กำลังกวาดอยู่ มีก้อนกรวดเล็ก ๆ เป็นสีทองปนอยู่หลายเม็ด ด้วยความแปลกใจ ฮุ่ยโกวจึงเขี่ยแยกออกมาแล้วนำไปล้างจนสะอาด เธอไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นกรวดทองไปได้ จึงนำไปให้สามีดู ชิงจือรับไปดูแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่า "เราเป็นคนมีกรรมอย่างนี้ ทองที่ไหนจะมาถึงมือเราได้" ฮุ่นโกวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ยังเก็บก้อนกรวดสีทองเม็ดเท่าถั่ว

เหลืองเหล่านั้นไว้ วันรุ่นขึ้น เมื่อเธอนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอเธอก็ลองเสี่ยงนำก้อนกรวดเหล่านั้นเข้าไปในร้านซื้อขายทอง เธอส่งให้เจ้าของร้านโดยไม่พูดว่าอะไร เจ้าของร้านกลับถามเธอว่า "จะขายใช่ไหม" ฮุ่ยโกวพยักหน้า เจ้าของร้านก็นำไปชั่ง แล้วมอบเงินสิบกว่าเหรียญให้แก่เธอ ฮุ่ยโกวระงับความตื่นเต้นดีใจไว้ เอื้อมมือไปรับเงินแล้วเดินบ้างวิ่งบ้างกลับมาบ้าน "ชิงจือ ชิงจือ มันเป็นทองจริง ๆ " ฮุ่ยโกวตะโกนบอกสามีตั้งแต่ก่อนถึงประตูบ้าน เธอเล่าทุกอย่างให้สามีฟัง แล้วทั้งสองก็รีบเข้าไปในเล้าเป็ดช่วยกันกวาดเก็บขี้เป็ดไปล้างเพื่อรวบรวมกรวดทองไปขายทั้งสองทำอย่างนี้อยู่หลายวันจนขี้เป็ดในเล้าและตามที่ต่าง ๆ บริเวณที่เป็ดเดินไปถ่ายไว้ได้เก็บนำมาล้างจนหมด คราวนั้นฮุ่ยโกวนำไปขายในอำเภอ เธอได้เงินมาหลายร้อยเหรียญ ทั้งสองสังเกตเห็นว่าเป็ดเหล่านี้นอกจากจะไซ้ดินไซ้หญ้ากินอยู่รอบ ๆ สระแล้ว มันยังพากันไปหากินในถ้ำ ข้างสระ ถ้าเช่นนั้น ก้อนกรวดทองจะต้องมีอยู่ในถ้ำเป็นแน่ ฮุ่ยโกวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าเขา แล้วก็เข้าไปกอบโกยกรวดในถ้ำออกมาล้าง ปรากฎว่าเป็นจริงดังคาด มีกรวดทองมากมายอยู่ในถ้ำนั้น ทั้งสองสามีภรรยาช่วยกันนำมาล้างแล้วไปขาย เงินทองที่ได้ก็รวบรวมไว้ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็รวบรวมได้หมื่นกว่าเหรียญ เมื่อกรวดทองในถ้ำหมดแล้ว ทั้งสองก็เอาเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปซื้อร้านค้าในอำเภอจีหลง พาย่าไปอยู่ดูแลให้มีความสุขความสบายยิ่งขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสามชีวิตก็กลายเป็นชาวอำเภอจีหลงที่มีฐานะมั่งคั่งสมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง บัดนี้เกือบร้อยปีผ่านไป ชาวอำเภอจีหลงยังคงเล่าขานกันถึงเรื่องราวเหล่านั้น ลูกหลานของฮุ่ยโกวและชิงจือก็ยังคงเป็นพ่อค้าคหบดีที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในอำเภอจีหลงนั่นเอง



ขอขอบพระคุณ...เว็บธรรมะสาธุ

41
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีนางไม้
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 11:29:41 »

                         

ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกล่าวไว้ ว่าเกิดมาเป็นลูกผู้ชายชาติหนึ่ง ถ้าต้องการรู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเป็นทหาร กับการบวชพระ แล้วจะซาบซึ้งว่า รสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร...

อาตมาเกิดมาโชคดีเสมอ อะไรที่เพิ่มความมันแก่ชีวิต มักจะได้พบมากกว่าเขา เป็นทหารก็เป็นซะเอียน ตอนนี้ยังบวชพระอยู่อีก ขอให้คำจำกัดความง่าย ๆ ว่า “เป็นทหาร ลำบากกาย เป็นพระลำบากใจ” ถ้อยคำสั้น ๆ แค่นี้ จะแฝงความหมายสาหัสสากรรจ์เพียงไร ผู้ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ที่จะซาบซึ้งจนน้ำตาร่วง...
             
ด้วยเหตุจำเป็นบีบบังคับ ทำให้อาตมาต้องเป็นผู้เสียสละ หลบไปเรียนวิชาทหารและรับใช้ชาติอยู่ระยะหนึ่ง ตั้งแต่วาระแรกที่เหยียบย่างเข้าไป จนเบื่อระบบนายใครนายมัน ออกจากราชการมา บอกได้เลยว่า ไม่เคยพบความสุขใจเลยแม้แต่นิดเดียว...
             
ท่านลองนึกภาพดู...ว่าถ้าเป็นท่านแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องตื่นนอนแต่ตีห้า ภายในสามนาที ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเข้าส้วม แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วลงมาเข้าแถว จัดระเบียบแถวให้เรียบร้อย ขอย้ำ...ภายในสามนาทีเท่านั้น...
             
หากไม่ทันหรือ...? สารพัดการลงโทษที่ท่านจะได้รับ จากนั้นก็วิ่งไปเถอะ จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วมาเล่นกายบริหารอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กินข้าวเช้าบางทีเกือบจะได้เวลาเคารพธงชาติ ก่อนจะกินยังพบการทรมานจิตใจสารพัด บางทีให้เวลากินนาทีเดียว ซึ่งท่านไม่มีโอกาสโวย ไม่อย่างนั้นอด...
             
รีบ ๆ ยัดอาหารลงกระเพาะ แล้วไปตั้งแถวเคารพธงให้ทัน จากนั้นเป็นการตรวจร่างกาย ใครแต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่โกนหนวด ไม่ตัดเล็บ รับเละลูกเดียว... แล้วลงสนามฝึก ทั้งระเบียบแถว ท่าอาวุธ ยุทธวิธีในการรบ กว่าจะได้หยุดก็เที่ยงกว่า ยัง...ยังไม่ได้กินหรอก ต้องเดินแถวสวนสนาม จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วไปพบกับการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบในโรงเลี้ยง จะได้กินแต่ละมื้อแทบน้ำตาร่วง...
             
เสร็จจากอาหารก็บ่ายโข ไปลงสนามฝึกต่อจนห้าโมงเย็น เวลาจะขึ้จะเยี่ยวยังไม่มี ไปวิ่งออกกำลังยามเย็นต่อ แล้วไปทนทรมานในโรงเลี้ยงอีกรอบ ถึงได้อาบน้ำอาบท่า ไม่ใช่นอนพัก ทฤษฎียังรออยู่อีกบานตะไท ไปเข้าห้องเรียนซะดี ๆ ...
             
เกือบสามทุ่มเลิกเรียน ให้เวลาจัดที่หลับที่นอน และขัดเครื่องหมาย รองเท้า เข็มขัด ทุกชิ้นต้องเงาวับ สามทุ่มตรงเป๊ะแตรนอนดังต้องหลับทันที ใครขยุกขยิกแม้แต่นิดเดียวถือว่าไม่อยากนอน ต้องลงไปวิ่งอยู่คนเดียว หรือ ถ้าโชคดีก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ที่หลับนั้นอย่าเพิ่งฝันดี...สี่ทุ่มนกหวีดปลุกดังสนั่นหวั่นไหว ไปฝึกการรบเวลากลางคืน ห้ามชักช้างัวเงีย ไม่เช่นนั้นเจ็บตัว...
             
กว่าจะจบการฝึกก็ตีสองขึ้นไปนอนได้ แต่พวกเวรยามต้องถ่างตาต่อไป ตีห้าแตรปลุก ให้ลุกไปพบกับระบบนี้ของวันใหม่ ใครทนไม่ได้จะหนีก็เชิญ ถ้าไม่มีค่ารถจะแถมให้ ไปเป็นคนเถื่อนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เกิดอะไรขึ้นมีหวังติดคุกหัวโต...
             
นั่นแค่ภาคที่ตั้งเท่านั้น ภาคป่าและเขานั้น ท่านต้องลุยไปแก้ปัญหาการฝึก ครึ่งเดือนไม่ได้อาบน้ำซักหยด ตัวเหม็นกว่าสกั๊งค์หลายเท่า เดินจนรองเท้าคอมแบ็ทพังเป็นคู่ ๆ กว่าจะแก้ปัญหาแต่ละจุดได้ แทบอ้วกเป็นเลือด...
             
ภาคที่ลุ่มนั้นระยะทางแค่ ๑๐๐ เมตร ให้เวลาตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึงตี ๕ ยังไม่แน่ว่าท่านจะลุยโคลนถึงอกขึ้นฝั่งมาได้หรือไม่... ภาคทะเลนั้นท่านต้องฝึกร่วมกับมนุษย์กบที่มาจากหน่วยทำลายใต้น้ำของราชนาวี แต่ละคนว่ายน้ำอย่างกับปลา ให้เราแบกเรือยางวิ่งจนเม็ดทรายฝังเข้าหนังหัว เอาเราไปทิ้งกลางทะเลให้ว่ายน้ำกลับเอง หรือสามวันทิ้งให้อยู่บนเกาะร้างมีมีดให้หนึ่งเล่มกับน้ำอีกหนึ่งลิตร ทำอย่างไรก็ได้ที่ท่านจะรักษาชีวิตไว้ จนกว่าเขาจะมารับ...
             
ยังไม่หมดง่าย ๆ หรอก วิ่งเจ็ดไมล์นี่เจอทุกวัน ค้นแผนที่ปัญหาจากศพอย่างนี้ กระโดดร่มจนไส้เลื่อนแทบรับประทาน หรือดิ่งพสุธาจากผาสูงด้วยเชือกเส้นเดียว ท่านจะไม่กระโดดก็ได้ ครูฝึกยินดีช่วยถีบส่งให้... เขาโหดร้ายต่อท่าน เพื่อให้ท่านรักษาชีวิตอันมีค่าไว้ได้ในยามที่เกิดการรบขึ้นมาจริง ๆ ...
             
ความทุกข์สาหัสทั้งกายทั้งใจของการฝึกทหาร ไม่ได้หนึ่งในร้อยของการบวชพระ ที่มีเงื่อนไขว่า “ต้องเอาดีให้ได้” จะไม่เอาดีก็ไม่มีใครว่า ไฟนรกลุกท่วมฟ้ารอท่านอยู่ ไม่ต้องไปเลือกให้เสียเวลา “อเวจีมหานรก” คือที่ไป...
             
อาตมาถูกส่งไปเปลี่ยนกำลังพล ที่พื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี คือวัฒนานคร อรัญประเทศ และตาพระยา หลังเหตุการณ์ที่บ้านโนนหมากมุ่นจบลงใหม่ ๆ มีการปะทะใหญ่ ๆ ย่อย ๆ เกือบสามสิบครั้ง สูญเสียเพื่อนรักและเจ้านายไป ๒๖ คน...
             
ปกติฐานแต่ละแห่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่กัน ฐานละ ๔ เดือน แต่อาตมาติดอยู่ที่ฐานหน้าตาพระยาเกือบครึ่งปี เพราะปะทะติดพันเปลี่ยนกำลังไม่ได้ และที่นี่เอง ที่อาตมาได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย...
             
เวลาว่างเว้นจากการรบ ฝ่ายหมอเสนารักษ์ก็ทำการรักษา ทั้งชาวบ้านทั้งทหาร ที่บาดเจ็บ ฝ่ายกำลังพลก็ตรวจตราการวางกำลัง ต้องพร้อมรบอยู่ทุกขณะจิต อาตมาอยู่กับส่วนบัญชาการกองร้อย เมื่อว่างจากเวรยาม ก็ตรวจตราอาวุธ และซักซ้อมการใช้เพื่อความคล่องตัว ที่ชอบเป็นที่สุด คือ การซ้อมขว้างดาบปลายปืน...
             
ตั้งแต่ระยะห่าง ๗ ก้าว ถึง ๑๒ ก้าว เป็นระยะที่อาตมาแม่นยำที่สุด เป้าหมาย คือ ต้นไม้ใหญ่ที่สมมุติเป็นตัวคน เพื่อนก็ช่วยกันขว้างจนพรุนไปเป็นต้น ๆ พอเบื่อก็เปลี่ยนต้นใหม่ วันหนึ่ง...เพิ่งเปลี่ยนไปขว้างต้นใหม่กัน พอเที่ยงคืนเพื่อนก็มาปลุกไปเข้าเวร...
             
ตีหนึ่งกว่า อาตมานั่งถ่างตาอยู่คนเดียว ที่ด่านตรวจหน้าฐาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งตรงมาหา อาตมาคิดว่าเป็นชาวบ้าน ที่มาตามหมอไปช่วยรักษาคนป่วย แต่แปลกที่ถามอะไรเธอไม่ยอมตอบซักคำ พอเพ่งดูถนัด อตามาก็เย็นวาบไปทั้งตัว...
             
ในความมืดสนิทนั้น อาตมากลับเห็นเธออย่างชัดเจน เธอใส่ผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ ปล่อยผมดำสนิทยาวถึงเอว อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับดวงตาคู่นั้น มันไม่มีแววของคนมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจ้องอาตมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ..ผีนี่หว่า...
             
นางผีร้ายไม่พูดพล่ามทำเพลง เอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่คอ อาตมาเผ่นวูบไปสุดช่วงแขน เกือบจะพลัดตกจากป้อมลงไปคอหักตาย มันยังเดินทื่อเข้ามาอีก พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย...
             
“ชะยาสะนากะตาพุทธา...”พระคาถาชินบัญชรที่ท่องจำขึ้นใจ กระหึ่มขึ้นมาทันเวลา ร่างนั้นหายวับไปเหมือนถูกกระชาก อาตมาถอนใจเฮือกทั้งที่เหงื่อท่วมตัว มันเรื่องอะไรกัน มาถึงก็ไม่พูดไม่จา จะฆ่ากันท่าเดียว...
             
นั่งคิดทบทวนอยู่จนออกเวร “เราไม่เคยฆ่าผู้หญิงนี่หว่า...บรรดาศพที่ถูกพวกเขมรฆ่าตายเกลื่อนทุ่ง เราก็ช่วยฝังให้แท้ ๆ แล้วยายผีนี่มาจากป่าไหน... ป่า... เฮ้ย...! มาจากต้นไม้ละมั้ง...

ใช่แล้ว...นางไม้แน่ ๆ เลย...
             
รุ่งเช้า...อาตมาไม่ได้บอกใคร กลัวจะทำให้เพื่อน ๆ เสียขวัญ แอบเอาข้าวปลาอาหารไปขอขมาต่อเธอ เราไม่ได้เจตนาล่วงเกินเธอเลยสิ่งที่แล้วมาจงอภัยแก่เรา และเพื่อน ๆ ด้วยเถิด...
             
ยอมรับผิดก็หมดปัญหา เพราะบรรดาภูติผีปีศาจ เขามีเหตุมีผลอยู่แล้ว เรายอมขอขมา เขาก็ยินดีให้อภัย การขอโทษเป็นการขอที่ไม่น่าละอาย การให้อภัยเป็นการให้ที่ไม่สิ้นเปลือง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาตมาเลิกขว้างดาบปลายปืนโดยเด็ดขาด กลัวเจอแจ๊คพ็อตอีกนะซิ...


๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



ขอขอบพระคุณที่มา...เว็บธรรมะสาธุ

42

         

  ในสมัยที่หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง  ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็ก ๆ
ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำ
ในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า  "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ"   แต่ท่านมิได้สนใจ
ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำ
เป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ่งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา
พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่าน แต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกหรือกลัวแต่ประการใดไม่ กลับยืน
สงบนิ่งตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนา จนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
 ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป โดยมิได้ทำร้ายท่านแต่อย่างใด

เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก
เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับ
ลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น




 ขอขอบพระคุณที่มา...เว็บพุทธคุณดอทโออารจี

43
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บรรพชิตก็ตาม ฆราวาสก็ตาม ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า

๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งของและบุคคล อันเป็นที่รัก ที่พอใจ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นไปได้
๕. เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับมรดกกรรม ต้องรับมรดกกรรมที่เราทำไว้, มีกรรมเป็นแดนเกิด, มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, บุรุษก็ตาม สตรีก็ตาม ทำกรรมอันใดไว้ก็จักได้รับผลแห่งกรรมนั้น

... ... ... ในระหว่างที่ยังวนเวียนอยู่ในความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากสูญเสีย และความที่จะต้องเป็นผู้มีกรรม ได้รับผลของกรรม ยังไม่สามารถจะอยู่เหนือกรรมได้ เราก็ควรทำชีวิตให้มีคุณภาพ แก่ก็แก่อย่างมีคุณภาพ มีคนถามว่า นางวิสาขามีอายุ ๑๒๐ ปีแล้ว ยังสวยอยู่ สวยได้อย่างไร ก็บอกว่าสวยไปตามวัย หมายความว่าวัยงาม นางวิสาขาได้ลักษณะเบญจกัลยาณี ความงาม ๕ อย่าง มีอย่างหนึ่งคือวัยงาม งามสมวัยอายุ ๑๒๐ ปี ก็สวยแบบคนอายุ ๑๒๐ ปีทำนองนั้น แก่อย่างมีคุณภาพ มีประโยชน์ ทำประโยชน์ได้ตามประสาคนแก่

ถึงเวลาเจ็บก็เจ็บอย่างมีสติสัมปชัญญะ เจ็บอย่างเอาความเจ็บมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณธรรม เจ็บคราวใดก็ฉลาดขึ้นคราวนั้น ได้รู้ลีลาท่าทางอะไร ๆ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความเจ็บ เอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมาเป็นประโยชน์กับความรู้สึกนึกคิดจิตใจ โรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่เรา ไม่ได้เกิดขึ้นแก่เราคนเดียว เกิดขึ้นแก่คนอื่นด้วย ลองไปดูเถอะ ที่โรงพยาบาล ไปหาหมอแห่งใดก็ได้ มันต้องมีเพื่อนร่วมเจ็บกับเราอยู่ทั้งนั้น

ในทางศาสนาจึงบอกให้มีจิตเกื้อกูลต่อกัน มองดูกันในฐานะเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย พอคิดได้อย่างนี้ ความอาฆาต พยาบาท ความเกลียดชัง ความรู้สึกไม่ดีอะไรต่าง ๆ ถึงจะไม่หายไปทั้งหมด มันก็ลดลงไป เพราะเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับเรา เขาจะเป็นอย่างไร ๆ เขาก็เป็นเพื่อนเราในฐานะหนึ่ง ฐานะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ก็ต้องพลัดพรากสูญเสียจากสิ่งที่รักที่พอใจเช่นกัน

นึกถึงความสูญเสียทีไร ก็ให้นึกถึงพระเจ้าฆตราชทรงสูญเสียราชสมบัติ อิสรภาพ แต่ก็ทรงรักษาพระทัยไว้ได้ไม่ให้หม่นหมอง หน้าตาผ่องใสเหมือนเดิม จนพระเจ้าธังกราชที่เป็นศัตรูจับพระเจ้าฆตราชมาขังต้องเลื่อมใส ปล่อยพระองค์ไป เราเองก็สูญเสียกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเล็กน้อยเหลือเกิน เท่ากับขี้ฝุ่นนิดหน่อยที่ติดเล็บอยู่ ก็ได้กำลังใจจากเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่เป็นไร สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป ให้รักษาสุขภาพจิตไว้ก่อน

แล้วก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้บ่อย ๆ ว่าท่านเสียสละราชสมบัติออกมาบวช ไม่ได้ยึดว่าอะไรเป็นของพระองค์เลย มาบวชแล้วก็จาริกไปในที่ต่าง ๆ แบบอนาคาริกมุนี เป็นมุนีผู้ที่ไม่มีเรือน ไม่มีอะไรเป็นของพระองค์เลย ก็เป็นเรื่องที่เป็นกำลังใจให้กับพวกเราที่เป็นชาวพุทธว่า ท่านมีถึงขนาดนั้นแล้ว ท่านยังสละออกมาเป็นผู้ไม่มี แล้วอย่างเรา ๆ นี่จะมีอะไรสูญเสีย มันเทียบกันไม่ได้เลย ความรู้สึกต่าง ๆ ของคนเรา ความรู้สึกทุกข์ก็ตาม ความรู้สึกสูญเสีย ความรู้สึกเศร้าโศก ความรู้สึกได้มาต่าง ๆ ก็ตาม มันอยู่ที่ความรู้สึก ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ได้มาหรือสิ่งที่สูญเสียไป

ถ้าเป็นมหาวีรสตรี มหาบุรุษ อะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่สูญเสียไป ที่คนอื่นรู้สึกว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับบุคคลเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะไม่ได้ยึดถืออะไรว่าเป็นของตน เป็นแต่เพียงอาศัยใช้ชั่วคราว อาศัยใช้ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ เพราะในที่สุดเราก็ต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป “อสฺสโก โลโก” สัตว์โลกไม่มีอะไรเป็นของของตน... ต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปในที่สุด เลยไม่มีอะไรจะสูญเสีย ได้เตรียมใจเอาไว้แล้วว่า ในที่สุดเมื่อความตายมาถึงเข้า เราจะต้องสูญเสียหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่อย่างเดียว ร่างกายของเราซึ่งเป็นที่รักที่หวงแหน เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เรารัก ก็เอาไปไม่ได้ ในที่สุด ต้องเอาไปฝังไปเผาแล้วแต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะทำอย่างไร ถ้าทำใจไว้ล่วงหน้าอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นกันเองกับความเจ็บไข้ กับความตาย กับความสูญเสียกับการพลัดพราก กับอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ปลงไปได้เยอะทีเดียว นี้คือข้อที่ ๔ เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นธรรมดา

ข้อที่ ๕ ให้พิจารณาถึงกรรมให้มาก ๆ ในชีวิตประจำวันเราทำกรรมทุกวัน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีเจตนาที่จะทำกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง เพียงแต่คิดมันก็เป็นกรรมแล้ว ทั้งกรรมดีกรรมชั่วมันมากมายเหลือเกินแต่ละวัน ๆ สลับซับซ้อนกันอยู่ในจิตของเรา ลึกจนไม่รู้จะลึกอย่างไร มหาสมุทรสุดที่จะลึกมากแล้ว แต่ว่าอะไร ๆ ที่มันอยู่ในจิตของเรา มันลึกมากกว่านั้นอีก มันหยั่งถึงได้ยาก เพราะสะสมมานานหลายแสนปี หลายล้านปี ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ... เพราะฉะนั้นให้นึกถึงกรรมว่า เราจะต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรม แต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ พยายามเปลี่ยนแปลงให้มันดี กรรมก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แล้วแต่เราจะทำ แล้วแต่เราจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นไปอย่างไร เพราะมันไม่เที่ยง ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยให้ดี มันจะเปลี่ยนไปในทางดี ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยไม่ดี มันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีเช่นกัน ... ... ...




(คัดย่อ เรียบเรียง จากบางส่วนหนังสือ ธรรมดาของชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง.....อาจารย์วศิน อินทสระ)


ขอขอบพระคุณที่มาจาก...เว็บลานธรรมจักร

44



หลักความจริง ที่ทุกคนรวมทั้งสัตว์จะต้องได้รับโดยเสมอหน้า และยุติธรรมอย่างยิ่ง คือหลักความจริงที่ว่า ทุกคนจะต้องแก่ชรา ต้องเจ็บป่วย ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักและต้องรับผลแห่งการกระทำ ที่ตนเองได้ทำเอาไว้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (หลักอภิณหปัจจเวกขณะ) พระพุทธองค์ตรัสว่า
หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ผู้ที่บวชก็ตาม ไม่ได้บวชก็ตาม ควรพิจารณาความจริงของชีวิต ๕ ประการ คือ
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
๔. เราจำต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของซึ่งเรารักเราชอบทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของของตน เราทำดีต้องได้ดี เราทำชั่วต้องได้ชั่ว

หลักความจริงที่ทุกคนควรพิจารณา ๕ ข้อ นี้ เป็นสิ่งที่ผู้มีชีวิตตามอายุขัยจะต้องได้ประสบทุกคน ไม่มีใครจะหลีกหนีได้พ้น ต่างแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
เมื่อรู้กฎความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ควรประมาท ควรหมั่นพิจารณาอยู่เป็นประจำ เพื่อการทำใจหรือปรับใจ ยอมรับความจริงไว้ก่อน เมื่อเหตุการณ์ใน ๕ ข้อนี้เกิดขึ้น เราก็จะได้ไม่ต้องฝืนกฎธรรมดาของโลก เมื่อเราไม่ฝืนกฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ความทุกข์ก็เกิดได้น้อย หรือไม่เกิดเลย

การสำรวจเรื่องนี้ ก็เพื่อไม่ให้เรามัวเมา ประมาท สำหับความประมาทนั้นคืออะไร ได้แก่ การปล่อยเสียซึ่งสติ ไม่ระลึกตรึกตรอง มองพิจารณา ปล่อยให้จิตน้อมไปทางอกุศล เช่น ทางความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ไม่ดำริไปทางกุศล มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ดังนี้เรียกว่า ความประมาท สิ่งที่เกื้อหนุนให้เกิดความประมาทคือความเมา ๓ อย่าง คือ
๑. ความเมาในวัย คือคิดว่าเรายังหนุ่มสาว ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
๒. ความเมาในความไม่มีโรค คือคิดว่าเรายังแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
๓. ความเมาในชีวิต คือคิดว่าเรายังไม่ตาย ยังมีชีวิตสืบต่อไปได้นาน ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
ความมัวเมาทั้ง ๓ นี้ เป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เกิดความประมาท เพราะว่าเป็นเหตุให้กระทำบาปทางกาย วาจา ใจ คิดประทุษร้ายแก่ผู้อื่น เป็นเหตุให้เสื่อมจากกุศล ทาน ศีล ภาวนา ฟังพระธรรมเทศนา เป็นต้น

การหมั่นระลึก พิจารณาถึงหลักความจริงดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมา สามารถตัดความยินดีในภพทั้งหลายได้ คลายความรักใคร่ในชีวิตเสียได้ จะเว้นเสียซึ่งบาปกรรม ทำให้เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่สะสมหวงแหน ตระหนี่ข้าวของ จะคุ้นเคยในอนิจจสัญญา คือรู้ว่าสังขารคือรูปธรรม นามธรรม ร่างกาย จิตใจ ไม่เที่ยง ทุกขสัญญา คือรู้ว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา คือรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา จะเป็นผู้ไม่กลัวตาย เวลาจะตายจะมีสติไม่หลงตาย เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท จะเป็นผู้ขยันขันแข็งในการละอกุศลกรรม และจะเป็นผู้ขยันขันแข็งในการเจริญกุศลกรรม บุคคลผู้มีความไม่ประมาทในกุศลธรรมนี้ ย่อมเป็นมงคลอันประเสริฐในชีวิต




(รวบรวม เรียบเรียง คัดย่อ จากคัมภีร์มงคลทีปนีและหนังสือพุทธมงคลอานิสงส์)


ขอขอบพระคุณที่มาจาก...เว็บลานธรรมจักร

45


   ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ที่ได้ร่วมบุญร่วมกุศลกันในครั้งนี้ด้วยนะครับ   

46
ขอร่วมอวยพรย้อนหลัง... :001:

ขอให้น้องเอ็กซ์มีแต่ความสุข ความเจริญ

คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมความปรารถนาทุกประการเทอญ...สาธุ

47
สวยงามครับ ขอบคุณที่นำมาให้ชมกัน :016:

48
สวยงามมากครับ ขอบคุณที่นำมาให้ชม

49



เมื่อสมเด็จองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ประมาณ 236 ปี พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เล็งญาณดูกาลอนาคตของพระพุทธศาสนาเห็นว่าต่อไปชมพูทวีปซึ่งเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจะไปเจริญรุ่งเรืองในทวีปอื่น จึงได้ถวายพระพรพระเจ้าอโศกมหาราช ขอความอุปถัมภ์ เพื่อจัดส่งพระเถรานุเถระเป็นคณะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพูทวีป ด้านใต้ถึงเกาะลังกา ด้านตะวันตกถึงเปอร์เซีย ด้านเหนือถึงประเทศแถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกถึงสุวรรณภูมิ เหตุการณ์ก็จริงดังคาด พอพระพุทธศักราช ประมาณ 1100 ปีเศษ พระพุทธศาสนาก็อันตรธานจากชมพูทวีป ไปเจริญรุ่งเรืองยังนานาประเทศจริงๆ สุวรรณภูมิ ก็คือแหลมทอง ซึ่งหมายถึงผืนแผ่นดินตั้งแต่อ่างเบงกอลมาจนถึงทะเลญวณ ได้เป็นที่รองรับพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่พระพุทธศักราชประมาณ 236 ปีเศษ มีโบราณวัตถุสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นสักขีพยานในโบราณสถานนั้นๆ เช่นพระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดใหญ่โตมาก  ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เพราะยังไม่เกิดประเพณีสร้างพระพุทธรูปที่เมืองเสมา (ร้าง) ในจังหวัดนครราชสีมา ก็มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดเดียวกันกับที่นครปฐม และที่ตำบลฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีภาพแกะสลักศิลาเป็นเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งเป็นพยานว่าพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ณ. แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัยเดียวกัน ประมาณว่าในราวพุทธศตวรรตที่ 4 การที่พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องเป็นระยะไกลถึงเกือบพันปีเช่นนี้ ย่อมต้องมีทิพยจักขุญาณแจ่มใสจริงๆ แน่นอน เมื่อทราบแล้ว ท่านก็ดำเนินการแก้วิกฤตการณ์ไว้ล่วงหน้าทันที
 
ผลดีที่เกิดขึ้นคือ พระพุทธศาสนาแพร่หลายและดำรงอยู่ได้ในนานาประเทศนอกชมพูทวีปมาจนถึงปัจจุบัน ชมพูทวีปคือ ประเทศอินเดียซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ได้ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปีแล้ว พึ่งจะมีพระภิกษุจากลังกา พม่า และอาหม เข้าไปทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในชมพูทวีปอีกเมื่อประมาณ 60 ปีมานี่เท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังหวังความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในสมัยพุทธกาลได้ยาก เพราะสภาพการณ์ของบ้านเมืองและประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอื่นได้ฝักรกรากแทนที่พระพุทธศาสนามานาน บุคคลผู้จะนำพระพุทธศาสนาไปปลูกฝังลงยังอินเดีย ได้อีกจะต้องเป็นผู้มีบุญญาภิสมภารและอิทธิภินิหารเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าเจ้าลัทธิคณาจารย์ในถิ่นเป็นอย่างมาก
 
มีคำทำนายโบราณชิ้นหนึ่งได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ 60 ปีกว่ามานี้ มีว่า เมื่อพระพุทธศาสนาอายุถึงกึ่ง 5,000 ปีนับแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล แลจักมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์ เชี่ยวชาญทางอภิญญา พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร แลถึงพร้อมด้วยบุญญฤทธิ์อิทธาภินิหาร ในสุวรรณภูมิแคว้นประเทศ จักได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก โดยเริ่มต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตในทางพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา เงาเจริญแห่งพระศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงประเทศกำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น แต่ใครเป็นตัวการตามทำนายนั้น ยังมิได้ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูกันต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้นก็แปลว่า ชาวพุทธผู้ให้คำทำนายไว้นั้น มีทิพยจักขุญาณวิเศษที่สุดได้แน่ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย ข้าพเจ้าได้เรียนถามพระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่า คำทำนายโบราณนี้จะเป็นจริงไหม ท่านว่าเจ้าพระคุณพระอุบาลีปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลานี้ก็จวนถึงเวลาแล้ว เราคอยดูกันต่อไป เอวัง.............
 
 
(ขอบคุณที่มาจากหนังสือ ทิพยอำนาจ แต่งโดยพระอาจารย์ เส็ง ปุสโส ป.ธ.6)

50
เรื่องชีวิตและกรรม มีความสลับซับซ้อนมากดังพรรณนามา คนที่มองชีวิตและกรรมในสายสั้น จึงไม่อาจเข้าใจชีวิตและกรรมอย่างแจ่มแจ้งโดยตลอดได้ แม้ผู้ได้ญาณระลึกชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) และได้ญาณรู้อนาคต (อนาคตตังสญาณ) แต่ได้ระยะสั้นเพียงชาติ ๒ ชาติ ก็ยังหลงเข้าใจผิดได้ เพราะเห็นผู้ประกอบกรรมชั่วในปัจจุบันบางคนตายแล้วไปบังเกิดในสวรรค์ เห็นผู้ทำกรรมดีบางคนตายแล้วเกิดในนรก เขาไม่มีญาณที่ไกลกว่านั้น จึงไม่อาจเห็นกรรมและชีวิตตลอดสายได้ ส่วนผู้มีญาณทั้งในอดีตและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุดเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเห็นกรรมและชีวิตได้ตลอดสาย ทรงสามารถชี้ได้ว่า ผลอย่างนี้ๆ มาจากกรรมอย่างใด
มีตัวอย่างแห่งกรรมมากมายที่ปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า บุคคลนั้นๆ ได้ประสบผลดีผลชั่วอย่างนั้นๆ อันแสดงถึงผลกรรมที่สามารถให้ผลข้ามภพข้ามชาติ จะขอนำบางเรื่องมาประกอบพิจารณาในที่นี้

๑. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อจักขุบาล ท่านทำความเพียรเพื่อบรรลุมรรคผลจนตาบอดทั้ง ๒ ข้าง พร้อมกับสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นผลของกรรมที่เมื่อชาติหนึ่ง พระจักขุบาลเป็นหมอรักษาโรคตา ประกอบยาให้คนป่วยตาบอดโดยเจตนา เพราะคนป่วยทำทีบิดพลิ้วจะไม่ให้ค่ารักษา เรื่องนี้ปรากฎในอรรถกถาธรรมบทภาค ๑ เรื่องจักขุบาล

๒. ชายคนหนึ่ง ชื่อจุนทะ มีอาชีพทางฆ่าหมูขาย คราวหนึ่งป่วยหนัก ลงคลาน ๔ ขาร้องครวญครางเสียงเหมือนหมู ทุกข์ทรมานอยู่หลายวันจึงตาย เรื่องนี้ปรากฎในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๑ เรื่องจุนทสูกริก

๓. ชายคนหนึ่ง มีอาชีพทางฆ่าโคขายเนื้อ วันหนึ่งเนื้อที่เก็บไว้เพื่อบริโภคเอง เพื่อนมาเอาไปเสียโดยถือวิสาสะ จึงถือมีดลงไปตัดลิ้นโคที่อยู่หลังบ้านมาให้ภรรยาทำเป็นอาหาร ขณะที่เขากำลังบริโภคอาหารอยู่นั้นลิ้นของเขาได้ขาดหล่นลงมา เขาคลาน ๔ ขา เหมือนโค ร้องครวญครางทุกข์ทรมานแสนสาหัสและสิ้นชีพพร้อมกับโคหลังบ้าน เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบทภาค ๗ เรื่องบุตรของนายโคฆาต

๔. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อติสสะ เป็นแผลเปื่อยพุพองรักษาไม่หายพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ไปช่วยดูแลให้อาบน้ำอุ่น แสดงธรรมให้ฟังพระติสสะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพานในวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าที่เป็นแผลพุพองนั้นเพราะชาติก่อน พระติสสะเป็นพรานนก จับนกขายเป็นอาหาร ที่เหลือก็หักปีกหักขาไว้เพื่อไม่ให้มันบินหนี เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๒ เรื่องปูติคัตตติสสะ

๕. พระนางโรหิณี ๑ พระขณิษฐาของพระอนุรุทพระญาติของพระพุทธเจ้า ทรงเป็นโรคผิวหนังอย่างแรง ทรงละอายจนไม่ปรารถนาพบผู้ใด เมื่อพระอนุรุทเถระมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์ พวกพระญาติต่างก็มาชุมนุมกัน เว้นแต่พระนางโรหิณี พระอนุรุทจึงถามหา ทราบความว่าพระนางเป็นโรคผิวหนัง พระเถระให้เชิญพระนางออกมาแล้วทรงแนะนำให้ทำบุญโดยให้ขายเครื่องประดับต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์มาสร้างศาลาโรงฉัน ท่านขอแรงพระญาติที่เป็นชาย ให้ช่วยกันทำโรงฉัน
พระนางโรหิณีทรงเชื่อ เมื่อสร้างโรงฉัน ๒ ชั้นเสร็จแล้ว ทรงปัดกวาดเอง ทรงตั้งน้ำใช้น้ำฉันสำหรับพระภิกษุสงฆ์เอง ถวายขาทนียะโภชนียาหารแก่ภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน โรคผิวหนังของพระนางค่อยๆ หายไปทีละน้อยจนเกลี้ยงเกลา โรคนี้เป็นโรคที่เกิดแต่กรรม ต้องเอาบุญมาช่วยรักษา ลดอิทธิพลแห่งกรรมจนไม่มีอานุภาพในการให้ผลอีกต่อไปเหมือนคนกินยาเข้าไปปราบเชื้อโรค
วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยที่โรงฉันของพระนางโรหิณี แล้วตรัสให้พระนางทราบว่าโรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมของพระนางเอง
ในอดีตกาล พระนางโรหิณีเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสีมีจิตริษยาหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งของพระราชา ได้ทำเองด้วย ให้คนอื่นทำด้วย คือการเอาผลเต่าร้างหรือหมามุ้ยโรยลงบนสรีระของหญิงนักฟ้อนคนโปรดของพระราชา นอกจากนี้ยังให้บริวารเอาผงเต่าร้างไปโปรยบนที่นอนของหญิงนักฟ้อนคนนั้นอีกด้วย หญิงนักฟ้อนคันมาก เป็นผื่นพุพองขึ้นมา ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นี่คือบุพพกรรมของพระนางโรหิณี พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่าพึงละความโกรธความถือตัวเสีย
เรื่องนี้ ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๖ เรื่องพระนางโรหิณี

๖. ในอรรถกถาสาราณียธรรมสูตร ภาค ๓ หน้า ๑๑๐–๑๑๒ เล่าไว้ว่า ในพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่ง มีนิสัยชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้ปัจจัยอะไรมาก็แบ่งปันแก่ภิกษุอื่นเสมอๆ ด้วยอานิสงส์นี้ ท่านกลายเป็นผู้มีโชคดีในเรื่องลาภอย่างประหลาด ในที่บางแห่ง ภิกษุอื่นไปบิณฑบาตไม่ได้อาหารอะไรเลย แต่พอภิกษุรูปนั้นไป ปรากฏว่ามีคนมีจิตคิดทำบุญใส่บาตรให้ท่านจนเต็ม ท่านได้นำอาหารเหล่านั้นมาแบ่งให้ภิกษุอื่นๆ จนหมด คราวหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะถวายผ้าแก่พระทั้งวัดมีผ้าเนื้อดีที่สุด ๒ ผืน (คงจะเป็นผ้านุ่ง คือผ้าสบงผืนหนึ่ง ผ้าห่มคือจีวรผืนหนึ่ง) พระรูปนั้นทราบเข้าจึงพูดไว้ล่วงหน้าว่า ผ้าเนื้อดี ๒ ผืนนั้น จะต้องตกมาถึงท่านอย่างแน่นอน อำมาตย์ได้ทราบเรื่องนี้ จึงนำเรื่องไปทูลกระซิบพระราชา พระราชาเป็นผู้ถวายผ้าเอง ก็ทรงสังเกตผ้าที่วางซ้อนๆ กันอยู่ พอมาถึงลำดับภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็เป็นผ้าเนื้อดีทั้ง ๒ ผืน ทั้งอำมาตย์และพระราชาต่างมองหน้ากันเป็นเชิงประหลาดใจ เมื่อทำพิธีถวายผ้าเสร็จแล้ว พระราชาเสด็จเข้าไปหาภิกษุหนุ่มรูปนั้น ด้วยเข้าพระทัยว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์มีญาณวิเศษอย่างแน่นอน จึงตรัสถามว่าพระคุณเจ้าได้บรรลุโลกุตรธรรมตั้งแต่เมื่อไร ภิกษุหนุ่มถวายพระพรว่ายังไม่ได้บรรลุอะไรเลย แต่ที่รู้ว่าผ้าเนื้อดีจะต้องตกแก่ตนนั้นก็เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญสาราณียธรรมคือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เป็นนิตย์ ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมาก็ได้ผลอย่างประหลาดอยู่เสมอ คืออะไรที่ดีที่สุด ถ้ามีการแจกกันโดยไม่เจาะจง สิ่งนั้นก็ต้องตกมาถึงท่าน พระราชาทรงชื่นชมยินดีและทรงอนุโมทนา

๗. ในคัมภีร์อปทาน(อันเป็นพระประวัติที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องในอดีตของพระองค์) พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ตั้งแต่หน้า ๔๗๑ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยถึงอดีตกรรมของพระองค์ อันเป็นเหตุบันดาลให้เกิดผลแก่พระองค์ในปัจจุบันมากเรื่องด้วยกัน ขอนำมากล่าวเพียงบางเรื่องดังนี้ ๒

          ๗.๑ ชาติหนึ่ง พระองค์เป็นนักเลงชื่อปุนาสิ กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายพระองค์เลยแม้แต่น้อยผลของกรรมนั้นทำให้พระองค์ต้องตกนรกอยู่นาน ในพระชาติสุดท้ายถูกนางสุนทรีใส่ความว่าพระองค์ได้เสียกับนาง เป็นเรื่องอื้อฉาวมากเรื่องหนึ่งในพุทธกาล
         

          ๗.๒ ชาติหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ใส่ความสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสัพพาภิภู (พระนามของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ชื่อสาวก) สาวกนั้นชื่อนันทะ ด้วยผลกรรมนั้น พระองค์ต้องนกนรกอยู่นาน ในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ความว่าได้เสียกับนางในพระคันธกุฎีจนนางมีครรภ์ เป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในพุทธกาล
         

          ๗.๓ ชาติหนึ่ง พระองค์ทรงฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะอยากได้ทรัพย์เพียงผู้เดียว โดยผลักน้องชายลงซอกเขาเอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงถูกพระเทวทัตปองร้ายเอาศิลาทุ่ม แต่เพราะกรรมนั้นเบาบางมากแล้วจึงไม่ถูกอย่างจังถูกเพียงสะเก็ดเล็กน้อยที่นิ้วพระบาทเท่านั้น*


ขอบคุณที่มาจากหนังสือ "หลักกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด เขียนโดย วศิน อินทสระ

51
   ขอบคุณครับ...สำหรับภาพบรรยากาศในงาน พิธีไหว้ครู ปี 54

52
ขอบคุณครับ...ท่านใหญ่  สำหรับภาพบรรยากาศ เขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี
ที่นำเสนอให้รับชมกัน...ถึงแม้ว่าจะถ่ายจากกล้องโทรศัพท์มือถือ...
แต่ฝีมือการถ่ายภาพไม่ธรรมดาเลยครับ...ชอบครับ...ขอขอบคุณอีกครั้งครับ  :016: :015:

53
สวยงามมากเลยครับท่านดอน    :016: :015:

54
คาถาอาคม / คาถารักษาโรคกรรม
« เมื่อ: 11 ธ.ค. 2553, 10:11:01 »
เมื่อครั้งหลวงปู่ฝั้นพักอยู่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งแกไอทั้งวันทั้งคืน แม้ขณะนั่งฟังเทศน์ก็ไอตลอดเวลา
รบกวนสมาธิผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบหลวงปู่ฝั้นจึงเอ่ยถามว่า  "ทำไมไม่รักษา"    โยมผู้นั้นก็ตอบว่า
กินยามานับขนานไม่ถ้วนก็ยังไม่หาย ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นว่า "คงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน" จึงขอให้โยม
ผู้นั้นหัดภาวนา แล้วบอกคาถาให้บริกรรมว่า " ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ "

ท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด วันที่สอง
ปรากฏว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้น อาการไอห่างไปบ้าง พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายราวกับปลิดทิ้ง โยมผู้นั้นนั่ง
บริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใครๆก็หลับกันหมด ก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุดอาการไอก็หายโดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้น
เป็นต้นมา...



ขอบคุณที่มา : http://www.geocities.com/samadhinet

55
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลความรู้

56
กฎแห่งกรรม / บวชหนีกรรม
« เมื่อ: 27 ก.ย. 2553, 11:56:43 »


ณ.มุมหนึ่งแห่งย่านหัวลำโพง มีครอบครัวๆหนึ่งอาศัยอยู่...ซึ่งครอบครัวนี้มีลูกชายชื่อว่าหยู และเป็นเด็กเสเพล เกเรมากๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง....

เมื่อถูกพ่อและแม่เคี่ยวเข็ญมากๆ   หยูก็ได้หนีออกจากบ้าน  ไปอาศัยอยู่กับเพื่อน ๆ และคลุกคลีมั่วสุมกินเหล้าเมายา  ไม่ไปเรียนหนังสือ
ครั้นยามใดไม่มีเงินใช้ หยูก็จะไปลักเล็กขโมยน้อย อย่างที่เพื่อนๆทำกันเป็นประจำ นานๆไปก็ออกปล้นอย่างจริงจังขึ้น  หยูใช้ชีวิตดำมืดนาน
8 ปี เขาปล้นทรัพย์มามากต่อมากแต่ยังไม่เคยฆ่าคนตาย

ต่อมาเพื่อนๆที่ร่วมขบานการ ถูกตำรวจจับกุมได้เพราะว่าเคยฆ่าคนตายบ้าง เคยข่มขืนผู้หญิงบ้าง หยูจึงเหลือเพื่อนคนเดียวคือชัย วันหนึ่งชัย
มาชวนไปปล้นบ้านหลังหนึ่งที่ชานเมืองแถวๆบางบัวทอง

และได้สนทนากันว่า..."เป็นบ้านคนมีเงินแน่นอน ไม่ค่อยจะมีคนอยู่บ้านหรอก บ้านสร้างเสร็จใหม่ๆหลังใหญ่โต สงสัยจะยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่
อย่างถาวรล่ะมั้ง"

"เอาไว้ก่อนเถอะนะชัย" หยูปฏิเสธเพราะนึกเบื่อๆ ชีวิตโจรขโมยของตน และอยากจะมองหางานอื่นทำ...

จะไปทำอะไรได้ ใครเขาจะรับ ความรู้ก็ไม่มี วุฒิการศึกษาก็ไม่มี มิสู้หาเงินสักก้อนเพื่อลงทุนค้าขายเล็กๆน้อยๆ คำพูดของชัยทำให้หยูคิดถึง
อนาคตของตน แต่ด้วยสันดานโจร แทนที่จะทำงานสุจริตเก็บเงินเพื่อลงทุนค้าขาย แต่เขากลับคิดหาเงินทุนจากการออกปล้นอีกครั้ง!!!

คืนหนึ่งได้ฤกษ์ หยูกับชัยไปปล้นบ้านปลูกใหม่ หลังนั้น ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ห่างๆ จากหลังอื่นพอสมควร พอไปถึงพบว่าหน้าบ้านเปิดไฟอยู่เพียง
ดวงเดียว และมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ในบ้าน แม้จะอยากปล้นตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว หยูก็ไม่เปลี่ยนใจ

เมื่องัดประตูครัวด้านหลังเข้าไปในบ้าน ทั้งสองก็ช่วยกันค้นหาทรัพย์สินมีค่า เก็บกวาดข้าวของใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ โจรทั้งสองลงมืออย่างรวดเร็ว
และแผ่วเบาเพราะเป็นมืออาชีพ

แต่แล้วไฟที่บันไดก็สว่างพรึ่บ!!!

"ใครน่ะ"

ชายเจ้าของบ้านยืนอยู่กลางบันไดพร้อมปืนสั้นกระบอกหนึ่งในมือ ชัยเห็นเข้าตกใจมากจึงยิงใส่เจ้าของบ้านหนึ่งนัด เจ้าของบ้านกลิ้งตกบันได และ
ยิงสวนมาสองนัด แล้วเสียงวี้ดว้ายของผู้หญิงก็ดังขึ้น

ส่วนหยูกระโดดหลบที่มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ ชัยสบถแล้วยิงไปอีกนัด เจ้าของบ้านก็ยิงสวนมา กระสุนนัดหนึ่งวิ่งเข้าใส่ที่แขนขวาของหยู ขณะที่
เขาทั้งหมอบทั้งคลานไปที่ประตูหลังบ้าน เขาก็หันไปเห็นว่าชายอีกคนหนึ่งยืนถือเก้าอี้อยู่และฟาดลงใส่ตัวเขาอย่างแรง

หยูรีบส่ายกระบอกปืนไปที่ชายคนนั้น ขณะเหนี่ยวไกปืน เขาก็เห็นผู้หญิงวิ่งปราดเข้ามาหาชายคนนั้นแล้วร้องลั่นว่า...เขามีปืน
หยูลั่นไกอย่างไม่ทันได้คิด แค่คิดว่าจะหนีไปจากตรงนั้นให้ได้ ...เสียงผู้หญิงร้องกรีด เสียงดังโครมครามอื้ออึง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร็วในเวลา
ไม่กี่นาที

ในที่สุดหยูก็หนีรอดมาได้...ส่วนชัยตายในบ้านหลังนั้น ภรรยาสาวของเจ้าของบ้านไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนพี่ชายของภรรยาเจ้าของบ้านบาด
เจ็บถูกยิงเข้าที่ช่วงไหล่ เขาเป็นคนที่ถือปืนมาเจอหยูกับชัย

หยูเสียใจที่รู้ว่ามีคนตาย และเป็นผู้หญิง!!!
และเขาก็รู้สึกผิดนักเมื่อรู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 4-5 เดือนแล้ว...!!!

หยูหลบหนีคดีไปอยู่ตามต่างจังหวัด หลายๆแห่ง หางานทำเป็นลูกจ้างรายวันไปเรื่อยๆ จน 8 ปีผ่านไปเขาจึงได้เดินทางกลับบ้านไปหาพ่อแม่เป็นครั้ง
แรก ผู้เป็นพ่อแม่ร้องไห้ดีใจเมื่อได้พบหน้าลูกอีก และขอร้องให้เขาบวช หยูอยู่ที่บ้านนาน 3 เดือน จึงได้ตัดสินใจบวช...

เมื่อได้ครองเพศบรรพชิตแล้ว หยูก็ตั้งใจท่องสวดมนต์ภาวนาและถือศีลเคร่งครัด เขาบวชได้นานเดือนเดียวก็ป่วยและต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ขณะเดินทางนั่งรถโดยสารไปโรงพยาบาล   มิคาดว่ารถโดยสารคันนั้นเกิดอุบัติเหตุชนกันและพลิกคว่ำมีคนตายและคนบาดเจ็บมากมาย

หยูซึ่งอยู่ในเพศบรรพชิต...ก็ได้เสียชีวิตตายคาที่...ในที่แห่งนั้นด้วย!!!




ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม




+++++++++++++++++++++++++++++กระเบนท้องน้ำ++++++++++++++++++++++++++++++


 
 

57
บทสวดมนต์ / บทกรวดน้ำ..ชอบมาก
« เมื่อ: 09 ส.ค. 2553, 09:32:50 »


     ธรณี นี่นี้ เป็นพยาน
  อันตัวลูกได้ทำทาน เสร็จแล้ว
  จึงยืมถังท่านสมภาร มากรวด น้ำเฮย
  คนอื่นใช้ขวดและแก้ว ลูกว่า เล็กไป
    เพราะสิ่งหวังในใจลูก มากมี
  ขึ้นศกใหม่ทั้งที ต้องเริ่ด
  จะขอเผื่อสามี และบุตร ด้วยแฮ
  ชวนมาวัดทำเชิ่ด ทั้งลูก และผัว
       
    หากชาติหน้าเกิดอีก ฉันใด
  ขอเกิดประเทศไทย นะแม่
  เกิดต่างแดนคงทำใจ ลำบาก
  ภาษาอังกฤษฉันแย่ แต่เล็กจนโต
       
    ขอให้สวยสุดหล้า ปฐพี
  ได้ประกวดบนเวที หมู่บ้าน
  มีสติปัญญาดี มิโง่
  ให้โลกสะเทือนสะท้าน นี่แหละ หญิงไทย
       
    ขอผัวที่ดี เก่ง และรวย
  ผัวกระบักกระบวย ขอเว้น
  มีผัวผิดคิดจนงงงวย ผัวเหี่ยว
  ได้ดั่งใจลูกจะเซ่น ด้วยกิ๊กหนึ่งคน
       
    ถ้ามีลูกขอลูกอย่า ทิ้งฉัน
  เวลาแก่ตัวมัน ลำบากเน้อ
  เลี้ยงโตแล้วทิ้งกัน หนีหมด
  ปล่อยแม่คิดถึงเก้อ นี่หรือลูกเรา
       
    ขอตัดเวรกับเจ้าหนี้ ทั้งปวง
  ชาตินี้ไม่มีดวง จ่ายให้
  จงอย่าเสียเวลาทวง วานบอก ทีแม่
  ชาติหน้าอาจจ่ายได้ ถ้าผัวฉันรวย
       
    ขอมากไป? หรือแค่ ชิวชิว?
  แต่ตอนนี้ ลูกเป็นตะคริว ช่วยด้วย!!!!!



ขอบคุณเพื่อน : F.W.mail

58


กรรม และ เหตุ-ผล ของกรรม และวิธีแก้ไข




1.กรรมที่ไม่มีลูก

กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น

วิธี ลดกรรม : งดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ7วันในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์ หรือมูลนิธิเด็กอ่อน



2.เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย

กรรมจาก : เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์

วิธี ลดกรรม : ทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต



3.ตาบอด หรือ เป็นโรคตา

กรรมจาก : เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สาธารณะ

วิธี ลดกรรม : ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันตะเกียงที่วัด



4.ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย

กรรมจาก : เคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ

วิธีลดกรรม : หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ



5.สูญเสียคนใกล้ชิด

กรรมจาก : เคยยิงนกตกปลา

วิธีลดกรรม : ทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อย สัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ3เดือนทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา



6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย

กรรมจาก : เคยพูดจาให้เป็นเหตุ ให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน

วิธีลดกรรม : พิมพ์หนังสือธรรมมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข



7.มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด

กรรมจาก : เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา

วิธี ลดกรรม : ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี



8.ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร

กรรมจาก : ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ

วิธีลดกรรม : ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร เป็นต้น



9.ตั้งหลักปักฐานไม่ได้โยกย้ายบ่อย

กรรมจาก : ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์วิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ

วิธีลดกรรม : ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหารร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้พระศาลเจ้าพ่อหลักเมือง



10.มักถูกรังแก เบียดเบียน

กรรมจาก : ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช

วิธี ลดกรรม : บวชด้วยจิตศรัทธาปวารณาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วันหรือ 15 วัน 1เดือน 1 พรรษา แล้วแต่จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือ ศีล8 ตามเวลาที่สะดวกหรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้



11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ขาดเสน่ห์

กรรมจาก : ไม่เคยถวายของหอม

วิธี ลดกรรม : หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียนดอกไม้ พวงมาลัย ทองคำเปลว ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดีทำดีพูดดีให้ผู้อื่น



12.เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว

กรรมจาก : ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน

วิธี ลดกรรม : หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น พิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี



13.ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค

กรรมจาก : เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้านหรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก

วิธี ลดกรรม : บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วยสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะ หรือทางสัญจร



14.เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป

กรรมจาก : เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน

วิธีลดกรรม : ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธ พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์



15.ขัดสน อดมื้อกินมื้อ

กรรมจาก : เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ

วิธีลดกรรม : แบ่งปันอาหาร น้ำเสื้อ แก่คนยากไร้อนาถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ



16.อาภัพคู่ ร้างคู่

กรรมจาก : เคยผิดลูกผิดเมียเขา

วิธี ลดกรรม : บวชพระหรือบวชชี ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่เป็นต้น



17.ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์

กรรมจาก : เคยข่นขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่

วิธีลดกรรม : บวชพระ หรือ บวชชี ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา



18.อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย

กรรมจาก : เคยจับสัตว์ขัง

วิธีลดกรรม : ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำปล่อยนกปล่อยกาทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา



19.รูปร่างหน้าตาไม่งดงาม

กรรมจาก :ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม

วิธีลดกรรม :ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล



20.มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน

กรรมจาก :เคยคดโกงผู้อื่น

วิธีลดกรรม :สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลทุกๆเดือน



21.พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ

กรรมจาก :เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่หรือทำร้ายพ่อแม่

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล5 ศีล8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน



22.มีคดีความ

กรรมจาก :เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วย

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล5 ศีล8 เดือนละ 7 วัน



23.ไร้ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง

กรรมจาก :ไม่สงเคราะห์คนอนาถาที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญซื้อกระเบื้องหลังคาโบสถ์ หมั่นกราบไหว้บูชา ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด



24.จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห

กรรมจาก :มักตระหนี่ในการทำบุญ

วิธี ลดกรรม :สวดมนต์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล5,8 ทุกๆ3เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือทำบุญบริจาคทาน



25.ไม่มีชื่อเสียง

กรรมจาก :เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา



26.ไม่มีวาสนาบารมี

กรรมจาก :ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมะ

วิธีลดกรรม :ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน



27.มีลูกหลานไม่ดีเกเร ไม่เชื่อฟัง

กรรมจาก :ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน

วิธีลดกรรม :บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง



28.เจอแต่คนเอาเปรียบ

กรรมจาก :เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้

วิธีลดกรรม :หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์
อธิษฐานบารมีขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต



29.เกิดในสกุลต้อยต่ำ

กรรมจาก :โอหัง อวดดีจิตใจคับแคบ

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญ สร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี



30.ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา

กรรมจาก :เคยเมาสุราอาละวาด ระรานผู้อื่น

วิธีลดกรรม :นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี



31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์

กรรมจาก :เคยชักจูงคนทำชั่ว

วิธีลดกรรม :ถือศีล8เป็นเวลา7วันทุกๆ3เดือนหมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน



32.จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์

กรรมจาก : เคยริษยาผู้อื่น

วิธีลดกรรม :ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงแม่น้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร



33.ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ

กรรมจาก :เคยทำแท้ง

วิธีลดกรรม :ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ9เดือนหรือ 1ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรอยู่เสมอ



34.เป็นเมียน้อย เมียเก็บ

กรรมจาก :เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่า
กี่ภพกี่ชาติก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน

วิธีลดกรรม :ถวายธงคู่ รูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน
อุทิศ ให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง
สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อๆไป ทำบุญสังฆทาน ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้แก้เจ้ากรรมนายเวรใน
อดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม



35.เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว

กรรมจาก :เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในครอบครัว เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัว และคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก
ในอดีตและปัจจุบันชาติ ต้องบวชชีพราหมณ์เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีขึ้นเพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น





36.เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

กรรมจาก :ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ

วิธี ลดกรรม :ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศล ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง
กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด





37.เป็นมะเร็ง

กรรมจาก :รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น

วิธีลดกรรม :ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพรามหณ์1เดือนเพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างวัดศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน





38.ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า

กรรมจาก :เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาชินบัญชร



39.ด้อยปัญญา

กรรมจาก :ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมะ

วิธีลดกรรม : พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ



40.ตกงาน

กรรมจาก :เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา



41.ไม่มีโชคลาภ

กรรมจาก :ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว



42.เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค

กรรมจาก :ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม

วิธีลดกรรม :หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ



43.มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน

กรรมจาก :ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน

วิธีลดกรรม :ถือศีล5,8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือ ทุกๆ3เดือน



44.ครอบครัวยากจน

กรรมจาก :ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น
ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด



45.เป็นทุกข์เพราะความรัก

กรรมจาก :ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก

วิธีลดกรรม :ประพฤติปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นให้สมรัก




ขอบพระคุณที่มา...http://dhammathai.org/store/karma/view.php?No=330

59

 

 
 
ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม
หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค = ถูกปิดกั้นหนทาง                                                 
มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ

ข้อคิด
จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

 
 
 
 

 

 
 

 
ปรัชญาที่ 2   มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน
มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา

ข้อคิด
จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต
 
 

 
 

 
 

 

 
 

 
ปรัชญาที่ 3  มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว
ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้" เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด



                                                                                     



 
ข้อคิด
จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา

ปรัชญาที่ 4  ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ
มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้

ข้อคิด
จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง




 
สรุป

1) อย่ายอมแพ้

2) มองไปข้างหน้า

3) มองโลกในแง่ดี

4) ทำเต็มความสามารถ


 
Though Small body but high performance

60
กฎแห่งกรรม / กรรม...ของช่างซ่อมรถ
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2553, 12:01:48 »

           

ณ.มุมหนึ่งของจังหวัดสุราษฏร์ธานี นายเดเป็นช่างซ่อมรถมาตั้งแต่วัยรุ่น เมื่ออายุย่างเข้า 30 เขาก็เปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆเป็นของตนเอง
และเขาได้มีลูกน้องช่วยงาน 3 คน

นายเดเป็นช่างที่มีฝีมือคนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำอาชีพของเขา เพราะว่านายเดจะชอบฉวย
โอกาสคิดราคาค่าซ่อมรถสูงๆเกินจริงกับลูกค้าที่นำรถมาซ่อม รถบางคันเสียแห่งเดียว  นายเดก็โกหกว่าซ่อมยากเพราะเสียหลายจุด
ต้องคิดราคาทั้งค่าอะไหล่สูง  และคิดค่าแรงแพงๆ  แต่พอลงมือซ่อมรถนายเดกลับซ่อมอย่างไม่เต็มที่นัก  และใช้อะไหล่เก่าๆบ้าง
ใช้ของปลอมบ้าง

บางครั้งเขาก็สอนให้ลูกน้องแอบเปลี่ยนเอาอะไหล่ดีๆ จากรถลูกค้าโดยใส่ของเก่าของชำรุดไปแทน ลูกค้าบางคนต้องทิ้งรถไว้นานๆ
พอมารับรถตามนัดก็มาเก้อหลายครั้ง เพราะนายเดยังซ่อมไม่เสร็จแต่ที่จริงเขายังไม่ได้ลงมือซ่อม  เพราะมัวแต่ไปเที่ยวร่ำสุราเพลิน

แม้จะเป็นคนไม่ซื่อตรงต่ออาชีพของตนเอง แต่นายเดก็ยังเปิดกิจการได้ เพราะในย่านนั้นไม่มีอู่ซ่อมรถเลย เมื่ออายุได้ 39 ปีนาย
เดก็ได้ภรรยา เขารักภรรยาคนนี้มาก เธอเป็นหัวหน้าแม่บ้านบริษัทแห่งหนึ่ง แต่เธอเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อแต่งงานกันได้ 4
 ปี เธอต้องลาออกจากงานมาอยู่บ้าน เพราะป่วยบ่อยด้วยโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาวและเป็นโรคหัวใจด้วย

คืนหนึ่ง ภรรยาป่วยหนัก นายเดรีบขับรถพาภรรยาไปโรงพยาบาลกลางดึก ขณะขับรถไปได้ครึ่งทาง รถของเขาก็เกิดเสียและ
เครื่องดับกระทันหัน!!! นายเดรีบหาไฟฉายไปเปิดกระโปรงรถและหาทางซ่อมแซมแก้ไข แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆเลยเขาพยายาม
หาสาเหตุอยู่นานเกือบ 15 นาที แต่แล้วก็จนใจเพราะไม่อาจหาสาเหตุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถ

ภรรยานายเดเริ่มมีอาการหนัก หายใจขัดมากขึ้น นายเดรีบออกเดินไปตามถนนเพื่อหารถและคอยโบกเผื่อมีรถผ่านมาบ้าง แต่เผอิญ
คืนนั้นไม่มีรถผ่านมาเลย เขาร้อนใจจนแทบเสียสติ ครั้นกลับมาที่รถก็พบว่าภรรยาสลบไปแล้ว  นายเดไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยลอง
สตาร์ตรถอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าเกิดสตาร์ตติด แล้วรีบขับพาภรรยาไปโรงพยาบาล แต่ทว่าเมื่อถึงโรงพยาบาลก็สายไปเสียแล้ว ภรรยา
ของเขาสิ้นลมเพราะสมองขาดอากาศและหัวใจวาย นายเดร้องไห้และตรอมใจอยู่นานหลายเดือน

วันหนึ่งญาติของเขาที่เป็นพระมาเยี่ยมเขาที่อู่ซ่อมรถ ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่นาน พระก็เอ่ยขึ้นว่า " ชาติก่อน แกเคยช่วยสร้างโบสถ์ ไม่
ใช่บริจาคทรัพย์หรอก แกช่วยสร้างด้วยแรงกายแรงใจอย่างเต็มใจและมีศรัทธา "

ญาติผู้พี่ที่เป็นพระกล่าวว่าบุญเก่ายังไม่หมด กรรมใหม่จึงมาไม่ถึงตัวเขาเองโดยตรง นายเดไม่อยากเชื่อนักในตอนแรกแต่เขาก็ประหลาด
ใจมิรู้วายว่าเป็นเพราะอะไร หากภรรยาเขาหัวใจวายสิ้นใจที่บ้าน มันก็ไม่น่าแปลกนักเพราะเธอป่วยอยู่แล้ว แต่นี่ทำไม เธอต้องมาตาย
บนรถของเขาและทำไมรถต้องมาเสียโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่รถไม่เคยเสียและที่สำคัญก็คือ ตัวเขาเองเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถแท้ๆ

ภรรยาต้องมาตายบนรถที่เขามิอาจซ่อแซมแก้ไขได้เลย...


เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า " การทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ควรที่จะมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพและต่อลูกค้า มิฉะนั้นจะเป็นกรรมที่จะต้อง
รอการชดใช้ ไม่เจอกับตัวเองก็เจอกับคนที่เรามากรักที่สุด "



ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


*****************************กระเบนท้องน้ำ*******************************

61

               
                              วัดกุฏิดาว กรุงศรีอยุธยา

กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย

จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ

ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี

เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของวิญญาณ ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมาย ภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง

ลายแทงขุมทรัพย์มีค่ามหาศาลนี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้า พระองค์หนึ่ง การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...จากใคร...แต่พิสูจน์ได้แน่ชัดว่า ต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

เพราะพระองค์เจ้าพระองค์นี้ กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง "ไมน์ดีเทคเตอร์" ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคน

จึงได้ทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากร ขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ ท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503

น่าประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าฝังอยู่แน่นอน แต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย

การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้น นอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯและพระสหายยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง

นั่นก็คือท่านและพระสหายเห็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน

เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้น ทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้น และโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้ มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน

คำสาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง  เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน  ทั้งๆ  ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน

ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาว ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ จะมาหลอกหลอนและสาปแช่ง

วัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง

"วัดมเหยงค์"  นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐแดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนสถานที่สวยงามในอดีต

วัดมเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...





ขอบคุณที่มา : หญิงไทย-แม็ก ดอทคอม
ภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต

62

                        ขอให้แผลหายไวไวครับ

                    บารมีหลวงพ่อเปิ่นคุ้มครองครับ

                พุทธังรักษา ธรรมมังรักษา สังฆังรักษา

63
 

                      ขอให้สุขภาพแข็งแรง...ร่ำรวยๆ...นะจ๊ะ

                         
                               

64

                  สวยงามครับท่าน...ชอบทั้งสององค์เลยครับ :016:

                           ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมกัน

                       

65

                  สวย...ขอบอกได้คำเดียวว่า...สวยงามครับ

                  ขอบคุณครับท่าน   

66



วันก่อนบริเวณริมแม่น้ำปิง หน้าศาลเจ้าพ่อ-เจ้าแม่หน้าผา ถนนโกสีย์เหนือ เมืองนครสวรรค์ ที่ตั้งของโรงสูบน้ำการประปาเทศบาลฯ มีประชาชนจำนวนหลายร้อยคนแห่กันมาดูต้นไม้ที่จมอยู่ก้นแม่น้ำปิง

มีขนาดความยาว 4.73 ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.70 เมตร คาดว่าจะเป็นต้นตะเคียนทองที่จมอยู่ในแม่น้ำปิงมานานเกือบ 100 ปี

โดยก่อนนี้ นางศิริพร บุญเรืองขาว ปลัดเทศบาลนครนครสวรรค์ เดินทางมาตรวจโรงสูบน้ำของการประปาเทศบาลนครนครสวรรค์ และพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำปิงลดลงไปมากจนมองเห็นต้นคะเคียนทองที่จมอยู่ จึงให้คนช่วยกันหารถลากมาใช้โซ่ดึงเพื่อจะเอาขึ้นมาจากแม่น้ำ

ครั้งแรกปรากฏว่าโซ่ขาด ครั้งที่สองก็ไม่สำเร็จเนื่องจากระบบไฮดรอลิกเสีย จึงยังเอาต้นไม้ขึ้นไม่ได้

ต่อมามีคณะคนทรงมาทำการเข้าทรงที่บริเวณดังกล่าว พร้อมมีดนตรีไทยบรรเลง โดยนางแนน อิ่มโพธิ์ แม่ค้าขายปลาทูตลาดบ่อนไก่ บอกว่าทราบข่าวว่ามีต้นตะเคียนทองจมอยู่ในแม่น้ำปิง จึงมาดูเมื่อวันที่ 22 ก.ค. พอตกกลางคืนฝันไปว่ามีหญิงชรามาบอกว่าอาศัยอยู่ในต้นตะเคียนดังกล่าวพร้อมกับลูกและเพื่อนลูก อยู่ในน้ำมานานแล้ว อยากให้ช่วยเอาขึ้นจากน้ำ โดยต้องทำพิธีใช้ผลไม้ 9 อย่าง หมาก พลู ขนมจีนน้ำยา ขนมหวาน ขนมปลากริม ขนมบัวลอย ผ้านุ่งสีแดง แล้วจะขึ้นได้ง่าย

จากนั้นจึงไปเชิญนางเล็ก รุ่งเรือง คนทรงมาทำพิธีทรง บอกว่าที่อาศัยอยู่ในต้นตะเคียนทองเป็นเจ้าแม่สไบทองและลูก พร้อมลูกบุญธรรม ขอให้ช่วยนำขึ้นจากน้ำด้วย

ขณะนั้นปรากฏว่ามีผู้หญิงรูปร่างสูงคนหนึ่งที่มุงดูอยู่ล้มหงายหลังลงไปและมีอาการเหมือนถูกประทับทรง ร่างของผู้หญิงคนดังกล่าวบอกว่าตนเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในต้นตะเคียน อยากจะไปหาแม่ บ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับบอกชอบผ้าสีเขียว อยากขึ้นจากน้ำขอให้ช่วยเอาขึ้นด้วย

ต่อมาชาวบ้านใช้กล้องมือถือถ่ายภาพต้นตะเคียน และพอถ่ายแล้วก็มาดูที่จอโทรศัพท์มือถือก็พบว่าข้างต้นตะเคียนที่ถ่ายมานั้นปรากฏภาพผู้หญิงยืนอยู่

จึงลือกันว่าน่าจะเป็นเจ้าแม่สไบทองที่อยู่ในต้นตะเคียน




ขอบคุณที่มา...

67
น่าจะเป็นยันต์ตรีนิสิงเห...นะครับ

พุทธคุณ แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด

ผิดถูกยังไง...รอท่านมาสเซอร์ดอน มาคอนเฟริมอีกทีครับ

68
กฎแห่งกรรม / ชีวิตติดกรรม
« เมื่อ: 29 ก.ค. 2553, 10:23:57 »

นางสาเป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ในบ่อนแห่งหนึ่งที่เขมร นางเพิ่งจะอยู่กินกับสามีซึ่งเป็นพนักงานในบ่อนเดียวกันนั้นเอง

ปีต่อมานางสาตั้งครรภ์ แม้อายุ 39 ปี แล้วแต่หมอตรวจครรภ์ก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะนางสาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี
สามีก็ช่วยต้มน้ำซุปบำรุงครรภ์ผู้เป็นภรรยาอยู่เสมอๆ แต่ทว่าเคราะห์ร้ายนัก เมื่อตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน นางสาก็แท้งลูก!

เหตุเกิดจากวันหนึ่งที่บ่อนเกิดเรื่อง มีคนวางเพลิง นางสาวิ่งหนีออกมาพร้อมๆกับผู้คนมากมายที่เบียดเสียด แย่งกันหนีไฟที่ลุกไหม้
จนควันเต็มไปหมด นางสาพลาดตกบันไดจนแท้งลูกในที่สุด

สองสามีภรรยาทุกข์ใจนัก แต่ก็พยายามรักษาสุขภาพจนสามารถตั้งครรภ์ได้ในอีก 2 ปีต่อมา คราวนี้สามีให้นางสาลาพักงานตั้ง
แต่ช่วงตั้งครรภ์แต่แรกเลย ทั้งสองประคบประหงมดูแลครรภ์อย่างดี จนกระทั่งคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย สองสามีภรรยาดีอก
ดีใจมาก แต่ทว่าลูกชายของนางสา มีความผิดปกติทางสมอง!

เมื่อลูกชายโตขึ้นได้ขวบกว่า จึงเห็นได้ชัดว่าลูกเป็นเด็กปัญญาอ่อน นางสาและสามีเป็นทุกข์มาก นางสาสงสารลูกพยายามเลี้ยงลูก
อย่างดี แต่ 3ปีต่อมาสามีก็หนีหายไปเพราะอับอาย นางสาต้องทุกข์ใจและลำบากกายเลี้ยงลูกตามลำพัง โชคดีที่นายเก่าใก้กลับ
ไปทำงานได้ นางสาจึงฝากลูกให้คนข้างบ้านดูแล ช่วงที่นางไปทำงานกะกลางคืน เพื่อนบ้านก็คิดค่าดูแลไม่แพงเพราะกลางคืนเด็ก
จะนอน ไม่ต้องดูแลมาก

 " มันเป็นกรรมของฉันเอง ฉันไม่โทษหรอกที่แฟนเขารับไม่ได้ " นางสาตัดพ้อบอกกับเพื่อนๆที่ทำงาน ว่าไม่โกรธแค้นในโชคชะตา
กรรมที่มีลูกพิกลพิการและสามียังมาทอดทิ้งไปอีก และยังเล่าต่อว่า ตอนที่แม่ฉันตายฉันไปอยู่กับป้าที่ฐานะยากจน และมีลูกหลายคน
ฉันจึงต้องออกไปทำงาน ที่มุมถนนแถวบ้านมีคลีนิคแห่งหนึ่ง ฉันไปทำงานเป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด อยู่มาไม่กี่เดือนก็ได้เลื่อนขั้นเป็น
ผู้ช่วยหมอ...ที่นั่นเป็นคลีนิครับทำแท้งเถื่อน!!!

นางสาเล่าว่าตอนนั้นอายุแค่ 17 ปี นางช่วยพาคนไข้สาวๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พาขึ้นนอนบนเตียงขาหยั่ง เตรียมยาสลบให้หมอ คอย
จับคนไข้ถ้าฟื้นขึ้นมากลางคัน จากนั้นก็เอาเด็กอ่อนตัวน้อยๆบ้าง เอาก้อนเลือดบ้างใส่ถุงไปฝัง เหล่านี้คือหน้าที่ที่นางทำอยู่นานถึง
5 ปีเต็ม!

ฉันควรจะรีบหางานอื่นแล้วก็ลาออกจากงานนรกนั่นซะ แต่ฉันกับทำอยู่นาน เพราะได้เงินดี และหมอ 2 คนที่นั่นก็ดีต่อฉันมาก ไม่นึก
เลย...ว่ามันจะเป็นกรรมตามมาอย่างนี้.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า "การรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับหน้าที่การงานที่ทำแม้จะเป็นเพียงผู้กระทำการสนับสนุน แต่วิบากกรรมนั้น
เที่ยงตรงแและก็ส่งผลโดยไม่มีการยกเว้น"




****************************กระเบนท้องน้ำ******************************

69


พระพุทธรูปปางนาคปรกวัดปู่บัว พุทธลักษณะงดงามเป็นที่หมายตาของนักสะสมโบราณวัตถุอย่างยิ่งยวด
หลังกรุแตกประมาณ พ.ศ.2475 นั้น พระพุทธรูปปางนาคปรกทยอยออกจากวัดปู่บัว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ไปเกือบสิ้น ที่เหลือชาวบ้านนำไปประดิษฐานไว้ในห้องเล็กๆบนเจดีย์เก่าของวัดจำนวน 2 องค์ เรียกกันว่า หลวงพ่อนาคสองพี่น้อง ตามชื่อปางและจำนวนพระที่เหลืออยู่

สมบัติอันล้ำค่า ทำไมนำมาประดิษฐานไว้บนเจดีย์โดยไม่มีอะไรป้องกัน นายประโลม ฟักข้อง อายุ 68 ปี บ้านเลขที่ 28/3 หมู่ 1 หรือบ้านหัวถนน ตำบลสนามชัย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งของวัดปู่บัวบอกว่า ความเชื่อของคนสมัยก่อน จะไม่นำเอาของวัดเข้าบ้าน ถ้านำเข้าไปจะถือว่าเป็นเสนียด จัญไร ชาวบ้านจึงไม่คิดว่าใครจะมาขโมย

ร่องรอยพระพุทธรูปปางนาคปรก หรือตามคำเรียกขานของชาวบ้านหัวถนนว่า หลวงพ่อนาคสองพี่น้อง ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์เก่าของวัด รูปทรงเจดีย์แปลกตา หันหน้าเข้าหาแม่น้ำท่าจีนด้านทิศตะวันตก หน้าเจดีย์เก่ามีเจดีย์องค์เล็กๆเรียงรายอยู่ 6 องค์ ด้านนี้เองมีบันไดขั้นเล็กๆไล่ระดับสูงขึ้นสู่ห้องประดิษฐานพระ

ภายในห้องประดิษฐาน มีพระเล็กพระน้อยวางอยู่มากมาย ที่สะดุดตาคือ ฐานพระพุทธรูป 2 องค์ที่ถูกขโมยตัดไป รอยตัดอยู่เหนือปลายสังฆาฏิไปเล็กน้อย เหลือปลายสังฆาฏิไว้ให้เห็นประมาณ 5 เซนติเมตร พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา ขนดนาคมีเกล็ดให้เห็นชัดเจน

 


ประเสริฐ - ประโลม - รังษี

เหตุการณ์ในคืนหลวงพ่อนาคถูกตัด นายดำ หรือประเสริฐ ภิญญะโพธิ์ อายุ 54 ปี ชาวบ้านหัวถนน หมู่ที่ 1 ตำบลสนามชัย ย้อนอดีตให้ฟังว่า "ขโมยหักพระไปในคืนวันโกน คืนนั้นฝนตก ตื่นเช้ามาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านเล่ากันว่า หลวงพ่อนาคสององค์ถูกหักไป ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย เรียนอยู่ประมาณชั้น ป.2 อายุประมาณ 10 ขวบเห็นจะได้" นายประเสริฐย้อนอดีตอย่างเศร้าใจ

พลางบอกอีกว่า เย็นวันเดียวกันนั้นเอง ตนเดินผ่านวัดปู่บัว เพื่อมาหาหอยเอาไปให้เป็ดกิน เมื่อผ่านหน้าเจดีย์เก่าก็ยกมือไหว้หลวงพ่อด้วยความเคารพศรัทธา การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของชาวบ้าน

สภาพของเจดีย์ "ยังไม่ชำรุดขนาดนี้ เมื่อพระหายเราก็มาดูกัน มีผู้ใหญ่ นักเรียนที่วัดปู่บัว มาดูกันเต็มเลย แต่โรงเรียนวัดปู่บัวเดี๋ยวนี้ยกเลิกไปแล้ว ชาวบ้านมาสาปแช่งกันไปต่างๆนานา แต่มันก็พิสูจน์ไม่ได้ หาหลักฐานอะไรไม่ได้ ไม่ได้ร่องรอยอะไร" นายดำบอก

แม้จะคิดไปอย่างนั้น แต่ในใจของนายดำและชาวบ้านเชื่อกันว่า น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตในสมัยนั้นเอาไป คนธรรมดาๆอย่างชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าทำได้ เพราะต่างเชื่อกันว่า ของวัดไม่อยากให้นำเข้าบ้าน และพระพุทธรูปทั้งสองเป็นที่เคารพสักการะของทุกๆคน

 



พระในกรุที่พบพร้อมหลวงพ่อนาคมีจำนวนมาก เฉพาะพระนาคปรกมีไม่น้อยกว่า 32 องค์ และยังมีพระร่วงองค์เล็กๆอีกประมาณ 500-600 องค์

นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสุพรรณ มนัส โอภากุล เล่าไว้ในหนังสือพระฯเมืองสุพรรณ ว่า อาจารย์ใย เจ้าอาวาสวัดปู่บัว ต้องการทำทางจากกุฏิไปยังศาลาการเปรียญ เมื่อปรับเนินดินออกก็เห็นศิลาทราย ครั้นยกออกก็พบพระปางนาคปรกวางอย่างเป็นระเบียบ

พระพุทธรูปนาคปรก เนื้อหินทรายขาว องค์ใหญ่สูง 4-5 ฟุต และเล็กที่สุดประมาณ 1 ฟุตเศษ จำนวน 32 องค์ และบางคนก็บอกว่ามีถึง 40 องค์ นอกจากพระนาคปรกยังมีไหอยู่ 1 ใบ ในไหนั้นมีพระเนื้อชิน หรือพระร่วงวัดปู่บัวอีก 120 องค์ แต่มีผู้เฒ่าเล่าว่ามีนับ 1,000 องค์

เหตุการณ์ "กรุแตก" อยู่ในความสนใจของชาวบ้านทั่วไป

น่าสังเกตว่า พระพุทธรูปนาคปรกขนาด 4-5 ฟุต ทำไมถึงมาอยู่ รวมกันได้มากขนาดนั้น เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น หรือวัดทำเก็บไว้เอง แต่ประวัติวัดก็ไม่ได้บอกว่าอายุเก่าแก่ไปถึงศตวรรษที่ 18

นายประเสริฐบอกว่า สมัยนั้นตาของตนชื่อหลวงตาทอง กล่อมจิต บวชและจำพรรษาอยู่ที่วัด เล่าให้แม่ของตนฟังว่า พบพระนาคปรกประมาณ 60 องค์ และมีพระอื่นๆอีกมากมาย ส่วนนายประโลมบอกว่า น้าของตนชื่อ ยุ้ย เกร็งสุวรรณ เป็นเด็กวัดในสมัยนั้น เล่าให้ตนฟังว่า พบพระกรุเป็นจำนวนมาก หลังจากคนขุดกันไปแล้ว เด็กๆก็เข้าไปหากัน น้าของตนขุดได้พระเป็นจำนวนมาก ใช้ผ้าห่อกลับไปบ้าน เมื่อแม่ของน้ายุ้ยพบเข้าก็ไล่ให้เอามาคืนวัด เพราะเชื่อกันว่า ของวัดห้ามนำเข้าบ้าน

พระนั้นคือ พระร่วง "เมื่อน้าเอากลับมาไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ ที่ไหน จะไปให้พระก็กลัวโดนตี เมื่อลงไปอาบน้ำหน้าวัดก็สาดพระนั้นลงไปทั้งหมด" นายประโลมเล่า

นายประเสริฐเสริมว่า ลักษณะพระที่พบ ไม่ว่าจะเป็นพระนาคปรกหรือพระร่วง แม้ขนาดจะไม่เท่ากัน แต่ใบหน้าคล้ายๆกัน

หลังข่าวกระจายไป นายรังษี สุวรรณประทีป อายุ 80 ปี บ้านเลขที่ 43 หมู่ 1 ตำบลสนามชัย บอกว่า บรรดานักเล่นพระเข้ามาขุดกันหลายคณะ แต่ไม่มีใครได้ไป อาจเป็นเพราะว่าชุดแรกๆขุดกันไปหมดแล้ว คณะที่เข้ามาขุดนี้ นายรังษีตั้งข้อสังเกตว่า ราชการน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะแค่ชาวบ้านธรรมดาไม่น่าจะกล้าเข้ามาขุดได้

 


ร่องรอยจากปากคำชาวบ้าน พอประมาณได้ว่า พระพุทธรูปปางนาคปรก ที่ขุดพบจากกรุวัดปู่บัวมีไม่น้อยกว่า 32 องค์ ส่วนพระร่วงวัดปู่บัวนั้น จากปากคำของชาวบ้าน และที่มนัส โอภากุล บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ ประเมินแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 องค์

จำนวนพระร่วงวัดปู่บัว นอกจากที่พบในไหแล้ว ร่องรอยจากปากคำของนายประโลมที่น้าชายไปขุดนั้น แสดงว่าเด็กคนอื่นๆก็ต้องขุดได้เหมือนกัน แต่ขุดได้แล้วเอาไปทำอย่างไร เอาไปไว้ที่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

พระร่วงนับ 1,000 องค์นั้น มนัส โอภากุล แยกไว้ 4 พิมพ์คือ พิมพ์เศียรโต เป็นพระปางประทานพร สูงประมาณ 7 เซนติเมตร กว้าง 2.25 เซนติเมตร พุทธลักษณะ เช่น พระเศียรใหญ่ พระเนตรโปน พระศกคล้ายผมหวี ริมพระโอษฐ์บนสั้น ริมฝีปากล่างยื่นออกมา ส่วนอีก 3 พิมพ์คือ พิมพ์รัศมี พิมพ์พระเนตรโปน และพิมพ์ลพบุรี

เกี่ยวกับวัดปู่บัว กรมศิลปากรได้สำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้ ระบุว่า ไม่ทราบประวัติการก่อสร้างที่แน่ชัด แต่จากลักษณะรูปแบบศิลปกรรมของเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ภายในวัดเป็นแบบที่แปลกตา สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

และบอกว่า ในอุโบสถที่สร้างขึ้นมาได้ไม่นาน พบพระพุทธรูปหินทรายปางนาคปรกจำนวน 1 องค์ ที่มีรูปแบบศิลปกรรมแบบเขมรในประเทศไทย แต่ก็ไม่มีประวัติที่แน่ชัด จึงสันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำมาจากที่อื่น และมาเก็บรักษาไว้ที่วัดปู่บัวแห่งนี้

ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม 1. เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป เป็นศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 2. พระพุทธรูปนาคปรก สลักจากหินทราย เป็นศิลปกรรมร่วมแบบเขมรในประเทศไทย (สมัยบายน)

สภาพปัจจุบัน เจดีย์ยังไม่ได้ทำการบูรณะ ส่วนพระพุทธรูปนาคปรกหินทราย ทางวัดได้ทารักสีดำ

หมายความว่า กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนพระพุทธรูปในพระอุโบสถและเจดีย์ของวัดไว้แล้ว และการขึ้นทะเบียนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อนาคสองพี่น้องที่เหลือแต่ฐาน และไม่บอกว่าพระพุทธรูปนาคปรกนั้นมาอยู่ที่วัดได้อย่างไร

 


พระครูสิริวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดรูปปัจจุบัน อนุญาตให้ผู้เขียนและชาวบ้านเข้าไปดูพระพุทธรูปที่กรมศิลปากรกล่าวถึง พบว่าเป็นพระพุทธรูปนาคปรก ลงรัก ปิดทองบางจุด หน้าตักกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร สูงประมาณ 1.5 เมตร ใกล้ๆกันมีพระพุทธรูปปางนาคปรกอีก 1 องค์ ความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ชาวบ้านยืนยันว่าได้มาจากกรุเดียวกับหลวงพ่อนาคสองพี่น้อง

จำนวนพระพุทธรูปนาคปรกไม่ต่ำกว่า 32 องค์ เราพบแล้วถึง 4 องค์ ที่เหลือประดิษฐานอยู่ที่ไหนบ้าง และที่สำคัญ พระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัดปู่บัวได้อย่างไร

คำตอบคงไม่ใช่แค่กระแสน้ำท่าจีนที่ไหลผ่านวัดปู่บัวอย่างแน่นอน.





ขอบคุณที่มา...ไทยรัฐออนไลน์

70
ขอบคุณครับ...สำหรับเรื่องราว...และวัตถุมงคลของ

หลวงปู่แก้ว กราบนมัสการหลวงปู่แก้วด้วยครับ :054:

71

ณ.มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีผู้คนมากมายและเป็นเมืองแห่งความวุ่นวายและสับสน มีครอบครัวๆหนึ่งมีเชื้อสายจีนพำนักอยู่

นายไช้มีพี่น้อง 3 คน นายไช้เป็นคนกลางและเป็นคนขยันขันแข็งในการทำงาน ปู่ของเขาหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนทำงานรับ
จ้างจนตั้งตัวได้พ่อของนายไช้ก็ทำการค้าเก่ง สืบทอดกิจการขายส่งอยู่แถวย่านเจริญกรุง จนกิจการเจริญรุ่งเรือง และหันมาจับธุรกิจขาย
ทองคำรูปพรรณซึ่งนายไช้ก็ได้ช่วยงานพ่อและต่อมาเปิดร้านเป็นของตนเองแถวย่านเยาวราช

นายไช้เป็นคนรูปร่างเตี้ย หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ผิวก็ดำคล้ำทั้งๆที่เป็นลูกจีน  ตั้งแต่เล็กมักถูกเพื่อนล้อ จนเติบโตเป็นหนุ่มก็ไม่เคยมีแฟนอย่าง
คนอื่น นายไช้จึงทำแต่งานตลอดมา

ครั้นเมื่ออายุล่วงเลยวัย 30 ไปครึ่งค่อนทางแล้วจึงรู้สึกเงียบเหงา เพื่อนๆก็มีลูกมีเมียกันหมดแล้ว พี่ชายกับน้องชายก็มีครอบครัวที่อบอุ่น
นายไช้เริ่มให้พ่อสื่อแม่สื่อที่เป็นผู้ใหญ่คุ้นเคยกันช่วยหาคู่ให้  แต่ก็ไม่เคยลงเอยกับใครได้  จนนายไช้เข็ดขยาดการดูตัวเพราะผู้หญิงเห็น
เขาแล้วก็รังเกียจ

"คนบางคนหน้าตาอัปลักษณ์กว่าเรา ทำไมเขายังมีเมียได้ ทั้งๆที่ยากจนกว่าเราอย่างเทียบกันไม่ได้" นายไช้มักจะคิดเช่นนี้เสมอ  เพราะ
แม้จะรู้ตัวว่าเป็นคนขี้ริ้วรูปไม่งาม แต่ตนก็มีเงินมีทองและเป็นคนมีน้ำใจไมตรีคนหนึ่ง แม้กิจการจะเจริญรุ่งเรืองดี นายไช้มีคนนับหน้าถือ
ตานึกอยากไปเที่ยวเมืองนอกก็ไปได้ตามประสาคนมีเงิน แต่ก็กลับไม่เคยมีความสุขใจ เพราะชีวิตมีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวหลาย
ต่อหลายปีผ่านไป

ตรุษจีนปีหนึ่ง นายไช้พาลูกน้องไปเที่ยวเมืองจีน ตนเองได้ไปไหว้พระเป็นครั้งแรกที่อธิษฐานขอคู่ ขอพรพระว่าตนไม่มีคนรู้ใจที่อยู่เป็น
เพื่อนกันไปยามบั้นปลายชีวิต เมื่อกลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน นายไช้ได้ไปกินเลี้ยงงานแต่งงานคนรู้จักกัน  และเจอซินแสเฒ่าคนหนึ่ง
นั่งร่วมโต๊ะจีนด้วยกัน ซินแสทักขึ้นว่า "เถ้าแก่ยังไม่แต่งงานใช่มั้ย" นายไช้ไม่แปลกใจเพราะคิดว่าซินแสคนนี้อาจรู้มาจากคนอื่นๆ  แต่
กลับต้องประหลาดใจที่ซินแสผู้เฒ่าผมสีเทาท่าทางสุขุมเยือกเย็นพูดต่อไปว่า "เรื่องบางอย่างแม้ขอฟ้า  ฟ้าก็ไม่ประทานให้เพราะเป็น
กรรมเก่าแต่ชาติก่อน"


นายไช้สนใจนักจึงขอนัดคุยกับซินแส ต่อมานัดพบกันที่บ้านซินแสแถวท่าพระ ซินแสบอกว่าการที่ชาตินี้นายไช้อายุจะ 40 แล้วแต่หาคู่
ไม่ได้และไปไหนมาไหนก็ถูกคนดูหมิ่นดูแคลนในรูปลักษณ์ ทำให้มีแต่ความรู้สึกอับอายไม่เคยได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่เคยมีความสุข
ความพอใจ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพราะชาติก่อนนายไช้เคยทำผิดไว้ 2 ประการ ที่เป็นบาปเป็นกรรม

กรรมแรกคือข่มเหงเมียของตน ไม่เคยให้เกียรติ ให้ความรักตามที่สามีควรให้แก่ภรรยา ชาตินี้จึงหาเมียไม่ได้
อีกกรรมหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดมารูปไม่งามเป็นเพราะเคยกดขี่ข่มเหงบ่าวไพร่ไว้มาก ดูถูกเขา แกล้งเขาให้เหนื่อยบ้าง ให้ได้อายบ้าง ดูถูก
ดูแคลนว่าเขาเป็นคนต่ำต้อยคนละชั้นกับตัวเรา ซินแสตรวจดวงและนั่งทางในครู่เดียวจึงได้เอ่ยเล่าความทั้งหมดออกมาเช่นนั้น

ส่วนนายไช้จึงว่าชาตินี้ตั้งแต่สมัยยังช่วยกิจการของพ่อของปู่ ตนก็เป็นคนที่ไม่เคยดูถูกคนงานและคนใช้เลย แม้ทุกวันนี้บางครั้งนายไช้
ยังเคยกินข้างกล่องอย่างเดียวกับคนงานและนั่งกินด้วยกันบ่อยๆ เวลาต้องอยู่แก้งานดึกๆ ตนดูแลลูกน้องและบ่าวไพร่คนรับใช้อย่างดี
ตลอดมา ยิ่งกิจการดีก็ยิ่งแบ่งปันให้แก่ลูกน้องและคนใช้ตามเหมาะสม

ซินแสก็ว่ากรรมเก่าก็คือกรรมเก่าที่ส่งผลมา แต่สิ่งที่ดีในชาตินี้ก็เป็นกรรมดีอย่างใหม่ เป็นการสั่งสมบุญที่จะให้ผลในเวลาต่อไปข้างหน้า
ซึ่งอาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติต่อไปก็ไม่มีใครรู้ได้

หลังจากนั้นนายไช้ก็หมั่นทำบุญมากขึ้น ใส่ใจเลี้ยงดูลูกน้องและคนรับใช้อย่างดีและสม่ำเสมอ ซึ่งก็เคยได้ทำเช่นนั้นมาก่อนอยู่แล้ว แต่
ก็ใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น หมั่นถามไถ่ทุกข์สุข และให้ความดูแลช่วยเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนในครอบครัวของบริวารด้วย อีกทั้งยังชื่น
ชมให้เกียรติ ไม่ดูถูกดูแคลนแบ่งชั้นเจ้านายกับลูกน้อง

เวลาผ่านไปจนอายุ 50 ปี นายไช้แม้ยังไม่มีคู่ แต่ก็รู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในตัวเอง เมื่อมองกระจกก็ไม่น้อยใจโชคชะตาหรืออับ
อายรูปร่างหน้าตาของตนเองอีก เพราะรู้สึกว่าตนมีดี ตนเป็นคนดีที่ทำสิ่งดีๆต่อผู้อื่น ฉนั้นแม้ไม่มีคู่ก็ไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป เพราะก็
ยังมีคนรอบข้างที่รักใคร่เขา แต่ทว่า 3 ปีต่อมานายไช้ได้พบกับลูกค้าคนหนึ่งเป็นแม่ม่ายสาวใหญ่วัย 40 กว่าปี ได้ติดต่อธุรกิจกันและ
พบเจอกันบ่อยๆ จนเกิดเห็นใจและถูกใจกันในที่สุด


ปีต่อมานายไช้ได้แต่งงานและแถมได้ลูกติดคนหนึ่งวัย 7 ขวบและก็ได้ลูกชายของตัวเองในปีต่อมานั่นเอง.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า คนเราไม่ควรยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา ถึงแม้จะถูกกรรมเก่าเล่นงานอยู่เท่าไหร่ก็ตาม แต่หมั่นขยันทำบุญ
และทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ แล้วความดีและผลบุญนั้นก็จะส่งผลให้เราเองไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เพราะเมื่อเราทำบุญและทำความดีแล้ว
ย่อมได้รับความสุขและความอิ่มเอิบใจทันที





ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


*******************************************กระเบนท้องน้ำ***************************************

72
สอบถามหน่อยครับ  รุ่นกายทิพย์ มีเนื้อกะไหล่ทองไม่ลงยาไหมครับ

คือว่าผมมีอยู่เหรียญหนึ่ง  ตรงสังฆาติจะมีโค้ดตัวนะ




เหรียญรุ่นกายทิพย์ มีเนื้อกะไหล่ทองไม่ลงยาครับ...สบายใจได้

เป็นรุ่นทำแจกกรรมการครับ...ราคาก็หลายพันอยู่...เก็บไว้ดีๆครับ

ต้องตอกโค๊ตตัวนะที่สังฆาฏิครับ...ถูกต้อง...ขอบคุณครับที่นำรูปมาให้ชมกัน
:016:

73
จัดให้ทั้งหมด 5 ภาพครับ...ลองเลือกดูครับ














74
กฎแห่งกรรม / กรรมตกทอด...
« เมื่อ: 24 ก.ค. 2553, 10:27:36 »

     

ณ.โรงงานแห่งหนึ่ง โรงงานแห่งนี้ผลิตสินค้าลอกเลียนแบบยี่ห้อแบลนด์เนม สินค้าต่างๆ นั้นมีทั้งกระเป๋า รองเท้า
หมวก และเสื้อผ้า
 
ที่แผนกหนึ่งมีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดนทำงานหนักเกือบตลอดคืน เด็กเหล่านั้นมีอายุตั้งแต่ 12 ปี 11 ปี  ลงไป
จนถึงอายุ 7 ขวบ !!!
 
พวกแรงงานเด็กจะถูกจับตัวมาทำงานบ้าง บางคนพ่อแม่ขายลูกให้โรงงานแลกกับเงินเล็กน้อยบ้าง เด็กๆถูกบัง
คับให้ทำงานตั้งแต่ตี 4 จนถึงตี 2 ของวันใหม่ ได้นอนแค่ 2 ชั่วโมง ก็จะถูกปลุกมาทำงาน ได้กินอาหารแค่ 2 มื้อ
ตอน 8 โมงเช้าและตอน 3 ทุ่ม โดยได้กินแค่ข้าวต้มถ้วยเดียวบ้าง แกงราดเศษผักต้มจืดบ้างในแต่ละมื้อ
 
นายหว่องที่คุมแผนกเด็กจะใช้เข็มขัดเฆี่ยนตีเด็กๆ ที่อู้งานหรือเผลอหลับ  เขาเป็นหนุ่มหน้าตาหน้ากลัว ตาโปน
ผิวคล้ำ นายหว่องเป็นน้องชายเจ้าของโรงงานแห่งนี้ หากวันใดนายหว่องอารมณ์ไม่ดี เด็กๆเกือบยี่สิบคนจะโดน
ทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณ จนมีบาดแผลตามเนื้อตามตัวเต็มไปหมด
 
นายหว่องทำหน้าที่โหดๆได้ 8 ปี โรงงาน copy สินค้าของพี่สาวก็ถูกปิดตัวลง นายหว่องได้แยกจากพี่สาวไปมี
ครอบครัวอยู่ที่ทางเหนือ และเขาได้มีลูก 4 คน ภรรยาของเขาค้าขาย  ส่วนนายหว่องนั้นทำงานขับรถส่งของให้
กับโรงงานแห่งหนึ่ง
 
สิบปีต่อมา ลูกคนโตของนายหว่อง ซึ่งมีอายุได้ 8 ขวบ ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวจนถึงกับพิการขาหักข้างหนึ่ง  นาย
หว่องและภรรยาเสียใจมาก แต่ความเสียใจมิทันจางหาย ลูกสาวคนเล็กวัย 2 ขวบ ก็เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง มี
อาการเหมือนเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปเลย
 
หลายปีต่อมานายหว่องถูกวัยรุ่นรุมซ้อม จนต้องเข้าเฝือกที่แขนและขับรถไม่ได้ วัยรุ่นพวกนั้นที่จริงแล้วมีเรื่องกับ
ผู้จัดการของโรงงาน มิได้มีเรื่องกับนายหว่อง

ภรรยาของนายหว่องชวนเขาทำบุญเพื่อลดบาปกรรมแต่กาลก่อน แต่นายหว่องไม่สนใจ เขาคิดแก้แค้นวัยรุ่นกลุ่ม
ที่มาทำร้ายเขา ซึ่งยังไม่ถูกจับกุม แต่ทว่าเขากลับถูกแก๊งค์วัยรุ่นเกเรรุมทำร้ายจนถึงกับพิการเป็นอัมพาตต้องนอน
อยู่กับที่ ช่วยตัวเองก็ไม่ได้

ภรรยาของเขานำเขาไปฝากที่สถานสงเคราะห์เพราะตนต้องออกค้าขายเลี้ยงลูกพิการกับลูกปัญญาอ่อนและลูกอีก
2 คน นายหว่องจึงได้รับความลำบากและทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ไม่ช้าก็เร็ว และกรรมนั้นยังตกทอดไปถึงลูกหลาน
ไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่จะต้องรับกรรม แต่ทำให้ลูกและภรรยาต้องรับกรรมด้วย





****************************กระเบนท้องน้ำ*******************************

75

555+  คุณยายคนนี้  แกต้องเป็น ยายของ ศรีธนญชัย แน่ๆ เชื่อดิ!!!
 

   


หญิงชรานางหนึ่งถือถุงใบเขื่องเดินเข้าไปในธนาคาร
และกล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ว่าต้องการ
ฝากเงินสามล้านบาทแต่ขอคุยกับผู้จัดการโดยตรง
พนักงานเห็นว่าหญิงชรามีเงินจำนวนมาก เลยพาไปห้องผู้จัดการเมื่อไปถึง
ผู้จัดการเกิดความสงสัยว่า
หญิงชราไปเอาเงินมาจากไหนเลยถามขึ้นว่า
ผู้จัดการ - คุณยายเอาเงินมาจากไหนมากมายครับ?
คุณยาย - ยายชนะพนันมาจ้ะ
ผู้จัดการ - ยายไปพนันอะไรมาเหรอครับ?
คุณยาย - ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพ่อหนุ่ม....อยากรู้ใช่ไหม?
เรามาลองพนันกันก็ได้สักแสนนึง เอาไหมล่ะ?

ว่าก่อนเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ไข่ของพ่อหนุ่ม
จะกลายเป็นสี่เหลี่ยม
ผู้จัดการ - ฮ่าฮ่าฮ้า ล้อเล่นน่า จะพนันกันจริงๆเหรอ?
คุณยาย - จริงๆซิ ยายมีเงินไม่เห็นเหรอนี่ไงตั้งสามล้าน
คุณยายเปิดถุงเงินให้ผู้จัดการดู
ผู้จัดการเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ไข่ของตนจะกลาย เป็นสี่เหลี่ยมเลย
ตอบตกลงรับคำท้าและนัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เช้าเก้าโมงจ ะมาพบกันอีกที
ตลอดวันนั้นผู้จัดการไม่เป็นอันทำงานเฝ้าแต่คอยคลำไข ่ตัวเองว่ายังกลมๆรีๆ
อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาผู้จัดการก็ไม่ลืมที่จะ
ตรวจสอบลูกน้อยทั้งสองใบว่ายังกลมอยู่เหมือนเดิมจริง ๆ
เมื่อคลำดูแล้วก็ยังกลมๆดีอยู่ ผู้จัดการเลยรู้สึก
กระหยิ่มใจว่าวันนี้รวยแน่


เวลาเก้าโมงตรงหญิงชรามาที่ธนาคารและตรงไปที่ห้องผู้ จัดการทันทีพร้อมกับชายอีกคน
ผู้จัดการ - สวัสดีครับคุณยาย อ้าว...พาใครมาด้วยละนี่?
คุณยาย - อ๋อ…ทนายน่ะ ยายเห็นเงินพนันมันมากเลยพาทนายมาด้วย
ผู้จัดการ - ฮุฮุ…คุณยายผมเสียใจด้วยนะคุณยายแพ้พนันผมแล้วหละไข่ ผมยังกลมอยู่เลยนี่ไง

ว่าแล้วผู้จัดการก็จัดแจงปลดกางเกงลงและเรียกให้หญิง ชรามาตรวจสอบน้องชายได้

หญิงชราจึงเดินเข้าไปแล้วก็ลูบๆคลำๆไข่ผู้จัดการอยู่ สักพักแล้วพูดขึ้นว่า
คุณยาย - อืมมมม ยังกลมอยู่จริงๆ ยายยอมแพ้แล้ว
ขณะที่คุณยายกำลังคลำไข่ผู้จัดการอยู่นั้น...
ผู้จัดการเหลือบไปเห็นทนายที่มากับหญิงชรากำลังเอาหั วโขกกำแพงอย่างแรงติดๆ
กันหลายครั้ง

เลยถามคุณยายว่า
ผู้จัดการ - ยายๆ ทนายของยายเขาเป็นอะไรเหรอ?
คุณยาย - อ๋อ… เขาแพ้พนันยายน่ะ
ยายบอกเขาว่า ภายในเที่ยงวันนี้ยายจะได้คลำไข่ผู้จัดการแบ็งค์ใน
officeของผู้จัดการเองเลย
ทนายเขาไม่เชื่อ เราเลยพนันกันสองแสน....อิอิอิ..................


    5 5 5+


... กำไรเห็น ๆ ....



 
ขอขอบคุณ...เพื่อน F.W mail

76
การจัดสร้างรูปหล่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ บนพระทันตธาตุจำลองของท่าน



รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ได้ขออนุญาติสร้าง...กับหลวงปู่เจี๊ยะโดยใช้ทันตธาตุ หลวงปู่มั่นที่มอบให้หลวงปู่เจี้ยะเก็บรักษาไว้เป็นองค์ต้นแบบ เริ่มดำเนินงาน สร้างตั้งแต่ ปีพ.ศ.2542

จำนวนการสร้าง

สร้างครั้งแรก
เนื้อทองคำ 35 องค์ มีผู้ถวายหลวงพ่อทุยบรรจุเจดีย์ไปแล้วไม่น้อยกว่า 11 องค์
เนื้อเงิน 85 องค์
เนื้อโลหะ 2543 องค์
ลองพิมพ์ 55 องค์ (จะมีแต่รูปฟันยังไม่มีองค์หลวงปู่มั่น)

สร้างครั้งที่สอง
หลังจากได้จัดสร้างพระชุดแรกเสร็จแล้ว ขณะที่นำพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานจิต หลวงพ่อทุยมีความประสงค์ให้สร้างเนื้อพิเศษขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่งโดยมีมวลสาร 5 ชนิด ทองคำ 5 บาท, นาค, เงิน, เหล็กเปียก, ฝาบาตรของหลวงปู่คำตัน นำมาหลอมรวมกัน ในการสร้าง ผู้สร้างจึงมากราบขออนุญาติหลวงปู่เจี๊ยะ อีกครั้ง ใน ครั้งนี้เทพระได้จำนวน ประมาณ ๓๖๘ องค์ เท่านั้น

สร้างครั้งที่สาม
หลังวันงานเททอง 23 ธันวาคม 2545 ชนวนที่เทเหลือ หลวงปู่ลี ใด้เมตตาสั่งให้เก็บ ทางผู้สร้างทันตธาตุได้นำไปเทพระทันตธาตุ โดยใช้ทองชนวนล้วนๆ เทเป็นองค์พระได้พระจำนวน 42 องค์ โดยนำขึ้นขอเมตตาจาก หลวงปู่ลีและถวายท่านแจก เป็น 2 วาระ ที่ผาแดง 22 องค์ ที่สวนแสงธรรม 20 องค์ ลักษณะพระจะมีสีออกเหลือง เพราะเป็นเนื้อทองเหลืองไม่ออกแดง เหมือนแบบแรก
หลังจากสร้างเสร็จได้นำไปขอเมตตาจาก หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่บุญมี หลวงปู่เพียร หลวงปู่ลี ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ท่านพระอาจารย์เลื่อม ท่านพระอาจารย์ฟิลิป หลวงพ่อทุย วัดป่าดานวิเวก ตลอดทั้งพรรษา
ระหว่างนั้นได้นำพระเข้าพิธีต่างๆที่วัดหลวงปู่เจี๊ยะ ตลอดเวลาที่ทางวัดจัดงาน และได้นำพระทั้งหมดเข้าพิธีงานบุญข้าวเปลือกที่วัดป่าบ้านตาด ปี2545 กับพิธีเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ที่สวนแสงธรรม ในวันที่ 23 ธ.ค 45 เป็นวาระสุดท้าย จึงเริ่มแจกโดยถวาย

...หลวงปู่เจี๊ยะบรรจุในเจดีย์ท่าน ประมาณ 500 องค์
...หลวงพ่อทุยแจกและบรรจุเจดีย์ อีกประมาณ 700-800 องค์
ที่เหลือถวายครูบาอาจารย์ หลายท่านและแจกจ่ายกันในหมู่ลูกศิษย์


รายละเอียดในการสร้าง

ประวัติความเป็นมาของทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น คือ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๒ พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท(พระครูสุทธิธรรมรังสี) ขณะนั้นท่านศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ บ่ายวันหนึ่งได้เข้าไปถวายน้ำล้างหน้าให้ท่านพระอาจารย์มั่น ขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นล้างหน้าอยู่นั้น ฟันรองเขี้ยวของท่านพระอาจารย์มั่นหลุดออกและท่านพระอาจารย์ได้ยื่นฟันที่หลุดให้หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะ จึงเก็บรักษาฟันนั้นไว้
ในเวลาต่อมาฟันท่านพระอาจารย์มั่นได้กลายเป็นพระทันตธาตุเป็นที่เจริญศรัทธาแก่การกราบไหว้ พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะดำริสร้างเจดีย์ให้เป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระคุณ ตลอดจนเมตตาอันยิ่งใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น

เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้าพเจ้าทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ได้มีโอกาสกราบพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณโท โดยคุณลุงชิน เนียวกุล ท่านเป็นประธานหมู่บ้านเกษตรนิเวศน์(แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม.) ได้กราบนิมนต์พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะมาที่หมู่บ้าน คุณลุงชินได้กรุณาเชิญข้าพเจ้าให้ไปร่วมทำบุญกับหลวงปู่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์สายวิปัสสนาสายท่านพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเมตตากรุณาสอนภาวนาอยู่ ๒-๓ ครั้ง แล้วก็กลับไปที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี คุณลุงชินท่านได้กรุณานำบุญมาให้แก่ข้าพเจ้าด้วยการนิมนต์หลวงปู่เจี๊ยะมารักษาฟันที่คลีนิค ข้าพเจ้าได้ไปที่วัดหลวงปู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ในระยะ ๑๐ ปีหลังข้าพเจ้าจะไปวัดหลวงปู่บ่อยขึ้น โดยปกติจะไปทำบุญกับหลวงปู่เจี๊ยะ เกือบจะทุกวันเสาร์ หรือบางครั้งในบางโอกาสก็จะไปในช่วงเวลาอื่นๆ ในระยะที่จะมี”
การจัดสร้างเจดีย์พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ” หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านได้เอาพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาให้ลูกศิษย์ชมกัน คุณทวีวรรณ บุญญานุศาสน์ ท่านได้เสนอที่จะทำผะอบทองคำบรรจุองค์พระทันตธาตุของหลวงปู่มั่น กระผมจึงเกิดความคิดว่าเมื่อบรรจุพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น แล้วอาจจะไม่ได้เห็นหรือเห็นได้ในระยะไกล ข้าพเจ้าจึงขอประทานอนุญาตจากท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ เพื่อที่จะจัดสร้างรูปเหมือนองค์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ไว้บนองค์พระทันตธาตุของท่าน ไว้เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจต่อไป โดยกราบเรียนท่านว่าจัดสร้างเป็นเนื้อนวโลหะ ๒,๕๔๓ องค์ เป็นเนื้อเงิน ๘๕ องค์ และเป็นเนื้อทองแล้วแต่ผู้ที่ต้องการของศิษยานุศิษย์

ท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท ได้เมตตาให้ท่านเขียว (พระประสิทธ์ สิทธิจิตต) มาเปิดตู้นิรภัยเอาองค์พระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ออกมาให้คุณหมอฯ ใช้วัสดุทำฟันที่จัดเตรียมมาพิมพ์ลอกแบบรายละเอียดองค์พระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่นเก็บเอาไว้ คุณหมอฯ ได้จัดทำรูปเหมือนองค์ท่านพระอาจารย์มั่นบนองค์พระทันตธาตุตามที่ได้กราบเรียนหลวงปู่เจี๊ยะ ตั้งแต่ต้นแล้ว โดยได้เริ่มจัดสร้างในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ และได้ไปอธิฐานจิตขอกับองค์หลวงปู่มั่นที่เจดีย์วัดป่าสุธาวาสจังหวัดสกลนคร เพื่อให้การจัดสร้างได้สำริดตามความประสงค์ทุกประการเพื่อเป็นการเทิดทูลองค์ท่าน ที่ศิษยานุศิษย์เคารพบูชาอย่างสูง

ขณะที่จัดสร้างพระทันตธาตุ ได้รองทำก่อน มีเนื้อโลหะที่ใช้ทำฟันปลอมที่เรียกว่า "Vitalium" 2 ชิ้น เป็นโลหะที่แปลกออกไป ได้ให้ ดร. ไพทูรย์ กิติสุนทร ลูกศิษย์ท่านอาจารย์เดียวกัน ไปหนึ่งองค์อยู่ที่เจ้าของหนึ่งองค์ ดร.ไพทูรย์ กิติสุนทร บอกว่าเนื้อแปลกดี ระยะที่เริ่มสร้างเจดีย์พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เกิดความคิดว่าจะจำลองพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่นที่ไม่มีองค์ท่านบนตัวฟันบ้างเพื่อให้ได้ดูกัน เพื่อที่จะจัดสร้างรูปเหมือนองค์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ไว้บนองค์พระทันตธาตุของท่านทันตธาตุพระอาจารย์มั่นเปล่าๆ มี 55 องค์ (ขนาดเท่าฟันจริงของท่าน) เป็นทองคำ ๑ องค์ นอกนั้นเป็นทองแดง กับชินตะกั่ว หลังจากถอดแบบจากองค์พระทันตธาตุหลวงปู่มั่นแล้ว ก็พยายามเพิ่มชนวนหุ่นเองโดยใช้วัสดุทางทันตกรรมความละเอียดจะใกล้ของจริงมาก และหล่อแบบเอามาให้ช่างขึ้นรูปเป็นองค์หลวงปู่อยู่บนทันตธาตุ(จากหินสบู่) และหล่อขึ้น

เมื่อการจัดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหมอฯ ได้นำเอาพระหลวงปู่มั่นที่ติดบนองค์พระทันตธาตุของท่านให้ท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ ได้เมตตาอธิฐานจิตให้ และเมื่อวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ได้นำขึ้นบนเจดีย์ทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์ในวันงานท่านโดยขออนุญาตจากท่านชิน (วัดธรรมสถิตย์) โดยมีอาจารย์สายวิปัสสนาธุระหลายองค์ เสร็จพิธีมีการเทศน์ของท่านพระอาจารย์คำพอง ติสโส และได้นำมาเพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์ เนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่ปรำพิธีด้านล่าง และได้นำมาเพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์เนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ปรำพิธีด้านล่าง ตลอดพรรษาในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ ได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์ปรีดา (ทุย) ฉันทกโร ไว้ที่พระประธาน บนศาลาที่วัด ณ. ศาลาวัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย หนึ่งพรรษา ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับความกรุณาจากท่านพระอาจารย์บุญมี ปริปุณโณ วัดป่าบ้านนาคูณ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ท่านพระอาจารย์เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานีและท่านพระอาจารย์ลี กุสลธโร วัดป่าเกสรศีลคุณ ธรรมเจดีย์(ภูผาแดง)วิเวก อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้ นำเข้าพิธีเทหล่อรูปเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น โดยองค์พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณโนเป็นองค์ประทานฝ่ายสงฆ์รวมทั้งประทานเททองและสวดพุทธมนต์ พร้อมพระพุทธพจน วราจารย์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ และท่านอาจารย์ ลี กุสลธโร วัดป่าเกสรศีลคุณ ธรรมเจดีย์(ภูผาแดง)วิเวก อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ตอนที่เททองพระประธานที่วัดโพธิญาณ เพื่อไปประดิษฐานที่ประเทศออสเตเรีย พระสายหลวงพ่อชา ท่านพระอาจารย์เลี่ยม ขออธิษฐานจิตจากท่านพระอาจารย์เปลี่ยนในวันนั้นด้วย เนื่องจากท่านมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และอีกครั้งประทายข้าวที่บ้านตาด(ขอท่านอาจารย์กนก)ไว้ใต้พระประทานที่พิธี ต่อมาคุณหมอฯ ได้ขออนุณาตท่านอาจารย์กนก นำทันตธาตุทั้งหมดไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาของพระประธานในพิธี

หลวงตามหาบัวท่านเทศน์อบรมฆราวาส ณ. สวนแสงธรรมเมื่อ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ (เช้า) เรื่องหล่อรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ว่า “ หลวงปู่มั่นท่านเป็นต้นลำอันสำคัญ คือครูบาอาจารย์ที่ได้รับการอบรมศึกษามาจากท่านเต็มที่แล้ว กระจายไปแน่ะนำสั่งสอนโลก คือออกจากองค์หลวงปู่มั่นเป็นอันดับหนึ่ง แตกกิ่งก้านออกไปก็ไปเป็นครูเป็นอาจารย์ แน่นำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย ”

การสร้างครั้งที่สอง



ขณะที่นำพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานจิต หลังจากเก็บไว้ที่พระประธานที่วัดป่าดานวิเวก ท่านพระอาจารย์ปรีดา(ทุย) ฉนฺทกโร ท่านให้ขออนุญาตท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต โดยใช้เนื้อ ๕ ชนิด ได้แก่ทอง ๕ บาท , เงิน (เป็นเงินแผ่นหนาของประเทศจีนแบบเก่า (เป็นเงินฮาง)), นาก ๕ บาท, เหล็กที่เหลือจากจัดสร้างพระชัยวัฒน์ หลวงปู่คำตัน, และทองเหลืองฝาบาตรหลวงปู่คำตัน รวมเป็น ๕ อย่างโดยดร. ไพทูรย์ กิติสุนทรนำเอาไปหลอมรวมกัน ได้ประมาณ ๓๖๘ องค์ (ตามที่ได้บันทึกไว้) สร้างเสร็จถวายท่านพระอาจารย์หมด

การสร้างครั้งที่สาม
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มีพิธีการเทหล่อรูปเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต มีเศษทองเหลือมีคนเก็บไว้ ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านเรียกคืนและอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปหล่อพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ได้ ๔๒ องค์ ไม่ได้ผสมเนื้ออื่นเลย ถวายท่านที่วัด ๒๒ องค์ เพื่อให้ศิยษ์ที่อุดรได้และถวายที่วัดป่าภูริทัตตฯ ๒๐ องค์ ลักษณะพระจะมีสีออกเหลือง เพราะเป็นเนื้อทองเหลืองไม่ออกแดง เหมือนแบบแรก สำหรับทันตธาตุพระอาจารย์มั่นที่ขออนุญาตพระอาจารย์หลวงปู่ลี จะมีโค๊ตว่าลี เป็นอักษรธรรม " ลี " ตอกอยู่คู่โค๊ตเดิม






ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ที่ได้กรุณาเผยแพร่ข้อมูลไว้ที่
www.chiangmai1900.com/

77
             

พระร่วงหลังรางปืน จังหวัดสุโขทัย นับว่าเป็น จักรพรรดิแห่งพระเครื่องเนื้อชิน ซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อชินสนิมแดง ที่หาได้ยากยิ่ง เพราะเป็นพระที่พบน้อยมาก และในจำนวนพระที่พบน้อยนั้น ยังมีพระที่ชำรุดอีกด้วย

พระร่วงหลังรางปืน มีเอกลักษณ์ที่ด้านหลัง เป็นร่องราง จึงเป็นที่มาของชื่อพระว่า พระร่วงรางปืน ในเวลาต่อมา

พระร่วงหลังรางปืน เป็นพระเครื่อง ที่มีลักษณะประติมากรรม ที่งดงาม สง่า ผึ่งผาย สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย

เซียนพระเครื่อง ได้ให้ความสนใจ พระร่วงหลังรางปืนนี้ ไม่แพ้พระเครื่องชุด พระไตรภาคี เนื่องจากเป็นพระเครื่อง ที่มีขนาดยาว คือ พิมพ์ใหญ่ ขนาดสูงประมาณ 8-9 เซนติเมตร และมีน้ำหนักมาก ผู้หญิงที่มีพระร่วงหลังรางปืนนี้ ไม่ค่อยนิยมคล้องคอ ยกเว้นผู้ชาย หรือพวกนักรบ ที่ชอบคล้องคอ เพื่อความสง่างาม

พระร่วงหลังรางปืน สร้างจากเนื้อชิน ตะกั่วดำโบราณ จากเมืองสวรรคโลก เนื้อชินนี้ เป็นเนื้อชินที่ได้รับความนิยม เรียกกันว่า สนิมมันปู ซึ่งจะเกาะอยู่ตามส่วนอื่น ๆ ขององค์พระ

พระร่วงหลังรางปืน เป็นพระที่ถูกลักลอบขุดจากบริเวณ พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเก่าชะเลียง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวนที่ขุดพบครั้งแรกนั้น มีประมาณ 400 องค์ สำหรับราคาที่ให้เช่าบูชาในขณะนั้น องค์ละ 100 บาท ก็ยังหาผู้บูชาไม่ค่อยจะได้ แต่สำหรับปัจจุบัน องค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ราคาจะสูงมาก เนื่องจากมีจำนวนน้อย

เดิมนั้น พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ เป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างลพบุรี สร้างขึ้นเป็นพุทธาวาสโดยตรง ได้รับการปฏิสังขรณ์ และแก้ไขดัดแปลงหลายครั้ง ทั้งในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ต่อมา ได้รับการขุดโดยกรมศิลปากร เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2497

พระร่วงหลังรางปืน ได้ถูกคนร้ายลักลอบขุด เมื่อ พ.ศ.2499 ตอนกลางคืน คนร้ายได้ลักลอบขุดเจาะฐานพระพุทธรูป ในพระวิหารด้านทิศตะวันตก ขององค์พระปรางค์ และได้งัดเอาศิลาแลงออกไป พบไหโบราณ 1 ใบ อยู่ในโพรงดินปนทราย ลักษณะคล้ายหม้อทะนน หรือกระโถนเคลือบสีขาว

ภายในไหที่คนร้ายขุดพบนั้น บรรจุพระพุทธรูปสกุลช่างลพบุรี 5 องค์ คือ

- พระพุทธรูปยืน ปางห้ามสมุทรทรงเทริด เนื้อสำริด สูง 10 นิ้ว
- พระพุทธรูปนั่ง ปางนาคปรก เนื้อสำริด หน้าตักกว้าง 3-4 นิ้ว 2 องค์
- พระพุทธรูปนั่งในซุ้มเรือนแก้ว หน้าตักกว้าง 3-4 นิ้ว 2 องค์
- พระร่วงหลังรางปืน ประมาณ 240 องค์

ต่อมา ไหโบราณ และพระพุทธรูปทั้งหมด ได้มีคนนำมาขายที่แถว ๆ เวิ้งนครเกษม พระร่วงรางปืนที่ได้ในครั้งนี้ เป็นพระร่วงหลังรางปืน ที่ชำรุดเสียประมาณ 50 องค์ ที่เหลืออยู่ก็ชำรุดเล็กน้อยตามขอบ ๆ ขององค์พระ พระที่สวยสมบูรณ์จริง ๆ นับได้คงไม่เกิน 20 องค์

พระร่วงของกรุนี้ เป็นพระเนื้อชินสนิมแดง ที่ด้านหลังพระร่วงกรุนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นร่องราง เลยเป็นที่มาของชื่อ พระร่วงหลังรางปืน และมีบางองค์ ที่เป็นแบบหลังตัน แต่พบเป็นจำนวนน้อย และที่ด้านหลังของพระ จะเป็นรอยเส้นเสี้ยน หรือลายกาบหมากทุกองค์

ในตอนนั้น พวกที่ลักลอบขุดเจาะได้แบ่ง พระร่วงรางปืน กันไปตามส่วน และนำพระร่วงรางปืน ออกมาจำหน่าย ซึ่งเมื่อมีข่าวแพร่สะพัดออกไป ก็มีคนจากกรุงเทพมหานคร เดินทางไปเช่าหากัน จนราคาพระสูงขึ้นเป็นอันมาก และพระก็ได้หมดไปในที่สุด

ในปัจจุบัน พระร่วงรางปืน ที่พบจากกรุนี้ ได้แบ่งแยกออกเป็น
- พระร่วงหลังรางปืนพิมพ์ฐานสูง
- พระร่วงหลังรางปืนพิมพ์ฐานต่ำ

ข้อแตกต่างกันของ พระร่วงรางปืน ทั้ง 2 แบบนี้ ก็คือ ที่ฐานขององค์พระจะสูง และบางต่างกัน นอกนั้นรายละเอียดจะเหมือน ๆ กัน

ลักษณะร่องรางของด้านหลัง ของพระร่วงรางปืน ก็ยังแบ่งออกได้เป็น
- พระร่วงหลังรางปืนแบบร่องรางแคบ
- พระร่วงหลังรางปืนแบบร่องรางกว้าง

แต่ที่สำคัญ พระร่วงหลังรางปืน จะปรากฏรอยเสี้ยน ทั้ง 2 แบบ

เนื้อและสนิมของพระร่วงหลังรางปืน จะเป็นเนื้อตะกั่วสนิมแดง สนิมออกแดงแกมม่วง สลับไขขาว สีของสนิมแดงใน พระร่วงหลังรางปืนของแท้ จะมีสีไม่เสมอกันทั้งองค์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีสีอ่อนแก่สลับกันไป

ส่วนพระร่วงหลังรางปืนของเทียม มักจะมีสีเสมอกันทั้งองค์ พื้นผิวสนิมมักจะแตกระแหงเป็นเส้นเล็ก ๆ คล้ายใยแมงมุม

การแตกของสนิมของ พระร่วงหลังรางปืน มักแตกไปในทิศทางต่าง ๆ กัน สลับซับซ้อน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสนิมแดงของแท้ ที่ขึ้นเต็มเป็นปื้น ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้

เนื่องจากพระร่วงหลังรางปืนนี้ สร้างขึ้นจากวัสดุที่เรียกว่า เนื้อชินตะกั่วดำโบราณพิเศษ จึงมีสนิมแดงที่เรียกว่า สนิมมันปู เกาะอยู่ตามขอบ หรือบริเวณที่เป็นสัน หรือส่วนที่เป็นฐานนูนอยู่โดยทั่วไป

ลักษณะของสนิมจะจับแน่นในเนื้อองค์พระโดยทั่วไป แต่ในปัจจุบัน พึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่า มีผู้ทำเลียนแบบของเก่า โดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ทำการอบสนิมแดง โดยใช้เครื่องมือและสารเคมีเข้าช่วย ทำให้เกิดสนิมแดง ได้คล้ายคลึงกับของจริงมาก และมักใช้น้ำมันและผงสีดำทาทับไว้จนทั่ว เพื่ออำพรางสายตานักเลงดูพระรุ่นใหม่

ด้านพุทธคุณนั้น กล่าวกันว่า พระร่วงหลังรางปืนนั้น มีอานิสงส์สูงส่งทางโชคลาภ แคล้วคลาด คงกระพัน และป้องกันไฟไหม้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม พระร่วงรางปืน จึงได้รับความนิยมในการแสวงหา เอามาบูชา จากบรรดาเซียนพระเครื่อง เป็นอย่างยิ่ง




ขอบพระคุณท่านเจ้าของพระด้วยครับ

78
กฎแห่งกรรม / หมู่ป่าอาฆาต
« เมื่อ: 21 ก.ค. 2553, 10:51:00 »
             

 การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนับว่าเป็นบาปมาก ผลกรรมจากการฆ่าสัตว์นั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ จึงเป็นเหมือนกับสร้างความชั่วร้ายให้กับชีวิตของตนเอง กรรมที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบางครั้งก็ให้ผลในชาติต่อๆไป บางครั้งก็ให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ ดังเรื่องราวของนายสมทรง ชายหนุ่มคนหนึ่งของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
       
       หมู่บ้านที่สมทรงอาศัยอยู่ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีทั้งแม่น้ำ ทั้งภูเขา ทำให้ชาวบ้านสามารถหากินได้ตลอด โดยไม่ต้องซื้อเลยก็ว่าได้ บางคนทำนาเสร็จก็จะหาจับปลาในแม่น้ำ บางคนก็ขึ้นเขาไปยิงนก ยิงสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร สมทรงก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ไปจับสัตว์มากินเป็นประจำ เขาเป็นคนที่หากินเก่งมาก เวลาหาปลาก็หาได้มาก เวลาไปล่าสัตว์ป่าก็มักจะได้สัตว์ใหญ่ๆ อยู่เป็น ประจำ มองในแง่หนึ่งสมทรงเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะได้สัตว์น้อยใหญ่มาเป็นอาหารทุกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ความโชคดีของเขานั้น เป็นเหมือนกับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้ทำเวรทำกรรมมากขึ้น
       
       ทุกครั้งที่ออกไปล่าสัตว์ สมทรงจะแบกปืนผาหน้าไม้ไปด้วย วันหนึ่งสมทรงได้ยิงหมูป่าตัวหนึ่งเข้าที่สะโพก มันเจ็บปวดมาก และหันมามองสมทรงด้วยความเคียดแค้น แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงเข้าไปแบกหมูป่ากลับบ้านอย่างสบายใจ เมื่อกลับถึงบ้านสมทรงก็เตรียมที่จะฆ่ามันทันที หมูป่ามองสมทรงพร้อมกับร้องเสียงดังราว กับอ้อนวอนขอชีวิต แต่เขาก็ไม่สนใจ แถมหยิบมีดขึ้นมาแทงเข้าไปที่คอของมันเต็มแรง หมูป่าร้องดิ้นสุดกำลัง จนขาดใจตาย!! สมทรงจึงเอาน้ำร้อนลวกหมูทั้งตัวและทำความสะอาด แล้วหั่นออกเป็นชิ้นๆ เอาไปทำอาหารบ้าง ที่เหลือก็ตากแห้งไว้กินวันหลัง
       
       ตั้งแต่วินาทีที่หมูป่าถูกยิง จนกระทั่งถึงวินาทีที่มันถูกแทงซ้ำนั้น มันได้ฝากความอาฆาตแค้นให้กับสมทรงตลอดเวลา มันคงนึกอยู่ในใจว่ามันทำอะไรผิด ทำไมเขาจะต้องฆ่ามันด้วย แต่สมทรงก็ไม่ได้มีความสะทกสะท้านกับสิ่งที่ทำแต่อย่างใด เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต เขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาแล้วจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปลา นก ไก่ เป็ด หมู และอื่นๆ อีกมากมาย เท่าที่จะล่ามาเป็นอาหารได้
       
       ตราบใดที่ผลของกรรมชั่วยังไม่ให้ผล คนก็มักจะไม่ รู้สึกสำนึกอะไร ยังคงทำความชั่วต่อไปอย่างสบายใจ ต่อเมื่อกรรมชั่วส่งผลมาถึงตัวเขานั่นแหละ เขาจึงจะค่อยๆ สำนึก และรับรู้ถึงความทุกข์ที่เคยทำไว้กับผู้อื่น สมทรงก็เช่นเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น มันจะส่งผลชั่วให้กับตัวเขาอย่างไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ดีอีกต่างหาก เพราะเขามีอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย เป็นคนเก่งที่ออกล่าสัตว์ เมื่อใดก็ได้เมื่อนั้น ความคิดผิดๆเหล่านั้นฝังหัวสมทรงมานานตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 45 ปี ผลแห่งกรรมที่ค่อยๆ คืบคลานตามเขามานั้น ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
       
       แล้ววันนั้นก็มาถึง เป็นวันที่สมทรงขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตามปกติ เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง คิดแต่เพียงว่า ขอให้ล่าสัตว์ได้มากๆ อย่างเช่นหมูป่าไก่ป่า สมทรงได้เตรียมทำกับดักสัตว์ไว้ และเตรียมปืนไว้พร้อมที่จะยิงได้ทันทีเมื่อเห็นสัตว์เดินผ่านมา เขานั่งรออยู่นาน ในที่สุดก็มีหมูป่าเดินผ่านมา เขารู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีว่าวันนี้โชคดีแล้ว ได้กินเนื้อหมูอย่างแน่นอน
       
       แต่เผอิญหมูป่าตัวนั้นไม่ได้เดินมาตรงกับดักที่เขาวางไว้ สมทรงจึงใช้ปืนยิงแทน ดังนั้น พอได้จังหวะก็ลั่นไกปืนยิงทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้หมูป่าตกใจวิ่งหนี ขณะที่สมทรงหงายหลังผลึ่งลงไปนอนกับพื้น เพราะปืนที่เขายิงออกไปนั้น กระบอกปืนแตกหมดและสะเก็ดเหล็กต่างๆ พุ่งมาเสียบตัวเขา จนเลือดไหลอาบไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของสมทรง!!
       
       แต่ด้วยความที่อยากได้หมูป่า เขาจึงตั้งสติแล้วกัดฟันพยุงกายขึ้น รีบวิ่งไล่หมูป่าไปทันที โดยลืมนึกไปว่าตนเองได้วางกับดักสัตว์ไว้ สมทรงจึงวิ่งไปเหยียบกับดักของตนเอง หน้าไม้ที่ดักไว้ก็ทำงานทันที มันพุ่งมาเสียบท้องของเขาอย่างแรง จนทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ!!
       
       แต่เมื่อดวงของสมทรงยังไม่ถึงฆาต เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พาร่างซึ่งโชกเลือดกระเสือกกระสน ลงจากภูเขาอย่างทุลักทุเล เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างกว่ากิโล แต่ละก้าวของสมทรงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และก่อนที่เขาจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนขาดใจตาย ก็พอดีมีคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้า จึงพาเขาไปหาหมอรักษาได้ทัน
       
       บทเรียนอันแสนเจ็บปวดที่สมทรงได้รับในครั้งนี้ ทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่า เป็นเพราะกรรมที่เขาเคยทำไว้นั่นเอง กรรมนั้นมันได้มาสนองเขาอย่างเต็มที่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่า จากนี้ต่อไปจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อย่างที่เคยทำเป็น อันขาด
       
       นี่แหละคือผลของกรรมชั่วที่ตามมาสนองในชาตินี้ เท่านี้ยังไม่พอ กฎแห่งกรรมยังจะต้องตามสนองสมทรงต่อไปจนถึงชาติหน้า มีทางเดียวที่ชายหนุ่มจะลดกรรมอันหนักให้บรรเทาลงได้บ้าง นั่นคือการทำความดีให้มากๆ ยิ่งทำความดีได้มากเท่าไหร่ กรรมชั่วที่มีอยู่ก็จะเบาบางลงไปมากเท่านั้น เปรียบเหมือนกับน้ำสีดำในแก้ว หากเติมน้ำดีลงไปมากๆ น้ำสีดำนั้นก็จะค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเติมน้ำดีลงไปมากเท่าไหร่ ความเข้มของสีดำที่อยู่ในน้ำ ก็จะค่อยๆ เจือจางลงไปมากเท่านั้น แต่จะให้ลบล้างไปเลยร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น จงหมั่นทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลือให้ทำอีกต่อไป       




ขอบคุณที่มา : จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 116 กรกฎาคม 2553 โดย มาลาวชิโร

79
กฎแห่งกรรม / กรรม...เกิดเป็นหมู
« เมื่อ: 20 ก.ค. 2553, 01:35:13 »

       


ณ.อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี มีนักเลงโตคนหนึ่งชื่อด้วน เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่ชอบทำงาน  ด้วนมักจะคลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆที่เป็น
อันธพาลในแต่ละวันมีแต่คอยหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น มีเรื่องตีรันฟันแทงเกือบทุกวัน
 
พวกชาวบ้านทั้งเอือมระอาทั้งหวาดผวา  เพราะบางทีแค่เดินชนหรือเผลอไปมองหน้า  ด้วนก็จะไล่เตะไล่ต่อยไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือ
ผู้หญิง บางครั้งก็เอาก้อนหินขวางหัวคนเล่นจนเขาหัวร้างค่างแตก
 
แต่ทว่าวันหนึ่งด้วนนักเลงโตล้มป่วยลง กินยาเท่าใดก็ไม่หาย เมื่อนอนป่วยนานวันเข้า จนเวลาล่วงเลยมาเป็นเดือน ด้วนก็ป่วยหนัก
ใกล้สิ้นลมทุกที
 
คืนหนึ่งมีหลวงปู่องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระผู้บำเพ็ญภาวนาจนฌามสมาธิแก่กล้า ท่านได้ถอดจิตท่องเที่ยวผ่านมาเห็นเข้า ท่านจึงนิมิตให้
ด้วนเห็น ด้วยท่านปรารถนาจะโปรดสัตว์ หลวงปู่เอ่ยขึ้นด้วยเมตตาว่า "เจ้ามีกรรมหนักหนา เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วเจ้าจะต้องไปเกิด
เป็นหมูในชาติหน้าเพื่อใช้กรรม ก่อนตายเจ้าจงทำสมาธิให้ได้ ทำจิตให้สงบ จะได้สำนึกถึงความผิดที่เคยก่อกรรมทำเข็ญมา"

ด้วนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเสียใจ และบังเกิดความสำนึกผิด แต่ทว่าเพราะป่วยหนักจนยกมือไม่ไหว แม้ปรารถนาจะยกมือขึ้นพนมไหว้
หลวงปู่ และเพื่อจะสำรวมจิตขออโหสิกรรม แต่ทว่ามีเรี่ยวแรงพอจะยกมือขึ้นได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น
 
ด้วนยกมือข้างหนึ่งมาไว้กลางอก แล้วก็พยายามยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาพนม แต่ทว่าไม่สามารถยกได้สำเร็จ ด้วนก็สิ้นใจตายไป
เสียก่อน
 
เมื่อด้วนตายไป ชาวบ้านพากันดีใจยิ่งนัก เดือนหนึ่งผ่านไป  ทุกคนพากันลืมเรื่องของด้วนกันไปบ้างแล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่งที่บ้าน
ของลุงขาว ก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น ชาวบ้านได้พากันแห่ไปที่บ้านลุงขาว เพราะแม่หมูที่ลุงขาวเลี้ยงนั้นได้ออกลูกหมูตัวหนึ่ง  ซึ่ง
ลูกหมูตัวนี้ไม่ใช่ลูกหมูธรรมดาๆ  เพราะลูกหมูตัวนี้มีขาขวาด้านหน้าเป็นมือคน!!! ขาขวาที่มีลักษณะเหมือนมือคนนั้น คือมีนิ้วทั้ง
ห้านิ้วมีความสั้นยาวแตกต่างกัน จนดูเป็นนิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือของคนไม่ผิดเพี้ยน! แต่ละนิ้วมีเล็บเรียบ
เหมือนนิ้วมือคน
 
ชาวบ้านพากันร่ำลือฮือฮามากว่าเป็นด้วนมาเกิดเพราะเคยได้ยินพี่น้องของด้วนพูดว่า  ก่อนตายด้วนยกมือขึ้นมาที่อกเหมือนจะ
ไหว้พระ แต่ยกได้มือเดียวก็สิ้นใจตายไปก่อน
 
จากนั้นชาวบ้านก็ลือกันว่า ด้วนมาเกิดเป็นหมู และเรียกลูกหมูว่าไอ้ด้วน ครอบครัวของด้วนอับอายมาก จึงขอซื้อลูกหมูจากลุง
ขาวแล้วนำไปปล่อยไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสัตว์อยู่หลายชนิดและเป็นเขตอภัยทาน
 
บรรดาผู้คนที่ไปเที่ยวชมสัตว์ในวัดนี้ ต่างก็มักจะมุงดูลูกหมูที่มีขาเป็นมือคนตัวนั้น และมันมักจะวิ่งหนีคนไปหลบมุมอยู่ไกลๆ
เหมือนอับอายที่ผู้คนมายืนมุงดูตนเช่นนั้น.
 
 
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้รู้ว่า...
"เวรกรรมนั้นมีจริง ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว แต่ทว่าสุดท้ายด้วนนั้นก็รู้จักละอายและสำนึกผิด ไม่เหมือนกับใครบางคน
ที่ทำชั่วแล้วไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปและสำนึกผิดบ้างเลย"

 
 
 
******************************กระเบนท้องน้ำ********************************
 

80
เหรียญกายทิพย์หลวงปู่ดุลย์ สุดยอดประสบการณ์  จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.  2521

สร้างโดยวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ สมัยที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ทรงสมณศักดิ์ที่" พระรัตนากรวิสุทธิ์ " เมื่อปีพ.ศ. 2521
จัดเป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มากที่สุดรุ่นหนึ่ง เป็นที่นิยมแสวงหาของศิษย์และผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่...




เนื้อกะหลั่ยทองลงยา สร้างจำนวน 2,000 เหรียญ



เนื้อทองแดง จัดสร้างจำนวน 10,000 เหรียญ


อีกด้านหนึ่งของเหรียญ จะทำเป็นรูป "หลวงพ่อพระชีว์" วัดบูรพาราม อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งใช้เป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามาแต่โบราณกาล
รูป?ต้นแบบ? ปรากฏ ?กายทิพย์? หลวงปู่ดูลย์ในท่านั่งสมาธิซ้อนอยู่ที่อกของหลวงปู่อีกชั้นหนึ่ง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

หมายเหตุ 1 เคยอ่านหนังสือยุคเก่า(ไม่แน่ใจว่าหนังสือ?ธนาทิพ?หรืออะไรสักอย่าง) ทราบว่า มีคนเอารูปนี้ไปถามกับองค์หลวงปู่ดูลย์เองถึงที่มาของ?กายทิพย์? ที่ปรากฏซ้อนอยู่ในภาพ ด้วยความสงสัยว่า หากว่าจะเป็นการถ่ายซ้อนฟิล์ม ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า หลวงปู่ดูลย์ไม่นิยมและไม่เคยโพสต์ท่าวางมาดให้ถ่ายรูป ยิ่งเป็นภาพที่?ลืมตานั่งสมาธิจ้องใส่กล้อง?อย่างที่เห็นซ้อนในภาพดังกล่าว ยิ่งเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยและไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาทั้งสิ้นฯ


เมื่อได้ฟัง หลวงปู่ดูลย์ตอบแต่เพียงสั้นๆว่า


" ตอนที่เขาถ่ายภาพนี้ เรากำลังกำหนดจิตอยู่ที่ตรงหน้าอกของเราอยู่ "




หมายเหตุ 2 เหรียญกายทิพย์รุ่นนี้ แม้จะมิใช่เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่ดูลย์ แต่ก็เป็นที่นิยมแสวงหากันมาก เพราะมีความหมายพิเศษเชิงเหนือธรรมชาติและมีประสพการณ์เหลือที่จะคณานับ เคยมีพวก? มอเตอร์ไซค์ซิ่ง?วัยรุ่นชาวสุรินทร์ เคยถูกชาวบ้านบางคนที่รำคาญเสียงแข่งรถที่หนวกหูเต็มทีเอา?ลวดขึงขวางถนน? พร้อมกับตั้งระดับเดียวกับ?คอหอย? ด้วยกะว่า เวลาซิ่งผ่านมา ลวดจะได้?ปาด?ให้?หัวขาด? ลงไปประลองความเร็วต่อในพิภพมัจจุราชเสียเลยทีเดียว ปรากฏว่า การก็เป็นไปตามที่กะไว้ทุกประการ คือเมื่อพวกแข่งรถซิ่งผ่านมาที่มาการขึงลวงดักไว้ ก็สะดุดลวดจนทั้งรถทั้งคนพลิกคว่ำคะมำหงายกันไม่มีดี แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่ลวดก็หนียวแบบสุดๆ และรถก็มาด้วยด้วยความเร็วและแรงขนาดนี้ ปกติ ก็น่าที่จะ?หัวขาด? กระเด็นตายสนิทชนิดไม่รู้สึกตัวได้แล้ว แต่การกลับเป็นว่า ?ไม่เป็นอะไรเลย?!!??!! อย่างเหลือเชื่อที่สุด สืบไปสืบมาพบว่า วัยรุ่นดวงแข็งรายนั้น มี"เหรียญกายทิพย์ หลวงปู่ดูลย์ " :016:
ห้อยติดคออยู่นั่นเอง?!!!!!




หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ก่อนจะดับขันธ์ ท่านได้แสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายว่า

" เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้าง พระพุทธศาสนาให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงละ วิภวตัณหา นั้นเสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ทรงเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหาทรงเป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเส สนิพพานของพระองค์ ลำดับแรกก็เจริญฌาณ ดิ่งสนิทเข้าไปจนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปลึกสุดอยู่เหนืออรูปฌาณ

ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพานหรือนิโรธเป็นครั้งสุด ท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพัยรก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็น ครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมรับกับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา มีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสว่ามันเป็นทุกข์

นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตนให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมา สัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผยแจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตาม
เมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือปฐมฌาณ แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิตและร่างกายนั้นได้ดับไปเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌาณ นานแล้ว เพราะต้องดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมขั้นแรกก่อนวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีก อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ทุติยฌาณ แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ตติยฌาณ เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่จตุตถฌาณ คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ


เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับเวทนาขันธ์อันเป็นจิตขันธ์ หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาณ พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌาณสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก


เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌาณแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือนั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันเป็นปกติของมนุษย์ครบพร้อมทั้งสติสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่ามหาสุญญตาหรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่า พระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้







ขอขอบคุณที่มา...http://www.chiangmai1900.com/index.php?topic=596.0

81
เป็นที่ทราบกันว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่มนุษย์เราทุกคนจะต้องประสบ และเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่สุด
ในชีวิตของเราทุกคน แต่ก็คงจะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเองเมื่อไหร่ รู้กันเพียงแต่
ว่าจะต้องแก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะการตายเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะกำหนดรู้ได้
 
ท่ามกลางความยากเย็นเช่นนี้ ก็ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถกำหนดรู้วันตายของตัวเองได้  คือรู้ว่าตัวเองจะมรณ
ภาพเวลาไหนและเพราะเหตุใด พระภิกษุรูปนี้มีชื่อว่าหลวงพ่อชาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งไหม้ อำเภอร่อนพิบูลย์
จังหวัดนครศรีธรรมราช
 
ท่านมีชีวิตอยู่ในคนละยุคกับผม ผมจึงไม่มีโอกาสได้พบกันกับท่าน แต่นั่นมิได้หมายความว่าผมจะไม่ได้ทราบเรื่อง
ราวของท่านเลย  จริงอยู่แม้ผมจะไม่มีโอกาสเห็นท่าน แต่ก็ได้รับทราบเรื่องราวของท่าน จากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ได้เล่าเรื่องอัศจรรย์ของพระภิกษุรูปหนึ่งให้ฟังว่า...
 
มีพระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดในป่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านรู้ดีว่าวันนี้ตัวเองจะต้องถูกเสือตัวหนึ่งกัดถึง
แก่ความตายแน่ๆ ท่านว่ามันเป็นผลกรรมที่ท่านเคยทำมันไว้ ปรากฏว่าวันนั้นท่านถูกเสือบุกเข้ามากัดจนท่านมรณ
ภาพจริงๆ ท่ามกลางการอารักขาอย่างเหนียวแน่นของบรรดาญาติโยม
 
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะมาบวชนั้น สมภารชายท่านก็เป็นชาวบ้านอยู่ที่นี่เอง สมัยที่ท่านยังเป็นหนุ่มได้ร่ำเรียน
วิชาคาถาอาคมกับหมอผู้เก่งทางไสยศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นคนใกล้ๆบ้าน เมื่อท่านมีครอบครัว (แต่ไม่มีลูก) ก็เกิด
มีเสือร้ายตัวหนึ่งเที่ยวอาละวาดกัดกินผู้คน  และสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านละแวกนั้น  ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน
พร้อมกันทั่วหน้า และในที่สุดชาวบ้านตัดสินใจรวมทีมกันออกล่าเจ้าเสือร้ายตัวนั้น ซึ่งในครั้งนั้นอาจารย์ของสมภาร
ชายก็ร่วมเดินทางไปด้วย โดยมีตัวท่านสมภารชายเองก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย
 
ขบวนล่าเสือออกเดินทางรอนแรมไปหลายที่ ผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ นานามากมาย โดยเฉพาะเจ้าเสือร้ายที่กำลัง
ถูกตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้พบและประมือกับมันหลายครั้ง ซึ่งความร้ายกาจของมันทำให้ผู้ร่วมเดินทางจบ
ชีวิตลงหลายคน ในที่สุดฝ่ายออกล่าก็เพลี่ยงพล้ำต่อเสือตัวนั้น เสียชีวิตเกือบหมด เหลือพรานป่าซึ่งเป็นเพื่อนของ
อาจารย์สมภารชาย อาจารย์สมภารชาย และตัวสมภารชายเองเท่านั้น
 
ถึงแม้ว่าขบวนล่าเสือจะไม่สามารถดับชีวิตเสือร้ายได้ตามต้องการ แต่ก็ได้ทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย โดยเฉพาะจาก
ฝีมือของอาจารย์ของสมภารชายและตัวสมภารชาย  เมื่อกลับจากล่าเสือมาได้ไม่เท่าไร อาจารย์ของสมภารชายก็เสีย
ชีวิตด้วยโรคร้ายที่ติดมาจากป่า และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองภรรยาของสมภารชายก็เสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษในท้อง
ท่านเสียใจมาก จึงตัดสินใจบวช และเอาที่ทางซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของตนทำเป็นวัด ให้ชาวบ้านทำขนำให้จำพรรษา
 
สมภารชายท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานจนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงช่วยกันบุกเบิกแผ้วถางบริเวณนั้นช่วย
กันสร้างเสนาสนะขึ้นทำเป็นวัด โดยเรียกกันว่า "วัดทุ่งไหม้"(น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าม่าย เพราะท่านสมภารเป็นม่าย)
 
สมภารวัดทุ่งไหม้ เป็นผู้รอบรู้วิชาคาถาอาคมมาก่อน เมื่อบวชก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม จนบรรลุคุณอันวิเศษ  คือ
สามารถหยั่งรู้ชะตากรรมของตัวเองได้  เมื่อท่านมีอายุมากเข้าท่านก็ทราบได้ด้วยญาณว่าตัวเองใกล้จะถึงอายุขัยแล้ว
และรู้ด้วยว่าจะเป็นวันไหน ด้วยเหตุใด ท่านจึงเรียกญาติโยมมาประชุมแล้วแจ้งให้ทราบว่า ท่านจวนจะมรณภาพแล้ว
 
ชาวบ้านพากันสงสัยว่าทำไมท่านจึงจะมรณภาพเร็ว ทั้งที่อายุก็ยังไม่มากนัก อีกอย่างร่างกายก็ยังแข็งแรงดีไม่มีโรค
ภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน  ท่านสมภารได้อธิบายให้ทราบว่า ท่านได้ทำกรรมไว้กับเสือตัวที่ออกล่ากัน  เมื่อคราวมันมา
อาละวาดแถวๆนี้ โดยทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย ตอนนี้เสือตัวนั้นหายดีแล้ว และมันกำลังจะมาทวงผลกรรมครั้งนั้น
คืน คือจะเอาชีวิตของท่านเป็นการแก้แค้น 
 
ชาวบ้านทราบดังนั้นก็พากันหวั่นวิตกกันทั่วหน้า จึงพร้อมใจกันป้องกันท่าน  โดยพยายามหาทางป้องกันภัยจากเสือ
ร้ายตัวนั้น พวกเขาช่วยกันอย่างเต็มที่ พวกหนึ่งลงมือขุดคูรอบกุฏิของท่านสมภารเพื่อมิให้เสือข้ามเข้ามาได้ อีกพวก
หนึ่งลงมือทำเครื่องมือทำอาวุธ โดยการเผาเหล็กทำมีด ตีดาบ โดยทำกันในวัดนั่นเอง
 
เมื่อใกล้ถึงวันที่ท่านสมภารบอกว่าท่านจะมรณภาพแน่แล้ว พวกชาวบ้านก็พร้อมกันมาอยู่ยามเฝ้าอารักขาท่าน ผลัด
กันทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ก่อไฟรอบๆ กุฏิท่านสมภาร ดูสว่างไสวประดุจกลางวัน และผู้ชายวัยฉกรรจ์พร้อม
อาวุธหลายคนก็อยู่ยามเตรียมรับมือเสือร้าย
 
แล้ววันหนึ่ง ท่านสมภารได้บอกกับญาติโยมว่า "วันนี้อาตมาต้องถึงแก่มรณภาพแน่แล้ว เสือร้ายตัวนั้นมันจะเอาชีวิต
อาตมาภายในค่ำคืนนี้
" ชาวบ้านทราบอย่างนั้นก็พากันตกใจเป็นการใหญ่ เพิ่มความอารักขากันเต็มที่ อยู่เวรอยู่ยาม
ก็เข้มงวดมาก ถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอน

           
 
แต่แล้วในคืนวันนั้นเอง ก็เกิดสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น  อยู่ๆทุกคนก็เกิดเผลอหลับพร้อมๆกัน โดยนอนรายรอบกุฏิ
ท่านสมภารนั่นเอง ท่านสมภารท่านนั่งสมาธิอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง แล้วต่อมาผู้อยู่ยามคนหนึ่งก็ได้ยินเสียงเสือดัง
มาจากในห้องท่านสมภาร จึงรีบผลุนผลันเข้าไปดู คนอื่นๆเมื่อรู้สึกตัวก็ตามไปติดๆ  ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกใจจน
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ท่านสมภารนอนร่างอาบโชกไปด้วยเลือด สีแดงฉานอยู่บนที่นอน ส่วนเสือร้ายยังไม่
หนีไปไหน แต่พอชาวบ้านเข้าไปมันก็กระโดดหนีไปทางหน้าต่าง ท่านสมภารมรณภาพในคืนนั้นจริงๆ ชาวบ้านเสีย
อกเสียใจมาก  จึงช่วยกันจัดการฌาปนกิจศพท่านตรงบริเวณหน้ากุฏิท่านนั่นเอง  หลังจากนั้นจึงช่วยกันสร้างสถูป
เล็กๆบรรจุอัฐของท่านสมภารไว้
 
           

ด้วยความเสียใจและไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พวกชาวบ้านจึงย้ายวัดไปสร้างใหม่ในที่ห่างจากที่เดิม 1 ก.ม.
ซึ่งมีหมอกลางบ้านคนหนึ่งได้อุทิศให้ วัดนั้นจึงได้ชื่อว่า "วัดหมอบุญ" มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดเจริญบุญเขต"  ซึ่ง
ต่อมาวัดแห่งนี้เจริญ ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
 
ส่วนวัดทุ่งไหม้ ถูกปล่อยให้รกร้างเป็นป่าดงดิบอยู่นานจนกระทั่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้มาปักกลดพัก และเกิดชอบ
ความสงบ ณ.ที่แห่งนี้ ก็เลยอยู่ประจำที่นั่น ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันฟื้นฟูพัฒนาวัดขึ้นมาใหม่ จึงได้ร่วมกัน
สร้างเสนาสนะและศาสนสถานขึ้นมาใหม่หลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์จนอยู่ในสภาพดี แทบ
ไม่เหลือร่องรอยของวัดเก่า  ซึ่งมีตำนานลึกลับชวนพิศวงให้เห็น  คงมีแต่เพียงเรื่องเล่าขานที่ได้รับทราบต่อ ๆ
กันมาเพียงเท่านั้น.
 
 
 ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
 
 
 
*************************กระเบนท้องน้ำ**************************

82
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง...ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณจำปา...

เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2529 ณ.ที่บ้านโพนไค อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร

คุณจำปาเล่าว่า คืนวันหนึ่งเขานอนหลับแล้วฝันไปว่า ได้มีชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสัน ผิวดำเกรียม หน้าตาหน้าเกลียด
น่ากลัวมาก การแต่งกายคล้ายคนโบราณ เพราะไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าแบบโจงกระเบนสีแดง เหน็บเตี่ยวแต่เพียงผืนเดียว ที่ข้อ
แขนข้อเท้าสวมกำไลทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ หูสองข้างก็แขวนไว้ด้วยตุ้มหูขนาดใหญ่ ซึ่งดูเป็นสีทองสัมฤทธิ์อีกเช่นกัน

ชายผู้นั้นได้เข้ามาหาคุณจำปาแล้วบอกว่า เขาเองคือเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ทรัพย์อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ โดยมีลูกน้องปกครอง
อีกนับร้อยคน ที่เขามานี้ต้องการให้คุณจำปาไปขุดเอาสมบัติในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งฝังไว้นับพันปีมาแล้ว

ชายผู้นั้นได้บอกตำแหน่งที่อยู่ของทรัพย์ให้คุณจำปาทราบอย่างละเอียด ก่อนจากไปชายผู้นั้นยังกำชับอีกว่า "ของยังมีอีก
มาก คราวนี้ให้แค่นี้ก่อน คราวหน้าหากทำถูกใจจะบอกให้อีก แต่มีข้อแม้ว่าให้ทำงานคนเดียว อย่าเอาคนอื่นไปร่วมด้วย"
ชายผู้นั้นกล่าวจบก็จากไป คุณจำปาก็ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมา คุณจำปาก็จำความฝันได้อย่างจะแจ้งแม่นยำ  ก็เลยนึกอยากจะทด
สอบความฝันของตัวเองดูว่าจะเป็นความจริงแท้แค่ไหน เขาจึงตัดสินใจไปขุดหาสมบัติในเช้าวันนั้นเลย ทั้งๆที่ใจให้นึกหวาด
ๆอยู่ไม่น้อย

การขุดสมบัติของเขาถึงจะไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พ้นสายตาคนอื่นไปได้ เพราะเขาขุดกลางวัน และที่สำคัญตรงที่เขาขุดนั้นไม่
ใช่ที่ดินของเขา มันเป็นปลายนาของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่มีที่นาต่อแดนกับนาของเขา คุณจำปาก็อึกอักไม่รู้จะทำประการใด
เลยเผยความจริงจากความฝันให้ทราบ พอเจ้าของนาได้ฟังก็ตาลุกเลยเออออขอเอี่ยวด้วย แค่นั้นยังไม่พอ ได้มีเจ้าของนาที่
อยู่ใกล้ๆกันอีก 2 ราย เดินมาประสบเหตุเข้า เมื่อทราบความก็ขอร่วมวงไพบูลย์อีก ก็เลยกลายเป็น 4 แรงแข็งขัน


             


เมื่อขุดลงไปประมาณเมตรเศษๆ ก็เจอสมบัตินั้นตรงตามความฝันทุกอย่าง ของที่พบนั้นประกอบไปด้วยฆ้องทองใบใหญ่เท่า
กระด้ง ฝัดข้าว 2 ใบ โดยหันด้านในประกบกันเอาไว้ และภายในที่ประกบกันอยู่นั้น ได้มีฉาบและฉิ่ง อีกอย่างละ 2 คู่ซ้อนอยู่
ของทั้งหมดล้วนทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์


             


เมื่อได้ของมาแล้ว คุณจำปาก็ได้แบ่งของนั้นตามสัดส่วนกันไป โดยคุณจำปาเอามากกว่าเพื่อนหน่อยในฐานะผู้ฝันเห็นสมบัติ
แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป คุณจำปาได้เอาของเหล่านั้นไปเก็บอย่างซ่อนเร้นมิดชิด ตกกลางคืนก็ฝันเห็นชายโบราณมาพบ
กับเขาอีก แต่การมาของชายผู้นั้นคราวนี้น่ากลัวมาก เพราะชายผู้นั้นถือหอกเล่มใหญ่ติดมือมาด้วย และการมาก็ใช่จะมาคน
เดียว แต่มีลูกน้องห้อมล้อมมาอีกนับสิบ

ลักษณะของลูกน้องแต่ละคนนั้นตัวย่อมกว่าลูกพี่หน่อย แต่การแต่งกายเหมือนกันหมด ในมือของแต่ละคนก็ถือหอกอยู่ครบ
อีกการเคลื่อนไหวของแต่ละคนนั้นมีลีลาว่องไวไม่ผิดกับลิง เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงก็กระจายรายล้อมคุณจำปาเอาไว้ทันที ทั้ง
หัวหน้าลูกน้องต่างเพ่งมองคุณจำปายังกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วกล่าวว่า "กูจะมาฆ่ามึง มึงทำผิด เอาคนอื่นไปขุดด้วย"

ชายผู้เป็นหัวหน้าเอาหอกจี้คอหอยคุณจำปา ขู่ตะคอกเสียงดังลั่น พอพูดขาดคำ ก็เปลี่ยนเป็นเอาหอกปักฉึกไว้กับดิน แล้ว
เข้ารวบคอคุณจำปากระชากมาอย่างแรง ทำเอาคุณจำปาตัวลอยหวิว "มึงผิดสัญญา มึงต้องตายๆๆ" มันพูดสำทับไม่ขาด
ปากพร้อมกับเค้นคอคุณจำปา เพิ่มความหนักหน่วงลงไปทุกขณะ เมื่อลูกพี่บีบคอ  ฝ่ายลูกน้องทั้งหลายก็เต้นเข้าเต้นออก
ทำท่าอย่างกับจะเข้ามาช่วยลูกพี่เค้นคอเพื่อให้ตายไปไวไว

คุณจำปาดิ้นเร่าๆหายใจไม่ออก แต่กระนั้นเขาก็ตะเบ็งร้องเสียงหลง เพื่อบอกให้ชายคนนั้นทราบว่าเขาไม่ได้บอกใคร แต่
คนพวกนั้นเห็นเองก็เลยมาขอขุดด้วย เพราะมันเป็นกลางวันเขาเลยขัดไม่ได้ ชายผู้นั้นไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเขา คงบีบ
เค้นฟัดเหวี่ยงเขาต่อไป

คุณจำปาดิ้นสุดฤทธิ์พร้อมทั้งตะเบ็งเสียงร้องลั่นเพื่อให้คนช่วย จนเสียงร้องในขณะหลับฝันของเขาดังสะท้อนออกมาเป็น
ละเมอลั่นบ้าน ภรรยาของเขาซึ่งนอนอยู่ข้างๆต้องปลุกให้ตื่น เมื่อตื่นขึ้นกลางดึก เขารีบลุกขึ้นจุดธูปเทียนบอกกล่าวพร้อม
สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็นอนต่อ

แต่ทว่าพอหลับไป คุณจำปาก็ฝันเห็นชายผู้นั้นพร้อมลูกน้องกลับมาหาอีก และทำในลักษณะเก่าๆ จนคุณจำปาละเมอถูก
ภรรยาปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สอง  พอตื่นก็สวดมนต์ไหว้พระพร้อมบอกกล่าวขอขมาลาโทษต่อชายผู้นั้นอีกแล้วก็นอนต่อ
แต่พอหลับเข้าสู่ภวังค์ก็ฝันในลักษณะเก่า จนละเมอร้องลั่นถูกภรรยาปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สาม

คุณจำปาไม่อยากจะฝันซ้ำซากเป็นครั้งที่สี่ เขาเลยไม่ยอมนอน และนั่งอ่านหนังสืออยู่จนสว่าง  พอสว่างคุณจำปาก็พาลูก
และภรรยาไปทำบุญตักบาตรที่วัด กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ชายผู้นั้นพร้อมบริวาร แล้วรดน้ำมนต์ให้กับตนเองลูก และ
ภรรยา จากคืนนั้นก็ไม่ฝันเห็นชายผู้นั้นอีกเลย

คุณจำปาเล่าว่า นอกจากเขาแล้วเมื่อหลายปีก่อนก็เคยมีชาวบ้านเดียวกัน ขุดได้ไหเงินไหทองคำจำนวนมากจากความฝัน
เช่นเดียวกัน และอยู่ในบริเวณไม่ไกลจากตรงที่เขาขุดไว้สักเท่าใดนัก.



เรื่องเล่าจากคุณจำปา...ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ...สวัสดี





************************กระเบนท้องน้ำ*************************

83
คาถาอาคม / รอดตายเพราะคาถา...
« เมื่อ: 08 ก.ค. 2553, 09:50:56 »
เมื่อ 45 ปีก่อน ณ.หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นที่ลุ่ม
มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่าน พอหน้าน้ำๆ ก็ท่วมล้นขึ้นมาสองฟากฝั่ง พวกชาวบ้านจึงมีอาชีพเสริมขึ้นมาอีก อาชีพหนึ่งคืออาชีพจับปลา
 
ลุงอ่ำ อายุ 60 กว่าปี เป็นคนร่างเล็กผอมเกร็ง นิสัยขรึมไม่ค่อยชอบพูดล้อเล่นกับใคร เขาลือกันว่าสมัยหนุ่มๆ ลุงอ่ำเป็นคนเกะกะเกเร
ไม่กลัวใคร เคยมีเรื่องมีราวกับคนอื่นบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้แกจึงชอบเล่นคาถาอาคมเป็นชีวิตจิตใจ พอแต่งงานมีภรรยาและมีลูกแกก็เลิก
ประพฤติตัวเป็นอันธพาล หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ถึงหน้านาก็ทำนา พอหน้าน้ำก็เที่ยวจับปลามาขายบ้างกินเองบ้าง
 
วันหนึ่งลุงอ่ำกับเพื่อนอีกคนก็ชวนกันไปสุ่มปลาที่บริเวณนาร้างริมแม่น้ำซึ่งมีปลาชุกชุม น้ำในบริเวณนี้สูงเลยหัวเข่ามาหน่อย ขณะที่
ลุงอ่ำกำลังสุ่มปลาเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายมาทางด้านหลัง พอหันขวับไปมองก็ต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นจระเข้
ใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวประมาณ 7-8 ศอก สีดำมะเมื่อม เนื้อตัวเกาะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ อ้าปากกว้างพุ่งเข้าหาหมายงับตัวแกให้จมเขี้ยว
 
ด้วยสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย ลุงอ่ำกระโดดพรวดออกไปด้านข้างอย่างว่องไว จระเข้ตัวใหญ่ที่พุ่งเข้าหาจึงพลาดเป้าอย่างหวุด
หวิด "ช่วยด้วยๆ" ลุงอ่ำร้องบอกเสียงหลง พร้อมกับทะลึ่งพรวดขึ้นหาฝั่งด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ จระเข้พองับผิดก็หมุนตัวโบกหาง
อันใหญ่ฟาดน้ำดังตูมตามเข้าหาอย่างดุร้าย
 
เพียงแค่เห็นตัวจระเข้ ลุงอ่ำก็แทบจะหัวใจวาย เมื่อมาเจอกับความดุร้ายของมัน มือไม้ก็ถึงกับอ่อนปวกเปียกไปหมด คิดว่าอีกไม่ช้า
คงจะถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว ในขณะนั้นแกจึงตัดสินใจยกสุ่มฟาดโครมไปที่ปากของจระเข้ซึ่งอ้ากว้างอยู่อย่างแรง พลาง
กระโดดถลาล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังกระเสือกกระสนถอนหนีอย่างไม่คิดชีวิต
 
ทันใดนั้น ลุงอ่ำก็สะท้านเฮือกใหญ่ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อจระเข้อ้าปากคาบร่างแกไว้ แล้วหมุนตัวกลับลงไปในน้ำอย่างรวด
เร็ว ลุงอ่ำตกใจแทบสิ้น พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ร่างของแกก็ขยับอยู่แค่ในปากอันแข็งแรงของเจ้าเดรัจฉานที่ทรงพลังเท่า
นั้น สองหูได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายและเสียงตะโกนของเพื่อนดังอยู่บนฝั่งว่า "ไอ้เข้...ไอ้เข้"


                    

 
ไม่ถึงอึดใจมันก็คาบร่างของลุงอ่ำ ลงสู่แม่น้ำและมุดตัวดำดิ่งลงไปใต้น้ำ ลุงอ่ำเอื้อมมือเปะปะลงไปบนส่วนตะปุ่มตะป่ำสัมผัสได้กับ
เนื้อเย็นๆเปียกๆลื่นๆ ทำให้รู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย แกจึงพยายามเอื้อมมือไปยังปลาย
ปากแล้วจิกแหย่ลงในโพรงจมูก เพื่อให้มันคายร่างแกออก แต่ก็ไร้ผล เพราะจระเข้คงเจ็บจึงสะบัดดิ้นไปมาจนลุงอ่ำทำอะไรมันไม่ได้
 
ลุงอ่ำนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ถึงกับเสียววูบ เริ่มจะหายใจไม่ออก หูอี้อไปหมด ร่างถูกพาดำดิ่งลึกลงไป
ทุกที จนในที่สุดลุงอ่ำก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่า "คาถา" นอกจากคาถาแล้วแกก็นึกไม่ออกว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของจระเข้
ตัวนี้ได้อย่างไร พอนึกได้ ลุงอ่ำรีบกลั้นหายใจท่อง "คาถาพระเจ้า 16 พระองค์" เท่าที่พอจะนึกออก ทั้งๆที่เคยท่องจนขึ้นใจมาตั้ง
แต่สมัยหนุ่มๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่า จระเข้คาบแกไปซุกอยู้ใต้แพ มันพยายามจะเอาร่างแกไปขัดตรงโน้นตรงนี้เพราะกลัวว่าจะลอย
ขึ้นมา ตอนนี้ลุงอ่ำเริ่มกลั้นหายใจต่อไปไม่ค่อยจะไหว แต่ก็พยายามรวบรวมสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่และ
ครูบาอาจารย์ ตั้งจิตแน่วแน่จดจ่ออยู่กับพระคาถา ในใจก็มุ่งมั่นว่าถึงจะตายก็ขอตายอยู่กับพระคาถาบทนี้
 
ชั่วเดี๋ยวเดียวลุงอ่ำก็กลั้นหายใจไม่อยู่ ต้องอ้าปากกินน้ำเข้าไปหลายอึก รู้สึกอึดอัดแทบขาดใจให้ได้ เพิ่งรู้รสชาติของความรู้สึกก่อน
ตายว่ามันอึดอัดทรมานขนาดไหน แกสำลักน้ำจนแทบหมดสติ พลันก็มีความรู้สึกเหมือนจระเข้จะคาบร่างเปลี่ยนที่ใหม่ แล้วก็คาบออก
มาจากใต้แพ ว่ายลิ่วขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้ร่างถูกชูขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ขณะที่ความรู้สึกกำลังจะดับวูบลง สายตาอันพร่ามัวเลอะเลือน
ของลุงอ่ำก็เห็นคนยืนตะโกนลั่นอยู่บนแพ ลุงอ่ำพยายามยกสองมือกระทุ่มน้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลง
 
เมื่อลุงอ่ำรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็เห็นคนมายืนมุงล้อมรอบตัวเต็มไปหมด กวาดตามองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วโพล่งออกมาอย่างดีใจว่า
"ข้ายังไม่ตายอีกเหรอ" เอ็งไม่ตายหรอก ไอ้เข้มันปล่อยเอ็งที่หน้าแพข้า ข้าเห็นเอ็งจมลงไป ข้ากับไอ้เหม่าเลยช่วยกันงมขึ้นมา
ลุงจ้อยเจ้าของแพบอก  พลางมองอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นแขนและลำตัวของลุงอ่ำ โดนจระเข้กัดจนเลือดออกหลายแห่งแล้วถามต่อว่า
"เอ็งเป็นยังไงมั่ง" ลุงอ่ำส่ายหน้าแล้วค่อยๆยันกายลุกขึ้น "ข้านึกว่าข้าต้องตายแน่แล้ว" ลุงอ่ำพูดพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา มีความรู้สึก
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
 
เมื่อสำรวจดูบาดแผลไม่สาหัสอะไร เพียงแต่ปวดระบมไปทั้งตัว แล้วลุงอ่ำก็เล่าให้ชาวบ้านที่มารุมล้อมฟัง ซึ่งทุกคนฟังด้วยความ
แปลกใจไม่นึกว่าลุงอ่ำจะรอดชีวิตมาได้ เพราะจระเข้เปลี่ยนใจปล่อยร่างแกขึ้นมา
 
"ที่ข้ารอดมาได้นี่เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์แท้ๆ"  ลุงอ่ำบอกอย่างภาคภูมิใจ
 
ทุกคนในที่นั้นก็ลงความเห็นเหมือนกันคือ ลุงอ่ำรอดตายมาได้เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์ เป็นแน่...อย่างไม่ต้องสงสัย...
 
 
คาถาพระเจ้า 16 พระองค์นั้นว่าดังนี้...
 
นะมะนะอะ   นอกอนะกะ  กอออนออะ
 
นะอะกะอัง   อุมิอะมิ    มะหิสุตัง
 
สุนะพุทธัง   อะสุนะอะ
 
 
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


              ****************กระเบนท้องน้ำ*****************

84
ยันต์หงษ์ มีพุทธคุณด้านไหน?

ยันต์หงส์ มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์



ยันต์ปลาตะเพียน มีพุทธคุณ ด้านไหน

ยันต์ปลาตะเพียน มีพุทธคุณเสน่ห์เมตตา โชคลาภ ค้าขายและมหาระลวย



ยันต์จิ้งจกคาบดอกบัวมีพุทธคุณด้านไหนครับ

ยันต์นี้มีพุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์



ยันต์ปลาไหลมีพุทธคุณด้านไหนครับ

พุทธคุณด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย เรียกว่า ลื่นอย่างกับปลาไหล



ยันต์กบมีพุทธคุณด้านไหนครับ

ยันต์กบมีพุทธคุณ ด้านแคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพันชาตรี

85


ตำรับการสร้างวัวธนูนั้น...จากคัมภีร์ใบลานที่เป็นแบบแผนการสร้างในยุคปัจจุบันได้จารึกไว้ว่า เป็นตำรับที่สืบทอดมาแต่สมัยกรุง
ศรีอยุธยา ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับการสร้างวัวธนูนี้ มีข้อน่าสังเกตอยู่ว่า จารไว้ด้วยภาษาขอม ลาว
อันปรากฏว่าครั้งหนึ่งเคยตกไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ซึ่งต่อมาพระเถราจารย์ฝ่ายไทยได้ไปค้นพบแล้วนำกลับมาฟื้นฟูกันอีกครั้งหนึ่ง
 
จากสาระในคัมภีร์มีการอ้างชื่อของ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นพระมหาเถระในฐานะสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีแห่งกรุงศรีอยุธยา
เอาไว้ด้วย
อนึ่ง วัดป่าแก้วที่ว่านี้ ตามตำนานดั้งเดิมกล่าวไว้ว่าเป็นวัดที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ทั้งสมเด็จพระพนรัตก็เป็น
พระอาจารย์ของพระองค์ท่านด้วย ข้อสันนิษฐานถึงสมเด็จพระพนรัต จึงมีว่า ท่านคงเป็นพระมหาเถระ ที่แก่กล้าเวทย์วิชาคาถามหา
อาคม เป็นครูอาจารย์ที่แตกฉานชำนาญในไตรเพทและด้านกรรมฐานอย่างแน่นอน
 
คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับตำราการสร้างวัวธนูได้ระบุชื่อ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ไว้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าสมเด็จพระพนรัต รูปนี้เป็นองค์ปฐม เป็นปรมาจารย์ผู้สร้าง "วัวธนู" ขึ้นเป็นลำดับแรกในแผ่นดินสยาม
 
ข้อความจากใบลานคัมภีร์ดังกล่าวที่พอจะยืนยันถึงเรื่องนี้ อีกประการหนึ่งก็คือ ส่วนท้ายของใบลานผูกนี้ ได้จารคาถาของสมเด็จพระพนรัตเอาไว้ด้วย คาถามีชื่อว่า "คาถายาจินดามณี" ซึ่งตรงกับการสร้าง ยาจินดามณี หรือสมเด็จพระนเรศวรเม็ดดำอันลือชื่อของพระ
พุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ขันธโชติ และ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นยาอาคมใช้ได้สารพัดประโยชน์
 
ยานี้เป็นตำรับเดียวกับที่สมเด็จพระพนรัต ปรุงถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากตำราเรื่องเดียวกันได้ปรากฏมีเคล็ดวิชาอันศักดิ์
สิทธิ์อีกบทหนึ่งคือ ตำรับการสร้างลูกประคำ ซึ่งระบุว่าสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว เคยสร้างลูกประคำถวายสมเด็จพระนเรศวรมหา
ราชคราวออกศึก ประคำนี้มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี ว่า "ประคำนเรศวรปราบหงสาวดี"
ซึ่งพระพุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ได้นำมาสร้างขึ้นในเวลาต่อมานั่นเอง
 
   

 
จากหลักฐานดังกล่าวก็พอจะเชื่อถือได้เป็นแน่แท้ว่า วัวธนูในแผ่นดินสยามนี้ คงจะมีต้นกำเนิดมาแต่สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่นอน
 
วิธีการสร้างวัวธนู
 
"วัวธนู" ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ใบลานเก่าแก่นั้น ระบุถึงวัสดุที่ใช้สร้างมีอยู่เพียง 2 ชนิด คือสร้างจากเขากระทิงอย่างหนึ่งกับสร้าง
จากครั่งอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำจากเขากระทิงนั้นจะต้องเอาเฉพาะแต่ส่วนปลายยอดเขาส่วนเดียวเท่านั้น มาแกะเป็นรูปวัวธนูและเขาหนึ่ง
เขาก็สามารถนำมาแกะวัวธนูได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น การแกะต้องตามเวลาฤกษ์ที่กำหนดเท่านั้น และจะต้องแกะคราวเดียวให้เสร็จ
ทันเวลาด้วยมิฉะนั้นใช้ไม่ได้
 
สำหรับที่ทำจากครั่ง ต้องใช้ครั่งที่เกาะติดอยู่บนกิ่งพุทราเท่านั้นและกิ่งพุทรานั้นปลายจะต้องชี้ไปทางทิศตะวันออกด้วย วัวธนูหนึ่ง
ตัวต้องนำครั่งจากกิ่งพุทรา 3 กิ่งขึ้นไปมารวมกันสร้าง แต่การสร้างนี้มีกรณีพิเศษอยู่ว่า ถ้าครั่งนี้อยู่กับกิ่งพุทราตายพราย ท่านให้
ใช้เพียงกิ่งเดียวก็เพียงพอเพราะจะมีอานุภาพสูงส่งอยู่แล้ว
 
สิ่งที่จะต้องเตรียมไว้ก่อนทำพิธีก็คือลวดทองแดงและแผ่นทองแดง ลวดนั้นนำไปใช้ในการตัดทำเป็นโครงร่างของตัววัว ซึ่งเป็นโครง
ชั้นในที่พอดูเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น วิธีการทำก็โดยดัดให้เป็นแกนตัว ขา คอ หาง และเขา แต่สำหรับส่วนเขาในขั้นต้นนั้นยังไม่ต้อง
ดัดโค้งเป็นรูปเขา แต่เผื่อลวดเอาไว้ ดังนั้นจากโครงตัวต่อไปยังช่วงคอก็จะเป็นเส้นยาวเป็นโครงร่างเอาไว้เท่านั้น ที่ต้องทำเช่นนั้น
ก็เพื่อไว้สำหรับบรรจุตะกรุด ที่สร้างขึ้นเฉพาะในพิธีนี้ไว้ตรงช่วงคอก่อนที่จะดัดต่อเป็นเขา และก่อนนำเอาครั่งหุ้มนั่นเอง.
 

86


เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2169 ณ.ดินแดนแห่งหนึ่งใกล้ๆกับ แม่น้ำอาร์โน ช่วงเมืองปิซ่า ซึ่งอยู่ในแคว้นตอสกาน่า ประเทศอิตาลี
มีนายพรานมือฉมัง  นายหนึ่งมีนามว่า อันโวลตาโร่ (La Stella V Zero) อาชีพหลักคือล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ ของสะสมหลักๆ
ก็มี เขี้ยวเสือ,เขี้ยวหมูป่า,งาช้าง,หนังงูเหลือม,กระดองเต่า นอแรด ที่ได้จากการล่าสัตว์ในแต่ละครั้ง
 
อยู่มาวันหนึ่ง...อันโวลตาโร่ ได้พบกับเหตุการณ์ที่ต้องสยองขวัญ  เพราะมีเสือโหย...ตัวหนึ่ง  ได้เข้ามาคาบเอาสุนัขที่ตนเลี้ยงไว้
ชื่อเจ้าเมาโร่...ไปกิน สุนัขตัวนี้ทั้งดุ  เห่าก็เก่ง วันที่เกิดเหตุไม่มีแม้แต่...ที่จะส่งเสียงเห่า..คงเป็นเพราะมันไม่ทันได้ระวังและตั้งตัว                         
พรานอันโวลตาโร่ จึงออกติดตามร่องรอยเท้าเสือ...ก็พบเศษซากของสุนัขเกลื่อนกลาดไปเป็นทาง...
 
ระหว่างที่กำลังก้มหน้าก้มตาแกะรอยเท้าเสืออยู่นั้น พอเงยหน้าขึ้นมามองทางก็เจอเข้ากับ เสือ 2 ตัว  เข้าอย่างจัง ห่างกันเพียง
 2 เมตรเท่านั้น พรานอันโวลตาโร่ ตัวเย็นวูบ มือไม้ชา พอตั้งสติได้ จึงตัดสินใจ ยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกทันที เสือก็ตกใจ ตัวหนึ่งเผ่น
หนีไปทันที ส่วนอีกตัวที่ถูกลูกกระสุนปืน มันกระโดดถาโถมเข้ามาทันที เป้าหมายคงอยู่ที่หน้าหรือคอ แต่ด้วยสัญชาติญาณของ
พราน... จึงใช้ปืนขึ้นขวางรับ โดยจับปืนขึ้นสองมือแล้วเบี่ยงตัวหลบ  แต่เสือเร็วกว่า   กระโดดโถมเข้ากัดที่มือหัวไหล่และลำคอ 
จนปืนกระเด็นไป เหลือแต่มือเปล่า...

จึงได้ทำการต่อสู้ด้วยมือเปล่า กอดรัดฟัดเหวี่ยง เตะด้วยขาขวา เสือก็งับเข้าที่ขาขวา เตะด้วยขาซ้ายเสือก็งับที่ขาซ้าย ทั้งหมัด
เข่าและแข้งต่างประเคนใส่แบบไม่ยั้ง จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 15 นาที ทั้งพราน...และเสือต่างเหนื่อยล้า และอ่อนแรง เสือ
ตัวนั้นได้ทรุดลงและเสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลจากกระสุนปืนไม่ไหวและคงจะช้ำในตาย
 
ส่วนพรานอันโวลตาโร่ ก็ได้ประคองร่างที่โชกเลือด เดินโซซัดโซเซในป่าไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็ทรุดกายลงและเสียชีวิต
เช่นกันเพราะมีบาดแผลฉกรรจ์และเสียเลือดมาก...
 
 
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์...ดังสำนวนไทยกล่าวไว้ว่า "หมองูตายเพราะงู"ฉันใด "นายพรานก็ตายเพราะเสือฉันนั้น"
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต่างก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น....ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายและเบียดเบียนกัน

 
                         .............เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร..............


 
เรื่องโดย.....กระเบนท้องน้ำ

87


ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

คนจำนวนไม่น้อยที่เข้าพิธีรับขันธ์ ๕ นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณ
บูรพกษัตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล

แต่แท้จริงแล้ว หลวงปู่กล่าวว่า

"ส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง"

หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้!

หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกันด้วยการทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก

"หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก"

เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่ แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก บางครั้งหลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า 'เขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย'

บัดนี้ สิ้นหลวงปู่แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้การคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง และก็มิใช่โดยพระเครื่องของท่าน เพราะนั่นก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่สูงสุด หากแต่ต้องอาศัยการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม เพื่อให้เกิดเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม บนฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ




ขอบคุณที่มาโดย พี่สิทธิ์


88
คาถาอาคม / คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร...
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2553, 11:24:30 »
คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ)

ตั้งนะโม 3 จบ


ปัญจะมาเร ชิโนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

จะตุสัจจัง ปะกาเสสิ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม  ชะยะมังคะลัง


ป้องกันอันตรายทั้งปวง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักแล.

89


 -  ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนิน
แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง
ไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง
ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้าน
ห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกัน
อย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าจะเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
 
ชาวบ้านผู้นั้นกล่าวว่า
ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
"วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..
พระองค์ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว"

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร
ในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและ
ทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
"วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."



-  มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง
คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง
พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"

ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"

(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง
พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได
รีบลงมาก้มกราบ

ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"



-  เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง
วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513
วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ
ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปู
สำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจน
มีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงทำท่าเสวย
แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเก?ี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า

"ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ



  -เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด
ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย
จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"

ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า
ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม


-  ผู้หญิงตกเป็นของใคร
บางครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า
เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย
แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า
สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ
ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน”
รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย
“ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”


-  "สามร้อยตุ่ม"

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง
ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."



-  พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนครเพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้า
เพราะแขนเจ็บเข้าเฝือกอยู่...

ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา"
ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน "

แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า
"แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ"

ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า
"แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว"
ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล


-  พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ทางภาคใต้
คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรด มีความเค็ม
พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า

"ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม "
ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง
ก่อนตอบกลับมาว่า "ไม่เคยชิมซักที"
ในหลวงก็ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารที่ ตามเสด็จว่า
"ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ"



ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง...
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯ(คนนั้นแหล่ะไม่อยากจะเอ่ย)
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความขุ่นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร

ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้
หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"

ท่านพูดเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่า นับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ
ในหลวง ท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่


.....เราจับได้แล้ว.....

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ....ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ "ก้าวไกลไทยทำ" วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej's reign"
(Board of Investment Fair 1995 BOI) หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามศาลาการแสดงต่างๆ
ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น "พิภพใต้ทะเล" โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด "Magic Vision" น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า
ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า... ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับ ไม่ได้
เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า "เราจับได้แล้ว"
พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ "อยู่ในนี้" ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า
เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ
ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้...


.....ทุกข์ยามดึก.....

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ
จึงทรงทราบความลำบาก ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย

.....ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ
เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ

.....บางคนหลับยามไม่พอกดคีย์ ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย

.....บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็นการแก้เหงา ก็มี

..... ที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ
ในยามดึกวันหนึ่ง .....พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถ
หาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร
จึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า

"โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้"


-  ส่งเสี่ยกลับวัง
เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปร พระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง
และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า
“ไปไหมเสี่ย” ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล
โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ
เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร ?


เคยมีคนต่างชาติสงสัยว่า ”ทำไมคนไทยรักในหลวง"


คำตอบคือ .............“คุณมีเวลามากพอที่จะฟังหรือเปล่า "


เหตุใดทรงไม่โปรดเสวยปลานิล
         


"เหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล" มีใจความว่า..

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล
ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย
จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย


จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า
เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
“ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร”


เรื่องนี้มีตำนาน เชิญอ่าน
20 ปีก่อน ราวพุทธศักราช 2524 แรกครั้ง
พระจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งญี่ปุ่น ยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นมกุฎราชกุมาร
ได้ส่งปลานิลทางเครื่องบินจำนวน 100 ตัวมาทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ปรากฏว่า เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย ปลาตายเกือบหมด เหลือรอดแบบใกล้ตายเพียง 10 ตัว


ในหลวงทรงเป็นห่วงเป็นใยปลานิลเหล่านี้ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำ ไปไว้ในพระที่นั่ง ทรงเลี้ยงอย่างประคบประหงม ให้อาหารด้วยพระองค์เอง จนปลานิลทั้ง 10 ตัวรอดชีวิต


แล้วปลานิลทั้ง 10 ตัว ได้สนองพระเดชพระคุณแพร่พันธุ์ไปอีกมากมาย
ตามพระราชประสงค์เป็นอาหารคนไทย 62 ล้านคน มาจนถึงทุกวันนี้


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 



ขอบคุณที่มา...F.W.mail

90


วันนี้(7 มิ.ย.) ฮือฮาสัตว์ประหลาด ชาวบ้านผวามาจากต่างดาวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านเลขที่ 18 หมู่ 8 บ้านวังสามหาบ ต.เทพคีรี อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู หลังจากที่มีข่าวลือว่าพบสัตว์ประหลาดที่ตกใส่หลังคาชาวบ้าน ซึ่งเมื่อเดินทางถึงในขณะนั้นได้มีชาวบ้านเกือบร้อยคนกำลังมุงดูซากสัตว์ ที่มีลักษณะใบหน้าเหมือนค้างคาว ลำตัวขนาดเท่าแมว แต่ไม่มีขน มีผิวหนังคล้ายผิวหนังมนุษย์ มีใบหูโต ปลายแหลม ลักษณะกางเหมือนมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์อีที มีสี่ขา มีหางหนึ่งหาง แต่มีนิ้วและเล็บ เหมือนสุนัขหรือแมว มีอวัยวะสืบพันธุ์ นอนหงายอ้าปากค้างอยู่ในภาชนะรองด้วยผ้าขาวบางที่นางแสงเดือน แสนพุ เจ้าของบ้านจัดไว้ บนแคร่ ใต้โครงหลังคาบ้าน ขณะที่ชาวบ้านบ่างส่วน ได้จุดธูปบูชา พร้อมดอกไม้ เทียน และด้ายสายสิญจน์อธิษฐานไปต่างๆ นานา ตามความเชื่อ

จากการสอบถามนางฉวีวรรณ อัฒสุวรรณ อายุ 51 ปี พี่สาวเจ้าของบ้าน เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่าในคืนวันที่ 3 มิ.ย. ที่หมู่บ้านมีฝนตก ลมกรรโชกแรง และมีเสียงฟ้าผ่าดังลั่น ต่อมาตนได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงบนหลังคาบ้าน คิดว่าเป็นกิ่งไม่ก็เลยไม่สนใจ แต่พอตื่นนอนตอนเช้า พบเสียงร้องครวญครางเหมือนนกแสกดังอยู่ ตนจึงเดินตามหาต้นเสียงจนพบสัตว์ประหลาดดังกล่าวนอนซมอยู่ใต้แคร่ในห้องนอน เลยอุ้มขึ้นมาดูแต่ไม่นานก็เสียชีวิต ครั้งแรกไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ลองสอบถามเพื่อนบ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไร สุดท้ายเลยเก็บไว้ในตู้เย็น หลังจากนั้น จึงเริ่มมีข่าวลือสะพัดว่าเป็นสัตว์ประหลาดหลงฝูงมา ต่อมา ตนจึงได้นิมนต์พระมาชักอนิจจาและทำบุญให้สัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งตนจะนำไปดองใส่ขวดโหลไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวบ้านที่เชื่อในเรื่องของโชคลาภ พากันจุดธูปเทียนบูชาหาเลขเด็ดเช่นเคย

ด้านนายไวพจน์ หิมารัตน์ ปศุสัตว์จังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้ไปตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ประหลาดดังกล่าว แต่จากการดูภาพถ่ายวีดีโอของสื่อมวลชนแล้วคาดว่าน่าจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก หรือ แมวสายพันธุ์หนึ่ง ปีนขึ้นบนหลังคาบ้านแล้วถูกฝนพายุที่ตกหนักพลัดตกลงมาเลยอาจทำให้เสียชีวิตก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่สอบถามข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งตนเองจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สัตว์ประหลาดดังกล่าว มีรูปร่างคล้ายแมวพันธุ์สฟิงซ์ ซึ่งจะไม่มีขน ผิวหนังย่น หน้าตาค่อนข้างน่ากลัว และเป็นที่นิยมเลี้ยงกันเฉพาะกลุ่มคนรักแมวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าในหมู่บ้านวังสามหาบ จะมีครัวเรือนใดเลี้ยงแมวสายพันธุ์ดังกล่าวเอาไว้



ขอบคุณที่มา : Daily News Online > หน้าภูมิภาค > ฮือฮา...สัตว์ประหลาด..โผล่หนองบัวลำภู

91
สิบเอกเที่ยง  แสนกล้า จำอดีตชาติได้
 
สิบเอกเที่ยง แสนกล้า เป็นบุตรของ นายเจริญ และ นางพวน แสนกล้า เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2467(1924) ที่หมู่บ้านระไซร์ ต.ตรำดม อ.ลำดวน จ.สุรินทร์(ห่างจากตัวอำเภอเมืองไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กม.) สิบเอกเที่ยงจำอดีตชาติได้ว่าเป็น “นายโพธิ์ แสนกล้า” หรือ “เสือโพธิ์” ซึ่งเป็นพี่ชายของนายเจริญ




เมื่อปี พ.ศ.2465 ในเขตจังหวัดสุรินทร์มีโจรก๊กหนึ่ง มีชื่อเสียงในทางลักขโมยปล้นจี้วัวควาย เป็นที่เรื่องลือ หัวหน้าก๊กนี้ชื่อ “โพธิ์” หรือ “เสือโพธิ์” เสือโพธิ์คุมลูกน้องบริวารออกปล้นสะดมชาวบ้าน สุจริตชนเป็นที่หวาดเกรงไปทั่ว เจ้าหน้าที่บ้านเมืองพยายามออกปราบปรามจับกุมหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากฝ่ายโจรชำนาญภูมิประเทศมากกว่า จึงสามารถหลบหนีหลุดรอดเงื้อมมือได้ทุกครั้ง แต่ด้วยพื้นสันดานของเสือโพธิ์ไม่ใช่อาชญากรโดยกำเนิด เมื่อถลำเข้าไปในทางชั่ว จึงเตลิดเปิดเปิงไปพักหนึ่ง นานวันเข้าก็มองเห็นหายนะแห่งชีวิตชัดเจนมากขึ้นทุกที จึงคิดกลับตัวกลับใจเลิกละจากชีวิตโจร เพื่อหาทางกลับไปสู่วิถีของสุจริตชนอีกครั้ง โดยคิดว่า ถ้ายอมมอบตัวให้กับทางการและรับสารภาพผิดแต่โดยดี คงจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษจากหนักเป็นเบา แม้จะติดคุกติดตะรางอย่างไรก็ไม่มีวันพ้นโทษ เสือโพธิ์ได้นำความคิดนี้ไปเกลี้ยกล่อมลูกน้อง ให้ยอมมอบตัวพร้อมกับตน และยืนยันว่าตนได้ตัดสินใจเป็นเด็ดขาดแล้ว ที่จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีอีกครั้ง

คราวนี้ลูกน้องก็เกิดความคิดแบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้า แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยเพราะยังเห็นว่า การเป็นโจรดีกว่าอยากได้สิ่งใดก็ใช้อำนาจเถื่อนแย่งชิงเอามาง่ายๆ แต่ละวันไม่ต้องทำงานทำการอะไรให้เหนื่อย ก็สามารถอยู่กินได้สบายๆ ไปที่ใดมีแต่คนกลัวเกรงครั่นคร้าม พวกที่คิดว่าควรเป็นโจรต่อไปมีมากกว่าพวกที่อยากกลับตัว แม้ลูกน้องจะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในความคิดจะเข้ามอบตัวต่อทางการ เสือโพธิ์ก็ยังยืนยันมั่นคงว่าสำหรับตนแล้วขอวางมือจากการเป็นโจรอย่างแน่นอน กลุ่มลูกน้องที่เห็นดีเห็นงามกับการเป็นโจรอยู่ ก็เกิดความหวาดหวั่นว่า ถ้าเสือโพธิ์เข้ามอบตัวกับทางการเมื่อใด ก็ต้องเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่หมดสิ้น ว่ามีใครเป็นลูกน้องบริวารบ้าง อีกทั้งคงเปิดเผยสถานที่หลบซ่อนหลีกเร้น อันเป็นความลับไม่มีแน่ หากเป็นเช่นนั้นพวกตนซึ่งยังประพฤติตัวเป็นโจรอยู่ ย่อมได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ลูกน้องกลุ่มนี้จึงแอบขบคิดวางแผน ที่จะสังหารเสือโพธิ์เสียเลย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ยอมให้เสือโพธิ์นำความลับไปเปิดเผย ให้ทางการรู้อย่างเด็ดขาด

ดังนั้นวันหนึ่งได้โอกาสเหมาะ สมุนโจรที่ไม่เห็นด้วยกับการวางมือของเสือโพธิ์ จึงรวมหัวกันฆ่าเสือโพธิ์ โดยสมุนคนหนึ่งที่ชื่อช้างใช้มีดขนาดใหญ่ฟันเสือโพธิ์จากด้านหลัง ถูกบริเวณหลังศีรษะด้านซ้าย เป็นแผลฉกรรจ์จนเสือโพธิ์ล้มฟุบลงจมกองเลือด ก่อนเสือโพธิ์จะสิ้นใจตาย ได้คิดอาฆาตพยาบาทลูกน้องทรยศ อย่างจับจิตจับใจถึงกับคิดอาฆาตในใจว่า ถ้าเกิดใหม่ชาติใดจะขอตามล้างแค้นเอาชีวิตลูกน้องทุกคนที่รุมกันทำร้ายเขาให้หมดสิ้น จากนั้นเสือโพธิ์ก็หมดสิ้นลมหายใจ ศพถูกทิ้งไว้กลางป่าตรงที่ถูกรุมฆ่านั้นเอง แต่การตายของเสือโพธิ์ไม่ได้เงียบหายไปเฉยๆ เพราะมีผู้ไปพบศพของเขาจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบและทำการชันสูตรพลิกศพตามระเบียบ เสือโพธิ์เสียชีวิตที่บ้านอาวุธ ต.แตล อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เมื่อเดือน กรกฎาคม 2467(1924)ขณะอายุได้ 40 ปีข่าวการจบชีวิตของเสือโพธิ์เป็นที่กล่าวถึงอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆจางหายไป

ห่างจากจุดที่ “เสือโพธิ์” หรือ นายโพธิ์ แสนกล้า ถูกฆ่าตายไปประมาณ 25 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านระไซร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่น้องชายของเสือโพธิ์ที่ชื่อ นายเจริญ แสนกล้า อาศัยอยู่พร้อมกับ นางพวน แสนกล้า ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ หลังจากเสือโพธิ์เสียชีวิตไปได้ 3 เดือน ในเดือนตุลาคม 2467 ภรรยาของน้องชายเสือโพธิ์ก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ผู้เป็นพ่อตั้งชื่อให้ว่า “เที่ยง” แรกเกิด ด.ช.เที่ยง มีรอยตำหนิและความผิดปกติที่ตรงกันกับรอยตำหนิและความผิดปกติของ นายโพธิ์ ถึง 6 ตำแหน่ง ซึ่งมีทั้งรอยแผลเป็นแบบนูนขึ้นมาจากผิวหนังขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 1-1.5 ซม. ยาวประมาณ 5-6 ซม.ตรงกันกับรอยบาดแผลของนายโพธิ์ที่ถูกลูกน้องฟันด้วยมีดขนาดใหญ่ที่บริเวณศีรษะด้านหลังจนเสียชีวิต มีรอยปานดำที่บริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้าง(รวม 4 ตำแหน่ง) ตรงกันกับรอยสักของนายโพธิ์ และเขามีนิ้วโป้งเท้าข้างขวาที่มีเล็บหนา ผิวหนังย่น มีขนาดใหญ่กว่าและผิดรูปไม่เหมือนกับนิ้วโป้งเท้าข้างซ้าย ซึ่งก็คล้ายกันกับอาการบวมและเป็นแผลหนองเรื้อรังที่บริเวณนิ้วโป้งเท้าขางขวาของนายโพธิ์ขณะที่ยังมีชีวิต

 


ภาพรอยแผลเป็นที่ด้านหลังศีรษะ


ภาพความผิดปกติของนิ้วโป้งเท้าข้างขวา
(ภาพจากเอกสารทางวิชาการของ ดร.เอียน สตีเวนสัน)


เมื่อเด็กชายเที่ยงเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงและมีจิตใจห้าวหาญเกินตัว ครั้นเด็กชายเที่ยงพูดจาได้คล่องแคล่ว ก็สร้างความตื่นเต้นตกใจให้กับพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กพูดว่าเขาคือ “เสือโพธิ์” มาเกิด และบอกเล่าว่าชาติก่อนเขาตายเพราะถูกลูกน้องทรยศรุมทำร้าย(เขาบอกด้วยว่ามีใครชื่ออะไรบ้าง) เมื่อเกิดมาชาตินี้เขาจะตามไปล้างแค้นฆ่าให้ตายหมดทุกคน แม้ผู้ใหญ่สั่งสอนห้ามปรามมิให้ผูกพยาบาทอาฆาตมาดร้ายเพียงใด เด็กชายเที่ยงก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คงพร่ำจะตามฆ่าล้างแค้นให้ได้ ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาหวนคิดถึงความฝันประหลาด ก่อนที่นายเที่ยงหรือ ด.ช.เที่ยงในขณะนั้นจะเกิดมา ทั้งนายเจริญและนางพวนฝันตรงกันเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ ”เสือโพธิ์” พี่ชายของนายเจริญที่เสียชีวิตไปแล้ว มาปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น และบอกว่าเขาจะมาเกิดเป็นลูกของทั้งสองคนพวกเขาไม่คาดคิดว่าความฝันในครั้งนั้นจะกลายเป็นความจริง

ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงได้พูดและแสดงออกถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่เคยเกิดเป็นเสือโพธิ์หลายครั้ง แต่พ่อแม่ของเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับใคร เพราะเด็กชายเที่ยงพูดถึงแต่การจะแก้แค้นและพูดถึงชื่อของบรรดาคนที่ร่วมกันฆ่าเสือโพธิ์ ทำให้พวกเขาเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกชาย จึงปกปิดเรื่องนี้มาตลอด จนกระทั่งพ่อของเขาป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงอายุได้ประมาณ 4 ขวบ เขาจึงยอมบอกกับญาติๆคนสนิทว่า เด็กชายเที่ยง คือ นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ “เสือโพธิ์” พี่ชายของตนมาเกิด

เมื่อเด็กชายเที่ยงเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นมา ความอาฆาตพยาบาทก็ยังไม่ลบเลือนไปจากความคิด และถึงกับสะสมอาวุธจะไปทำร้ายผู้อื่นอย่างแน่วแน่ พร้อมกันนั้นก็ออกสืบหาบรรดาลูกน้องทรยศอย่างเอาเป็นเอาตาย สร้างความหนักใจให้แก่พ่อแม่อย่างยิ่ง แต่กาลเวลาซึ่งผ่านมาเนิ่นนานกว่า 20 ปี พวกลูกน้องของเสือโพธิ์จึงแยกย้ายกระจัดกระจายไปอยู่คนละทิศละทาง บางคนเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กโดยเฉพาะนายช้างคนที่ฟันเขาจนเสียชีวิต บางคนถูกตำรวจยิงตาย บางคนติดคุกติดตะรางยังไม่ออก และบางคนก็หนีหายสาบสูญไปหลบซ่อนต่างถิ่นต่างแดน กระนั้นหนุ่มเที่ยงหรือเสือโพธิ์มาเกิดใหม่ก็พยายามสืบหาลูกน้องเก่าไม่ลดละ จิตใจหมกมุ่นอยู่กับความเคียดแค้นอาฆาตไม่ยอมเลิกรา

ต่อมาเมื่อนายเที่ยงอายุได้ 15 ปี แม่ของเขาก็มาเสียชีวิตลงไปอีกคน เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับลุง และลุงของเขาก็ห้ามไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติโดยเด็ดขาด เมื่อเขาฝ่าฝืนก็จะถูกเอาไฟจี้ที่หน้าอก ตอนนั้นลุงของนายเที่ยงเห็นว่า ถ้าหากเขายังไม่ละทิ้งความอาฆาตพยาบาทที่ฝังใจมาตั้งแต่ในอดีตชาติ สักวันหนึ่งหากนายเที่ยงตามไปฆ่าลูกน้องเก่าตายไปจริงๆ ตัวนายเที่ยงเองก็ต้องติดคุกติดตะรางหรือถูกประหารชีวิตในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ลุงของเขาและญาติผู้ใหญ่จึงได้พูดอธิบายให้นายเที่ยงได้รู้ถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากนายเที่ยงยังมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้ได้ โดยอธิบายว่า หากนายเที่ยงไปฆ่าลูกน้องเก่าเมื่อไหร่ก็เท่ากับทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง มีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต หากไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมก็ต้องหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่าเข้าเขา ได้รับความอดอยากทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อใดที่ตำรวจติดตามไล่ล่าไปจนถึงตัว ถ้าต่อสู้ไม่ยอมให้จับกุมแต่โดยดี ก็อาจถูกตำรวจยิงตายได้ทุกเมื่อ ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อนายเที่ยงไปฆ่าคนอื่นเมื่อไหร่และถือว่าแก้แค้นสำเร็จ ผู้ตายจะผูกพยาบาทจองเวรสืบไปไม่มีที่สิ้นสุด และจะต้องตามล้างแค้นกันไปทุกๆชาติ พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ยกเหตุผลมาแสดงให้มองเห็นความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งยังเตือนสตินายเที่ยงให้นึกถึงความรักความหวังดีที่พ่อแม่ญาติพี่น้องมีให้ จึงไม่ควรทำลายความรู้สึกดีๆเหล่านั้น เพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง

นายเที่ยงนำคำเตือนสติไปคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดก็มองเห็นโทษภัยจากความอาฆาตแค้นของตน จึงให้สัญญาต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ว่าจะล้มเลิกการแก้แค้น ยินดีอโหสิกรรมให้กับพวกลูกน้องที่ฆ่าตัวเอง และไม่อาฆาตพยาบาทต่อผู้ใดอีก จากนั้นได้ไปให้สัจจวาจาต่อหน้าพระพุทธรูป และยินยอมอุปสมบทเป็นพระภิกษุนานพอสมควร ก่อนจะสึกมาแต่งงานมีครอบครัว

ต่อมานายเที่ยงสมัครเข้ารับราชการเป็นทหาร ได้รับยศเป็นสิบเอก สังกัดกองทัพบก ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นปกติสุข ล้มเลิกความคิดแค้นที่ฝังใจจำมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนหมดสิ้น เมื่อคณะของ มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ไปพบ สิบเอกเที่ยง เพื่อสอบสวนหาข้อมูลการระลึกชาติได้ของเขา สิบเอกเที่ยงยังจำเหตุการณ์ในชาติที่แล้วได้ดี และชี้ให้ดูรอยแผลเป็นบริเวณด้านซ้ายของกะโหลกศีรษะ บอกว่านี่คือรอยที่ถูกลูกน้องที่ชื่อช้างใช้ดาบฟันเขาเป็นแผลฉกรรจ์ นอกจากแผลตรงศีรษะก็ ยังมีความผิดปกติของเล็บ ผิวหนัง และขนาดหัวแม่เท้าขวาที่ผิดรูปผิดปกติอีกแห่งหนึ่ง สิบเอกเที่ยงบอกว่ารอยแผลเป็นตรงหัวแม่เท้า ตรงกับที่เขาเคยเป็นแผลเรื้อรังในอดีตชาติตอนที่เป็นเสือโพธิ์ แผลนี้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เนื่องจากต้องเดินบุกป่าฝ่าดง เหยียบย่ำสิ่งสกปรกตลอดเวลา รอยแผลเป็นทั้งสองแห่งเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนปานดำที่บริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้างที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเช่นเดียวกันนั้น ได้จางหายไปเมื่อเขาโตขึ้น

มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ได้เดินทางมาพบและสัมภาษณ์ สิบเอกเที่ยง แสนกล้า เป็นครั้งแรก ที่ค่ายทหารในตัวเมือง จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2506 ซึ่งต่อมาเมื่อปี 2511 ได้รับพระราชทานนามว่า "ค่ายวีรวัฒน์โยธิน" ตามเบาะแสข้อมูลเบื้องต้นที่ ร้อยเอกนิต วัลลศิริ ทหารในค่ายเดียวกันเป็นผู้ส่งไปให้ ตามที่อยู่ที่ มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับในขณะนั้น ส่วน ดร.เอียน สตีเวนสัน นั้นได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นจาก มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ก็ได้เข้ามาสอบกรณีนี้เพื่อเป็นข้อมูลศึกษาวิจัยในเชิงวิชาการ เมื่อปี 2512 จากข้อมูลการสอบสวนและสัมภาษณ์ทั้งตัวของสิบเอกเที่ยงเอง ญาติๆ และพยานที่เกี่ยวข้อง ของทั้งสองท่าน พอจะประมวลความได้ดังนี้คือ

สิบเอกเที่ยงเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติของเขาให้ฟังว่า ตอนนี้เขายังจำเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติ ตอนที่เขาเกิดเป็น นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ “เสือโพธิ์” ได้ดี ในอดีตชาติเขาถูกลูกน้องบางคนในก๊กโจรของเขาเองรวมหัวกันฆ่าเขา โดยลูกน้องของเขาคนหนึ่งที่ชื่อ “ไอ้ช้าง” ได้ใช้มีดขนาดใหญ่ฟันเข้าที่ศีรษะด้านหลังอย่างแรง จนเขาเสียชีวิต

เมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาได้เห็นร่างของตัวเองนอนอยู่บนพื้น และมีเลือดไหลออกจากบาดแผล เขาอยากที่จะกลับไปเข้าร่างที่นอนอยู่ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปเพราะมีคนที่ฆ่าเขายืนอยู่รอบๆร่างของเขา จากนั้นวิญญาณของเขาได้ไปเที่ยวหาเพื่อนๆแต่เพื่อนๆก็มองไม่เห็นตัวของเขา ตอนนั้นเขาเกิดคิดถึงและอยากไปหาน้องชาย(นายเจริญ แสนกล้า) ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเขาได้มาอยู่ที่บ้านของน้องชายแล้ว และเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เขาเข้าไปหาภรรยาของน้องชาย(นางพวน แสนกล้า)ที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ เขาเห็นว่าภรรยาของน้องชายกำลังตั้งครรภ์อยู่ ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาผลักดันให้เขาเข้าไปในร่างของน้องสะใภ้ โดยที่เขาไม่สามารถฝืน ขัดขืน หรือบังคับตัวเองได้ แล้วเขายังบอกด้วยว่า หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ในร่างของน้องสะใภ้แล้ว ตัวเขาเองรู้สึกตัวโดยตลอด

เมื่อเขาเกิดมาและโตขึ้นจนพูดได้ เขาก็บอกกับพ่อแม่ในปัจจุบันชาติของเขาว่า เขาเป็นนายโพธิ์ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อมาเกิด เขาเคยถามพ่อแม่ของเขาว่า “พ่อกับแม่จำได้ไหม ที่ผมมาบอกพ่อกับแม่ในความฝัน” ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้พ่อแม่ในปัจจุบันชาติของเขาฟัง ทั้งสองคนก็จำได้ว่าตอนที่แม่กำลังตั้งท้องตัวเขานั้น ทั้งแม่และพ่อฝันตรงกันเป็นที่น่าอัศจรรย์ ว่าตัวเขาคือ นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ ”เสือโพธิ์” พี่ชายของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็น และบอกว่าตัวเขา(เสือโพธิ์)จะมาเกิดเป็นลูกของทั้งสองคน

ตอนเด็กๆ เด็กชายเที่ยงมักจะเรียกตัวเองว่า “โพธิ์” แต่เขาจะแสดงความไม่พอใจถ้ามีเด็กๆด้วยกันมาล้อเลียนและเรียกเขาว่า“ไอ้โพธิ์” เวลาโกรธเขาก็มักจะพูดว่า “กูเป็นเสือโพธิ์นะ” เขาเรียกพ่อว่า “น้อง” และเรียกพี่สาวของพ่อว่า “น้อง” เช่นเดียวกัน แทนที่จะเรียกว่า “ป้า” ตามปกติ

ตอนเด็กๆ เด็กชายเที่ยงมีอาการกลัวมีดอย่างผิดปกติ และกลัวที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านที่เสือโพธิ์ถูกฆ่าตาย แต่เขาบอกว่า ถ้าเขาโตขึ้นเขาจะเข้าไปตามหาคนที่ฆ่าเขา เพื่อแก้แค้นให้ได้

เขาจำได้ว่าในอดีตชาติเขามีภรรยาแล้ว ภรรยาเขาชื่อ “ไพ” ตอนที่เด็กชายเที่ยง อายุได้ 5 ขวบ นางไพ แสนกล้า ภรรยาของ เสือโพธิ์ เคยเดินทางจากบ้านของเธอ ที่หมู่บ้านอาวุธ ต.แตล อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ซึ่งห่างจากบ้านระไซร์ ประมาณ 25 กม. มาพบกับเด็กชายเที่ยง เธอนำสิ่งของต่างๆที่เป็นของนายโพธิ์และสิ่งของอื่นๆที่ไม่ใช่ของนายโพธิ์มาด้วย โดยนำปะปนกันมาหลายๆอย่าง แล้วถามเด็กชายเที่ยงว่า สิ่งของอันไหนเป็นของนายโพธิ์บ้าง เด็กชายเที่ยงบอกว่าสบายมาก และเขาสามารถเลือกสิ่งของทั้งหมดที่เป็นของนายโพธิ์ได้ถูกต้อง และยังเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เขากับนางไพแต่งงานกันให้ฟังด้วย นางไพถามเรื่องราวส่วนตัวที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัวของเธอเท่านั้น เด็กชายเที่ยงก็สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องโดยไม่ลังเล เด็กชายเที่ยงยังจำลูกสาวของนายโพธิ์ที่ชื่อว่า “ผา” ได้ และเรียกเธอว่า “ลูก” ทำให้นางไพภรรยาของนายโพธิ์และลูกสาวของนายโพธิ์แน่ใจว่า เด็กชายเที่ยงคือสามีและพ่อของพวกเธอมาเกิดจริงๆ เพราะเขาจำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัวได้ จำเหตุการณ์ขณะที่นายโพธิ์ถูกฆ่าตายได้ และสามารถบอกเล่าได้อย่างถูกต้อง เหมือนกับเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่เกิดกับนายโพธิ์มาด้วยตัวเอง เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ นางไพ ภรรยาของ เสือโพธิ์ เสียชีวิตเมื่อปี 1962 (2505) ขณะอายุได้ 76 ปี

สิบเอกเที่ยงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่นางไพมาพบกับเขาเมื่อตอนเด็กๆ นางไพบอกกับเขาว่า หลังจากที่ตัวเขา(เสือโพธิ์)ตายไป เธอได้บวชเป็นชี และเธอไม่คิดที่จะมีสามีใหม่ สิบเอกเที่ยงเล่าพร้อมกับควักเอาภาพของแม่ชีไพ ที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีออกมาให้ดู

มีพยานคนหนึ่ง ที่ทราบเรื่องราวของทั้งเสือโพธิ์และสิบเอกเที่ยงดี ซึ่งเป็นอดีตปลัดอำเภอจังหวัดสุรินทร์ชื่อ นายประมวล ทวีสุข นายประมวลผู้นี้เคยไปทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพเสือโพธิ์ตอนตายใหม่ๆ นายประมวลยืนยันว่า ศพของเสือโพธิ์มีรอยแผลที่ศีรษะและที่หัวแม่เท้าขวาจริง และนายประมวลเคยมาพบกับเด็กชายเที่ยงตอนอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ ปรากฏว่าเด็กชายเที่ยงทักทายเขาโดยการเรียกชื่อของเขา เด็กชายเที่ยงจำเขาได้ทั้งๆที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงบอกกับนายประมวลว่านายช้างเป็นคนฆ่าเสือโพธิ์

สำหรับการสืบชาติมาเกิดใหม่ของเสือโพธิ์ โดยเกิดเป็นนายเที่ยงนี้ มีข้อน่าสังเกตที่ค่อนข้างแปลกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ มารดาของนายเที่ยงได้ตั้งครรภ์อยู่ก่อน เมื่อเสือโพธิ์ตายไปได้เพียง 3 เดือน มารดาของนายเที่ยงก็คลอดนายเที่ยงออกมา แถมบนร่างกายของเด็กชายเที่ยงยังมีรอยแผลเป็น และรอยปาน ที่ตรงกันกับบาดแผลและรอยสักของเสือโพธิ์อีกด้วย จึงยังคงเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า รอยแผลเป็นและรอยปานที่ติดตัวของเด็กชายเที่ยงมาตั้งแต่กำเนิดเหล่านี้ เกิดมีขึ้นบนร่างกายของเด็กทารกตั้งแต่ก่อนเสือโพธิ์จะเสียชีวิต หรือเกิดขึ้นหลังจากที่นายโพธิ์เสียชีวิต ถ้าร่องรอยเหล่านี้เกิดมีขึ้นก่อนเสือโพธิ์จะเสียชีวิตร่องรอยเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด และถ้าร่องรอยเหล่านี้เกิดมีขึ้นหลังจากที่เสือโพธิ์เสียชีวิตแล้ว ร่องรอยเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ?
                        ...

 
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล :
แปลความจากหนังสือ : Where Reincarnation and Biology Intersect โดย Ian Stevenson
แปลความจากหนังสือ : Rebirth as doctrine and experience: essays and case studies โดย Francis Story
จากหนังสือ : ตายแล้วเกิดใหม่ คนระลึกชาติ(เล่ม 1) โดย นที ลานโพธิ์

92




ที่แห่งนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ ป่าลี้ลับ ป่าอาถรรพ์ … และคือป่าที่มีตำนาน ที่ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวลาวให้ความนับถือ เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาค ต้นตำนานแม่น้ำโขง เป็นป่าที่มีความน่าสนใจในแง่พฤกษศาสตร์ ที่โลกต้องทึ่ง!!! กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับหลายร้อยปี และมีอยู่ที่เดียว ณ ป่าคำชะโนด มีพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด ที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้ "เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด"

ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด กล่าว อย่างไรก็ตามผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน เพราะเรื่องเล่า "ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) …. โดยเมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง... หลังจากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระ ฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ ขับรถเข้าไปแถวป่าคำชะโนดก็เริ่มมืด ยิ่งขับไปทางเส้นทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถ แต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มี เมื่อขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่า ทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลย พอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำ ถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็ก แต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า





เมื่อถึงที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนัง แต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำ ขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคน พอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงคราม เรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผี ระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆ แต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหน คนก็จะหัวเราะตลอด จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผี สังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดู ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆ ระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน ทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกัน ปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา หลังจากฉายหนังจบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่ง ก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด

พอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถ พอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัย จึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอก เมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉาย ทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนัง ที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย...
นอกจากจะมีเรื่องเล่าผีจ้างหนังที่ป่าคำชะโนดแล้ว ผืนป่าแห่งนี้ยังมีเรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องคือ เวลาน้ำแล้งก็จะเห็นว่าดินเชื่อมต่อกันไม่มีอะไร แต่เวลาน้ำท่วม ที่ดินรอบๆ จะท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่านี้น้ำไม่ท่วม น้ำขึ้นสูงอย่างไรก็ไม่ท่วม ชาวบ้านจึงเชื่อว่า เกาะนี้ลอยน้ำได้






อีกหนึ่งเรื่องเล่าของป่าแห่งนี้ ซึ่งคนภายนอกฟังดูอาจคิดว่าเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวกันเล่นๆ สำหรับชาวบ้านที่อยู่มานานนมกลับเชื่อสนิทใจ ไม่ใช่นิทานปรัมปรา หรือนิยายประโลมโลก แต่นั่นคือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อป่าอันลี้ลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย … ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด ได้ย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในป่าคำชะโนดว่า เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด" ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อ

ห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน "แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่อง อยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด) ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้" ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง กล่าว ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช กระทั่งในวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค โดยชาวบ้านเชื่อว่าใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิตเลยทีเดียว





ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้าย

ทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกันเมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุลหลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำ

มุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจึงได้เป็นผู้ชนะ ปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่าแม่น้ำของ ฝ่าย สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทยการสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาค จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวง

นครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค และมีลักษณะ 31 วัน โดยข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล
 
 
 
credit : hero
http://free-from.blogspot.com/

93


ฮือฮาชาวบ้านแห่ขุดทอง ท้ายหมู่บ้านบ่อนางชิง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เผยพบสายแร่ทองคำเมื่อ 3 เดือนก่อน ข่าวแพร่ออกไปคนมาขุดเจอทองเกือบทุกวัน จนรวยยกหมู่บ้านกลายเป็นเศรษฐีใหม่-ซื้อรถป้ายแดง...

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ได้มีกระแสข่าวพบบ่อแร่ทองคำในพื้นที่ ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว บริเวณท้ายหมู่บ้านบ่อนางชิง ม.4 ต.ห้วยโจด เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง เมื่อไปถึงพบว่ามีประชาชนมากกว่า 100 คน กำลังลงมือขุดดินเป็นหลุมลึกประมาณ 1-2 เมตร กว้างประมาณ 2-3 เมตร กว่า 50 หลุม เพื่อหาแร่ทองคำ โดยที่นายไสว กุลศิริ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร เป็นผู้โชคดี โดยขุดได้ทองคำน้ำหนักประมาณ 1 กรัมแล้ว

ด้านนายสุบันท์ เซียมกิ่ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร กล่าวว่า พื้นที่ซึ่งประชาชนขุดทองครั้งนี้ เป็นที่ดินมีหลักฐาน นส.3 ก. ของนายอัมพร ซังชมแก้ว ซึ่งฐานะดี บ้านอยู่ ต.ท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว มีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ เจ้าของได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้ามาขุดหาทองโดยเก็บค่าเช่าหน้าดินล็อกละ 300-500 บาท ขนาดยาว 4 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนที่ดินแปลงติดกันเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เป็นของ จ.ส.อ.บุญลือ ชุยอิว อายุ 80 ปี บ้านอยู่เลขที่ 180 ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร ซึ่งเปิดให้ชาวบ้านขุดทองฟรี แต่ทองที่ได้ต้องขายให้ จ.ส.อ.บุญลือ ราคากรัมละ 950 บาท จนมีชาวบ้านจากหลายพื้นที่แห่กันมาขุดทองในที่ดินทั้ง 2 แปลง

ทั้งนี้ ชาวบ้านเริ่มขุดตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ละวันได้ทองเกือบทุกคน เฉลี่ยประมาณ 1 กรัมต่อวัน ส่วนผู้โชคดีเมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ทองคำก้อนใหญ่ไม่ทราบน้ำหนัก แต่นำไปขายร้านทองได้เงิน 4 ล้านบาท จนกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในหมู่บ้านบ่อนางชิงไปอีกคน ส่วนชาวบ้านทั่วไปในหมู่บ้านไม่น้อยหน้ามีรายได้จากการขุดหาทองทุกคน โดยจะเห็นได้จากการสร้างบ้านหลังใหม่และซื้อรถป้ายแดง

นายสุบันท์ กล่าวต่อว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อนางชิงแห่งนี้โชคดี เพราะพื้นที่ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเนื้อที่ประมาณ 18,000 ไร่ มีแร่ทองคำและทองคำน้ำหนักตั้งแต่ 1 กรัม จนถึงหลายกิโลกรัมแทบทุกตารางวา ซึ่งจากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า ในพื้นที่รอบบริเวณบ้านบ่อนางชิงนี้ เคยเป็นเหมืองทองคำมาก่อน โดยจะเห็นได้จากหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการขุดหาทองคำของคนโบราณที่ชาวบ้านขุดได้.

 


ขอบคุณที่มา...ไทยรัฐออนไลน์

94



แมงมุมดักทรัพย์ตาเพชร รุ่น มหาเศรษฐี ตาเป็นเพชรท้องเป็นถุงเงิน ปี 2547 เนื้อเงินขัดเงา สร้างน้อย หายากมากๆ ลูกศิษย์ต่างหวงแหน ล.ป.สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต ขนาดตัวแมงมุม(ไม่รวมเลี่ยม) 2 x 2.5 ซ.ม.

 *แมงมุมรุ่นนี้ ตอนหลวงปู่ปลุกเสก เคลื่อนไหวดุจมีชีวิต กระโดดออกมาจากพาน อยู่รายรอบ และบางตัวก็กระโดดมาเกาะอยู่บนตัวหลวงปู่ครับ


เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาสำคัญถือเป็นสุดยอดเด็ดขาดและแน่นอนสร้างชื่อเสียงให้หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พระอริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน อายุ 115 ปี (ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ) คือ " วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์ " ที่ท่านได้รับถ่ายทอดยอดปรมาจารย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท โดยตรงเพียงองค์เดียว เมื่อครั้งที่หลวงปู่สุภาธุดงค์ไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เรียน
สำเร็จจะลากลับหลวงปู่ศุขได้เรียกหลวงปู่สุภาไปสอนวิชา " แมงมุมเรียกดักทรัพย์" โดยมีเคล็ดวิชาว่า " แมงมุมเป็นสัตว์วิเศษไม่ต้องออกไปหากินมีเหยื่อหรืออาหารเข้ามาถึงรังเข้ามาถึงปาก เพียงชักใยดักเหยื่อไว้เท่านี้ก็ไม่อดมีกินอิ่มตลอดการ"การเปิดร้านทำกิจการก็เช่นเดียวกันถ้าได้วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์ไปก็เหมือนเปิดร้านกิจการค้าขายดักเหยื่อ ดักทรัพย์ ดักูลูกค้า ดักโชคดักลาภ ดักเงินดักทอง ให้เข้ามาติดกับง่ายดาย เห็นผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและแน่นอน หลวงปู่สุภาได้เรียนรู้วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์และได้สร้างแมงมุมเรียกดักทรัพย์ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ใช้ต่างเห็นผลมีประสบการณ์มากมายสุดจะพรรณนา อาทิ กิจการค้าขายลูกค้าเข้ามากค้าขายดี กิจการเติบโตก้าวหน้าเจริญขึ้น มีโชคมีลาภ ได้เงินได้ทอง ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็มาก ใครได้แมงมุมของหลวงปู่สุภาไปต่างมีประสบการณ์ดีขึ้นแทบทั้งนั้นจนเรียกได้ว่า วิชาดักทรัพย์โชคลาภค้าขายไม่มีอะไรเกินแมงมุมของหลวงปู่สุภาไปได้

หลวงปู่สุภาได้ปลุกเสกแมงมุมเรียกดักทรัพย์แบบรูปหล่อแมงมุมเหมือนจริงเป็นครั้งแรก ช่างได้ออกแบบอย่างสวยงามสมส่วน มีเอกลักษณ์อมตะสง่าสมชื่อว่าเป็นพญาแมงมุม ด้านหลังแมงมุมได้ลงหัวใจยันต์ "ทะล้อมกะ" ที่หลวงปู่สุภาใช้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวท่านดีทางป้องกันอันตรายทั้งแปดทิศ ใต้ท้องแมงมุมมีลักษณะเป็นเหมือน "ถุงทรัพย์" จาลึกอักขระหัวใจรับทรัพย์เป็นการถอดสูตรผ้ายันต์รับทรัพย์ทั้งผืนลงในอักขระที่ใต้ท้องแมงมุม (ตั้งตัวแมงมุม ตรงๆ ท้อง แมงมุมจะเหมือนถุงทรัพย์หรือถุงเงินถุงทอง) เป็นสูตรรวมขุมทรัพย์โภคสมบัติทั้งปวง เหนืออื่นใดแมงมุม รุ่นมหาเศรษฐี นี้พิเศษตรงที่ในตาของแมงมุมทั้ง 2 ข้างได้ฝังเพชร ซึ่งเปรียบเสมือนดวงแก้วล้ำค่าของหลวงปู่ที่มี อานุภาพทางชี้ช่องทาง บอกทางให้เจริญรุ่งเรืองสมความปรารถนา มีอานุภาพครอบจักรวาลเหมือนบรรจุดวงแก้วสารพัด นึกในตาของแมงมุม เป็นการซ้อนความขลังลงในวิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์อีกโสตหนึ่ง (เพชรที่ฝังเป็นตาแมงมุมเป็น แก้วชนิดพิเศษตระกูลคริสตอล สั่งจากประเทศออสเตรเลีย เพื่อมาบรรจุในตาแมงมุมของหลวงปู่สุภารุ่นมหาเศรษฐี โดยเฉพาะ) สรุปรวมความว่าแมงมุมเรียกทรัพย์รุ่นมหาเศรษฐีของหลวงปู่สุภาเพียบพร้อมไป ด้วยอานุภาพครอบคลุม ทุกทางกล่าวคือ

1. เรียกทรัพย์
2. ดักทรัพย์
3. ป้องกันอันตราย
4. เป็นแก้วสารพัดนึก
5. วิชาแมงมุมตำรับหลวงปู่ศุขอยู่ไหนก็อิ่มไม่อดอยาก
6. ค้าขายดีลูกค้าเข้ามาก


และเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่สุภาปลุกเสกแมงมุมเรียกทรัพย์มีตาเป็นเพชร


คาถาปลุกแมงมุมดักทรัพย์

(ตั้งนะโม 3 จบ) สวดวันละ 9 จบ ก่อนคล้องออกจากบ้าน และก่อนนอน


สุวันนะระชะตัง มะหาสุวันนะ ราชะตัง อังคะตะเศรษฐี มหาอังคะตะเศรษฐี มิคะตะเศรษฐี มะหามิคะตะเศรษฐี ปุริเศษสาวาอิตถีวา พราหมณ์มะณีวา มะอะอุ มานิมามา




ขอบคุณที่มา...เว็บพลังจิตดอทคอม

95


เริ่มสักยันต์ต่าง  ๆ ใส่ในตัวเองตั้งแต่จบ ป.4ตัวอักษรสักเป็นอักขระทั้งตัว

มีความสนใจในศาสตร์เร้นลับมาตั้งแต่เด็ก สืบเสาะหาอาจารย์ที่ว่าเก่ง, ค้นคว้าวิชา, คาถาอาคม มาเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปี

การปฏิบัติทรมานตนเอง(บำเพ็ญตบะโดย นั่งกองไฟ, ลงไปดำน้ำ, เดินเท้าเปล่าตากแดดร้อน ๆ, ทรมานตัวเองในหลุมดิน) จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบกับตำราโบราณ "ตำราพิชัยสงคราม"ซึ่งหายสาบสูญไปกว่า 50 ปี ซึ่งเกจิอาจารย์องค์หนึ่งใช้เรียนอยู่ที่นครปฐม(หลวงพ่อเต๋  คงทอง), อาจารย์เทพ  สารีบุตร ได้รวบรวมคำภีร์ต่าง ๆ แยกไว้เป็นแขนงโดยมีทั้งหมด 11 เล่มด้วยกัน


ตำราพิชัยสงคราม
   
  
   

          ประเทศไทยมีอยู่ ๔ สมัย ได้แก่ สมัยสุโขทัย, สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี และในสมัยปัจจุบันมีชื่อเรียกว่ากรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีชื่อดั้งเดิมว่าสยามประเทศ ซึ่งในสยามประเทศหรือประเทศไทยในปัจจุบันมีพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ๙ พระองค์ แต่ละพระองค์มีความปรีชาสามารถแตกต่างกันไป ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ในทวีปเอเชียที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งอยู่ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านได้ใช้ความปรีชาสามารถในการปกป้องพื้นแผ่นดินสยามให้เป็นอิสระ ในความหมายของประเทศไทยหมายความว่าอิสระ และเสรีภาพ

            สยามประเทศในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยโดยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๕ ท่านโปรดปราณที่เสด็จดำเนินไปทั่วทุกสารทิศ จนกระทั่งท่านทรงเสด็จไปตอนเหนือของบางกอกหรือกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ได้เจอเมืองร้างที่มีชื่อว่า อโยธยา โดยเป็นเมืองร้างมากกว่า ๑๐๐ กว่าปี ซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นกรุงเก่าที่ยาวนานที่สุดถึง ๔๑๗ ปี โดยมีการเล่าขานถึงยุทธศาสตร์ที่ล่ำลือมายาวนานถึงเรื่องตำราพิชัยสงคราม ถึงแม้ว่าในสมัยอยุธยาจะแตกสลายจากการทำสงครามในครั้งนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคือการสูญเสียหรือการปราชัย เพียงแต่ในสมัยนั้นอยุธยานั้นได้เสียหายมากมายยากกว่าการเยียวยาเลยได้ย้ายมาอยู่กรุงธนบุรี และจากกรุงธนบุรีสู่กรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังมีการกล่าวขานล่ำลือถึงตำราพิชัยสงคราม

            ตำราพิชัยสงครามถือว่าเป็นตำราสูงสุดของทางด้านยุทธศาสตร์การต่อสู้ ซึ่งเหมือนมีมนต์ขลังที่ทำให้ใครอยากได้มาครอบครอง โดยมีอาจารย์ท่านหนึ่งได้รวบรวมและเรียบเรียงคัมภีร์พุทธเวทย์มหามนต์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในตำราพิชัยสงครามไว้เป็นเวลา ๑๐๐ กว่าปี จนในสมัยปัจจุบันคัมภีร์ชุดนี้ได้ตกมาเป็นของอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งมีความชำนาญในศาสตร์และศิลป์ทางด้านการสัก ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการสักยันต์แต่เป็นการสักคำโบราณตามตำราของพิชัยสงครามซึ่งเป็นคำขอมโบราณในสมัย ๒,๐๐๐ ปีที่แล้วเป็นการสักเพื่อปกป้องและคุ้มครองชีวิตในการต่อสู้และการดำเนินชีวิตในสมัยนั้น และในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงและปรุงแต่งให้ใช้ได้กับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน

            โดยการสักของอาจารย์ท่านนี้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างของชีวิตที่แตกต่างกันไปแต่ละครั้งจะเน้นถึงความสำคัญในด้านของชีวิตปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าในด้านการงานอำนาจบารมีฯลฯ จะต้องผ่านการตรวจสอบทางด้านโครงสร้างของกระดูก ซึ่งหมายถึงชะตาชีวิตของแต่ละบุคคล และในการสักแต่ละครั้งนั้นแตกต่างกันออกไปก่อนที่จะสัก ซึ่งท่านอาจารย์จะพินิจพิจารณาว่าบุคคลนั้นสมควรที่จะใช้คำโบราณหรือการสักแบบใดแล้วแต่ชะตาชีวิตและความจำเป็นในการดำเนินชีวีต





ที่มาของเศียรฤาษีอุรุเวกัสสปะ สมัยแรกเริ่มด้วยความชอบส่วนตัว อาจารย์จ๊อดได้เริ่มสะสม เศียรกว่าสิบเศียร แต่ไม่เคยได้เจอเศียรที่ถูกใจจริง ๆ จนกระทั่งพบกับช่างปั้นศิลป์ท่านหนึ่ง ซึ่งปั้นเศียรทีที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นตา (รับทำเศียรถวายในวัง) ช่างปั้นได้หยอกเล่นกับอาจารย์จ๊อดว่า “ ฤาษีป่าแค่นี้ปั้นสิบห้าวันก็เสร็จแล้ว” แต่ปรากฏว่าช่างปั้นได้พบกับความยากลำบากในการปั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วใช้เวลาปั้นเศียรฤาษีนี้ ร่วมกว่าหกเดือน และค่าจ้างก็แพงขึ้นเป็นเงาตามตัวร่วมค่อนแสนบาท

ยันต์ทุกยันต์ท่านเขียนเองตามคำภีร์...






เขียนเองไม่มีพิมพ์




















ผลงานการสัก...ของอาจารย์จ๊อด












เพื่อเผยแพร่วิชาอีกแขนงหนึ่ง...เป็นวิทยาทาน
...จากศิษย์น้อง  ++กระเบนท้องน้ำ++

ขอขอบพระคุณ:อาจารย์จ๊อด
ที่มา: http://www.thaispell.com/default.asp


96
วิธีโพสรูปลองคลิ๊ก...แล้วศึกษาดูตามลิงค์ข้างล่างดูครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,2148.html

97
เหรียญเก่าแลดูสวยดีครับ

ขอบคุณที่นำมาให้ชมกันนะครับ
:016:

98
คำว่า  “กริ่ง”  นี้ มาจากคำถามที่ว่า “กึ กุสโล”  คือเมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรมมีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขา  เวทนา  ปฺญญาภิสังขารเปลี่ยนไป อเนญชา  เป็นเหตุให้พระโยคาวจรเอะใจขึ้นว่า “กึ กุสโล” นี้เป็นกุศลอะไร  เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดไม่เหมือนกับกุศลอื่นที่ผ่าน “ดับสนิท” คือ หมายถึงพระนิพพานนั่นเอง พระกริ่งจะมีรูปทรงเหมือนพระชัยวัฒน์ แต่พระกริ่ง จะมีขนาดใหญ่กว่าและที่ฐานจะบรรจุเม็ดโลหะกลมๆไว้ โบราณท่านบอกว่า “ พระกริ่งนั้นไว้แช่น้ำมนต์ พระชัยวัฒน์นั้นไว้พกติดตัว”


พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2530



พระกริ่ง ยอดแก้ว วัดบวรนิเวศวิหาร

สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศเทพวรารามทรงสร้างพระกริ่ง และพระชัยวัฒน์นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

          ทรงเล่าว่า  เมื่อพระองค์ทรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีมหาโพธิ์ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง)  สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม  เมื่อสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว  รับสั่งว่าเคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์ให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่าพระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จสมณเจ้าจึงรับสั่งให้นำมาแล้ว


สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว)

อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์โรคอหิวาก็บรรเทาหายเป็นปรกติ

           พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นพระกริ่งเก่าหรือไม่  ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง

          ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งนี้ขึ้นเป็นลำดับ ค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณแล้ว    เริ่มขึ้นที่ประเทศธิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีนและประเทศเขมร 

           เรื่องกำเนิดพระกริ่งของอาจารย์เสถียร  โพธินันทะ เรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ชีวิต” ปีที่ 5 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2505 เป็นว่ามีสาระประโยชน์อย่างยิ่ง  จึงขอนำมากล่าว เพื่อเชิดชูในเกียรติที่ท่านผู้มีปัญญาเลิศผู้หนึ่งในยุค 25   ความว่า   ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่อง  ฝ่ายพระผงเห็นจะได้แก่พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)  ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จ” วัดระฆัง” ฝ่ายพระโลหะเห็นจะได้แก่ พระกริ่งของสมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกร หรือที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศ” พิธีกรรมการสร้างพระผงแต่โบราณมาต้องทำผงวิเศษ  ซึ่งสำเร็จจากสูตรสนธิต่าง ๆ ที่ขีดเขียนลงในกระดาษชนวน แล้วลบถมจนได้ที่ เป็นจำนวนผงที่ต้องการ  สำหรับผสมกับการอื่นๆ พิมพ์เป็นองค์พระ  การสร้างพระโลหะหรือพระกริ่งก็เช่นเดียวกันจะต้องลงเลขยันต์ในแผ่นโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมลงยันต์โดยมากท่านนิยมลงด้วยพระยันต์ 108 นปถมัง  14  นะ  ว่ากันว่าเป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว  ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  การสร้างก็ต้องมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ ประกอบ

          พระกริ่งปวเรศนี้ เล่ากันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ  สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาปวเรศฯ  ทรงสร้างพระกริ่งในเบื้องปัจฉิมสมัยแห่งพระชนมายุ  แต่สร้างคราวละเล็กน้อยเชื่อกันว่ามี 2 คราวเท่านั้น  ทรงแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิดและเจ้านาย ข้าราชการประชาชนที่มาสดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศวิหาร  ฉะนั้น  พระกริ่งปวเรศฯ จึงมีน้อยไม่แพร่หลาย  ต่อมาเจ้าคุณวัดมกุฏกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองค์ท่าน ไปจัดสร้างขึ้นบ้างก็เป็นจำนวนน้อย  ภายหลังตำราไปตกอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรรดิราชวาส  ตามปากราษฎรเรียกว่า “ท่านเจ้ามา” เป็นพระเถระเชี่ยวชาญทางสมถภาวนา  อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ำลงไปลงตะกรุด  ณ ท่าแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดได้  ต่อมาท่านเจ้าก็มาเป็นประสาธน์ตำราแก่พระเทพโมฬี (แพ  ติสฺสเทวา) วัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งภายหลังพระเทพโมฬีเจริญสมณศักดิ์โดยลำดับ จนได้ครองสมณอัครฐานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ 8 พระเทพโมฬีไดสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรก  และได้สร้างติดต่อกันเรื่อยมาเป็นนิตย์ครั้งละมากบ้างน้อยบ้าง  จนถึงดำรงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจำเดิมแต่นั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ต่างสำนักเลียนแบบสร้างพระกริ่งกันแพร่หลาย


พระกริ่งปทุมสุริยวงค์ วัดบวรนิเวศวิหาร ปี  ๒๔๙๑

พระพุทธลักษณะของพระกริ่งเป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทาง ประเทศธิเบต และปรากฏในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกันกับเราเรียกว่า “กริ่งปทุม” ประเพณีสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้  และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้  เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง  เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้ว ก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาสมถธุระวิปัสสนาธุระ


พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า แบบ ธิเบต

อันที่จริงพระกริ่ง ก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง  พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานยิ่งนัก  ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่งคือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร”  แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันว่าดังนี้

          สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนี พุทธะ   เสด็จประทับ   ณ    กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร  พร้อมด้วยพระมหาสาวก 8,000 องค์  พระโพธิสัตว์ 36,000 องค์  และพระราชาธิบดี  เสนาอำมาตย์ตลอดจนปวงเทพก็โดยสมัยนั้นแล  พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉลียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดปรานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธานและคุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ”  พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี โพธิสัตว์แล้วจึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า

          “ดูก่อนกุลาบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที 10 นทีรวมกัน  ณ  โลกธาตุหนึ่งนามว่าวิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ นั้นมีพระพุทธเจ้า  ซึ่งมีทรงนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์  เป็นผู้ตรัสรู้รู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว  เป็นผู้รู้แจ้งทางโลก  เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ  เป็นสารถีฝึกบุรุษ  เป็นศาสดาแห่งเทวดา  และมนุษย์เป็นผู้เบิกบานแล้ว  เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตกาล เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่  พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน 12 ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุ

          มหาปณิธาน  12  ประการเป็นไฉน

1.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ขอให้สรรพสัตว์จึงมีวรกายดุจเดียวกับเรา

2.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์  มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตข์  ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึกส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปราถนา

3.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ก็ขอให้เราได้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนเลย

4.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรคหากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนิดปฏิปทาแบบมหายาน

5.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมณ์จรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่างได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อสดับนามแห่งเราก็ขอให้ จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคคตินิรยาบาย

6.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทรามมีอินทรีย์ไม่ผ่องใสโง่เขลาเบาปัญญา  ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนาม แห่งเราก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์

7.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตว์ ปราศจากวงศาคณาญาติอันความยากจนค้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่โสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายในอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติจนที่สุดก็จัดได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ

8.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปราถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้  มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปราถนา จนที่สุดก็จะได้สำเร็จแก่โพธิญาณ

9.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  เราจะสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิและให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด

10. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตารางหรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอัววิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และมีคุณาภินิหาร ของเรา ขอให้สัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว

11. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ ด้วยความหิวกระหายและประกอบอกุศลกรรม  เพราะเหตุแก่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจะได้ประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังให้เขาอิ่มหน่ำสำราญ แล้วจะประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข

12. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้เขาจักได้สิ่งที่ปราถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆ ฯลฯ

          ครั้นแล้ว  พระบรมสาสาคาศากยะมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรีพุทธนี้ มีพระโพธิสัตว์ใหญ่ 2 องค์ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า  เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรงแสดงอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี” ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแลไซร้ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา  ไม่ฝันร้ายศาสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้  ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ  นอกจากนี้ยังทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า  ต้องจัดพิธีบูชาเครื่องนั้น ๆ และทรงประธานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรกฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้

          “นโม  ภควเต  ไภษชฺยคุรุ  ไสฑูรฺยปรฺภาราชาย  ตถาคตยารฺทเต  สมฺยกสมฺพุทฺธาย  โอมฺ  ไภเษชฺเย  สมุรฺคเตสฺวาหฺ”

          ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏสัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว  ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ  108  หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด  จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิศดารอีกมากแต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่าท่านผู้ชมได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถามหาธารณีนั้นท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งได้และควรนับถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่ง  โดยเฉพาะทีเดียว

          เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา  พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัด  ประเทศจีน ญี่ปุ่น  ธิเบต  เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย  สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้  และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น  อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน  และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา  มลายู  ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ  บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท”  พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย  ฉะนั้น  จึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์  แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง  ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร  เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว  เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม  พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์  อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญา  อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102  แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก  จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

          นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง  ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่าพระกริ่งปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน  ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์  ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม  วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน  ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น  ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ  จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้  เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป ฉะนั้น

          ส่วนพระกริ่งเขมร พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินเขมรเป็นผู้สร้าง  ที่ได้ยินชื่อเรียกบ่อย ๆ  “เรื่องพระกริ่งปทุมนี้ข้าพเจ้าได้ทูลถามเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่าพระกริ่งของพระองค์ที่สร้างครั้งก่อน ๆ เลียนแบบจากพระกริ่งของประเทศใด สมเด็จฯ รับสั่งว่าได้แบบจากพระกริ่งปฐมวงศ์เพราะเห็นพระกริ่งที่ท่านทรงสร้างก่อน ๆ นั้นพระนั่งปางมารวิชัยพระหัตถ์ซ้าย ถือวชิราวุธประทับบนบัวคว่ำบัวหงาย 7 กลีบด้านหลังของพระเกลี้ยงไม่มีกลีบบัว และก็ไม่ได้มีเครื่องหมายอะไร พระองค์ทรงสร้างกริ่งในตัวเนื้อโลหะเป็นทองชนิดเดียวกัน

          สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  เมื่อยังมีพระชนย์มายุอยู่เคยเสด็จมาคุยกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ  สมัยเป็นพระพรหมมุนีบ่อย ๆ ครั้งเหมือนกันทราบว่ามาชมหลวงพ่อดำ (พระเชียงแสน)  เจ้าคุณอาจารย์เล่าว่า พระบูชาที่หล่อในยุคนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นผู้แนะนำแบบพิมพ์ด้วยเหมือนกันของฉันหล่อ 2 องค์เลย

          อนึ่ง  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่าพระกริ่งเป็นของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเราแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าปทุมสุริวงศ์สร้างไว้ เพราะไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น เมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 พระอมรโมลี (นพ) วัดบุป้างราม ลงมาส่งพระมหาปานราชาคณะธรรมยุติ ในกรุงกัมพูชาองค์แรก  ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จสุคนธ์นั้นมาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัมภันตริกามาตย์) ท่านให้แกเราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง  เมื่อเราบวชเป็นสามเณรได้นำไปถวาวเสด็จฯ พระอุปัชฌาย์ ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์นั้นมี 2 อย่าง สีดำอย่างหนึ่ง สีเหลืององค์ย่อมมากกว่าสีดำอย่างหนึ่ง  แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้นต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย  พระครูเมืองสุรินทร์เขามากรุงเทพฯ  เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่งก็เป็นอย่างสีดำได้เทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย  จึงเขาใจว่าพระกริ่งนั้น เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีนมาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆนี้  ด้วยราชฑูตประเทศหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง  ได้พระกริ่งทองทางของจีนมาองค์หนึ่ง  ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่ง  พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่าพระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบตำราในลัทธิฝ่ายมหายาน เรียกว่า “ไภษัชยคุรุ” เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องยาบำบัดโรค  ถือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ เป็นต้น  สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพระกริ่งจึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์  เรามาเที่ยวนั้นตั้งใจจะมาสืบหาหลักฐานว่าพระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองพนมเปญพบพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรือเคยพบเห็นพระกริ่ง มีออกญาจักรี่คนเดียวเห็นบอกว่า สัก 20 ปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่ครั้นมาถึงนครวัดมาได้ความจริงจากเมอร์ซิเออร์มาร์ชาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อสัก 2 – 3 เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขามาเก็บ พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์เอามาให้เราดู เป็นพระกริ่งสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างเนื้อดำและเนื้อเหลือง  ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบายจึงเป็นอันได้ความแน่ว่า  พระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่  แต่จะนำมาจำหน่ายจากเมืองจีน  หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ไม่ทราบได้  พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตอนนี้ก็เห็นชัดว่า พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ใครเป็นผู้สร้างและแพร่หลายมาเมืองไทยเรามากพอควร

          สมเด็จฯ จะได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาจากผู้ใดนั้นปรากฏหลักฐานตามหนังสือหลายเล่มได้สันนิษฐานไว้เป็นสองทาง คือ บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระพุฒาจารย์” (มา)  วัดจักรวรรดิราชาวาส บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระมงคลทิพย์มณี” (เทียบ) วัดพระเชตุพนฯ 

          สมเด็จฯ  ภายหลังจากที่ได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาแล้วพระองค์ก็ทรงค้นคว้า มุ่งแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณมีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มาทดลองหล่อผสม  หาวิธีการที่จะทำเนื้อโลหะ ให้เกิดความบริสุทธิ์และมีฤทธิ์สมดังคำบรรยายที่มีเขียนไว้ในตำรา  และทรงค้นควาอย่างจริงจังดังปรากฏตามคำบอกของท่านเจ้าคุณราชวิสุทธาจารย์ (แป๊ะ) วัดสุทัศน์ฯ และอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร ว่า เมื่อคราวจัดงานพระศพของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ลงไปใต้ถุนตำหนัก เพื่อสำรวจสถานที่ที่เตรียมจัดงานพระศพได้พบก้อนแร่หลายชนิด พบอ่างเคลือบประมาณ 10 กว่าใบ พบครกเหล็กขนาดใหญ่วัดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 14 นิ้วฟุต มีรอยตำมาอย่างมากจนก้นทะลุ พบสูบนอนทำด้วยไม้สัก แต่ผุจวนจะหมด แสดงว่าเลิกค้นคว้ามานาน พบเบ้าหลอมแร่ที่แตก ๆ จำนวนมากเป็นกองโต พร้อมกับก้อนแร่เป็นจำนวนมาก เป็นที่น่าเสียดายว่าขณะนั้นเป็นการเวลาที่รีบเร่ง เพราะกำลังจัดงานพระศพ ประกอบกับการเสียใจในการจากไปของท่าน ทำให้ผู้ที่พบทั้งสองท่านไม่ได้คิดว่าจะอนุรักษ์ความเพียรพยายามของสมเด็จฯ ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังดูจึงได้ทำการเกลี่ยดินและกระทุ้งจนแน่น เทพื้นซีเมนต์ทับ ทำให้หลักฐานหมดไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อทรงพระชนม์อยู่เคยรับสั่งกับอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร  ขณะอุปสมบทว่า “ค้นหาแร่ธาติที่นำมาสร้างพระกริ่ง ถ่านหมดไปหลายลำเรือ” เป็นความจริงตามหลักฐานปรากฏ และเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าทรงพยายามค้นคว้าอย่างจริงจัง ด้วยเจตนาที่ต้องการความเข้มขลัง

          ในศิลาจารึกของอาณาจักรขอม ได้จารึกไว้ว่า ประมาณ พ.ศ.1725 – 1729 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามความเชื่อในศาสนาพุทธ โดยสร้างสถานพยาบาลเรียกว่า “อโรคยาศาลา” ขึ้นไว้ 102 แห่ง ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและบริเวณใกล้เคียงและยังกำหนดผู้ที่ทำหน้าที่รักษาพยาบาลไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ พยาบาล เภสัช ผู้จดสถิติ ผู้ปรุงอาหาร รวม 92 คน รวมทั้งพิธีกรรมบวงสรวงพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภา ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ด้วยการบูชายาและอาหารก่อนจ่ายให้แก่ผู้ป่วย ปัจจุบันมี “อโรคยาศาลา” ที่ยังเหลือปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ปราสาทกู่บ้านเขว้า จังหวัดมหาสารคาม




 : เรื่องเล่าจาก Internet

ขอขอบพระคุณที่มา...http://catkm.cattelecom.com/

99
สาธุ...อ่านแล้วชื่นใจครับ

100
ขอบคุณครับที่แจ้งข่าว...

ขอแสดงความเสียใจและขอร่วมไว้อาลัย

ต่อการจากไปของหลวงปู่ตี๋ด้วยครับ

101
ที่นี่คือบ้านของพ่อ...ฟังแล้วประทับใจครับ

พวกเรารักพ่อครับ...

ขอบคุณท่านบัฟ...สำหรับคลิปนี้ครับ :016: :015:

102
สามเณรวิ่งเล่นหายลึกลับในป่าช้า โผล่อีกทีตอนเช้าเผยซุกโพรงต้นกระบก อ้างหญิงแต่งชุดขาวจูงแขนพาไป



พบแล้วสามเณรวัย 14 ปี หายตัวลึกลับในป่าช้าฝังศพ เผยถูกซุกอยู่ในโพรงต้นกระบกปลอดภัยดี ยังมีอาการหวาดผวา อ้างถูกหญิงแต่งชุดขาวจูงแขนเข้าไปพาไปเลี้ยงอาหารอย่างดี เจ้าอาวาสเร่งทำพิธีขอขมาเทวดา เชื่อสามเณรอาจลบหลู่ ส่วนชาวบ้านเชื่อเป็นฝีมือผีบังบดที่ออกมาตักเตือนเท่านั้น


จากกรณีที่ สามเณรสุธี  ศรีโสดา อายุ 14 ปี หรือ สามเณรกีต้า วัดประชานิมิตร ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ หายตัวไปอย่างลึกลับไปในป่าช้าฝังศพท้ายวัด ระหว่างกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนสามเณรด้วยกัน ซึ่งเจ้าอาวาสและลูกบ้านได้ช่วยกันตามหาก็ไม่พบ จนเชื่อว่าถูกผีบังบดอำพรางตัวออกไปตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น . วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ต.ท.โสณกุญช์  ทรัพย์สมบัติ รอง ผกก.สืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งจากทางวัดประชานิมิตรว่า ได้พบตัว สามเณรสุธีแล้ว จึงเข้าทำการตรวจสอบภายในวัดพบชาวบ้านหลายร้อยคนพากันจับกลุ่มวิพากวิจารณ์ กันไปต่างๆ นานา โดย สามเณรสุธี อยู่ภายในกุฎิทั้งข้อมือซ้ายและขวามีสายสิญจน์ที่ชาวบ้านพากันสู่ขวัญให้ แต่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก ตาลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว



พระนพดล  ทิพวรรณโส พระพี่เลี้ยง กล่าวว่า อาตมาเป็นองค์แรกที่เห็น สามเณรสุธี โดยเมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. ก่อนภัตตาหารเช้า เห็น สามเณรสุธี เดินออกมาจากป่าด้านทิศใต้ จึงได้รีบบอก เจ้าอาวาสและชาวบ้านที่มาติดตามข่าว และจากการสอบถาม สามเณรสุธี เล่าว่า ในช่วงก่อนที่จะหายไป(เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เวลาประมาณ 17.30 น.) ได้วิ่งเล่นกับ สามเณรเอ็ม ในวัดตามปกติ โดยได้วิ่งไปตามโบถส์ ที่ฝังศพ แต่แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตนเองเกิดอะไรขึ้น เหมือนมีคนมาวิ่งนำหน้า จากนั้นก็พาตนวิ่งเข้าไปในป่าช้า จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว จนไปรู้ตัวอีกทีก็วันที่มีคนตามหาไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือตำรวจ เห็นหมดซึ่งขณะนั้น สามเณรสุธีบอกว่าอยู่ในโพรงของต้นกระบก แต่ไม่สามารถ ที่จะส่งเสียงร้องหรือขยับตัวได้ อีกทั้งคนที่เดินผ่านไปมาก็มองไม่เห็นตัวเอง


 สามเณรสุธี เล่าต่อว่า ตลอดทั้ง 48 ชั่วโมง 2 วันที่หายไปอยู่ที่ต้นกระบก จะมีหญิงสาวแต่งชุดขวา นำอาหารข้าวปลาไปเลี้ยงเป็นอย่างดี จนเมื่อเช้าของวันที่ 15 พฤษภาคม จึงได้ปล่อยออกมา ในความรู้สึกก็ตกใจและกลัวมากๆและไม่กล้าที่จะเดินไปเล่นที่ไหนแล้ว



   ต่อมาพระครูมงคล  พุทธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชานิมิตร ได้นำพาชาวบ้าน พระลูกวัดพร้อมด้วยสามเณรภายในวัด ได้ทำพิธีขอขมาเทวดาฟ้าดิน เนื่องจากเมื่อคืนนี้ ที่วัดมีการทำพิธีติดต่อกับวิญญาณและทราบว่า สามเณรสุธี ไปทำผิดไม่เคารพสถานที่จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งการขอขมา ได้แต่งขัน 5 พร้อมทั้งน้ำและขนมทำการกราบไหว้บูชาที่บริเวณต้นจิก ที่ด้านหน้าพระอุโบสถ

 

 พระครูมงคล พุทธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชานิมิตร กล่าวว่า เหตุการณ์ เกิดจากอิทธิฤทธิ์ของ ผีสางเทวดาแน่นอน เพราะการติดตามหาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ก็มีการตามหาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ หนองน้ำมีการติดตามหาก็ไม่เห็น จนเมื่อคืนที่ผ่านมา ทางวัดได้ทำพิธีติดต่อทางไสยศาสตร์และทราบว่าปลอดภัย และจะมีการนำสามเณรมาคืนในรุ่งเช้า   จึงได้เตรียมการที่จะทำการขอขมา ประกอบกับเมื่อพบ สามเณรสุธีแล้ว แถมยังมีสุขภาพแข็งแรงปลอดภัย ก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของผีสางเทวดาแน่นอน ทั้งนี้ก็ได้กำชับให้ สามาเณร และพระรวมถึงชาวบ้าน เมื่อเข้ามาภายในวัดจะต้องคิดดีทำดี ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

 

   ด้านนายบุญชื่น  คำยุธา อายุ 57 ปี สมาชิกเทศบาลตำบลนาจารย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้เชื่อว่าเป็นฝีมือของผีบังบด เพราะในลักษณะนี้เท่าที่จำได้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งในช่วงนั้นเกิดขึ้นกับฝูงควาย ได้หายไปเป็นตัวๆ แต่แล้วประมาณ 2-3 วันก็กลับมา แต่เมื่อก่อนขึ้นกับสามเณร ก็คงจะต้องระวัง แต่ในส่วนตัวไม่กลัวแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ กับความเชื่อจึงไม่ควรที่จะลบหลู่




ขอบคุณที่มา...http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273907313&grpid=01&catid

103
อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม

: ยึดเทือกเขาภูพานคืน





ธงมหาพิชัย สงคราม


ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้





๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา
ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ
 
วันที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน
วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี
ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย
 
 
 
 
 
เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอบคุณที่มา  : จากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก



104
บทความ บทกวี / สะดือแม่น้ำโขง
« เมื่อ: 15 พ.ค. 2553, 08:59:32 »
สะดือแม่น้ำโขง

หรือชาวบ้านเรียกกันว่าแก่งอาฮง เชื่อกันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นสะดือของแม่น้ำโขงหรือเมืองหลวงของเมืองบาดาล ในตลอดแนวของแม่น้ำโขงจากธิเบตถึงทะเลจีนใต้ ในหน้าแล้งจะมีน้ำลึก ชาวบ้านเคยเอาก้อนหินผูกเชือกแล้วหย่อนลงวัดความลึกได้ 99 วา ตรงนั้นจะมองเห็นได้ด้วยตาว่าเป็นแอ่ง แก่งอาฮง เป็นอีกจุดที่มีบั้งไฟพญานาค ทั่วไปปกติบั้งไฟพญนาคจะเป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู แต่ที่นี่เป็นลูกไฟสีเขียว เมื่อหลายปีก่อนมีชาวบ้านเห็นบั้งไฟพญานาคขนาดเท่าแท๊งน้ำขนาดหนึ่งพันลิตรสีเขียวสว่างไสวเป็นอย่างมากพุ่งสูง 20 เมตร ยังมีเรื่องลึกลับอีกว่าสะดือแม่น้ำโขงมีถ้ำใต้น้ำทะลุไปถึงภูงูซึ่งเป็นฝั่งของประเทศลาว



ในภาพที่เห็นจุดนี้คือ "สะดือแม่น้ำโขง" หรือที่ชาวบ้านแถบๆ อำเภอบึงกาฬ รู้จักในนามของแก่งอาฮง
เพราะเป็นจุดที่แม่น้ำโขงแคบที่สุด น้ำไหลเชี่ยวกรากที่สุด และแม่น้ำโขงลึกที่สุด

แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่ ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่ง