จิตเกิดปลิโพธ สติตามไม่ทัน หลงปรุงแต่งไปในอารมณ์อกุศลจิตทำให้เกิดปฏิฆะจนเพิ่มเป็นโทสะ
เสียเวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้สติระลึกรู้ว่า เรากำลังเสพอยู่กับอารมณ์ของอกุศลจิต
ซึ่งมีเหตุมาจากการที่เราเข้าไปยึดถือในสิ่งของ ว่ามันเป็นของ ของเรา จิตเข้าไปรักเข้าไปหวง
ไปกังวลกับของนอกกาย เมื่อมันเสียหาย เลยทำให้จิตของเราเศร้าหมอง
ตั้งสติพิจารณาทบทวนในพระไตรลักษณ์ ให้เห็นในความเป็นอนิจจัง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา
ว่าทรัพย์สินทั้งหลาย ล้วนเป็นสิ่งนอกกาย ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ มันไม่ใช่ของเราโดยแท้จริง
เราหลงไปยึดติด ยึดถือในวัตถุ ติดอยู่ในสิ่งสมมุติ จิตของเราเลยเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเข้าไปยึดถือ
เมื่อจิตระลึกรู้ในอารมณ์ที่เสพอยู่ ว่ามันคืออกุศลจิต เห็นทุกข์ เห็นภัย เห็นโทษ ในอกุศลจิตนั้น
จิตก็คลายจากการยึดถือ ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ที่ทุกข์ก็เพราะเข้าไปยึดถือ พอเราปล่อยวางมันก็ไม่เป็นทุกข์
เกิดปิติ ใจก็โปร่่งโล่งเบาสบาย เพราะคลายจากการยึดถือ
วันเวลาผ่านไป กับสิ่งรอบกาย ทั้งภายนอกและภายในที่เราได้เจอะเจอ ล้วนแล้วแต่เป็นครู
ที่สอนให้เรารู้และเข้าใจในหลักธรรม ทำให้นึกถึงคำกล่าวสอนเน้นย้ำของหลวงพ่อพุทธทาส
ที่ท่านได้กล่าวอยู่เสมอ เกี่ยวกับเรื่อง"ตัวกู-ของกู"เพื่อเป็นการเน้นย้ำเตือนสติมิให้หลงลืม
คือต้องรู้ต้องเข้าใจและทำให้ได้ โดยการมีสติและสัมปชัญญะ เตือนตนเตือนจิตอยู่ตลอดเวลา
ดั่งที่เคยกล่าวไว้ว่า"กิเลสทั้งหลายนั้นยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง เพราะมันเป็นอาคันตุกะที่จรมา"
เราต้องคอยเตือนสติระลึกอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้จิตเข้าไปยึดถือติดอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น...
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-วจีพเนจร-สมณะชายขอบ
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๔.๕๑ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย