1/4
วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ
โดย พ. สุธา
จากหนังสือ ตายแล้วไปไหน เล่มที่ ๔๑
เรื่องราวลี้ลับมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์ มีมากมายยิ่งนัก ยากที่จะหยิบยกมาให้ผู้อ่านได้อ่านทั้งหมด แต่ก็เพียงเสี้ยวหนึ่งของบางเหตุการณ์ มาเปิดเผยสู่สายตาของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ซึ่ง คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ผู้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ได้เหลือเพียงแค่ผลงาน และคุณความดีที่มีเจตนาจะให้ผู้อ่านละชั่ว ทำดี ดังเรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้
เมื่อก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้า (หมายถึง คุณ ท.เลียงพิบูลย์) ได้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหาร จะเป็นด้วยมีผู้มาเล่าให้ฟังก็ดี หรือเป็นจดหมายฉบับบันทึกส่งมาก็ดี ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อพิจารณาว่าควรจะเขียนขึ้นหรือไม่ เมื่อเขียนขึ้นแล้ว ผู้อ่านจะมีความรู้สึกอย่างไร บางท่านอาจพูดไปในทางอกุศล แม้ข้าพเจ้าเอง รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกสิ่งที่ลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ได้ ยังมีอยู่ในโลกอีกมากมาย
บางเรื่องยังมีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วย้ำว่า ท่านได้ประสบด้วยตนเอง เมื่อได้ฟังจบแล้ว ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิด แล้วตอบท่านได้อย่างเต็มปากว่า เรื่องนี้สำหรับผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้ต้องรอเอาไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แม้ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญ ฉะนั้น มนุษย์เราจึงมุ่งหน้าหันไปเอาใจใส่ ตื่นเต้นหลงใหลในความเจริญทางวัตถุใหม่ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
คนส่วนมากพากันคิดว่า ทุกอย่างต้องมีเหตุผล โลกเราอยู่ด้วยเหตุผล และไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ อย่างพิสูจน์ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อแน่ว่า วันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีผู้หันมาสนใจในเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับอภินิหารหรือตายแล้วเกิด เมื่อนั้นแหละ สิ่งลี้ลับอย่างนี้ คงจะค่อยๆ คลี่คลายเผยความจริงออกมา แต่เวลานั้น เห็นจะเป็นอนาคตอันใกล้นี้
เรามาพิจารณาสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์กันดูว่า ในโลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย เพื่อจะชี้ให้เห็น กรรม ของมนุษย์ที่ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะยุคอดีตชาติ หรือในยุคปัจจุบัน ย่อมจะเกิดผลเมื่อได้ติดตามมาทัน
และเพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่า มนุษย์เมื่อตายแล้วเกิดนั้น เป็นสิ่งแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ให้สงสัย เราต้องได้กลับมาเกิดอีกแน่เพื่อใช้กรรม เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เพียง ๓ ปี ในเตือนตุลาคม ใน จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่เกิดวรรณคดีที่มีชื่อ นับแต่โบราณตลอดมา เป็นที่รู้จักของคนไทยทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คือเรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน
ในครั้งนั้นมีกรมหนึ่งของกระทรวงที่ใหญ่โต ไม่แพ้กระทรวงทั้งหลาย ได้มีการทอดกฐินวัดหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นกฐินพระราชทาน และทอดที่วัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนั้น (เข้าใจว่า เป็นวัดป่าเลไลยก์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นโท - อ.เล็ก พลูโต)
งานกฐินพระราชทานครั้งนั้น มีข้าราชการทั้งหญิงและชายในกรมนั้น นับแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนชั้นผู้น้อย และยังมีชาวต่างประเทศที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย นับว่าเป็นงานกฐินครั้งใหญ่ที่เด่นในสุพรรณบุรีในปีนั้น
ก่อนวันทอดกฐินในคืนหนึ่ง ทางคณะกรรมการกฐินของกรมได้จัดงานการละเล่น ฉลององค์กฐิน ท่านรองอธิบดีให้ชื่อการแสดงว่า ว.ส.ม. บันเทิง เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ดของข้าราชการหญิงชายร่วมกันสนุกสนาน มีประชาชนชาวบ้าน อุ้มลูกจูงหลานมาชมการแสดงมากมาย
การแสดงที่นับว่าแสดงได้ดีเด่นในคืนนั้น ก็ได้แก่ การแสดงลิเก ซึ่งเป็นที่ยกย่องชมเชยว่า แสดงได้ดีมาก ท่ามกลางสายตาของข้าราชการในกรม และญาติมิตรชาวพระนคร ที่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย พร้อมทั้งชาวสุพรรณฯ เป็นจำนวนมากมาย พูดต่อๆ กันออกไปว่า ลิเกชุดนี้เขาเล่นดีจริงๆ แสดงได้ถึงอกถึงใจ โดยเฉพาะนางเอกนั้นสวยมาก กิริยาวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งแสดงได้ดีเท่าหรือดีกว่าลิเกอาชีพบางคณะเสียอีก ทั้งที่เป็นลิเกบรรดาศักดิ์สมัครเล่น ร้องรำไม่เคอะเขิน
ต่างก็วิจารณ์กันตามความรู้สึกของตน และชาวชนบทที่ชอบดูลิเกอยู่เสมอ เลยเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเมือง กล่าวขวัญถึงแต่เรื่องลิเก ส่วนการแสดงเบ็ดเตล็ดอื่นๆ แม้จะแสดงได้ดี ก็ไม่ค่อยสนใจกันมากนัก
ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188