แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ไทยแท้

หน้า: [1]
2
ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

3
ใช่ครับอย่างที่ท่านสายัญ และท่านtuxky บอกครับ ยันต์แรกเป็นยันต์พระพุทธเจ้า5องค์(นะโมพุทธายะ) อันที่สองคือยันต์หัวใจธาตุทั้ง4(นะมะพะทะ)

4
เรื่องจริงนะเนี่ย เคยเจอแบบนี้ไหมครับ จุดพักมอเตอร์เวย์ ตอนตีสองครึ่ง ผมกำลังขับรถบ้าน คนเดียว ปวดอุจจาระสุดๆ..................................

เข้าไปในห้องน้ำนั่งทันที ปิดประตู ปัง สักพักมีคนเข้ามานั่งห้องข้างๆ แล้วก็มีเสียงลอดมา ชายนิรนามห้องข้างๆ "สวัสดี เป็นไงมั่ง สบายดีไหม?"

ผม นึกในใจ อืม อะไรของมันใจดีสู้เสือตอบไป "เอ่อสบายดีครับ สวัสดีครับ" ชายนิรนามถามต่อ "ทำอะไรอยู่ล่ะ"

ผม.... เอ่อ.........จะให้ ทำอะไรฟะ นั่งอยู่ในส้วม " เอ่อ อุจจาระอยู่น่ะครับ "

ชายนิรนามถามอีก " นอนดึกนะเนี่ย ไม่หลับไม่นอน จะไปไหนเนี่ย"

ผม อืม........แปลกดีวุ้ยมีชวนคุย " เออ กลับบ้านที่จันท์ครับ ต้องไปงานแต่งตอนเช้า"

แล้วชายนิรนามก็พูดประโยคที่ทำให้ผมช๊อคมาก

เฮ้ย แค่นี้ก่อนนะ ห้องข้างๆ มันเป็น วรนุช อะไรไม่รู้ พูดตอบมาตลอดเลย" :007:
 

ที่มาชุมชนคนรักมีด ลานพิศวง

5
งามตาแท้ :095:

7
รอเฉลยน่ะครับหลวงพี่เก่ง :054:

8
เสด็จแม่แจ๋วจริงๆ

ความรู้เน้นๆ

ชอบพระลีลาเม็ดขนุน

เพราะส่วนตัวมี

แหะๆ

9
ส้มผลแรก
อยู่กับขอทาน ขอทานผู้นั้นแกะทานแค่ครึ่งหนึ่ง
แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ ขว้างทิ้งไปอย่างไม่แยแส แล้วก็บ่นว่า
" ทุเรศจัง ... ให้มาได้แค่ส้มผลเดียว "


ส้มผลที่สอง
อยู่กับลูกของผู้ใจดี ลูกของผู้ใจดีนั้นก็แกะทานทันที
เมื่อทานหมดผลแล้ว ก็พูดว่า ... " ส้มนี้อร่อยดีนะ "


ส้มผลที่สาม
อยู่กับแม่ของผู้ใจดี แม่ของผู้ใจดีนี้ นำส้มที่ได้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม
แล้วแช่ตู้เย็นไว้ เมื่อกระหาย จึงนำมาดื่ม ...
" แหมม..น้ำส้มนี้ชื่นใจดีจริง "


ส้มผลที่สี่
อยู่กับร้านขายของชำ เจ้าของร้านขายของชำก็นำส้มผลนี้
ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่

เมื่อมีคนเดินผ่านมาเปิดตู้แช่ แล้วหยิบน้ำส้มแก้วนั้นมาทาน
เมื่อทานเสร็จ ก็นำแก้วเปล่านั้นวางไว้ที่ตู้แช่ ...
" เท่าไหร่ครับ "
" 10 บาท ครับ "


ส้มผลที่ห้า
อยู่กับพ่อค้าน้ำผลไม้ พ่อค้าน้ำผลไม้ก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด
เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่ขวดพลาสติก แช่ไว้ในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น
แล้วเดินเข็นจำหน่ายไปเรื่อยๆ
มีคนหนึ่งเดินสวนมา เรียกให้หยุด เสร็จแล้วก็เปิดตู้น้ำแข็ง
ก็ชี้เอาน้ำส้มขวดนั้น คนขายหยิบน้ำส้มขวดนั้น
เปิดหยิบหลอดพลาสติกเสียบให้ หนึ่งหลอดแล้วส่งให้คนๆนั้น ...
" เท่าไหร่ครับ "
" 20 บาท ครับ "
และคน ๆ นั้นก็ถือขวดพลาสติกบรรจุน้ำส้มนั้นเดินจากไป


ส้มผลที่หก
อยู่กับร้านอาหารแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำย่านลาดพร้าว
เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ก็นำส้มผลนี้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้วแล้วแช่ไว้ในตู้เย็น
วันนั้นมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา
เจ้าของร้านจึงเชื้อเชิญ และหาที่นั่งให้
ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มแก้วหนึ่ง ค่ะ "
ฝ่ายชาย ... " กาแฟ ร้อน ครับ "
เจ้าของร้านจึงนำน้ำส้มที่คั้นไว้นำมาใส่แก้วใบใหม่
แก้วใบนี้มีลักษณะทรงสูง รอบๆ แก้ว มีรูปหัวใจ ดวงเล็ก ๆ น่ารัก สีแดงติดอยู่
ภายในแก้วใบนั้นมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่ ตรงปลายหลอดนั้นงอได้
แต่เจ้าของร้านไม่ได้มาเสริฟเอง แต่มีเด็กเสริฟใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาว กระโปรงสีดำมาเสริฟ แทน เมื่อทานเสร็จ ... เช็คบิล ...
น้ำส้มแก้วนี้ 50 บาท



ส้มผลที่เจ็ด
อยู่กับภัตตาคารแห่งหนึ่งแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ครั้งนี้ส้มผลนี้ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งของร้าน
น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี
และในวันนั้น มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้าภัตตาคารนั้นมา
และมีความประสงค์ที่จะลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย
ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งค่ะ "
และแล้วน้ำส้มคั้นแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น
ถูกเสริฟโดย บริกรในชุดประจำร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านนั้น
แก้วที่ใช้เป็นทรงสูงมีก้านสำหรับจับ หลอดเป็นหลอดพลาสติกใสตรงปลายหลอดงอได้ สิ่งที่โดดเด่นนั้นอยู่ตรงที่บริเวณขอบปากแก้วนั้น มีส้มที่ถูกฝานเป็นวงกลมเสียบอยู่ เมื่อเรือจะเข้าเทียบฝั่ง ... สิ่งที่ปรากฎในบิลนั้น ... 100 บาท
เป็นราคาของน้ำส้มแก้วนี้



ส้มผลที่แปด
อยู่กับคลับเฮาซ์สุดหรูย่านปทุมธานี
และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้นเหมือนกัน ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดีเช่นเดียวกัน

ในค่ำคืนนั้นมีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง
และหนึ่งในนั้นก็สั่ง ... " น้ำส้มคั้นหนึ่ง "
... น้ำส้มคั้นแก้วนี้ถูกเสริฟโดยบริกรหนุ่มหน้าตาคมสันคนหนึ่ง
มาในชุดทักซิโดที่ตัดด้วยผ้ามูนอย่างดี
สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของบริกรหนุ่มคนนั้นคือ ถาดสีเงิน บนถาดนั้นมีแก้วน้ำส้มคั้นตั้งอยู่
แก้วที่บรรจุน้ำส้มคั้นใบนี้ ป็นแก้วคริสตัลทรงสูงเจียรนัยอย่างดี
เป็นแก้วที่สั่งทำเป็นพิเศษตรงขอบปากแก้ว
มีส้มกลีบหนึ่งที่ถูกแกะสลักเป็น รูปนกตัวหนึ่งเกาะ(เสียบ)อยู่ที่ปากแก้วนั้น
หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส บนถาดใบนั้นที่มาพร้อมแก้วคริสตัล
มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย ... 300 บาท
... ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป



ส้มผลที่เก้า
อยู่กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้ เหมือนกัน ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง

น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี
ค่ำคืนนี้ ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับหนุ่มสาวชาวต่างประเทศคู่หนึ่ง
ที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ดินเนอร์ เนื่องในโอกาสฉลองสมรส และเลือกเมืองไทยเป็นที่ฮันนีมูน

เมื่อหาที่นั่งในห้องอาหารแห่งนี้ได้แล้ว ณ มุมมองตรงนั้น
สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจน
ตลอดจนสายน้ำที่ทอดยาวของลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อทอดสายตามองยาวออกไป
จะมองเห็นสะพานแขวนที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม
หลังจากพักผ่อนอิริยาบทสักพักหนึ่งแล้ว ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า

... " Orangeade " ...
และฝ่ายชายว่า ... " American Expresso " ...
สักพักบริกรที่อยู่ในชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นท่านนั้นกลับมา
พร้อมกับกาแฟร้อน และน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง
แก้วนั้นเป็นแก้วคริสตัลอย่างดี ตรงฐานแก้ว และขอบปากแก้วเคลือบด้วยทอง 18 เค ถัดจากฐานรองแก้วตรงขอบที่เคลือบทองขึ้นมา


และถัดจากขอบที่เคลือบทองที่ปากแก้วลงมาถูกเจียรนัยตกแต่งอย่างดี
เมื่อแสงไฟตกกระทบถูกแก้วเจียรนัยใบนี้จะเป็นประกายแวววับ
ยิ่งภายในใช้บรรจุน้ำส้มคั้นด้วยแล้วยิ่งทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ตรงกลางของแก้วใบนี้ มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่
เป็นเคลือบทอง 18 เค เช่นเดียวกัน หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส
ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า " ช้างเผือก " เสียบอยู่


เมื่อแสงไฟที่เป็นหลอด Black Light ส่องมากระทบกับ " ช้างเผือก " ดอกนี้
จะเกิดเป็นสีขาวเรือง ๆ ขึ้นมาอย่างสวยงาม
บริกรโค้งคำนับก่อนที่จะเสริฟ และโค้งคำนับเมื่อเสริฟเสร็จแล้ว
หลังจากที่หนุ่มสาวคู่นี้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้พอสมควรแล้ว
ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรขึ้นว่า ...
" Cash Please " บริกรโค้งคำนับ
ก่อนที่จะเดินไปที่แคชเชียร์
Ticket ที่ออกมา ... Orangeade 500 Baht ...




ส้มเหมือนกัน ราคาโดยเฉลี่ยแล้วผลละ 5 บาทเหมือนกัน
อาจจะเป็นพันธุ์เดียวกัน ต้นเดียวกัน อยู่กิ่งก้านเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่ช่อเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ทำไมมูลค่าของส้มถึงต่างกันมากมาย หรือว่าเป็นเพราะเวลาและสถานที่ต่างกัน

ครับ ... ช่วงเวลา สถานการณ์ และสถานที่ที่ต่างกันนั่นแหละ
เป็นตัวกำหนดมูลค่าของส้ม และ ... ของตัวคุณเอง !!!!
บ่อยครั้งที่เราเคยท้อแท้กับงาน การตกงาน คนรอบข้าง ครอบครัว
หรือแม้กระทั่ง กับ ตัวเราเอง แต่อยากจะบอกว่า ... ขอให้อดทนเพราะช่วงเวลานี้ ... มันไม่ใช่ของเรา


ส้มนั้นถูกคนเป็นผู้กำหนดจนทำให้มีมูลค่าแบบนั้น
แล้วทำไมเราไม่กำหนดมูลค่าของตัวเราขึ้นมาบ้างหละ
ณ วันนี้เราอาจจะมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของส้มที่ขอทานกินแล้วโยนทิ้งไป
แต่เชื่อแน่ว่า หากเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ทางเดินเส้นนี้เราได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินแล้ว

จงตั้งมั่นและก้าวต่อไป อดทนเพื่อรอเวลาของเรา
ไม่แน่นะว่า มูลค่าของเราอาจจะมากมายเกินกว่าที่เราจะคาดคิดก็เป็นไปได้


 

10
บทความ บทกวี / แง่คิดดีดี
« เมื่อ: 25 ก.ย. 2552, 11:09:20 »
1.อย่าทำลายความหวังของใคร ... เพราะอาจเหลืออยู่แค่นั้น...

2.รู้จักฟังให้ดี ... โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆ เท่านั้น...

3.จะคิดการใด ... จงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ ... แต่เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย...

4.หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นจนเป้นนิสัย ... โดยไม่จำเป้นต้องให้เขารับรู้...

5.จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น...

6.ใครจะวิจารณ์อย่างไรก็ช่าง ... ไม่ต้องเสียเวลาโต้ตอบ...

7.ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "2" แต่อย่าให้ถึง "3"...

8.เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน...

9.เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ... ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน...

10.อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม...

11.ประเมินตัวเองด้วยมาตรฐานของตัวเองไม่ใช่มาตรฐานของคนอื่น...

12.คงไว้ซึ่งความเป้นคนเปิดเผย ... อ่อนโยนและอยากรู้อยากเห็น...

13.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ... สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้...

14.อย่าวิจารณ์นายจ้าง ... ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ... ก็ลาออกซะ...

15.คำนึงถึงการมีชีวิต "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิต "ยืนยาว"...


ที่มาwww.artsmen.net

11
อ่านที่ละข้อๆ แล้วปฏิบัติ บุญรักษาเนืองนอง บอกต่อทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี) วอนขออะไร

2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร

3. ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์ เคารพทำไม

4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม

5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม

6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ ร้อนใจทำไม

7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม

8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม

9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย

10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม

11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม

12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม

13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต ข่มเหงกันทำไม

14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม

15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม

16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)

17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม

18. ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม

19. จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น อาฆาตทำไม

20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม

21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม

22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม

23. ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด โต้เถียงกันทำไม

24. ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม

25. ฮวงจุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่ใอยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม

26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร

27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม

ที่มาwww.artsmen.net

12
ไม่มีคำว่าแพ้หากว่าเราได้เริ่ม
ไม่มีคำว่าอยู่ที่เดิมหากเราได้ค้นหา
ไม่มีคำว่าเป็นที่หนึ่งหากยังต้องพึ่งพา
ไม่มีคำว่าดีกว่าหากว่าเราไม่ตั้งใจ

คนจะสงสัยในสิ่งที่ท่านพูด
แต่เขาจะเชื่อในสิ่งที่ท่านทำ

ชีวิตในบางครั้ง
ความอยุติธรรมก็คล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง
ความเจ็บปวดก็คล้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ความเสียเปรียบก็อาจถูกยัดเยียดให้
ความพ่ายแพ้ก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน
คนที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับเอาไว้ได้
เพื่อที่จะกอบกำทุกอย่างกลับคืนมา

ดอกไม้สวยอยู่บนต้น
จะหล่นก็ต่อเมื่อ มีใครมาเด็ด

เพื่อนที่ดีมีหนึ่งถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
ดุจก้อนเกลือเค็มนิดหน่อยด้อยราคา
ยังมีค่ากว่าน้ำเค็มเต็มทะเล

มีเม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย
คนทั้งหลายนับไม่ถ้วนในคุณค่า
ทรายจะแกร่งก็เพราะผ่านกาลเวลา
คนจะกล้าก็เพราะผ่านความอดทน

รอยเท้าที่ยาวไกล
เมื่อมองกลับไป
บ่งบอกได้ในผลงาน
บางรอยอาจมีชำรุด
เพราะสะดุด จุดขวากหนาม
ฟันฝ่าจนรอยงาม
เก็บเป็นนิยามของความภูมิใจ

เงินไม่ได้สร้างมิตรแท้มากเท่าศัตรูจริง

พบ...เพื่อ...ลา
มา...เพื่อ...จาก
รัก...เพื่อ...พราก
จาก...เพื่อ...จำ



13
เจอพระปิดตาลุงพิศเข้าไป พูดไม่ออกเลยครับ :075:

14

เตือนสภาวะโลกร้อน และปัจจัยอื่นๆ เช่น การทำเขื่อน ทำเหมือง และสูบน้ำบาดาล

ล้วนเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ 2 ใน 3 บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาดใหญ่ทั่วโลกเสี่ยงจมน้ำ รวมถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย ซึ่งทรุดลงปีละ 2-6 นิ้ว เพราะผลจากการสูบน้ำบาดาล วาร สารเนเจอร์จีโอไซเอินซ์ ระบุว่า เจมส์ ซิวิตสกี จากสถาบันวิจัยขั้วโลกเหนือและเทือกเขาแอลป์ มหาวิทยาลัยโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และคณะ เผยผลการศึกษาภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า พื้นที่ร้อยละ 85 ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำใหญ่ 33 แห่งทั่วโลกเคยถูกน้ำท่วมหนักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กินพื้นที่เสียหาย 260,000 ตารางกิโลเมตร มีผู้เดือดร้อนเกือบ 500 ล้านคน

ผลศึกษาชี้ว่า พื้นที่เสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นอีกครึ่งหนึ่งภายในศตวรรษนี้หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

โดย ทวีปเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่เดือดร้อนหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม สามเหลี่ยมปากแม่น้ำทุกทวีปที่มีคนอาศัยหนาแน่นและทำการเกษตรล้วนเสี่ยง อันตราย ยกเว้นออสเตรเลียและขั้วโลกใต้ สำหรับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่เสี่ยงจมน้ำมากที่สุดมี 11 แห่ง อาทิ เจ้าพระยาในไทย ไนล์ในอียิปต์ โรห์นในฝรั่งเศส แม่น้ำเหลืองในจีน แยงซีในจีน ส่วนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่เสี่ยงรองลงมามี 7 แห่ง เช่น คงคาในบังกลาเทศ อิรวดีในพม่า โขงในเวียดนาม มิสซิสซิปปีของสหรัฐ

" สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจะมีตะกอนมาสะสมตามธรรมชาติเมื่อน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นแล้ว ท่วมกินพื้นที่กว้าง แต่มนุษย์มีส่วนทำให้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำหลายแห่งจมจากการทำเขื่อนกั้นต้น น้ำและเปลี่ยนเส้นทางไหลของน้ำ ทำให้ตะกอนไม่ไหลลงมาสะสม และการทำเหมืองใต้ดินกับการสูบน้ำบาดาลมีส่วนทำให้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจมเช่นกัน" ซิวิตสกี กล่าว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

17
การใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพัง ไม่ใช่มีประโยชน์แค่เพียงทำให้ร่างกายมีเวลาฟื้นฟูและกระปรี้กระเปล่าขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ความคิดและจินตนาการทำงานได้เต็มที่กว่าด้วย เพราะมีเวลาได้ทบทวน พัฒนาฝีมือและไอเดียใหม่ ๆ ด้วยความสงบลำพัง ไร้การรบกวนจากคนและสิ่งรอบข้างมีหลายอย่างที่ทำได้โดยอยู่คนเดียวตามลำพังเช่น การเขียนหนังสือดี ๆ สักเล่ม การซ้อมเปียโนตลอดจนการคิดค้นสูตรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นสูตรการทำอาหารจนถึงงานคิดค้นสูตรใหม่ ๆ

คนบางคนไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงการอยู่ตามลำพังเท่านั้นแต่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากกับการที่ต้องอยู่คนเดียวผู้ที่มีความกลัวแบบนี้มักเป็นผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองมีข้อบกพร่องและจะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา และมักจะวิ่งออกไปหาใคร ๆ เพื่อเติมความสุขและความบกพร่องที่ตัวเองขาดอยู่ให้เต็มแทนที่จะคิดสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าผู้นั้นจะต้องเป็นหญิงหรือชาย แต่เป็นผู้ที่มีความหวาดวิตกอยู่ตลอดเวลาและขาดความเชื่อมั่นในตัวเองแม้ว่าจะแกล้งทำให้เปลือกนอกดูเข้มแข็งเพียงใดก็ตามแต่ภายในก็ยังต้องการความรักจากบุคคลที่เป็นเสมือนเสาหลักให้ยึดเหนี่ยวได้ ในขณะเดียวกันก็พร้อมเสมอที่จะหาคนอื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพร้อมที่จะตีจากไปเมื่อพบหลักประกันที่ดีกว่า

จะเห็นได้จากที่เขาเปลี่ยนจากการสร้างความสัมพันธ์จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ทันทีโดยไม่มีการหยุดพักเว้นช่วงเมื่อเกิดการเลิกรา หรือไม่ก็อาจจะไม่มีการบอกเลิกแต่จะอันตรธานหายตัวไปโดยปริยาย คนพวกนี้ในสังคมจะมีฉายาในสังคมว่าเป็นจอมเจ้าชู้หรือเสือผู้หญิงซึ่งมักจะภูมิใจกับสมญานามนี้เป็นอย่างยิ่งและอ้างว่าเป็นบุคลิกเฉพาะที่ควบคุมไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ว่าควบคุมไม่ได้นั้น เพราะไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ต่างหาก

นักจิตวิทยาเชื่อว่าสาเหตุของการ "อกหัก" และ "แยกกันอยู่" นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการ "ความเป็นส่วนตัว" มากที่สุด หลังการล้มเหลวของความสัมพันธ์ทางหัวใจ ควรอย่างยิ่งจะหยุดพักและใช้เวลาอยู่ตามลำพังเพื่อที่จะรักษาตนเองจากบาดแผลทางอารมณ์ ส่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการรีบร้อนโทรไปหาคนรักเพื่อขอคืนดีเพราะจะทำให้ดูเป็นคนที่อ่อนแอ

ควรจะให้เวลาตนเองได้คิดจากประสบการณ์ที่ได้รับมาก่อนที่จะตัดสินใจอย่างรีบร้อนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ เพราะว่าการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจะทำให้เรามีสภาพจิตใจตอบรับความโดดเดี่ยวดีขึ้นร่างการเข้าสู่การผ่อนคลายอย่างดี ดังนั้นเมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่สบายกาย สบายใจมีปัญหาปวดหัวจนแทบจะระเบิดเพราะความรีบเร่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว ลองหาเวลาอยู่คนเดียวและเรียนรู้การเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ก็น่าจะดี


ที่มาwww.artsmen.net

18
"มาตรวัดความรักไม่ได้วัดกันตรงที่...
ใครรักก่อน หรือ รักทีหลัง"
คนที่รักมานาน . . . อาจไม่ได้รักมากกว่า
และ . . . คนที่รักทีหลัง . . . อาจไม่ได้รักน้อยกว่า
เพราะความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเพียงอย่างเดียว
คนที่มาก่อน" รั ก ก่ อ น "

วันคืนที่ผ่านมามากมายอาจไม่มีค่าไม่มีความหมายเลย
ถ้าหากเพียงแค่ต้องรักไปวัน ๆ . . .
หรือรักไปเหมือนกับทุก ๆ วันที่เคยรัก
รักอย่างเป็นหน้าที่ . . . หรือรักเพราะเคยรัก . . .
ในขณะเดียวกัน . . .

กับวันคืนเพียงไม่กี่วันของคนที่มาทีหลัง . . .
ก็อาจมีค่ามากเหลือเกิน
ความรัก จึงไม่ได้สำคัญที่ว่ารักกันมานานแล้ว
หากแต่ความรักสำคัญตรงที่ เราใช้ทุกวันให้มีค่า
ให้เต็มไปด้วยความหมายแห่งรัก

รักแล้ว . . . ทำสิ่งดีๆ ให้กันด้วยความเต็มใจ และกระตือรือร้น
นั่นแหละจึงจะเรียกว่าความสำคัญของ “ รั ก ”
ใครรักมาก หรือ รักน้อยจึงไม่ได้วัดกันที่ระยะเวลา
และไม่อาจเชื่อมั่นในคนที่มาก่อน . . .
หรือ ไม่อาจดูถูกคนที่มาทีหลังว่าเขาไม่มีความสำคัญ
ความจริงแล้วคนที่มาที่หลังอาจสำคัญมากกว่าคนมาก่อนก็ได้
คุณว่าจริงมั๊ย . . .?


ที่มาwww.artsmen.net

19
“ความรัก คือ การทิ้งความกลัวไป“

คำกล่าวที่มีความหมายดี ๆ นี้ดูสวยงาม

แต่อาจจะยากแก่การลงมือทำ

จริง ๆ ในสายตาของบางคน

ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาเลย

หรือคนที่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้าย จากความรักมาแล้ว . . .

พวกเขารู้สึกว่า . . .

การนำตัวเองเข้าไปพัวพันกับความรัก

ก็เหมือนกับการเสี่ยง .. . เสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ . . .

ถูกทำให้ผิดหวัง . . . ถูกทอดทิ้ง..และทำให้เจ็บปวด

จึงเป็นที่มาของความรู้สึก . . . กลัวความรัก . . .

. . . แม้ความรักอาจไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

แต่มันก็มีค่า.. ต่อการมีชีวิตอยู่

เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำอะไรได้มากมาย

. . . อยากบอกกับคนที่ยังกลัวความรักว่า

ไม่ผิดหรอกที่คุณจะกลัวมัน

เพราะอย่างน้อยคุณก็รู้ตัวเองดีว่า กลัวความรัก

ต่างกับคนที่วิ่งหนีความรัก และเฝ้าหลอกลวงตัวเองว่า

มีความสุขดีแล้วกับการอยู่คนเดียว

ไม่จำเป็นต้องพบเจอและสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง

เพราะกลัวจะต้องรักคนอื่น

แต่ลืมนึกไปว่า ถึงเราจะหนีมันอย่างไร ก็หนีไม่พ้นหรอก

เพราะความรักมันอยู่ในใจของเรา

จะหนียังไงมันก็เจ็บปวดอยู่ลึก ๆ

แล้วคุ้มหรือเปล่ากับการต้องหลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น

.... หนทางของความรัก มันอาจจะไม่ได้เป็นภาพที่ชัดเจน

ให้เราเดินไปได้สะดวกหรือง่าย ๆ

แต่สิ่งที่รออยู่ที่ปลายทางนั้น ก็มีค่ามากพอ

ที่จะกวักมือเรียกเราให้เดินเข้าไปหา

. . . แทนที่เราจะวิ่งหนีมัน ก็เปลี่ยนมาเป็นเตรียมตัวเองให้พร้อม

เวลาที่จะต้องไปเจอกับมันดีกว่า

เหมือนกับเวลาที่เราออกเดินทาง

ก็เตรียมเสื้อกันหนาวไปบ้างเผื่อเจออากาศที่หนาวเย็น

เสื้อกันฝนหยิบไปหน่อยก็ดี

เผื่อหยิบมาใส่เวลาที่ฝนมันตก

หยูกยาก็ติดไปบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ

พอปฐมพยาบาลตัวเองเบื้องต้นเวลาเจ็บไข้

. . . แต่ถ้าเดินทางออกไปแล้วโชคร้าย

ต้องสะบักสะบอมกลับมาก็ไม่เป็นไร

รักษาตัวเองใหม่ เผื่อออกเดินทางในครั้งต่อไปก็เท่านั้นเอง

แต่เชื่อไหมว่า . . . การเดินทางครั้งต่อไปของเรา

มันต้องดีกว่าครั้งแรกอยู่แล้วล่ะ . . .ว่าไหม?


ที่มาwww.artsmen.net

20
ความรักเกิดขึ้นได้ ...ก็ดับได้ ถ้าไม่รู้จักแต่งเพิ่มเติมความรัก ความรักบางครั้งก็ลอยอยู่ในอากาศ สุดที่จะไขว่คว้ามาได้ บางครั้งก็เป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ และมีความสุขสมในบั้นปลาย คิดจะรัก...จึงควรจะรู้!

รักคนที่เขารักเราดีกว่า

เริ่มมองเห็นความดีของคนที่มารักคุณดีกว่า เพราะคนที่เขารักคุณก็จะมองเห็นความดีงามของคุณ พร้อมที่จะเอาอกเอาใจคุณ ทำตามที่คุณพอใจ

ถ้าไม่มีใครรัก...ก็หันมารักตัวเองบ้าง

โสดอย่างมีความสุข ย่อมดีกว่า มีคู่อย่างมีความทุกข์

ความรักมีได้หลายครั้งในชีวิตนี้

ที่มือของคนเรานั้นมีเส้นที่เรียกว่า เส้นแต่งงาน ที่เป็นเส้นลึกๆ พาดขวางอยู่บริเวณโคนนิ้วก้อย จนกระทั่งได้ดึงมาเกี่ยวกับตำราการดูลายมือ จึงพบว่า แท้ที่จริงแล้ว เส้นดังกล่าวเรียกว่า เส้นแห่งการพบพาคนรักเสียมากกว่า บางคนก็มีเส้นเดียว บางคนก็มีหลายเส้น แล้วคุณก็คงจะคิดว่าเส้นไหนเล่าที่เป็นเนื้อคู่

ถ้าคุณคิดว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับคุณในขณะนี้เป็นคู่บุญของคุณ และอยากจะใช้ชีวิตคู่กันต่อไปนานๆ อย่าลืมทำบุญร่วมกันไปเรื่อยๆ นะครับ การทำบุญที่สำคัญที่สุดต่อคู่ของคุณ ก็คือ การดูแลทุกข์สุขของเขาหรือเธอ รวมทั้งญาติสนิทมิตรสหาย บริวารที่แวดล้อม จะทำให้ชีวิตคู่ยาวนาน


รักและเซ็กซ์

ผู้หญิงหลายรายมักจะมีคำถามแปลกๆ ออกมาว่า จำเป็นไหมที่จะต้องร่วมรักร่วมสัมพันธ์ทางกายกัน จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันโดยไม่มีเซ็กซ์จะได้ไหม
คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือ "เป็นไปไม่ได้"

รักวันเติมวัน

ความรักจำเป็นจะต้องได้น้ำหล่อเลี้ยง ต้นรักจึงจะเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา ออกให้ความร่มรื่นต่อชีวิตคู่ ถ้าไม่มีการเติมความรัก ไม่นานต้นไม้แห่งชีวิตคู่ก็จะเหี่ยวเฉา เราคงจะเติมความรักจากการมีความสัมพันธ์ทางกายกันอย่างเดียวไม่ได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ทางกายถ้ายินยอมพร้อมใจกันแล้ว จะให้ความสุขอย่างทันทีทันใดก็ตาม

เติมความรักให้แก่กันวันละนิด ชีวิตก็จะแจ่มใส และเป็นสุข เริ่มจากพูดจากันด้วยคำพูดที่ไพเราะ และหวานหู มธุรสวาจาเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ในการเติมเชื้อเพลิงแห่งความรัก ดูแลและใส่ใจในทุกข์สุขของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นจากวาจาที่แสดงความห่วงใย การกระทำที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมิจำเป็นจะต้องร้องขอ

ถ้าจะโกรธกัน ทะเลาะกัน พยายามคืนดีกันให้ได้ อย่าให้โกรธกันจนข้ามคืน อย่านอนหันหลังให้แก่กัน หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจกัน และขอโทษกัน ถ้าผิดพลาดไป รวมทั้งอย่าลืมให้อภัยซึ่งกันและกันด้วย ให้ของขวัญ หรือช่อดอกไม้บ้าง ตามโอกาสที่สมควร

หาเวลาไปรับประทานอาหารค่ำ ในบรรยากาศที่โรแรมติกและเป็นส่วนตัวบ้างสองต่อสอง โดยไม่มีใครมารบกวน หาเวลาไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ด้วยกันเป็นประจำสม่ำเสมอ สถานที่แปลกใหม่ ย่อมทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นเป็นธรรมดา เป็นการเติมสีสันให้ความรัก และอย่าลืม กระซิบว่า "ผมรักคุณ" และ "ฉันรักเธอ" เป็นประจำ ก่อนเข้านอนทุกครั้ง


ที่มาwww.artsmen.net

21
บทความ บทกวี / Love And Inspiration
« เมื่อ: 23 ก.ย. 2552, 10:36:30 »
หากจะหาคำจำกัดความของความว่ารักแล้ว มันยากยิ่งนัก แต่การหาสาเหตุว่า

ทำไมต้องรักซิมันยากยิ่งกว่า บางครั้งเราก็ไม่สามารถอธิบายหรือหาเหตุผลมาได้ว่า ทำไมต้องรัก แล้วรักคืออะไร

ความรักเป็นพลังอันบริสุทธิ์ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังที่สามารถสร้างได้แม้สิ่งที่

มนุษย์คิดว่าเป็นไปไม่ได้ พลังที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ หากพลังด้านบวกอยู่กับคุณก็จะนำไปสู่สิ่งที่ดีของชีวิต หากพลังด้านลบประสพกับคุณก็จะนำคุณไปสู่เบื้องต่ำ


รักที่จะให้ มีความสุขใจมากกว่าคิดที่จะรับ แม้บางครั้งรักจะไม่สมหวังก็มีคงมี
ความสุข เพราะรักคือพลังแม้ไม่สมหวังก็สุขใจ....ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รัก
ผูกพัน ถึงตัวจะห่างไกล แต่หัวใจเราจะใกล้กัน ......เป็นธรรมดาเมื่อกาลเวลานำ

พาให้เรามาเจอกันได้ และกาลเวลาก็นำพาให้เราต้องจากกัน

ในบางครั้ง การจากไปของใครบางคน อาจสร้างความเจ็บปวดได้มากมาย ไม่

เหลือร่องรอยแห่งความผูกพันไว้เลย เหลือไว้แต่ความอาฆาตและพยาบาท

แต่ในบางครั้งการจากไปของใครบางคน อาจสร้างความร้าวรานในหัวใจ แต่กลับ

สร้างพลังความผูกพันได้อย่างยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ

เพราะอะไร เพราะความรักและความผูกพันของมนุษย์มันลึกเกินกว่าอื่นใดในหล้า

จนกลายเป็นสายใยบ่วงรัดให้คนึงถึงเธอตลอดเวลา


ที่มาwww.artsmen.net

22
หลวงพ่อเป่าหัวให้ทีหนึ่งมึนไปเลยครับ!!

24
คนสำคัญที่แท้จริง

“...ความสามัคคีเป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่บางคนกลับมีความสนุกและดีใจ ถ้าได้เห็นครอบครัวใด หมู่ใด สังคมใด ทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีกัน แทนที่จะหาทางระงับและช่วยสมานความสามัคคี เขากลับยุยงส่งเสริมให้เกิดมีการแบ่งพรรคแยกพวกขึ้น ให้คนเห็นว่า ตนเป็นคนสำคัญ แท้จริงแล้วเขามีค่าเพียงถ่านไฟเท่านั้น ธรรมดาถ่านไฟเมื่อยังร้อนอยู่ ใครเอามือจับมือก็พอง ถึงไม่มีไฟ เอามือจับเข้าก็เปื้อนมือ คนที่จะเป็นคนสำคัญจริงๆ นั้น ย่อมมีอัธยาศัยที่ยิ่งใหญ่ บูชาสามัคคีธรรม ไม่ส่งเสริมการแตกสามัคคีและหาทางสมานสามัคคี เห็นทุกคนเป็นเสมือนดังญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต ไม่คิดแบ่งพรรคแยกพวกและมีอิสระแก่ตน ไม่ตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัวร้าย ไม่ยอมให้มันกดหัว ขี่คอ ข่มเหง และสั่งการให้ตนทำสิ่งชั่วร้ายบาปกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ตนและคนอื่นได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งวิญญูชนทั้งหลายไม่สรรเสริญเลย แต่พยายามยกระดับจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจใฝ่ต่ำ คือ พยายามละบาปชั่วทั้งหลายแล้วตั้งใจทำบุญกุศลต่างๆ เนืองนิตย์ และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นคนสำคัญที่แท้จริง...


ทำความดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

“...ความริษยา การนินทา การใส่ร้าย มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่เป็นงานของคนมีปมด้อย และจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่มีจิตใจสูงและมั่นคงในคุณธรรม จะไม่มีลักษณะดังกล่าว แต่จะมีความหนักแน่นและยุติธรรมในสิ่งทั้งปวง จะคิดจะพูดและจะทำอะไรก็ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง

ความลับไม่มีในโลก แม้จะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำในที่ลับหลัง ไม่มีใครรู้เห็น ไม่ว่าในเรื่องชั่วหรือเรื่องดี ก็จะมีคนรู้หรือปรากฏออกมาเองสักวันจนได้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้สำรวมระวัง มิให้ทำความชั่วทั้งไตรทวาร และทรงสอนให้ทำความดีทั้งไตรทวาร ไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือในที่แจ้ง...


พึงรับฟังคำแนะนำตักเตือน

“...ทุกคนชอบและอยากให้คนชมสรรเสริญ ไม่ชอบและไม่อยากให้ใครตำหนิ แม้ว่าตนจะทำผิดก็ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำตักเตือนการติเพื่อก่อ และคำแนะนำตักเตือนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่คำชมเชยสรรเสริญเยินยอต่างหาก ที่ทำให้ใครต่อใครเสียผู้เสียคนมามากแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นโลกธรรมที่มีอยู่คู่กับโลกมานานแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คำสรรเสริญเยินยอนั้นเปรียบเหมือนน้ำหอมที่อาบศพ จะหอมอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ส่วนคำติเตียนนินทาเปรียบเสมือนกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามลมแล้วก็ผ่านไป จึงไม่ควรหลงใหลในคำสรรเสริญเยินยอ และไม่ควรสยบซบเซาเพราะคำติเตียนนินทา ถึงแม้ทำสิ่งไม่ดี ถ้าหากถูกใจเขา เขาก็สรรเสริญเยินยอได้ ถึงแม้จะทำดี ถ้าหากไม่ชอบใจ เขาก็ติเตียนเอาได้ หลักการพิจารณา ถ้าหากเป็นคนพาล สรรเสริญหรือนินทา อย่าไปสนใจ แต่ถ้าหากวิญญูชนผู้ทรงศีลธรรมสรรเสริญหรือแนะนำตักเตือนแล้ว พึงรับไว้พิจารณาเถิด ไม่มีความเสื่อมเสีย มีแต่ความเจริญถ่ายเดียว.

25
1 ให้เกียรติและเคารพ ความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย ^_^
2 เป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้าง ให้อีกฝ่ายในยามท้อแท้ ^v^
3 ใช้เวลาว่างช่วงเย็นวันหยุดด้วยการนั่งดูหนังดูทีวีรายการโปรด
4 วิ่งไล่จักกะจี้หรือแกล้งกัน
5 ซื้อปลาทองให้อีกฝ่ายเลี้ยง
6 โบกรถเที่ยวกันสองคน
7 สอนให้อีกฝ่ายรู้จักเล่นกีฬาที่ตนเองถนัด "๐"
8 ช่วยอีกฝ่ายทำการบ้าน
9 วาดรูปเหมือนของอีกฝ่ายเก็บไว้
10 แอบหย่อนโน้ตที่เขียนว่า .. I Love You ในกระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋าสตางค์ของอีกฝ่าย
11 โอบกอดกันและกันให้ "แน่น และ นาน"
12 ลูบผม เล่นผม หวีผมของอีกฝ่าย
13 จูบกันและกัน (แบบไหนก็ได้)
14 ไป...ขี่จักรยานเที่ยวแถวบ้านด้วยกัน
15 บอกให้ทุกคนรู้ว่า "เราสองคนกำลังมีความรัก"
16 เอ่ยคำชม อย่างจริงใจ ... ไม่เสแสร้ง
17 พูดคุยอย่างเปิดอก กับอีกฝ่ายทั้งเรื่องสุข ทุกข์
18 ไปเชียร์อีกฝ่ายแข่งกีฬา อย่างสุดใจขาดดิ้น (กล้าๆหน่อยเขียนป้ายเชียร์ให้รู้กันไปเลยทั่วสนาม เย้!)
19 สักชื่อคนรักแบบชั่วคราวไว้ตรงอวัยวะส่วนไหนก็ได้
20 วันที่คนรักป่วน ทำโจ๊กชามใหญ่ พร้อมกับขนมปังกรอบและการ์ดน่ารักที่มีความว่า "ขอให้หายเร็วๆนะ" แอบฝากไว้กับแม่ของเขาหรือเธอโดยไม่บอกให้อีกฝ่ายรู้
21 ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังๆ
22 พูดคุยกันผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น เล่น icq หรือ msn
23 กุมมือของกันและกันให้แน่น ระหว่างเดินเคียงคู่กัน
24 วิ่งเล่นไล่จับ ซ่อนหาให้ทั่วบ้าน
25 ไปผจญภัย "บ้านผีสิง" ด้วยกัน
26 บอกความลับในชีวิตให้อีกฝ่ายรู้และให้สัญญาว่าจะเก็บไว้รู้กันแค่สองคน
27 แอบแปะกระดาษโน้ตที่บอกรักไว้ในที่ๆ คาดไม่ถึง (เช่น ในตู้เย็น หนีบไว้ที่ราวตากผ้า หรือใน
กระเป๋าตังค์)
28 ไม่ทำตัว เฉยชา กับคนรัก
29 เล่นกระดานเศรษฐี ขณะล้อมรอบไปด้วยอาหารอร่อยๆ
30 อัดเทปเพลงโปรดของกันและกันแล้วมาแลกกันฟังนะ
31 ทำปฏิทินที่มีแต่วันพิเศษของเราสองคน เช่น ครบรอบวันแรกที่ได้จูบ วันแรกที่บอกรัก
32 ทำขนมหวานหรือคุกกี้ให้อีกฝ่ายลองชิม (อย่าลืมสอด "สารรัก" ไว้ในคุกกี้ด้วยล่ะ)
33 ในวันที่ไม่มีเรียนแข่งกันนับดาวทั้งคืนโดยไม่ยอมนอน
34 ให้เวลาอีกฝ่ายได้อยู่ตามลำพังบ้าง
35 สร้าง...ปราสาททรายด้วยกัน
36 ซื้อตั๋วเข้าไปเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกด้วยกัน
37 บอกให้อีกฝ่ายรู้เสมอว่า ฉันรักเธอ มากมายเพียงใด
38 นั่งกินไอติมด้วยกันสองคน
39 แอบตั้งชื่อให้กันและกันโดยไม่ให้คนอื่นรู้ ควรเลือกชื่อประเภทที่ไม่กล้าเรียกเมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนเลยล่ะ
40 กินข้าวมื้อเย็นด้วยกันในชุดสวยเลิศ ชุดสุดหล่อ ท่ามกลางแสงเทียน เพลงหวานๆและผ้าเช็อมือที่วางบนตัก
41 เขียนเหตุผล "101ข้อที่ทำให้เธอเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด" แล้วจะมีข้อที่ 102ขึ้นมาทันทีก็คือข้อที่ว่าเออ! ตัวเราเองก็มีค่าเหมือนกันนะ
42 ให้สร้างข้อมือที่สลักชื่อของเราสองคนไว้
43 ส่งจูบให้กันและกัน
44 อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังหรือเล่าให้ฟังว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้นในโลกบ้าง
45 เลือกส่งการ์ดสวยๆ จากเวบไซต์ต่างๆให้กันและกัน
46 หมั่นถามอีกฝ่ายว่า "วันนี้เป็นไงบ้าง" พร้อมกับรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจด้วย
47 เช่าหนังเรื่อง Cast away มาดูด้วยกันจะได้รู้ซึ่งถึงวันเวลาของการจากพราก
48 เดินตามสายฝนที่ตกปรอยๆ กันตามลำพัง
49 ชวนอีกฝ่ายไปว่ายน้ำด้วยกัน
50 เฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดินพระจันทร์ขึ้น หรือดวงดาวดวงแรกที่ส่องแสงให้เห็น เลือกกลุ่มดาวสัก
กลุ่มให้เป็นสัญลักษณ์ของเราสองคน (อย่าลืมอธิษฐานพร้อมกันเมื่อดาวตก)
51 ให้การ์ดที่ทำเองและมีกลิ่นหอมตรงลายเซ็น
52 ทำตัวเป็นเด็กอายุ 8 ขวบ ชวนกันไปเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น
53 ซื่อสัตย์ ต่อกันและกัน
54 หวีผมให้อีกฝ่าย
55 เลือกซื้อของขวัญที่เป็นประโยชน์สำหรับอีกฝ่ายในโอกาสสำคัญๆ
56 หอบช่อดอกไม้มาให้ โดยมีการ์ดเล็กๆ บรรจุคำหวานๆ แนบมาด้วย
57 ไป ปิคนิค ในสวนสาธารณะกันสองคน
58 ไปเรียนหนังสือ และ กลับบ้านพร้อมกัน
59 ส่งการ์ดบอกรักทาง อี-เมล์
60 ซื้อของขวัญที่มีแต่เราสองคนเท่านั้น ที่รู้ว่าแทนความหมายว่าอะไร
61 ให้ "หนังสือทำมือ" ที่มีรูปของกันและกันบทกวีที่แต่งขึ้นเป็นพิเศษ เนื้อเพลงรักที่ประทับใจ ไว้ดูต่างหน้า
62 หันกลับมาเริ่ม "จีบ" กันและกันใหม่อีกครั้ง
63 แนะนำ "หวานใจ" "เปรี้ยวใจ" ให้พ่อแม่รู้จักซะ
64 ถูหลังให้กันและกัน
65 ทำคุ้กกี้รูปหัวใจให้กัน
66 ไปเดินป่าด้วยกัน
67 ขยิบตาให้กันและกัน ว้าว!
68 เมื่อรู้สึกโกรธอีกฝ่าย ให้รีบบอกออกไปอย่าเก็บกลั้นไว้
69 สัญญาว่าจะเขียนอีเมล์หากันทุกวัน (แม้บางวันจะเขียนแค่ 2 บรรทัดก็เถอะ)
70 ปล่อยให้อีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดในบางเรื่องโดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย
71 ออกไปเล่นว่าวด้วยกัน
72 เดินไปเข้าเรียนพร้อมกัน หรือไม่ก็นัดเจอกันทุกคาบหลังเลิกเรียน
73 สมัครเป็นอาสาสมัครทำงาน ช่วยเหลือสังคมร่วมกัน
74 หยิบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาชีวิตอย่างจริงจัง มาสนทนากันบ้างในบางเวลา
75 เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของกันและกันเสมอ
76 ยอมทนดูหนัง "ห่วย" ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็เพราะอีกฝ่ายอยากดู
77 ชวนกันไปเดินแผนกขายของเล่นในห้างจากนั้นสำรวจและลองเล่นของเล่นทุกชนิดด้วยกัน
78 ปั้นดินเป็นรูปหัวใจที่มีชื่อของเราสองคนสลักไว้ (อย่าลืมมอบหัวใจดวงนี้ให้อีกฝ่ายเก็บไว้ด้วยนะจ๊ะ)
79 โทรศัพท์หากันและกัน ทุกคืนก่อนเข้านอน
80 ซื้อหนังสือเล่มเดียวกันและแลกกัน
81 เรียนรู้การสร้างโฮมเพจที่มี "เพลงของเราสองคน" "วันสำคัญของเรา" "เกมส์รัก" "ปริศนาท้ารัก" หรือแม้แต่ "คำสารภาพรัก" และหัวข้ออื่นๆ (ลองขอความเห็นจากเพื่อน พี่ น้อง และคนในครอบครัวด้วยนะ)
82 ปลูกต้นไม้เพื่อแทน "ความรักของเรา"
83 อยู่ด้วยกันในวันที่ฝนตก จิบชา ช้อคโกแลตร้อนๆ พร้อมกับคุ้กกี้ ขนมโปรด และดูการ์ตูนโดย ซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกัน
84 ไปหาที่โรงเรียน ที่ทำงาน ที่บ้าน โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้า พร้อมกับอาหารกลางวัน ช่อดอกไม้
หรือการ์ดที่มีแต่คำหวาน
85 ลองหัดเล่นกีฬาใหม่ๆ พร้อมๆกัน
86 ไม่บ่นรสนิยมฟังเพลงหรือการแต่งตัวของอีกฝ่าย (แม้จะทำให้เราแทบบ้าตาย!)
87 ขอเพลงให้กันผ่านรายการวิทยุ
88 จูบ กอด แบบจู่โจมโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
89 ไปตกปลาด้วยกัน
90 แต่งเพลง บทกวี ให้คนรัก
91 เปิดเพลงหวานและเต้นรำกันสองคน
92 เซอร์ไพรซ์อีกฝ่ายด้วย ตั๋วดูคอนเสิร์ตวงดนตรีโปรด ละคร เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังอยากไปดูอยู่พอดีเลย
93 ติวหนังสือก่อนสอบด้วยกัน
94 ชวนกันทำอะไร "ตลกๆ" หรือ "บ้าๆ" บ้าง
95 เมื่อถึงวันเกิดของอีกฝ่าย ลอง ทำเค้ก ที่ไม่ต้องมีครีมให้กินบ้าง
96 บอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงเรื่องที่ทำให้ซาบซึ้ง ประทับใจมิรู้ลืม
97 เมื่อบริจาคเงินให้การกุศลใส่ชื่อของคนรักว่าเป็นคนบริจาค
98 เดินเคียงคู่กันย่ำทรายด้วยเท้าเปล่าที่ชายหาดยามตะวันตกดิน
99 ตัดแปะ รูปเราสองคนเข้าด้วยกัน



26
บทสวดยาว ประวัติดี สาระหนักแน่นจริงๆ

27
ก - เ ก็ บ เ ร า ไ ว้ ใ น ใ จ
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป
ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า
น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า
บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า
ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ
ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ
ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า
พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า
ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ
ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า
ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า
ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า
ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า
ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า
ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า
ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า
ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า
ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า
อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ
ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล า ........*


ที่มา http://games.allyogame.com/forum-f11/topic-t5774.htm

อ่านแล้วนึกถึงใครหนอ

28
ขอบคุณทุกๆท่านด้วยครับ
ผมจะหามาให้อ่านอีก
ทุกๆท่านคงชอบน่ะครับ

29
ร่วมไว้อาลัยให้หลวงพ่อท่านด้วยครับ :054:

31
8. นิลขัน คือ พระพิเนกหรือพระพิฆเนศแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ช่วยพระรามรบกับพวกยักษ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีหงดินแก่ หรือสีอิฐแก่ (หงคือสีแดงเจือขาว)

9. กุมิตัน คือ พระเกตุ หนึ่งในเทวดานพเคราะห์ มาแบ่งภาคมา ไม่ปรากฏว่าเป็นฝ่ายใด บ้างก็ว่าอยู่เมืองชมพู ปรากฏในคราวกระบวนทัพครั้งพระมงกุฎพระลบรบกับท้าวคนธรรพ์นุราช หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบ (บางทีก็ว่าปากอ้า) สีทอง หรือ สีเหลืองรง (รง คือ ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มียางสีเหลือง)

10. นิลราช คือ พระสมุทร แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู นอกจากมีบทบาทสำคัญในการรบแล้ว ยังมีหน้าที่เอาก้อนหินไปถมทะเลในตอนจองถนน เพราะต้องคำสาปของฤาษี
คาวิน ว่าเมื่อเอาสิ่งใดทิ้งน้ำให้จมอยู่กับที่ จึงต้องเป็นผู้อาสาเอาศิลาไปทิ้งทะเลแต่ผู้เดียวจึงจะพ้นคำสาป หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า(บ้างก็ว่าปากหุบ) สีน้ำไหลหรือสีฟ้าอ่อนเจือเขียว

11. สัตพลี คือ พระจันทร์ หนึ่งในเทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน นอกจากมีหน้าที่จดความดีความชอบของเหล่าทหารแล้ว ยังมีบทบาทเด่นเป็นผู้เขียนสารส่งไปยังกรุงลงกา ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์แห่งเมืองขีดขิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบ สีขาวผ่อง

12. วิสันตราวี คือ พระอังคาร เทพแห่งสงคราม หนึ่งในเทวดานพเคราะห์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ปรากฏในตอนพระพระพรตพระสัตรุดทำศึกกับท้าวทศพิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีแดงลิ้นจี่

13. สุรเสน คือ พระพุธ เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ความเก่งกาจเกือบเทียบได้กับหนุมาน เมื่อเสร็จศึกได้ไปครองเมืองอัสดงค์ของสัทธาสูร หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีแสด หรือสีเขียว

14. นิลปานัน คือ พระราหู เทวดานพเคราะห์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพูมาช่วยรบ หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีสำริด

15. มาลุนทเกสร คือ พระพฤหัสบดี เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ปรากฏในคราวพระรามรบกับมังกรกัณฐ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า (บ้างก็ว่าปากหุบ) สีเมฆ หรือสีม่วงครามอ่อน

16. นิลปาสัน คือ พระศุกร์ เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ปรากฏในการรบกับกุมภกรรณ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเลื่อมเหลือง หรือสีหมากสุก

17. นิลพานร หรือ วิมล คือ พระเสาร์ เทวดานพเคราะห์ที่แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ปรากฏในการรบตอนหกรถรบหกวานร หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบสีดำหมึก

18. เกสรทมาลา คือ พระไพศรพณ์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน (บางแห่งว่าไม่ปรากฏเป็นฝ่ายใด) ปรากฏในตอนรบกับกุมภกรรณ หัวโขนเป็นหน้าวานรอ้าปากสีเหลืองอ่อน หรือเลื่อมเหลือง

ทั้งหมดคือที่มาของ 18 มงกุฏ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ล้วนเป็นเทวดาที่มีความเก่งกล้าสามารถและมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยปราบยักษ์หรือเหล่าอธรรมะให้สิ้นไป จึงได้อาสาแบ่งภาคมาจุติเป็นเสนาวานร ทหารเอกของพระรามเพื่อการนี้ ไม่ได้มีนัยการใช้ความเก่งกล้าไปในทางร้ายกาจหรือเจ้าเล่ห์แสนกลดังที่เราใช้ในความหมายปัจจุบันเลย ดังนั้น ถ้าจะใช้คำว่า “18 มงกุฏ” คราวต่อไป เราคงต้องเปลี่ยนความหมายใหม่ว่าหมายถึง “ผู้ปราบมารหรือเหล่าร้าย” น่าจะถูกต้องกว่าเนอะ
ป.ล. ขอขอบคุณเนื้อหาจากกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ได้มอบความรู้ให้แก่พวกเรา และรูปหัวโขนสวยๆจาก website: khonmask.cjb.net และภาพตัวละครอื่นจากหลายๆที่ครับ ขอบคุณครับ


32
เมื่อคืนก่อนนู้นดูรายการวิกสยามช่อง TPBS เค้าพูดถึง 18 มงกุฎว่าคืออะไร ผมคิดว่าน่าสนใจดี ก็เลยค้นข้อมูลมาให้เพื่อนๆได้อ่านเล่นกัน หวังว่าเพื่อนๆที่ชอบโขนแล้วก็อ่านรามเกียรติ์คงจะชอบเนื้อหาเหล่านี้บ้างนะครับ ผิดถูกยังไงก็ขอโทษล่วงหน้าก่อนละกันนะครับ...
ปัจจุบันพอเอ่ยคำว่า “ 18 มงกุฏ” คนมักจะคิดว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ นักต้มตุ๋นมนุษย์หรือพวกหลอกลวงคน ทั้งที่จริงแล้ว “18มงกุฏ” เป็นคำที่เรียก เสนาวานร 18 ตน หนึ่งในกลุ่มทหารเอกของพระราม ในเรื่อง “รามเกียรติ์” ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายธรรมะ และก็มิใช่เป็นวานรหรือลิงธรรมดา แต่ล้วนเป็นเทวดาอาสาแบ่งภาคมาช่วยพระรามหรือพระนารายณ์ที่อวตารลงมาปราบยักษ์ คือ ทศกัณฐ์ทั้งสิ้น ซึ่งเทวดาแปลงเป็นลิง 18 มงกุฏนี้มีใครบ้าง ผมก็จะเล่าให้ฟังเป็นรายตนไปเลยละกันนะ

ตามปกติ เราจะคุ้นเรื่อง “รามเกียรติ์” จากการแสดงโขน อันเป็นการแสดงที่ผู้แสดงจะต้องสวม “หัวโขน” ซึ่งว่ากันว่าเดิมทีเดียว คงจะยังไม่มีหัวโขนสวมเช่นปัจจุบัน แต่ใช้การแต่งหน้าระบายสีลงบนหน้าตัวแสดงตามลักษณะที่ปรากฏในเรื่อง ครั้นต่อมาเมื่อตัวละครมีมากเข้า ไม่สะดวกในการแต่งหน้าตัวละครเช่นเดิม จึงได้มีการคิดทำเป็นหน้ากากจำลองเป็นรูปใบหน้าต่างๆ สวมครอบศีรษะและหน้าซึ่งยังสวมเทริด (อ่านว่า เซิด หมายถึง เครื่องประดับศีรษะ) อยู่ แล้วต่อมาจึงได้พัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
จนกลายมาเป็น “หัวโขน” ดังที่เห็นทุกวันนี้ ในการแสดงโขนเรื่อง “รามเกียรติ์” นี้ แม้จะมีตัวละครอยู่มากมาย แต่ทางนาฏศิลป์จะมีคำเรียกเพื่อแบ่งคู่สงครามออกเป็น ๒ พวกใหญ่ คือ ฝ่ายพลับพลา หมายถึงฝ่ายธรรมะ ได้แก่ พระราม พระลักษณ์และบรรดาวานรที่เป็นพันธมิตรกับพระราม ส่วนทศกัณฐ์กับบรรดาอสูรและพวกประยูรญาติเรียกว่า “ฝ่ายกรุงลงกา” ถือว่าเป็นฝ่ายอธรรมะ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะสวมหัวโขนที่มีลักษณะหน้า เครื่องประดับ และสีที่แตกต่างกันตามฐานะเพื่อให้จำแนกออก เช่น หัวโขนหน้าวานร 18 มงกุฏที่จะกล่าวถึงต่อไป แม้จะทำเป็นหน้าลิงหัวโล้น สวมมาลัยรักร้อยเหมือนกัน แต่ก็จะมีสีที่หน้าต่างกัน รวมถึงปากที่บางตัวก็อ้าปาก บางตัวก็หุบปากด้วย ส่วนหน้ายักษ์มักจะทำตาให้ต่างกัน เช่น ทศกัณฐ์ อินทรชิต จะทำตาเบิกโพลง ถ้าตาหลบต่ำที่เรียกว่าตาจระเข้ จะเป็น ตรีเศียร พิราพ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ชมสามารถแยกออกว่าตัวไหนเป็นใคร ตำแหน่งอะไร


สำหรับวานร 18 มงกุฏ ที่เป็นฝ่ายพันธมิตรกับพระรามหรือที่เรียกว่า ฝ่ายพลับพลา นั้นเป็นวานรที่มาจากสองเมือง คือ เมืองขีดขินของสุครีพ และเมืองชมพู ซึ่งแต่เดิมก็คือเทวดา 18 องค์ที่อาสามาช่วยพระนารายณ์ตอนอวตารมาเป็นพระรามนั่นเอง ดังบทละครรามเกียรติ์ที่กล่าวถึงตอนนี้ว่า....
                      “ เมื่อนั้น               ฝูงเทพเทวาน้อยใหญ่  
               ต่างทูลอาสาพระภูวไนย    จะขอไปเป็นพลพระอวตาร
               มาล้างเหล่าอสูรพาลา       ที่หยาบช้าเบียนโลกทุกสถาน”
ซึ่งเทวดาทั้ง 18 องค์นี้ประกอบไปด้วย

1. เกยูร คือ ท้าววิรุฬหก ผู้เป็นใหญ่ในยักษ์ทั้งหลายและเป็นหนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศใต้ ได้แบ่งภาคมาเป็นเกยูร วานรเมืองขีดขิน หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีม่วงแก่ มักปรากฏชื่อในกองทัพตอนรบกับเหล่าอสูรหลายตอน ซึ่งตอนหนึ่งปรากฏขึ้นในการจัดทัพรวมพลเมืองขีดขินและเมืองขมพู เพื่อยกไปลงกา สุครีพจัดกองทหารประกอบด้วยเสนาวานรสิบแปดมงกุฎ

2. มายูร คือท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ในหมู่พญานาค เป็นหนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศตะวันตก แบ่งภาคมาเป็นมายูร วานรเมืองขีดขิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า สีม่วงอ่อน ได้รับการกล่าวถึงในกระบวนทัพเช่นเดียวกับเกยูร

3. โกมุทหรือโคมุท คือพระหิมพานต์ ผู้ดูแลรักษาป่าหิมพานต์ มีฤทธิ์เดชเก่งกล้ามาก รบชนะพวกยักษ์เสมอ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้าสีดอกบัวโรย (บ้างก็ว่าหุบปาก) อยู่ในกองทัพที่รบกับอสูรเช่นกัน และเมื่อเสร็จศึกลงกา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาฝ่ายซ้ายเมืองขีดขิน คู่กับไชยามพวาน

4. ไชยามพวาน คือ พระอีศาณหรือพระวิศาลเทวบุตร แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ได้รับพรจากพระอิศวรให้เป็นผู้ถือธงชัยนำกองทัพพระรามไปรบ เพราะมีชื่อเป็นมงคลข่มนามอสูร หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเทา หรือสีมอหมึกอ่อน เมื่อเสร็จศึกได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาฝ่ายขวาเมืองขีดขิน

5. ไวยบุตร คือ พระพิรุณ เทพแห่งฝน แบ่งภาคเป็นวานรเมืองขีดขินมาช่วยรบ หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีเมฆคครึ้มฝน หรือสีมอครามแก่

6. สุรกานต์ คือ พระมหาชัยแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน คุมกำลัง ๓๐ สมุทรมาช่วยรบ เมื่อเสร็จศึกได้ครองเมืองโรมคัลซึ่งเป็นเมืองของยักษ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเหลืองจำปา

7. นิลเอก คือ พระพินายแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีทองแดงแก่ (บางแห่งก็ว่าหุบปาก) มีบทบาทในการรบไม่น้อย เช่น ไปช่วยพระลักษณ์ทำลายพิธีกุมภนิยาของอินทรชิต

33
งดงามครับ

34
หลวงปู่เปิ่น รุ่นอาเสี่ยใหญ่ครับ พ.ศ.2535ครับ

36
รอชมหนังสือ!!!

37
ของดีๆทั้งนั้นเลยน่ะครับ

รักษาให้ดีๆละ

คราวหน้าผมจะนำของผมมาให้ชมมั่งนะครับ

39
ขอบคุณสำหรับรูปภาพน่ะครับ

42
คาถานี้ทราบมาว่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ใช้ครับ

ใช้ใบหิ่งหายและภาวนา

ปะลิยะติ จักขุนะ จักขุโก จักขุพุธโธ นะโกหากุ ปะลิยะติ

เมื่อภาวนาเสร็จให้นำไปทัดที่หู

ถ้าอยากจะเรียนให้ทำในที่ร่มๆก่อน

43
ต้องบอกครับว่าเคยลงแล้ว

44
คาถาดีมากขอรับครับผม

45
คาถาอาคม / ตอบ: คาถามหาอุด
« เมื่อ: 12 ก.ย. 2552, 08:50:50 »
พุธโธ พุธธัง นะกันตัง อะระหัง พุธโธ นะโมพุธธายะ

เมื่อเจอภัย

อุธธัง อัธโธ นะโมพุธธายะ

46
คาถาอาคม / คาถามหาจินดามณีมนต์
« เมื่อ: 10 ก.ย. 2552, 05:36:47 »
คาถามหาจินดามณีมนต์ ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์


"สิทธิวิชา มหามันตัง จิณตามณี ทิวากะรัง ภูมิยาโจระปาตัสสะมัง ทิพพะจักขุง ฐาวะทิสสะเร จันทาเทวี อะสะมุขขี ทุติยา ปะทะลักขะณา มณีจินตา ปัญจะ ทานังยะสังทาสีทาสัง มาตาปุตตัง วะโอระสัง
จิณตามณี สะหัสสะโกติ เทวานัง มนุสสะภาวัง สะมะณะจิตตัง ปุริสะจิตตัง อาคัจฉาหิ ปะริเทวันติ ปิยังมะมะ สัพเพชะนา พะหูชะนา มหามณีจินตา เอหิ พุทธัง ปิโยเทวะมนุสสานัง มหามณีจินตา เอหิ ธัมมัง ปิโย พรหมมานะมุตตะโม มหามณีจินตา เอหิ สังฆัง ปิโย นาคะสุปันนานัง ปินิน ทะริยัง นะมามิหัง พุทโธ โส ภะคะวา ธัมโมโส ภะคะวา สังโฆ โส ภะคะวา อินทะเสน่หา พรหมมะเสน่หา อิสะระเสน่หา อิตถี เสน่หา ราชาเทวี มนตรีรักขัง จิตตังมรณัง จิตตัง มะมะ "
 

พระคาถามหามนต์จินดานี้ ใช้ได้สารพัด ถ้าจะเรียกเนื้อ เรียกปลา ให้เอาศิลารองเท้าเสียก่อน ถ้าจะให้เป็นเมตตาให้เสกเครื่องหอมทาตัว เสกเครื่องนุ่งห่มแต่งตัว ถ้าจะทำน้ำมนต์รดทางเมตตาก็ได้ ใช้ได้ทั้งชาย และหญิง ถ้าท่องบ่นเอาไว้เป็นมหามงคลแก่ตัวเอง ฯ


47
[mthai=380,320]15M1218102736M0[/mthai]

เป็นวิชาของทางเขมรครับ



หมายเหตุ : แก้ไขให้ได้รับชมกันง่ายๆ สะดวกๆ ครับ

48

“ผ้ายันต์” มหาเสน่ห์ อายุกว่า 100 ปี วอนราชการเก็บรักษาก่อนสูญหาย

พะเยา- ตะลึง “ยันต์” อักษรล้านนาโบราณใหญ่ที่สุดในโลก ปราชญ์ชี้ เป็นยันต์มหาเสน่ห์อายุกว่า 100 ปี ทำให้คนรอบข้างชื่นชอบ วอนหน่วยงานรัฐช่วยเก็บรักษาก่อนสูญหาย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัด พะเยาว่าขณะนี้ พบผ้ายันต์โบราณขนาดใหญ่ในกรอบไม้สักอย่างงดงามถูกเก็บไว้ที่วัดต๋อมกลาง หมู่ 4 ต.บ้านต๋อม อ.เมือง จ.พะเยา จึงไปตรวจสอบพบ ว่าผ้ายันต์ดังกล่าวเจ้าอาวาสวัดต๋อมกลาง หลายรูปได้รับการสืบทอดต่อกันมาให้เป็นผู้ดู และและเก็บรักษามาแล้วหลายชั่วอายุคน คาดว่ามีอายุไม่น้อยกว่า 100 ปี ผ้ายันต์ผืนนี้มีขนาดใหญ่อย่างมาก กว้าง 1.5 เมตร ยาว 2.5 เมตร พื้นผ้าสีขาวมีการระบายสีไว้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ภายในผ้ายันต์เต็มไปด้วยตัวอักษรล้านนาโบราณและภาพวาดต่าง ๆ น่าสนใจ เช่น พญานาค กินนรี ราหูอมจันทร์ นกยูง สิงห์ นางกวัก สัตว์ 12 ราศี ฯลฯ เต็มทั่วทั้งผืน

พระอธิการประหยัด วชิรธฺมโม เจ้าอาวาสวัดต๋อมกลาง เปิดเผยว่า ผ้ายันต์ผืนดังกล่าวเป็นผืนที่พระอาจารย์สมศักดิ์ สิริมังคโล อดีตเจ้าอาวาสและอดีตเจ้าคณะตำบลบ้านต๋อม ซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของครูบาอินโตได้รับถวายจากลูกศิษย์จึงมอบให้ ลูกศิษย์ในวัดนำไปใส่กรอบและเก็บรักษาไว้มาเป็นเวลานาน โดยต้องการให้เป็นที่ศึกษาศิลปะอักษรล้านนาโบราณ รวมถึงคาถาโบราณแก่ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และบูชา

เจ้าอาวาสวัดต๋อมกลาง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถของวัด มีการเก็บรักษาผ้ายันต์ไว้หลายผืน โดยใส่กรอบติดฝ้าเพดานทั้งหมด แต่ละผืนเป็นฝีมือการเขียนของคนโบราณ ซึ่งได้มอบไว้ให้ลูกหลานสืบทอดต่อกันมาอายุหลายร้อยปี เพราะเจ้าอาวาสวัดต๋อมกลางหลายรุ่นได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อบำเพ็ญศีลภาวนะ ธรรม จึงมอบให้ตนดูแลและเก็บรักษา ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมากว่าผ้ายันต์หลายผืนในวัดแห่งนี้ขาดการดูแลและ รักษาอย่างถูกวิธี เกรงว่าหากไม่ระมัดระวังดูแลให้ดีอาจจะเสียหาย

“เพราะผ้ายันต์ทุกผืนล้วนมีคุณค่าทางด้านอักษรล้านนาโบราณ คุณค่าทางศิลปะ และเป็นสมบัติทางภูมิปัญญาที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ อาตมาจึงอยากวิงวอนให้ภาคราชการเข้ามาช่วยเหลือในการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ให้ผ้ายันต์ที่มีคุณค่าดังกล่าวอยู่สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน และเพื่อเป็นสิ่งที่สร้างการเรียนรู้ด้านอักษรล้านนาโบราณแก่ชนรุ่นหลังต่อ ไป” เจ้าอาวาสวัดต๋อมกลาง กล่าว

49

อีกหนึ่งตำนานความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับความเร้นลับของสถานที่หนึ่ง ในอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี ที่นั่นมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะในอดีตได้มีพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์เคยเสด็จประพาสถ้ำจอมพล มีตำนานความเร้นลับและอาถรรพณ์เกิดขึ้นมากมาย

ที่มาของชื่อ"ถ้ำจอมพล"ได้รับการพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5เมื่อคราวที่พระองค์ท่านได้เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มาเยือนที่ถ้ำแห่งนี้ เมื่อปีพุทธศักราช 2438 ทรงทอดพระเนตรความงดงามตามธรรมชาติภายในถ้ำ ซึ่งมีหินงอกหินย้อยที่วิจิตรพิสดาร จึงทรงจินตนาการไปว่าสวยงามราวกับริ้วไหมอินทรธนูบนบ่าของท่านจอมพลสมัยก่อน พระองค์ยังทรงสลักพระปรมาภิไธย จปร.114 ไว้ตรงปากทางเข้าถ้ำก่อนเสด็จกลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ครั้งหนึ่งพระองค์เคยเสด็จฯมาเยือน

นอกจากรัชกาลที่ 5 แล้ว มาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เคยเสด็จประพาสที่ถ้ำจอมพลถึง 2 ครั้งเช่นกัน  โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2457 พระองค์ได้นำพลเสือป่ามาซ้อมรบ ณ บริเวณนี้

และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2457 ในคราวเสด็จฯวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้ทรงหยุดประทับเพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวันที่สวนรุกขชาติหน้าถ้ำจอมพล

ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็เคยเสด็จฯพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ มาประพาสที่ถ้ำจอมพลพร้อมทั้งได้ทรงปลูกต้นสัก กัลปพฤกษ์ และต้นนนทรีไว้เป็นที่ระลึก พระองค์ยังทรงสลักสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย ภปร.99 ไว้บนหินผาบริเวณปากทางเข้าถ้ำ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499



ถ้ำจอมพลนี้ ข้างในถ้ำยังมีพระนอนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมมาสักการะ

ถ้ำนี้มีขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 240 เมตร สูง 25 เมตร มีบันไดทางขึ้นสู่ถ้ำ 57 ขั้น ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และมีชื่อเรียกอย่างไพเราะ เช่น ผาวิจิตร แส้จามรี ธาตุเนรมิต บรมอาสน์ มัสยาสถิตย์ เกศาสยาม สร้อยระย้า และประสิทธิ์เทวา

ซึ่งนอกจากความสวยงามของถ้ำแล้ว ภายในถ้ำจอมพลยังมีเรื่องเล่าถึงอาถรรพณ์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ หินฤาษี และ รูปปั้นฤาษีหินฤาษี นี้เป็นก้อนหินที่มีรูปร่างประหลาด คล้ายฤาษีกำลังนั่ง แล้วยิ่งมีผู้เอาผ้าลายหนังเสือไปห่มคลุม ก็เลยยิ่งดูขลังไปกันใหญ่  ชาวบ้านแถบนี้เรียกหินฤาษีว่า"พ่อปู่ฤาษี"

ทุกคนเชื่อว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ บันดาล โชคลาภ และความสุขความเจริญมาให้ เล่ากันว่าพวกนายหน้าค้าที่ดินชอบมาบนบานและมักประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องเลขหวยนั้น เขาบอกว่าท่านมักให้อย่างแม่นยำโดยเฉพาะคนต่างถิ่น ทุกๆงวดจะเห็นมีคนเอาของมาแก้บน เป็นผลไม้ หมากพลู และผ้าลายหนังเสือ

นอกจากนี้ใกล้ๆหินพ่อปู่ฤาษีก็ยังมีหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายคน 2 คน กำลังยืนกอดกัน ซึ่งชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ก้อนหินทั้งสองนี้เป็นแม่ลูกกัน แล้วยังมีหินอีกก้อนที่มีลักษณะเหมือนคน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพ่อ และมีตำนานเล่าว่า พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้ถูกพ่อปู่ฤาษีสาปให้กลายเป็นหิน จึงได้กลายเป็นอาถรรพณ์ชวนขนหัวลุกว่า  ในวันดีคืนดีในยามค่ำคืน ชาวบ้านแถบถ้ำจอมพลจะได้ยินเสียงคนคุยกัน บางครั้งก็จะมีเสียงเด็กร้องลั่นถ้ำ และบางคืนก็จะได้ยินเสียงกรีดร้อง โหยหวน ดังออกมาจากถ้ำ จึงสันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากหินทั้ง 3 ก้อนนี้

เรื่องราวอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำจอมพลยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะยังมีเรื่องเล่าของใครอีกหลายๆคน เล่ากันว่านอกจากในถ้ำจะมีหินฤาษีที่มีความอัศจรรย์อยู่แล้ว ก็ยังมีรูปปั้นของฤาษีอีกฅนหนึ่ง ที่มีความมหัศจรรย์ไม่แพ้กัน เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่เฝ้าถ้ำว่าเป็นความจริง

รูปปั้นฤาษีตนนี้อยู่ด้านในสุดของตัวถ้ำ ชาวบ้านเรียกว่า ฤาษีพ่อแก่ที่น่าประหลาดคือที่หน้ารูปปั้นของฤาษีพ่อแก่จะมีป้ายเขียนไว้ว่าห้ามถ่ายรูป ซึ่งเมื่อสอบถามจากหลวงพ่อในถ้ำก็ได้ความว่า ฤาษีตนนี้ไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปท่าน หลายคนไม่เชื่อคำเตือน ชอบลองของท้าทายท่าน ถ่ายรูปท่านไปไม่นานก็ต้องรีบเอารูปที่ถ่ายไปมาคืน

มีเรื่องเล่าว่ามีชายคนหนึ่งอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี พาครอบครัวมาเที่ยวถ้ำจอมพล แล้วถ่ายรูปฤาษีพ่อแก่ไป 3 ใบ พอถึงบ้านตกกลางคืนขณะกำลังหลับเขาก็ฝันเห็นฤาษีตนหนึ่ง ที่แต่งตัวเหมือนฤาษีในถ้ำจอมพล เหาะลงมาจากฟ้าตรงมาที่ตัวเขาแล้วใช้เท้าเหยียบที่หน้าอกพร้อมชี้หน้าว่า เอ็งนี่ดื้อรั้นนัก  ข้าบอกแล้วว่าห้ามถ่ายรูปข้าอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเอ็งไม่เชื่อข้าก็ต้องสั่งสอน เอ็งต้องเอารูปไปคืนที่ถ้ำ ถ้าไม่เชื่อเอ็งจะได้เห็นดี เมื่อฤาษีตนนั้นจากไป เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วยังรู้สึกเจ็บหน้าอกเหมือนถูกเหยียบจริงๆ ดังนั้น

พอรุ่งเช้าเขาจึงรีบเดินทางมายังถ้ำ เพื่อเอารูปถ่ายมาคืนทันที เพราะเกรงว่าถ้ายังขืนไม่เชื่ออีก ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอาถรรพณ์อะไรอีกบ้าง

ระยะทางจากตัวเมืองราชบุรีไปยังถ้ำจอมพลประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วที่นั่นใกล้ๆกันยังมีสวนรุกขชาติและมีพันธุ์ไม้แปลกๆสวยงามหายากอีกมากมาย ซึ่งดูแล้วสบายตาสบายใจ

50



นี้คือ กิ้งกือมังกรสีชมพู (Shocking pink dragon millipede)


กิ้งกือมังกรสีชมพูมีลักษณะรูปร่างสวยงามแปลกประหลาด มีสีชมพูสดใสตลอดทั้งตัว มีหนามแหลมคล้ายมังกร และสามารถปล่อยสารพิษจำพวกไซยาไนด์ออกมาป้องกันไม่ให้ศัตรูทำร้ายได้ พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก (ว้าวววววววววว)มีตัวอย่างจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเดนมาร์ก มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (Natural History Museum of Denmark, University of Copenhagen)

51

วัน ที่ 15 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งชาวบ้านในอำเภอบางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าพบลูกแมวประหลาดมีตาเดียวอยู่กลางหน้าผากมีจมูกเหมือนงวงช้างอยู่ที่บ้าน เลขที่ 18/1 ม.5 ต.เต่าเล่า อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา

จึงเดินทางไปตรวจสอบ หลังข่าวแพร่ออกไปชาวบ้านต่างแตกตื่นมาชมกันจำนวนมาก พบว่าที่บ้านดังกล่าวเป็นบ้านของสองสามีภรรยา ชื่อ นายวิเชียร สังข์ฉาย อายุ 60 ปี และ นางน้ำฝน สังข์ฉาย อายุ 52 ปี อาชีพเกษตรกร ภายในบ้านมีชาวบ้านจำนวนมากกำลังมุงดูซากลูกแมวเพิ่งคลอด นอนอยู่ในพานทองที่มีผ้าเช็ดหน้าปูรองตัวลูกแมวเอาไว้ โดยพบว่าลูกแมวดังกล่าวตายตั้งแต่แรกเกิดแล้ว แต่ถึงปัจจุบันผ่านมาแล้ว2 วันไม่เน่าเหม็น เป็นลูกแมวเพศผู้ สีขาวนวลลายพรางน้ำตาล ยาวประมาณ 6 นิ้ว หนักประมาณ 200 กรัม โดยที่ใบหน้าของแมวพบว่า แปลกกว่าแมวตัวอื่นเพราะมีดวงตาเพียง 1 ดวงเท่านั้นและดวงตาอยู่กลางใบหน้า ส่วนจมูกนั้นยื่นออกมาคล้ายงวงช้างและจมูกที่ยื่นออกมาจะม้วนเป็นวงเข้าด้าน ใน

นายวิเชียร และนางน้ำฝน เล่าว่า ที่บ้านเลี้ยงหมาและแมวหลายตัว แม่แมวชื่อเป๊ปซี่ อายุ 2 ปี ได้ออกลูกเมื่อเวลา20.30 น. วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 3 ตัว

โดย 2 ตัวแรกปกติ ส่วนตัวสุดท้าย คลอดออกมาได้เพียง 1-2 นาทีก็ตาย เป็น เรื่องความเชื่อของชาวบ้านและตัวเองว่าจะให้โชคลาภถือเป็นแมวนำโชค เพราะไม่เคยเห็นกันมาก่อน ออกมาได้ 2 วันแล้ว เนื้อตัวร่างกายของแมวไม่เน่า ไม่มีกลิ่นแต่อย่างใด เนื้อตัวของแมวนิ่ม เหมือนแมวยังมีชีวิต ซึ่งตนเองได้แป้งมาโรยแล้วนำใส่พานเอาไว้บูชา ถ้ามีโชคลาภได้ปรึกษากับชาวบ้านว่าจะสร้างศาลให้อยู่ ชาวบ้านได้พร้อมใจกันตั้งชื่อว่า น้องเดี่ยว

ด้านนายสัตว์แพทย์ บัญชา เอี่ยมเส็ง แพทย์รักษาสัตว์ประจำโรงพยาบาลสัตว์กรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ลูกแมวที่พบเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของสัตว์

โดยช่วงที่อยู่ในท้องของแม่แมวก่อนที่จะคลอด อาจมีปัจจัยเสี่ยงขณะตั้งท้องทำให้เกิดความพิการ เช่นความผิดปกติของการแบ่งเซลล์ หรือได้รับยาต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อลูกแมวในท้องได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่โอกาสที่จะเกิดมีไม่มาก ส่วนเรื่องลูกแมวที่ไม่เน่านั้น ปรกติหากเสียชีวิตเพียง12 ชั่วโมงจะเริ่มเน่าแล้วแต่แมวตัวนี้เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันอธิบายได้ยาก ต้องตรวจอย่าละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุใด

52
ส่วนตัวพอมีอยู่1ตัวเป็นของปู่ท่านให้ไว้ หลวงพี่ญาท่านเคยเห็นตอนผมเข้ารับการสัก หลวงพี่ท่านพูดค่อนค้างดังว่า เห้ยนี่มันเบี้ยแก้หลวงปู่บุญนี้หว่า ผู้คนในกุฎิต่างยืนดูกัน หันหน้าพูดกันว่าของดี พี่ที่จับหลังให้ผมท่านยังพลิกไปมาดูอยู่นาน จากนั้นหลวงพี่ท่านก็บอกว่า มึงนอนลงเลยๆ ในวันนั้นผมจึงได้หนุมานเชิญธง อีกด้วย

53
ส่วนตัวให้ไปตอนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์คนจะเยอะ

54
                                                            เริ่มกันด้วยประวัติของหลวงปู่กันเลย
                                                         



                                                                            พระพุทธวิถีนายก
                                                        หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


หลวงปู่บุญ  ขนฺติธโชติ หรือพระพุทธวิถีนายกพระคณาจารย์ชื่อดังของ จ.นครปฐม
อีกองค์หนึ่ง  ที่เกียรติคุณของท่านระบือไกลไปทั่วตั้งแต่ลุ่มน้ำท่าจีนจรดมหาชัย
และไกลไปถึงสุพรรณบุรี
    ด้วยศีลาจารวัตรงดงามทรงไว้ซึ่งสมณสารูป  น่าเคารพเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งเชี่ยวชาญ 
ในด้านเวทย์มนต์คาถาทั้งพุทธคุณและไสยศาสตร์    อันยากที่จะหาพระคณาจารย์องค์ใด
มาเสมอเหมือนได้โดยง่ายทั้งยังเป็นสหธรรมมิกที่สนิทสนมกับสมเด็จพระสังฆราช(แพ)
วัดสุทัศน์ฯเจ้าคุณสุนทรวัดกัลยาและยังเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันกับหลวงปู่อ๋อย วัดไทร,
หลวงปู่รอด  วัดนายโรงอีกด้วย


 หลวงปู่บุญเกิดเมื่อวันจันทร์  ขึ้น 3 ค่ำ  เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 3 กรกฎาคม
พ.ศ.2391 ในสมัยรัชกาลที่ 3เป็นบุตรของพ่อเส็ง  แม่ลิ้ม มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน  โดยท่าน
เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุได้  13 ปี  บิดาได้เสียชีวิต  ป้าของท่านจึงนำไปฝากให้เรียนหนังสือ
อยู่กับพระปลัดทอง ณ วัดกลางบางแก้ว  ซึ่งสมัยนั้นเรียกชื่อวัดว่า  วัดคงคาราม 
ครั้งอายุ 15 ปีบรรพชาเป็นสามเณร แต่เมื่ออายุจะครบใกล้บวชพระ  จำเป็นต้องลาสิกขา
      ล่วงถึงปีพ.ศ.2412 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็งวันที่ 21 มิถุนายน
 เวลา13.00น. ได้อุปสมบทณ พัทธสีมา วัดกลางบางแก้ว  มีพระปลัดปาน วัดตุ๊กตา
(พิไทยทาราม) เป็นพระอุปัชฌาย ์พระปลัดทอง วัดกลางเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการทรัพย ์วัดงิ้วราย เป็นอนุสาวนาจารย์ ภายหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้วได้พำนัก
จำพรรษาอยู่วัดนี้  โดยตลอดกระทั่งมรณภาพ

    สมณศักดิ์และตำแหน่ง
    ปีพ.ศ.2429 ได้รับแต่งตั้งเป็น  พระอธิการ  เจ้าอาวาสวัดกลางฯบางแก้ว
    ปีพ.ศ.2431  ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้เป็น  พระกรรมวาจาจารย์
    ปีพ.ศ.2442  เป็นเจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะอำเภอในปัจจุบัน)
    ปีพ.ศ.2459  วันที่ 27 สิงหาคม  เป็นพระอุปัชฌาย์
                      วันที่ 30 ธันวาคม  เป็นพระครูสัญญาบัตรที่  พระครูอุตรการบดี
                      พร้อมทั้งเป็นเจ้าคณะแขวง(เจ้าคณะจังหวัด)
    ปีพ.ศ.2462 วันที่ 20 ธันวาคม เป็นพระครูพุทธวิถีนายก พร้อมทั้งดำรงตำแหน่ง
                     เป็นประธานกรรมการคณะสงฆ์จ.นครปฐม,สมุทรสาครและสุพรรณบุรี
    ปีพ.ศ.2471  เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่"พระพุทธวิถีนายก"
    ปีพ.ศ.2474  รับพระราชทานยกเป็นกิตติมศักดิ์ที่"พระพุทธวิถีนายก"
    และได้ถึงแก่การมรณภาพเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2478 ตรงกับวันจันทร ์ขึ้น 8 ค่ำ
เดือน 5 ปีชวดเวลา 10.45 น.รวมสิริอายุได้  89 ปี 67 พรรษา

   การศึกษาเล่าเรียน
เริ่มแรกการเรียนด้านคันถธุระ  ได้ศึกษากับพระปลัดทอง วัดกลางบางแก้ว
มาแต่เล็กแม้กระทั่งหลังการอุปสมบท  แล้วส่วนด้านวิปัสสนากมมัฏฐานและพุทธาคมต่างๆ
นั้นมีการกล่าวถึงหรือบันทึกเอาไว้น้อยมากแต่อย่างน้อยสุดกับพระปลัดปานวัดตุ๊กตาผู้เป็น
พระอุปัชฌาย์ท่านต้องได้ศึกษามาบ้างโดยเฉพาะด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานอันเป็นการฝึกจิต
ให้เป็นสมาธิเพื่อร่ำเรียนพุทธาคมต่างๆต่อไปแต่เท่าที่ทราบจากคนเฒ่าคนแก่ลูกศิษย์
ที่ใกล้ชิดท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านได้ศึกษามาจากหลายสำนักทั้งในลักษณะการ
แลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกันและฝากตัวเป็นศิษย์โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านออกเดินธุดงค์
ไปตามสถานที่ต่างๆนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ท่านได้ศึกษาเพิ่มเติมอย่างเต็มรูปแบบที่สุดนอกจาก
ี้นี้แล้วท่านได้รวบรวมสรรพคัมภีร์โบราณหลายอย่างของสมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วที่เก็บรักษา
เอาไว้ที่วัดประดู่ทรงธรรมต่อมาเกิดไฟไหม้ท่านจึงนำมาเก็บรักษานอกจากนี้แล้วยังมีตำรา
จากสำนักวัดสะแกที่ได้รับมา อาทิ ตำราการสร้างประคำปราบหงสาตะกรุโทน  พระผง
จินดามณี เป็นต้น
    จากคัมภีร์โบราณต่างๆเหล่านั้นที่ท่านได้มาและนำมาศึกษาเรียนรู้จนเชี่ยวชาญชำนาญ
ตลอดจนนำมาสู่การสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบพิมพ์ทรงต่างๆจนเป็นที่นิยมเล่นหาสะสม
ในปัจจุบันเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดีถึงความรอบรู้ของท่านตลอดถึงความเข้มขลัง
ศักดิ์สิทธิ์ในมงคลวัตถุนั้นๆจนยากที่จะปฏิเสธได้
    ในมงคลวัตถุต่างๆของท่านทั้งประเภทพระเครื่องเนื้อและพิมพ์ต่างๆรวมไปถึงประเภท
เครื่งองรางของขลังหากเอ่ยถึง"เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ"ทุกคนต้องร้องอ๋อด้วยมงคลวัตถุชนิดนี้
ของท่านต่างเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งในแวดวงนักนิยมพระเครื่องลูกศิษย์ลูกหารวมไปถึง
บุคคลทั่วไปที่สนใจและใฝ่รู้เกี่ยวกับพระเครื่อง
    เบี้ยแก้เป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อมากของหลวงปู่บุญวงการนิยมเล่นหาสะสม
ด้วยกิตติคุณอันเลื่องลือ
จึงเป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์ลูกหายิ่งนัก  เพราะสร้างขึ้นมาทีละตัวนำเบี้ยมาบรรจุปรอท
อุดด้วยชันโรงบรรจุตะกรุดแล้วตีแผ่นตะกั่วหุ้มถักด้วยเชือกหรือด้ายหุ้มตัวเบี้ยเสร็จแล้วนำมา
ลงรักปิดทอง
      อำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของเบี้ยแก้นั้นเป็นเครื่องรางของขลังที่ใช้ได้ดีในทุกด้าน 
ไม่ว่าจะอยู่ยงคงกระพันเมตตามหานิยมโชคลาภ  แต่หากพูดถึงพุทธคุณที่โดดเด่นของเบี้ยแก้
คือป้องกันการกระทำคุณไสย์ได้ทุกชนิดรวมทั้งเสน่ห์และวิญญาณร้าย   ประเภทภูติผีปีศาจ
จะเห็นได้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเบี้ยแก้นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ คนโบราณเวลาเดินทาง
ไปไหนมาไหนมักจะมีเบี้ยแก้พกติดตัวไว้เสมอ โดยการแขวนร้อยเข้ากับเชือกคาดเอว
เหมือนตะกรุด
       ตำนานการสร้างเบี้ยแก้การสร้างเบี้ยแก้จะเริมมีการสร้างตั้งแต่ครั้งใดนั้น  ไม่มีใคร
สามารถคาดเดาเพราะไม่สามารถสืบหาหลักฐานที่แน่ชัดมาสนับสนุน  เท่าที่สามารถ
สืบเสาะได้ในปัจจุบันก็ได้จากพระคณาจารย์ต่างๆที่ได้มีการสร้างเบี้ยแก้ขึ้นจนปรากฏกิตติคุณ
ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเช่นหลวงปู่รอดวัดนายโรง,หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว,
หลวงพ่อพักวัดโบสถ์,หลวงพ่อนุ่มวัดนางใน,หลวงปู่คำวัดโพิ์ปล้ำเป็นต้น  ซึ่งแต่ละท่าน
ต่างก็มีที่มาที่ไปของวิชาการทำเบี้ยแก้แตกต่างกันไป   ตามที่ได้รับถ่ายทอดมาและร่ำเรียนมา
    แต่อย่างไรก็ตามเคยมีท่านผู้รู้บางท่านเคยตั้งข้อสังเกตหรือสันนิษฐานไว้น่าสนใจ  ว่าตำรา
การสร้างเบี้ยแก้นี้นั้นคงเป็นหนึ่งในหลายๆสรรพวิชาของสำนักวัดประดู่ในทรงธรรม อันเป็น
สำนักพุทธาคมที่มีชื่อเสียงมาแต่ครั้งยุคกรุงศรีอยุธยา ต่อมาตำราการสร้งเบี้ยแก้คงมี
การสืบทอดแพร่หลายขยายไปยังสำนักต่างๆและได้รับการถ่ายทอดมาถึงยุคปัจจุบันของสาย
สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วที่บางอย่างนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดประดู่ในทรงธรรมและบางอย่าง
ตกทอดมาอยู่กรุงเทพฯ เช่น  ตำราการสร้างพระกริ่ง  เป็นต้น
     การสร้างเบี้ยแก้ของวัดกลางบางแก้ว  เบี้ยแก้ของสำนักวัดกลางบางแก้วเป็นเครื่องราง
ของขลังที่สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักนี้ควบคู่กันมากับยาวาสนาหรือยาจินดามณี  มีการสร้าง
ติดต่อกันมายาวนาน  นับตั้งแต่สมัยหลวงปู่บุญ เป็นต้นมา (บางกระแสกล่าวว่าพระปลัดทอง
ผู้เป็นอาจารย์ของท่าน    ก็มีการสร้างเบี้ยแก้เช่นกัน)และได้มีการสืบทอดวิชานี้มาจนถึงปัจจุบัน
    หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ  หลวงปู่แขกท่านเป็นพระผู้เฒ่าที่ประวัติความเป็นมาไม่อาจ
สืบเสาะได้ชัดเจน ทราบเพียงว่าช่วงระยะหนึ่ง  ท่านได้มาพำนักจำพรรษาที่วัดบางบำหรุ
และช่วงนั้นหลวงปู่รอดวัดนายโรงปรมาจารย์ผู้เข้มขลังในการสร้างเบี้ยแก้อีกองค์หนึ่ง 
ได้จำพรรษาอยู่วัดบางบำหรุเช่นกันจึงได้ศึกษาวิชาการทำเบี้ยแก้จากหลวงปู่แขก 
 เพราะตามประวัติแล้วหลวงปู่รอดได้บวช  ณ วัดนี้ก่อนย้ายไปอยู่วัดนายโรง
    ซึ่งสายสัมพันธ์ของการศึกษาในสายนี้ของหลวงปู่บุญ  ท่านได้มีโอกาสเรียน
จากหลวงปู่แขกเมื่อใดยากที่จะประมาณการได้ส่วนกับหลวงปู่รอด วัดนายโรงนั้นน่าจะเป็น
การเรียนรู้ศึกษาเพิ่มเติมต่อจากหลวงปู่แขก ให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้นโดยหลวงปู่รอด
เป็นศิษย์ผู้พี่เพราะท่านมีอายุมากกว่าหลวงปู่บุญหลายปีและสามารถเรียกได้ว่าศิษย์ร่วมสำนัก
นอกจากพระคณาจารย์สององค์ดังกล่าว   แล้วท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจากฆราวาสท่านหนึ่ง
ซึ่งเป็นชาวมอญที่มาจอดเรืออยู่บริเวณหน้าวัด  และสุดท้ายคือจากตำหรับตำราต่างๆ
ที่ท่านได้มาจากวัดประดูฯเป็นต้น

    องค์ประกอบในการสร้างเบี้ยแก้วัดกลางบางแก้วองค์ประกอบหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้
ในการสร้างเบี้ยแก้ที่สำคัญมี  4  ชนิดคือ
    1.เบี้ยจั่นเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่งประเภทหอยเบี้ยด้านหลังจะมีสีน้ำตาลแก่ลายสีน้ำตาลแก่
ลายสีน้ำตาลอ่อนเป็นจุดๆด้านท้องปากหอยมีลักษณะคล้ายฟันเป็นซี่ๆ ตามแนวยาวการเลือก
เบี้ยจั่นที่จะนำมาทำเป็นเบี้ยแก้นั้นต้องเลือกเบี้ยที่มีซี่ฟันครบ 32 ซี่และมีขนาดไม่เล็กหรือใหญ่
จนเกินไป พอเหมาะในการที่จะบรรจุปรอทได้น้ำหนักที่ 1 บาท
    2.ปรอทเป็นโลหะเหลวชนิดหนึ่งมีสีขาวบริสุทธ ิ์กรรมวิธีการดักปรอทของคนโบราณ   นิยม
ใช้ไข่เน่าเอาเข็มเจาะเป็นรูเล็กๆ  แล้วนำไปวางไว้ตามบ่อน้ำครำทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน แล้วจึงนำ
ไข่ขึ้นมาจะมีปรอทเข้าไปอยู่ในไข่เน่าแต่ปัจจุบันมักนิยมไปซื้อปรอทจากร้านเคมีภัณฑ์มาทำ
    3.ชันโรงใต้ดินตัวชันโรงเป็นแมลงที่มีลักษณะคล้ายผึ้งแต่เล็กกว่าผึ้งมากชอบกินน้ำหวาน
จากเกสรดอกไม้มักจะอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มตามสถานที่ๆ มีความเงิยบสงบต่างๆ เช่นริม
หน้าต่างโบสถ์วิหารศาลาโรงธรรมเป็นต้นเพราะไม่ชอบให้ใครไปรบกวนเมื่อถ่ายออกมาจะมี
กลิ่นหอมและตัวชันโรงจะนำมาทำเป็นรังของมันเองมีลักษณะคล้ายๆกับครั่งโบราณจารย์ท่าน
นิยมใช้ชันโรงใต้ดินมาเป็นส่วนประกอบในการทำเบี้ยแก้
    4.แผ่นตะกั่ว,ผ้าแดงแผ่นตะกั่วใช้สำหรับตีหุ้มตัวเบี้ยที่ผ่านการบรรจะปรอทและปิดทับด้วย
ชันโรงเรียบร้อยแล้วอีกทั้งใช้สำหรับลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ   ส่วนผ้าแดงใช้สำหรับลงอักขระ
เลขยันต์อีกครั้ง   ก่อนนำไปถักเชือกลงรักปิดทองในลำดับสุดท้าย

   กรรมวิธีการสร้าง
   เมื่อได้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ  ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วคณาจารย์ผู้สร้างจะเอาปรอทเทลง
ไว้ในฝ่ามือแล้วจึงบริกรรมเวทย์มนต์จนจบแล้วจึงบริกรรมอีกบทหนึ่ง   ขณะกรอกปรอท
ลงในตัวเบี้ยโดยให้ปรอทวิ่งลงตรงร่องระหว่างฝ่ามือ่ตรงรอยพับใต้นิ้วก้อยลงมาเล็กน้อย   
สำหรับหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วมีคำเล่าขานสืบต่อกันมานั้น  กล่าวว่าท่านจะเสกปรอท
จนวิ่งเข้าหาตัวเบี้ยได้เองขณะเอาปากหอยมาจ่อตรงร่องฝ่ามือเสมอกัน   ปรอทจะวิ่งเข้าหา
ตัวเบี้ยได้เองขณะเอาปากหอยมาจ่อตรงร่องฝ่ามือเสมอกันปรอทจะวิ่งเข้าหาโดยที่ท่าน
ไม่ได้ยกมือให้ขึ้นสูงแต่ประการใด
     เมื่อผ่านขั้นตอนการบรรจุปรอทเข้าตัวเบี้ยแล้ว    จะใช้ชันโรงใต้ดินอุดปากเบี้ยไว้กันปรอท
ไหลกลับคืนออกมาต่อจากนั้นนำเบี้ยดังกล่าวไปตีหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วให้เรียบร้อยสวยงามตาม
ลักษณะของเบี้ยจั่นที่นำมาทำเป็นเบี้ยแก้แล้วจึงลงอักขระเลขยันต์โดยเบี้ยแก้สาย
วัดกลางบางแก้วนั้นใต้ท้องเบี้ยเป็น   ยันต์พุทซ้อน   หรือนะหน้าทอง   อันได้แก่
พระเจ้า 5 พระองค์คือ นะ โม พุทธา ยะ ด้านซ้ายมือลงด้วยตัว อัง แต่บางลูกอาจมียันต์กำเนิด
เฑาะสมาธิหรือเพาะมหาอุด
เป็นหลักใหญ่ บางลูกก็ลงอักขระด้วยยันต์เฑาะขัดสมาธิข้างซ้ายลงตัว มะข้างขวาลงตัว 
อะ ด้านบนลงตัว อุ  หลังจากนั้นลงอักขระบนผ้าแดงห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง  ก่อนนำไปถักเชือกหุ้ม
ทับหมดทั้งตัวอีกชั้นหนึ่ง  จากนั้นเอาไปลงรักปิดทับชั้นนอกอีกทีเพื่อเป็นการรักษาสภาพ   
โดยปกติเบี้ยแก้สำนักนี้จะมีการสอดห่วงทองแดงไว้บริเวณท้องเบี้ยเพื่อใช้สำหรับร้อยเชือก
คาดเอว
    ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกเบี้ยแก้   ให้มีมหิทธานุภาพตามโบราณกาล   การปลุกเสก
เบี้ยแก้ของสำนักวัดกลางบางแก้วนั้น   กล่าวไว้ว่าต้องปลุกเสกเบี้ยแก้ให้เคลื่อนไหวได้จริง
เสียก่อนที่จะนำออกมาแจกจ่ายให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายทั้งปวงต่อไป
     

55
ขนลุก :010:

56
แหมๆ

เอามายั่วกันแท้ๆ

57
ขอให้หลวงปู่หายไวๆน่ะครับ

58
เป็นคาถาเรียกอาคมครับ

ใช้นิ้วชี้วนบนหน้าผาก3รอบพร้อมภาวนาครับ

61
ครับลุงต้อ

เด๋วผมจะนำเอารูปที่ชัดมาลงให้ใหม่น่ะครับ!!

62
บารมีหลวงปู่คุ้มครอง!

63
แม่คือใคร...ในชีวิตของเรา

 

1.      แม่คือ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ผู้ให้กำเนิดเราโดยร่วมกับพ่อผู้กำกับการแสดง

2.     แม่คือ นักรักบริสุทธิ์ ผู้เป็นต้นแบบแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

3.     แม่คือ ครูคนแรก ที่สอนเราถึงวิธีการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ผู้สอนเราให้รู้จักแยกแยะระหว่าง “ความดี” กับ “ความเลว” “ความเหมาะสม” กับ “ความไม่เหมาะสม” “ประโยชน์” กับ “โทษ” ของสิ่งต่าง ๆ

4.     แม่คือ นายกรัฐมนตรี ผู้ตระเตรียมความจำเป็นขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน

5.     แม่คือ เกษตรกร ที่ลงแรงหว่านเมล็ดพันธุ์ เฝ้าพรวนดินรดน้ำและอดทนรอคอยการเกิดผลที่งอกงาม เป็นผู้ที่ดูแล เลี้ยงดู ฟูมฟัก นับตั้งแต่เราลืมตาดูโลกจนเติบโตขึ้นและพึ่งพาตนเองได้

6.     แม่คือ จิตรกร ผู้แต่งแต้มสีสันชีวิตอนาคตของเรา

7.     แม่คือ นักสร้างแรงบันดาลใจ ผู้ทำให้ความฝันใฝ่ของเราเป็นความจริง

8.      แม่คือ นักประชาสัมพันธ์ ที่ชอบเชิดชูความสามารถของเรา

9.     แม่คือ ทหาร ผู้ทำหน้าที่ปกป้องภยันตรายให้เรา ตั้งแต่เราอยู่ในครรภ์ ช่วยตัวเองไม่ได้จนกระทั่งเติบใหญ่สมบูรณ์และแข็งแรง

10. แม่คือ นางพยาบาล ที่คอยเฝ้าไข้ ดูแลรักษายามเราเจ็บไข้ได้ป่วย

11.  แม่คือ นักบุญ ที่พร้อมเสียสละความสุขส่วนตัว โดยไม่คำนึงว่าตนเองต้องเสียประโยชน์เพียงใด

12. แม่คือ ผู้ใช้แรงงาน ที่ทำงานหนักที่สุด ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด

13. แม่คือ นักรบ ผู้ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค แต่ฝ่าฟันที่จะทำทุกสิ่งเพื่อชัยชนะในชีวิตของเรา

14. แม่คือ ผู้จัดการ ผู้แบ่งงานให้เราทำ ทำให้เรารู้จักคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ

15. แม่คือ ผู้พิพากษา ผู้ตัดสินคดีเวลาเราทะเลาะกับพี่น้อง

16. แม่คือ ที่ปรึกษาส่วนตัว ผู้ให้คำปรึกษาในเรื่องที่สำคัญทั้งทางกายภาพและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามวัยของเรา การเลือกคบเพื่อน การเลือกคู่ครอง การประกอบอาชีพ

17. แม่คือ เพื่อน ผู้ให้กำลังใจ ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ

18.  แม่คือ มัคคุเทศก์ ผู้นำเราท่องเที่ยวเรียนรู้ในโลกกว้าง

19. แม่คือ นักปราชญ์ ผู้สอนให้เรารู้จัก “คุณค่าของชีวิต”

20.แม่คือ กระจกเงา ผู้ที่ทำให้คำกล่าวที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” เป็นจริง แม่มีอิทธิพลในการกำหนดท่าทีความคิด บุคลิกลักษณะของเรา ทำให้เรามีเอกลักษณ์ต่างจากคนอื่น

21.แม่ คือ ......

เราอาจจะให้คำนิยามของคำว่า “แม่” ได้อีกนับสิบนับร้อยนิยาม ในการกล่าวถึงคุณอนันต์ของท่านในชีวิตเรา แม้ว่าบทบาทของแม่ ในปัจจุบันอาจดูเหมือนลดน้อยลง และถูกทดแทนด้วยสิ่งอื่น ๆ แม่อาจจะให้เวลากับลูกน้อยลง ลูกอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่กับคนอื่นมากกว่าแม่ โรงเรียนอาจทำหน้าที่ในการสอนลูกแทนแม่ ฯลฯ แต่ไม่ว่าบทบาทของแม่จะถูกทดแทนด้วยสิ่งใด ความเป็นแม่ก็มิอาจ ถูกลดคุณค่าลง

เพราะสิ่งแปลกปลอมอื่นใดก็ไม่สามารถทับ “นิยามแห่งความเป็นแม่” ได้อย่างแนบแน่นเท่ากับความเป็นแม่ตามลักษณะธรรมชาติ

ในโอกาสวันแม่ ให้ลองคิดถึงแม่ และให้นิยามคำว่า “แม่” ว่าเป็นอย่างไรในชีวิตเรา โดยคำนึกถึงสิ่งดีที่เราได้รับผ่านชีวิตของท่านมากยิ่ง ทำให้เราไม่ละเลยที่จะตอบสนองพระคุณของท่านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะเป็นเหตุให้เราช่วยกันสร้างสรรค์สังคมที่เด็ก ๆ จะมีแม่เป็น “แม่” ตามที่นิยามอย่างครบบริบูรณ์

64
ข้อมูลเล็กๆน้อย
เนื่องในวโรกาสที่ปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เหล่าพสกนิกรชาวไทย รวมทั้งชาวต่างชาติทั่วโลกที่ได้มีโอกาสร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ และชื่นชมพระบารมี มหัศจรรย์แห่งปรัชญา พระอัจฉริยภาพตลอด 60 ปี แห่งการครองราชย์ ซึ่งทรงไว้ด้วยเมตตาธรรม นับว่าเป็นบุญของแผ่นดินและปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงรักและห่วงใยเหล่าพสกนิกรของพระองค์ ดุจเดียวกับบิดารักและห่วงใยบุตร 
 ทรงใช้พระปรีชาสามารถอันทรงคุณประโยชน์ ทรงไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยของพระวรกาย เพื่อให้เหล่าพสกนิกรของพระองค์อยู่ร่วมกันได้ในชาติด้วยความร่มเย็นผาสุกเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ผมและทีมงาน ?นิตยสารพระท่าพระจันทร์? จึงใคร่ขอนำเสนอมหาวัตถุมงค ?พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน? ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยทรงสร้างขึ้นด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง
     
ในราวปีพุทธศักราช 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้ นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการกองหัตถศิลป กรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์เข้ามาเป็นผู้แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จจิตรลดานี้ในพระราชฐาน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในการแกะแม่พระสมเด็จจิตรลดานั้น ท่านอาจารย์ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ได้กรุณาให้เกียรติเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีโอกาสรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทถวายงานในการแกะแม่พิมพ์ไว้ในหนังสือ ?พระพิมพ์จิตรลดา? ซึ่งเรียบเรียงและสัมภาษณ์โดย คุณประมุข ไชยวรรณ อาจารย์ไพฑูรย์ได้ทำการแกะแม่พิมพ์ ตามพระกระแสรับสั่งขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มลงมือแกะพิมพ์พระสมเด็จจิตรลดา ลงบนหินลับมีดโกน  การแกะพิมพ์ (พระสมเด็จจิตรลดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน) เป็นพุทธศิลป์แบบแม่พิมพ์ลึก แล้วใช้ดินน้ำมันกดลงบนแม่พิมพ์ลึกเพื่อถอดแบบองค์พระสมเด็จจิตรลดา จากนั้นก็ทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงทอดพระเนตร และทรงวินิจฉัยแบบพิมพ์ พระองค์ท่านทรงมีพระกระแสรับสั่งให้แก้ไข ตกแต่ง แบบพิมพ์พระสมเด็จจิตรลดาหลายครั้ง จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย เมื่อได้แม่พิมพ์ที่สมบูรณ์ด้วยพุทธศิลป์ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงนำแม่พิมพ์ที่แกะไว้ทำการถอดต้นแบบพระสมเด็จจิตรลดาจากแม่พิมพ์หิน โดยพระองค์ท่านทรงใช้วัสดุเคมีที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีคุณภาพดี จนได้ตามจำนวนพระราชประสงค์แล้ว ก็ทรงนำต้นแบบพระสมเด็จจิตรลดาจำนวนหนึ่ง เรียงบนภาชนะที่เตรียมไว้เพื่อทำการหล่อแม่พิมพ์อีกครั้ง โดยการหล่อเป็นแม่พิมพ์ยาง 
     
การแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กท่านอาจารย์ได้แกะแม่พิมพ์ถวายหลังจากที่ได้แกะแม่พิมพ์ใหญ่ถวายได้ไม่นานนัก โดยมีพุทธศิลป์เหมือนกับแม่พิมพ์ใหญ่ทุกประการ ยกเว้นแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น พระพุทธศิลป์ขององค์พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพุทธศิลป์แบบพระพุทธรูป พิมพ์ปางนั่งสมาธิ แบบขัดสมาธิราบ พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย ประทับเหนือดอกบัวบานบน 5 กลีบ ล่าง 4 กลีบ รวมเป็น 9 กลีบ ตรงกับรัชกาลที่ 9 รูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว แบ่งเป็นสองแม่พิมพ์ตามขนาดขององค์พระ คือ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก พระพิมพ์ใหญ่มีขนาดกว้าง 2 ซม. สูง 3 ซม. ส่วนพระพิมพ์เล็กมีขนาดกว้าง 1.2 ซม. สูง 1.9 ซม.พระราชประสงค์ในการสร้างพระสมเด็จจิตรลดา สืบเนื่องมาจากที่พระองค์ ได้รับทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัยดอกไม้สดจากประชาชนในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต   และได้ทรงแขวนไว้ ณ ที่บูชาองค์พระพุทธปฏิมากร ตลอดเทศกาลจนถึงคราวที่เสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ทรงเห็นเป็นของสำคัญที่ควรเก็บดอกไม้แห้งเหล่านี้ไว้ให้เป็นประโยชน์เพื่อเป็นสิริมงคล และทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ว่าสมควรใช้เป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับสร้างเป็นพระสมเด็จจิตรลดา และเพื่อให้ได้พุทธคุณสูงยิ่งขึ้น เพียงเฉพาะดอกไม้แห้งจากพวงมาลัยที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว คงไม่เพียงพอสำหรับที่จะทำเป็นองค์พระ จะต้องมีส่วนผสมอื่นที่สามารถจะผสานให้เป็นเนื้อเดียวกัน รวมทั้งวัตถุมงคลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักรด้วย จึงจะได้อำนาจแห่งพุทธคุณโดยสมบูรณ์ ทรงให้เจ้าพนักงานรวบรวมเส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศา) หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตร และด้ามพระขรรค์ชัยศรี ในพระราชพิธีฉัตรมงคล สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพโดยฝีพระหัตถ์ ชัน และสีซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่ง 
     
ส่วนผสมที่เป็นมงคลนี้ คือ ส่วนผสมที่เรียกว่า ?ส่วนในพระองค์? สำหรับส่วนผสมที่มาจากทุกจังหวัด ของทุกภาค ทั่วราชอาณาจักร ทรงมอบให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดหาวัตถุมงคลนี้ ซึ่งนำมาจากปูชนียสถาน หรือพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเคารพ ปฏิบัติบูชาสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานในแต่ละจังหวัด ได้แก่ ดิน หรือ ตะไคร่แห้งจากปูชนียสถาน ทองคำเปลวปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา และน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้นำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นต้น แม้แต่ภาชนะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ใช้บรรจุ ห่อ วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถวายนั้น ก็มิได้ทรงทิ้งหรือทำลาย มีทั้งกระดาษ พลาสติก แก้ว และวัสดุอื่นๆ อีกหลายอย่าง เมื่อทรงใช้วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว ภาชนะวัสดุเหล่านั้นทรงให้ยุบรวมกันเป็นชิ้นเดียวและทรงเก็บรวบรวมในพระราชตำหนักในการสร้างพระสมเด็จจิตรลดานี้ทรงมีพระราชประสงค์ในเบื้องต้น เพื่อบรรจุที่ฐานบัวขององค์พระพุทธวราชบพิตรและพระราชทานแก่ข้าราชบริพารที่ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท  รวมทั้งราชองครักษ์ประจำพระองค์ และพระราชทานให้กับพสกนิกรผู้ประกอบแต่กรรมดีแก่ประเทศชาติ โดยทรงมิได้เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือชั้นผู้น้อย จนมาถึงคนขับรถ คนสวน แม่ครัว และบรรดาข้าราชการทหารที่ไปร่วมรบในสมรภูมิต่างๆ เช่น เวียดนามและลาว ผู้บังคับบัญชาในระดับสูงจะทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้แก่นายทหารเหล่านั้นในจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งจะทรงมีพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เองว่าจะมีพระราชทานหรือไม่ จำนวนเท่าใด แต่ในการขอพระราชทานจะต้องขอพระราชทานต่อพระองค์เท่านั้น จะไม่พระราชทานให้แก่ผู้ที่ไม่ได้ขอพระราชทาน ส่วนสมเด็จพระจิตรลดาพิมพ์เล็กทรงพระราชทานให้กับบุตรหลานข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์มีทั้ง เด็กชาย เด็กหญิง และสตรีที่สนองงานพระองค์ ทรงสร้างไว้ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กประมาณ ไม่เกิน 3,000 องค์ และพระราชทานตั้งแต่ในปี 2508 จนสิ้นสุดในปี 2513 
     
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานพระบุญญาบารมีของพระองค์ท่าน ความมีศรัทธาปสาทะอย่างสุดซึ้ง ในพระบวรพุทธศาสนา และผลบุญกุศลที่พระองค์ทรงยึดมั่นอยู่ในการประกอบแต่กรรมดี ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ช่วยดลบันดาลให้พระสมเด็จจิตรลาดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้น สูงสุดด้วยพระพุทธานุภาพ และกฤตยานุภาพ คุ้มครองให้คลาดแคล้วผองภัยพิบัติ และอำนวยความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่ได้นำไปบูชา ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา และประกอบแต่กรรมดี ซึ่งอัญเชิญพระพุทธคุณด้วยพระราชหฤทัยอันมั่นคงในทศพิธราชธรรมให้อยู่อย่างมั่นคงกับพระสมเด็จจิตรลดาองค์นี้ ทุกครั้งที่ทรงเทพิมพ์ จะทรงเทพิมพ์ด้วยพระหัตถ์ ในยามดึกสงัดเพียงลำพังพระองค์เดียว มีเพียงเจ้าพนักงาน 1 คน ที่คอยถวายสุธารส และคอยหยิบสิ่งของต่างๆ ถวายตามพระราชประสงค์ การผสมผงวัตถุมงคลจะทรงผสมให้พอดีที่จะพิมพ์ให้หมดในแต่ละครั้งเท่านั้น ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดาทุกองค์จะได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยให้เป็นรายบุคคลๆ ไป   พร้อมพระกระแสรับสั่งทุกครั้ง ให้ผู้ที่ได้รับพระราชทาน จงประพฤติปฏิบัติคุณงามความดีอยู่ในศีลธรรม และยึดมั่นอำนาจแห่งพระพุทธคุณ ทรงกำชับให้นำทองคำเปลวปิดที่หลังขององค์พระกอ่นนำไปบูชาเสมอ ขณะปิดทองให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ อธิษฐาน ขอให้ความดีที่มีอยู่ในตัว จงดำรงอยู่ต่อไปและขอให้ยังความเป็นสิริมงคล จงบังเกิดแก่ตัวยิ่งขึ้น อีกประสบแต่ความสุขความเจริญในทางดีงาม เมื่อได้รับพระราชทานแล้ว จะมีใบพระราชทาน (ใบกำกับพระพิมพ์) ซึ่งจะระบุ ลำดับ วัน เดือน ปี ที่ได้รับ ขนาดกว้างประมาณ 12.7 ซม. ยาว 15.8 ซม. เป็นเอกสารส่วนพระองค์ เอกสารสำคัญฉบับนี้ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจะแจ้งให้มารับภายหลังจากวันที่ได้รับพระราชทานองค์พระ โดยไม่มีหมายกำหนดที่แน่นอน การบูชาพระสมเด็จจิตรลดามีสองวิธี คือ หนึ่ง ?อามิสบูชา? อันได้แก่การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือสิ่งของต่างๆ อีกวิธีหนึ่งคือ ?ปฏิบัติบูชา? ได้แก่บูชาด้วยการปฏิบัติ หมายถึงการทำดีละชั่ว หมั่นทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลงมาครอบงำ การบูชาด้วยการปฏิบัตินี้ คือการประกอบกรรมดี
     
ส่วนความแตกต่างของพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่ในแต่ละปี มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถพอจะแยกจุดเด่นๆ ขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่ ตั้งแต่ทรงสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2508 ถึง ปี พ.ศ.2513 ตามหลักเกณฑ์จากประสบการณ์ของผู้เขียนดังนี้

1. ดูตามลักษณะพิมพ์ทรง ความคม ลึก ชัด ขององค์พระในแต่ละปีไม่เท่ากัน ซึ่งเข้าใจว่าเกิดจากการที่ทรงถอดจากแม่พิมพ์หินเป็นแม่พิมพ์ยางและตกแต่งแม่พิมพ์

2. ดูจากเนื้อสีวัสดุที่เป็นส่วนผสม ทำให้มวลสาร วัตถุมงคต่างๆ แข็งตัวรวมกันเป็นองค์พระ ซึ่งพระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่จะมีสีสันขององค์พระในแต่ละปีค่อนข้างจะดูแตกต่างกัน

3. ดูจากลักษณะด้านหลัง ด้านข้างสันขอบขององค์พระ และความหนา-บางขององค์พระ ซึ่งพระในแต่ละปีจะมีความแตกต่างกัน สังเกตได้ชัดเจนพอสมควร และลักษณะการเก็บงานความเรียบร้อยหลังจากทรงเทพิมพ์เป็นองค์พระแล้ว ดังรายละเอียดที่จะมีบรรยายไว้ใต้รูปขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่ในแต่ละปี  สำหรับพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กนั้น ตามประวัติที่ทรงสร้างประมาณว่ามีไม่มากนัก และทรงมีการพระราชทานให้เพียง 2 ปี เท่านั้น(คือ ปี พ.ศ.2508 และ ปี พ.ศ.2509) ดูเหมือนจะหาความแตกต่างไม่ได้เลยสำหรับพระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์เล็กในแต่ละปีสำหรับประสบการณ์ที่เกิดจากการอาราธนาอัญเชิญพระพุทธคุณขององค์พระสมเด็จจิตรลดาไปบูชานั้น บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล พบแต่ความสำเร็จ เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็นและให้ความเกื้อหนุนเสมอ มีพระพุทธานุภาพ คุ้มครอง ให้แคล้วคลาดจากผองภัยพิบัติต่างๆ หรือทุกสิ่งอย่างที่เป็นอุปสรรคก็ดูเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสมอ ?ดุจพระบารมีปกเกล้าซึ่งเหมือนเป็นมงคลแห่งชีวิต?
 

66
รูปอาจไม่ค่อยชัดน่ะครับ

มีคนเค้าเห็นผมห้อยอยู่
ท่านบอกว่ามีราคา
ใครพอทราบราคา
ช่วยชี้แนะด้วยน่ะครับ

ด้านหน้า


ด้านหลัง

67
เวรแท้ตั้งผิดหมวด

72
นั่งรถ กรุงเทพ-นครปฐม จากสายใต้ใหม่ มาลงแยกท่านา ครับ แล้ว ข้ามสะพานลอยมา พอข้ามมา ถ้าไปหลายคน แนะ นำรถตุ๊กๆ


ก็บอกเค้าไปวัดบางพระ

แค่นั้นครับ ง่ายๆ

73
บารมีหลวงปู่คุ้มครองครับ!

74
ผมว่าอยู่ที่ระบบ ละครับ

75
สุดยอด ไม่มีคำบรรยายใดๆ

76
ในตอนนี้ ผมสักมาได้ซัก 1อาทิตย์ ครับ แต่ทว่ารอยสักยังไม่เลือนหายไปเลยครับ

ยังเห็นเป็นรูปอยู่เลยครับ

ผมยังงงๆ ทำไมไม่หายไปซักที เพื่อนที่ไปสักด้วยกัน หายกันหมดแล้วครับ แต่ผมไม่หายซักที

เพื่อนบอกว่า สงสัยหลวงพี่ญาท่านคงทิ่มแรง
-.-

78
สวยงามทั้งหมดเลยน่ะครับ

ส่วนคาถา

ของผมเป็นของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิธาราม เป็นยังงี้ครับ

ตั้งนโม3จบ

โอม....ผงเผ่าเถ้าธุลี
คงกระพันชาตรี สวาหะ
คลุกคลีตีมะ คลุกคลีตีอุ คลุกคลีตีอะ


79
การบอกรักแม่ ไม่ได้บอกแก่ท่านในวันแม่เท่านั้น

เราควรบอกรักท่านทุกๆวัน

80
ดูเข้มขลังและสวยงามมากเลยทีเดียว

มีของดีก็รักษาให้ดีๆน่ะครับ

81
ถูกทุกอย่างที่ท่านได้กล่าวมาเลยครับ

82
ผมได้ไปวัดบางพระมา หลวงพี่ญาท่านเมตตาให้มาครับ
มาชมกันน่ะครับ
สำหรับคุณพี่ต้นน้ำ วันนั้นเราเจอกันแล้วครับ
ผมกับพี่คงได้เจอกันอีกแน่นอนครับ

^,^


ใกล้อีกนิดๆ

83
วันนี้เวลา8.00น.ผมจะเดินทางไปที่วัดบางพระครับ จะให้หลวงพี่ญาท่านลงหลังให้ครับ กลับมาผมจะนำให้ชมกันน่ะครับ

!!!

84
ขอบพระคุณสำหรับข่าวสาร

85
ครับผม ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาชม พระของผมน่ะครับ

ผมจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี


86
น้อมรับ คำติชม ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัย นะที่นี้ด้วย นะครับ

87
คราวหน้าผมจะเอาพระเมือง สุพรรณบุรีมาให้ชมกันน่ะครับ

88
น้อมรับ คำติชม ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัย นะที่นี้ด้วย นะครับ

89
น้อมรับ คำติชม ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัย นะที่นี้ด้วย นะครับ

91
น้อมรับ คำติชม ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัย นะที่นี้ด้วย นะครับ

92
ชุดที่ห้อยคอครับ

องค์นี้ปู่บอกว่า เป็นสมเด็จรุ่น100ปี 2522 ครับ

อันนี้ ยอดขุนพล วัดโพธิ์นิมิต

ส่วนนี้ เบี้ยแก้ ปู่ท่านบอกว่า เป็นของ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

นี้ของหลวงปู่แย้ม วันสามง่ามขอรับ

นี้ก็ หลวงปู่ทวดครับ

นี้ก็หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ รุ่น2

นี้ก็หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก รุ่น2

95
ขอบคุณสำหรับข่าวสาร ขอรับ

96
อยากทราบว่าจะโพสกระทู้ยังไงครับ  บอกที่นะครับ

97
หนุมาน หรือลิงลมครับท่าน!! ดูให้ผมทีครับ

99
คือว่าผมอยากรู้ว่าเป็นหนุมานหรือ ลิงลมครับ ช่วยดูทีครับ

หน้า: [1]