พบกันอีกแล้ว เมื่อชาติต้องการเอาประวัติ จากเนชั่นสุดมาฝากครับ
........
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ผู้อัญเชิญองค์จตุคามรามเทพ มาสถิต ณ ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกับสร้างเป็นวัตถุมงคลขึ้น จนเป็นที่นิยมบูชาไปกว้างไกลไพศาลเวลานี้
จากข้อมูล ขุนพันธรักษ์ราชเดช นอกจากจะเป็นนายตำรวจชาวเมืองนครศรีธรรมราช ที่ได้สร้างเกียรติประวัติปราบปรามโจรผู้ร้ายมามากมาย จนเป็นที่รู้จัก และยอมรับกันทั่วไปในภาคใต้และในจังหวัดอื่นๆ แล้ว เขายังมีปูมหลังความเป็นมาชนิดไม่สามัญธรรมดา
ขุนพันธรักษ์ราชเดช เดิมชื่อ บุตร์ พันธรักษ์ เกิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2442 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ต.ดอนตะโก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เข้าเรียนในวัยต้นที่วัดอ้ายเขียว กับอาจารย์ปาน ซึ่งเป็นสมภาร และอาจารย์นาม สมภารรูปต่อมา และที่นี่เองที่ทำเด็กชายบุตร์ เป็นผู้มีความรู้อยู่ในเกณฑ์ดี จนสามารถเลื่อนชั้นจาก ป.1 ไปอยู่ชั้น ป.3 ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ภายในเวลาเพียง 3 วัน
ต่อมาเด็กชายบุตร์ เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดพระนคร ต.พระเสื้อเมือง (ปัจจุบัน ต.ในเมือง) อ.เมือง นครศรีธรรมราช จบ ป.3 ก็เข้าเรียนต่อชั้น ม.1 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบญจมราชูทิศในปัจจุบัน) กระทั่งเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี 2459 โดยไปอยู่ที่วัดส้มเกลี้ยง (วัดราชผาติการาม) กับพระปลัดพลับ บุณยเกียรติ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า
บุตร์เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ที่นี่เขาได้เรียนวิชามวย ยูโด และยิมนาสติก จนมีความชำนาญพอสมควร และสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ในปี 2467 ต่อมาในปี 2468 ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ซึ่งหลังจบจากที่นี่ เมื่อปี 2472 ก็ได้ไปประจำตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ
โดยในปี 2474 เขาได้ย้ายไป จ.พัทลุง และที่นี่เองที่นายตำรวจหนุ่มผู้นี้ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เมื่อเขาสามารถปราบปรามเสือสังกับเสือพุ่ม นักโทษแหกคุก และยังวิสามัญคนร้ายคดีสำคัญอีก 16 รายได้ และด้วยความดีความชอบในครั้งนี้ เขาจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น 'ขุนพันธรักษ์ราชเดช' กระทั่งในปี พ.ศ.2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท และได้อุปสมบทที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช อยู่ได้ 1 พรรษา จึงลาสิกขา
ปี 2479 ย้ายไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑล นครศรีธรรมราช ประจำ จ.สงขลา ได้ปราบโจรครั้งสำคัญ ที่ทำให้มีชื่อเสียงมาก คือ การปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่นราธิวาส ในปี 2481 ชื่อ 'อะเวสะดอตาเละ' นัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยเท่านั้น ครั้งนี้ขุนพันธฯ จึงได้รับฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า 'รายอกะจิ' และได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจเอกในปีนั้นเอง
ปี 2482 ย้ายกลับมาอยู่ จ.พัทลุงอีกครั้ง ปราบปรามคนร้ายสำคัญ คือเสือสาย และเสือเอิบ ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร จ.พิจิตร ปี 2486 กวาดล้างโจรแก๊งเสือโน้ม ต่อมาปี 2489 ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร จ.ชัยนาท พร้อมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการกองปราบพิเศษของกรมตำรวจขณะนั้น ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรี อาทิ เสือฝ้าย เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือไหว เสือมเหศวร เสือไกร และเสือวัน แห่งชุมโจร อ.พรานกระต่าย จนได้รับฉายาจากชุมเสือว่า ขุนพันดาบแดง และจอมขมังเวท
ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ที่ จ.นครศรีธรรมราช จนกระทั่งปี พ.ศ.2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพันตำรวจเอก และในปี 2505 ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี 2507 แต่ก็ยังสร้างคุณประโยชน์ โดยปี 2512 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
นอกจากนี้ ขุนพันธฯ ยังสนใจวิชาการทั่วไป เช่น ประวัติศาสตร์ คติชนวิทยา โดยเฉพาะไสยศาสตร์ ที่สนใจเป็นพิเศษ จนมีงานเขียนมากมาย เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ กรุช้างเผือกงาดำ หัวล้านนอกครู ศิษย์เจ้าคุณ มวยไทย เชื่อเครื่อง กรุงชิง เป็นต้น
หลายคนที่ศึกษาเกี่ยวกับจตุคามรามเทพ จะพบว่าในประวัติต้นกำเนิด มักปรากฏเรื่องราวของขุนพันธฯ ร่วมอยู่ด้วย นั่นเพราะตามคำเล่าขาน ขุนพันธฯ เป็นผู้ที่รู้ว่าภาพวาดจาก 'คนทรง' ที่พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาปกป้องบ้านเมือง คือ จตุคามรามเทพ จนนำมาสู่พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ในการลงเสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ได้อัญเชิญองค์พ่อจตุคามรามเทพ มาประดิษฐานภายในศาลหลักเมือง เมื่อปี 2530 ซึ่งขุนพันธฯ เป็นเจ้าพิธี อ่านโองการอัญเชิญเทวดา
และหากจะกล่าวถึงบุคคลผู้มีส่วนในการก่อกำเนิดวัตถุมงคลองค์จตุคามรามเทพตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ก็มี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช นี่เอง ที่มีชื่อปรากฏเป็นลำดับแรก ถัดไปคือ พล.ต.ท.สรรเพชร ธรรมาธิกุล อดีต ผบ.ช.ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นลูกศิษย์ และคุณอะผ่อง สกุลอมร
ปัจจุบัน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ลาโลกไปด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 ด้วยอายุถึง 108 ปี!
อนึ่ง ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ศกนี้ จะมีงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ณ วัดพระมหาธาตุฯ ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการแจกเหรียญรูปเหมือนขุนพันธฯ เป็นของที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บิดาบังเกิดเกล้า ประกอบด้วย 1.เนื้อเงินบริสุทธิ์ (สร้าง 500 เหรียญ) 2.รูปเหมือนเนื้อผงมหาว่าน 3 สี (ขาว ดำ แดง) สร้าง 80,000 เหรียญ 3.เหรียญทองแดงรมมันปู สร้าง 20,000 เหรียญ
ณ สรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนโต กล่าวว่า ได้จัดสร้างเตรียมไว้ตั้งแต่ปี 2548 ชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมายพร้อมเส้นเกศาของขุนพันธ์-ด้านหลังประทับลายนิ้วหัวแม่มือ นำเข้าประจุพุทธาคมร่วมวัตถุมงคล 5 รุ่น คือ ไตรภาคีศรีนคร, พุทธามหาเวท, พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง, 9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ขุนพันธฯ และหลักเมืองพุทธาคมเขาอ้อ
เนื่องจากสร้างจำนวนจำกัด จึงกลายเป็นวัตถุมงคลหายาก และผู้ศรัทธาใน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ต่างต้องการเป็นเจ้าของ รวมทั้งนักสะสมทั่วไป ขณะนี้เหลือเนื้อผงมหาว่านเพียง 3 ชุด (ขาว ดำ แดง) เหรียญทองแดงรมดำมันปู 3 เหรียญ
พระราชธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธ) ที่ปรึกษาเจ้าภาพงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช กล่าวยกย่อง 'ท่านขุน' ว่า
"โบราณศาสตร์มี..เรื่องเวทมนตร์ เรื่องคาถาอาคมมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ใครจะทำได้ตามกฎเกณฑ์ของคาถาอาคมนั้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สำเร็จพระโยชน์ คนที่จะทำได้ต้องถือเคร่งครัด ถ้ารู้ว่าเขาห้ามอะไร ก็ไม่ล่วงละเมิด ไม่ว่ารูปแบบไหน แม้ทางใจยังสามารถบังคับได้..
"ท่านขุนพันธฯ จึงถือเป็นบุคคลที่หาได้ยาก เป็นคนดีของแผ่นดินคนหนึ่ง ท่านไม่ด่างพร้อย ไม่เสียหายตลอดชีวิตราชการ มีคุณธรรม จริยธรรม มีศีลาจริยวัตรเรียบร้อย ท่านได้รับการฝึกฝนมาโดยลำดับ ได้อยู่กับวัด อยู่กับอาจารย์ดีๆ มามาก ท่านเก็บเนื้อเก็บตัวรักษาศีลเคร่งครัด จึงสามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเอาไว้ได้ตลอดชีวิต"
จึงเป็นที่คาดหมายว่า ระหว่างวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ ที่มีงานพระราชทานเพลิงศพ 'ท่านขุน' จะมีผู้เคารพศรัทธาจากทั่วประเทศ ไปร่วมงานอย่างล้นหลาม
เพื่อร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แด่ดวงวิญญาณ 'นายตำรวจมือปราบ' และ 'ท่านขุนขมังเวท' ผู้ปลุกกระแสวัตถุมงคล องค์จตุคามรามเทพ ให้เป็นปรากฏพิเศษไปทั้งแผ่นดินสยามยาม