กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 26 ก.ย. 2552, 07:02:05
-
พายุเข้าที่อ่าวเวียดนาม....
มีผลต่อภาคอีสานของไทย
ฝนตกลงมาตั้งแต่เช้า ฟ้าครึ้มตลอดทั้งวัน
วันนี้เลยมิได้ลงไปทำงานภาคสนาม อยู่แต่บนศาลาเกือบทั้งวัน
มีเวลาว่างเลยทวนคำสวดปวารณาออกพรรษาเพื่อให้คล่อง
นั่งคิดพิจารณาธรรมดูกายดูจิตพยายามไม่ส่งจิตคิดออกนอกกาย
ทำตามครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนไว้คือไม่ส่งจิตคิดออกนอกกาย
"จิตที่ส่งออก เป็นสมุทัยให้เกิดทุกข์"เพราะมันจะเก็บเรื่องราวต่างๆกลับมา
และบางครั้งก็ไปเก็บกิเลสของผู้อื่นกลับมาด้วย เป็นการเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเอง
ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมากพอจิตสงบก็อยากจะเห็นภพภูมินิมิตต่างๆส่งจิตออกไปควานหา
อยากจะเห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ ซึ่งความอยากนั้นมันเป็นตัณหาไม่มีวันสิ้นสุด
เป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้แก่จิตของเรายิ่งขึ้นเพราะความอยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากไป
แต่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้คือให้กลับมาดูภายในทำความเข้าใจกับกายและจิตของเรา
มองให้เห็นกายภาบนอกคือรูปร่างหน้าตาของเรา แล้วมองต่อไปให้เห็นถึงภายในน้อยใหญ่
แยกกายออกตามอาการสามสิบสอง มองให้เห็นว่าเป็นธาตุที่ประชุมรวมกันเป็นรูปเป็นร่าง
พิจารณาสักแต่ว่าเป็นธาตุ ดินในกายของเรา น้ำในกายของเรา ลมในกายของเรา ธาตุไฟความร้อนในกายของเรา
กับธาตุทั้งสี่ที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นคือธาตุตัวเดียวกัน จิตเราเพียงเข้ามาอยู่อาศัย ไม่นานเราก็ต้องคืนกลับไปสู่ธรรมชาติ
มองให้เห็นจนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ คืนกลับไปสู่ธรรมชาติจนไม่มีกายของเราเหลือเพียงวิญญาณธาตุคือจิตของเรา
แล้วพิจารณาดูจิตของเราที่แปรเปลี่ยนไปในทุกขณะจิต เวทนาความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา ความสุข ความทุกข์
หรือความไม่สุขไม่ทุกข์ที่จิตนั้นทรงอยู่ ดูให้เห็นถึงเหตุและปัจจัย ว่าประกอบด้วยอามิสหรือไม่ หรือไม่ประกอบด้วยอามิส
ทำความรู้และความเข้าใจกับจิตแล้วพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอยู่และแปรเปลี่ยนไปจนเข้าใจในสภาวะธรรมทั้งหลาย
เหลือเพียงกายเดียวจิตเดียว ท่องเที่ยวอยู่ในกายและจิตของเราจนมีความชำนาญและเกิดการเบื่อหน่ายจิตก็จะคลายจากการยึดถือ
ในตัวตนของเรา ทิฏฐิมานะก็จะจางคลาย การถือตัวถือตนก็จะหมดไป ความจางคลายของกิเลสและตัณหาจะตามมาปัญญาจะเกิดขึ้น
นั้นคือการพิจารณาดูกายดูจิตพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ โดยมีสติและสัมปชัญญะควบคุมอยู่ทุกขณะจิต ในการคิดและพิจารณา.....
:059:แด่พายุและสายฝนที่ตกลงมาทำให้มีเวลาที่จะได้พิจารณาในหัวข้อธรรม :059:
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๖ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๗.๐๒ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
-
คือวิธีคิดทำให้ ทิฏฐิมานะ การถือตัว ถือตนจางคลาย สุดท้ายปัญญาจะเกิดขึ้นตามมา...
อีกหนึ่งคำสอนครูบาอาจารย์ที่เพียรถือท่องไว้ในใจ!...
-
ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมากพอจิตสงบก็อยากจะเห็นภพภูมินิมิตต่างๆส่งจิตออกไปควานหา
อยากจะเห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ ซึ่งความอยากนั้นมันเป็นตัณหาไม่มีวันสิ้นสุด
เป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้แก่จิตของเรายิ่งขึ้นเพราะความอยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากไป
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ กราบขอบพระคุณที่สั่งสอนและย้ำเตือนแก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมครับ
-
ทำความรู้และความเข้าใจกับจิตแล้วพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอยู่และแปรเปลี่ยนไปจนเข้าใจในสภาวะธรรมทั้งหลาย
เหลือเพียงกายเดียวจิตเดียว ท่องเที่ยวอยู่ในกายและจิตของเราจนมีความชำนาญและเกิดการเบื่อหน่าย
จิตก็จะคลายจากการยึดถือในตัวตนของเรา ทิฏฐิมานะก็จะจางคลาย การถือตัวถือตนก็จะหมดไป
กราบนมัสการขอบพระคุณพระอาจารย์ครับที่เมตตาสอน การพิจารณากายและจิต