แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นร...

หน้า: [1]
1
ธรรมะ / ร้อนนอก เย็นใน
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2552, 08:04:29 »

ร้อนนอก เย็นใน : โน๊ต อุดม แต้พาณิชย์ (ช่วงที่ ๑)
[mthai=380,320]1M1203826745M0[/mthai]

ร้อนนอก เย็นใน : โน๊ต อุดม แต้พาณิชย์ (ช่วงที่ ๒)
[mthai=380,320]1M1203826991M0[/mthai]

ร้อนนอก เย็นใน : โน๊ต อุดม แต้พาณิชย์ (ช่วงที่ ๓)
[mthai=380,320]1M1204646754M0[/mthai]

ขอบคุณ คุณ Foxconn MthA! :114:

2
อาจารย์ โบ้ ครับ




3
๑. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
? ?  ?The most formidable enemy in one's life is oneself
 
๒. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
?  ? ?The biggest failure in one's life is self-important.
 
๓. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
?  ? ?The unwiset act in one's life is deceit.
 
๔. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
?  ? ?The most miserable act in one's life is jealousy.
 
๕. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
?  ? ?The gravest mistake in one's life is self-abundonment.
 
๖. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
?  ? ?The most sinful act in one's life is self-deception.
 
๗. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การถดถอยของตัวเอง
?  ? ?The most pitiful temperament in one&rsquo's life is self-abasement.
 
๘. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะวิริยะ
?  ? ?The most admirable spirit in one&rsquo's life is perserverance.
 
๙. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง
?  ? ?The most complete bankruptcy in one&rsquo's life is despair.
 
๑๐. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
? ? ? The greatest wealth in one&rsquo's life is health.
 
๑๑. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
? ?  ?The heaviest debt in one&rsquo's life is a debt gratitide for other's help.
 
๑๒. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
? ?  ?The groundest gift in one&rsquo's life is forgiveness and kindness,
 
๑๓. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
      The biggest shortcoming in one&rsquo's life is permissism on unreason.
 
๑๔. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
      The greatest gratification in one&rsquo's life is alms giving
 

4
บทความ บทกวี / ตอบ: เป็นฉัน
« เมื่อ: 09 พ.ย. 2549, 09:08:26 »
ขอบคุณครับ

 :027:

5
บทความ บทกวี / ตอบ: ++วันวาน++
« เมื่อ: 09 พ.ย. 2549, 09:08:00 »
ขอบคุณครับ

 :027:

6
บทความ บทกวี / ตอบ: ******[-]* *[-]*****
« เมื่อ: 09 พ.ย. 2549, 09:07:16 »
ขอบคุณครับ

 :027:

7
ที่มา http://www.budpage.com/ba213.shtml

รู้ไวก่อนไฟลาม

ภาวัน
 



              คนเรารู้สึกไวต่อสีหน้าอารมณ์แบบใดมากที่สุด ?

             นี้เป็นคำถามที่นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียสองคนอยากหาคำตอบ ทั้งสองได้คัดเลือกภาพสีหน้าของผู้คนจำนวนมากทั้งหญิงและชาย ที่สะท้อนอารมณ์หกแบบ คือโกรธ รังเกียจ กลัว ดีใจ เศร้า และประหลาดใจ จากนั้นก็ให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งทั้งหญิงและชาย มาดูภาพเหล่านั้น แล้วตอบว่าสีหน้าของผู้คนในภาพกำลังบ่งบอกอารมณ์ชนิดใด ระหว่างนั้นผู้วิจัยทั้งสองก็จับเวลาว่าอาสาสมัครใช้เวลานานเท่าใดในการตอบ

             คุณพอจะเดาได้ไหมว่า อาสาสมัครกลุ่มนี้จับสีหน้าอารมณ์ชนิดใดได้ไวที่สุด ?

             ถูกต้องแล้วคร้าบ คำตอบคือ สีหน้าที่กำลังโกรธ

             ไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนฉับไวต่อความโกรธมากกว่าอารมณ์ชนิดอื่น ที่น่าสนใจก็คือ ไม่ว่าเพศใดจะจับความโกรธบนสีหน้าของผู้ชายได้ไวกว่าของผู้หญิง

             ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองคิดว่า น่าจะเป็นเพราะความรู้สึกไวต่ออารมณ์โกรธนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ เพราะอารมณ์โกรธนั้นสามารถระเบิดเป็นความรุนแรง และก่อภัยคุกคามต่อคนเราได้มากกว่าอารมณ์อื่น ๆ อีกทั้งความรุนแรงเพราะลุแก่โทสะก็มักจะมาจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (หลักฐานประการหนึ่งก็คือ ในคุกมีนักโทษชายมากกว่านักโทษหญิงหลายเท่าตัว)

             ที่จริงการทดลองดังกล่าวยังบอกด้วยว่าผู้ชายนั้นไวกว่าผู้หญิงในการจับอารมณ์โกรธบนสีหน้าของคนอื่น (แต่ถ้าเป็นอารมณ์ชนิดอื่น ผู้หญิงจะรู้สึกไวกว่าผู้ชาย) นี่ก็คงเป็นเพราะผู้ชายมีโอกาสที่จะถูกฆ่าหรือทำร้ายได้มากกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นถ้าผู้ชายอยากจะมีอายุยืน ก็ต้องมีความรู้สึกไวต่ออารมณ์เดือดดาลเป็นพิเศษ
 
             คุณสมบัติดังกล่าวน่าเชื่อว่าฝังอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่เกิด อันเป็นผลจากวิวัฒนาการอันยาวนาน ซึ่งช่วยให้มนุษย์เราอยู่รอดได้มาจนทุกวันนี้ แต่สมัยนี้ลำพังความรู้สึกไวต่ออารมณ์โกรธของคนอื่น เห็นจะไม่เพียงพอต่อความอยู่รอดของเราเสียแล้ว เพราะในโลกยุคใหม่ สิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเรามากที่สุด ไม่ใช่ความโกรธของคนอื่นหรอก แต่เป็นความโกรธของเราเอง

             ในโลกสมัยใหม่ อันตรายจากภายนอกลดลงไปมาก ไม่ว่าอันตรายจากสิงสาราสัตว์หรือมนุษย์ด้วยกัน การตัดสินปัญหาด้วยกำลัง หรือไล่ล่าฆ่ากันตามอำเภอใจนั้น ทุกวันนี้ลดลงไปมาก ขณะที่ปัญหาจากภายในอันเนื่องจากอารมณ์คุคั่ง เดือดดาล และความเครียดนั้น กลับเพิ่มมากขึ้น ประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าการฆ่ากันเองนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนคนที่ตายเพราะโรคหัวใจก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โรคหัวใจนั้นมาจากไหน ส่วนหนึ่งมาจากความเครียดและความโกรธที่หมักหมมในใจนั่นเอง ยังไม่ต้องพูดถึงโรคร้ายอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน เช่น มะเร็ง รวมทั้งโรคนานาชนิดที่หาความผิดปกติในร่างกายไม่เจอ

             ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น นอกจากเผาลนจิตใจแล้ว ยังบั่นทอนร่างกายด้วย ทั้ง ๆ ที่มันก่อความทุกข์แก่เราเป็นอย่างมาก แต่เหตุใดเราจึงมักปล่อยให้ความโกรธอาละวาดอยู่บ่อย ๆ จนบางครั้งถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คำตอบก็คือ เพราะเราไม่รู้ตัวนั่นเอง
 
             เวลาโกรธใครสักคน เราจะมัวแต่คิดหาทางตอบโต้เขา หรือวางแผนเล่นงานเขา ใจแล่นออกไปนอกตัว จึงลืมดูใจของตัวว่ากำลังถูกความโกรธครอบงำหรือลากลู่ถูกังไปไหนต่อไหนแล้ว ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งความโกรธทำให้เราเผลอพูดหรือทำในสิ่งที่ต้องมาเสียใจภายหลัง "ไม่น่าเลยกู" คือคำพูดที่มักหลุดออกมาเมื่อระบายความโกรธไปอย่างสะใจและเกิดความเสียหายแล้ว

              การไวต่อความโกรธในใจตนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับคนยุคนี้ ยิ่งรู้เท่าทันมันตั้งแต่เพิ่งก่อตัว หรือยังเป็นแค่ความหงุดหงิด ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้มันลุกลามขยายตัว อย่าลืมว่าไฟที่เผาผลาญป่าทั้งผืนนั้นเริ่มต้นจากสะเก็ดไฟเล็ก ๆ เท่านั้น หากดับโทสะตั้งแต่ยังเป็นแค่สะเก็ดไฟ ก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะใจถูกผลาญเผาอีกต่อไป

             ลองสังเกตเวลาหงุดหงิดหรือเริ่มจะโกรธ ใจเราเป็นอย่างไร แล้วกายเราล่ะ เป็นอย่างไร รู้สึกถึงความหม่นหมองเร่าร้อนและหนักอึ้งที่ใจไหม สังเกตไหมว่ากายเริ่มเกร็ง ส่วนลมหายใจก็ถี่และตื้น ทันทีทีรู้ตัว ลองหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ถ้าให้ดีก็นับไปด้วยทุกลมหายใจออก จาก ๑ ถึง ๑๐ ถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้น นับซ้ำอีกรอบหรือสองรอบ จะช่วยให้กายและใจผ่อนคลาย ส่วนความโกรธจะทุเลาลง

             การหมั่นสังเกตอาการทางใจและกายที่เกิดขึ้นในยามโกรธ จะช่วยให้เราไวต่อความโกรธมากขึ้น นั่นหมายความว่าความโกรธจะครองใจเราได้น้อยลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสุขภาพกายและใจจะดีขึ้น มิพักต้องพูดถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นก็จะดีขึ้นไปด้วย


8
ที่มา http://www.budpage.com/ba212.shtml

กินปลาอย่าให้ก้างตำปาก

รินใจ


             โลกนี้จะกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ไร้ชีวิตทันทีที่ปราศจากออกซิเจน กล่าวได้ว่าวิวัฒนาการครั้งสำคัญของโลกเกิดขึ้นเมื่อมีออกซิเจน เพราะนับแต่นั้นวิวัฒนาการของชีวิตก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
             มนุษย์จะกลายเป็น "ผัก" ทันทีที่ขาดจากออกซิเจนเพียง ๕ นาที และถ้านานกว่านั้นก็ "กลับบ้านเก่า" กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เราทุกคนตายเพราะขาดออกซิเจนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรมาก่อนก็ตาม ไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่าออกซิเจนหมายถึง "ชีวิต"

             แต่ในอีกด้านหนึ่ง ออกซิเจนก็พาเราทุกคนไปสู่ความตาย เคยสังเกตไหมว่าสัตว์ที่หายใจถี่มักมีอายุสั้น เช่น หนู กระต่าย ส่วนสัตว์ที่หายใจช้า มักมีอายุยืน เช่น ช้าง เต่า

             เดี๋ยวนี้เราพบแล้วว่าออกซิเจนเป็นสาเหตุของความแก่และโรคร้าย พิษของออกซิเจนเป็นอย่างไรก็ดูได้จากเหล็กที่กร่อนเป็นสนิมเมื่อถูกออกซิเจน นอกจากนั้นในระดับเซลเรายังพบว่า เมื่อออกซิเจนแตกตัวจากอะตอม มันจะกลายเป็น "อนุมูลอิสระ" ซึ่งหลุดเข้าไปทำลายยีนและส่วนอื่น ๆ ในเซล เมื่อสะสมมากเข้าก็ทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า "ความชรา" หรือหนักกว่านั้นก็คือเกิดเนื้อร้ายที่เรียกว่ามะเร็ง สิ่งที่ตามมาคือ "ความตาย"

             
             ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่ให้ชีวิต ก็ให้ความตายด้วยเช่นกัน!

             ใช่ว่าชีวิตกับความตายเท่านั้นที่อยู่ด้วยกัน ยังมีคู่ตรงข้ามอีกหลายคู่ที่อยู่เคียงคู่กัน

             อาทิ เช่น สุขกับทุกข์

             เคยสังเกตไหมว่าสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรา ก็สามารถทำให้เราทุกข์ได้เช่นกัน
 
             รถยนต์คันใหม่ทำให้เราปลื้มเปรมไปได้ทั้งวัน แต่ก็ทำให้เราอดกังวลไม่ได้เวลาจอดทิ้งไว้ในที่เปลี่ยว หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับหากมันถูกขโมยไป

             ไม่ว่าลูก หรือ คนรัก ล้วนนำความสุขอย่างล้นหลามมาให้แก่เรา แต่ก็สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ย่ำแย่ได้หากเขาไม่เป็นไปตามใจเรา

             คนที่ภาคภูมิใจในทรวดทรงของตน ไม่ช้าไม่นานก็ต้องระทมทุกข์เพราะสิ่งเดียวกัน

             ถึงวันนั้นทรวดทรงอาจแปรเปลี่ยนไป หาไม่มันก็กลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายขึ้นมา

             ใครที่ปลื้มปีติกับชื่อเสียงของตน ก็มักเป็นทุกข์เพราะความเด่นดังของตนเช่นกัน อย่างน้อยเวลาจะควงกับใครก็ต้องระวังว่าจะมีคนเห็นหรือมายุ่มย่าม

             สุขกับทุกข์เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน มันสามารถพลิกกลับไปกลับมาได้

             ด้วยเหตุนี้เวลาจะมีความสุขกับอะไรหรือใครก็ตาม อย่าเพลินกับความสุขจนท่วมท้นใจ หรือหมดเนื้อหมดตัวไปกับอารมณ์เหล่านั้น ควรเผื่อใจไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรที่ไม่ถูกใจเรา วันนี้ทุกอย่างเป็นไปตามใจหวัง แต่พรุ่งนี้อาจกลายเป็นตรงกันข้าม

             ความแปรเปลี่ยนนั้นเป็นธรรมดาของโลก อย่าไปมองว่ามันเป็นปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือใจของเราต่างหากที่ไปยึดอยากให้บางอย่างคงที่เหมือนเดิม หรือเป็นไปตามใจเราเสมอ ทันทีที่คิดแบบนั้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็เตรียมตัวทุกข์ไว้ได้เลย

             เวลาเราเดินไปเตะก้อนหินหรือถูกหนามแทง อย่าไปโทษก้อนหินหรือหนาม เขาอยู่ของเขาอย่างนั้นมานานแล้ว เราต่างหากที่เดินไปเตะหรือแกว่งมือไปถูกเขาเอง

             ในทำนองเดียวกัน โลกก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว คือมีความแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา ใจเราต่างหากที่ไปยึดอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเรา ถ้ามันไม่เป็นไปตามใจเรา แล้วเราเกิดทุกข์ขึ้นมา ก็ต้องโทษใจของเราก่อนอื่นใดว่าเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ อย่าเพิ่งไปโทษโลก ผู้คน หรือสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นตัวการ

             เราสามารถอยู่ในโลกอย่างมีความสุขได้ หากมีสติไม่หลงเพลินกับความสุขจนลืมตัว เผื่อใจไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ ถ้าทำอย่างนี้ได้เรียกว่ามีความสุขอย่างรู้เท่าทัน ความทุกข์แม้จะแฝงอยู่ในความสุขแต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เปรียบเสมือนคนที่กินปลาอย่างระมัดระวังและรู้จักแยกเนื้อออกจากก้าง จึงกินปลาได้อย่างอร่อยโดยก้างปลามิอาจตำปากได้
             คนที่ทำใจอย่างนี้ได้ ถึงคราวประสบเคราะห์กรรม ก็ไม่เป็นทุกข์ หรือถึงจะทุกข์ก็หลุดได้ในเวลาไม่นาน เพราะรู้จักแสวงหาความสุขท่ามกลางความทุกข์

             อย่าลืมว่า สิ่งที่ทำให้เราทุกข์นั้น ก็สามารถทำให้เราสุขได้เช่นกัน

             ใช่หรือไม่ว่าคนที่ร่ำเรียนอย่างหนัก หรือทำงานอย่างเหนื่อยยาก ชีวิตที่ราบรื่นและผาสุกย่อมรออยู่เบื้องหน้า
 
             สารหนูนั้นมีพิษร้าย สามารถฆ่าคนได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ อาทิ หนองใน ในทำนองเดียวกัน สารเคมีที่เป็นพิษจำนวนไม่น้อยก็ถูกนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งนานาชนิด

             สิ่งที่ทำลายชีวิตนั้น ก็สามารถรักษาชีวิตได้ด้วยเช่นกัน

             อย่ากลัวความทุกข์ เพราะสิ่งที่ทำให้เราทุกข์นั้น ก็สามารถสร้างสุขให้เราได้เช่นกัน



9
ที่มา http://www.budpage.com/vijak09.shtml

ปฏิวัติจริยธรรมทางสังคมจากภายใน
วิจักขณ์ พานิช เขียน

             
              การศึกษาธรรมะ คือ การทำความเข้าใจหลักการและวิถีปฏิบัติ เพื่อจะทำให้เราได้เข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ชีวิตอันรายรอบไปด้วยความไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้ง ความเห็นที่หลากหลาย เกิดเป็นความบีบคั้นอันแสนโกลาหล ความโกลาหลที่ว่านี้มักจะถูกมองเป็นเรื่องเลวร้ายเพียงเพราะแรงต่อต้านของอัตตา อันเป็นความพยายามที่จะรักษาแบบแผนที่เคยชินของความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตเดิมๆ ที่เราใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อะไรที่อยู่นอกกรอบการควบคุม ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของตัวตนอันคับแคบ มักถูกตัดสินว่าเป็นปัญหา กลายเป็นปมความทุกข์ที่เราไม่สามารถเข้าไปเผชิญกับมัน การศึกษาธรรมะจะนำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความไม่แน่นอนของชีวิต แต่อยู่ที่จิตใจอันคับแคบที่เต็มไปด้วยความกลัวต่อการเรียนรู้ต่างหาก
 
             ความเข้าใจทางหลักการเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หนทางที่จะพาเราให้สามารถเข้าไปเผชิญต่อประสบการณ์ใหม่ๆของชีวิตทั้งภายในและภายนอกได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือ การได้ฝึกฝนจิตใจ ปฏิบัติภาวนา ฝึกใจให้ผ่อนพักอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ภายใน อย่างปราศจากอคติและความยึดมั่นถือมั่น จิตใจที่ว่างแสดงถึงความพร้อมต่อการเรียนรู้ชีวิตในทุกขณะ จะนำมาซึ่งการมองความคิดเห็นอันหลากหลายที่ดูแสนโกลาหล เป็นโอกาสแห่งการพัฒนาตัวเอง เรียนรู้ที่จะรับฟัง สื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ บนพื้นฐานของปัญญา จนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในในตนเองโดยสมบูรณ์ (inner transformation)

             หากเราไม่ให้ความสนใจกับการปฏิบัติภาวนา การศึกษาธรรมะหรือแม้แต่การที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเราไม่ได้ให้ความสนใจที่จะฝึกฝนเพื่อการพัฒนาตนเอง แต่กลับใช้ธรรมะ หรือพุทธศาสนา เป็นเพียงเกราะกำบัง สร้างภาพของความเป็นคนดีมีศีลธรรมอย่างผิวเผิน
 
             วิถีพุทธที่แท้ คือกระบวนการฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง หากเรามองข้ามการภาวนา เอาแต่ศึกษาธรรมะจากตำรับตำรา แม้จะท่องจำพระไตรปิฏกจนขึ้นใจได้ก็ตามที ผลก็คือ เราจะกลายเป็นเพียงคนที่คิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าคนอื่น สามารถตัดสินคนอื่นว่าดีเลวจากหลักความเชื่อ หรือปรัชญาทางศาสนาที่เราศึกษา "ฉันถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด" จนมองความหลากหลายทางความคิด หรือความขัดแย้งทางหลักการเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา และนั่นคือสัญญาณของมิจฉาทิฐิ แทนที่เราจะได้เดินบนเส้นทางของการพัฒนาตนเอง เรากำลังเลือกเดินบนทางเบี่ยงทางจิตวิญญาณ (spiritual bypassing) ใช้พุทธธรรมเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงกับการเผชิญความคับแคบด้านใน เอาแต่ไปมองคนอื่น ตัดสินคนอื่นอย่างเสียๆหายๆ การที่พร่ำบอกคนอื่นว่า "ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันเป็นคนดีมีธรรมะ ฉันศรัทธาในพุทธศาสนา" หาได้มีความหมายอะไรนอกเสียจาก การแสดงถึงมิจฉาทิฐิของตัวตนทางจิตวิญญาณ อันเป็นความคับแคบแบบใหม่ที่ใช้ครอบตัวตนอันเดิมไว้
 
             สถานการณ์ของบ้านเมืองที่แสดงถึงวิกฤตทางจริยธรรมได้ส่งสัญญาณร้ายให้เราได้เห็นว่า ความเป็นพุทธที่เราคิดว่าสุดเลอเลิศนั้น หาได้มีคุณค่าและความหมายใดๆทั้งสิ้น มันกลับกลายเป็นอดีตแสนหวานที่ขัดแย้งต่อความเป็นจริงของสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน
 
             เริ่มจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ทางภาคใต้ การเลือกปฏิบัติอย่างไร้ความเคารพในความหลากหลายทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ การดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนจากภาครัฐ การคุกคามสื่อ ริดรอนอิสรภาพทางความคิดเห็นอันหลากหลายของประชาชน แม้แต่เรื่องเล็กๆอย่างดาราดังตั้งครรภ์ก่อนสมรส ที่สังคมต่างไปประณามตัดสินราวกับเธอเป็นอาชญากร ไล่มาจนถึงประเด็นใหญ่ที่สุดในเรื่องความไร้จริยธรรมอย่างเลวร้ายของผู้นำที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้

             ทุกเหตุการณ์สะท้อนให้เห็นถึงเหตุปัจจัยในสังคมที่นับวันยิ่งมีแต่แนวโน้มการเมินเฉยในเรื่องของศีลธรรม อันเป็นสัญญาณถึงความเสื่อมถอยของรากฐานทางจิตใจอย่างถึงที่สุด การบูชา "เงิน" "ความสำเร็จ" "การพัฒนาทางวัตถุ" "เทคโนโลยี" "ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ" "การก้าวทันโลก" ได้พาสังคมไทยมาสู่จุดที่มันควรจะเป็น อย่างที่ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบไปที่ตัวผู้นำเพียงคนเดียวได้ การไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักพอ ขาดความละอาย ไร้หิริโอตตัปปะ เป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
 
              อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เขียนบทความเรื่อง "วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ" แสดงทัศนะทางการเมืองที่ว่า สิ่งที่สังคมไทยต้องเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ "ทักษิณ" แต่เป็น"คนอย่างทักษิณ" ต่างหาก อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความเป็นผู้นำอย่างทักษิณนั้น เป็นเพียงความสุกงอมของเหตุปัจจัยที่มีอยู่ในสังคมไทย ซึ่งการขจัดผู้นำออกไปนั้นไม่ได้หมายถึงการแก้ปัญหาจริยธรรมทางสังคมที่ยั่งยืนแท้จริงแต่อย่างใด เราทุกคนจะต้องทำความเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของความโลภ ไม่รู้จักพอ ความโกรธเกลียด ฉลาดแกมโกง ที่เราต่างก็มีอยู่ภายใน และใช้โอกาสนี้เพื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตน ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาที่ผู้นำประเทศได้สอนสะท้อนให้เราได้รู้สึกละอายกันโดยถ้วนหน้า
 
             การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปสังคม(social transformation) คงเป็นเพียงเรื่องนามธรรมหลอกๆ หากเรายังมองมันเป็นเพียงหลักการวิธีคิดภายนอก อย่างที่ไม่มีวิถีทางของการปฏิบัติภายในเอาเสียเลย ความวุ่นวายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ได้สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ทางจริยธรรมที่ต้องการการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงภายใน (inner transformation) ในระดับปัจเจกบุคคลอย่างเร่งด่วนที่สุด ไม่ว่าใครจะมองพื้นฐานของการภาวนา บ่มเพาะปัญญา ด้วยหนทางแห่งจิตสิกขา เป็นเรื่องอุดมคติล้าสมัย ไร้ความเป็นไปได้จริง แต่ด้วยสถานการณ์ที่รัฐนาวาใกล้จะอับปางลง จากมรสุมที่รุมเร้า ความเน่าเฟะรอบด้านที่รอการปฏิรูป ทั้งภาคการศึกษา ศาสนา การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ก็น่าจะถึงเวลาที่เราทุกคนควรจะหันกลับมามองตนเอง ร่วมสร้างปรากฏการณ์ของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายใน ใส่ใจกับรากฐานทางปัญญา ให้คุณค่าทางศีลธรรมและจริยธรรม จนเกิดเป็นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
 
              จิตตปัญญาศึกษา หรือการภาวนาเรียนรู้ด้านใน จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการรับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น หยุดความคิดที่ว่าตัวเองรู้ดีในทุกเรื่อง ละเลิกความคิดของความเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่มีความสำคัญเหนือคนธรรมดา คุณค่าของคนไม่ใช่อยู่ที่ความสำเร็จฟู่ฟ่า แต่อยู่ที่การเรียนรู้ รู้ที่จะสัมผัสชีวิตของตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ จนความเมตตากรุณาที่แท้จริงบังเกิดขึ้นจากภายในบนพื้นฐานของปัญญาตระหนักรู้ การภาวนาเป็นกระบวนการที่ทำให้เรารู้จักตั้งคำถามอย่างถึงราก ถึงกระบวนทัศน์ วิธีคิด วิถีการดำรงชีวิต ที่จะต้องตั้งอยู่บนความพอเพียง แต่ความพอเพียงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราจะตระหนักถึงความเต็มทางจิตวิญญาณที่มีอยู่แล้วในตน นำศักยภาพนั้นไปเรียนรู้จากคนรอบข้างอย่างอ่อนน้อม เผชิญความเป็นจริงอย่างง่ายงาม สอดคล้องสมดุลตามเหตุปัจจัยรายรอบ

             คุณค่าของสังคมพุทธคือความตื่น และความตื่นจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ ข้ามพ้นกำแพงความคับแคบของความยึดมั่นทางความคิด ระบบใดที่หลับใหลจะค่อยๆกลายเป็นโครงสร้างอันเลวร้ายของอำนาจและความรุนแรง เช่น การมีผู้นำอย่างเผด็จการ มีพรรคการเมืองพรรคเดียว กลุ่มคัดค้านถูกประณามเป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ประชาชนเดินขบวนเรียกร้องการตรวจสอบก็ถูกมองเป็นกุ๊ยข้างถนน ฯลฯ แต่ระบบใดที่รู้จักการเรียนรู้ รับฟัง เพื่อเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยน ก็จะเป็นระบบที่ตื่น ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมให้คุณค่าและความหมาย แต่ละปัจเจกบุคคลต่างทำหน้าที่ของตนด้วยใจที่เปิดกว้าง แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์ในการปิดหู ปิดตา ปิดปากผู้คนอย่างที่เป็นอยู่
 
             เมื่อความหลากหลายทางความคิดไม่ถูกมองเป็นเนื้อร้ายที่ต้องถูกกำจัด ผู้คนรู้จักใช้ใจที่เปิดกว้างรับฟัง แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นเพื่อการตรวจสอบ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง สังคมก็จะเป็นสังคมที่ตื่นอยู่เสมอ แต่ก่อนที่สังคมจะตื่นได้ ภาวะแห่งความตื่นจะต้องเริ่มขึ้นที่ปัจเจก ผู้คนต้องรู้จักฝึกฝนพัฒนาตนจนค้นพบศักดิ์ศรีและคุณค่าภายในอย่างเต็มภาคภูมิ จากนั้นจึงเกิดการถักทอจากหน่วยเล็กๆอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดเป็นเป็นเครือข่ายของการเรียนรู้ เติบโตงอกงามขึ้นเป็นประชาธิปไตยในธัมมิกสังคม บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันของผู้คนในสังคมอย่างแท้จริง


10
ที่มา http://www.budpage.com/vijak08.shtml

บนเส้นทางแห่งการภาวนา (๒)
เรจินัลด์ เรย์ เขียน
วิจักขณ์ พานิช ถักทอและร้อยเรียง

 
              ธรรมะข้อที่สี่: เสียงหัวเราะ และ คราบน้ำตา
             
              ธรรมะคือความเงียบด้านในของชีวิต แต่กระนั้น ธรรมะก็ยังพบได้ในเสียงหัวเราะและน้ำตาเช่นเดียวกัน ภายในพื้นที่แห่งการเรียนรู้อันไร้ขอบเขตของห้องปฏิบัติ มักจะมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาเป็นช่วงๆ บางคนอาจไม่สามารถที่จะทนกับความเงียบที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้อีกต่อไป ความประหม่า หรือการสังเกตเห็นความธรรมดาที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน นำมาซึ่งเสียงหัวเราะคิกคัก บ่อยครั้งที่มีเรื่องน่าขำเกิดขึ้นจริงๆ เพราะมณฑลแห่งความตื่นรู้ของทุกคนดูจะขยายกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เราต่างก็สังเกตเห็นเหตุการณ์เล็กๆในทุกรายละเอียดร่วมกัน นกน้อยอาจบินมาเกาะที่หน้าต่าง พร้อมเอาจงอยปากเคาะก๊อกๆ ราวกับมันจะพูดกับทุกคนว่า "ฮัลโหล มีใครอยู่ข้างในบ้าง" แล้วมันก็บินหนีไป ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย ทุกคนดูจะอยู่ในชั่วขณะแห่งความไม่คาดฝัน ร่วมสังเกตความหรรษาแห่งวินาทีอันศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมๆกัน

             พุทธธรรมยังรวมถึงน้ำตาอีกด้วย อาจมีใครในอีกมุมหนึ่งของห้องปฏิบัติกำลังเผชิญหน้ากับแง่มุมแสนเจ็บปวดของชีวิต เขาเริ่มส่งเสียงสะอื้นที่ไม่สามารถกดไว้ได้อีกต่อไป ในตอนแรกเราอาจจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญด้วยเหตุที่ว่า การฝึกของเราถูกขัดจังหวะ แต่เมื่อมณฑลแห่งการตื่นรู้ที่เปิดกว้างจากการฝึกฝนค่อยๆเข้าไปโอบอุ้ม รับฟังเสียงแห่งทุกข์นั้น เราเริ่มรู้สึกเห็นใจเพื่อนร่วมปฏิบัติผู้นั้นราวกับว่า เราได้ร่วมรู้สึกไปกับเขา เราอาจรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ ดูเหมือนว่าน้ำตาและความโศกเศร้าของผู้ปฏิบัติจะไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไป เราเข้าใจความหมายของคำว่า "เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย" น้ำตาที่รินไหลในห้องปฏิบัติแสดงถึงความทุกข์โศกที่เรามีร่วมกับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั่วทุกแห่งหน

             ณ ชั่วขณะที่เราได้เข้าไปสัมผัสแง่มุมของชีวิตที่ลึกซึ้ง ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์จากการบ่มเพาะมณฑลแห่งความตระหนักรู้ภายใน เรารู้สึกราวกับได้ก้าวข้ามข้อจำกัดแห่งกาลเวลา รู้ตัวอีกที น้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม ขนอาจจะลุกซู่ไปทั่วตัว หัวใจพองโตราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก
 
             พร้อมความรู้สึกซาบซ่านปีติทั่วสรรพางค์ เสมือนเราได้พบกับความหมายของการมีชีวิตอยู่เป็นครั้งแรก

             ประสบการณ์นั้นทำให้เรานึกถึงพระพุทธองค์ เมื่อทรงได้ยินเสียงสะอื้นแห่งความทุกข์ หัวใจของท่านก็คงจะหลอมละลาย กลายเป็นสายธารแห่งความเมตตากรุณาให้ผู้คนได้มาดื่มกิน เรารู้ได้ก็เพราะเมื่อเราได้ยินเพื่อนร่วมปฏิบัติร้องไห้ หัวใจเราก็หลอมละลายเช่นเดียวกัน ด้วยความกล้าของเพื่อนที่เต็มใจแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเส้นทางการฝึกตนออกมาแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทางความคิดใดๆ จากนั้นจึงปล่อยใจให้ได้ผ่อนพักสู่ความนิ่งสงบอันแสนอ่อนโยนของการร่วมเรียนรู้ความหมายของชีวิต

             

              ธรรมะข้อที่ห้า: "รอ"
             
              ในความเงียบและพื้นที่แห่งการเรียนรู้อันกว้างใหญ่ในรีทรีท เราได้ค้นพบการดำรงชีวิตในอีกลักษณะหนึ่งอันเป็นหัวใจแห่งประสบการณ์การฝึกฝนที่นี่ นั่นคือชีวิตที่รู้จักรอ รอที่จะเข้าห้องน้ำ รอทานอาหารเที่ยง รอเสียงระฆังให้สัญญาณสิ้นสุดการนั่ง รอสัญญาณสิ้นสุดการเดิน รอสัญญาณบอกการเริ่มนั่งอีกครั้ง แม้กระทั่งเวลานอนเรายังต้องรอเสียงระฆังปลุกให้ตื่น จนบางทีพาลนอนไม่หลับทั้งคืนเอาเสียเลย
 
             หัวใจของการฝึกภาวนาดูจะเป็นเรื่องของการรอนี่เอง เราตามลมหายใจรอไปเรื่อยๆ คำถามก็คือ รออะไร? รอในฐานะกระบวนการ ไม่ใช่รอในฐานะจุดเริ่มต้น เราเรียนรู้ด้วยการรอ ปล่อยวางความคิด หลักการ ความคาดหวังทั้งหมด แล้วฝึกรออย่างไม่มีเงื่อนไข รออย่างไม่คาดหวังผล รอด้วยความห้าวหาญ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความไม่รู้ ...เรียนรู้ที่จะรอโดยการบ่มเพาะความตื่นรู้ภายในไปเรื่อยๆ

              ชีวิตที่แท้ผุดบังเกิดจากความเงียบอันเป็นพื้นฐานของการรับฟังเสียงด้านใน ส่วนชีวิตในแบบทั่วไปที่เราเข้าใจกัน กลับเป็นเพียงแค่ภาพมายา สะท้อนแผนการที่ปรุงแต่งขึ้นจากส่วนเสี้ยวของเหตุปัจจัยภายนอก เสียงบอกจากคนรอบกาย หรือสิ่งที่เราเลียนเอาอย่างจากชีวิตคนอื่น อันภาพมายานั้นหาใช่ความเป็นตัวเราที่แท้จริงไม่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยแผนล่วงหน้าเหล่านั้นเป็นชีวิตปลอมๆอันแข็งทื่อ ไร้การเรียนรู้ที่จะรอ...รอที่จะเผชิญหน้ากับความไม่รู้

             การฝึกฝนการรออย่างไม่มีเงื่อนไขตลอดทั้งเดือนเช่นนี้จะเป็นประตูพาเราเข้าไปสู่ชีวิตที่แท้ อย่างที่ซูซูกิ โรชิ กล่าวไว้ว่า "การดำรงอยู่ที่แท้ผุดบังเกิดขึ้นจากความว่างภายในในทุกขณะ เมื่อเกิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่จนเหตุปัจจัยเลื่อนไหล ก็จักค่อยๆคืนกลับดับไปสู่สภาวะธรรมแห่งความว่างภายในอีกครั้ง"
             หากเราเลือกดำรงชีวิตที่ถูกกำหนดขึ้นจากแบบแผนทางความคิด และหลักการ มันก็ไม่มีที่ว่างให้เส้นทางการเรียนรู้เกิดขึ้นได้มากนัก แต่เมื่อเราตระหนักถึงข้อจำกัดของความคิดในหัวที่เรามีเกี่ยวกับตัวเรา แล้วเข้าใจความหมายของอนัตตา ที่แสดงถึงความเป็นไปได้ของการมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ในปัจจุบันขณะ เมื่อนั้นเราก็จะได้สัมผัสถึงชีวิตที่แท้ บนมณฑลแห่งความตื่นรู้ที่กว้างใหญ่เหนือคำอธิบายใดๆ

             

              ธรรมะข้อที่หก: สังฆะ หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้
             
             แม้ในรีทรีทจะมีผู้เข้าร่วมถึง ๑๕๐ คน และการเดินทางของแต่ละคนถือเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยวบนเส้นทางของการเรียนรู้ตนเอง ปลดปล่อยข้อจำกัดจากความยึดมั่นภายในสู่ความกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัดของชีวิตที่แท้ แต่ขณะเดียวกันสังฆะหรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ก็ถือเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝน น่าแปลกที่ว่า แม้จะไม่มีใครรู้ว่าคนอื่นผ่านประสบการณ์ด้านในอะไรบ้าง แต่เรากลับรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาที่มณฑลแห่งความตื่นรู้ดูจะครอบคลุมทุกความเคลื่อนไหวและทุกรายละเอียดรอบตัว เรารู้สึกราวกลับได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันตลอดหนึ่งเดือน เสียงหัวเราะ รอยคิ้วขมวดบนหน้า การขยับตัวไปมาอย่างงุ่นง่าน ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ความเหนื่อยเมื่อยล้า ความหงุดหงิดรำคาญใจ ความเงียบสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว น้ำตา เสียงสะอื้นไห้...ดูเหมือนทุกรายละเอียดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ฝึกทุกคนไปโดยปริยาย ถึงจุดหนึ่งเรากลับรู้สึกชื่นชมกับทุกอารมณ์ความรู้สึกอย่างไม่ตัดสินดี-ชั่ว ถูก-ผิด และไม่ได้ใส่ใจติดป้ายของเขา ของเราเหมือนอย่างที่เคย ความรัก ความปรารถนาดีต่อกันดูจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จากการที่ต่างคนต่างเฝ้าฝึกฝนเรียนรู้จักตัวเอง ชุมชนแห่งการเรียนรู้ดูจะปรากฏขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการกะเกณฑ์ใดๆจากภายนอก นั่นคือความหมายที่แท้ของสังฆะแห่งพุทธะ หรือ ชุมชนแห่งความตื่นรู้ภายในของปัจเจก
             

              ทิ้งท้ายจากผู้แปล 
           
              การฝึกภาวนาสามารถนำพาเราให้เข้าไปสัมผัสถึงศักยภาพการเรียนรู้ของชีวิตที่ลุ่มลึก ด้วยการผลักเราให้เข้าไปเผชิญกับชีวิตที่เปลือยเปล่า เป็นประสบการณ์ตรงอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเหนือคำอธิบายใดๆ

             ในทางกลับกันหากเราเอาแต่พยายามที่จะสร้างความรู้สึกปลอดภัย คิดค้นหาหลักการใหม่ๆให้แก่รูปแบบชีวิตที่เราเลือก ความประนีประนอมที่จะค้นหา "อัตตาที่พอดี" เพื่อรักษาจุดยืนที่ปลอดภัยของตัวเราเอาไว้ มันก็อาจจะนำมาซึ่งความสำเร็จผิวเผินในแบบที่เราคาดหวัง แต่นั่นหาใช่การปฏิบัติภาวนา เรียนรู้ค้นหาศักยภาพภายในตัวเองที่แท้

              เราต้องยอมรับว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาที่พอดีแต่อย่างใด เพราะอัตตาที่พอดี ก็ยังเป็นลักษณะหนึ่งของอัตตา อัตตาไม่ใช่ปีศาจร้าย ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะพาเราลงสู่นรก แต่อัตตาคือข้อจำกัดของการเรียนรู้ เป็นแบบแผนความคิดล่วงหน้าตายตัวที่ขวางกั้นพลังแห่งการตื่นรู้ในปัจจุบันขณะ นั่นคือคำอธิบายที่ว่า ทำไมหัวใจของการฝึกตนในวิถีแห่งพุทธะจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในหลักอนัตตาเสมอมา

             เมื่อเราเข้าใจว่าการภาวนาคือ "กระบวนการ" ที่ต้องอาศัยการฝึกฝนในทุกขณะของชีวิต คำยิ่งใหญ่ในภาษาพุทธอย่าง จิตว่าง นิพพาน การตรัสรู้ ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องถูกมองและทำความเข้าใจในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ อันตั้งอยู่บนความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัยอย่างไม่แยกส่วน เหตุปัจจัยที่ว่าก็มาจากทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก จากการดำรงชีวิตประจำวันในทุกขณะ นั่นคือคำอธิบายที่ว่าทำไมธรรมะจึงไม่สามารถแยกออกจากชีวิตประจำวันได้

             ผู้แปลพยายามที่จะลองประดิษฐ์คำใหม่ๆ ที่ใช้อธิบายการภาวนาในแง่ของการศึกษาด้านใน (contemplative education) อันเป็นการฝึกตนเพื่อเข้าใจความหมายของชีวิตที่แท้ เช่น การผ่อนพักตระหนักรู้ มณฑลแห่งการเรียนรู้ ความตื่นรู้ตระหนักรู้ พื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ ศักยภาพเหนือข้อจำกัดแห่งตัวตน ฯลฯ ภาษาเหล่านี้อาจดูลิเกไปบ้าง แต่ก็ขอวอนให้ผู้อ่านใช้ความอดทนใคร่ครวญนัยสำคัญที่ผู้แปลพยายามสื่อสิ่งที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดในภาษาต่างประเทศ แต่กระนั้นการที่จะพยายามทำความเข้าใจงานแปลและบทความเกี่ยวกับการภาวนาโดยปราศจากการทดลองปฏิบัตินั้นคงเป็นไปไม่ได้ หรือหากเป็นไปได้ก็คงจะหนีไม่พ้นความเข้าใจผิดๆเสียเป็นแน่

             ผู้แปลจึงใคร่ขอเชิญชวนให้ผู้อ่านได้หันมานั่งตามลมตามรู้ ผ่อนพักตระหนักรู้ เรียนรู้กับความไม่รู้ กันดูบ้าง

             
              (แปลจาก "Waiting. Waiting. For what?" by Reginald A. Ray ตีพิมพ์ในนิตยสาร Shambhala Sun ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๐๐๒)

11
ธรรมะ / บนเส้นทางแห่งการภาวนา
« เมื่อ: 20 ก.ค. 2549, 06:59:35 »
ที่มา http://www.budpage.com/vijak07.shtml

บนเส้นทางแห่งการภาวนา (๑)
เรจินัลด์ เรย์ เขียน
วิจักขณ์ พานิช ถักทอและร้อยเรียง
? ? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ? ? คนทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า การฝึกจิตภาวนาเป็นกิจกรรมที่แยกขาดออกจากชีวิต หรือบ้างก็เข้าใจว่ามันเป็นกระบวนการการฝึกฝนเพื่อที่จะนำมา "ประยุกต์" ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน แต่หากเราลองมองในแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่านั้น เราจะพบว่าแท้จริงแล้วจิตภาวนาคือ "ชีวิตที่แท้" มันเผยให้เราได้สัมผัสถึงวิถีของการเรียนรู้พื้นฐานของจิตใจ เป็นความตระหนักรู้ที่ยิ่งใหญ่ไร้การเปรียบเทียบ เราได้ค้นพบพลังแห่งศักยภาพภายใน และเข้าใจถึงการเลื่อนไหลแห่งเหตุปัจจัยภายนอก ยามที่เราได้นั่งอยู่กับตัวเองบนเบาะสมาธิ เราจะพบว่ามันคือช่วงเวลาที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงการดำรงชีวิตที่เต็ม และลุ่มลึกมากกว่าช่วงเวลาใดๆในชีวิต

? ? ? ? ? ? ?ชีวิตปกติประจำวันของผู้คนในโลกสมัยใหม่ต่างก็ถูกจองจำด้วยความคิดที่อยากจะเป็นเหมือนคนอื่น น้อยคนนักที่จะรู้จักให้คุณค่ากับศักยภาพและคุณค่าในตนเอง เราต่างก็สับสนไปกับเสียงภายนอก ตะเกียกตะกายไขว่คว้าเพื่อแสวงหาความมั่นคง ความสะดวกสบาย และการยอมรับจากคนรอบข้าง มองไปทางไหนใครๆก็ดูจะไหลไปในทิศทางเดียวกัน ตามกันไปราวกับเป็นทางเดียวที่ชีวิตสามารถดำเนินไปได้ ไม่มีใครคิดตั้งคำถามว่า ทำไมชีวิตของคนเราถึงต้องยากลำบาก เต็มไปด้วยการต่อสู้ แก่งแย่ง แข่งขัน ถึงเพียงนั้น ยิ่งตามๆกันไป อะไรๆในใจก็ดูจะไม่ได้สับสนลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ลึกๆเราต่างก็รู้ว่ามันมีสิ่งที่จริงแท้กว่านั้นในชีวิต

? ? ? ? ? ? ?ในการฝึกภาวนา เรายอมที่จะวางความเพ้อฝันทะยานไว้ข้างนอก เพื่อที่จะได้เรียนรู้และสัมผัสความสดใหม่ในการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ ทำให้เราได้เริ่มตระหนักถึงความมหัศจรรย์ของชีวิต อันเต็มไปด้วยอิสรภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และความรื่นรมย์ นั่นคือ ความหมายของชีวิตที่แท้ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพื้นที่ว่างของการเรียนรู้ภายใน และแน่นอนว่าก่อนที่เราจะได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ที่ว่านั้น เราต้องเต็มใจที่จะลงทุนลงแรงกับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ มันหมายถึงการสูญเสียการควบคุมอย่างถึงที่สุด และอัตตาของคุณก็จะยื้อยุดจนเฮือกสุดท้าย แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะมีมุมมองที่ถูกต้องว่า การปฏิบัติธรรมหาใช่เป็นการแสวงหาคำตอบสุดท้าย หรือ เป็นความปรารถนาจะบรรลุถึง "จุดหมาย" ในลักษณะของสถานะสูงสุดเหนือจากบ่วงทุกข์ทั้งปวง แต่การปฏิบัติธรรมคือ "การเดินทาง" เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการเรียนรู้จากประสบการณ์ในทุกขั้นตอน คุณไม่สามารถจะหาทางลัด หลบเลี่ยงสิ่งที่คุณไม่อยากเจอในตัวเองได้

? ? ? ? ? ? ?ทุกปีในช่วงฤดูหนาวผมจะนำรีทรีท หรือการฝึกภาวนาเข้มหนึ่งเดือนให้กับคน ๑๕๐ คน นี่คือ "การเดินทาง" ที่คนกลุ่มนั้นได้เรียนรู้และค้นพบร่วมกัน


? ? ? ? ? ? ? ธรรมะข้อแรก: วิ่งวุ่นหาหลัก หาจุดยืนใหม่ให้กับตนเอง

? ? ? ? ? ? ?ในการฝึกรีทรีทระยะยาวเช่นนี้ ประสบการณ์แรกที่ผู้เข้าร่วมสัมผัสได้ก็คือ พวกเขาต่างรู้สึกถึงความไม่แน่นอนของประสบการณ์ที่อยู่ตรงหน้า และธรรมะข้อแรกที่พวกเขาต้องเรียนรู้ก็คือ การวิ่งวุ่นพยายามหาเสายึดเกาะหลักใหม่ให้กับตัวเอง ซึ่งไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ผิดหรือเสียหายอะไร มันเป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทุกคนลงทะเบียน เข้าที่พัก จัดข้าวจัดของ ต่างคนต่างพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

? ? ? ? ? ? ?หลังจากที่สามารถสร้างความสะดวกสบาย คลายความวุ่นวายใจได้ในระดับหนึ่ง เราจึงเริ่มลงมือปฏิบัติ เราเริ่มรู้สึกลงหลักปักฐาน กระบวนการมองด้านในทำให้เราเห็นถึงแบบแผนความคุ้นชิน ความคิดฟุ้งซ่าน ความกลัว ความคาดหวัง อีกทั้งกลวิธีต่างๆนานาที่เรางัดเอามาใช้เป็นเกราะกำบังให้กับความเปราะบางที่เราเริ่มรู้สึกจากการปฏิบัติ

? ? ? ? ? ? ?นอกจากนั้นยังมีความคิดในอีกลักษณะหนึ่งที่มักจะแวะมาเยี่ยมเยียนผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ นั่นก็คือการพยายามจะหาคำยืนยันที่ว่า "ฉันทำถูก" เราพยายามชะเง้อมองคนข้างๆ เปรียบเทียบท่านั่งของตัวเอง ใจที่ว้อกแว้กวุ่นหาตารางการปฏิบัติ เพื่อให้มั่นใจว่า ฉันจะทำอะไรถูกต้องเหมือนคนอื่นเขา นั่นถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการยื้อยุดของอัตตา ที่พยายามจะหาหลักใหม่ให้กับตนเอง อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยและคุ้นชินเบื้องต้นให้กับการเดินทางอันยาวไกลที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง


? ? ? ? ? ? ? ธรรมะข้อที่สอง: ความอึดอัด

? ? ? ? ? ? ? ความรู้สึกปลอดภัยที่เราพยายามสร้างขึ้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดได้โดยง่าย โดยเฉพาะยามที่เราไม่สามารถหาสิ่งภายนอกมาสร้างความบันเทิงได้เหมือนชีวิตข้างนอก เมื่อเราไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะขยับตัว เดินไปไหนมาไหนได้ตามใจ กล้ามเนื้อก็เริ่มรู้สึกปวดเมื่อย เพื่อนผู้ปฏิบัติที่นั่งอยู่ข้างๆเริ่มทำให้เรารู้สึกอึดอัด รำคาญใจ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เราต้องนั่งนิ่ง ขดตัวเองอยู่บนเบาะนั่งสมาธิแคบๆ เรื่องง่ายๆอย่างการตามลมหายใจเข้าออกดูจะทำให้ความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เราเริ่มรู้สึกถึงแรงต้านจากภายใน ราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ เราเริ่มที่จะมีความคิดนึงแว้บเข้ามาเป็นระยะๆ... "พอกันที...ฉันจะออกไปจากที่นี่"

? ? ? ? ? ? ?นานๆเข้า ใจเราเริ่มสงบลง คิดอะไรมากไปก็เท่านั้น ไหนๆก็ตัดสินใจมาแล้วก็ขอลองดูสักตั้ง เมื่อเราได้ตระหนักว่า มันไม่มีอะไรจะทำ นอกจากการนั่งอยู่กับตัวเอง ความสิ้นหวังไม่มีทางไป จึงพาเรากลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อความคิดฟุ้งซ่านดูจะเบาบางลง ความรู้สึกและอารมณ์ดูจะปรากฏให้เราได้สัมผัสอย่างชัดเจนมากขึ้น เราเริ่มเข้าใจว่าแท้จริงการฝึกภาวนาหาได้มีเป้าหมายเพื่อการกำจัดประสบการณ์อันไม่พึงปรารถนา แต่การภาวนาจะฝึกให้เราสามารถเผชิญกับประสบการณ์เหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น หลายชั่วโมงของการนั่งผ่านไป เราจึงเริ่มใส่ใจกับความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเฝ้ามองดูมันอย่างใกล้ชิด สังเกต สำรวจ และสัมผัสมันด้วยใจที่ค่อยๆเปิดกว้างมากขึ้น
? ? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ? ? ธรรมะข้อที่สาม: ความเงียบ และ ความว่าง

? ? ? ? ? ? ? หลังจากการปฏิบัติดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ผู้คนค่อยๆเริ่มปรับตัวกับตารางการฝึกที่เข้มข้น เรารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในห้องปฏิบัติอย่างชัดเจน สิ่งแวดล้อมภายในเริ่มถูกสำรวจโดยผู้ปฏิบัติ กระบวนการการเรียนรู้ด้านในค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน ในตอนเช้ายามที่เราเดินเข้ามานั่งในห้องปฏิบัติ เราเริ่มสังเกตถึงความนิ่งสงบของสถานที่ เป็นความรื่นรมย์ที่แปลกใหม่แม้มันจะอยู่กับเราได้ไม่นานนักก็ตามที แค่เพียงชั่วครู่โลกที่คุ้นชินแห่งความคิดฟุ้งซ่านก็ดูจะกลับมาเยี่ยมเยือนเราอีกครั้ง ต่อมา ขณะกำลังนั่งตามลมหายใจ สติสะตังเริ่มหลุดหลงไปตามฝันกลางวันที่เราปรุงแต่งขึ้น ทันใดนั้นเราอาจจะตื่นขึ้นจากภวังค์ หันกลับมานั่งตระหนักรู้อยู่กับความเงียบที่รายรอบ ณ วินาทีนั้นเราเริ่มใฝ่ฝันที่อยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพื้นที่ตรงนั้นของจิตใจให้ได้มากขึ้น พอใกล้จะหมดวัน เราอาจจะเริ่มรู้สึกอ่อนล้าจากการวิ่งไล่ตามความคิดฟุ้งซ่านที่มีอยู่เต็มหัว ความพยายามที่จะกลับมาตามลมหายใจดูจะไม่เป็นผล คุณรู้สึกศิโรราบ ล้มเลิกความพยายาม และยอมแพ้ เมื่อนั้นเรากลับพบตัวเองนั่งอยู่ในความสงบนิ่งโดยสมบูรณ์ ตระหนักรู้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบาของเพื่อนข้างๆ สังเกตแสงเทียนริบหรี่หน้าพระพุทธรูป ได้ยินเสียงลมพัดกระทบทิวไม้นอกหน้าต่าง... ยิ่งเราสัมผัสได้ถึงความเงียบในห้องปฏิบัติได้มากเท่าไร เราก็ยิ่งสังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่ความเงียบที่เราเคยรู้จักเสียแล้ว ตามปกติความเงียบเป็นช่องว่างระหว่างความคิดที่เราไม่ชอบเอาเสียเลย ความเงียบระหว่างบทสนทนาทำเรารู้สึกเคอะเขิน เรามักจะมองความเงียบเป็นการรบกวนแผนการทางความคิดที่นำมาซึ่งความรำคาญใจ น่าแปลกเหลือเกินที่ความเงียบในห้องปฏิบัติดูจะแตกต่างออกไป เรารู้สึกถึงความลึกซึ้ง ความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ของชีวิตด้านใน ความนิ่งสงบใสของจิตทำเอาเรารู้สึกราวกับว่า ณ วินาทีนั้นไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้น และไม่จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกต่อไป นั่นคือชั่วขณะแห่งความรู้สึกเต็มเปี่ยมในชีวิต ที่เกิดขึ้นจากการตระหนักรู้ในศักยภาพภายในของเรา เรารู้สึกถึงจิตใจที่ขยายกว้าง ไร้เมฆหมอกขวางกั้น เป็นพื้นที่ว่างที่เปิดให้ประสบการณ์ใดๆในชีวิตได้ผ่านเข้ามาให้เราเรียนรู้โดยสะดวก ความเงียบหาใช่ความน่าเบื่อ ว่างเปล่าไม่มีอะไร ตรงกันข้าม ประสบการณ์ของการเข้าสู่ความเงียบภายในของชีวิตช่างดูมีชีวิตชีวา รื่นรมย์ และ "ตื่น"เป็นอย่างยิ่ง พอมาถึงจุดนี้ ความรู้สึกที่มีต่อการปฏิบัติภาวนาดูจะต่างไปจากเดิม วันแรกๆเรารู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ อะไรๆก็ดูจะเกร็งและติดขัดอยู่ในพื้นที่แคบๆ อันรายล้อมไปด้วยผู้คนแปลกๆที่แสนจะน่ารำคาญ เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับความคิดที่จะกลับไปสู่พื้นที่กว้างของชีวิตข้างนอก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ดึงดูดใจ ให้ความบันเทิง แต่พอมาตอนนี้พื้นที่ในห้องปฏิบัติดูจะค่อยๆกว้างใหญ่ขึ้นกว่าขอบเขตจำกัดของโลกภายนอกเสียอีก เรารู้สึกถึงอิสรภาพที่จะไปสัมผัสมุมต่างๆของชีวิตได้อย่างเสรี เป็นการออกสำรวจความเป็นไปได้อย่างไร้ขอบเขตในแง่ของประสบการณ์ตรง เป็นการค้นพบที่สดใหม่ อันดูจะตรงกันข้ามกับกระแสแห่งโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยวงจรที่ซ้ำวนไปมาอย่างไม่รู้จบ การเข้าสู่พื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ภายในต้องอาศัยประตูแห่งความวิเวก บ่ายวันหนึ่งขณะที่ลมพัดเอาหิมะลอยกระทบหน้าต่างของห้องปฏิบัติ ความเงียบพาผู้เขียนเข้าไปสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวที่ผู้ปฏิบัติภาวนาต่างรู้สึกร่วมกัน เราต่างคนต่างก็ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการแสวงหาคุณค่า และการเรียนรู้ของชีวิตนี้อย่างโดดเดี่ยว ประสบการณ์และการค้นพบของแต่ละคนไม่สามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ อาจกล่าวได้ว่าเรามีชีวิตอยู่บนคนละโลก หรือคนละจักรวาลเลยทีเดียว ความเข้าใจตรงนี้อาจนำมาซึ่งความเศร้าลึกๆ แต่กระนั้นมันก็ทำให้เรารู้จักเรียนรู้ที่จะเคารพและชื่นชม ในเส้นทางการปฏิบัติฝึกฝนของกันและกันอย่างเต็มหัวใจ

12
สวัสดีครับ

การสักยันสำหรับวัดบางพระ สักได้ทุกวันครับ

ไม่จำเป็นว่าเราเกิดวันนี้จะห้ามสักวันนั้น หรือห้ามสักวันเกิดตัวเอง

มีความตั้งใจที่จะสัก ก็เพียงพอ

และที่สำคัญเมื่อเราสักไปแล้วเราต้องเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรมครับ


 :001:

13
ขอบคุณครับ

และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
  :001:

14
ทุกวัน...ฉันต้องตื่นเช้า
เข้างานแปดโมง
วันนี้..ก็เหมือนเคย
แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก ตื่นสาย..
อารมณ์ตอนนั้น..โมโหตัวเองมากที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก (โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )
แม่มาเคาะประตูห้อง ..." ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว "
ฉันหงุดหงิดมาก
....." โธ่!!..."
" แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้!!...ล่ะ "
" เนี่ย..ดูซิ..หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว!!.."
"วันนี้..มีประชุมด้วย..โอ้ยยย!!..เซ็ง.."
" แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึก "
" อยากให้กินอะไรร้อนๆ หน่อย..ก่อนไปทำงานนะลูก."
"........ แม่ไม่ต้องมาพูดเลย.."
" ไม่กง..ไม่กินมันแล้ว " ........
แม่จับแขนฉันเบาๆ...ก่อนเดินออกจากห้องไป
พอฉันอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็ ลงมาข้างล่าง
แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
" กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่ "
"หนู.....ไม่กิน!!"
พูดเสียงห้วนๆ...โดยที่
ไม่มองหน้าแม่
 แล้วเดินออกมาจากบ้านทันที.

-:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:-

.... ถึงที่ทำงาน.....
" ไม่รู้หรืองัย!!...ว่าวันนี้มีประชุม!! "
" แล้วรายงานอยู่ไหน!!"
ยกมือไหว้ .. " ขอโทษค่ะพี่ "...- -'
รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
"เออนิ..พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10
"โมงนะ.."
" แล้วช่วยช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ "
" .... ได้ค่ะพี่...."
วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป รีบ รีบ
รีบๆ...เติมน้ำร้อน
...ว๊า!!..น้ำร้อนลวกมือ
"... มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆ เลยค่ะ...."
ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง
แม่โทรมาจากบ้าน " เมื่อเช้า....หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก "
 " แม่หาในตะกร้าไม่เจอ จะเอาไปซักน่ะ "
".... หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก "
" หนู....จำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ "
"เมื่อเช้าหนูรีบ ......."
" ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง..มากินข้าวกับแม่นะ "
" .....ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่ "
" ยังงัย.....แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ ."
วางหูโทรศัพท์.. แล้วก็...ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย .....
" เอ!!.. พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า.."
"ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน....หาไม่เจอ"
"... ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหา"
" พี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ"
.. หา หา หา... หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ โธ่..พี่ขา
ก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา..
โอย !!.... เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ
ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน
"....พี่คะ เจอแล้วนะคะ"
" พี่ทำหล่นไว้ที่ห้องประชุมค่ะ"
" อ้าว..เหรอ " ....รับเอกสารคืน
ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ
แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้
ใกล้เลิกงานแล้ว.. รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
" เออนิ... ช่วยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ"
"เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย.."
" พี่กลับก่อนละ.."
" ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า"
" คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้"
... ยิ้มรับ....
" ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่"... - -'
" เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ"
โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม
".. พี่ขา..หนูแก้ไขและตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ"
" หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ.... " - -"

 -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:-

.กลับถึงบ้าน.
" กลับดึกจังลูก... จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? "
....เงียบไม่มีเสียงตอบ... ไม่มีรอยยิ้ม..
" มา.. มา แม่ช่วย "
แม่รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ
"..หนูเหนื่อยมากเลยแม่ "
" หนูอยากนอน "
..กำลังจะเดินขึ้นห้อง..
...มือถือดังขึ้น...
" ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ..เจ้านายเหรอคะ..มีอะไรรึเปล่าคะ"
" อ๋อๆ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูรีบจัดการให้เลยค่ะ"
กุลี กุจอ...เปิดคอมพิวเตอร์ ..
"เจ้านายคะ.. เรียบร้อยแล้วค่ะ.."
" อ้าวแม่..หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี "
..แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงาๆ.คนเดียว และก็ร้องไห้..
แม่แอบร้องไห้ .. เพราะฉันสินะ
ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้
แม่..ดูแลฉันมาทั้งชีวิต
เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ
แต่..ฉันตอบแทนได้สาสม..เหลือเกิน
ฉันเริ่มทบทวน.. เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน
..................กับ...................
แม่ผู้ที่ให้ความเป็นคนแก่ฉัน..
เพื่อประจบสอพลอเจ้านาย
ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เชียว!..หรือ
" แม่!!..หนูขอโทษ "...

 -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:- -:-:- -:- -:- -:- -:- -:-

ใคร??.... เคยเป็นแบบนี้บ้าง ...........
แม่มีเพียงคนเดียว...นะครับ.^^ คนเดียวจริงๆ..
ทำดีกับท่านไว้เถอะครับ...
สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด....มักเป็นสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ค่อยสำคัญเท่า
ไหร่
เพราะสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกๆ วัน
เราเลยคิดอยู่ว่าเราก็ต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป
ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า
และจะมีสักกี่คนที่เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ
เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน
คน ๆ นั้นค่อยวิ่งตามเราอยู่..และวิ่งตามเรามาตลอดใส่ใจเราอยู่ทุกๆ
วันๆ ทุ่มเท และทำดีกับเรา
เราก็มักจะเห็นแค่ว่า..ใครคนหนึ่งกำลังทำอะไรที่ดู งี่เง่า..น่ารำคาญ
จนวันหนึ่งถ้าเราสูญเสียคนๆนั้นไป
แล้วเพิ่งจะมานึกเสียใจเอาตอนหลัง
ต้องการเรียกร้องให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
มันจะไม่สายไปหน่อยหรอ?..ที่จะทำแบบนั้น
หรือบางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าดีใจ
ที่ได้มีชีวิตที่ปราศจาก..ความน่าเบื่อ...ความรำคาญ
แต่จะมีใครที่เคยรู้สึก และรับรู้ถึงความรู้สึกอันนั้น
และจะมีสักกี่คนที่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นผู้ให้
ให้เราทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เรามาตลอดชีวิตของเค้า
บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่นั้น.เค้าอาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ
แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ
เหมือนความรักของพ่อและแม่
เหมือนความรักของญาติผู้ใหญ่ของคุณ
เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ
คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม
คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอหรือยัง
และเมื่อไหร่คุณถึงจะดูแลพวกเขาได้ดีพอ เมื่อไหร่?..
คุณให้ความสำคัญกับคน - ถูกคน - ถูกเวลา หรือป่าว?
คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุแก่คุณ..
มากกว่าคนที่ให้ความรัก และความรู้สึกที่ดีกับคุณ
ให้ความเป็นคนกับคุณ และ
ให้ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ มั่งหรือป่าว
สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นได้ด้วยตา...
แต่มันต้องมองด้วยหัวใจ....
แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง
เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน
เรามองดูความรวยความจนของคน เพียงแค่ที่สิ่งของที่เขาใช้
เรามองความดีของคน ตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น
เรามองอะไรหลายสิ่ง หลายอย่างด้วยตา
แล้วเราก็ตัดสินคนเพียงแค่เวลา..ไม่เกิน 5 นาที
เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่า.."ไม่มีเวลา"
เราไม่มีเวลา...ก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ
เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งๆ นั้น ต่อคนๆนั้น..ต่างหาก
แต่ถ้าลองมองย้อนดู.ทำไม?
เราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลาย อย่างในแต่ละวัน
เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับมันต่างหาก
ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป
กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมองเห็นมัน
อย่าปล่อยให้มิตรภาพและความทรงจำดีๆ..ต้องมีรอยร้าวเลยครับ
เพราะเมื่อวันหนึ่งที่ เค้าจากเราไป
เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน
เราจะได้ไม่รู้สึกผิดเพราะว่า... เรายังทำดีกับเค้าไม่เพียงพอ


15

ภาพวาดฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว






























:001:

16
การอุบัติเพื่อตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ

โดย?. ไม้หนึ่ง

ที่มา?. http://www.praonline.com

หลังจากที่พระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีครบถ้วน ๓๐ ทัศ บริบูรณ์แล้ว พระองค์จะเสด็จ
ไปรออยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต รอจนถึงกาลอันเหมาะสม ซึ่ง เหล่า เทพยดา และ พรหมทั้งหลาย จักมาทูลอัญเชิญให้เสด็จลงไปตรัสรู้บนโลกมนุษย์ ซึ่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ จะลงมาที่มนุษย์ภูมิเท่านั้น เหมือนดังเป็นพระพุทธประเพณี เพราะ เป็นภูมิที่เหมาะสม ด้วยประการทั้งปวง เช่น ถ้าอยู่ในภูมิเทวดา เมื่อทรงแสดงพระพุทธานุภาพ อาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า สำเร็จเพราะฤทธิ์แห่งการเป็นเทวดา และนอกจากนี้ภูมิแห่งเทวดา และพรหม มีแต่ความสุข ไม่เห็นทุกข์ การเทศน์โปรด เพื่อให้เห็นอริยสัจ ๔ จึงเป็นไปได้ยาก

ครั้นเมื่อเหล่าพรหม เทวดาทั้งหลายมาทูลอัญเชิญลงไปตรัสรู้แล้ว พระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้าจักเล็งดูความ
เหมาะสม ๘ ประการ หรือที่เรียกว่า มหาวิโลกนะ ๘ มหาวิโลกนะ ๘ มีองค์ประกอบดังนี้
๑. ทรงแลดูกาล คือ ทรงตรวจดูว่า ในกาลนั้นอายุขัยของมนุษย์มีเท่าไร เพราะถ้าหากว่าอายุขัยสั้น หรือยาวเกินไปจะทำให้ คนเข้าใจในกฏพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ไม่ชัดเจน
๒. ทรงแลดูทวีป คือ ทรงตรวจดูทวีป ท่านจะอุบัติในชมพูทวีปเท่านั้น เนื่องเพราะทวีปอื่น ๆ นั้นสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ทวีป มี ๔ ทวีป คือ อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และ ชมพูทวีป)
๓. ทรงแลดูประเทศ คือ ทรงตรวจดูว่า ประเทศนั้นสมควรจะเสด็จอุบัติหรือไม่
๔. ทรงแลดูตระกูล คือ ทรงตรวจดูว่า ในขณะนั้นตระกูลใดเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง ก็จักเสด็จอุบัติในตระกูลนั้น เช่น เป็นกษัตริย์ หรือ พราหมณ์
๕. ทรงแลดูพุทธมารดา คือ ตรวจดูว่า ผู้มีบุญญาธิการสมควรแก่การเป็นพุทธมารดา และได้เคยตั้งความปรารถนาเป็น พุทธมารดานั้นมีอยู่หรือไม่
๖. ทรงแลดูอายุ คือ ตรวจดูว่า พุทธมารดาย่างเข้าสู่มัชฌิมวัย หรือยัง ทั้งนี้เพราะ พระโพธิสัตว์ชาติสุดท้ายจะไม่เกิดร่วม พระมารดากับผู้อื่น ดังนั้นจึงถือปฏิสนธิในเวลาที่พระมารดามีพระชนมายุย่างเข้ามัชฌิมวัยแล้ว และนับจากถือปฏิสนธิ
พระมารดา จะมีพระชนมายุอยู่ได้อีกเพียง ๑๐ เดือน กับ ๗ วัน ( หลังคลอด ๗ วัน พระมารดาจะสิ้นพระชนม์ )
๗. ทรงแลดูเดือน คือตรวจดูเดือนที่เหมาะสมสอดคล้องกับข้อ ๖
๘. ทรงแลดูการเสด็จออกบรรพชา คือ ตรวจดูกาลที่จะเสด็จออกบรรพชาว่าเหมาะสมหรือไม่
(บางตำรา มีเพียง ๕ ประการ เรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ จะไม่มี อายุ เดือน และการเสด็จออกบรรพชา)

หลังจากที่ทรงตรวจดูความพร้อมต่าง ๆ แล้ว ว่าเหมาะสม จึงรับคำเชิญของเหล่าพรหม เทวดา จากนั้นเทวดา และ พรหม ก็จักกลับไป ยังวิมานของตน เหลือแต่เหล่าพระโพธิสัตว์ที่จะพากันแวดล้อมพระองค์ พาเข้าไปในสวนนันทวัน พระโพธิสัตว์จะรำลึก ถึงบุญกุศลที่เคยทรงบำเพ็ญแล้วจุติลงมาสู่พระครรภ์พุทธมารดา ตรงกับวันเพ็ญกลางเดือนอาสาฬหะพอดี ก่อนถึงวันเพ็ญ ๗ วัน พุทธมารดาจะทรงอธิษฐานสมาทานอุโบสถศีล และในขณะที่หลับไป จะทรงพระสุบินนิมิตเห็นพระยาช้างเผือก แทรกเข้าพระครรภ์ ซึ่งการจุติของพระมหาโพธิสัตว์ชาติสุดท้ายจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏตาม มหาปทานสูตร ดังนี้
๑. พระโพธิสัตว์จะจุติลงมายังพระครรภ์อย่างผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
๒. ขณะจุติจะปรากฎเหตุอัศจรรย์ กล่าวคือ มีแสงสว่างบังเกิดขึ้นในทุกโลกธาตุ และเกิดการสะท้านไหว ของโลกธาตุ เนื่องด้วยพระบารมี
๓. ตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์จะมีเทพยดา ๔ องค์ คอยอารักขาดูแล พระมารดา จะสามารถแลเห็น ซึ่งเทพยดานี้ได้
๔. ตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์ พุทธมารดาจะทรงศีล ๕ เป็นปกติ
๕. ตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์ พุทธมารดาจะไม่บังเกิดจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษเพศเลย และไม่มีผู้ใด สามารถจะล่วงเกินพระองค์ได้
๖. ตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์ พุทธมารดาจะพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก
๗. ตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์ พุทธมารดาจะทรงมีพลานามัยสมบูรณ์ ไม่ประชวร และทรงสามารถมองเห็น พระโพธิสัตว์ในพระครรภ์
๘. พุทธมารดาจะทรงพระครรภ์ ๑๐ เดือนพอดีไม่ขาดไม่เกิน
๙. พุทธมารดาจะยืนประสูติพระโพธิสัตว์
๑๐. เวลาที่พระโพธิสัตว์ประสูติพ้นจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว เทวดาจะคอยรับ แล้วนำมาประทับยืนอยู่เบื้องหน้า พระมารดา พร้อมทั้งกราบทูลแสดงความยินดีต่อพระนาง
๑๑. พระโพธิสัตว์เมื่อออกจากครรภ์พระมารดา พระองค์จะทรงมีพระฉวีวรรณสะอาดผุดผ่อง ไม่แปดเปื้อนด้วยมลทินใด ๆ
๑๒. เวลาที่พระองค์ประสูติ จะบังเกิดสายน้ำสองสายตกลงมาจากอากาศ สายหนึ่งเป็นน้ำเย็น อีกสายหนึ่งเป็นน้ำร้อน เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของพระองค์
๑๓. พระโพธิสัตว์จะก้าวเดินด้วยพระบาท ๗ ก้าว ไปทางทิศอุดร แล้วทรงเปล่งพระอาภิสวาจา ว่า
อคฺโคหมสฺมิ เราเป็นยอดของโลก
เชฎฺโฐหมสฺมิ เราเป็นใหญ่ของโลก
เสฏโฐหมสฺมิ เราเป็นผู้ประเสริฐสุดของโลก
อยมนฺติมา ชาติ เกิดนี้เป็นที่สุดของเรา
นตถิทานิ ปุนพภโวติ ในกาลนี้ การเกิดอีกไม่มี
๑๔. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระพุทธมารดาก็จักสิ้นพระชนม์ แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์ทรงอยู่ในพระครรภ์นั้น จะทรงนั่งในพระครรภ์ดุจนักปราชญ์ผู้งามสง่ากำลังนั่งเทศนา
บนธรรมาสน์ และองค์ท่านนั้นจะเรืองงามดังทอง บุคคลอื่นสามารถเห็นรัศมีเรืองงามนี้ออกมานอกพระครรภ์ ครั้นเมื่อ ออกจากพระครรภ์ก็จักทรงเหยียดพระบาทแล้วลุกขึ้นยืนจึงออกจากท้อง มิได้กลับตัวนำศีรษะออกก่อนเหมือนปุถุชนทั่วไป

ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะออกผนวชจะทรงเห็นจตุรนิมิตร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเกิดจาก เหล่า เทพยดา และ
พรหม สำแดงให้เห็นเพื่อให้พระองค์ระลึกได้แล้วค้นหาหนทางดับทุกข์ เมื่อพระโพธิสัตว์ ทรงออกผนวชเพื่อจะตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มหาพรหมจะนำเอาอัฐบริขารลงมาถวาย ที่มาของอัฐบริขารนั้นเริ่มจากตอนเริ่มกำเนิดกัปมหาพรหม จะลงมาดูว่ามีดอกบัวเกิดขึ้นกี่ดอก ถ้ามี ๑ ดอก แสดงว่าในกัปนั้นมีพระพุทธเจ้าเพียง ๑ พระองค์ ถ้ามี ๒ ดอก ก็จะมี ๒ พระองค์ และอาจมีได้สูงสุดถึง ๕ ดอก คือ มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ถ้าไม่มีดอกบัว แสดงว่ากัปนั้นเป็นสุญกัป จะไม่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัส ในดอกบัวนั้นจะมีอัฐบริขาร มหาพรหมก็จะนำขึ้นไปเก็บรักษาไว้ในพรหมโลก รอกาลจนกว่า พระมหาโพธิสัตว์จะออกผนวชเพื่อตรัสรู้จึงนำลงมาถวาย ครั้นพระองค์รับเครื่องอัฐบริขารแล้วก็จะเปลื้อง
เครื่องทรงออกจากพระวรกาย พรหมนั้นก็จักรับเอาไปเก็บรักษาไว้ในทุศเจดีย์บนอกนิฏฐพรหมโลก เพื่อสักการบูชา


ทศพลญาณ
ทศพลญาณ นั้น แปลได้ว่าเป็นญาณของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์กล่าวกับพระสารีบุตร
ว่า ดูก่อนสารีบุตร ตถาคตประกอบด้วยกำลัง ๑๐ ประการ จึงได้อยู่ในฐานะอันสูงสุด ได้บรรลือสีหนาทในท่ามกลาง พุทธบริษัททั้งหลาย กำลังทั้ง ๑๐ อย่างนั้น คือ
๑. ฐานาฐานญาณ ตถาคตย่อมรู้ฐานะโดยความเป็นฐานะ รู้อฐานะโดยความเป็น อฐานะ คือรู้ว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้
๒. วิปากญาณ ตถาคต ย่อมรู้วิบากของกรรม ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต โดยเหตุ โดยฐานะ โดยความเป็นจริง
๓. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ตถาคตย่อมรู้ ซึ่งปฏิปทาอันจะยังให้สัตว์ไปสู่ภูมิทั้งปวง โดยความเป็นจริง
๔. นานาธาตุญาณ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งโลกธาตุ อันประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
๕. นานาธิมุตติกญาณ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริง
๖. อินทริยปโรปริยัตตญาณ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความยิ่งหย่อนในอินทรีย์แห่งสัตว์ทั้งหลาย (อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา)
๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่ง ความเศร้าหมอง ความผ่องใส องค์ฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติทั้งหลายตามความเป็นจริง
๘. บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตถาคตย่อมสามารถระลึกย้อนอดีตชาติได้ไม่จำกัด
๙. จุตูปปาตญาณ ตถาคตย่อมเห็นความเป็นไปแห่งสัตว์ทั้งหลาย ( จุติ ที่ไปอุบัติ)
๑๐. อาสวักขยญาณ ตถาคตย่อมสามารถทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ตัดกิเลสทั้งปวงโดยสิ้นเชิง


 :001:

17
ธรรมะ / ศีล
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2549, 07:35:26 »
ศีล

ศีลเป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม
ชีวิตที่ดีงามย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน เพราะเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นชีวิตที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม แต่คุณงามความดีจะมีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากกาย วาจา ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ดังนั้นชีวิตที่ดีงาม จึงเริ่มต้นที่การรักษาศีลนั่นเอง

ศีลคืออะไร
ศีล แปลว่าปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีลักษณะที่เป็นปกติของมันเอง เช่น ปกติของม้าต้องยืนไม่มีการนอน ถ้าม้านอนเป็นการผิดปกติ แสดงว่าม้าป่วย ฤดูฝนตามปกติจะต้องมีฝนตก ถ้าฤดูฝนกลับแล้ง ฝนไม่ตกแสดงว่าผิดปกติ
อะไรคือปกติของคน

๑.ปกติของคนจะต้องไม่ฆ่า ศีลข้อ๑ จึงเกิดขึ้นมา
๒.ปกติของคนจะต้องไม่ลักขโมย ไม่แย่งชิง ไม่คดโกง ไม่ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ศีลข้อ๒ จึงเกิดขึ้นมา
๓.ปกติของคนจะพอใจเฉพาะคู่ครองของตน ถ้าใครไปแย่งเข้าถือว่าผิดปกติ ศีลข้อ๓ จึงเกิดขึ้นมา
๔.ปกติแล้วคนเราพูดตรงไปตรงมาเสมอ ใครโกหกหลองลวงก็ถือว่าผิดปกติ ศีลข้อ๔ จึงเกิดขึ้นมา
๕.ปกติแล้วคนต้องมีสติอันแจ่มใส แต่ถ้าดื่มสุราก็จะขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ง่าย ศีลข้อ๕ จึงเกิดขึ้นมา
( ศีล๕ ได้มีก่อนพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเข้ามาในพระพุทธศาสนา และทรงชี้แจงถึงความจำเป็นของการมีศีลให้ทราบ ) ดั้งนั้นในการรักษาศีล เราจึงควรศึกษาทำความเข้าใจในเรื่ององค์วินิจฉัยศีล ซึ่งเป็นหลักในการวินิจฉัยว่า ศีลขาดหรือไม่
องค์วินิจฉัยเป็นอย่างไร

๑ การฆ่าสัตว์ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑.๑ สัตว์นั้นมีชีวิต
๑.๒ รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๑.๓ มีจิตคิดจะฆ่าสัตว์นั้น
๑.๔ มีความพยายามจะฆ่าสัตว์นั้น
๑.๕ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

๒ การลักทรัพย์ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๒.๑ ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๒.๒ รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีจ้าของหวงแหน
๒.๓ มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น
๒.๔ มีความพยายามลักทรัพย์นั้น
๒.๕ ลักทรัพย์ได้ด้วยความพยายามนั้น

๓ การประพฤติผิดในกามประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๓.๑ หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด ( หญิงหรือชายที่มีเจ้าของแล้ว )
๓.๒ มีจิตคิดจะเสพเมถุน
๓.๓ ประกอบกิจในการเสพเมถุน
๓.๔ ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน

๔ การพูดเท็จต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๔.๑ เรื่องไม่จริง
๔.๒ มีจิตคิดจะพูดให้ผิดไปจากความจริง
๔.๓ พยายามที่จะพูดให้ผิดไปจากความจริง
๔.๔ คนฟังเข้าใจตามความหมายที่พูดนั้น

๕ การดื่มน้ำเมาต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๕.๑ น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเมา
๕.๒ มีจิตคิดจะดื่ม
๕.๓ พยายามดื่ม
๕.๔ น้ำเมานั้นล่วงพ้นลำคอลงไป


 :001:

18
สวัสดีครับ

มีความสนใจที่จะขอรับแจก ไม่ทราบว่ารับได้จากที่ไหน ไม่ได้แจ้งรายละเอียดไว้

อย่างไรก็กรุณาช่วยแจ้งรายละเอียดด้วยนะครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ
:001:

19
สวัสดีครับ

ยินดีด้วยเช่นกันครับ  :001:

20
ธรรมะ / ทดน้ำดีไล่น้ำเสีย
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2549, 08:17:22 »
ทดน้ำดีไล่น้ำเสีย

รินใจ

ที่มา http://www.budpage.com/ba201.shtml


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? สมมติว่าคุณเป็นครูที่สุภาพ เรียบร้อย ไม่ศรัทธาในไม้เรียว แต่ต้องมาคุมชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยนักเรียนเหลือขอที่ไร้ระเบียบวินัยและไม่สนใจการเรียนเลย คุณจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่สนใจฟัง แถมยังคุยเล่นและกินขนมแข่งกับคุณอีก เจอแบบนี้คุณจะทำอย่างไร ?
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ครูผู้หนึ่งตกอยู่ในสภาพดังกล่าวมานานนับเดือน จะพูดจะสอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนรู้สึกท้อแท้เป็นกำลัง เกือบจะวางมืออยู่แล้ว แต่วันหนึ่งเธอได้ความคิดขึ้นมาว่าน่าจะลองเปลี่ยนวิธีการ เธอขอให้นักเรียนทุกคนเขียนชื่อนักเรียนทั้งชั้นลงในกระดาษ ชื่อละบรรทัด จากนั้นให้เขียนสิ่งดี ๆ หรือลักษณะที่น่าประทับใจของเพื่อนแต่ละคนต่อท้ายชื่อของเขา โดยมีเงื่อนไขว่าให้เขียนอย่างซื่อตรงจริงใจ
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ครูนำกระดาษเหล่านั้นกลับไปบ้าน แล้วรวบรวมคุณสมบัติดี ๆ ที่เพื่อน ๆ เขียนถึงแต่ละคนมาใส่ลงในกระดาษแผ่นใหม่ แผ่นละหนึ่งคน วันรุ่งขึ้นก็นำกระดาษเหล่านั้นแจกให้นักเรียนทุกคนตามรายชื่อ ปรากฏว่าหลายคนอ่านแล้วไม่เชื่อว่าตนจะมีสิ่งดี ๆ อยู่ในตัว นับแต่นั้นมาบรรยากาศในห้องเรียนก็เริ่มเปลี่ยนไป นักเรียนตั้งใจเรียนและมีระเบียบมากขึ้น ครูพูดอะไรนักเรียนก็สนใจฟัง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาตระหนักว่าตนเองไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ผ่านไปหลายปี นักเรียนเหล่านี้สำเร็จการศึกษาแล้วก็แยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตัว จนกระทั่งได้ข่าวว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งเสียชีวิตลง เพื่อนเก่า ๆ มาพบกันใหม่ในงานศพของผู้จากไป แม่ของเขาจำเพื่อนของลูกได้จึงเรียกให้มาหาและสนทนากัน สักพักก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเยินและคร่ำคร่ามาให้ดู แม่บอกว่านี่เป็นกระดาษที่ลูกของเธอพกติดตัวตลอดเวลา
? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? เป็นกระดาษที่ครูได้รวบรวมสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับตัวเขาที่เพื่อน ๆ ได้ช่วยกันเขียน แม่เล่าว่าข้อความในกระดาษแผ่นนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ลูกของเธอตลอดมา เขามักจะหยิบมาอ่านอยู่เสมอในยามที่มีปัญหาหรือเกิดความท้อแท้
? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? และแล้วเพื่อนหลายคนก็หยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋าของตนโดยมิได้นัดหมาย เป็นกระดาษที่ครูได้มอบให้พวกเขาในวันเดียวกันนั้นเอง พวกเขาพกติดตัวตลอดเวลาเช่นกันเพราะมันมีความหมายต่อชีวิตของพวกเขามาก
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? กระดาษเพียงแผ่นเดียวสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนหลายคนได้ก็เพราะมันเป็นทั้งสิ่งเตือนใจและให้กำลังใจแก่พวกเขาว่าพวกเขามีสิ่งดี ๆ อยู่ในตัว กำลังใจดังกล่าวมีความหมายมากเพราะช่วยให้เขามีพลังที่จะต่อสู้กับอกุศลภายในใจหรือสิ่งไม่ดีที่สั่งสมจนเป็นนิสัย อาทิ ความเกียจคร้าน ความเกเร ความไม่ซื่อตรง และความเห็นแก่ตัว เป็นเวลาหลายปีที่นิสัยไม่ดีเหล่านี้สั่งสมและเจริญงอกงามจนหล่อหลอมเป็นบุคลิกที่ชวนระอาและน่ารังเกียจ โดยไม่มีแรงต้านทานจากภายในที่จะต่อสู้เลย ก็จะต่อสู้ต้านทานไปทำไมในเมื่อฉันเป็นคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ยิ่งคิดเช่นนี้จิตใจที่ใฝ่ดีก็ยิ่งอ่อนแรง และต้องพ่ายแพ้แก่นิสัยที่ไม่ดี จะว่าแล้วในเมื่อเด่นในทางดีไม่ได้ ก็ต้องหาทางเด่นในทางไม่ดี ก็เลยมีแรงหนุนให้ทำสิ่งเลวร้ายมากขึ้น
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนนั้น ทำได้สองแนวทาง แนวทางแรกคือควบคุมจิตใจใฝ่ต่ำหรือพฤติกรรมด้านลบไม่ให้เติบใหญ่ วิธีที่นิยมใช้คือการห้ามหรือบังคับมิให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ควบคู่กับการขู่ว่าจะลงโทษ หรือการทำให้กลัว นอกจากนั้นได้แก่การทำให้ละอาย เช่น ตำหนิ ต่อว่า ประจาน หรือประณาม
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? แนวทางที่สองคือการสนับสนุนจิตใจใฝ่ดีให้เจริญงอกงามและมีกำลัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ดีงาม อาทิ การชื่นชมความดีที่เขามี หรือส่งเสริมให้เขาเห็นสิ่งดี ๆ ในตัว รวมไปถึงการชมเชย
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ใช่หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้คนมักจะนึกถึงแนวทางแรก จนบ่อยครั้งลืมใช้แนวทางที่สอง เราจึงมักถนัดในการตำหนิมากกว่าการชื่นชม คุ้นกับการลงโทษมากกว่าการส่งเสริม คุ้นกับการขู่ให้กลัวมากกว่าการสร้างแรงบันดาลใจ
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ผู้บริหารปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายห้องน้ำสะอาดมาก คราวหนึ่งพบว่าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันจังหวัดแห่งหนึ่งไม่สะอาดเท่าที่ควร เขาจึงเดินไปหาพนักงานทำความสะอาด แต่แทนที่จะต่อว่า เขากลับบอกว่า ตอนที่เข้าห้องน้ำได้ยินลูกค้าหนึ่งชมว่าห้องน้ำปั๊มนี้สะอาดมาก แล้วเขาก็ถามว่าพนักงานผู้นั้นทำความสะอาดอย่างไร เมื่อรู้ว่าเธอทำความสะอาดตามขั้นตอนที่ได้อบรม เขาก็ชมว่า "ป้าเก่งจัง"
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ทันทีที่ชมเสร็จ พนักงานผู้นั้นก็ขอตัว สิ่งแรกที่เธอทำคือไปห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? คำชมเชยนั้นใช่ว่าควรใช้เมื่อผู้อื่นทำความดีเท่านั้น ก็หาไม่ แม้เขายังทำได้ไม่ดี แต่หากได้รับคำชม ก็อาจเกิดกำลังใจที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นก็ได้
? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? น้ำเสียนั้นเราไม่จำเป็นต้องวิดดอก เพียงแค่ทดน้ำดีเข้าไปมาก ๆ มันก็จะไปไล่น้ำเสียเอง นิสัยไม่ดีก็เช่นกัน เพียงแต่เพิ่มกำลังให้จิตใจใฝ่ดีเท่านั้น มันก็จะไปกำจัดนิสัยไม่ดีเอง



21
สวัสดีครับ

พูดถึงเรื่องของการสัก ในบางครั้งมันบอกไม่ได้หลอกครับว่า ใครสักสวยหรือไม่สวย คมชัดหรือไม่คมชัด

มันอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละบุคคลมากกว่าครับ บางคนชอบแบบเส้นคมชัดหมึกเข้มๆ บางคนชอบแบบลายไข่ปลา

กระผมไม่ขอแนะนำนะครับว่าจะต้องไปสักกับอาจารย์ท่านไหน

แต่จะแนะนำให้ ไปดู ไปสัมผัส ไปพูด ไปคุย ศึกษาข้อมูลก่อนดีไหมครับ

เพราะกระผมเชื่อว่าความพึงพอใจของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน
? :001:


22
สวัสดีครับ

ใจเย็นๆ พี่น้องผองเพื่อนครับ บางทีบางท่าน อาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ครับ

ถ้าเป็นเช่นนี้ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ ว่ายันต์อย่างไหนเรียกว่าอะไร

ขอบคุณล่วงหน้าครับ  :001:

23
ขอบคุณครับ? :001:


24
ธรรมะ / ธรรมะจาก หลวงพ่อคูณ
« เมื่อ: 24 เม.ย. 2549, 11:24:06 »

 :001:

25
ธรรมะ / ตอบ: 8 วิธีชะลอความเจริญ
« เมื่อ: 23 เม.ย. 2549, 05:49:09 »
ขอบคุณครับ  :054:

26
คำเตือน - มีกระทู้ตอบใหม่ ขณะที่คุณพิมพ์ข้อความ อยากให้คุณแสดงตัวอย่างก่อนตั้งกระทู้

ขอบคุณครับท่าน เอ ณ.บางแค :001:

27
สวัสดีครับ





ข้อตกลงและเงื่อนไขการสมัครสมาชิก


ขอชี้แจงเกี่ยวกับ กฏกติกา และ มารยาท ในการใช้งานกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ  ดังต่อไปนี้

๑. ห้ามกล่าวพาดพิงกระทบถึงสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสูงสุดยิ่งในทางที่เสื่อมเสีย

๒. ห้ามตั้งกระทู้ที่ส่อไปในทางลามก อนาจาร และ ผิดศีลธรรม

๓. ห้ามตั้งกระทู้ที่หยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยกของสมาชิก หรือสร้างความปั่นป่วนในกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ

๔. ห้ามตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเด็ดขาด

๕. ผู้ดูแลเว็บไซต์ วัดบางพระ ขอสงวนสิทธิ์ในการ ลบ หรือ แก้ไข ทุกความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ

๖. คำตัดสินของผู้ดูแลเว็บไซต์ วัดบางพระ ถือเป็นที่สิ้นสุด

๗. การยกเลิกความเป็น สมาชิก ให้อยู่ในการพิจารณาของ webmaster (เว็บ...) ตัดสินถือเป็นที่ยุติ


ทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่มีการพาดพิงถึงบุคคลอื่นในทางที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด,
ความเสียหายต่างๆ ได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและสร้างความสงบสุข เน้นความเป็นกลางอย่างที่สุด ในทุกๆกรณี


29

ขอบคุณครับ

31
สวัสดีปีใหม่พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน

:093:  :093:  :093:  :093:  :093:



:093:  :093:  :093:  :093:  :093:

ขอบคุณครับ

32
สวัสดีครับ

ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เราทำด้วยความเคารพ ศรัทธา อยากจะเผยแผ่คุณงามความดีของหลวงพ่อท่าน ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

 :016: ขอชื่นชมยินดีกับท่าน -'๑'- ศ รั ท ธ า!! ใ น บ า ร มี ห ล ว ง พ่ อ -'๑'-  ด้วยนะครับที่ช่วยกันแผ่คุณงามความดีของหลวงพ่อท่าน :015:

 :053: :053: :053: :053: :053:


33
สวัสดีครับ

ขอบคุณครับ

ด้วยความตั้งใจและเต็มใจครับ


34
สวัสดีครับ

พุทธประวัติ ฉบับภิกษุสีลาจาระ ชาวอังกฤษ แปลและเรียบเรียงโดย พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม


ตอนที่ ๑
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss1d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss1d.swf</a>

ตอนที่ ๒
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss2d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss2d.swf</a>

ตอนที่ ๓
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss3d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss3d.swf</a>


ตอนที่ ๔
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss4d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss4d.swf</a>

ตอนที่ ๕
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss5d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss5d.swf</a>

ตอนที่ ๖
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss6d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss6d.swf</a>

ตอนที่ ๗
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss7d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss7d.swf</a>

ตอนที่ ๘
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss8d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss8d.swf</a>

ตอนที่ ๙
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss9d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss9d.swf</a>

ตอนที่ ๑๐
<a href="http://www.geocities.com/narata03/mp3ss10d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://www.geocities.com/narata03/mp3ss10d.swf</a>

ตอนที่ ๑๑
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss11d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss11d.swf</a>

ตอนที่ ๑๒
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss12d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss12d.swf</a>

ตอนที่ ๑๓
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss13d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss13d.swf</a>

ตอนที่ ๑๔
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss14d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss14d.swf</a>

ตอนที่ ๑๕
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss15d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss15d.swf</a>

ตอนที่ ๑๖
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss16d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss16d.swf</a>

ตอนที่ ๑๗
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss17d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss17d.swf</a>

ตอนที่ ๑๘
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss18d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss18d.swf</a>

ตอนที่ ๑๙
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss19d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss19d.swf</a>

ตอนที่ ๒๐
<a href="http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss20d.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://fkfl10jjio88tj.googlepages.com/mp3ss20d.swf</a>

 :017:? :016:? :016:? :016:? :016:? :016:? :016:? :016:? :016:? :017:

หน้า: [1]