แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

หน้า: [1]
1
:090: เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๑๑ :090:


เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๑๑ ออกแบบโดยคุณต้น (...ปราณจิต...)

ทางทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์วัดบางพระได้จัดทำเพื่อเพื่อนสมาชิกได้ใส่ร่วมพิธีไหว้ครู

ปีนี้เป็นปีที่ ๑๒ ขณะนี้ทางทีมงานได้เริ่มดำเนินการจัดทำเสื้อที่ระลึกรุ่นที่ ๑๑ แล้ว

เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการบันทึกข้อมูล ทางทีมงานจึงเปิด Pre-Order ให้สั่งจองเสื้อที่ระลึก รุ่น ๑๑

ได้ที่แฟนเพจเฟสบุ๊ก วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) เพียงที่เดียวเท่านั้น 

คลิกไปอ่านรายละเอียด และสั่งจองตามขั้นตอนที่แจ้งไว้ได้ที่ลิ้งค์..

https://web.facebook.com/Bp.or.Th/posts/2810995705627415

**เปิดสั่งจองรอบ Pre-Order ได้ ตั้งแต่ วันนี้ - ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

***จัดส่งได้ ประมาณ ต้นเดือน มีนาคม ก่อนงานไหว้ครู


ตัวละ ๓๕๐ บาท ( ฟรีค่าจัดส่ง เฉพาะช่วง Pre-Oeder นี้เท่านั้น )

**** ทั้งนี้ ทางทีมงานอาจจะทำเสื้อเพิ่มไว้จำนวนหนึ่งนอกเหนือจากที่เปิดให้สั่งจองรอบ Pre-Order ซึ่งจะเปิดให้บูชาได้ในวันงานไหว้ครูประจำปี วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ อาคารสำนักงานวัดบางพระ หน้ากุฏิใหญ่


ขนาดเสื้อชาย
รอบอก และ Size ของเสื้อ (นิ้ว)
40" - S
42" - M
44" - L
46" - XL
48" - XXL
52" - XXXL

ขนาดเสื้อหญิง
รอบอก และ Size ของเสื้อ (นิ้ว)
30" - SS
32" - S
34" - M
36" - L
38" - XL
40" - XXL


จึงแจ้งมาเพื่อทราบ...
ทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์วัดบางพระ :001:

4






















หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

5


















หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

6
:090:เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๑๐ :090:


เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๑๐ ออกแบบโดยคุณต้น (...ปราณจิต...)

ทางทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์วัดบางพระได้จัดทำเพื่อเพื่อนสมาชิกได้ใส่ร่วมพิธีไหว้ครู

ปีนี้เป็นปีที่ ๑๑ ขณะนี้ทางทีมงานได้เริ่มดำเนินการจัดทำเสื้อที่ระลึกรุ่นที่ ๑๐ แล้ว

และในปีนี้จะไม่มีการเปิดจองเสื้อผ่านหน้าเว็บบอร์ดเหมือนปีที่ผ่านมา

เนื่องจากทีมงานแต่ละท่านติดภาระกิจไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง

จึงปรึกษากันว่า เปิดให้บูชาที่วัดบางพระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


ราคา 350 บาท

*** บูชาได้ในวันงานไหว้ครูประจำปี วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ อาคารสำนักงานวัดบางพระ หน้ากุฏิใหญ่

*** สำหรับจำนวนการผลิตเสื้อในปีนี้ ทางทีมงานจะดูจากสถิติการสั่งจองเสื้อย้อนหลัง ๔ ปี

ขนาดเสื้อชาย
รอบอก และ Size ของเสื้อ (นิ้ว)
40" - S
42" - M
44" - L
46" - XL
48" - XXL
52" - XXXL

ขนาดเสื้อหญิง
รอบอก และ Size ของเสื้อ (นิ้ว)
30" - SS
32" - S
34" - M
36" - L
38" - XL
40" - XXL

*** สำหรับท่านหญิงหรือชายที่มีขนาดเหนือมาตรฐาน กรุณาแจ้งทางทีมงาน ( แจ้งตอบในกระทู้นี้ ) เราจะดูแลท่านเป็นกรณีพิเศษ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบ...

ทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์วัดบางพระ
:001:

7

       ขอเจริญพรอนุโมทนาแด่ทุกท่านที่มาร่วมพิธีทอดกฐินในวันนี้ ก็มีด้วยกันหลายๆ ท่านด้วยกัน ทั้งญาติโยมทั้งหลายที่อยู่บริเวณวัดบางพระและใกล้เคียง มาจากต่างจังหวัด สถานที่ห่างไกล ได้ร่วมกันมาทำบุญกฐินวัดบางพระในวันนี้ ก็เพราะท่านทั้งหลายยังระลึกถึงความดี คุณงามความดีของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระอุดมประชานาถ หรือหลวงพ่อเปิ่นของเรา ที่ท่านได้อุปการคุณตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ ในตำบลเขตวัดบางพระ และเขตใกล้เคียง ทั้งต่างจังหวัดมาอยู่ตลอดจวบจนมาถึงทุกวันนี้ ท่านทั้งหลาย ยังระลึกถึงความดีของท่าน ก็เลยนำกันมาร่วมทอดกฐินในวันนี้

   การทอดกฐินนี้มีอานิสงส์มาก ปีนึงมีทอดกันครั้งเดียว และมีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง อานิสงส์กฐินดังที่ท่านโฆษกได้ประกาศไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็จะไม่ขอกล่าวซ้ำอีก

   ดังนั้นก็ ขออำนวยอวยพรท่านทั้งหลายที่มาร่วมทอดกฐินในวันนี้ จงมีแต่ความสุขความเจริญ คิดอะไรให้สมความปรารถนา เป็นนักลงทุนผู้ที่เกี่ยวกับการค้า ก็ขอให้การค้าทั้งหลายเจริญรุ่งเรือง และผู้ที่เกี่ยวข้องทำงานราชการขอให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ยศถาบรรดาศักดิ์ และท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการงานเกษตรกร ขอให้กิจการทำไร่ ทำนา เกิดมรรคผล ให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป

   ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ คิดประสงค์จำนงหมายสิ่งใดอันเป็นที่ชอบที่ถูกที่ควรแล้วไซร้ ขอให้สิ่งนั้นๆ จงพลันสำเร็จ โดยทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ ขอเจริญพร.


:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ ( หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร )
เจ้าอาวาสวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
กล่าวสัมโมทนียกถา อนุโมทนาบุญ พิธีทอดกฐินวัดบางพระ
วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ( แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ )

9




































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

10


















































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

11
































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

13
วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๓๙ น.







































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

14
















































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

15
[shake]ปิดกิจกรรมแล้ว..
ขอล็อคกระทู้ (ปิดการตอบในกระทู้) ครับ.
[/shake]

รายละเอียดของรางวัลที่นำมาแจก



กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ
วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม พ.ศ.๒๕๔๑
หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ร่วมอธิษฐานจิตฯ




ภาพเพิ่มเติม จากงานพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ วิหารพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑
รายละเอียดเพิ่มเติมคลิกอ่านได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30990.0

:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:




พระไตรรัตน์ปิดตาสังกัจจายน์
กราบขอบพระคุณพระครูสรพาจน์โฆษิต (มนตรี ฐิตโสภโณ) วัดบางแวก กทม.
ที่เมตตามอบมาให้แจกแก่สมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ มา ณ โอกาสนี้ ด้วยครับ.

:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:


สติ๊กเกอร์งานไหว้ครูประจำปีหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี ๒๕๖๐ (ได้รับการอธิษฐานจิตแล้ว)
หลวงพ่อสำอางค์ ท่านฝากเน้นย้ำมาว่า หากไม่นำไปติดรถฯ ก็ควรเก็บไว้ในที่อันควร เพราะมีรูปหลวงพ่อเปิ่นอยู่

:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:


เหรียญหลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ ที่ระลึกจากงานพิธีฉลองสมณศักดิ์ เมื่อวันพุธที่ ๒๕ มกราคม ที่ผ่านมา

:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมลงชื่อรับรางวัล

- สงวนสิทธิ์ในการแจกรางวัลครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๑๒ ท่านแรก โดยโพสขอรับรางวัลได้ในกระทู้นี้เท่านั้น (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๑๒ ท่านแรก จะได้รับ กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๑ ใบ, พระไตรรัตน์ปิดตาสังกัจจายน์ จำนวน ๑ องค์, สติ๊กเกอร์งานไหว้ครูประจำปีหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑ ใบ และเหรียญหลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ จำนวน ๑ เหรียญ (รวม ๔ ชิ้น / ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อรับรางวัลทั้ง ๑๒ ท่าน กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล และรับรายละเอียดชำระค่าจัดส่ง (มีค่าจัดส่ง ๖๐ บาท) ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

16
พิธีฉลองสมณศักดิ์ แสดงมุทิตาสักการะ ในโอกาสที่ พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ที่ พระครูสัญญาบัตรเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ วันพุธที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๗.๐๐ น.



























































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

18

ประวัติพระปลัดประสิทธิ์ ธมฺมโชโต (คงประจักษ์)

        พระปลัดประสิทธิ์ ธมฺมโชโต หรือนามที่ลูกศิษย์และผู้ใกล้ชิดมักเรียกว่า “หลวงพี่ต้อย” ตามเอกสารทะเบียนราษฎรเกิดเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ (แจ้งเกิดล่าช้าประมาณ ๒ ปี) ที่บ้านตำบลบางแก้วฟ้า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โยมบิดาชื่อนายยม คงประจักษ์ โยมมารดาชื่อนางถนอม มามะเริง มีพี่น้องร่วม ๘ คน คือ

        ๑.   นายสนั่น
        ๒.     พระปลัดประสิทธิ์ ธมฺมโชโต
        ๓.   นางสาวเจนจิรา
        ๔.   นายสุนันท์ (ถึงแก่กรรม)
        ๕.   นายจำลอง
        ๖.   นายปฐพี
        ๗.   นางสาวมัทนิน
        ๘.   นางสาววันเพ็ญ
        และมีน้องสาวต่างมารดา ๒ คน คือ
        ๑.   นางสาวพเยาว์
        ๒.   นางสาวประทุมทิพย์



        ในวัยเด็ก หลวงพี่ต้อยมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงนัก โยมแม่จึงพาไปหาพระอาจารย์เปลี่ยน ปัดรังควานเพื่อเป็นสิริมงคลให้ และยกหลวงพี่ต้อยเป็นบุตรบุญธรรมของเตี่ยยุง แม่หนู นุชจำเริญ

   หลวงพี่ต้อยได้รับความรักและการดูแลอย่างดีจากเตี่ยยุง แม่หนู รวมทั้งญาติๆ ที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะอางานและอาตุ๊ ส่งผลให้หลวงพี่ต้อยเป็นคนมีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจเย็น เป็นมิตรกับทุกๆ คน

   เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดบางพระ ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ ที่วัดโคกเขมา โดยมีพระอธิการเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นเจ้าอาวาส





   ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้อุปสมบทที่วัดบางพระ จำพรรษาได้ครบ ๑ พรรษา จึงลาสิกขาเพื่อไปช่วยเหลือครอบครัวประกอบอาชีพ

   หลวงพี่ต้อยช่วยงานในครอบครัวเท่าที่สุขภาพร่างกายจะพอรับได้ ไม่เคยวางเฉย ทั้งๆ ที่ตัวเล็กนิดเดียว หลวงพี่ต้อยไม่เคยท้อที่จะต้องช่วยเตี่ยยุงใช้ระหัดชกมวยวิดน้ำเข้าสวน

   หลวงพี่ต้อยหารายได้ช่วยครอบครัวด้วยการเป็นกระเป๋ารถเมล์สายบางพระ-นครปฐม ผู้โดยสารโดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องใช้บริการรถเมล์ทุกวัน เห็นกระเป๋ารถเมล์ผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับผู้โดยสารด้วยถ้อยคำสุภาพ สนุกสนานอยู่เป็นนิจ หลวงพี่ต้อยจึงเป็นกระเป๋ารถเมล์ที่เป็นขวัญใจของผู้โดยสารในยุคนั้นอย่างแท้จริง





   ยามว่างในช่วงชีวิตของความเป็นวัยรุ่น หลวงพี่ต้อยร่วมเป็นสมาชิกชมรมพัฒนาวัดบางพระ ที่มีสมาชิกเป็นวัยรุ่นทั้งชายและหญิงหลายสิบคน โดยมีคุณครูเทพ ปิ่นเวหา เป็นหัวหน้าชมรม รวมพลังกันสร้างความดี ทำงานเพื่อส่วนรวม กิจกรรมใดๆ ที่ต้องการกำลังงานจากชมรม หลวงพี่ต้อยและสมาชิกทุกคนจะพร้อมใจกัน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ช่วยกันดายหญ้าหน้าวัด หน้าโรงเรียน ขายทองงานประจำปีของวัด ขนทราย เทปูนในวัด และหลวงพี่ต้อยก็มักทำตัวเป็นชูรสของกลุ่มทำงานอยู่เสมอ เพราะขณะทำงานเหนื่อยๆ ก็หาเรื่องราวมาเล่าให้สนุกสนานไปกับการทำงานได้เป็นอย่างดี

   การใช้ชีวิตในความเป็นฆราวาสช่วงนี้ เป็นสิ่งที่หลวงพี่ต้อยต้องทบทวนเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง และสิ่งที่เป็นคำตอบคือ
“ขอบวชอีกครั้ง”

   ปี พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงพี่ต้อย อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่ออายุได้ ๒๖ ปี ณ พัทธสีมาวัดบางพระ โดยมีพระครูปัญญาประยุต (หลวงพ่อมาก ปญฺญายุตฺโต) วัดสุขวัฒนาราม (บางระกำ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนฺทโร) วัดกลางบางพระ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระใบฎีกาเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์






   เมื่อบวชเป็นพระ สิ่งที่หลวงพี่ต้อยมุ่งมั่นด้วยใจที่แน่วแน่คือการศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี ในปี พ.ศ.๒๕๒๔ และสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ.๒๕๒๕

   นอกจากศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว หลวงพี่ต้อยยังได้ศึกษาวิชาความรู้และศาสตร์ต่างๆ จากพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของหลวงพี่ต้อย และได้ยึดถือเป็นต้นแบบทั้งการทำหน้าที่ของสงฆ์ การวางตัว ความมีเมตตา และสิ่งสำคัญที่หลวงพี่ต้อยปฏิบัติมาโดยตลอดคือ
“การเป็นผู้ให้”

   ปี พ.ศ.๒๕๓๘ หลวงพี่ต้อยได้รับสมณศักดิ์เป็น “พระปลัด” ฐานานุกรมในพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม






   หลวงพี่ต้อยเป็นพระที่มีเมตตาสูง จึงทำให้มีลูกศิษย์มากมาย และด้วยแรงศรัทธาเหล่านั้น ทั้งเงินและสิ่งของที่ลูกศิษย์นำมาถวาย หลวงพี่ต้อยจะเก็บรวบรวม และให้กับบุคคลหรือสถานที่ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้น หลวงพี่ต้อยยิ่งให้ หลวงพี่ต้อยยิ่งได้รับ เป็นความจริงในข้อนี้ เพราะหลวงพี่ต้อยไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ประจำ แต่หลวงพี่ต้อยได้รับศรัทธา และส่งแรงศรัทธาเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังจะเห็นได้ว่าหลวงพี่ต้อยร่วมสร้างถาวรวัตถุร่วมกับพระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) เช่น สร้างอุโบสถวัดหนองกรับ จ.สุพรรณบุรี สร้างอุโบสถวัดหนองผักไร จ.นครราชสีมา บูรณะศาลาการเปรียญวัดหลักร้อย จ.นครราชสีมา บูรณะศาลาการเปรียญวัดสายโทรเลข จ.ตาก สร้างศาลาการเปรียญวัดอมราวดี จ.ตาก สร้างฌาปนสถาน ณ สำนักสงฆ์หนองกิ่งฟ้า จ.ตาก ทอดกฐินสามัคคี วัดเวียงแก้ว จ.เชียงราย สร้างอุโบสถวัดมาตานุสรณ์ จ.ตาก สร้างอาคารเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนวัดบางพระ สร้างสะพานข้ามคลองเข้าวัดเกษตราราม สร้างห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนวัดเกษตราราม อ.บางเลน จ.นครปฐม เป็นต้น และสิ่งสุดท้ายที่หลวงพี่ต้อยหมดห่วงคือ จัดหารถพยาบาลสำหรับรับ-ส่ง ผู้ป่วย มอบให้กับโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น เป็นที่เรียบร้อย

   ด้วยแรงศรัทธาของลูกศิษย์ และด้วยหัวใจอันเปี่ยมล้นของความเป็นผู้ให้ หลวงพี่ต้อยต้องเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล หลวงพี่ต้อยไปประเทศจีน ทั้งเมืองคุณหมิง ปักกิ่ง และฮ่องกง กิจนิมนต์บ้านลูกศิษย์ที่ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย หลวงพี่ต้อยก็ไปเพื่อเป็นการฉลองศรัทธาของลูกศิษย์ที่มีต่อหลวงพี่ต้อย นับเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันสมบูรณ์ยิ่ง ตลอด ๓๘ พรรษา ของหลวงพี่ต้อย







   ปี พ.ศ.๒๕๕๓ หลวงพี่ต้อยเริ่มมีอาการอาพาธหายใจไม่ออก ได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ญาติ และบรรดาลูกศิษย์ที่ทราบข่าวอาการอาพาธของหลวงพี่ต้อยพากันวิตกกังวล ด้วยผลการตรวจของแพทย์ทางโรงพยาบาลทรวงอกที่แจ้งว่า ตรวจพบมะเร็งปอดระยะสุดท้ายถึง ๕ ก้อน ซึ่งอยู่ในบริเวณอวัยวะสำคัญ ผ่าตัดได้ไม่หมด ทำให้เชื้อมะเร็งลุกลามอย่างรวดเร็ว

   ปี พ.ศ.๒๕๕๗ เชื้อมะเร็งลามขึ้นสมอง แพทย์รักษาด้วยวิธีการฉายแสงถึง ๑๓ ครั้ง ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ทุกๆ คนที่อยู่ใกล้ชิดจะทราบดีว่า ขณะที่หลวงพี่ต้อยอาพาธเจ็บปวดเพียงใด หลวงพี่ต้อยจะเก็บซ่อนความรู้สึกไม่ให้ใครเป็นทุกข์ไปด้วย แม้ขณะนอนอยู่ในโรงพยาบาล ทุกๆ คนที่ไปเยี่ยมจะพบกับใบหน้ายิ้มแย้ม และท่านจะเล่าเหตุการณ์ในการรักษาของแพทย์เป็นเรื่องตลกขบขันให้ฟังเป็นส่วนใหญ่

   ปี พ.ศ.๒๕๕๘ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช แพทย์ลงความเห็นว่า เชื้อมะเร็งลามมาที่กระดูกสันหลัง ทำให้กระดูกผุลงมาทับเส้นประสาท ส่งผลให้เดินไม่ได้

   ท้ายสุดแห่งชีวิต หลวงพี่ต้อยขอกลับมารักษาตัวอยู่ที่วัด บรรดาลูกศิษย์และญาติพี่น้องพากันแวะเวียนมาเยี่ยมมิได้ขาด สิ่งที่ทุกๆ คนได้เห็นคือ สายตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตา และพยายามพูดคุยกับทุกคนให้คลายกังวลกับอาการอาพาธของหลวงพี่ต้อย ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลวงพี่ต้อยจะให้กับทุกคนได้


   หลวงพี่ต้อยมรณภาพอย่างสงบ ท่ามกลางความรักความอาลัยของแพทย์ พยาบาล ญาติพี่น้อง และลูกศิษย์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๔๓ น. สิริอายุได้ ๖๒ ปี (นับอายุจริง ๖๔ ปี) ๕ เดือน ๑๒ วัน








   
แสงตะวัน ลาลับ ดับขอบฟ้า   เหลือเพียงแต่ หยดน้ำตา ที่รินไหล
พระประสิทธิ์ ผู้เป็น ดั่งร่มไทร      มาจากลา อาลัย ไม่กลับมา
   ต่อไปนี้ จะไม่มี ท่านอีกแล้ว   ร่มโพธิ์แก้ว ต้นใหญ่ ใบดกหนา
ให้ร่มเงา ดับร้อน ด้วยเมตตา      ต้องร้างลา จากไป ให้จาบัลย์
   อานิสงส์ ผลบุญ ที่ท่านสร้าง   คุณความดี ทุกอย่าง ที่สร้างสรรค์
จะสถิต ในใจคน จนนิรันดร์       ศรัทธานั้น จะคงอยู่ ตลอดกาล
   ยี่สิบเจ็ด ตุลา ปีห้าเก้า         คือวันที่ แสนโศกเศร้า มหาศาล
ยกมือไหว้ ด้วยใจ อันร้าวราน      กราบนมัสการ ด้วยศรัทธา และอาลัย

ประพันธ์โดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น

:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

19
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๙




































































































22




































































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

23
[shake]..ปิดกิจกรรมแล้วครับ..[/shake]

แจกพระพิมพ์ขุนแผนนะเสน่หา มวลสารรักทองเก่า+เนื้อปูน จากองค์หลวงพ่อโต วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จำนวน ๕๐ องค์



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



ประมวลภาพช่วงบูรณะองค์หลวงพ่อโต วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จ.นครปฐม








:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) หน้าตักกว้าง ๗๕ นิ้ว สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖
หลวงพ่อเปิ่นได้สร้างไว้ในช่วงที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม



มวลสารเนื้อปูนเก่าจากองค์หลวงพ่อโต ที่กระเทาะออกช่วงบูรณะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

จากการสัมภาษณ์พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร) เจ้าอาวาสวัดโคกเขมารูปปัจจุบัน และพระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา ต่างให้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่า ทางวัดไม่เคยมีการลอกรักทองออกจากองค์หลวงพ่อโตเลยนับตั้งแต่หลวงพ่อเปิ่นท่านได้สร้างหลวงพ่อโตไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖ แต่มีการลงรักเคลือบองค์หลวงพ่อโตใหม่ประมาณ ๒ ครั้ง โดยทาเคลือบรักทองเดิมไว้ไม่ได้มีการลอกรักทองเก่าออก

และเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๙ ทางวัดโคกเขมา ได้ดำเนินการยกฐานหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ พร้อมกับบูรณะองค์หลวงพ่อโต โดยลอกรักทองเก่าออกเพื่อทำผิวปูนใหม่ ทางวัดโคกเขมา จึงได้นำรักทองเก่าและเนื้อปูนจากองค์หลวงพ่อโตที่กระเทาะออกช่วงบูรณะมาเป็นมวลสารจัดสร้างพระพิมพ์ขุนแผนนะเสน่หา ซึ่งได้ถอดพิมพ์พระขุนแผนที่หลวงพ่อเปิ่นสร้างไว้ที่วัดโคกเขมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘ มาเป็นองค์ต้นแบบ เพื่อไว้แจกจ่ายญาติโยมไว้เป็นที่ระลึกในงานประจำปีปิดทองสมโภชหลวงพ่อโต-หลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา ๒๕๕๙ ฯ


พระพิมพ์ขุนแผนนะเสน่หา เนื้อสีแดง ผสมมวลสารรักทองเก่า+เนื้อปูน จากองค์หลวงพ่อโต วัดโคกเขมา



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร) รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดโคกเขมารูปปัจจุบัน ท่านเมตตาให้นำมาแจกให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ (www.bp.or.th) และแฟนเพจเฟสบุ๊ควัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) (www.facebook.com/bp.or.th) จำนวน ๕๐ องค์



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



รายนามพระคณาจารย์นั่งปรกอธิษฐานจิต พิธีพุทธาภิเษกพระพิมพ์ขุนแผนนะเสน่หา (พร้อมวัตถุมงคลอื่นๆ ในงานประจำปีฯ วัดโคกเขมา ๒๕๕๙) เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙ (แรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม)

๑.พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จุดเทียนชัย
๒.พระครูวิบูลสิริธรรม (หลวงพ่อเพี้ยน) เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ดับเทียนชัย
๓.พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร) รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
๔.พระครูศรีสุตากร (หลวงพ่อทั่ง) เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
๕.พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
๖.พระครูพิศาลสาธุวัฒน์ (หลวงพ่อทองคำ) เจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก อ.เมือง จ.นครปฐม
๗.พระครูสถิตบุญเขต (หลวงพ่อบุญช่วย) เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
๘.พระครูปฐมวราจารย์ (หลวงพ่ออวยพร) รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม
๙.พระครูพิจิตรสรคุณ (หลวงพ่อพร) เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
๑๐.พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



ประมวลภาพพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลที่ระลึกในงานประจำปีปิดทองสมโภชหลวงพ่อโต-หลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา ๒๕๕๙


พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จุดเทียนชัย


พระครูวิบูลสิริธรรม (หลวงพ่อเพี้ยน) เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร) รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


พระครูปฐมวราจารย์ (หลวงพ่ออวยพร) รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม


พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



รายละเอียดการแจกพระพิมพ์ขุนแผนนะเสน่หา เนื้อสีแดง มวลสารรักทองเก่า+เนื้อปูน จากองค์หลวงพ่อโต วัดโคกเขมา จำนวน ๕๐ องค์


แจกให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ และแฟนเพจเฟสบุ๊ควัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) ที่มาร่วมงานทำบุญวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อเปิ่น ครอบรอบ ๑๔ ปี วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙

เปิดให้ลงชื่อยืนยันตัวตน-รับพระฯ ได้ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. - ๑๔.๐๐ น. ณ สำนักงานวัดบางพระ (หน้ากุฏิใหญ่)

จำกัดสิทธิ์แจกเฉพาะสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ และแฟนเพจเฟสบุ๊ควัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) เท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/๑ องค์)

หากยังมีพระเหลือจากการแจก จะนำมาแจกที่หน้าแฟนเพจวัดเฟสบุ๊คบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) ต่อไป.




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

24































































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

25
ภุมโม ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ณ วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม






พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี



พรครูสมบูรณ์จริยธรรม (หลวงพ่อแม้น อาจารสมฺปนฺโน) เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา


พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน "หลวงพ่อกำไร") รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม








พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต วัดโคกเขมา กับ พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ ธมฺมทินฺโน) เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม




พระอาจารย์สนธ์ วัดใหม่สุคนธาราม พระอาจารย์วัน วัดโคกเขมา หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ


พระครูธรรมธรชะออม ขนฺติโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


พระครูปฐมวราจารย์ (หลวงพ่ออวยพร ฐิติญาโณ) เจ้าคณะตำบลดอนยายหอม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม


หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม กับหลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก




















พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ (หลวงพ่อบุญสม ผลญาโณ) เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดสำโรง จ.นครปฐม


หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ กับ หลวงพ่อบุญสม วัดสำโรง























 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

26
วันเปิดงานประจำปีปิดทองสมโภชหลวงพ่อโต-หลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ประธานเปิดงาน



พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน "หลวงพ่อกำไร")
รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จ.นครปฐม













พระเทพมหาเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ.๙)
เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร












หลวงพ่อสำอางค์ มอบทุนการศึกษา


















พระครูธรรมธรชออม ขนฺติโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพระ รับทักษิณานุปทาน


พระอาจารย์ติ่ง สนฺตจิตฺโต แวะมาภายในงานประจำปีวัดโคกเขมา ๒๕๕๙

หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

27
วันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙










































































หมายเหตุ: ข้อมูลภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอก,ตัดต่อ เพื่อใช้ในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมีความประสงค์จะนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อ กรุณาให้เครดิต-วางลิ้งค์ที่มาของภาพ กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้สืบค้นอ้างอิงที่มาของแหล่งข้อมูลฯ

29


เปิดให้ร่วมบุญบูชาแล้วบนกุฏิใหญ่วัดบางพระ
เนื้อทองแดงรมดำ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๑๕๐ บาท

!!!เฉพาะวันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙ บูชาพานครู ๑๐๐ บาท
จะได้รับเหรียญไหว้ครู ๕๙ เนื้อทองแดงรมดำ ๑ เหรียญ!!!



30
วันจันทร์ที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๓๐ น. @กุฏิใหญ่ วัดบางพระ






























































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

31











:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ลอคเกตลูกอมเสือ บูชาครู ๒๕๕๙ (หลวงพี่ต้อยจัดสร้าง)
รายได้สมทบทุนซื้อรถพยาบาลฉุกเฉิน
มอบให้โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น

รายละเอียดการจัดสร้าง

๑. ลอคเกตลูกอมเสือ บูชาครู ๒๕๕๙ ฉากสีดำ จำนวนสร้าง ๒๐๐ อัน
    ร่วมบุญสั่งจองบูชาอันละ ๓๐๐ บาท


๒. ลอคเกตลูกอมเสือ บูชาครู ๒๕๕๙ ฉากสีแดง  จำนวนสร้าง ๒๐๐ อัน
    ร่วมบุญสั่งจองบูชาอันละ ๓๐๐ บาท


[shake]**หมายเหตุ** ด้านหลังลอคเกตลูกอมเสือ บูชาครู ๒๕๕๙ ทุกอัน อุดผงเก่าของหลวงพ่อเปิ่น + จีวรหลวงพ่อเปิ่น + ตะกรุด ๑ ดอก + สิงห์ (แกะจากกระดูกช้าง) ๑ ตัว[/shake]

เปิดให้ร่วมบุญสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย)

กำหนดรับลอคเกตลูกอมเสือ บูชาครู ๒๕๕๙ ได้หลังวันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เป็นต้นไป


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญในครั้งนี้
..สาธุ สาธุ อนุโมทามิ..

33

แจ้งข่าวสารประชาสัมพันธ์ ร่วมทำบุญกับหลวงพี่ต้อย เพื่อสมทบทุนสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ ณ วัดเวียงแก้ว จ.เชียงราย และสมทบทุนซื้อรถพยาบาล โดยสามารถร่วมบุญบูชาวัตถุมงคลเพื่อสมทบทุนโครงการงานบุญดังกล่าวได้ดังนี้

:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

๑. เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ปี ๒๕๓๗ เนื้อนวะโลหะ (กล่องเดิม) เปิดให้ร่วมบุญบูชาได้เลย เหรียญละ ๕,๐๐๐ บาท



:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

๒. ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่นเลื่อนยศ ปลดหนี้ ปี ๕๘ พิมพ์พิเศษ (หลังอุดผงยาจินดามณีเก่าของหลวงพ่อเปิ่น+ตะกรุดเงิน ๑ ดอก+เหรียญเม็ดกระดุมหลวงพ่อเปิ่น ปี ๒๕๔๓ จำนวน ๑ องค์+เหรียญเม็ดกระดุมหลวงพ่อเปิ่น ปี ๒๕๔๔ จำนวน ๑ องค์) เปิดให้ร่วมบุญบูชาได้เลย องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท


:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

๓. พระบูชาหลวงพ่อเปิ่น ฐานเสือคู่ หน้าตัก ๓ นิ้ว หลวงพี่ต้อยจัดสร้างจำนวน ๓๐๐ องค์ ร่วมบุญสั่งจององค์ละ ๑,๓๐๐ บาท รับพระได้ก่อนงานไหว้ครู ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙ (ยอดสั่งจองใกล้เต็มแล้ว)



:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

รายการวัตถุมงคลทั้งหมดนี้ ร่วมบุญบูชา และสั่งจองได้ที่หลวงพี่ปาด ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย วัดบางพระ ที่เดียวเท่านั้น (ไม่มีจัดส่งทางไปรษณีย์)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

อนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญในครั้งนี้ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

34

แจกรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์
แก่สมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ จำนวน ๑๕๐ ใบ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียด-พิธีกรรมอธิษฐานจิตปลุกเสก

จำนวนสร้างรูปใบเล็กรวม ๓,๐๐๐ ใบ โดยถวายหลวงพี่ติ่งไว้ ๒,๐๐๐ ใบ (รูปที่ถวายหลวงพี่ติ่งไว้ จะตัดภาพพื้นหลังออกบางส่วน)

อีก ๑,๐๐๐ ใบ (ภาพเดิมตามฟิล์มต้นฉบับ) แยกถวายแล้วบางส่วน เช่น ถวายหลวงพ่อสำอางค์, ถวายหลวงพี่ต้อย, ถวายหลวงพี่สุธี, นำไปแจกที่ประเทศจีน ฯ


รูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์นี้ ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก-มหาพุทธาภิเศก ๒ พิธี ดังนี้

วันพุธที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๙.๓๙ น. มหัทธโนฤกษ์ ณ อุโบสถวัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

รายนามพระคณาจารย์นั่งปรกอธิษฐานจิต
๑. พระครูวิบูลสิริธรรม (หลวงพ่อเพี้ยน) เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา จ.นครปฐม (ประธานจุดเทียนชัย)
๒. พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ (หลวงพ่อบุญสม) เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดสำโรง จ.นครปฐม (ประธานดับเทียนชัย)
๓. พระครูพิศาลสาธุวัฒน์ (หลวงพ่อทองคำ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม
๔. พระครูสิโรตม์สุวรรณารักษ์ (หลวงพ่อมานิตย์) รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดศรีษะทอง จ.นครปฐม
๕. พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม
๖. พระครูสถิตบุญเขต (หลวงพ่อบุญช่วย) เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
๗. พระครูพิจิตรสรคุณ (หลวงพ่อพร) เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว จ.นครปฐม
๘. พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา จ.นครปฐม


ภาพบรรยากาศพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม



































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ พระวิหารพระร่วงฯ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม (พิธี ๑๐๐ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ)

รายนามพระคณาจารย์นั่งปรกแผ่เมตตาจิต พิธีมหาพุทธาภิเศก ชุดแรก เวลา ๑๖.๐๐ น.
๑. พระครูเกษมปัญญาคม (หลวงพ่อยิ้ม) วัดโกสินารายณ์ จ.ราชบุรี
๒. พระครูวรพรตธาดา (หลวงพ่อทองสุข) วัดหนองปลาดุก จ.ราชบุรี
๓. พระครูสิริโพธิรักษ์ (หลวงพ่อยวง) วัดโพธิ์ศรี จ.ราชบุรี
๔. พระครูปัญญาวิภูษิต (หลวงปู่หนู) วัดไผ่สามเกาะ จ.ราชบุรี
๕. พระครูถาวรวิริยคุณ (หลวงพ่อคง) วัดเขากลิ้ง จ.เพชรบุรี
๖. พระครูวิมลชัยสิทธิ์ (หลวงพ่อล้อม) วัดไผ่รื่นรมย์ จ.นครปฐม
๗. พระครูสิริวรธรรมาภินันท์ (หลวงพ่อชูชาติ) วัดมะนาว จ.สุพรรณบุรี
๘. พระครูอดุลพิริยานุวัฒน์ (หลวงพ่อชุบ) วัดวังกระแจะ จ.กาญจนบุรี
๙. พระครูประพัฒน์วรกิจ (หลวงปู่ซ่วน) วัดเขาแดง จ.ประจวบคีรีขันธ์
๑๐. พระครูสังฆรักษ์กิติศักดิ์ วัดหุบตาโคตร จ.ประจวบคีรีขันธ์

รายนามพระคณาจารย์นั่งปรกแผ่เมตตาจิต พิธีมหาพุทธาภิเศก ชุดที่สอง เวลา ๑๘.๐๐ น.
๑. พระเทพญาณมงคล (หลวงป๋า) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี
๒. พระมงคลวรสิทธิ (หลวงพ่อยิ้ม) วัดลาดปลาเค้า จ.นครปฐม
๓. พระสิทธิญาณมุนี (หลวงพ่อสุรินทร์) วัดคูหาสวรรค์ กรุงเทพมหานคร
๔. พระโสภณพัฒนากร (หลวงพ่อจรัล) วัดใหญ่บางพลีใน จ.สมุทรปราการ
๕. พระครูสุวรรณสีลาธิคุณ (หลวงพ่อพูน) วัดบางแพน จ.พระนครศรีอยุธยา
๖. พระครูธรรมสารรักษา (หลวงพ่อป่วน) วัดบรรหารแจ่มใส จ.สุพรรณบุรี
๗. พระครูปภัสสรวรพินิจ (หลวงพ่อไพโรจน์) วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์
๘. พระครูภาวนาโสภณ (หลวงพ่อพร) วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี
๙. พระครูประยุตนวการ (หลวงปู่แย้ม) วัดสามง่าม จ.นครปฐม
๑๐. พระครูฌานวัชราภรณ์ (หลวงพ่อห่วย) วัดห้วยทรายใต้ จ.เพชรบุรี
๑๑. พระครูภาวนาวัชราภรณ์ (หลวงพ่อพฤหัส) วัดไร่มะม่วงราชดำริ จ.เพชรบุรี
๑๒. พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม
๑๓. พระครูปราโมทย์ปัญญาวัฒน์ (หลวงพ่อบุญเลิศ) วัดปราโมทย์ จ.สมุทรสงคราม
๑๔. พระครูเกษมสาธุวัฒน์ (หลวงพ่อสมชาย) วัดปรีดาราม จ.นครปฐม
๑๕. พระครูปฐมวราจารย์ (หลวงพ่ออวยพร) วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
๑๖. พระครูสมุห์อุเทน สิริสาโร วัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร


ภาพบรรยากาศพิธีมหาพุทธาภิเศก ณ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม


















































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

หมายเหตุ: ข้อมูล และภาพทั้งหมดนี้ ห้ามคัดลอกนำไปเผยแพร่ต่อ
เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในการซื้อขาย,แลกเปลี่ยน หรือประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาต

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมลงชื่อรับรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ

- สงวนสิทธิ์ในการแจกรางวัลครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมลงชื่อเพื่อรับรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ตั้งแต่ตอนนี้ เป็นต้นไป (โดยโพสตอบในกระทู้นี้เท่านั้น)

- สิทธิ์ในการได้รับรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ได้แก่ ผู้ที่ลงชื่อ ๗๕ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ผู้ที่ลงชื่อ ๗๕ ท่านแรก จะได้รับ รูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๒ ใบ (รวม ๒ ใบ/ ๑ ชื่อสมาชิกผู้ใช้งาน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อรับรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ทั้ง ๗๕ ท่าน กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรูปหลวงพ่อเปิ่น-พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ทั้ง ๗๕ ท่าน เมื่อได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมายธรรมดา) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


หมายเหตุ: หากปฏิบัติตามกติกาไม่ได้ กรุณาอย่าลงชื่อตอบกระทู้ เพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์แก่สมาชิกท่านอื่นที่สามารถปฏิบัติตามกติกาได้

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

35
[shake]ปิดการจอง (ยอดจองเต็มแล้วทุกรายการ)
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ : ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
[/shake]




ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่น เลื่อนยศ ปลดหนี้ (หลวงพี่ต้อยจัดสร้าง)
วัตถุประสงค์เพื่อสมทบทุนก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์
ณ วัดเวียงแก้ว ต.เมืองชุม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย
จัดสร้าง ๒ สี คือ
๑.ฉากสีขาวดำ ๒.ฉากสีน้ำตาล






มวลสารหลักที่ใช้อุดหลังลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่น เลื่อนยศ ปลดหนี้ ประกอบด้วย เม็ดยาจินดามณีเก่าของหลวงพ่อเปิ่น ปี ๓๖, พระผงหลวงปู่ทวดเนื้อผงยาจินดามณีวัดบางพระ ปี ๔๐, พระผงเก่าของหลวงพ่อเปิ่น ฯลฯ



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



***รายละเอียดการจัดสร้าง***


๑. ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่นเลื่อนยศ ปลดหนี้ รันนัมเบอร์ ๙๙๙ (หลังอุดผงยาจินดามณี+ตะกรุดทองคำจารมือ ๒ ดอก+เหรียญหล่อพิมพ์ปรกโพธิ์สะดุ้งกลับวัดบางพระเนื้อเงิน ปี ๓๕ จำนวน ๑ องค์+เกศาหลวงพ่อเปิ่น) เปิดให้ร่วมบุญสั่งจองสีละ ๓ องค์ (เต็มแล้ว)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




๒. ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่นเลื่อนยศ ปลดหนี้ รันนัมเบอร์ ๑-๙ (หลังอุดผงยาจินดามณี+ตะกรุดทองคำจารมือ ๑ ดอก+เหรียญหล่อพิมพ์ปรกโพธิ์สะดุ้งกลับวัดบางพระเนื้อเงิน ปี ๓๕ จำนวน ๑ องค์+เกศาหลวงพ่อเปิ่น) เปิดให้ร่วมบุญสั่งจอง "สีละ ๙ องค์" ร่วมบุญบูชาองค์ละ ๓,๕๐๐ บาท (เต็มแล้ว)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:





๓. ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่นเลื่อนยศ ปลดหนี้ (หลังอุดผงยาจินดามณี+ตะกรุดเงินแท้จารมือ ๑ ดอก+เหรียญเม็ดกระดุมหัวเสือ ๑ องค์+เหรียญเศียรหนุมานจิ๋ว ๑ องค์) เปิดให้ร่วมบุญสั่งจอง "สีละ ๑๕๙ องค์" ร่วมบุญบูชาองค์ละ ๕๐๐ บาท (เต็มแล้ว)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


***ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น รุ่น เลื่อนยศ ปลดหนี้ มีโค้ดกำกับทุกองค์***

เปิดให้ร่วมบุญสั่งจอง
ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ที่เดียวเท่านั้น (ยอดจองเต็มทุกรายการ ปิดรายการจอง : ๑๐ พ.ย. ๕๘)

กำหนดรับลอคเกตได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ตั้งแต่วันพุธที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เป็นต้นไป

อนุโมทนากับผู้ที่ได้ร่วมบุญทุกท่าน สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

37
คำถาม

๑)   วันไหว้ครู ลพ.เปิ่น ปี ๕๙ ตรงกับวันอะไร? วันที่เท่าไร? เดือนอะไร?
๒)   พิธีไหว้ครู ลพ.เปิ่น จัดขึ้นครั้งแรกที่วัดบางพระ พ.ศ. อะไร?
๓)   วันไหว้ครู ลพ.เปิ่น ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่มีการปลุกเสกวัตถุมงคลไปด้วย พ.ศ. อะไร?



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ของรางวัล

๑) พระผง ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ” สร้างถวาย)


๒) ผ้ายันต์ เก้ายอด ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ” สร้างถวาย)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบและประกาศผลรายชื่อผู้โชคดี ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ ต.ค. ๕๘ เวลา ๑๓.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- ผู้ที่ตอบคำถามถูกครบทั้ง ๓ ข้อ จะได้รับทั้ง ๒ รางวัล (พระผง ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ” สร้างถวาย) จำนวน ๑ องค์ และ ผ้ายันต์ เก้ายอด ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ” สร้างถวาย) จำนวน ๑ ผืน)  

- ผู้ที่ตอบคำถามถูก ๑ - ๒ ข้อ จะได้รับ พระผง ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ” สร้างถวาย) จำนวน ๑ องค์

- ให้มารับรางวัลกับ “ผู้การเสือ” ในวันเสาร์ที่ ๑๐ ต.ค. ๕๘ เวลา ๑๓.๐๐ น. - ๑๔.๐๐ น. ณ "ศาลาชาติ ศาสน์ กษัตริย์" วัดบางพระ (รับรางวัลแทนกันไม่ได้)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


หมายเหตุ

ผู้ใดทายถูกไม่ว่ากิจกรรม “สิบทัศน์” ครั้งที่เท่าใด (มาไม่พบ หรือมาไม่ได้) ก็จะให้สิทธิ์แสดงตนมารับรางวัลได้ครับ


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๑๒
(แผ่นจาร (นิรนาม) พี่ผอม (กุฎิ ลพ.ต้อย) มอบให้ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว)

พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๑๓ (ภายในพิพิธภัณฑ์ฯ)


พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๑๔ (ชาติ ศาสน์ กษัตริย์)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

38
วันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ณ กุฏิใหญ่ วัดบางพระ
























40
งานบุญวันแม่แห่งชาติช่วงเช้า ณ ที่ว่าการอำเภอนครชัยศรี

























:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




กิจกรรมงานบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อเปิ่น อายุครบ ๙๒ ปี




























































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




ของฝาก เก็บภาพมาให้ชม..


สรรพตำราของหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


หนังเสือ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อสำอางค์ที่เมตตา


ตะกรุดใบลาน ๓ ห่วง ผ้าขาวห่อศพ กราบขอบพระคุณหลวงตา..


เหรียญหลวงพี่ติ่ง รุ่น ๑ ที่ระลึกร่วมบุญกับท่าน




พระปรกโพธิ์สะดุ้งกลับเนื้อดิน,เหรียญกษาปณ์ตอกโค้ด,แหวนหัวเสือเนื้อเงิน (หลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิต)
กราบขอบพระคุณหลวงพี่..





ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น ที่ระลึก ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ ขอบคุณพี่เอที่เป็นธุระให้ครับ





สมเด็จหลวงพ่อเปิ่นตะกรุดทองคำ,หลวงปู่ทวดเนื้อผงยาจินดามณี,เหรียญหลวงพ่อสำอางค์รุ่นแรก,เจ้าสัว ๓
ขอบคุณทุกๆ มิตรภาพที่มีให้กันเสมอมา..




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:





กิจกรรมรับรางวัลจากผู้การเสือ (ภาพโดยคุณ PANUWIT)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



อนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่าน สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ภาพเพิ่มเติมไว้ลงให้ชมอีกครั้ง)

41
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake]



ด้วยวันที่ ๑๒ ส.ค. ๕๘ เป็นวันสำคัญของเหล่าลูกศิษย์ ลพ.เปิ่น จะมาร่วมชุมนุมแสดงความกตัญญูต่อพระอาจารย์ทั้งหลายนั้นคือ “วันเกิดลพ.เปิ่น”


คำถาม
๑) วันที่ ๑๒ ส.ค. ๕๘ ถ้า ลพ.เปิ่นยังมีชีวิตอยู่จะมีอายุเท่าไร?

๒) พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถหลังเก่าของวัดบางพระ จ.นครปฐม มีนามว่าอะไร?

๓) พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถหลังใหม่ของวัดบางพระ จ.นครปฐม มีนามว่าอะไร?

๔) เหตุใด ลพ.เปิ่น จึงหยุดสักให้ลูกศิษย์? และท่านหยุดสักให้ลูกศิษย์เมื่อ พ.ศ. ใด?



ของรางวัล
๑) พระผง ลพ.เปิ่น รุ่น “ผู้การเสือ ๗๐”


๒) วัตถุมงคลหลายอย่างที่ “สิบทัศน์” มอบมาให้ (ของรางวัลจากกระทู้นี้.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31247 )



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบและประกาศผลรายชื่อผู้โชคดี ในวันจันทร์ที่ ๑๐ ส.ค. ๕๘ เวลา ๑๒.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- ผู้ใดรู้ตัวเองว่าทายถูกกี่ข้อก็จะได้รับรางวัลเท่านั้นชิ้น (มีสิทธิ์เลือกรับรางวัลใดก็ได้ ตามจำนวนข้อที่ท่านตอบคำถามถูก)

- ให้มารับรางวัลกับ “ผู้การเสือ” ในวันพุธที่ ๑๒ ส.ค. ๕๘ (วันคล้ายวันเกิด ลพ.เปิ่น) เวลา ๑๒.๐๐ น. - ๑๓.๐๐ น. ณ "ศาลาชาติ ศาสน์ กษัตริย์" วัดบางพระ (รับรางวัลแทนกันไม่ได้)



หมายเหตุ
ผู้ใดทายถูกไม่ว่ากิจกรรม “สิบทัศน์” ครั้งที่เท่าใด (มาไม่พบ หรือมาไม่ได้) ก็จะให้สิทธิ์แสดงตนมารับรางวัลได้ครับ


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๙


พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๑๐ (ลพ.ญา มอบให้เมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว)


พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๑๑ (ลายมือ ลพ.นัน ที่งดงามมาก)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

42
วันพุธ (วุโธ) ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เดินทางออกจากวัดบางพระ เวลา ๘.๐๐ น.



ถึงวัดสวนหมาก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น.







เมื่อเดินทางไปถึงวัดสวนหมากแล้ว หลวงพี่แป๊วท่านก็ได้พาไปกราบหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอคอนสาร ณ วัดป่าเรไร










เมื่อกราบคาราวะหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอคอนสารแล้ว ก็เดินทางกลับมายังวัดสวนหมาก

จากนั้นหลวงพี่สุธี ตัวแทนคณะสงฆ์วัดบางพระ ได้ทำการถวายเทียนจำนำพรรษาพร้อมเครื่องบริวารทั้งหลายแด่หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดสวนหมาก และหลวงพี่แป๊ว ตามลำดับ















บรรยากาศภายในวัดสวนหมาก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ





































ผ้ายันต์หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ที่บ้านโยมของหลวงพี่แป๊ว (เขตจังหวัดขอนแก่น)

พักค้างที่วัดสวนหมาก ๑ คืน แล้วเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
กลับถึงวัดบางพระเวลา ๑๙.๓๐ น. โดยสวัสดิภาพ


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

43
วันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๖.๓๙ น. (ราชาฤกษ์) ณ กุฏิพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น)

(สืบเนื่องจากกระทู้.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31270 )






































































44
เกริ่นนำ

        ด้วย “ผู้การเสือ” จะมีอายุครบ ๗๐ ปี ใน ๓ ปีข้างหน้านี้ จึงดำริที่จะสร้างบุญอันยิ่งใหญ่เป็นพุทธบูชาถวายแด่ ลพ.เปิ่น ที่เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายเคารพบูชา จึงสร้าง

        ๑. พระผงหลวงพ่อเปิ่น (รุ่นผู้การเสือ ๗๐) จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ (สร้างในครั้งแรกนี้ ๖๐,๐๐๐ องค์) โดยได้รับความเมตตาจากหลวงรวย (วัดเขาวงษ์หนองม่วง จ.ลพบุรี) ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของ ลพ.เปิ่น ได้ดำเนินการจัดสร้าง (“ผู้การเสือ” ออกแบบ) โดยมีมวลสาร    
            ๑) ว่าน ๑๐๘
            ๒) ผงอิทธิเจ
            ๓) ดอกบัว ๘๔,๐๐๐ ดอก (จาก จ.นครปฐม)

        ๒. ผ้ายันต์ ๙ ยอด ลพ.เปิ่น จำนวน ๑,๐๐๐ ผืน โดยได้นำจีวรของท่านเจ้าคุณราชญาณกวี วัดพระราม ๙ มอบให้เพื่อใช้ในการจัดสร้าง (พระอาจารย์สมัครกำลังดำเนินการให้อยู่) คาดว่าแล้วเสร็จ ๑๒ ส.ค ๕๘ นี้

        ๓. วันเสาร์ ที่ ๑๘ ก.ค. ๕๘ นี้ (เวลา ๑๖.๑๙ น. "ราชาฤกษ์") จะทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวโดย ลพ.เปิ่น ณ กุฎิใหญ่ (ได้ขออนุญาตจากท่านเจ้าอาวาส, ลพ.ญา, ลพ.นัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

        ๔. หลังเสร็จพิธี จะแจกให้ทุกๆคน คนละ ๑ องค์ (นำฤกษ์)

        ๕. ขออนุโมทนาบุญ ให้ลูกศิษย์ ลพ.เปิ่น ทุกท่านได้บุญกุศลในกาลครั้งนี้ ทุกท่าน...เทอญ



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

 
“ผู้การเสือ” ออกแบบองค์พระ


        ๑. ลพ.เปิ่น นั่งสมาธิอยู่บนหน้าเสือ และนั่งอยู่บนก้อนเมฆ (อันเกิดจากนิมิตขณะปฏิบัติสมถกรรมฐาน ในโบสถ์เก่า เมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว)

        ๒. เขียนว่า "หลวงพ่อเปิ่น" มีตัว "นะ" อยู่ซ้ายขวา

        ๓. ด้านหลัง เป็นยันต์แม่ทัพ อันลือชื่อของวัดบางพระ ลพ.เปิ่น จะสักให้เฉพาะเป็น ตำรวจ-ทหารเท่านั้น เขียนว่า “ผู้การเสือ ๗๐ ถวาย”

        ๔. ทุกองค์พระไม่เหมือนกันเลยทุกองค์ ขึ้นอยู่กับ กลีบดอกบัวที่บังเกิดขึ้น และมีกลิ่นหอมของดอกมะลิ 

        ๕. แกะ Block ด้วย Laser ตัวนูน คมชัดมาก ใช้โรงงาน (นครสวรรค์) มือ Pro ปั๊มโดยคัดไม่สวยออกทั้งหมด ใช้เวลาเตรียมการนี้ ประมาณ ๓ เดือน (ใช้เวลาขึ้นล่อง ลพบุรี/นครสวรรค์/วัดบางพระ) อยู่หลายเที่ยว จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น สมเจตนารมณ์ ของทุกๆพระอาจารย์ที่ให้คำปรึกษา ตลอดมา

        ๖. ไม่มีจำหน่าย (แจกฟรี) เฉพาะลูกศิษย์ ลพ.เปิ่น ในโอกาสต่างๆ ต่อไป




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




รูปที่ ๑ “ผู้การเสือ” วันไหว้ครู หลวงรวย วัดเขาวงษ์หนองม่วง จ.ลพบุรี (๒๑ มิ.ย. ๕๘)




รูปที่ ๒ พระผงหลวงพ่อเปิ่น (รุ่นผู้การเสือ ๗๐)




รูปที่ ๓ ผ้ายันต์ ๙ ยอด ลพ.เปิ่น (รุ่นผู้การเสือ ๗๐)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

45
เริ่มจากกุฏิหลวงพี่ต้อย

จัดกิจกรรมแจกไข่+น้ำมัน แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ ๗๐ ปีขึ้นไป ที่เข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ จำนวน ๓๐๐ ชุด







ภาพเพิ่มเติมจากหลวงพี่ตี๋




















ออกร้านอาหารใต้ศาลาการเปรียญ









46
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake]



เมื่อวันที่ ๑ ม.ค. ๕๗ “ผู้การเสือ” ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์ที่ได้รับความศรัทธาจากลูกศิษย์วัดบางพระ ได้เขียนยันต์ลงไว้ในสไบ (เพื่อใช้ในโอกาสสำคัญ)


คำถามชุดที่ ๑ :
ภาพยันต์ที่ ๑ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๒ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๓ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๔ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๕ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๖ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๗ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?
ภาพยันต์ที่ ๘ เป็นลายมือของพระอาจารย์ท่านใด?



















:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




อริยะสงฆ์ ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา อย่างสูงมากมาก
(กราบที่วัด ๒ ครั้งและที่ศิริราชอีก ๒ ครั้ง)


คำถามพิเศษ (โบนัส) : ใครที่กราบ ลพ.คูณ และขอให้ ลพ.คูณทำอะไรให้ ลพ.คูณ ท่านก็จะช่วยสงเคราะห์ทำให้ทุกอย่าง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ ลพ.คูณ ท่านจะไม่ทำให้อย่างเด็ดขาด

คำถาม? สิ่งที่ ลพ.คูณ จะปฏิเสธไม่ทำให้อย่างเด็ดขาดนั้น คืออะไร?

รางวัลของคำถามพิเศษ (โบนัส) : ๑๐ ท่านแรกที่ตอบคำถามพิเศษได้ถูกต้อง จะได้รับ ผ้ายันต์ ลพ.เปิ่น (“ผู้การเสือ”ทำถวาย แจกเมื่ออายุ ๖๐) จำนวน ๑ ผืน / ๑ ท่าน



รายการของรางวัล


เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ย้อนยุครุ่น ๑ วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) เนื้อทองฝาบาตร จำนวน ๓ เหรียญ




เหรียญพรหมวิหารหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๗ เนื้อนวะโลหะ จำนวน ๓ เหรียญ




ผ้ายันต์หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จำนวน ๓ ผืน




เหรียญหลวงพ่อโต วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) รุ่น "ยกฐานะ" เนื้อทองฝาบาตร ด้านหลังลายมือหลวงพ่อเปิ่น จำนวน ๓ เหรียญ




ผ้ายันต์ราหู บูชาครู ๕๘ วัดบางพระ จำนวน ๓ ผืน




ยันต์จีวรหลวงพ่อสำอางค์ พรรษา ๕๗ จำนวน ๓ แผ่น




ลูกสะกดถักเชือกผูกข้อมือ หลวงพ่อเอนก วัดปรีดาราม จ.นครปฐม จำนวน ๓ เส้น




รูปหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม (หลวงพ่ออวยพรสร้าง) จำนวน ๓ รูป




รูปหล่อพระอุปคุต วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จำนวน ๓ องค์




รููปหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เสาร์ ๕ พ.ศ.๒๕๒๘ จำนวน ๓ รูป




ผ้ายันต์เกราะเพชร บูชาครู ปี ๕๖ วัดโพธิ์ บางระมาด ตลิ่งชัน กทม. จำนวน ๓ ผืน


ลอคเกต (รูปกระดาษเคลือบ) หลวงพ่อโต วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จำนวน ๓ องค์




เหรียญเสมาหลวงปู่นาค-หลวงปู่เสงี่ยม ฉลองอายุ ๙๐ ปี วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม จำนวน ๔ เหรียญ



ของรางวัลจากผู้การเสือ..


ลพ.ทันใจ (ฝังข้าวสารหิน) หลวงพ่อรวย วัดเขาวงษ์หนองม่วง จ.ลพบุรี จำนวน ๑๐ องค์
และพระผงฤาษี (ไหว้ครู ลพ.เปิ่น ๕๘) หลวงพ่อรวย สร้างถวายวัดบางพระ จำนวน ๑๐ องค์



รวมของรางวัลทั้งหมด ๖๐ ชิ้น



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบและประกาศผลรายชื่อผู้โชคดี ในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๒.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- ๒๐ ท่านแรก ที่ตอบคำถามชุดที่ ๑ ถูกทั้งหมด มีสิทธิ์เลือกรับรางวัลใดก็ได้ (ท่านละ ๒ รางวัล)

- ผู้ที่ตอบคำถามชุดที่ ๑ ถูกแต่ไม่ครบทุกข้อ (ตอบถูกจำนวนข้อลดหลั่นลงมา) มีสิทธิ์เลือกรับรางวัลใดก็ได้ จำนวน ๑ รางวัล (ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นี้คือ ๒๐ ท่านแรก ต่อจากผู้ที่ตอบคำถามชุดที่ ๑ ถูกครบทุกข้อ)

- ให้มารับรางวัลกับ “ผู้การเสือ” ในวันอังคาร ที่ ๓๐ มิ.ย. ๕๘ (วันคล้ายวันมรณภาพ ลพ.เปิ่น ปีที่ ๑๓) เวลา ๑๒.๓๐ น. ที่ศาลาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (รับรางวัลแทนกันไม่ได้) อุปเท่ห์ ต้องการให้มาร่วมกันทำบุญและ พี่น้องจะได้เจอะเจอกันในวันสำคัญนี้



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๗
ขนาด ๑.๖๐ ม. x ๑ ม. เขียนมือโดย ลพ.สมัคร



พิพิธภัณฑ์ “ผู้การเสือ” รูปที่ ๘
จีวรชุดใหญ่ ลพ.เปิ่น (ลพ.นัน มอบให้เมื่อกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

47

























































หลวงพี่ต้อยได้มอบให้แก่คณะผู้บริหาร ตัวแทนแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น
"ยอดรวมผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนสร้างอาคารโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น
ณ เวลา ๑๒.๐๙ น. ของวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
๑,๐๓๙,๔๙๑.๕๐ บาท (หนึ่งล้านสามหมื่นเก้าพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทห้าสิบสตางค์)"
อนุโมทนา สาธุ











ท้ายสุด..ส่งมอบวัตถุมงคล (กว่า ๓๐ ชิ้น) ให้พี่หนึ่ง "ผู้การเสือ"
เพื่อนำไปแจกเป็นรางวัลในกิจกรรมครั้งต่อไป เร็วๆ นี้
"๓๐ มิถุนายน วันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อเปิ่น"

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

48
นิตยสารผาสุก
ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๑๘๒
มกราคม - เมษายน ๒๕๕๗
ISSN 0125 - 0796



คอลัมน์คุยแบบไทย (น.๒๐ - ๒๓)
เรื่อง : “ปั้นหยา” ภาพ : “พีพี”




อาจารย์ทอง สนธิรอด “สักยันต์” สักศรัทธาแห่งความดี



   “สักยันต์” พิธีกรรมความเชื่อทางไสยศาสตร์อีกรูปแบบหนึ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน การใช้เข็มเหล็กแหลมจุ่มน้ำมันแทงสักลงอักขระลายเส้นบนร่างกายกำกับคาถาอาคมเสกเป่า ด้วยความเชื่อในคุณอำนาจลายสักยันต์แต่ละประเภทที่ให้ผลแตกต่างกันไป เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาดหนังเหนียว นับเป็นพิธีกรรมที่มีมาแต่โบร่ำโบราณย้อนกลับไปถึงสมัยสุโขทัย จนถึงปัจจุบัน การสักยันต์ก็ยังคงเป็นศาสตร์ที่ได้รับความนิยมศรัทธาอย่างมากในหมู่คนไทยที่มีความเชื่อ เพื่อเป็นการเปิดสมองทางความเชื่อเกี่ยวกับการสักยันต์ นิตยสารผาสุกจึงขออนุญาตพูดคุยกับ “อาจารย์สัก” ที่ถือว่าเป็น “รุ่นใหญ่” ของวงการ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง นั่นคือ อาจารย์ทอง สนธิรอด หรือที่เรียกกันในหมู่ผู้นิยมสักยันต์ว่า “อาจารย์ทอง ตลาดพลู”



ผาสุก – ก่อนอื่นต้องถามเกี่ยวกับชีวิตของอาจารย์ว่ามาเป็นอาจารย์สักยันต์ได้อย่างไร
อ.ทอง – “ผมเริ่มสนใจการสักยันต์ตั้งแต่สมัยเด็กๆ พอดีแถวบ้านมีอาจารย์สักยันต์ มีลูกศิษย์ลูกหาเข้าออกสักยันต์อยู่เป็นประจำจนรู้สึกสนใจ ก็เข้าไปดู ก็ชอบ จากนั้นจึงเฝ้าดูการสักมาตลอด เรียกว่าติดตามเลยดีกว่า เพราะเวลาที่รู้ข่าวว่ามีอาจารย์สักคนไหนเก่งๆ ก็มักจะไปเฝ้าดูการสักยันต์ของอาจารย์ท่านนั้น พอสบโอกาสก็เข้าไปพูดคุยกับท่าน ขอวิชาอะไรต่างๆ นานา
   กระทั่งหลังบวช ผมตั้งใจร่ำเรียนวิชาสักยันต์ อักขรวิธีต่างๆ ตลอดจนวิชาคาถาอาคมอย่างเป็นจริงเป็นจัง อาจารย์ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับผมมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ฮะ วัดใหญ่ศรีสุพรรณ อาจารย์เที่ยง น่วมมานา วัดสุวรรณาราม ก็อาศัยเป็นลูกศิษย์ท่าน เก็บวิชาความรู้ไปเรื่อยๆ หลังๆ อาจารย์ท่านก็ไว้วางใจให้เราสักยันต์ไปด้วย ตอนนั้นก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย กระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๐ ผมเปิดสำนักสักยันต์ขึ้นที่บ้านตัวเอง เพราะคนที่อยากสักกับเรามีเยอะ การที่เราทำงานไปด้วย สักยันต์ไปด้วย ทำให้ไม่สามารถสงเคราะห์พวกเขาได้อย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจเปิดสำนักมาจนถึงปัจจุบัน”




ผาสุก – การสักยันต์ในมุมมองของอาจารย์คืออะไร
อ.ทอง – “เป็นไสยศาสตร์แขนงหนึ่ง เป็นวิชาการที่ต้องใช้เรื่องพลังจิต คาถาอาคม การเสกเลขยันต์ต่างๆ ต้องใช้ความตั้งมั่นในจิต การสักยันต์จะสำเร็จสมบูรณ์ได้ต้องประกอบด้วยจิตและคาถาของผู้ลงเข็มส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่คนถูกสักที่ต้องมีจิตศรัทธาพ้องกัน คือมีความเชื่อในเรื่องนี้ อาจต้องการความเป็นสิริมงคล หรือต้องการอาคมขลังติดตัวไว้เพื่อช่วยป้องกันภยันตรายต่างๆ ซึ่งเลขยันต์แต่ละแบบที่สักลงไปจะให้คุณที่แตกต่างกัน เช่น สักยันต์ ๘ ทิศเพื่อต้องการคุณด้านหนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน หรือสักยันต์ ๕ แถวเพื่อเป็นการเสริมดวง”



ผาสุก – การสักยันต์สามารถให้ผลเช่นนั้นกับผู้สักได้จริงหรือ อย่างสักยันต์ ๕ แถวไปแล้วจะช่วยส่งเสริมดวงให้ดีขึ้นได้ มีข้อพิสูจน์อะไรหรือเปล่า
อ.ทอง – “จริงๆ แล้วตรงนี้ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก พูดตามตรง พิสูจน์ไม่ได้หรอก ขึ้นชื่อว่าไสยศาสตร์แล้ว การพิสูจน์เป็นเรื่องยาก เป็นความเชื่อความศรัทธา ได้ผลจริงหรือไม่อยู่ที่คนมาสักเองว่าเขามีความเชื่อแค่ไหน คนที่จะมานั่งให้สักตรงนี้คือต้องมาด้วยความศรัทธา ถามว่าได้ผลแค่ไหน สักแล้วจะเป็นยังไง ป้องกันอะไรได้ขนาดไหน ตรงนี้ตัวผู้สักต้องปฏิบัติเองถึงจะรู้ มองด้วยตาเปล่ามันยาก อยู่ที่การปฏิบัติหลังจากที่สักไปแล้ว เหมือนกับการห้อยพระ ๒ องค์เหมือนกัน องค์หนึ่งยังไม่ได้ปลุกเสก แต่อีกองค์ปลุกเสกแล้ว คุณจะเอาองค์ไหน ก็ต้องเอาที่ปลุกเสกแล้วเพราะความเชื่อในเรื่องพุทธคุณ การสักก็เช่นเดียวกัน พิสูจน์ไม่ได้หรอกว่ามีผลอะไรแค่ไหน เป็นเรื่องของความเชื่อแต่ละบุคคล ผมเองเป็นอาจารย์สักมาเกือบ ๔๐ ปีแล้ว แต่ก็ไม่กล้าคุยมากว่าสักไปแล้วจะเป็นยังไง หนังเหนียวขนาดไหน คงพูดไม่ได้”



ผาสุก – ถ้าพูดถึงความนิยมในการสักยันต์ เปรียบเทียบระหว่างสมัยก่อนที่เริ่มเป็นอาจารย์สักใหม่ๆ กับสมัยนี้ความนิยมในช่วงไหนดีกว่ากัน
อ.ทอง – “สมัยนี้คนมาสักเยอะขึ้น อาจด้วยกระแสตามสื่อต่างๆ ทำให้คนรู้สึกสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้นิยมสักกันเยอะ ต่างจากสมัยก่อนซึ่งคนที่มาสักส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ เพราะเขาจะเข้าใจเรื่องนี้มากพอสมควรถึงเข้ามาสัก แต่เดี๋ยวนี้มีหมดทั้งผู้ชาย ผู้หญิง วัยรุ่น เพราะกระแสนี่แหละ บางอาจารย์อาจมีดาราไปสัก คนก็ตามเข้าไป ดังนั้น สมัยนี้คนที่มาหาเราจึงไม่ใช่คนที่มาสักเพื่อพุทธคุณ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บางคนสักตามเพื่อน สักตามดารา หรือสักเพราะอยากสวยงามก็มี เจออยู่บ่อยๆ ประเภทจู้จี้จุกจิก เอานู่นเอานี่ เอาสวยๆ อย่างว่าบางคนอาจสักไปเพื่อโชว์ความสวยงาม อาจคิดว่าเป็นงานศิลปะบนร่างกาย แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเราไม่ใช่แบบนั้น เราอยากสักให้คนที่มาสักเพราะความศรัทธา เพราะผลของพุทธคุณ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและการปฏิบัติตัวหลังสักด้วย”



ผาสุก – แสดงว่าการสักยันต์ไม่ใช่แค่การลงเข็มให้เป็นอักขระเท่านั้น แต่ยังต้องประกอบด้วยการปฏิบัติตนของผู้สักหลังจากนั้นด้วย
อ.ทอง – “ใช่ คือสักเสร็จแล้วไม่ใช่ว่าคุณจะไปทำตัวยังไงก็ได้ ไปตีรันฟันแทง ข่มเหงรังแกใครก็ได้ แบบนั้นพุทธคุณไม่ปกป้องหรอกครับ มีข้อห้ามข้อพึงระวังหลายอย่างเกี่ยวกับการสัก เช่น สักแล้วต้องประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรม ห้ามเสพของมึนเมา หรือห้ามผู้หญิงข้ามตัว ห้ามลอดราวตากผ้า อย่างนี้เป็นต้น แล้วข้อพึงระวังทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้สักต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
   ข้อห้ามเหล่านี้เหมือนเป็นกุศโลบายที่จะคุมประพฤติคนไว้ก่อน เพราะคนเราถ้าสักไปแล้วโดยที่ไม่มีข้อห้ามเลย ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก บางทีไปทำผิดข้อห้าม เช่น ไปด่าพ่อล่อแม่คนอื่น ก็จะเกิดปัญหา ซึ่งถ้าเรามีของแล้วเราต้องระวังตัวมากขึ้น อย่าด่าแม่เขา อย่าเป็นชู้กับเมียเขา ต้องอยู่ในศีลในธรรม ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเมื่อสักแล้วเราต้องเป็นคนดี ปฏิบัติดี อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าอาจารย์เก่ง จะทำอะไรก็ได้ ไม่ได้ครับ ผมจึงคิดว่าข้อห้ามเหล่านี้สำคัญ ถ้าไม่มีข้อห้ามเลยก็ไม่รู้จะสักเพื่ออะไร เราต้องเชื่อและปฏิบัติตามข้อพึงระวังที่อาจารย์ท่านบอกเอาไว้ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าสักเลย เจ็บตัวเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์ สักแล้วต้องได้ประโยชน์ ต้องเข้าใจในสิ่งที่ทำว่ามีประโยชน์อย่างไร ดีอย่างไร เสียอย่างไร ไม่ใช่สักตามเขาว่า แบบนั้นไม่ได้อะไรหรอก ได้แค่ความพอใจชั่วขณะหนึ่ง พอนานไปก็เบื่อ
   บางคนที่มาสักด้วยความศรัทธา เขามีความภูมิใจเหมือนมีของมงคลอยู่ในตัว จะไปไหน ทำอะไรก็รู้สึกแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะหลังจากที่สัก เขาประพฤติตนในกรอบที่วางเอาไว้ อยู่ในศีลในธรรม ห้อยพระผมว่ามันเป็นวัตถุมงคลที่เคลื่อนย้าย สามารถถอดได้ เปลี่ยนได้ เดี๋ยวเบื่อองค์นี้ องค์นี้กำลังเป็นกระแสนิยม ฮิตมาก ก็เอามาห้อยตามไป แต่การสักเราเลือกแล้ว เอาออกไม่ได้ มันอยู่กับเราตลอดชีวิต ดังนั้น คนที่มาสักต้องมีความมั่นใจ สักด้วยความมั่นใจ เชื่อมั่นจริง ศรัทธาจริง ถ้าจะมาคิดว่าเป็นเรื่องตลก เป็นของสวยของงาม ผมว่ากลับไปก่อนดีกว่า”


ผาสุก – ตอนนี้เรียกง่ายๆ ว่าอาจารย์สักยันต์เป็นอาชีพ และเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับความเชื่อ ความศรัทธา อาชีพนี้หล่อเลี้ยงเราได้แค่ไหน และเป้าหมายในวิชาชีพของอาจารย์คืออะไร
อ.ทอง – “เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผมยอมรับว่าทำภายใต้ความเชื่อความศรัทธาของผู้คน แต่พูดตามตรงนะ ผมไม่ค่อยได้เงินได้ทองเท่าไหร่หรอก ถ้าสักแล้วรวย ผมจะมาอยู่ในสำนักบ้านไม้แบบนี้เหรอ แล้วการสักไม่ใช่สบายนะ เหนื่อย แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่เข้ามา เขาอยากให้เราสักให้เพราะความศรัทธา ดังนั้น ทุกครั้งผมจึงมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ไม่ใช่ว่าเอาเงินอย่างเดียวแล้วสักไปเรื่อยเฉื่อย จริงๆ อายุการทำงาน ๓๘ ปี ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้ว ถ้าคนไม่ศรัทธา หรือเราไม่มีดีอะไรเลย อยู่ไม่ได้ถึงป่านนี้หรอกครับ มีอาจารย์ที่เก่งกว่านี้อีกเยอะ ส่วนตัวคิดว่าเป็นคนที่ตั้งใจคนหนึ่งในการทำงานให้กับลูกศิษย์ลูกหา มอบความปรารถนาดีให้ ไม่ใช่ว่าทำแบบมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือทำเพราะอยากร่ำรวย ถ้ารวยผมรวยไปนานแล้ว
   ผมทำตามอุดมการณ์ครับ ทำตามแนวทางเดิมของครู ครูสอนอะไรมา เราก็ทำ อย่าไปทำเพื่อหวังร่ำหวังรวย อย่าไปกอบไปโกย อย่าไปเรียกร้อง เอาแค่ค่าครูพออยู่ได้ ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่าต้องมีค่าครู เพราะผมก็คน ต้องกินข้าว ต้องใช้ชีวิต เงินค่าครูที่ได้มาคือเพื่อยังชีพเรา เลี้ยงครอบครัว แต่เขาก็ได้ความสุขความสบายใจจากตรงนี้ไป ถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่ทำตามประเพณีที่ครูบาอาจารย์ทำสืบต่อกันมา เขาจะใส่ค่าครูเท่าไหร่ก็ใส่มาตามศรัทธา ไปเรียกร้องไม่ได้
   ทุกวันนี้ก็พยายามตั้งใจทำอย่างดีที่สุด เพราะอาจารย์สักไม่ได้มีผมคนเดียว ทุกวันนี้รุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน ขึ้นมาเป็นอาจารย์เยอะแยะ ผมตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นรุ่นใหญ่ในวงการ ดังนั้นต้องทำให้ดี ให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง สะท้อนสิ่งดีๆ ออกไปให้มากที่สุด เพื่อคนรุ่นหลัง อยากอนุรักษ์การสักตรงนี้ไว้ให้ตรงตามจุดประสงค์ของครูบาอาจารย์ สักเพื่อศรัทธา เพื่อความดีงาม และเป็นมรดกทางวัฒนธรรม”




ผาสุก – ทุกวันนี้ ความเชื่อเรื่องการสักไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะคนไทย หรือคนในประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังแพร่ขยายความนิยมไปยังชาวต่างชาติอื่นๆ อีกด้วย เช่น คนจีนหรือฝรั่ง ทุกวันนี้ก็เห็นพวกเขามาสักยันต์ที่เมืองไทยกันเยอะ
อ.ทอง – “คนต่างชาติที่เข้ามาช่วงนี้ ที่เยอะก็จะเป็นคนจีน คนฮ่องกง ไต้หวัน พวกนี้ชอบสักกันเยอะ บางทีมาเป็นทัวร์เลยก็มี จุดประสงค์ก็หลายๆ อย่างกันไป อาจจะตามกระแส ตามความนิยม หรืออะไรก็ว่ากันไป ตามความศรัทธาก็มีบ้าง แต่เสียตรงที่เราคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง หมายความว่าเราอยากสอนเขาให้มากกว่านี้ แต่สื่อสารไม่ได้ จริงๆ ถ้าสื่อสารกับเขาได้ เขาจะเข้าใจสิ่งพวกนี้มากขึ้น ได้ประโยชน์มากขึ้น ถึงจะคุยผ่านล่าม แต่บางคนก็แปลผิดๆ ถูกๆ ไม่เข้าใจหลักการปฏิบัติหลังจากการสัก การสวดมนต์ไหว้พระ ข้อควรระวัง ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร อยากให้เขาได้รับรู้สิ่งเหล่านี้มากกว่า เพราะขนาดคนไทยที่พูดกันง่ายยังไม่ค่อยทำกันเลย”

ผาสุก – สุดท้ายนี้ อยากให้อาจารย์ฝากคำแนะนำเกี่ยวกับการสักยันต์ให้กับผู้อ่านสักหน่อย
อ.ทอง – “ที่ผมอยากเน้น ไม่ใช่เรื่องการสักหรือเรื่องการลงยันต์อักขระอะไร เพราะนั่นไม่สำคัญเท่ากับตัวบุคคลผู้สัก ของจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่การสักเลขยันต์เพียงเท่านั้น ต้องประกอบกับการประพฤติตนของบุคคลนั้นด้วย ถ้าปฏิบัติตัวดี อยู่ในศีลในธรรม ไม่ละเมิดข้อห้าม ความขลังก็จะอยู่ติดตัวไปตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่สามารถปฏิบัติตัวให้ดีตามข้อกำหนดได้ ก็เหมือนไปเจ็บตัวเปล่าๆ มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติของแต่ละคน
   คนเรามีรักตัวกลัวตาย มีหนาวมีร้อน มีกิเลสตัณหาเหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าจะควบคุมตัวเองได้แค่ไหน นี่คือสิ่งที่ผมสอนเน้นลูกศิษย์เสมอ ว่าสักไปแล้วต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม เพราะการสักยันต์คือพุทธคุณ ซึ่งพุทธคุณจะอยู่ได้ด้วยความดี ผมไม่สอนหรอก ว่าถ้าภาวนาคาถาบทนี้จะกันปืน คาถานี้กันมีด สักยันต์นี้ไม่ต้องกลัวใคร เข้าไปลุยเลย แบบนั้นมันสอนตาย ผมสอนเป็นครับ สอนให้เป็นคนดี ทำความดี รู้จักทำมาหากิน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ละเว้นจากการทำชั่ว แล้วการสักยันต์จะเป็นมงคลแน่นอน ของแบบนี้ต้องรู้ด้วยตัวเอง”


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

49
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake]


รับมอบจากหลวงพี่หนุ่ม วัดบางแวก มาแจกเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ รายละเอียดดังนี้..

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป

- โพสตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสเพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพส) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ "๙ ท่านแรก ที่โพสกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัล"

- ๙ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้และไม่ทำผิดกติกา)!! จะได้รับ "ผ้ายันต์เมตตา+เสน่ห์รามัญ ของหลวงพี่หนุ่ม วัดบางแวก ๑ ผืน" (๑ ผืน/ ๑ ท่าน)

- สำหรับทั้ง ๙ ท่านแรก ที่โพสขอรับสิทธิ์รับรางวัล (และไม่ทำผิดกติกา) กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ๙ ท่านแรก ที่โพสตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัล และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมาย) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

50
วันศุกร์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๑๐ น.




























































































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

51
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake]


เมื่อวานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๘) เป็นวันคล้ายวันเกิดของ พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อายุครบ ๖๒ ปี

หลวงพ่อสำอางค์ท่านก็ได้เมตตามอบ "เหรียญไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๘ พิมพ์เล็ก" ให้กับทุกคนที่ไปร่วมแสดงมุทิตาสักการะ ไว้เป็นที่ระลึก



เหรียญไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๘ พิมพ์เล็ก ที่หลวงพ่อสำอางค์มอบให้เป็นที่ระลึก

ทั้งนี้ หลวงพ่อสำอางค์ ท่านเมตตามอบเหรียญไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๘ พิมพ์เล็ก มาแจกให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ จำนวน ๙ เหรียญ

ท่านใดที่ประสงค์จะรับเหรียญไว้บูชา กรุณาลงชื่อเพื่อขอรับได้ตามรายละเอียดกติกาตามนี้เลยครับ..


รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป

- โพสตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสเพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัลได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพส) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ "๙ ท่านแรก ที่โพสกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัล"

- ๙ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้และไม่ทำผิดกติกา)!! จะได้รับ "เหรียญไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๘ พิมพ์เล็ก" (๑ เหรียญ / ๑ ท่าน)

- สำหรับทั้ง ๙ ท่านแรก ที่โพสขอรับสิทธิ์รับรางวัล (และไม่ทำผิดกติกา) กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ๙ ท่านแรก ที่โพสตอบกระทู้เพื่อขอรับสิทธิ์รับรางวัล และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมาย) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

52
วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ เมตตาเป็นประธานเปิดงานประจำปีปิดทองหลวงพ่อโต-หลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา ๒๕๕๘








พระเทพมหาเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ.๙) วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม




พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ (หลวงพ่อบุญสม ผลญาโณ) เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดสำโรง จ.นครปฐม


(รูปขวาสุด) พระศรีวิสุทธิวงศ์ (พระมหาสุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู) เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๕
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม เจ้าคณะอำเภอบางเลน























หลวงพ่อสำอางค์มอบเงินทำบุญแก่พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) หลวงพ่อกำไร
เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา จ.นครปฐม





























ทักษิณานุปทาน




พระครูสังฆรักษ์ชออม ขนฺติโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพระ


พระอาจารย์ปลิ๋ว เจ้าอาวาสวัดท่าใน


พระอาจารย์พระมหาไพศาล วัดกกตาล


พระปลัดรัชวุฒิ รชวฺฒโฑ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร


หลวงพ่อพระครูมงคลสุทธิกิจ เจ้าอาวาสวัดห้วยพลู


พระครูปลัดเอกราช ชยวุฒฺโฑ วัดห้วยพลู




พระอาจารย์ประดิษฐ์ อนุตฺตโร วัดบางพระ






53
เย็นวันศุกร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘







































หลวงพ่อสำอางค์ทำน้ำมนต์สำหรับใช้ในพิธีไหว้ครู






























54



ผ้ายันต์นี้ ได้ใช้บล็อคแม่พิมพ์สักเก่ารูปหงษ์มาปั๊ม (เป็นบล็อคสักไม้หลวงพ่อเปิ่นแกะเอง และใช้สักให้กับลูกศิษย์ในสมัยก่อน)

โดยนำหมึกสำหรับใช้สักยันต์เก่าที่หลวงพ่อเปิ่นใช้ มาปั๊มลงบนผ้า ซึ่งหมึกสักนี้ได้รับการอธิษฐานจิตจากพระคณาจารย์หลายรูปหลายวาระ

อาทิเช่น หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร, หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม, นำเข้าพิธีครอบเศียรที่กุฏิหลวงพี่ติ่ง เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ที่ผ่านมา เป็นต้น

ทั้งนี้อาจารย์ประพนธ์ได้มอบผ้ายันต์หงษ์นี้มาให้ผมไว้จำนวนหนึ่ง จึงนำมาแจกให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระต่อไป


รายละเอียดการแจก

*ส่วนหนึ่งได้มอบให้พี่หนึ่ง "ผู้การเสือ" เป็นของรางวัลสำหรับผู้โชคดีจากกิจกรรมตอบปัญหาชิงรางวัลครั้งที่ ๔ รายละเอียดตามลิ้งก์ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31132

**อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้แจกเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระในวันไหว้ครู เสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘

สำหรับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระท่านใดที่พบผมในวันไหว้ครู ก็สามารถเข้ามาขอรับผ้ายันต์ได้เลย (ถ้าไม่หมดเสียก่อน)..

55

น้องๆ โรงเรียนวัดบางพระ มากราบหลวงพ่อเปิ่น


เริ่มพิธีครอบครูที่กุฏิหลวงพี่ติ่งช่วงเช้า














ด้านในกุฏิหลวงพี่ต้อย


พิธีกลางแจ้ง




































































วัตถุมงคลที่ระลึก (ทันหลวงพ่อเปิ่น)






คุณสุวรรณฉัตร พรหมชาติ โชเฟอร์แท็กซี่ใจบุญ ก็มาร่วมพิธี


คณะของอาจารย์สักยันต์ฆราวาสจากอีสานมาช่วยสักยันต์ที่วัดบางพระ
ก่อนมาช่วยสักจึงมากราบหลวงพ่อสำอางค์ เพื่อบอกกล่าวขออนุญาต และทำพิธีครอบครู













































คณะศิษย์จากมาเลเซียมาเจิมหน้าผากที่กุฏิ




ช่วงเย็นที่กุฏิหลวงพี่ติ่ง








หลวงพี่ต้อยฝากบอกบุญสมทบทุนสร้างอาคารโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น
"สร้อยกำไลข้อมือหินมงคล ติดเม็ดกระดุมหลวงพ่อเปิ่น (ศิษย์ชาวจีนสร้างถวาย)
จำนวนสร้าง ๒๐ เส้น ร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด เส้นละ ๑,๐๐๐ บาท



เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗ บูชาได้ที่สำนักงานวัดบางพระ ตัวละ ๓๕๐ บาท
รายละเอียดคลิกดูได้ที่ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31133
ภาพพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตคลิกดูได้ที่ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31178



หลวงพ่อสำอางค์เดินสำรวจตรวจตราวัดช่วงเย็น


ครูเทพปรึกษาเตรียมงานกับหลวงพ่อ


แวะเยียมคณะแม่ครัววัดบางพระ














เตรียมงานไหว้ครู วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘




บรรยากาศงานประจำปี ปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง วัดบางพระ ระหว่างวันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๕๘
พรุ่งนี้คืนสุดท้าย








































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

[shake]แล้วพบกันอีกครั้งในวันไหว้ครูประจำปีวัดบางพระ
วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘
[/shake]

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันศุกร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
เวลา ๐๒.๓๑ น.

56









รายละเอียดลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น บูชาครู ๒๕๕๘ (หลวงพี่ต้อยจัดสร้าง)

รูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด (ซึ่งลอคเกตชุดนี้ได้นำเข้าในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล ณ วัดนก กทม. เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๗ ด้วย ภาพบรรยากาศพิธีปลุกเสก ณ วัดนก คลิกชมได้ที่.. www.facebook.com/media/set/?set=a.760983947295278.1073741837.123218131071866&type=3)

ด้านหลังอุดผงเก่าหลวงพ่อเปิ่น, จีวรหลวงพ่อเปิ่น และ "ตะกรุดเก่า (ที่หลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิตปลุกเสกไว้) จำนวน ๙ ดอก"

จำนวนสร้างทั้งหมด ๑๐๐ องค์ (แยกเป็นลอคเกตฉากสีน้ำตาล จำนวน ๕๐ องค์ และลอคเกตฉากสีเขียวอีกจำนวน ๕๐ องค์)

โดยหลวงพี่ต้อยเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกให้อีกครั้ง เพื่อมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมบุญกับหลวงพี่ต้อยเนื่องในงานพิธีไหว้ครูวัดบางพระ ๒๕๕๘

ร่วมบุญบูชาองค์ละ ๓๐๐ บาท ติดต่อร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ที่เดียว ไม่มีจัดส่งทางไปรษณีย์

อนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับผู้ร่วมบุญในครั้งนี้ทุกๆ ท่าน

สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.


57
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ

เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗

วันอาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๘ (ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย จ.ศ.๑๓๗๖)

เวลา ๘.๓๙ น. บนกุฏิใหญ่ วัดบางพระ จ.นครปฐม
































ด้านหน้า


ด้านหลัง


ยันต์ลายมือหลวงพ่อเปิ่น ที่กระเป๋าเสื้อ


ลายมือพระอาจารย์อภิญญาเขียนว่า "วัดบางพระ" ที่แขนเสื้อด้านซ้าย


สัญลักษณ์เสื้อเว็บบอร์ดรุ่น ๗ ที่แขนเสื้อด้านขวา


ยันต์หงส์คู่ ด้านหลังเสื้อ


เปิดให้บูชาแล้วที่สำนักงานวัดบางพระ ติดต่อพระสุธี (หลวงพี่เก่ง)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


***บทความที่เกี่ยวข้อง***

เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๗
คลิกอ่านได้ที่..
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31133

จากพิมพ์สักเก่าของหลวงพ่อเปิ่น..สู่เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗
คลิกอ่านได้ที่..
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31166


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๘
เวลา ๒๓.๓๑ น.

58



ปฏิสันถารกับพระครูพิทักษ์วีรธรรม (หลวงพ่อสืบ ปริมุตโต) เจ้าอาวาสวัดสิงห์




















































แจกเหรียญ (หลวงพ่อท่านเรียกเหรียญนินจา)




59
ภาพพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกเหรียญที่ระลึกไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ๒๕๕๘ ครั้งสุดท้ายก่อนนำออกให้บูชา

วันอังคาร (ภุมโม) ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เวลา ๑๖.๓๙ น. ณ กุฏิพระอุดมประชานาถฯ (กุฏิใหญ่) วัดบางพระ


อธิษฐานจิตปลุกเสกโดย

หลวงพ่อคง เจ้าอาวาสวัดเขากลิ้ง จ.เพชรบุรี

หลวงพ่อสมเจตน์ เจ้าอาวาสวัดนก กรุงเทพมหานคร

หลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม


เปิดให้บูชา และรับพระ (สำหรับผู้ที่สั่งจองไว้) ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ที่กุฏิใหญ่ วัดบางพระ

รายละเอียดราคาร่วมบุญบูชาเหรียญที่ระลึกไหว้ครู ปี ๕๘ คลิกดูได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31163



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


































































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

60
ที่มาของยันต์หงส์คู่ที่ใช้ปักหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗



แม่พิมพ์บล็อคสักเก่าที่หลวงพ่อเปิ่นใช้สักให้กับลูกศิษย์


ย้อนกลับไปในสมัยก่อน ที่หลวงพ่อเปิ่นเริ่มสักยันต์ให้กับลูกศิษย์ลูกหา แม่พิมพ์หรือบล็อคพิมพ์สำหรับใช้ในการสักยันต์นั้น หลวงพ่อเปิ่นท่านจะนำไม้มาแกะบล็อคแม่พิมพ์สำหรับใช้สักยันต์ด้วยตัวของท่านเอง เมื่อจะทำการสัก ท่านก็จะใช้บล็อคไม้ที่แกะพิมพ์ไว้นั้นมารมเขม่าควันไฟ แล้วกดปั๊มไปที่ผิวหนังของผู้สัก แล้วจึงเริ่มสักตามรอยเขม่าควันไฟที่ติดผิวหนังนั้น



แม่พิมพ์บล็อคสักรูปหงส์ ที่หลวงพ่อเปิ่นแกะ และใช้สักให้กับลูกศิษย์


ยันต์หงส์ที่หลวงพ่อเปิ่นสักให้หลวงพ่อสำอางค์ (ใช้แม่พิมพ์บล็อคไม้ตามภาพด้านบน)


ยันต์ที่ใช้ปักหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระในปีนี้ (พ.ศ.๒๕๕๘) ได้รับความเมตตาจากพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน ในการเลือกยันต์เพื่อใช้ปักบนหลังเสื้อที่ระลึก โดยยันต์นั้นคือ "ยันต์หงส์คู่" (ประยุกต์ตามแบบฉบับจากแม่พิมพ์บล็อคสักเก่ารูปหงส์ของหลวงพ่อเปิ่น) ซึ่งหลวงพ่อสำอางค์ท่านเมตตาเล่าให้ฟังถึงอิทธิคุณของยันต์หงส์ตามที่หลวงพ่อเปิ่นท่านได้เคยกล่าวให้ฟังไว้ว่า "ยันต์หงส์คู่นี้ให้ผลทางเมตตาค้าขาย" โดยในสมัยก่อนตอนที่กำลังเรียนวิชากับหลวงพ่อเปิ่นใหม่ๆ หลวงพ่อเปิ่นได้อธิบายเคล็ดลับสำหรับยันต์หงส์ให้หลวงพ่อสำอางค์ไว้ว่า.. "อิติพุทโธ ตัวหนึ่งอยู่ ตัวหนึ่งไป" ซึ่งหลวงพ่อสำอางค์ท่านก็สามารถเข้าใจความหมายนัยสำคัญนั้นได้ทันที



ยันต์หงส์คู่ที่ใช้ปักหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๗
ประยุกต์ตามแบบฉบับจากแม่พิมพ์บล็อคสักเก่ารูปหงส์ของหลวงพ่อเปิ่น


สำหรับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระที่ประสงค์จะร่วมบุญบูชารับเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗ ไว้เป็นที่ระลึก (หลังจากตัดเย็บเสร็จแล้วจะนำไปขอความเมตตาจากหลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ อธิษฐานจิตปลุกเสก เพื่อความเป็นศิริมงคล เช่นทุกปี) สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่: http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31133


แบบเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๗ เปิดให้บูชาเร็วๆ นี้


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันศุกร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
เวลา ๑๗.๕๐ น.

61

รายละเอียดการสร้าง

๑.เหรียญเนื้อเงินหน้าทองคำ จำนวนสร้าง ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๔,๐๐๐ บาท
๒. เหรียญเนื้อนวะโลหะหน้าทองคำ จำนวนสร้าง ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๓,๕๐๐ บาท
๓. เหรียญเนื้อเงินลงยา (มี ๓ สี น้ำเงิน, เขียว และแดง) จำนวนสร้างสีละ ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๒,๕๐๐ บาท
๔. เหรียญเนื้อเงินบริสุทธิ์ จำนวนสร้าง ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๑,๕๐๐ บาท
๕. เหรียญเนื้อนวะโลหะ จำนวนสร้าง ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท
๖. เหรียญเนื้อตะกั่ว จำนวนสร้าง ๑๙ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท
๗. เหรียญเนื้อโลหะสามกษัตริย์ จำนวนสร้าง ๓,๐๐๐ เหรียญ ร่วมบุญบูชาเหรียญละ ๓๐๐ บาท
๘. เหรียญเนื้อทองแดงรมดำ จำนวนสร้าง ๒๕,๐๐๐ เหรียญ มอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมบูชาพานครูในวันไหว้ครูประจำปี วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ร่วมบุญบูชาพานครู ๑๐๐ บาท, ร่วมบุญบูชาบนกุฏิใหญ่เหรียญละ ๑๕๐ บาท


***หมายเหตุ***

- รายการที่ ๑-๖ "เปิดให้สั่งจอง" บนกุฏิใหญ่วัดบางพระ (ติดต่อรับพระได้ตั้งแต่วันพุธที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ที่กุฏิใหญ่วัดบางพระ)
- รายการที่ ๗-๘ เปิดให้บูชาตั้งแต่วันพุธที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป (ไม่ต้องสั่งจอง)
- กำหนดพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกในวันอังคารที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยหลวงพ่อคง วัดเขากลิ้ง จ.เพชรบุรี, หลวงพ่อสมเจตน์ วัดนก กทม. และหลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ บนกุฏิใหญ่ วัดบางพระ



ภาพพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกครั้งสุดท้ายก่อนออกให้ร่วมบุญบูชา คลิกดูได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31168




ด้านหน้าเทียบขนาดกับเหรียญบาท


ด้านหลังเทียบขนาดกับเหรียญบาท

62
เกริ่นนำ..

"ไอ้เก่ง..มึงรวบรวมประวัติวัดโคกเขมาให้หลวงพ่อที" เสียงหลวงพ่อสมภารดังขึ้น

พอสิ้นเสียงสั่งงาน ก็มีเสียงคำขานตอบรับอย่างฉับพลันดังขึ้นว่า "ครับหลวงพ่อ"

หลังจากเร่งสะสางงานวิจัยจนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจึงได้โอกาสเริ่มสืบค้นข้อมูลเพื่อสนองงานหลวงพ่อที่รับคำท่านไว้

หากกล่าวถึง "วัดโคกเขมา" หลายท่าน โดยเฉพาะผู้ที่เคยศึกษาประวัติของพระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) ก็คงจะพอทราบคร่าวๆ ว่า วัดนี้เคยเป็นวัดเก่าที่หลวงพ่อเปิ่นเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ก่อนที่จะมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบางพระ แต่รายละเอียดประวัติความเป็นมาของวัด หรือประวัติของหลวงพ่อเปิ่นในช่วงสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมานั้น ก็ไม่ค่อยมีการรวบรวมนำมาเผยแพร่มากเสียเท่าไหร่

ภาพกระบวนการเสาะแสวงหาความจริงที่มีอยู่ในหัว ณ ขณะนั้น คือ "การสัมภาษณ์บุคคลที่อยู่ร่วมสมัย และหรือเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อเปิ่น ณ ช่วงเวลานั้น" อาทิเช่น พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อาจารย์หวั่น อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาซึ่งปัจจุบันท่านพักอาศัยอยู่ห้วยพลู และอีกทางเลือกที่ยังพอเป็นไปได้คือ การหาข้อมูลที่มีผู้รวบรวมไว้แล้ว

และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แสงสว่างแห่งความโชคดีก็เริ่มฉายแสงสาดส่องมาให้ผมได้เห็นภาพคำตอบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยช่วงกลางปีที่ผ่านมา เย็นวันหนึ่ง หลังจากอยู่ช่วยงานหลวงพ่อบนกุฏิใหญ่แล้ว ก็มาหาหนังสืออ่านเล่นที่สำนักงานวัดบางพระ จังหวะบังเอิญไปเจอหนังสือเข้าเล่มนึง ชื่อว่า "ประวัติวัดในจังหวัดนครปฐม" จึงเปิดดูเนื้อหาพบว่า "มีรวบรวมประวัติวัดโคกเขมาไว้ด้วยเช่นกัน!!" (โชคดีที่ได้บันทึกภาพ และยังเก็บภาพรายละเอียดไว้ครบถ้วน) ดังนั้นเพื่อเป็นการสนองงานหลวงพ่อ และเผยแพร่ประวัติวัดโคกเขมา (อันเป็นวัดเก่าที่หลวงพ่อเปิ่นเคยเป็นเจ้าอาวาส) ให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ และผู้สนใจทั่วไปได้ศึกษา ผมจึงนำเนื้อหาและภาพประกอบมาลงไว้ รายละเอียดดังนี้...



ประวัติวัดโคกเขมา ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ชื่อวัด

   วัดโคกเขมา ตั้งอยู่เลขที่ ๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม รหัสไปรษณีย์ ๗๓๑๒๐
   สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๑๔






พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) ที่หลวงพ่อเปิ่นสร้างไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖


วัดและที่ธรณีสงฆ์

   ที่วัดมีเนื้อที่จำนวน ๑๙ ไร่ ๓ งาน – ตารางวา
   มีอาณาเขตดังนี้   ทิศเหนือ จรดถนนสาธารณะ
         ทิศใต้ จรดที่ดินของนายจิต พุ่มดียิ่ง
         ทิศตะวันออก จรดถนนสาธารณะ
         ทิศตะวันตก จรดคลองสาธารณะ



ประวัติวัดโคกเขมา ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม (ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๐ จนถึงปัจจุบัน)

   วัดโคกเขมาเดิมมีชื่อว่า “วัดสร้อยนกเขา” ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจน พ.ศ.๒๔๔๐ มีพระภิกษุชื่อ พระพัด ได้มีการบุกเบิกโดยได้รับมอบที่ดินจาก ปู่นุ้ย ย่าเชื่อม สนสาขา จำนวน ๑๕ ไร่ ๑ งาน ๘๖ ตารางวา ตลอดจนชาวบ้านได้รวมกันบริจาคทรัพย์เป็นจำนวน ๒ หาบด้วยกัน จึงได้สร้างโบสถ์ด้วยจากขึ้นมาเป็นหลังแรก แต่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ และยังได้กุฏิสงฆ์ จำนวนหนึ่ง ต่อมาพระพัดได้ย้ายไปอยู่ที่วัดท้องไทร ทางวัดได้ให้พระเปลื้องรักษาการอยู่พักหนึ่งจึงได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อเผือก มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสเรื่อยมาจนถึงพระอธิการสุนทร (ฮะ) สุนฺทโร เป็นเจ้าอาวาสประมาณ พ.ศ.๒๔๗๖ ท่านเห็นว่าโบสถ์หลังเก่าทรุดโทรม จึงได้เรียกประชุมชาวบ้านเพื่อทำโบสถ์หลังใหม่แทนหลังเก่าในปี พ.ศ.๒๔๘๖ ทำเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ เรื่อยมาจนถึงพระอธิการสาย ปิยวนฺโน เป็นเจ้าอาวาสได้มีการสร้างโรงเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๔ ขึ้นในบริเวณวัด เพื่อเป็นที่ศึกษาของเยาวชนในหมู่บ้าน พร้อมตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม สอนพระภิกษุสามเณร ที่บวชเรียนขึ้นในวัดและปฏิสังขรณ์ สิ่งปลูกสร้างที่ทรุดโทรมเรื่อยมาจนอาจารย์ลาสิกขา ทางวัดได้ตั้งพระเส็ง รักษาการแทนอยู่ ๑ พรรษา ทางวัดจึงได้นิมนต์พระอธิการเปิ่น ฐิตคุโณ มาจากวัดทุ่งนานางหรอก จังหวัดกาญจนบุรี ท่านยังได้สร้างพระรูปหล่อพระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๖ เพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชน ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ พระอธิการเปิ่นได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางพระ ทางวัดได้ตั้งพระอธิการหวั่น ปญฺญาวุโธ เป็นเจ้าอาวาสแทนเรื่อยมาจนถึงพระอธิการไพรวัน คุณวนฺโต  และพระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) เป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน


ภาพหลวงพ่อเปิ่น ช่วงที่เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา

งานด้านการปกครอง

   ลำดับรายนามเจ้าอาวาส

   ๑. พระพัด เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๐ – พ.ศ.ใดไม่ทราบ
   ๒. หลวงพ่อเผือก เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๕ – ๒๔๗๐
   ๓. พระอธิการสุนทร (ฮะ) สุนฺทโร เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ – ๒๔๙๓
   ๔. พระอธิการสาย ปิยวนฺโน เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๓ – ๒๕๐๗
   ๕. พระอธิการเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๗ – ๒๕๑๘
   ๖. พระอธิการหวั่น ปญฺญาวุโธ เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ – ๒๕๒๙
   ๗. พระอธิการไพรวัน คุณวนฺโต เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๙ – ๒๕๓๘
   ๘. พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) รักษาการเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๘ – ๒๕๔๖
   ๙. พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ – ปัจจุบัน



ภาพเขียนพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) บนกุฏิวัดโคกเขมา

 งานการศึกษา

   ๑. เปิดให้มีการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๔ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๙๖ – ปัจจุบัน
   ๒. ปัจจุบันเปิดให้มีการเรียนการสอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖ และ มีโรงเรียนในสังกัดวัดโคกเขมา เพิ่มอีก ๒ โรงเรียน คือ
   ๒.๑ โรงเรียนบ้านห้วยกรด เปิดให้มีการเรียนการสอนถึงระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖
   ๒.๒ โรงเรียนแหลมบัววิทยา เปิดให้มีการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๖
   ๓. เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ – ปัจจุบัน
   ๔. เปิดให้มีการเรียนการสอน นักธรรมชั้นตรี และธรรมศึกษาตรี เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๖ – ปัจจุบัน
   ๕. ปัจจุบันเปิดให้มีการเรียนการสอน นักธรรมชั้นตรี และธรรมศึกษาชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก
   ๖. เปิดให้มีการเรียนการสอน ในรายวิชาสังคมศึกษากับพระพุทธศาสนา ให้กับนักเรียนซึ่งสังกัดวัดโคกเขมา จำนวน ๓ โรงเรียน คือ
   ๖.๑ โรงเรียนวัดโคกเขมา
   ๖.๒ โรงเรียนบ้านห้วยกรด
   ๖.๓ โรงเรียนแหลมบัววิทยา



ลานวัดโคกเขมา ในอดีตเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อเปิ่นใช้ประกอบพิธีไหว้ครูสักยันต์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘

งานการเผยแผ่

   ๑. จัดให้มีการแสดงธรรม และบรรยายธรรม ในระยะพรรษาและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งกิจกรรมต่างๆ เรื่อยมา
   ๒. พ.ศ.๒๕๓๕ ได้ทำการก่อสร้างหอกระจายข่าวเสียงตามสายขึ้น เพื่อกระจายข่าวและธรรมะสู่ประชาชน



อุโบสถวัดโคกเขมา
[/size]

งานสาธารณูปการ

   พ.ศ.๒๔๔๐ พระพัด ได้ร่วมมือกับชาวบ้านก่อสร้างโบสถ์ มุงหลังคาด้วยจาก
   พ.ศ.๒๔๗๖ หลวงพ่อเผือก ได้สร้างหอสวดมนต์เพื่อทำพิธีทางพระพุทธศาสนา กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๖ เมตร เป็นอาคารทรงไทยยอดแหลมหลังคาสองชั้น มีหน้าบันเป็นไม้สัก และสลักลวดลายประดับทั้งสองด้าน
   พ.ศ.๒๔๘๖ พระอธิการสุนทร (ฮะ) สุนฺทโร ได้สร้างอุโบสถ ก่ออิฐก่อปูนขึ้น กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร มีลักษณะแบบไทย เป็นลวดลายประดิษฐ์ ที่หน้าชั้นทั้ง ๒ ด้าน ได้ทำการยกช่อฟ้า และผูกพัทธสีมา และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓
   พ.ศ.๒๕๑๖ พระอธิการเปิ่น ฐิตคุโณ ได้สร้างรูปหล่อ พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) หน้าตักกว้าง ๗๕ นิ้ว
   พ.ศ.๒๕๑๗ พระอธิการเปิ่น ฐิตคุโณ ได้วางศิลาฤกษ์ ศาลาการเปรียญจนได้มาแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๓๘
   พ.ศ.๒๕๓๔ พระอธิการไพรวัน คุณวนฺโต โดยการนำของ ส.จ.ลำยอง พูนลำเภา ได้ทำการก่อสร้างเมรุขึ้น เพราะเดิมการที่เผาศพจะใช้เชิงตะกอนกลางแจ้ง ทำให้ดูไม่เหมาะสม
   พ.ศ.๒๕๓๗ พระอธิการไพรวัน คุณวันฺโต ได้สร้างกุฏิสงฆ์จำนวน ๑๒ ห้อง เพื่อให้เป็นแนวเดียวกันสวยงามและเป็นระเบียบ โดยก่อสร้างเป็นแบบสองชั้น ชั้นละ ๖ ห้อง
   พ.ศ.๒๕๔๐ พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) รักษาการแทนเจ้าอาวาสเห็นว่าเมรุหลังเก่ามีความทรุดโทรม จึงได้ทำการก่อสร้างเมรุใหม่ขึ้นมาแทนหลังเก่าจนถึงปัจจุบันนี้
   พ.ศ.๒๕๔๕ ดำเนินการสร้างศาลาธรรมสังเวช แต่ยังไม่แล้วเสร็จ และในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ พระมหาระพิน อภิชาโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
   พ.ศ.๒๕๔๖ พระมหาระพิน อภิชาโน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ได้ก่อสร้างศาลาธรรมสังเวชต่อมาจนแล้วเสร็จ และได้สร้างห้องน้ำจำนวน ๑๐ ห้องหลังกุฏิสงฆ์ ๑๒ ห้อง แทนห้องน้ำเดิมซึ่งเก่าและผุพัง แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๗
   พ.ศ.๒๕๔๗ พระมหาระพิน อภิชาโน เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา ได้ทำการบูรณะหอสวดมนต์ให้มีสภาพดีขึ้น พร้อมสร้างกุฏิสงฆ์จำนวน ๙ ห้อง จนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๘
   พ.ศ.๒๕๔๘ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้ทำการบูรณะอุโบสถ ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมผุพัง ให้มีสภาพดีขึ้น พร้อมบูรณะศาลาการเปรียญ แล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ.๒๕๔๘
   พ.ศ.๒๕๔๙ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้ทำการก่อสร้างศาลากำไรบุญ แทนศาลาหลังเก่า ซึ่งใช้จำหน่ายธูป เทียน ทอง และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนกราบไหว้บูชา จากนั้นได้ทำการถมที่จนได้ระดับพร้อมเทพื้นคอนกรีต และได้ทำการก่อสร้างกุฏิศาลาหอสวดมนต์จำนวน ๖ ห้อง ซึ่งเกิดอัคคีภัยขึ้นแทนกุฏิหลังเก่า แล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๕๐
   พ.ศ.๒๕๕๐ พระมหาระพิน อภิชาโน ติดตั้งหอกระจายเสียง เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์เรื่องราวต่างๆ ให้ชาวชุมชนได้รับทราบ พร้อมก่อสร้างกุฏิสงฆ์จำนวน ๓ ห้องหลังกุฏิ ๑๒ ห้อง แล้วเสร็จ จากนั้นได้ทำการก่อสร้างกำแพงล้อมรอบวัด พร้อมช่องบรรจุอัฐิ แล้วเสร็จบางส่วน
   พ.ศ.๒๕๕๑ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้เริ่มทำการบูรณะกุฏิไม้หลังเก่า โดยยกระดับให้สูงขึ้น และก่อสร้างกุฏิด้านล่างใหม่จำนวน ๓ ห้อง แล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ๒๕๕๑
   พ.ศ.๒๕๕๑ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้สร้างกำแพงล้อมรอบวัดต่อ พร้อมสร้างช่องบรรจุอัฐิ แล้วเสร็จเมษายน ๒๕๕๒
   พ.ศ.๒๕๕๑ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้ทำการสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ข้างกุฏิสงฆ์ ๑๒ ห้องแล้วเสร็จพฤษภาคม ๒๕๕๒
   พ.ศ.๒๕๕๒ พระมหาระพิน อภิชาโน ได้ทำการปรับที่ดินบริเวณโกศบรรจุอัฐิ ให้มีสภาพดีขึ้น โดยจะทำการเกลี่ยพื้นดินบริเวณที่ตั้งโกศบรรจุอัฐิกระดูกให้เสมอกัน ปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ




บรรยากาศภายในหอสวดมนต์


อีกมุมของอุโบสถ


ศาลาการเปรียญ



ฌาปนสถาน








กุฏิสงฆ์

งานการศึกษาสงเคราะห์

   ๑. พ.ศ.๒๕๒๕ ร่วมจัดตั้งกองทุนในการศึกษา ให้แก่โรงเรียนวัดโคกเขมา เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับเยาวชนที่ยากไร้ เป็นประจำทุกปี ปีละ ๕ ทุน ทุนละ ๕๐๐ บาท
   ๒. พ.ศ.๒๕๔๗ จัดตั้งกองทุนการศึกษา ให้แก่นักเรียนโรงเรียนแหลมบัววิทยา เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับเยาวชนที่ยากไร้ จำนวน ๑ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นต้นมา
   ๓. พ.ศ.๒๕๔๗ จัดตั้งกองทุนในการศึกษา ให้แก่เด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านห้วยกรด เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับเยาวชนที่ยากไร้ จำนวน ๓ ทุน ทุนละ ๕๐๐ บาท
   ๔. พ.ศ.๒๕๕๐ มอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ ผู้ศึกษาในระดับปริญญาตรี เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับพระภิกษุผู้กำลังศึกษาอยู่ ภายในวัดโคกเขมา จำนวน ๒ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   ๕. พ.ศ.๒๕๕๑ มอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ ผู้ศึกษาในระดับปริญญาตรี เพื่อเป็นทุนการศึกษา จำนวน ๒ ทุน ทุนละ ๑,๕๐๐ บาท
   ๖. มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียน เนื่องในงานประจำปีปิดทองวัดโคกเขมา วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๕ โรงเรียน รวม ๖๑ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๖๑,๐๐๐ บาท พร้อมมอบเงินรางวัลแก่เด็กนักเรียนเป็นค่าอุปกรณ์การศึกษา จำนวน ๑๔๓ คน คนละ ๑๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔,๓๐๐ บาท ตามรายการ ดังนี้
   โรงเรียนวัดโคกเขมา จำนวน ๒๑ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   โรงเรียนบ้านห้วยกรด จำนวน ๑๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   โรงเรียนบ้านลานแหลม จำนวน ๑๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   โรงเรียนวัดท้องไทร จำนวน ๑๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   โรงเรียนแหลมบัววิทยา จำนวน ๑๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท
   มอบเงินรางวัลแก่นักเรียนเป็นค่าอุปกรณ์การศึกษา จำนวน ๗๕๓ คน คนละ ๑๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๕,๓๐๐ บาท



หอระฆัง



หอกระจายเสียง


ศาลากำไรบุญ


หน้าศาลาการเปรียญ

งานด้านสาธารณะสงเคราะห์

   ๑. พ.ศ.๒๕๐๓ ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งของวัด ทำการก่อสร้างโรงเรียนวัดโคกเขมาขึ้นมาจำนวน ๑ หลัง เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๔
   ๒. พ.ศ.๒๕๓๕ เปิดใช้เมรุเผาศพครั้งแรก
   ๓. พ.ศ.๒๕๔๒ เมรุหลังใหม่ ได้สร้างเสร็จเรียบร้อย จึงได้เปิดทำการใช้แทนหลังเก่ามาถึงปัจจุบัน
   ๔. บริจาคปัจจัยตามโครงการในแต่ละปี เพื่อช่วยผู้ยากไร้ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ เช่น บ้านพักคนชรา โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นต้น
   ๕. เปิดใช้ศาลาธรรมสังเวชเป็นที่เลือกตั้งของชาวชุมชน ซึ่งสะดวกในการเดินทางมาลงคะแนนเสียง






บรรยากาศริมคลองหลังวัด



ศาลาโรงครัว


ภายในศาลากำไรบุญ


กำแพงพร้อมช่องบรรจุอัฐิหลังวัด

โบราณวัตถุ

   โบราณวัตถุของวัดโคกเขมาที่สำคัญดังนี้

   ๑. พระพุทธรูปนิรันตราย จากประวัติที่เล่าสืบต่อกันมาทราบว่า เป็นพระพุทธรูปอัญเชิญมาจากวัดสระสี่เหลี่ยม (แต่ไม่ปรากฏว่าอัญเชิญสมัยใด ใครเป็นผู้อัญเชิญมา) องค์พระประทับหน้าตัก ๓ ศอก ลงรักปิดทองทั้งองค์ ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ
   ๒. พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) เป็นพระพุทธรูปปั้นลอยองค์ สร้างโดยหลวงพ่อเปิ่น เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ ประดิษฐานอยู่ลานวัดเพื่อประชาชนจะได้เคารพและเป็นที่สักการบูชา
   ๓. พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของวัดโคกเขมา ได้ทำพิธีเททองหล่อเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารใกล้พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชนทั่วไป
   ๔. นางกวัก ได้ทำพิธีเททองหล่อเมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๘ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารใกล้พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชนทั่วไป
   ๕. พระพิฆเนศวร ปางลีลาเสวยสุข ท่ายืน ได้ทำพิธีเททองหล่อเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณหน้ากุฏิสงฆ์ ๑๒ ห้อง เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชนทั่วไป
   ๖. พระพุทธมหาจักรพรรดิราช ปางเชียงแสน สมัยอยุธยา ได้ทำพิธีเททองหล่อเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารใกล้พระสังกัจจายนะ (หลวงพ่อโต) เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชนทั่วไป



อุโบสถวัดโคกเขมา จารึกชื่อพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) ผู้อุปถัมภ์สมทบทุนบูรณะอุโบสถ


ภายในอุโบสถวัดโคกเขมา


รูปหล่อพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ)


ซุ้มสักการะบูชา

ถาวรวัตถุภายในวัด

   ๑. ศาลาเมรุเริ่มเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๕ สำเร็จเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗ เงินบริจาคสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คุณปิยภัสร์ ปานทอง บริจาคสีทา และประชาชนเป็นผู้สร้าง
   ๒. บูรณะหอสวดมนต์เริ่ม เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๗ แล้วเสร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๘ คุณปิยภัสร์ ปานทอง บริจาคสี กระเบื้องปูพื้น และศรัทธาจากประชาชน สร้างพร้อมกุฏิสงฆ์ใหม่
   ๓. บูรณะโบสถ์ใหม่ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๘ โดยพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ คุณอนุชา สะสมทรัพย์ คุณฑัมพร นิพนธ์วิทยา ประธานร่วมบริจาคทรัพย์จ้างช่างสร้าง
   ๔. บูรณะศาลาการเปรียญ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๘ แล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๘
   ๕. ศาลาจำหน่าย ธูป เทียน ทอง เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ แล้วเสร็จปลาย พ.ศ.๒๕๔๘ เพื่อทดแทนศาลาหลังเก่า
   ๖. สร้างกุฏิสงฆ์ จำนวน ๖ ห้อง เริ่มเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๑
   ๗. สร้างกำแพงล้อมรอบวัด พร้อมช่องบรรจุอัฐิ เริ่มเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๑


[พระเทพมหาเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ปธ.๙) และพระครูสุธีเจติยานุกูล (รุ่ง กตปุญฺโญ ปธ.๖), ประวัติวัดในจังหวัดนครปฐม (กรุงเทพฯ: บริษัท ออนป้า จำกัด, ๒๕๕๖), น.๒๙๓-๒๙๘.]


ป้ายอาคารกุฏิเก่าหลวงพ่อเปิ่นหลังได้รับการบูรณะแล้ว

หลวงพ่อเปิ่นเมื่อครั้งอยู่วัดโคกเขมา

ในส่วนของประวัติหลวงพ่อเปิ่นช่วงที่เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาจากการสัมภาษณ์พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา นั้น ได้ข้อมูลคร่าวๆ ว่า หลวงพ่อเปิ่นท่านย้ายมาจำพรรษาพร้อมกับได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสที่วัดโคกเขมา เมื่อปลายพรรษา พ.ศ.๒๕๐๗ และที่วัดโคกเขมานี้เอง คือสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นการสักยันต์ และพิธีไหว้ครูที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกกลางลานวัดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘

นอกจากการสักยันต์ของหลวงพ่อเปิ่นที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดโคกเขมาแล้ว "วัตถุมงคล" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อเปิ่นเริ่มสร้างไว้ครั้งแรกที่วัดโคกเขมาเช่นกัน อาทิเช่น เหรียญเสมารุ่นแรกของหลวงพ่อเปิ่น (เหรียญพระอธิการเปิ่น) ที่บางท่านเข้าใจว่าสร้างในปี ๒๕๐๖ ความจริงแล้วเหรียญรุ่นแรกนี้สร้างเมื่อปี "พ.ศ.๒๕๐๘" โดยสังเกตได้จากประวัติหลวงพ่อเปิ่นที่ท่านย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาเมื่อปี ๒๕๐๗ ประกอบกับตำแหน่ง "พระอธิการ" ที่มีระบุในเหรียญ จะใช้สำหรับเรียกเจ้าอาวาสวัดทั่วไปที่ไม่มีสมณศักดิ์อยู่แล้ว ดังนั้นที่กล่าวกันว่าเหรียญพระอธิการรุ่นแรกหลวงพ่อเปิ่น สร้างเมื่อปี ๒๕๐๖ จึงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้พยานบุคคลอีก ๒ ท่าน คือทิดเลี้ยง (อดีตเคยอุปสมบทอยู่กับหลวงพ่อเปิ่นที่วัดโคกเขมา) และอาจารย์หวั่น (อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาต่อจากหลวงพ่อเปิ่น) ก็ต่างให้รายละเอียดตรงกันว่า เหรียญรุ่นแรกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ ส่วนเหรียญพิมพ์เหรียญรุ่นแรกเนื้อเงินยวงและเนื้อตะกั่ว ทิดเลี้ยงเป็นผู้เทตะกั่วหล่อเหรียญด้วยตนเอง โดยโลหะที่นำมาเทหล่อเหรียญนั้น ที่เรียกว่าเป็นเงินยวงความจริงเป็นโลหะจากกรุบางขโมย ที่หลวงพ่อเปิ่นท่านได้รับถวายมา ส่วนเนื้อตะกั่วก็ได้มาจากพระแก้บนเนื้อตะกั่วในอุโบสถ (กรรมวิธีการสร้างไม่ขออธิบาย ณ ที่นี้) ส่วนปี พ.ศ. ที่ทำออกมานั้นอยู่ในราว พ.ศ.๒๕๐๘ - พ.ศ.๒๕๑๗ เพราะมีการสร้างเรื่อยมาตลอด แต่ก็ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสกจากหลวงพ่อเปิ่นเหมือนกันหมด สมัยนั้นหลวงพ่อเปิ่นท่านสั่งให้ทำแจกญาติโยมที่มาร่วมทำบุญที่วัดเสียส่วนใหญ่



พระพุทธรูปและรูปเคารพต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันประดิษฐานภายในเต๊นท์ชั่วคราวบริเวณด้านหลังหอสวดมนต์




วิหารสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่ดำเนินการก่อสร้างอยู่

ประชาสัมพันธ์งานบุญ

สำหรับโครงการในปัจจุบันที่ทางวัดกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่นั่นคือ การสร้างวิหารเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปหล่อรูปสักการะต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมาก (ปัจจุบันได้ตั้งเต๊นท์เพื่อให้สาธุชนได้สักการะบูชาชั่วคราวบริเวณด้านหลังหอสวดมนต์) โดยการก่อสร้างยังขาดปัจจัยอีกจำนวนมาก ดังนั้นทางวัดโคกเขมาจึงได้สร้างวัตถุมงคล "เหรียญย้อนยุคหลวงพ่อเปิ่น รุ่น ๑" และ "กำไล รุ่น ๑" (ชนวนมวลสารเก่าของหลวงพ่อเปิ่น และอื่นๆ) เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้ที่ร่วมบุญสมทบทุนสร้างวิหารวัดโคกเขมา (สามารถเข้ามาร่วมบุญด้วยตนเองได้ทุกวันที่วัดโคกเขมา) กำหนดอธิษฐานจิตช่วงระหว่างงานประจำปีของวัดโคกเขมา ๒๕๕๘ (๑๐-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘) โดยพระคณาจารย์สายวัดบางพระ รายละเอียดดังนี้




เหรียญหลวงพ่อเปิ่นย้อนยุครุ่น ๑


กำไลรุ่น ๑


ป้ายประชาสัมพันธ์งานประจำปีวัดโคกเขมา ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เสร็จสิ้นไปอีก ๑ งาน กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ทุกๆ รูปที่อนุเคราะห์ข้อมูล
และขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญสมทบทุนสร้างวิหารวัดโคกเขมา มา ณ โอกาสนี้ ด้วย
.........สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.........

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
เวลา ๐๒.๕๔ น.

63
งานประจำปีปิดทองรูปเหมือนบุรพาจารย์วัดบางพระ ๕๘ (วันแรก)





























































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ต่อด้วยงานประจำปีพ่อปู่ทองสุข (หลวงปู่หิ่ม วัดบางพระ เป็นผู้บุกเบิก)

ประวัติความเป็นมาศึกษาได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=31069























:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

64
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake]

Happy New Year ครับ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

คำถาม

           ด้วยจะมีวันไหว้ครู ลพ.เปิ่น ในวันเสาร์ที่ ๗ มี.ค.๕๘ นี้ เราเหล่าศิษยานุศิษย์ อยากได้ Comment ของท่าน (ส่วนดีอยู่แล้ว ไม่ต้อง) เพื่อทางวัดจะได้ปรับปรุง แก้ไขต่อไปให้ดีขึ้น

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

๑.    ๕ ท่านแรก ที่ Comment ได้โดนใจคณะกรรมการ จะได้รับตะกรุดผู้การเสือ ๕ ดอก (สุดท้าย)

๒.    ๕ ท่านต่อมา (ที่ Comment ได้โดนใจคณะกรรมการ) จะได้รับ พญาเต่าเรือน (ลพ.ญา ให้มาเป็นรางวัล)

๓.    ที่เหลือ (๑๐ ท่าน ที่ Comment ได้โดนใจคณะกรรมการ) จะมีรางวัลพิเศษปลอบใจจากผู้การเสือ + สิบทัศน์

๔.    ทุกรางวัลให้มารับกับมือผู้การเสือ + สิบทัศน์ เวลา ๑๓.๐๐ น. วันใหว้ครู (๗ มี.ค.๕๘)

๕.    ประกาศผู้โชคดี เวลา ๑๓.๐๐ น. (๑ มี.ค.๕๘)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ของรางวัล

ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑ รายละเอียดประวัติความเป็นมาที่..
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30928

พญาเต่าเรือน (ลพ.ญา มอบให้ – ทองแดงองค์เล็ก)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

พิพิธภัณฑ์ผู้การเสือรูปที่ ๕


ผ้ายันต์ ลพ.เปิ่น ผืนแรก ได้รับจาก ลพ.ติ่ง (๑๕-๑๖ ปีมาแล้ว)

พิพิธภัณฑ์ผู้การเสือรูปที่ ๖


สุดล้ำค่า ลพ.ต้อย มอบให้ ๑๕ ก.ค. ๔๕

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

65

เตรียมงานก่อนวันงาน




๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จ.นครปฐม


















พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา จ.นครปฐม


พระอาจารย์พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต วัดโคกเขมา




อาจารย์หวั่น อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา
(เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาหลังจากที่หลวงพ่อเปิ่นย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบางพระ)


















ลูกหลานชาวนครปฐม "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์





ต่อด้วยพิธีสวดมนต์ข้ามปีของทางวัดบางพระ




พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ เมตตานั่งปรกแผ่บารมีแก่ผู้เข้าร่วมพิธี




















































แจกวัตถุที่ระลึกรับปีใหม่




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


งานต่อไป "งานประจำปี ปิดทองรูปเหมือนบุรพาจารย์วัดบางพระ"

หลวงพ่อหิ่ม หลวงพ่อทองอยู่ หลวงพ่อเปลี่ยน หลวงพ่อเปิ่น

ระหว่างวันที่ ๒ - ๔ มกราคม ๒๕๕๘

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

66
[shake]..ปิดกิจกรรมแล้วครับ..[/shake]

ลายมือพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ
ลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

คำถาม

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๗ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่กำลังจะถึงนี้

"ท่านได้ทำความดี และหรือประสงค์ว่าจะทำความดีอย่างไร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ บ้าง?"

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ของรางวัล

"จีวรหลวงพ่อสำอางค์ (หลวงพ่อสำอางค์อธิษฐานจิตตลอดพรรษา ปี ๕๗)"

จีวรของหลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน


ผมเองได้กราบขออนุญาต และกราบขอความเมตตาจากหลวงพ่อสำอางค์
ให้ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกตลอดกาลเข้าพรรษา ๑ ไตรมาส
เพื่อนำมาแจกให้กับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระในโอกาสนี้

ห้องพระบนกุฏิหลวงพ่อสำอางค์
(หลวงพ่อท่านใช้เป็นที่เจริญสมาธิ, อธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล ฯลฯ)

ภาพนี้บันทึกไว้ช่วงหลังจากออกพรรษา
เมื่อเข้าไปรับจีวรจากหลวงพ่อสำอางค์แล้ว
จึงได้แวะเข้าไปกราบนมัสการพระอาจารย์ติ่งและพระอาจารย์ต้อย
(ส่วนประเด็นที่ท่านทั้งสองทักบอกผม เกี่ยวกับจีวรที่เพิ่งไปรับมา
เป็นเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณอย่างมาก จึงขออนุญาตไม่นำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันพุธที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ "๕๐ ท่านแรกที่ร่วมตอบคำถาม"

- ๕๐ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้) ที่ร่วมตอบคำถาม(และไม่ทำผิดกติกา)!! จะได้รับ "จีวรหลวงพ่อสำอางค์ ที่ระลึกไตรมาส ๕๗  จำนวน ๑ ชิ้น"

- สำหรับผู้ที่ตอบคำถามทั้ง ๕๐ ท่านแรก (และไม่ทำผิดกติกา) กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ๕๐ ท่านแรกที่ตอบคำถาม และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมายธรรมดา) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)

67





ล็อคเกตหลวงพ่อเปิ่น ๒๕๕๗ หลังฝังเหรียญเม็ดกระดุมปี ๔๓

แบบที่ ๑ และ ๒ จัดสร้างประมาณอย่างละ ๒๐๐ องค์

ส่วนแบบที่ ๓ จัดสร้างประมาณ ๕-๑๐ องค์

ร่วมบุญองค์ละ ๓๐๐ บาท

บูชาได้ที่กุฏิใหญ่วัดบางพระที่เดียว (ไม่มีจัดส่งทางไปรษณีย์ครับ)

68

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) วัดบางพระ จ.นครปฐม
ทำพิธีลงแป้งเจิมหน้าผากแก่ผู้ที่มาร่วมบุญกับทางแผนกทุนนิธิองค์พระปฐมเจดีย์
บริเวณลานด้านหน้าฝั่งพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ วันพุธที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
(ภาพจากหลวงพี่เบียร์ วัดพระปฐมเจดีย์ฯ)




























:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ทั้งนี้ พระปลัดรัชวุฒิ รชวฺฒโฑ (หลวงพี่เบียร์) วัดพระปฐมเจดีย์ฯ
ท่านได้มอบ "ผ้ายันต์ ๙๙ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ" มาให้จำนวนหนึ่ง
จึงขอนำมาแจกให้กับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ จำนวน ๙ ผืน

รายละเอียดและกติกาการขอรับ "ผ้ายันต์ ๙๙ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ"

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมลงชื่อรับ "ผ้ายันต์ ๙๙ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ" ได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป

- ลงชื่อโพสเพื่อขอรับรางวัลได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถลงชื่อโพสเพื่อขอรับรางวัลได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพส) หากลงชื่อโพสซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ "ผู้ที่ลงชื่อโพสในกระทู้นี้ ๙ ท่านแรก"

- ผู้ที่ลงชื่อโพสเพื่อขอรับรางวัล ๙ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้ และไม่ทำผิดกติกา)!! จะได้รับ "ผ้ายันต์ ๙๙ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ" จำนวน ๑ ผืน (๑ ท่าน / ๑ ผืน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อโพสเพื่อขอรับรางวัล ๙ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้ และไม่ทำผิดกติกา) "ทุกท่าน" กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ลงชื่อโพสเพื่อขอรับรางวัล ๙ ท่านแรก และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

69
[shake]..ปิดกิจกรรมแล้วครับ..[/shake]

เกริ่นนำ

"งานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์" ถือได้ว่าเป็นงานประจำปีที่สำคัญมากที่สุดงานหนึ่งของจังหวัดนครปฐม ทุกๆ ปี ที่จัดงานก็จะมีวัตถุมงคลของที่ระลึกแจกให้กับผู้ที่มาร่วมบุญในงานเสมอมา แต่ละปีทางวัดก็จะอาราธนานิมนต์พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วประเทศไทยมาร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตอย่างมากมาย ซึ่งในช่วงที่หลวงพ่อเปิ่นยังดำรงขันธ์อยู่ท่านก็ได้รับอาราธนามาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลของทางวัดพระปฐมเจดีย์อยู่บ่อยครั้ง

ภาพหลวงพ่อเปิ่นกับพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครปฐม บันทึกไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐
(ส่วนวันที่และเดือนที่แน่นอนไว้จะสืบค้นมาลงให้อีกครั้ง)
ขอบคุณพี่นุ้ยเจ้าหน้าที่วัดพระปฐมเจดีย์ ที่แบ่งปันภาพมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

ปีนี้ (พ.ศ.๒๕๕๗) มีความพิเศษตรงที่ "เป็นปีที่พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครปฐม มีอายุครบ ๙๙ ปี" ทางวัดพระปฐมเจดีย์ฯ จึงได้เตรียมจัดงานฉลององค์หลวงพ่อพระร่วงโรจนฤทธิ์อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลของทางวัดพระปฐมเจดีย์ฯ ปีนี้ "พระครูประยุตนวการ (แย้ม ฐานยุตฺโต)" วัดสามง่าม จ.นครปฐม ได้เมตตาเดินทางมาร่วมพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นโอกาสพิเศษอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันนี้หลวงปู่แย้มท่านไม่รับกิจนิมนต์นอกวัดมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากลองสังเกตเทียบประวัติของหลวงปู่แย้มดูก็จะพบว่า "ปีนี้หลวงปู่แย้มท่านมีอายุครบ ๙๙ ปี เท่ากับอายุของหลวงพ่อพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ด้วยอีกประการหนึ่ง" (หลวงปู่แย้มท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๘) ผมเองได้มีโอกาสไปร่วมในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลของทางวัดพระปฐมเจดีย์ฯ มาเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ จึงเก็บภาพบรรยากาศบางส่วนมาให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้รับชมกัน









พระครูประยุตนวการ (แย้ม ฐานยุตฺโต) วัดสามง่าม จ.นครปฐม อายุ ๙๙ ปี
เมตตาเดินทางมาร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลที่ระลึกครบรอบ ๙๙ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ

มงคลวัตถุที่ระลึกที่ได้รับมาในวันงานพุทธาภิเษกของวัดพระปฐมเจดีย์ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
"เหล็กจาร ที่หลวงพ่อเปิ่น (และพระคณาจารย์อีกหลายรูป) เคยใช้จารแผ่นยันต์ที่วัดพระปฐมเจดีย์ฯ"

คำถาม

ภาพปริศนาสำหรับคำถามข้อที่ ๑

ข้อที่ ๑ "ชื่อวัดอย่างเป็นทางการ" (ตามฐานข้อมูล สำนักพุทธฯ) ที่รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่น (ในภาพปริศนา) ประดิษฐานอยู่ มีชื่อว่าวัดอะไร? (ย้ำว่าให้ตอบเป็นชื่อที่เป็นทางการเท่านั้น!!!)

ข้อที่ ๒ วันเกิดของพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม ตรงกับวันที่เท่าไหร่? เดือนอะไร? ของทุกปี

ข้อที่ ๓ เหรียญองค์พระปฐมเจดีย์รุ่นแรก (เหรียญที่มีรูปองค์พระปฐมเจดีย์ ที่จัดสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ใด?


ของรางวัล

๑. ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑ จำนวน ๓ ดอก (สุดท้าย)


ประวัติความเป็นมา คลิกอ่านได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30928.msg227079#msg227079

๒. กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ ปี ๒๕๔๑ (หลวงพ่อเปิ่นร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก)
 ประทับยันต์ลายมือพระคณาจารย์จังหวัดนครปฐม ๔ รูป ประกอบด้วย หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม, หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม และหลวงพ่อรอด วัดวังน้ำเขียว



รายละเอียดประวัติความเป็นมา คลิกอ่านได้ที่... http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30990

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ "ทุกท่านที่ตอบคำถามได้ถูกต้องครบทั้ง ๓ ข้อ"

- ๓ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้) ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๓ ข้อ ได้ถูกต้องทั้งหมด (และไม่ทำผิดกติกา)!! จะได้รับ "ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑" จำนวน ๑ ดอก + กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๑ แผ่น (ตะกรุดผู้การเสือ ๑ ดอก + กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๑ แผ่น "รวม ๒ ชิ้น" / ๑ ท่าน)

-สำหรับผู้ที่ตอบคำถามได้ถูกต้องครบทั้ง ๓ ข้อ (และไม่ทำผิดกติกา) ตั้งแต่ลำดับที่ ๔ เป็นต้นไป จะได้รับ "กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๑ แผ่น (กระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำนวน ๑ แผ่น "รวม ๑ ชิ้น" / ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ตอบคำถามทั้ง ๓ ข้อได้ถูกต้องทั้งหมด (และไม่ทำผิดกติกา) "ทุกท่าน" กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ทุกท่านที่ตอบคำถามทั้ง ๓ ข้อได้ถูกต้องทั้งหมด และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปีนี้ พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) วัดบางพระ จ.นครปฐม
ได้รับอาราธนานิมนต์ไปทำพิธีลงแป้งเจิมหน้าผาก
แก่ผู้ที่มาร่วมบุญกับทางแผนกทุนนิธิองค์พระปฐมเจดีย์
บริเวณลานด้านหน้าฝั่งพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ
ในวันพุธที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. เป็นต้นไป
(ภาพจากหลวงพี่เบียร์ วัดพระปฐมเจดีย์ฯ)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

70
วันศุกร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗

ระหว่างทำภารกิจลงพื้นที่เก็บข้อมูลงานวิจัยในจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว จึงได้หาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยือน "วัดทุ่งนานางหรอก" อันเป็นวัดเก่าที่หลวงพ่อเปิ่นเคยจำพรรษาอยู่ก่อนที่จะย้ายมาที่วัดโคกเขมา และวัดบางพระตามลำดับ เลยนำภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้รับชมกันครับ



ตัวช่วยสำหรับการเดินทางครั้งนี้ (แต่หากค้นหาคำว่า "วัดทุ่งนานางหรอก" ก็จะไม่เจอในแผนที่??)



บรรยากาศการเดินทาง


หลังจากหลงวนเวียนไปมาได้ซักพัก ก็มาเจอป้ายทางเข้า "วัดทุ่งนานางหรอก" จนได้




เข้ามาถึงบริเวณหน้าวัดก็จะเจอ "อนุสาวรีย์นางหรอก" ตั้งอยู่





โรงเรียนบ้านทุ่งนานางหรอก (อยู่ติดกับวัด)




เมื่อเข้าวัดมา สิ่งแรกที่ได้พบคือ "ศาลนางหรอก" ตั้งอยู่ด้านซ้ายติดกับประตูทางเข้าวัด








ด้านบนศาลามีพื้นที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตรงกลาง ด้านหลังเป็นกุฏิที่พักสงฆ์



ศาลาภายในประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นนั่งหัวเสือ (สะดุ้งกลับ) ตั้งอยู่ด้านหน้ากุฏิเจ้าอาวาส




รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นนั่งหัวเสือ (สะดุ้งกลับ)




อุโบสถวัดทุ่งนานางหรอก




ศาลาการเปรียญ (ศาลา ๗๐ ปี หลวงพ่อลำใย)




กุฏิเจ้าอาวาส




คล้ายจะเป็นศาลาปฏิบัติธรรมอีกหลัง ตั้งอยู่ด้านหลังวัด








บรรยากาศทั่วไป (เห็นแล้วอดนึกถึงวัดทุ่งเว้า จ.มุกดาหาร ไม่ได้)



รูปเหมือนพระครูถาวรกาญจนนิมิต วัดอินทาราม (หนองขาว) จ.กาญจนบุรี


หลังวัดจะมีทางลงไปยังธารน้ำ








เข้าวัดมาได้สักพักใหญ่ก็ไม่พบใครเลย จึงเดินออกมาหน้าวัด และได้มาพบกับคุณป้าที่เปิดร้านขายน้ำอยู่ จึงได้สอบถามประวัติวัดคร่าวๆ ได้ความว่า... ชื่อ "ทุ่งนานางหรอก" มีความเป็นมาจาก "คุณยายหรอก" ซึ่งเชื่อกันว่าได้อพยพหนีมาจากสงครามเก้าทัพ (หนึ่งในนั้นมีสมรภูมิทุ่งลาดหญ้าอยู่ด้วย) คุณยายหรอกได้ต่อสู้กับข้าศึกและอพยพหนีจากสงครามมาตั้งรกราก (เป็นคนแรก) บริเวณกลางทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ "ทุ่งนานางหรอก" ในปัจจุบัน ภายในวัดก็ได้สร้าง "ศาลรูปปั้นยายหรอก" ไว้ให้บูชาเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงคุณยายหรอกที่ได้มาตั้งรกรากสร้างบ้านแปลงเมืองที่บริเวณนี้เป็นคนแรก คนในพื้นที่นี้ต่างก็ยกย่องบูชาคุณยายหรอกไว้เป็นเสมือนกับบรรพบุรุษต้นตระกูล เมื่อสอบถามถึงประวัติหลวงพ่อเปิ่นเมื่อครั้งที่หลวงพ่อเปิ่นได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอกนี้ ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปสอบถามกับคุณป้าอีกคนหนึ่งที่เปิดร้านค้าขายของชำอยู่ก่อนถึงวัด


สอบถามชาวบ้านตามทางมาเรื่อยๆ จึงได้มาถึงร้านขายของชำดังกล่าว และได้มีโอกาสมาพบกับ "คุณป้าสุภาพ" ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติหลวงพ่อเปิ่นเมื่อครั้งที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอก




คุณป้าสุภาพ (เสื้อขาว) ผู้ให้ข้อมูล


สอบถามประวัติความเป็นมาของ "ยายหรอก" คุณป้าสุภาพให้ข้อมูลตรงกันว่า จากที่เล่าสืบต่อกันมา ยายหรอกแกได้ต่อสู้กับข้าศึกในสงครามเก้าทัพที่ทุ่งลาดหญ้า และได้อพยพหนีมาตั้งรกรากกลางทุ่งนาแห่งนี้ พื้นที่ตรงนี้จึงได้ชื่อว่า "ทุ่งนานางหรอก" แต่เดิมมีรูปปั้นยายหรอกอยู่ในวัดที่เดียว พอมีคนมาบนบานสานกล่าวแล้วประสบผลสำเร็จตามที่ขอมากๆ เข้า จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์รูปปั้นยายหรอก (รูปปั้นยืน) ไว้ที่หน้าวัดอีกที่หนึ่ง


ส่วนประวัติของหลวงพ่อเปิ่นเมื่อครั้งที่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอกนี้ คุณป้าสุภาพเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อเปิ่นท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอกตอนที่คุณป้าเรียนอยู่ประมาณชั้น ป.๒ ซึ่งก็จำปี พ.ศ. ที่แน่นอนไม่ได้เช่นกัน จำได้แต่ว่าคุณป้าเกิดปี ๙๐ ตอนหลวงพ่อเปิ่นมาอยู่ที่นี่ตอนนั้นอายุก็น่าจะราวๆ ๑๐ กว่าขวบ ลักษณะของท่านตอนนั้นเป็นภิกษุรูปร่างเล็กผิวค่อนข้างคล้ำ โดยหน้าที่ที่คุณป้าต้องรับใช้หลวงพ่อเปิ่นอยู่เป็นประจำก็คือ "ไปซื้อยาเส้นให้หลวงพ่อ" หลวงพ่อท่านเรียกใช้ก็ไปซื้อให้ท่านเป็นประจำ ครอบครัวที่บ้านก็จะสนิทชิดเชื้อกับหลวงพ่อเปิ่นท่านเป็นอย่างดี และตอนที่หลวงพ่อเปิ่นท่านอยู่ที่วัดนี้ท่านก็ไม่ได้มีการสักยันต์ และไม่มีการสร้างวัตถุมงคลแต่อย่างใด ส่วนกุฏิที่หลวงพ่อเปิ่นเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอกนั้นในปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว (ถูกรื้อไปนานแล้ว)


พอหลวงพ่อเปิ่นย้ายออกไปจากวัดทุ่งนานางหรอกแล้ว ก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวของท่านอีกเลย จนกระทั่งคุณป้าแต่งงานมีลูกมีครอบครัวแล้วจึงได้ยินข่าวคราวของหลวงพ่อเปิ่นอีกครั้ง โดยคุณพ่อของคุณป้าได้ยินชื่อเสียงของพระสักยันต์รูปหนึ่งในจังหวัดนครปฐมจึงเดินทางไปหาที่วัดโคกเขมา พอเห็นหน้าตาก็จำได้ว่าท่านคือหลวงพ่อเปิ่นที่เคยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งนานางหรอก ต่างฝ่ายก็ต่างถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน พอคุณพ่อของคุณป้ากลับมาบ้านก็มาเล่าให้คุณป้าฟังว่าไปเจอกับหลวงพ่อเปิ่นมา ตอนนี้อยู่ที่วัดโคกเขมา หลวงพ่อเปิ่นท่านยังฝากถามถึงคุณป้าสุภาพกลับมาด้วยว่า ไอ้หนูมันเป็นยังไงบ้าง แต่งงานมีลูกเต้ามีครอบครัวหรือยัง ฯลฯ หลังจากนั้นมานานพอสมควร คุณป้าสุภาพจึงได้มีโอกาสเดินทางมากราบนมัสการหลวงพ่อเปิ่นตอนที่ท่านย้ายมาที่วัดบางพระแล้ว (ส่วนรูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นนั่งหัวเสือ (สะดุ้งกลับ) ที่ตั้งอยู่ในวัด คุณป้าสุภาพให้ข้อมูลว่า หลวงพี่ต้อย วัดบางพระ ท่านมอบให้กับทางวัดทุ่งนานางหรอกไว้หลังจากที่หลวงพ่อเปิ่นมรณภาพแล้ว)




รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นนั่งหัวเสือ (สะดุ้งกลับ)




ผ้ายันต์หลวงพ่อเปิ่นภายในร้านค้าของคุณป้าสุภาพ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ส่งท้ายด้วยบรรยากาศลำธารหลังวัดทุ่งนานางหรอก (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น)
บันทึกภาพ-เก็บข้อมูลมาให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้รับชม
ความตั้งใจสำเร็จเสร็จสิ้นไปอีก ๑ งาน

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
เวลา ๒๐.๔๒ น.

71

หลายสัปดาห์ก่อนเกิดนึกเอะใจอย่างไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ จึงได้ไปค้น "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังหลวงปู่ทองสุข" ที่มีเก็บไว้ออกมาดู (เป็นเหรียญที่อากงของผมเก็บไว้ ซึ่งอากงเสียไปเมื่อปี ๒๕๓๙)

เมื่อพิจารณาไปได้สักพักก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า หลวงปู่ทองสุขท่านเป็นใคร? มีความสำคัญอย่างไร? และหลวงพ่อเปิ่นกับหลวงปู่ทองสุขมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรถึงได้สร้างเหรียญนี้ออกมา?

ความสงสัยทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่การแสวงหาข้อมูลประวัติหลวงปู่ทองสุขและการสร้างเหรียญรุ่นนี้ในที่สุด

หลายวันต่อมาระหว่างที่ช่วยงานหลวงพ่อสำอางค์บนกุฏิใหญ่ ช่วงจังหวะที่หลวงพ่อท่านว่างจากการรับแขกจึงได้ถือโอกาสสอบถามประวัติความเป็นมาของหลวงปู่ทองสุขกับท่าน

หลวงพ่อสำอางค์ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ความจริงหลวงปู่ทองสุขไม่ใช่พระ คือเป็นเพียงรูปปั้นรูปสักการะลักษณะคล้ายคนทั่วไป ตั้งอยู่ภายในศาล นิยมเรียกกว่า "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ศาลนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดบางพระมากนัก โดยตั้งอยู่ระหว่างวัดบางพระกับวัดกลางบางพระ ถ้าจะมาวัดบางพระก็ลองสังเกตทางซ้ายมือก่อนถึงวัดจะเห็นป้ายศาลพ่อปู่ทองสุขอยู่ทางซ้ายมือข้างทาง ประวัติความเป็นมาของพ่อปู่ทองสุขหลวงพ่อก็ไม่ทราบเช่นกัน โดยตั้งแต่เกิดมาหลวงพ่อก็เห็นมีศาลนี้อยู่แล้ว รู้แต่เพียงว่าชาวบ้านในตำบลบางพระและละแวกใกล้เคียงที่สัญจรผ่านไปมานิยมมาไหว้มาขอพรที่ศาลพ่อปู่ทองสุขแห่งนี้กันเป็นประจำ

ส่วนเรื่อง "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น-หลวงปู่ทองสุข" นี้ คาดว่าน่าจะสร้างในสมัยของ "กำนันเทียน" ราวๆ ปี ๒๕๓๐ กว่าๆ สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากการสอบถามกับผู้ใหญ่ในวัดบางพระที่ต่างยืนยันตรงกันว่า เหรียญรุ่นนี้น่าจะสร้างโดย "กำนันเทียน" (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งทันหลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิตปลุกเสกอย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้ข้อมูลคร่าวๆ มาแล้ว ผมจึงเดินทางมายัง "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ตามคำบอกเส้นทางจากหลวงพ่อท่าน เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม



แผนที่จาก google แสดงเส้นทางระหว่างวัดบางพระ-ศาลพ่อปู่ทองสุข


หากเลี้ยวซ้ายออกจากวัดบางพระแล้วตรงมาเรื่อยๆ จะเห็นทางเข้าศาลพ่อปู่ทองสุขด้านขวามือ


มองจากด้านขวาของทางเข้า "ศาลพ่อปู่ทองสุข" จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าวัดกลางบางพระ


หากวิ่งตามถนนด้านซ้ายของทางเข้า "ศาลพ่อปู่ทองสุข" จะตรงไปวัดบางพระ


ป้าย "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ริมถนน

เมื่อมาถึง "ศาลพ่อปู่ทองสุข" แล้ว จึงได้ลงไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ โดยจะสังเกตเห็นตัวอาคารที่ตั้งศาล ๑ หลัง และด้านข้างมีศาลาเล็กๆ ด้านในมีโต๊ะม้าหินวางไว้สำหรับเป็นที่นั่ง อีก ๑ หลัง ตรงบันไดทางขึ้นศาลทั้ง ๒ ฝั่ง จะสังเกตเห็นรูปปั้นกระบือสีดำฝั่งละตัว ภายในอาคารที่ตั้งศาล จะมีประดิษฐานพระพุทธรูป ๒ องค์ (ตรงกลางด้านซ้าย ๑ องค์ และด้านหลังทางซ้ายอีก ๑ องค์) และรูปปั้น (เข้าใจว่าเป็นรูปจำลองพ่อปู่ทองสุข) ไว้ให้บูชาจำนวน ๒ องค์ รูปร่างลักษณะทั้ง ๒ องค์จะมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือในมือขวาของรูปปั้นทั้ง ๒ องค์ จะถือพระขรรค์ รอบๆ จะเต็มไปด้วยดอกไม้พวงมาลัยเครื่องสักการะบูชาต่างๆ อาทิเช่น หุ่นละครรำ รูปปั้นสัตว์ชนิดต่างๆ ฯลฯ ด้านขวามือบนศาลจะมีป้ายเขียนว่า "พ่อปู่ทองสุข (ศาลตาขุน)" เมื่อลงมาด้านล่างบริเวณด้านหลังศาลจะสังเกตเห็นสวนหย่อมเล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้




บริเวณหน้าศาลพ่อปู่ทองสุข






รูปปั้นที่เข้าใจว่าเป็นรูปจำลองของพ่อปู่ทองสุขทั้ง ๒ องค์ ในมือขวาถือพระขรรค์


ป้ายชื่อศาลติดไว้ทางขวามือ




มุมมองทางด้านหลังรูปปั้น


มองจากด้านหลังศาลพ่อปู่ทองสุข


สวนหย่อมด้านหลังศาล



จั่วบนศาลาเล็กด้านข้างศาลทั้ง ๒ ฝั่ง เป็นลายไม้แกะสลัก

เมื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้ว จึงได้ไปสอบถามกับชาวบ้านในละแวกนั้นถึงประวัติความเป็นมาของ "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ต่อ ซึ่งทุกคนต่างให้ข้อมูลตรงกันว่าไม่มีใครรู้ประวัติที่แท้จริงของพ่อปู่ทองสุขว่าท่านเป็นใคร ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นมีศาลนี้อยู่ก่อนแล้ว ที่เห็นอยู่เป็นประจำก็คือจะมีคนนิยมมากราบไหว้ขอพร บ้างก็มาบนบานสานกล่าว เมื่อสำเร็จตามความประสงค์ก็จะนำของมาแก้บนเป็นปกติ โดยเฉพาะในช่วงวันขึ้นปีใหม่ทางศาลจะจัดพิธี "ส่งกะบาล" ผู้คนทั่วทุกสารทิศก็จะมาทำกระทงใบตองใส่อาหารคาวหวานกับรูปปั้นคนและสัตว์แทนคนและสัตว์ในบ้านมาเข้าพิธีกันอย่างล้นหลามจนเต็มลานหน้าศาล ส่วน "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น-หลวงปู่ทองสุข" นั้น ไม่มีใครรู้ประวัติการสร้างที่แน่นอนเช่นกัน แต่สันนิษฐานว่าจะสร้างในสมัยที่ "กำนันเทียน" เป็นผู้ดูแล "ศาลพ่อปู่ทองสุข" อยู่ ซึ่งกำนันเทียนเคยสร้างเหรียญพ่อปู่ทองสุขเพื่อหารายได้มาบูรณะศาลด้วยเช่นกัน โดยเหรียญพ่อปู่ทองสุขรุ่นแรกที่แกสร้างจะมีเขียนว่า "ท 1" กำกับไว้อยู่

พร้อมกันนี้ชาวบ้านได้แนะนำให้ผมเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่วัดกลางบางพระ ซึ่งมีทางลัดจากศาลพ่อปู่ทองสุขไปถึงวัดกลางบางพระได้ (ในใจผมเองก็กะว่าจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่วัดกลางบางพระอยู่แล้วเช่นกัน เพราะสังเกตเห็นป้ายประชาสัมพันธ์มงคลวัตถุรูปจำลองของพ่อปู่ทองสุขของวัดกลางบางพระติดอยู่ที่หน้าศาลพ่อปู่ทองสุข)



ป้ายประชาสัมพันธ์มงคลวัตถุรูปจำลองพ่อปู่ทองสุข ของทางวัดกลางบางพระ ติดไว้หน้าศาล

เมื่อเข้ามาถึงวัดกลางบางพระ ก็พอดีจังหวะได้มาเจอกับ "พี่ทิดมาร์ค" ที่แวะมาทำบุญที่วัดกลางบางพระพอดี จึงได้สอบถามถึงประวัติของ "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น-หลวงปู่ทองสุข" ได้ความว่า น่าจะสร้างโดย "กำนันเทียน" ราวๆ ปี ๒๕๓๐ กว่าๆ ซึ่งทันหลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิตปลุกเสกแน่นอน หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ผมจึงได้เข้าไปกราบเรียนถามประวัติของพ่อปู่ทองสุขกับท่านพระครูศรีสุตากร (อภิชาติ อภิญาโณ) เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ โดยหลวงพ่อท่านเมตตาเล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆ และได้นำเอกสารประชาสัมพันธ์มงคลวัตถุรูปจำลองพ่อปู่ทองสุขที่ทางวัดกลางบางพระกำลังจัดสร้างเพื่อหารายได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในวัดกลางบางพระ และซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลพ่อปู่ทองสุข มาให้ไว้ชุดนึง โดยท่านบอกว่าในนี้มีประวัติความเป็นมาของพ่อปู่ทองสุขที่รวบรวมไว้แล้วพอสมควรลองไปอ่านดู


พระครูศรีสุตากร (อภิชาติ อภิญาโณ) เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ รูปปัจจุบัน



จากเอกสารประชาสัมพันธ์มงคลวัตถุรูปจำลองพ่อปู่ทองสุขของวัดกลางบางพระ มีการกล่าวถึงประวัติความเป็นมาและรายละเอียดต่างๆ ของ "พ่อปู่ทองสุข" ไว้ดังนี้

ประวัติความเป็นมาพ่อปู่ทองสุข

จากตำนาน และหลักฐานที่ปรากฏ ไม่พบว่าศาลพ่อปู่ทองสุขสร้างขึ้นมาในสมัยใด จากรุ่นสู่รุ่นที่เล่าต่อกันมา ก็เห็นศาลพ่อปู่ทองสุขมาตั้งแต่จำความได้ ทุกคนต่างมีความเคารพความศรัทธากันมาโดยตลอด ไม่เฉพาะแค่ชาวตำบลบางพระเท่านั้น เพราะการสัญจรไปมา จะต้องผ่านศาลพ่อปู่ทองสุขตั้งแต่สมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

การดูแลศาลพ่อปู่ทองสุขที่ส่งต่อกันมาโดยลำดับ

จากอดีตที่ผ่านมา การดูแลศาลพ่อปู่ทองสุข ได้ส่งต่อผ่านกันมาคือ

๑. หลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ



หลวงปู่หิ่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ (ผู้ถ่ายทอดวิชาสักยันต์ให้แก่หลวงพ่อเปิ่น)

๒. พระอาจารย์เปลี่ยน ฐิตธมฺโม อดีตพระอนุสาวนาจารย์ วัดบางพระ


หลวงพ่อเปลี่ยน ฐิตธมฺโม พระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น

๓. กำนันสด แจ้งหงษ์วงษ์ อดีตกำนันตำบลบางพระ

๔. กำนันเทียน ปลื้มละมัย อดีตกำนันตำบลบางพระ

๕. กำนันสมควร รอดท่าไม้ กำนันตำบลบางพระ

๖. วัดกลางบางพระ โดย เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ

จากคำบอกเล่า หลวงพ่อหิ่ม วัดบางพระ ท่านเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบมาโดยตลอด เมื่อท่านถึงแก่มรณภาพลง พระอาจารย์เปลี่ยน วัดบางพระ ได้มาดูแล และดำเนินการต่อ ต่อมาพระอาจารย์เปลี่ยนจึงได้ยกมอบหน้าที่ให้กำนันสด แจ้งหงษ์วงษ์ เป็นผู้ดูแล เมื่อกำนันสดได้เกษียณอายุราชการ กำนันเทียน ปลื้มละมัย จึงเข้ามาดูแลรับผิดชอบพร้อมกับเป็นผู้บุกเบิกศาลพ่อปู่ทองสุขขึ้นมาใหม่ โดยการจัดสร้างศาลขึ้นใหม่ ปั้นรูปเหมือนองค์ใหม่ ปรับปรุงสถานที่พร้อมกับจัดงานประจำปี ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ต่อมาเมื่อกำนันเทียนเกษียณอายุราชการ กำนันสมควร จึงเข้ามาดูแลรับผิดชอบ และพัฒนาต่อมาโดยลำดับ ต่อมาคณะกรรมการเห็นสมควรให้วัดกลางบางพระเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ และทางวัดได้มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๓ ตำบลบางพระ เป็นผู้ดูแลโดยอยู่ในความรับผิดชอบของวัดกลางบางพระจนถึงปัจจุบัน

รูปเหมือนพ่อปู่ทองสุข

รูปเหมือนพ่อปู่ทองสุขที่ศาลนั้น ปัจจุบันมีอยู่ ๒ รูปเหมือน คือ รูปเหมือนเดิมที่นายแตง ทับเมฆา ได้ปั้นถวายไว้ ซึ่งสร้างแทนองค์เดิมที่ถูกคนวิกลจริตทำลายไป ต่อมาในสมัยของกำนันเทียนเป็นผู้ดูแล เห็นว่าองค์ที่นายแตงปั้นถวายไว้มีสภาพไม่ค่อยสมบูรณ์ จึงให้นายเกล้า สุกสีใส ซึ่งเป็นช่างปั้น จัดปั้นขึ้นมาใหม่อีก ๑ องค์ คือ องค์ที่กราบบูชาอยู่ปัจจุบันนี้



รูปปั้นพ่อปู่ทองสุของค์เก่า ที่นายแตง ทับเมฆา ปั้นถวายไว้


รูปปั้นพ่อปู่ทองสุของค์ใหม่ ที่นายเกล้า สุกสีใส ปั้นถวายไว้

ความเป็นมาเรื่องการทำบุญประจำปี

ในอดีต สมัยหลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต เป็นผู้ดูแลศาลพ่อปู่ทองสุข เมื่อใกล้งานทำบุญประจำปีศาลพ่อปู่ทองสุข (ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖) หลวงพ่อหิ่มจะให้คณะกรรมการล่องเรือตีหมุ่ย (ฆ้อง) ไปตามลำแม่น้ำท่าจีน และคลองต่างๆ เพื่อขอบริจาคสิ่งของมาเข้าโรงครัวในการจัดงานทำบุญประจำปีศาลพ่อปู่ทองสุข และมีประเพณีถวายสลากภัตต์มะม่วงสุกแด่พ่อปู่ทองสุข ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเมื่อถึงข้างขึ้นเดือน ๖ มะม่วงตามบ้านจะสุกเหลืองเต็มต้น ชาวบ้านจึงนิยมเก็บมาถวายพ่อปู่ทองสุขในงานทำบุญประจำปี จึงถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมา ปัจจุบันการจัดงานทำบุญประจำปีศาลพ่อปู่ทองสุข เลื่อนมาจัดในช่วงเทศกาลปีใหม่สากลของทุกปี คือในวันที่ ๑ มกราคม จะประกอบพิธีสวดมนต์เย็น และในวันที่ ๒ มกราคม จะประกอบพิธีทำบุญเลี้ยงพระในช่วงเช้า และถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้

ประเพณีส่งกะบาลพ่อปู่ทองสุข

ประเพณีส่งกะบาลในสมัยอดีตนั้นมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ชาวบ้านมีความเชื่อว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเพราะภูติผีปีศาจจะมาเอาชีวิต จึงได้ให้ผู้ที่มีความรู้มาทำพิธีส่งกะบาล โดยการนำเอาใบตองมาทำเป็นกระทงใส่ของคาวหวานเครื่องเซ่นไหว้ และปั้นหุ่นคนเจ็บใส่ลงไปด้วย เพื่อเป็นตัวแทนไม่ให้ภูติผีปีศาจเอาชีวิตไป จึงเป็นเหตุให้มีประเพณีนิยม ในการทำบุญประจำปีศาลพ่อปู่ทองสุข จะมีการปั้นหุ่นจำนวนคนในบ้าน จำนวนสัตว์ในบ้าน ใส่กระทง (โดยการแต่งอย่างวิจิตรสวยงาม) นำไปถวายพ่อปู่ทองสุขเพื่อให้ท่านได้ปกป้อง คุ้มครองรักษา ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย มีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต และการทำมาหากิน มีความร่มเย็นเป็นสุข จึงเป็นประเพณีนิยมของชาวบ้านผู้มีความศรัทธาถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้



ข้อสังเกตของพิธีส่งกะบาลพ่อปู่ทองสุข จะคล้ายกับพิธีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
ที่ให้ปั้นหุ่นเป็นรูปคนและสัตว์ตามจำนวนคนในบ้าน เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย
บันทึกภาพจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท (พระครูวิหารกิจจานุการ)
ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๔๘ หน้า ๒๕๑ (ISBN: ๙๗๘-๖๑๖-๙๐๗๖๓-๕-๓)

การบนบานสานกล่าวพ่อปู่ทองสุข

เล่ากันมาตั้งแต่ครั้งอดีต พ่อปู่ทองสุข เป็นที่พึ่งของชาวบ้านทั้งหลายทั้งใกล้ไกลที่สัญจรผ่านไปมา เมื่อเวลาที่เกิดทุกข์ภัย เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะพากันมาบนบานสานกล่าว ให้พ่อปู่ทองสุขช่วย ไม่ว่าจะเป็นของหาย ควายหาย คนในบ้านเจ็บป่วย สัตว์เลี้ยงเจ็บป่วย ซึ่งการบนบานสานกล่าวนั้น ก็สมประสงค์ตามที่ขอ จึงมีการบอกต่อปากต่อปากจนเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ต่างก็มาบนบานสานกล่าวกันเป็นจำนวนมาก ของที่นำมาแก้บน อาทิเช่น สำรับคาวหวาน เหล้า เบียร์ หัวหมู บายศรี ปลัดขิก พวงมาลัย ละครรำ เป็นต้น มีเรื่องกล่าวกันว่าบางคนเมื่อสมความประสงค์แล้ว ไม่ยอมมาแก้บนหรือลืม จะต้องมีเหตุต่างๆ ไปบ่งบอกให้รู้ว่าจะต้องมาทำการแก้บน ซึ่งต่อมาชาวบ้านผู้มีความศรัทธาจึงให้ความสำคัญในเรื่องการบนบานสานกล่าวนี้เป็นพิเศษ



คำบูชาพ่อปู่ทองสุข

กล่าวโดยสรุป ไม่มีใครทราบประวัติของ "พ่อปู่ทองสุข" ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร สร้างสมัยไหน และใครเป็นผู้สร้าง แต่ถึงอย่างไร "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวบ้านในตำบลบางพระและละแวกใกล้เคียงมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

และถึงแม้ว่าจะยังไม่ทราบประวัติที่ชัดเจนของ "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น-หลวงปู่ทองสุข" แต่จากประวัติในอดีตของ "ศาลพ่อปู่ทองสุข" ที่สืบค้นได้ว่าเคยอยู่ในความดูแลของหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ และหลวงพ่อเปลี่ยน ฐิตธมฺโม พระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น ก็พอจะอนุมานได้ว่า "พ่อปู่ทองสุขกับวัดบางพระ" มีความเชื่อมโยงผูกพันธ์กันมาก่อน

โดยในขณะนี้ทางวัดกลางบางพระได้จัดสร้าง "มงคลวัตถุรูปจำลองพ่อปู่ทองสุข รุ่น อยู่เย็นเป็นสุข" เพื่อหารายได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในวัดกลางบางพระ และซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลพ่อพ่อทองสุข ท่านใดที่มีความประสงค์จะร่วมบุญในครั้งนี้ก็เรียนเชิญได้ที่วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (อยู่ก่อนถึงวัดบางพระประมาณ ๑ กิโลเมตร)




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยสัมพันธ์ที่ทำให้ต้องแวะเวียนมาพบกัน
จากข้อสงสัยเรื่องประวัติ "เหรียญหลวงพ่อเปิ่น-หลวงปู่ทองสุข" ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
นำมาสู่การแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งพอดีกับช่วงจังหวะที่ทางวัดกำลังจัดสร้างรูปจำลองพ่อปู่ทองสุข
ไม่มีความบังเอิญ ทุกสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน (มาก่อน)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
เวลา ๒๐.๑๕ น.

72

เบี้ยแก้อุดผงเก่าหลวงพ่อเปิ่น


ด้านหน้า


ด้านหลัง


ผงพระเก่าหลวงพ่อเปิ่นตั้งแต่รุ่นแรกเรื่อยมา

เชิญร่วมบูชาเบี้ยแก้อุดผงเก่าหลวงพ่อเปิ่น (ผงพระเก่าหลวงพ่อเปิ่นตั้งแต่รุ่นแรกเรื่อยมา)

เลี่ยมพลาสติกถักเชือกเทียนสำหรับผูกข้อมือ หลวงพี่ต้อยอธิษฐานจิตปลุกเสก

ร่วมบุญบูชาเส้นละ ๖๐๐ บาท (มีจำนวนจำกัด) รายได้สมทบทุนกฐินกับหลวงพี่ต้อย

บูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ที่เดียวไม่มีจัดส่งไปรษณีย์

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

*หมายเหตุ

ที่กุฏิหลวงพี่ปาดมีธนบัตรขวัญธุง (แบงค์ ๑๐ บาท) หลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิตไว้เมื่อปี ๒๕๓๘ ไว้ให้บูชาด้วยเช่นกัน

ร่วมบุญบูชาใบละ ๑๐๐ บาท (มีจำนวนจำกัดเห็นเหลืออยู่แค่ ๑๐ กว่าใบ) รายได้สมทบทุนกฐินกับหลวงพี่ต้อย



ธนบัตรขวัญถุง หลวงพ่อเปิ่นอธิษฐานจิตไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘


หลวงพี่ต้อยฝากมาประชาสัมพันธ์บอกบุญมายังศิษยานุศิษย์
บันทึกภาพไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ณ กุฏิหลวงพี่ต้อย
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

73
[shake]!!!ปิดกิจกรรมแล้วครับ!!![/shake][/size]

คำถาม

ข้อที่ ๑. พิธี “อาจาริยปูชา” เป็นพิธีอะไร ? มีความหมายอย่างไร ? ของหน่วยงานใด ?

ข้อที่ ๒. ในหลวงองค์ปัจจุบัน เคยแช่งใครไหม ? แช่งว่าอย่างไร ?

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม


- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันอังคารที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ทุกท่านที่ตอบคำถามได้ถูกต้องทั้งหมด โดยสามารถเดินทางมารับรางวัลกับ "ผู้การเสือ" ได้ที่กุฏิ ลพ.ญา วัดบางพระ ในวันพุธที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ น. เป็นต้นไป

- ผู้ที่ตอบคำถามได้ถูกต้องทั้งหมดสามารถเดินทางมารับรางวัลกับ "ผู้การเสือ" ได้ที่กุฏิ ลพ.ญา วัดบางพระ ในวันพุธที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ น. เป็นต้นไป
โดย ๕ ท่านแรกที่มาติดต่อขอรับรางวัลกับ "ผู้การเสือ" จะได้รับ "พระสมเด็จ วัดเกศไชโย" ท่านละ ๑ องค์ (ลพ.เล็ก มอบให้ "ผู้การเสือ" มาเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ที่วัดให้เช่าบูชาองค์ละ ๑,๒๐๐ บาท) หลังจาก ๕ คนแล้ว ที่เหลือจะได้รับ "พระ ลพ. ทันใจ เนื้อผสมเหล็กไหล ด้านหลังฝังข้าวสารหิน (อายุ ๒,๕๐๐ ปี)" ผู้การเสือได้รับจากท่านรวย วัดหนองม่วง จ.ลพบุรี



พระสมเด็จ วัดเกศไชโย


พระ ลพ. ทันใจ เนื้อผสมเหล็กไหล ด้านหลังฝังข้าวสารหิน (อายุ ๒,๕๐๐ ปี)

*หมายเหตุ (พิเศษ)

ผู้ที่ตอบปัญหาข้อ ๒ ได้ถูกต้อง และมีวันเกิดตรงกับวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ใดก็ได้ ให้มารับรางวัล ลพ.เปิ่น(รุ่นอาเสี่ยเล็ก) ลพ.ญาให้ "ผู้การเสือ" มามอบเป็นรางวัล



ลพ.เปิ่น(รุ่นอาเสี่ยเล็ก)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

"พิพิธภัณฑ์ผู้การเสือ"


รูปที่ ๓
ผ้ายันต์ (ผ้าห่อศพ) ขนาด ๑ ม. x ๒ ม. คนวาดเป็นคนเดียวกันกับปั้นปูนหน้าบรรณกุฎิใหญ่
/ลพ.สำอางค์ เป็นผู้เขียนยันต์-อักขระกำกับด้วยตนเอง
(น้องชายเจ้าอาวาส เป็นผู้มอบให้ จำนวนสร้างไม่เกิน ๑๐ ผืน)




รูปที่ ๔
พบในกุฏิ ลพ.เปิ่น(ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) อจ.วัน(วัดโคกเขมา) มอบให้  
 
   

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:  
       

74
        เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) จะด้วยความบังเอิญหรือจังหวะของกระแสแห่งเหตุปัจจัยที่พัดพามาบรรจบกันก็ตามที ทำให้ผมได้เจอ “ตะกรุดใบลาน ๓ ห่วง” ที่หลวงพ่อท่านสร้างไว้ เป็นครั้งแรก และเพื่อยืนยันว่าตะกรุดที่เจอมานี้ใช่ของที่หลวงพ่อท่านสร้างไว้จริงๆ ผมจึงนำตะกรุดดอกนี้ไปขอความเมตตาหลวงพ่อให้ท่านช่วยพิจารณาให้อีกทีว่าใช่หรือไม่


ตะกรุดใบลาน ๓ ห่วง

        เมื่อส่งตะกรุดให้หลวงพ่อท่านดู ปรากฏว่าท่านจับดูพลิกไปพลิกมาสักครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า.. “ของที่กูทำไว้ตั้งแต่อยู่ใต้ศาลานี่หว่า มึงไปหามาจากไหนวะ” สิ้นเสียงของหลวงพ่อผมก็ได้แต่ยิ้ม นึกดีใจว่าใช่ตะกรุดที่หลวงพ่อท่านเคยสร้างไว้อย่างแน่นอน

        หลังจากนั้นอีกประมาณสองสามวัน ระหว่างที่แวะมาช่วยงานท่าน ผมก็ได้โอกาสกราบเรียนสอบถามท่านถึงประวัติการสร้าง หลวงพ่อท่านก็เมตตาเล่าให้ฟัง จึงได้นำรายละเอียดมาเล่าสู่กันฟังดังนี้..

        ตะกรุดชุดนี้ท่านทำไว้ตอนที่ท่านยังอยู่กุฏิใต้ศาลาการเปรียญ (ประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๒๓) สมัยนั้นหลวงพ่อเปิ่นท่านยังอยู่ที่กุฏิริมน้ำ ส่วนตัวท่านเองมีหน้าที่ตรวจตราข้าวของเครื่องใช้ของวัดที่ห้องเก็บของ (ใต้ศาลาการเปรียญในปัจจุบัน) ใครจะมายืมของวัดเพื่อไปใช้ในงานต่างๆ ท่านก็จะคอยอำนวยความสะดวกให้ ทั้งการยืม-คืน ทำความสะอาด ตรวจนับสิ่งของว่าครบถ้วนหรือไม่ เป็นต้น



ภาพหลวงพ่อตอนที่อยู่กุฏิใต้ศาลาการเปรียญวัดบางพระ

        ใบลานที่นำมาทำตะกรุดนี้ หลวงพ่อท่านเล่าว่าเป็นใบลานเก่าที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยหลวงปู่หิ่ม ในใบลานมีอักษรขอมจารึกไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ใบลานบางใบท่านลองอ่านดูปรากฏว่าจารึกพระปาฏิโมกข์ไว้) ท่านจึงนำใบลานนั้นมาตัดแบ่ง จากนั้นจึงหาผ้ามาตัดให้ขนาดพอดีกับใบลานที่ตัดไว้ โดยท่านเองได้เขียนบนผ้าด้วย “ยันต์ลงตะกรุดโทน” ตามตำราที่ท่านเรียนกับหลวงพ่อเปิ่นมา เมื่อเขียนยันต์ลงบนผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็นำใบลานมาม้วนคู่กับผ้ายันต์ จากนั้นก็หาเชือกมามัดใบลานกับผ้ายันต์ไว้เพื่อรอถักเชือกต่อไป (เชือกที่นำมาใช้ถักมี ๒ สี คือสีเขียวและสีเทา ซึ่งหลวงพ่อท่านถักตะกรุดด้วยตัวของท่านเอง โดยถักเป็นลักษณะตะกรุด ๓ ห่วง เอกลักษณ์จุดสังเกตของตะกรุดชุดนี้คือแทบทุกดอกจะต้องมีรอยต่อเชือก และขนาดของตะกรุดจะไม่เสมอกันทั้งดอกจะใหญ่ข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการม้วนใบลานและผ้ายันต์ที่ไม่เสมอกันทำให้เล็กข้างใหญ่ข้าง) หลังจากที่ถักเชือกตะกรุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้นำตะกรุดมาใส่ถาดเตรียมปลุกเสก (ซึ่งตะกรุดชุดนี้ท่านได้ปลุกเสกเดี่ยวด้วยตัวท่านเองภายในกุฏิ เป็นเวลา ๑ พรรษา)


ยันต์ลงตะกรุดโทนที่หลวงพ่อท่านใช้เขียนทำตะกรุดใบลาน ๓ ห่วง

*ผ้าที่ท่านนำมาใช้เขียนยันต์นั้น ท่านให้รายละเอียดเพิ่มเติมไว้ว่ามีผ้า ๓ สี ๓ ชนิดคละกันไป ดังนี้

๑.ผ้าสีขาว เป็นผ้าห่อศพบ้าง เป็นผ้าคลุมโลงศพบ้าง (ผ้าขาวบางผืนที่ได้มายังมีคราบน้ำเหลืองน้ำเลือดจากศพติดอยู่เป็นดวง)

๒. ผ้าสีเหลือง คือผ้าที่ตัดจากสบงบ้าง ผ้าอาบบ้าง ส่วนหนึ่งก็เป็นผ้าจีวรที่ญาติโยมถวายกับท่านไว้บ้าง

๓. ผ้าสีแดง เป็นเศษผ้าที่เหลือจากผ้าที่หลวงพ่อเปิ่นท่านใช้ทำเสื้อยันต์ยุคแรก (ที่ใช้แม่พิมพ์สักยันต์มาปั๊มยันต์ลงบนเสื้อ)



ผ้าแดงที่นำมาเขียนยันต์ได้มาจากเศษผ้าที่ตัดทำเสื้อยันต์หลวงพ่อเปิ่นยุคแรก


ตะกรุดดอกที่ได้มานี้ ด้านในเป็นผ้ายันต์สีแดง

        จำนวนการสร้าง ท่านบอกว่าท่านทำตามจำนวนใบลานที่ตัดแบ่งไว้ ใบลานมีเท่าไหร่ก็ทำตะกรุดไว้เท่านั้น รวมจำนวนที่สร้างไว้ทั้งหมดประมาณ ๕๐๐ ดอก

        เกี่ยวกับขั้นตอนการปลุกเสก ท่านใช้ “โองการยันนะรังสี” เป็นองค์ภาวนา ในตอนแรกยังมีสะดุดติดขัดอยู่บ้าง พอภาวนาไปได้สักพักก็เริ่มคล่องตัว คาถาที่ว่ายาวๆ ก็สามารถภาวนาไปได้อย่างราบรื่นเรื่อยไป พอจบก็ขึ้นใหม่ไปเรื่อยๆ ท่านปลุกเสกอยู่ ๑ พรรษา จึงได้นำออกมาแจกจ่าย



        พอปลุกเสกครบพรรษา ท่านก็ได้นำออกมาแจก โดยไม่ได้คิดราคาค่างวดอะไรแจกอย่างเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านจำได้ว่า มีนายทหารชื่อจ่าปรีชา แกนำขบวนผ้าป่ามาทอดที่วัดบางพระ ท่านก็นำตะกรุด ๓ ห่วง นี้มาแจกให้ไป หลังจากนั้นมาสักพักใหญ่ๆ (เป็นตอนที่หลวงพ่อเปิ่นท่านย้ายกุฏิจากกุฏิชายน้ำมาอยู่กุฏิด้านใน “กุฏิหลวงพี่ญาในปัจจุบัน” แล้ว) จ่าปรีชาก็กลับมาขอตะกรุด ๓ ห่วงกับหลวงพ่อเปิ่น โดยบอกว่าตนเองแขวนตะกรุดดอกนี้แล้วไปเจอประสบการณ์มา หลวงพ่อเปิ่นท่านหัวเราะแล้วชี้มาที่ท่านพร้อมกับบอกว่า ไปขอกับหลวงพี่อางค์ท่านนู่น ท่านเป็นคนทำฉันไม่ได้ทำ วันนั้นท่านบอกว่าได้นำตะกรุด ๓ ห่วงนี้ออกมาแจกไปอีกพอสมควร ไม่ช้าไม่นานก็แจกจนหมด พอท่านเล่าประวัติความเป็นมาจบ ท่านก็หยิบตะกรุดมาเป่าด้วย "โองการยันนะรังสี" ให้อีกรอบ


พอเล่าประวัติจบท่านก็เมตตาใช้ “โองการยันนะรังสี” เป่าตะกรุดให้อีกรอบ

ขอยุติกระทู้สุดท้ายแต่เพียงเท่านี้..ขอบคุณครับ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗
เวลา ๒๒.๑๕ น.

75


ประวัติหลวงพ่อนวล
           พระครูโพธิสารคุณ (นวล ธมฺมธโร) นามสกุล สุดใจแจ่ม เกิดวัน ๖ฯ๘ ค่ำ ปีฉลู วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๓๒ ที่ตำบลบางขันแตก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรนายพลู นางทรัพย์ สุดใจแจ่ม มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดา ๑๐ คน หลวงพ่อนวลเป็นบุตรคนที่ ๘


การศึกษาและรับราชการ
           เมื่อเยาว์วัยได้ศึกษาหนังสือไทยสำเร็จชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ และรับราชการมียศเป็นนายดาบ ผู้บังคับหมวดทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์


การศึกษาพุทธาคม
           ปฐมเหตุที่หลวงพ่อนวลมีความสนใจศึกษาพุทธาคม สืบเนื่องมาจาก เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ ขณะรับราชการ หลวงพ่อนวลได้ล้มป่วยลง ได้ทราบกิตติศัพท์ความเก่งกล้าสามารถของหลวงพ่อปาน จึงไปยังวัดบางนมโค และขอให้หลวงพ่อปานรักษาโรคให้จนหายขาด หลวงพ่อนวลมีความเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อปาน จึงฝากตัวเป็นศิษย์ ขอร่ำเรียนวิชาเวชศาสตร์แพทย์แผนโบราณ จนสามารถนำมาช่วยเหลือรักษาผู้เจ็บป่วยได้มากมาย เมื่อมาบวชอยู่ที่วัดโพธิ์ นอกจากนี้หลวงพ่อนวลยังได้ขอเป็นศิษย์ศึกษาพุทธาคมทุกแขนงจากหลวงพ่อปาน ได้เรียนทางด้านเจริญกรรมฐาน วิชาลบผงทำผงวิเศษตามตำรับของหลวงพ่อปาน วิธีทำของขลัง การลงยันต์ทอและยันต์เกราะเพชร อันเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อนวลศึกษาอยู่กับหลวงพ่อปานจนถึงปี พ.ศ.๒๔๗๔ เป็นเวลา ๕ ปีเต็ม จึงลาออกจากราชการมาอุปสมบทที่วัดโพธิ์ บางระมาด กรุงเทพมหานคร เมื่ออยู่ที่วัดโพธิ์ก็ศึกษาพุทธาคมกับหลวงพ่อนิ่ม ที่วัดโพธิ์ ส่วนหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยานั้น หลวงพ่อนวลได้รับการประสิทธิประสาทวิชาอาคม เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐





           ฉะนั้น จากลำดับการศึกษาพุทธาคมของหลวงพ่อนวล จากพระคณาจารย์ที่สูงด้วยวิทยาคมดังกล่าวมาแล้ว จึงไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลงใดๆ เลยว่า หลวงพ่อนวลจะสูงด้วยวิทยาคมเพียงใด อนึ่ง พระอาจารย์ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมสืบต่อจากหลวงพ่อนวล และได้ร่วมสร้างวัตถุมงคลกับหลวงพ่อนวลมาโดยตลอด คือ พระอาจารย์บุญมาก สัญญโม พระอาจารย์บุญมาก ท่านนี้ มีส่วนสำคัญในการสร้างวัตถุมงคลรุ่น พ.ศ.๒๕๓๕ ของวัดโพธิ์ เพื่อนำรายได้สร้างอุโบสถด้วย

อุปสมบท
           เมื่อลาออกจากราชการแล้ว อุปสมบทที่วัดโพธิ์ ตำบลบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๗๔

           พระครูภาวนาภิรมย์ (พลอย) เจ้าอาวาสวัดรัชฏาธิฐาน ธนบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์

           พระอาจารย์นิ่ม พุทฺธสโร วัดโพธิ์ และพระอธิการผาด ธมฺมชโต เจ้าอาวาสวัดทอง เป็นพระกรรมวาจาอนุสาวนาจารย์ มีนามฉายาว่า “ธมฺมธโร”

           หลวงพ่อนวล ได้บำเพ็ญอุปัชฌาย์วัตรและอาจริยวัตรตามหน้าที่พระนวกะ บำเพ็ญสมณกิจตามระเบียบของสำนักศึกษาคันถธุระและวิปัสสนาธุระ เอาใจใส่ต่อการศึกษาด้วยความวิริยะอุตสาหะ สอบประโยคนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ได้ในสนามหลวง สำนักเรียนวัดกาญจนสิงหาสน์ในปี พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๘๓ และ ๒๔๘๗ ตามลำดับ

           หลวงพ่อนวลเป็นผู้ตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม เมตตากรุณาสงเคราะห์แก่ญาติมิตรศิษยานุศิษย์ทั้งใกล้ชิดและห่างไกล ด้วยอัธยาศัยสุภาพอ่อนโยน สงเคราะห์ศิษย์ด้วยอามิสและธรรม ตั้งอยู่ในสังคมธรรมและสาราณียธรรมเป็นประจำ เนื่องจากหลวงพ่อนวลได้รับการศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ฉะนั้น เมื่อพระภิกษุ สามเณร ในวัดอาพาธ ท่านได้ปรุงยารักษาช่วยทำการปฐมพยาบาลอุบาสกอุบาสิกาที่มาฟังธรรม รักษาศีลในวัด ป่วยไข้ไปขอยาแก้โรค ท่านก็จัดให้โดยฐานเมตตานุเคราะห์ จนได้จัดสร้างอนามัย ๒ ชั้นขึ้นในวัด ด้วยทุนส่วนตัวและบอบุญเรี่ยไร การงานที่ท่านได้ปฏิบัติมาตั้งแต่เป็นพระอันดับจนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส


งานปกครอง
           พ.ศ.๒๔๗๘ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ พ.ศ.๒๔๘๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ปกครองบริหารกิจการของวัดตามพระธรรมวินัย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ตามอำนาจหน้าที่เรียบร้อยตลอดมา


งานศึกษา
           พ.ศ.๒๔๘๒ ตั้งสำนักศาสนศึกษาทั้งธรรมทั้งบาลีขึ้นในวัด สงเคราะห์พระภิกษุสามเณรปกครองและวัดที่ใกล้เคียงให้ได้รับความสะดวกในการศึกษาปริยัติธรรม หลวงพ่อนวลท่านเป็นครูสอนปริยัติธรรมด้วยตนเอง พ.ศ.๒๔๘๔ เปิดสอนบาลีโดยขอครูสอนบาลีจากท่านเจ้าคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระมงคลเทพมุนี เจ้าคณะอำเภอตลิ่งชันสมัยนั้น ท่านเจ้าคุณฯ ได้จัดส่งพระเปรียญมาเป็นครูสอนบาลีประจำสำนักวัดโพธิ์ หลวงพ่อนวลได้จัดส่งนักเรียนธรรมเข้าสอบในสนามหลวงประจำปี สังกัดสำนักเรียน วัดกาญจนสิงหาสน์ ธนบุรี สอบไล่ได้ทุกปีเสมอมา พระภิกษุสามเณรสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรนักธรรมของสนามหลวง สอบไล่ได้เป็นเปรียญ ๓ รูป การศาสนศึกษาซึ่งไม่เคยมีแต่เก่าก่อน หลวงพ่อนวลได้จัดให้มีขึ้นทั้งธรรมทั้งบาลี ทำให้วัดนี้เจริญก้าวหน้าทั้งฝ่ายปริยัติทั้งฝ่ายบริหาร พระภิกษุสามเณรในวัดผู้สมัครเรียนธรรมและบาลีได้สร้างหลักสูตรอุปกรณ์การศึกษาแจกพระภิกษุสามเณรอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา ส่วนในด้านการศึกษาวิทยาการทางโลก ท่านเป็นผู้อุปการะโรงเรียนประชาบาล ซึ่งตั้งอยู่ในวัดด้วยอุปกรณ์การศึกษา อำนวยความสะดวกแก่โรงเรียน พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการศึกษา พ.ศ.๒๔๙๙ จัดหาที่ดินสร้างโรงเรียนมัธยมวิสามัญศึกษา มีผู้ศรัทธาบริจาคที่นาจำนวน ๔ ไร่ ๒ งาน ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของวัด เจ้าของที่ดินถวายเป็นศาสนสมบัติของวัดโพธิ์ สำหรับสร้างโรงเรียน พ.ศ.๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวง


งานเผยแผ่
           ท่านได้ทำการเผยแผ่พระศาสนาด้วยวิธีการแสดงธรรมประจำวันธรรมสวนะและอบรมพระภิกษุสามเณรในปกครองสั่งสอนศีลธรรมจรรยา แก่นักเรียนโรงเรียนประชาบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาวิสามัญ ที่ตั้งอยู่ในวัดเป็นประจำ มีอุบาสก อุบาสิกา รักษาศีล ฟังธรรม ประจำวันธรรมสวนะ พระครูโพธิสารคุณเทศนาสั่งสอนเรื่องศีลและวัฒนธรรม บางคราวท่านได้ใช้วิธีสั่งสอนให้เส้นสิ่งที่ควรเว้น ทำสิ่งที่ควรทำแนะนำในทางสุปฏิบัติมีผู้เลื่อมใสยอมรับนับถือปฏิบัตินับว่าได้ผลในด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก




พระประธานในอุโบสถหลังเก่า วัดโพธิ์ บางระมาด กทม.


งานสาธารณูปการ
           วัดโพธิ์เป็นวัดโบราณ เสนาสนะถาวรวัตถุมีอุโบสถเป็นต้น ชำรุดทรุดโทรมมาก เพราะสร้างมานานปีโดยภัยธรรมชาติ นับแต่หลวงพ่อนวลดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์ของเก่าและสร้างขึ้นใหม่ ปรากฏตามบัญชีก่อสร้างปฏิสังขรณ์ดังนี้

           พ.ศ.๒๔๗๔ สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ๑ สาย กว้าง ๑.๐๐ เมตร ยาว ๒๐.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๙๐.๐๐ บาท

           พ.ศ.๒๔๗๕ สร้างวิหารคอมกรีต ๒ ชั้น จัตุรมุขหลังคาสร้างเป็นยอดเจดีย์ กว้าง ๖.๐๐ เมตร ยาว ๑๐.๐๐ เมตร ๑ หลัง ตั้งอยู่ที่กำแพงหน้าอุโบสถ สิ้นเงิน ๕,๐๐๐ บาทเศษ

           พ.ศ.๒๔๗๖ สร้างพระพุทธบาทจำลอง กว้าง ๕๐ ซม. ยาว ๑.๕๐ ซม. สิ้นเงิน ๒,๕๐๐.๐๐ บาทเศษ มีงานนักขัตฤกษ์เปิดให้ประชาชนนมัสการประจำปี

           พ.ศ.๒๔๗๗ สร้างกุฏิ ๒ หลัง กว้าง ๖.๐๐ เมตร ยาว ๒๐.๐๐ เมตร กว้างยาวเท่ากัน สิ้นเงิน ๗,๓๐๐.๐๐ บาท

           พ.ศ.๒๔๘๐ สร้างหอสวดมนต์ ๑ หลัง กว้าง ๑๖.๐๐ เมตร ยาว ๔๒.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๒๐,๗๖๕.๙๕ บาท

           พ.ศ.๒๔๘๒ สร้างส้วมคอนกรีตเสริมเหล็ก ๑ หลัง ๔ ห้อง กว้าง ๓.๐๐ เมตร ยาว ๘.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๑๐,๐๙๐.๕๘ บาท

           พ.ศ.๒๔๘๙ ปฏิสังขรณ์อุโบสถขึ้นใหม่ทั้งหลัง โดยกะเทาะปูนออกโบกปูนทำหลังคาใหม่ด้วยเงินต่างเจ้าของ มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทำด้วยปูน สิ้นเงิน ๕๙,๔๐๙.๔๕ บาท

           พ.ศ.๒๔๙๐ สร้างกำแพงแก้วรอบอุโบสถ ซุ้มประตู ๓ ซุ้ม เทพื้นคอนกรีตภายในกำแพงแก้วรอบอุโบสถ เป็นเงิน ๙๓,๔๐๐.๖๕ บาท
   พ.ศ.๒๔๙๓ สร้างกุฏิเจ้าอาวาส ๔ มุข ๑ หลัง ชั้นล่างเสาหล่อคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นบนเครื่องไม้ กว้าง ๑๐.๐๐ เมตร ยาว ๒๕.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๒๘๔,๓๙๐.๓๕ บาท

           พ.ศ.๒๔๙๙ สร้างโรงเรียนมัธยมวิสามัญศึกษา ๑ หลัง ๒ ชั้น กว้าง ๑๐.๐๐ เมตร ยาว ๔๕.๐๐ เมตร เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก ตัวอาคารไม้ หลังคามุงกระเบื้อง สิ้นเงิน ๒๑๘,๒๙๒.๐๐ บาท ด้วยทุนกระทรวงศึกษาธิการและมีผู้บริจาคสมทบ

           พ.ศ.๒๕๐๒ สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ทางเดินไปโรงเรียนมัธยมวิสามัญศึกษา ๑ สาย กว้าง ๑.๒๕ เมตร ยาว ๔๒.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๑,๖๖๘.๐๐ บาท

           พ.ศ.๒๕๐๓ สร้างศาลาท่าน้ำตรีมุขหน้าวัด หล่อคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลัง หลังคาคอนกรีตมุงกระเบื้องเคลือบ แบบไทยแกมสมัย กว้าง ๕.๕๐ เมตร ยาว ๗.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๕,๗๙๘.๘๕ บาท

           พ.ศ.๒๕๐๔ สร้างศาลาท่าน้ำหน้าวัด เสาปูน พื้นไม้ ช่อฟ้าคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ หลัง หลังหนึ่งกว้าง ๕.๐๐ เมตร ยาว ๘.๐๐ เมตร หลังหนึ่งกว้าง ๔.๕๐ เมตร ยาว ๗.๕๐ เมตร เป็นเงิน ๘,๕๗๕.๓๕ บาท

           พ.ศ.๒๕๐๕ สร้างสถานีอนามัยชั้นสอง เสาคอนกรีต ตัวอาคารไม้ กว้าง ๑๒.๐๐ เมตร ยาว ๒๘.๐๐ เมตร พร้อมทั้งเครื่องอุปกรณ์ห้องน้ำห้องส้วม ๑ หลัง ด้วยเงินต่างเจ้าของ รวม ๕๓,๘๐๗.๓๕ บาท มีแพทย์เจ้าหน้าที่อยู่ประจำ พระเณรในวัด นักเรียนและประชาชนตำบลนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยได้อาศัยอนามัยแห่งนี้

           พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๐๗ สร้างเขื่อนริมคลองหน้าวัด หล่อคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว ๑๗๕.๐๐ เมตร สิ้นเงิน ๖๑,๐๗๕.๕๐ บาท สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กจากอุโบสถถึงศาลาท่าน้ำ กว้าง ๒.๐๐ เมตร ยาว ๔๐.๐๐ เมตร พร้อมทั้งสะพานท่าน้ำ บันไดสองข้างมีลูกกรงรอบเป็นเงิน ๙,๕๐๕.๗๕ บาท




สมณศักดิ์
           พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมในท่านเจ้าคุณพระครูมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม ครั้งเป็นพระมงคลเทพมุนี เจ้าคณะอำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี

           พ.ศ.๒๔๘๓ เป็นพระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมในท่านเจ้าคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม ครั้งเป็นพระมงคลเทพมุนีเช่นกัน

           พ.ศ.๒๔๙๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (วัดโพธิ์) ที่ “ พระครูโพธิสารคุณ”

           พ.ศ.๒๕๐๗ ได้รับเลื่อนสมณศักดิเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ในราชทินนามเดิม





วัตถุมงคลของหลวงพ่อนวล
        พอเอ่ยอ้างชื่อหลวงพ่อนวล ในแวดวงสังคมนักอนุรักษ์พระเครื่องคงอาจยังไม่รู้จักกว้างขวาง ทั้งที่หลวงพ่อนวลได้รับการศึกษาวิทยาคมมาจากพระอาจารย์ที่โด่งดังในอดีตถึง ๓ รูป คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา และหลวงพ่อนิ่ม วัดโพธิ์ บางระมาด กรุงเทพฯ ชื่อเสียงที่เลื่องลือของหลวงพ่อนวล เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๒ คือการรักษาโรคตามหลักวิชาเวชศาสตร์แพทย์แผนโบราณ ที่ได้ศึกษามาจากหลวงพ่อปาน โดยเฉพาะผู้ที่ถูกคุณไสย์ คนบ้า ต้มยารักษาโรคนานาชนิด และต่อกระดูก หลวงพ่อนวลได้สร้างวัตถุมงคลเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ โดยนิมนต์หลวงพ่อจงจากวัดหน้าต่างนอกซึ่งเป็นอาจารย์มาร่วมปลุกเสกแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านบางระมาดจนหมดในปีนั้น พอปีต่อมาก็เกิดสงครามโลก วัตถุมงคลชุดนั้นได้ปรากฏคุณวิเศษเป็นที่ต้องการแสวงหากันมาก แต่เนื่องจากสร้างน้อยจึงไม่เป็นที่แพร่หลายทั่วไป ค่านิยมนับถืออยู่ในวงแคบเพราะบรรดาศิษย์และชาวบ้านบางระมาดที่ได้รับแจกเท่านั้น

หลวงพ่อนวลสร้างวัตถุมงคลต่อมาอีก ๒ ครั้ง กล่าวคือ
           เดือนเมษายน ๒๔๙๓ สร้างพระทั้งหมดพิมพ์เป็นพระในชุดประทับสัตว์ ๖ ชนิด แบบหลวงพ่อปาน (นก, ไก่, เม่น, ปลา, ครุฑ, และหนุมาน) กับพระสมเด็จ ๓ ชั้น และ ๗ ชั้น โดยสร้างด้วยผงที่ทำขึ้นจากยันต์เกราะเพชร ผสมเข้ากับผงเก่าของหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง พระชุดนี้หลวงพ่อนวลให้ชื่อว่า “พระหมอ” เพราะมีความประสงค์ต้องการให้ผู้ใช้นำไปทำอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดดุจเดียวกับพระหลวงพ่อปานซึ่งปรากฏผลว่ามีพระพุทธคุณใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน พระชุดนี้ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา ได้มาร่วมปลุกเสกด้วย

           เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ๒๕๐๒ เป็นการสร้างวัตถุมงคลครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อนวล มีทั้งพระเครื่องซึ่งผสมด้วยผงเก่าคราวสร้างพระเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ กับผงที่หลวงพ่อนวลทำขึ้นจากยันต์เกราะเพชรและผงของหลวงพ่อจง ตะกรุด และลูกอม ซึ่งใช้ผงสร้างพระมาปั้นเป็นลูกอม มีขนาดกะทัดรัด วัตถุมงคลชุดนี้ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา ได้มาร่วมปลุกเสกกับหลวงพ่อนวล เช่นเดียวกับเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓

           อนึ่ง มีข้อที่น่าสังเกตว่า การสร้างพระของหลวงพ่อนวลนั้นแม้จะเป็นไปตามตำรับวิทยาคมที่ได้รับการสืบทอดมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค โดยตรงก็ตาม แต่หลวงพ่อนวลก็หาได้ใช้เนื้อดินเผาสร้างพระเหมือนหลวงพ่อปานไม่ แต่จะเน้นการสร้างด้วยเนื้อผงแบบพระสมเด็จ ผสมด้วยผงวิเศษมากกว่า และยังมีบางพิมพ์ที่ผสมด้วยผงใบลานเผา เช่นพิมพ์พระขุนแผนกุมารทอง

           นอกจากนั้นพระรุ่น พ.ศ.๒๕๐๒ นี้ หลวงพ่อนวลกับพระอาจารย์บุญมาก สัญญโม ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อนวลจะร่วมกันจารอักขระยันต์ที่ได้รับการสืบทอดมาจากหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงทุกองค์ ซึ่งบางองค์ก็จารด้วยยันต์เกราะเพชร ลายมือการจารอักขระนั้นงดงาม และต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะ ในการจารมาก ส่วนแม่พิมพ์พระนั้นพระอาจารย์บุญมาก เป็นผู้แกะแม่พิมพ์ทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นพิมพ์ในรูปแบบพระสมเด็จ จะเป็นแบบทรงปรกโพธิ์ ทั้งนี้โดยถือเคล็ดว่า พระดังกล่าวสร้างขึ้นที่วัดโพธิ์และหลวงพ่อนวลก็เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ฉะนั้นการสร้างพระแบบสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ ย่อมยังผลให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้มีไว้บูชานั่นเอง





อวสานแห่งชีวิต
           หลวงพ่อนวลท่านปรารภจะไปพักผ่อนที่จังหวัดจันทบุรี นมัสการปูชนียวัตถุมงคลและชมโบราณสถาน แต่หาโอกาสไปไม่ได้ เพราะมีภารกิจมาก ทิ้งไปก็จะเสียการ จน พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านได้เดินทางโดยรถยนต์ แต่ก่อนจะไปได้ปรารภกับพระในวัดว่า “อายุมากแล้วตั้งใจจะไปให้ถึงบ่อพลอย เพื่อได้เห็นด้วยตาตนเอง” มีสามเณรผู้เป็นศิษย์ติดตามไป ๑ รูป ครั้นไปถึงจังหวัดจันทบุรีแล้ว ได้พักอยู่ที่บ้านศิษย์คนหนึ่งของท่าน ซึ่งได้ไปตั้งภูมิลำเนาประกอบอาชีพ อยู่ที่ตำบลบางกะจะ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ท่านได้ถึงมรณภาพ ที่บ้านศิษย์ของท่าน เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๐๙ ด้วยโรคลมปัจจุบันทันด่วน (หัวใจวาย) สิริอายุ ๗๘ ปี ๓๖ พรรษา เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดโพธิ์ ๓๑ ปี.




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



กราบขอบพระคุณ พระครูปลัดปราโมทย์ (หลวงพ่อช้าง ปโมทิโต) วัดโพธิ์ ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
ที่อนุเคราะห์ข้อมูลประวัติพระครูโพธิสารคุณ (หลวงพ่อนวล) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ กราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๕.๑๕ น.

76
ก่อนวันงาน








เช้าวันงาน
















บวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔










อ.เอกใหญ่


พี่กอล์ฟ เสน่ห์มอญ


บูชาพานครู ชำระหนี้สงฆ์


พระพุทธพักตร์
































ทอดผ้าป่าไหว้ครูบูรพาจารย์




















โปรยทาน


เตรียมครอบเศียร




เตรียมเริ่มพิธีภาคบ่าย (ปลุกอักขระ ปลุกมนต์ เป่ายันต์เกราะเพชร ประสะตัว หนุนดวง เสริมสิริมงคล)




พระครูปลัดปราโมทย์ ปโมทิโต (หลวงพ่อช้าง) วัดโพธิ์ ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ




พระครูประกาศโพธิกิตต์ (หลวงพ่อแดง) วัดโพธิ์ ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ










ประพรมน้ำพระพุทธมนต์


พระครูวิชัยพลากร (หลวงพ่อไม้) วัดมารวิชัย จ.พระนครศรีอยุธยา




อ.เอกใหญ่ ทำลูกอม (เทียนชัย) แจกผู้ร่วมพิธี








พระครูธีรวุฒิคุณ (หลวงพ่อเบี้ยว) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ


ของที่ระลึก


ชุดที่ระลึกบูชาพานครู


น้ำพระพุทธมนต์


ผ้ายันต์เกราะเพชร


สีผึ้งสัจจะบารมี (๓ สี)


เหรียญโปรยทาน


ผ้ายันต์หลวงพ่อปาน - ธงมหาพิชัยสงคราม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


ยันต์หลวงพ่อนวล วัดโพธิ์ บางระมาด ตลิ่งชัน กทม.



สมเด็จปรกโพธิ์ หลังจารยันต์ลายมือหลวงพ่อนวล วัดโพธิ์ บางระมาด ตลิ่งชัน กทม.


กรรมฐาน


สมเด็จพระพุทธพักตร์

 
:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

77
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / แบ่งปัน
« เมื่อ: 14 ส.ค. 2557, 05:17:44 »
เกริ่นนำสักเล็กน้อย..

หลายวันก่อนได้ไปอ่านหนังสือ "มโนมยิทธิและประวัติของฉัน" ของพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี อ่านไปถึงตอนที่หลวงพ่อท่านเล่าถึงประสบการณ์ของผู้ที่บูชาเหรียญหลวงพ่อปานที่ท่าน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) สร้าง ก็มาสะดุดอยู่ตรงประโยคที่ว่า..

"ประการที่ ๒ ผมเองคล้องเหรียญนี้ไปให้หมอฉีดยา หมอแทงไม่เข้า ต้องเอาเหรียญออกจากตัว จึงแทงเข้า"


ภาพจากหนังสือ "มโนมยิทธิและประวัติของฉัน"
ของพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

สัญญาความจำเก่าๆ ในอดีต ก็หวนมาให้ระลึกถึงอีกครั้งว่า..

ในช่วงที่ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย ตอนนั้นจำได้ว่ากำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ตรงกับปี พ.ศ.๒๕๔๕ ตรงกับปีที่หลวงพ่อเปิ่นมรณภาพพอดี (จำได้ว่าเคยไปร่วมกับทางโรงเรียนสิรินธรฯ ในการเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ๑๐๐ วันหลวงพ่อเปิ่นที่วัดบางพระด้วย) ซึ่งเป็นช่วงแรกๆ ที่ผมเองเริ่มสนใจเกี่ยวกับพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ และคนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาพระเครื่องคนแรกของผมก็ไม่ใช่คนอื่นไกล นั่นคือ "น้ายาม" ประจำโรงเรียนนั่นเอง

ทุกเย็นหลังเลิกเรียนระหว่างรอรถกลับบ้าน ก็จะมานั่งคุยเรื่องพระเครื่องเรื่องวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังต่างๆ กับน้ายามที่หน้าโรงเรียนเป็นประจำ เย็นวันหนึ่งน้ายามให้พระเครื่องผมมา ๑ องค์ แถมเล่าประสบการณ์ที่สัมผัสมากับตนเองว่า..

"น้าแขวนพระองค์นี้ แล้วตอนไปให้หมอฉีดยาที่โรงพยาบาล หมอฉีดยาให้ปรากฎว่า
เข็มฉีดยาแทงไม่เข้า ต้องอาราธนาพระออกจากคอก่อนถึงจะฉีดยาให้น้าได้"

พระที่น้ายามให้มาคือ
พระสมเด็จพระร่วง ๘๔ ปี (พ.ศ.๒๕๔๑) ของวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ซึ่งในตอนนั้นก็ถือว่าเป็นพระใหม่ที่เพิ่งสร้างได้ไม่กี่ปี



พระสมเด็จพระร่ววง ๘๔ ปี ที่น้ายามให้ไว้เป็นที่ระลึก

น้ายามบอกว่า "เก็บไว้ดีๆ นะ" ผมก็รับมาด้วยความรู้สึกขอบคุณปลาบปลื้มใจ และยังเก็บรักษาพระองค์นั้นไว้ตลอดจนถึงทุกวันนี้แม้น้ายามจะจากไปแล้วก็ตาม (ขอบคุณและระลึกถึงน้ายามชัชวาล ใจเพชร เสมอมา)


ที่หน้ากล่องใส่พระผมเห็นมีรูป "ธูป ๓ ดอก" ในใจผมสิ่งแรกที่คิดคือ พระรุ่นนี้น่าจะสร้างในปีที่มีเหตุการณ์ "ธูปยักษ์ถล่ม" แน่นอน

บันทึกไว้เล็กน้อยเกี่ยวกับความทรงจำเรื่องธูปยักษ์ พ.ศ.๒๕๔๑


ย้อนรำลึกถึงอดีตตอนที่มีข่าวธูปยักษ์ถล่ม ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดพระร่วงโรจนฤทธิ์ ซึ่งทางวัดพระปฐมเจดีย์จะจัดงานเป็นประจำขึ้นทุกปีในวันที่ ๒ พฤศจิกายน แต่ในปีนี้มีความพิเศษกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยทางวัดได้เปิดให้สาธุชนได้ร่วมบุญบูชาธูป (ดอกเล็กๆ ที่ใช้บูชาพระทั่วไป) เพื่อนำไปประกอบเข้าเป็น "ธูปยักษ์" จำนวน ๓ ดอก เพื่อไว้จุดถวายเป็นพุทธบูชาที่ด้านหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ด้านทิศเหนือ

เช้าวันนั้นก่อนออกจากบ้าน ผมเห็นคุณแม่ตระเตรียมสิ่งของเครื่องบูชา ดอกไม้ธูปเทียน ของไหว้ และไข่ต้มย้อมสีชมพูไว้ในตะกร้าเพื่อเตรียมนำไปบูชาในงานวันเกิดพระร่วงฯ ที่วัดพระปฐมเจดีย์เช่นทุกปี เมื่อคุณแม่มาส่งผมที่โรงเรียนอนุบาลสุธีธรแล้ว (ตอนนั้นรู้สึกว่ากำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๕ เป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้อาคารสีเขียวหลังใหม่) คุณแม่ก็นั่งรถไปวัดพระปฐมเจดีย์ต่อเพื่อไปร่วมงาน

สายๆ คุณครูในโรงเรียนก็เข้ามาแจ้งข่าวว่า "ธูปยักษ์ถล่ม" วันนั้นไม่เป็นอันเรียน ห่วงว่าคุณแม่จะเป็นยังไงบ้าง พอท่านมารับหลังเลิกเรียนจึงค่อยโล่งใจว่าคุณแม่ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายอะไร


พิธีปลุกเสกวัตถุมงคลในโอกาส ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ที่วัดพระปฐมเจดีย์ พ.ศ.๒๕๔๑

หลายอาทิตย์ก่อนในระหว่างพักผ่อนหลังจากอยู่ช่วยงานหลวงพ่อสำอางค์บนกุฏิใหญ่แล้ว ผมก็แวะเข้าไปหาหนังสือในสำนักงานวัดบางพระมาอ่านเล่น ซึ่งก็ไปเจอ "หนังสือที่ระลึกงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี พ.ศ.๒๕๔๑" เข้าเล่มหนึ่ง ด้านในมีรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับประวัติวัตถุมงคลและภาพพิธีปลุกเสก จากภาพก็จะเห็นพระคณาจารย์ที่มาร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลชุด ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ อาทิเช่น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม, หลวงพ่ออุตมะ วัดวังวิเวการาม, หลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า, หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม, หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ, หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม และที่สำคัญคือมีหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ พระผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่งของพวกเรารวมอยู่ด้วย จึงเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ สมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระให้ได้รับชมกันดังนี้






วัตถุมงคลรุ่น ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๑ ที่สร้างออกมานั้น นอกจากพระสมเด็จพระร่วงแล้ว ก็ยังมีกระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี ด้วยเช่นกัน (ปลุกเสกในพิธีเดียวกัน) โดยในกระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปีชุดนี้ จะมียันต์ที่เขียนด้วยลายมือพระคณาจารย์ของจังหวัดนครปฐม ๔ รูป เขียนไว้ด้วย มีรายนามดังนี้

๑.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม
๒.หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม จ.นครปฐม
๓.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม
๔.หลวงพ่อรอด วัดวังน้ำเขียว จ.นครปฐม



แบ่งปัน

เมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดพระปฐมเจดีย์ได้ค้นเจอกระดาษยันต์มงคล ๘๔ ปี พระร่วงโรจนฤทธิ์ที่เก็บไว้จำนวนหนึ่ง ทางวัดก็ได้นำออกให้บูชาเพื่อสมทบทุนงานบุญต่างๆ บ้าง แจกให้เป็นที่ระลึกกับผู้ที่ร่วมบุญบูชาวัตถุมงคลของทางวัดบ้าง (ที่วิหารฝั่งทิศเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์ยังมีให้ร่วมบุญบูชาอยู่อีกเล็กน้อย)

ทั้งนี้ ทาง "พี่นุ้ย" เจ้าหน้าที่ของทางวัดพระปฐมเจดีย์ก็ได้แบ่งมาให้ผมไว้จำนวนหนึ่ง ต้องขอขอบคุณพี่นุ้ยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ




ปล.คงได้นำมาแจกแบ่งปันกับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระในโอกาสต่อๆ ไป

78
งานหลวงภาคเช้า














ภาคสายในงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่อเปิ่นครบรอบ ๙๑ ปี ที่วัดบางพระ
























































ภาคค่ำในงานพิธีหล่อเทวดาประจำวันเกิด - บูชาพระเคราะห์ต่อชะตา ที่วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


















พระครูสังฆรักษ์อวยพร ฐิติญาโณ เจ้าคณะตำบลดอนยายหอม รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม จ.นครปฐม


พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ ธมฺมทินฺโน) เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ (แคแถว) จ.นครปฐม








พระครูสังฆรักษ์เสวก โชติธมฺโม เจ้าอาวาสวัดละมุด จ.นครปฐม


พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อกำไร อภิชาโน) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จ.นครปฐม




พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม




















































ขุนช้าง วัดละมุด

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับดวงและวันเกิด
(ตามตำราของวัดโคกเขมา "วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น")

๑ = ๖
๒ = ๑๕
๓ = ๘
๔ = ๑๗
๕ = ๑๙
๖ = ๒๑
๗ = ๑๐
๘ = ๑๒
๙ = ๙

๑ คู่มิตรกับ ๕
๒ คู่มิตรกับ ๔
๖ คู่มิตรกับ ๓
๘ คู่มิตรกับ ๗

๑ เป็นกาลกิณีของ ๒
๒ เป็นกาลกิณีของ ๓
๓ เป็นกาลกิณีของ ๔
๔ เป็นกาลกิณีของ ๗
๗ เป็นกาลกิณีของ ๕
๕ เป็นกาลกิณีของ ๘
๘ เป็นกาลกิณีของ ๖
๖ เป็นกาลกิณีของ ๑

ฯลฯ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ของที่ระลึก


กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ


กราบขอบพระคุณหลวงพี่ปาด


ยันต์ธงเขียนมือ ติดไว้ทั้ง ๔ ทิศ ในพิธีหล่อเทวดาประจำวันเกิดที่วัดละมุด


ชนวนโลหะ


เสื้อสามารถจากพี่หนึ่งและพี่สอง ขอบพระคุณครับ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๒๐ น.

79
[shake]!!..ปิดกิจกรรมแล้วครับ..!![/shake]


"การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งาม บริบูรณ์ ไม่ได้"


คำถาม

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวข้างต้นนี้ พระองค์ทรงพระราชทานไว้ในพิธีใด? เมื่อวันที่ เดือน พ.ศ.?


ของรางวัล

พระผง ลป.ไดโนเสาร์ ทรงระฆัง (รับมาจากมือท่าน) ลป.ไดโนเสาร์ จ.กาฬสินธิ์
(ปัจจุบันอายุ 90 ปี พรรษา 67)
เป็นพระป่า (ฉันในบาตร) เวลามากรุงเทพจะพำนักอยู่กับ ลป.วิริยังค์ วัดธรรมมงคล
ขอขอบพระคุณ “พระหนึ่ง” ลูกชายเศรษฐีแห่งหมู่บ้านปัญญา
ที่ได้บอกบุญและมีโอกาสใกล้ชิด ลป. ในวาระนี้ด้วย
"ผู้การเสือ"


กติกา

1. กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

2. สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

3. เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2557 เวลา 18.00 น.

4. โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

5. สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (1 ชื่อผู้ใช้งาน/ 1 โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

6. สมาชิกผู้ใดรู้ว่าคำตอบของตัวเองถูกต้อง (ใช้ระบบเกียรติศักดิ์ Honors system) ให้มารับรางวัล (รับแทนกันไม่ได้) เป็นพระผงทรงระฆัง ลป.ไดโนเสาร์ จ.กาฬสินธิ์ (1 ท่าน ต่อ 1 องค์)

7. มารับรางวัลกับมือ “ผู้การเสือ” (12 ส.ค. 2557) ที่กุฏิ ลพ.ญา (ลูกศิษย์ ลพ.ญา ร่วมออกร้านอาหาร เชิญครับ Free)


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


***หมายเหตุ***

“พิพิธภัณฑ์ผู้การเสือ” รูปที่ 1
ปีที่1 ฉบับที่ 1  1ม.ค.35


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


“พิพิธภัณฑ์ผู้การเสือ” รูปที่ 2
กัลยาณมิตร มอบให้ “ผู้การเสือ” นานมากแล้ว


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


“พี่2” ประธาน TNN มอบเสื้อสามารถผ่าน “พี่1” มามอบให้ “สิบทัศน์” ด้วยความปรารถนาดี


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ขอบคุณ "พี่1" และ "พี่2" มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)


 :054::001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :054:

80

ทั้งนี้ หลวงพี่ต้อยท่านได้ทำลอคเกตหลวงพ่อเปิ่นเพื่อมอบให้แก่ผู้ที่ร่วมบุญในครั้งนี้ด้วย




รายละเอียดลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น

- ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่นครึ่งองค์ ฉากสี (มี ๔ สี) ด้านหลังอุดเหรียญหัวโตหลวงปู่ทวด และจีวรหลวงพ่อเปิ่นทุกองค์

- จำนวนสร้างรวมทั้งหมด ๒๐๐ องค์

- มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ร่วมบุญสมทบทุนกฐิน ณ วัดเวียงแก้ว ร่วมบุญบูชาองค์ละ ๓๐๐ บาท

- เปิดให้บูชาวันนี้เป็นวันแรก (วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗)

- ร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ได้ที่เดียว ไม่มีจัดส่งไปรษณีย์



อนุโมทนาบุญกับทุกท่านล่วงหน้าครับ
..สาธุ สาธุ อนุโมทามิ..

81
[shake]ปิดกิจกรรมแล้วครับ[/shake]

คำถาม

๑. โครงการหมู่บ้านศีล ๕ “ที่เริ่มดำเนินการกันทุกจังหวัดในประเทศไทยแล้วนั้น” เป็นโครงการของใคร (หน่วยงานใด)?

๒. “๑๐๐ ปี หลวงพ่อเปิ่น” (หากหลวงพ่อเปิ่นยังมีชีวิตอยู่) จะตรงกับวันที่เท่าไหร่? เดือนอะไร? ปี พ.ศ. อะไร?   

๓. ฉายาของหลวงพ่อเปิ่น “ฐิตคุโณ” เขียนคำอ่านได้ว่าอย่างไร? (เขียนตัวสะกดให้ถูกต้อง)

ตัวอย่างเช่น: “ปภสฺสโร” อ่านว่า ปะ – พัด – สะ – โร,
“คมฺภีโร” อ่านว่า คำ – พี – โร. เป็นต้น

๔. วัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) เดิมมีชื่อวัดว่าอะไร?

๕. “ลำดับสมาชิกของท่าน” คือหมายเลขอะไร? (ให้ตอบเป็นเลขไทย)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ของรางวัล

๑. เหรียญบูชาคุณหลวงพ่อเปิ่น หลังองค์พิฆเณศวร "เนื้อโลหะกะไหล่ทองลงยา ๔ สี (แดง, ขาว, เขียว, น้ำเงิน)" จำนวน ๑๐ เหรียญ


รายละเอียดข้อมูลของเหรียญดูได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30933

๒. ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑ จำนวน ๕ ดอก


ประวัติความเป็นมา คลิกอ่านได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30928.msg227079#msg227079

๓. สติ๊กเกอร์รูปหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี (ผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสกแล้ว) จำนวน ๕ แผ่น



ภาพในอดีต: หลวงพ่อเปิ่นร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลหลวงปู่โต๊ะที่วัดประดู่ฉิมพลี

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ๑๐ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๕ ข้อ ได้ถูกต้องทั้งหมด (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ๑๐ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๕ ข้อ ได้ถูกต้องทั้ง ๕ ข้อ!!

ลำดับที่ ๑-๕ จะได้รับ "เหรียญบูชาครูหลวงพ่อเปิ่น" ๑ เหรียญ + "ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑" จำนวน ๑ ดอก + สติ๊กเกอร์หลวงปู่โต๊ะ ๑ แผ่น (เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ๑ เหรียญ + ตะกรุดผู้การเสือ ๑ ดอก + สติ๊กเกอร์หลวงปู่โต๊ะ ๑ แผ่น "รวม ๓ ชิ้น" / ๑ ท่าน)

ลำดับที่ ๖-๑๐ จะได้รับ "เหรียญบูชาครูหลวงพ่อเปิ่น" ๑ เหรียญ (รวม ๓ ชิ้น / ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด ๑๐ ท่านแรก กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ในกรณีที่มีผู้ตอบคำถามถูกทุกข้อ แต่ไม่ครบ ๑๐ ท่าน รวมถึงในกรณีที่ไม่มีผู้ตอบคำถามถูกทุกข้อแม้แต่คนเดียว จะขอความเมตตาจากหลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ จับสลากจากรายชื่อผู้ที่ร่วมกิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัลทั้ง ๓ ครั้ง ทุกท่าน (ที่ไม่ทำผิดกติกา) จำนวน ๑๐ รายชื่อ เพื่อรับรางวัลดังกล่าวแทนทั้งหมด


หมายเหตุ - ผู้ที่ร่วมกิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัลทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ก็จะได้สิทธิ์ตามจำนวนครั้งที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วย เช่น เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง ๒ ครั้งที่ผ่านมา ก็จะได้ ๒ สิทธิ์ (๒ สิทธิ์ คือ มีรายชื่อ ๒ สลาก) หากร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ก็จะได้เพิ่มอีก ๑ สิทธิ์ รวมเป็น ๓ สิทธิ์ หรือ เพิ่งเข้าร่วมกิจกรรมตอบคำถามครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็จะได้รับเพียง ๑ สิทธิ์ (สลาก ๑ รายชื่อ) เป็นต้น.

- ผู้ที่ได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๓.๒๒ น.

82
[shake]ปิดกิจกรรมแล้วครับ[/shake]

[shake]? ? ? ภาพปริศนา รอยสักยันต์วัดบางพระ ? ? ?[/shake]

คำถาม

๑. รอยสักยันต์จากภาพปริศนา เป็นรอยสักรูป "สัตว์ชนิดใด" ?

๒. รอยสักยันต์จากภาพปริศนานี้ พระอาจารย์รูปใดเป็นผู้สัก? (ฝีเข็มของพระอาจารย์รูปใด)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ของรางวัล

๑. เหรียญบูชาคุณหลวงพ่อเปิ่น หลังองค์พิฆเณศวร "เนื้อโลหะกะไหล่ทองลงยา ๔ สี (แดง, ขาว, เขียว, น้ำเงิน)" จำนวน ๕ เหรียญ

หลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกให้อีกวาระหนึ่ง (เหรียญนี้เข้าพิธีพุทธาภิเษกมาหลายวาระแล้ว) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย เวลา ๑๔.๕๙ น. "เทวีฤกษ์"

(เทวีฤกษ์ คือ ฤกษ์ที่มุ่งให้เกิดโชคลาภ ความมีเสน่ห์ และการสมความปรารถนา ตามความเชื่อ)

*หมายเหตุ* - เหรียญรุ่นนี้ที่มีจารอักขระ "พุท โธ" ที่ด้านหลังเหรียญ มีเพียง ๑๐๐ องค์เท่านั้น (ทั้ง ๕ เหรียญที่นำมาแจกในกิจกรรมครั้งนี้ อยู่ในชุดเดียวกันกับที่มีจารอักขระ "พุท โธ" ที่ด้านหลังเหรียญเช่นกัน)






๒. ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑ จำนวน ๕ ดอก


ประวัติความเป็นมา คลิกอ่านได้ที่.. http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30928.msg227079#msg227079

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด (หากทำผิดกติกาถือว่าสละสิทธิ์)

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ๕ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๒ ข้อ ได้ถูกต้องทั้งหมด (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ๕ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๒ ข้อ ได้ถูกต้องทั้ง ๒ ข้อ!! จะได้รับ "เหรียญบูชาครูหลวงพ่อเปิ่น" ๑ เหรียญ + "ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑" จำนวน ๑ ดอก (เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ๑ เหรียญ +ตะกรุดผู้การเสือ ๑ ดอก "รวม ๒ ชิ้น" / ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด ๕ ท่านแรก กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด (๕ ท่านแรก) และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

คำถามคงไม่ยากจนเกินไปนะครับ
ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๘.๑๗ น.

83
[shake]ปิดกิจกรรมแล้วครับ[/shake]


เกริ่นนำ..ประวัติความเป็นมาของ "ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑"

๑. สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมปัจจัยถวาย ลพ.ต้อย (อาพาธครั้งแรก) ดอกละ ๒๐๐ บาท

๒. จารในโบสถ์เก่าวัดบางพระ (ช่วงจารนกร้องเสียงเซ็งแซ่ตลอดเวลา - พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า)

๓. จารพระพุทธเจ้า ๑๖ พระองค์ (ตัวผู้ และตัวเมีย)

๔. ปลุกเสกในบาตร (ท่านเจ้าคุณ "พระราชญาณกวี" มอบให้ - บาตรแรกของการเป็นพระ)

๕. ลพ.ต้อย + ลพ.ญา + ลพ.นัน จารอักขระรอบฝาบาตร + บนฝาบาตร + ใต้ฝาบาตร

    อนุโมทนาบุญในกาลนี้, ลพ.ญา + ลพ.นัน มอบวัตถุมงคลร่วมด้วย (เพื่อรวบรวมปัจจัยถวาย ลพ.ต้อย)

๖. จำนวนสร้าง ๙๙ ดอก (ส่วนมากอยู่ที่ตำรวจทั่วประเทศ ซึ่งร่วมทำบุญเหมาไปเกินครึ่ง)

๗. ผู้การเสือได้มอบไว้ให้กระผมจำนวน ๙ ดอก (จารในวาระแรก แต่ยังไม่ได้ตัดจากแผ่นเงิน) สุดท้ายแล้ว

๘. นำมาแจกในกิจกรรมทายปัญหาชิงรางวัลครั้งนี้ จำนวน ๕ ดอก (ที่เหลือไว้แจกในกิจกรรมครั้งต่อๆ ไป)


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ประมวลภาพ ขณะที่ผู้การเสือจารตะกรุดรุ่น ๑ ภายในอุโบสถเก่าวัดบางพระ (ภาพโดยพี่จ๊อบ "ข้าวหลามตัด")
ที่มาของภาพ:
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29087.0













๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒

เกร็ดความรู้จาก..ผู้การเสือ

พระพุทธเจ้า ๑๖ พระองค์ เป็นหัวใจพระอรหันต์

นะ มะ นะ อะ

นอ กอ นะ กะ

กอ ออ นอ อะ

นะ อะ กะ อัง

แก้ สรรพทุกข์, สรรพโศก, สรรพโรค, สรรพภัย แก้คุณไสย มีอิทธิฤทธิ์เหนือความคาดหมาย.

สมัยก่อน วันไหว้ครู (ลพ.เปิ่นยังมีชีวิตอยู่) พวกเราจะนอนที่กุฏิ ลพ.ต้อย เด็กหนุ่มคนใต้เป็นผู้ให้คาถานี้แก่ผม บอกว่าถ้าท่องผิดจะเป็นบ้า แต่ท่องถูก และท่องอยู่ ๓ ปี จะอยู่ยงคงกระพัน สำนักทางใต้จะใช้คาถานี้ทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งท่านขุนพันธ์ฯ

ผมจึงพยายามท่องไม่ให้ผิด..ต่อมาทราบว่ามี "ตัวผู้ - ตัวเมีย" ด้วย จึงหัดท่องได้ทั้งคู่..ละครับ.

ผมท่องคาถานี้ไม่เว้น..แม้แต่วันเดียว..ขอให้น้องๆ หัดหมั่นท่องไว้นะครับ...ดีแน่!


(๑๒ ปี ลพ.เปิ่นมรณภาพ)
"ผู้การเสือ"
(๓๐ มิ.ย ๕๗)


๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓

คำถามจาก..ผู้การเสือ

๑. บรรดาศักดิ์ "ท่านขุน" คนสุดท้ายที่มีชีวิตของประเทศไทย คือใคร?
    *ตอบให้ครบทั้งยศ - ราชทินนาม  และเขียนให้ถูกต้องทุกตัวสะกด

๒. "อัศวินแหวนเพชร" คนแรกของประเทศไทย คือใคร?
    *ตอบให้ครบทั้งยศ - ชื่อ - นามสกุล และเขียนให้ถูกต้องทุกตัวสะกด

๓. ชาญ, ตาล และผม ไปกราบ ลพ.คูณ และขอให้ ลพ.คูณ เขียนยันต์ลงในธนบัตร, ลพ.คูณ ปฏิเสธ และสอนว่า ธนบัตรมีรูปในหลวงอยู่ ไม่ควรขีดเขียนอะไรลงไป ซ้ำยังสอนว่าให้ไว้หัวนอนบูชา คำถามคือ ในกรณีเขียนยันต์ลงในธนบัตร ตาม พ.ร.บ. ของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กำหนดโทษไว้หรือไม่ อย่างไร?

๔. มีลายสักยันต์ของวัดบางพระ (ยันต์เดียว) ที่ไม่สักให้ผู้หญิง คือยันต์อะไร?

๕. "ผู้การเสือ" พ.ค. ๕๗ นี้ อายุครบเท่าไร?



๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม "ทายปัญหา..ชิงรางวัล ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑"

- กรุณาปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เปิดให้ร่วมตอบคำถามได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป, ปิดรับคำตอบในวันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.

- โพสตอบคำถามได้ในกระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้น

- สามารถโพสตอบคำถามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (๑ ชื่อผู้ใช้งาน/ ๑ โพสคำตอบ) หากโพสตอบซ้ำ จะถือว่าทำผิดกติกา

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ๕ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๕ ข้อ ได้ถูกต้องทั้งหมดทุกข้อ (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ๕ ท่านแรก ที่โพสตอบคำถามทั้ง ๕ ข้อ ได้ถูกต้องทั้งหมดทุกข้อ!! จะได้รับ "ตะกรุดผู้การเสือ รุ่น ๑" (จำนวน ๑ ดอก / ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด ๕ (ท่านแรก) กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด (๕ ท่านแรก) และได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมาย) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)


๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๕.๒๑ น.

85
เหรียญวิวองค์พระปฐมเจดีย์รุ่นแรก เนื้อเงิน หลังแบบ



เหรียญเสมาหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม รุ่น ๒ ผิวไฟ



เหรียญเสมาหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม รุ่น ๖ รอบ



เหรียญโก๋ใหญ่หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ๐๖



พระสมเด็จหลวงพ่อวัดไร่ขิง พิมพ์กลาง ปี ๑๔



ลอคเก็ตหลวงพ่อเปิ่น เลี่ยมทองเดิม (ได้มาอีกองค์)


86

       ข้อห้ามและข้อปฏิบัติ (สำหรับผู้สักยันต์) จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสำนัก

        วันนี้จึงขอนำเสนอข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้สักยันต์ของทางวัดบางพระ (ในปัจจุบัน) ที่ได้เรียนสอบถามกับท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ดังนี้

        ๑. ห้ามด่าพ่อแม่บุพการี (ทั้งของตนเองและผู้อื่น)
        ๒. ห้ามผิดลูกผิดเมียผู้อื่น (ผิดลูก หมายถึง ไปล่วงเกินลูกของผู้อื่น กล่าวคือผู้ที่ยังมีผู้ปกครองดูแลอยู่, ผิดเมีย หมายถึง ไปล่วงเกินภรรยา รวมถึงสามีของผู้อื่น และคนที่มีคู่ครองอยู่แล้ว ด้วยเช่นกัน)
        ๓. ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย
        ๔. ห้ามลอดสะพานหัวเดียว (สะพานหัวเดียว มีลักษณะเป็นสะพานริมตลิ่งที่ยื่นลงไปในแม่น้ำ)
        ๕. ห้ามลอดราวตากผ้า (ราวแขวนเสื้อผ้าขายแบบในตลาดทั่วไปไม่ได้ห้าม)
        ๖. หมั่นรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด

        ในสมัยก่อนจะมีห้ามกินมะเฟือง น้ำเต้า ฯลฯ แต่ปัจจุบันไม่ได้ห้ามแล้ว โดยหลวงพ่อท่านบอกว่า "ขืนห้ามกินมีหวังอดตาย!!" (ประหนึ่งว่าท่านให้พิจารณาว่าคุณค่าแท้ของการกินอาหารเป็นไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายให้ดำรงอยู่ได้เพียงเท่านั้น)

        สำหรับผู้ที่ประพฤติผิดข้อห้ามและข้อปฏิบัติ ก็จะมีผลทำให้อิทธิคุณของรอยสักพร่องไปไม่สมบูรณ์ หรือที่เรียกกันว่า "ของเสื่อม"

        วิธีแก้ไขสำหรับผู้ที่ประพฤติผิดข้อห้ามและข้อปฏิบัติมี ๒ วิธี (อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้) คือ

        ๑. ขอขมาลาโทษสำนึกต่อสิ่งที่ได้เผลอทำพลาดพลั้งไป แล้วมาให้หลวงพ่อสำอางค์ท่านเป่าครอบให้ใหม่อีกครั้ง (ทำผิดอีกก็ต้องมาเป่าครอบใหม่อีกเรื่อยไป)
        ๒. เข้าพิธีไหว้ครูใหญ่ของทางวัดบางพระ (ไหว้ครูประจำปี) ในพิธีไหว้ครูก็จะจัดให้มีมีการกล่าวบูชาครู การขอขมาลาโทษครูบาอาจารย์ต่อสิ่งที่ได้กระทำผิดสัจจะคำครู เป็นต้น

        ส่วนที่เข้าใจกันว่าเมื่อเข้าพิธีไหว้ครูเพียงครั้งเดียวแล้วจะทำให้รอยสักไม่เสื่อมตลอดไป อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะเมื่อเข้าพิธีไหว้ครูแล้วไปทำผิดข้อห้ามข้อปฏิบัติอีก อิทธิคุณของรอยสักก็จะพร่องไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมอีกเช่นกัน

        ดังนั้น ทางที่ดีคือควรพยายามรักษาสัจจะไม่ให้ผิดข้อห้ามคำครูเป็นการดีที่สุด

        สำหรับผู้ที่ต้องการสักยันต์ที่วัดบางพระ ก็ควรพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจสักยันต์ หากมั่นใจว่าตนเองสามารถรักษาข้อห้าม ทำตามข้อควรปฏิบัติตามสัจจะคำครูดังนี้ได้ ก็ค่อยมาฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเข้ารับการสักยันต์ ไม่เช่นนั้นรอยสักที่แผ่นหลังก็จะไม่ต่างไปกับผิวหนังเปื้อนหมึก (ในกรณีที่ไปประพฤติตัวไม่ดี สัญลักษณ์ร่องรอยการสักบนผิวหนังก็จะเป็นเครื่องฟ้องว่า "เป็นศิษย์จากสำนักใด").

        ย้ำอีกครั้งว่า แต่ละสำนักก็จะมีข้อห้ามข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป สำหรับข้อมูลที่นำมาลงไว้นี้เป็นข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่สักยันต์ของสำนักวัดบางพระเท่านั้น!!

        (สำหรับคนที่บอกว่า "ถือมากไปก็หนัก" พระอาจารย์รูปหนึ่งท่านฝากถามกลับว่า "แล้วจะสักไปเพื่ออะไร?")


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เนื้อหาเกี่ยวกับข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติ สำหรับผู้ที่สักยันต์ของวัดบางพระ
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ กุฏิใหญ่ (กุฏิพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น)) วัดบางพระ จ.นครปฐม

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

87

ขอเชิญร่วมทำบุญ วันคล้ายวันมรณภาพพระอุดมประชานาถ (เปิ่น ฐิตคุโณ) ครบรอบ ๑๒ ปี

ในวันจันทร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

เวลา ๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์

เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ ๑๐๐ รูป

เวลา ๑๒.๐๐ น. ทักษิณานุประทาน

 
:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

88


        "ในตอนแรกๆ นั้น อาตมาคิดว่าได้เรียนวิชาเอกไว้มากมายแล้ว และได้เรียนรู้ในข้อธรรมทั้งหลายลึกซึ้งดีแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอได้พบได้สนทนากับผู้ที่มีความรู้และภูมิธรรมสูงกว่า และเป็นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดำริตนให้พ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงแล้วนั้น ทำให้อาตมารู้สึกว่า อาตมาเองเหมือนกบอยู่ในกะลาครอบจะต้องเรียนรู้จะต้องศึกษาอีกมากมาย และยังต้องบำเพ็ญเพียรทางจิตอีกมากจึงจะเทียบเท่าท่านผู้รู้เหล่านั้นได้ เพราะขณะนั้นอาตมายังไม่ได้ปฏิบัติตน ไม่เคยเห็นโลกกว้างเหมือนผู้รู้ผู้แสวงหา ไม่ได้ถึงธรรมอย่างแท้จริง และปฏิบัติกันอยู่แค่วิชาความรู้ทางไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว ไม่อาจนำพาตัวเองรอดจากเวียนว่ายตายเกิดได้ เลยต้องศึกษา ปฏิบัติควบคู่ไปเป็นพลังเสริมความมั่นคงอันเกิดความก้าวหน้าทางจิต จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่างทางธรรมอันสมควรอีกด้วย และถ้าอาตมาไม่แสวงหาวิชาความรู้ต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินแล้ว ก็อยู่เพียงเท่านี้ไม่ก้าวหน้า ต่อไปวิชาก็ไม่แน่นอน ไม่ได้เห็นแสงสว่างทางธรรม และยังไม่ได้เข้าถึงคุณวิชาที่เข้าศึกษาจึงจำเป็นต้องไป เพื่อกาลข้างหน้าจะได้เป็นผู้รู้ได้บ้าง แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่บุญกุศลเถิด ว่าจะสนองตอบเราได้เพียงไหน"

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ที่มา: คณะกรรมการวัดบางพระ-วิทยาลัยการอาชีพบางแก้วฟ้า (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์). ประวัติพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น)
เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี วัดบางพระ นครปฐม. (น.๑). นครปฐม: ทองบุญการพิมพ์.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

89
[shake]ปิดกิจกรรมแล้ว..[/shake]



ตะกรุดเมตตา เนื้อเงิน จารมือ ถักด้วยสายสิญจน์ในพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่นปี ๕๗
ลงรักปิดทองคำเปลว
(ที่หลวงพ่ออธิษฐานจิตไว้ใช้สำหรับลงนะหน้าทอง-สาริกาลิ้นทอง)
ปลุกเสกในพิธีเสาร์ ๕ (๑๙ เม.ย. ๕๗) จำนวนสร้าง ๘ ดอก
หลวงพ่อสำอางค์เมตตาให้นำมาแจกสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ ๖ ดอก
(มอบให้พี่หนึ่งผู้การเสือ ๑ ดอก และลุงจำนงค์ มือขวาหลวงพ่ออีก ๑ ดอก)










รายละเอียดและกติกาการร่วมลงชื่อรับรางวัล (กรุณาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด)

- สงวนสิทธิ์ในการแจกรางวัลครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เนื่องจากมงคลวัตถุมีจำนวนจำกัดและเพื่อความเท่าเทียมกันของเพื่อนสมาชิก ดังนั้นจึงขอเปิดให้ร่วมลงชื่อเพื่อรับรางวัลในวันอังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป (โดยโพสตอบในกระทู้นี้เท่านั้น, ๑ ท่าน ต่อ ๑ โพส)

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๖ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ก่อนโพสตอบกระทู้ ให้ผู้ที่จะร่วมลงชื่อรับรางวัลอาราธนาสมาทานศีล ๕ ก่อน โดยกล่าวตามดังนี้ (ให้กล่าวคำสมาทานศีลด้วยตนเองก่อนโพสลงชื่อ ไม่ต้องโพสคำสมาทานศีลมาในการตอบกระทู้)..

   "นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
   นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
   นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
   มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ
   ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
   ทุติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ
   ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
   ตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ
   ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
   พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
   ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
   สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
   ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
   ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
   ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
   ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
   ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
   ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
   ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
   อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
   กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
   มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
   สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
   อิมินา ปัญจะสิกขา สมาธิยามิ
   อิมินา ปัญจะสิกขา สมาธิยามิ
   อิมินา ปัญจะสิกขา สมาธิยามิ".

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๖ ท่านแรก จะได้รับ ตะกรุดเมตตา พิธีเสาร์ ๕ (ตะกรุด ๑ ดอก/ ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๖ ท่านแรก กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๖ ท่านแรกและได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


[shake]
ย้ำอีกครั้ง!! จะเปิดให้ลงชื่อรับรางวัลในกระทู้นี้ ในวันอังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

***ผู้การเสือฝากข่าวเตรียมนำตะกรุดผู้การเสือมาแจกให้กับเพื่อนสมาชิกเว็บไซต์วัดบางพระเร็วๆ นี้***

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๒๖ เมษายน ๒๕๕๗

90
[shake]ปิดจองแล้วครับ[/shake]

สวัสดีเพื่อนร่วมสมาชิกทุกท่านครับ

เนื่องจากเสื้อที่ระลึกของ เว็บไซต์วัดบางพระ รุ่นที่ 6 (ที่ได้เปิดจำหน่ายในวันไหว้ครูที่ผ่านมา) ที่ได้หมดลงไปแล้วนั้น
ได้มีผู้สนใจ (รวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถมาร่วมงานไหว้ครูได้จำนวนหนึ่ง) ขอร้องให้ทำเพิ่มเติม

ทางแฟนเพจเฟสบุ๊ควัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น) จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิก
(ตามลิ้งค์นี้ .. https://www.facebook.com/Bp.or.Th/posts/672035206190153 )
ซึ่งผลปรากฏออกมาว่ามีผู้แสดงความจำนง และต้องการที่จะให้ทำเสื้อเพิ่มเติม มาเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ทางทีมงานเว็บไซต์วัดบางพระจึงได้ตัดสินใจเปิดให้สั่งจองเสื้อที่ระลึก เว็บไซต์วัดบางพระ รุ่นที่ 6 (รอบ 2)

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึง วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2557


หลังจากตัดเย็บเสร็จแล้วจะนำไปขอบารมีจากหลวงพ่อเปิ่นและขอความเมตตาจากหลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ
อธิษฐานจิตปลุกเสก เพื่อความเป็นศิริมงคลกับสมาชิกทุกๆ ท่าน

เสื้อชาย
รอบอกของเสื้อ (นิ้ว) Size  
40" - S
42" - M
44" - L
46" - XL
48" - XXL
52" - XXXL

เสื้อหญิง
รอบอกของเสื้อ (นิ้ว) Size  
30" - SS
32" - S
34" - M
36" - L
38" - XL
40" - XXL

*** สำหรับท่านหญิงหรือชายที่มีขนาดเหนือมาตรฐาน กรุณาแจ้งขนาดรอบอกด้วย เราจะดูแลท่านเป็นกรณีพิเศษ

ราคา 350 บาท ราคาดังกล่าวรวมค่าจัดส่งแล้ว ครับ

การสั่งจอง : มี 3 ช่องทาง
1. ผ่านกระดานสนทนา (โพสสั่งจองในกระทู้นี้ แล้วโอนเงินตามจำนวนที่จองตามรายละเอียดบัญชีด้านล่าง)
2. ผ่านแฟนเพจเฟสบุ๊ค "วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)" https://www.facebook.com/Bp.or.Th/posts/674018029325204?stream_ref=10
3. ที่วัดบางพระ (สั่งจองกับพระสุธี สุเมโธ "หลวงพี่เก่ง" ที่กุฏิทรงไทยชายน้ำ, สำนักงานวัดบางพระ)

การโอนเงิน :
ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยพลู อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
ชื่อบัญชี พระสุธี สุเมโธ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 368-2-46922-5


**เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ กรุณาโอนมีเศษสตางค์ด้วยครับ เช่น 350.72 หรือโอนให้เป็นจำนวนเต็มเพื่อร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบูรณกุฏิริมน้ำ วัดบางพระ

กำหนดการโอนเงิน :
ภายในวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 57

การสั่งจองผ่านกระดานสนทนาวัดบางพระ
เมื่อโอนเรียบร้อยแล้วกรุณาแจ้งรายการการจอง และแนบภาพหลักฐานการโอนเงิน/ใบสลิป มาตามรายละเอียดข้างต้น มาทางข้อความ (pm)

การสั่งจองผ่านแฟนเพจเฟสบุ๊ค "วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)"
เมื่อโอนเรียบร้อยแล้วกรุณาแจ้งรายการการจอง และแนบภาพหลักฐานการโอนเงิน/ใบสลิป มาตามรายละเอียดข้างต้น มาทางข้อความ (inbox) ของแฟนเพจเฟสบุ๊ค "วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)"

=== ถ้าไม่โอน จะไม่ทำเสื้อให้นะครับ ===

กำหนดการจัดทำเสื้อ :
เมื่อปิดรับจองแล้วจะสั่งการผลิต คาดว่าใช้เวลาในการผลิตประมาณ 2 สัปดาห์

การรับเสื้อ :
มีสองทางเลือก คือ
1. จัดส่งตามที่อยู่ที่ระบุไว้  ทางไปรษณีย์

สำหรับผู้ที่สั่งจองผ่านกระดานสนทนาวัดบางพระ
- กรุณาแจ้ง ชื่อ นามสกุล (เบอร์โทรศัพท์) ที่อยู่ ให้ชัดเจนที่สุด รวมถึง ถนน, หมู่ , ตรอก, ซอย, รหัสไปรษณีย์  มาทางข้อความส่วนตัว (pm)

สำหรับผู้ที่สั่งจองผ่านแฟนเพจเฟสบุ๊ค "วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)"
- กรุณาแจ้ง ชื่อ นามสกุล (เบอร์โทรศัพท์) ที่อยู่ ให้ชัดเจนที่สุด รวมถึง ถนน, หมู่ , ตรอก, ซอย, รหัสไปรษณีย์  มาทางข้อความ (inbox)

2. รับเองที่สำนักงานวัดบางพระ

สำหรับผู้ที่จะมารับเองที่สำนักงานวัดบางพระ เมื่อดำเนินการผลิตเสื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งวันเวลามารับเสื้อให้ทราบต่อไป

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เกิดปัญหาหรือติดขัดประการใดติดต่อได้ที่แฟนเพจเฟสบุ๊ค วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)
: www.facebook.com/bp.or.th

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

91
ความเมตตาจากหลวงพ่อสำอางค์













ตะกรุดเงินจารมือ ถักด้วยสายสิญจน์ในพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่นปี ๕๗ ลงรักปิดทอง
ปลุกเสกในพิธีเสาร์ ๕ (๑๙ เม.ย. ๕๗) จำนวนสร้าง ๘ ดอก
หลวงพ่อสำอางค์เมตตาให้นำมาแจกสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ ๖ ดอก
(มอบให้พี่หนึ่งผู้การเสือ ๑ ดอก และลุงจำนงค์ มือขวาหลวงพ่ออีก ๑ ดอก)
ติดตามกิจกรรมได้เร็วๆ นี้


รูปหลวงพ่อเปิ่น จากวัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น) จำนวนสร้าง ๒๐๐ รูป



หลวงพี่ปาดเมตตา..





จากอาจารย์หนวด


จากพี่เอ




92
๗ ฯ ๕
 ๕
วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗
วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย จ.ศ.๑๓๗๖
เวลา ๐๗.๐๙ น. ลัคนาราศีเมษ
ประกอบด้วย มหัทธโนฤกษ์

กุฏิใหญ่ยามเช้า


ก่อนเริ่มพิธี






เตรียมสถานที่
















ผู้การเสืออาราธนาพระปริตร






เวลา ๐๗.๐๙ น. พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ จุดเทียนชัย


































เวลา ๐๗.๔๙ น. หลวงพ่อสำอางค์ดับเทียนชัย


























ติดต่อรับพระ (สำหรับผู้ที่สั่งจองไว้) และร่วมบุญบูชาได้แล้วที่หลวงพี่ปาด ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย.



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๐๒.๐๙ น.

93
กิจกรรมการละเล่นฯ






ประเดิม


วันเกิด


ถวายปัจจัยผ้าป่าสามัคคี ยอดรวม ๑๐๖,๖๘๐ บาท




แจกของที่ระลึก


ก่อพระเจดีย์ทราย






บรรยากาศรอบๆ














รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในตำบลบางแก้วฟ้า


































เวลาประมาณ ๑๓.๑๕ น.






































































๑๓.๕๕ น. เสร็จพิธี กลับกุฏิ..


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

94


จากที่มีการกล่าวถึงพระผงหลวงพ่อเปิ่นนั่งเสือหลังหนุมาน ปี ๔๑ กันอย่างแพร่หลายว่า

หากด้านหลังเป็นพิมพ์หนุมานถือดอกบัว แสดงว่าเป็นของปลอมของเลียนแบบนั้น

วันนี้จึงนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากผู้สร้างพระผงรุ่นนี้มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้..

พระผงรุ่นนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๑ โดยพระมหาสมชาย สทฺธาธิโก จำแนกได้ ๒ พิมพ์ทรง คือ

พิมพ์ทรงที่ ๑ ด้านหน้าตรงเข่าหลวงพ่อเปิ่นด้านขวา จะมีเส้นลายน้ำพาดลงมา ๒ เส้น ส่วนด้านหลังจะเป็นรูปหนุมานถือดอกบัวและห้อยตรีศูล

พิมพ์ทรงที่ ๒ ด้านหน้าตรงเข่าหลวงพ่อเปิ่นด้านขวาจะไม่มีลายน้ำพาดลงมา ส่วนด้านหลังจะเป็นรูปหนุมานไม่ถือดอกบัวและห้อยพระขรรค์

โดยทั้ง ๒ พิมพ์ทรงนี้ จำแนกออกเป็นพิมพ์ใหญ่ (ขนาดใหญ่) และพิมพ์เล็ก (ขนาดเล็ก) อีกด้วยเช่นกัน

(*รายละเอียดเท่าที่หลวงพ่อพระมหาสมชายจำได้มีเพียงเท่านี้)

ดังนั้นหากพบเห็นพระรุ่นนี้ที่ด้านหลังเป็นรูปหนุมานถือดอกบัว ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นของปลอมไปซะทีเดียว

(ของปลอมก็มีทำออกมาแล้วเช่นกัน แต่เนื้อหายังทำได้ไม่ใกล้เคียงกับของแท้)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ข้อมูลประวัติพระผงหลวงพ่อเปิ่นนั่งเสือหลังหนุมาน ปี ๔๑
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์พระมหาสมชาย สทฺธาธิโก (ผู้สร้างพระผงรุ่นนี้)
เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๐๙ น.
ณ กุฏิพระมหาสมชาย วัดบางพระ จ.นครปฐม


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๒๓.๔๘ น.

95



ขอเชิญร่วมสั่งจองวัตถุมงคล "องค์พิฆเนศ รุ่น มงคลจักรวาล" และ "มีดหมอ (หลวงพี่ต้อยจารมือทุกเล่ม)" เพื่อสมทบทุนจัดซื้อรถพยาบาลและอุปกรณ์ช่วยชีวิตเพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น จัดสร้างโดยพระประสิทธิ์ ธมฺมโชโต (หลวงพี่ต้อย)

รายการวัตถุมงคลที่เปิดให้ร่วมบุญสั่งจองมีดังนี้



"องค์พิฆเนศ รุ่น มงคลจักรวาล"

๑.ลูกอมพระพิฆเนศ องค์บูชา หล่อโบราณนำฤกษ์ พร้อมฐานและครอบแก้ว
   จำนวนสร้าง ๑๙ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๔,๙๙๙ บาท

๒.ลูกอมพระพิฆเนศ เนื้อโลหะรมมันปู องค์บูชา ขนาดประมาณ ๓ นิ้ว (สูงประมาณ ๕ นิ้ว)
   จำนวนสร้าง ๑๙๙ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

๓.ลูกอมพระพิฆเนศ เนื้อเงิน ก้นอุดผงมวลสารเก่า, เกศาหลวงพ่อเปิ่น, ตะกรุดทองคำจารมือ
   จำนวนสร้าง ๑๙๙ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

๔.ลูกอมพระพิฆเนศ เนื้อนวะโลหะ ก้นอุดผงมวลสารเก่าหลวงพ่อเปิ่น, ตะกรุดเงินจารมือ
   จำนวนสร้าง ๒๙๙ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท

๕.ลูกอมพระพิฆเนศ เนื้อสำริด ก้นอุดกริ่ง
   จำนวนสร้าง ๑,๙๙๙ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๒๙๙ บาท


***วัตถุมงคล มีโค้ด และหมายเลขกำกับทุกรายการ





"มีดหมอ (หลวงพี่ต้อยจารมือทุกเล่ม)"

๑.มีดหมอทำจากกระดูกช้าง (หัวแกะท้าวเวสสุวรรณ)
   จำนวนสร้าง ๓๐ เล่ม ร่วมบุญเล่มละ ๑,๕๐๐ บาท

๒.มีดหมอทำจากไม้มะเกลือ (หัวแกะท้าวเวสสุวรรณ)
   จำนวนสร้าง ๔ เล่ม ร่วมบุญเล่มละ ๑,๕๐๐ บาท

๓.มีดหมอทำจากไม้มะเกลือ (หัวแกะพระพิฆเนศ)
   จำนวนสร้าง ๑๐ เล่ม ร่วมบุญเล่มละ ๑,๕๐๐ บาท

๔.มีดหมอทำจากกระดูกช้าง (ธรรมดา)
   จำนวนสร้าง ๑๐ เล่ม ร่วมบุญเล่มละ ๑,๐๐๐ บาท

๕.มีดหมอทำจากไม้มะเกลือ (ธรรมดา)
   จำนวนสร้าง ๑๐ เล่ม ร่วมบุญเล่มละ ๑,๐๐๐ บาท



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

  
พิธีปลุกเสก ณ อุโบสถวัดบางพระ ในวันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗
เสาร์ ๕ (วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕)

ติดต่อร่วมบุญสั่งจองวัตถุมงคลได้ที่หลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย)

รับวัตถุมงคลได้ตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป.

96
วันอังคารที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ณ วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น)

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เป็นประธานหล่อรูปเหมือนพระครูสุพจน์วราภรณ์ (หลวงพ่อหยุด วัดละมุด พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อสำอางค์)
























พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ (บุญสม ผลญาโณ) เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดสำโรง จ.นครปฐม



พระครูพิจิตรสรคุณ (หลวงพ่อพร ปภากโร) เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว จ.นครปฐม










นายห้างทวีชัย จริยะเอี่ยมอุดม บริษัทท๊อปไลน์ ไดมอนด์ ประธานเททองฝ่ายฆราวาส


พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ประธานเททองฝ่ายสงฆ์










:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๙.๒๒ น.

97
คำถาม ปัจจุบันหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร อายุเท่าไหร่?


เนื่องในโอกาสครบรอบอายุวัฒนมงคล ๙๐ ปี ของคุณแม่ไพฑูรย์ จารุมิลินท (คุณแม่ผู้การเสือ)

ผู้การเสือจึงได้นำพระสมเด็จหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร มาแจกแก่เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระที่ตอบ
คำถามได้ถูกต้อง จำนวน ๙ องค์

โดยผู้การเสือได้ขยายความให้รายละเอียดเพิ่มเติมไว้ว่า..

พระสมเด็จนี้ได้เข้าพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตถึง ๒ ครั้ง ที่สำคัญคือใช้คาถา "อิติปิโสถอยหลัง" เสก ๑๐๘ จบ และเป็นพระเก็บเก่าที่ผู้การเสือรับมากับมือหลวงพ่อฟูเองโดยตรง


 
:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมกิจกรรม

- สงวนสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- สามารถโพสตอบ
คำถามได้ในกระทู้นี้เท่านั้น

- สามารถตอบ
คำถามได้ท่านละ ๑ ครั้งเท่านั้น (๑ ท่าน ต่อ ๑ คำตอบ)

- ผู้ที่ตอบ
คำถามได้ถูกต้อง ๙ ท่านแรก จะได้รับพระสมเด็จหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ๑ ท่าน ต่อ ๑ องค์

- สำหรับ ๙ ท่านแรกที่ตอบ
คำถามได้ถูกต้อง กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ตอบคำถามถูก ๙ ท่านแรก เมื่อได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า ติดแสตมป์ ๓๗ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)

98
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) และคณะสงฆ์วัดบางพระ
ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพโยมมารดาหลวงพี่ต้อย
ในคืนวันศุกร์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗
ณ วัดหลักร้อย อ.เมือง จ.นครราชสีมา


กำหนดฌาปนกิจในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.
ณ ฌาปนสถานวัดหลักร้อย อ.เมือง จ.นครราชสีมา


ลูกศิษย์ท่านใดที่ประสงค์ไปร่วมงานที่วัดหลักร้อย สามารถดูแผนที่ได้ตามลิ้งค์นี้..
https://www.google.co.th/maps/place/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/@14.9677284,102.0954443,14z/data=!4m2!3m1!1s0x311eb347a3b66de5:0xa5244760cacbc18f

100


หลวงพ่อสำอางค์ เมตตามอบพระผงสมเด็จวัดเกศไชโย ปี ๒๑ และของอีก ๑ ชิ้นในกล่อง



ท่าน nok2009 มอบวัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่นให้ไว้เป็นที่ระลึก ขอบพระคุณครับ




ตะกรุดจารมือหลวงพี่ต้อย พร้อมรูปถ่ายหลวงพ่อเปิ่น กับเหรียญหน้าเสือบูชาครูปี ๕๗ จากหลวงพี่ปาด



พระขุนแผนหลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา จากหลวงพี่ตี๋



เหรียญบูชาครูปี ๕๗ เนื้อเงินลงยา จากหลวงพี่....


พี่หนึ่ง ผู้การเสือ ให้ไว้เป็นที่ระลึก ขอบพระคุณครับ


สุดท้ายเกศาหลวงพ่อ ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่มีให้กันเสมอมาครับ

101


เจริญพรท่านทั้งหลายที่มาในงานในพิธีวันนี้ ขอให้มีความสุขความเจริญ คิดอะไรขอให้สมดังปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่างไป นึกเงินให้ได้เงิน นึกทองให้ได้ทอง เวลานอนหลับขอให้ฝันที่ดี ขอให้ตื่นขึ้นมาขอให้มีโชคมีลาภ ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคาพยาธิทั้งหลาย ขอให้มีจะไปแห่งหนตำบลใดขอให้มีโชคลาภเรื่อยๆ ไป เราเกิดมาในภพนี้เราเป็นมนุษย์ก็มี เป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เราจะพูดจะจาจะทำอะไรสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ให้ตรึกตรองให้ ให้ดีให้เป็นหลักฐาน จะสร้างข่าวให้เกรียวกราวดังที่เค้าเป็นไปทุกปัจจุบัน เอ่อ ขอให้มีความสุขความเจริญ นึกสิ่งใดขอให้สมมาดปรารถนาทุกสิ่งทุกประการ เทอญ.

 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

พรหลวงพ่อเปิ่น จากการถอดเทปเสียงหลวงพ่อเปิ่นที่กล่าวไว้ในวันไหว้ครู

 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันเสาร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗
ณ กุฏิทรงไทยชายน้ำ วัดบางพระ

102


พระลูกชายของหลวงพ่อ เข้ามากราบนมัสการ


หลวงพ่อสำอางค์ทำมนต์ไว้ใช้ในพิธีไหว้ครู














ภาคกลางคืน
































หลวงพี่แป๊ว












หลวงพี่ติ่ง






ท้ายสุด ตะกรุดโทนบูชาครู หลวงพี่ต้อยจารมือทุกดอก จำนวนสร้าง ๑๐๐ ดอก บูชาดอกละ ๓๐๐ บาท

ผู้ที่บูชาตะกรุด หลวงพี่ต้อยได้มอบรูปหลวงพ่อเปิ่นไว้ให้เป็นที่ระลึกไว้ด้วยทุกคน

บูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย (ที่เดียว ไม่มีจัดส่งไปรษณีย์)

103


รอยพระพุทธบาทจำลองของวัดบางพระนี้ สร้างโดยหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ (ผู้ซึ่งถ่ายทอดวิชาอาคมและการสักยันต์ให้แก่หลวงพ่อเปิ่น) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ มีขนาดกว้าง ๑ เมตร ๑๐ เซนติเมตร และยาว ๔ เมตร ๒๐ เซนติเมตร ซึ่งหลวงปู่หิ่มท่านได้สร้างขึ้นไว้เพื่อฉลองศรัทธาสาธุชนให้ได้มากราบไว้ให้สักการะบูชาได้โดยสะดวก โดยไม่ต้องเดินทางไปสักการะบูชาไกลถึงจังหวัดสระบุรี


เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ พระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) ได้ดำเนินการก่อสร้างมณฑปเพื่อไว้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองนี้จนแล้วเสร็จ ตัวมณฑปมีขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๒ เมตร สิ้นงบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงิน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท (หกล้านห้าแสนบาทถ้วน)


ทางวัดบางพระจะจัดงานประจำปีปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองเป็นประจำเรื่อยมาทุกปี โดยจัดประมาณกลางเดือน ๔ ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ ๑๔-๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗


เพื่อนสมาชิกท่านใดที่มีโอกาสมาที่วัดบางพระในช่วงวันดังกล่าว อย่าลืมแวะมากราบบูชาสักการะรอยพระพุทธบาทจำลอง อันเป็นสื่อสัญลักษณ์แสดงถึงประจักษ์พยานการเกิดขึ้นของเอกมหาบุรุษผู้เลิศในโลก อันจะนำมาซึ่งความเป็นมงคลแก่ท่านทั้งหลายสืบไป

ภาพพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน กราบสักการะบูชารอยพระพุทธบาทจำลอง ในวันเปิดงาน ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗







:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๒๓.๓๙ น.

104
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ

เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเสื้อที่ระลึกเว็บไวต์วัดบางพระ รุ่น ๖

เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๑๙.๒๐ น.


















นายแบบโดย เว็บมาสเตอร์








เปิดให้บูชาอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗) ที่กองอำนวยการ

ราคาตัวละ ๓๕๐ บาท (มีจำนวนจำกัด)

105
“ครู” มีที่มาจากคำว่า “ครุ” มีความหมายว่า หนัก ซึ่งหากเทียบเคียงกับความหมายในราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ที่ให้ความหมายของคำว่าครูว่าคือ ผู้สั่งสอนศิษย์, ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ครู คือ ผู้มีภาระอันหนักในการถ่ายทอดวิชาความรู้ และอบรมสั่งสอนศิษย์ที่อยู่ในปกครอง


   ในทางพระพุทธศาสนา ได้มีการกล่าวถึง “ครู” ว่าเป็นบุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งในชีวิต ดังที่ปรากฏในสิงคาโลวาทสูตร เนื้อหาของพระสูตรนี้กล่าวถึง ทิศ ๖ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สิงคาลมาณพ โดยทิศ ๖ นี้หมายถึง บุคคลที่ปรากฏเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับตัวเราอยู่รอบด้าน พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่าหากจะไหว้ทิศให้เกิดผล ไหว้ให้ถูกทิศนั้น เราก็จักต้องรู้ความหมายและวิธีการปฏิบัติตนต่อทิศนั้นๆ เสียก่อน

   ใน “ทักขิณทิส” หรือ ทิศเบื้องขวา ท่านได้กำหนดไว้ว่าคือ ครูอาจารย์ ผู้สอนให้ศิษย์เป็นผู้ถนัดชำนาญในศิลปวิทยาแขนงต่างๆ อันจะได้นำไปเป็นเครื่องมือในการทำมาหาเลี้ยงชีพ และดำรงตนได้อย่างปกติสุข ครูอาจารย์ จึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการหล่อหลอมศิษย์ให้เป็นคนดี

   หน้าที่ของครูอาจารย์ที่พึงมีแก่ศิษย์ จำแนกได้ดังนี้คือ

   ๑. แนะนำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง

   ๒. สอนศิษย์ให้เข้าใจในเนื้อหาอย่างถูกต้อง

   ๓. ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง

   ๔. ยกย่องความดีของศิษย์ให้ปรากฏในหมู่ชน

   ๕. ทำความป้องกันไม่ให้ทำความเสื่อมเสียในทิศทั้งหลาย

   สำหรับหน้าที่อันศิษย์พึงสมควรปฏิบัติต่อครูอาจารย์ก็ประกอบด้วย

   ๑. ให้การต้อนรับ พบเห็นท่านที่ใดก็แสดงความเคารพ

   ๒. น้อมนบเสนอตัวรับใช้ เป็นการแสดงน้ำใจให้ท่านเห็น

   ๓. เชื่อฟังคำสั่งสอน และนำมาปฏิบัติตามวาระกิจจำเป็น
   
   ๔. คอยปรนนิบัติ ช่วยทำกิจอันลำเค็ญของท่านโดยไม่ต้องรอให้ท่านใช้

   ๕. ใส่ใจในการเรียน เรียนกับด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ไม่สร้างปัญหาในเวลาเรียน


   พระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) ผู้อยู่ในฐานะ “ครู” ของเราท่านทั้งหลาย ท่านก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นแบบอย่างทั้งในฐานะ “ศิษย์” และ “ครู” ไปพร้อมกันอย่างเพียบพร้อมบริบูรณ์เฉกเช่นเดียวกัน


   จากประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเปิ่น ได้มีการกล่าวถึงครูบาอาจารย์ของท่านไว้หลายรูป อาทิเช่น หลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน) วัดบางมด, หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งท่านก็ได้ถ่ายทอดวิชาการสักยันต์ให้แก่หลวงพ่อเปิ่นได้สืบสานต่อมาจนปรากฏชื่อเสียงสืบมาจนถึงปัจจุบัน

   ในช่วงที่หลวงพ่อเปิ่นได้พากเพียรศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่หิ่มนั้น ท่านก็ได้ปรนนิบัติรับใช้ในกิจต่างๆ ของหลวงปู่หิ่มผู้เป็นครูอาจารย์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด ซึ่งก็ถือได้ว่าหลวงพ่อเปิ่นเป็นศิษย์รูปสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่หิ่มจนถึงกาลที่หลวงปู่หิ่มละสังขาร นับได้ว่าหลวงพ่อเปิ่นท่านได้ทำหน้าที่ของท่านในฐานะ “ศิษย์” ได้อย่างบริบูรณ์



   จนกระทั่งช่วงเข้าพรรษาใน ปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อเปิ่นท่านได้ย้ายจากวัดทุ่งนางหรอก มาจำพรรษาที่วัดโคกเขมา และที่วัดโคกเขมานี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์เป็นครั้งแรก กล่าวคือ เมื่อหลวงพ่อเปิ่นท่านย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดโคกเขมา ท่านได้นำวิชาความรู้ทางการสักยันต์มาถ่ายทอดโดยการสักให้กับลูกศิษย์ขึ้นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

   และเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมและการสักยันต์ที่ได้รับถ่ายทอดมา ในปีถัดมา คือ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงพ่อเปิ่นท่านจึงได้จัดให้มีพิธีไหว้ครูขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจัดพิธีบริเวณลานดินกลางลานวัดอย่างเรียบง่าย ลูกศิษย์ผู้ที่ได้รับการสักยันต์ก็จะตระเตรียมดอกไม้ธูปเทียน และเงินค่าครู มาเข้าร่วมพิธี



   นับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อเปิ่นท่านก็จะจัดให้มีพิธีไหว้ครูเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด เมื่อหลวงพ่อเปิ่นท่านย้ายมาอยู่ที่วัดบางพระ ท่านก็ได้สืบสานประเพณีไหว้ครูไว้อย่างต่อเนื่อง โดยจัดพิธีไหว้ครูครั้งแรกที่วัดบางพระ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘  ในช่วงแรกนี้จะจัดพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดี ต่อมาในภายหลังจึงเปลี่ยนมาจัดพิธีในวันเสาร์ ซึ่งถือว่าเป็นวันแข็งที่สุด และได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน


   ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับการสักยันต์จากหลวงพ่อเปิ่นผู้เป็นครูอาจารย์ไปแล้ว ส่วนมากต่างก็มาร่วมพิธีไหว้ครูเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการบูชาคุณของครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาเป็นสำคัญ บางคนก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น เพื่อมาขอขมาในสิ่งที่ตนได้ประพฤติผิดจากสัจจะคำครู หรือเพื่อมารับการสักยันต์ในวันไหว้ครู โดยเชื่อว่าเป็นวันที่แข็งและดีที่สุดสำหรับการสักยันต์เพื่อให้เกิดความเข้มขลังตามความเชื่อ ถึงขนาดกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปโดยปริยาย


   แม้ในปัจจุบันพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม การสืบสานประเพณีไหว้ครูวัดบางพระก็ได้จัดสืบทอดต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด โดยในปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๗) จะจัดพิธีไหว้ครูตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง วันที่ ๑๕ มีนาคม ลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่มีความสนใจในพิธีกรรมโบราณนี้ สามารถมาร่วมพิธีได้ โดยเริ่มพิธีเวลา ๐๙.๓๙ น. (มหัทธโนฤกษ์) เป็นต้นไป


   ทั้งนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์ตามหน้าที่อันพึงมีของ “ศิษย์” และน้อมนำเอาคำสอนของครูอาจารย์กลับไปประพฤติปฏิบัติ อันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิต ในธุรกิจหน้าที่การงานทั้งหลายตามสมควรแก่การปฏิบัติของแต่ละบุคคล และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การได้พบปะสานสายใยสัมพันธ์กันระหว่างพี่น้อง “ศิษย์” ที่มี “ครู” คนเดียวกัน

[shake]   เพราะพวกเราคือศิษย์มีครูที่ได้ชื่อว่า ... “ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ”[/shake]


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เนื้อหารายละเอียดประวัติพิธีไหว้ครู เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน
พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต วัดโคกเขมา จ.นครปฐม
พระอาจารย์อนันต์ อภินนฺโท (หวานชะเอม) พระภิกษุวัดบางพระ จ.นครปฐม


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันศุกร์ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๓๙ น.

106









































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๕๒ น.

107


จากที่มีเพื่อนสมาชิกได้สอบถามประวัติของพระสมเด็จพิมพ์นี้เข้ามา เมื่อสักครู่ผมได้มีโอกาสได้เรียนสอบถามสัมภาษณ์ท่านพระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต ที่วัดโคกเขมา จึงนำมาเล่าเผยแพร่ให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้ศึกษาประวัติความเป็นมากันดังนี้

เริ่มที่ตัวยันต์เงิน เป็นของเก่าที่หลวงพ่อเปิ่นท่านได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาอยู่ โดยหลวงพ่อเปิ่นท่านได้สั่งทำ (ราคาสั่งทำในสมัยนั้นตัวละ ๑ บาท) ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๗ สั่งทำไว้ประมาณ ๕๐๐ ตัว (ไม่เกิน ๕๐๐ ตัว)

พอหลวงพ่อเปิ่นท่านได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางพระ ท่านก็ไม่ได้นำตัวนะเงินที่สั่งทำไว้ไปที่วัดบางพระด้วย โดยหลวงพ่อท่านลืมทิ้งไว้ที่วัดโคกเขมา

ช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๖ ทางวัดโคกเขมาได้ไปพบยันต์เงินนี้ในกุฏิเก่าของหลวงพ่อเปิ่น ที่วัดโคกเขมาโดยบังเอิญ จึงได้นำกลับไปถวายคืนหลวงพ่อเปิ่นที่วัดบางพระ

โดยหลวงพ่อเปิ่นท่านได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จขึ้นมาใหม่ และได้นำตัวยันต์เงินนี้ติดไว้ที่หลังพระสมเด็จด้วย

ในช่วงเริ่มแรกที่สร้าง ทางวัดได้ลองนำยันต์เงินฝังเข้าไปในเนื้อพระสมเด็จปรากฏว่าเมื่อกดพิมพ์ออกมาแล้ว พระที่ได้เกิดแตกชำรุด ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนพิมพ์ด้านหลัง ให้สามารถนำยันต์เงินวางลงไปได้ ดังรูปข้างต้น

จำนวนการสร้างพระสมเด็จมีทั้งหมด ๑,๐๐๐ องค์ แบ่งเป็นพระสมเด็จที่ด้านหลังติดยันต์เงินประมาณ ๕๐๐ องค์ อีกประมาณ ๕๐๐ องค์ที่เหลือ ด้านหลังจะว่าง โดยไม่มียันต์เงินติดไว้

ยันต์เงินนี้มีจำนวนหนึ่งที่ได้นำไปกะไหล่ทองไว้ด้วย ซึ่งพระสมุห์ไพรวัน ท่านก็ได้กล่าวว่าไม่แตกต่างกันกันแต่อย่างใด จะสีเงินหรือสีทองก็เป็นยันต์ที่หลวงพ่อเปิ่นท่านสร้างไว้ตั้งแต่อยู่วัดโคกเขมาเหมือนกัน ซึ่งท่านยังได้เล่าเพิ่มเติมอีกว่า ยันต์เงินตัวนี้หลวงพ่อเปิ่นท่านนำแบบมาจากยันต์ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังพระสมเด็จยุคแรกๆ ของวัดโคกเขมา

โดยสรุป พระสมเด็จหลังยันต์เงินนี้ สร้างในปี พ.ศ.๒๕๓๖ จำนวนการสร้าง ๑,๐๐๐ องค์ จำแนกเป็นพระสมเด็จที่มียันต์เงินด้านหลัง ๕๐๐ องค์ และที่ไม่มียันต์เงินด้านหลังอีก ๕๐๐ องค์

 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ข้อมูลประวัติการสร้างพระสมเด็จหลังยันต์เงิน เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์พระสมุห์ไพรวัน คุณวนฺโต
เมื่อวันพุธที่ ๑๒ มีนาคม  พ.ศ.๒๕๕๗ ณ กุฏิเก่าหลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา  จ.นครปฐม
ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

108

อธิบายความหมาย
 
           “นะ” ตรงกลางชื่อว่า “นะมหาเสน่ห์” ด้านข้างลงขนาบด้วย “มะอะอุ” และ “พุทโธ” อันเป็นองค์ภาวนาที่หลวงพ่อเปิ่นท่านใช้ประจำ ด้านล่างกำกับด้วยหัวใจยอดศีล “พุทธะสังมิ” ซึ่งท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) ได้เมตตาให้นำมากำกับยันต์นะมหาเสน่ห์บนหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๖ ในครั้งนี้


นะมหาเสน่ห์

             กล่าวถึง “เสน่ห์” ที่ใครๆ ก็อยากให้เกิดมีขึ้นในตนนี้ ทางราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง “ลักษณะที่ชวนให้รัก” สอดคล้องกับบทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น. ที่ได้กล่าวไว้ว่า “คำว่า เสน่ห์ ยืมมาจากภาษาสันสกฤตว่า เสฺนห (อ่านว่า เสฺน -หะ) แปลว่า สิ่งที่ติดแน่น หมายถึง ความรัก, ความชอบพอ.

             คำว่า เสน่ห์ ในภาษาไทยมี ๒ ความหมาย ทั้งสองความหมายล้วนแต่เกี่ยวกับความรัก ความชอบพอ ทั้งสิ้น. ความหมายแรกหมายถึง ลักษณะที่ชวนให้รักชวนให้หลงใหล เช่น เธอเป็นคนมีเสน่ห์ ใคร ๆ ก็ชอบเธอทั้งนั้น. คำว่า เสน่ห์ ตามความหมายนี้ ทำให้เกิดสำนวน เสน่ห์ปลายจวัก หมายถึง เสน่ห์ของผู้หญิงที่เกิดจากฝีมือปรุงอาหาร ทำให้สามีรักและหลง เช่น สมัยก่อนผู้ใหญ่ต้องอบรมให้ลูกหลานมีฝีมือในการทำอาหาร เพื่อให้เป็นเสน่ห์ปลายจวัก.

             เสน่ห์ ความหมายที่สองคือ คุณไสยที่ทำให้ผู้อื่นหลงรัก เช่น ภรรยาของเขา ทั้งสวย ทั้งแสนดี การบ้านการเรือนก็เก่ง แต่สามีกลับไปหลงแต่ภรรยาน้อย สงสัยว่าคงจะถูกเสน่ห์. คำว่า เสน่ห์ ตามความหมายนี้ ยังพบในคำว่า เสน่ห์ยาแฝด หมายถึง คุณไสยที่ผู้หญิงทำให้ชายหลงรักโดยใช้วิธีให้ผู้ชายกินยาหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำกับด้วยคาถาทางไสยศาสตร์”

             สำหรับในทางพระพุทธศาสนานั้น “เสน่ห์” เป็นผลมาจาก “กรรม” หรือ “การกระทำ” ของแต่ละบุคคล โดยเสน่ห์นั้นสามารถสร้างให้เกิดมีขึ้นได้ด้วยการเจริญธรรม ๔ ประการคือ

             ๑.ทาน คือการให้ (การแบ่งปัน) ตามกำลังความสามารถ

             ๒.ปิยวาจา คือการพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ไม่ใช้วาจาหักหาญน้ำใจผู้อื่น

             ๓.อัตถจริยา คือการสงเคราะห์ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างไม่นิ่งดูดาย

             ๔.สมานัตตตา คือการเป็นผู้มีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย มีความเสมอภาครู้จักวางตนให้เหมาะสมกับกาละเทศะ

             ทั้ง ๔ ประการนี้ คือ “สังคหวัตถุธรรม” หมายถึงธรรมเครื่องสงเคราะห์ต่อกัน เป็นธรรมสำหรับยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกัน ดังนั้นหากเราต้องการสร้างเสน่ห์ให้ตนเองเป็นที่รักแก่บุคคลรอบข้าง ก็ควรเจริญสังคหวัตถุธรรมนี้ให้บังเกิดมีขึ้นในตนเอง


พุทโธ

             ตามความหมาย “พุทโธ” แปลว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” (ในที่นี้หมายเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย) เป็น ๑ ในคุณของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “พุทธคุณ” ที่จัดอยู่ใน “พระปัญญาคุณ”
   
             พระคณาจารย์หลายๆ ท่าน ได้นำคำว่า “พุทโธ” นี้ มาเป็นองค์บริกรรมในการทำสมาธิภาวนา ซึ่งรวมถึงพระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระด้วยเช่นกัน

             การบริกรรมคำภาวนาว่า “พุทโธ” จัดเป็น ๑ ในอนุสติ ๑๐ ประการ ซึ่ง “อนุสติ” หมายถึง อารมณ์ดีงามที่ควรระลึกถึงเนืองๆ โดยคำภาวนา “พุทโธ” จัดอยู่ในอนุสติข้อ “พุทธานุสติ” คือ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า หมายเอาการน้อมจิตระลึกถึง และพิจารณาคุณของพระพุทธองค์ ผู้ที่หมั่นเจริญภาวนา “พุทโธ” อยู่เนืองๆ นอกจากจะได้รับความสงบทางใจเป็นเบื้องต้นแล้ว ก็ยังจะเป็นบาทในการรองรับประโยชน์ทั้ง ๓ กาลคือ “ทิฎฐธัมมิกัตถะ”, “สัมปรายิกัตถะ” และปรมัตถะ ในเบื้องปลายที่สุด


หัวใจยอดศีล

             “พุทธะสังมิ” คือ หัวใจยอดศีล มีที่มาจากบทไตรสรณคมน์ จำแนกได้ดังนี้คือ

             “พุท” = พุทธัง, “ธะ” = ธัมมัง, “สัง” = สังฆัง, “มิ” = สรณัง คัจฉามิ

             รวมได้ว่า “พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ” แปลว่า ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของข้าพเจ้า หรือข้าพเจ้าของถึงซึ่งพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของข้าพเจ้าก็ได้เฉกเช่นเดียวกัน ซึ่งท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) ได้เมตตาให้นำมากำกับยันต์นะมหาเสน่ห์บนหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๖ ในครั้งนี้ โดยนัยเป็นการตอกย้ำศรัทธาความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระรัตนตรัยให้มั่นคงนั่นเอง


                  ดังนั้น ยันต์นะมหาเสน่ห์ ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่นที่ ๖ นี้ จึงเป็นสัญลักษณ์สื่อให้ลูกศิษย์ผู้บูชาได้ระลึกนึกถึง และน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มาประพฤติปฏิบัติ อันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญตามควรแก่การปฏิบัติของแต่ละบุคคล ด้วยประการฉะนี้.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๑๑.๔๒ น.

109

อธิษฐานจิตปลุกเสก ๒ วาระ

วาระที่ ๑ อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย ท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ

วาระที่ ๒ อธิษฐานจิตปลุกเสกในพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๗ โดยมีรายนามพระคณาจารย์ดังนี้

๑.พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) วัดบางพระ จ.นครปฐม

๒.พระครูสังฆรักษ์อวยพร ฐิติญาโณ (หลวงพ่ออวยพร) วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม

๓.พระครูวิบูลสิริธรรม (หลวงพ่อเพี้ยน) วัดตุ๊กตา จ.นครปฐม

๔.พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม

๕.พระครูพิพัฒน์นพกิจ (หลวงพ่อย้อน) วัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี

๖.พระครูสังฆรักษ์อุทัย ปภงฺกโร (หลวงพ่อตาทิพย์) วัดศรีมฤคทายวัน จ.ราชบุรี

๗.พระครูจินดากิจจานุรักษ์ (หลวงพ่อทวี) วัดจินดาราม จ.นครปฐม

๘.พระครูเกษมจริยาภิรม (หลวงพ่อสนอง) วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม จ.นครปฐม

๙.พระครูปฐมคุณากร (หลวงพ่อคำรณ) วัดดอนขนาก จ.นครปฐม





รายละเอียดการแจก

- แจกให้กับผู้ที่บูชาเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๖ จำนวน ๓๐๐ องค์ (พระ ๑ องค์ / เสื้อ ๑ ตัว)

- อีก ๒๐๐ องค์ จะนำไปแจกในวันงานพิธีไหว้ครูวัดบางพระ (เสาร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗) พบเจอผมในวันงานก็เข้ามาขอรับพระได้เลย


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอังคารที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๓๗ น.

110
พิธีครอบครู กุฏิหลวงพี่ติ่ง วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗

พิธีเริ่มเวลา ๐๘.๐๐ น.

ค่าครู ๑๕๙ บาท

ดอกไม้, หมากพลูฯ ๖๐ บาท

รวม ๒๑๙ บาท

แจกเหรียญพระสังกัจจายน์เป็นที่ระลึกแก่ผู้มาร่วมพิธีทุกคน


111








วัตถุมคงคลที่ระลึกบูชาครู ๕๗ ที่หลวงพี่ต้อยจัดสร้าง มีดังนี้

๑.หน้าเสือใหญ่ เนื้อทองแดงรมดำ จำนวนสร้าง ๗ องค์ บูชาองค์ละ ๔๐๐ บาท

๒.หน้าเสือใหญ่ เนื้อทองแดงชุบโทนสีเงิน จำนวนสร้าง ๗ องค์ บูชาองค์ละ ๕๐๐ บาท

๓.ลอคเกตหลวงพ่อเปิ่น หลังจารมือ (มี ๔ สี คือ เขียว, น้ำตาล, เหลือง, ฟ้า) จำนวนสร้างรวม ๑๐๐ องค์ บูชาองค์ละ ๓๐๐ บาท

๔.หน้าเสือเนื้อกะลาตาเดียว จำนวนสร้าง ๑๐๐ องค์ บูชาองค์ละ ๓๐๐ บาท

๕.มีดหมอ จำนวนสร้าง ๓๐ เล่ม (หลวงพี่ต้อยจารมือทุกเล่ม) บูชาเล่มละ ๘๐๐ บาท

ติดต่อร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย

(บูชาได้ที่วัดที่เดียว ไม่มีจัดส่งไปรษณีย์)


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

112
เชื่อว่าท่านที่ขับรถยนต์ส่วนตัวมาวัดบางพระคงเคยใช้เส้นทางหลักที่ต้องผ่านสี่แยกไฟแดงวัดละมุด มาบ้างแล้ว

วันนี้จึงขอนำเสนอทางไปวัดบางพระอีกหนึ่งเส้นทาง เผื่อไว้สำหรับตัดสินใจเดินทางในวันที่รถติด


ขอเริ่มที่แยกไฟแดงตลาดท่านา มาถึงแล้วให้เลี้ยวซ้าย แล้ววิ่งตรงไปตามทางหลักเรื่อยๆ





ใกล้ถึงแยกเข้าตลาดห้วยพลู พอถึงแยกให้เลี้ยวซ้ายตามลูกศร









ตรงมาสักเล็กน้อย ให้เตรียมเลี้ยวขวาตรงทางแยกไป "วัดห้วยพลู"









ขับตรงมาเรื่อยๆ จะสังเกตเห็นอาคารโรงพยาบาลห้วยพลู ให้เลี้ยวซ้ายไปทางหลังโรงพยาบาล





ตรงมาเล็กน้อย สังเกตทางซ้ายมือจะมีทางแยก ให้เลี้ยวซ้ายตามลูกศร แล้ววิ่งตามทางหลักไปเรื่อยๆ











เข้าเขตตำบลบางแก้วฟ้า



เริ่มมองเห็นวัดบางพระอยู่ไกลๆ







ถึงประตูทางเข้าออกหลังวัดบางพระ จะหาที่จอดแล้วเดินเข้าทางด้านหลังนี้ก็ได้ หรือไม่ก็ขับรถตามทางหลักต่อไปเพื่อจะไปเข้าทางหน้าวัด



ในกรณีที่จะไปเข้าทางหน้าวัด ให้ขับรถตามถนนเส้นหลังวัดต่อไปเรื่อยๆ



พอถึงทางแยก ให้เลี้ยวขวา



เริ่มเข้าเส้นทางที่คุ้นเคย







ถึงวัดบางพระ



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เส้นทางนี้สัญญาเก่าจำได้ว่า..
เด็กตลาดห้วยพลูเคยขับจักรยานไปสักยันต์ครั้งแรกกับ"ท่าน สนฺตจิตฺโต"

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๔๘ น.

116









หลวงพ่อเปิ่นให้ไว้เป็นที่ระลึกเมื่อครั้งอดีตที่ไปร่วมบุญกับหลวงพ่อ

117


หลวงพ่อเปิ่น:   "มันชอบ ไปเรื่อยๆ ชอบพัฒนาไปเรื่อยๆ สร้างโน่นสร้างนี่มันเห็นขึ้นหน้าขึ้นตาดี ไอ้นี่ก็สร้างได้ไอ้โน่นก็สร้างได้ โน่นก็สร้างได้ ก็พัฒนามาเรื่อยๆ ก็อาศัยลูกศิษย์เนี่ย ช่วยกันเออ คนละเล็กละน้อย คนละ ๙ บาท ๑๐ บาท อะไร เรื่อยๆ ขึ้นมันก็สะสมมันก็มากเอง มันมากคน มันก็ได้มากเข้า"

ผู้สัมภาษณ์:   "ที่หลวงพ่อไปสร้างสาธารณประโยชน์เนี่ยครับ ในแต่ละปีเนี่ย"

หลวงพ่อเปิ่น:   "แต่ละปี โอ้ เยอะแยะไป โรงพยาบาลมั่ง เออโรงพยาบาล สาธารณสุข เอ่อโรงเรียน เอ่อแล้วก็ นี่กำลังสร้างบ้านพักคนชรา เออ วัดวาอาราม"

ผู้สัมภาษณ์:   "ในอนาคตหลวงพ่อมี มีนโยบายยังไงนะฮะ จะสร้างสาธารณประโยชน์ให้กับประชาชนเนี่ยครับ มีโครงการอะไรอีกมั๊ยครับ"

ลูกศิษย์:      "หลวงพ่อสร้างไปเรื่อยๆ"

หลวงพ่อเปิ่น:   "เรื่อยๆ สร้างไปเรื่อยๆ สร้างโน่นสร้างนี่ วัดวาอารามอะไรต่างๆ นานา เออ นี่กำลัง บ้านพักคนชราอยู่ เออบ้านพักคนชรา เออโรงพยาบาลอะไรฯ"


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เรียบเรียงจากการถอดเทปเสียงหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๒๐ น.

118


เหรียญเนื้อเงินลงยา สร้าง ๓ สี (แดง, เขียว, น้ำเงิน) สีละ ๙ เหรียญ บูชาเหรียญละ ๒,๕๐๐ บาท

เหรียญเนื้อเงินธรรมดา สร้าง ๙ เหรียญ บูชาเหรียญละ ๑,๕๐๐ บาท

เหรียญเนื้อตะกั่ว สร้าง ๙ เหรียญ บูชาเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท

เหรียญเนื้อนวะโลหะ สร้าง ๒๙ เหรียญ บูชาเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท

เหรียญเนื้อโลหะชุบสามกษัตริย์ สร้าง ๓,๐๐๐ เหรียญ บูชาเหรียญละ ๓๐๐ บาท

เหรียญเนื้อทองแดง สร้าง ๓๐,๐๐๐ เหรียญ บููชาเหรียญละ ๑๕๐ บาท (ในชุดพานครู บูชา ๑๐๐ บาท)

*บูชาได้ที่กุฏิใหญ่ วัดบางพระ

**พรุ่งนี้ท่านใดไปวัดบางพระ ลองขึ้นไปสอบถามหลวงพี่เชษฐ์-หลวงพี่กุ้ง บนกุฏิใหญ่ดูนะครับ

119

จากการที่ทางเว็บไซต์วัดบางพระได้จัดให้มีการทำเสื้อที่ระลึกเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ใส่ไปร่วมพิธีไหว้ครูมาเป็นประจำทุกปี

ซึ่งปีนี้ (๒๕๕๗) ทางเว็บไซต์วัดบางพระได้เริ่มดำเนินการจัดทำเสื้อที่ระลึกแล้ว (ดังภาพตัวอย่าง)

และที่่สำคัญ ในปีนี้ทางทีมงานได้ปรับเปลี่ยนวิธีจับจองเสื้อจากเดิมบ้างเล็กน้อย

กล่าวคือ ในปีนี้จะไม่มีการเปิดรับจองเสื้อผ่านหน้าเว็บบอร์ดเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา (เนื่องจากมีปัญหาติดขัดเรื่องการจัดส่งฯ)

โดยจะเปิดให้บูชาที่วัดบางพระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (บูชาได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ก่อนวันงานไหว้ครู)

*สำหรับจำนวนการผลิตเสื้อในปีนี้ ทางทีมงานจะดูจากสถิติการสั่งจองเสื้อ ๓ ปีย้อนหลัง

จึงแจ้งมาเพื่อทราบ..


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

หมายเหตุ- รายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาและราคาที่เปิดให้บูชา จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

120

ภาพประกอบจาก: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม

        ก็ขอเจริญพรแก่คุณวันชาติ วงศ์ชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธาน และคุณบุญลือ สง่าจิตร นายอำเภอนครชัยศรี และคุณวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม และหน่วยงาน ผอ. อบต. ก็ดี กำนันผู้ใหญ่บ้าน และผู้ที่มาร่วมงานในวันนี้ทุกๆ ท่าน ก็ขอโมทนาบรรดาท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมกันมาสร้างคุณงามความดีเอาไว้ยังวัดบางพระแห่งนี้ เพราะวัดบางพระแห่งนี้ก็ได้ประพฤติปฏิบัติในด้านการศาสนามาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญ ในทางพุทธศาสนาหรือในวันที่มีประกอบกิจกรรมต่างๆ ด้านศาสนา วัดบางพระก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์อยู่ตลอดมา บรรดาท่านทั้งหลายที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด และ ผอ.สำนักพุทธ มีศรัทธาได้ประกอบด้วยคุณงามความดีโดยคณะทุกท่าน ได้สร้างบุญทั้งหลาย และช่วยเหลือ ได้บริจาคทรัพย์ มาประพฤติปฏิบัติ แก่การหมั่นสร้างคุณงามความดีอยู่เป็นเนืองนิตย์ อย่างที่ท่านได้ประกอบเอาไว้อยู่ในศีล ๕ ศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดมุสา ไม่ดื่มสุรา รักษาได้ทั้ง ๕ ข้อนี้ หรือไม่ครบ ๕ ข้อ ก็ข้อใดข้อหนึ่งก็ยังดี ก็นับว่าเป็นบุญกุศลของท่านทั้งหลาย

        การทำบุญนั้นหน่ะ ไม่จำเพาะจำกัดเวลา ทำได้ทุกกาลทุกเวลาทุกสมัย อย่างที่บทที่พระได้พูดไว้ว่า “อกาลิโก” ไม่ประกอบด้วยกาล ประกอบด้วยปฏิบัติจะทำเวลาไหนก็ได้นะการทำบุญหรือทำความดี เพราะฉะนั้นในพระบาลีที่ว่า “สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย” การสั่งสมบุญ ย่อมนำมาซึ่งความสุข ความสุขความเจริญ บุญนั้นใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วดูจากข่าวนั้น สมัยปัจจุบันนี้มีการตัดกงตัดกรรมกัน ไอ้กรรมนั้นหน่ะตามหลักพุทธศาสนาเลยมันตัดไม่ได้หรอก กรรมมันอยู่ที่การกระทำของแต่ละบุคคล บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะทำกรรมดีไว้เยอะ แต่กรรมดีก็ตอบสนอง ถ้าใครทำกรรมชั่วไว้เยอะ ไอ้ความชั่วก็ตอบสนอง เพราะฉะนั้นจะไปตัดกรรมมันทำไม่ได้ ปัจจุบันนี้มีเยอะนะตัดกรรม

        เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายซึ่งมีผู้ว่าเป็นต้นเป็นประธาน และท่าน ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ขออนุโมทนาในคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายได้ประกอบในวันนี้ จงเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย เกื้อกูลอุดหนุนคุณงามความดีที่ท่านประพฤติปฏิบัติในวันนี้ ให้เจริญงอกงามในตำแหน่งหน้าที่ของท่านและธุรกิจการงานต่างๆ ให้สูงๆ ขึ้นไปนะ แล้วขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ จงทุกประการ จะคิดประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นไปในทางที่ชอบที่ควรแล้วไซร้ ขอให้สิ่งนั้นจงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ โดยทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ ขอเจริญพร.


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

เนื้อความสัมโมทนียกถาเรียบเรียงจากการถอดเทปเสียง
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน
เนื่องในงานกิจกรรมโครงการทำบุญทั้งจังหวัด นครปฐมวัดร่มเย็น (ครั้งที่ ๙)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ ณ ศาลาการเปรียญวัดบางพระ

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๕๕ น.

122

https://www.facebook.com/events/251595065016798/

กำหนดการโครงการทำบุญทั้งจังหวัด นครปฐมวัดร่มเย็น (ครั้งที่ ๙)

วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ ณ วัดบางพระ


เวลา ๐๙.๓๐ น.   
- หัวหน้าส่วนราชการและแขกผู้มีเกียรติพร้อมบริเวณ..................
- พระภิกษุวัดบางพระขึ้นสู่อาสนะ

เวลา ๑๐.๐๐ น.   
- นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และนางสว่างศรี วงษ์ชัยชนะ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม เดินทางถึงวัดบางพระ
- ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าววัตถุประสงค์โครงการฯ
- ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
- พิธีกรกล่าวนำสวดมนต์ไหว้พระ และอาราธนาศีล
- พระครูอนุกูลพิศาลกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพระให้ศีล
- พระสงฆ์วัดบางพระเจริญพระพุทธมนต์ (ชัยมงคลคาถา)
- พิธีกรกล่าวนำถวายผ้าป่า
- พระครูอนุกูลพิศาลกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพระ พิจารณาผ้าป่า
- ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ถวายพุ่มผ้าป่า
- พิธีกร กล่าวนำถวายภัตตาหาร
- ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และผู้เข้าร่วมพิธี ถวายภัตตาหาร
- พระครูอนุกูลพิศาลกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพระ กล่าวสัมโมทนียกถา และอนุโมทนา
- กรวดน้ำ รับพร
- พระครูอนุกูลพิศาลกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพระ มอบวัตถุมงคลที่ระลึกแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และผู้ที่เข้ามาร่วมงาน
- เสร็จพิธีบนศาลาการเปรียญ -
- ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ และผู้ที่เข้ามาร่วมงาน
- กราบสักการะสังขาร พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ
- ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ
- ปลูกต้นกฤษณา จำนวน ๒ ต้น
- กราบนมัสการพระประธานในอุโบสถวัดบางพระ
- ร่วมทำความสะอาดบริเวณวัดบางพระ

ข่าวสารจาก: พระสุเมโธภิกขุ
เฟสบุ๊ควัดบางพระ: www.facebook.com/bp.or.th

123

วันอังคารที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๗


ควบคุมเครื่องเสียง




สร้างพระไตรปิฎก


ตักบาตรสตางค์


ทำบุญโลงศพ


ดอกไม้ธูปเทียนทอง




บูชาพระประจำวันเกิด


บุรพาจารย์


น้อมสักการะ


อุปกรณ์อำพราง


ช่างปั้น


สร้างสรรค์


สุขใจ


มุมพัก


ก้างใหญ่


แผงค้า


ทิชชู่ช้อนปลา


สองสาว


ยังไม่ถอดรูป


อนุโมทนากับผู้ที่นำมาถวายเป็นประจำทุกงาน


ประทีปบูชา


หลวงพี่ติ่งเดินออกกำลังกายยามเย็น


แบ่งปัน


จับจีบ


รอ




พ่อค้า


สุดฝีมือ


จามก่อนกิน


ไม่ต้องตีตั๋ว จับจองที่นั่ง ปูเสื่อรอชม


หลบมานั่งสมาธิ




เนตรนารี...


๑๘.๐๐ น. หลวงพ่อสำอางค์ เป็นประธานเปิดงานประจำปี ปิดทองบุรพาจารย์วัดบางพระ ปี ๒๕๕๗






























หลวงพ่อทำน้ำมนต์


again


















มาร่วมงานตั้งแต่ยังสาว


ปิดทอง


สาธุ


จิตอาสา


ประเดิมถวายไทยธรรมเป็นสังฆทาน




บนขอโชคลาภสำเร็จ เตรียมประทัดแก้บนแสนนัด


เสียงที่คุ้นชิน






ครอบครัว


แม่ลูก


ซักตัว


เลือก


แต่งแต้ม


บังคับ


แก้หิว


มืออาชีพ


มือสมัครเล่น

124
ขอขอบคุณอาจารย์หนวดสำหรับภาพบางส่วนที่อนุญาตให้นำมาลงที่กระดานสนทนาวัดบางพระนี้ครับ.











































































































































อนุโมทนาบุญกับทุกท่านอีกครั้งครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

125

       งานประจำปีของวัดบางพระ ตามประวัติมีการจัดขึ้นมาอย่างยาวนานแต่ครั้งโบราณ กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๒ ถึงวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๒ (รวม ๓ วัน) ภายในงานจะมีกิจกรรมเปิดให้สาธุชนได้ปิดทองรูปหล่อเหมือนบุรพาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น ซึ่งทางวัดได้สร้างวิหารเพื่อประดิษฐานรูปหล่อเหมือนของบุรพาจารย์ไว้บริเวณด้านหน้าอุโบสถหลังใหม่ ภายในวิหารจะประดิษฐานรูปหล่อพระคณาจารย์ผู้เป็นบุรพาอาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่นไว้ ๓ องค์ (รวมรูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นด้วยเป็น ๔ องค์) ประกอบด้วย



รูปหล่อหลวงปู่หิ่ม อนฺทโชโต

       ๑. รูปหล่อหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อเปิ่น ซึ่งแต่เดิมวิหารหลังนี้ในสมัยก่อนมีประดิษฐานรูปหล่อหลวงปู่หิ่มไว้เพียงองค์เดียว โดยรูปหล่อของหลวงปู่หิ่มนี้สร้างในสมัยที่หลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน์ เป็นเจ้าอาวาสวัดบางพระเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ หากขึ้นไปสักการบูชาบนวิหาร ก็จะเห็นป้ายวิหารไม้หลังเดิมที่ระบุไว้ว่า “หลวงพ่อหิ่ม” วางไว้อยู่ด้านหน้าของวิหาร

ป้ายไม้ชื่อวิหารหลวงพ่อหิ่มอันเดิมก่อนได้รับการบูรณะ

       กล่าวถึงหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต ที่นอกจากจะเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระรูปที่ ๖ (พ.ศ.๒๔๔๑ ถึง พ.ศ.๒๔๙๕) และเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อเปิ่นแล้ว ก็นับได้ว่าหลวงปู่หิ่มท่านเป็นครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในด้านพระเวทย์ การสักยันต์ และตำรับตำรายาสมุนไพรแก่หลวงพ่อเปิ่นอีกด้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือหลวงปู่หิ่มท่านเป็นพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงด้านวิชาอาคมซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากพระคณาจารย์หลายรูป หนึ่งในนั้นคือหลวงพ่อทอง วัดละมุด ผู้เป็นเกจิคณาจารย์ชื่อดังของนครปฐมในสมัยโบราณ ซึ่งแม้แต่หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ก็ได้มาเป็นศิษย์ของท่านเช่นเดียวกัน อีกทั้งหลวงปู่บุญท่านก็เป็นสหธรรมิกของหลวงปู่หิ่มด้วย (จากบันทึกตามหลักฐานเป็นจดหมายที่หลวงปู่หิ่มกับหลวงปู่บุญท่านเขียนถึงกัน)


       จากอดีตถึงปัจจุบัน ผู้ที่มาบนบานสานกล่าวขอให้หลวงปู่หิ่มท่านช่วยเหลือในเรื่องสิ่งหนึ่งประการใด ก็นิยมนำประทัดมาจุดแก้บนถวายที่ด้านหน้าวิหารบุรพาจารย์หลังนี้อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ก็ยังนิยมมาเสี่ยงเซียมซี และรับเอาน้ำมนต์ในวิหารนี้กลับไปดื่มกิน โดยเชื่อว่าเมื่อได้ดื่มกินหรืออาบแล้ว จะเป็นสิริมงคลตามความเชื่อ


บริเวณที่สาธุชนนิยมนำประทัดมาจุดแก้บนหน้าวิหารบุรพาจารย์


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




รูปหล่อหลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน

       ๒. รูปหล่อหลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน (พระอธิการอยู่ ปทุมรัตน) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระรูปที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๙๖ ถึง พ.ศ.๒๕๑๖) ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น โดยรูปหล่อหลวงพ่อทองอยู่องค์นี้ หลวงพ่อเปิ่นท่านมาสร้างไว้ในภายหลังเมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบางพระแล้ว ชื่อเสียงของหลวงพ่อทองอยู่จะเด่นด้านวิชาโหราศาสตร์ที่มีความแม่นยำ อีกทั้งท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย การปกครองพระสงฆ์ในวัดบางพระในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยเป็นอย่างดี



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




รูปหล่อหลวงพ่อเปลี่ยน ฐิตธมฺโม[/color]

       ๓. รูปหล่อหลวงพ่อเปลี่ยน ฐิตธมฺโม ผู้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น ตามประวัติของหลวงพ่อเปลี่ยน ก่อนที่ท่านจะมาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์นั้น ในอดีตท่านเคยเป็นเสือ (โจร) มาก่อน ซึ่งในสมัยนั้นผู้ที่เป็นเสือก็จะต้องมีวิชาอาคมไว้เพื่อป้องกันตัว โดยหลวงพ่อเปลี่ยนนั้นท่านเคยโดนยิงด้วยกระสุนปืนเข้าที่กะโหลกศีรษะแต่ไม่เข้า เป็นเพียงรอยนูนออกมาเท่านั้นแต่ไม่ระคายผิวแต่อย่างใด ท่านใดที่ได้ไปกราบนมัสการสักการะรูปหล่อของหลวงพ่อเปลี่ยนบนวิหารบูรพาจารย์ที่วัดบางพระก็ลองสังเกตที่บริเวณศรีษะด้านซ้ายของรูปหล่อหลวงพ่อเปลี่ยนดู ซึ่งจะเห็นเป็นรอยนูนออกมา ซึ่งเป็นที่กล่าวกันว่า นี่แหละคือตรงที่ท่านโดนยิงแต่ไม่เข้า หลวงพ่อเปิ่นได้เล็งเห็นระลึกถึงคุณงามความดีของพระอนุสาวนาจารย์ ท่านจึงได้หล่อรูปเหมือนของหลวงพ่อเปลี่ยนขึ้นไว้เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาสาธุชนได้กราบไหว้บูชาสืบไป

บริเวณศรีษะด้านซ้ายของรูปหล่อหลวงพ่อเปลี่ยน จะเห็นเป็นรอยนูนออกมา

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:




รูปหล่อพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ)[/color])

       ๔. รูปหล่อพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระรูปที่ ๘ (พ.ศ.๒๕๑๗ ถึง พ.ศ.๒๕๔๕) รูปหล่อของหลวงพ่อเปิ่นองค์นี้สร้างไว้ในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ซึ่งสร้างหลังจากที่หลวงพ่อเปิ่นท่านมรณภาพไปแล้ว โดยศิษยานุศิษย์ได้ร่วมใจกันหล่อรูปเหมือนของท่านขึ้นเพื่อไว้สักการบูชา และได้นำมาประดิษฐานไว้ในวิหารบุรพาจารย์ของวัดบางพระตั้งแต่นั้นมา สาธุชนที่มากราบไหว้ขอพรก็นิยมไปสักการะบูชาปิดทองรูปเหมือน เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีเมื่อครั้งสมัยที่หลวงพ่อเปิ่นท่านยังดำรงสังขารอยู่ ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีเมตตา อนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือ และสร้างสาธารณะประโยชน์ให้แก่ชาวตำบลบางแก้วฟ้าและละแวกใกล้เคียง รวมถึงสร้างคุณประโยชน์ไว้แก่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ


       ในปีนี้ทางวัดบางพระได้กำหนดจัดงานประจำปี ปิดทองรูปเหมือนบุรพาจารย์ขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔ – ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ ภายในงานนอกจากจะจัดให้มีการทำบุญปิดทองรูปเหมือนอดีตบุรพาจารย์ของวัดบางพระแล้ว ก็ยังจัดให้มีการทำบุญอื่นๆ เช่น ทำบุญโลงศพ ตักบาตรสตางค์ สร้างพระไตรปิฎก ถวายสังฆทาน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังจัดให้มีมหรสพให้สาธุชนผู้มาร่วมงานได้ชมฟรีตลอดงานด้วยเช่นกัน


รับชมภาพบรรยากาศภายในงานประจำปีของวัดบางพระเมื่อปีที่แล้ว (๒๕๕๖) ได้ที่... http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28950.0;


       ดังนั้นจึงขอเชิญชวนศิษยานุศิษย์วัดบางพระ และสาธุชนผู้สนใจแสวงบุญทุกท่าน ได้มาร่วมงานประจำปีของทางวัดบางพระ เพื่อสร้างบุญกุศล และรำลึกถึงคุณของอดีตพระบุรพาจารย์ผู้เป็นอาจารย์ของสำนักวัดบางพระ อีกทั้งยังเป็นการร่วมสืบสานอนุรักษ์ประเพณีงานบุญงานประจำปีของทางวัดบางพระให้คงอยู่สืบไป


อนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับผู้ที่ไปร่วมบุญในงานประจำปีวัดบางพระล่วงหน้าครับ
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีงานประจำปี และประวัติของอดีตบุรพาจารย์ของวัดบางพระ
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ท่านพระครุอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร)
เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗
เวลา ๐๑.๔๗ น.

126
พิธีเปิดอาคารคลีนิคแพทย์แผนจีน โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น ๑๐ มกราคม ๒๕๕๗

โดยอาคารคลีนิกแพทย์แผนจีน โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น นี้ หลวงพ่อสำอางค์ท่านได้ร่วมสร้างโดยนำเงินส่วนหนึ่งมาจากเงินค่าครูสักยันต์ (๒๕ บาท) และเงินปัจจัยที่ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมบุญที่วัดบางพระ มาทำบุญสร้างสาธารณประโยชน์ต่อ

อนุโมทนาบุญกับศิษย์หลวงพ่อเปิ่นทุกๆ ท่าน สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.


























อีกส่วนกับการก่อสร้างพัฒนาวัด..














127

สืบเนื่องจากทางวัดบางพระนำโดยท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน องค์ประธานอุปถัมภ์ในการบูรณะครั้งนี้) พระอาจารย์ต้อย พระอาจารย์ติ่ง พระอาจารย์อภิญญา พระอาจารย์แป๊ว พระอาจารย์อนันต์ และพระปาด ได้เชิญชวนสาธุชนผู้ใจบุญทั้งหลายให้ร่วมกันสร้างบุญสมทบทุนบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) และได้เริ่มดำเนินการบูรณะมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๖ มาบัดนี้ การบูรณะได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะจัดให้มีการฉลองโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ ดังนั้นจึงขอเชิญชวนศิษยานุศิษย์วัดบางพระทุกท่าน (ที่สามารถมาร่วมงานฉลองดังกล่าวได้) ได้มาร่วมฉลองโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ในวันดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน.

ประวัติความเป็นมาของโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม): http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29255

ภาพการบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ที่เริ่มทำการบูรณะตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๖ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
































































อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ในครั้งนี้ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๗
เวลา ๒๐.๐๕ น.

131

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร)
เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน เมตตามอบวัตถุมงคลมาแจกแก่เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ


ประกอบด้วย รูปหล่อแซยิดหลวงพ่อสำอางค์อุดกริ่ง ปี ๒๕๕๕ (บางองค์กริ่งไม่ดัง) จำนวน ๓๖ องค์


ไม้ไผ่ตันหลวงพ่อเปิ่น (หลวงพ่อสำอางค์ท่านเก็บไว้บนหัวนอน และอธิษฐานจิตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน) จำนวน ๘๖ ชิ้น


ผมเองขอนำเกศาหลวงพ่อสำอางค์มาแจกในกิจกรรมครั้งนี้ร่วมด้วยอีกจำนวน ๕๐ รางวัล

 
:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

รายละเอียดและกติกาการร่วมลงชื่อรับรางวัล

- สงวนสิทธิ์ในการแจกรางวัลครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เนื่องจากมงคลวัตถุมีจำนวนจำกัดและเพื่อความเท่าเทียมกันของเพื่อนสมาชิก ดังนั้นจึงขอเปิดให้ร่วมลงชื่อเพื่อรับรางวัลในวันพฤหัสบดีที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป (โดยโพสตอบในกระทู้นี้เท่านั้น)

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๘๖ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๓๖ ท่านแรก จะได้รับ รูปหล่อแซยิดหลวงพ่อสำอางค์ ปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑ องค์, ไม้ไผ่ตันหลวงพ่อเปิ่น จำนวน ๑ ชิ้น และเกศาหลวงพ่อสำอางค์ จำนวน ๑ รางวัล (รวม ๓ ชิ้น/ ๑ ท่าน)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัลลำดับที่ ๓๗ - ๕๐  จะได้รับ ไม้ไผ่ตันหลวงพ่อเปิ่น จำนวน ๑ ชิ้น และเกศาหลวงพ่อสำอางค์ จำนวน ๑ รางวัล  (รวม ๒ ชิ้น/ ๑ ท่าน)

ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัลลำดับที่ ๕๑ - ๘๖  จะได้รับ ไม้ไผ่ตันหลวงพ่อเปิ่น จำนวน ๑ ชิ้น (รวม ๑ ชิ้น/ ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อรับรางวัลทั้ง ๘๖ ท่าน กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัลทั้ง ๘๖ ท่าน เมื่อได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๑๐ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)



 
:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:
       


[shake]ย้ำอีกครั้ง!! จะเปิดให้ลงชื่อรับรางวัลในกระทู้นี้ ในวันพฤหัสบดีที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป[/shake]


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปล. พรุ่งนี้ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ หลวงพ่อสำอางค์ไปแจกวัตถุมงคลที่วัดพระปฐมเจดีย์ฯ จ.นครปฐม ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. เป็นต้นไป ท่านใดว่างก็ไปร่วมบุญรับวัตถุมงคลกับหลวงพ่อได้ตามรายละเอียดดังภาพ

เฟสบุ๊ควัดบางพระ www.facebook.com/bp.or.th

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

133

แถลงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)

สิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น. วันนี้ (๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖)

รวมพระชันษา ๑๐๐ ปี ประดิษฐานพระศพตำหนักเพชร วัดบวรฯ.

น้อมกราบถวายความอาลัย.


facebook.com/bp.or.th

134

ด้วยขณะนี้โรงเจวัดบางพระได้รับการบูรณะจนใกล้แล้วเสร็จ หลวงพี่ต้อยท่านจึงเตรียมจัดงานฉลองโรงเจแห่งใหม่

โดยฝากมาบอกบุญแก่ผู้ศรัทธาได้ร่วมกันบริจาคปัจจัยเป็นเจ้าภาพโต๊ะจีนในงานฉลองโรงเจวัดบางพระ

ซึ่งหลวงพี่ต้อยท่านจะมอบเหรียญโภคทรัพย์หลวงพ่อเปิ่น เป็นที่ระลึกแก่เจ้าภาพที่ร่วมบุญในครั้งนี้

ท่านที่ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพโต๊ะจีน ๑ โต๊ะ ๑,๕๐๐ บาท จะได้รับเหรียญโภคทรัพย์เนื้อเงิน ๑ เหรียญ และเหรียญทองแดง ๑๐ เหรียญ รวม ๑๑ เหรียญ (เหรียญโภคทรัพยืเนื้อเงินมีจำนวนจำกัดเพียง ๑๐๐ เหรียญเท่านั้น)

ติดต่อร่วมบุญได้ที่หลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) ที่เดียวเท่านั้น





*หมายเหตุ - จะจัดงานฉลองโรงเจวัดบางพระหลังน้ำลดแล้ว


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญครั้งนี้
ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๖
เวลา ๐๑.๑๒ น.

135

ร่วมลงนามถวายพระพรได้ที่ http://sangharaja.org/home2/index.php?gest=1


ภาพหลวงพ่อเปิ่น กราบสักการะสมเด็จพระสังฆราชฯ.

139

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี
ณ วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
วันอาทิตย์ ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ (แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑)
เวลา ๐๙.๐๐ น. ถวายองค์กฐินสามัคคี เวลา
๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์

เฟสบุ๊ค วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)

140

ขาดไปนิดหน่อย แต่คุณค่าทางใจยังคงเดิม..

141



เหรียญเสมาพระโมคคัลลา-สารีบุตร หลังเรียบ หลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน์ วัดบางพระ จ.นครปฐม

เคยเห็นที่หลวงพี่ปาดท่านเหรียญนึง เรียนสอบถามได้ความว่าเป็นเหรียญที่หลวงพ่อทองอยู่ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระเป็นผู้สร้างไว้

ส่วนรายละเอียดหลวงพี่ปาดท่านแนะนำให้ไปถามกับหลวงพี่ต้อยท่านดู

(เหรียญในภาพค้นเจอบนหิ้งที่บ้าน ด้านหลังหลวงพ่อสำอางค์ท่านเห็นเรียบอยู่ จึงเมตตาจารไว้ให้)



นำมาให้ชม: รูปตั้งหน้าศพหลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ


142



www.facebook.com/bp.or.th
www.fb.com/bp.or.th




กำหนดสวดพระอภิธรรม...ก๋งแป๊ะ หวานชะเอม

ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ ศาลาบำเพ็ญกุศลหลังใหม่ วัดห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ประชุมเพลิง วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ ฌาปนสถานวัดห้วยพลู เวลา ๑๕.๓๐ น.

*งดเงินช่วย - พวงหรีด

143

เนื่องด้วยทางวัดเวียงแก้ว จ.เชียงราย ได้ดำเนินการก่อสร้างหอฉัน แต่ยังไม่แล้วเสร็จและยังขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก ท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) พร้อมด้วยพระอาจารย์ในวัดบางพระ ได้เมตตารับอุปถัมภ์เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการทอดกฐินสามัคคี เพื่อสบทบทุนสร้างหอฉันวัดเวียงแก้ว จึงขอบอกบุญมายังท่านผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบุญบริจาคทรัพย์สมทบทุนก่อสร้างอาคารหอฉันครั้งนี้ให้สำเร็จไปด้วยดี

สำหรับผู้ที่ร่วมบุญ ๕๐๐ บาท หลวงพี่ต้อยท่านเมตตามอบ "เชือกข้อมือบัวบังใบ" (หลวงพี่หนุ่ม รุ่น ๒ ปี ๕๔ เพ้นสี) เลี่ยมพลาสติก ถักเชือกเทียน ไว้เป็นที่ระลึกนึกถึงบุญ ๑ เส้น (มีประมาณ ๑๕๐ เส้น)



ติดต่อร่วมบุญและรับของที่ระลึกได้ที่ หลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย)

ปล. หลวงพี่ต้อยท่านฝากขอบใจมายังลูกศิษย์ทุกท่านที่ห่วงใยสอบถามถึงสุขภาพมา ณ โอกาสนี้ด้วย


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๖
เวลา ๑๑.๑๙ น.

144
ภาพโดย ตะกรุดโทน ศิษจารเปิ่น  (ประสาน ช่างภาพ ห้วยพลู)




























































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖
เวลา ๒๓.๑๖ น.

145
เหรียญหลวงพ่อเปิ่น รุ่นพิเศษ ปี ๒๕๓๓ ทรงเหรียญเป็นรูปจักร ๒๔ แฉก






ด้านหน้า ตรงกลางเหรียญเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่นนั่งถือไม้เท้า ล้อมรอบด้วยพระประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน ๗ ปาง

ได้แก่ ปางสมาธิ-พระประจำวันพฤหัสบดี, ปางรำพึง-พระประจำวันศุกร์,

ปางนาคปรก-พระประจำวันเสาร์, ปางถวายเนตร-พระประจำวันอาทิตย์,

ปางห้ามสมุทร-พระประจำวันจันทร์, ปางไสยาสน์-พระประจำวันอังคาร และปางอุ้มบาตร-พระประจำวันพุธ (กลางวัน)

ใส่รายละเอียดไว้ว่า "หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครชัยศรี นครปฐม รุ่นพิเศษ เมษายน ๒๕๓๓"

พร้อมด้วยอักขระ รอบแฉกใบจักรมีอักขระ ๑๒ ตัว




ด้านหลัง ตรงกลางประทับยันต์ดวงชะตา ล้อมรอบด้วยสัญลักษณ์ประจำจักรราศี ทั้ง ๑๒ ราศี ได้แก่

ราศีเมษ-สัญลักษณ์รูปแกะ, ราศีพฤษภ-สัญลักษณ์รูปวัว, ราศีเมถุน-สัญลักษณ์รูปคนคู่, ราศีกรกฎ-สัญลักษณ์รูปปู,

ราศีสิงห์-สัญลักษณ์รูปสิงโต, ราศีกันย์-สัญลักษณ์รูปหญิงสาว, ราศีตุลย์-สัญลักษณ์รูปคันชั่ง,

ราศีพิจิก-สัญลักษณ์รูปแมงป่อง, ราศีธนู-สัญลักษณ์รูปคนยิงธนู, ราศีมังกร-สัญลักษณ์รูปแพะทะเล,

ราศีกุมภ์-สัญลักษณ์รูปคนแบกหม้อน้ำ และราศีมีน-สัญลักษณ์รูปปลา


เหรียญนี้จึงเป็นการผสมผสานความเชื่อเรื่องดวงชะตาราศีทั้งคตินิยมแบบพุทธ และคตินิยมแบบสากล ได้อย่างลงตัว

ท่านใดที่มีเชื่อเกี่ยวกับการหนุนดวง เสริมดวง เสริมชะตาราศี ก็ลองหาเหรียญหลวงพ่อเปิ่นรุ่นนี้ไว้ใช้ดูครับ


ข้อความถูกซ่อน (ลากเมาส์เข้าในกรอบเพื่อแสดง)

146


หลวงพ่อเปิ่นเมตตามอบไว้ให้กับคุณยายเมื่อครั้งไปร่วมบุญที่วัดบางพระ

(พยายามสืบค้นประวัติ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าปีไหน? อย่างไร?)

147

เมื่อช่วงประมาณต้นปี ๕๖ ที่ผ่านมา ผมเองได้มีโอกาสไปร่วมบุญที่วัดแห่งหนึ่ง โดยทางวัดได้มอบแหวนวงนี้ไว้ให้เป็นที่ระลึกถึงบุญ

แม้ว่าแหวนวงนี้จะมีขนาดเล็ก (ใส่ได้แค่นิ้วก้อยนิ้วเดียว) และอาจจะหลวมไปบ้างเล็กน้อย แต่ผมเองก็สวมไว้เป็นประจำมาโดยตลอด

เหตุเกิดเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ขณะกำลังให้อาหารปลาในบ่อดินที่บ้านสวนหลังวัดท้องไทรด้วยความเพลิดเพลิน

จังหวะโปรยอาหารปลา แหวนเกิดหลุดออกจากนิ้วไปตามแรงเหวี่ยงของการโปรย
และแล้วแหวนวงนี้ก็ตกไปกลางบ่อน้ำ!!

เลยนำเรื่องไปเล่าให้คุณป้าเจ้าของสวนฟัง คุณป้าแกพูดเชิงปลอบใจมาว่า "ถ้าวิดปลาแล้วไปเจอแหวนจะเก็บไว้ให้"

วินาทีนั้นมีความคิดว่า อย่างไรก็คงไม่ได้คืนแล้ว หล่นแล้วก็หล่นไปช่างประไร ไว้ไปร่วมบุญรับมาใหม่ก็ได้

แต่อีกใจหนึ่ง มานึกถึงคำพูดของหลวงปู่รูปหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชชาและแนวทางปฏิบัติให้แก่ท่านผู้ที่สร้างแหวนวงนี้ขึ้น ด้วยประโยคที่ว่า...



"พระหรือวัตถุมงคลของท่านเป็นของเป็น ไม่ใช่ของตาย หากหายไปก็สามารถเรียกกลับคืนมาได้"


ก็เลยลองอธิษฐานตามแนวทางการปฏิบัติตามสายวิชชาของหลวงปู่รูปนี้ว่า "ขอให้ได้แหวนวงนี้คืน โดยให้กลับไปปรากฏอยู่ที่ห้องนอน" (โดยปกติแล้วเวลาที่ไม่ได้ใช้ ผมจะถอดเก็บแหวนวงนี้ไว้ที่ห้องนอนเสมอ) ประมาณว่า อธิษฐานขอไปเช่นนั้นเอง รู้ทั้งรู้ว่าอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้

แต่แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (๑๖ ส.ค. ๕๖) เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

เมื่อที่บ้านของคุณป้าเจ้าของสวน โทรมาบอกว่า "เจอแหวนวงนึง อยู่บนชั้นปลายเตียงในห้องนอนของป้า ไม่รู้ว่าเป็นวงเดียวกับที่ทำตกบ่อปลาหรือเปล่า"

พอบอกลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ลักษณะของแหวนที่ตกบ่อให้ฟัง ก็ยืนยันได้ว่า "ใช่วงเดียวกันกับที่ตกบ่อปลาไป!!" เมื่อวานนี้จึงไปรับแหวนวงนี้คืนมา

ทั้งๆ ที่ตกบ่อปลาไม่มีวี่แววจะได้คืน..ทั้งๆ ที่ลองอธิษฐานว่าขอให้มาปรากฏในห้องนอน (แต่กลับไปปรากฏในห้องนอนของคุณป้า)..ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้าไปในห้องคุณป้าเค้าเลย..และทั้งๆ ที่คุณป้ายังไม่ได้วิดปลาในบ่อแต่อย่างใด


แต่ก็ได้แหวนที่ทำตกบ่อปลากลับคืนมา..


เหตุการณ์แปลกดี จึงนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

*ปล.อาจจะมีคำถามเข้ามาว่า แล้วแหวนวงนี้ของวัดไหนอย่างไร? คงบอกได้เพียงหมวดหมู่ที่ลงภาพและประสบการณ์ครั้งนี้ไว้แค่ว่า...

"รูปภาพสายอื่นๆ!!"

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๖
เวลา ๐๒.๕๙ น.

148
วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ วันแม่แห่งชาติ และเป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อเปิ่น ปีที่ ๙๐

อนุโมทนาสาธุการ กับคณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อทุกท่านที่ร่วมบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์

*บรรยากาศเพิ่มเติม รอพี่ๆที่ไปร่วมงานทยอยนำมาลงให้ชมนะครับ




















บนกุฏิใหญ่


พี่่ชาญของน้องๆ




วงดนตรีไทยวัดบางพระ


ปฏิสันถารที่แผนกเครื่องเสียง


พระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา เมตตามาร่วมพิธี


เบื้องหลัง






กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ทุกรูป และเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน สำหรับของที่ระลึกทั้งหมดนี้อีกครั้งนะครับ

ย่ามถวายพระปีนี้



จิ้งจกเนื้อเงิน ที่ระลึกร่วมบุญเจ้าภาพโต๊ะจีนปีนี้



พระยอดขุนพล และเกศาหลวงพ่อ (กราบขอบพระคุณหลวงพี่ตู่ และหลวงตาจันทร์ไว้ด้วยครับ)


พระนางพญาหลวงพ่อเปิ่น เนื้อเรซิ่นผสมข้าวสารหิน (วัดหนองวงษ์เขาม่วง ลพบุรี สร้างถวายหลวงพ่อเปิ่น ปี ๒๕๓๙)


ตะกรุดสไม้ไผ่ตัน ตะกรุดสามห่วง หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ (หลวงพ่อออมเมตตา ประมาณปี ๓ กว่าๆ)


เหรียญหลวงพ่อเปิ่น ปี ๒๕๓๙


ตะกรุดยันต์ขอมเชียง ปี ๒๕๕๕ (กราบขอบพระคุณหลวงพี่เชษฐ์อีกครั้ง)


ตะกรุดจีวรหลวงพ่อเปิ่นดอกใหญ่ (ตะกรุดด้านในหลวงพ่อสำอางค์ท่านจารไว้สมัยหลวงพ่อเปิ่นยังดำรงสังขาร)



พระนางพญาหลวงพ่อเปิ่น เนื้อดินเผา ปี ๒๕๐๘ ออกที่วัดโคกเขมา


พระผงหลวงปู่ทวด วัดบางพระ ปี ๒๕๔๐


ตะกรุดหนังเสือถักเชือก หลวงพ่อเปิ่น ประมาณปี ๔ กว่า ทันหลวงพ่อเปิ่น


ตะกรุดลูกปืน ทันหลวงพ่อเปิ่น


สุดท้าย พระผงสมเด็จจันทร์ลอยหลังหลวงพ่อเปิ่น ออกวัดโคกเขมา ในหนังสือเล่มใหญ่ลงปี ๒๕๑๔ (ฝากรายละเอียดไว้)



แล้วพบกันที่งานบุญวัดบางพระครั้งต่อไป

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านอีกครั้งนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

149

แม่
โดย
พระนิพนธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

   ในบรรดาคำพูดของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด คำว่า “แม่” ดูจะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมนต์ขลัง มีความหมายกินใจอย่างลึกลับและลึกซึ้งมากที่สุด เพราะอะไร ? ทุกคนย่อมมี “แม่” ผู้ให้กำเนิด เป็นเพื่อนเราคนแรกในโลกทีเดียว องค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็น “ครู” ที่เราเคารพและยึดมั่นในพระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ และพระบริสุทธิคุณแม้ว่าท่านจะเสียพระพุทธมารดาตั้งแต่ประสูติได้ ๗ วัน ท่านคงจะมีความรู้สึกเกี่ยวกับแม่ไม่ต่างจากบุคคลอื่น สังเกตได้จากคำสอนในพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับแม่ทั่วๆไป

   พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับแม่ไว้หลายครั้งบ้างก็เอ่ยถึงพ่อแม่ควบกันไปบ้างก็เอ่ยเฉพาะแม่โดดๆ เช่น ในโสณนฺทนาชาดก มีพระคาถาที่กล่าวไว้ว่า


   สุหทา มาตา         มารดาเป็นผู้ใจดี
   ชยนฺตี มาตา         มารดาเป็นผู้ให้เกิด
   โปเสนฺตี มาตา      มารดาเป็นผู้เลี้ยงดู
   โคเปนฺตี มาตา      มารดาเป็นผู้คุ้มครองรักษา
   วิหญญนฺตี มาตา    มารดาเป็นผู้เดือดร้อนเป็นห่วงเป็นใย
   อนุกมฺปกา ปติฏฺฐา จ ปุพฺเพ รสทที จ โน มคฺโค สคฺคสฺส โลกสฺส
   มารดาเป็นผู้เอ็นดู เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ให้รส (น้ำนม) มาก่อน เป็นทางแห่งโลกสวรรค์


ฯลฯ

*********************************************

ที่มา: คณะศิษยานุศิษย์. (๒๕๓๘). บุญญาบารมี หลวงพ่อเปิ่น ฉบับพิเศษ สมโภชสัญญาบัตรพัดยศ “เจ้าคุณ” พระอุดมประชานาถ (เปิ่น) วัดบางพระ นครปฐม ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘. (น.๗๙).

150

                           ภาพพระธรรมปริยัติเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม) เจ้าคณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม และพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) เจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม อธิษฐานจิตวัตถุมงคลของวัดพระปฐมเจดีย์ฯ บนกุฏิใหญ่ วัดบางพระ

                           หมายเหตุ: วันนี้ (วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นวันคล้ายวันเกิดพระธรรมปริยัติเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม) ครบ ๖ รอบ ๗๒ ปี ด้วยอีกประการหนึ่ง





                           ภาพยันต์มงคล ๘๔ ปี หลวงพ่อพระร่วงโรจนฤทธิ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ด้านหน้าจารึกยันต์ลายมือพระคณาจารย์จังหวัดนครปฐม ๔ รูป ประกอบด้วย หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม, หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม และหลวงพ่อรอด วัดวังน้ำเขียว.



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
เวลา ๐๑.๑๑ น.

151
บทสัมภาษณ์จากการถอดเทปเสียงหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ


ผู้สัมภาษณ์:      พิธีไหว้ครูเนี่ยะ ที่จัดขึ้นทุกปีเนี่ยะครับ มีความเป็นมายังไง?


หลวงพ่อเปิ่น:      "มันก็ต้องถึงครั้งโบราณหน่ะ เป็นมาเนื่องๆ ติดต่อ เรื่อยๆ ต้อง..ทุกปีต้องไหว้ครู ไม่ไหว้ก็..มันก็เป็นไอ้โน่นเป็นไอ้นี่ ปวดหัวตัวร้อนไป เอ่อ..ต้องมีไหว้ครู ทุกปีต้องไหว้ครู สักไปมากๆ ก็ทำให้..โบราณเค้าว่ามันร้อน ร้อนวิชาไป ต้องกราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ ปีๆ นึง"


ผู้สัมภาษณ์:      เพื่อจะได้เย็นขึ้นใช่ไหมครับ?


หลวงพ่อเปิ่น:      "เออ..มันมีเรื่องว่า ตั้งแต่โบราณ เออ..เค้ากำหนดให้..ให้ไหว้ครู ให้ครอบ ใช่มั๊ย จะได้ให้ลูกศิษย์ลูกหามันได้สงบ ไอ้ที่ร้อนหน่ะมันไม่ได้ไป ไปทางไหนหล่ะ อยู่ในขอบเขต ขอบเขตตัวเอง ก็บางคนมันร้อน สักไปมากๆ บางคนมันร้อนไป ไม่อยู่บ้านอยู่ช่อง เออ..ร้อน ว่างมันก็ไปเที่ยวส่ง บางครั้งมันเข้าไม่ได้หรอก เพราะว่ามัน..มันร้อน..เออ"


ผู้สัมภาษณ์:      ขณะที่ทำพิธีไหว้ครูเนี่ยะครับหลวงพ่อ บางคนเค้าทำไมมีอาการของขึ้น?


หลวงพ่อเปิ่น:      "มันขึ้น มันสุดแท้แต่ว่าใจมัน ใจมันอ่อนก็ขึ้นง่าย ใจมันแข็งก็ไม่ค่อยขึ้น บางทีหนาวๆ ร้อนๆ ใจอ่อนก็ขึ้นง่าย ยิ่งคนที่เชื่อมั่นมันก็ขึ้นง่าย โดดโผงผางๆๆ ไป ไอ้ที่ว่าใจแข็งๆ ก็ไม่ค่อยขึ้น มันจะให้ขึ้นไปทุกคนไม่ได้หรอก บางทีก็หนาวๆ ร้อนๆ ขนลุกซู่ซ่าๆ"



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖
เวลา ๑๔.๕๓ น.

152

      สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (๒๒ ก.ค. ๕๖) หลังจากที่ร่วมบุญที่วัดบางพระเรียบร้อยแล้วแล้ว ช่วงเย็นจึงเดินทางไปรับบุญพิธีกรกล่าวนำในงานสวดพระอภิธรรมพระอธิการเกษม เขมจาโร (หลวงปู่อั๊บ ทิมมัจฉา) และร่วมประกอบพิธีเวียนเทียนรอบอุโบสถวัดท้องไทรต่อ



      ทั้งนี้ หลวงพี่ชาญชัย ขนฺตยานุสสฺติ ท่านได้เมตตาฝาก "ผ้ายันต์นางพิม เทพเสน่หา" มาแจกเพื่อสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระจำนวนหนึ่ง



      ช่วงบ่ายวันนี้ (วันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ วันเข้าพรรษา) ท่านใดที่เข้าไปร่วมบุญที่วัดบางพระ สามารถมารับได้กับกระผมที่บนกุฏิใหญ่ ถึงเวลา ๑๖.๓๐ น. (อยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ด้านข้างเก้าอี้ที่หลวงพ่อสำอางค์ท่านลงนะหน้าทอง-สาริกาลิ้นทอง) มีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์ ๑ ท่านต่อ ๑ ผืนเท่านั้น



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

153
บทความ บทกวี / วันเข้าพรรษา
« เมื่อ: 23 ก.ค. 2556, 12:12:10 »

      เป็นธรรมเนียมของบ้านเมืองในครั้งโบราณกาล เมื่อถึงฤดูฝน ต้องงดการไปมาหาสู่กันต่างเมืองชั่วคราว ตัวอย่างเช่น พวกพ่อค้าเกวียน พ่อค้าสัตว์ พาหนะต่างๆ ถึงฤดูฝน ณ ที่ใด ต้องหยุดพัก ณ ที่นั้น เพราะทางเดินเป็นหล่ม ไม่สะดวกในการเดินทาง นอกจากนี้ยังจะถูกน้ำป่าหลากมาท่วมด้วย
   
      ครั้งปฐมโพธิกาล พระพุทธองค์ยังมิได้ทรงอนุญาตการจำพรรษา ภิกษุเที่ยวจาริกไปตลอดปี แม้ฤดูฝนก็มิได้หยุด ได้เหยียบย่ำข้าวกล้า และธัญชาติต่างๆ ของชาวนาชาวไร่เสียหาย และสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็พลอยมีอันตรายแก่ชีวิตไปก็มาก ในบาลีมหาวรรค พระวินัยปิฎก มีเรื่องเล่าว่า ในกาลนั้น ชาวบ้านชาวเมืองได้ติเตียนโพนทะนาว่าร้ายพวกภิกษุว่า ในฤดูฝนเช่นนี้ พวกเดียรถีย์ยังหยุดพักไม่เดินทางไปไหน โดยที่สุดแม้สัตว์เดรัจฉานบางพวกยังหยุดอยู่ประจำที่ไม่ไปไหน แต่พวกสมณศากยบุตรเที่ยวเดินทางตลอดปีโดยไม่หยุด เที่ยวเหยียบข้าวกล้าหญ้าระบัด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยให้ถึงความพินาศ คำโพนทะนาว่าร้ายนี้ได้ทราบถึงพระโสตพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ทรงนำเรื่องนี้กราบทูลพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงปรารภเรื่องนี้เป็นเหตุ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส คือ ๓ เดือน ในฤดูฝน โดยการอยู่ประจำที่ ไม่ไปค้างแรม ณ ที่อื่น (คณาจารย์แห่งโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง. (๒๕๕๐). วินัยมุข เล่ม ๒ ฉบับมาตรฐาน. (น.๖๗). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง.)

      ในส่วนของภิกษุ ก็จะต้องอยู่จำพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน โดยเพื่อระงับเหตุความเดือดร้อนข้างต้นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็จะถือช่วงโอกาสนี้ ศึกษาทบทวนพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ ก็จะมีการเปิดสอนพระปริยัติธรรม (นักธรรมตรี) แก่ภิกษุนวกะผู้บวชใหม่ทั่วสังฆมณฑล สำหรับฆาราวาสก็จะจัดให้มีกิจกรรมงานบุญถวายเทียนเข้าพรรษา เพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้ใช้จุดถวายในอุโบสถถวายเป็นพุทธบูชา หรือเพื่อจุดเป็นแสงสว่างในยามค่ำคืน อันจะยังประโยชน์ให้แก่ภิกษุสามเณรได้มีแสงสว่างในการทบทวนพระปริยัติธรรม (ในปัจจุบันก็ปรับเปลี่ยนเป็นการถวายหลอดไฟฟ้า) นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนก็ยังนิยมถวายผ้าอาบน้ำฝนเพื่อให้พระภิกษุและสามเณรได้ใช้สรงน้ำในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา บางส่วนก็ยังนิยมถือฤกษ์ช่วงเข้าพรรษาในการตั้งสัจจะประพฤติปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ อาทิเช่น ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด หรือแม้กระทั่งการรณรงค์ให้งดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ในช่วงเข้าพรรษา เป็นต้น ในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ได้ร่วมกันสร้างบุญกุศลตามกาลสมัย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อสั่งสมบุญบารมีเอาไว้เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า ตราบกระทั่งเข้าถึงประโยชน์อันสูงสุดอันเป็นปรมัตถ์ ข้ามพ้นวัฏฏะสงสาร สู่กระแสธรรมแห่งพระนิพพาน อันเป็นเป้าหมายอันสูงสุดในบวรพระพุทธศาสนาในท้ายที่สุด

      ปีนี้ วันเข้าพรรษาตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) กิจกรรมงานบุญของทางวัดบางพระช่วงเช้า ก็จะจัดให้มีการทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารเช้า ฟังเทศน์ฟังธรรม ในเวลาประมาณ ๘ โมงเช้า สำหรับผู้ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมรักษาศีลที่วัดก็สามารถมาได้ โดยทางวัดจะจัดสถานที่บริเวณหอสวดมนต์ไว้สำหรับให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ช่วงเย็นพระภิกษุจะลงประชุมกันในอุโบสถเพื่ออธิษฐานพรรษา เป็นต้น.


      ฝากทิ้งท้าย: ช่วงเข้าพรรษานี้ ทางวัดบางพระก็ยังเปิดให้สัก และลงนะหน้าทองให้กับฆาราวาสอยู่ตามปกติ แต่ทางวัดจะงดสักให้กับภิกษุและสามเณร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ภิกษุและสามเณรได้ศึกษาพระปริยัติได้อย่างเต็มที่ สำหรับ “วันพระ ในช่วงเข้าพรรษา” ต้องขอความร่วมมือจากทุกท่านที่มาสักยันต์ในวันดังกล่าวว่า ช่วงเย็นของวันพระในช่วงเข้าพรรษานี้ พระภิกษุทุกรูปในวัดท่านจะต้องลงประชุมในอุโบสถเพื่อทบทวนพระปาฏิโมกข์ ดังนั้น ผู้ที่มาสักจึงไม่ควรไปรบกวนพระอาจารย์ในช่วงดังกล่าว หากเป็นไปได้ก็ควรมาวัดให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้สักให้ทันก่อนช่วงเย็น หรือปรับเปลี่ยนเลื่อนไปเป็นวันอื่น ฯ...


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖
(วันเข้าพรรษา) เวลา ๐๐.๑๒ น.

154


   พระสงฆ์ หมายถึง ผู้ที่มีเคารพเลื่อมใสพระพุทธเจ้า แล้วสละเรือนออกบวชเพื่อปฏิบัติตามพระธรรมวินัยคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดและสั่งสอนไว้ หรืออีกนัยหนึ่ง พระสงฆ์ หมายเอาบุคคลผู้บรรลุคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนกระทั่งถึงพระอรหันต์ ตามความหมายที่กล่าวไว้ในบทสวดสรรเสริญสังฆคุณที่กล่าวว่า พระสงฆ์คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ (พระโสดาปัตติมรรค ๑ - พระโสดาปัตติผล ๑ (คู่ที่่ ๑), พระสกทาคามิมรรค ๑ - พระสกทาคามิผล ๑(คู่ที่ ๒), พระอนาคามิมรรค ๑ - พระอนาคามิผล ๑(คู่ที่ ๓), พระอรหัตตมรรค ๑ - พระอรหัตตผล ๑ (คู่ที่ ๔) แม้ผู้ที่เป็นฆาราวาส แต่บรรลุมรรคผลดังกล่าวนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จัดว่าเป็น “อริยสงฆ์” หรือ “พระสงฆ์” เฉกเช่นเดียวกัน) สำหรับภิกษุที่ผ่านการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาอย่างในปัจจุบันนี้จะเรียกว่า “สมมติสงฆ์” คือเป็นสงฆ์โดยสมมติ

   การกำเนิดเกิดขึ้นของพระสงฆ์นี้ เกิดมีขึ้นครั้งแรกในวันอาสาฬหบูชา (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) เมื่อกว่า ๒,๖๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยหลังจากที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยน้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม ครั้งนั้นท้าวสหัมบดีพรหมได้เห็นถึงความปรารถนาของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงเกรงว่าโลกจะฉิบหายเสียแล้วหากพระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงธรรม จึงเสด็จจากพรหมโลกมาอาราธนาพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระทัยน้อมมาเพื่อจะแสดงธรรมแล้วก็ได้ทรงพิจารณาว่าจะไปเทศนาโปรดท่านผู้ใดดี เมื่อตรวจดูถึงครูทั้ง ๒ ก่อนที่จะตรัสรู้ คือ ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร และท่านอุทกดาบส รามบุตร ก็ทรงทราบว่าท่านทั้ง ๒ ได้ละจากโลกไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมเสียแล้ว จึงทรงพิจารณาไปยังปัญจวัคคีย์ทรงเห็นว่าเป็นผู้มีธุลีน้อย สามารถที่จะบรรลุธรรมตามได้


   เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และทรงทำให้เหล่าปัญจวัคคีย์คลายทิฏฐิด้วยพุทธนาภาพแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาขึ้นครั้งแรกในโลกชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” (เนื้อหาในพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ว่าด้วยเรื่องของอริยมรรค ๘ เป็นต้น) ท่านอัญญาโกณฑัญญะหนึ่งในปัญจวัคคีย์ได้ดวงตามเห็นธรรมดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลเป็นองค์แรก ได้ทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนาด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) แล้วประทับจำพรรษาแรก ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นผลให้ในวันนี้ถือได้ว่ามีพระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกด้วยเช่นกันอีกประการหนึ่ง


   สรุปได้ว่าวันอาสาฬหบูชานั้นคือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง กล่าวคือในวันนี้เป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในสมัยพุทธกาลนั่นคือ วันที่กำเนิดพระสงฆ์ขึ้นรูปแรกในโลก ทำให้องค์แห่งพระรัตนตรัยครบองค์ ๓ และเพื่อเป็นการรำลึกถึงความสำคัญดังกล่าว จึงจัดให้มีการบูชาที่เรียกว่า “อาสาฬหปูรณมีบูชา” หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ หรือเดือน ๘ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย



   สำหรับในปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๖) วันอาสาฬหบูชาตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม บรรดาพุทธศาสนิกชนก็มีการจัดกิจกรรมงานบุญเพื่อปฏิบัติบูชาระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ขึ้นทุกวัดทั่วประเทศไทย สำหรับกิจกรรมของทางวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จะเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ ๘ โมงเช้า โดยมีการทำบุญถวายภัตตาหารเช้า ฟังพระธรรมเทศนาบนศาลาการเปรียญ ช่วงค่ำจะจัดให้มีการเวียนเทียนรอบอุโบสถ ท่านใดที่ต้องการมาร่วมบุญที่วัดบางพระ ก็สามารถมาร่วมงานบุญได้ตามช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาที่วัดบางพระได้ ก็สามารถร่วมบุญประกอบกิจกรรมทางศาสนาทำบุญ รักษาศีล และปฏิบัติธรรมที่วัดใกล้บ้านท่านหรือวัดที่ท่านคุ้นเคย.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
เวลา ๒๓.๔๓ น.

155
บรรยากาศวันนี้ (วันพุธที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖)

        เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. นายประทีป  จุฬาเลิศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพบางแก้วฟ้า (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) ได้นำผู้บริหาร คณะครูอาจารย์ และนักศึกษากว่า ๓๐๐ คน มาถวายเทียนจำนำพรรษา ณ วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เนื่องในโอกาสประเพณีแห่เทียนพรรษา (เพื่อนำไปถวายยังอารามต่างๆ) ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาพุทธประเพณีอันดีงามที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานแล้ว ยังถือว่าเป็นการประกอบบุญกุศลและปลูกฝังค่านิยมอันดีงามให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ด้วยอีกประการหนึ่ง
















































เรียนเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมบุญถวายเทียนจำนำพรรษา ณ วัดใกล้บ้านหรือวัดที่ท่านคุ้นเคย เพื่อประกอบบุญกุศลและร่วมสืบทอดประเพณีอันดีงามกันนะครับ


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพุธที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖
เวลา ๒๓.๔๗ น.

156
๑. เหรียญรุ่นแรก (เหรียญกลม ด้านหน้าหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังหลวงพ่อสำอางค์) ฉลองสมณศักดิ์ พ.ศ.๒๕๓๓ มีเนื้อกะไหล่เงินเนื้อเดียว จำนวนสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ (เหรียญพิมพ์นี้ พระมหาสมชายท่านนำไปสร้างเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง จำนวน ๑,๐๐๐ เหรียญ เป็นเนื้อทองแดงทั้งหมด)



๒. รุ่นฉลองสมณศักดิ์ “พระสมุห์”  พ.ศ.๒๕๓๓ (หน้าหลวงพ่อเปิ่น หลังหลวงพ่อสำอางค์) เนื้อเงิน จำนวนสร้างประมาณไม่เกิน ๓๐ เหรียญ, เนื้อทองเหลือง จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ, เนื้อทองแดง จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ




๓. รุ่นฉลองอายุครบ ๔๐ ปี (เหรียญสี่เหลี่ยมด้านหน้าหลวงพ่อสำอางค์นั่งงู เนื้อเงิน จำนวนสร้างประมาณ ๓๐ เหรียญ, เนื้อตะกั่ว จำนวนสร้างประมาณ ๑๐๐ เหรียญ, เนื้อนวะโลหะ จำนวนสร้างประมาณ ๒,๐๐๐ เหรียญ, เนื้อทองแดง จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ) -  พระผงรูปเหมือนนั่งงูพิมพ์ใหญ่รุ่นแรก จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ องค์, พระผงรูปเหมือนนั่งงูพิมพ์เล็กรุ่นแรก จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ องค์







๔. เหรียญรูปไข่ พ.ศ.๒๕๓๔ (ด้านหน้าหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังหลวงพ่อสำอางค์) มีเนื้อทองเหลืองเนื้อเดียว จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ



๕. รุ่นบูรณะศาลาการเปรียญ ปี ๒๕๓๕ (เหรียญรูปไข่ด้านหน้าหลวงพ่อสำอางค์ ด้านหลังยันต์เฑาะว์) – พระผงสี่เหลี่ยม ด้านหน้าหลวงพ่อสำอางค์ หลังยันต์ จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ องค์




๖. เหรียญรุ่นฉลองสมณศักดิ์ “พระครูใบฎีกา” พ.ศ.๒๕๓๗ (ด้านหน้าหลวงพ่อสำอางค์ หลังยันต์) เนื้อเงินลงยา มี ๓ สี (แดง, น้ำเงิน, เขียว) จำนวนสร้างทุกสีรวมกัน ๔๙ เหรียญ, เนื้อนวะโลหะ จำนวนสร้าง ๑๐๐ เหรียญ, เนื้อทองแดง จำนวนสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ





๗. เหรียญหยดน้ำ ด้านหน้าหลวงพ่อโต พ.ศ.๒๕๓๘ ด้านหลังมี ๓ บล็อก (หลวงปู่หิ่ม, หลวงพ่อเปิ่น, หลวงพ่อสำอางค์) เนื้อทองแดง จำนวนสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ



๘. รูปหล่อหลวงพ่อสำอางค์รุ่นแรก พ.ศ.๒๕๔๑ มีเนื้อทองเหลืองเนื้อเดียว จำนวนสร้าง ๑,๐๐๐ องค์ ใน ๑,๐๐๐ องค์ มีที่บรรจุผง+เกศา ๕๐ องค์



๙. เหรียญรุ่นพิเศษ พ.ศ.๒๕๔๗ (ด้านหน้าหลวงพ่อสำอางค์ หลังยันต์) เนื้อเงิน จำนวนสร้าง ๙ เหรียญ, เนื้อนวะโลหะ จำนวนสร้าง ๒,๐๐๐ เหรียญ (บล็อคมีผมประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าเหรียญ ที่เหลือเป็นบล็อกไม่มีผม), เนื้อทองแดง จำนวนสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ





๑๐. ล็อคเกตหลวงพ่อสำอางค์รุ่นแรก พ.ศ.๒๕๕๒ มี ๓ ขนาด ขนาดจัมโบ้ จำนวนสร้าง ๑๒ อัน (ฉากสีเทามี ๒ อัน, ฉากสีเหลืองมี ๑๐ อัน), ขนาดกลาง จำนวนสร้าง ๑๐๗ อัน, ขนาดเล็ก จำนวนสร้าง ๑๑๒ อัน



๑๑. เหรียญแซยิด ๖๐ ปี พ.ศ.๒๕๕๖ "ในเหรียญระบุปี ๒๕๕๕" (ไม่ได้นำออกมาแจก)



๑๒. รูปหล่อลอยองค์รุ่น ๒ ศิษย์สิงค์โปร์สร้างถวาย เนื้อเงินก้นทองคำ จำนวนสร้าง....องค์, เนื้อเงิน ประมาณ ๒๐ องค์, เนื้อทองผสม ๗,๐๐๐ องค์



๑๓. ตะกรุดใบลาน ๓ ห่วง ถักเชือก สร้างปี ๒๕๒๓ (เป็นใบลานม้วนด้านในมีผ้ายันต์แดง, ขาว, เหลือง) จำนวนสร้าง ๕๐๐ ดอก หลวงพ่อสำอางค์อธิษฐานจิตเดี่ยว

๑๔. ผ้ายันต์รุ่นแรก ปี ๒๕๔๕ (รูปหลวงพ่อนั่ง)

๑๕. ผ้ายันต์รุ่นสอง สร้างหลังปี ๒๕๔๕ (รูปหลวงพ่อนั่งบนโซฟา)




:001:เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระท่านใดมีภาพเพิ่มเติมก็นำมาแบ่งปันกันชมบ้างนะครับ :001:



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันศุกร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๐๙ น.

157
ฝากแจ้งข่าวลอคเก็ตหลวงพ่อเปิ่นรุ่นพิเศษ สมทบทุนบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)

๑. ลอคเก็ตหลวงพ่อเปิ่นพิมพ์สี่เหลี่ยมพร้อมเลี่ยม หลังอุดผงเก่าหลวงพ่อเปิ่น + เหรียญหน้าเสือ,เหรียญกระดุม + ตะกรุด ๓ ดอก (มี ๒ สี ฉากฟ้า และ ฉากสีเหลือง) จำนวนสร้างรวมกันทั้ง ๒ สี จำนวน ๑๕ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท





๒. ล็อคเกตหลวงพ่อเปิ่นนั่งเสือพร้อมเลี่ยม หลังแผ่นปั๊มยันต์อุดหนังเสือของหลวงพ่อเปิ่น จำนวนสร้าง ๑ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๑,๕๐๐ บาท (หมดแล้ว)



ติดต่อร่วมบุญได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด (ข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย)

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ภาพบรรยากาศก่อนวันงานครบรอบวันมรณภาพหลวงพ่อเปิ่นปีที่ ๑๑ (๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖)













































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๒๐.๕๓ น.

158

ประวัติการสร้างระฆังใหญ่

   ในวาระมหามงคลสมัยที่ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) อายุครบ ๗๘ ปี ในวันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๓ หลวงพ่อท่านมีจิตศรัทธาแรงกล้าที่จะสร้างระฆังใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๒๐ นิ้ว สูง ๑๙๐ นิ้ว น้ำหนักประมาณ ๗,๕๐๐ กิโลกรัม เนื้อทองเหลืองผสม โดยกำหนดฤกษ์เททองเวลา ๑๕.๑๙ น. ณ วัดบางพระ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชีวิต ฝากไว้ในบวรพระพุทธศาสนา ประดิษฐาน ณ วัดบางพระ ตลอดไปชั่วกาลนาน

   การสร้างระฆัง นับตั้งแต่โบราณกาล ระฆังเป็นของคู่กับวัด เสียงระฆังดุจเป็นเสียงสวรรค์ เสียงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ อุปเท่ห์ การสร้างระฆังจึงหมายถึง การสร้างบุญบารมีให้โด่งดังในความดีนั่นเอง

   ระฆัง เป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ถึงความตรงเวลาของหมู่คณะ ทำให้หมู่คณะที่อยู่ร่วมกันมีระเบียบวินัย ระฆังจึงเป็นของสำคัญจำเป็นสำหรับวัด เพื่อที่เป็นสัญญาณให้พระภิกษุสามเณรทำวัตรสวดมนต์ ทำสังฆกรรม ระฆังจึงมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงมีผู้นิยมสร้างกันเป็นจำนวนมาก เพราะการสร้างยังได้อานิสงส์ในด้านชื่อเสียง เกียรติยศ อันโด่งดังเป็นที่รู้จักของมหาชน


มวลสารที่รวบรวมนำมาสร้างระฆัง
แผ่นจาร ทองคำ เงิน นาค จากสมเด็จพระสังฆราช
แผ่นจาร ทองคำ เงิน นาค จากหลวงพ่อเปิ่น
แผ่นจาร ทองคำ เงิน นาค จาก ๑๐๘ คณาจารย์ทั่วประเทศ

       แผ่นจารยันต์ เก้ายอด แปดทิศ งบน้ำอ้อย หอมเชียง มงกุฎพระพุทธเจ้า ยันต์เกราะเพชร ยันต์พุทธซ้อน ยันต์ดอกบัว ยันต์พญาหงษ์ทอง ยันต์สาลิกา ยันต์แม่ทัพ ยันต์นะหน้าทอง ยันต์มหาละลวย ยันต์พญาราชสีห์ ยันต์เสือเผ่น ยันต์ช้างผสมโขลง ยันต์ ๑๐๘ เป็นต้น

   นอกจากแผ่นจารมหายันต์ต่างๆ แล้วยังมีวัตถุมงคลเนื้อโลหะที่หลวงพ่อได้สร้างไว้ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปี ๒๕๔๓ ที่สำคัญ อาทิ รูปหล่อกริ่งรุ่นแรกวัดโคกเขมา เหรียญพระอธิการเปิ่น รุ่นแรกวัดโคกเขมา เหรียญหลังเสือ รุ่นแรกวัดบางพระ เหรียญนั่งเสือรุ่นสอง เหรียญหัวเสือปี ๒๓ เหรียญหล่อระฆังปี ๓๐ เป็นต้น

        นอกจากนั้นผู้มีจิตศรัทธาได้นำ สร้อยทองคำ แหวนทองคำ เข็มขัดนาค เงินยวงโบราณ และเครื่องใช้เครื่องประดับสมัยโบราณที่ทำด้วย ทองคำ เงิน ทองเหลือง นาค สำริด เป็นจำนวนมาก มาร่วมหล่อหลอมสร้างระฆังใหญ่นี้ด้วย
 
        เสือใหญ่เป็นสัตว์คู่บารมี หลวงพ่อเปิ่น เมื่อครั้งสมัยหลวงพ่อออกธุดงค์ในป่าลึก ได้ผจญกับเสือหลวงพ่อได้แผ่เมตตา ด้วยบุญญาธิการบารมีของหลวงพ่อที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี หลวงพ่อได้แผ่เมตตาบารมีแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จนเสือยอมสยบ นั่งเฝ้าอยู่รอบกลดที่หลวงพ่อนั่งแผ่เมตตาอยู่นั่นเองและอีกประการหนึ่ง เสือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ ทั้งสง่างาม ทั้งเสียงคำราม ทั้งกลิ่นของเสือ เมื่อสัตว์น้อยใหญ่ได้สัมผัสก็ย่อมแพ้พ่ายที่สุด

        สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อได้เจริญภาวนาปฏิบัติธรรมและหลวงพ่อได้สักยันต์รูปเสือเผ่นให้กับลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อ ซึ่งแสดงถึงพลังอำนาจ ความสง่างาม เสือจึงเป็นสัตว์คู่บารมีของหลวงพ่อเปิ่นเป็นต้นมา


อานิสงส์ผลบุญแห่งการสร้างระฆังใหญ่
เป็นผู้เจริญด้วยอำนาจ วาสนา บารมี
ชื่อเสียงโด่งดัง คนเคารพนบนอบ
มีปัญญาดี ไหวพริบปฏิภาณดี
ไม่ขัดสนเงินทอง มีลาภอยู่เนืองๆ
โรคภัยไข้เจ็บ ไม่เบียดเบียน

คำอธิษฐานทำบุญสร้างระฆังใหญ่

       ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานขอบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างระฆังใหญ่นี้ เป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ มีเงินทอง มีชื่อเสียงโด่งดัง มุ่งหวังสิ่งใดขอให้สำเร็จ ทุกประการเทอญ.




:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

159

        เมื่อวานนี้ (วันพุธที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖) ได้มีโอกาสเข้าไปที่สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จึงนำภาพบรรยากาศประกอบบทความที่เรียบเรียงขึ้นมาแบ่งปันเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระให้ได้ทัศนากันครับ






        สังคมโลกในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา เทคโนโลยี ฯลฯ ที่ยกระดับการพัฒนาเพื่อสนองตอบต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้พรมแดนจากทั่วทุกมุมโลก ประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีก ๒ ปีข้างหน้า (พ.ศ.๒๕๕๘) ที่จะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) การไหลบ่าทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีความหลากหลาย รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจในบริบท ภารกิจของประชาคมฯ ภาษากลางในการสื่อสาร และการเตรียมความพร้อมให้กับประชากรในด้านอื่นๆ จึงมีความสำคัญยิ่งที่ควรได้รับการส่งเสริม สนับสนุนความร่วมมือจากทุกภาคฝ่ายเร่งด่วน


        แนวโน้มที่สำคัญในอนาคตนอกจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับประชากรผู้สูงอายุของไทยที่จะมีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยจากข้อมูลสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี ๒๕๕๕ พบว่า โลกมีประชากรจำนวน ๗,๐๕๘ ล้านคน มีผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป จำนวน ๕๖๕ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๘ ในขณะที่ผู้สูงอายุของประเทศไทยมีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป มีมากถึงร้อยละ ๑๒.๕๙ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศอาเซียน (ที่มา: ไทยใกล้เข้าสังคมสูงวัย หลังพบมีคนแก่มากสุดในอาเซียน, หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖) นี้จึงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยในเวลาอีกไม่นานข้างหน้า ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุทั้งในด้านความสัมพันธ์กับครอบครัวที่นับวันผู้สูงอายุจะถูกทอดทิ้งมากขึ้น สุขภาพร่างกายที่ร่วงโรยไปตามวัย วิทยาการทางการแพทย์การพยาบาลก็ต้องเข้ามาช่วยบริการรักษาเพิ่มขึ้น และนอกจากทางด้านกายภาพทั่วไปที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้นแล้ว ในส่วนของสุขภาพจิตของผู้สูงอายุเองก็ต้องได้รับการฟื้นฟูให้เป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์จากประสบการณ์ของตน ทั้งต่อคนรอบข้างและสังคมควบคู่กันไปด้วย


        วิสัยทัศน์เกี่ยวกับสังคมไทยที่กำลังจะกลายไปเป็นสังคมผู้สูงอายุนี้มิใช่จะเพิ่งเกิดมีขึ้นแต่อย่างใด ดังตัวอย่างของ “สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์)” ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ตำบลบางแก้วฟ้า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม (เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗) ที่พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ให้ดำเนินการจัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้น เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง ขาดที่อยู่อาศัยและคนดูแลเอาใจใส่ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน นี้จึงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล และความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อพสกนิกรในกลุ่มผู้สูงอายุ ถือได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้


        เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ “สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์)” จากเอกสารประชาสัมพันธ์ของทางสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) ได้ให้รายละเอียดไว้ว่า หลังจากที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับการสร้างสถานสงเคราห์คนชรากับพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระ แล้ว พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ร่วมกับจังหวัดนครปฐม (ซึ่งมีนายณัฏฐ์ ศรีวิหค เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในสมัยนั้น) สภากาชาดไทย กรมประชาสงเคราะห์และเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม จึงได้ร่วมกันสนองพระราชดำริดังกล่าว โดยการหาที่ดินสาธารณประโยชน์ ณ บริเวณ หมู่ที่ ๓ ตำบลวัดสำโรง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จำนวน ๒๔ ไร่ ๓ งาน ๙๗ ตารางวา เป็นสถานที่จัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “โครงการจัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชรา อำเภอนครชัยศรี” และได้ร่วมกันจัดหางบประมาณในการก่อสร้างในระยะแรก เป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๘๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท (สี่ล้านแปดแสนบาทถ้วน) โดยมอบให้สำนักงานโยธาธิการจังหวัดนครปฐม เป็นผู้วางแผนผังอาคารและสถานที่ต่างๆ และดำเนินการก่อสร้าง และจังหวัดนครปฐมได้ให้มีพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารอำนวยการและกายภาพบำบัด และอาคารเรือนนอนคนชรา ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ โดยมีพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายวิชัย ธรรมชอบ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี ต่อมาเมื่อนายสุชาญ พงษ์เหนือ เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม จึงได้จัดหางบประมาณในการก่อสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภคเพิ่มเติม โดยได้รับความร่วมมือร่วมใจจากหน่วยงานองค์การเอกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่าในจังหวัดนครปฐมจัดทอดผ้าป่าสามัคคี และจัดกอล์ฟการกุศล เพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างสถานสงเคราะห์ดังกล่าว นอกจากนั้น ยังได้รับความเมตตาจากพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระ สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกินการก่อสร้างดำเนินมาจนแล้วเสร็จ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างไปเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๒,๓๐๔,๓๓๖ บาท (สิบสองล้านสามแสนสี่พันสามร้อยสามสิบหกบาทถ้วน) ต่อมาเมื่อ วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๑ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานนามของสถานสงเคราะห์คนชรา อำเภอนครชัยศรี ที่จัดสร้างขึ้นใหม่นี้ว่า “สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์)” และได้เริ่มรับผู้สูงอายุที่เป็นสตรี มีอายุ ๖๐ ปี ขึ้นไป ที่มีความทุกข์ยากเดือดร้อน มีฐานะยากจน ไม่มีผู้อุปการะ ไม่มีที่อยู่อาศัย หรืออยู่กับครอบครัวไม่มีความสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นต้นมา นอกจากนั้นยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสถานสงเคราะห์ฯ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๒ และจังหวัดนครปฐม ได้มอบสถานสงเคราะห์ ดังกล่าวให้แก่กรมประชาสงเคราะห์เพื่อดำเนินการต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้นมา ปัจจุบันสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) เป็นหน่วยงานส่วนท้องถิ่นสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม



        ปัจจุบันสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลากว่า ๑๐ ปี มีวัตถุประสงค์ ๕ ประการ คือ ๑. เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาเดือดร้อนเนื่องจากฐานะยากจน ไม่มีผู้อุปการะเลี้ยงดู ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือไม่มีครอบครัว ๒. เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย ยากจน ไม่สามารถให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุได้ ๓. เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม มิให้ผู้สูงอายุเร่ร่อน ทำความเดือดร้อนแก่สังคม ๔. ผู้สูงอายุได้คลายความวิตกกังวลว่า เมื่อชราภาพไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ยังมีรัฐบาลให้การดูแล ๕. เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีที่ผู้สูงอายุทำไว้เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว สำหรับการให้บริการของสถานสงเคราะห์ฯ สามารถแบ่งออกได้  ๖ ด้านหลัก คือ บริการเลี้ยงดูผู้สูงอายุ โดยจัดปัจจัย ๔ ที่จำเป็นต่อชีวิต เพื่อให้มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจในบั้นปลายชีวิตตามสมควรแก่อัตภาพ, บริการทางการแพทย์และอนามัย ด้านกายภาพบำบัด สถานสงเคราะห์ฯ จัดให้มีการทำกายภาพบำบัด ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ด้านการรักษาพยาบาล สถานสงเคราะห์ได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพเพื่อผู้สูงวัย โดยเชิญแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลต่างๆ มาบริการตรวจสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ ในกรณีที่เจ็บป่วยเฉพาะโรคหรือประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินจะส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล ด้านการอนามัย จัดให้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลของสถานสงเคราะห์ และวิทยากรจากโรงพยาบาลต่างๆ ให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพอนามัยแก่ผู้สูงอายุตลอดจนเรื่องสุขาภิบาล การทำความสะอาดที่พัก ด้านการส่งเสริมสุขภาพ สถานสงเคราะห์ได้จัดกิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โดยเชิญวิทยากรภายนอกเป็นผู้นำในการออกกำลังกาย, บริการอาชีวบำบัด เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมยามว่างให้เหมาะสมกับความสามารถและตามความสมัครใจ โดยเชิญวิทยากรจากภายนอกมาสอนงานประดิษฐ์ต่างๆ เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ พรมเช็ดเท้า เป็นต้น, บริการด้านสังคมสงเคราะห์ จัดให้มีบริการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูและปรับสภาพในส่วนต่างๆ โดยใช้หลักวิธีการทางสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย และกลุ่มชน, บริการด้านศาสนา ได้จัดให้ผู้สูงอายุมีโอกาสประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตามประเพณีนิยมในวันสำคัญในสถานสงเคราะห์ฯ นอกจากนี้ยังนิมนต์พระสงฆ์แสดงธรรมเทศนาเดือนละ ๑ ครั้ง และบริการด้านฌาปนกิจ ผู้สูงอายุที่ถึงแก่กรรมในสถานสงเคราะห์ และไม่มีญาติจัดการศพให้ สถานสงเคราะห์ฯ จะจัดการศพให้ และทำพิธีบังสุกุลอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี (ที่มา: เอกสารประชาสัมพันธ์สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์))


        โดยสรุปเกี่ยวกับการให้บริการในสถานสงเคราะห์ทั้ง ๖ ด้านนี้ เป็นการให้บริการเพื่ออบรมพัฒนาผู้สูงอายุทั้งทางด้านร่างกาย และทางด้านจิตใจควบคู่กันไปอย่างสมดุล สนองตอบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถานสงเคราะห์ฯ และเป้าหมายของการพัฒนาเตรียมความพร้อมอีกทางหนึ่ง ในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะใกล้เข้ามาได้อย่างเหมาะสม และเพื่อความสมบูรณ์ก็ควรที่จะให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุในครอบครัวให้มีความอบอุ่น ซึ่งวิธีการอย่างหลังนี้จะเป็นรากฐานพลังความเข็มแข็งของครอบครัวในระดับสังคมให้แน่นแฟ้นมั่นคงยิ่งขึ้น ท่านใดที่มีโอกาสผ่านมาบริเวณนี้ก็สามารถแวะไปเยี่ยมเยียน ร่วมทำกิจกรรม จัดเลี้ยงอาหาร พูดคุยปฏิสัมพันธ์ หรือร่วมบริจาคเพื่อสมทบทุนเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุได้ที่มูลนิธิสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) ทุกวันครับ




        ภาพบรรยากาศภายในสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์)












































        สาสน์ทิ้งท้ายฝากไปถึงท่านผู้อ่าน (ที่ความชรากำลังปรากฏมีและเข้ามาเยือนทุกอนูวินาที)

        "เมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งผ่าน ต่างชะเง้อว่ามีใครมาหาหรือเยี่ยมเยือนหรือเปล่า?" คุณยายอมรา วิวัฒนานนท์ อายุ ๘๖ ปี หนึ่งในผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ที่สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จังหวัดนครปฐม บอกถึงความรู้สึก ในวันที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ผู้สูงวัยถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมากขึ้น โดยปัจจุบันคุณตาคุณยายที่สถานสงเคราะห์คนชราทั่วประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๒๗ น.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

160
รวบรวมลายสักของหลวงพ่อเปิ่นนำมาให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้รับชมกันครับ


        ท่านแรกคือ ท่านพระครุอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน (ท่านเมตตาอนุญาตให้บันทึกภาพไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๖) ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านสักกับหลวงพ่อเปิ่นมียันต์เก้ายอด แปดทิศ งบน้ำอ้อย หงส์ฯ ส่วนรูปหนุมานนั้นหลวงพี่ติ่งเป็นผู้สักให้ สมัยก่อนท่านก็เป็นอาจารย์สักเหมือนกัน (ปัจจุบันไม่ได้สักแล้ว) หลวงพี่ติ่งท่านสักรูปสวย ส่วนตัวท่านเองสักอักขระสวย จึงผลัดกันสัก....ฯ











        ท่านต่อมาของคุณลุงพนม วิริยะหิรัญไพบููลย์ อยู่ตลาดเกาะแรต แกเล่าให้ฟังว่า ไปสักกับหลวงพ่อเปิ่นตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่ที่วัดโคกเขมา สมัยก่อนการเดินทางยังไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ เวลาจะไปสักที่วัดโคกเขมากันที ก็ชวนเพื่อนขี่ม้าจากตลาดเกาะแรตไป รูปยันต์สมัยก่อนจะใช้วิธีรมควันไฟให้เป็นเขม่า รอให้เย็นแล้วทาบไปบนผิวหนัง หลวงพ่อท่านก็จะสักไปตามรอยเขม่าที่ติดผิวหนัง ที่ดังมีชื่อเสียงด้านการสักยันต์ในสมัยนั้นนอกจากหลวงพ่อเปิ่นแล้ว ก็ยังมีหลวงพ่อเก๊า วัดเกาะแรตอีกรูปหนึ่ง ที่นิยมกันมากคือสักลูกกระเดือก ถือได้เป็นสัญลักษณ์ของหลวงพ่อเก๊าที่ลูกศิษย์ของท่านจะมีแทบทุกคน ส่วนประสบการณ์ที่เคยประสบกับตัวเอง คือโดนขวานจามเข้าที่หน้าอกแต่ไม่เป็นอะไร นอกจากนี้ทางด้านเมตตาก็มีให้เห็นเนืองๆ ท่านใดที่อยากฟังรายละเอียดจากคำบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงของคุณลุงพนม ก็ไปหาแกได้ที่วัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ได้ทุกวัน














        อีกท่านเป็นเพื่อนของคุณลุงพนม คือคุณลุงวิรัตน์ จันทร์ชุ้น (ปัจจุบันเป็นผู้คอยอุุปฐากหลวงปู่แย้มที่วัดสามง่ามเช่นเดียวกัน) แกเล่าว่า ไปสักกับหลวงพ่อเปิ่นที่วัดโคกเขมา ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ กว่าๆ โดยไปกับคุณลุงพนมและเพื่อนอีก ๒-๓ คน สมัยก่อนหลวงพ่อเปิ่นยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงเหมือนในปัจจุบัน ในแถบนครปฐมเวลานั้นวัยรุ่นชายจะนิยมไปสักกับหลวงพ่อเก๊า วัดเกาะแรต อย่างรอยสักบนร่างกายของคุุณลุงวิรัตน์เอง ก็มีแค่หลวงพ่อเก๊า กับหลวงพ่อเปิ่นเท่านั้น ในตัวคุณลุงเองที่สักกับหลวงพ่อเปิ่นก็จะมีเสือเผ่นที่หน้าอก (อักขระรอบๆยันต์เสือเผ่นเป็นของหลวงพ่อเก๊า วัดเกาะแรตทั้งหมด) ส่วนด้านหลังก็เป็นของหลวงพ่อเปิ่นทั้งหมด (ยกเว้นยันต์เก้ายอดที่สักกับหลวงพ่อเก๊า วัดเกาะแรต) ทั้งยันต์รูปพระพุทธฯ ยันต์แปดทิศ และยันต์หนุมาน ที่แขนก็จะมีียันต์กระทู้ฯ ยันต์หงส์ และยันต์นกสาริกา เป็นต้น สมัยนั้นจะยกพานครูครั้งแรกครั้งเดียว ครั้งต่อๆไปก็ไม่ต้องยกพานครูอีก (ค่าครูสมัยนั้นที่คุณลุงไปสักอยู่ที่ ๑๒ บาท).



















เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระท่านใดมีรูปลายสักยันต์ของหลวงพ่อเปิ่นเพิ่มเติม ก็อย่าลืมนำมาแบ่งปันกันชมบ้างนะครับ


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๑๒.๓๙ น. วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

161


        วันนี้มีโอกาสได้เข้าไปสนทนากับหลวงตาจันทร์ (พระภิกษุวัดบางพระ) ที่กุฏิหลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ตะกรุดหนังเสือชุดนี้ ได้นำหนังเสือที่หลวงพ่อเปิ่นได้อธิษฐานจิตไว้ มาใส่หลอดตะกรุดไว้ให้บูชา จำแนกเป็น ๓ ขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จึงเก็บภาพมาฝากให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้ชมกันครับ


 
ขนาดเล็ก บูชาดอกละ ๒๐๐ บาท


ขนาดกลาง บูชาดอกละ ๓๐๐ บาท


ขนาดใหญ่ บูชาดอกละ ๕๐๐ บาท




       ท่านใดที่มีความประสงค์จะร่วมบุญบูชา "ตะกรุดหนังสือมหาอำนาจ" ชุดนี้ เรียนเชิญที่กุฏิหลวงพ่อสำอางค์ที่เดียวครับ (ขณะนี้เหลือจำนวนจำกัดแค่ในภาพเท่านั้น).

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖
เวลา ๐๐.๐๓ น.

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

162



ขอเชิญร่วมทำบุญวันคล้ายวันมรณภาพครบรอบ ๑๑ ปี
พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ในวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖

กำหนดการ
                                               
                                                 เวลา ๑๐.๐๐ น . พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์

                                                 เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ๑๐๐ รูป

                                                 เวลา ๑๒.๐๐ น. ทักษิณานุประทาน

                                                                      เสร็จพิธีทำบุญครบรอบวันมรณภาพ



ขอเชิญพุทธศาสนิกชน และศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเปิ่นทุกท่าน ร่วมงานบุญครั้งนี้โดยทั่วกัน

อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

164

/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\/\_______________________________

165

        พรุ่งนี้ก็จะเป็นวาระมหามงคลสำหรับเหล่าพุทธศาสนิกชนอีกครั้งหนึ่งนั่นคือ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ฉะนั้น วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่เราควรมาตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระ พุทธองค์จะได้เกิดความปีติใจว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้สั่งสมบุญกุศลที่จะนำตนไปสู่สวรรค์นิพพาน เพราะพุทธบารมีธรรมอันไม่มีประมาณนี่เอง


ความหมายของวันวิสาขบูขา


        คำว่า วิสาขบูขา แปลว่า"การบูชาพระพุทธเจ้า เนื่องในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ"ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทยซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน วันวิสาขบูชาเป็นวันที่ ๓ เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน๖ แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ ๓ ประการ ได้แก่

๑. วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ

        “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เอกบุรุษเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มากเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเอกบุรุษผู้เลิศ คือ พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

        จากถ้อยคำดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นถึงคุณอันไม่มีประมาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อแสดงธรรมยังสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารอันเป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งปวง

        เมื่อ ๒,๖๓๖ ปี (๒,๕๕๖+๘๐) ล่วงมาแล้วพระมหาโพธิสัตว์ผู้ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อมุ่งหวังพระสัมมาสัมโพธิญาณได้จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา ณบัดนี้เองที่กล่าวได้ว่าเอกบุรุษผู้เลิศได้อุบัติเกิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว

        เมื่อพระนางสิริมหามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะคลอดพระนางเสด็จแปรพราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อทรงให้กำเนิดพระราชโอรสในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณสวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระราชโอรสใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน๖ ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"แปลว่า"ผู้มีความสมหวังดังใจปรารถนา"

        เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตาบสผู้มีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า เมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า"พระราชกุมารนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า"แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกเปี่ยมล้นด้วยปีติถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส

        เป็นอันว่าความสำคัญของวันวิสาขบูชาประการแรกนี้คือเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ

๒. วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

        เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยขึ้นครั้งหนึ่งได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะก็ทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ในคืนที่พระนางพิมพาทรงคลอดพระราหุลราชกุมารนี้เองก็ทรงตัดสินพระทัยหนีออกจากวังแล้วทรงผนวชเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์โดยศึกษาหาความรู้กับอาจารย์ต่างๆ

        หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า"พุทธคยา" เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

        สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ คือ อริยสัจ ๔เป็นความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนได้บรรลุญาณ ๓ คือ ยามต้น:ทรงบรรลุ"ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตได้ ยามสอง:ทรงบรรลุ"จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม:ทรงบรรลุ"อาสวักขยญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ และนี้ก็คือความสำคัญประการที่สองของวันวิสาขบูชา

๓. วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน

        เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง๔๕ ปี จนมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุวคาม ใกล้เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี ระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ขณะเดียวกันพระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายแล้วเกิดอาพาธ แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน

        เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

        บางท่านอาจจะเคลือบแคลงสงสัยต่อไปว่าในเมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว อะไรเล่าจักเป็นศาสดาแทน? ข้อนี้พระอานนท์ก็เคยทูลถามพระพุทธองค์ก่อนที่จะทรงปรินิพพานเช่นกันโดยพระพุทธองค์ทรงตอบกับพระอานนท์ว่า

โยโว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.

(ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘)

        แปลว่า : ดูกรอานนท์ธรรมแลวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลายธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายในเมื่อเราล่วงลับไป

        ด้วยเหตุนี้พระธรรมวินัยจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสดาเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการรวบรวมรักษาไว้ซึ่งพระธรรมคำสอนก็ปรากฏมีหลายครั้งในรูปของการสังคายนาพระไตรปิฎกอันเป็นแบบแผนในการศึกษาพระพุทธศาสนาที่มั่นคงในปัจจุบันอันจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขเมื่อศาสนิกชนนำไปประพฤติปฏิบัติตาม

        สรุปความได้ว่า วันวิสาขบูชาคือวันแห่งการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงมากว่า๒,๖๐๐ ปี ที่เกิดมีขึ้นในวันเดียวกันคือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งถือได้ว่าพระพุทธศาสนาก็ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับพระองค์ด้วยเฉกเช่นเดียวกันการดำรงรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาก็มีความต่อเนื่องตั้งแต่บัดนั้นมาจวบจนกระทั่งในปัจจุบันสมัยโดยพระภิกษุสามเณรผู้ซึ่งเป็นสาวกผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาและนำมาเผยแผ่ต่อยังพุทธศาสนิกชนให้ตั่งมั่นอยู่ในคุณงามความดีประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อยังประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นแก่ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อม

 

หน้าที่ของพุทธศาสนิกชน

        ก่อนอื่นขอนิยามความหมายของ “พุทธศาสนิกชน”ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน “พุทธศาสนิกชน”แปลว่า คนที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือคนที่ตกลงใจน้อมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำตัวประจำชีวิตยินดีที่จะปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เต็มใจที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมคือ เว้นจากการทำความชั่วทำแต่ความดี และทำจิตใจให้หมดจดจากกิเลส ด้วยการบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา เช่นให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเพื่อขัดเกลา อบรม บ่มเพาะกาย วาจาใจให้งดงามเรียบร้อย ให้สงบนิ่ง และให้พ้นจากความเศร้าหมองต่างๆ พุทธศาสนิกชนที่พึงประสงค์คือผู้ปฏิบัติตนให้เป็นผู้รู้ผู้ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่งมงาย ไม่ประมาทมัวเมา ไม่หลงไปตามกระแสกิเลส ฯลฯ

        ในวันมงคลเช่นนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนก็ควรน้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหลายมาปรับประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และเพื่อยังประโยชน์อันสูงสุดขั้นปรมัตถ์ซึ่งได้แก่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงในเบื้องปลาย

        ถามว่าในเมื่อหลักธรรมทั้งหลายมีอยู่อย่างมากมายเหลือเกินแล้วอย่างนี้จะน้อมนำธรรมข้อไหนอย่างไรมาปฏิบัติดีเล่า?คำตอบของปัญหานี้ก็ตอบได้ว่า จริงอยู่ที่หลักธรรมทั้งหลายนั้นมีอยู่มากมายแยกย่อยออกไปกว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์การที่จะน้อมนำมาปฏิบัติทั้งหมดนี้จึงอาจจะดูเป็นเรื่องยากเกินวิสัยแต่หากเราจับหลักใหญ่ๆ ได้เสียแล้วก็จะง่ายขึ้น

        โดยทั้งหมดทั้งมวลของพระธรรมคำสอนนี้สามารถสรุปย่อรวมลงมาเหลือเพียง ๓ ข้อใหญ่ๆ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเรียกว่า “ไตรสิกขา”พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รวบรวมมาเป็นพระไตรปิฏก รวมทั้งสิ้น ๘๔,๐๐๐พระธรรมขันธ์ แยกเป็น วินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ สุตตันตปิฎก๒๑,๐๐๐ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐พระธรรมขันธ์ ที่กล่าวว่าพระธรรมวินัยทั้งหมดนี้ย่นย่อลงมาเหลือเพียง ๓ ประการ คือศีล สมาธิ ปัญญา ในไตรสิกขานั้น ก็เทียบได้จาก ศีลอยู่ในส่วนของพระวินัยปิฎกสมาธิอยู่ในส่วนของพระสุตตันตปิฎก และปัญญาอยู่ในส่วนของพระอภิธรรมปิฏกนั่นเองดังนั้นจึงสรุปได้ว่า พระธรรมวินัยทั้งหลายจึงรวมอยู่ใน “ไตรสิกขา” ไตร แปลว่า ๓ สิกขาแปลว่า ศึกษา “ไตรสิกขา” จึงหมายถึง การศึกษาใน ๓ ส่วน คือ ศึกษาในศีลศึกษาในสมาธิ และศึกษาในปัญญา การศึกษาทั้ง ๓ประการนี้จะเป็นไปเพื่อยังมรรคให้เกิดมีขึ้น โดยคำว่า มรรค แปลว่า ทางชีวิต,หนทางหรือแนวปฏิบัติสำหรับดำเนินไปสู่ความดับทุกข์  เราสิกขาหรือศึกษาอย่างไร เราก็มีมรรคคือวิถีชีวิตที่ดีงามขึ้นอย่างนั้นเมื่อสิกขามากขึ้นวิถีชีวิตของเราก็กลายเป็นมรรคมากขึ้น ฉะนั้น มรรคก็เป็นเรื่องเดียวกับไตรสิกขา หรือเป็นอีกด้านหนึ่งของไตรสิกขานั่นเอง

        มรรค ดังความหมายข้างต้นเป็นหนึ่งในอริยสัจ (อริยะ = ประเสริฐ, สัจจะ = ความจริง) คือความจริงอันประเสริฐที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี อันเป็นหนทางที่ทำให้ผู้ดำเนินตามเป็นพระอริยบุคคลได้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ

๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง

๒. สัมมาสังกัปปะความดำริถูกต้อง

๓. สัมมาวาจา วาจาถูกต้อง

๔. สัมมากัมมันตะ การงานถูกต้อง

๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพถูกต้อง

๖. สัมมาวายามะ ความเพียรถูกต้อง

๗. สัมมาสติ ความระลึกถูกต้อง

๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งใจถูกต้อง

        ธรรมทั้ง ๘ ประการนี้เป็นสามัคคีธรรมต่างสนับสนุนซึ่งกันและกันทำให้มีกำลังมาก สามารถให้ผู้ปฏิบัติบรรลุผลชั้นสูงคือ อริยมรรค อริยผล และพระนิพพานได้ เมื่อ “มรรค” เป็นจุดหมายของไตรสิกขา ดังนั้น พระธรรมปิฎก (๒๕๔๔ : ๒๒๖-๒๒๗) ได้กล่าวว่า ไตรสิกขา เป็นการปฏิบัติที่ต้องเริ่มจากศีล ซึ่งเป็นการเตรียมกายวาจา ให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่เดือดร้อน รำคาญแนวทางของมรรคเพื่อให้เกิดความปกติเป็นศีล จึงตรงองค์มรรค ในเรื่อง สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ) สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) และ สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)  หมาย ความว่าการประพฤติปฏิบัติในเรื่องใดก็ต้องประพฤติปฏิบัติไปโดยชอบไม่ผิดหลักศีลธรรมจะพูดจาอะไรก็ต้องพูดโดยไม่ให้กระทบกระเทือนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น รวมทั้งการหาเลี้ยง ชีพก็ต้องเป็นอาชีพที่สุจริตไม่คดโกงไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม ก็จะก่อให้เกิดความสุข ความสบายใจ เมื่อกาย ใจอยู่ในอาการปกติแล้ว จิตก็พร้อมตั้งมั่นเป็นสมาธิเป็นจิตตสิกขาในหลักไตรสิกขาเป็นองค์มรรคในข้อ สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และ สัมมาสมาธิ(ตั้งใจ มั่นชอบ)นั่นคือมีความพยายามที่จะระลึกให้ได้ว่าสรรพสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่รอบๆตนล้วนเป็นสุญญตาและอนัตตา มีความตั้งใจมั่นที่จะตัดอุปาทานและตัณหาที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยปัญญาที่เรียกว่าปัญญาสิกขาในหลักไตรสิกขา เป็นองค์มรรคในข้อสัมมาทิฏฐิ(มีความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ) สามารถพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

        การเปรียบเทียบองค์ธรรมในไตรสิกขา กับ มรรค ๘ และ โอวาทปาติโมกข์ แสดงให้เห็นว่า ศีล สมาธิ และ ปัญญาอันเป็นองค์ธรรมในไตรสิกขานั้น เป็นเรื่องเดียวกันกับ องค์มรรค ในอริยสัจ และโอวาทปาติโมกข์  ดังนั้นมนุษย์ที่ได้รับการฝึกฝนอบรม ตามหลักไตรสิกขา ก็จะมีชีวิตที่ดี ชีวิตที่ประเสริฐมีความเจริญงอกงามก้าวไปใน มรรค คือ วิถีทางแห่งการดับทุกข์ และ ได้ปฏิบัติสิ่งที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

        หากเราผู้ทีได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนมีความตั้งมั่นที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนตามหลักไตรสิกขาหรือตามหลักมรรคองค์ ๘ ดังนี้แล้ว ก็ควรตั้งต้นเริ่มเสียตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเพื่อยังความไม่ประมาทในชีวิตที่เสื่อมลงเป็นธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะตายจากดับไปในวันไหนเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้วันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกท่านได้มีโอกาสมาฟังธรรมบรรยายเนื่องในวาระวันวิสาขบูขาอันเป็นวันสำคัญสูงสุดวันหนึ่งของทางพระพุทธศาสนาเมื่อรับฟังแล้วก็ควรน้อมเข้ามามนสิการพิจารณาในใจพินิจตรึกตรองถึงเหตุปัจจัยและผลที่จะได้จากการน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติอันจะยังประโยชน์ให้ถึงพร้อมทั้งแก่ตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวม

        ประโยชน์หรือความสำเร็จจากการปฏิบัติธรรม,จากกิจการหน้าที่การงานทั้งหลายนี้จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยองค์ธรรม ๔ ประการคือ

๑. ฉันทะ ความพึงพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น

๒. วิริยะ ความเพียรประกอบในสิ่งนั้น

๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ

๔. วิมังสา การหมั่นตรึกตรองพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งที่ทำ เป็นการใช้ปัญญาในการทำงาน

        ทั้ง ๔ ประการนี้ รวมเรียกว่า “อิทธิบาทธรรม”อันหมายถึง องค์ธรรมที่เป็นคุณเครื่องให้สำเร็จตามต้องการหรือหลักธรรมที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติตามถึงความสำเร็จได้โดยสมประสงค์ ทั้งนี้อิทธิบาทธรรมทั้ง ๔ ข้อ ต้องหนุนเนื่องกัน จึงต้องปฏิบัติให้ครบทุกข้อถึงจะสำเร็จประโยชน์ได้ไม่ว่าจะเป็นการงานของชาวโลกและเป็นองค์ประกอบที่ทำให้บรรลุมรรคผลด้วยอีกประการหนึ่งอีกทั้งยังสามารถเป็นเหตุให้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตยืนยาวก็สามารถทำให้สำเร็จตามประสงค์ได้ดังตัวอย่างในปัจฉิมโพธิกาล เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับณ ปาวาลเจดีย์ โดยมีพระอานนท์เป็นผู้ปฏิบัติตาม ณ ที่ตรงนี้พระองค์ประสงค์จะให้พระอานนท์อาราธนาให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ต่อจึงทรงทำนิมิตโอภาสโดยตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เมื่อไพศาลีนี้เป็นสถานที่รื่นรมย์ ทัศนีภาพสวยงาม มีทั้งปาวาลเจดีย์และโคตมเจดีย์ถ้าบุคคลได้เจริญอิทธิบาท ๔และมีความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อชั่วกัปหรือมากกว่านั้น ย่อมสามารถทำได้”ดังนี้เป็นต้น

        เราท่านทั้งหลายผู้เป็นศาสนิกชนในพระพุทธศาสนาหากประสงค์ที่จะมีชีวิตยืนยาว เอาไว้ใช้สร้างบุญบารมีนานๆ ก็สมควรน้อมนำหลักอิทธิบาทธรรมนี้มาใช้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันสมัยคือ องค์สมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวภูมิพลพระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่เจริญด้วยทศพิธราชธรรมอันเป็นธรรมสำหรับพระราชาอยู่เป็นเนืองนิตย์เหตุที่ท่านพระชนม์มายุยืนเพราะเหตุใดลองพิจารณา แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม สมควรแก่ความประพฤติของตน อันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญในบวรพระพุทธศาสนาสืบไป
 
        วิสาขบูชาวันแห่งการสถาปนาพระพุทธศาสนาให้เป็นแสงสว่างส่องนำทางสรรพสัตว์ไปสู่สวรรค์นิพพาน

        วิสาขบูชาวันที่พระพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะเหนือหมู่มารและมีชัยชนะที่ไม่มีวันกลับมาแพ้

        วิสาขบูชา วันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทจะได้ทำทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาต่อองค์พระบรมศาสดา ด้วยการเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาดำเนินตามรอยบาทพระศาสดา เพื่อความสิริสวัสดิ์มหามงคลตนและสรรพชีวิต และรักษาวันแห่งความมหัศจรรย์นี้ไว้ให้เป็นประเพณีอันดีงามยืนยงคงอยู่เคียงคู่โลกตลอดไป.

“วิสาขมหามงคล พุทธศาสนิกชนบำเพ็ญธรรม”


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


บทความนี้ข้าพเจ้าเรียบเรียงถวายพระครูโกวิทสุตการ (พระมหาระพิน อภิชาโน) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์
เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เพื่อใช้แสดงธรรมในโอกาสวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม .


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๒๓ พ.ค. ๕๖ เวลา ๑๙.๐๑ น.

166

        วัฒนธรรมประเพณีเป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งปรากฏให้เห็นได้ทุกช่วงจังหวะชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย สิ่งที่เป็นรากฐานของความเจริญงอกงามส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากจนยากที่จะปฏิเสธได้คือเรื่องของพระพุทธศาสนาที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

 
        วัฒนธรรมประเพณีคือสิ่งอันดีงามที่สังคมหนึ่งๆให้การยอมรับ ประพฤติปฏิบัติสืบเนื่องกันไปจากรุ่นสู่รุ่น วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทยส่วนมากจะอิงอยู่กับศาสนา ความเชื่อ อันเป็นบรรทัดฐานของสังคม โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุญกุศล ความดีงาม การประกอบกุศลกรรมต่างๆ ที่มักแฝงอยู่กับวัฒนธรรมประเพณี ถือเป็นภูมิปัญญาหรือกุศโลบายอย่างแยบคายที่ช่วยส่งเสริมพัฒนามนุษย์ให้เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม มีความกตัญญูกตเวที นับถือบูชาคุณของพระศาสนา ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ผู้มีพระคุณ เป็นอุบายให้บุคคลได้มีโอกาสในการสร้างบุญกุศลคุณงามความดีทั้งหลาย อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ความจรรโลงด้านจิตใจและความผาสุกทั้งด้านครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ การปกครอง ฯ


        เกี่ยวกับด้านการศึกษา ก็เช่นเดียวกัน คือจะต้องมีประเพณีที่แฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจไว้ใช้ในการปรับใช้ในชีวิตประจำวันหรือการประกอบกิจการงานใดๆให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยก่อนที่จะเข้ารับการศึกษาหรือการฝากตัวเป็นศิษย์ไม่ว่าในแขนงสาขาวิชาใดๆ ก็ตาม จะต้องมีพิธีกรรมฝากตัวเป็นศิษย์แก่ครูอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ โดยนิยมใช้เครื่องบูชาครู อันประกอบด้วย ดอกไม้ธูปเทียน หรือสิ่งอื่นใดที่นิยมนำมาบูชาครูตามที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้แฝงไปด้วยความหมายและคติธรรมอย่างลึกซึ้งอยู่ในตัว เมื่อครูรับเป็นศิษย์แล้ว ศิษย์ก็จะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากศิษย์ได้ทำตามเช่นนั้นแล้ว ก็จะบังเกิดความเป็นสิริมงคล นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิตตน ตามความเชื่อถือที่สืบทอดต่อกันมา


        การสักยันต์ก็ถือได้ว่าเป็นแขนงวิชาทางวิทยาคมชนิดหนึ่งที่มีประเพณีเกี่ยวกับการบูชาครูเข้ามาเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย โดยก่อนที่จะเข้ารับการสักยันต์ ลูกศิษย์จะต้องนำเครื่องบูชาครูมาทำพิธียกครูฝากตัวเป็นศิษย์เสียก่อน เมื่ออาจารย์ผู้สักรับเครื่องบูชาครูไปแล้วก็ถือว่าได้รับผู้นั้นเป็นศิษย์โดยสมบูรณ์ พร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาโดยการสักยันต์ให้กับศิษย์ผู้นั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ศิษย์ เมื่อศิษย์ได้รับการสักยันต์เรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับที่พระอาจารย์ผู้สักกำหนด เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังตามความเชื่อ




        สำหรับการสักยันต์ของทางวัดบางพระ จ.นครปฐม ได้เริ่มปรากฏชื่อเสียงในสมัยที่พระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ หรือหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นเจ้าอาวาส โดยหลวงพ่อเปิ่นได้เรียนวิชาสักยันต์กับหลวงปู่หิ่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ และเริ่มสักให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มาขอความเมตตาจากท่านตั้งแต่ที่ท่านยังอยู่ที่วัดโคกเขมา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ผู้ที่สักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่นก็เริ่มมีประสบการณ์ทั้งทางด้านเมตตามหานิยม หรืออยู่ยงคงกระพัน ตามที่ปรากฏในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น ชื่อเสียงของหลวงพ่อเปิ่นจึงขจรขจายไปทั่วสารทิศทั้งในและต่างประเทศ ลูกศิษย์ลูกหาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมากมายมหาศาล โดยในช่วงเริ่มแรกหลวงพ่อเปิ่นท่านได้กำหนดเครื่องบูชาครูไว้ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ ๑ ซอง เงิน ๖ บาท ซึ่งผู้ที่จะมารับการสักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่นก็จะต้องตระเตรียมสิ่งของดังกล่าวมาเอง แล้วนำของทั้งหมดใส่ไว้ในพานถวายแก่หลวงพ่อเปิ่นอันเป็นสัญลักษณ์ของการฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อหลวงพ่อท่านรับพานครูแล้วก็เท่ากับว่าท่านได้รับผู้นั้นเป็นศิษย์อย่างบริบูรณ์ พร้อมที่จะรับวิชาการสักยันต์ที่หลวงพ่อจะประสิทธิ์ประสาทให้อย่างเต็มความภาคภูมิ ในช่วงสมัยแรกๆ ที่หลวงพ่อเปิ่นท่านเริ่มสักใหม่ๆ ผู้ที่ยกพานบูชาครูฝากตัวเป็นศิษย์ก็สามารถมาให้หลวงพ่อท่านสักยันต์ให้ได้ตลอด เท่ากับว่ายกพานครูครั้งเดียวก็สามารถสักยันต์ได้ตลอด โดยครั้งต่อไปก็ไม่ต้องยกพานครูอีก ในช่วงหลังจึงปรับเปลี่ยนมาเป็นยกพานครู ๑ พานต่อการสักยันต์ ๑ ครั้ง และถือปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


        สำหรับเงินค่าครูสำหรับการสักยันต์นี้ ต่อมาหลวงพ่อเปิ่นท่านได้ปรับขึ้นจาก ๖ บาท เป็น ๑๒ บาท ๒๔ บาท และ ๒๕ บาท (ไม่ต่ำกว่า ๒๔ บาท จึงนิยมใส่เงินค่าครูไป ๒๕ บาท) ตามลำดับ ธรรมเนียมสำหรับเงินค่าครูนี้ ท่านห้ามอาจารย์สักนำไปใช้ส่วนตัวอย่างเด็ดขาด (หากอาจารย์สักนำเงินค่าครูไปใช้ส่วนตัวตามความเชื่อก็จะทำให้อาจารย์ผู้สักเกิดความวิบัติหาความเจริญในชีวิตไม่ได้ ฯ) โดยจะต้องนำเงินค่าครูมาถวายไว้ในส่วนกลางเพื่อนำไปใช้ในทางสาธารณกุศลของทางวัด ทั้งการบำรุงบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ซื้อที่ดินถวายวัด นำไปร่วมบุญผ้าป่า, กฐิน ทั้งในวัดบางพระเองและวัดอื่นทั่วไป และสาธารณะกุศลอื่นๆ อีกมากมายตามแต่การพิจารณาของหลวงพ่อท่าน ผู้ที่มาสักยันต์ที่วัดบางพระก็เท่ากับว่าได้มีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้นๆ ด้วยเฉกเช่นเดียวกัน ถามว่าหากใส่เงินค่าครูมากกว่านี้ได้หรือเปล่า คำตอบคือ “ได้อย่างแน่นอน” เพราะหากเราใส่เงินค่าครูไปมาก ทางวัดก็จะนำเงินของเราไปสร้างบุญได้เพิ่มขึ้นไปอีก บุญบารมีของเราก็จะมากขึ้นไปด้วยตามลำดับ แต่หากใส่เงินค่าครูหรือเครื่องบูชาในพานครูไม่ครบก็อาจจะทำให้อิทธิคุณที่จะได้รับจากการสักพร่องไปไม่สมบูรณ์จนอาจจะนำมาซึ่งผลเสียในเรื่องราวต่างๆ ได้ ส่วนท่านที่อยากจะถวายให้กับพระอาจารย์ผู้สักต่างหาก ก็สามารถทำได้โดยนำปัจจัยใส่ซองถวายแยกต่างหากกับเงินค่าครู เราถวายเงินค่าครูสำหรับสักยันต์ พระอาจารย์ผู้สักก็นำเงินค่าครูนี้ไปสร้างบุญกุศลต่อ เรียกได้ว่า “บุญต่อบุญไม่มีที่สิ้นสุด”




        เมื่อหลวงพ่อเปิ่นได้ถ่ายทอดวิชาการสักยันต์ให้กับศิษย์ในรุ่นต่อมา หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันที่หลวงพ่อเปิ่นท่านได้ละสังขารไปแล้วก็ตาม ธรรมเนียมเกี่ยวกับเงินค่าครูนี้ก็ยังได้ถือปฏิบัติสืบต่อเนื่องเรื่อยมา สำหรับการเตรียมตัวของผู้ที่จะมาสักยันต์ที่วัดบางพระ ก็จะต้องเตรียมพานครู ที่ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ ๑ ซอง หรือสามารถบูชาพานครูของทางวัดที่จัดเตรียมไว้ให้ก็ได้เช่นกันในราคา ๖๐ บาท เมื่อได้พานครูมาครบแล้วก็ใส่เงินค่าครูไม่ต่ำกว่า ๒๔ บาท (นิยมใส่ ๒๕ บาท หรือจะมากกว่านี้ก็ได้) จากนั้นก็นำพานครูพร้อมเงินค่าครูไปถวายให้กับพระอาจารย์ที่ทำการสัก เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ สำหรับการสัก (หมึก) ครั้งแรกจะได้ยันต์ครูคือ “ยันต์เก้ายอด” ส่วนในการสักยันต์ครั้งต่อๆไป เมื่อยกพานครูพร้อมเงินค่าครูถวายพระอาจารย์ผู้สักแล้ว พระอาจารย์ท่านก็จะพิจารณาสักให้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลเอง โดยที่ไม่ต้องขอว่าจะเอารูปนี้ลายนั้นฯ ซึ่งถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นยังดำรงสังขารอยู่ (การขอยันต์ว่าต้องการยันต์นั้นยันต์นี้ เหมือนเป็นการสู่รู้เกินครูบาอาจารย์ดังนั้นจึงไม่นิยมขอกัน แล้วแต่พระอาจารย์ผู้สักท่านจะเมตตาให้เองเป็นการดีที่สุด) เมื่อได้รับการสักยันต์ไปแล้วก็ควรตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ไม่ด่าบิดามารดาบุพการี ไม่ผิดลูกผิดเมีย หมั่นระลึกถึงคุณของครุบาอาจารย์ ประกอบแต่คุณงามความดีสร้างบุญกุศลอยู่เป็นเนืองนิตย์ อุทิศถวายแก่พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) และครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา อันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญงอกงามในชีวิตและธุรกิจหน้าที่การงานทั้งหลายตามสมควรแก่การปฏิบัติของแต่ละบุคคล


ที่มาของภาพจาก http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10286 ภาพโดยพี่นาว PeAwPeed



        กล่าวโดยสรุป ค่าครูสำหรับการสักยันต์ของทางวัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น) ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอันดีงามอันเป็นกุศโลบายให้ศิษย์ที่มารับการสักยันต์ได้ร่วมสร้างบุญกุศลอีกทางหนึ่ง โดยผู้ที่จะมารับการสักต้องนำพานครูที่ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ ๑ ซอง พร้อมเงินค่าครูไม่ต่ำกว่า ๒๔ บาท (นิยมใส่ ๒๕ บาท หรือมากกว่านี้ก็ได้) นำไปถวายกับพระอาจารย์ผู้สักเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเต็มความภาคภูมิตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อเปิ่นยังดำรงสังขารอยู่ โดยเงินค่าครูทั้งหมดจะนำมาใช้ในทางสาธารณะกุศลอันจะเป็นการต่อบุญต่อบารมีให้กับลูกศิษย์ลูกหาผู้ที่มารับการสักต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เงินค่าครูนี้จึงถือเป็นอุบายให้คนมาร่วมบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลที่แยบคายและน่าสนใจอย่างยิ่ง ควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบทอดให้คงอยู่คู่กับวัดบางพระตลอดไป.





เนื้อหาเกี่ยวกับพานครู, ค่าครู และการสักยันต์ของทางวัดบางพระ เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ จ.นครปฐม รูปปัจจุบัน
พระอาจารย์อนันต์ อภินนฺโท (หวานชะเอม) พระภิกษุวัดบางพระ จ.นครปฐม
พ.ต.อ. (พิเศษ) สมพร จารุมิลินท อดีต รองผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร. (ศิษย์อาวุโสของวัดบางพระ)
เมื่อวันพุธที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ กุฏิพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น).


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:



ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๒.๕๒ น.

167
อาจารย์หนวดเมตตาให้นำมาแจกเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ



นำมงคลวัตถุที่ได้รับจากอาจารย์หนวด ประกอบด้วย ผ้ายันต์สกรีนลายมือหลวงพ่อเปิ่น, รูปถ่ายหลวงปู่หิ่มหลังยันต์แปดทิศ และเสือกินหาง บูชาครู ๕๕ มาแจกเพื่อนสมาชิกเว็บไซต์วัดบางพระ จำนวน ๓๐ รางวัล โดยได้รับความเมตตาจากพระครุอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน และพระอาจารย์ประสิทธิ์ ธมฺมโชโต (หลวงพี่ต้อย) อธิษฐานจิตมงคลวัตถุทั้งหมดนี้ให้อีกครั้ง





รายละเอียดและกติกาการร่วมลงชื่อรับรางวัล

- สงวนสิทธิ์ในการแจกรางวัลครั้งนี้ให้กับสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- เนื่องจากมงคลวัตถุมีจำนวนจำกัดและเพื่อความเท่าเทียมกันของเพื่อนสมาชิก ดังนั้นจึงขอเปิดให้ร่วมลงชื่อเพื่อรับรางวัลในวันเสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป (โดยโพสตอบในกระทู้นี้เท่านั้น)

- สิทธิ์ในการได้รับรางวัลได้แก่ ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๓๐ ท่านแรก (นับจากลำดับการโพสตอบกระทู้)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๓ ท่านแรก จะได้รับ ผ้ายันต์สกรีนลายมือหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จำนวน ๑ ผืน รูปถ่ายหลวงปู่หิ่มหลังยันต์แปดทิศ จำนวน ๑ ใบ และเสือกินหางบูชาครู ๕๕ จำนวน ๑ ตัว (รวม ๓ ชิ้น/ ๑ ท่าน)

- อีก ๒๗ ท่านที่เหลือจะได้รับ รูปถ่ายหลวงปู่หิ่มหลังยันต์แปดทิศ จำนวน ๑ ใบ และเสือกินหางบูชาครู ๕๕ จำนวน ๑ ตัว (รวม ๒ ชิ้น/ ๑ ท่าน)

- สำหรับผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๓๐ ท่านแรก กรุณารอการยืนยันสิทธิ์รับรางวัล ซึ่งจะตอบกลับให้ทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ลงชื่อรับรางวัล ๓๐ ท่านแรกและได้รับการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลแล้ว กรุณาส่งซองเปล่า (ซองเอกสาร) ติดแสตมป์ ๑๐ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับรางวัลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)



:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:


ย้ำอีกครั้ง!! จะเปิดให้ลงชื่อรับรางวัลในกระทู้นี้ ในวันเสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖
เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป


ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖

168
มงคลวัตถุรุ่นพิเศษ หลวงพี่ต้อยสร้าง เพื่อสมทบทุนบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิหลวงพี่ปาด)

๑. รูปหลวงพ่อเปิ่น หลังจารมือ + หนังเสือ + เหรียญหลวงพ่อเปิ่น เลี่ยมพลาสติกขนาดห้อยคอ จำนวนสร้าง ๑๐ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท




*********************


๒. ล็อคเกตหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังฝังเหรียญหลวงพ่อเปิ่นเนื้อทองแดง + ตะกรุด + อุดผงเก่า จำนวนสร้าง ๔๕ องค์ ร่วมบุญองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท


*********************


๓. กุมารทองขนาดบูชา จำนวนสร้าง ๒๐ ตน ร่วมบุญตนละ ๓๙๙ บาท



*********************


อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมบุญครั้งนี้ด้วยครับ
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ปุญฺญานุสฺสติ (สิบทัศน์)
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖

169
บันทึกภาพไว้เมื่อ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ "ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)"

เชิญติดตามชมรายการ "วันหยุดสุดขีด" ทางช่อง ๗ วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๔.๐๐-๑๕.๐๐ น.

กับการพาเที่ยวจังหวัดนครปฐม และภารกิจตามหาผงอิทธิเจที่วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม.

170
[shake]ขณะนี้มีผู้ลงชื่อขอรับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหาลาภครบ ๑๐๐ ท่านแล้ว
ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกิจกรรมครับ
[/shake]


นำสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหาลาภ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ๒๕๕๕ มาแจกให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ จำนวน ๑๐๐ แผ่น

"นางกวักมหาลาภ มีไว้บูชา เป็นเมตตา มหานิยม โชคลาภ ค้าขายดี ลาภ ผล พูล ทวี"


รายละเอียดกติกาการขอรับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหาลาภ

- สงวนสิทธิ์ในการขอรับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหามงคลครั้งนี้ให้สมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระเท่านั้น

- สามารถลงชื่อเพื่อขอรับสติ๊กเกอร์ในกระทู้นี้เพียงที่เดียวเท่านั้น ๑ ท่าน ต่อ ๑ แผ่น

- รอการยืนยันสิทธิ์รับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหามงคลตอบกลับทางระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- ผู้ที่ได้รับสิทธิ์รับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหามงคล กรุณาส่งซองเปล่า (ซองจดหมาย) ติดแสตมป์ ๕ บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มายังที่อยู่ที่ได้รับจากการยืนยันสิทธิ์รับสติ๊กเกอร์ยันต์นางกวักมหามงคลในระบบข้อความส่วนตัว (pm)

- มีจำนวนจำกัดเพียง ๑๐๐ แผ่นเท่านั้น ลงชื่อในกระทู้ก่อนได้รับสิทธิ์ก่อน แจกจนกว่าของจะหมด


:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๑๙ เมษายน ๒๕๕๖

171
       ช่วงเช้า เวลา ๐๘.๓๐ น. สาธุชนร่วมกันถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสามเณร, ฟังเทศน์, ทอดผ้าบังสุกลอุทิศผลบุญให้ผู้ล่วงลับ, ร่วมกันทำข้าวต้มมัด และกิจกรรมอื่นๆ ณ ศาลาการเปรียญวัดบางพระ
















































































       เวลา ๑๐.๐๐ น. ชาวบ้านตำบลบางแก้วฟ้าทั้ง ๕ หมู่บ้าน, ชมรมผู้สูงอายุตำบลบางแก้วฟ้า และวิทยาลัยการอาชีพบางแก้วฟ้า ร่วมกันทอดผ้าป่าเนื่องในวันสงน้ำพระของทางวัดบางพระ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๙๖๒ บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเก้าร้อยหกสิบสองบาทถ้วน)




































       เวลา ๑๓.๓๐ น. เริ่มพิธีสรงน้ำพระ






























































































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

172
       วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ ชาวบ้านบริเวณโรงเจวัดบางพระ (หมู่ ๔) และละแวกใกล้เคียง ได้ร่วมกันจัดงานทำบุญโรงเจ ซึ่งจัดมาเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กิจกรรมมีทั้งการนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์, ทำบุญเลี้ยงพระในช่วงเพล, รดน้ำขอพรพระคุณเจ้าและผู้สูงอายุเพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังได้ร่วมกันถวายต้นผ้าป่าเพื่อสมทบทุนบูรณะโรงเจวัดบางพระ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔,๘๘๙ บาท

        ส่วนบริเวณวัดบางพระวันนี้ ก็มีทั้งชาวบ้านที่มาช่วยกันเตรียมงานในวันสรงน้ำพระที่จะมีขึ้นในวันที่ ๑๗ เมษายน และศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อเปิ่นทั่วสารทิศมาร่วมทำบุญในโอกาสวันสงกรานต์กันพอสมควร เชิญชมภาพบรรยากาศกันได้เลยครับ

































































































































































:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

173

       สืบเนื่องจากมีเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระหลายท่านได้สอบถามถึงจีวรของหลวงพ่อเปิ่นเข้ามา ว่าอยากจะได้ไว้บูชาบ้างจะหาได้ที่ไหนอย่างไร วันนี้จึงนำข่าวคราวและข้อมูลเล็กๆน้อยๆมาฝากให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้ศึกษากัน รายละเอียดมีดังนี้

        หลายท่านคงรู้จัก “จีวร” ว่าเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา อันเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่เมื่อพบเห็นผู้สวมใส่หรือนุ่งห่มจีวร ก็สามารถคาดเดาหรือบ่งชี้ได้ว่าบุคคลนั้นต้องเป็นนักบวชอย่างแน่นอน

   สำหรับรายละเอียดในเบื้องลึกนั้น “จีวร” จัดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริขารบริโภค ที่ภิกษุ, สามเณรจำเป็นจะต้องมีเพื่อเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดร่างกาย

        ในส่วนของพระภิกษุ จีวรตามความหมายที่แท้จริงจะประกอบไปด้วย ๑.สังฆาฏิ คือผ้าสำหรับห่มซ้อนเพื่อป้องกันความหนาวในฤดูหนาว ๒.อุตราสงค์ คือผ้าสำหรับห่ม (หรือที่เราๆท่านๆเรียกกันว่า จีวร) และ ๓.อันตรวาสก คือผ้านุ่งที่เรียกกันว่าสบง รวมเรียกว่า “ไตรจีวร” (ผ้าสามผืน)

        ประมาณของการกำหนดขนาดไตรจีวรไว้ดังนี้ คือ สังฆาฏิ ต้องมีความยาวไม่เกิน ๖ ศอก กว้างไม่เกิน ๔ ศอก อุตราสงค์ ต้องมีความยาวไม่เกิน ๖ ศอก กว้างไม่เกิน ๔ ศอก อันตรวาสก ต้องมีความยาวไม่เกิน ๖ ศอก กว้างไม่เกิน ๒ ศอก ส่วนผ้าหรือวัสดุที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ใช้สำหรับทำจีวรมีทั้งหมด ๖ ชนิด คือ โขมะ (ผ้าทำด้วยเปลือกไม้), กัปปาสิกะ(ผ้าทำด้วยฝ้าย), โกเสยยะ(ผ้าทำด้วยไหม), กัมพละ(ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนของมนุษย์), สาณะ(ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน) และ ภังคะ(หมายเอาผ้าที่ทำด้วยของ ๕ อย่างข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งมาปนกัน) ผู้ออกแบบคือ พระอานนท์ โดยในสมัยพุทธกาล ครั้งที่พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรผืนนาของชาวมคธจากบนภูเขาเห็นว่า บางแปลงใหญ่ บางแปลงเล็ก ไม่เสมอกันมีคันนาเป็นขอบเขต หากนำมาเป็นแบบทำจีวรเครื่องนุ่งห่มของภิกษุ ก็จะทำให้พิจารณาถึงประโยชน์ที่แท้จริงของเครื่องนุ่งห่ม ไม่หลงมัวเมาไปกับการแสวงหาเครื่องนุ่งห่มเพื่อประโยชน์อื่นใดนอกเหนือจากนี้ ผ้าไตรจีวรจึงควรเป็นของตัด มิเป็นผ้าผืนเดียวตลอดผืน ดังนั้นจึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้เอาผืนนามาเป็นตัวอย่างสำหรับทำจีวรดังที่ใช้กันในปัจจุบันนี้

        ในส่วนของการใช้สอยปัจจัย ๔ (อาหาร-บิณฑบาต, เครื่องนุ่งห่ม-จีวร, ที่อยู่อาศัย-เสนาสนะ, ยารักษาโรค-เภสัช) ของพระภิกษุก็จะมีรายละเอียดตามบทพิจารณาลงไปอีกคือ ก่อนที่จะใช้ (ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐ) ขณะที่ใช้ (ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐ) และหลังจากที่ใช้ไปแล้ว (อตีตปัจจเวกขณปาฐ) ก็จะต้องพิจารณาทุกขณะดังที่กล่าวมาเสมอๆตามบัญญัติในปัจจัยสันนิสิตศีล ซึ่งจัดว่าเป็นศีลประเภทหนึ่งสำหรับภิกษุอันนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ในสมณเพศ

        สำหรับ “จีวร” ก็จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า เราจะนุ่งห่มจีวรเพื่อบำบัดความนาว บำบัดความร้อน บำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย และเพียงเพื่อปกปิดอวัยวะอันให้เกิดความละอาย โดยเนื้อแท้ จีวร ก็สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ผู้ที่ใช้สอยจีวร ก็สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน อันเป็นบุรุษบุคคลว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน แต่เดิมจีวรนี้ก็มิได้เป็นของน่าเกลียด แต่เมื่อครั้นมาถูกเข้ากับร่างกายอันเน่าอยู่เป็นเนืองนิตย์นี้แล้ว ก็ย่อมกลายเป็นของสกปรกน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกันฉันนั้น

        ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า “จีวร” เป็นบริขารบริโภคที่สำคัญ อันเป็นอุบายเจริญปัญญาความรู้แจ้งในกองสังขารทั้งหลายตามความเป็นจริงของพระภิกษุผู้ฝึกฝนอบรมตนเพื่อสลัดกองทุกข์ให้พ้นจากวัฏฏสงสาร ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดุจดั่งธงชัยแห่งพระอรหันต์นั่นเอง

        ท้ายสุดขอย้อนกลับมาถึงเรื่องที่มีผู้สอบถามถึงจีวรของหลวงพ่อเปิ่นเข้ามา ว่าอยากจะได้ไว้บูชาบ้างจะหาได้ที่ไหนอย่างไร ก็ขอเรียนตอบว่า ขณะนี้ทางวัดได้นำจีวรของหลวงพ่อเปิ่นมาตัดแบ่งใส่หลอดตะกรุด ไว้ให้สาธุชนได้บูชากันที่ตู้มงคลวัตถุในกุฏิพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน (ร่วมบุญ ๑๐๐ บาท มีจำนวนจำกัด) ครับ


กุฏิพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระรูปปัจจุบัน


อานุภาพของตะกรุดจีวรของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
- ไว้ใช้เป็นเครื่องตรึกระลึกนึกถึงบุญที่ได้สละทรัพย์เป็นทานฝากฝังไว้ในพระศาสนา (สำหรับผู้ที่ร่วมบุญกับทางวัดครั้งนี้)
- ไว้ใช้เป็นเครื่องตรึกระลึกนึกถึงและน้อมนำคำสั่งสอน คุณธรรมความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาปฏิบัติตาม อันจะนำมาซึ่งความสุขตามสมควรแก่การปฏิบัติของแต่ละบุคคล
- ไว้ใช้เป็นอุบายเครื่องเจริญปัญญา พิจารณาสังขารทั้งหลายตามความเป็นจริงโดยแยบคาย
- ฯลฯ



อนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญครั้งนี้ด้วยครับ
สาธุ..สาธุ..อนุโมทามิ
ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
๐๑.๑๑ น. ๑๔ เม.ย.๕๖

175

สงกรานต์วัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)

ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๖ วันที่ ๑๗ เมษายน

ขอเชิญร่วมกิจกรรม สืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทย

การแข่งขันการทำข้าวต้มมัด กีฬาพื้นบ้านไทย การก่อพระเจดีย์ทราย

สรงน้ำพระเวลา ๑๓.๐๐ น. และการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ

กลางคืน ชม ภาพยนตร์

โดย สภาวัฒนธรรม ต.บางแก้วฟ้า // วัดบางพระ // อบต.บางแก้วฟ้า

:001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

176
   ขอเจริญพร ท่านกงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย ประจำนครชิคาโก คุณนาย ญาติโยมวัดธัมมาราม ชาวชิคาโกและเมืองใกล้ ทุกท่าน
   ปัจจุบันนี้ ในเมืองฝรั่ง เช่น ประเทศอเมริกานี้เอง คนสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น อย่างที่อาตมาได้ทราบด้วยตนเองก็ดี หรือได้สดับตรับฟังจากการที่มาพบปะกับพระสงฆ์และญาติโยมที่นี่ก็ดี หรือแม้กระทั่งญาติโยมที่เป็นฝรั่ง เขาพูดกันว่าคนเมืองนี้ศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนากันมากขึ้น จุดสนใจอย่าหนึ่งก็คือเรื่องสมาธิ เรื่องสมาธิฝรั่งเขาสนใจมานานแล้ว
   ในเมื่อฝรั่งสนใจพระพุทธศาสนาและสนใจเรื่องสมาธิ เราในฐานะชาวพุทธที่ใกล้ศูนย์กลาง ใกล้คำสอน ใกล้สถาบันพระศาสนา ใกล้วัดวาอาราม ใกล้กับพระสงฆ์มากนี้ ก็น่าจะมีความรู้เป็นหลักแก่เขาได้ อย่างน้อยก็รู้ทันความเป็นไปและรู้เข้าใจสิ่งที่เขาสนใจ เผื่อมีอะไรเกี่ยวข้องก็จะได้แนะนำเขาถูก ถ้าเขาเข้าใจผิด ก็อาจจะแก้ไขชี้แจงแนะนำไป หรือแม้แต่ช่วยให้ตัวเองเข้าใจถูกต้อง จึงคิดว่าวันนี้จะพูดกันถึงเรื่องสมาธินิดหน่อย เป็นการพูดในแง่หลักการทั่วๆ ไป กว้างๆ
   เมื่อพูดถึงคำว่าสมาธิ ถ้าจะถามถึงคำฝรั่งที่เรามักจะได้ยินเขาใช้สำหรับสมาธิ โยมมักจะนึกถึงคำว่า meditation ซึ่งใช้กันเกลื่อน แต่ความจริง meditation ไม่ใช่คำตรงสำหรับสมาธิ เพราะเป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือ เป็นคำภาษาอังกฤษที่มีมาแต่เก่าก่อน ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยก็คล้ายๆ คำว่า ความครุ่นคิดพิจารณา ซึ่งก็ไม่ได้มีความชัดเจนว่าครุ่นคิดพิจารณาอย่างไร เมื่อคำว่าสมาธิของเราเข้ามา เขาไม่รู้จะใช้คำอะไร ก็เอาคำ meditation ใช้ไปก่อนเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สามารถสื่อความหมายที่แท้จริงได้
   สมาธิในความหมายที่แท้ของเรา ฝรั่งเขาไม่มีการปฏิบัติกัน อาตมาเคยคุยกับ Professor อเมริกาที่สอนพระพุทธศาสนาในประเทศอเมริกาท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า ในประเทศนี้หรือในเมืองฝรั่งนี้ไม่มีสมาธิในความหมายที่ฝึกกันในพระพุทธศาสนา ถ้าจะหาการปฏิบัติอย่างใกล้เคียงที่สุด ก็น่าจะดูได้จากศาสนาคริสต์นิกายของพวกQuakers พวก Quakers มาประชุมกัน แต่เขาไม่ได้มีการสวดอ้วนวอนเพื่อทำพิธีอะไรแบบของนิกายอื่น แม้แต่โรงประชุมของเขาเขาก็ไม่เรียกว่า church ด้วยซ้ำ เขามานั่งสงบนิ่ง ใครมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาในระหว่างที่ผุดขึ้นนั้น อันนี้เขาเรียกว่าเป็น meditation ของเขา Professor ท่านนั้นบอกว่า ถ้าจะเรียกสมาธิของฝรั่งที่ใกล้เข้ามาก็มีอย่างนี้ ซึ่งถ้าเทียบกับพุทธศาสนาแล้ว ยังไม่ใช่เลย
   เพราะฉะนั้น ต่อมาฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษ เมื่อมาศึกษาพระพุทธศาสนา รู้เข้าใจหลักธรรมดีขึ้น ก็คือวงการชาวพุทธเองที่ใช้ภาษาอังกฤษ จึงได้ตกลงกันว่า สำหรับคำว่าสมาธินี้ ซึ่งเป็นข้อธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ศัพท์ที่ใช้ตรงมากกว่าคำว่า meditation ก็คือคำว่า concentration ตกลงให้ใช้คำนี้เป็นคำแปลสำหรับคำว่าสมาธิ
   สำหรับคำว่า meditation นั้นก็ได้มีความโน้มเอียงอย่างหนึ่งว่า ให้ถือเป็นการใช้แบบกว้างๆ แล้วก็เลยเอามาใช้กับคำว่า ภาวนา จะเห็นคำว่า meditation เดี๋ยวนี้มักจะใช้สำหรับคำว่าภาวนา ซึ่งก็ไม่ได้ตรงทีเดียว เพราะคำว่าภาวนานั้น แปลว่า การเจริญหรือการทำให้เพิ่มพูนขึ้นมา หรือแปลให้ตรงศัพท์ว่าทำให้มีให้เป็นให้มีขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าภาวนา เช่น ศรัทธายังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา เมตตายังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา อะไรต่างๆ เหล่านี้ แม้แต่สมาธิยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา ก็เรียกว่าภาวนา นอกจากทำให้มีให้เป็นแล้ว ก็ทำให้เพิ่มพูนขึ้นไปด้วย
   ในภาษาไทยเราแปล ภาวนา ว่า เจริญ เช่น เจริญเมตตาเรียกว่าเมตตาภาวนา เจริญสมาธิก็เรียกว่า สมาธิภาวนา เจริญวิปัสสนา ก็เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา เจริญปัญญาก็เรียกว่า ปัญญาภาวนา เมื่อคำว่า ภาวนา แปลว่า เจริญ ฝรั่งจะแปลให้ตรงแท้ก็แปลว่า development การใช้ศัพท์เหล่านี้ถือว่ายังไม่ลงตัวแน่นอน
   ภาวนาหรือการเจริญนั้น ถ้าพูดถึงในทางจิตใจและทางปัญญา รวมแล้วก็มีสองด้านสำคัญที่เรารู้จักกัน ซึ่งบางทีเราเรียกว่า กรรมฐาน การเจริญกรรมฐานก็มีสายสมถะ คือทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ เรียกว่า สมถภาวนา และอีกด้านหนึ่งคือ วิปัสสนา เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา ได้แก่เจริญปัญญา คือทำปัญญาให้เกิดขึ้น ให้รู้จักความจริงของสิ่งทั้งหมาย ให้รู้ว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงและเป็นไปตามเหตุปัจจัย การรู้ความจริงนี้เรียกว่าวิปัสสนา จึงมีภาวนาใหญ่ๆ ที่เป็นหลักอยู่ ๒ อย่าง คือ เจริญสมถะ ทำจิตใจให้สงบ มุ่งให้เกิดสมาธิ เรียกว่า สมถภาวนา และเจริญวิปัสสนา ทำปัญญาความรู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งโลกและชีวิตให้เกิดขึ้น เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
   บางทีเอาคำ meditation มาใช้แทนภาวนา ก็เลยมี meditation ๒ แบบ สำหรับสมถภาวนาก็ใช้คำว่า Tranquillity Meditation ถ้าให้ตรงก็เป็น Tranquillity Development หมายถึงการทำให้ความสงบเกิดขึ้น (tranquillity คือความสงบ บางทีก็ใช้คำว่า calm ซึ่งก็คือความสงบ หมายถึง สมถะ) มุ่งที่ตัวสมาธิ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ วิปัสสนาภาวนา วิปัสสนาใช้คำว่า insight ซึ่งแปลว่า การหยั่งรู้หยั่งเห็น เอา meditation ต่อเข้าไปเป็น Insight Meditation แปลว่า การเจริญวิปัสสนา เมื่อเอาคำว่า meditation มาใช้ในความหมายของภาวนา ก็แบ่งเป็น ๒ อย่างนี้
   นี้เป็นตัวอย่างของการเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องศัพท์ ซึ่งต้องให้โยมทำใจไว้ก่อนว่ามันยังไม่ลงตัว อย่างที่ว่านี้ก็เป็นความนิยมอย่างหนึ่ง เป็นอันให้รู้ว่า คำว่า meditation เป็นศัพท์ที่ไม่ชัดเจน แล้วแต่เราจะตกลงกันว่าจะเอามาใช้อย่างไร ตอนนี้มีความโน้มเอียงว่าให้เอา meditation มาใช้กับภาวนา แบ่งเป็น ๒ อย่าง เป็น meditation ๒ แบบ คือ Tranquillity Meditation เป็นการเจริญความสงบ เรียกว่า สมถภาวนา กับ Insight Meditation เป็นการเจริญปัญญาที่หยั่งรู้หยั่งเห็น เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา
   ส่วนตัว สมาธิ นั้น ก็ยังนิยมให้ใช้คำจำกัดจำเพาะลงไปว่า concentration ซึ่งจะมีความหมายชัดขึ้น เราจะศึกษาอะไร เราจะพิจารณาเรื่องอะไร จิตต้อง concentrate หมายความว่าต้องแน่วแน่ต้องมุ่งมั่นแน่วแน่ปักลงไปในสิ่งนั้น ถ้าไม่ concentrate ก็จะมองเห็นเข้าใจสิ่งนั้นได้ยาก จะไม่ชัดเจน ความหมายจึงใกล้เข้ามา

*การปฏิบัติสมาธิให้ถูกทาง
   ทีนี้มาดูสมาธิของเรา สมาธินั้นแปลง่ายๆ ว่า ภาวะที่จิตตั้งมั่น พุทธศาสนิกชนจำแม่นทีเดียว เช่น ในองค์ของมรรคข้อสัมมาสมาธิ เราแปลกันว่าจิตตั้งมั่นชอบ จิตตั้งมั่น หมายความว่า จิตที่เรียบสม่ำเสมอ จับอยู่กับสิ่งใดก็มั่นคง อยู่กับสิ่งนั้น แล้วเดินเรียบ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระสับกระส่าย ไม่กระวนกระวาย จิตอยู่ตัวลงตัวแน่วแน่ ถ้าจะพิจารณาคิดเรื่องอะไรก็อยู่กับสิ่งนั้นสิ่งเดียวสิ่งอื่นเข้ามาแทรกมากวนไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า สมาธิ
   ถ้าพูดอย่างภาษาชาวบ้าน สมาธิก็คือการที่จิตของเราอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ตามต้องการ แค่นี้ก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ถ้าแปลตามภาษาแบบวิชาการก็จะบอกอย่างที่กล่าวมาว่า ความมีจิตตั้งมั่น คือ จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว หมายความว่าจะคิดจะกำหนดจะจับอยู่กับเรื่องใด ก็อยู่กับเรื่องนั้น ไม่ฟุ้งซ่านหลุดลอยไปเรื่องอื่น ถ้าใจอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้อย่างนี้เรียกว่าเป็น สมาธิ
   การที่จะให้เข้าใจเรื่องสมาธิดีนี้ เราไม่ต้องพูดความหมายกันมากมาย หันไปพูดในแง่คุณประโยชน์บ้าง เมื่อพูดถึงคุณประโยชน์ก็จะเห็นความหมายชัดขึ้นไปด้วย
   จิตที่เป็นสมาธินี้จะมีลักษณะสำคัญ ๓ ประการ ซึ่งเป็นประโยชน์ของมันด้วย เรามาดูว่าพระพุทธศาสนากล่าวถึงคุณลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิอย่างไร เอาที่เป็นข้อสำคัญ ๓ ประการ
   ๑) จิตที่มีสมาธิจะเป็นจิตที่มีกำลัง เรียกว่ามีพลังมาก
   ๒) จิตสมาธิจะผ่องใสเหมือนน้ำที่ใส เพราะมันนิ่งสงบ ทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน ข้อนี้เกื้อกูลต่อปัญญา
   ๓) ข้อที่ ๓ สืบเนื่องมาจากข้อที่ ๑ และ ๒ คือ พอจิตของเราสงบ ไม่มีอะไรกวน ไม่มีอะไรวุ่นวาย มันก็สงบ พอสงบไม่มีอะไรกวนก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นคนที่จิตเป็นสมาธิก็สงบ เมื่อสงบก็มีความสุข ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าปรารถนาอีกประการหนึ่ง
   นี้เป็นคุณสมบัติหลักๆ ที่สำคัญของจิตที่เป็นสมาธิ ๓ ประการ ถ้าดูจากนี้จะเห็นได้ว่าเวลานี้เราเอาสมาธิมาใช้ประโยชน์อะไรกันบ้าง และเราจะต้องดูว่าใน ๓ อย่างนี้ อย่างไหนเป็นคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราใช้
   ๑. พลังจิต ขอให้ดูพุทธพจน์ต่อไปนี้
   “เปรียบเหมือนแม่น้ำที่เกิดบนภูเขา ไหลลงเป็นสายยาวไกลมีกระแสเชี่ยว พัดพาสิ่งที่พอจะพัดพาเอาไปได้ หากคนปิดปากเหมืองของแม่น้ำทั้งสองข้าง กระแสน้ำในท่ามกลางไม่กระจาย ไม่ส่ายพร่า ไม่เขวคว้าง ก็ไหลลิ่ว มีกระแสเชี่ยว และพัดพาสิ่งที่พอจะพัดพาเอาไปได้ ...”
(องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๕๑)
   ที่จริง พุทธพจน์ก็ทรงมุ่งประโยชน์ด้านพลังจิตในแง่เสริมกำลังปัญญา แต่คนก็มักชอบเอาพลังจิตนั้นไปใช้ทางฤทธิ์เดช ด้านพลังจิตแบบหลังนี้ไปไกล ในเมืองฝรั่งเวลานี้ ก็ชอบกันมาก ถึงกับเอามาทดลองกันว่า จิตที่เป็นสมาธิมีพลังมากเพราะพุ่งดิ่งไปทางใดทางหนึ่ง พอพุ่งไปแล้วก็มีกำลังแม้แต่จะทำให้วัตถุเคลื่อนไหวก็ได้ หรือจะตั้งใจมองตั้งใจฟังดิ่งไปเฉพาะจุดก็ทำให้มองเห็นสิ่งไกลๆ จนกระทั่งเกิดตาทิพย์หรือได้ยินเสียงไกลๆ จนเกิดหูทิพย์ได้ เหล่านี้เป็นเรื่องของพลังจิตแบบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ปรากฏว่าในเมืองฝรั่งมีคนพวกหนึ่งฝักใฝ่กับเรื่องนี้มีการค้นคว้าทดลองกันอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นการสนใจในประโยชน์ของสมาธิด้านหนึ่ง
   ๒. ความสงบสุข (ขอกลับข้อข้างบน เอา ๓ มาเป็น ๒ และเอา ๒ เป็น ๓) มีพุทธพจน์แห่งหนึ่งว่า
   “ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วจะเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนี้ ภิกษุปลอดจากกาม ปลอดจากอกุศลกรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน ... ทุติยฌาน...ตติยฌาน...จตุตถฌาน...”
(องฺจตุกฺก. ๒๑/๔๑)
   มองดูในสังคมฝรั่งก็ชอบข้อนี้มากเหมือนกัน เพราะในสังคมฝรั่งมีปัญหาเรื่องจิตใจมาก มีความกังวล มีความกระวนกระวายใจ และมีความเครียด เนื่องจากการแข่งขัน การแย่งชิงกันหาประโยชน์ ระบบต่างๆ ทางสังคมมันบีบคั้นจิตใจคน ทำให้จิตใจไม่สบาย ในที่สุดก็มีความทุกข์มาก จึงปรากฏว่าฝรั่งทั้งหลาย ทั้งที่เจริญด้วยวัตถุมากแต่จิตใจไม่สบาย เมื่อมีทุกข์มากก็หาทางออก หาไปหามา พอมาเจอเรื่องสมาธิจากพระพุทธศาสนา จากศาสนาฮินดู จากโยคะ เป็นต้น พูดสั้นๆ ว่าจากตะวันออก ก็เห็นว่าสมาธินี้เป็นวิธีปฏิบัติที่ทำให้จิตใจสงบมีความสุข ก็เลยชอบใจ เพราะฉะนั้นจึงปรากฏว่า ฝรั่งหันมาหาสมาธิเพราะจุดมุ่งหมาย คือ ต้องการประโยชน์ในแง่ความสงบ หรือความสุขกันมาก คือ เพื่อแก้ปัญหาด้านจิตใจนั่นเอง
   ๓. จิตใสและขยายปัญญา คราวนี้มาดุพุทธพจน์ที่ว่า
   “ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำ ที่ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวเลย คนตาดียืนอยู่บนฝั่ง ก็จะเห็นได้ แม้ซึ่งหอยโข่ง หอยกาบ แม้ซึ่งก้อนหิน ก้อนกรวด แม้ซึ่งฝูงปลา ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ก็ตาม กำลังหยุดอยู่ก็ตาม ในห้วงน้ำนั้น นั่นเพราะเหตุใด ก็เพราะน้ำไม่ขุ่น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ก็จักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ตน จักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น จักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จักประจักษ์แจ้งได้ซึ่งคุณวิเศษล้ำมนุษย์สามัญ กล่าวคือญาณทัสสนะ ที่สามารถทำให้เป็นอริยชน...”
(องฺเอก. ๒๗/๔๐)
   คุณประโยชน์สำคัญของสมาธิคือการทำให้จิตใจ ช่วยให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการได้ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา สมาธิเป็นเรื่องของจิต คือ ทำจิตให้สงบ แต่พอสงบแล้วจิตก็ใส ก็เลยใช้ปัญญาได้ดี มองเห็นอะไรได้ชัดเจน หลายท่านจำพุทธพจน์แม่นว่า “สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ” (องฺ.เอกาทสก. ๒๔/๒๐๙) แปลว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว จะรู้ชัดตามที่มันเป็น คือ มีสมาธิแล้ว จะเกิดปัญญารู้จริงได้ หมายความว่า สมาธิเป็นฐาน เป็นตัวเอื้อ เป็นปัจจัย หรือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การใช้ปัญญาได้ผลดี ข้อนี้เป็นคุณประโยชน์ที่บางทีถูกมองข้าม แต่กลับเป็นข้อสำคัญ เพราะเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมายในพระพุทธศาสนา
   เมื่อได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นอย่างนี้แล้ว ก็มาพิจารณากันให้ละเอียดขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อจะได้เห็นเหตุผลที่ชัดเจน

* ๑. สมาธิเพื่อพลังจิต
        คนไทยก็สนใจเรื่องสมาธิในแง่พลังจิตกันมาก เพราะชอบเรื่องฤทธิ์ เรื่องปาฏิหาริย์ ถ้าสมาธิมีประโยชน์เพียงเพื่อพลังจิตให้มีฤทธิ์เก่งกล้าแล้ว พุทธศาสนาไม่ต้องเกิดขึ้น เพราะในอินเดียเขามีความชำนาญในเรื่องนี้กันมานานแล้ว การปฏิบัติโยคะก็เกิดมีก่อนพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ไปเข้าสำนักโยคะด้วย ไปหาอาจารย์สำนักต่างๆ เช่นเสด็จไปที่อาฬารดาบส กาลามโคตร ท่านที่เรียนพุทธประวัติคงจะเคยได้ยินพระพุทธเจ้าเสด็จไปเรียนการบำเพ็ญสมาธิ จนกระทั่งจบขั้นที่เขาเรียกว่าฌานสมาบัติทั้งหมด
        ฌานสมาบัตินี้มี ๘ ขั้น เป็นรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร ได้สมาธิถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ เรียกอากิญจัญญายตนะสมาบัติ พระพุทธเจ้าเข้าไปปฏิบัติในสำนักของท่านนี้ก็ได้ฌานสมาบัติขั้นนี้ด้วย จบสมาบัติ ๗ พระพุทธเจ้าไม่ทรงพอพระทัยจังเสด็จออกจากสำนักนี้ แล้วไปยังสำนักของอุทกดาบส รามบุตร ท่านนี้ได้ฌานสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งครบสมาบัติ ๘ คือจบเนวสัญญานาสัญญายตนะสมาบัติ พระพุทธเจ้าก็จบด้วย พระอาจารย์ก็นิมนต์ว่า ท่านจบความรู้ของสำนักนี้ ขอให้ท่านอยู่ช่วยสอนศิษย์ต่อไป พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่านี่ยังไม่ใช่จุดหมาย พระองค์จึงได้ขอลาออกไปแสวงหาธรรมด้วยพระองค์เอง
        พวกโยคี ฤาษี ดาบส สมัยก่อนพุทธกาล มีฤทธิ์ ทรงฌานได้อิทธิปาฏิหาริย์กันเยอะแยะ พระพุทธเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ถ้าเราเอาแค่ฤทธิ์ แค่ฌานสมาบัติแล้ว ก็ไม่ต้องมีพระพุทธศาสนา เพราเขาได้กันมามีอยู่ก่อนแล้ว แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพอพระทัยจึงเสด็จต่อไป เรื่องนี้เป็นจุดที่จะต้องระวัง ขอให้สังเกตว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญการใช้สมาธิในทางของฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ โยมคงจำได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัวไว้ว่า ปาฏิหาริย์ มี ๓ อย่าง
        อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ มากมาย เช่น เหาะเหินเดินอากาศ เดินน้ำ ดำดิน
        อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการทายใจได้ สามารถทายใจคนว่าเขาคิดอะไร คิดอย่างไร คิดจะทำอะไร หรือจิตใจมีสภาพเป็นอย่างไร
        อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการสั่งสอนให้เกิดปัญญา รู้ความจริงด้วยตัวของเขาเอง
        ปาฏิหาริย์ข้อที่ ๓ เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ส่วนปาฏิหาริย์ที่ ๑ และ ๒ พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสว่า ทรงรังเกียจ เพราะว่า ปาฏิหาริย์ที่ ๑ และ ๒ ใครทำได้ก็เป็นเรื่องของคนนั้น คนอื่นก็ได้แต่ทึ่ง เห็นว่าน่ามหัศจรรย์ แล้วก็มาหวังพึ่ง เมื่อหวังพึ่งแล้วก็พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัว แต่ปาฏิหาริย์ข้อ ๓ สอนให้เขาเกิดปัญญา เป็นอัศจรรย์ เพราะเมื่อเขาเกิดปัญญาแล้ว เขาก็เห็นด้วยตัวเอง พระองค์เห็นความจริงอย่างไร เขาก็เห็นความจริงอย่างเดียวกันกับที่พระองค์เห็น พอเขาเกิดปัญญาเห็นเหมือนที่พระองค์เห็น เขาก็เป็นอิสระ ไม่ต้องขึ้นต่อพระองค์ต่อไป แต่ถ้าปาฏิหาริย์ ๑ และ ๒ ซึ่งให้ได้เฉพาะเรื่องเฉพาะราวและต้องระวังในระยะยาว เพราะมันทำให้เกิดความประมาท ถ้ามีผู้มีฤทธิ์ เราเคารพนับถือ เราก็ไปหวังพึ่งท่านอยากจะได้อะไรก็ต้องให้ท่านบันดาล ตัวเราเองก็ไม่รู้จักเผชิญปัญหา ไม่รู้จักแก้ปัญหา ไม่รู้จักทำอะไรให้เป็น อยู่เท่าไหนก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่พัฒนา พระพุทธศาสนาไม่ต้องการให้คนเป็นอย่างนั้น
        จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นยอดของผู้มีฤทธิ์ แต่พระองค์สรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการสอนให้เกิดปัญญาข้อเดียว พระองค์เองนั้นทรงมีทั้งอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ด้วย มีครบหมด มีฤทธิ์มาก แต่ขอให้สังเกตดูตลอดพุทธประวัติ ๔๕ ปี เคยมีปรากฏครั้งใดไหมที่พระพุทธเจ้าเอาฤทธิ์ของพระองค์ บันดาลผลที่ต้องการให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง นี่เป็นจุดสังเกตที่สำคัญ หลายคนไม่เคยคิดพระพุทธเจ้าเป็นยอดของผู้มีฤทธิ์ ไม่มีใครมีฤทธิ์เท่าพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยใช้ฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการให้แก่ใครเลยตลอด ๔๕ พรรษา ทำไม เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์มาหวังพึ่งพระองค์ ถ้าเข้ามาหวังพึ่งพระองค์ต่อไปเขาจะประมาท ไม่คิดพึ่งตนเอง ไม่คิดพัฒนาตนเอง ไม่คิดแก้ปัญหา คนเราลองไม่สู้ปัญหา ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ก็ไม่พัฒนา อยู่เท่าไรก็เท่านั้น พวกเรานี่ชอบเรื่องฤทธิ์ ต้องระวังให้มาก อย่าให้ขัดหลักพุทธศาสนาเป็นอันขาด ถ้าจะชอบบ้างก็อย่าให้ผิดหลักพึ่งตน อย่าให้ผิดหลักฝึกฝนพัฒนาตน และต้องเพียรพยายามทำการต่างๆ ให้สำเร็จตามเหตุตามผล อันนี้เป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา
        เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงพ้นจากลัทธิฤาษีชีไพร ไม่เฉพาะในสมัยโบราณที่เขานิยมเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โยคี ฤาษี ดาบส ในอินเดียจนกระทั่งปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ยังแข่งฤทธิ์กันตามเดิม พระพุทธศาสนาไม่เอาด้วย บอกว่าถ้าขืนยุ่งกับฤทธิ์อยู่อย่างนี้คนก็ไม่พัฒนา พระพุทธเจ้าใช้ฤทธิ์ทำอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าทรงใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ เพราะสมัยนั้นเขาถือกันว่าเรื่องฤทธิ์นี้สำคัญ เขาถือว่า ถ้าใครไม่มีฤทธิ์ก็ไม่เป็นพระอรหันต์ เขามีค่านิยมอย่างนี้ พระพุทธเจ้าถือว่าฤทธิ์ไม่ใช่เครื่องหมายของความเป็นพระอรหันต์ แต่พระองค์อยู่ท่ามกลางค่านิยมของสังคมที่มีพระองค์เป็นพระศาสดา เป็นผู้ประกาศให้เหนือกว่าพวกมีฤทธิ์กันเหล่านั้น เพราะพอไปเจอกันแล้วเขาทดลองฤทธิ์ ถ้าพระองค์ไม่มีฤทธิ์ เขาก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเชื่อ
        ยกตัวอย่างเช่นพวกชฏิล เป็นที่นับถือของประชาชน พวกชฏิลนี้ถือตัวว่ามีฤทธิ์มากและถือว่าใครเป็นพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าถ้าไม่ไปปราบพวกนี้ก่อน ประชาชนไม่ฟังพระองค์ เพราะเขาถือว่าถึงอย่างไรก็สู้อาจารย์ชฏิลของเขาไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปหาชฏิลก่อน พอไปถึง ชฏิลก็ลองดี เอาฤทธิ์มาแกล้งหลายคืน พระพุทธเจ้าก็ผ่านทุกคืน จนกระทั่งในที่สุดชฏิลยอมรับรู้ว่าสู้ไม่ได้ พอชฏิลสู้ไม่ได้ยอมรับ เขาก็ยอมฟัง ก่อนนั้นเขาไม่ยอมฟัง จะพูดอะไรเขาก็ว่าสู้เราไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ พอเขายอมรับในเรื่องฤทธิ์แล้วก็ยอมฟัง พระองค์ก็เลิกใช้ฤทธิ์ หันมาใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือสอนให้เกิดปัญญา ให้เขารู้ความจริง เข้าถึงสัจธรรม พอไปเจอรายใหม่ถ้าเป็นพวกที่เมาฤทธิ์ พระองค์ก็ใช้ฤทธิ์ปราบใหม่ พอเขายอมรับ พระองค์ก็เลิกใช้ฤทธิ์ แต่พระองค์ไม่ใช้ฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการให้แก้ผู้ใดทั้งสิ้น
        การใช้สมาธิเพื่อให้มีฤทธิ์ มีพลังปาฏิหาริย์ นอกจากมักทำให้คนเสียนิสัย ทำให้คนคอยหวังพึ่งแล้ว สำหรับตัวเอง ฤทธิ์ทำให้หมดกิเลสไม่ได้ ฤทธิ์ไม่สามารถกำจัดกิเลสได้ ฤทธิ์ทำให้หมดทุกข์ไม่ได้ การใช้สมาธิในแง่นี้ไม่เป็นหลักประกันอะไร อย่างดีจิตสงบแล้วกิเลสก็สงบไปชั่วคราวด้วยกำลังสมาธิ ท่านเรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นด้วยข่มไว้ชั่วคราว แต่ถ้ามีอะไรมาล่อหรือกระทบ กิเลสก็ฟูขึ้นได้อีก เพราะฉะนั้นจึงไม่มั่นคง
        มีพระเถระองค์หนึ่งเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานในยุคหลังพุทธกาล ตัวเองได้สมาธิขั้นสูง ได้ฌานสมาบัติ ชำนาญมาก และเพราะการที่บำเพ็ญสมาธิอยู่ตลอดเวลา จิตสงยอยู่เสมอ กิเลสก็ไม่มีโอกาสฟูขึ้นมา เลยหลงผิดคิดว่าตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ อาจารย์ที่ไม่สำเร็จอรหันต์สามารถสอนลูกศิษย์ให้เป็นอรหันต์ได้ เพราะการให้อรหันต์ขึ้นต่อตัวของคนนั้นเอง
        ลูกศิษย์บางท่าน ได้มารู้หลักจากท่านแล้วไปปฏิบัติด้วยตนเองได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ รู้ว่าพระอาจารย์ยังไม่สำเร็จ ก็จะเตือน แต่ถ้าจะไปบอกตรงๆ ท่านถือตัวเป็นอาจารย์ก็จะไม่ดี กิเลสขึ้นมาเกิดแรงต้านจะเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติ ลูกศิษย์ก็เลยใช้อุบายวิธีทำให้เกิดนิมิตเป็นรูปช้าง วันหนึ่ง ขณะนั่งเพลินๆ ก็ทำให้เห็นเป็นช้างวิ่งเข้ามา พระอาจารย์ตกใจตั้งสติไม่ทัน ลุกขึ้นกระโจนหนี ลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ก็จับชายจีวรดึงกระตุกไว้ พระอาจารย์ก็ได้สติ
        ที่พระอาจารย์ได้สติ ก็เพราะว่าท่านเจริญธรรมปฏิบัติมานาน เรียกว่าสติไม่ทันนิดเดียว พอลูกศิษย์กระตุกปุ๊บก็ได้สติ รู้ตัวว่าเรานี่ยังไม่สำเร็จ เพราะพระอรหันต์ไม่ตกใจ คือไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้เกิดความกลัว คนที่จะเกิดความกลัวก็เพราะมี โลภะ โทสะ โมหะ ยังมีตัณหาอยู่ ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่มีความกลัว ท่านรู้หลักการอันนี้อยู่ ท่านก็รู้ว่ากิเลสของท่านยังไม่หมด ก็เลยหันมาบอกให้ลูกศิษย์เป็นที่พึ่งช่วยเป็นหลักให้แล้วปฏิบัติต่อ พระอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วย
        ที่อาตมาพูดนี้ต้องการให้เข้าใจว่า การมีฤทธิ์ การได้ฌานสมาบัติ หรือการใช้สมาธิฝ่ายพลังจิต ไม่ได้ช่วยให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่หมดกิเลส ไม่หมดความทุกข์ แต่สามารถทำให้จิตสงบ แล้วเหมือนกับหมดกิเลสไปได้ชั่วคราว เป็นสิ่งที่ดีมาก มีประโยชน์ แต่บางท่านเพราะเหตุที่ได้สมาธิระดับต่างๆ แล้วกิเลสยังไม่หมด เกดความลำพองใจตัวเองกลับไปหนุนมานะขึ้นมา เลยยิ่งหนักเข้าไปอีก คราวนี้กิเลสกลับฟูเพราะคนเรานี้ ถ้าไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ กิเลสถึงมีอยู่ก็จะไม่มีกำลังแต่พอรู้ว่าเรามีอำนาจ มีพลังมาก ก็จะรู้สึกคึกฮึกเหิมใจ คนที่มีฤทธิ์ก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็เกิดความฮึกเหิมใจ เลยทำการร้ายได้ยิ่งใหญ่
        ยกตัวอย่างเช่น พระเทวทัตได้ฌานสมาบัติ ได้อภิญญาที่เป็นโลกีย์ มีฤทธิ์มาก แต่เพราะยังไม่หมดกิเลส เลยเกิดไปลำพองใจในฤทธิ์ของตัวเอง แล้วไปนึกถึงการมีอำนาจ การที่จะได้ลาภสักการะอะไรใหญ่โต ก็เลยเอาฤทธิ์เข้ามาหนุนการอยากได้อำนาจและลาภสักการะนั้น เลยไปกันใหญ่ พระเทวทัตก็เสียไปเลย
        จะเห็นว่า การใช้สมาธิเพื่อวัตถุประสงค์ด้านฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้ อาจจะกลายเป็นเครื่องกีดขวางกางกั้นตัวเองไม่ให้ก้าวหน้าต่อไปในการที่จะบรรลุธรรมก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังโดยไม่ประมาท

* ๒. สมาธิเพื่อความสุขสงบ
   ก่อนถึงประโยชน์ข้อสำคัญ คือจิตใส ขอพูดถึงการใช้สมาธิในแง่ความสงบและความสุข การใช้สมาธิเพื่อความสงบสุขก็มีประโยชน์มาก นอกจากเป็นเครื่องพักผ่อนอย่างดียิ่งแล้ว ยังใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งหลายในทางจิต เช่น ความเครียด ความฟุ้งซ่าน ความสับสนว้าวุ่น กระวนกระวาย ความเหงา ความว้าเหว่ เป็นต้น ทำให้จิตใจสบายมีความสุข
   อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากสมาธิเพียงเท่านี้ตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่ายังไม่เพียงพอ ยังไปไม่ถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา เป็นเพียงการใช้สมาธิแก้ปัญหาจิตใจหรือแก้ความทุกข์ในระดับหนึ่ง นอกจากนั้นยังอาจจะกลายเป็นโทษได้ จะต้องใช้ด้วยปัญญา เพราะถ้าไม่ระวังให้ดี สมาธิที่ใช้เพื่อประโยชน์ข้อนี้อาจจะกลายเป็น สิ่งกล่อม หรือยากล่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดความประมาทนำไปสู่ความเสื่อมเสียหาย และกลายเป็นเครื่องขัดขวางการบรรลุจุดหมายของพระพุทธศาสนา
   มีบุคคลอยู่ระดับเดียวที่ใช้สมาธิในแง่ของความสุขสงบได้อย่างปลอดภัยเต็มที่ โดยจะไม่มีทางกลายเป็นสิ่งกล่อม คือพระอรหันต์ เพราะท่านบรรลุจุดหมายของพระศาสนาแล้ว ท่านไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อก้าวสู่จุดหมายนั้นอีก และท่านพ้นไปแล้วจากการที่จะมีความประมาท ท่านจึงใช้สมาธิเป็นเครื่องพักผ่อน ระหว่างทำงานเผยแผ่ธรรมเป็นต้น เรียกว่าเป็น ทิฏฐธรรมสุขวิหาร สำหรับคนทั่วไปก็ตามอย่างท่านได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่ตามท่านจริงๆ ไม่ใช่เกินเลยไปจนกลายเป็นสิ่งกล่อม
   สิ่งกล่อม มีความหมายอย่างไร กล่อมก็หมายความว่า ทำให้สบายใจ ทำให้เพลิน คล้ายกับยากล่อมประสาท ประสาทเราไม่สบายเราตื่นเต้น เรากระวนกระวาย เราเครียด เรานอนไม่หลับ เราก็เอายานอนหลับมากิน พอกินยานอนหลับเข้าไป ก็สบาย นอนหลับได้ก็ดีเหมือนกัน แต่สิ่งกล่อมนั้นมีขอบเขต และมีโทษด้วย ถ้าขืนกล่อมอยู่อย่างนั้นตลอดไป ก็ไม่ดีแน่ ควรกล่อมได้ชั่วคราว คือกล่อมพอให้หายอาการนั้น เช่น หายจากความกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเดือดร้อน นอนไม่หลับ พอหายแล้วก็หยุด แต่อย่าอยู่ด้วยยานอนหลับตลอดชีวิต ไม่ดีแน่
   ฉันใดก็ฉันนั้น สิ่งกล่อมของมนุษย์มีมาก ยิ่งมนุษย์ที่ทุ่งหาความสุขจากสิ่งที่เสพทางวัตถุ ต่อไปจะมีปัญหามาก วัตถุนั้นให้ความสุขได้ระดับหนึ่ง เมื่อได้ความสุขแล้ว บางทีก็เกิดความเบื่อหน่าย หรือคนอีกพวก วิ่งหาความสุขจากวัตถุเรื่อยไป แต่ไม่สนใจ ไม่ถึงจุดหมายสักที ก็วิ่งไล่ความสุขอยู่นั่น ชีวิตที่เร่งรัดแข่งขันหาผลประโยชน์ หาความสุขจากวัตถุ ทำให้เกิดสภาพจิตที่เครียด กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน กังวลถึงผลประโยชน์หรือลาภที่ยังไม่ได้ และหวาดกลัวหวั่นใจในสิ่งที่ได้มาแล้ว ว่าจะหลุดหาย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นความสุขจากวัตถุเสพนี้ จึงรบกวนจิตใจตลอดเวลา ด้วยประการต่างๆ
   จนกระทั่งในขั้นสุดท้ายก็คือว่า คนที่มุ่งหวังความสุขจากการเสพวัตถุนี้ จะเอาความสุขไปฝากไว้กับวัตถุอย่างเดียว แต่วัตถุมันมีเวลาที่สุข มีเวลาที่เบื่อหน่าย พอเราเอาความหวังในความสุขไปฝากไว้กับวัตถุอย่างเดียว ต่อไปชีวิตจะมีความหมายด้วยวัตถุสิ่งเสพเท่านั้น พอเบื่อหน่ายวัตถุก็เบื่อหน่ายชีวิตด้วย พอผิดหวังวัตถุ ก็ผิดหวังด้วย พอวัตถุหมดความหาย ชีวิตก็หมดความหมายด้วย นี่คือปัญหาในสังคมที่เจริญแล้วที่มากไปด้วยวัตถุสิ่งเสพบริโภค
        วัตถุสิ่งเสพบริโภคเหล่านั้นไม่ได้เป็นหลักประกันของความสุข มนุษย์ที่อยู่ในสังคมที่เจริญ มีสิ่งบริโภคมากมายพรั่งพร้อม กลับปรากฏว่าฆ่าตัวตายกันมาก คนในสังคมที่ยากจนกลับไม่ค่อยฆ่าตัวตาย สังคมอเมริกันเดี๋ยวนี้ก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น คือ คนหนุ่มสาววัยรุ่น สถิติของ USA Today บอกว่าในช่วงเวลา ๓๐ ปีที่ผ่านมานี้ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวอเมริกัน อายุ ๑๕-๑๙ ปี ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ๓๐๐% นี่เป็นสถิติของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของอเมริกัน เป็นที่งงกันไปเลยว่า ทำไมหนุ่มสาววัยรุ่นฆ่าตัวตายในขณะที่สังคมมั่งคั่งพรั่งพร้อม คนเหมือนมั่งมีศรีสุข จะเอาอะไรก็เอาได้ หนุ่มสาวก็อยู่ในวัยที่กำลังสดใส มีกำลังวังชาที่จะหาความสุข ไฉนจึงมาฆ่าตัวตายหนีความสุขไป
        สังคมที่มั่งคั่งพรั่งพร้อม ไม่เป็นหลักประกันในเรื่องที่จะมีความสุข ในสังคมแบบนี้คนมักไปฝากความสุขไว้กับการเสพวัตถุ ต่อมาพอเบื่อหน่ายวัตถุ ก็เบื่อหน่ายชีวิตด้วย ผิดหวังวัตถุก็ผิดหวังชีวิตด้วย วัตถุหมดความหมาย ชีวิตก็หมดความหมายด้วย อันนี้เป็นอันตรายที่สำคัญของสังคมและอารยธรรมปัจจุบัน มนุษย์สมัยก่อนฝากความสุขไว้กับวัตถุเสพน้อย เพราะคนสมัยก่อนไม่ค่อยมีวัตถุบริโภคมาก ความสุขของเขาอยู่ที่แหล่งอื่น แหล่งความสุขของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่สิ่งเสพอย่างเดียว ความสุขของเขาขึ้นกับวัตถุเสพน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อเขาผิดหวังจากสิ่งเหล่านี้ เขาก็ไม่ฆ่าตัวตาย
        มนุษย์เรานี้มีช่องทางของความสุขมากมายหลายอย่าง แต่มนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ ทำการพัฒนาด้วยมุ่งความเจริญพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจหรือทางวัตถุ จนกระทั่งเป็นบริโภคนิยม เห็นแก่การบริโภคความสุข ก็เลยมาอยู่ที่การบริโภค อยู่ที่สิ่งเสพ เพราะฉะนั้นก็เอาความหมายของชีวิต ไปรวมเป็นอันเดียวกันกับวัตถุเสพ อย่างที่กล่าวมาว่า เมื่อไรผิดหวังวัตถุเสพก็ผิดหวังชีวิตด้วย เมื่อไรวัตถุเสพหมดความหมายชีวิตก็หมดความหมายด้วย นี่คือสภาพสังคมอเมริกันเป็นต้น ในปัจจุบันนี้กำลังจะเป็นมากขึ้น เป็นพิษเป็นภัยของอารยธรรมที่เดินมาในทางที่ผิดพลาด
ขอหันกลับมาพูดเรื่องการใช้สมาธิเป็นสิ่งกล่อม ในสังคมที่มีปัญหาจิตใจมาก คนต้องการความสุขจากวัตถุเสพ คนอยากได้แต่ไม่ได้อย่างใจบ้าง หรือได้แล้วแต่ไม่สุขสมหวังบ้าง อยากมีวัตถุหวังว่าจะมีความสุข แต่พอได้จริงหาได้มีความสุขอย่างนั้นไม่ ทำอย่างไรชีวิตนี้จึงจะมีความหมาย บางคนก็เบื่อชีวิตไปเลย อาจจะฆ่าตัวตาย ถ้าไม่เอาอย่างนั้นก็หันไปหาสิ่งกล่อม เพราะฉะนั้นทางออกสำคัญสำหรับคนเหล่านี้ที่ไม่ได้ความสุขสมหมายก็คือ สิ่งกล่อม เริ่มด้วยยาเสพติด สังคมแบบนี้ก็มียาเสพติดเป็นที่พึ่ง ยาเสพติดเป็นทางออกช่วยให้มีความสุขในสังคมแบบนี้ก็จะปรากฏว่า มีสิ่งเสพติดเกลื่อนกลาดไปหมด ตอนนี้สิ่งเสพติดก็เข้าไปเมืองไทยด้วย แม้แต่ในโรงเรียนยาบ้าก็กำลังระบาดพอถึงวันเหมาะๆ ก็ต้องตรวจปัสสาวะนักเรียนทุกคนว่าคนไหนติดยาบ้าบ้าง เวลานี้ปัญหาเมืองไทยกำลังหนัก เยาวชนของเราก็จะแย่
        สังคมปัจจุบันมุ่งหวังความสุขจากสิ่งเสพ ความสุขของเขาอยู่ที่สิ่งเสพ เมื่อไม่ได้ความสุขจากสิ่งเสพก็หาสิ่งกล่อมมาแทน คือ ยาเสพติด สิ่งกล่อมที่มีในสังคมมานานแล้ว ที่เป็นสิ่งเสพติดเก่าก็คือ สุรา ถ้าไม่สุราก็การพนัน ถ้าไม่พนันก็สิ่งกล่อมที่ประณีตขึ้นมาก็คือดนตรี สิ่งบันเทิง กีฬา พวกนี้ใช้เป็นประโยชน์ได้ด้วย แต่ถ้าใช้เป็นสิ่งกล่อม ไปติดเพลินเมื่อไหร่ก็มีโทษทันที สิ่งกล่อมที่ประณีตขึ้นมาทางจิต คือ สมาธิ ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องหันไปพึ่งสิ่งเสพติด ไม่ต้องหันไปพึ่งดนตรี มีปัญหา เครียด มีความทุกข์ใจ กระวนกระวาย กลุ้มใจ เข้าสมาธิก็สงบ สบาย หนีจากสิ่งเดือดร้อนกลุ้มใจไปได้เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความสงบสุข
        แต่ถ้าใช้ในความหมายนี้ ใช้ไปใช้มา ถ้าไม่ระวัง สมาธิก็กลายเป็นสิ่งกล่อมนั่นเอง สิ่งกล่อมเป็นอย่างไร ก็ทำให้เราหายจากความเครียด ความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ มีความสุข หลบปัญหาได้ หนีปัญหาได้ พ้นไปจากทุกข์ชั่วคราว แต่ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้แก้ กิเลสในใจส่วนลึกก็ยังมีอยู่ และปัญหาภายนอก ปัญหาในครอบครัว ปัญหาในสังคมก็ไม่ได้แก้ เวลาเกิดทุกข์ขึ้นมา ไม่สบายใจก็นั่งสมาธิ หลบไปทีหนึ่ง ก็กล่อมไปได้ทีหนึ่ง แต่ปัญหาไม่ได้แก้ ถ้าอย่างนี้ก็ลำบาก สะสมปัญหา ในสังคมฝรั่ง คนไม่น้อยที่หันมาสนใจสมาธิในฐานะเป็นสิ่งกล่อม เพราะฉะนั้น เราอย่ามาจมอยู่แค่นั้น ถ้าขืนจมอยู่ในแง่เป็นสิ่งกล่อมก็จะผิด ผิดอย่างไร ผิดหลักการสำคัญ ๒ ประการ
        ๑. ตกอยู่ในความประมาท พอกล่อมแล้วสบายใจ หลบปัญหาได้ หลบทุกข์ได้ชั่วคราว ก็กลายเป็นคนหนีปัญหา ปัญหาที่แท้จริงไม่แก้ เมื่อหลบปัญหาก็เกิดความประมาท มัวแต่นั่งสบาย ไม่ต้องทำอะไร สิ่งที่จะต้องทำก็ไม่ทำ ปัญหาที่ควรจะแก้ก็ไม่แก้ ความเพียรพยายามที่จะกระทำการก็หยุด เกิดความประมาท อันนี้ผิดหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา
        ๒. ขัดกับไตรสิกขา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ตามหลักพระพุทธศาสนา ธรรมทั้งหมดอยู่ในระบบของหลักการใหญ่ที่เรียกว่า สิกขา ๓ สิกขา คือการฝึกฝน การเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนาตน ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าไปสู่จุดหมายคือความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ตราบใดที่ยังไม่ถึงจุดหมายหยุดไม่ได้ กระบวนการปฏิบัตินี้เรียกว่า ไตรสิกขา สมาธิ เป็นองค์ประกอบอยู่ในกระบวนการของไตรสิกขานี้ เพราะฉะนั้น สมาธิจะต้องเป็นเครื่องช่วยให้เราก้าวต่อ สู่ธรรมที่สูงขึ้นไป ไม่ใช่กล่อมให้หยุดให้เพลินจมอยู่กับที่

* ๓. สมาธิเพื่อจิตใสและขยายปัญญา
        ไตรสิกขา เป็นระบบที่รวมองค์ธรรมต่างๆ มากมายเข้ามาสัมพันธ์กัน เพื่อจะเดินหน้าไปสู่จุดหมาย ดังนั้นธรรมทุกอย่างในไตรสิกขาซึ่งเป็นข้อย่อยๆ นี้ จะต้องสัมพันธ์กัน ในลักษณะที่ส่งผลต่อกันเป็นปัจจัยส่งต่อแก่ข้ออื่นๆ ต่อไป ข้อธรรมทั้งหลายในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแห่งไตรสิกขา ซึ่งเป็นระบบสัมพันธ์แห่งองค์ธรรมที่เป็นปัจจัยหนุนเนื่องต่อกันไปสู่จุดหมาย เพราะฉะนั้นองค์ธรรมทุกข้อ จะต้องมีความหมายในเชิงเป็นปัจจัยหนุนเนื่องส่งต่อแก่ข้ออื่น ถ้าปฏิบัติธรรมแล้ว ล่องลอยอยู่ หรือทำให้อยู่กับที่ แสดงว่าผิด อันนี้หลักใหญ่ที่ชิวินิจฉัย เพราะธรรมทุกข้อไม่พ้นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
        ไม่ว่าท่านจะเอาหลักธรรมข้อไหนมา จะเอาเมตตา กรุณา สติ สมาธิ ข้อไหนก็ตาม ทุกข้ออยู่ในไตรสิกขาหมด เมื่อมันอยู่ในไตรสิกขา มันก็อยู่ในระบบ มันก็อยู่ในกระบวนการคืบหน้า ที่ต้องเดินไปสู่จุดหมายเดียวกัน ทุกข้อจึงต้องส่งผลต่อกัน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ถ้าปฏิบัติธรรมข้อใดแล้ว ทำให้หยุด ทำให้ล่องลอยไร้จุดหมายก็แสดงว่าผิด
        ถ้าเราปฏิบัติสมาธิแล้ว กลายเป็นเครื่องกล่อม ทำให้เพลินสงบอยู่ ก็หยุด แสดงว่ามันด้วน ไม่ส่งผลต่อกระบวนการไตรสิกขา ไม่เดินหน้า ก็ผิด ถ้าปฏิบัติถูก ต้องส่งผลในไตรสิกขา
        สมาธิเป็นปัจจัยแก่อะไร ว่าโดยหลักใหญ่ สมาธิเป็นปัจจัยแก่ปัญญา เพราะสมาธิทำให้จิตใจสงบ ใส และมีกำลัง แต่ลักษณะที่จิตสงบก็ดี ใสก็ดี มีกำลังก็ดี คือจิตพร้อมที่จะทำงาน ลักษณะสำคัญของจิตที่เป็นสมาธิ ท่านเรียกว่าเป็นกัมมนิยัง หรือกรรมนีย์ นี่แหละเป็นตัวสำคัญที่พระพุทธเจ้าต้องการ คือจิตเป็นสมาธิปุ๊บ ก็เป็นกัมมนิยังทันที กัมมนิยัง หรือกรรมนีย์ แปลว่า เหมาะแก่การใช้งาน จึงต้องเอาไปใช้อย่าไปหยุดอยู่ ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วหยุดสบาย ก็แสดงว่าพลาดแล้ว พระพุทธเจ้าต้องการให้เอาจิตที่เป็นกรรมนีย์นี้ไปใช้งาน ไม่ใช่ให้มานอนเสวยสุขอยู่เฉยๆ ใช้งานอะไร ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิเป็นองค์ที่ ๒ ส่งผลหนุนเนื่องให้เกิดปัญญา ก็เอาไปใช้งานทางปัญญา นี่คือประโยชน์ข้อที่ ๒ ที่บอกว่าเป็นคุณลักษณะของจิตที่สำคัญ คือทำให้จิตใส ไม่มีอะไรมารบกวน ทำให้ใช้งานในทางปัญญาได้เต็มที่
        คนเรานี้ยิ่งเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้งเท่าไร การที่จะคิดพิจารณาให้รู้ให้เข้าใจ ก็ยิ่งต้องการจิตที่แน่วแน่เท่านั้น ถ้าเรื่องไม่ละเอียดอ่อนไม่ลึกซึ้ง เราก็ไม่ต้องใช้ปัญญามาก แม้แต่จะทำงานทำการ หรือฟังครูอาจารย์สอนบรรยาย ถ้าเราไม่มีสมาธิบ้างเยก็ไม่รู้เรื่อง ปัญญาไม่เกิด เพราะฉะนั้นปัญญาจะทำงานได้ ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิมากบ้างน้อยบ้างตามแต่เรื่องนั้นจะละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน
        ตกลงว่า สิ่งที่ต้องการในพระพุทธศาสนาอยู่ในข้อที่ ๓ นี้ คือ การมีสมาธิ ที่ทำให้จิตพร้อมที่จะใช้งาน และงานสำคัญที่ต้องการใช้คือปัญญาที่จะรู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย จนกระทั่งเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ รู้เข้าใจธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายว่าเป็นอย่างไร รู้สิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นจริง นี้เป็นสิ่งที่ต้องการ ถ้าไม่รู้ถึงขั้นนี้แล้วกิเลสไม่หมด ฉะนั้นจึงต้องให้เชื่อมต่อระหว่างสมาธิกับปัญญา
        ตอนนี้ที่พูดมาก็เพื่อให้เห็นว่า เรื่องสมาธินี้ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจหลักการของพระพุทธศาสนาให้ชัด ก็อาจจะเขวได้ เพราะคุณประโยชน์ ๓ ประการนี้ มีช่องทางการใช้ต่างกันออกไป ตอนนี้ขอสรุปขั้นหนึ่งก่อนว่า คุณสมบัติหรือคุณประโยชน์ของสมาธิที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
        ๑. สมาธิทำให้จิตแน่วแน่เกิดพลัง ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในเรื่องของฤทธิ์ เรื่องของปาฏิหาริย์ เป็นหลังจิต
        ๒. สมาธิทำให้จิตใส ทำให้มองเห็นอะไรชัดเจน เกื้อกูลต่อการใช้ปัญญา
        ๓. สมาธิทำให้จิตสงบ ทำให้เกิดความสุข
        เวลานี้สังคมมีปัญหาทางจิตใจมากเพราะพิษภัยของวัตถุนิยม คนจึงไปหวังประโยชน์ข้อที่ ๓ จากสมาธิมาก ซึ่งยังไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ขอให้จำหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนาว่า ถ้าปฏิบัติธรรมอะไรแล้วทำให้เกิดความประมาท ก็ผิด ถ้าปฏิบัติธรรมอะไรแล้ว ไม่ส่งผลให้ก้าวต่อไปในระบบแห่งกระบวนการของไตรสิกขา ไม่เคลื่อนสู่จุดหมาย ก็ผิด ต้องระวังให้ดี

* ผลพลอยได้
   ก่อนที่จะย้อนกลับมาพูดเรื่องสมาธิในแง่ที่เป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา จะพูดถึงผลพลอยได้พิเศษบางอย่าง ซึ่งเป็นประโยชน์ในยุคปัจจุบัน แต่เป็นประโยชน์ข้างเคียง ซึ่งจะเอามาเป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาไม่ได้
   จิตที่เป็นสมาธินั้น เป็นจิตที่อยู่ตัวลงตัว เรียกว่าจิตเข้าที่ ต่างกับจิตของเราตามปกติที่วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวคิดเรื่องโน้น เดี๋ยวคิดเรื่องนี้ ท่านว่าเหมือนกับลิง ลิงนี้อยู่กับที่ไม่ได้ มันอยู่ไม่สุข กระโดดจากกิ่งไม้นี้ไปกิ่งไม้โน้น วิ่งกระโดดไปเรื่อย จิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ออกจากเรื่องนี้ไปเรื่องโน้น มีเรื่องราวมากมาย และชอบไปจับเอาเรื่องที่ไม่ควรคิดมาคิด หวนละห้อย โกรธงอน เรื่องที่ยังไม่มาก็ไปวิตกกังวลจิตก็ไม่สบาย พอจิตไม่สบาย จิตไม่อยู่ตัว ทุกข์ทางใจก็เกิดขึ้น แต่จิตใจนี้ทำงานสัมพันธ์กับร่างกาย เราต้องระวังนึกถึงหลักนี้เสมอ
   ชีวิตของเรานี้ประกอบด้วยกายกับใจ ใจกับกายนี้ทำงานประสานกัน สัมพันธ์กัน ส่งผลกระทบต่อกัน ถ้าจิตไม่ปกติ จิตไม่ลงตัว กายก็มีปัญหาด้วย เพราะฉะนั้นการทำงานของร่างกายก็ไม่เข้าที่ด้วย เช่นเกิดอารมณ์ขึ้นมา มีความโกรธ พอจิตโกรธ กายเป้นอย่างไร หัวใจก็เต้นแรง หายใจดัง ยิ่งโกรธมากยิ่งหายใจแรง หายใจดังฟืดฟาดอย่างกับคนขึ้นเขา พอมีอารมณ์กลัวก็หน้าซีด บางทีหยุดกลั้นหายใจ เลือดลมเดินไม่ปกติ ร่างกายเปลี้ยหมด ทำให้เกิดปัญหาทางร่างกาย ถ้าเป็นบ่อยๆ จิตจะเครียดอยู่ตลอดเวลา สภาพจิตกับกายตอนนี้เป็นรอยต่อสำคัญ คือตอนเครียด ถ้าจิตเครียดกายก็เครียดด้วย พอกายเครียดการทำงานของร่างกายก็จะวิปริตหมด สุขภาพก็เสีย โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมา
   เพราะฉะนั้นผลพลอยได้ที่สำคัญก็คือพอเราทำสมาธิได้ จิตทำงานดี ลงตัว เรียบและราบรื่น เข้าอยู่ในดุลยภาพ เมื่อจิตอยู่ในภาวะสมดุล ปลอดโปร่ง การทำงานของร่างกาย เช่นลมหายใจ ก็ปรับดีด้วย สม่ำเสมอ ถ้าจิตเป็นสมาธิลึกขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป ก็สงบมาก พอสงบมาก การใช้พลังงานก็น้อยลง
   การทำงานของจิตนี้อาศัยสมอง สมองทำงานก็ต้องใช้เลือดเลี้ยง เลือดก็ต้องอาศัยออกซิเจน ออกซิเจนก็อาศัยการหายใจ เมื่อจิตเป็นสมาธิดีขึ้น ใจสงบ ไม่หนัก ไม่เหนื่อย ก็ต้องการพลังงานน้อยลง การเผาผลาญของร่างกายก็น้อยลง ความต้องการออกซิเจนก็น้อยลง การหายใจก็ประณีตขึ้น หลักก็มีบอกไว้ว่า ถ้าเข้าสมาธิถึงฌานที่ ๔ ไม่หายใจเลย หมายความว่า วัดด้วยมาตรฐานของคนปกติ เรียกว่าไม่หายใจ เอามือมาแตะรูจมูกจะไม่ปรากฏลมหายใจ เพราะลมหายใจประณีตมาก ต้องการออกซิเจนนิดเดียว ออกวิเจนที่เข้าไปในร่างกายเล็กน้อยก็เลี้ยงร่างกายไปได้นาน คนที่เข้าสมาธิลึกๆ จิตสงบมาก การหายใจก็ราบรื่นและต้องการพลังงานน้อย การเผาผลาญร่างกายน้อยก็มีผลต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพดี เลือดลมเดินคล่อง ทำให้อายุยืน และสมาธินี้มาได้ในรูปต่างๆ เช่นเจริญพรหมวิหารทำให้จิตใจชุ่มชื่น เย็นสบาย ทำให้หน้าตาอิ่มเอิบ แก่ช้า เป็นต้น
   สภาพร่างกายกับจิตสัมพันธ์กัน ถ้าเราทำตรงข้ามกับที่กล่าวมานี้ คือไม่มีสมาธิ เช่นโกรธขึ้นมา ปัญหาทางกายก็ตามมาทันที เพราะต้องการพลังงานเผาผลาญมาก ก็ต้องหายใจแรงๆ หัวใจก็ต้องเต้นแรง ปอดก็หายใจฟูดฟาดๆ ใช้ลมมากเหมือนอย่างคนเดินขึ้นเขา ซึ่งเหนื่อยมาก ถ้าโกรธอยู่เรื่อย ทั้งใจและกายก็เสื่อมโทรมไว
   พอได้หลักนี้ก็หมายความว่า สมาธิมีผลในด้านสุขภาพ ก็เลยเอาสมาธิมาใช้ในการรักษาโรคได้ด้วย อันนี้เป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่ง เวลานี้ก็ปรากฏว่าในเมืองอเมริกานี้เอง มีการนำสมาธิมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค แม้แต่โรคที่แก้ไขไม่หาย เช่น University of Massachusetts ได้เปิดคลินิกด้านนี้ขึ้นมา ตอนนี้ทางรัฐบาลอเมริกันก็ถึงกับยอมรับให้ Medicare ให้เงินมาสำหรับการรักษาโรค โดยวิธีของการใช้สมาธิประสานกันกับการบริหารร่างกายด้วย อาจารย์ที่ชำนาญในสมาธิก็ไปทำงานเป็นจริงเป็นจัง มหาวิทยาลัยยอมรับกลายเป็นกิจการ เป็นคลินิกในโรงพยาบาล หรืออย่างที่มหาวิทยาลัย Harvard คุณหมอท่านหนึ่งเล่าว่า เขาเปิดการสอนสมาธิในการรักษาโรค อันนี้ก็เป็นเรื่องผลพลอยได้
   ที่จริงถ้าโยมดูแล้ว ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือ พอจิตอยู่ตัวเป็นสมาธิก็ได้ดุล จิตก็ลงตัวของมัน ไม่มีอะไรมากวน ลองนึกดูว่าจิตของคนที่ไม่มีอะไรมากวน จะสบายแค่ไหน เมื่อไม่มีอะไรมากวน สภาพจิตดีแล้ว สภาพร่างกายก็ปรับเข้ากัน สอดคล้องกับจิตนั้นการทำงานของร่างกายก็ราบรื่นลงตัวดี อย่างที่ภาษาไทยโบราณเรียกว่าเลือดลมเดินดี ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ร่างกายก็ปกติ ไม่เครียด ไม่มีตัวมากีดมากั้นมาบีบมากด การทำงานของเลือดลมต่างๆ ก็เลยคล่องสุขภาพก็ดี จึงรักษาโรคได้
   เอากันง่ายๆ แม้แต่ในชีวิตประจำวัน เวลาไหนเราเกิดใจไม่สบาย เช่น โกรธขึ้นมา หรือกลัวขึ้นมา หรือประหม่า ถ้าเรามีสตินึกได้ก็หายใจยาวๆ เท่านั้นแหละ จะดีขึ้นทันที พอโกรธขึ้นมาก็หายใจยาวๆ หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว แบบสบายๆ อย่างมีสติ ความโกรธก็จะเบาบางลง และสภาพร่างกายที่ไม่สบายก็จะผ่อนคลายไปด้วย หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาทางอารมณ์ ก็เอาวิธีนี้มาใช้ทันที เป็นวิธีง่ายๆ ใช้แค่ลมหายใจที่มีอยู่แล้ว
   การหายใจเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ ระหว่างกายกับจิต เหมือนกายคนเดินขึ้นเขา พอเหนื่อยก็หายใจแรง แต่ถึงแม้ไม่ได้ไปขึ้นเขาสักหน่อย ไม่ได้ใช้แรงกายสักหน่อย พอโกรธขึ้นมาก็หายใจแรงอย่างกับคนเดินขึ้นเขา แสดงว่ากายกับจิตมันสัมพันธ์กัน ทีนี้เราย้อนกลับเอากายมาช่วยปรับจิต คือในเสลาที่สภาพจิตไม่ดีนั้น ลมหายใจเราไม่ปกติ เราก็ปรับลมหายใจของเราให้ดี ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ สติก็มา เพราะเวลาเราหายใจอย่างนั้น เราต้องมีสติ พอสติมาอย่างนี้ สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายจิต กายกับจิตมาสัมพันธ์กันก็ปรับสภาพจิตอีกทำให้ความโกรธเบาลง จากนั้นก็มีปัญญาเริ่มมองเห็นอะไรๆ พิจารณาได้ แต่ถ้าโกรธเอาแต่อารมณ์ ปล่อยอารมณ์ไปอย่างไม่มีสติ จะทำอะไรก็ไม่รู้จักยับยั้ง ก็พลาดเสียเลย ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าคนโกรธปัญญาดับมืด ปัญญาหายไป คนโกรธไม่รู้ดำไม่รู้แดง ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว คนโกรธฆ่าได้แม้กระทั่งแม่ของตัวเอง ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างนั้น
   เพราะฉะนั้น ถ้าเราเกิดความโกรธขึ้นมา ก็อาศัยวิธีง่ายๆ ตั้งใจหายใจให้ดี เพราะตอนนั้นเราไม่รู้ตัวว่าเราแทบไม่หายใจ หรือหายใจแรงเกินไป เราก็ปรับลมหายใจให้สบายๆ หายใจยาวๆ เข้ายาวออกยาว อารมณ์ของเราก็จะบรรเทาเบาลง จิตก็จะสงบลง สติก็ดีขึ้น ปัญญาก็จะมา คิดอะไรได้ชัดเจนขึ้น แม้แต่ในชีวิตประจำวัน การนำสมาธิมาใช้ก็มีประโยชน์ เอามาใช้ได้ทุกเรื่องทุกเวลา แม้แต่ถ้าไม่มีอะไรจะทำ แม้แต่ไม่ได้เกิดอารมณ์โกรธ ไม่ได้เครียด นั่งอยู่เฉยๆ จิตมันจะฟุ้งซ่าน ก็มาดูลมหายใจ หายใจเข้า หายใจออกสบายๆ อย่างมีสติ ให้จิตของเราอยู่กับลมหายใจ แค่นี้ก็มีประโยชน์
   การทำสมาธิในชีวิตประจำวันมีประโยชน์มากมาย แต่ประโยชน์นั้นมีหลายขั้นตอนอย่างที่กล่าวมาแล้ว ประโยชน์ที่แท้จริง ที่ตรงตามหลักของพุทธศาสนา คือประโยชน์ในไตรสิกขาที่ว่าสมาธิเป็นตัวส่งผลต่อปัญญา โดยเป็นปัจจัยในกระบวนการปฏิบัติสู่จุดหมาย หมายความว่า เมื่อสมาธิมาแล้ว ก็ทำให้จิตเป็นกรรมนีย์ เหมาะแก่การใช้งาน แล้วก็เอามาใช้งานทางปัญญา คือทำการพินิจพิจารณาจนเข้าถึงพระไตรลักษณ์ รู้ความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายแล้วจิตหลุดพ้นเป็นอิสระก็จะถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา อันนี้แหละเป็นตัวจริงที่ต้องการ
   เวลานี้เมื่อคนมาพูดเรื่องสมาธิกัน เราจะต้องพิจารณาว่าเขากำลังพูดถึงสมาธิในความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์แง่ใด และถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ขอย้ำว่า เวลานี้ในสังคมตะวันตก คนมักนึกถึงสมาธิในความหมายแบบที่ว่ามานี้ คือ มุ่งแค่จะเอามาแก้ปัญหาจิตใจที่เครียด ที่มีความทุกข์เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าไม่ระแวงให้ดี ก็จะกลายเป็นสิ่งกล่อมอย่างที่กล่าวมา และพอกล่อมแล้ว ก็กลับจะมีโทษแก่ชีวิตและสังคมได้ ไม่ใช่สิ่งที่จะมีแต่ผลดี.

...................................................................

ที่มา: พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๕๕). คู่มือชีวิต. (น.๑๗๔-๒๐๑). กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).

178

   ตามที่พี่หนึ่ง (ผู้การเสือ) ได้วานให้ข้าพเจ้าหาข้อมูล รวมถึงที่ตั้งของโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับให้เพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้ศึกษาประวัติความเป็นมาอันเป็นประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับวัดบางพระมาอย่างช้านาน

   ประกอบกับขณะนี้ทางวัดบางพระได้บอกบุญสาธุชนให้ได้ร่วมบริจาคปัจจัย เพื่อสมทบทุนในโครงการบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) โดยจะเริ่มทำการบูรณะตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖

   โอกาสนี้เองข้าพเจ้าจึงไปลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากชาวบ้านในละแวกโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) เพื่อนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง รายละเอียดมีดังนี้

   โรงเจวัดบางพระ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ศาลเจ้าแม่ทับทิม" จากคำบอกเล่าของป๋าทุม ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนท่านเกิดมาก็เห็นโรงเจวัดบางพระแห่งนี้แล้ว จำได้ว่าสมัยก่อนยังเคยไปดูงิ้วที่มาแสดงที่โรงเจวัดบางพระนี้ด้วย เมื่อสอบถามไปถึงที่ตั้งของโรงเจก็ได้ความว่าอยู่บริเวณหน้าวัดบางพระแค่นี้เอง จากนั้นจึงสอบถามเส้นทางกับพี่นรินทร์ได้ความว่า ที่ตั้งของโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) อยู่บริเวณเดียวกับเส้นทางบิณฑบาตของหลวงพี่นัน ข้าพเจ้าจึงเดินไปสำรวจเส้นทางดังกล่าว พร้อมกับถามชาวบ้านในละแวกนั้น จึงมาถึงยังโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)


ภาพมุมสูงจาก google

เส้นทางเดินเท้าไปยังโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) เริ่มต้นที่ซุ้มประตูทางเข้าหน้าวัดบางพระ

เมื่อพ้นจากซุ้มประตูหน้าวัดบางพระ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นร้านค้า ซอยทางเข้าโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) อยู่บริเวณวงกลมสีแดง

ซอยตรงข้ามวัดบางพระ ทางเข้าโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)

เดินเข้าไปจนสุดซอยแล้วเลี้ยวขวา

เมื่อเลี้ยวขวามาแล้ว ก็เดินตามทางไปเรื่อยๆตามลูกศรสีแดง

เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาตรงเสาไฟฟ้า

เดินตรงเข้าไป โรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) อยู่ทางด้านขวามือ

ถึงโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)

   จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในแถบนี้เล่าว่า โรงเจแห่งนี้มีอายุเก่าแก่เป็นร้อยปีขึ้นไป คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนที่โรงเจแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม และเป็นโรงทานแจกอาหารเจ ตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ก็จะมีคนหลั่งไหลมาสักการะบูชาประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อกันอย่างมากมาย และอยู่คู่กับวัดบางพระเสมอมาตั้งแต่โบราณ

   จากเดิมที่เป็นโรงเจ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิม เหตุเพราะมีผู้คนพบเห็นวิญญาณผู้หญิงชุดไทยเดินอยู่บนโรงเจ แม้แต่ผู้ที่สัญจรทางเรือ เมื่อมองขึ้นมาบนฝั่งก็พบเห็นวิญญาณผู้หญิงชุดไทยเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดความเชื่อว่าสถานที่ตรงนี้เป็นที่สถิตของวิญญาณที่คอยปกปักษ์รักษาผู้คนในแถบนี้ ในสมัยก่อนจะเรียกว่า "อาม่า" มาปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "เจ้าแม่ทับทิม"


มุมภาพที่มองขึ้นมาจากแม่น้ำนครชัยศรี จะสังเกตเห็นโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) อยู่ตรงกลางพอดี

ถัดจากโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ไปเล็กน้อย จะเป็นแม่น้ำนครชัยศรี ติดกับวัดบางพระ

   สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นถึงความแตกต่างระหว่างโรงเจทั่วไปกับโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) แห่งนี้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวนั่นคือ ตามปกติโรงเจจะสร้างด้วยศิลปะแบบจีน แต่ที่โรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) แห่งนี้ กลับเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย โครงสร้างทั้งหมดทำจากไม้สัก ประกอบกันด้วยการเข้าสลักไม้ (ไม่ใช้ตะปู) ยกพื้นลักษณะคล้ายเรือนไทยภาคกลาง หรือแม้แต่เสาฟ้าดินของเดิมก็เป็นเสาไม้สัก (ปัจจุบันชาวบ้านได้รื้อออกแล้วสร้างเป็นศาลเล็กๆ แทน ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าข้างซ้ายของโรงเจ)

ลักษณะการเข้าสลักไม้ของโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)

ศาลที่สร้างแทนเสาฟ้าดิน บริเวณด้านหน้าข้างซ้ายของโรงเจ

   ด้านหน้าข้างขวาของโรงเจ ก็ยังพบเตาเผาหงิ่นเตี๋ย (กระดาษเงิน-กระดาษทอง, กระดาษที่ใช้รองอาหารเซ่นไหว้ตามความเชื่อของจีน) แต่ลักษณะรูปทรงเป็นแบบไทย และมีร่องรอยลายศิลปะตกแต่งบนผิวปูนชั้นนอกอีกด้วย ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นลายที่มีมาแต่เดิม ไม่ได้ทำใหม่แต่อย่างใด

เตาเผากระดาษศิลปะรูปทรงแบบไทย บนผิวปูนมีลายปรากฏให้เห็น

   สภาพที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้รับการปรับปรุงบ้างแล้วบางส่วน อาทิเช่นชาวบ้านนำตะปูมาตอกยึดเพื่อช่วยพยุงโครงสร้างไม่ให้พังลงมา สำหรับความเชื่อที่ว่าเจ้าแม่คอยคุ้มครองผู้คนแถวนี้ ก็ดูได้จากกระเบื้องหลังคาหรือชิ้นส่วนโครงสร้างตัวอาคารของโรงเจบางส่วนที่ชำรุดหล่นลงมาจำนวนมาก ก็ไม่เคยเกิดอันตรายแก่ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเลย ปัจจุบันชิ้นส่วนที่ชำรุดตกหล่นทั้งหมด ชาวบ้านได้นำมากองรวมไว้บริเวณใต้ศาล โดยไม่มีใครกล้าหยิบเอาไปเลย เพราะกลัวว่าจะส่งผลไม่ดีต่อตนเองและครอบครัว

ชิ้นส่วนโครงสร้างที่ชำรุดผุพัง

   ในส่วนบันไดทางขึ้นด้านหน้าที่เห็นว่าทำขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านเล่าว่าเดิมก่อนที่จะปรับปรุงขึ้นใหม่อย่างในปัจจุบัน ขั้นบันไดมีสภาพที่ผุพังชำรุดอย่างมาก เหตุเพราะเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวอาคารจึงตากแดดตากฝน ทำให้ผุพังชำรุดมากกว่าส่วนอื่นๆ เรียกได้ว่าหากเหยียบขึ้นไปก็เกรงว่าบันไดจะพังลงมา
   
   ผู้ที่มาสร้างบันไดใหม่นี้คือเจ้าของโรงสีปฐมวิวัฒน์ (ทางเข้าห้วยพลู) โดยทางเจ้าของโรงสีปฐมวิวัฒน์ (ป้าลุ้ย) ได้ว่าจ้างช่างมาสร้างบันไดใหม่ ช่างได้เล่าให้ชาวบ้านฟังว่า เจ้าแม่ไปเข้าฝันเจ้าของโรงสี บอกว่าทางขึ้นบ้านชำรุด อยากมาช่วยทำใหม่ให้หน่อย จึงได้ว่าจ้างช่างมาทำบันไดทางขึ้นให้ใหม่ตามที่เจ้าแม่ไปเข้าฝันขอความช่วยเหลือ

บันไดทางขึ้นโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) ที่สร้างขึ้นใหม่

   ในปัจจุบันโรงเจวัดบางพระ หรือศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ ก็ยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน โดยในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านก็จะนำอาหารคาวหวานมาเซ่นไหว้ บนบานสานกล่าวอยู่เป็นประจำ และในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีงานประจำปี โดยชาวบ้านจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์, ฉันภัตตาหาร เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าแม่ทับทิมเป็นประจำทุกปี (ในปีนี้จะจัดในวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖)

   ความเชื่อของชาวบ้านเกี่ยวกับการขอการบนบานเจ้าแม่ทับทิมนี้ ท่านห้ามเรื่องการเสี่ยงโชคทุกชนิด ประมาณว่าหากจะมาขอเรื่องโชคลาภที่เกี่ยวเนื่องกับอบายมุขเป็นอันไม่สำเร็จทุกราย แต่ถ้าหากขอโชคลาภการทำมาค้าขายในทางสุจริตก็จะสำเร็จเป็นอัศจรรย์ โดยนิยมแก้บนด้วยผลไม้, ชุดไทยฯ

   นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า เมื่อครั้งสมัยที่หลวงพ่อเปิ่นยังดำรงสังขารอยู่ ท่านเคยบอกไว้ว่า ที่โรงเจวัดบางพระ หรือ ศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ ยังคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตประจำอยู่ ทำให้ชาวบ้านยิ่งมีความเคารพนับถือเจ้าแม่ทับทิมมากยิ่งขึ้น



บรรยากาศด้านในโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม)


   ขณะนี้ทางวัดบางพระนำโดยพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) มีโครงการที่จะบูรณะโรงเจวัดบางพระ (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) โดยยังขาดทุนทรัพย์อีกจำนวนมาก ท่านใดที่ประสงค์จะร่วมบุญบูรณะโรงเจวัดบางพระ เรียนเชิญที่วัดบางพระกันได้ครับ


   ทั้งนี้สามารถร่วมบุญรับมงคลวัตถุ "เทพจำแลงภมร" เป็นที่ระลึกนึกถึงบุญครั้งนี้ได้ที่กุฏิหลวงพี่ญาและกุฏิหลวงพี่ปาด จัดสร้าง ๒ พิมพ์ ด้านหน้าเป็นเทพภมรจำแลงเพ้นท์สี ด้านหลังเป็นยันต์ลายมือหลวงพ่อเปิ่น

   ๑. พิมพ์ใหญ่ เพ้นท์สี ฝังพลอย ร่วมบุญ ๑,๕๐๐ บาท (จำนวนสร้างประมาณ ๖๐๐ องค์)



   ๒. พิมพ์เล็ก เพ้นท์สี ร่วมบุญ ๓๐๐ บาท (จำนวนสร้างประมาณ ๕๐๐ องค์)



        ๓. พิมพ์เล็ก ไม่เพ้นท์สี ร่วมบุญ ๕๐ บาท



   เทียบขนาดพิมพ์ใหญ่กับพิมพ์เล็ก

   รายละเอียดเพิ่มเติมจากระทู้ของพี่นนท์ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29234

อนุโมทนากับผู้ร่วมบุญครั้งนี้ทุกท่านด้วยครับ
.สาธุ..สาธุ..อนุโมทามิ.

ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

179
(บางภาพไม่ค่อยชัด ขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ)













































































มีต่อ>>>

180
เช้าวันอังคารที่ ๑๙ มีีนาคม ๒๕๕๖ ณ วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

(วันคล้ายวันเกิดครบ ๕ รอบ อายุวัฒนมงคลแซยิด ๖๐ ปี พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร))

หลวงพ่อสำอางค์เมตตาอธิษฐานจิตเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๕ ในเวลา ๐๙.๓๙ น.

ช่วงบ่ายได้จัดส่งให้ทุกท่านที่สั่งจองให้ส่งทางไปรษณีย์เรียบร้อยแล้วครับ

สำหรับท่านที่จะมารับเสื้อเองที่วัด สามารถรับเสื้อได้ที่สำนักงานวัดบางพระ (ติดต่อหลวงพี่เก่ง).















181
รายการวัตถุมงคลบูชาครู ๕๖ ที่ออกให้บูชา


เลสข้อมือบูชาครู ๕๖








เหรียญบูชาครู ๕๖






เหรียญบูชาครู ๕๖ เนื้อโลหะสามกษัตริย์ บูชาเหรียญละ ๓๐๐ บาท




เหรียญบูชาครู ๕๖ เนื้อทองแดงรมดำ บูชาเหรียญละ ๑๕๐ บาท



ติดต่อบูชาได้ที่กุฏิใหญ่ วัดบางพระ

******************************************************

เตรียมงานมุทิตาวันคล้ายวันเกิดพระครุอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ แซยิด ๖๐ ปี




ดอกไม้จากวัดสำโรง





หนังสือและมงคลวัตถุที่ระลึก แจกในวันงาน




******************************************************

แถม update ล่าสุด เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๕ @สำนักงานวัดบางพระ


182

********************************************

ความหมายของวันมาฆบูชา

   วันมาฆบูชาจัดเป็น “วันแห่งพระธรรม” เพราะเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก ซึ่งประกอบด้วยอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการของพระพุทธศาสนา ส่วน “วันแห่งพระพุทธ” คือ วันวิสาขบูชา เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และ “วันแห่งพระสงฆ์” คือ วันอาสาฬหบูชา เพราะเป็นวันที่บังเกิดมีพระสงฆ์ครบองค์พระรัตนตรัยเป็นครั้งแรกในโลก

   คำว่า “มาฆะ” เป็นชื่อของเดือนสาม ย่อมาจากคำว่า “มาฆปูรณมี” หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนสาม การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้น ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือนแปด ๒ ครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสี่ และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ วันมาฆบูชาตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
ประวัติความเป็นมาของวันมาฆบูชา
   
   ภายหลังจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วเป็นเวลา ๙ เดือน ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อม ๆ กันถึง ๔ ประการ ในวันมาฆบูชา ได้แก่

   (๑) วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์

   (๒) พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อถวายสักการะแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

   (๓) พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญาหก

   (๔) พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เอหิภิกขุอุปสัมปทา

   และเพราะเหตุอัศจรรย์ ๔ ประการข้างต้นนี้ จึงทำให้วันมาฆบูชามีอีกชื่อหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีความหมายดังนี้คือ จตุร แปลว่าสี่, องค์ แปลว่า ส่วน, สันนิบาต แปลว่า การประชุม รวมความแล้วหมายถึง การประชุมที่ประกอบด้วยองค์สี่

ความสำคัญของวันมาฆบูชา

   พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรกในวันมาฆบูชา เป็นปาฏิโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงด้วยพระองค์เองท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ตลอดปฐมโพธิกาล คือ ๒๐ พรรษาแรก หลังจากนั้นทรงบัญญัติให้พระสงฆ์แสดง “อาณาปาติโมกข์” อย่างปัจจุบันนี้แทน

   โอวาทปาติโมกข์หรือโอวาทสาม คือคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ซึ่งเป็นแม่บทในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพระพุทธศาสนา

   โอวาทปาติโมกข์ แบ่งโครงสร้างออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ คือ

   ๑. พระพุทธพจน์คาถาแรก ทรงกล่าวถึงอุดมการณ์

   ๒. พระพุทธพจน์คาถาที่สอง ทรงกล่าวถึงหลักการ

   ๓. พระพุทธพจน์คาถาที่สาม ทรงกล่าวถึงวิธีการ

   ๑. อุดมการณ์ คือ เป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิต มี ๓ ประการ ได้แก่

   ๑). ความอดทน คือ เป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิต ความอดทน เป็นตบะที่ดีที่สุดในการเผากิเลสให้หลุดจากใจ

   ๒). นิพพาน พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม เป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติ

   ๓). ไม่ทำร้ายและไม่เบียดเบียนผู้อื่น

   ๒. หลักการ คือ หัวใจของคำสอนที่ควรปฏิบัติในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อบรรลุอุดมการณ์ ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มี ๓ ประการ ได้แก่

   ๑). การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น

   ๒). การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น

   ๓). การทำจิตใจให้ผ่องใส ได้แก่ การเจริญสมาธิภาวนา ทั้งสมถภาวนา (จิตภาวนา) และวิปัสสนาภาวนา (ปัญญาภาวนา) เป็นต้น

   ซึ่งหลักการทั้งสามข้างต้นสามารถสรุปเป็นคำขวัญได้ว่า “ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส”

   ๓. วิธีการ คือ แนวทางการปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาตน และเป็นแนวทางที่พระภิกษุที่เป็นพระธรรมทูตผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีเป็นจำนวนมากใช้เหมือนกัน เพื่อจะได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้องเป็นธรรม ได้แก่วิธีการทั้ง ๖ ดังนี้
   
   ๑). การไม่กล่าวร้าย

   ๒). การไม่ทำร้าย

   ๓). ความไม่สำรวมในปาติโมกข์ คือ รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส

   ๔). ควรเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร คือ เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณ

   ๕). อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด เพื่อให้ตนเองมีโอกาสในการประกอบความเพียรในอธิจิตได้เต็มที่

   ๖). ประกอบความเพียรในอธิจิต เพื่อบรรลุอุดมการณ์ คือ มรรค ผล นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

   เนื่องจากวันมาฆบูชาเป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทุกท่านจึงควรถือโอกาสวันหยุดราชการนี้ปรารภเหตุในการทำความดีทุกรูปแบบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยปฏิบัติตนตามคำสอนทุก ๆ ข้อ ทั้ง ๑๒ ข้อ ในโอวาทปาติโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันได้แก่ อุดมการณ์สาม หลักการสาม และวิธีการหก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ตลอดจนสังคมและประเทศชาติ

   นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ รัฐบาลไทยยังได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย ดังนั้น จึงควรที่สาธุชนจะกระทำการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ โดยพาไปวัดเพื่อประกอบการบุญการกุศลพร้อมหน้ากันอย่างอบอุ่นทั้งครอบครัว

*****************************************************************

ที่มา : วารสารอยู่ในบุญ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ หน้า ๕๖-๖๐ บทความบุญ เรื่องโดย พระกฤตยะ สิทฺธมโน



กิจกรรมงานบุญของวัดบางพระเนื่องในวันมาฆบูชา ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

- ปฏิบัติธรรมรักษาศีล ๘ ณ หอสวดมนต์

- ฟังธรรม ถวายภัตตาหารเช้า ณ ศาลาการเปรียญ

- ภาคค่ำ เวียนเทียนรอบอุโบสถ.

183

ขอเรียนเชิญสาธุชนทุกท่าน ร่วมแสดงมุทิตาสักการะ เนื่องในโอกาสครอบครอบวันเกิด ๕ รอบ แซยิด ๖๐ ปี

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (สำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ในวันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ วัดบางพระ.

*กำหนดการในวันงานจะมาแจ้งอีกครั้งในภายหลัง*






มงคลวัตถุที่ระลึก "รูปหล่อหลวงพ่อสำอางค์(อุดกริ่ง)"





มงคลวัตถุที่ระลึก "เหรียญที่ระลึก แซยิด ๖๐ ปี หลวงพ่อสำอางค์ (แกะบล็อค พ.ศ.ผิด)"


**********************************************



184

ภาพจากเฟสบุ๊ค "วัดบางพระ จ.นครปฐม (หลวงพ่อเปิ่น)"




๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ พาหลานเที่ยวงานทำบุญ ชมบรรยากาศ ณ วัดบางพระ



















งานยังมีอีก ๒ วัน (๒๖ - ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖) เรียนเชิญทุกท่านมาร่วมทำบุญกันนะครับ

. . . . . . . . .

185
บทความ บทกวี / โหราทายทัก
« เมื่อ: 06 ม.ค. 2556, 01:36:06 »
ทำไมคนเราเชื่อเรื่องการดูหมอ

        ธรรมชาติของมนุษย์มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ห่อหุ้มใจอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เรื่องนี้เป็นมาแต่โบราณ พอเห็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า หรือพายุมาก็กลัว แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเริ่มหาที่พึ่ง จึงเกิดการสร้างให้มีเทพขึ้นมา เช่น เทพประจำภูเขา เทพเจ้าพายุ เทพเจ้าลม เทพเจ้าฝน เทพเจ้าไฟ เห็นต้นไม้ใหญ่ ๆ น่าจะมีเทพอยู่ ก็ไหว้ต้นไม้ บางทีก็ไหว้จอมปลวก โดยหวังว่าถ้ากราบไหว้อ้อนวอนเทพเจ้าเหล่านี้แล้วจะปลอดภัย

        เวลาเจอปัญหาส่วนตัว แต่เทพเจ้าคุยด้วยไม่ได้ ก็ต้องหาใครสักคนมาแนะนำ เลยมีหมอดู มีพวกเข้าทรงขึ้นมา ใครมีปัญหาแล้วรู้สึกว่าลำพังตังเองไม่สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ หวังพึ่งอำนาจภายนอกที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่มั่นใจได้มากกว่า ก็เลยไปหาคนทรงบ้าง หมอดูบ้าง ซึ่งหมอดูเหล่านี้ทำนายตามหลักโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็บสถิติ

        โดยสรุปเริ่มต้นจากความไม่รู้ที่หุ้มห่อใจมนุษย์ แล้วนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งใหญ่ ๆ ก็กลายเป็นเทพ ที่พึ่งย่อย ๆ เฉพาะตัวบุคคลก็กลายเป็นหมอดู

เคยไปดูหมอ หมอดูบอกว่าถ้าจับไพ่ได้หมายเลขห้าติดกันห้าใบ เขาบอกว่าเทพไม่ให้ดู อย่างนี้เป็นจริงไหม

        พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า “ประโยชน์ล่วงเลยคนพาลผู้ไม่รู้สัจธรรม ผู้มัวรอแต่ฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้”

        เวลาสร้างโบสถ์ สร้างอาคาร สร้างโรงพยาบาล จะมีการวางศิลาฤกษ์ วัตถุประสงค์เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าจะมีการก่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อสาธารณะประโยชน์ จะได้มาช่วยกันสร้างให้สำเร็จ แต่ถ้าสร้างบ้านไม่ต้องวางศิลาฤกษ์ ถ้าเป็นของสาธารณะไม่มีใครจ่ายเงินโดยตรง ต้องมีการวางศิลาฤกษ์ แจ้งข่าวให้ทุกคนมาช่วยกัน แล้วจะเลือกวันไหนดี ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ใน ๑๒ เดือนนี้ มีเดือนรวยเดือนจน เช่น เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนจน เพราะโรงเรียนเปิดเรียน ต้องจ่ายค่าเทอม มกราคมก็เดือนจนเพราะเพิ่มแจกของขวัญและมีรายจ่ายอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ถ้าจะวางศิลาฤกษ์ต้องเลือกเดือนรวย และเลือกเดือนที่ฝนไม่ตก เพราะถ้าฝนตกคนมางานไม่สะดวก การก่อสร้างก็ไม่สะดวก ฉะนั้นเดือนที่เหมาะน่าจะเป็นเดือนธันวาคม พ้นฝนไปแล้ว และยังอยู่ในช่วงเดือนรวย อากาศก็เย็นสบาย ถัดมาดูว่าวันไหนสะดวกที่สุด ก็ต้องวันอาทิตย์ วันธรรมดาเขาทำงานกัน แล้วจะเลือกอาทิตย์ไหน ต้นเดือนหรือปลายเดือน ต้นเดือนเงินเดือนเพิ่งออกเป็นวันที่รวยที่สุด ดังนั้นสรุปว่าเอาเดือนธันวาคม วันอาทิตย์ต้นเดือน เสร็จแล้วจะเอาเวลากี่โมง ตี ๓ มีคนมาไหม เขาไม่มา จากกรุงเทพฯ มาถึงวัดใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เริ่มพิธีสัก ๙ โมงครึ่ง อย่างนี้สะดวก นี่คือฤกษ์พระพุทธเจ้า

        มีโยมมาถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับผมจะลงเสาเอกสร้างบ้าน หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์ให้หน่อย หลวงพ่อท่านถามว่ามีที่หรือยัง เรียบร้อยแล้วครับ สถาปนิกออกแบบหรือยัง เสร็จแล้วครับ งบประมาณเตรียมไว้หรือยัง เตรียมแล้วครับ บริษัทรับเหมาติดต่อได้หรือยัง หาได้แล้วครับ ท่านบอกพรุ่งนี้เริ่มได้เลย ถ้าเงื่อนไขทุกอย่างพร้อม ประชุมสรุปกันแล้วก็เดินหน้าเลย นี่คือการดูฤกษ์แบบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ดูดวงดาว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความพร้อม

เวลาดวงตกหรือโชคไม่ค่อยดี เขาให้ไปแก้ดวง ไปเสริมดวง ทำแล้วได้ผลจริงหรือไม่

        ถ้าเรามีอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิต แล้วอยากแก้ไขให้ผ่านพ้นไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องไปเสริมบุญ จะเสริมดวงต้องไปเสริมบุญ คือทำบุญทั้งตักบาตร ถวายสังฆทาน เสร็จแล้วก็รักษาศีล ศีล ๘ ยิ่งดี ในวันพระหรือวันเกิดก็ได้ แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ทำทาน รักษาศีล ทำภาวนาให้ครบ บุญก็จะหนุนส่งเรา แล้วเราจะเอาชนะอุปสรรคได้ เพราะวิบากกรรมในอดีตที่เคยทำไว้ชาติที่แล้วเยอะแยะ มันเป็นเหมือนระเบิดเวลารอจังหวะที่จะส่งผล หรือถ้าจะเปรียบชีวิตเราเหมือนเรือ อุปสรรคเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนหินโสโครกใต้น้ำ ที่เรือของเราพร้อมจะไปเกยโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่หินโสโครกที่น่ากลัวนั้น ถ้าน้ำขึ้นสูง เรื่อวิ่งฉิวผ่านสบายเลย เรามีผลของวิบากกรรมเป็นเหมือนระเบิดเวลาในชีวิตอยู่ ถ้าเราไปเติมบุญก็เหมือนกับน้ำขึ้น หนุนนาวาชีวิตเราขึ้นไป ผ่านอุปสรรคไปได้ฉิวเลย ไม่มีปัญหา นี่คือการเสริมดวงที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ทำบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ (ทาน ศีล ภาวนา) ให้ครบ แล้วจะผ่านอุปสรรคไปได้


ปัจจุบันมีหมอดูชื่อดังออกมาทำนายทายทักผ่านสื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อย่างนั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อเสียด้วย เราควรจะเชื่อหรือไม่


        เอาเป็นว่าแต่ละหมอที่ลงหนังสือไปเปิดอ่านดูเถิด จะพบว่าผิดมากกว่าถูก แค่นี้ก็ตอบได้แล้วว่าควรเชื่อหรือไม่ สังคมเราตอนนี้กำลังขาดปัญญา แล้วก็สับสนไม่รู้จะไปทางไหน ก็เลยหันมาหาโหราศาสตร์เป็นที่พึ่ง

        ในบ้านเมืองที่พัฒนากว่าเรา เวลาเกิดปัญหาเขาจะตัดสินใจแก้ไขบนพื้นฐานของข้อมูล ไม่มาเถียงกันจนประชาชนที่รับข่าวสารไม่รู้จะไปทางไหน เขาจะเอาคนที่เก่งเรื่องนั้นที่สุดมากลุ่มหนึ่ง แล้วตั้งคณะศึกษารวมข้อมูลทั้งโลกที่มีคนเคยทำมาหลาย ๆ รูปแบบ มาดูว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง แล้วนำเสนอกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ประชาชนพอรับข้อมูลอย่างนี้หูตาสว่างเลย รู้แล้วว่าควรจะวินิจฉัยอย่างไร มีหลักในการตัดสินใจอย่างไร เพราะเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั้งโลก ถ้าสื่อมวลชนนำเสนออย่างนี้ ประชาชนจะฉลาดขึ้น แล้วก็ไม่ต้องพึ่งหมอดูมาก สังคมก็จะมีภูมิต้านทาน ไม่อ่อนแอ ผู้คนไม่เป็นโรคตื่นข่าวลือ


การดูดวงหากไม่มีวิจารณญาณหรือไม่มีการตั้งสติเลย จะส่งผลกับครอบครัวหรือสังคมอย่างไรบ้าง


        เราทุกคนเป็นเหมือนนายท้ายเรือ หากเรานำเรือชีวิตของเราโดยอิงเหตุผลและข้อมูล ก็เหมือนไต้ก๋งที่จะเดินเรือไปไหนก็ตั้งเป้าหมาย เสร็จแล้วก็ดูทิศทางลม สำรวจภูมิประเทศ แนวหินโสโครกมีตรงไหน ร่องน้ำลึกที่จะเดินเรือได้ปลอดภัยอยู่ตรงไหน แล้วเดินเรือไปด้วยข้อมูลที่มีอยู่ ก็จะมีความปลอดภัยสูง แต่ถ้าพึ่งหมอดู ก็เหมือนกับแล่นนาวาชีวิตไปตามที่คนอื่นบอก เขาบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็เลี้ยว ถามว่าทำไมต้องเลี้ยว ไม่รู้ ไม่มีเหตุผล ก็คนนั้นเขาบอกให้เลี้ยว ลองคิดดูว่า ถ้าเราจะต้องขึ้นเรือโดยสาร ๒ ลำนี้ เราจะเอาไต้ก๋งแบบไหน ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ต้องเป็นหลักให้สมาชิกในครอบครัวได้ ขืนเดินตามหมอดูชีวิตนี้คงไม่สดใสแน่ แล้วถ้าเป็นผู้นำองค์กร ผู้นำประเทศ ยิ่งต้องตัดสินโดยอิงข้อมูลความเป็นไปที่แท้จริง จึงจะนำนาวาขององค์กร ของประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้องได้


มีหลักและวิธีการตั้งสติรับมือกับข่าวต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง


        ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อโดยเหตุ ๑๐ อย่าง คืออย่าเชื่อโดยฟังสืบกันมา, อย่าเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบ ๆ กันมา, อย่าเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ, อย่าเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา, อย่าเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง, อย่าเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา, อย่าเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ, อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าตรงกับความเห็นของตน, อย่าเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ และอย่าเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

        ทั้ง ๑๐ ประการนี้ ไม่ให้เชื่อโดยอิงเหตุภายนอก ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ดูว่าเรื่องนั้นมีเหตุผลอย่างไร ดีไม่ดีอย่างไร ดูความเชื่อมโยงสัมพันธ์โดยองค์รวมกับข้อมูลเดิมที่เรามีอยู่ว่าเข้ากันไหม ไตร่ตรองดีแล้วจึงสรุปตัดสินใจ ถ้าประยุกต์มาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเชื่อเลย เพราะที่จริงแล้วคอลัมน์ต่าง ๆนั้น เป็นความเห็นของคน ๆ เดียว เราต้องแยกให้ได้ว่าอะไรเป็นความเห็น อะไรคือความจริง และต้องเก็บข้อมูลที่เป็นความจริงไว้ในใจเราจำนวนหนึ่ง ถึงคราวไปเจอที่ใครเขาว่ามา เราก็เทียบดูว่าสอดคล้องไหม ขัดแย้งกันไหม แล้วไตร่ตรองโดยภาพรวมให้ออก ค่อย ๆ ฝึกอย่างนี้ พอมองความสัมพันธ์เชื่อมโยงข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ออก เราจะวินิจฉัยข่าวสารที่ได้รับแต่ละชิ้นว่า ข่าวสารเหล่านี้เราควรเชื่อไหม ไม่ใช่เจอนักวาทศิลป์พูดแล้วดูมีเหตุมีผลก็เชื่อเลย

        เชื่อไหมว่าในบางแง่มุม คนมีความรู้หลอกง่ายกว่าคนที่มีความรู้น้อย เพราะคนมีความรู้ชอบคิดอะไรโดยตรรกะ พอเหตุผลสอดคล้องกับตรรกะก็เชื่อเลย ที่นี้ถ้าไปเจอนักให้เหตุผลที่ให้เหตุผลแบบนักโต้วาที คือให้บางส่วน คนฟังไม่มีเวลาคิดละเอียด เขายกนั่นยกนี่มาพูด ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ก็โดนหลอกไปเลย แต่คนมีความรู้น้อยคิดเรื่องตรรกะไม่ค่อยเป็น ถ้าจะถามว่ารัฐบาลบริหารประเทศดีหรือไม่ดี เขาจะล้วงกระเป๋าดูว่ามีสตางค์ไหม เศรษฐกิจในครอบครัวเขาดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้น เขาก็บอกว่ารัฐบาลทำดี เขาตัดสินด้วยความจริง ฉะนั้นหลอกยาก แต่คนมีความรู้บางทีติดกับดักความรู้ของตัวเอง ให้พึงสังวรไว้ อย่ารีบด่วนเชื่อแล้วรีบสรุป ตรึกตรองให้ละเอียดรอบคอบแล้วเราจะไม่พลาด

ผู้หญิงคนหนึ่งไปดูดวงมาว่าจะคบกับคนนี้ได้หรือเปล่า หมอดูฟันธงว่าคบไม่ได้ เขาก็เชื่อหมอดู อย่างนี้ถูกไหม


        ไม่ถูก ชีวิตตัวเองตัดสินโดยหมอดู เชื่อหมอดูมากกว่าเชื่อคนที่รู้จักกันมาตั้งนานก็ผิดหลักอยู่แล้ว เรื่องความเชื่อมั่นนี่แปลก เคยมีทหารไทยไปรบในสงครามเกาหลี ระหว่างรบระเบิดลงตูมกระเด็นไปที่ริมหนองน้ำ พระหลุดจากคอ ตกใจรีบคว้าใส่ปากแล้วลุยต่อไป คราวนี้พระเต้นได้ เต้นตุบ ๆ อยู่ในปาก เจ้าตัวฮึกเหิมมาก พระแสดงอิทธิฤทธิ์แล้วลุยสะบั้นหั่นแหลก รบเสร็จแล้วเอาพระมาดู ปรากฏว่าเป็นลูกกบ ถ้ารู้แต่ต้นว่าเป็นลูกกบสงสัยไม่กล้า นี่คือเรื่องของกำลังใจ ความเข้าใจผิดอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าเอาตรงนี้เป็นสาระ ให้ตัดสินใจด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยข้อมูล ด้วยการไตร่ตรองอย่างละเอียดลึกซึ้ง ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่เชื่อคนง่าย ไม่หลงไปกับกระแสข่าวลือ ถ้าสังคมไหนมีคนอย่างนี้เยอะ ๆ สังคมนั้นจะเป็นสังคมที่อุดมด้วยปัญญาและจะมีความเจริญ แต่จะได้อย่างนี้ต้องตั้งสติดี ๆ แล้วก็นั่งสมาธิด้วย พอใจสงบ เราจะมองเห็นอะไรกระจ่างขึ้น มิฉะนั้นจะแยกแยะอะไรไม่ออก ภาพมันจะพร่า ถ้าใจนิ่ง ภาพจะชัด สามารถวินิจฉัยได้ว่าอะไรเป็นอะไร ให้เราพึ่งตนเอง เชื่อมั่นในเรื่องกรรม ไม่ใช่พรหมลิขิต ให้ทำความดี แล้วทุกอย่างจะดีเอง

        มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรื่องของฮวงจุ้ย ที่ภาษาจีนกลางเรียกว่าฟงสุย “ฟง” แปลว่า ลม “จุ้ย” หรือ “สุย” แปลว่า น้ำ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นศาสตร์ว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และที่เขาบอกว่าบ้านที่ตั้งอยู่ที่ทางสามแพร่งไม่ดี ก็มีส่วนจริง เพราะรถบนถนนที่ตั้งฉากกับบ้านจะวิ่งเข้าวิ่งออก คนเดินไปเดินมามองพุ่งมาที่บ้านตลอด คนที่อยู่บ้านนี้สุขภาพจิตจะไม่ค่อยดี รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว คอยผวาอยู่เรื่อย

        ที่ทำเนียบขาวสมัยบิล  คลินตัน ยังเอาซินแสฮวงจุ้ยไปจัดออฟฟิศเลย ทำเนียบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาผู้นำโลกต้องให้ซินแสไปจัดฮวงจุ้ยให้ คือจัดสิ่งแวดล้อม ตกตแงสวน ตกแต่งโต๊ะ เก้าอี้ สีสัน ฯลฯ ให้สอดคล้องกับอารมณ์ของคน ให้ดูแล้วสบายใจ ให้ผสมกลมกลืนพอดี ๆ นี้คือศาสตร์ของฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของหมอดู ถ้าฮวงจุ้ยไหนไปเอาแนวคิดของหมอดูมาใช้ก็ผิดหลัก แต่ถ้าจัดเพื่อให้สบายใจก็ทำได้ เช่น เอากระจกมาติดไว้ที่ตึกที่ทางสามแพร่งเหมือนให้กระแสที่พุ่งเข้ามาสะท้อนออกไปอะไรทำนองนี้ เพื่อให้คนที่อยู่รู้สึกสบายใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่เหตุผลและข้อมูล อยู่ด้วยปัญญา ต้องไม่อยู่กับเรื่องที่ตรึกตรองไม่ได้ เหนือเหตุเหนือผล อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ.

...

ที่มา : “ข้อคิดรอบตัว” เรื่องโดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.;Ph.D.)
วารสาร “อยู่ในบุญ” ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๒๓ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๖ หน้า ๗๖ - ๗๙

186



ล็อคเกตหลวงพ่อเปิ่นพิมพ์พิเศษ สมทบทุนสร้างโรงครัวและเทพื้นคอนกรีตหลังพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อเปิ่น

ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่น ๓ แบบ ด้านหลังอุดผงพุทธคุณและเหรียญหลวงพ่อเปิ่น (ตอกโค้ด ๙ ตัวด้านหลัง)

หลวงพี่ต้อยเจิมแป้งด้านหลังทุกองค์ เข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกับเหรียญรุ่นพิเศษ สมทบทุนสร้างโรงครัวฯ

บูชาองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท   *เหลือจำนวนจำกัด*



        แบบที่ ๑ จำนวนสร้าง ๓๐ องค์

          แบบที่ ๒ จำนวนสร้าง ๑ องค์ หมด

          แบบที่ ๓ จำนวนสร้าง ๑ องค์ หมด
(รวมจำนวนสร้างทั้งหมด ๓๒ องค์)

เทียบขนาดกับเหรียญรุ่นพิเศษ สมทบทุนสร้างโรงครัวฯ เนื้อเงิน (ของพี่เจมส์คนรักษ์พระ)


ติดต่อร่วมบุญบูชาได้ที่หลวงพี่ปาด (ด้านข้างกุฏิหลวงพี่ต้อย) .

189
ล็อคเก็ตหลวงพ่อเปิ่นเสื้อเกราะ (รุ่นพิเศษ) ขนาดจัมโบ้ ฉากดำ (มีขนาดเดียว)

จำนวนสร้างประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ องค์ (มีหมายเลขกำกับทุกองค์)

ด้านหลังบรรจุมงคลวัตถุหลวงพ่อเปิ่น ๔ แบบ

ร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิใหญ่ บูชาองค์ละ ๓,๐๐๐ บาท










๑๑๑๑๑๑๑๑๑

190

. . . . . . . . .

191

























































เก็บดอกมะลิจากสวนถวายหลวงปู่ (ปุญฺญานุสฺสติ ปณฺฑารี)

192
บทความ บทกวี / ตำนานน้ำมนต์
« เมื่อ: 03 ส.ค. 2555, 02:49:23 »

   น้ำพระพุทธมนต์ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในความเป็นมงคล และเป็นสิ่งที่ผู้หวังความสุข ความสบายใจ เพียงเพื่อได้รับน้ำพระพุทธมนต์ที่พระท่านเสกแล้ว เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมาโดยละเอียดของการทำน้ำพรพุทธมนต์ ซึ่งเริ่มที่เมืองเวสาลีนี้ จึงขอนำรัตนสูตรมากล่าวไว้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร นครราชคฤห์

   ครั้งนั้น พระนครเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี เกิดทุพภิกขภัยพิบัติ คือ ฝนแล้ง ข้าวกล้าในนาตาย เพราะไม่มีน้ำเป็นส่วนมาก ข้าวปลาหายาก ในชั้นแรกคนยากจนคนเกียจคร้าน ต้องอดอาหารตายมาก เมื่อตายแล้วหาญาติที่จะอนุเคราะห์ศพไม่มี คนที่มีกำลังก็ไม่มีความสงสารศพ มัววุ่นแต่งานตัว เห็นไปว่าธุระไม่ใช่ ไม่ใส่ใจ ตกลงคนตายที่ไหน ศพก็ทอดทิ้งอยู่ที่นั้น ยิ่งกว่านั้นอหิวาตกโรคก็เข้าคุกคาม เพราะโทษที่ศพปฏิกูลตามถนนหนทาง ในแม่น้ำลำคลอง เพราะความสกปรกนานาประการ ดังกล่าวแล้ว มนุษย์ได้ตายลงเพราะอหิวาตกโรคเป็นอันมาก

   ครั้นเมื่อภาคพื้นดินปฏิกูลด้วยศพมากเข้า ปีศาจจำพวกที่กินซากศพเป็นอาหารก็พากันเข้ามาในพระนคร กินซากศพ ยิ่งกว่านั้นยังหันเข้าใส่คนป่วยไข้ ชิมรสเนื้อมนุษย์ที่ยังไม่เปื่อยเน่าดูบ้าง และแล้วก็เลยลามไปถึงมนุษย์ที่ไม่ป่วย แต่สกปรก เช่น ตื่นไม่ล้างหน้า นอนไม่ล้างเท้า น้ำไม่อาบ กินข้าวแล้วไม่บ้วนปาก ผ้าผ่อนไม่ซัก และบ้านเรือนไม่กวาดไม่ถู เป็นต้น ในที่สุดมนุษย์ที่ไม่ป่วย แต่สกปรก ก็เริ่มถูกปีศาจเข้าสิง สูบโลหิตเป็นอาหาร มนุษย์เริ่มตายลงเพราะปีศาจอีกประการหนึ่ง ชาวเมืองเวสาลีประสบภัยร้ายกาจ ๓ ประการ คือ ฝืดเคือง ๑ อหิวาตกโรค ๑ ปีศาจ ๑ พากันอพยพไปอยู่ในเมืองอื่นก็ไม่น้อย

   ครั้งนั้น ชาวเมืองพากันโจทก์กล่าวโทษพระราชาที่ประตูพระราชวังว่า

   “พระเจ้าข้า ภัยพิบัติ ๓ ประการ ได้เกิดขึ้นแก่ชาวเมืองแล้ว ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมี พระราชาจักประพฤติผิดพระราชประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่”

   แม้พระมหากษัตริย์จะโปรดให้ตั้งกรรมการพิจารณาหาความผิดของพระองค์ ก็ไม่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ทรงประพฤติบกพร่องแต่ประการใด ในที่สุดก็พากันบนเจ้าบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ และวิงวอนครูอาจารย์ที่ตนนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ สุดแต่ใครจะเล็งเห็น ใครให้ช่วยปลดเปลื้อง แต่ก็ไม่สามารถจะบรรเทาภัยนั้นได้

   ครั้นอำมาตย์ผู้หนึ่ง ได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวีว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์จากกิเลส มีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาเสมอด้วยพระมหาสมุทร ทรงตรัสรู้สัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประกาศพระธรรมบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บัดนี้ เสด็จประทับ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารมหาราช ทรงสักการะบำรุงอยู่ พระองค์ทรงมีอภินิหารบารมีสูงส่งยิ่งนัก ถ้าจะได้กราบทูลอัญเชิญให้เสด็จมายังพระนครนี้ ข้าแต่พระองค์เชื่อเหลือเกินว่า ภัย ๓ ประการนี้ จะต้องสงบเพราะอานุภาพของพระองค์โดยแท้

   ลำดับนั้น พระเจ้าลิจฉวีจึงโปรดให้เจ้าชายมหาลิ พร้อมด้วยอำมาตย์ ๕ นาย เป็นราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารมหาราช ณ กรุงราชคฤห์ กราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จไปบำบัดภัยพิบัติในพระนครเวสาลี โดยเวลาเพียง ๓ วัน คณะราชทูตนั้นก็เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารยังพระนครราชคฤห์ ทูลขอพระราชทานพระกรุณาตามพระราชบัญชาของพระเจ้าลิจฉวี

   พระเจ้าพิมพิสารทรงรับสั่งว่า...

   “ฉันเห็นใจพวกท่าน และยินดีสนับสนุนในเรื่องนี้ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงพระกรุณาเสด็จ ขอให้พวกท่านไปกราบทูลอัญเชิญดู ความจริง เจ้าชายมหาลิก็ทรงรู้จักพระองค์ท่านมาก่อน ฉันคิดว่าการเข้าเฝ้าจะไม่ลำบาก หรือหนักใจแต่ประการใด หากพระบรมศาสดาทรงเล็งเห็นประโยชน์ในการเสด็จ แล้วจะทรงพระกรุณาอนุเคราะห์เป็นแน่ การมาของเจ้าชายจะไม่ไร้ผลเลย”

   ครั้นแล้วโปรดให้ราชบุรุษนำคณะราชทูตนครเวสาลี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า...

   “มหาลิ ตถาคตรับปฏิญญาของพระเจ้ากรุงราชคฤห์ เพื่ออยู่ในที่นี้เสียแล้ว ถ้าพระเจ้ากรุงราชคฤห์จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสเธอ ตถาคตก็จะไป”

   เจ้าชายมหาลิกราบทูล...

   “ข้าพระองค์ได้รับพระราชทานโอกาสแล้ว พระเจ้าข้า”

   พระบรมศาสดารับสั่ง “แม้เช่นนั้น มหาลิก็ควรจะทูลให้พระองค์ทรงทราบเสียก่อนที่จะออกเดินทาง”

   เมื่อพระเจ้าพิมพิสารแห่งมคธรัฐ ทรงทราบจากเจ้าชายมหาลิว่า พระบรมศาสดาทรงพระกรุณาเสด็จ จึงรีบเสด็จมาเฝ้า ทูลขอให้ยับยั้งสัก ๓ วัน เพื่อตกแต่งทางเสด็จตลอดที่พักแรม ตามระยะทางจนถึงแม่น้ำคงคา สุดพระราชอาณาเขต

   ครั้นได้เวลากำหนด พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์ ๕๐๐ รูป ก็เสด็จพระนครเวสาลีโดยมรรคานั้น ด้วยพระเกียรติยศอันสูง ซึ่งพระเจ้ากรุงราชคฤห์ทูลถวายโดยระยะทาง ๕ โยชน์ กำหนดวันละ ๑ โยชน์ เสด็จประทับแรมตามระยะทางรวม ๕ วัน ก็ถึงฝั่งแม่น้ำคงคา เสด็จลงเรือพระที่นั่งซึ่งพระเจ้าพิมพิสารจัดถวายงดงามสมพระเกียรติยศยิ่งนัก และเป็นครั้งแรกที่เสด็จทางน้ำด้วยเกียรติอันสูงเช่นนี้

   พระเจ้าพิมพิสารทรงตามเสด็จพระพุทธดำเนินตลอดทาง และเสด็จลงประคองเรือพระที่นั่งให้เคลื่อนจากท่าแม่น้ำคงคา ทรงตามเรือพระที่นั่งไปในน้ำเพียงพระศอ ก็ประทับหยุดยืนทูลว่า “หม่อมฉันจะมารับเสด็จพระองค์คราวเสด็จกลับ ณ ที่นี่อีก” เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นไปตามแม่น้ำจนลับทิวไม้แล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร

   พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จทางชลมารค สิ้นระยะทาง ๑ โยชน์ ก็ถึงท่าพระราชอาณาเขตพระนครเวสาลี จึงเสด็จขึ้นจากเรือรับสักการะปฏิสันถาร ซึ่งเจ้าชายมหาลิหัวหน้าคณะราชฑูตกราบทูลให้พระเจ้าลิจฉวีจัดถวายให้โอฬาร ยิ่งกว่าพระนครราชคฤห์จัดเสด็จตามระยะทาง ๓ โยชน์ สิ้นเวลา ๓ วันก็ถึงชายพระนครเวสาลี ขณะที่เหยียบภาคพื้นพระนครเวสาลี ก้าวแรกก็ประทับยืนจ้องพระเนตรจับท้องฟ้า ทรงระลึกถึงพระบารมีที่บำเพ็ญแล้วเคลื่อนลมมาปกคลุมพระนครเวสาลี พร้อมกับส่งเสียงคำรามกระหึ่มครึ้มครวญเปรี้ยงๆ ดังสนั่น ด้วยสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วห่าฝนใหญ่ก็หลั่งลงจักๆ ดังเทน้ำ เสมือนหนึ่งจงใจจะล้างพื้นแผ่นดินให้สะอาด ต้อนรับพระบรมศาสดา

   ความจริงก็ดูสมจริงดังกล่าว ด้วยพอฝนซัดลงมามากมายเช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าน้ำฝนก็ไหลลงท่อธาร และท่วมท้นบ่าเข้าพระนคร พัดเอาซากศพมนุษย์และสัตว์ซึ่งปฏิกูลพื้นแผ่นดินอยู่ ให้ไหลไปสู่ทะเลใหญ่สิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อฝนขาดเม็ดแล้ว ภาคพื้นธรณีก็สะอาด ความอบอ้าวเร่าร้อนของอากาศก็สงบ บรรเทาโรคได้ถึงครึ่ง ด้วยพุทธานุภาพ ในเวลาเย็นวันนั้นเอง พระบรมศาสดารับสั่งกับพระอานนท์เถระว่า

“อานนท์เธอจงเรียนเอารัตนสูตรนี้ไป แล้วจาริกไปในกำแพงเมืองเวสาลี เจริญมนต์รัตนสูตรนี้ เพื่อความสวัสดีจากภัยอันใหญ่แก่ประชาชนเถิด”

   ในราตรีนั้น พระอานนท์ได้เรียนรัตนสูตรจากพระบรมศาสดา แล้วก็ประคองบาตรเสลมัยของพระบรมศาสดา ซึ่งเต็มด้วยน้ำ ตั้งกัลป์ยาณจิตประกอบด้วยเมตตา ระลึกถึงพระพุทธคุณ คือ พระบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ ซึ่งทรงบำเพ็ญมา และบารมีในปัจฉิมชาตินี้ จำเดิมแต่เสด็จลงสู่พระครรภ์ เป็นต้น จนทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศโลกุตรธรรม ๙ ประการเป็นที่สุด เจริญมนต์รัตนสูตรนี้ เที่ยวจาริกไปยังภายในกำแพง พร้อมด้วยพระเจ้าลิจฉวีทั้งหลายติดตามห้อมล้อม เดินพลางพรมน้ำมนต์ที่พระเถระเจ้าปะพรมเท่านั้น ก็หายจากโรคภัย มีกำลัง สดชื่น ติดตามแวดล้อมพระเถระเจ้า โห่ร้องแซ่ซ้องสาธุการดังสนั่น มวลภูตผีปีศาจที่เข้ามาเบียดเบียนมนุษย์ ครั้นได้ยินเสียงมนุษย์ก็สะดุ้งตกใจกลัว พากันเลี่ยงออก ที่ยังดื้อแอบหลบอยู่ ตามแง้มฝาเรือนและประตู เมื่อถูกหยดน้ำมนต์ของพระเถระเจ้า ก็เจ็บปวดแทบดับจิต ประดุจสุนัขถูกฟาดหลังด้วยแส้เหล็ก พากันเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความกลัวสยองเกล้า ตั้งหน้าวิ่งหนีออกจากเมืองโดยไม่เหลียวหลัง ครั้นไปประดังแน่นยัดเยียดที่ประตูเมือง และเมื่อไม่สามารถจะทนรออยู่ได้ ก็พากันพังบานประตูหนีไปจนสิ้นเชิง

   ครั้งพระเถระเจ้าจาริกเจริญรัตนสูตร ปะพรมน้ำมนต์รอบพระนครแล้ว ก็พามหาชนซึ่งติดตามมาเป็นอันมากเข้าเฝ้าพระบรมศาสดายังที่ประทับ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาตั้งแต่เบื้องต้น จนประกาศจตุราริยสัจ ให้หาชนชื่นชมโสมนัสปรีดาปราโมทย์ เกิดศรัทธากล้าหาญ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะเป็นอันมาก พระบรมศาสดาทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาอยู่ถึง ๗ วัน ครั้นทรงทราบว่า ภัยทั้ง ๓ ประการสงบแล้ว และประชาชนมีความผาสุกดีแล้ว ก็ทรงอำลาพระเจ้าลิจฉวี เสด็จพุทธดำเนินกลับพระนครราชคฤห์ ด้วยพระเกียรติยศซึ่งพระเจ้าลิจฉวีและมหาชนพร้อมกันจัดถวายบูชาอย่างมโหฬาร แม้พระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพาร ตลอดชาวพระนครราชคฤห์ก็มีความยินดี พากันไปต้อนรับพระบรมศาสดาที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ให้เสด็จกลับมาประทับ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร สมดังมโนปณิธานที่ทรงตั้งไว้นั้นแล้ว


พระราชรัตนรังสี (ว.ป. วีรยุทฺโธ).สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย – เนปาล.พิมพ์ครั้งที่ ๔.กรุงเทพฯ : ธรรมสภา,๒๕๕๐.


194
บรรยากาศรอบวัดเย็นนี้...





































































































อนุโมทนาบุญกับผู้ที่ไปร่วมงานบุญพรุ่งนี้ล่วงหน้านะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

195
จากกิจกรรมร่วมสนุกในกระทู้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=27703

คำตอบที่ถูกต้องคือ...


"ขอขอบคุณ ความมีน้ำใจ ความมีมิตรไมตรี ที่มีให้ต่อกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในโอกาสต่อไปคงได้พบเจอกันอีก"



มีผู้ตอบถูกทั้งสิ้น ๓๑ ท่าน จึงใช้วิธีจับสลากแบบไม่ใส่คืน (Sampling without Replacement)

เพื่อหาผู้โชคดีจำนวน ๑๐ ท่านที่จะได้รับหมวก "www.bp.or.th" (Limited Edition) ต่อไป



ผลจากการจับสลากได้รายชื่อผู้โชคดีจำนวน ๑๐ ท่าน ดังนี้



๑. #DeKdOy#      ไปรษณีย์      EJ451976507TH

๒. jindong59         ไปรษณีย์      EJ451976498TH

๓. ag               สละสิทธิ์

๔. toomeras         ไปรษณีย์      EJ451976440TH

๕. somboon matkeaw   ไปรษณีย์      EJ451976484TH

๖. kaitak            สละสิทธิ์

๗. umpawan         ไปรษณีย์      EJ451976453TH

๘. Generalist         ไปรษณีย์      EJ451976467TH

๙. assis.aod         ไปรษณีย์      EJ451976475TH

๑๐. Aun            สละสิทธิ์




การรับของรางวัล โปรดทำตามขั้นตอนดังนี้

๑. ยืนยันการได้รับของรางวัลโดยแจ้งในกระทู้นี้ว่าจะเลือกรับรางวัลโดย

   ๑.๑ รับด้วยตนเองที่สำนักงานวัดบางพระ ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

   ๑.๒ รับทางไปรษณีย์

๒. สำหรับท่านที่เลือกรับของรางวัลทางไปรษณีย์ โปรดส่งชื่อที่อยู่เพื่อจัดส่งของรางวัลทาง pm




หมายเหตุ - หมดเขตการยืนยันรับของรางวัลภายในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๒.๐๐ น.

                     หากเลยกำหนดเวลา ถือว่าสละสิทธิ์





196
ภาพปริศนา

เติมประโยคที่หายไปในภาพปริศนาให้สมบูรณ์




ของรางวัลสำหรับกิจกรรมครั้งนี้ *** หมวก "www.bp.or.th" (Limited Edition) จำนวน ๑๐ ใบ***



กติการ่วมสนุก

- ตอบคำถามลงในกระทู้นี้เท่านั้น (ไม่รับทาง pm หรืออื่นใด)

- จำกัดการส่งคำตอบได้เพียงครั้งเดียว (๑ คน ต่อ ๑ สิทธิ์)

- ร่วมส่งคำตอบได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๘.๐๐ น.

* ในกรณีที่มีผู้ตอบคำถามถูกต้องมากกว่า ๑๐ ท่าน จะใช้วิธีจับสลากหาผู้โชคดีต่อไป


การรับของรางวัล

สามารถเลือกรับของรางวัลได้ ๒ ช่องทางคือ

๑. รับด้วยตนเองที่สำนักงานวัดบางพระ ในวันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ (ติดต่อ หลวงพี่เก่ง)

๒. ทางไปรษณีย์


:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

197
ล็อคเก็ตรุ่นเสื้อเกราะ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ

สร้าง ๔ ขนาด คือ จัมโบ้ ,ใหญ่ ,กลาง ,เล็ก แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ ฉากสีทอง และ ฉากสีขาว

ด้านหน้ารันนัมเบอร์เลขไทยทุกองค์ ด้านหลังอุดผงเก่าหลวงพ่อเปิ่น ,ฝังวัตถุมงคล ,ตะกรุด ,พลอย ,จีวรหลวงพ่อเปิ่น

(ขณะนี้ที่วัดเปิดให้บูชาขนาดจัมโบ้แล้ว ส่วนขนาดที่เหลือจะเปิดให้บูชาต่อไปเร็วๆนี้)









รายละเอียดล็อคเก็ตรุ่นเสื้อเกราะขนาดจัมโบ้


๑. ฝังตะกรุดธรรมดา(ทองแดง,ทองเหลือง) + พลอย ๓ สี + วัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่น ๕ องค์ + จีวรหลวงพ่อเปิ่น
บูชาองค์ละ ๑,๕๐๐ บาท ***สร้างไม่เกิน ๕๐ องค์***





๒. ฝังตะกรุดทองคำ + พลอย ๕ สี + วัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่น ๗ องค์ + จีวรหลวงพ่อเปิ่น
บูชาองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท ***สร้างไม่เกิน ๑๐ องค์***





๓. ฝังตะกรุดทองคำ + วัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่น ๙ องค์(พระปิดตา ปี ๒๕๒๗) + จีวรหลวงพ่อเปิ่น
บูชาองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท





๔. ล็อคเกตรุ่นเสื้อเกราะขนาดใหญ่ , กลาง , เล็ก ขณะนี้ยังไม่ได้อุดผงและวัตถุมงคลด้านหลัง
จำนวนสร้างไม่เกิน ๑๐๐ องค์ จะเปิดให้บูชาในโอกาสต่อไปเ็ร็ว ๆ นี้






ร่วมบุญบูชาได้ที่กุฏิใหญ่วัดบางพระ ติดต่อสอบถามที่ : หลวงพี่พิเชษฐ์ ,หลวงพี่คมสันต์

198
มาถึงช้าไปสักเล็กน้อย เก็บภาพบรรยากาศโดยรวมมาให้ชมครับ





























...ปุญฺญานุสฺสติ...

199
"หลังจากเคร่งเครียดกับการประเมินผลการศึกษาเปรียบเทียบ
ภาคบ่ายจึงหากิจกรรมทำก่อนการพบที่ไม่ได้นัดหมาย ณ วัดโคกเขมา"


...จุดเริ่มต้นที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ในบางมุมที่แตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย




อิ่มหนำสำราญเบิกบานเต็มที่ก็เดินทางต่อไปยังท้องทุ่งแหลมบัว วัดท้องไทร

อดีตอันเลือนรางหวนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกวาระหนึ่ง

(เข้ากราบนมัสการหลวงปู่อั๊บ นำภาพมาฝากครับ)





ผ่านบางแก้วฟ้าลัดเลาะฝั่งนาวาพามาถึงตลาดน้ำลำพญา







ถึงเวลาที่ไม่ได้นัดหมาย ณ วัดโคกเขมา (วัดเก่าหลวงพ่อเปิ่น)

ตามลายแทงของเพื่อนสมาชิกผู้มีกุศลจิต http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=26782



พระครูวิบูลสิริธรรม (หลวงพ่อเพี้ยน) วัดตุ๊กตา

พระอาจารย์สมนึก วัดปลักไม้ลาย

พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ (หลวงพ่อสม) เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี วัดสำโรง

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอาง) เจ้าอาวาสวัดบางพระ

มงคลวัตถุที่ระลึกในพิธี

ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ พระธรรมปริยัติเวที (หลวงพ่อสุเทพ) เจ้าคณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร


" พุทโธ โลเก อุปปันโน "


พระครูสังฆรักษ์ชออม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพระ

ประพรมน้ำพระพุทธมนต์หลังเสร็จพิธี

ปฏิสันถารเบื้องหลังการรายงาน


พระครูโกวิทสุตการ (หลวงพ่อพระมหาระพิน) เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา กล่าวอนุโมทนากับสาธุชนผู้มีกุศลจิตร่วมบุญครั้งนี้

" สาธุ สาธุ อนุโมทามิ "

๒๑.๒๘ น. กลับถึงราชบุรีโดยสวัสดิภาพ

...ปุญฺญานุสฺสติ...

200
ธรรมะ / โอวาทปาฏิโมกข์
« เมื่อ: 07 มี.ค. 2555, 01:35:34 »
(นำ) หันทะ มะยัง โอวาทปาฏิโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ

   ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา,      ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา,         พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่าพระนิพพานเป็นเยี่ยม

นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี,         ผู้ล้างผลาญผู้อื่น, ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต,         ผู้เบียดเบียนผู้อื่น, ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ฯ            นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

   สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง,      การไม่ทำบาปทั้งปวง หนึ่ง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา,            การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม หนึ่ง
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง,            การกลั่นจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หนึ่ง
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ฯ            นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

   อะนูปะวาโท,               การไม่เข้าไปว่าร้ายกัน หนึ่ง
อะนูปะฆาโต,                  การไม่เข้าไปล้างผลาญกัน หนึ่ง
ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร,            ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ หนึ่ง
มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง,            ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนาหาร หนึ่ง
ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง,            การนอนการนั่งอันสงัด หนึ่ง
อะธิจิตเต จะ อาโยโค,            การประกอบคงามเพียรในอธิจิต หนึ่ง
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ฯ            นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

   วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีที่ผ่านมา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ ประการ กล่าวคือ

๑. พระภิกษุสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ยังพระอารามวัดพระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

๒. พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่อุปสมบทด้วยวิธี "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือ ได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้า ทั้งสิ้น

๓. พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอเสขะ ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว แล้วยังทรงอภิญญา ๖ ทั้งสิ้น

๔.วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี คือ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง (ดังนี้จึงเรียกว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" คือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ ดังกล่าว)

   ใจความสำคัญของ "โอวาทปาฏิโมกข์" ดังที่เกริ่นไว้ข้างต้น นั่นคือ "การไม่ทำบาปทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการรักษาใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส" อันเป็นหน้าที่ชาวพุทธที่ควรน้อมนำมาปฏิบัติ เพื่อยังประโยชน์ให้เิกิดมีขึ้นอย่างพร้อมมูล ทั้งในระดับโลกียะ และยกเจริญขึ้นสู่โลกุตระในเบื้องปลาย

ปล.ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ก่อนพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ แคว้นวัชชี อีกด้วย.

น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

201
๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

เตรียมงานไหว้ครู



































......................................************..........................................

202
บ่ายวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ สำนักงานวัดบางพระ

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ อธิษฐานจิตเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่น ๔






คืนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ สำนักงานวัดบางพระ

เตรียมแพคเสื้อใส่ซอง





เช้าวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ขนส่งซองบรรจุเสื้อจากวัดบางพระไปส่งยังที่ทำการไปรษณีย์นครชัยศรี





ใบเสร็จ



พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ

เมตตาจารแผ่นเงินเพื่อมอบให้กับสมาชิกเว็บไซต์วัดบางพระที่สั่งจองเสื้อที่ระลึก

จะนำมาแจกให้เพื่อนสมาชิกผู้โชคดี ในกิจกรรม "ร่วมตอบแบบสอบถาม" ต่อไป เร็ว ๆนี้





เก็บภาพน่ารัก ๆ มาฝาก ภาพนี้ถ่ายไว้ที่โรงเรียนวัดบางพระ

น้อง ๆ เด็กนักเรียนนำตุ๊กตาหมีพูมาถวายรูปเหมือนหลวงพ่อเปิ่น ที่ประดิษฐานไว้หน้าโรงเรียนวัดบางพระ









 :001:ขอให้มีความสุขกับเสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระรุ่นที่ ๔ นะครับ  :001:

แล้วเตรียมตัวร่วมกิจกรรมรับรางวัลพิเศษ...เฉพาะสมาชิกที่สั่งจองเสื้อที่ระลึกไว้เท่านั้น...อย่าพลาด!!!




**********************************************************************
ภาพบางส่วนโดยหลวงพี่สุธี จากเฟสบุ๊ควัดบางพระ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.308235002570177.74680.123218131071866&type=1&l=3c387f8035




203
๒๐ มกราคม ๒๕๕๕  ๑๐.๓๖ น. (เวลาตามประเทศไทย)

ณ วัดมหาราชฐานสุทธาวาส(วัดไทยใหญ่) หมู่บ้านกาหลั่นป้า เมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา สาธารณรัฐปนะชาชนจีน

ชาวไทลื้อเรียกวัดนี้ว่า "วัดสวนม่อน" หมายถึงสวนดอกไม้ที่อยู่บริเวณด้านหลังวัดที่หมู่บ้านกาหลั่นป้า

เป็นวัดในพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท(หินยาน) ศิลปะการสร้างคล้ายกับวัดทางภาคเหนือของไทย ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านกาหลั่นป้า ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของพี่น้องไทยปันนา (ไทลื้อ) ภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทยพื้นเมืองภาคเหนือ ทำให้สื่อสารกันพอเข้าใจ

ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นพุทธสถาน เพื่ปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสามเณร เป็นศูนย์รวมใจของชาวไทลื้อในหมู่บ้านกาหลั่นป้านี้แล้ว

วัดแห่งนี้ ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในสิบสองปันนาด้วยเช่นกัน

ด้านหน้าก่อนทางเข้าวัด จะพบกับนกยูง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิบสองปันนา ที่ได้ฉายาว่า "ดินแดนนกยูง" และลิง ไว้บริการนักท่องเที่ยวสำหรับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก




บริเวณซุ้มประตูทางเข้าวัดไทยใหญ่ จะมีป้ายเขียนด้วยภาษาไทลื้อ


อาคารศาสนสถานภายในวัดไทยใหญ่ ลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายทางภาคเหนือของไทย


เจดีย์สีทองอร่ามภายในวัด


ทางเข้าด้านหน้าพระอุโบสถ


ภายในมีพระพุทธรูปปูนปั้นทาทองปางมารวิชัยขนาดใหญ่ เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถหลังนี้


บริเวณด้านข้างของพระประธาน มีตู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ตั้งไว้เพื่อสักการะบูชา


ร่องรอยการปิดแผ่นทองคำเปลวที่องค์พระประธานในพระอุโบสถ


เครื่องบูชา ทำจากกระดาษสีสันสดใส ห้อยประดับไว้ด้านหลังพระประธาน


จิตรกรรม ภาพเขียนบนผ้า นำไปขึงติดประดับไว้บริเวณผนังโบสถ์ด้านใน เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติ และความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของชาวไทลื้อ


โครงสร้างของพระอุโบสถทำจากไม้ ใช้การขัดไม้ตามสลักเป็นชั้นๆ ตกแต่งลวดลายด้วยการทาทองเพื่อความสวยงาม


บริเวณด้านข้างขององค์พระประธาน จัดแยกเป็นอีกห้องหนึ่ง ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้จำนวนมาก ใช้เป็นสถานที่ให้พระภิกษุต้อนรับปฏิสันถารสาธุชน ที่มาเยี่ยมเยือนวัดแห่งนี้


รูปปั้นสิงห์สีทอง ที่ฐานเจดีย์ ด้านหลังเป็นหอกลอง


สามเณรภายในวัด ให้บริการขายธูป เพื่อนำไปจุดบูชารูปเคารพต่างๆภายในวัด


อาทิเช่น พระพรหม ศิลปะโดยทั่วไปก็คล้ายคลึงกับทางบ้านเรา


ปฏิมากรรมสะท้อนเรื่องราว ความคิด ความเชื่อ ในทางพระพุทธศาสนาของขาวไทลื้อ


ระเบียงด้านหลังพระอุโบสถ เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง สังเกตที่เสาทุกต้น จะไม่ฝังลงพื้น แต่จะต้องมีแท่นหินมารองรับไว้ วัฒนธรรมนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในวัดเท่านั้น แม้แต่บ้านเรือนของชาวไทลื้อที่นี่ ก็จะทำเช่นเดียวกันทั้งหมดหมด


ลวดลายการตกแต่งบริเวณผนังพระอุโบสถด้านนอก สังเกตดูจะใช้การทาสีทอง ไม่เหมือนกับบ้านเราที่นิยมใช้การปิดทองเป็นหลัก


มือจับบานประตูของวัดเป็นรูปสิงโต ก็ได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมของชาวจีน นำมาประยุกต์เข้ากันได้อย่างลงตัว


รูปหล่อพระสิวลีสร้างจากโลหะ ประดิษฐานไว้บริเวณหน้าวัดไทยใหญ่แห่งนี้


204
การเปลี่ยนวันปีใหม่ของไทยจากวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันที่ ๑ มกราคม มีความเป็นมาอย่างไร?

   ก่อนอื่นอยากให้ลองคำนวณดูว่า คนที่เกิดวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ พอถึง ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒ จะมีอายุเท่าไหร่

   คนที่เกิด พ.ศ.๒๔๘๒ จนถึง ๒๕๕๒ ตามหลักควรจะมีอายุ ๗๐ ปี ใช่ไหม แต่คำตอบคือ ๖๙ ปีเต็ม เพราะตอนปี ๒๔๘๒ นั้น พอถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๒ แล้ว วันถัดมาคือวันที่ ๑ มกราคม ซึ่งยังอยู่ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ พูดง่าย ๆ ว่า วันที่ ๑ มกราคม มาทีหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ใน พ.ศ. เดียวกัน

   ปัจจุบัน ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒ จะต้องเป็นวันแรกของปี วันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นวันสุดท้ายของปี แต่ตอนนั้นไม่ใช่ คนที่เกิดวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นน้องของคนที่เกิดวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ ถามว่าทำไม เพราะตอนนั้นวันแรกของปีคือ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ วันสิ้นสุดปี คือวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๒ เราเพิ่งมาเปลี่ยนการนับให้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันแรกของปีในปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นครั้งล่าสุด เพราะฉะนั้นปี ๒๔๘๓ จึงเป็นปีพิเศษ ที่มีแค่ ๙ เดือน คือเริ่มต้นที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๓ แล้วไปสิ้นสุดปีในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓

   ย้อนไปก่อนหน้านี้เราถือว่าวันแรกของปีคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ต่อมาเราเปลี่ยนให้วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันแรกของปี แต่การนับตามจันทรคติ ซึ่งแต่ละปีจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่สะดวกและจำยาก เลยเปลี่ยนไปนับแบบสุริยคติ คือให้วันที่ ๑ เมษายน ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มนับอย่างนี้เป็นครั้งแรกในปี ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วมาเปลี่ยนเป็นแบบปัจจุบัน เมื่อ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ เหตุที่เปลี่ยนเพราะเรามีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น จึงเปลี่ยนให้สอดคล้องกับนานาประเทศ ซึ่งจะทำให้การติดต่อต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น

ปัจจุบันในช่วงปีใหม่ คนไทยนิยมส่งการ์ดอวยพรกัน สมัยก่อนเขาส่งข้อความปรารถนาดีให้กันอย่างไรบ้าง?

   สมัยก่อนในวันปีใหม่เขาจะส่งความปรารถนาดีด้วยการชวนกันไปทำบุญ ซึ่งเป็นการให้ความปรารถนาดีอย่างถูกหลักวิชาที่สุด และที่บอกว่าจะส่งความสุขให้กันนั้น คนส่งต้องมีคามสุขก่อนถึงจะส่งให้คนอื่นได้ แล้วความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องประกอบเหตุคือทำบุญเสียก่อน ความสุขจึงจะเกิด สมัยก่อนเขาจึงให้ความปรารถนาดีแก่กันด้วยการชวนไปทำความดี ไปสร้างบุญสร้างกุศล เช่น ไปช่วยงานวัด ปัดกวาดลานวัด ฯลฯ

   แต่ถ้าเป็นคนที่มีความสำคัญ มีศักยภาพมาก และมีการติดต่อกว้างขวางกว่าในระดับชุมชนที่ตัวเองอยู่ เช่น เป็นเศรษฐีที่มีที่มีการค้าระหว่างเมือง หรือเป็นพระราชา ซึ่งจะต้องมีการติดต่อกันระหว่างเมือง ฯลฯ ก็อาจจะใช้วิธีฝากข่าวถึงกันโดยวาจาหรือโดยหนังสือก็ได้ ใครรู้ข่าวอะไรดี ๆ ก็จะบอกกล่าวกัน อย่างเช่นใครทราบข่าวว่า พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็รีบส่งข่าวถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก ข่าวดีเหล่านี้จะสร้างความปีติแก่ผู้รับข่าวเป็นอย่างยิ่ง อย่างพระราชามหากัปปินะ เมื่อทรงทราบข่าวการเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยจากพ่อค้าที่เดินทางไปถึงเมืองของพระองค์ ก็ทรงปีติจนตัวชาไปเลย และทรงตัดสินใจ สละราชสมบัติออกบวช สมัยก่อนเขาใจเด็ดขนาดนี้ นี่คือการส่งความปรารถนาดีในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล

อย่างนี้ช่วงปีใหม่ก็ควรจะทำบุญก่อนส่งความสุขให้คนอื่น การไปอยู่ธุดงค์ปีใหม่เป็นวิธีที่ควรทำใช่ไหม?

   จะทำอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเป็นกุศลไม่ว่าจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา การให้ทานนั้น เราอาจจะตักบาตรพระที่วัดใกล้บ้าน แล้ววันนั้นก็ตั้งใจรักษาศีลให้ดีเป็นพิเศษ แล้วเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม สวดมนต์ ทำภาวนา เป็นต้น นี่คือสิ่งที่ควรทำในวันปีใหม่ ไม่ใช่ปีใหม่แล้วฉลองกันจนเมา แบบนี้จะเป็นปีที่แย่มาก ต้องฉลองปีใหม่ด้วยใจที่สดใสผ่องแผ้ว ถ้าไปอยู่ธุดงค์ได้ยิ่งดีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะกิจวัตรกิจกรรมทั้งหมด คือ ทาน ศีล ภาวนา จะครบถ้วนบริบูรณ์ ถือเป็นการรับปีใหม่ที่ดีมาก ๆ

บางคนใกล้สิ้นปีแล้วก็ไม่สิ้นปัญหาเสียที อยากทราบว่าปัญหาต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุอะไร?

   ถ้ามองถึงรากของปัญหาจริง ๆ จะพบว่ามาจาก ๒ เหตุใหญ่ คือ ความอยากและความไม่รู้

   ๑.ความอยาก เมื่ออยากได้อะไรแล้วไม่ได้อย่างที่ใจเราคาดหวังไว้ ก็เสียอกเสียใจ หรือว่าอยากจะเป็นอะไร แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิด ก็ทุกข์ คือ มีความอยากแล้วไม่สมอยาก ไม่ได้อย่างที่หวัง ไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นต้น

   ๒.ความไม่รู้ คือ ไม่รู้วงจรของชีวิต

   พอ ๒ อย่างนี้มาประกอบกัน ปัญหาก็เกิดขึ้น สมมติว่า อยากรวย อยากได้สิ่งอำนวยความสะดวก แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ ก็จะมุ่งไปที่ผล คือ ความอยากได้ แล้วบางคนพออยากได้มาก ๆ ก็จะไปขโมย จี้ปล้น หรือแสวงหาทรัพย์โดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาหนักยิ่งขึ้น บางทีอยากได้ตัวบุคคล พอไม่ได้อย่างใจก็ทำลายเสียเลย แล้วต้องหนีหัวซุกหัวซุน บางทีต้องไปอยู่ในคุก นั่นคือ  “อยาก” แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะสมปรารถนา สุดท้ายใจไปเกาะที่ผล ความเสียหายก็เกิดขึ้น

   แต่ถ้าเข้าใจเรื่องวงจรของชีวิต แม้ยังไม่ถึงขนาดหมดกิเลส ความอยากยังไม่หมดไป แต่เข้าใจความจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งที่เราอยากจะได้นั้น จะได้หรือเปล่าขึ้นอยู่ที่เหตุ คือบุญในตัวเรามีมากพอหรือเปล่า ก็จะสามารถควบคุมความอยากให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่อยากจนกระทั่งดึงดันไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

   เพราะฉะนั้นใครอยากได้อะไรต้องประกอบเหตุ แทนที่จะเอาใจไปเกาะที่ผลว่าอยากได้ ๆ พอได้ก็ดีใจหน่อยเดียว เดี๋ยวอยากได้ของใหม่อีกแล้ว พอไม่ได้ก็เสียใจ เราควรจะอยากแค่พอประมาณ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุที่ประกอบไว้ในอดีต คือบุญที่เราสั่งสมไว้ และเหตุในปัจจุบัน คือ ความขยันหมั่นเพียร แล้วสุดท้ายสิ่งที่ปรารถนาก็จะได้มา และความดีที่เราทำในวันนี้ ก็จะเป็นบุญเก่าของวันต่อ ๆ ไป ถ้าบุญเก่าบวกบุญใหม่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่หวังก็จะสมปรารถนา กล่าวโดยสรุป ปัญหาเกิดจากความอยากและความไม่รู้ ถ้าจะแก้ต้องลดระดับความอยากให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ แล้วเพิ่มพูนความรู้เรื่องความจริงของโลกและชีวิตให้มากขึ้น ปัญหาก็จะทุเลาลงไปได้

บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาใหญ่กว่าคนอื่นมาก บางคนบอกว่าฉันมีปัญหานิดเดียว เราจะใช้อะไรตัดสินว่าปัญหาไหนใหญ่หรือเล็ก?

   ใครเจอปัญหาก็มักจะคิดว่าปัญหาของตัวเองเป็นปัญหาใหญ่ มีดบาดนิ้วเย็บแค่ ๒ เข็ม รู้สึกว่าเจ็บกว่าคนอื่นแขนขาดไปข้างหนึ่งเสียอีก เพราะมันเกิดกับตัวเอง ถ้าเกิดกับคนอื่นอย่างมากก็สงสาร เห็นใจอยากจะช่วยเขา แต่ไม่เหมือนที่เกิดกับตัวเอง หรือถ้าเกิดเรื่องกับคนใกล้ตัว ก็จะรู้สึกมากกว่าคนไกลตัว อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลักการสำคัญอยู่ที่ว่า เวลาเจอปัญหาอะไรก็ตาม ต้องไม่ขยายปัญหานั้นเกินจริง อย่าไปขยายให้ปัญหาเท่าหมูกลายเป็นเท่าช้าง เราควรจะเปลี่ยนปัญหาให้เหลือเท่าแมวมากกว่า และเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว อย่าเอาปัญหาของเราไปเป็นปัญหาของคนอื่น เช่น อยากได้อะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นปัญหาของตัวเอง ก็เลยไปปล้นเขา คือ ไปสร้างปัญหาให้คนอื่น อันนี้ไม่ถูก

   มีภูมิปัญญาของสังคมจีนที่สั่งสมมาหลายพันปีมาเล่าให้ฟัง เรื่องผู้เฒ่าซ่ายเสียม้า เรื่องมีอยู่ว่า ผู้เฒ่าชาวจีนคนหนึ่งชื่อซ่าย เขาเป็นคนที่เข้าใจชีวิตดีมาก มองชีวิตทะลุปรุโปร่ง ไม่ค่อยหวือหวาไปกับเรื่องราวที่มากระทบ มีอยู่คราวหนึ่งม้าของเขาหายไป เพื่อนบ้านรู้ข่าวก็มาแสดงความเสียใจ ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ม้าหายไปตัวหนึ่งไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจอะไร เขาตอบอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่สมัยนั้นม้าหายไปตัวหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่

   ม้าหายไปไม่กี่วันก็วิ่งกลับมาเอง แถมไปพาม้ามาอีกตัวหนึ่ง เป็นม้าพันธุ์ดีมาก ฝีเท้าเร็วมาก สง่างามมาก เพื่อนฝูงรู้ข่าวก็มาแสดงความดีใจ แต่ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ได้ม้ามาตัวหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องร้ายก็ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ดีใจอะไรมาก

   ลูกของผู้เฒ่าซ่ายชอบม้าตัวใหม่มาก เขาชอบขี่มันไปเที่ยว วันหนึ่งเขาขี่ม้าตัวนี้ออกไป มันวิ่งเร็วมากจนเขาพลาดตกลงมา ขาเป๋ไปข้างหนึ่ง เพื่อนฝูงรีบมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ลูกชายคนเดียวขาพิการไปข้างหนึ่งตลอดชีวิต ที่สุดแล้วจะเป็นเรื่องดีเรื่องร้ายยังยากจะตัดสินใจ

   ต่อมาประเทศจีนเกิดสงครามกับชนเผ่าทางเหนือของจีน ชายฉกรรจ์ทั้งแผ่นดินถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อป้องกันประเทศ แต่ลูกของผู้เฒ่าซ่ายเนื่องจากขาเป๋เลยไม่ต้องไปเป็นทหาร ศึกครั้งนั้นโหดมาก รบกันยืดเยื้อยาวนาน คนตายไปเป็นแสนเป็นล้านเลย แต่ลูกของผู้เฒ่าซ่ายกลับสามารถอยู่ในบ้านได้อย่างสงบสุข

   เรื่องนี้สอนว่า ถึงคราวได้อะไรมาก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจจนเกินไป ในดีมีเสีย ในเสียมีดี เจอเรื่องเสียก็อย่าเสียใจจนเกินไป ก้มหน้าก้มตาทำกิจของตัวเองด้วยความไม่ประมาท สุดท้ายเราจะสามารถผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้อย่างดี

คนเจอปัญหาแล้วเก็บไว้กับตัวเองตลอดเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด?

   ความอดทนไม่ตีโพยตีพายเป็นสิ่งที่ดี แต่เก็บกดไม่ดี การนิ่งเก็บปัญหาไว้กับตัวเองนั้น ต้องดูว่าเก็บแบบไหน เก็บด้วยความอดทนหรือเก็บกด อดทน คือทนรับเรื่องนั้นด้วยความเข้าใจ ด้วยใจที่ผ่องแผ้ว แต่เก็บกดเหมือนเก็บดินระเบิดเอาไว้ รอวันระเบิดออกมา ไม่ได้ทำด้วยความเข้าใจ ถ้าเข้าใจคือไม่มีปัญหาอะไรเลย เข้าใจที่มาที่ไปทุกอย่าง แล้วมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ใจของผู้ที่อดทนได้จะผ่องแผ้ว แต่ใจคนที่เก็บกดจะเครียดอยู่ข้างใน ข้างนอกอาจจะปั้นสีหน้ายิ้ม แต่ข้างในเครียด บางคนก็เกิดอาการโรคประสาท หรือแสดงอาการกราดเกรี้ยวออกมาเลยก็มี

   เราต้องเข้าใจปัญหา แล้วเดินหน้าแก้ไขด้วยใจที่ผ่องแผ้ว ไม่ย่อท้อ

บางคนเวลามีปัญหาเลือกที่จะเก็บไว้ไม่เปิดใจกัน เราควรจะเปิดใจกับบุคคลรอบข้างอย่างไร?

   ต้องเข้าใจความจริงว่าใจคนเราที่ยังไม่หมดกิเลสมันหวือหวามีขึ้นมีลง และต้องการการตอกย้ำสักนิดหนึ่ง สมมติชายหนุ่มกับหญิงสาวเกิดพึงใจกัน แล้วฝ่ายชายบอกฝ่ายหญิงว่า “ผมรักคุณ คุณจำไว้เลยนะ คำ ๆ นี้ใช้ได้ตลอดชีวิต ผมพูดครั้งเดียวพอ ผมเขียนให้คุณไว้ก็ได้ อยากจะฟังอีกเมื่อไร ก็เอากระดาษขึ้นมาอ่านแล้วกัน ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต” อย่างนี้ไม่เวิร์ก จะต้องตอกย้ำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น เพราะคนเรามีเหตุผลกับอารมณ์คู่กัน บางคนสัดส่วนอารมณ์มาก บางคนเหตุผลมาก ความเข้าใจธรรมชาติของคนเป็นสิ่งจำเป็น บางทีต่างฝ่ายต่างหวังดีต่อกัน อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข แต่ไม่เข้าใจกัน คิดไปเองเรื่อยเปื่อย แล้วก็มานั่งกลุ้มอยู่คนเดียว อย่างนี้ไม่ถูก ถ้าได้พูดคุยจนเข้าใจกันก็เป็นสิ่งที่ดี การเก็บไว้ไม่ดี ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข

   อาตมาเคยเจอโยมท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง อายุแค่ ๔๐ ปี เงินเดือน ๆ ละ ๓ แสนบาท เรียกว่าประสบความสำเร็จมาก แต่เขามาบอกว่ากำลังมีปัญหาครอบครัว จนกระทั่งคิดว่าจะแยกทางกับภรรยาแล้ว แต่สงสารลูก ๒ คน ตอนนี้ออกจากบ้านเป็นพัก ๆ เพราะเวลาอยู่บ้านเครียดมาก เครียดจนประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

   เขาเล่าว่า เขาต้องทำงานทุกอย่าง กลับถึงบ้านก็ต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก แม่บ้านไม่ยอมทำอะไรเลย วันธรรมดาเขาต้องรีบไปทำงาน เพราะงานเยอะมาก หัวค่ำ ๔ ทุ่มต้องนอนแล้ว แต่แม่บ้านยังไม่ยอมนอน ไปนอน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอวันศุกร์กับวันเสาร์ซึ่งเขาอยู่ดึก ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มได้ ปรากฏว่า ๔ ทุ่มแม่บ้านเข้านอนแล้ว ตั้งใจจะไม่เจอกัน ทำไมไม่เอาใจเขาบ้าง ถ้าช่วยงานเขาไม่ได้ อย่างน้อยน่าจะช่วยทำให้เขาสบายใจหน่อย คือเอาใจเขาหน่อย

   อาตมาฟังแล้วก็บอกว่า จริง ๆ แล้วแม่บ้านคุณโยมต้องรักคุณโยมมากเลย ถามว่าทำไมพูดอย่างนี้ เพราะว่าแม่บ้านเขาเคยเป็นแอร์โฮสเตส มีความสามารถในการทำงาน ก่อนจะมีครอบครัวก็เป็นซูเปอร์วูแมน เมื่อมีครอบครัวก็ยอมลาออกจากงานมาดูแลครอบครัว แสดงว่าเขายอมเสียสละเพื่อคุณโยมมากทีเดียว แล้วมีปัญหาอย่างนี้เขาก็ไม่บ่นเลยสักคำ แต่มีอะไรเขาก็มาให้คุณโยมทำ คุณโยมเคยคิดหรือเปล่าที่คุณโยมบอกว่า แม่บ้านไม่เก่งเลยสักอย่าง คุณโยมทำดีกว่าหมดทุกอย่าง เขาทำอะไรไม่ถูกใจเลยสักอย่าง เขาก็เลยเกิดอาการค่อย ๆ ถอยให้คุณโยมทำให้หมด

   แต่ที่ยังอดทนอยู่เพราะลูกและด้วยความรักที่มีอยู่นั่นแหละ อย่างนี้คุณโยมกำลังถือตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือเปล่าว่าตัวเองแน่ คิดอะไรโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเราเลย คิดแต่ว่าฉันดี ฉันเสียสละ เธอทำอะไรก็สู้ฉันไม่ได้สักอย่าง ช่วยทำให้ฉันสบายใจหน่อย นี่คุณโยมกำลังเรียกร้องให้เขาเป็นตุ๊กตาใช่ไหม

   การที่เขายอมขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องรักคุณมาก ทำไมไม่กระตุ้นเขาด้วยวิธีการชมบ้าง อย่าตำหนิไปเสียทุกเรื่อง ให้ลองเปลี่ยนใหม่ดู พอเขาทำอะไรปั๊บชมเลย โอ้โฮ เยี่ยมมาก ดีมาก ให้เขามีกำลังใจทำสิ่งดี ๆ อย่างอื่นต่อไป เขาบอกว่า ผมจะลองดู ปรากฏว่าเรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข พลิกมุมมองนิดเดียวเท่านั้นเอง

   เวลาเกิดอะไรขึ้นอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วจะเห็นอะไรอีกเยอะ เมื่อไรเราเข้าใจตัวเอง เราจะเข้าใจคนอื่นได้ดี แล้วลองคิดว่าทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ คนอื่นรู้สึกอย่างไร เวลาเห็นอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ให้มองลึกลงไปว่าอะไรทำให้เขาทำอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้นเขาคิดอย่างไร ถ้ามองอย่างนี้ได้เมื่อไร เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง ที่เข้าใจคน มองคนได้ลึกซึ้ง แล้วเราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและความสำเร็จ

   ปีใหม่นี้ ขอให้พวกเราทุก ๆ คน เป็นผู้ที่มีสติ ประกอบด้วยปัญญา สามารถสอนตนเองได้ เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิต สามารถมองปัญหาทุกอย่างชัดเจนตรงตามความเป็นจริง และแก้ไขอุปสรรคปัญหาเหล่านั้นได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้ทุกคนเริ่มต้นปีใหม่ด้วยบุญกุศล ด้วยความดีงาม และประสบความสุขความสำเร็จตลอดปี ตลอดไป จงทุกท่านเทอญ.


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ที่มา : วารสารอยู่ในบุญ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๑๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
         หน้า ๖๘ คอลัมน์ ข้อคิดรอบตัว เรื่องโดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)
.
   




205
บทความ บทกวี / เทศกาลลอยกระทง
« เมื่อ: 09 พ.ย. 2554, 12:19:49 »
เทศกาลลอยกระทงมีที่มาที่ไปอย่างไร?

   ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีที่มีมานานแล้ว บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย บ้างก็บอกว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสุโขทัย และยังมีทฤษฎีอื่น ๆ อีกหลายทฤษฎี แต่ความจริงแล้วตั้งแต่เริ่มมีประวัติศาสตร์ชาติไทยขึ้นมา ก็มีประเพณีลอยกระทงอยู่แล้ว

   ส่วนวัตถุประสงค์และความเป็นมาของการลอยกระทงมีดังนี้

   ประการแรก เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ บูชารอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทามหานที และบูชาพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเจดีย์จุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

   ในบางท้องที่ลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประทับรอยไว้เมื่อครั้งไปแสดงธรรมในนาคพิภพ คือมีอยู่ช่วงหนึ่งพญานาคอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมในนาคพิภพ หลังจากแสดงธรรมแล้ว ขณะจะเสด็จกลับ พญานาคกราบอาราธนาให้พระองค์ช่วยประทับรอยพระบาทไว้เป็นที่ระลึก ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทามหานที พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยประทับรอยพระบาทเอาไว้ เพราะฉะนั้น ถึงคราววันลอยกระทงก็ถือว่าเป็นการบูชารอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงโอกาสที่เสด็จไปแสดงธรรมในนาคพิภพ

   บางท้องที่บูชาพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเจดีย์จุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อย่างเช่นเทศกาลยี่เป็งทางเชียงใหม่ จะมีทั้งลอยกระทงและลอยโคม แต่ก่อนทั้ง ๒ อย่างนี้คู่ขนานกัน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าลอยโคมจะมาแรงกว่าลอยกระทงในแม่น้ำ

   การลอยโคมปล่อยขึ้นฟ้านี่เองที่เป็นการจุดประทีปบูชาพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเจดีย์จุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

   พระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งหมด ๔ พระองค์ องค์หนึ่งบรรจุอยู่ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อถึงคราววันเพ็ญ พระอินทร์จะนำหมู่เทวดาไปบูชาพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณี เราเองไปไม่ถึงสวรรค์ ก็จุดโคมลอยแล้วส่งใจไปบูชาพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณีเจดีย์ร่วมกับพระอินทร์และพวกเทวดา

   ตอนนี้ โคมลอยยี่เป็งดังไปทั่วโลกแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งโลกแห่มาดูยี่เป็งสันทรายที่ธุดงค์ล้านนา ซึ่งขึ้นชื่อลือชาจนฝรั่งมากันเป็นพันเป็นหมื่นคน ถือเป็นเทศกาลใหญ่ที่ทั้งทางจังหวัดและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต้องมาร่วมกันจัด มีคนไปร่วมงานเยอะมาก และไม่ใช่แค่นั้น เรายังไปจัดพิธีลอยโคมในวันวิสาขบูชาที่มองโกเลียด้วย จัดมาแค่ ๒-๓ ครั้งเท่านั้น ตอนนี้กลายเป็นเทศกาลประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมองโกเลียไปเลย มีคนเข้าร่วมงานมากมาย ที่อินเดียก็ไปจัดมาแล้ว ชาวพุทธในอินเดียเขาเห็นไทยจัด มองโกเลียจัด เขาก็จัดบ้าง เวลาจัดพิธีบวชอุบาสิกาแก้ว หลังปฏิบัติธรรมร่วมกันแล้ว ก็จัดพิธีลอยโคม เป็นการรวมใจทุกคนเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าเริ่มกระจายจากประเทศไทยขยายไปหลายประเทศแล้ว

   ประการที่สอง บูชาพระแม่คงคา

   การลอยกระทงเป็นการบูชาพระแม่คงคาในวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงที่มีน้ำเต็มตลิ่งบริบูรณ์ที่สุด เป็นการแสดงความขอบคุณผืนน้ำ เพราะมนุษย์เราอยู่ได้ต้องอาศัยน้ำ ตั้งแต่โบราณมา ชุมชนไหนจะสร้างเมืองต้องอยู่ติดแม่น้ำ ไม่มีแหล่งน้ำสร้างเมืองไม่ได้ ต้องสร้างอิงแหล่งน้ำทั้งนั้น ฉะนั้นในรอบ ๑๒ เดือน เดือนที่สุดที่จะทำพิธีก็คือเดือน ๑๒  เพราะว่าน้ำเต็มบริบูรณ์ แล้วชาวนาส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อย งานก็เสร็จแล้ว น้ำก็เต็มท่าได้จังหวะพอดี ก็เอาเทศกาลนี้มาลอยกระทงกันในคืนวันเพ็ญน้ำเต็มตลิ่งพระจันทร์สว่างเด่นบนฟ้า

   การบูชาน้ำก็ต้องหาอะไรที่ลอยได้ แล้วกลางคืนมืด ๆ ไม่มีแสงสว่าง มองไม่เห็นอะไร ก็ต้องบูชาด้วยความสว่าง จะเป็นความสว่างรูปแบบไหนก็แล้วแต่ท้องที่ แต่จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือต้องมีความสว่างเหมือนกันหมด

   ในภาคกลางบูชาด้วยกระทงที่ทำด้วยใบตองมีเทียนปัก ต่อมามีโฟมก็ใช้โฟมทำกระทง แต่บางคนไม่เอาโฟม ชอบกระทงแบบธรรมชาติ ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

   ทางเหนืออย่างจังหวัดตากขึ้นชื่อลือชาเรื่องกระทงสาย เขาเอากะลามะพร้าวมาขัดให้สะอาด แล้วเอาเทียนพรรษาหลอมมาใส่ในกะลา ตรงกลางเอาด้ายดิบมาทำเป็นไส้เทียน เตรียมไว้เป็นพันกะลาเลย ถึงคราวก็นำไปลอยในแม่น้ำปิงที่จังหวัดตาก จุดแล้วก็ลอยตาม ๆ กันไป จนบางคนที่เห็นกระทงไหลเป็นสายก็คิดว่าคงมีเชือกผูกอยู่ข้างล่าง จริง ๆ ไม่มี เผอิญแม่น้ำปิงที่ผ่านจังหวัดตาก ข้างล่างมีสันทรายอยู่ เวลาน้ำมามันจะมาเป็นร่องน้ำ เวลาปล่อยกระทงออกไปมันจะลอยไปตามร่องน้ำเป็นสาย เนื่องจากเขาปล่อยแบบต่อเนื่องกัน กระทงก็เลยไหลไปเป็นสาย เป็นภาพที่งามมาก

   เมื่อตอนประชุมเอเปค (APEC) ที่มีผู้นำทั่วโลกมาประชุมกันที่กรุงเทพฯ ไทยเราเป็นเจ้าภาพ พอเสร็จการประชุมแล้ว ตอนภาคค่ำ ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็ปล่อยโคมลอย โดยทางราชการติดต่อยืมทีมงานจากธุดงคสถานล้านนาที่ปล่อยโคมยี่เป็งให้มาช่วยปล่อยโคมข้างวัดพระแก้ว โคมลอยขึ้นไปบนฟ้าเป็นสาย ในแม่น้ำก็เอาทีมงานกระทงสายจากจังหวัดตากมา

   ตามปกติเขาจะดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้นำประเทศสูงมาก ต้องอยู่ในห้องที่มีกระจกกันกระสุน ป้องกันการลอบยิง ปรากฏว่าผู้นำประเทศไม่สนเลย เปิดประตูออกมายืนดูข้างนอกเลย แถมบางคนที่เป็นคู่สามีภรรยายังถือโอกาสโอบ ๆ กันนิดหน่อย เพราะบรรยากาศโรแมนติกสุด ๆ เขาว่าอย่างนั้นนะ บรรดาผู้นำเกิดความรู้สึกประทับใจมากว่าทำไมวัฒนธรรมไทยมีความงดงามอย่างนี้ ไม่เคยไปประชุมที่ไหนในโลกที่มีความสวยงามอย่างนี้เลย มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามก็คือพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว ซึ่งมีไฟสวยงามมาก บนฟ้ามีโคมยี่เป็งลอยขึ้นไปเป็นสาย บนผืนน้ำมีกระทงลอยมาเป็นสาย

   การบูชาพระแม่คงคาก็คือ การระลึกว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เราได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต เพราะฉะนั้นต้องแสดงความขอบคุณน้ำ แสดงความขอบคุณไม่ใช่แค่ลอยกระทงเฉย ๆ ต้องรู้คุณน้ำด้วย แล้วก็ใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้ทิ้งใช้ขว้าง เพราะน้ำไม่ได้มีเหลือเฟือ ต่อไปจะแย่งน้ำกัน ตอนมีน้ำอยู่ไม่รู้สึก พอแล้งน้ำก็จะพบว่า บางครั้งถึงกับอาจจะทำสงครามแย่งชิงน้ำกัน จะเห็นคุณค่าของน้ำตอนที่ขาด เพราะฉะนั้นต้องใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า แล้วก็ไม่ทำให้น้ำสกปรก ไม่ปล่อยของเสียลงน้ำ เป็นต้น รณรงค์ให้ทุกคนรู้จักการประหยัดน้ำ ใช้น้ำให้ถูกวิธี และไม่ทำให้แหล่งน้ำเสียหาย นี่คือการขอขมาพระแม่คงคา และแสดงความขอบคุณพระแม่คงคาที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปไหว้เทวดาพระแม่คงคา ไม่ใช่อย่างนั้น แต่แสดงความขอบคุณกับน้ำ ว่าเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรา ฉะนั้นเราต้องใช้น้ำให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์  ถ้าอย่างนี้ถูกหลัก

หลายคนบอกว่า การลอยกระทงเป็นการลอยทุกข์ลอยโศกให้ออกไปจากตัวเรา บางคนก็ตัดเล็บตัดผมใส่ลงไปในกระทง บางคนก็เอาเงินใส่ลงไป แล้วก็ลอยไป เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องไหม?

   อันนี้เป็นความเชื่อที่เพิ่มขึ้นมาทีหลัง ไหน ๆ ก็ลอยไปแล้ว ก็น่าจะเอาอะไรที่มันไม่ดีลอยออกไปด้วย คิดได้อย่างนี้แล้วรู้สึกสบายใจ นั่นเป็นสิ่งที่แถมขึ้นมา แต่ความจริงแค่เอาผมใส่กระทง ตัดเล็บใส่ เอาสตางค์ใส่ลงไป มันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกข์โศก โรคภัยต่าง ๆ จะลอยออกไป มันยังไม่ไป ถ้าต้องการให้ทุกข์โศก โรคภัย ลอยออกไปด้วยต้องสร้างบุญ ถ้าต้องการลอยทุกข์ ลอยโศก ลอยเคราะห์ ลอยภัยออกไป ในตอนกลางวันก่อนลอยกระทงให้ไปทำบุญก่อน ถวายสังฆทาน เลี้ยงพระ หรือว่าทำบุญในด้านต่าง ๆ พอกลางคืนมาลอยกระทงก็ระลึกนึกถึงบุญนี้ แล้วอธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้ ขอให้ทุกข์โศก โรคภัย เคราะห์ไม่ดีทั้งหลาย ออกไปจากชีวิตข้าพเจ้าอย่างนี้ถึงจะได้ ส่วนผมหรือเล็บตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอาไปใส่ถังขยะ

   ให้เข้าใจหลักนิดหนึ่งว่า ชีวิตคนเรามีระเบิดเวลาอยู่ ถ้าเปรียบชีวิตเราเหมือนนาวาชีวิต ระเบิดลูกนี้ก็เหมือนกับเป็นหินโสโครกใต้น้ำ เป็นทุ่นใต้น้ำที่เรามองไม่เห็น บางคนเราเห็นเขาเป็นคนดี ทำไมปุ๊บปั๊บรถชนตายไปแล้ว บางคนปุ๊บปั๊บป่วยตายไปเลย ทำให้สงสัยว่า ทำไมคนดี ๆ ตายเร็ว ที่จริงเป็นเพราะกรรมในอดีตของเขา ถ้าดูแค่ชาตินี้แล้วเขาอาจจะยังไม่ควรตาย แต่คนเราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ชาติก่อน ๆ ที่เขาทำไม่ดีมาก็มี มันมาส่งผลตอนนี้พอดี

   ถามว่าจะแก้อย่างไร วิธีการคือจะต้องสร้างบุญ ถ้าเราสร้างบุญก็เหมือนเติมน้ำ เหมือนเรือวิ่งอยู่ มีหินโสโครกอยู่ ถ้าเรือไปเกยหินเมื่อไหร่ก็เรียบร้อย จมเลย แต่พอน้ำสูงขึ้น เรื่อก็วิ่งผ่านไปได้ หินโสโครกก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่เรือวิ่งผ่านไปได้โดยไม่เกยตื้น เรือก็ไม่แตก เพราะน้ำหนุนให้เรือลอยผ่านไปเลย ชีวิตเราเหมือนกัน วิบากกรรมในอดีตตามมา แต่ถ้าเราสร้างบุญแล้ว บุญจะหนุนส่งให้นาวาชีวิตของเราสูงขึ้น แล้วลอยข้ามวิบากกรรมนั้นไปได้

   เพราะฉะนั้น อยู่ ๆ ไปลอยกระทงเฉย ๆ เคราะห์กรรมยังไม่ได้หายไปนะ ต้องไปสร้างบุญก่อน แล้วก็ตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นพิเศษด้วย เพราะวันเพ็ญเป็นวันดี ลอยกระทงเสร็จแล้วกลับมานั่งสมาธิ สวดมนต์ แล้วก็เปิด DMC ดู ใจจะได้อยู่ในบุญกุศล ถ้าลอยกระทงแล้วคิดว่าลอยเคราะห์ ลอยโศกไปแล้ว เสร็จแล้วไปดื่มสุรา แล้วก็ตีหัวกัน กรรมใหม่ก็ตามมาเลย บางครั้งไปเล่นดอกไม้ไฟกันแล้วไฟไหม้บ้านก็มี เพราะฉะนั้นจะผ่านทุกข์โศกโรคภัยไปได้ ต้องสร้างบุญ นี่คือหัวใจ

วัตถุประสงค์ของการจุดดอกไม้ไฟคืออะอไร?

   การจุดดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่เพิ่มมาทีหลัง พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อมีงานเทศกาล มีการลอยกระทง ก็พยายามหาอะไรที่ทำให้คึกคักสนุกสนาน

ควรอนุรักษ์หรือควรคำนึงถึงอะไรบ้างเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง?

   ควรคำนึงถึงเป้าหมายดั้งเดิม คือ ๑. บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. ระลึกถึงคุณของน้ำ แล้วบริหารจัดการน้ำอย่างถูกต้องตามหลักวิชา

ปัจจุบัน ความคิดเรื่องการลอยกระทงอย่างเดิมเปลี่ยนไปมากไหม?

   คิดว่ายังมีอยู่ แต่ว่าอาจจะไม่ชัดมากนัก บางคนก็ชัด บางคนก็ไม่ชัด ส่วนใหญ่อาจจะนึกว่าเป็นประเพณีก็เลยรักษาประเพณีเอาไว้ แต่ความเข้าใจว่า ประเพณีนี้มีเพื่ออะไรอาจจะไม่ถึงกับชัดเจนมากนัก

ทำไมเขาถึงกำหนดให้วันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง?

   อย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้าจัดงานวันเดือนมืดกับเดือนสว่างอันไหนดีกว่า ก็ต้องเดือนเพ็ญที่สว่างไสว เพราะฉะนั้นงานสำคัญ ๆ เขาจะจัดตรงกับวันเพ็ญ ซึ่งปีหนึ่งมีอยู่ ๑๒ ครั้ง การลอยกระทงถ้าจัดหน้าแล้งก็ไม่มีน้ำ ลอยไม่ได้ เลยต้องเลือกเดือนที่มีน้ำบริบูรณ์ที่สุด ซึ่งก็คือเดือน ๑๒ ที่น้ำนองเต็มตลิ่ง

บรรดาพุทธศาสนิกชนที่เป็นวัยรุ่นและผู้ปกครองควรปฏิบัติอย่างไรในเทศกาลลอยกระทง?

   ต้องระวัง เพราะว่าการลอยกระทงต้องลอยกลางคืน ต้องรอให้พระจันทร์ขึ้นก่อน พอมืด ๆ อากาศเย็น ๆ หนาว ๆ จะค่อนข้างโรแมนติก เพราะฉะนั้นวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวก็ชักจะคิดฟุ้งซ่าน เนื่องจากโอกาส จังหวะ อารมณ์ และบรรยากาศพาไป ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจจะเกิดเรื่องเสียหายได้ พ่อแม่ก็ควรจะดูแลลูกด้วย ถ้าไปด้วยกันเป็นครอบครัวได้ก็จะดี ใขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ควรจะต้องรู้ว่า เราต้องรักนวลสงวนตัวเราถึงจะมีค่า ถ้าไปทำอะไรแบบปล่อยตัวปล่อยใจไปง่าย ๆ เขาจะไม่เห็นค่า แล้วจะเกิดความเสียหายตามมาในภายหลัง

   อย่าให้เทศกาลที่ควรจะเป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลายเป็นทางมาของเรื่องไม่ดี อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ควรทำให้ถูกวัตถุประสงค์ คือ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงคุณของน้ำ ขณะเดียวกันก็ให้ระวังของแถมที่จะตามมา ซึ่งจะเป็นความเสียหายต่าง ๆ คือ การเมาสุรา การทะเลาะวิวาท แล้วก็เรื่องชายหญิง ตรงนี้ต้องระวังให้ดี ให้เราป้องกันข้อเสียแล้วเสริมข้อดี จะได้เป็นการรักษาอนุรักษ์ประเพณีลอยกระทงไว้อย่างถูกต้องและดีงาม.

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ที่มา : บทสัมภาษณ์ “ข้อคิดรอบตัว” วารสาร ”อยู่ในบุญ” ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔ หน้า ๖๘

เรื่องโดย : พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ (M.D.;Ph.D.)

206
"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะที่ห้วงน้ำท่วมไม่ได้ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความระวัง และด้วยการฝึกตน"(พุทธพจน์)

   ในปัจจุบันอุทกภัยนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น กระแสน้ำทะลักเข้าใส่บ้านเรือนพังพินาศ ได้รับความเสียหายกันไปทั่ว ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังเกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินถล่มกลบมนุษย์ทั้งเป็น ภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุจากการที่ชาวโลกประพฤติผิดศีลธรรม ทั้งหลงใหลในอบายมุข ทำให้กระแสบาปทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงส่งผลให้ธรรมชาติแปรปรวนไป จนมีนักโหราศาสตร์พยากรณ์เอาไว้ว่า ถ้าไม่รีบแก้ไข โลกอาจจะถึงกาลอวสานได้

   เรื่องของโลกาพินาศ(อรรถกถากัปปสูตร,วิสุทธิมรรค) ได้มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า โลกนี้จะถูกทำลายด้วยภัย ๓ อย่าง คือ ถ้ายุคสมัยใดคนมีกิเลสตระกูลโทสะมาก จะเกิดอัคคีภัยทุกหย่อมหญ้า หากผู้คนมีราคะมาก จะเกิดอุทกภัย และถ้าคนมีโมหะมาก โลกจะเกิดวาตภัยถูกลมพายุทำลายล้าง

ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก

   สมัยที่กัปพินาศเพราะไฟนั้น  จะมีเทวดาชั้นกามาวจรภูมิที่เรียกว่า โลกพยูหะ มาให้สติมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็นคนนุ่งผ้าแดง ปล่อยผมเผ้ารกรุงรังร้องไห้เช็ดน้ำตา เที่ยวเดินประกาศไปว่า "ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีจากนี้จะสิ้นกัป โลกจะพินาศ แม่น้ำและมหาสมุทรจะเหือดแห้ง มหาปฐพี ภูเขาสิเนรุจะถล่มทลายพังพินาศตลอดถึงพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมต่อกันเถิด จงบำรุงมารดาบิดา และเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีคุณธรรมเถิด"

   เมื่อพวกมนุษย์และเทวดาได้ฟังข่าวที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสลดสังเวชใจ กลับมีจิตเมตตา อ่อนน้อมต่อกัน ตั้งใจสั่งสมบุญกุศล แล้วไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนทวยเทพในเทวโลกต่างไม่ประมาท บำเพ็ญภาวนาจนได้ฌาน แล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก

   เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงที่ ๒ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้กำหนดกลางวันกลางคืนไม่ได้ เพราะโลกสว่างตลอดทั้งวัน สัตว์โลกเริ่มล้มตายกัน น้ำในลำธารเริ่มแห้งขอด ต่อจากนั้น พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏขึ้น ทำให้มหานทีแห้งไปหมด และเมื่อดวงที่ ๔ ปรากฏขึ้น สระใหญ่ทั้ง ๗ ในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นต้นแหล่งของมหานทีเหือดแห้งลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นสระอโนดาตก็แห้งหมด

   วันเวลาผ่านไปอีก พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ได้ปรากฏขึ้นมาอีก โลกเริ่มร้อนระอุมากขึ้น จนน้ำในมหาสมุทรไม่มีเหลืออยู่เลย ทันที่ที่พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาลมีควันพวยพุ่งขึ้นมา บรรยากาศอักแน่นไปด้วยควันมืดสนิท ครั้นดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นดวงสุดท้ายบังเกิดขึ้น ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาลมีเปลวไฟลุกโชติช่วง ภูเขาสิเนรุถูกไฟเผาไหม้ เปลวไฟลุกลามไปถึงสวรรค์ชั้นที่ ๖ ไหม้ต่อไปอีกจนถึงพรหมโลก ไปหยุดอยู่ที่พรหมโลกชั้นอาภัสสรากันเลยทีเดียว

น้ำบรรลัยกัลป์

   สมัยใดที่น้ำทำลายกัปให้พินาศ ฝนจะตกไม่หยุดจนน้ำท่วมโลก แล้วฝนน้ำกรดจะตกไปทั่วตลอดแสนโกฏิจักรวาล เมื่อแผ่นดินหรือภูเขาถูกน้ำกรด จะถูกกัดกินจนละลาย น้ำท่วมมีอานุภาพมากกว่าไฟไหม้ จะท่วมเรื่อยไปจนถึงพรหมโลกชั้นปริตรตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา ถูกทำลายย่อยยับหมด

 ลมบรรลัยกัลป์

   ถ้าโลกพินาศเพราะลม จะมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด สามารถพลิกแผ่นดินแล้วพัดให้กระจายไปในอากาศได้ ผืนแผ่นดินกว้างถึง ๑๐๐ โยชน์พังพินาศหมด แหลกละเอียดในอากาศ ลมจะหอบเอาภูเขาจักรวาล ภูเขาสิเนรุขึ้นไป แล้วซัดให้กระทบกันจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลี แล้วยังพัดวิมานในสวรรค์ทั้งแสนโกฏิจักรวาลให้พินาศหมด มหาวาตภัยนี้จะพัดตั้งแต่ในโลกมนุษย์ไปจนถึงพรหมชั้นสุภกิณหา ไปหยุดอยู่ที่ชั้นเวหัปผลา เมื่อโลกถูกทำลาย และได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ทุกสิ่งในจักรวาลจะสลายไปสู่ธาตุเดิม ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นกัป ๆ ถึงจะเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ คือเริ่มมีโลก มีพรหมลงมาเกิด มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว มีสิ่งมีชีวิต มีสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ตามมาอีก มากมาย มีต้นไม้ มีภูเขาบังเกิดขึ้น

โลกยังไม่แตก

   อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าโลกเราจะถึงกาลอวสานในยุคนี้ เพราะตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเหลือช่วงเวลาอีกยาวนานเหลือเกิน เพราะโลกยังอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ ซึ่งจะต้องมีการไขขึ้น-ไขลงตามกำลังการประพฤติกุศลและอกุศลของมนุษย์ อีกทั้งโลกจะถูกทำลายล้างก็ต่อเมื่อเลย ๖๔ อันตรกัปไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลานานมาก จนไม่ต้องพูดถึงเรื่องโลกแตกกันเลย เพียงแต่ว่าขณะนี้เราอยู่ในช่วงกัปไขลง กิเลสมนุษย์หนาขึ้นเรื่อย ๆ ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลงเหลือ ๑ ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยจนไปถึง ๑๐ ปี สตรีอายุ ๕ ขวบก็ตั้งครรภ์แล้ว มนุษย์เข่นฆ่ากันเอง ถึงขั้นเกิด “สัตถันตรกัป” คือมีอาวุธเกิดขึ้นในมือและทำลายล้างกันจนแทบหมดเผ่าพันธ์กันเลยทีเดียว ส่วนผู้ที่เห็นภัยก็หลบหลีกไปอยู่ตามป่าตามเขา

   เมื่อหมดสงครามจึงกลับมาเริ่มต้นประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหมือนเดิม ทำให้อายุเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใหม่ จนกระทั่งอายุมนุษย์มีกำหนด ๘ หมื่นปี สตรีมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงมีครอบครัว เวลานั้นมีความทุกข์อยู่เพียง ๓ อย่าง คือ ความหิว ความง่วง และความแก่ ผู้คนยิ่งทำความดีเพิ่มขึ้น อายุยิ่งทวีตาม จนกระทั่งมีอายุอสงไขยปี ในสมัยมนุษย์มีอายุอสงไขยปี มองเห็นความแก่ ความตายได้ยาก ความเจ็บไม่มี เลยทำให้เกิดความประมาท เวียนเป็นวัฏจักรของมนุษย์ในยุคต้นกัปใหม่ เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้น อายุมนุษย์ก็เริ่มลดลงจนเหลือ ๘ หมื่นปี เมื่อนั้นพระศรีอริยเมตไตรย์จะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ องค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้

วิธีป้องกันน้ำท่วม

   เราจะเห็นว่า โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับใจของมนุษย์นี่แหละ ถ้ามนุษย์รักษ์โลก ด้วยการประหยัดทรัพยากรโลก ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ปลูกป่า ไม่ทำให้คลองน้ำตื้นเขิน เป็นต้น โดยเฉพาะมนุษย์ ไม่ดื่มสุรา ไม่ประพฤติผิดในลูก ภรรยา หรือสามีของคนอื่น ไม่หลงใหลในอบายมุข โลกนี้ก็ยังคงสดสวย แต่ถ้ามนุษย์จิตใจขุ่นมัว ทำบาปอกุศลเห็นแก่ตัวมากเข้า ภัยพิบัติก็ย่อมลงโทษเป็นธรรมดา ตราบใดที่มนุษย์ยังประพฤติธรรม โลกก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ขอให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้สดใส ด้วยการประพฤติธรรมในทุกรูปแบบ ทั้งทาน ศีล ภาวนา และช่วยกันทำหน้าที่กัลยาณมิตร แนะนำคนรอบข้างให้อยู่ในศีล อยู่ในธรรม นอกจากทำตัวให้รอดพ้นจากอุทกภัยแล้วต้องคิดต่อไปว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้น้ำคือกิเลสท่วมทับใจของเรา ทำอย่างไรจึงจะสร้างเกราะแก้วป้องกันน้ำคือกิเลสท่วมใจเราได้ ใจคือแหล่งที่มั่นสุดท้ายที่ควรรักษาไว้อย่าให้น้ำคือกิเลสถาโถมเข้าโจมตี ควรทำเขื่อนหรือทำนบป้องกันตัวเต็มที่ ด้วยการหมั่นทำใจให้ผ่องใส จะได้มีสุขในปัจจุบัน แม้ละโลกก็มีสุคคติสวรรค์เป็นที่ไป.

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ที่มา :วารสาร "อยู่ในบุญ" ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔

เรื่องโดย : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙

207
   สำหรับเพื่อนสมาชิกที่ต้องการเดินทางไปยังวัดบางพระ แต่เส้นทางท่านา - นครชัยศรี ขณะนี้รถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เนื่องจากน้ำท่วมสูง ท่านที่ต้องการเดินทางไปวัดบางพระ แนะนำให้ใช้อีกเส้นทาง คือเข้าทางเส้นวัดสามความเผือก ข้างๆวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ดังแผนที่นี้ครับ


ปล.เส้นทางนี้อัพเดทจากการใช้เส้นทางจริงล่าสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ อาจจะมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เนื่องจากบางพื้นที่เพิ่งโดนผลกระทบจากอุทกภัย เช่น บริเวณวัดบางพระที่เพิ่งโดนน้ำท่วม เนื่องจากเขื่อนแตกเมื่อคืนนี้ ซึ่งตอนนี้กู้และสามารถระบายน้ำออกไปบางส่วนได้แล้ว แต่ยังมีน้ำขังอยู่บ้าง.

ฝากอนุโมทนาล่วงหน้ากับพี่เจมส์ คนรักษ์พระ ด้วยนะครับ.

208
บทสรรเสริญพระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโยทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ.

คำแปล

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ
นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ
เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ .

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

   พระสงฆ์ตามความหมายนี้ มิได้หมายถึงชายผู้อายุครบ ๒๐ ปี โกนผม คิ้ว นุ่งห่มผ้ากาสาวพักตร์ เพียงเท่านั้น แต่พระสงฆ์ตามความหมายดังกล่าวในบทสรรเสริญพระสังฆคุณ หมายเอา"บุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรษ"

   ดังนี้จึงจะเรียกว่าพระภิกษุสงฆ์ได้อย่างแท้จริง ส่วนชายอายุครบ ๒๐ ปี โกนผม คิ้ว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่าเป็น "สมมติสงฆ์" หมายถึงเป็นสงฆ์โดยสมมติ

   ฉะนั้นแล้ว สงฆ์จึงแยกพิจารณาแบ่งได้ ๒ ประเภทคือ

๑.พระอริยสงฆ์

๒.สมมติสงฆ์

   จะกล่าวถึงพระอริยสงฆ์ ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ต้องเป็นชายอายุ ๒๐ ปี โกนผม คิ้ว นุ่งห่มผ้ากาสาวพักตร์ เท่านั้น พระอริยสงฆ์ที่เป็นฆาราวาสก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นหญิง,ชาย,เด็ก,หนุ่ม,ชรา ก็สามารถเป็นพระอริยสงฆ์ได้เหมือนกันทั้งหมด ดังตัวอย่างในพระไตรปิฎกมากมาย เพราะดังที่ได้มีกล่าวไว้ในบทสรรเสริญพระสังฆคุณ นั่นเอง

   พระอริยสงฆ์ คือ บุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ ได้แก่ พระโสดาปัตติมรรค - พระโสดาปัตติผล,พระสกทาคามิมรรค - พระสกทาคามิผล,พระอนาคามิมรรค - พระอนาคามิผล,พระอรหัตตมรรค - พระอรหัตตผล

   โดยการนำธรรมข้อ "สังโยชน์ ๑๐" มาใช้พิจารณาว่าเป็นพระอริยบุคคลระดับไหน ดังนี้

ผู้ที่ละ สักกายะทิฏฐิ,วิจิกิจฉา,สีลลัพพตปรามาส ได้เด็ดขาด จะสำเร็จเป็น"พระโสดาบัน"

ผู้ที่ละ สักกายะทิฏฐิ,วิจิกิจฉา,สีลลัพพตปรามาส ได้เด็ดขาด และสามารถทำ กามราคะ,ปฏิฆะ ให้เบาบางลงได้ จะสำเร็จเป็น"พระสกิทาคามี"

ผู้ที่ละ สักกายะทิฏฐิ,วิจิกิจฉา,สีลลัพพตปรามาส,กามราคะ,ปฏิฆะ ได้เด็ดขาด จะสำเร็จเป็น"พระอนาคามี"

ผู้ที่ละ สักกายะทิฏฐิ,วิจิกิจฉา,สีลลัพพตปรามาส,กามราคะ,ปฏิฆะ,รูปราคะ,อรูปราคะ,มานะ,อุทธัจจะ,อวิชชา ได้เด็ดขาด จะสำเร็จเป็น"พระอรหันต์" เข้าพระนิพพานอันเป็นบรมสุขในที่สุด

   ยกตัวอย่าง - มีเรืออยู่ ๒ ลำ ลำนึงเป็นเรือเปล่าไม่ได้บรรทุกอะไร อีกลำหนึ่งบรรทุกสินค้ามากมายจนเต็มลำเรือ มีจุดหมายปลายทางคือ เกาะเกาะหนึ่งอันไกลโพ้น เมื่อเริ่มออกเดินทางพร้อมกัน ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า เรือลำที่ว่างเปล่าไม่ได้บรรทุกอะไร ย่อมแล่นไปได้เร็วกว่า สะดวกกว่า และอาจจะถึงเกาะกลางทะเลอันไกลโพ้นได้เร็วกว่าเรือลำที่บรรทุกสินค้ามาเต็มลำเรือ แต่ท้ายที่สุด เรือทั้งสองลำนั้นก็ย่อมไปถึงเกาะกลางทะเลอันไกลโพ้นได้เหมือนกัน

   เปรียบเทียบว่า เรือลำที่ว่างเปล่านั้นคือ"พระภิกษุ(สมมติสงฆ์)" เรือลำที่บรรทุกสินค้าจนเต็มลำเรือคือ"ฆาราวาส ปุถุชนคนธรรมดา" เกาะอันไกลโพ้นกลางทะเลคือ"พระนิิพพาน" อันเป็นเป้าหมายสูงสุด เป็นเป้าหมายที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนา

ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตสมณะก็เหมือนเรือที่ว่างเปล่า ไม่มีเครื่องพันธนาการ ปล่อยวางจากกังวลทั้งหลาย ก็ย่อมแล่นไปสู่ฝั่งคือพระนิพพานได้สะดวก รวดเร็วง่ายกว่า ชีวิตฆาราวาส ปุถุชนธรรมดาทั่วไป ที่ต่างก็มีเครื่องผูกมัดมากมาย เป็นภาระเป็นกังวลต่างๆที่เปรียบเสมือนสินค้าที่บรรทุกไว้ในเรือจนเต็มลำ

   ชีวิตฆาราวาส อาจจะมีเหตุติดขัด ขัดข้อง เป็นอุปสรรค เป็นเครื่องกังวล มีเครื่องพันธนาการอยู่บ้าง แต่หากมีความเพียรเป็นที่ตั้งและปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว ก็ย่อมไปสู่ฝั่งฝัน คือ พระนิพพานอันเป็นบรมสุข ได้อย่างแน่นอน


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

น้อมบูชาคุณอดีตพระอาจารย์ผู้สอนวินัยมุขและวิปัสสนาธุระ ด้วยความเคารพยิ่ง.

 

209

นำของหายากมาให้ชมครับ

พระท่ากระดานพิมพ์ใหญ่ หลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี

   หลวงพ่อสอน เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า พระท่ากระดานของท่านนี้ นำเนื้อตะกั่วเก่าจากกรุศรีสวัสดิ์มาสร้าง

พบเห็นได้น้อยมากๆ ด้วยจำนวนการสร้างที่น้อย และประสบการณ์โดยเฉพาะในพื้นที่

หากรุเก่าหรือของหลวงพ่อนารถไม่ได้ ก็อย่าลืมของหลวงพ่อสอนท่านนะครับ.

210
เก็บภาพงานบุญที่ได้ไปร่วมมาฝากเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระได้ร่วมอนุโมทนากันครับ :001:

มารับบุญที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เขตสังฆาวาส ภายในหอสมุดวัดพระปฐมเจดีย์.




ด้านใน พี่ๆในวัดช่วยกันคัดแยกสิ่งของที่ได้รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ผมกับครอบครัวได้ร่วมถวายเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนหนึ่งกับท่านพระมหารุ่งไว้ให้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยครับ






อีกบุญที่ได้ร่วมก็คือ ผ้าป่าสามัคคีบูรณะตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม โดยคณะสงฆ์ทุกวัดในจังหวัดนครปฐมและประชาชนทั่วไป
(ทอดไปแล้วเมื่อวันพุธที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ ศาลากองอำนวยการวัดพระปฐมเจดีย์ เวลา ๑๔.๐๐น.) ได้ร่วมสบทบทุนไปจำนวนหนึ่งครับ







มงคลวัตถุบางส่วนที่ได้รับไว้เป็นที่ระลึกถึงบุญครั้งนี้ครับ




นำภาพบุญมาฝากเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระให้ได้ร่วมอนุโมทนากันทุกท่านเลยนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

211
จากกระทู้นี้ - http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9438 ของคุณลุงหอมเชียง

มาวันนี้นำออกมาแบ่งชมกันได้แล้วครับ :001:





เฑาะว์มหาพรหม


 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

212




เหรียญเสมาเสือคู่ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี ๒๕๒๘ เนื้อทองคำ

สมัยนั้นร่วมบุญกับทางวัด ๕,๐๐๐ บาท สั่งจองไว้แล้วจะได้รับเหรียญทองคำนี้ ๑ เหรียญ

นำมาแบ่งปันกันชม...รอวาสนากันต่อไปขอรับ............................... :001:

213
พระครูภาวนาปัญญาดิลก(หลวงปู่พระมหาเจิม ปญฺญาพโล)วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
๑ ในพระอริยสงฆ์ที่หลวงตามหาบัวได้กล่าวไว้ว่าเป็นพระอรหันต์ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่ในปัจจุบันนี้?



ประวัติหลวงปู่พระมหาเจิม ปญฺญาพโล

สำหรับชาติภูมิหลวงปู่มหาเจิม ชื่อเดิม เจิม วรรณโมฬี เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๕๙ ตรงกับแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ณ บ้านหนองแหน ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อ นายหรุ่น วรรณโมฬี มารดาชื่อ นางม้วน วรรณโมฬี มีพี่น้อง ๖ คน ทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว

บรรพชาที่วัดแสนภุมมาวาส กับหลวงพ่อทอง ต่อมาได้ญัตติเป็นธรรมยุต กับเจ้าคุณอุบาลี คุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส กทม. อุปสมบท ณ วัดบรมนิวาส โดยมี พระพรหมมุนี (ติสฺโส อ้วน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพินิจ วิหารการ (ขำ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรดำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลวงปู่มหาเจิม เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่เจิมท่านเคร่งครัด ในธรรมวินัย เป็นที่สุด พูดน้อย พูดแต่ความจริง ไม่พูดเล่น เป็นผู้รักสันโดษ ไม่ยินดีในลาภยศ สรรเสริญ ท่านสละ ไม่ยอมรับแม้ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ลูกศิษย์ถามว่า ทำไมหลวงปู่ไม่ไปอยู่ภาคอีสาน จะได้โด่งดังเหมือนกับพระคณาจารย์อื่นๆ ท่านตอบว่า เราไม่อยากดัง มาอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว จะได้ใช้กรรมให้หมดไป


ประวัติที่ 2 ของหลวงปู่
ชีวประวัติหลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล


หลวงปู่มหาเจิม นามเดิม เจิม วรรณโมฬี เกิดที่บ้านหนองแหน ต.เมืองใหม่ อ.พนมสารคาม(ปัจจุบันเป็น อ.ราชสาสน์) จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง บิดามีนามว่า นายหรุ่น วรรณโมฬี มารดามีนามว่า นางม้วน วรรณโมฬี มีพี่น้องทั้งหมด ๖ คน เป็นผู้ชาย ๔ คน ผู้หญิง ๒ คน ได้เสียชีวิตแล้วทั้งหมด ๕ คน ที่มีชีวิตอยู่ปัจจุบันเหลือหลวงปู่เพียงองค์เดียว

การศึกษาของหลวงปู่ในวัยเด็กต้องศึกษากับวัดที่อยู่ใกล้บ้าน โดยเรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พออ่านออกเขียนได้เท่านั้น เพราะยังไม่มีโรงเรียนประชาบาลตั้งอยู่ในวัดสมัยนั้น และยังต้องย้ายออกจากบ้าน ห่างจากบิดามารดาและญาติพี่น้องมาอยู่ที่วัดตั้งแต่อายุประมาณ ๘ ขวบ

หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเฌร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ อายุได้ ๑๒ ขวบ กับหลวงพ่อทองซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแสนภุมมาวาส และได้อยู่กับท่าน ๑ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่ได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ และมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส ถนนรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยคุณย่าอิ่ม รัดสกุล เป็นผู้นำมาฝากฝังกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) และได้ญัตติเป็นธรรมยุต กับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อีกด้วย

การศึกษาบาลีและนักธรรม ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สอบบาลีไวยากรณ์ได้ที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ และ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมเอก และหลวงปู่ยังสามารถสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ได้ในปีเดียวกัน

เมื่อหลวงปู่อายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ณ พระอุโบสถวัดบรมนิวาส โดยมีพระพรหมมุนี (ติสฺโส อ้วน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพินิจ วิหารการ (ขำ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรดำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงปู่ได้ออกปฏิบัติ โดยเดินทางขึ้นสู่ภาคเหนือ ได้จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๑ พรรษา

ปี พ.ศ. ๒๔๘๒-พ.ศ. ๒๔๘๗ จำพรรษาที่วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จำพรรษาที่วัดทิพย์วนาราม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้กลับมาจำพรรษาที่ วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อีกครั้ง

ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ลงมาอยู่ภาคกลาง ได้ลงไปจำพรรษาที่อ่าวยาง จ.จันทบุรี เพียงรูปเดียว

ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้ไปจำพรรษาที่อ่าวหมู กับ พระอาจารย์น้อย เกตุโร อยู่ ๑ พรรษา และได้เดินทางลงไปจำพรรษาที่ปักษ์ใต้ โดยได้ไปอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมคีร์ปัญญาวิศิษฏ์) ที่จังหวัดภูเก็ต

ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จำพรรษาที่อ่าวลึก จ.กระบี่ กับอาจารย์พรหมมา

ปี พ.ศ. ๒๔๙๖-พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้อยูจำพรรษาที่คลองช่องลม อ.อ่าวลึก จ.กระบี่

ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ กลับมาจำพรรษาที่วัดแสนภุมมาวาส อันเป็นบ้านเกิด เพื่อเยี่ยมโปรดโยมบิดา โยมมารดา

ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กลับลงไปภาวนาที่ภาคใต้อีกครั้ง โดยจำพรราที่อ่าวลึก จ.กระบี่ ได้ ๑ พรรษา

ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จำพรรษาที่วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย กับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (พระสุธรรมคณาจารย์)

ปี พ.ศ. ๒๕๐๔-พ.ศ. ๒๕๐๗ จำพรรษาที่วัดเขาแก้ว จ.จันทบุรี

ปี พ.ศ. ๒๕๐๘-พ.ศ. ๒๕๑๗ จำพรรษาที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี

ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กลับไปวัดเขาช่องลม อ.อ่าวลึก จ.กระบี่อีกครั้ง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙-พ.ศ. ๒๕๓๑ และในระหว่างนั้นหลวงปู่ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกระบี่ และ พังงา

ต่อมาท่านได้มาอยู่ที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซอยจรัลสนิทวงค์ ๓๗ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อรักษาอาการอาพาธ และมาพักอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (พระครูสุทธิธรรมรังษี) ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

ปี พ.ศ. ๒๕๓๓-ปัจจุบัน หลวงปู่ได้รับอารธนานิมนต์มาเป็นประธานสงฆ์ วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งเดิมมีพื้นที่เป็นป่าช้าเก่า

สหธรรมิกของท่านที่เคยอยู่ร่วมกันมามีมากมายหลายท่านเช่น หลวงปู่เทศน์ เทสก์รังษี ,หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ,หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ,หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ,หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ ,หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ เป็นต้น

หลวงปู่ท่านเป็นพระที่ชอบสันโดษไม่หวังลาภยศใดๆ มีลูกศิษย์มาถามท่านว่าทำไมท่านไม่เทศน์บ้าง ท่านตอบว่า

ธรรมมีมากมาย พระเทศน์เก่งๆก็มีเยอะ แต่คนเอาธรรมไปใช้มีน้อย มีลูกศิษย์ท่านนึงขอธรรมะจากท่าน ท่านได้ให้ธรรมะสั้นๆ แต่ออกจากใจท่านแท้ๆ ท่านเขียนไว้ว่า "ปล่อยว่าง วางเบา เอาหนัก" ท่านบอกว่าใครทำได้ถึงตรงนี้พ้นทุกข์ได้แน่นอน...

...

ที่มา - ลานธรรมจักร ( http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3421)
       - วัดป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ( http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=759 )   

214
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม


ตอนนี้ที่เหลือไว้...


นำมาแบ่งปันกันชมนะครับ :001:

215
พระบูชาหลวงปู่หิ่ม วัดบางพระ


พระบูชาหลวงพ่อไสว วัดปรีดามราม


พระบูชาหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมรุ่นแรก


พระบูชาหลวงพ่อโสธรปี๐๙


พระบูชาหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว


พระบูชาหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ


พระบูชาหลวงปู่ดี วัดสุวรรณ


พระบูชาหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทรรุ่นแรก


ปิดท้ายที่ภาพขนาดบูชาหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว


*คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์หลับในอู่ทะเลบุญกันทุกท่านนะครับ :061:

216


พระปิดตาผงเมตตา หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม

สร้างปี ๒๕๒๗ จำนวนน้อย(บ้างก็ว่าเท่ากับปี พ.ศ.) โดยหลวงพ่อแช่มได้นำว่านที่มีความเชื่อเกี่ยวกับทางเมตตา,เสน่ห์ บวกกับผงเก่าหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม มาเป็นส่วนผสมจำนวนมาก จนผู้ที่นำไปบูชาเกิดประสบการณ์ต่างๆมากมาย ถึงขนาดเรียกขานกันว่า "พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว ๒"

นำมาแบ่งปันกันชมครับ :001:

217


นำมาสอบถามความเห็นครับ ว่าใช่พระพิมพ์ของหลวงปู่หิ่ม วัดบางพระหรือเปล่าครับ?

ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้านะครับ :001:

ปล.วัดโคกปูนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ได้ข่าวว่าน้ำถึงกำแพงวัดแล้ว :075:

218
บทความ บทกวี / มาสวดมนต์กันเถิด
« เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 01:25:30 »
มาสวดมนต์กันเถิด

การสวดมนต์มีที่มาจากไหน อย่างไร
   การสวดมนต์เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งยังไม่มีการบันทึกคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นลายลักษณ์อักษร สมัยก่อนใช้วิธีการที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” คือ การท่องจำ เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรไว้ พระภิกษุก็จะท่องจำ แล้วบอกต่อ ๆ กันไป ดังนั้น การสวดมนต์ก็คือการสาธยายธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้เป็นการมาทบทวน เพราะถ้าไม่ทบทวนบ่อย ๆ ก็จะลืม และถ้าเป็นหัวข้อธรรมที่สำคัญ ๆ ก็ยิ่งต้องท้องกันบ่อย ๆ ส่วนหัวข้อธรรมที่นาน ๆ จะใช้สักครั้ง ก็แบ่งหน้าที่กันว่าพระภิกษุรูปไหนจะท่องจำหัวข้อธรรมอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องหลัก ๆ เช่น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การพิจารณาความไม่เที่ยง อนันตา ความทุกข์ ฯลฯ ก็จะมีการทบทวนสม่ำเสมอ โดยแปลงมาเป็นการสวดมนต์ทำวัตร หรือเป็นบทสวดมนต์ของเด็ก ๆ ที่สวด “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา...” คือ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นพื้นฐานสำคัญ


นอกจากเป็นพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว การสวดมนต์มีประโยชน์อะไรบ้าง
   การสวดมนต์ถือว่าเป็นการเตรียมใจให้พร้อมเบื้องต้นสำหรับการทำสมาธิก็ว่าได้ วิถีชาวพุทธที่ประกอบด้วยทาน ศีล ภาวนา คำว่า “ภาวนา” คลุมทั้งสวดมนต์ ทั้งนั่งสมาธิอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นการสวดมนต์ถือเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์ทำให้ใจสงบ เป็นสมาธิ นี้ประการแรก
   ประการที่ ๒ การสวดมนต์เป็นทางมาแห่งบุญเรียกว่า ภาวนามัย คือบุญเกิดจากการทำภาวนา ใครก็ตามที่สวดมนต์บ่อย ๆ เวลาจะเจอเหตุร้ายก็จะแคล้วคลาดไป และสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น โบราณบอกว่าเทวดาจะลงรักษา เพราะเทวดาเขาก็อยากได้บุญ แต่เขาอยู่ในภาวะที่เป็นกายละเอียด ทำบุญเองไม่สะดวก ดังนั้นถ้าเขาอยากได้บุญ เขาจะดูว่าใครทำความดี เขาจะลงรักษา พอลงรักษาแล้วเวลาคนนั้นไปทำความดี เขาจะได้ส่วนบุญด้วยในฐานะเป็นผู้สนับสนุน


สวดมนต์ยาวหรือสั้นได้บุญมากน้อยกว่ากันหรือไม่
   ไม่ถึงขนาดกำหนดว่าสั้นยาวแค่ไหนจะได้ผลเท่าไร ถ้าสวดมนต์สม่ำเสมอและสวดด้วยใจที่สงบบุญจะเกิด ยิ่งใสสงบมากเท่าไร บุญก็ยิ่งเกิดมากไปตามส่วน เด็กเล็ก ๆ ก็ให้หัดสวดสั้น ๆ ก่อน โตขึ้นก็สวดยาวขึ้น
   การสวดมนต์ยังเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ไม่ถึงขนาดว่าระหว่างสวดต้องคิดถึงคำสอนไปด้วย เน้นทำใจให้สงบ จะได้เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ในระดับที่ลึกกว่า ไม่ต้องสวดไปด้วยและนึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปด้วย จะรบกวนความเป็นสมาธิ ให้สวดด้วยใจนิ่ง ๆ เพราะการที่ใจนิ่งแล้วสวดมนต์ ความซาบซึ้งในพระรัตนตรัยจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่


สวดโดยทราบความหมายกับไม่ทราบความหมายให้ผลแตกต่างกันไหม
   ถ้าทราบความหมายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ทราบความหมายก็อย่าคิดว่าไม่ได้ประโยชน์ หรือเวลาฟังพระสวด แม้เราไม่รู้ความหมาย แต่เราก็รู้ว่าท่านสวดบูชาพระรัตนตรัย แล้วก็มีนัยที่ดี ถ้าเราตั้งใจฟังคำสวดโดยทำใจนิ่ง ๆ สงบ ๆ เพียงเท่านี้บุญเกิดขึ้นอย่างมหาศาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า การทำใจให้สงบแม้เพียงช่วงสั้น ๆ เพียงแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น อานิสงส์มหาศาลยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหารอีก เพราะฉะนั้น เวลาที่เราสวดมนต์ หรือเวลาพระท่านสวดนานเป็นสิบ ๆ นาที ถ้าเราทำสมาธิแล้วฟังด้วยใจที่สงบ บุญมหาศาลเลย เวลามีการสวดมนต์ในงานใดก็ตาม ขอให้ตั้งใจฟัง พนมมือหลับตาทำใจนิ่ง ๆ อยู่ที่กลางท้อง ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง แล้วก็ฟังไป อย่างนี้ถูกหลักวิชา บุญกุศลจะเกิดขึ้นกับเราอย่างมหาศาล อย่าว่าแต่คนเลย ในอดีตมีค้างคาวได้ฟังธรรม แม้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ฟังแล้วซาบซึ้ง สบายใจ มีความสุข อานิสงส์ฟังพระสาธยายธรรมทำให้ค้างคาวไปเกิดเป็นเทวดา แค่ค้างคาวส่งใจไปตามกระแสเสียงสวดมนต์ของพระ บุญยังส่งผลให้ไปเป็นเทพบุตร ฉะนั้นอย่าดูเบาการสวดมนต์ ถ้าเราสวดเองด้วยยิ่งได้บุญทับทวีคูณ


เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าถ้าแปลคำสวดมนต์แล้วจะทำให้ไม่ขลัง
   คงไม่ได้เกี่ยวกับขลังหรือไม่ขลัง แต่ภาษาบาลีเป็นภาษาที่เวลาสวดจังหวะจะเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ถ้าจะสวดมนต์แปลสั้น ๆ ก็พอได้ แต่ถ้าแปลยาว ๆ สวดบาลียาวไปเลยทีเดียวดีกว่า จะช่วยการฝึกสมาธิของใจได้ดีกว่า เพราะจังหวะดีกว่าสวดคำแปลไปด้วย ยกเว้นบางบทสั้น ๆ ที่เราอยากจะรู้ความหมายจริง ๆ จะแถมบทแปลไปด้วยก็ได้ แต่ว่าโดยภาพรวม ถ้าเป็นภาษาบาลีน่าจะดี ไม่เกี่ยวกับความขลัง แต่เกี่ยวกับความราบรื่นของใจที่สงบและเป็นสมาธิ แต่อย่างไรก็ตาม จะแปลหรือไม่แปล สวดย่อมดีกว่าไม่สวด


มีนักวิจัยชาวตะวันตกวิจัยว่าการสวดมนต์ช่วยรักษาสุขภาพได้ เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไรบ้าง
   คนเราประกอบด้วยกายกับใจ ทั้ง ๒ ส่วนส่งผลเนื่องกัน ถ้าตอนไหนเรามีเรื่องเครียด ไม่สบายใจ หลาย ๆ วันเข้าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่สบายได้ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ มีโรคนั้นโรคนี้มา ถ้าตอนไหนรู้สึกสบายใจ อารมณ์ดี รู้สึกมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิต หน้าตาผิวพรรณจะสดใส กายกับใจจะส่งผลเนื่องกัน ขณะเดียวกันถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยนาน ๆ ใจย่อมหดหู่ไปด้วย แต่ถ้าร่างกายแข็งแรง ใจเราจะมีโอกาสสดชื่นมากกว่าทั้ง ๒ ส่วนส่งผลซึ่งกันและกัน ทีนี้การสวดมนต์ทำให้เรานิ่งสงบและสบายใจ พอสบายใจ ใจที่ได้สมดุลย่อมนำไปสู่ภาวะร่างกายที่สมดุลด้วย จึงทำให้คนที่สุขภาพดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น ถ้าหากป่วยไข้ไม่สบายก็จะทุเลาลง


เรื่องของการสวดมนต์แต่ละศาสนาถ้าดูในแง่วิทยาศาสตร์ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
   มีการทดลองอันหนึ่งที่น่าสนใจ คือ มีนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ เขาทดลองเอาน้ำมาทำให้เย็นจนกระทั่งแข็งตัวจับเป็นผลึก แล้วทำให้เป็นแผ่นบาง ๆ จากนั้นรีบเอามาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูว่าลักษณะผลึกน้ำเป็นอย่างไร แล้วเขาก็ทดลองนำน้ำจากแหล่งเดียวกันมาแยกเป็น ๒ ขวด แล้วพูดเพราะ ๆ กับน้ำขวดหนึ่ง อีกขวดหนึ่งพูดไม่ดีด้วย ใช้คำที่ร้าย ๆ เช่น แย่ เลว ปรากฏว่า ผลึกของน้ำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่พูดเพราะ ๆ ด้วยเป็นผลึก ๖ เหลี่ยม สวยงาม แต่ที่พูดไม่ดีด้วย ผลึกของน้ำไม่เป็นรูปเลย ราวกับว่าน้ำนั้นหัวใจสลาย
   แม้แต่ข้าวก็เหมือนกัน หุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาไปใส่ขวดโหล ๒ ขวด ปิดฝาไว้ แล้วพูดขอบคุณข้าวในขวดแรก แต่กับอีกขวดหนึ่งพูดไม่มีด้วย พูดว่าไอ้โง่ทุกวัน ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข้าวในขวดที่พูดเพราะ ๆ ด้วยมีสีเหลืองสวยงาม แต่อีกขวดเป็นสีดำ
   อีกภาพเป็นผลึกของน้ำจากเขื่อนฟูจิวาร่า ก่อนได้ฟังเสียงสวดมนต์ลักษณะของผลึกไม่เป็นรูปเลย แต่พอสวดมนต์ให้ฟังทุกวัน ปรากฏว่าผลึกมีรูปร่างสวยงาม นี่เป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถทำซ้ำได้ ทำกี่ทีก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ร้อย ๆ พัน ๆ ปี แล้วบังเอิญเกิดขึ้นทีหนึ่ง ถ้ามีใครกล้องจุลทรรศน์ก็สามารถทดลองอย่างนี้ได้
   นอกจากนี้ ยังพบว่าถ้าเปิดเพลงจังหวะต่าง ๆ ให้น้ำฟัง ลักษณะของผลึกน้ำก็จะเปลี่ยนไปตามจังหวะเพลง ถ้าเป็นเพลงคลาสสิคลักษณะผลึกก็ค่อนข้างจะสวยงาม ถ้าเป็นเพลงที่ก้าวร้าวรุนแรงเหมือนยุให้คนไปทำร้ายกัน ผลึกก็จะไม่เป็นรูปเลย


คนทั่ว ๆ ไป สวดมนต์ใส่น้ำ กับพระสงฆ์สวดมนต์ใส่น้ำ ผลึกน้ำจะมีความแตกต่างกันไหม
   ตรงนี้น่าสนใจ ถามว่า ข้าวก็ตาม น้ำก็ตาม มันรู้จักภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาไทยด้วยหรือ ตอบว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องภาษา แต่เป็นเรื่องของกระแสใจ ตอนที่เราพูดว่าขอบคุณ จะใช้ภาษาไหนก็ตาม กระแสใจที่ออกมาจะเป็นกระแสของความรู้สึกที่ดี แต่ถ้าพูดว่าไอ้โง่ แม้จะพูดในการทดลองก็ตาม กระแสใจเริ่มเปลี่ยนแล้ว พอกระแสด้านลบออกมาซ้ำ ๆ กันทุกวัน ก็จะส่งผลให้ข้าวและน้ำที่แม้ไม่รู้จักภาษาพูด แต่สามารถสัมผัสกระแสความรู้สึกที่ออกไปได้ ทำให้กระแสนั้นไปส่งผลต่อลำดับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในข้าวได้
   ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ทุกวันด้วยความดื่มด่ำซาบซึ้ง ก็จะมีคลื่นที่ดีออกมาจากภายในให้กับตัวเราเอง สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิต เลือดหรือน้ำในตัวเราทั้งหมด ถ้านำไปส่องกล้องแล้วผลึกจะต้องสวยมาก ผิวพรรณวรรณะก็จะผ่องใส รูปร่างหน้าตาก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาให้ตัวเรามีสุขภาพแข็งแรง มีความเบิกบานผ่องใสแล้วละก็ สวดมนต์เถิด เครื่องสำอางยี่ห้อไหนก็สู้ไม่ได้


ในแง่พระพุทธศาสนา การสวดมนต์มีอานิงสงส์อย่างไรบ้าง
   คำว่าอานิสงส์มีความหมายคล้าย ๆ กับคำว่าประโยชน์ พอเราสวดมนต์ใจเราก็จะสงบและเกิดกุศลขึ้นมาหล่อเลี้ยงใจ แล้วจะดึงดูดสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ชีวิตเราจะดำเนินไปทางบวก สุขภาพแข็งแรง จิตใจเบิกบานผ่องใส หน้าที่การงานจะดี การเรียนและทุกอย่างจะดีไปเรื่อย ๆ
   มีเรื่องราวกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า มีเด็ก ๒ คนเป็นเพื่อนกัน อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี คนหนึ่งอยู่ในครอบครัวชาวพุทธที่มีสัมมาทิฐิ อีกคนหนึ่งอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฐิ เวลาแข่งเล่นกีฬาตีคลี เด็กคนแรกจะสวดมนต์ก่อนสั้น ๆ ว่า “นะโมพุทธายะ” แปลว่า ข้าพเจ้านอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อีกคนหนึ่งสวดบูชาพระพรหม เล่นกันทีไรเด็กคนแรกชนะตลอด จนเด็กคนหลังถามว่า เธอมีเคล็ดลับอะไร ทำไมชนะตลอด เด็กคนแรกก็เลยบอกว่า เธอต้องสวด “นะโมพุทธายะ” เด็กอีกคนไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของคำว่า “นะโมพุทธายะ” แต่ก็สวด เพราะหวังว่าเวลาทำอะไรจะได้ประสบตวามสำเร็จ
   มีอยู่คราวหนึ่ง เด็กคนหลังตามพ่อไปตัดต้นไม้ในป่า โคที่เทียมเกวียนหนีไป พ่อเลยไปตามโคจนมืดแต่ก็ยังไม่กลับ เด็กชักกลัวเลยหลบไปนอนใต้เกวียน ในป่านั้นมียักษ์อยู่ ๒ ตน ตนหนึ่งไม่รังแกคน อีกตนเจอคนก็จะรังแก บางครั้งก็เอามาเป็นอาหาร ยักษ์ทั้งคู่เห็นเกวียนก็ด้อม ๆ มอง ๆ ดู ปรากฏว่าเจอเท้าเด็กโผล่ออกมา ยักษ์ใจร้ายบอกว่าโชคดีได้เด็กเป็นอาหารแล้ว ยักษ์ใจดีบอกว่าอย่าไปยุ่งเลย ไปหาผลไม้กินก็ได้ แต่ยักษ์ใจร้ายจะกินเด็ก เลยจับขาเด็กลากออกมา เด็กตกใจรีบท่อง “นะโมพุทธายะ” ท่องเท่านั้นเอง ยักษ์รู้สึกว่าร้อนเหมือนจับเหล็กเผาไฟแดง ๆ สะดุ้งคลายมือทันทีเลย และคิดว่า เด็กคนนี้มีบุญ ถ้าเราไปทำร้ายเขาสงสัยบาปเกิดแน่ ๆ เลยขอโทษเด็ก แล้วก็เชื่อมให้เด็กกับพ่อเจอกันและกลับบ้านด้วยความปลอดภัย อานิสงส์แค่สวดมนต์อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สวดแค่สั้น ๆ บุญยังเกิดขึ้นอย่างนี้เลย คนโบราณท่านรู้หลักนี้ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะอุทานว่า “คุณพระช่วย” คือนึกถึงพระรัตนตรัยก่อน ผูกใจไว้กับพระรัตนตรัยเลย เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราจับหลักได้อย่างปู่ย่าตายาย ผลดีจะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่น่าเชื่อ


คนไม่ค่อยมีเวลา จะสวดมนต์ตอนไหนดี
   มีโยมอาจารย์คนหนึ่ง เขาสอนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขานอนวันละ ๔ ชั่วโมง เที่ยงคืนถึงตี ๔ ทุกวัน ตลอดมา ๒๐ กว่าปี เขามีงานเยอะมาก ๆ ทั้งสอนหนังสือ ทำวิจัย ทำงานบ้านทุกอย่าง ดูแลทุกเรื่อง แต่เขาสวดมนต์วันหนึ่งได้เป็นร้อยจบ สวด “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ...” จบหนึ่งก็ราว ๓ นาที เวลาขึ้นรถไปมหาวิทยาลัยก็สวดมนต์ในใจไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนไหนอยู่คนเดียวก็สวดเบา ๆ แทนที่จะปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ สวดมนต์ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นตัวอย่างว่างานเยอะก็สวดมนต์ได้
   เราเองในแต่ละวันมีเวลาที่ไร้สาระเยอะมาก ถ้าเอาเวลาเหล่านี้มาสวดมนต์ก็จะได้หลายรอบ แทนที่จะปล่อยใจไปคิดเรื่องอื่น อาบน้ำอยู่ก็สวดได้ไม่บาป เพราะการระลึกถึงพระรัตนตรัยคือการแสดงความเคารพ ล้างหน้า แปรงฟัน สวดได้หมด กินข้าวยังสวดได้เลย ทำอย่างนี้แล้วไม่มีคำพูดว่า ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ


การสวดมนต์แบบออกเสียงกับไม่ออกเสียงอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน
   ถ้าสถานที่เหมาะสมสวดออกเสียงจะดีกว่า จะทำอะไรก็ตาม ถ้าอยู่ในใจก็แค่แรงระดับหนึ่ง ถ้าพูดออกมาแรงจะเพิ่มขึ้น ถ้าลงมือทำก็หนักขึ้นไปอีก อย่างเช่น คิดจะทำร้ายคนอื่นก็ส่งผลลัพธ์แค่ใจชักจะไม่ดี ถ้าพูดว่าฉันจะเล่นงานแก ผลจะหนักขึ้น แต่พอลงมือทำร้ายผลจะออกมาแรงที่สุด เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เหมือนกัน ออกเสียงดีกว่า
   อาตมาเคยมีประสบการณ์ตอนเรียนอยู่คณะแพทย์ฯ ปกติจะเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ดี เพราะเข้าวัดตั้งแต่มัธยมปลาย แต่มีอยู่คราวหนึ่งเพื่อนไม่รักษาคำพูด ทำให้เสียหายมาก อาตมารู้สึกโกรธ เลยไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็เช็กใจตัวเองดู ปรากฏว่า ความโกรธหายไปประมาณ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ยังเหลืออีกตั้ง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ้นต์ เลยเริ่มสวดใหม่อีก ๑ รอบ เช็คใจตัวเองดู ความโกรธหายไปประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกนิดหน่อย ปรากฏว่าพอเลิกสวดมนต์ เพื่อนที่ก่อเรื่องมาขอโทษโดยชวนไปเลี้ยงข้าว ตอนนั้นยิ้มออกแล้ว เพราะหายโกรธไป ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วทุกอย่างก็เลยดี
   เพราะฉะนั้น บ้านไหนแม่บ้านอยากให้พ่อบ้านกลับบ้านตรงเวลาและครอบครัวสงบ อบอุ่น ร่มเย็น ลองสวดมนต์ดู มีบ้านหนึ่งพ่อบ้านเลิกงานแล้วไม่ค่อยกลับบ้าน ทำให้มีปัญหาในครอบครัว แม่บ้านเลยไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น พระอาจารย์ให้พระเครื่องมาองค์นึง แล้วบอกว่า เวลาพ่อบ้านกลับบ้านให้แม่บ้านเอาพระขึ้นมาอมเลย จะมีเมตตามหานิยม แม่บ้านก็ทำตาม พอพ่อบ้านเปิดประตูรั้วปั๊บ เอาพระใส่ปากอมเลย พออมพระอยู่ในปากแล้วจะพูดไม่ถนัด ปกติแม่บ้านบ่นจนพ่อบ้านรำคาญ เลยไม่อยากจะกลับบ้าน พอเลิกบ่นพ่อบ้านก็รู้สึกสบายใจ บรรยากาศก็ดีขึ้น นี่แค่หยุดพูดในทางไม่ดีนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่รวมพลังสวดมนต์ ทำความดีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูก ผลคือบรรยากาศในบ้านจะอบอุ่นและสงบร่มเย็น ทุกอย่างจะดีขึ้นจากพลังเสียงสวดมนต์ของทุกคนในบ้าน


สำหรับผู้ที่เริ่มสวดมนต์จะเลือกสวดบทไหนดี
   ถ้าเป็นเด็ก ๆ ก็ให้สวด “อะระหัง สัมมา...” ที่เขาสวดหน้าเสาธงก่อนเข้าเรียน แล้วก็ต่อด้วย “นะโม ตัสสะ...” ถ้าขึ้นชั้นประถมปลายควรจะให้สวด “อิติปิ โส...” ได้แล้วถ้ามัธยมแล้ว อยากให้สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นให้ได้ ถ้าสวดไม่เป็นก็ให้เปิด DMC ดูก็ได้ ช่วงที่มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะมีตัวหนังสือที่หน้าจอด้วย มีเสียงด้วย เราก็สวดไปพร้อม ๆ กันทุกวัน ไม่เกิน ๑ เดือน สวดได้ ไม่ยากเลย แล้วได้ผลดีมาก


...


ที่มา  –  วารสาร ”อยู่ในบุญ” ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ หน้า ๗๒

ข้อคิดรอบตัว
เรื่องโดย – พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)   

219
พระผงของขวัญวัดปากน้ำภาษีเจริญรุ่น ๑ พิมพ์ที่ ๕


พระผงของขวัญวัดปากน้ำภาษีเจริญรุ่น ๑ และรุ่น ๔ พระธรรมขันธ์


พระผงของขวัญวัดปากน้ำภาษีเจริญรุ่นแรกด้านหน้า


พระผงของขวัญวัดปากน้ำภาษีเจริญรุ่นแรกด้านหลัง


น้ำเต้าหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ รุ่นแรก ภาพขาวดำเชือกเดิม



 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:
แบ่งปันกันชมเช่นเดิมครับ.
หวงคือไล่...ให้คือเรียก...

220

***อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าปลอมนะครับ เพราะเหรียญนี้แท้ ๑๐๐% ติชมกันก่อนได้ครับ***

221


พระผงของขวัญวัดปากน้ำรุ่น ๓ พิมพ์ลึก , พิมพ์ตื้น และพระผงของขวัญวัดเกาะจันทร์
ทันหลวงปู่สด วัดปากน้ำ ซ้อนวิชชาทุกองค์ เป็นพระที่สร้างในระยะเวลาใกล้เคียงกันครับ


***แบ่งปันนำมาให้ชม***

222
มารับชมภาพบรรยากาศที่วัดท้องไทรกันต่อครับ





















เข้าแถวรอรับของที่ระลึกจากด้านหน้าแถวยาวเลยโบสถ์ - -"















ไปที่กุฏิหลวงปู่กันต่อครับ ระหว่างทางได้พบปะเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระของเรา^^







เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ท่านในกุฏิครับ







มงคลวัตถุที่ได้รับมาจากวัดท้องไทร ขอบคุณพี่Gearmourด้วยครับ.

พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ลอยองค์ฝังตะกรุด


พระหลวงปู่ทวดเพชรกลับ หลังราหูฝังตะกรุด




เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร.




...



อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

223
เริ่มกันที่เตรียมงานเมื่อวานนี้ (นมัสการหลวงพี่เก่งด้วยครับ)








รับชมภาพบรรยากาศวันนี้กันต่อครับ























หลังเลิกงาน







มงคลวัตถุที่ได้รับจาก อ.หนวด วันนี้







...



อนุโมทนากับผู้ร่วมบุญวันนี้ด้วยนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

***แล้วอย่าลืมมารับบุญใหญ่ครั้งต่อไป ในงานกฐินวัดบางพระ***

224
มีพิธีพุทธาภิเษกไปเมื่อวันที่ ๒๘ กรกรฎาคมที่ผ่านมาครับ ไม่ได้ไปร่วมงานแต่โชคดีที่มีคนเก็บไว้ให้ นำภาพมาให้ชมครับ




ร่วมเดินทางไปกับรถหลวงปู่...เก็บภาพมาให้ชมกันอีกนิดครับ...รอยเจิมรถหลวงปู่อั๊บ



@สุวรรณภูมิ


225


   งานฉลองสมโภชโรงเรียนสหศึกษาบาลี และพิธีเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมจังหวัดนครปฐม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภิกษุบวชใหม่ พระนวกะ และสามเณร ที่จะได้ศึกษาพระธรรมคำสอนภาคปริยัติ อันจะนำมาซึ่งปฏิบัติและปฏิเวธในท้ายที่สุด โดยคณะสงฆ์ทุกวัดในจังหวัดนครปฐมได้ร่วมพิธีเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมวันนี้ ในภาคบ่ายพระภิกษุสามเณรทุกวัดในจังหวัดนครปฐมเจริญพระพุทธมนต์ และเวียนเทียนประทักษิณรอบองค์พระปฐมเจดีย์ ถวายเป็นพุทธบูชาครับ

เก็บภาพบรรยากาศที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม ในวันงานอุปสมบทพระภิกษุมาฝากกันนะครับ

พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร




บริเวณกุฏิเดิมของพระธรรมปริยัติเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารรูปปัจจุบัน


กราบนมัสการพระธรรมปริยัติเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ด้วยความเคารพ


กราบนมัสการพระอาจารย์พระมหาสุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ.๙ พระอาจารย์อีกรูปครับ






สำหรับภิกษุผู้บวชใหม่เล่มนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในชีวิตสมณะ"นวโกวาท"


บริเวณเขตสังฆาวาส






นำบุญมาฝากทุกท่านให้ได้ร่วมอนุโมทนากันนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

...

226
ธรรมะ / เข้าพรรษาอย่างเข้าใจ
« เมื่อ: 13 ก.ค. 2554, 09:52:30 »
ทำไมต้องมีวันเข้าพรรษา

   ประเพณีเข้าพรรษาเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล แรกๆยังไม่มีประเพณีนี้ แต่ตอนหน้าฝน ชาวนาทำนากัน เวลาพระเดินก็ไปเหยียบโดนข้าวกล้าบ้าง เหยียบแมลงตายโดยไม่รู้ตัวบ้าง จนชาวบ้านเขาติเตียน ต่อมามีคนไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงบัญญัติให้มีการจำพรรษาในช่วงหน้าฝน ๓ เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ (ประมาณกลางๆเดือนกรกฎาคม เร็วบ้าง ช้าบ้าง ต่างกันไปตามจันทรคติ) จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ช่วง ๓ เดือนนี้ พระภิกษุสงฆ์จะอยู่อาวาสเดียวตลอด ๓ เดือน ไม่จาริกไปในที่ต่างๆ ประเพณีเข้าพรรษาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

ประเพณีหล่อเทียนพรรษาเกิดขึ้นได้อย่างไร?

   ที่พระท่านอยู่ประจำที่ ถามว่าอยู่เพื่ออะไร ก็อยู่เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ทั้งการปฏิบัติธรรม และการศึกษาความรู้ในพระไตรปิฎก ในสมัยก่อนกลางคืนต้องอาศัยแสงสว่างจากแสงเทียน เพราะยังไม่มีไฟฟ้า แต่เทียนเล่มเล็กนอกจากมีแสงสว่างน้อยแล้ว จุดได้ไม่นานก็หมดเล่ม เพราะฉะนั้น เขาก็เลยหล่อเทียนเข้าพรรษาต้นโตๆขึ้นมา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้อาศัยความสว่างจากเทียนพรรษาในการศึกษาพระธรรมวินัยตลอด ๓ เดือน

วันเข้าพรรษาในสมัยพุทธกาลต่างจากปัจจุบันอย่างไรบ้าง?

   โดยสาระหลักๆก็คล้ายๆกัน คือเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำที่ ทำให้ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย เพราะปกติพระเถระท่านจะจาริกไปยังที่ต่างๆบ้าง พอท่านอยู่ประจำที่ ลูกศิษย์ลูกหาที่ต้องการศึกษาหาความรู้จากท่าน ก็มั่นใจได้ว่า ถ้าบวชช่วง ๓ เดือนนี้ ได้อยู่กับพระอาจารย์แน่ๆ ถ้านอกพรรษาบางทีพระอาจารย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นต้องรีบมาบวชและรีบมาศึกษาพระธรรมวินัยกับท่าน จึงเกิดประเพณีบวชเข้าพรรษา ๓ เดือนขึ้น

บวชในพรรษากับบวชนอกพรรษาต่างกันไหม?

   การบวชไม่ต่างกัน ความแตกต่างอยู่ที่นอกพรรษาเราอาจจะบวชคนเดียว ไม่ได้บวชเป็นหมู่คณะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะศึกษาพระธรรมวินัยก็ไม่ค่อยเต็มที่ เหมือนนักเรียนที่ชั้นเรียนไม่สมบูรณ์ ขณะเดียวกัน อาจารย์ก็อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง เพราะอาจจะจาริกไปโปรดญาติโยมในที่ต่างๆ แต่ถ้าบวชในพรรษามีข้อดีถึง ๒ อย่าง คือ
๑.   ในแง่ของนักเรียน ส่วนใหญ่นิยมบวชเข้าพรรษา บวชทีนึงเป็นกลุ่มเป็นก้อน เช่น ๕ รูป ๑๐ รูป ๒๐ รูป ที่วัดใหญ่ๆ บางวัดบวชกันนับ ๑๐๐ รูป ก็มี เพราะฉะนั้น ชั้นเรียนหรือนักเรียนก็จะเป็นปึกแผ่น
๒.   ในแง่ของอาจารย์ ช่วงเข้าพรรษาอาจารย์ไม่ไปไหนแน่ ต้องอยู่ตลอด ๓ เดือน เพราะฉะนั้น ก็พร้อมที่จะให้ความรู้นักเรียนได้เต็มที่ ผู้ที่บวชในช่วงเข้าพรรษาจึงได้ศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งปริยัติ และปฏิบัติได้เต็มที่เป็นพิเศษมากกว่าคนที่บวชช่วงอื่นๆ

ปกติในเวลาเข้าพรรษาจะมีการถวายเทียน แต่ในปัจจุบันมีการถวายหลอดไฟฟ้าแทน ไม่ทราบว่าต่างกันหรือไม่ และบุญที่ได้ต่างกันแค่ไหน?

   เรื่องนี้ถ้าเราเข้าใจวัตถุประสงค์และที่มาที่ไปของประเพณี เราจะทำได้ถูกต้อง สมัยโบราณไม่มีไฟฟ้า ต้องอาศัยแสงเทียนในการศึกษาพระธรรมวินัย จึงมีการหล่อเทียนพรรษาและถวายเทียนพรรษา และอะไรก็ตามที่ถวายแด่พระรัตนตรัย ท่านจะทำกันสุดฝีมือ เทียนที่หล่อจึงไม่ใช่เทียนธรรมดา แต่แกะสลักลวดลายอย่างสุดฝีมือ ถือเป็นการแสดงความเคารพพระรัตนตรัย โบราณถือว่ายิ่งทำด้วยความตั้งใจ เจตนาบริสุทธิ์ และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าเต็มเปี่ยม บุญยิ่งใหญ่มหาศาล สังเกตดูจะเห็นว่าศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมทั้งหลายจะอยู่ที่วัด เพราะเวลาสร้างบ้านตัวเองเอาแค่พออยู่ได้ แต่สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวิหาร ทำจนสุดฝีมือ มีฝีมือเท่าไรทุ่มไปจนสุด ทุ่มทั้งชีวิต กลายเป็นตัวดึงให้ศิลปะวัฒนธรรมของประเทศสูงไปด้วย เพราะคนโบราณจะมีความศรัทธาเลื่อมใสมาก ทำเต็มที่
   ในยุคปัจจุบัน ในเมื่อมีไฟฟ้าแล้ว จะศึกษาพระธรรมวินัยก็เปิดไฟฟ้าได้ ไม่ต้องจุดเทียน ประเพณีการถวายเทียนจึงเป็นแค่ประเพณีเฉยๆ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้จุดด้วยซ้ำไป พอรู้อย่างนี้เราถวายหลอดไฟได้ไหม คำตอบคือได้เหมือนกัน เพราะถวายในสิ่งที่พระท่านได้ใช้ประโยชน์ บางทีถ้ามีคนถวายหลอดไฟมากแล้ว เราจะถวายเป็นปัจจัยให้ท่านไปซื้อตำรับตำรา เพื่อความสะดวกในการศึกษาพระธรรมวินัยก็ได้ หรือบางทีท่านจะต้องเดินทางไปสำนักเรียนอาจต้องมีค่ารถบ้าง เราก็ถวายการอุปถัมป์เป็นค่ารถค่าอะไรต่างๆ อันนี้ก็เป็นประโยชน์ พูดง่ายๆ ให้ดูที่เป้าหมายหลักว่า ทำเพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษาพระธรรมวินัยของท่าน

ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีประเพณียิ่งใหญ่ในการหล่อเทียนพรรษา แต่เขามีการแข่งขันกันเป็นหมู่บ้าน และถึงขั้นพยายามที่จะเอาชนะกัน อย่างนี้จะถือว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือเปล่า?

   ถ้าลองไปดูจะเห็นว่าจริงๆแล้ว เขาแข่งขันกันด้วยความเบิกบาน ไม่ใช่แข่งแบบเอาเป็นเอาตาย หรือถ้าแพ้แล้วจะต้องเสียใจมากมาย แต่แข่งเพื่อเป็นการกระตุ้น เหมือนเวลาเรียนหนังสือ ถ้าไม่มีการสอบก็ไม่ค่อยอยากจะอ่านหนังสือ จะขยันเป็นพิเศษในช่วงจะสอบ กีฬาก็เหมือนกัน ถ้าหากเล่นกีฬาแล้วไม่มีการแข่งขันก็ไม่สนุก จะทำอะไรก็ตาม พอมีการแข่งขันจะกระตุ้นให้ทุ่มฝีมือเต็มที่ เลยกลายเป็นการแข่งขันกันระหว่างวัดนนี้กับวัดโน้น แต่ละวัดก็พยายามทุ่มกันสุดฝีมือ ถ้าปีนี้เราชนะก็ปีติเบิกบาน ถ้าเขาชนะก็ไปดูว่าเขามีอะไรดี ปีหน้าเราจะได้พัฒนาให้ดีกว่าเก่า เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันแบบสร้างสรรค์ แบบอยู่ในบุญ แข่งขันด้วยความปีติเบิกบาน กระตุ้นให้เกิดฉันทะคือคสามตื่นตัวที่จะพัฒนาฝีมือ ความรู้ความสามารถของตนเองให้ดีขึ้นเพื่อบูชาพระรัตนตรัย และยังทำให้ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและประเทศสูงขึ้นไปเรื่อยๆอีกด้วย

ถ้าหมู่บ้านหนึ่งหล่อเทียนสวยสู้อีกหมู่บ้านหนึ่งไม่ได้ จะได้บุญเท่ากันไหม?

   ถ้าเรามีความตั้งใจเต็มที่ เราก็ได้บุญมาก คนที่ฝีมือดีถึงจะทำแบบไม่ตั้งใจ แต่ผลงานที่ออกมาก็จะดีกว่าคนที่มีฝีมือไม่ดีแต่ตั้งใจทำ อย่างนี้ให้ดูที่ความตั้งใจเป็นหลัก ดูเจตนาว่ามีศรัทธาขนาดไหน ทำอย่างเสียไม่ได้ หรือว่าทำแบบสุดฝีมือด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยจริงๆ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้

ในช่วงเข้าพรรษาควรจะปฏิบัติตนอย่างไร?มีบางคนตั้งใจทำความดีอย่างเช่น งดเหล้า งดบุหรี่ ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีหรือเปล่า?

   ดีมาก สมัยโบราณคนนิยมบวชช่วงเข้าพรรษา เพราะพระอาจารย์ก็อยู่ประจำที่ บวชแล้วมีครูบาอาจารย์สั่งสอนอบรมแน่ๆ ทำให้วัดมีพระอยู่จำวัดมากที่สุดในช่วงเข้าพรรษา นอกพรรษามีพระ ๓ รูป ๕ รูป ในพรรษามีตั้ง ๑๐ รูป ๒๐ รูป ชาวบ้านก็นิยมไปทำบุญ ในวัดก็จะเกิดกิจกรรมที่คึกคัก ชาวบ้านบางคนมีลูกหลานไปบวช พ่อ แม่ ญาติพี่น้องก็ต้องไปวัด บางคนก็มีสามีไปบวช บางคนมีพ่อไปบวช ก็เลยไปทำบุญกันทั้งครอบครัว เมื่อมีญาติไปบวช ไปศึกษาพระธรรมวินัย และคนในครอบครัวก็ไปทำบุญกันอย่างนี้แล้ว เราอยู่ข้างนอกจะไปกินเหล้าได้อย่างไร อย่างคนที่มีลูกชายไปบวช พ่อจะเมาแอ๋ไปหาลูกได้อย่างไร เขินลูก เพราะฉะนั้น จึงเกิดเทศกาลแห่งการทำความดีว่า ช่วงเข้าพรรษางดเหล้า งดสูบบุหรี่ งดเล่นไพ่ ในพรรษาต้องตั้งใจสวดมนต์ ไปวัดทุกวันพระ ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ถือศีล ๘ เป็นต้น เข้าพรรษาก็เลยเป็นเทศกาลแห่งการทำความดี ซึ่งมีผลไม่เฉพาะพระภิกษุที่อยู่จำพรรษานั้น แต่มีผลถึงชุมชนทั้งหมด คือ ทุกคนต่างตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษกว่าช่วงอื่น

ในช่วงเข้าพรรษาพระภิกษุต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง?

   ในวันเข้าพรรษา พระจะไปรวมกันที่โบสถ์พร้อมกันทั้งวัด แล้วก็อธิษฐานด้วยการกล่าวคำว่า “อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ.” แปลว่า “ข้าพเจ้าขอธิษฐานอยู่จำพรรษา ณ อาวาสแห่งนี้ตลอด ๓ เดือนนี้” ตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะอยู่ที่วัดตลอด ๓ เดือน พอประชุมพร้อมกันเสร็จแล้ว พระภิกษุผู้เป็นเถระ เช่น เจ้าอาวาส ก็จะให้โอวาทพระภิกษุ ให้ตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษ และให้ข้อคิดต่างๆ ในการฝึกฝนตนเอง 

พระสงฆ์ท่านมีกิจกรรมในระหว่างพรรษาของท่าน แล้วพวกสาธุชนจะอธิษฐานพรรษาได้หรือเปล่า?

   สาธุชนไม่มีพระวินัยบังคับเรื่องอธิษฐานโดยตรง แต่ในพรรษาเราควรตั้งใจว่า ใน ๓ เดือนนี้จะทำความดีอะไรบ้าง สัก ๒-๓ ประการ ก็พอ ใครที่ดื่มเหล้าอยู่ พรรษานี้ต้องตั้งใจว่า จะไม่ยอมให้เหล้าแม้แต่หยดเดียวผ่านลำคอ จะงดบุหรี่และอบายมุขทั้งหลายด้วย ไม่ว่าการพนัน เที่ยวกลางคืน งดตลอด ๓ เดือน แล้วจะตั้งใจสวดมนต์และนั่งสมาธิทุกวัน
   ให้จำพรรษาอยู่ในวงกาย กายยาววา กว้างศอก หนาคืบ คือ ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าประมาณ ๑ วา กว้างประมาณ ๑ ศอก หนาประมาณ ๑ คืบ ให้เราจำพรรษาในวงกาย คือเอาใจมาอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยการทำสมาธิ เอาใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย
   ถ้าทำอย่างนี้แล้ว พรรษานี้จะเป็นพรรษาแห่งความรุ่งเรืองและความสำเร็จของทุกๆคน

แต่ละวัดมีการจัดกิจกรรมในวันเข้าพรรษาเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

   หลักการใหญ่ที่ไม่ต่างกันคือการที่พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำที่ ๓ เดือน แล้วศึกษาพระธรรมวินัย แต่รายละเอียดของการปฏิบัติจะเข้มข้นขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละวัด เช่น บวชแล้วต้องมีการศึกษาพระธรรมวินัย เรื่องนี้เราต้องยอมรับว่า บางวัดอาจจะมีพระน้อย และมีผู้เข้ามาบวชพรรษาแค่ ๑-๒ รูป จำนวนนักเรียนยังไม่เป็นปึกแผ่นเท่าที่ควร ครูบาอาจารย์ที่จะสอนก็อาจจะพร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้าง เพราะฉะนั้น ก่อนบวชพยายามเลือกสักนิดหนึ่งว่าจะบวชที่ไหน จึงจะสามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ได้ชื่อว่าบวช แต่บวชแล้วขอให้ได้ปฏิบัติจริง ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจริง ในเมื่อยอมสละเวลามา ๓ เดือนแล้ว ให้ใช้ ๓ เดือนนี้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เพราะว่าชีวิตคนๆหนึ่ง จะมีการบวช ๓ เดือน ได้สักกี่ครั้ง อาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต ขอให้ใช้เวลาช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด คุ้มค่าที่สุด
   ในกรณีขจอง๕ระสงฆ์ หากกำลังไม่พร้อม อาจจะใช้วิธีรวมกัน เช่น ในตำบลมีอยู่ ๔-๕ วัด อาจจะมาบวชแล้วรวมกันอยู่วัดใดวัดหนึ่ง จะได้มีจำนวนมากขึ้น แล้วเอาครูบาอาจารย์ที่เก่งในวิชาต่างๆ ของแต่ละวัดมาช่วยกันสอน เพราะวัดในตำบลเดียวกันก็ไม่ได้ไกลกันมาก ญาติโยมจะได้มาเยี่ยมพระลูกหลานได้สะดวก
   ประเด็นหลัก คือ บวชแล้วขอให้ได้ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าบวชเสียผ้าเหลือง ต้องมีกิจวัตรกิจกรรม มีการฝึกตัวเองที่เข้มข้น ตัวอย่างกิจวัตรที่วัดพระธรรมกาย ตอนเช้า ตื่นตี ๔ ครึ่ง สวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ พอฟ้าเริ่มสางก็ออกไปบิณฑบาต ส่วนหนึ่งอยู่ทำความสะอาดกุฏิ ดูแลสถานที่ต่างๆให้เรียบร้อย เวลา ๗ โมงเช้า ฉันเช้าพร้อมกัน โดยมีพระอาจารย์มาสอนมารยาทในการขบฉัน ๘ โมงครึ่ง สวดมนต์นั่งสมาธิต่อถึงเพล ฉันเพลเสร็จพักกันสักครู่ พอบ่ายโมงก็ศึกษาพระธรรมวินัย ตกเย็นก็ช่วยกันทำความสะอาดสถานที่และทำภารกิจต่างๆ ๑ ทุ่ม สวดมนต์ นั่งสมาธิ กิจวัตรกิจกรรมเป็นอย่างนี้ตลอดทุกๆวัน เพราะฉะนั้น พระบวชใหม่จะได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่
   บวชครบ ๓ เดือนแล้ว เมื่อกลับออกไปคนโบราณจะเรียกว่า ”ทิด” แปลว่าคนสุก คือกิเลสถูกการบำเพ็ญตบะด้วยการทำความดีบ่มจนสุก แม้ยังไม่ถึงกับหมดกิเลส แต่จากดิบๆ กลายเป็นสุกแล้ว กลายเป็นผู้มีคุณธรรม มีความยับยั้งชั่งใจ เจอปัญหาอะไรก็มีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ศึกษามาเป็นหลักในการแก้ไข คนอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คือเป็นผู้ใหญ่ที่มีหลักในการดำรงชีวิต เจอปัญหาก็รู้ว่าควรจะแก้อย่างไร โดยเอาหลักธรรมมาใช้ในการแก้ปัญหา สมัยโบราณใครบวชไม่ครบ ๓ เดือน ไม่เรียกทิด ถ้าใครยังไม่เป็นทิดเวลาไปขอลูกสาว เขาไม่ให้ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะมีคุณธรรมเพียงพอที่จะไปดูแลลูกสาวเขา
   คนโบราณฉลาดมาก สังคมจึงสงบร่มเย็น ประเทศไทยจึงได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ตอนนี้ชักยิ้มไม่ค่อยออกเพราะขาดธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเทศของเรามีทุนทางวัฒนธรรมที่มาจากรากฐานของพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว หากบวชให้ถูกหลักเข้าพรรษาแล้วละก็ เราจะสามารถเอาความสงบร่มเย็นและความสมานฉันท์กลับคืนมาสู่บ้านเมืองของเราได้เป็นอย่างดี

ในช่วงเข้าพรรษามีกิจกรรมสำหรับผู้ชายค่อนข้างมาก แล้วผู้หญิงจะมีการรักษาศีลหรือว่าบวชบ้างไหม?

   ฝ่ายหญิงถือว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน สังเกตดูวัดแต่ละแห่งมีผู้หญิงเข้าวัดมากกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้นฝ่ายหญิงคือกำลังสนับสนุนที่สำคัญ โดยเฉลี่ยผู้หญิงทำบุญตักบาตรมากกว่าผู้ชาย ขยันขันแข็งกว่า ไปวัดมากกว่า ถึงคราววันพระวันโกน บางทีไปค้างวัดเลย ไปรักษาศีล ๘ ไปถืออุโบสถศีล และฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
   สมัยโบราณ ใครต้องการจะฝึกฝีมือเรื่องอะไรต้องไปที่วัด เช่น สาวๆที่จะให้มีเสน่ห์ปลายจวักทำกับข้าวเก่ง ต้องไปเข้าโรงครัวของวัด สุดยอดฝีมือ แม่ครัวของทั้งชุมชนอยู่ที่วัด เพราะแม่บ้านแต่ละบ้านใครเก่งเรื่องอะไรมาโชว์ฝีมือสุดๆกันที่วัดเลย ใครอยากจะฝึกเรื่องอะไรให้ไปฝึกที่วัด ไปเป็นลูกมือให้เขาก่อน ทำไปๆเดี๋ยวก็เก่ง เพราะฉะนั้น ใครจะไปฝึกแกะสลักผลไม้ หรือจะทำอะไรงามๆถวายวัด ต้องไปฝึกที่วัด
   ฝ่ายหญิงจึงเป็นฝ่ายที่มีความสำคัญ มีคำๆหนึ่งกล่าวถึงความสำคัญของผู้หญิงเอาไว้ เป็นภาษาบาลี คือ คำว่า “อิตฺถีสทฺโท” อิตฺถี แปลว่า หญิง สทฺโท แปลว่า เสียง มีความหมายว่า เสียงของหญิงดังเสมอ อย่างเช่น ถ้าผู้หญิงนิยมสิ่งใด ผู้ชายจะปรับตัวตาม ถ้าผู้หญิงบอกว่า “เธอยังไม่บวช ยังไม่เป็นทิด ฉันไม่แต่ง” อย่างนี้กระแสการทำความดี กระแสการบวชเกิดขึ้นเลย ถ้าประสานกันทั้งชายทั้งหญิงแล้วละก็ ทุกคนจะมีส่วนช่วยในการทำให้ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ สงบร่มเย็นทั้งหมด เจริญพร.

ที่มา - นิตยสารอยู่ในบุญ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เรื่องโดย - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)

227
แหวนพระเจ้าปราบไตรภพ


แหวนเสน่ห์มอญ(ปราบเมีย)


แหวนพิรอดงูคู่หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา


แหวนงาช้างแกะสิงห์(เจ้าของเดิมบอกหลวงพ่อเดิม - -")


แหวนเงินนางพิม หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร


แหวนพิรอดหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร


แหวนหัวนอโมไม่ทราบที่ครับ


แหวนแร่หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม


แหวนลงถม วัดหอมเกร็ด นครปฐม


สุดท้ายแด่เพื่อนๆม่วงขาว ลูกทูลกระหม่อมแก้วทุกคนครับ.

228
พระผงของขวัญวัดเกาะจันทร์ หาพระผงของขวัญวัดปากน้ำรุ่น๑-๓ไม่ได้ ก็ใช้แทนได้หายห่วงเพราะหลวงปู่สดท่านซ้อนวิชชาพระรุ่นนี้ด้วยครับ ด้านหลังมีจารตัว"นะ" หลวงปู่สดท่านได้กล่าวไว้ว่า "พระของท่านเป็นของเป็น หมั่นเจริญสมาธิภาวนาแล้วจะเห็นผล"


เหรียญรัตนะ ๗ ปี ๒๕๒๐ ด้าหนน้าเป็นรูปหลวงปู่สดนั่งเต็มองค์ ด้านหลังเป็นรัตนะ ๗ ของคู่บารมีพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ปกครองทวีปทั้ง ๔ (เรื่องพระเจ้าจักพรรดิ หาอ่านเพิ่มเติมได้ในพระไตรปิฎก "เกริ่นนำ ตอนเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ พราหมณ์ได้ทำนายออกเป็น ๒ คือ ๑.ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒.หากอยู่ทางธรรมจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก")



พระผงของขวัญรูปเหมือนหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ สังเกตจะเห็นมีจีวรของหลวงปู่สดท่านติดไว้ด้วย เห็นทีไร ก็อดนึกถึงบุญที่เคยได้ร่วมไว้ไม่ได้ ปลื้มครับ :001: นำบุญมาฝากเพื่อนสมาชิกทุกท่านด้วยนะครับ สาธุๆ.


รูปพระมงคลเทพมุนี (สด  จนฺทสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ.


พระราชพรหมเถร  วิ. (วีระ คณุตฺตโม) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ (ผู้สร้างพระผงของขวัญรุ่น๔เรื่อยมา)


คุณครูตรีธา  เนียมขำ (อีกหนึ่งกำลังหลักของวัดปากน้ำภาษีเจริญ)



คติธรรมหลวงปู่สด วัดปากน้ำ.


229


ชมบรรยากาศรอบๆวัดกันก่อนนะครับ


































ลุงดิษฐ์รับบุญประชาสัมพันธ์ในงานนี้ครับ

น้องๆชมรมดนตรีไทยโรงเรียนภัทรญาน

แวะเข้าสำนักงานทักทายคุณครูปทุม :054:

แมววัดน่ารักมากมาย :025:

ช่วงเพลถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป และกราบนมัสการหลวงพี่แทน วัดพระงามด้วยครับ :054:





แวะให้อาหารปลาแพท่าน้ำ



เจอเพื่อนสมาชิกเราครับพี่นันท์ภัส :002:

ภาพหลังจากเสร็จพิธี ร่วมอนุโมทนากับน้องๆที่มาช่วยงานด้วยนะครับ :015:







กราบนมัสการหลวงพ่อสำอางค์ครับ :054:


สุดท้ายนำมงคลวัตถุที่ได้รับในวันนี้ครับ(ขอบคุณท่านนก,พี่เจมส์,ท่านเอ็มด้วยนะครับ :054:)
ภาพหลวงพ่อเปิ่น,เหรียญเทวบดี,เหรียญหลวงปู่หงส์รุ่นแรก,ผ้ายันต์+พระชัยหลวงพ่อวัดไร่ขิง.





ของแถมปิดท้าย"ฝาบาตร?"

HAPPY BIRTHDAY สมาชิกใหม่ของบ้านอีก ๓ ตัวครับ :017:

รายงานภาพงานบุญโดย : ปุญญานุสฺสติ(สิบทัศน์)"ลูกพระธรรม หลานคุณยาย"


พบกันอีกครั้งในวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อเปิ่น ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ...

231
แบ่งกันชม จิ้งจกสองหางหลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทอง



และอีก ๒ องค์ จากเพื่อนกัลยาณมิตรครับ


                                  :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

232
บารมีแม่ซื้อ สร้างจากปรอท ที่ปกติเป็นของเหลว แต่หลวงปู่ลมัยท่านสามารถทำให้ปรอทกลายเป็นของแข็งได้ครับ เห็นแปลกดีเลยนำมาให้ชมกันครับ









ภาพนี้จะเห็นชัดเจนครับ ปรอทเหลวๆกลิ้งไปกลิ้งมา


ด้านหลังกล่องครับ


 :114:ศึกษาและสะสมนะครับ :114:

233
หลวงปู่อั๊บเมตตาให้ไว้ก่อนไปทำงานที่สิงค์โปร์๑ปีเต็ม เพื่อเป็น"ปุญญานุสฺสติ"(ผู้ตามระลึกถึงบุญ)










วันพรุ่งนี้(อาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๔)ช่วงบ่าย เพื่อนสมาชิกท่านใดว่างก็อย่าลืมไปรับบุญใหญ่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารกันนะครับ
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.


234








***************************************************************************

235
















                           **********************





236
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี


หลวงปู่ทอง ไม่ทราบประวัติเห็นเก่าดี ท่านใดทราบประวัติการสร้างรบกวนชี้แนะด้วยนะครับ


สมเด็จแช่มล้าน


สมเด็จวัดเกศไชโยปี ๒๕๒๑


ภาพเก่าหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ขอบคุณท่านเอ็มอีกครั้งครับ

ฝากภาพปลัดรายงานความคืบหน้าตัวนี้ไว้ด้วยละกันครับ


ส่งท้ายด้วยผ้ายันต์ผืนนี้


ฝันดีราตรีสวัสดิ์หลับในอู่ทะเลบุญนะครับเพื่อนสมาชิกทุกท่าน :001:

237
เมื่อวานนี้มีโอกาสไปร่วมงานพระราชเพลิงศพคุณพ่อของลุงต้อที่วัดละหาร บางบัวทอง นนทบุรี

เลยถือโอกาสเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานภายในพระอุโบสถวัดละหาร รับชมบรรยากาศกันเลยนะครับ











"สักครั้งหนึ่งในชีวิต ของผู้ที่ได้เกิดมาใกล้ชิดพระพุทธศาสนา"

กลับเข้ามาในงานพระราชทานเพลิงศพ


ลุงต้อกับลูก


*********************************************************

238
เก็บภาพบรรยากาศภายในวัดดอนยายหอมวันนี้มาฝากเพื่อนสมาชิกครับ

พระอุโบสถและศาลาธรรมโสฬส


อีกมุมหนึ่งของพระบุโบสถ


ในวันนี้ช่วงสายในพระบุโบสถใช้ทำสังฆกรรมพิธีบรรพชาอุปสมบทครับ


มณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองที่ได้รับการบูรณะใหม่อย่างงามตา


หอระฆัง


ตึกจันฺทสุวณฺโณ


ในศาลากัมมัฏฐานประดิษฐานสังขารพระครูเกษมธรรมนันท์(หลวงพ่อแช่ม)


สุดท้ายท้ายสุดเข้ากราบนมัสการและร่วมถวายสังฆทานกับท่านเอ็มไร่ขิงแด่พระครูสังฆรักษ์อวยพร ท่านแข็งแรงขึ้นมากครับ


ปล.อนุโมทนาบุญกับท่านเอ็มไร่ขิงกับบุญถวายสังฆทานวันนี้ด้วยนะครับ สาธุ สาธุ :001: :114:

239

นำภาพ ๓ มิติ หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ มาแจกเพื่อนสมาชิกจำนวน ๒๗ ใบ

กติกาการรับภาพดังนี้

   -ให้ลงชื่อแจ้งความประสงค์ขอรับภาพไว้ในกระทู้นี้ พร้อมกับเล่าประสบการณ์งานบุญในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ร่วมอนุโมทนาบุญกัน (หรือประสบการณ์งานบุญที่ท่านได้ทำในวันอื่นๆก็ได้)

   -๑ ภาพต่อ ๑ ท่าน สำหรับเพื่อนสมาชิก ๒๗ ท่านแรกที่ลงชื่อขอรับภาพในกระทู้นี้เท่านั้น
 
   -ส่งซองเปล่าติดแสตมป์ ๓ บาท พร้อมจ่าหน้าซองที่อยู่ของท่านเอง ส่งมามาตามที่อยู่ซึ่งจะแจ้งไปทาง pm


:114: :114: :114:

อนุโมทนาบุญกับเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์งานบุญให้ได้ร่วมอนุโมทนากันนะครับ
 :001:สาธุ สาธุ :001:

241





นำบุญมาฝากเพื่อนสมาชิกทุกท่านนะครับ สาธุ สาธุ

.........................................................................

242
นำมงคลวัตถุของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมมาให้ชมครับ เพื่อน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันมรณะภาพของท่านซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาพอดี

ภาพหลวงพ่อพูลนั่งปรกอฐิษฐานจิตท่านจารให้ครับใบนี้

ในวันมรณะภาพผมได้ไปเข้าร่วมพิธีไหว้ครูของทางวัด พอช่วงบ่ายๆก็ได้ทราบว่าท่านมรณะภาพแล้ว
เลยร่วมบุญเก็บของที่ระลึกถึงท่านวันนั้นไว้ครับ




องค์นี้พิเศษครับขุนแผนจิ๋ว

:114: :114: :114:

243
:002:เสริมอีกนิดว่า"สายธรรมต้นตำรับ" :002:
:114: :114: :114: :114: :114:

244
พอดีได้ลายแทงจากท่านอชิตะ เลยไม่รอช้ารีบไปร่วมบุญที่วัดชายนา จ.เพชรบุรี

ที่วัดวันนี้ค่อนข้างจะเงียบเหงาไปบ้างซักนิด ก็อาจจะเป็นเพราะสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่

นำบุญมาฝากเพื่อนสมาชิกทุกท่านให้ได้ร่วมอนุโมทนากันครับ สาธุ สาธุ :001:






อิ่มบุญกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตามมาด้วยของฝากเล็กๆน้อยๆ :001:

ตะกรุดต่อลำไส้


ขุนแผนรุ่นแรก


ขุนแผนรุ่น๒


ปิดท้ายเพชรพญาธร


                   :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:




245
วันวิสาขบูชา วันพระพุทธเจ้า

************************

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เอกบุรุษเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เอกบุรุษผู้เลิศ คือ พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า

   ช่วงนี้ใกล้ถึงวาระมหามงคลสำหรับเหล่าพุทธศาสนิกชนอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ฉะนั้น วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่เราควรมาตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์จะได้เกิดความปีติใจว่า เป็นบุญลาภอันประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้สั่งสมบุญกุศลที่จะนำตนไปสู่สวรรค์นิพพาน เพราะพุทธบารมีธรรมอันไม่มีประมาณนี่เอง

ความหมายของวันวิสาขบูขา

   คำว่า วิสาขบูขา แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้า เนื่องในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน วันวิสาขบูชา เป็นวันที่ ๓ เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน ๖ แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ ๓ ประการ ได้แก่
   ๑.วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ
   เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะคลอด พระนางเสด็จแปรพราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อทรงให้กำเนิดพระราชโอรสในตระกูลของพระนาง ตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระราชโอรสใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "ผู้มีความสมหวังดังใจปรารถนา"
   เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตาบสผู้มีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า เมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า "พระราชกุมารนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส
   ๒.วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
   หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า "พุทธคยา" เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
   สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจ ๔ เป็นความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนได้บรรลุญาณ ๓ คือ ยามต้น:ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตได้ ยามสอง:ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม:ทรงบรรลุ "อาสวักขยญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖
   ๓.วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
   เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี จนมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุวคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ขณะเดียวกันพระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย แล้วเกิดอาพาธ แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน
   เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

ประวัติความเป็นมา
วันวิสาขบูชาในประเทศไทย

   ปรากฏหลักฐานว่า วันวิสาขบูชาเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวันวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกาพระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา เมื่อมีพระสงฆ์มาเผยแผ่ในประเทศไทยจึงนำประเพณีนี้เข้ามาด้วย
   สำหรับการปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพารทั้งฝ่ายใน รวมทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนครด้วยดอกมไ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์และบรมวงศานุวงศ์ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน แด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ

วันวิสาขบูชา
วันสำคัญสากลของสหประชาชาติ

   เนื่องจากวันวิสาขบูชาล้วนมีเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๒ องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุมกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา นอกจากนี้ยังกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดวันหนึ่งขิงสหประชาชาติอีกด้วย เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้นได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้พระมหากรุณาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน
   วิสาขบูชา วันแห่งการสถาปนาพระพุทธศาสนาให้เป็นแสงสว่างส่องนำทางสรรพสัตว์ไปสู่สวรรค์นิพพาน
   วิสาขบูชา วันที่พระพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะเหนือหมู่มารและมีชัยชนะที่ไม่มีวันกลับมาแพ้
   วิสาขบูชา วันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทจะได้ทำทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาต่อองค์พระบรมศาสดา ด้วยการเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ดำเนินตามรอยบาทพระศาสดา และรักษาวันแห่งความมหัศจรรย์นี้ไว้ให้เป็นประเพณีอันดีงามยืนยงคงอยู่เคียงคู่โลกตลอดไป.


****************************************************

จากวารสารอยู่ในบุญ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๓ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙

    :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

246




ที่นำมาให้ชมเป็นเนื้ออัลปาก้าครับ หมายเลข "๗" หนึ่งใน ๔๙๙ เหรียญ :001:

 :114:ศึกษาและสะสมนะครับ :114:

247
รับชมกันเลยละกันครับ



































กุฏิหลวงปู่เจือวันนี้


จัดระเบียบรับของที่ระลึก


พระครูโกวิทสุตการ(หลวงพ่อพระมหาระพิน)(พระกรรมวาจาจารย์ข้าพเจ้า) เจ้าอาวาสวัดโคกเขมา จ.นครปฐม เมตตามาช่วยงานประชาสัมพันธ์ :054:


พระอาจารย์ปลิ๋ว(พระกรรมวาจาจารย์ข้าพเจ้าอีกรูป) เจ้าอาวาสวัดท่าใน จ.นครปฐม ประชาสัมพันธ์จัดระเบียบรับของที่ระลึก :054:


กราบนมัสการพระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ จ.สมุทรสงคราม


ปิดท้ายด้วยของที่ระลึก ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ เขียนให้ด้านหลังภาพ


           :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

248
ภาพในอดีตของคณะนักเรียนโรงเรียนสหศึกษาบาลีที่สอบได้เปรียญธรรม ในพิธีมอบพัดเปรียญพร้อมของรางวัล และทำบุญประจำปีโรงเรียนสหศึกษาบาลี เมื่อปี ๒๕๑๐ (วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม)



พระธรรมสิริชัย(ชิต) เจ้าคณะภาค ๑๔ ในสมัยนั้น ประทานโอวาทแก่นักเรียนบาลีที่สอบเปรียญธรรมได้ ในภาพนี้มี พระราชธรรมาภรณ์(หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม) และพระครูอุตรการบดี วัดห้วยจระเข้ ร่วมอยู่ด้วย



นักเรียนแถวที่ ๓ รูปที่ ๑ คือ พระมหาสุเทพ ผุสฺสธมฺโม สอบได้ ป.ธ.๓ ปัจจุบันเป็น "พระธรรมปริยัติเวที" (ป.ธ.๙,พธ.ม,พธ.ด.,ศศ.บ.)เจ้าคุณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม

นักเรียนแถวที่ ๔ รูปที่ ๔ คือ พระมหาชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ สอบได้ ป.ธ.๕ ปัจจุบันเป็น "พระราชรัตนมุนี" (ป.ธ.๙,พธ.ม.) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร

 
:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:
บูชาคุณครูอุปัชฌาย์ทั้ง๒รูป
:114: :114: :114:

249
   ระดับของภิกษุเรียกตามพรรษา

ภิกษุผู้บวชใหม่ พรรษาตั้งแต่ ๑ - ๕ เรียกว่า "พระนวกะ"

ภิกษุที่มีอายุพรรษา ระหว่าง ๕ - ๑๐ พรรษา เรียกว่า "พระมัชฌิมะ"

ภิกษุที่มีอายุพรรษาเกิน ๑๐ พรรษาขึ้นไปแต่ยังไม่ถึง ๒๐ พรรษา เรียกว่า "พระเถระ"

ภิกษุที่มีอายุพรรษาตั้งแต่ ๒๐ พรรษาขึ้นไป เรียกว่า "พระมหาเถระ"

   เสริมเพิ่มเติมวิธีนับพรรษา

๑ พรรษา เท่ากับ ๓ เดือน (ในที่นี้จะนับจากวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ คือช่วงระยะเวลาเข้าพรรษาถึงออกพรรษา)

เพื่อง่ายแก่การเข้าใจ "ผ่านช่วงการเข้าพรรษามาแล้วกี่ครั้ง ก็จะเท่ากับอายุพรรษานั่นเอง"

เช่น บวชมาแล้ว ๑๕ พรรษา ก็จะเท่ากับ ๑๕ ปีในทางโลก ในทางธรรมคือผ่านการเข้าพรรษามาแล้วทั้งหมด ๑๕ พรรษา

หรือ หากบวชได้ครบ ๓ เดือน แต่ไม่ได้บวชอยู่ในช่วงวันเข้าพรรษาถึงวันออกพรรษา ก็ยังนับพรรษาที่ ๑ ไม่ได้นั่นเอง

*หมายเหตุ - การนับพรรษาจะเป็นการนับแบบต่อเนื่องไปตามลำดับ แต่หากลาสิกขา(สึก)ออกมาแล้วกลับไปบวชใหม่ ก็ต้องเริ่มนับพรรษาที่ ๑ ใหม่ด้วยเช่นกัน

   ความหมายและระเบียบของพระนวกะ

(ก)นวกะ แปลว่า ผู้ใหม่, ผู้บวชใหม่, พระใหม่ เรียกว่า พระนวกะ

นวกะ พระวินัยใช้หมายถึงภิกษุที่มีพรรษายังไม่ครบ ๕

นวกะ เป็นพระที่นับว่ายังเป็นผู้ใหม่คือยังมีพรรษาไม่ครบ ๕ จึงยังต้องอยู่ในความปกครองดูแลของพระอุปัชฌาย์ซึ่งพระวินัยเรียกว่ายังต้องถือนิสสัยอยู่

พระนวกะ มีระเบียบว่าจะต้องศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเพื่อรักษาตนทุกรูป สำหรับพระนวกะผู้อยู่จำพรรษาแรก เจ้าอาวาสและเจ้าคณะผู้ปกครองจะจัดการเรียนการสอนให้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ก่อนออกพรรษาจัดให้มีการสอบด้วย เรียกว่า สอบชั้นนวกภูมิ หรือ สอบนวกภูมิ.

**********************************

*(ก)จากสารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย อ้างอิงพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๔๘.

ลงไว้เพื่อการศึกษานะครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย.

:114: :114: :114: :114: :114: :114:


250
สีผึ้งเมตตา สาริกาลิ้นทอง หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม (อฐิษฐานจิต ๘ ตุลาคม ๒๕๕๒)





ตลับขาวจารตัวนะสีทองนี้เป็นชุดแรกๆที่หลวงพ่อสร้างครับ


ส่วนตลับสีชมพูนี้ผมมีไว้แจกครับ :001:


นำมาให้เพื่อนสมาชิกชมกันนะครับ

ปล.ไม่ต้องขอนะครับ เพราะมีไว้แจก(เอ๊ะ...ยังไง :002:)

:114: :114: :114: :114: :114:

251
เหรียญสร้างหอประชุม ปี ๒๕๓๗ ด้านหน้าหลวงพ่อแช่ม ด้านหลังหลวงพ่ออวยพร

ได้มาพร้อมกับเหรียญรุ่นแรก ไว้จะนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ





:114: :114: :114: :114: :114:

252


บังเอิญจริงๆครับ ไปพบเจอกับหลวงพี่ท่านที่วัด

หากเพื่อนสมาชิกยังพอจำกันได้ ใช่ครับคือท่าน"เณรน้อยเส้าหลิน" ครับ

นำภาพมาให้เพื่อนสมาชิกร่วมอนุโมทนากันนะครับ

กราบอนุโมทนากับพระต่ายด้วยนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.



253

****************************************************************************

254
จัดมาให้ชมกันเป็นแพคคู่ ๒ เหรียญนะครับ



:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

256
:001:ขบวนรถสรงน้ำพระสัญจร วัดโคกเขมา :001:










รับบุญสรงน้ำพระกันถ้วนหน้าแล้ว ก็ได้รับแจกวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกด้วย

ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่มอบให้สาธุชนที่ร่วมบุญบูรณะกุฏิเก่าหลวงพ่อเปิ่น วัดโคกเขมา.

"สมเด็จองค์ปฐมหลังยันต์เกราะเพชรเสาร์๕"

รายละเอียดตามกระทู้นี้ครับ

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22459


:114: :114: :114:อนุโมทนาสาธุการร่วมกันนะครับ :114: :114: :114:

257
เหรียญสวยดีครับ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ :002:แบ่งมาให้ชมกันนะครับ :002:



:114: :114: :114:โอม สันติ สันติ สันติ :114: :114: :114:

รายละเอียดเพิ่มเติม

พุทธาภิเศก ณ พระวิหารหลวง วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม วันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๘.๐๐ น.

รายนามพระเกจิวุฒาจารย์ที่นั่งปรกแผ่เมตตาจิต อาทิ

หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม , หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว , หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร , หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม ,

หลวงพ่ออุเทน วัดท่าไม้ , หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน ,  หลวงพ่ออิฐ วัดจุฬามณี , หลวงพ่อพร วัดป่าธรรมโสภณ ,

หลวงพ่อไพโรจน์ วัดห้วยมงคล , หลวงพ่อห่วย วัดห้วยทรายใต้ , หลวงพ่อเสริมชัย วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ,

หลวงพ่อสุข วัดเขาตะเครา , หลวงพ่อยิ้ม วัดลาดปลาเค้า , หลวงพ่อประทวน วัดอรุณราชวราราม เป็นต้น

:114: :114: :114: :114: :114:

258
มณฑป วัดดอนยายหอม สร้างในสมัยของพระราชธรรมาภรณ์(หลวงพ่อเงิน) พ.ศ.๒๕๐๙ (สร้างพร้อมกับกุฏิยายหอม)

โดยหลวงพ่อเงินท่านมีดำริให้สร้างเพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ไว้ให้สาธุชนได้สักการะบูชา

("เนื่องด้วยในขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุมากและสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เกรงว่าจะสนองศรัทธาญาติโยมได้ไม่ทั่วถึง

หลวงพ่อเงินท่านจึงคิดหาทางให้ผู้มีทุกข์ร้อนที่มาหาถึงวัดได้มีทางระบายทุกข์ กับให้มีสถานที่สำหรับเคารพสักกระประจำวัดด้วย" -

ความเห็นจากคณะศิษย์จัดพิมพ์หนังสืออนุสรณ์ทำบุญอายุ ๘๐ ปี หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม)


   ครั้นเวลาล่วงเลยมา มณฑปที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองนี้ ก็ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปตามลำดับ

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ท่านพระครูสังฆรักษ์อวยพร รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม จึงได้บูรณะมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองขึ้นใหม่

และในการนี้เอง หลวงพ่ออวยพรท่านได้นำเหล็กเก่าจากมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองนี้ มาทำเป็นมีดหมอ เพื่อหาทุนบูรณะปฏิสังขรในครั้งนี้

จำนวนการสร้างมีแค่ ๒๐๐ เล่ม (ปัจจุบันหมดแล้วเหลือเพียงตำนาน) ตัวด้าม-ปลอกทำจากไม้ หุ้มเงินแท้ ใบมีดรันนัมเบอร์ 1-200 หลวงพ่อจารเองทุกเล่ม

หลวงพ่ออวยพร อฐิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว และนำเข้าทุกพิธีที่ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปนั่งปรกอฐิษฐานจิตตลอดพรรษา

นำภาพมาให้ชมกันครับ

พระครูสังฆรักษ์อวยพร ฐิติญาโณ รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม จ.นครปฐม






:114: :114: :114:นำมาลงไว้เป็นเพื่อศึกษานะครับ :114: :114: :114:

259
สงกรานต์ปีใหม่ เข้าวัดใกล้บ้านว่าจะไปนมัสการพระครูสังฆรักษ์อวยพร วัดดอนยายหอม แต่ไม่พบท่าน

สอบถามได้ความว่า ตอนนี้ท่านอาพาธรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เลยถือโอกาสไปนิมนต์พระฉันเพลที่บ้าน

พร้อมกับเก็บของที่ระลึกความหมายดีๆ มาให้เพื่อนสมาชิกชมกันครับ.


เหรียญปฐมนครามหาทวารวดี เนื้ออัลปาก้า(หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม อฐิษฐานจิตตลอดไตรมาส ๒๕๕๓)

   ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรศิลปะทวาราวดี ตามประวัติค้นพบทั้งหมด ๔ องค์ ที่บริเวณโบราณสถานทุ่งพระเมรุ

องค์จริงสร้างจากหินแกะสลัก ณ ปัจจุบัน พระพุทธรูปทั้ง๔ องค์ได้กระจายไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆได้แก่ วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ๒ องค์

(พระประธานอุโบสถ๑,พระศิลาขาว๑),พิพิธภัณฑ์สถานเจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา ๑ องค์ ,พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ ๑ องค์

พระพุทธรูปปางประทานพรศิลปะทวาราวดีจึงถือเป็นสื่อสัญลักษณ์ ที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองโบราณทวารวดี

ที่มีศูนย์กลางอยู่แถบจังหวัดนครปฐม,สุพรรณบุรี อันเป็นสถานที่แห่งแรกที่พระพุทธศาสนามาสร้างหลักปักรากฐานไว้ จนดำรงคงอยู่ถึงปัจจุบันนี้ครับ


ด้านหลังเหรียญ ตรงกลางเป็นรูปกงล้อธรรมจักร มีอักษรมคธอยู่ด้านล่าง พร้อมคำแปลเป็นบาลี และภาษาไทยล้อมรอบว่า

"เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห เตสญฺจโย นิโรโธ เอวํ วาที มหาสมโณ"

"ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุเกิดและเหตุดับเหล่านั้น พระมหาสมณมีปกติตรัสเช่นนั้น"

(เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างนึงคือ บริเวณหลังพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ก็มีอักษรมคธดังกล่าวจารึกไว้ด้วย)

พระคาถาเยธัมมาฯนี้ มีความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณกาล ว่าสามารถปกป้องคุ้มภัยให้แก่ผู้บูชาได้

ดังที่ปรากฏพบจารึกในใบลาน , แผ่นโลหะ ฯ มานานนับพันปี (เคยทัศนาหลักฐานชั้นต้นค้นพบแถบบามิยันนำมาจัดแสดงนิทรรศการที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม)

ในสมัยก่อนนิยมจารึกพระคาถานี้ลงในวัสดุต่างๆแล้วพกพาติดตัวด้วยความเชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มภัยได้


*เหรียญเดียวมีทั้งรูปแสดงแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ

**พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

***ได้รับการอฐิษฐานจิตจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครบองค์รัตนตรัย (รัตน=แก้ว,ตรัย=๓,รัตนตรัย=แก้วสามประการ)


"พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ

ขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ที่พึ่งที่ระลึกอื่นไม่มีอีกแล้ว"

:114: :114: :114:เอาบุญมาฝากเพื่อนสมาชิกทุกๆท่านนะครับ สาธุๆ :114: :114: :114:

261
เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงน้าดิน วัดห้วยพลู ปี ๒๕๒๗ (กะไหล่เงิน)

ด้านหน้า

ด้านหลัง

ได้มาพร้อมกับภาพรับพัดยศ


 :001:อยากได้ไว้บูชาบอกได้นะครับมีแจกหลายเหรียญ :001:

262
วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔ วัดบางพระมี ๒ งานใหญ่ คือนอกจากจะเป็นวันไหว้ครูประจำปีแล้ว

ยังตรงกับวันคล้ายวันเกิดพระครูอนุกูลพิศาลกิจ(หลวงพ่อสำอางค์)อีกด้วย.

รวบรวมมงคลวัตถุวัดบางพระมาให้ชมกันครับ.

มาเริ่มกันที่เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อสำอางค์



ตามด้วยรวบรวมมงคลวัตถุหลวงพ่อเปิ่น





















263

   
นำเหรียญหลวงพ่อเปิ่นปี ๓๗ มาแจกจำนวน ๒ เหรียญ


พร้อมกับเหรียญหลวงพ่อแดง วัดศรีมหาโพธิ์ (เป็นเหรียญเก่าประวัติจะนำมาลงในโอกาสต่อไป)



แจกให้กับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ ชาย ๑ ชุด,หญิง ๑ ชุด.(๑ชุดประกอบด้วยเหรียญหลวงพ่อเปิ่น๑,เหรียญหลวงพ่อแดง๑)

แจกในวันงานไหว้ครู(๑๙/๐๓/๕๔) ไม่มีคำถามให้ร่วมสนุก เพียงเจอกันก็ขอรับรางวัลได้เลย!!!

แล้วพบกันครับ( :089:ปุญฺญานุสสติ :089:)


   

264
น้อมบูชาคุณอุปัชฌาย์อาจารย์

กราบนมัสการลาพระอาจารย์เสริฐ วัดศรีมหาโพธิ์  ซึ่งได้มรณะภาพ ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

พระครูพิทักษ์โพธิ์วัฒน์(พระอาจารย์เสริฐ) เจ้าคณะตำบลศรีมหาโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ภาพจาก-เว็บไซต์วัดพระปฐมเจดีย์

"เมื่อเรายังไม่พบญาณ ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ

แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน คือตัณหาผู้สร้างภพ

การเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป

นี่แน่ะ นายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป

โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว

จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป

มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา ดังนี้แล.."

"พุทธพจน์"


265
   หลังจากpackingเสื้อเรียบร้อยพร้อมจัดส่งแล้วเมื่อคืนนี้ :010:

รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๑๕ มีนาคม เวลา ๘.๑๙น. ท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจ(หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ได้เมตตาอธิษฐานจิตเสื้อที่ระลึกรุ่น ๓ ณ สำนักงานวัดบางพระ



เสร็จสรรพเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ..ได้เวลาจัดส่งให้กับสมาชิกที่สั่งจองไว้ :002:

ถึงแม้จะมีอุปสรรคเป็นเม็ดฝนที่หยาดลงมาบ้างประปรายแต่ก็มิใช่ปัญหา :058:(ทำเอาเกือบแย่เหมือนกันนะครับนั่น :075:)


ถึงที่ทำการไปรษณีย์นครชัยศรี ด้วยยอดรวมจำนวนเสื้อกว่า ๕๐๐ ตัว บิลใบเสร็จเลยยาวเป็นหางว่าวอย่างที่เห็น :073:



***แจ้งรายละเอียดการรับเสื้อทางไปรษณีย์***

- สำหรับการรับเสื้อทางไปรษณีย์ ทางไปรษณีย์จะจัดส่งให้ท่านภายในวันที่ ๑๖ - ๑๗ มีนาคมนี้ พรุ่งนี้เตรียมรอรับได้เลยครับ

:114: :114: :114:ขอให้มีความสุขทุกๆคนนะครับ :114: :114: :114:

266
ชุดดวงตราพุทโธมหาลาภ

ดวงตราพุทโธพิมพ์เล็กเนื้อแดง

ดวงตราพุทโธพิมพ์ใหญ่ก้นครก ๓ สี

ดวงตราพุทโธพิมพ์เล็กเนื้อดำโรยแร่



268
ด้านหน้า

ด้านหลัง

269
"อย่าเห็นแก่ความชั่วเล็กน้อย จึงได้กระทำ"

"อย่าเห็นว่าเป็นความดีเล็กน้อย จึงไม่กระทำ"

"มีเพียงคุณงามความดีและสติปัญญาเท่านั้น จึงจะเอาชนะใจผู้คนทั้งปวง"

นำมาปรับใช้ได้กับทุกบทบาททุกสถานะทุกหน้าที่ในสังคม ว่ากันไปตามวิถีแห่งการดำเนินชีวิต ภายใต้กรอบของการดำรงชีพในแนวทางนั้นๆ หรือเป็นไปตามเครื่องควบคุมกายควบคุมวาจา

ที่ปกติชนแสดงไว้และให้นิยามเรียกสิ่งนั้นว่าคือ "ศีล" นั่นเอง(ศีล หมายถึง "ปกติ" คนมีศีลก็คือคนที่ปกติหรือพระที่มีศีลก็คือพระที่มีความเป็นปกติในความเป็นพระเป็นต้น)

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

ธรรมะสวัสดี.




270
ด้านหน้าของเหรียญ

ด้านหลังของเหรียญ

นับได้ว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อสำอางค์ อฐิษฐานจิตปลุกเสกโดยหลวงพ่อเปิ่น จัดสร้างราวปี๒๕๓๐
ที่นำมาให้ชมกันนี้เป็นเนื้อพิเศษ กะไหล่เงิน พบเห็นที่ไหนอย่าปล่อยให้พลาดนะครับ

271
ห่างหายไปนาน กลับมาคราวนี้ขอนำรูปหล่อหลวงพ่อเปิ่น เนื้อทองคำ มาฝากให้เพื่อนๆชมกันครับ





272
เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคในขั้นตอนของการผลิต

จึงทำให้ขนาดของเสื้อบางไซต์ที่ผลิตออกมามีขนาดที่ไม่ตรงกับที่ระบุไว้

คือ SSชาย , Sชาย , Mชาย (ขนาดเล็กกว่าที่ระบุไว้)

เพื่อประโยชน์ของสมาชิกที่ได้รับเสื้อแล้ว แต่ใส่ไม่ได้

ทางเว็บไซต์วัดบางพระจึงมีข้อสรุปว่า

ท่านใดที่เสื้อมีปัญหา(เฉพาะไซต์ SSชาย , Sชาย , Mชาย เท่านั้น) และต้องการที่จะเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ไซต์เดิม

ขอให้แจ้งความประสงค์ไว้ได้ในกระทู้นี้ (แจ้งชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ พร้อมทั้งจำนวนเสื้อและขนาดของเสื้อที่ต้องการจะเปลี่ยน)

ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553.

***ทางเราจะจัดทำให้ใหม่ตามจำนวนที่ลงชื่อแจ้งไว้ในกระทู้นี้***

ทางคณะผู้จัดทำเว็บไซต์วัดบางพระต้องขออภัยสมาชิกทุกท่านเป็นอย่างสูงกับกรณีดังกล่าว.




275

:001:ทายเข้ามากันได้นะครับ :001:

276


:114:ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน :114:

277















ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ที่มา:นิรนาม

278


เจอเค้าที่วัดก็ทักทายกันได้นะครับ ฉายา"โด่งกิโลเดียว" เสือโด่งประจำวัด :092::004:

279
ข่าวสารงานบุญใหญ่ที่ชายไทยมีโอกาสในมหากุศลครั้งนี้ ขอฝากไว้ด้วยนะครับ(ปุญญานุสฺสติ(สิบทัศน์))


บวชพระ 1 แสนรูป
ทุกหมู่บ้านทั่วไทย
ร่วมใจฟื้นฟูศีลธรรมทั้งแผ่นดิน

    
ขอเชิญชายไทยแท้ ทุกหมู่บ้านทั่วไทย
ร่วมจารึกประวัติศาสตร์ของชาติและชีวิต
ด้วยการบวชพระ 100,000 รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย
ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม - 8 มีนาคม พ.ศ.2553(รวม 49 วัน)

    
คุณสมบัติ
 กำหนดการ
1. เป็นชายแท้อายุ 20 – 60 ปี วันเริ่มอบรม วันอังคารที่ 19 มกราคม 2553  
2. จบการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป วันบรรพชา วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553
3. สุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อ โรคจิตประสาท  วันอุปสมบท วันที่ 8 – 10 กุมภาพันธ์ 2553  
    หรือโรค ประจำตัวร้ายแรงอื่นๆ และไม่ติดยาเสพติด วันลาสิกขา วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2553
4. ร่างกายไม่ทุพพลภาพ หรือมีรอยสักนอกร่มผ้าเมื่อครองจีวร  
5. มีคุณสมบัติอื่นๆ ของผู้บวชตามกฎมหาเถรสมาคม  
    
ระยะเวลาดำเนินการ  
ระยะเวลาอบรมและอุปสมบท 19 มกราคม – 8 มีนาคม 2553 ระยะเวลา 49 วัน  
    
สถานที่  
สถานที่อบรมและบรรพชา วัดพระธรรมกาย และวัดต่างๆทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
    
ผลที่คาดว่าจะได้รับ  
1. เป็นมหากุศล สร้างความร่มเย็นและนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ แผ่นดินไทย
2. เกิดความร่วมมือในทางสร้างสรรค์ระหว่างวัดและชุมชนทั่วประเทศ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป  
3. สร้างผู้นำในการเป็นต้นแบบทางศีลธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมทุก ภาคส่วนทั่วประเทศ
4. ผู้เข้าอุปสมบทได้เรียนรู้หลักธรรมนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต  
    
หลักการและเหตุผล  
แผ่นดินไทยได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินธรรม ที่พระพุทธศาสนาปักหลักอย่าง มั่นคงมายาวนานนับพันปี กระแสธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ซึม แทรกไปในทุกจังหวะชีวิตของชาวไทย เกิดเป็นประเพณี วัฒนธรรมชาวพุทธอัน งดงาม จนได้รับการกล่าวขานเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ดินแดนแห่งความสุขบน มนุษยโลก คำตอบของการดำรงความรุ่งเรืองและความสุขของประชาชาติไทยก็คือ การดำรงรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงคู่ผืนแผ่นดินไทย ซึ่งหัวใจของพระพุทธ ศาสนา คือศาสนทายาทที่มั่นคงในพุทธธรรม ดังนั้นการสืบทอดรักษาประเพณี การบวชของชายไทยให้เข้มแข็ง จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อธำรงความรุ่งเรืองของพระ พุทธศาสนา ซึ่งเป็นภาระรับผิดชอบของพุทธบริษัทไทยทุกคน จากโครงการอุปสมบทหมู่ 7,000 รูป 7,000 ตำบล ที่จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 22 สิงหาคม ถึง 11 กันยายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับ จากพุทธบริษัททั่วไทย ตื่นตัวกันทำหน้าที่ชวนผู้มาสมัครบวชได้มากกว่า 13,000 คน และมีผู้เข้าบรรพชาอุปสมบท ถึง 10,685 คน ทำให้คณะสงฆ์ สาธุชน และหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนแห่งความสำเร็จดังกล่าว เห็นพ้อง ต้องกันว่า ควรจัดให้มีโครงการอุปสมบทหมู่ครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้อีก และควรขยาย ไปยังวัดต่างๆ ที่มีความพร้อมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันฟื้นฟูศีลธรรม ในทุกชุมชนทั่วแผ่นดินไทย จึงได้เกิดโครงการอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ทุกชุมชนทั่วไทย ให้พุทธบริษัทไทยได้สร้างบุญใหญ่อีกวาระหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผล ให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งสันติสุขเป็นแบบอย่างแก่โลกในอนาคตอันใกล้นี้
  
วัตถุประสงค์   1.เพื่อให้กระแสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่ปกคลุมทั่วผืนแผ่นดิน ไทยให้ดับร้อน ฝ่าภัยวิกฤติไปสู่ความเข้มแข็งและเจริญรุ่งเรืองต่อไป
2.เพื่อให้ประชาชนทุกชุมชนทั่วประเทศได้ร่วมสั่งสมบุญบารมีในโครงการอุปสมบทหมู่และ เป็นแบบอย่างอันดีให้เกิดโครงการเช่นนี้ขึ้นทั่วประเทศไทย
3.เพื่อให้ผู้อุปสมบทได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่าง ถูกต้องสืบไป  
  
เริ่มรับสมัครตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2552 นี้เป็นต้นไป


สอบถามเพิ่มเติม : ศูนย์กัลยาณมิตรในจังหวัดของท่าน หรือโทร. 02-831-1000
ดูรายละเอียดและสมัครออนไลน์ไดที่ www.dmyCenter.com ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://www.dmycenter.com/site/index.php?option=com_phocadownload&view=category&id=3:&Itemid=88
ผู้สมัครไม่เสียค่าใช้จ่ายในการบวช

ข่าวฝากงานบุญโดย ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

283
เห็นชื่อเป็นมงคลดี นำมาให้ชมกันครับ




284
โยมโดดเดียวอย่างที่บอกไว้ครับ ขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมหน่อยนะครับ





285
นำเรื่องราวพุทธประวัติโดยย่อคร่าวๆมาให้ได้ศึกษากันก่อน(เชื่อว่าหลายท่านก็เคยได้อ่านได้ศึกษากันมาบ้างแล้ว) อ่านกันดีๆนะครับเพราะคำถามอยู่ในนี้ทั้งสิ้น เริ่มกิจกรรม ๑๒.๐๐น. วันนี้ครับ
เจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ พระบิดาทรงพระนามว่า พระเจ้าสุทโธนะ พระมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ขนานพระนามว่า"สิทธัตถะ" เมื่อพระชนม์มายุได้ ๕ พรรษา พราหมณ์ได้ทำนายไว้ ๒ ทางคือจักได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิหรือไม่ก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลกเมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาทิวงคต ทรงศึกษาศิลปะวิทยาการเมื่อพระชนม์มายุได้ ๗ พรรษากับครูวิศวามิตร เมื่อพระชนม์มายุได้ ๑๖ พรรษาทรงอภิเสกสมรสกับพระนางพิมพา หลังจากนั้นพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะ จึงทรงเบื่อหน่ายและคิดหาทางพ้นทุกข์ เมื่อพระชนม์มายุได้ ๒๙ พรรษา ก็จึงเสด็จออกบรรพชา ใช้เวลา ๖ ปี จึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลารวมทั้งสิ้น ๔๕ ปี และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อพระชนม์มายุได้ ๘๐ พรรษา จึงเริ่มนับเป็นพุทธศักราชที่ ๑ ล่วงมาถึงปัจจุบันก็ เท่ากับปี พ.ศ. คือ ๒,๕๕๒ ปีนั่นเอง

ไม่ยากจนเกินไปครับ ของรางวัลคือ พระหลวงปู่ทวด,ดวงตราพุทโธมหาลาภ ของพระอาจารย์เมสันต์(หลวงโด่ง) คมฺภีโร พระขุนแผนเสน่ห์จันทร์แดงฝังตะกรุด พ่อท่านเอ็น วัดเขาราหู ด้ายแดงผูกข้อมือหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ ผ้ายันต์บัวบังใบ เหรียญหยดน้ำหลวงพ่อเปิ่นหลังนางกวัก พระหลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด และอื่นๆ รอติดตามกันครับเที่ยงนี้


286

ติดตามพระอาจารย์เมสันต์(หลวงโด่ง) คมฺภีโร ไปยังวัดสถิตคีรีรมย์ หรืองวัดเขาราหู จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปกราบนมัสการพ่อท่านเพริ้ม หรือที่เราๆท่านๆรู้จักกันในชื่อ"พ่อท่านเอ็น" พระอาจารย์อีกรูปของหลวงโด่ง ขอนำประวัติวัดมาให้ได้ศึกษากันก่อนนะครับ
ประวัติวัด

         ชื่อ วัดสถิตคีรีรมย์ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลย่านยาว อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลักฐานสำคัญสำหรับที่ดินในการก่อสร้าง ส.ด.๑ เลขที่ ๒๐๑ หมู่ที่ ๑ ตำบลย่านยาว อำเภอคีรีรัฐนิคม โดยมี อาณาเขตดังนี้

                    ทิศเหนือ                จดคลองพุมดวง ยาวประมาณ ๙ เส้น
                    ทิศใต้                    จดเขาราหู ยาวประมาณ ๖ เส้น ๑๔ วา
                    ทิศตะวันออก           จดที่ดิน นายพ่วง ศักดา ยาวประมาณ ๓ เส้น
                    ทิศตะวันตก             จดที่ดิน นางหนีด จันทร์ปาน ยาวประมาณ ๑ เส้น

            คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๒๕ ไร่ ๒ งาน ๔๐ ตารางวา ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของวัดสถิตคีรีรมย์ ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆและริมเนินเขาติดต่อกับแม่น้ำพุมดวง เป็นพื้นที่ราบสูงและที่ราบลุ่ม บ้างไม่สม่ำเสมอกันเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านเรียกขานนามว่า “ เขาจุกเภา”

           ประวัติย่อความเป็นมาของวัดสถิตคีรีรมย์ ได้ก่อสร้างเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ และได้รับอนุญาตให้ตั้งวัด เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน  พ.ศ. ๒๔๘๐ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๑ มีความกว้าง ๑๐.๐๐ เมตร ยาว ๒๐.๐๐ เมตร
          ผู้เป็นประธานในการก่อสร้างวัดสถิตคีรีรมย์ คือ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ พระครูสถิตสันตคุณ  “หลวงพ่อพัว เกสโร” อดีตเจ้าคณะอำเภอคีรีรัฐนิคม และพระอธิการเชื่อม ธมมโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดปราการ และเจ้าคณะตำบลท่าขนอน ซึ่งได้ขออนุญาตจากท่านขุนอนุการคหกิจ นายอำเภอคีรีรัฐนิคม และท่านขุนย่านยาวนายก กำนันตำบลย่านยาว
          เดิมชาวบ้านเรียกชื่อว่า  “วัดเขา” และเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ พระเทพรัตนะกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เดินทางกลับจากการผูกพัทธสีมา วัดเขาพัง คลองพระแสง ได้แวะเยี่ยมการก่อสร้างวัดเขาของหลวงพ่อพระครูสถิตสันตคุณ ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ และได้มีความเห็นอันเป็นสมควร จึงได้ขนานนาม “วัดเขา” เป็นชื่อวัดสถิตคีรีรมย์
         สิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของวัดสถิตคีรีรมย์ ท่านพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ พระครูสถิตสันตคุณ “หลวงพ่อพัว เกสโร” ได้ริเริ่มก่อสร้างถาวรวัตถุ ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุประจำวัดสถิตคีรีรมย์ ได้สร้างพระพุทธบาทจำลองสี่รอยซ้อนกันเป็นชั้นๆ และก่อสร้างพระปรางค์มณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ๑ หลัง ก่อสร้างกุฏิถาวร ๑ หลัง และกุฏิชั่วคราวหลายหลัง มีพระภิกษุจำพรรษาปีละหลายรูปตลอดมา

       การคัดเลือกชัยภูมิที่ตั้งวัดสถิตคีรีรมย์ ท่านอาจารย์พระครูสถิตสันตคุณ (หลวงพ่อพัว เกสโร) ได้ปรึกษาหารือร่วมกับท่านเจ้าพระอธิการเชื่อม ธมมโชโต เจ้าอาวาสวัดปราการ ซึ่งเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนอน และเป็นเครือญาติมีศักดิ์เป็นน้าของพระอาจารย์พัว เกสโร พระอธิการเชื่อม ธมมโชโต ก็เห็นพ้องต้องกัน และลงความเห็นพร้อมกันว่า ควรก่อสร้างวัดสถิตคีรีรมย์ ที่บนไหล่เขาจุกเภา หรือเขาราหู โดยสร้างพระพุทธบาท ๔ รอย ไว้ในวัดสถิตคีรีรมย์ และมีเหตุผลในกานเลือกชัยภูมิตรงจุดนี้ เพราะประชาชนเชื่อถือว่า “เขาราหู” คือ เป็นภูเขาหลักบ้านหลักเมืองของเมืองคีรีรัฐ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอท่าขนอน แล้วก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอคีรีรัฐนิคม จนถึงปัจจุบันนี้ความเชื่อถือของประชาชน มีคำเล่าลือ ตามคำปรัมปรา เล่ากันว่า เมื่อครั้งก่อนบริเวณใกล้ภูเขาลูกนี้ยังเป็นทะเลอยู่ ก็มีเรือสำเภาแล่นมาชนภูเขาลูกนี้แล้วเรือสำเภาอับปางลง และปัจจุบันนี้ภูเขานี้ ภูเขาลูกนี้จึงเป็นช่องโหว่ ทางด้านติดกับแม่น้ำพุมดวง ซึ่งยังปรากฏอยู่จนบัดนี้ คนทั้งหลายจึงพากันเรียกว่า “เขาจุกเภา” หรือ “เขาจุกตะเภา” หรือ “เขาราหู” เพราะบนหน้าผา ทางด้านทิศใต้ตรงที่ตั้งเมืองคีรีรัฐนิคม มีรูปเป็นหน้าราหู พิเคราะห์ดูได้ชัดเจนและภูเขาลูกนี้ด้านทิศเหนือหยั่งลงมาในแม่น้ำพุมดวง เป็นที่น่าอัศจรรย์ ชาวบ้านนับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อคราวแรก ฝนจกตกลงในแม่น้ำพุมดวงน้ำจะหลากมา และเมื่อหมดหน้าน้ำหลาก จะมีเสียงดนตรี เช่น ฆ้อง กลอง ดังขึ้นพอฟังได้ถนัด ครั้งละ ๓ ลูก ๆ หนึ่ง ประมาณ ๑๐-๑๕ นาที และอย่าให้มีคนส่งเสียงอื้อฉาว ถ้ามีคนส่งเสียงอื้อฉางขึ้น เสียงดนตรีจะสงบลงทันที เมื่อครั้งก่อนๆ มีคนนับถือกันมาก ประชาชนที่บรรทุกสินค้าทางเรือขึ้นล่องจะต้องจุดธูปเทียน หมากพลู สักการบูชา และจุดประทัดบวงสรวง  พระอาจารย์ พระครูสถิตสันตคุณ (หลวงพ่อพัว เกสโร) ได้ตกลงใจสร้างวัดสถิตคีรีรมย์แล้ว พร้อมทั้งหารือและขออนุญาตจากท่านขุนอนุการคหกิจ นายอำเภอบ้านท่าขนอนและขุนย่านยาว นายกกำนันตำบลย่านยาวเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ พระครูสถิตสันตคุณได้เริ่มลงมือสร้าง เริ่มต้นตั้งแต่ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๑ ตรงกับวันเสาร์ เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล และได้ขอแรงผู้มีจิตศรัทธา ทั้งในที่ใกล้และไกลมาแผ้วถาง ปรายพื้นที่ โดยพระอธิการเชื่อม ธมฺมโชโต ผู้เป็นหัวหน้าและในคราวแรก และให้พระอธิการฟุ้ง โกวิทโท อดีตเจ้าอาวาสวัดปราการ จัดการเขียนแบบแปลน พระพุทธบาทจำลอง ๔ รอย และติดต่อนายช่างจากกรุงเทพมาเป็นผู้ควบคุมก่อสร้างในราคา ๔๕๐ บาท (สี่ร้อยห้าสิบบาท)

เจ้าอาวาสองค์แรก ชื่อ พระครูสถิตสันตคุณ มรณภาพ พ.ศ. ๒๕๐๘
พ.ศ. ๒๕๐๘ พระสมุห์เพริ้ม โกสิโย รักษาการเจ้าอาวาสได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๒

ที่มา - เว็บไซต์พ่อท่านเอ็น วัดเขาราหู...สุดยอดเครื่องราง "ตะกรุดไม้ไผ่ตายพราย" และ "ขุนแผนเสน่ห์จันทร์แดง"



287
ขุนแผนเสน่ห์จันทร์แดง พ่อท่านเอ็น วัดเขาราหู จ.สุราษฎร์ธานี ฝังตะกรุด(สุดยอดเสน่ห์เมตตาคงกระพัน)



ผ้ายันต์เท่งคุมทัพ พระอาจารย์เมสันต์(ไปไหนมาไหนมีแต่คนเมตตา เฮฮาได้ทุกที่ :002:)



หลวงปู่ทวด วัดเก่าเจริญธรรม จ.พังงา(พิธีใหญ่สายใต้สายเขาอ้อ)



ผ้ายันต์เพชรพญาธร พระอาจารย์เมสันต์(ประสบการณ์ปาราชิกไป๓  :075::073: :075:)



ดวงตราพุทโธมหาลาภ,พระพุทธสิหิงค์หลังปิดตาพังพกาฬ พระอาจารย์เมสันต์



หลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์เตารีด พระอาจารย์เมสันต์



หลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์พระรอด พระอาจารย์เมสันต์



***พระเนื้อว่านของพระอาจารย์เมสันต์ทุกองค์ รวบรวมมวลสารที่เก็บสะสมมาหลายสิบปีทุกที่ทั่วไทย ๑ ในนั้นคือ พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน วัดช้างให้ ปี ๒๔๙๗ กราบนมัสการพระอาจารย์เมสันต์ที่มอบไว้ให้นะครับ***

กราบนมัสการหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือวิปัสสนา จ.กระบี่ พระอาจารย์ของพระอาจารย์เมสันต์อีกรูปหนึ่ง



ฝากทิ้งท้ายด้วยคำสอนของหลวงปู่สุภา วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต


288
รายนามผู้บริจาคทรัพย์สร้างพระพุทธรูปบูชา ประจำปีเกิด ประดิษฐานไว้สักการะบูชา

ณ วิหารคต หลังพระบรมธาตุเจดีย์ วัดนก

ซอยพาณิชยการธนบุรี ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ


 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:
๑.พระพุทธรูปบูชา  ประจำปีชวด ปางโปรดอาฬกยักษ์ นั่ง ๒๙ นิ้ว
  คุณสมพันธ์  ลิมปาภรณ์ บริจาคสร้าง ๓๕,๐๐๐ บาท

๒.พระพุทธรูป ประจำปีฉลู ปางโปรดพุทธมารดา (๒๙นิ้ว)
  นางสาว ชะลอ  วิเศษเสนีย์,นางสาว จีรภัทร  บุญยการ บริจาคสร้าง ๓๕,๐๐๐บาท

๓.พระพุทธรูป ประจำปีขาล ปางโปรดผกาพรหม
  มิสเจ๊า  ไหล่หว่า,มิสหล่ำเย็กจิ๊ก ไต้หวัน คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่นและผู้บริจาคทั่วไป สร้างถวาย ๑๒๐,๐๐๐บาท

๔.พระพุทธรูป ประจำปีเถาะ ปางอฐิษฐานเพศบรรพชิต (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
  ธิดา สร้างอุทิศส่วนกุศลให้ คุณแม่ปริก  วิเศษเสนีย์ ๓๕,๐๐๐ บาท

๕.พระพุทธรูป ประจำปีมะโรง ปางโปรดองค์คุลีมาลโจร (ยืน ๒.๑๕ เมตร)
  พลตรี วิชิต,พลอากาศตรีหญิง นาถเฉลียว,คุณกิตติพงศ์,คุณนาทวุฒิ  ตรีเพ็ชร์ สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๖.พระพุทธรูป ประจำมะเส็ง ปางทรงรับอุทกัง (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
  คุณสุวลี เฉื่อยฉ่ำ สร้างอุทิศให้ คุณพยนต์(ปู่พรหม)  เอมศิลปี สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๗.พระพุทธรูป ประจำปีมะเมีย ปางสนเข็ม (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
  คุณสมศักดิ์,คุณสุพิชา,พันเอก สุรวิทย์  รัตนประทุม สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๘.พระพุทธรูป ประจำปีมะแม ปางประทานพร (ยืน ๒.๑๕ เมตร)
  ธิดา สร้างอุทิศให้ คุณวิเชียร(หงอ)  วิเศษเสนีย์ พี่สาว สร้างอุทิศให้ คุณเฉลิมศักดิ์  วิเศษเสนีย์ สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๙.พระพุทธรูป ประจำปีวอก ปางปฐมบัญญัติ (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
  โรงหล่อวิชัย สามพราน สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๑๐.พระพุทธรูป ประจำปีระกา ปางรับมธุปายาส (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
   คุณอมรสิริ  กลิ่นประทุม สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๑๑.พระพุทธรูป ประจำปีจอ ปางชี้อัครสาวก (นั่ง ๒๙ นิ้ว)
   โรงหล่อวิชัย สามพราน สร้างถวาย ๓๕,๐๐๐ บาท

๑๒.พระพุทธรูป ประจำปีกุน ปางโปรดพญาชมพูบดี (๒๙ นิ้ว)
   คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น สร้างถวายหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จำนวนเงิน ๒๔๓,๗๓๐ บาท
   เป็นเจ้าภาพเลี้ยงเพล ๑๘,๔๐๐ บาท


  :001: :001: :001:ร่วมอนุโมทนามหากุศลครั้งนี้ด้วยครับ :001: :001: :001:

289
วันพรุ่งนี้เวลา ๐๔.๓๐น.-๐๕.๐๐น. ติดตามรับชมละครธรรมะ เรื่องทานบารมี ได้ทางช่อง ๙

จัดทำโดยวัดพระราม๙ฯ เนื่องในวโรกาส ๘ รอบ ๙๖ พรรษาสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก

"ผู้การเสือ"ร่วมแสดงด้วยครับ อย่าลืมติดตามกันนะครับ. :001:

291
ขอความคิดเห็นเพื่อนสมาชิกเรื่องการจัดทำเสื้อบอร์ดวัดบางพระ(ครั้งที่๒)

ต้องการแบบไหนอย่างไร เชิญแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

หรือใครมีไอเดียดีๆก็ออกแบบนำเสนอผลงานมาให้ช่วยกันตัดสินก็ได้ครับ

ขอเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทยนะครับ



292
"การศึกษา เป็นแสงสว่างส่องโลก

อาตมาอยากเห็นบุตรหลานในท้องถิ่นนี้มีความสะดวกสบาย

และมีความสุขความเจริญโดยทั่วถึงกันทุกคน

นี่แหละคือความสุขที่แท้จริงของอาตมา"

พระอุดมประชานาถ(หลวงพ่อเปิ่น)

วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

293

 :002: :002: :002:๕ ตุลาคมศกนี้ รู้กัน :002: :002: :002:

294

เป็นมาของอุโบสถหลังเก่าของวัดบางพระนั้นไม่มีการบันทึกเอาไว้ว่าสร้างใน สมัยใดมีเพียงการคาดคะเนเอาตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันคำนวณเอาจาก อายุของเนื้อแท้ของถาวรวัตถุลักษณะโบสถ์เป็นแบบมหาอุตม์พื้นที่ภายในกำแพง แก้วยกดินสูงมีสถูปเจดีย์ล้อมรอบสี่ด้านด้านหน้าหันออกสู่แม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ด้านหน้ามีเรือสำเภาก่ออิฐถือปูนกลางลำเรือก่อขึ้นไปเป็นเจดีย์เป็น การบ่งให้ทราบว่าแถบถิ่นแถวนี้มีการค้าขายกันทางเรือเมื่อชุมชนขยายผู้คน ปัจจุบันนี้พระอุโบสถหลังเก่านั้นได้รับการบูรณะซ่อมแซมดังภาพที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน 


พอดีว่าได้ตะปูพระอุโบสถหลังเก่าของวัดบางพระมาจำนวนหนึ่งเลยนำมาให้ชมกันครับ


295
เข้าสอบนักธรรมตรีสนามตำบลมาครับเก็บภาพมาฝากเล็กๆน้อยๆ

กราบนมัสการพระอาจารย์เมสันต์สำหรับคำแนะนำที่เป็นกำลังใจอย่างดีครับ

หลวงพ่อแดง แสงกายสิทธิ์



พระอวโลกิเตศวรกวนอิมองค์ประธาน



ภายในประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรกวนอิมพันมือ



และเศียรพระอวโลกิเตศวรกวนอิมด้านหลัง



ขอปิดท้ายด้วยผ้ายันต์บัวบังใบเขียนพิมพ์โดยพระอาจารย์ตูน วัดคณิกาผล พิเศษเป็นผ้าจีวร


296
ประสบการณ์วิญญาณ / กุฏิชายน้ำ
« เมื่อ: 08 ก.ย. 2552, 10:09:21 »
เรียบเรียงมาให้ได้อ่านกันต่อครับ ครั้งนี้จะขอเล่าเรื่องของกุฏิชายน้ำ กุฏิทรงไทยทำด้วยไม้เก่าแวดล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า ลมเย็นๆโชยมาจากท้องน้ำพาให้บรรยากาศเย็นสบาย แต่ที่นี่เองได้เก็บบันทึกเรื่องเล่าประสบการณ์แปลกประหลาดไว้มากพอสมควร


หลายท่านคงได้มีโอกาสเดินทางมาที่วัดบางพระกันบ้างแล้ว ด้านหน้ากุฏิใหญ่ที่ไว้สังขารของหลวงพ่อเปิ่น หากท่านลองมองไปด้านซ้ายมือก็จะพบกับทางเดินที่ทอดไปสู่ริมน้ำ ปลายทางนี้ก็จะพบกุฏิไม้ทรงไทย (ในอดีตมีกุฏิทรงไทยชายน้ำ ๒ หลัง ปัจจุบันรื้อถอนไป ๑ หลัง)


ไม้ที่นำมาใช้สร้างกุฏินั้นจะเป็นไม้เก่าที่มีโยมมาถวายไว้ ที่มาของไม้เก่าเหล่านี้ก็พอจะทราบกันดีนะครับ คนไทยสมัยก่อนเวลาจะปลูกบ้านสร้างเรือนเขาจะต้องนำเอาวันเดือนปีเกิดของเจ้าของบ้าน มาคำนวนวางแปลนบ้าน ห้องหับต่างๆก็จะต้องคำนวนเช่นกันเพื่อให้เป็นมงคลและไม่เกิดโทษเกิดภัยแก่เจ้าของบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ สรุปก็คือเรือนที่สร้างนั้นจะต้องถูกโฉลกกับเจ้าของเรือนสร้างไว้เพื่อเจ้าของเรือนโดยเฉพาะ

หากเจ้าของเรือนได้เสียชีวิตลงก็จะไม่มีใครกล้าเข้าไปพักอาศัย เพราะเกรงกลัวเหตุเภทภัยต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ส่วนมากจึงนิยมนำเรือนหรือไม้มาถวายวัด ทำเป็นกุฏิของพระสงฆ์ กุฏิไม้ในวัดบางพระแทบทุกหลังต่างก็มีที่มาแบบนี้ทั้งสิ้น




นอกจากบ้านเรือนและไม้เก่าแล้ว ก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้ของคนตายที่เขามักนิยมนำมาถวายวัดกัน (ไม่เห็นใจพระคุณเจ้ากันบ้างเลยนะคุณโยม :075:) อย่างที่กุฏิชายน้ำหลังนี้ด้านล่างจะมีเตียงไม้อยู่ตัวหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ไม่ทราบที่มาผ่านไปผ่านมาก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร ก็เห็นเพียงว่าเป็นเตียงไม้ธรรมดาๆตัวหนึ่ง แต่พอได้ฟังว่าเตียงนี้มีโยมเขานำมาถวายวัด เป็นไม้ประดู่ชิงชัน เจ้าของเดิมชื่อเงิน เป็นหญิงสูงอายุแกนอนตายบนเตียงตัวนี้!!! :074:โอ้วชักไม่ค่อยกล้าเดินผ่านหล่ะครับ หวั่นๆอยู่เหมือนกัน


จุดที่วงกลมในภาพ ในอดีตจะมีเตียงไม้ประดู่ชิงชันวางไว้ ปัจจุบันย้ายไปแล้ว

เคยมีคนได้พบเจอเรื่องราวแปลกๆ พระเพื่อนของหลวงพี่เว็บท่านมาจากภูเก็ต ได้มาพักจำวัดและได้นอนบนเตียงตัวนี้ หลวงพี่ท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน ก่อนนอนก็จะนั่งกัมมัฏฐานอยู่บนเตียงตัวนี้ วันดีคืนดีขณะนอนจำวัดอยู่ก็จะมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมานั่งทับ มองเห็นเป็นร่างดำๆทับตัวอยู่!!!(ถ้าเป็นเราๆช็อคหงายกันไปแล้ว- -) แต่หลวงพี่ท่านก็ยังคงนอนเตียงตัวนี้ต่อไป จนกระทั่งวันที่จะเดินทางกลับภูเก็ตในรุ่งเช้า ท่านก็นั่งกัมมัฏฐานเจริญสมาธิบนเตียงตัวนี้อย่างปกติ ผ่านไปสักพักก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาจนต้องออกมาหาว่ากลิ่นนี้มาจากไหนหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ(คงจะเป็นการบอกให้เรารับรู้)  

เกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ สมัยที่หลวงพี่พันธ์ท่านยังอยู่ที่วัดบางพระ ท่านก็มักจะมานั่งสนทนากับหลวงพี่เว็บและพระเพื่อนอยู่บนกุฏิหลังนี้อยู่เป็นประจำ ดึกๆจะสนทนาเรื่องอะไรกันดีหล่ะครับให้เข้ากับบรรยากาศ  :002: ใช่ครับหนีไม่พ้นเรื่องผีเรื่องวิญญาณ มีอยู่ครั้งหนึ่งก็นั่งสนทนากับตามปกติ สักพักกุฏิทรงไทยหลังนี้ก็ได้โยกไปคลอนมาจนรับรู้ถึงความรู้สึกได้ว่ามันโยกเองได้!!!วงสนทนาก็ได้เงียบลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ลองคิดดูนะครับกุฏิหลังนี้มีเสาปูนถึง ๑๒ ต้น แล้วมันจะโยกได้อย่างไร :074:



ด้านหน้าที่เป็นระเบียงก็เคยมีพระสงฆ์มรณภาพ หลายท่านคงเคยมานอนค้างที่กุฏิหลังนี้กันบ้างแล้วนะครับ ลองถามท่านชลาพุชะดูครับสำหรับบรรยากาศ เล่าเรื่องนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าคราวหน้าจะมานอนค้างที่กุฏิหลังนี้อีกหรือเปล่า ท่านมรณภาพตรงบริเวณที่วงกลมสีแดงเอาไว้ครับ


จุดวงกลมสีแดงในภาพ คือบริเวณที่เคยมีพระภิกษุมรณภาพ

ด้านในกุฏิจะเป็นห้องโล่ง ด้านบนตีฝ้าไว้ หลวงพี่ท่านเล่าว่าเคยได้ยินเสียงกบร้องกันระงมบนฝ้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรกุฏิ๒ชั้นแล้วกบที่ไหนจะขึ้นมาอยู่บนฝ้าได้ ก็ต้องปีนขึ้นไปพิสูจน์ ใช้ไฟฉายไล่ส่องดูทุกซอกทุกมุมบนแผ่นฝ้าเลยครับ แต่ผลปรากฏว่าไม่เจออะไรเลย :074: พอไม่เห็นอะไรก็ลงมายังไม่ทันหายสงสัยเสียงกบก็ดังระงมมาอีก ได้แต่นั่งมองหน้ากันเหลิกหลักๆ :074:


ไม่เฉพาะแค่ตอนกลางคืนเท่านั้นบางครั้งมากันกลางวักแสกๆเลยก็มี สมัยก่อนชั้น ๒ ด้านในจะมีเตียงของหลวงปู่หิ่มอยู่ทางด้านซ้ายมือ(ปัจจุบันย้ายไปไว้ที่กุฏิหลวงพี่เชษฐ์) ตรงหน้าต่างก็จะมีเครื่องตั้ง (เครื่องประดับตกแต่งงานศพ) นำมาทำเป็นโต๊ะหมู่บูชา กลางวันบรรยากาศดีมากครับตรงนี้ริมน้ำลมโชยน่านอนมาก เคยมีพระมานอนแต่ยังไม่หลับยังรู้สึกตัวมีสติครบถ้วน ท่านเห็นเด็กนุ่งโจงกระเบนมากราบที่ตัก!!! หลอนแทนครับแบบนี้ :074:

และเมื่อเช้านี้เองตอนไปบิณบาตรหลวงพี่เว็บท่านก็ได้ชี้ให้ดูโยมคนนึง ท่านเล่าให้ฟังว่าเคยบวชอยู่ด้วยกันตอนนี้สึกออกไปแล้ว พระบวชใหม่สมัยก่อนก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟังมานะครับ ถึงคิวเวรตีระฆังตอนเช้าตี ๔ ก็จะต้องไปเรียกพระเพื่อนให้ไปเป็นเพื่อนกัน บรรยากาศวัดบางพระสมัยก่อนนั้นต่างกับปัจจุบันมากต้นไม้รกครึ้มน่ากลัวเอามากๆ จะไปไหนมาไหนตอนกลางคืนก็จะต้องหาคนเดินไปเป็นเพื่อนด้วย ตี๓กว่าๆของคืนนึงเป็นเวรของแกที่จะต้องตีระฆังสัญญาณ แกก็เดินมาที่กุฏิชายน้ำเพื่อจะเรียกหลวงพี่เว็บให้เดินไปเป็นเพื่อนกัน พอขึ้นมาบนกุฏิแล้วแกก็เห็นมุ้งกางกั้นประตูกุฏิไว้มีคนนอนอยู่ในมุ้งด้วย จะเข้าไปเรียกหลวงพี่เว็บด้านในกุฏิก็เกรงใจคนที่นอนอยู่ในมุ้ง ก็เลยตัดสินใจไปเรียกพระรูปอื่นที่กุฏิอื่นไปเป็นเพื่อนแทน

พอเช้าแกก็เดินมาหาหลวงพี่เว็บที่กุฏิชายน้ำอีกครั้งเพื่อบอกว่าเมื่อคืนจะมาเรียกไปเป็นเพื่อนตีระฆังด้วยแล้ว แต่เห็นมีคนกางมุ้งนอนขวางประตูทางเข้ากุฏิไว้ เกรงใจคนในมุ้งเลยไม่ได้เข้าไปเรียก หลวงพี่เว็บก็งงสิครับ ใครจะมานอนกางมุ้งหน้าประตูทางเข้ากุฏิ ไม่มี ไม่มี!! เมื่อคืนไม่มีใครมานอนกางมุ้งหน้าประตูเลย ก็เถียงกันไปมาต่างฝ่ายก็ต่างยืนยัน คนนึงยืนยันหนักแน่นว่าเห็นมีคนนอนกางมุ้งอยู่ อีกคนบอกไม่มีแน่นอน แล้วสรุปว่าคนที่นอนกางมุ้งหน้าประตูทางเข้ากุฏิเขาเป็นใครกันแน่หล่ะครับ พอจะคาดเดากันได้นะครับ :074:



ยิ่งเล่ายิ่งยาวครับขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วจะมานำเสนอเรื่องราวประสบการณ์แปลกๆ ในวัดบางพระให้ได้อ่านกันต่อไปในโอกาสหน้า

เจริญพร.

297
ตั้งใจจะลงให้ได้อ่านกันนานแล้วครับ แต่ขอเวลาพิสูจน์ให้เห็นด้วยตัวเองสักนิด ตอนนี้ได้รับรู้ได้สัมผัสเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ ในวัดบางพระแล้ว จึงมานำเสนอให้เพื่อนๆ สมาชิกได้รับทราบกันครับ

เริ่มเล่าเรื่องที่ได้สัมผัสกับตัวเองเลยนะครับ ได้มีโอกาสเข้ามาอุปสมบท ณ วัดบางพระ (เมื่อปี ๒๕๕๒) พระใหม่ก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องทำกันอาทิ เรียนพระปริยัติธรรม หมั่นศึกษาทบทวนท่องจำบทสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งการแบ่งหน้าที่ตีระฆังสัญญาณเพื่อบอกเวลาทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น

เวลาทำวัตรเช้าของที่วัดบางพระจะเริ่มเวลา ตี ๔ ครึ่ง ก็จะต้องตีระฆังสัญญาณตอนตี ๔ เพื่อเตรียมตัว หอระฆังอยู่ด้านหน้ากุฏิหลวงพี่ญา พระบวชใหม่ก็จะสลับหมุนเวียนกันมาตีระฆังสัญญาณกันตามตารางเวรในแต่ละวัน

ที่เฝ้าสังเกตดูมาบรรยากาศช่วงตี ๓ กว่าๆ ใกล้ตี ๔ ท้องฟ้ายังมืด สายลมอันเย็นยะเยือกพัดผ่านไปมา ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเงียบสงบ พอสัญญาณระฆังดังขึ้น เสียงที่จะต้องตามมาเสมอคงหนีไม่พ้นเสียงหมาหอนที่ชวนขนหัวลุก อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติไม่น่าจะแปลกอะไร แต่ถ้าลองสังเกตสักนิดวันใดที่หมาหอนรับกันไปมาให้ระงมไปทั้งวัดหอนรับกันเป็นทอดๆ บางทีหอนรับกันข้ามฝั่งคลองเลยทีเดียว (ในบางครั้งบางคราวหอนรับจากในวัดออกไปยันบ้านคนตายได้เลย) เชื่อได้เลยครับในวันรุ่งขึ้นหรือให้หลังไม่เกิน ๓ วัน ๕ วัน จะต้องมีศพเข้าอย่างแน่นอน!!! แปลกแต่จริงครับ



มีหลายอย่างที่บ่งบอกได้อีกอย่าง เช่น หน้าต่างศาลาเมรุวัดบางพระ บานที่ ๓ (ช่วงบริเวณหน้ากุฏิเจ้าอาวาส) วันดีคืนดีมันก็มักจะเปิดแง้มออกมาเองเสมอๆ เชื่อกันว่าหากหน้าต่างบานที่ ๓ เปิดเองจะต้องมีศพเข้าเมรุ เรื่องนี้เท่าที่เฝ้าสังเกตเป็นไปได้บ้างแต่ไม่แน่นอนไปเสียทีเดียว ที่หน้าต่างเปิดมาเองอาจเป็นเพราะบานหน้าต่างมันตกก็เป็นได้ แต่ถ้าผมเห็นมันเปิดเองทีไรผมก็มักจะเปิดไปดูข้างในว่ามีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ปิดให้สนิทไว้ตามเดิม หลอนดีนะครับ


เมรุ สถานที่เผาศพคนตาย แทบทุกวัดก็จะต้องมีเมรุไว้ใช้ประกอบพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับคนตายเกี่ยวกับศพ ในสมัยก่อนจะเป็นแบบเชิงตะกอน เผากลางแจ้ง แล้วก็ค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ ตามกาลสมัย วัดบางพระในสมัยก่อนนั้นจะเผาศพแบบเชิงตะกอนที่บริเวณข้างโบสถ์เก่า จวบจนมาถึงในปัจจุบันได้สร้างศาลาเมรุโดยใช้ระบบไฟฟ้าในการเผา และเมรุหลังนี้นี่เองที่เป็นที่รวบรวมเรื่องราวแปลกๆ ประสบการณ์ที่เล่าสืบต่อกันเรื่อยมาในบางสิ่งก็จะได้พบได้เจอแม้ในปัจจุบันสมัย

ฟังเล่าๆ กันมาเมรุวัดบางพระนี่เจอดีกันเยอะ บ้างก็เห็นกำลังปีนปล่องเมรุเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็ทิ้งดิ่งหัวปักลงมาที่พื้นด้านล่าง - -" หรือข้างเมรุเมื่อก่อนจะมีนำเรือไม้ตะเคียนมาตั้งไว้ ก็มักจะเห็นเป็นหญิงสาว ๓ คนมานั่งที่หัวเรือนุ่งห่มสไบ (ตอนนี้ทำเป็นช่องอุโมงค์) ฟังแล้วก็ไม่อยากจะคิดครับแต่ผมเวลาทำวัตรเช้าเสร็จตอนประมาณตี ๕ ก็ชอบเดินผ่านตรงบริเวณนั้นประจำๆ  :075:



เรื่องแปลกแต่จริงเกี่ยวกับเมรุอีกอย่างที่พิสูจน์ได้นั่นก็คือ เมรุวัดบางพระจะกินศพคู่?? กินศพคู่อย่างไรอธิบายให้ฟังครับ หากถ้ามีศพคนตายมา ๑ ศพ จะต้องมีเข้ามาอีก๑ศพอย่างแน่นอน หากเข้ามา ๓ ศพ ก็ต้องมีศพถึง ๔ ศพ จะเป็นเลขคู่ทั้งสิ้นลองสังเกตกันดูได้ครับข้อนี้

เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มีเยอะมากครับ ที่กำลังติดตามดูอยู่มันเป็นสถิติหรือจะเรียกว่าอาถรรพ์ของวัดบางพระก็ไม่ผิด ในช่วงเข้าพรรษาหากมีพระสงฆ์จำพรรษารวมทั้งหมดเป็นเลขคู่ ฟันธงกันลงไปได้เลยครับในช่วงเข้าพรรษาหรือหลังจากเข้าพรรษาไปบ้างเล็กน้อยจะต้องมีพระสงฆ์ในวัดมรณะภาพ ๑ รูป!!! เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นทุกครั้งจริงๆ ปีไหนที่จำนวนพระสงฆ์ในวัดทั้งหมดรวมออกมาเป็นเลขคู่ก็หวั่นๆ กันแล้ว อย่างเช่นปีนี้ พ.ศ.๒๕๕๒ พระสงฆ์จำพรรษาในวัดพระบางพระรวมแล้วทั้งสิ้น ๔๒ รูป!!! ติดตามกันต่อไปครับว่าอาถรรพ์จะมีจริงอีกหรือเปล่า

ทั้งหมดที่เล่าสู่กันฟังนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น จะพยามยามนำมานำเสนอกันในโอกาสต่อไปนะครับ



298
บทความ บทกวี / อุทเทสิกเจดีย์
« เมื่อ: 05 ก.ย. 2552, 08:06:54 »

จะกล่าวถึงเกี่ยวกับสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ "อุทเทสิกเจดีย์" อันเป็นเจดียสถานที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดจนพระ พุทธศาสนา ความหมายของคำว่า "อุทเทสิกะ" ก็คือ "อุทิศ" นั่นเอง

อุทเทสิกเจดีย์ปรากฏในหลายรูปแบบ เช่น พระพุทธรูป พระเครื่อง พุทธบัลลังก์ หรือสิ่งใดก็ตามที่สร้างถวายพระพุทธศาสนาเป็นพุทธบูชา และไม่เข้าประเภท ธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ก็สามารถนับเป็นอุทเทสิกเจดีย์ได้ทั้งสิ้น

ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลก่อนที่จะมีการสร้างพระพุทธรูปซึ่งถือเป็นอุทเทสิกเจดีย์นั้น พุทธบริษัทนิยมสร้างเป็นสถูป-เจดีย์ประเภทต่างๆ และมีสัญลักษณ์อันสื่อถึงพระพุทธศาสนา อาทิ ดอกบัว รอยพระพุทธบาท ธรรมจักร กวางหมอบ ฯลฯ

เหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปขึ้นนั้น เกิดจากอิทธิพลของชนชาติกรีก โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งมาซิโดเนีย ขยายอำนาจมาจนถึงอินเดียและได้ทิ้งร่องรอยอารยธรรมของกรีกที่มีคติความเชื่อในรูปเคารพ เมื่อผสมผสานกับอารยธรรมพื้นเมืองที่พุทธศาสนามีบทบาทอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย เรียกว่าแคว้นคันธาราฐ (ปัจจุบันคือประเทศอัฟกานิสถาน) จึงเกิดเป็น "พุทธปฏิมา" หรือ "พระพุทธรูป" ขึ้น
 


พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกจึงมีลักษณะคล้ายชนชาติกรีก พระเกศาหยิกเป็นลอน พระนาสิกโด่ง ต่อมาจึงพัฒนาเป็นพระเมาลี มีพระรัศมีและพระเกศในลักษณะต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถจำแนกพระพุทธองค์ออกจากพุทธสาวกได้โดยง่าย เรียกว่า "มหาปุริสลักษณะ" หรือลักษณะของมหาบุรุษ อาทิ มีพระเกศขมวดเป็นก้นหอย พระวรกายเปล่งฉัพพรรณรังสี พระ กรรณทั้งสองข้างยาวจรดพระอังสา ปลายพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ปรากฏขนระหว่างคิ้วที่เรียกว่า อุณาโลม หรือกลางพระหัตถ์ปรากฏเป็นรูปธรรมจักร เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นลักษณะสำคัญในการสร้างพระพุทธรูปสืบต่อมา

ในตำนานทางศาสนาปรากฏเรื่องราวการสร้างรูปจำลองแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกัน หากแต่แต่งขึ้นภายหลังการสร้างพระพุทธรูปของช่างชาวคันธาราฐแล้ว เรียกว่า "ตำนานพระแก่นจันทน์" มีเนื้อความกล่าวถึงตอนพระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยาวนานถึงหนึ่งพรรษา พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งกรุงโกศลราช ทรงมีความรำลึกถึงยิ่งนัก จึงตรัสให้นายช่างสร้างพระพุทธรูปขึ้นด้วยไม้แก่นจันทน์แดง ให้ตรงตามพระพุทธลักษณะ แล้วประดิษฐานไว้เหนืออาสนะที่พระพุทธองค์เคยประทับ สาธุชนต่างก็พากันมาสักการบูชา

ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ด้วยพระบรมพุทธานุภาพบันดาลให้พระปฏิมาแก่นจันทน์ขยับพระวรกายเลื่อนออกจากพุทธอาสน์ แต่พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นความสมบูรณ์พร้อมแห่งองค์ปฏิมาแก่นจันทน์ จึงยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามมิให้พระแก่นจันทน์ลงจากพุทธบัลลังก์ พร้อมทั้งตรัสให้รักษาพระพุทธรูปแก่น จันทน์เอาไว้ให้เป็นต้นแบบแห่งพระพุทธ ลักษณาการของพระองค์ ซึ่งตามตำนานนี้เองเป็นที่มาของการสร้างพระพุทธรูปปางห้าม แก่นจันทน์ ในเวลาต่อมา ส่วน "พระเครื่อง" นั้น นับเนื่องเป็นลักษณะของพระพิมพ์ที่ถือเป็น "อุทเทสิกเจดีย์" ประเภทหนึ่ง โดยมีรูปแบบเช่นเดียวกับพระพุทธรูปหากแต่มีขนาดเล็กกว่า

จึงอาจกล่าวได้ว่า ความหมายของ "เจดีย์" ทางพุทธศาสนามิใช่มี "นัย" เพียงสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่มียอดแหลมขึ้นไปแต่เพียงอย่างเดียว หากยังกินความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์และพระพุทธศาสนา เช่น พระธรรม เครื่องอัฏฐบริขาร พระศรีมหาโพธิ หรือต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระศาสนา ซึ่งเรียกว่า พฤกษเจดีย์ ที่อาจจะมิใช่สิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมก็ได้ครับ


ที่มา:ข่าวสด

299
ตามเก็บภาพมาได้บางส่วน เข้าไปเห็นตอนกำลังเทปูนเพื่อเตรียมบรรจุตะกรุดและวัตถุมงคลใต้ฐาน คืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไรจะรีบแจ้งให้ทราบต่อไป










300
ได้มาจากforward mail

มันอาจตอกย้ำความ เจ็บปวดกับคุณในเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่
เพื่อตอกย้ำคนที่ได้ชื่อว่าลูกทุกคนให้หันกลับมาดูคนที่ส่งเสียคุณเลี้ยงดูคุณมา ด้วยความเหนื่อยยาก
วันนี้เราหันไปเหลียวท่านบ้างหรือเปล่า ก่อนจะไม่มีโอกาสดูแล
เมื่อท่านจากเราไปแล้วการจัด งานใหญ่โตมันไม่มีประโยชน์อะไร เวลาท่านอยู่ทำไมไม่ทำ?
ความรู้สึกของน้องคนหนึ่งที่ บรรยายออกมาจากใจ ในขณะที่....ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป
เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมและผม ก็เชื่อว่าใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กัน
 'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าว รื้อยาง'
'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิด ถึงเค้ามั้ยเนี่ย'
'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยาก เป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'
'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อน ดิ'
ประโยคต่างๆที่ผมได้คิดและ คัดสรร เตรียมพร้อมมาต่างๆก่อนโทร
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอน ดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น
พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผม ก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้า ก็ทำกัน 'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง
กิจวัตรอีกอย่างนึงของผม ก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน'
'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึ ยัง'
'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไง บ้าง'
'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ' โธ่!คำถามเดิมๆ
ผม ก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็น ประจำ
โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะ คุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง'
จนกระทั่งวันนั้น
'ตัวเองตอบเค้าได้รึยัง ว่ารักเค้ามั้ย' 'เร็วๆสิ
เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้ว นะ'
'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีก หรอ'
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจาก โทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อ ว่า 'Home'
'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลัง เข้าด้ายเข้าเข็มเลย'
ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รัก ของผมต่อไป
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยค เดิมๆ
'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมี
โอกาสฟังเสียงของแม่'
หลังจาก นั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูก ขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีด แทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ญาติของ ผม
เล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้ แน่น
และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทร
แจ้ง ตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม'
สิ่งสุด ท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ
โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียง ของผม
วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหล อาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้นผมเลือกที่ จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม ผู้หญิงคนเดียวใน โลก
ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต ผู้หญิงคนเดียวที่ ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา
โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูด ใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
คนเดียวในโลกที่โทรมาหาผมเพียง แค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ คน
เดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม
'และคนเดียวในโลกที่เลือกคุยกับผม ในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'
ในบาง ครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว'
มันก็ ไม่เป็นความจริง
'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้ง เดียว'
อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม หลังจากนั้น
ไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆชั่วโมงคุยกับเธอก็ทิ้งผม ไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลายๆอย่าง ที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะตัวเรา เท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการ
กระทำของเราเอง 'เราจะรู้ว่า สิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'
ทุกวันนี้ผมนั่งมอง โทรศัพท์ รอ
ที่จะตอบคำถามเดิมๆให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ฟัง
แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีก แล้ว

301
ถ้าเราประสงค์ที่จะเปลี่ยนชื่อ เราจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ เพราะเมื่อก่อนเราสามารถเข้าไปแก้ไขในข้อมูลส่วนตัวของเราได้ แต่ตอนนี้ไม่สามารถแก้ไขเองได้แล้ว รบกวนให้คำแนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ :054:

302
สืบเนื่องจาก"๑๘๑๘..."ผู้การเสือ" (ภาค 18)(ตอนที่ 2).. ๑๘๑๘ "
อ้างถึง
ชิงรางวัล ครั้งที่ 4

         คำถาม ? ภาษาอังกฤษตัวแรกที่เขียนในบทความตั้งแต่ภาค 1-18 คือ คำว่าอะไร ? มีความหมายอะไร ? (ที่ใช้ภาษอังกฤษบ้าง เพราะต้องการสอดแทรก สอนภาษาอังกฤษไปในตัว เช่นในคำว่า ?congratulations?!! ต้องมี ?s? เสมอ...ป้าย + ซุ้ม วันรับปริญญา ก็ผิดกันเยอะ ถ้าเอารูป show ฝรั่ง ตอนต่อ โท+เอก เมืองนอกจะอายเขา)
        รางวัล ? ?พระผง ลพ.เปิ่น หน้าเสือใหญ่? ให้มากระซิบบอกผม (แจกในวันที่ 12 ส.ค. นี้) หมายเหตุ เฉพาะ 12 ท่านแรก !!

เฉลยคำตอบคือคำว่า "TOPLESS"

มีผู้ตอบถูกท่านเดียว รับรางวัลพิเศษเป็นพระไพรีพินาศ ๖๐ ปี"ผู้การเสือ" คือ สีกา"porvfc"
ขอแสดงความยินดีครับ :053:

อ้างถึง
ชิงรางวัล ครั้งที่ 5

           เป็นรางวัล ?สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ผู้การเสือประจำปี 2552?
        ถามว่า ? มีรูปยันต์ในตัวผู้การเสือมีกี่ยันต์(ไม่รวมอักขระล้อม) เฉพาะ
?งบอ้อย นับเป็น 1, สร้อยสังวาร ,นับเป็น 1? ใช้วิธีจับฉลาก ปิดกล่อง 08.30 จับฉลาก 09.09
(12 ส.ค. 2552)  หมายเหตุ 1 ชื่อนามแฝง ต่อ 1 ใบสลาก
        รางวัล ? ลพ.ญามอบให้มา-
?กวางเหลียวหลัง,ขี่เพชรพญาธร? เหมาะกับชายหนุ่ม + หญิงสาว ไม่เหมาะกับผู้มีอายุเกิน 60 ปี เช่น ผู้การเสือ เพราะพลานุภาพเกินกำลัง...ให้ ?อ๊อด + เอ? จัดการเรื่องการจับฉลากให้ยุติธรรม มีเพียง 1 รางวัล
[/size]

เฉลยคำตอบคือ "๕๐ ยันต์"

ผู้ตอบถูกคือ "เด็กป่า" ได้รับรางวัล?กวางเหลียวหลัง,ขี่เพชรพญาธร? ขอแสดงความยินดีครับ :053:


และเมื่อวานนี้"ผู้การเสือ"ได้ทำพิธีลงนะหน้าทองและจารน้ำมันให้กับสมาชิกและผู้ที่มาร่วมงานวันเกิดหลวงพ่อเปิ่น ปัจจัยค่าครูทั้งหมด "ผู้การเสือ"นำถวายบูชาครู ถวายหลวงพี่ญาทั้งหมด อนุโมทนาด้วยครับ




ช่วงเที่ยงเกิดปรากฏการณ์"พระอาทิตย์ทรงกลด"พร้อมกับเสียงสาธุการ"หลวงพ่อรับรู้แล้ว หลวงพ่อรับรู้แล้ว"


ปล.ขอบคุณโยมพี่เยที่มอบพระพุทธปาฏิหาริย์ พ่อท่านเอ็น วัดเขาราหูมาไว้แจกในงานจำนวน ๖๐๐ องค์ ๑๒๐,๐๐๐ บาท(หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน) อนุโมทนาด้วยครับ.

พบกันครั้งต่อไป ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ งานทอดกฐินวัดบางพระ...

303
กิจกรรมของ"ผู้การเสือ"ในวันงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่อเปิ่น ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒

๑."ผู้การเสือ และ ภควา"สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวสารจากหนังสือ ในวันงานพรุ่งนี้(๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒) เริ่มเวลา ๐๘.๐๙ น. รับแจก"ผ้ายันต์ ผู้การเสือ"ทำถวายหลวงพ่อเปิ่น ปี ๕๐
***รายละเอียดกติกาการรับแจกระบุไว้ในหนังสือ***

๒."ผู้การเสือ" ลงนะหน้าทอง (มหานิยม) - ผิวทองผ่องโสภา ใครเห็นหน้า ให้คิดยินดี สุดที่จะรัก

๓."ผู้การเสือ" ลงนะมหาเศรษฐี - เงินล้าน + เร่งลาภ
**ทั้งหมด ถวายหลวงพี่ญา (บูชาครู)

๔."ผู้การเสือ" ลงเข็มจารน้ำมัน ปลุกเสกโดยหลวงพี่ญา + ทองคำเปลว ปลุกเสกโดยหลวงพี่ญา

304
วันพุธที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒

๐๖.๐๙ น. "ผู้การเสือ" กราบสังขารหลวงพ่อเปิ่นที่กุฏิใหญ่ เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์พร้อมอธิษฐานให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

หลวงพี่นันเมตตามอบเทียนชัยมาให้ ๒ เล่มพร้อมธูปที่จะใช้จุดบูชา ณ อุทยานฤาษี







เวลา ๐๖.๒๙ น. อาจารย์วิจิตร คณะ ๓ วัดปรินายก เป็นประธานจุดเทียนชัย "ผู้การเสือ" จุดธูป ๙๙ ดอก เพื่อบูชาฤาษีทั้งหมด คนรักษ์พระจุดธูป ๓๓ ดอก เพื่อบูชาหลวงพ่อเปิ่น ,หลวงปู่หิ่ม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณด้านหน้ากุฏิหลวงพี่ญา พร้อมกันนั้น "ผู้การเสือ" ได้สวดคาถาบูชาพระอาทิตย์ขึ้นตามตำหรับหลวงพ่อเกษม เขมโก












เวลา ๐๗.๐๙ น. เป็นฤกษ์แรกที่เกิดสุริยุปราคา (จะต้องรอเวลาไปอีก ๖๑ ปี พ.ศ.๒๖๑๓ ถึงจะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง) หลวงพี่ญาได้นำแป้งเจิมไปกราบหลวงปู่หิ่มพร้อมกับวางแป้งเจิมไว้บนมือของรูปหล่อหลวงปู่หิ่ม พอได้ฤกษ์ "ผู้การเสือ" ยกแป้งมาให้หลวงพี่ญาเจิมแผ่นป้าย (นะ อะ อุ) พร้อมกับปิดทองคำเปลวที่ละ ๓ แผ่น รวม ๙ แผ่น พระสงฆ์ ๓ รูปสวดชยันโต เสร็จพิธี คณะผู้ดำเนินงานทุกท่านได้รับความเมตตาจากหลวงพี่ญาปิดทองและเจิมหน้าผากกันทุกคน




ปล. "ผู้การเสือ" ฝากมาบอกว่างานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะคนรักษ์พระ และคณะผู้ดำเนินงานทุกท่าน ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ Thanks.

305
วันพุธที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒



ฆ้องใหญ่หน้าโบสถ์เก่ามีราหูอมจันทร์และอมพระอาทิตย์ ลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ใดเฉพาะวัดบางพระเท่านั้น เวลาจุดธูปต้องใช้ธูปสีดำบูชา



ด้านหนึ่ง - สุริยะประภา อีกด้านหนึ่ง - จันทรประภา





ลพ.นัน บอกว่า วันนี้เหมะสำหรับการปลุกเสก " ของแข็ง " เช่น ควายธนู , วัวธนู



" ผู้การเสือ " เป็นเจ้าพิธีครั้งแรก โดยกราบไหว้บูชาหลวงพ่อเปิ่นเป็นอันดับแรกด้วยธูป ๑๕ ดอก



พระครูอนุกูลพิศาลกิจ เจ้าอาวาสชั้นเอก (หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบางพระ ผู้สืบทอดวิทยาคมจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี เป็นประธานในพิธี จุดธุปเทียน



" ผู้การเสือ " อ่านโองการบูชาพระอาทิตย์ตก ( ตำหรับหลวงพ่อเกษม เขมโก )



" ผู้การเสือ " อาราธนาพระปริตร





หลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาสวัดบางพระ เป็นประธานนั่งปรก ( สายสิญจน์ที่ล้อมรอบประรำพิธีโยงมาจาก รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นและหลวงปู่หิ่ม , หลวงพ่ออยู่ , หลวงพ่อเปลี่ยน )



วัตถุมงคลเฉพาะวัดบางพระที่นำเข้าปลุกเสก



สุดยอดเกจิอาจารย์สายวัดบางพระ ได้แก่ พระครูสังฆรักษ์ชออม ( หลวงพี่ออม ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพระ , หลวงพี่นัน , หลวงพี่ปาด , หลวงตาจัน ร่วมปลุกเสก ( ฤกษ์เริ่มพิธี ๐๘.๐๙ น. บรรยากาศเริ่มมืดครึ้ม ฝูงนกต่างบินกลับเข้าใต้จั่วและหลังคามณฑป จวบจนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่างใส ฝูงนกต่างบินออกจากจั่วและหลังคามณฑป ในเวลา ๐๘.๕๕ น. เป็นอันจบพิธี บัดดลนั้นสายพิรุณต่างโปรยปรายประหนึ่งเทวดาประทาน ถือว่าเป็นพิธีที่สุดยอด ในพิธีหนึ่งแห่งวัดบางพระ )

ข้อมูลจาก " ผู้การเสือ " .




306
ด้านหน้ากุฏิหลวงพี่ญาวันนี้ ( วันอังคารที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ )  หลวงพี่ญาเมตตาจารปากกาที่ด้านหลังแผ่นป้าย " ชาติ ศาสน กษัตริย์ " ทำด้วยไม้มะค่า กว้าง ๔๔ เซนติเมตร ยาว ๒๖๕ เซนติเมตร หนา ๑ นิ้ว ครึ่ง .




เริ่มไล่เลียงจากด้านซ้ายไปขวา " นะชาลีติ , เฑาะว์ , ... , เฑาะว์ , พุทธซ้อน "







เสร็จจากพิธีเจิมป้าย " ผู้การเสือ " แจกพระและเป่าให้กับผู้มาร่วมพิธีทุกท่าน



ดำเนินการควบคุมติดตั้งโดย " คนรักษ์พระ "



***หมายเหตุ รายละเอียดลำดับขั้นตอนจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง รับชมภาคต่อไปในวันพรุ่งนี้***

307
งานทำบุญครบ 7 ปีวันมรณะภาพหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้

ผมนำพระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่สร้างและอฐิษฐานจิต มวลสารผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ วัดสะแกอฐิษฐานจิต จำนวน 200 องค์ ( เพื่อนเบ้นแบ่งมาให้ครับ ขอบคุณเพื่อนเบ้นมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ )

เศษชิ้นกระเบื้ององค์พระปฐมเจดีย์ อีกจำนวนหนึ่ง

มาแจกสำหรับพี่น้องกระดานสนทนาวัดบางพระที่จะไปร่วมงานกันในวันพรุ่งนี้ เจอผมก็เรียกได้เลยนะครับ เต็มที่ครับ ไว้เจอกันนะครับ ขอบคุณครับ

308
เป็นอีกวันครับที่ได้ออกเดินทางเที่ยววัดกับ porvfc  สุดที่รัก :026: :077: เก็บภาพสวยๆมาฝากกันนะครับ  :001:

เริ่มกันที่พระอุโบสถวัดห้วยตะโก จังหวัดนครปฐม ศิลปะพระอุโบสถงดงามแปลกตามากครับ



เข้าไปต่อที่วัดบ่อตะกั่ว จังหวัดนครปฐม ที่เด่นสะดุดตาเห็นจะหนีไม่พ้นพระสังกัจจายน์และพระเจดีย์ประยุกต์ศิลปะจีนครับ







ปิดท้ายกันที่วัดปรีดาราม กับพระประธานองค์ใหญ่ของวัด พร้อมกับนมัสการสังขารหลวงพ่อไสว และบรรยากาศภายในวัดครับ











" รักและศรัทธากับความรักตลอดไป "

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชมครับ  :001:

309


ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ วันที่ 26 มีนาคม 2552 "....อัศจรรย์กาวยางไม้อายุนับร้อยปีเป็นสีอำพัน

เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครปฐม รายงานว่าขณะนี้มีประชาชน กำลังแตกตื่นรีบไปเก็บกระเบื้องและยางไม้ ที่ปูประดับฐานบัลลังก์องค์พระปฐมเจดีย์ เรื่อยไปจนถึงยอดนภศูล (ยอดองค์พระ) เพราะกาวยางไม้ที่ติดกระเบื้องตั้งแต่สร้างองค์พระปฐมเจดีย์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้แข็งตัวจับกันเป็นก้อนกลมแท่งเรียว และมีสีเหลืองอำพันสวยงาม เนื่องจากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานถึง 156 ปี ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เลยนำแท่งยางไม้อำพันสีสวยงามไปแกะเป็นพระเครื่องหรือวัตถุมงคลห้อยคอ


ขณะที่พระธรรมปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์เปิดเผยว่า สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี มาดำเนินการบูรณะซ่อมแซม และเปลี่ยนกระเบื้องตั้งแต่ฐานบัลลังก์ไปจนถึงยอดนพศูล เพราะของเก่ามีสภาพเสื่อมโทรม โดย กระเบื้องเก่าที่ลอกออก ทางวัดได้เก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อจัดสร้างวัตถุมงคล อีกส่วนมอบให้วัดต่าง ๆ ที่จะนำไปสร้างพระเจดีย์ โดยมีมาขอ แล้วหลายวัด ส่วนที่ชาวบ้านมาเก็บกระเบื้อง และแท่งกาวยางไม้สีอำพันอายุร้อยกว่าปีไปแกะทำ เป็นวัตถุมงคลหรือพระเครื่อง ทางวัดไม่ได้หวงห้าม...."












บางท่านว่ายางไม้อำพันนี้ได้ผ่านการปลุกเสกมานานเป็น156 ปี ซึ่งทันพระสงฆ์ อาทิเช่น หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา และอีกมากมายสุดจะบรรบาย...เชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์นี้เกิดจากในคราวที่ท่านพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายนั้นรับกิจนิมนต์มาปลุกเสกพระหรือทำกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในสมัยก่อนนั้น...และเชื่อกันว่าพุทธคุณนั้นมีครบเครื่องครอบจักรวาล ซึ่งบางคนนำไปแกะเป็นพระ ราคาก็ขยับไปหลายพันแล้วก็มี ซึ่งขึ้นอยู่กับความสวยงามขององค์พระที่แกะออกมา... หรือบางคนนำไปใส่หลอดเป็นตะกรุดแขวนคอ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชิ้นหลายขนาด

ที่มาของข้อมูลและภาพประกอบ - http://www.siamamulet.net/phpboard/qb.php?Qid=205589

วันนี้ไปเจอมาได้อย่างไรก็งงๆอยู่นะครับ เห็นน่าสนใจเลยเก็บเอาไว้บ้าง

ตามเก็บมาได้ 2 ชิ้น ( ไม่ต้องขอนะครับเพราะเก็บเอาไว้ให้ที่รักเรียบร้อยแล้ว อิอิ )

นำมาให้ชมกันครับ เผื่อท่านใดเจออย่าพลาดหลุดมือนะครับ  :001:











310
  วันนี้ที่วัดชายนา มีงานฉลองสมณศักดิ์พระพุทธวิริยากร ( หลวงพ่อตัด ปวโร ) ไปร่วมบุญมาครับนำบุญมาฝากเพื่อนๆในบอร์ดทุกๆท่านเลยนะครับ เข้าไปถึงก็ 10 โมงกว่าๆ หาอะไรรองท้องที่โรงครัวก่อนครับ ข้าวไข่เจียวแกงเขียวหวาน อันนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เดินไปเจอหลวงพี่ยืนแจกป๊อบคอร์น , กาแฟ , น้ำบริการครบครัน อิ่มบุญกันถ้วนหน้านะครับ ซักพักถึงเพลพอดี มีเลี้ยงพระกันครับ จากนั้นก็เข้าไปกราบสัการะอัฐิของท่านเจ้าคุณ แล้วก็เดินชมภายในวัดร่มรื่นมากครับ โชคดีมากที่ทางวัดลงมติแจกวัตถุมงคลแก่ผู้ที่มาร่วมงานทุกคน เป็นพระขุนแผนหลวงพ่อตัดมี 2 สี ขาว , ดำ  นำภาพบรรยากาศมาให้ชมกันครับ













ต่อด้วยที่วัดตาลกงเห็นป้ายว่าหลวงพ่ออุ้นอยู่ดีใจมากเลยครับ แต่ปรากฏว่าท่านจำวัด  :065:
ได้แต่เก็บภาพบรรยากาศภายในวัดมาฝากกันครับ ทั้งในบริเวณกุฏิหลวงพ่อ โบสถ์เก่าที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง

 









ขากลับไม่ลืมของฝากเมืองเพชรที่แม่กิมไล้ ขนมหม้อแกง :002:





ก่อนกลับถึงบ้านชะแว๊ปดอนหอยหลอดซื้อของฝาก หมดวันครับวันนี้




311
เมื่อวานนี้ได้อ่านบทความของคุณกิเลน ประลองเชิง คอลัมน์ชักธงรบ ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2552  หัวข้อเรื่องว่า "บังอับ บ่งรา" สำหรับผู้ที่จะลองของ มีของแล้วอยากลองอยากทดสอบ ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ  แบ่งปันกันครับ :001:

บ่งอับ บ่งรา


  สำนักพิมพ์สยามบันทึก ส่งหนังสือ...เรื่องเล่าวันวาร ตอนทศกัณฑ์ถอดหัว หลากสีสันแห่งชีวิต ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนโดย ณรงค์ จันทร์เรือง มาให้ยังไม่มีเวลาอ่าน
  แต่เอาเวลาไปนึกถึงเรื่องสั้นเรื่อง ลองของ ของอาจารย์หม่อม เขียนไว้ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ นานเต็มทีแล้ว

  ฉากเรื่องนี้ เกิดขึ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่งโกษาปาน เป็นราชฑูตไปถึงราชสำนักฝรั่งเศส ระหว่างเข้าเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินฝรั่ง มีคำถามถึงทหารสยามที่ไปด้วย

  เก่งทางไหน

  เมื่อโกษาปานกราบทูลว่า "อยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า"

  พระเจ้าฝรั่งเศส ก็ขอท้าทดสอบ

  อาจารย์หม่อมท่านเดินเรื่องได้เร้าใจ...กองทหารแม่นปืนของฝรั่งเศส ได้รับคำสั่งให้ลดจำนวนดินปืน ยิงพอให้รู้ว่ายิง แต่ต้องให้กระสุนไปไม่ถึงทหารสยาม

  สองบ้านเมืองกำลังเริ่มมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน เกิดเรื่องทหารสยามถูกยิงตายไม่ได้...เด็ดขาด

  ถึงวันเวลานัดหมาย...ก็ปรากฏว่า ปืนทหารฝรั่งเศสที่โหมประโคมยิงเข้าไป

  ไม่ระคายผิวทหารสยาม ตามใบสั่งการเมือง

  ฉากสุดท้าย อาจารย์หม่อม เขียนให้นายทหารหัวหน้ากองทหารแม่นปืนฝรั่ง นั่งดื่มเหล้า...เมา หัวทิ่มหัวตำ แล้วก็คายความจริงออกมาว่า

  คำสั่งทางการเมือง ที่ให้ใส่ดินปืนแต่น้อย ยิงทหารสยามไม่ตาย...นั้น โดยศักดิ์ศรีของหัวหน้าทหารแม่นปืน...ทนไม่ได้

  แทนการใส่ดินปืนแต่น้อย เขายิ่งอัดดินปืนเพิ่มเข้าไป ตั้งใจให้มีได้มีเสียกันตรงนั้น

  "ยิงเท่าไหร่...กระสุนก็ไม่ระคายผิวทหารสยาม" หัวหน้าชุดแม่นปืนรำพัน

  "ทหารสยาม มันดีมีอะไร จึงยิงมันไม่ตาย"

  ในจำนวนเรื่องสั้นชั้นเยี่ยมของนักเขียนรุ่นครู ที่จำได้หลายเรื่อง ผมนับเรื่อง "ลองของ" เรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องหนึ่ง

  ต่อมาก็ได้อ่าน ตำนานเรื่องสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง จึงพบว่า พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันท์) ท่านเขียนเกร็ดเรื่องทหารสยามแสดงอานุภาพยิงฟันไม่เข้า รวมเอาไว้ด้วย

  พอดี คุณชวลิต ธารานนท์ คนคลองสาน เขียนมา อ่านหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่ม 1 ตรียัมปวาย เขียนว่า

  "ไม่ใช่ภัยที่เราไปหามาใส่ตัว ต้องออกงานกันจริงๆ ที่เรียกว่า บ่งอับ บ่งรา จึงจะสำแดงอานุภาพให้เห็น ถ้าไม่เป็นจริงก็ไม่สำแดง"

  คำถาม บ่งอับ บ่งรา แปลว่าอะไร...

  คำนี้ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน มีครับ บงอับ บงรา ก็ใช้ แปลว่า เข้าที่อับจน

  ของขลัง ของดี ที่มี เขาห้าม "ลองของ" ถือว่าหมิ่นครูอาจารย์ของขลังของดี ก็อย่างที่ตรียัมปวายว่า ถึงคราวบ่งอับ บ่งรา ท่านจึงสำแดงอานุภาพ  

  พระพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม จะลากเข้าตำรา พระคุณงามความดี คุ้มตัว รุมยิงกันเป็นร้อยนัด แต่ไม่ตาย ก็คงได้เหมือนกัน.

ที่มา - คอลัมน์ชักธงรบ โดยกิเลน ประลองเชิง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ 18748 วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2552

312
   โทรศัพท์มือถือและเครื่องรางที่เราใช้ เงาประโยชน์ของมันคือสื่อมัจจุราชใช่หรือไม่


  โลหะที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ดี เรียงตามลำดับได้คือ 1.เงิน 2.ทองแดง 3.ทอง 4.อะลูมิเนียม 5.ทังสเตน 6.เหล็ก 7.สเตนเลส 8.แพลทินัม และ 9.ตะกั่ว
 
  เชื่อกันว่า ใครมีโลหะตัวนี้ประดับกาย ยามฝนฟ้าคะนองพึงระวังไว้ เพราะตัวอย่างมีให้เห็นอยู่เนืองๆ กล่าวกันว่า แม้แต่ที่ทำเป็นเครื่องรางของขลังก็อย่าวางใจ เพราะกลายเป็นศพกลางทุ่งนามานักต่อนักแล้ว

  อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา ระหว่างที่นายวิเชียร นางศรี คิดการ สองสามีภรรยานอนอยู่ในกระท่อม เกิดพายุฝนกระหน่ำหนัก แล้วฟ้าก็ผ่าลงมา ทำให้นายวิเชียรและนางศรีเสียชีวิต

  เมื่อค้นหาสาเหตุ เจ้าหน้าที่พบว่า สองสามีภรรยาสวมสร้อยตะกรุดทำจากทองแดง บริเวณลำคอมีรอยไฟไหม้ เรือนกายดำเกือบทั้งตัว เจ้าหน้าที่จึงลงความเห็นว่า ตะกรุดทองแดงที่นายวิเชียรและนางศรีห้อยนั่นเองที่เป็นสื่อมรณะ
  ตะกรุดเสตนเลส...ก็เชื่อว่าเป็นสื่อมรณะได้เช่นกัน

  อย่างกรณีฟ้าผ่าที่ทุ่งนาหมู่ที่ 11 บ้านท่าเตียน ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรีมีผู้เคราะห์ร้ายถึง 3 ศพ คือ นายจำรูญ นุ่มดี อายุ 57 ปี เป็นอาจารย์ 2 ระดับ 7 นางสมคิด แช่มธูป อายุ 51 ปี น้องสาวของนายจำรูญ และนายสาธิต แช่มธูป อายุ 25 ปี ลูกของนางสมคิด

  เจ้าหน้าที่พบว่า ในตัวของนายจำรูญมีโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงด้านขวา นางสมคิดสวมสร้อยสเตนเลส และนายสาธิตห้อยตะกรุดเสตนเลสที่คอ

  หลังเกิดเหตุ นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีแสดงทรรศนะในเรื่องนี้ว่า

  จากสภาพศพผู้ตายมีทั้งโทรศัพท์มือถือ สร้อย และตะกรุดสเตนเลสอยู่ในตัว เบื้องต้นจึงสันนิษฐานว่า ขณะเกิดเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ต้นไม้จนลำต้นแยกจากกัน ระหว่างนั้นผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน ยืนอยู่ใกล้กับจุดฟ้าผ่า ประกอบกับทั้งสามมีสื่อล่อสายฟ้าที่สามารถดูดกระแสไฟฟ้าที่ผ่าลงมาเข้าหาตัวได้ กระแสไฟฟ้าจึงวิ่งเข้าหาตัวจนเสียชีวิต

  ปรากฏการณ์สามีและภรรยาถูกฟ้าผ่าตายในกระท่อม ในทุ่งนาบ้านหนองมะงง ตำบลคำบง อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ และอีก 3 ศพ ที่อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับนักแสวงหาเครื่องรางของขลังที่ทำมาจากวัสดุล่อสายฟ้าไม่น้อย 

  ไม่ว่าจะเป็นตะกรุดทำด้วยสเตนเลสหรือทองแดง และรับมาจากมือหลวงพ่อท่านใด เมื่อฟ้าผ่าลงมารับสายฟ้าด้วยกันทั้งนั้น

  เครื่องประดับแม้แต่ลูกประคำเงินก็เชื่อว่าเป็นสายล่อฟ้า

  อย่างเหตุการณ์ที่เกิดกับนางสาวบุญรัตน์ อถิชาติไตรสรณ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ถูกฟ้าผ่าระหว่างฝนตกปรอยๆ ขณะจะล่องเรือที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สาเหตุมาจากสร้อยประคำเงินที่คล้องคอ

  โชคดีที่นางสาวบุญรัตน์เพียงแต่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

  โทรศัพท์มือถือ เชื่อกันว่าเป็นสื่อมรณะตัวใหม่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2550 คนงานชาวกัมพูชากว่า 10 คน ทำงานในไร่มันสำปะหลัง หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านบึง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

  ขณะฝนตกมีชาวกัมพูชาคนหนึ่งโทรศัพท์ใต้ต้นไม้ เกิดฟ้าผ่าลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุถึง 3 ศพ และบาดเจ็บสาหัสอีก 6 ราย

  ความรู้เรื่องฟ้าผ่านี้ ระหว่างความคิดเห็นของชาวบ้านและความเชื่อที่เชื่อตามๆกันมา กับข้อเท็จจริงทางวิชาการต่างกัน

  ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายว่าฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือเมฆคิวมูโลนิมบัส ภายในก้อนเมฆเองและพื้นดินต่างมีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันคือประจุบวกและประจุลบ

  เมื่อประจุที่ต่างกันวิ่งเข้าหากันก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น

  เหตุนี้ฟ้าผ่าจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อน หรือฟ้าแลบ รวมถึงฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดิน ซ่งเป็นประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่มากที่สุด

  "ฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดิน เกิดขึ้นเมื่อประจุลบ (อิเล็กตรอน) เคลื่อนที่จากฐานเมฆลงมาที่อากาศผ่านเข้ามาใกล้พื้นดิน ซึ่งประจุลบนี้สามารถเหนี่ยวนำให้วัตถุที่พื้นผิวของโลกซึ่งอยู่ "ใต้เงาเมฆ" มีประจุเป็นบวกได้ทั้งหมด พร้อมทั้งดึงดูดประจุบวกจากพื้นดินให้ไหลขึ้นมาตามต้นไม้ หลังคาบ้านหรือบริเวณใดก็ได้ที่เป็นที่สูง เมื่อประจุลบกับบวกมาเจอกันเคลื่อนที่สวนทางจึงเกิดเป็นกระแสโต้กลับและเกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด"

  ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุและพื้นที่ทุกจุดใต้เงาเมฆฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเป็นจุดที่ถูกฟ้าผ่าได้หมดแม้ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าก็ตาม
 
  จุดเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่ามากที่สุดคือบริเวณที่สูง เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หลังคาบ้าน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ประจุบวกสามารถเชื่อมโยงกับประจุลบได้ง่ายที่สุด ขณะที่ชิ้นส่วนโลหะ เช่น สร้อย แหวน กระดิ่งแขวนคอวัว แทบจะไม่มีผลต่อการเป็นสื่อล่อฟ้าเลย

  สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าโดยตรง คร.บัญชาบอกว่า สามารถได้รับอันตรายจากฟ้าผ่าใน 3 รูปแบบ คือ

  1.ไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัสกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า เช่น หากหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า เสาอากาศ และมีบางส่วนของร่างกายแตะกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็จะไหลเข้าสู่ลำตัวได้โดยตรง

  2.ไฟฟ้าแลบจากด้านข้าง (side flash) กล่าวคือ แม้จะไม่ได้แตะจุดที่ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็อาจจะ "กระโดด" เข้าสู่ตัวคนทางด้านข้างได้ (ภาพ Side Flash)

  3.กระแสวิ่งตามพื้น (step voltage) คือ กระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งจากจุดที่ถูกฟ้าผ่าออกไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น จากลำต้นลงมาที่โคนต้นไม้และกระจายออกไปตามพื้นดิน ซึ่งมักจะเป็นบริเวณที่น้ำเจิ่งนอง หากกระแสดังกล่าววิ่งผ่านเข้าสู่ตัวคน ก็ย่อมทำอันตราย โดยในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำให้ถึงแก่ความตายได้

  สำหรับกรณีกระแสวิ่งตามพื้น เคยมีกรณีเหตุการณ์ฟ้าผ่าวัวจำนวนมากตายและสันนิษฐานว่า เกิดจากกระดิ่งโลหะที่แขวนคอเป็นตัวล่อ ซึ่งความจริงแล้วโอกาสที่สายฟ้าจะผ่าลงมาตรงกระดิ่งขนาดเล็กของวัวพร้อมกันหลายๆตัวนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้

  อาจารย์ยังแนะนำว่า สถานที่หลบภัยจากฟ้าผ่าคือภายในตัวอาคารหรือรถยนต์ที่ปิดกระจก โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่สัมผัสกับวัสดุที่เชื่อมต่อกับอาคารหรือตัวรถด้านนอกซึ่งอาจถูกฟ้าผ่าได้

  ข้อควรปฏิบัติขณะฟ้าฝนคะนองคือ ควรงดการใช้โทรศัพท์แบบมีสาย ถอดปลั๊กโทรทัศน์ และไม่ควรเล่นอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์ เพราะกระแสไฟฟ้าจากอาคารสามารถวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ได้

  ขณะที่คนซึ่งอยู่กลางแจ้งเมื่อเกิดฟ้าผ่าให้นั่งยองๆ ก้มศีรษะเพื่อลดตัวให้ต่ำที่สุด เท้าชิดกันและเขย่งเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไฟไหลมาตามพื้น

  เมื่อนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า คลื่นโทรศัพท์มือถือและโลหะที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ไม่ใช่ตัวล่อให้ฟ้าผ่า

  ต่อไปนี้จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละคนว่าจะเลือกเชื่อใคร .



ที่มาจาก - สกู๊ปหน้า1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ 18748 วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2552

313
ได้ตะกรุดคนให้บอกว่าของหลวงพ่อตัดหน่ะครับ เลยมาขอความรู้จากท่านอชิตะหน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ  :054:







314
ต่อจากภาค 1 ที่ท่านเอ็มไร่ขิงลงไว้นะครับ  :001:

รีบไปเต็มที่ครับวันนี้ ฝนก็มีโปรยปรายตลอดการเดินทาง พอเข้าไปถึงวัดกลางบางแก้ว ฝนก็ยังพอมีบ้างประปราย ภาพแรกที่เห็นคือผู้คนที่ต่างเดินทางมาร่วมสรงน้ำหลวงปู่เจือ ปีนี้พิเศษมากๆครับ คือเป็นงานฉลองวันเกิดครบ 7 รอบของหลวงปู่ บรรยากาศหน้าวัดผู้คนต่างก็ยืนรอต่อคิวเข้าแถวเพื่อรอรับวัตถุมงคลเป็นเหรียญสรงน้ำกะไหล่ทองพร้อมหนังสือ " เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี " ที่แจกในศาลาเพิ่มบุญ งานนี้เจอพี่น้องบอร์ดบางพระท่านเอ็มไร่ขิงและนายต้นน้ำ เลยพาทัวร์กันครับ  :001:










จากนั้นก็ได้เดินไปที่กุฏิหลวงปู่ชายน้ำ ปรากฏว่าหลวงปู่จำวัดอยู่เลยเข้าพบไม่ได้ ผู้คนก็ต่างมารอรับวัตถุมงคลฉลองอายุ 7 รอบที่ด้านหน้ากุฏิหลวงปู่กันอย่างเนืองแน่น ได้สอบถามพระอาจารย์ที่อยู่หน้ากุฏิหลวงปู่เจือว่าครูบาสิงโตได้มาหรือเปล่า หลวงพี่บอกว่าท่านกลับไปแล้วทำเอาเศร้ากันไปตามๆกันครับงานนี้ แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพี่ ท่านได้มอบรูปครูบาสิงโตไว้ให้เป็นที่ระลึกครับ กราบขอบพระคุณหลวงพี่ท่านนี้ด้วยนะครับ ผู้คนก็แห่แหนมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่อย่างไม่ขาดสาย สาธุด้วยนะครับ  :054:







จากนั้นท่านเอ็มไร่ขิงได้พาทัวร์ต่อที่วัดตุ๊กตา ( หมูเพียบ :004: ) เลยเก็บบรรยากาศ รอบๆบริเวณวัดมาฝากกันครับ นอกจากพระพุทธรูปแล้วที่วัดตุ๊กตาก็ยังมีรูปสักการะพระอรหันต์จี้กงด้วยครับ ระหว่างชมวัตถุมงคลอยู่เห็นคาถาหลวงปู่ทวดไม่พลาดที่จะนำมาฝากกกันครับ

และวันนี้โชคดีที่ได้เจอหลวงพ่อเพี้ยน ท่านเมตตามากๆครับ ก่อนกลับท่านได้เมตตาเป่ากระหม่อมให้พวกเรา พี่น้องท่านใดแวะผ่านไปอย่าพลาดเข้าไปกราบนมัสการท่านกันนะครับ  :001:













จึงนำบุญมาฝากพี่ๆน้องๆชาวบอร์ดบางพระให้ร่วมอนุโมทนากันครับ สาธุๆ  :002:

315


เหรียญหลวงพ่อทองอยู่ วัดบางพระ ปี 2517 ครับ พี่ๆพอทราบประวัติการสร้างบ้างหรือเปล่าครับ ขอบคุณมากครับ   :054:

316
10 พฤษภาคม 2552 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ณ วัดชายนา จ.เพชรบุรี

ระหว่างที่รอพิธีเผาจริงสังขารพระพุทธวิริยากร ( หลวงพ่อตัด ปวโร ) ในเวลา 20.00 น. ตามกำหนดการ

ชายสูงอายุสำเนียงเพชรบุรีท่าทางใจดีผู้หนึ่ง ก็นั่งรออยู่ในศาลาที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เริ่มทยอยมาร่วมพิธีในช่วงค่ำ

ด้วยความรู้สึกในใจที่เต็มไปด้วยความอาลัยในการจากไปของพระผู้บริสุทธิ์ศีลที่เคารพนับถือ

ระหว่างรอหญิงสาวขายลอตเตอรี่นางหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาชายสูงอายุพร้อมกับเอ่ยปากขึ้นว่า " ลอตเตอรี่ไหมคะ "

ชายสูงอายุก็ชวนสนทนากับหญิงผู้นั้นด้วยสำเนียงที่เพราะพริ้งแปลกหูเด็กน้อยจากนครปฐม

การสนทนาดำเนินไปซักพักท่าทางเหมือนว่าจะถูกคอ ชายสูงอายุเลยบอกกับหญิงสาวไปว่า " หยิบเลขอะไรมาก็ได้ใบนึง " พอสิ้นเสียง ชายสูงอายุก็หันหน้าไปทางที่ตั้งสังขารหลวงพ่อตัด หลับตาประนมมือขึ้นท่วมหัว พร้อมเปล่งวาจาออกมาว่า " หลวงพ่อ ลูกขอโชคขอลาภให้ถูกหวยรวยเบอร์ด้วยเถิด สาธุ "

สิ้นเสียงชายสูงอายุก็แลหันกลับมารับลอตเตอรี่ที่หญิงสาวหยิบให้ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กระดาษใบเล็กๆตรงหน้าใบนั้น ด้วยใบหน้าที่ครุ่นคิดปนฉงนในจิตใจ เด็กน้อยจากเมืองจันทร์หอม ( ต้นไม้ประจำจังหวัดนครปฐม ) ที่เฝ้าดูอยู่ก็เกิดความสงสัยในปฏิกิริยาที่ชายสูงอายุแสดงออกมา อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปดูเลขบนกระดาษใบนั้น ลึกๆในใจก็หวังลาภลอยพลอยได้เลขเด็ดไปกับชายสูงอายุด้วย

เลขในกระดาษใบนั้นผมจำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆสามตัวท้าย ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์0 0 0 )

.....แป่ว // .....แป่ว // .....แป่ว // แหม่ๆๆทำกันได้ลงคอ .....แป่ว // .....แป่ว // .....แป่ว //



BY//สิบทัศน์

317
สืบเนื่องมาจากเมื่อวานนี้ 10 พฤษภาคม 2552 ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระพุทธวิริรากร ( หลวงพ่อตัด ปวโร ) วัดชายนา จ.เพชรบุรี ผมได้มีโอกาสไปร่วมพิธีมาด้วยเลยนำภาพบรรยากาศในงานมาฝากครับ


เส้นทางเข้าวัดครับรถติดกันยาวเหยียด คลื่นสาธุชนแห่มาไว้อาลัยหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย



บริเวณหน้าวัดครับ ไฟพระราชทานเพิ่งเข้าไปเมื่อซักครู่นี้เองครับ



คลื่นสาธุชนที่มาร่วมไว้อาลัยหลวงพ่อตัดครับ มากันด้วยใจจริงๆครับ

ชมโบสถ์วัดชายนาครับกำลังแต่งเติมอยู่ครับ





เมรุลอยชั่วคราวครับ กราบนมัสการหลวงพ่อตัดด้วยความอาลัยครับ





จะทยอยๆลงเรื่อยๆนะครับ รอชมภาพบรรยากาศเต็มๆจากท่านอชิตะครับผม

318
ขอเชิญร่วมงานฉลองอายุวัฒนมงคลครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี พระสมุห์เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว ต.บางกระเบา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

โพธิสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี

กำหนดงาน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ช่วงเช้า พระเถรานุเถระ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. หลวงปู่เจือถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สามเณรที่นิมนต์มาเจริญพระพุทธมนต์ ช่วงบ่าย ทำพิธีสรงน้ำหลวงปู่โดยจะให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ข้าราชการ ประชาชน ตามลำดับ

สถานที่จัดงาน ศาลาเพิ่มบุญ วัดกลางบางแก้ว

ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม นี้ คณะกรรมการ "กองทุนปิยสีโล" วัดกลางบางแก้ว ได้จัดงานทำบุญฉลองอายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี ของ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล ศิษย์ผู้สืบสายพุทธาคมวัดกลางบางแก้วจาก หลวงปู่เพิ่ม โดยตรง เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาสักการะแด่หลวงปู่ โดยจะมีพิธีสงฆ์ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น. จนถึงเวลา ๑๓.๐๐ น. จึงเริ่มพิธีสรงน้ำแด่หลวงปู่เจือ ในโอกาสนี้หลวงปู่ได้มอบให้ "กองทุนปิยสีโล" ของท่านจัดสร้าง เหรียญเสมาเล็ก รุ่นสรงน้ำ เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง พร้อมทั้งหนังสือ "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี? แจกฟรี ! แก่ผู้ร่วมพิธีสรงน้ำโดยทั่วกัน




สำหรับผู้ที่ไปร่วมงานทำบุญครั้งนี้ ทางวัดมีอาหาร และเครื่องดื่ม จากบรรดาศิษยานุศิษย์ นำมาเลี้ยงฟรีตลอดงาน


ที่มา -  http://www.pantown.com/board.php?id=39149&area=3&name=board3&topic=133&action=view

319
หิ้งพระจัดใหม่ครับ กัลยาณมิตรแนะนำมาครับ ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ :054:



เก็บรายละเอียดเพิ่มเติมบนหิ้งครับ

พระบูชาเชียงแสนสิงห์1ครับ




รูปหล่อหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม รุ่นแรกครับ



รูปหล่อหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร รุ่นแรกครับ



รูปหล่อหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ใต้ฐานบรรจุเกศาครับ




หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอมครับ



รูปหล่อหลวงปู่ดี วัดสุวรรณครับ



รูปหล่อหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ปี 2537 ครับ


320
แวะเข้าไปเก็บภาพมาฝากครับผม



รูปหล่อขนาดบูชาหลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทอง ครับ



พระบูชาหลวงพ่อโสธร ปี 2509 ครับ



ด้านหลังครับ



พระบูชาหลวงปู่หิ่มครับ



พระบูชาหลวงพ่อเปิ่นครับผม


321
สืบเนื่องมาจากความเดิมตอนที่แล้วนะครับ ร่วมแบ่งปันน้ำใจไมตรีกันอีกครั้งครับ
เพียงท่านคิดว่าเลขท้าย 2 ตัว ล่าง นั้นจะออกอะไร ก็โพสได้ท่านละ 1 ครั้งครับ ถ้าเลขซ้ำกันจะให้สิทธิ์ท่านที่ตอบก่อนนะครับ โพสก่อนมีสิทธิ์ก่อนนะครับ สามารถโพสตอบคำถามได้ถึงวันที่ 16 เมษายน 2552 เวลา 12.00 น.

 มีสิ่งมงคลมอบให้สำหรับผู้ทายถูก 1ชิ้น นั่นก็คือ " ผ้ายันต์เมตตาช้างประสมโขลง " ของ หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม นครปฐม รุ่น 2  ( อายุ 65 ปี พ.ศ.2550 ) ผืนใหญ่มากครับ ขนาด กว้างประมาณ 19.5 * 30 นิ้ว  ที่วัดเหลือไม่กี่ผืนแล้วครับ




พิเศษสำหรับพี่น้องชาวบอร์ดบางพระได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออวยพรท่านเจิมแป้งเสก พร้อมลายเซ็นต์ปากกาลายมือหลวงพ่อ ให้ท่านเป่าให้อีกครั้งหนึ่ง เรียนถามท่านว่าดีอย่างไร ท่านตอบว่าเมตตา 
" เมตตาช้างประสมโขลง " ลองวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ  ว่าดีอย่างไร  :095:




มาสรุปผลผู้ที่ได้รับสิ่งมงคล ในวันที่ 17 เมษายนนี้นะครับ โชคดีจงมีแก่ทุกท่านนะครับ 

322
วัตถุมงคลที่ได้จากหลวงพี่ญา , หลวงพี่แป๊ว ครับ



ผ้ายันต์จากหลวงพี่แป๊วครับ นารายณ์ทรงครุฑประทับพระราหู ตามด้วยพระบูชาหลวงพ่อเปิ่นเพิ่งมาโปรดครับ



มีเพิ่มเข้ากรุเรื่อยๆ  :001:



ผืนนี้พี่โองการฯมอบให้ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับผม  :054:


323
วันก่อนพูดถึงแร่ไหลดำ วันนี้เลยค้นมาให้ชมกันครับ








เจออยู่บนหิ้งพระ สภาพก็อย่างที่เห็นหล่ะครับ ใบฝอยยังขนาดนี้ ( ดีนะไม่เปื่อยซะก่อน ) เสียดายอยู่อย่างครับ คือไม่ทราบที่มาว่าของที่ใด อาจจะไม่ชัดนะครับ จะคัดลอกให้ใหม่นะครับ


ตระกูลธาตุหินไหลดำ
  จากการค้นคว้า ตำราคำภีร์โบราณธาตุวัตถุ แร่ธาตุต่างๆ วัตถุหินไหลดำประเภทนี้ สกัดออกจากวัตถุธรรมชาติ เมื่อถูกไฟจี้จะไหลออกมา มีความงามวาววับ โดยไม่ต้องขัดหรือเจียระไน ( แบบเพชรหรือพลอย ) สุกไสดำสนิทกว่าหัวแหวนใด ๆ ที่มีความดำ แข็งแกร่งมาก ไม่กรอบหรือแตกง่าย ตระกูลธาตุหินไหลดำ ที่ถูกไฟลนหรือจี้ไหลนี้ มีคุณค่ามหาศาลยิ่งนักหาได้ยากที่สุด โบราณถือกันว่า ทุกอย่างของธาตุแร่ต่างๆ ที่ถูกความร้อนไหลได้ ย่อมมีอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ส่วนหินที่ไหลได้นี้ ไม่ใช่หินธรรมดา หรือแร่เหล็กต่างๆ บางชนิด เช่นเหล็กหลบ เหล็กหลีก เหล็กหล่อ เหล็กเลี่ยง เหล็กไหล เหล็กประกายดาด เหล็กประกายเพลิง หรือเหล็กน้ำพี้ แต่เป็นที่รวมมาแห่งตระกูลธาตุทั้งหลาย มีน้ำเพชร พลอย นิล หินธาตุ และตระกูลเหล็กต่างๆหลายอย่าง
  รวมกันทั้งหมดมีถึง ๙ สกุล ซึ่งเรียกว่า นะวะธาตุวัตถุ ตามตำราท่านกล่าวไว้ดังนี้
ถ้าบุคคลใดได้ไว้ครอบครองเป็นสมบัติท่านจัดได้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุด และจะมีความเจริญด้วยโภคสมบัติ มีความรู้สึกชุ่มเย็นใจ ตระกูลธาตุหินไหลดำนี้ มีอานุภาพยิ่งนัก สามารถป้องกันอันตรายต่างๆ ได้หลายอย่าง และกระทั้งโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ภูติผีปีศาทก็คุ้มกันได้ หรือใช้ในทางเมตตามหานิยม และการติดต่อธุระค้าขายสิ่งของต่างๆ ได้ผลดียิ่งนัก นอกจากนั้นยังใช้จุ่มน้ำมะนาว สุราปิดแผล พิษแมลงสัตว์กัดต่อยทุกจำพวก จะถอนพิษให้หายเจ็บปวดเร็วที่สุด
  ฯลฯ



324
เกริ่นไว้วันนี้มาแล้วนะครับ ร่วมแบ่งปันน้ำใจไมตรีกันครับ
เพียงท่านคิดว่าเลขท้าย 2 ตัว ล่าง นั้นจะออกอะไร ก็โพสได้ท่านละ 1 ครั้งครับ ถ้าเลขซ้ำกันจะให้สิทธิ์ท่านที่ตอบก่อนนะครับ โพสก่อนมีสิทธิ์ก่อนนะครับ สามารถโพสตอบคำถามได้ถึงวันที่ 1เมษายน 2552 เวลา 12.00 น.

 มีสิ่งมงคลมอบให้สำหรับผู้ทายถูก 1ชิ้น นั่นก็คือ " ผ้ายันต์เมตตาช้างประสมโขลง " ของ หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม นครปฐม รุ่น 2  ( อายุ 65 ปี พ.ศ.2550 ) ผืนใหญ่มากครับ ขนาด กว้างประมาณ 19.5 * 30 นิ้ว ( ขออภัยครับที่ไม่มีรูปให้ชมแต่รับรองความงามได้ครับ ) ที่วัดเหลือไม่กี่ผืนแล้วครับ

พิเศษสำหรับพี่น้องชาวบอร์ดบางพระได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออวยพรท่านเจิมแป้งเสก พร้อมลายเซ็นต์ปากกาลายมือหลวงพ่อ ให้ท่านเป่าให้อีกครั้งหนึ่ง เรียนถามท่านว่าดีอย่างไร ท่านตอบว่าเมตตา :001:
" เมตตาช้างประสมโขลง " ลองวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ  ว่าดีอย่างไร :095:

มาสรุปผลผู้ที่ได้รับสิ่งมงคล ในวันที่ 2 เมษายนนี้นะครับ โชคดีจงมีแก่ทุกท่านนะครับ  :001:

325



พอดีได้มาหน่ะครับ ไม่ทราบข้อมูล ท่านใดพอทราบบ้างครับผม ขอบคุณไว้ล่วงหน้านะครับ  :054:

326
     อาตมาให้คำสอนที่พุทธศาสนิกชนควรยึดถือปฏิบัติ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขดังนี้

1.ทำจิตใจให้สว่างก่อนที่จะสอนผู้อื่น การทำจิตใจให้สว่างนั้นบุคคลต้องปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความมัวเมา ฯลฯ . ถ้าทุกคนละได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้การที่จะสอนให้คนอื่นทำตามย่อมทำได้ง่าย เพราะมีตัวอย่างที่ดีที่ปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ถ้ายังทำไม่ได้ในสิ่งเหล่านี้ ย่อมสอนให้คนอื่นให้ทำตามก็ทำได้ยาก เช่น การที่พ่อบ้านสอนให้ลูกอย่าสูบบุหรี่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่พ่อยังสูบบุหรี่อยู่ ลูกก็ไม่เชื่อฟังเพราะคำห้ามของพ่อไม่ถูกลูกจะรู้สึกว่าพ่อยังสูบได้ ลูกก็ย่อมสูบได้ ถึงแม้ว่าพ่อจะอ้างกับลูกว่าพ่อติดบุหรี่มานานแล้วแก้ไขไม่ได้ลูกอย่ามาเอาอย่างพ่อเลย ลูกก็คงจะไม่เชื่อไม่ฟัง

2.จงมีความเพียร   พระพุทธพจน์บทหนึ่งว่า " วิริเยน ทุกขมจฺเจติ " บุคคลที่จะพ้นทุกข์ได้เพราะต้องอาศัยความเพียร ความเพียรนั้นหมายถึง ความมีมานะบากบั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์นานาประการ อดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ในการทำงานทุกอย่างย่อมมีทั้งความสบายและความลำบาก ยิ่งงานนั้นลำบากมากเพียงใดต้องอาศัยความเพียรมากเท่านั้น จึงจะช่วยให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี และมีความก้าวหน้า นอกจากนั้นแล้วจะต้องมีการบังคับตนเองให้เพียรสร้างแต่ความดี ความงาม เพียรละความชั่วให้หมดไปจากตนความเพียรจึงถือเป็นความสำคัญอย่างหนึ่ง

3.จงขยันทำงานไม่เกียจคร้าน ความขยันหมายถึง การที่หมั่นประกอบกิจการงานอยู่เสมอไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป ไม่นิ่งดูดายต่อสิ่งที่สามารถทำได้ดังคำบาลีที่ว่า " อุฏฐานะ " แต่ถ้าบุคคลใดปล่อยให้ " อนุฏฐานะ " คือ ความเกียจคร้านซึ่งความเกียจคร้านมีขึ้นเมื่อใด ความกระตือรือร้นจะไม่มีเกิดขึ้น กล่าวคือ อำนาจฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ เช่น ไม่ทำงาน นั่งๆนอนๆ ประกอบอาชีพที่ทุจริตในที่สุดก็ประสบ " อนัตถ " คือ ความชั่ว เสียหายตลอดชีวิต

4.รู้จักอดออม  การออมนั้นหมายถึง การอดทนต่อความอยากทั้งปวง เช่น อยากกิน อยากซื้อ อยากใช้ ฯลฯ ความอยากเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของการจ่าย ไม่กระเหม็ดกระแหม่ ไม่รู้จักประหยัด ต้องการแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งความอยาก ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย แต่ถ้ารู้จักใช้จ่ายตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ รู้จักออมถนอมทรัพย์ได้ เป็นการสร้างความอบอุ่นในครอบครัว เป็นสิ่งที่เชิดชูฐานะของตนเองให้สูงกว่าความเป็นอยู่เดิม มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่องเชื่อถือ และสมัครที่จะเป็นบริวารของผู้มีเงินมีทรัพย์ทั้งหลาย สมกับสุภาษิตที่ว่า " มีเงินนับว่าเป็นน้อง มีทองนับว่าเป็นพี่ " แต่ถ้าขัดสนเงินทองโดยปราศจากการอดออมไว้ทำให้ขาดความเชื่อถือไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย ดังสุภาษิตตอนหนึ่งว่า " ยากจนเงินทอง พี่น้องไม่มี " ดังนั้นจึงควรรู้จักอดออม ด้วยว่าทรัพย์สินนั้นจะสามารถบันดาลความสุข ความสะดวก ความสบาย ให้แก่บุคคล สังคม และประเทศชาติ

5.คบคนดีเป็นเพื่อน  การเลือกคบคนดีย่อมพาตัวเองให้มีความสุข ความเจริญ คนดีนั้นก็คือ คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบแต่ความดี มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เพื่อนดีหรือคนดีจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้แก่เราเป็นอย่างดี เมื่อมีใครว่าเพื่อนในทางที่ไม่ดี จึงกล่าวได้ว่า การคบคนดีย่อมนำทางไปสู่ความสว่างแห่งจิตใจ ความเจริญของชีวิต การปฏิบัติตนที่ถูกต้องและอยู่ในโลกอย่างมีความสุข

6.จงทำมากกว่าพูด มิใช่พูดแล้วทำไม่ได้ การทำสิ่งใดก็ตามควรตั้งใจและทำให้สำเร็จ การที่พูดแล้วไม่ทำหรือทำไม่ได้ผู้นั้นจะไม่เป็นที่เชื่อถือของบุคคลทั่วๆไป ถ้าเป็นผู้น้อยผู้ใหญ่จะไม่มอบงานที่สำคัญให้ เพราะกลัวว่าทำไม่สำเร็จหรือไม่ทำ อันเป็นผลให้งานนั้นเกิดความเสียหาย ในขณะเดียวกันผู้ใหญ่ถ้าพูดสิ่งใดกับผู้น้อยแล้วควรทำตามที่พูดไว้ เพื่อก่อให้เกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ มอบความเป็นผู้นำให้
     ในสังคมทั่วๆไปก็เช่นกัน บุคคลที่อยู่ในสังคมควรจะได้ร่วมมือร่วมใจกันทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สัญญากับใครไว้ต้องทำให้ได้ไม่พูดเลื่อนลอยโดยไร้จุดหมาย จงเป็นผู้ทำมากกว่าผู้พูด

7.เลี้ยงชีพให้สมฐานะของตัวเอง ทุกคนควรรู้จักจับจ่ายใช้สอยในทรัพย์สมบัติ โดยประหยัดตามฐานะของตนเอง รู้จักใช้จ่ายให้เหมาะสมตามฐานะไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เก็บออมไว้เมื่อคราวจำเป็น เมื่อคราวเจ็บไข้ เมื่อคราวฉุกเฉินไม่มีใครที่จะช่วยเราได้นอกจากตัวของเราเอง ดังนั้น จึงควรเป็นผู้รู้จักประมาณในทรัพย์สินในฐานะความเป็นอยู่และเลี้ยงชีพในทางที่ถูกที่ควร

8.จงอย่าเป็นคนลักโขมย การที่แต่ละคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความบริสุทธิ์และหมั่นเก็บหอมรอมริบไว้เพื่อใช้จ่ายในวันข้างหน้า แต่มาถูกโขมย ฉ้อโกง หรือโจรปล้นทรัพย์สิ่งของเหล่านั้นไป ย่อมทำให้ชีวิตเดือดร้อนครอบครัวลำบากนี่เป็นบาปอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรจะละเว้น อย่าได้ประพฤติผิดด้วยการลักโขมย พระพุทธเจ้าได้บัญญัติศีลข้อนี้ไว้ เพื่อให้ทุกคนรู้จักสิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ยักยอกฉ้อโกง ที่ดิน ไร่นา และสิ่งที่ผู้อื่นหามาด้วยความลำบาก การละเว้นซึ่งการลักโขมยนับว่าประพฤติตนอยู่ในศีลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ดังนี้ " อทินฺนา ทานา เวรมณี " หมายถึง การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้

9.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม หลักแห่งความประพฤติของมนุษย์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ควรผิดลูกผิดภรรยาหรือสามีของผู้อื่นโดยที่ผู้อื่นไม่อนุญาต การเป็นสามีภรรยากันก็ต้องมีความซื่อตรงต่อกัน ไม่นอกใจหรือเอาใจไปให้กับคนอื่น ด้วยการทำหน้าที่ของตนในฐานะภรรยาที่ดี สามีที่ดีและลูกที่ดี การที่ชายหญิงมีชีวิตคู่อยู่ร่วมกันจะต้องร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ต่างฝ่ายต่างมอบหมายชีวิตให้แก่กัน มอบความรัก และความภักดีให้แก่กันเป็นทองแผ่นเดียวกัน ชีวิตครอบครัวจึงจะสุขสมบูรณ์ ไม่เกิดปัญหาแตกร้าวหรือปัญหาครอบครัวแตกแยก อันจะนำมาซึ่งปัญหาสังคมได้

10.อย่ากล่าวคำหยาบอันเป็นการก้าวร้าวผู้อื่น สังคมมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อเมื่อทุกคนมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน การเคารพผู้อาวุโส นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ปัญหาการงานหรือปัญหาสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เนื่องจากสังคมไม่เคารพผู้อาวุโส ต่างทำตนเสมอท่านผู้ที่มีอาวุโสน้อยจะพูดกับผู้อาวุโสมากเป็นไปในทำนองล้อเลียน ก้าวร้าว หรือใช้คำหยาบ คำไม่สุภาพ หรือพูดในลักษณะก้าวร้าวไปถึงบิดามารดาอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งทนต่อคำพูดไม่ได้ จึงเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทกันขึ้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในศีลธรรมควรหลีกเลี่ยงการประพฤติในข้อนี้ให้มาก เพื่อสังคมจะได้อยู่อย่างมีความสุข

11.รู้จักบริจาคทรัพย์ การบริจาคทรัพย์นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เป็นการช่วยเหลือ แด่พระศาสนาด้วยการบริจาคปัจจัย ทรัพย์สิ่งของอันจะเป็นประโยชน์ทางหนึ่งในการบริจาคนั้น ผู้บริจาคควรคำนึงถึงฐานะของตนเองด้วย บริจาคแต่พองาม สมควรแก่ฐานะ มีทรัพย์น้อยก็บริจาคน้อยมีทรัพย์มากก็บริจาคมาก การบริจาคทรัพย์ถือว่าเป็นการเพิ่มเติมบุญกุศล หรือเงินทองที่มีอยู่ให้มากยิ่งขึ้น การที่บางคนไม่บริจาคทรัพย์หรือให้ทานแก่ผู้อื่นเลย ก็ถือว่าไม่ได้สั่งสมบุญกุศล ไม่เพิ่มเติมทรัพย์สมบัติ ทุกคนควรจะสำนึกไว้เสมอว่าเราเกิดมามีแต่ตัว ตายไปก็มีแต่ตัวทรัพย์สมบัติสิ่งของที่สะสมไว้มากมายนั้น เมื่อตายไปแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย แม้แต่อาหารที่มีผู้เอามาให้ก็ไม่สามารถจะกินได้ ดังนั้น มนุษย์เราควรสร้างบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ไว้บ้างจะเป็นสิ่งดีแห่งชีวิต

12.สร้างบุญศลทั้งกลางวันและกลางคืน การสร้างบุญกุศลนั้นไม่ต้องรอวัน รอเวลา ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ก็สามารถสร้างบุญกุศลได้ เมื่อมีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาหรือวันธรรมสวนะ พุทธศาสนิกชนควรจะได้บำเพ็ญศีล บำเพ็ญทาน สร้างกุศลด้วยการตักบาตรในตอนเช้า ฟังเทศน์ในตอนบ่าย ฟังธรรมะในตอนค่ำ การที่เรายึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าย่อมนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ ความสมหวังในชีวิต และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

13.ระลึกถึงสังขารไม่เที่ยงเสมอ ต้องเข้าใจด้วยว่ามนุษย์ที่เกิดมาต้องผจญกับการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเกิดมาแล้วสามารถดำเนินชีวิตไปด้วยดี ก็ทำให้มีความสุขความสำเร็จ เมื่อถึงวัยแก่ก็ต้องรับสภาพสังขารนั้นทั่วทุกคน ไม่มีใครที่จะคงทนในความเป็นเด็กอยู่ได้ตลอดไป ความเจ็บความไข้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ที่อยู่ในโลกจะต้องได้รับ สภาพของความทุกข์ที่มาจากความเจ็บป่วยทางศาสนามีความเชื่อว่าบุคคลใดที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บหรือไม่เจ็บป่วยเลยก็เพราะคนๆนั้นไม่เบียดเบียนสัตว์ มีบุญกุศล มีเมตตาต่อบุคลทั่วๆไป ไม่ว่าบุคคลที่ให้ความช่วยเลหือนั้นจะเป็นใครก็ตาม
     สำหรับความตาย เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่ทุกคนเกิดมาแล้วย่อมมีชีวิตที่ดับสูญ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวันและเวลา มนุษย์ไม่ควรอาลัยอาวรณ์ในเรื่องของความตาย แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ คุณงามความดี ในชีวิตหนึ่งที่เกิดมาเราทำคุณงามความดีอะไรไว้บ้าง เมื่อตายไปเรามีอะไรติดตัวไปบ้าง การที่มนุษย์ฆ่าฟันกันก็เนื่องจากความโลภโมโทสันเป็นเหตุ ชีวิตนั้นๆ จึงสั้นลงไม่ได้ทำคุณงามความดีหรือทำก็แต่น้อย เมื่อตายไปไม่มีอะไรที่เป็นความดีเด่นชัดไว้ให้ลูกหลาน จึงขอให้พึงระลึกว่าในเมื่อสังขารไม่เที่ยงแล้ว สิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนคือ ความดี

14.มีความกตัญญูต่อบิดามารดา บิดามารดาเป็นเสมือนพระของลูกที่ลูกๆทุกคนควรมีความกตัญญูรู้คุณ การตอบแทนพระคุณบิดามารดาควรทำในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เช่น จัดหาอาหารที่ดีมีประโยชน์ ให้ท่านอยู่อย่างมีความสุข ฯลฯ สิ่งใดที่ควรช่วยเหลือหรือรับใช้ท่านได้ก็จงทำ สังคมไทยทุกวันนี้จะเห็นว่าบิดามารดามักจะอยู่ตามสถานสงเคราะห์คนชรา ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามามาก จึงทำให้คนไทยบางส่วนที่มีชีวิตครอบครัวเปลี่ยนไป แต่ก่อนครอบครัวไทยจะเป็นครอบครัวที่ใหญ่ คือมีทั้งปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน อยู่ด้วยกัน แต่ปัจจุบันจะอยู่กันครอบครัวเล็ก โดยให้พ่อแม่อยู่กันเองตามลำพังหรืออยู่สถานสงเคราะห์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความสมัครใจหรือถูกบีบบังคับก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะยึดถือในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนก็คือ ความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา

15.จงทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ควรยึดมั่นในการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ การประพฤติปฏิบัติตัวดีย่อมนำมาซึ่งความเจริญของครอบครัวการมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตนให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีก็นับว่าเป็นสิ่งดีต่อประเทศชาติ การที่บุคคลยึดมั่นในบุญและบาป ย่อมปฏิบัติแต่สิ่งดี การทำสิ่งไม่ดีก็เป็นบาป การทำบุญนั้นควรทำทั้งที่ลับและที่แจ้ง คนที่ใฝ่ในบุญกุศลนั้นไม่เป็นเพียงเฉพาะต่อพระสงฆ์ หรือพระธรรมคำสั่งสอนเท่านั้น แต่ควรมีเมตตากรุณาต่อบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงต่อบุคคลอื่น เมื่อเห็นเขาลำบากถ้าพอช่วยได้ก็ควรช่วย โดยคำนึงถึงฐานะความเป็นอยู่ของเรา ช่วยแล้วต้องช่วยให้เราอยู่ได้ไม่ใช่ช่วยแล้วเราอดหรือไม่มี สิ่งที่ช่วยไปก็ไม่ได้บุญ กล่าวคือคำนึงถึงฐานะของตนเองด้วย เมื่อบุคคลที่อยู่ในสังคมประเทศชาติมีความเอื้ออาทร ห่วงใย ช่วยเหลือกัน ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติดำรงอยู่ได้

16.ทำความดีตาย ดีกว่าทำความชั่วตาย มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้จงประกอบแต่ความดี เมื่อทำความดีแล้วตาย จะได้รับการสรรเสริญยกย่องจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าทำความชั่วแล้วตายจะมีแต่คนสาปแช่ง

17.ไม่เบียดบังทรัพย์สินผู้อื่น การเบียดบังทรัพย์สินหรือการรีดนาทาเล้นบนความทุกข์ยาก หรือน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ในฐานะเป็นชาวพุทธควรขจัดสิ่งเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีต่อสังคม การที่คนบางคนมีชีวิตที่สุขสบายมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่สิ่งที่ได้มานั้นได้มาจากการโกงทรัพย์ผู้อื่น หรือเบียดเบียนทรัพย์สินผู้อื่น หรือรีดนาทาเล้นด้วยการยักยอกทรัพย์สินจากผู้อื่น โดยเจ้าของไม่ยินยอมให้ ถือเป็นบาปอย่างหนึ่งที่ต้องทวงตามชดใช้หนี้กันต่อไป

18.ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่เพราะกรรมเก่าตั้งแต่โบราณ คนไทยมีความเชื่อในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม และสิ่งที่เป็นอยู่ ดำเนินอยู่ ประสบอยู่ เป็นเพราะผลของกรรมที่ได้ทำมา บางคนเกิดมามีความสุขมีเงินทองมากมาย เนื่องจากทำกรรมไว้ดี และเมื่อเกิดมาในชาตินี้ได้ประกอบแต่ความดี บริจาคทรัพย์ ฯลฯ . ผลของความดีนั้นจะส่งเสริมในภพต่อไป แต่บางคนเกิดมาลำบากมีแต่ความทุกข์ในปัจจัยสี่ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ก็เชื่อว่าทำกรรมไว้ไม่ดี แต่ถ้าเกิดมาแล้วทำแต่ในสิ่งดี ผลบุญกุศลก็จะช่วยให้เขาเกิดมาในสิ่งดี แต่ถ้าไม่ทำอะไรไว้เลยก็ย่อมได้รับกรรมมากยิ่งขึ้นในภพต่อไป ดังนั้นทุกคนควรเร่งสร้างความดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่สายเกินไป

19.การทำความดีไม่ต้องโอ้อวด เมื่อคิดจะทำความดีก็ตั้งอกตั้งใจทำไม่ต้องพูดหรือกล่าวคำว่าทำ การพูดโอ้อวดเอ่ยถึงความดีของตนเอาไว้ไม่ควรทำ ทำสิ่งใดไว้โดยไม่ต้องพูด เมื่อกาลเวลาผ่านไปคนก็จะรู้ความดีของเราเอง

20.จงเป็นผู้ให้การให้ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน ให้สิ่งของหรือให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนควรยึดถือปฏิบัติ การให้ไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทนเมื่อให้ไปแล้วเรารู้สึกสบายใจ เกิดความพอใจ ก็ควรทำต่อๆไป แม้ว่าบางครั้งเมื่อให้ไปแล้ว แต่ต้องอยู่ในลักษณะของคนที่ปิดทองหลังพระก็ต้องยอม

21.จงมีความเที่ยงธรรม ความเที่ยงธรรม ความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติไม่เอนเอียงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ควรให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้น้อยเท่าเทียมเสมอกันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ลำดับความสำคัญก่อนหลัง

22.มีความซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อสัตย์สุจริตควรมีอยู่ในจิตใจของผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ประกอบแต่บุญกุศล จะคิดอะไรจะทำอะไร ให้ยึดถือความสุจริตใจเป็นสำคัญ

23.ทำงานใหญ่ต้องอดทน ความอดทนจะช่วยให้งานที่ทำบรรลุผลสำเร็จได้อย่างดี การทำสิ่งใดก็ตามย่อมมีผู้กล่าวหา ติฉินนินทา ผู้มีความอดทนย่อมตัดสิ่งเหล่านี้ไปไม่นำมาคิดให้เกิดทุกข์ ริดรอนความอดทน

24.จงยิ้มสู้ จงอยู่อย่างยิ้มสู้กับสิ่งที่ลำบาก สิ่งที่เลวร้ายไม่ช้าไม่นานก็คงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยคิดมาก่อน


     คำสอนเหล่านี้ ถ้าทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติ ไม่มากก็น้อยจะช่วยให้อยู่ในสังคมอย่างปกติสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและในการงานที่ปฏิบัติอยู่ เมื่อประเทศชาติมีบุคคลเหล่านี้อยู่มากก็จะช่วยจรรโลงให้ประเทศของเราเจริญรุ่งเรื่องสืบต่อไป


ดร.พระอุดมประชานาถ ( หลวงพ่อเปิ่น ) วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

327


มูลนิธิเมาไม่ขับ ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สำนักงานคุมประพฤติประจำศาลแขวงพระนครเหนือ สสส.และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐภาคเอกชน จัดโครงการเมาขับตรุษจีนถูกจับแน่ โดยจะมีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่อย่างเข้มในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

นอกจากนั้นแล้ว มูลนิธิเมาไม่ขับได้จัดทำ "เหรียญโลหะชุบทองรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว" ทั้งนี้โดยไม่รับความเมตตาจากพระคณาจารย์ จีนธรรมปัญญาจริยากรณ์ เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ปลุกเสกเหรียญให้ โดยมีพิธีแจกเหรียญโลหะชุบทองรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว ให้กับประชาชนเพื่อเป็นสิริมงคลในโอกาสเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ณ ลานหน้าวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่)

สำหรับเหรียญโลหะชุบทองรูปเทพเจ้าฮก-ลก -ซิ่ว มีขนาด 3.5 x 2.5 ซ.ม. ด้านหน้าเป็นรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว ด้านหลังมีข้อความว่า "ฮก ลก ซิ่ว" เป็นภาษาไทยและภาษาจีน และชื่อวัดมังกรกมลาวาส บรรจุในซองสีแดง ด้านหน้าเป็นรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว พร้อมข้อความ "โชคลาภ วาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์อายุมั่นขวัญยืน"
 


"ฮก-ลก-ซิ่ว" เป็นเทพเจ้าหรือเซียนสามองค์ที่ได้รับความเคารพนับถือมาแต่โบราณ "ฮก" เป็นตัวแทนของคหบดี (ความมั่งมี) "ลก" เป็นตัวแทนของเสนาบดี (ยศถาบรรดาศักดิ์) "ซิ่ว" เป็นตัวแทนของผู้เฒ่าอายุยืน (อายุยืน มีสุขภาพแข็งแรง)

คนไทยเชื้อสายจีนนิยมมอบเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่วให้เป็นของขวัญ ของกำนัลในงานมงคลต่างๆ อาทิ วันตรุษจีน วันเกิด วันแต่งงาน ฉลองขึ้นบ้านใหม่ เปิดสำนักงาน ฯลฯ เชื่อกันว่าเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้รับ ชาวจีนมีความเชื่อว่า ความสุขสมบูรณ์ในชีวิตของปุถุชนนั้นมี 3 ประการ 1.ความมั่งคั่งร่ำรวยด้วยเงินทอง ทรัพย์สมบัติและบริวาร 2.ความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน 3.ความมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุมั่นขวัญยืน

มงคลทั้ง 3 ประการนี้จะปรากฏอยู่ในสัญลักษณ์ "เทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว" ที่ใช้แทนคำอวยพรรูปลักษณะและความหมายของฮก-ลก-ซิ่ว

ฮก (คหบดี) โชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง บุตร-บริวาร ภาษาจีนกลาง ฝู, ฟุก (Fu, Fuk) หรือฝูซิง (Fu-hsing) ภาษาแต้จิ๋ว ฮกซิ่ว (Huk-shou) หรือฮก (Huk)
 


ฮก หมายถึง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ คือบริบูรณ์ไปด้วยเครื่องอุปโภค-บริโภคแก้วแหวนเงินทอง พรั่งพร้อมด้วยบุตร ภรรยา ญาติมิตร และบริวารใต้บังคับบัญชา รูปสัญลักษณ์ คหบดี (พ่อ ค้า) มีหนวดและเคราสีดำยาว แต่งกายภูมิฐานเป็นมหาเศรษฐี สวมหมวกเส้าด้านหลังสูง มีผ้าคุมไหล่ยาวไปถึงเบื้องหลัง มือข้างหนึ่งถือม้วนโฉนดที่ดิน หรือเล้งจือ (สมุนไพรที่หายากที่สุด) และโอบอุ้มเด็กชายที่ในมือถือทองคำ (หมายถึงบุตรผู้สืบสกุลหรือบริวาร) ดวงตามองตรงไม่มองต่ำ

ลก (เสนาบดี) ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศ อำนาจ หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน ภาษาจีนกลาง ลก, ลู่ (Luk, Lu) หรือลกซิ่ว (Luk shou) ภาษาแต้จิ๋ว ลู่ซิง (Luk-hsing) หรือลก (Luk)

ลก หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ การนับหน้าถือตาจากคนรอบข้างมีตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้ามั่นคง รูปสัญ ลักษณ์ เสนาบดีสวมหมวกมีปีกกว้าง ถือคทายู่อี่ที่ทำจากหยกอยู่ในมือ เป็นคทาแห่งความสมปรารถนา ใบหูกว้าง แสดงถึงความมีบุญวาสนาบารมี ซิ่ว (ผู้เฒ่าอายุยืน) อายุยืน หรือมีสุขภาพแข็งแรง ภาษาจีนกลาง โซ่ว ซิ่ว เซิ่ว (Sao Sou Seou) หรือเซิ่วซิ่ว (Seou-sou) ภาษาแต้จิ๋ว เซิ่วซิ่ว (Seou-sou) ซิ่ว (Sou)

ซิ่ว หมายถึง การมีอายุมั่นขวัญยืน มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงอายุยืนถึง 60 ปี เรียกว่า เหี่ยซิ่ว ช่วงอายุยืนถึง 80 ปี เรียกว่า จงซิ่ว อายุยืนถึง 100 ปี เรียกว่า เจี่ยวซิ่ว รูปลักษณ์ ชายชราหน้าตาใจดี มีหนวดเครายาวสีขาว มือถือไม้เท้าห้อยผลน้ำเต้า บางครั้งเป็นไม้เท้ามังกร มืออีกข้างถือลูกท้อ บางทีก็มีนกกระเรียนขาวอยู่ข้างกาย

ประชาชนที่สนใจสามารถขอรับเหรียญโลหะชุบทองรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว ต่างจังหวัดให้ส่งจดหมายพร้อมสอดซองติดแสตมป์ 5 บาท จ่าหน้าถึงตัวท่านเอง ส่งมาที่มูลนิธิเมาไม่ขับ 28/12 ซอยสุขุมวิท 19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110

มูลนิธิเมาไม่ขับจะจัดส่งเหรียญโลหะชุบทองรูปเทพเจ้าฮก-ลก-ซิ่ว ไปให้ถึงบ้าน หมดเขต 30 ม.ค.นี้

ที่มา  -  http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOekk1TURFMU1nPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB5T1E9PQ==

328
เรื่องที่ 1
" บ้านนี้อยู่แล้วรวย "

           มีคนเอาป้าย " บ้านนี้อยู่แล้วรวย " มาให้หลวงพ่อปลุกเสก ท่านก็ปลุกเสกให้ หลังจากที่ปลุกเสกแล้ว ท่านก็นั่งดูอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วพูดกับโยมที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า
           หลวงพ่อ   : เอ...ถ้าได้ไปแล้วมันไปนอนอยู่เฉย ๆ ไม่ลุกขึ้นมาทำมาหากินแล้วมันจะรวยได้ไหมฮึ

           ญาติโยม   : ?????????


เรื่องที่ 2
" ไม่ซื้อให้ก็ร้อง ซื้อให้ก็ร้อง "

           หลวงพ่อ   : " เด็กสมัยนี้อยากได้รถเครื่อง ร้องอ้อนวอนให้พ่อแม่ซื้อรถเครื่องให้ ไม่ซื้อให้ก็จะไม่เรียนหนังสือ ไม่ซื้อให้ก็จะไม่ทำงาน พ่อแม่ทนรำคาญไม่ได้ก็ซื้อให้

           หลวงพ่อ   : " เป็นอย่างไง ซื้อรถเครื่องให้มันแล้ว "
           
           โยม         : " ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ขาหักทั้งสองข้าง มันอยากได้รถเครื่องร้องไห้ฉันซื้อให้ ตอนนี้ต้องมานั่งเฝ้ามันทุกวัน ยังไม่รู้ว่า มันจะนอนร้องครวญครางอีกกี่วันก็ไม่รู้ "

           หลวงพ่อ   : " หลวงพ่อก็ไม่รู้ ต้องถามหมอ เด็กสมัยนี้ไม่ซื้อให้มันก็ร้อง ซื้อให้แล้ว มันก็ร้อง "




เรื่องที่ 3
" เรื่องปกติหลวงพ่อหลิว "

           หลวงพ่อหลิว เป็นพระที่ไม่ต้องการลาภ ยศ ไม่สะสมเงินทอง มีเท่าไหร่ใช้หมด เวลามีเงินใครมาขอก็ให้ บางวัดไม่ขอก็นำไปให้ ให้เงินแล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทน โล่และใบประกาศเกียรติคุณ บางที่ก็ไม่ต้องการ ถ้ารู้ว่าเงินที่ให้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อ

           มีอยู่ครั้งหนึ่ง โรงเรียนแห่งหนึ่งขอวัตถุมงคลของหลวงพ่อไปจำหน่ายได้เงินมาจำนวนหนึ่งไปต่อเติมอาคารเรียน ( หลวงพ่อรู้แล้วว่าเงินใช้ไปตามวัตถุประสงค์ ) โรงเรียนทำเสร็จก็รายงานตามลำดับขั้นถึงอธิบดีจนได้โล่และประกาศเกียรติคุณ ทางโรงเรียนก็จัดงานเพื่อมอบโล่และประกาศเกียรติคุณบัตร เชิญอธิบดีและนิมนต์หลวงพ่อไปรับมอบ งานเริ่ม เวลา 13.00 น. คนสนิท (หลานชายหลวงพ่อ ) พาไปตั้งแต่ 12.00 น. หลวงพ่อกระสับกระส่าย คนใกล้ชิดก็อึดอัดรออธิบดีคนเดียว ครั้นเวลา 15.00 น. อธิบดีก็มา

           หลวงพ่อ   : ( พออธิบดีมาถึงก็มีคนแนะนำให้รู้จักหลวงพ่อ )
                           "เป็นอธิบดีทำไมไม่ดี "

           อธิบดี       :  "(งงเพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ) " ไม่ดีอย่างไร "

           หลวงพ่อ    : " ไม่ดีตรงไม่รู้เวลา ให้หลวงพ่อรอตั้ง 3 ชั่วโมง ทำอย่างนี้ได้อย่างไร "





เรื่องที่ 4
" เหรียญพญาเต่าเรือน รุ่นบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ "

           นายณัฏฐ์ ศรีวิหค ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นบุคคลที่หลวงพ่อหลิวรักและเกรงใจมาก เมื่อท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม มีโครงการบูรณะและปรับปรุงพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ท่านผู้ว่าราชการนครปฐมและคณะไปกราบหลวงพ่อ แล้วเล่าวัตถุประสงค์ของโครงการให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อเลยจัดการสร้างเหรียญพญาเต่าเรือนรุ่นบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ รุ่นพิเศษและรุ่นไตรมาส ให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นำไปให้ศิษยานุศิษย์เช่าไว้บูชา ขณะนี้ ( มีนาคม 2539 ) มีเงินอยู่แล้วประมาณ 13 ล้านบาท ซึ่งก็เริ่มโครงการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์แล้ว ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ได้ใช้ให้นายปัญจะ จงมีสุข ศึกษาธืการอำเภอกำแพงแสนไปรายงานความคืบหน้าให้หลวงพ่อทราบ

           ศึกษาธิการอำเภอ    : หลวงพ่อครับขณะนี้ได้เงินบูรณะพระราชวังสนามจันทร์แล้ว 13 ล้าน

           หลวงพ่อ               : เออดี

           ศึกษาธิการอำเภอ     : ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็เริ่มบูรณะแล้ว

           หลวงพ่อ                : เออดี

           ศึกษาธิการอำเภอ      : ถ้ามีเงินเหลือจะจัดตั้งกองทุนเพื่อนำดอกเบี้ยมาดูแลรักษา

           หลวงพ่อ                 : เออดี

           ศึกษาธิการอำเภอ       : ถ้าหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ผ่านไปทางนครปฐมแวะไปดูด้วยซิ

           หลวงพ่อ                 : เออดี

           ศึกษาธิการอำเภอ       : งั้นผมรายงานแค่นี้

           หลวงพ่อ                  : เออดี

           ศึกษาธิการอำเภอ        : ????????????




***คัดลอกมาจากหนังสืออารมณ์ขัน หลวงพ่อหลิว ไว้พรุ่งนี้มาต่อนะครับ  :002:***
 

329
1.เวลาออกจากบ้านต้องทำใจให้สดชื่นไม่ขุ่นมัว หรือเป็นทุกข์
2.เวลาออกจากบ้านพยายามออกในยามที่ดีมาก หรือค่อนข้างดี
3.เวลายืนหรือนั่งเสี่ยงโชคควรยืนหรือนั่งในทิศที่ดี หันหน้าไปทิศที่ดีดูต่อไปนี้





330
ปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านควรทราบไว้
ดูตัดผม ทาน้ำมัน ตัดเล็บ เย็บผ้า หนูกัดผ้า ปลูกเรือน





  ท่านรู้สิ่งดีชั่วตามตารางนี้ เป็นการระวังตัว และให้ผลแก่ท่าน
  เท่ากับท่านเปิดตาแล้ว ไม่ใช่ปิดตาอยู่ ทุกคนควรดูประจำ

331
ปฏิบัติตามตารางดังนี้
ดูผ้านุง ดูให้ของ ปลูกต้นไม้ ราศีประจำกาย ไถ่ข้า รับเงินทอง และบวชคน




   การปฏิบัติตามที่ดี ละเว้นและระวังสิ่งที่ชั่ว บังเกิดผลแก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งโบราณได้เคยพิสูจน์มาถ่องแท้แล้ว

332
ตั้งชื่อเด็กเพื่อให้เป็นมงคล
ควรตั้งชื่อเด็กตามตำรา ดังนี้, คือตั้งในจำพวกอักษร เดช , ศรี , มนตรี จึงจะดีเป็นมงคลแก่เด็ก อย่าตั้งชื่อตรงกับอักษรที่เป็นกาลกินีหรือบริวาร จะทำให้เด็กเสียมงคล



เด็กเกิดวันใดให้นับแต่วันเกิดนั้นเป็นบริวาร นับต่อไปว่า อายุ , เดช , ศรี , มูล อุษาห , มนตรี , กาลกินี นับแต่วันเกิดหมุนเวียนโดยรอบไปทางขวา แล้วเลือกอักษรที่ดีนั้นตั้งชื่อ ตามความประสงค์ว่าชื่อใดจะพอใจ ของผู้ที่จะตั้งและเป็นมงคลแก่เด็กด้วย

333
โบราณนิยมใช้ และถือในการทำพิธีต่างๆ และการยาตราจากที่อยู่ ประจวบกับวันจมถือว่าเลว ประจวบกับวันฟูถือว่าดี ถ้าท่านควรทราบไว้ดังนี้
เดือน 5     วันพฤหัสบดี     เป็นวัน   จม     วันอาทิตย์        เป็นวัน   ฟู
เดือน 6     วันอาทิตย์       เป็นวัน    จม     วันอังคาร        เป็นวัน    ฟู
เดือน 7     วันจันทร์         เป็นวัน    จม     วันพฤหัสบดี    เป็นวัน    ฟู
เดือน 8     วันอังคาร        เป็นวัน    จม     วันศุกร์           เป็นวัน    ฟู
เดือน 9     วันพุธ            เป็นวัน    จม     วันเสาร์          เป็นวัน    ฟู
เดือน 10   วันพฤหัสบดี    เป็นวัน    จม     วันอาทิตย์       เป็นวัน    ฟู
เดือน 11   วันศุกร์           เป็นวัน    จม     วันเสาร์          เป็นวัน    ฟู
เดือน 12   วันเสาร์          เป็นวัน    จม      วันอังคาร       เป็นวัน    ฟู
เดือน 1     วันอาทิตย์       เป็นวัน    จม     วันพุธ           เป็นวัน    ฟู
เดือน 2     วันจันทร์         เป็นวัน    จม     วันพฤหัสบดี    เป็นวัน    ฟู
เดือน 3     วันอังคาร        เป็นวัน    จม     วันศุกร์           เป็นวัน    ฟู
เดือน 4     วันพุธ            เป็นวัน    จม     วันเสาร์          เป็นวัน    ฟู


ส่วนเวลาจะดีหรือเลวมากหรือน้อยเพียงใดนั้นโปรดดูในยามอุบากอง

334
การสวดภาณยักษ์ นั้นก็คือ การสวดพระอาฏานาฏิยปริตร โดยพระปริตรนี้ แบ่งเป็น2ภาค คือภาคภาณพระ และภาคภาคยักษ์ โดยตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า หลังจากพระมหาบุรุษตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ท้าวจตูโลกบาลก็มาเข้าเผ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสกล่าวถึงพระพุทธวงศ์ คือพระนามพระพุทธเจ้าที่เคยตรัสรู้มาแล้ว (ภาณพระ) จากนั้นท้าวจตุโลกบาลก็มีดำริว่าบริวารของตนนั้นมีมากมาย ทั้งที่เป็นยักษ์ กุมภัณฑ์ นาค และคนธรรพ์ ซึ่งมีมายมากที่ไม่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลัวว่าจะมารบกวนพระสงฆ์สาวกที่ไม่มีฤทธิ์ ขณะจาริกและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานให้ได้ความเดือดร้อน จึงถวายพระปริตรนามว่า อาฏานาฏิยปริตร แด่พระพุทธเจ้า เพื่อให้พระสงฆ์นำไปสวดกัน(ภาณยักษ์) โดยในพระปริตรดังกล่าวจะกล่าวถึงพระนามของท้าวจตุโลกบาล ทั้งนี้เมื่อบริวารของท้าวจตุโลกบาล เมื่อได้ยินพระนามท้าวเธอก็ย่อมจะเกรงกลัวและเร้นกายไปไม่มารบกวน ดังนั้นความเชื่อของชาวพุทธ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายไม่มีในบ้านเมืองก็จะนิมนต์ให้พระสงฆ์สวดภาณยักษ์ อย่างเช่นในสมัยต้นกรุงฯได้เกิดโรค--ยุดนั้นก็มีการสวดภาณยักษ์กันมากมาย แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้นเวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งใน จุลราชปริตร(สวด 7 ตำนาน) และมหาราชปริตร(สวด 12 ตำนาน) อยู่แล้ว

การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหง รับมาจาก พระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๕ เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนครเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีความเชื่อกันมาว่า บ้านเมืองหนึ่งๆ จะมีผีที่ดี และผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่ ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูติผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยดา และที่บ้านเมืองมีเหตุเพทภัยต่างๆเกิดขึ้น ก็เป็นเพราะเกิดจากภูติผีปิศาจ กลั่นแกล้งบันดาลให้เป็นไป ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง จึงเป็นสาเหตุ ที่มีการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันขึ้นมานั่นเอง ภาณ หมายถึงการสวด สมัยก่อนการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และสวดภาณยักษ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่าง ภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะไม่ กระแทกกระทั้นดุดันเหมือนการสวดภาณยักษ์ ภาณยักษ์ เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด และน่ากลัวจึงได้เรียกว่าสวดแบบภาณยักษ์นั่นเอง ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่างๆ การสวดทั้งสองแบบนี้ได้นำมาจาก อาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกว่าด้วยเรื่องของยักษ์ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบ มาดัดแปลงทำนองให้ดุดันและโหยหวน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้ออกไป มีการจุดปืนใหญ่สมทบ เพื่อให้ภูตผีปิศาจเกิดความกลัวจะได้หนีไป แต่ในปัจจุบันใช้การจุดประทัดแทน บางตำนานก็บอกว่าการสวดภาณยักษ์นั้น เกิดจากเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงโปรดเทศนาธรรม ให้กับพญายักษ์ที่มีชื่อว่า ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นจ้าวแห่งภูตผีปิศาจทั้งหลาย แค่เอ่ยชื่อเพียงอย่างเดียว พวกภูตผี ปีศาจที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายยังต้องเกรงใจ ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวต่อกรด้วย หลังจากที่ยักษ์ท้าวเวสสุวัณได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้า ก็บังเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมขึ้น จึงได้แต่งพระคาถาน้อมถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งก็คือคาถาสวดภาณยักษ์นั่นเอง เมื่อสวดคาถาบทนี้เมื่อใด เหล่าภูตผีปิศาจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องยอมศิโรราบให้ เพราะเกรงกลัวในบารมีของท่านท้าวเวสสุวัณ พากันเผ่นหนีกันจ้าละหวั่นไปกันหมดท่านท้าวเวสสุวัณ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวกุเวร เป็นเทวาธิราชพระองค์หนึ่ง เป็นจอมเทพที่มีศักดาอานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์(บางตำนานก็ว่าหน้าเป็นคน)ก็เป็นยักษ์ที่ใจดีมีเมตตาและมีศีลธรรมประจำใจ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันมากมายที่มีอยู่ จึงเป็นที่กลัวเกรงของเหล่าบรรดาภูตผีทั้งปวงและบรรดาเหล่ายักษ์มารทั้งหลาย รวมทั้งเทวดาชั้นผู้น้อย ทำหน้าที่ปกครองดูแลเทพเทวาในนครอันดับที่สี่ ซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ในสวรรค์ชั้นนี้ก็มี เทพเทวดา อสูร นาค ราคสด คนธรรพ์ และพวกสัมพเวสีอาศัยอยู่ ดังที่ได้กล่าวมาดังนี้แล......

335


ที่มา - www.wkk.ac.th

ใกล้จะถึงงานแล้วครับ ไว้ไปร่วมบุญกันครับผม   :001:

337


หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิกรุงเก่า

"เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขอส่งความปรารถนาดี ขอเจริญพรแก่ศิษย์เป็นมงคลแก่ชีวิต ให้โชดีมีสุข เดินทางปลอดภัย ค้าขายร่ำรวย มีกินมีใช้ ปลดหนี้ ทวีทรัพย์ ขอให้เจริญร่ำรวยเงินทอง มายังท่านและครอบครัวให้ประสบสุขสมหวัง และเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป เจริญพร"


ที่มา - ข่าวสด

338
นะโม 3 จบ
จันทะสุวัณโณ มะหาเถโร ปูริตะปาระมี
 โพธิสัตโต ปะฐะมะนะคะระเทโว
หิตะสุขะชะนะโก เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
 ภะวะตุเม สัพพะมังคะลัง
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย
อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ .

339
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2552 นี้ อย่าพลาดชมรายการเดอะโชว์แมจิค ทางช่อง 5 นะครับผม พอดีได้ดูตัวอย่างของสัปดาห์หน้า มีภาพเหตุการณ์จริงของพิธีเผาสังขารของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง เจ้าตำรับยันต์เสือเผ่น,ยันต์ตะกร้อ ที่น่าติดตามก็คือ เผาไม่ไหม้  :073: เลยมาบอกพี่น้องชาวบางพระล่วงหน้าไว้ครับ ไว้รอชมกันนะครับ  :114:

340
ฝากประชาสัมพันธ์หน่อยนะครับผม พอดีว่าวันนี้ผมเข้าไปที่วัดบางพระมา เลยเก็บมาบอกบุญกันครับ

ขอเชิญร่วมฟังเทศน์มหาชาติ เวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์
วันอังคาร ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.2551 ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ขออานิสงส์ผลบุญที่ได้บำเพ็ญนี้
จงบันดาลให้ท่านและครอบครัว
ตลอดบริวาร จงประสบแต่ความสุข
ความเจริญๆยิ่ง ๆ เทอญ .

341
ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งตัวกระผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองซักเท่าไหร่ แต่ถ้าผมออกไปก็น่าจะดีละครับ ผมคิดเช่นนั้น จึงอยากขอปิดตัวเองซักพักครับ ( อาจจะอยู่ช่วยอยู่เบื้องหลัง หายหน้าไปซักพักใหญ่ๆ พักไปทำใจ) ขอขอบคุณกำลังใจจากทุกๆท่านนะครับ ที่มีให้ผมเสมอมา ตลอด ระยะเวลา 8เดือน 16 วัน โดยประมาณ 2,237 กระทู้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ทุกๆท่านบ้างไม่มากก็น้อย อาจจะทำให้บางท่านไม่พอใจผิดพลาดประการใด ผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ฝากขอบคุณถึง ท่านเอ็ม วัดไร่ขิง ,ท่านพีท , นายตะกรุด , ท่านโจรสลัด , ท่านเต้ย , ท่านบีม , ท่านผู้ชนะสิบทิศ , ท่านนิค , ท่านกัส , ท่านติ , ท่านเด็กลำปาง , ท่านเอส , ท่านบีคุง , เจ๊หนึ่ง , เจ๊ลี , ท่านณรงค์ศักดิ์ , ท่าน -'๑'- C a e S a R -'๑'-  , ท่าน sunjiaa , ท่านก๊อต , ท่านซ้ง , ท่านเณรน้อยเส้าหลิน , ท่านเด่น , ท่านแดง ไบเล่ , ตาเอส วัดสิงค์ , ท่านตี๋ใหญ่ , ท่านโต้ง , ท่านลิ้งค์  , ท่านทิพย์ , ท่านหนองสนม , ท่านเบลล์ , เจ๊ปลา , ท่านภานุวัฒน์ , น้องยีน , ท่านเอก , ท่านรพินทร์ , ลูกผู้ชายตัวจริง , ท่านแสบน้อย , ท่านอชิตะ , ท่านอันเดอร์กราวน์ , ท่านเอี่ยว , ท่านโอ๊ด , ท่านสิงห์ดำ , ท่านโองการยันนะรังสี , ท่านเดวิล , ท่าน berth 1999 , ท่านเฮียนเทียนเซี่ยงตี้, เจ๊มะนาว , ท่านแก๊งยากูซ่า , ท่านกุ๊งกิ๊ง , พี่สายัน , ท่านหมอยา , ท่านหอมเชียง , คุณลุงอเมซิ่ง และท่านอื่นๆไว้ด้วยครับ  ไปก่อนนะครับทุกๆท่าน จะแวะมาอ่านเสมอๆนะครับ แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการครับ ถ้าพร้อมแล้วจะกลับมา 
ลูกบุญธรรมคนนี้ ขอนมัสการหลวงพ่อเปิ่นจากใจจริง

342
วัดหนองยางทอย ต.หนองยางทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ จัดพิธีเททองหล่อรูปเหมือน หลวงพ่อประเทือง อติกกันโต หรือพระครูวิทิตพัชราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองยางทอย พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองเพชรบูรณ์ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2551 เวลา 10.00 น. โดยมีพระคณาจารย์ร่วมพิธีนั่งปรกและเจริญพระพุทธมนต์ ประกอบด้วย พระพิพัฒน์สังวรคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม, พระครูดิลกวัฒนะ วัดสุทัศนเทพวราราม, พระครูวิมล ธรรมธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม, หลวงปู่บำเพ็ญ สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดใหม่คลองยาง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ภายในงานเปิดให้บูชาวัตถุมงคลหลายรุ่นของหลวงพ่อประเทือง อติกกันโต จึงขอเชิญคณะศิษยานุศิษย์และสาธุชนเข้าร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน

343
ท่านใดพอมีข้อมูลบ้างครับ ขอบพระคุณครับ




344


เหรียญหล่อพิมพ์หน้าเสือ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ย้อนยุค หาของเก่าใช้ไม่ได้ ไกลเกินเอื้อม ก็ใช้ย้อนยุคแทนได้ หายห่วงครับ 1 ใน เกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกพิมพ์ย้อนยุคนี้ คือ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระของเรานะครับ ไม่ธรรมดาอยู่ครับ ( ที่สืบค้นคร่าวๆมามี หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม , หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม , หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ ฯลฯ ) พระดีที่ยังพอหาได้

345


เม็ดยาจินดามณี จังหวัดนครปฐม ปกติทั่วไปแล้ว เราๆท่านๆก็มักจะนึกถึงของสำนักวัดกลางบางแก้ว วันนี้นำเอาภาพของเม็ดยาจินดามณีอีกสำนักหนึ่งมาให้ชมกัน สร้างโดย พระอาจารย์สำลี วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม ครับ

346
พระสิบทัศน์จิ๋ว


ชุดจันทร์ลอย สะดุ้งกลับ , รูปเหมือน , ราหู , หนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือน เนื้อชานหมาก



หนุมานเชิญธงทรงพลัง แป้งเจิมหลวงพ่อพูล เดิมๆเลยครับ



เหรียญล้อแมคเนื้อเงิน



พระขุนแผนเนื้อผงงาคชสาร



ปิดท้ายด้วยพระสมเด็จปรกโพธิ์ สร้างตอนที่หลวงพ่อพูลอยู่ที่วัดดอนยายหอม

348



งัดจากกรุขึ้นมาเลยครับ ตั้งแต่ไปรับกับมือหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมมา ไม่เคยได้แตะเลย ท่านพีทแนะนำมาเลยต้องใช้ซักหน่อยแล้ว ขอบคุณครับท่านพีท  :054:

349
ได้มาในสภาพที่โดนพับมาหลายตลบ เลยอาจจะมีรอยพับให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่เชื่อว่าพุทธคุณสุดๆแน่นอนครับ








รายละเอียดที่ระบุไว้ในยันต์ใบนี้ ( คัดลอกตามที่ระบุไว้ในผ้ายันต์ )

ยันต์สพพุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา สามารถคุ้มภัย อัคคีภัย โจรภัย ป้องกันอันตรายได้สารพัด ตามใจปรารถนา ผ้ายันต์นี้ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิ ยน ๙๘ ตรงกับวันสุริยะปราคา ซึ่งโบราณถือกันว่าเป็นอุดมมงคล ได้ปลุกเสกด้วย พระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ108องค์

ที่ระลึก หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา อ.บ้านสร้าง จ.ปราจินบุรี
  รูปหลวงพ่อจาดนี้ ชาวเราทั้งหลายควรมีไว้สักการบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง เพราะเป็นพระเถระสำคัญรูปหนึ่ง ที่เคยได้ร่วมพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลังกับหลวงพ่อจงมาแล้วทั่วประเทศไทย เช่นในสงครามอินโดจีนเป็นต้น ถ้าเจ็บไข้ให้อาราธนาขอน้ำมนต์ดีนัก ฯ

351
ได้มาอย่างไม่น่าเชื่อครับ สรุปว่า ยายผมได้รับแจกจากหลวงพ่อเปิ่นมา 2 องค์ เตรียมขึ้นคอเลยครับตอนนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก ท่านหอมเชียง และคุณลุงอเมซิ่งมากๆนะครับ ว่าแต่เนี้ยบพอสู้กับของอากวงได้หรือเปล่าครับ ^^







352




  ภาพเมื่อครั้งไปเที่ยวเกาะสมุยกับหลวงพ่อเปิ่น จัดทัวร์ไปเดินสายทำบุญ ไปกราบนมัสการท่านพุทธทาส แล้วก็มาแวะเที่ยวที่สมุยกัน เมื่อปี 2531

353
ในสมัยราชวงศ์ซ้อง ได้เกิดบุคคลสำคัญขึ้นท่านหนึ่ง แซ่ลิ้ม เป็นชาวมณฑลฮกเกี้ยน และมีสติปัญญาปราดเปรื่องสามารถสอบไล่ได้ตำแหน่ง "จิ้นสือ" และเข้ารับราชการในตำแหน่งนายอำเภอ มณฑลเจียะเจียง ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สามารถปกครองราษฎรให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตราชการ ท่านจึงได้สละลาภยศอันสูงเกียรติออกอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนานิกายมหายาน ณ วัดแห่งหนึ่งในมณฑลฮกเกี้ยนได้รับฉายาว่า "ไต้ฮง" เมื่อได้อุปสมบทแล้วท่านก็ได้หมั่นบำเพ็ญศาสนกิจ ศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุธรรมอันวิเศษ

ท่านไต้ฮงพำนักอยู่ที่วัดดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี ด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต้องการออกโปรดสัตว์ ท่านจึงได้ออกธุดงควัตรจากเมืองฮกเกี้ยนไปตามเมืองต่างๆ ตลอดเส้นทางที่ท่านธุดงค์ผ่านไปนั้น เมืองใดที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ท่านก็จะช่วยขจัดปัดเป่า บรรเทาทุกข์ให้เมืองใดที่ทำการสร้างถนนหรือสะพาน ท่านก็จะช่วยเหลือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ในบางแห่งที่มีโรคระบาด มีคนเจ็บและล้มตาย ท่านก็จะช่วยนำยารักษาโรคออกแจกจ่ายแก่ผู้เจ็บป่วย และออกบิณฑบาตไม้ มาทำโลงศพและนำศพไปบรรจุฝังตามธรรมเนียม
 


พระภิกษุไต้ฮงออกธุดงค์โปรดสัตว์อยู่หลายปี จนกระทั่งผ่านมายังเมืองแต้จิ๋ว ก็มีพุทธศาสนิกชนนิมนต์ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งบนภูเขาปักซัว อำเภอเตี่ยนเอี้ย ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านได้พำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้ท่านได้บำเพ็ญศาสนกิจอย่างเคร่งครัด ด้วยความมีเมตตาธรรมจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทำให้บรรดาสาธุชนที่มีความศรัทธาเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ท่านยังได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดดังกล่าวจนกลายเป็นพระอารามใหญ่ เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้

ในบั้นปลายชีวิตของท่าน ได้ออกธุดงค์ไปอยู่จำพรรษาที่วัดเมี่ยงอัง ตำบลฮั่วเพ้ง ห่างจากอำเภอเตี่ยนเอี้ยไปประมาณ 15 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านนี้มีแม่น้ำเหลียงเจียงไหลผ่าน แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก วัดเมี่ยงอังตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ในสมัยนั้นแม่น้ำเหลียงเจียงเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกรากมาก อีกทั้งมีความกว้างใหญ่และลึก ประชาชนจึงใช้เรือเป็นพาหนะ ยามเมื่อเกิดมรสุมจะเกิดเหตุเรือล่มบ่อยๆ ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตอยู่เป็นประจำ ท่านไต้ฮงจึงเกิดความเวทนาสงสารประชาชน จึงดำริที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเหลียงเจียง เพื่อให้ประชาชนได้สัญจรโดยสะดวก ท่านจึงได้บิณฑบาตวัสดุก่อสร้างต่างๆ อยู่หลายปี จนในปีพ.ศ.1671 มีพ่อค้าใหญ่เดินทางมานมัสการท่าน และทราบว่าท่านจะสร้างสะพาน จึงได้นำช่างก่อสร้างและวัสดุมาร่วมสร้างสะพานด้วย

ส่วนบริเวณที่จะสร้างสะพานนั้นท่านได้เลือกตรงหน้าศาลเจ้าหลักเมือง และดูฤกษ์ยามสำหรับการเริ่มงาน ในวันที่เริ่มสร้างสะพานสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือน้ำในแม่น้ำเกิดลดลงไปจนเกือบแห้งเป็นที่อัศจรรย์ บรรดาประชาชนและช่างต่างก็ก้มลงกราบท่านด้วยความศรัทธา ท่านกลับบอกว่าให้กราบฟ้าดินเถิด การครั้งนี้น้ำทะเลที่ปากแม่น้ำจะไม่ขึ้นลงเป็นเวลา 7 วัน เมื่อทราบเช่นนั้นพวกช่างจึงทำการสร้างรากฐานสะพานและสร้างถ้ำสำหรับระบายน้ำจำนวน 19 ถ้ำ จนแล้วเสร็จโดยใช้เวลา 7 วันพอดี วันต่อมาน้ำในแม่น้ำเหลียงเจียงก็ขึ้นลงตามปกติ การก่อสร้างสะพานจึงเป็นไปด้วยความราบรื่นจนกระทั่งเสร็จ จัดว่าเป็นสะพานหินที่มีความยาวมาก และตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "ฮั่วเพ็ง" หลังจากที่สร้างสะพานเสร็จท่านก็เริ่มอาพาธด้วยโรคชรา และมรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริอายุได้ 85 ปี ชาวเมืองจึงได้ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและฝังร่างของท่านไว้ ณ ภูเขาฮั่วเพ็ง และยังสร้างศาลเจ้าประดิษฐานรูปเหมือน ไต้ฮงกงโจวซือไว้สักการบูชา มีนามว่า "ศาลเจ้าป่อเต็กตึ๊ง" มาจนทุกวันนี้

ในประเทศไทย ประมาณปีพ.ศ.2453 ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้ามาอาศัยร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย ด้วยความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา จึงร่วมกันจัดตั้งองค์กรสงเคราะห์สาธารณภัย เพื่อเจริญรอยตามกุศลเจตนาของท่านไต้ฮงกงโจวซือ โดยใช้ชื่อว่า "มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง" หรือที่เรารู้จักกันในนาม "มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง" ตั้งอยู่บนถนนพลับพลาไชย กทม.

ในโอกาสครบรอบ 40 ปีแห่งการก่อตั้งมูลนิธิ ตรงกับวันที่ 1-15 มิถุนายน พ.ศ.2493 ทางมูลนิธิได้จัดสร้างรูปหล่อจำลองไต้ฮงกงโจว ซือขนาดเล็กขึ้น หล่อด้วยเนื้อทองเหลือง เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธานำไปบูชา จำนวน 100,000 องค์ แบ่งออกเป็นแบบบรรจุเม็ดกริ่ง และไม่บรรจุเม็ดกริ่ง อย่างละ 50,000 องค์ โดยทำพิธีทางศาสนาทั้งฝ่ายหินยานและมหายาน มีสมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศเสด็จมาเป็นประธานเททอง และยังได้อาราธนาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกภาคกว่า 108 รูป มาร่วมปลุกเสก นอกจากนี้ ในปีพ.ศ.2497-2498 ทางมูลนิธิยังได้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนไต้ฮงกงโจวซือขึ้น เป็นรูปลูกท้อ จัดเป็นเหรียญรุ่นแรกที่ได้รับความนิยมมาก



ที่มา - ข่าวสด

354


หนังเสือ หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อีกหนึ่งสำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องหนังเสือ




หนังเสือหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ

355
ขอเชิญร่วมงานสมโภชฉลอง 111 ปี วัดห้วยจระเข้
และขอเชิญร่วมถวายมุทิตาสักการะ
งานทำบุญฉลองอายุครบ 7 รอบ ( 84 ปี )
พระครูทักษิณานุกิจ ( เสงี่ยม อาริโย ปธ.4 )
ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม
เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2551
ตั้งแต่เวลา 8.00 น. เป็นต้นไป
วัดห้วยจระเข้ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

356
ได้มาพร้อมกับหนังสือ สักยันต์ ที่วัดบางพระ ไม่ทราบว่าทันหลวงพ่อปลุกเสกมั๊ยครับ ขอบคุณครับ


357
เอามาให้ชมกันครับท่าน






359
รุ่นนี้ " เพื่อชีวิต " ครับ พี่น้องงง  :005:



360
ไปเช่าเหรียญเสมาจิ๋ว เสาร์ 5 หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ( หลวงพ่ออวยพรสร้าง ) เช่ามาไว้แจก ประมาณ 200-300 เหรียญ บังเอิญไปเจอเหรียญนึงแปลกๆ เลยนำมาให้ชมกันครับ









( แจกไปเกือบหมดแล้วครับตอนนี้ เหลือไว้เองไม่ถึง 10 เหรียญ เหอๆ )

361

พระปิดตาเนื้อผงทวาราวดี ฝังแร่เมฆพัตร แจกๆๆ อิอิ




พระปิดตา เนื้อเมฆพัตร องค์นี้แจกพิเศษ อิอิ





ใจเย็นๆนั่งรอต่อไปนะครับท่านผู้ชนะสิบทิศ อิอิ

362
ลองของกับคนเล่นของ

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม 2551





"ของดีไม่ต้องลอง" หรือ "ของดีต้องลองได้" เป็นข้อถกเถียงของผู้นิยมพระเครื่องและเครื่องรางของขลังอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ขณะเดียวกันก็มีภาพข่าวการลองของออกมาอย่าต่อเนื่อง เช่น ชาวบ้านแห่พิสูจน์ตะกรุดลูกปืนมหาอุตต์พระอาจารย์ตี๋เล็ก หรือพระพินิต ปัญญาสาโร เจ้าตำรับมหาอุตต์-ตะกรุดลูกปืนขนานแท้ แห่งสำนักสงฆ์เขาสุนะโม ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ แน่นวัด เนินพยอม ต.ดงเสือเหลือง อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ลองของกันในวัด ปืนยิงไม่ออกลูกปืนติดคาลำกล้อง

ในขณะที่พระอาจารย์สมชาย ฐานวโร หรือหลวงพ่อเสือ เจ้าของฉายา "กระบี่บินโคตรหนังเหนียว" ใช้ดาบซามูไรยาวกว่า ๑ เมตร โดยมีการสวดคาถาอาคมอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งนี้ได้แจกจ่ายเสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ตะกรุด และจตุคามฯ ให้ชายที่ถอดเสื้อทุกคนถือเอาไว้โดยการชูมือขิ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็ลงมือฟันด้วยซามูไรเข้าที่บริเวณหน้าท้องและลำตัวหลายครั้งสร้างความฮือฮาให้แก่ประชาชนที่ยืนดูเป็นอย่างมาก



"เมื่อปี ๒๕๔๓ เคยลองรูปหล่อเนื้อนวโลหะหลวงพ่อเงิน รุ่นพระพิจิตร โดยลองที่หน้าพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร ระหว่างพิธีปลุกเสกในพลัด (พลตรีเกริก กัลยาณมิตร) อดีตผู้บังคับ ตร.ภูธร จ.พิตร ปัจจุบันเป็น ส.ว.พิจิตร ในครั้งใช้ปืน .๓๕๗ ในครั้งนั้นมีคนมาดูการลองกว่า ๓๐๐ คน การลองเริ่มจากยิงขึ้นฟ้า ๑ นัดเพื่อลองปืนลองกระสุน เมื่อต้องลองวัตถุมงคลก็จะจุดธูปขอขมาเจ้าที่ และครูบาอาจารย์ โดยอธิษฐานจิตว่า ไม่ได้ลบหลู่แต่ต้องการลองเพื่อให้ประจักษ์ว่าพุทธคุณมีจริง แล้วใช้ปืนจอยิงไปที่วัตถุมงคลในระยะเผาขน ส่วนใหญ่จะเอาวัตถุมงคลใส่ถุงผ้าขาว ยิงแล้วจะด้าน แล้วหมุนโม่ยิงอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงถอดลูกกระสุนออกมาดู นัดแรกนกจะสับ ๑ รอย นัดที่ ๒ ยิงซ้ำนกจะสับ ๒ รอย แสดงว่าลูกปืนไม่ได้แช่น้ำมัน ก่อนจะลองต้องขอขมาลาโทษทุกครั้ง ลองเพื่อทดสอบพุทธคุณพระที่จัดสร้าง ยิงออกแต่ไม่ถูก ยิงถุงผ้าขาวแตกแต่ถุงพลาสติกไม่ขาด ระยะหลังไม่ปรากฏว่ามีการลองของเท่าใดนัก ส่วนใหญ่เป็นการลองด้วยการยิงครั้งเดี่ยวซึ่งไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก" นี่คือประสบการณ์และวิธีการลองของ อ.ขวัญทอง สอนศิริ (โจ้) ศูนย์พิษณุโลกศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ พิษณุโลก

อ.โจ้ ยังบอกด้วยว่า เคยลองด้วยตนเอง ๒ ครั้ง คือ หลวงปู่บุญมี ฐิตาจาโร วัดเกาะ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเอม วัดคลองโป่ง อ.ศรีสำโรง โดยลองตะกรุดโทน (ยันต์แม่เหล็ก) โดยกำตะกรุดแล้วใช้คัตเตอร์กรีดที่มือ เริ่มจากค่อยๆ กดก่อนแล้วเริ่มกดแรงขึ้นเมื่อรู้ว่าไม่เข้าก็กดเต็มที่โดยลองถึง ๒ ครั้ง มีเพียงแค่แมวข่วนเท่านั้น (ยางบอน) ส่วนอีกครั้งหนึ่งลองตะกรุดคู่ชีวิตหลวงพ่อทาน (หลานหลวงพ่อพิธ ตาไฟ) วัดฆะมัง อ.เมือง จ.พิจิตร โดยใช้วิธีการลองแบบเดียวกัน นอกจากนี้ยังเคยลองตะกรุดเทพรัญจวนหลวงปู่ และเหรียญสองกษัตริย์ (พระนเรศวร-พระเอกา) สร้างโดยเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร และปลุกเสกหลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส จ.อุทัยธานี และ อ.จั่ว ตรอกจั่น (ฆราวาสลูกศิษญ์ อ.เทพ) รวมทั้งเหรียญชินราชเจ้าพระยาจักรกรี (ตชด.๓๑ พิษณุโลกสร้าง) โดยใช้ปืน .๓๘ ยิง ปี ๒๕๔๒ และ ๒๕๔๓ เคยลองพระกริ่งนเรศวรพระองค์ดำ ๑๐๐ ปี โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม โดยลองบริเวณหอกลองหน้าวิหารพระพุทธชินราช ในครั้งนั้นมีตำรวจและประชาชนร่วมพิสูจน์กว่า ๑๐๐ คน

อย่างไรก็ตาม "คม ชัด ลึก" ไปสังเกตการณ์วิธีการทดสอบความขลังของพระเครื่องและวัตถุมงคล ของนายอภิชัย อิ่มอารมรณ์ และนายอำนาจ ทรัพย์สิน คู่หูนักลองของ บริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยนำวัตถุมงคลหลายชนิดมาลองยิงด้วยปืนลูกโม่



นายอภิชัยบอกว่า จากการลองของที่ผ่านมาของดีมีไม่ถึง ๕% ไม่ว่าจะเป็นเหรียญดังของเกจิย่านบางกระดี่ จ.ปทุมธานี รวมทั้งตะกรุดลูกปืน ตะกรุดลูกระเบิดที่ขึ้นชื่อของเกจิยุคปัจจุบันถูกปืนยิงกระจายทุกราย ส่วนเหตุผลที่ลองนั้นไม่ใช่ลบหลู่เพียงแต่ต้องการพิสูจน์พุทธคุณเท่านั้น อย่างไรเสียก็ขอยืนยันว่าของดีต้องลองได้ พระเครื่องและวัตถุมงคลที่แขวนติดตัวทุกชนิดแม้จะราคาไม่แพงแต่ทุกอย่างผ่านการทดสอบด้วยการยิงมาทั้งสิ้น

"ของไม่ดีแขวนไปก็หนักคอหนักเอวเปล่าๆ ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนอยากมีของดีมาใช้ป้องกันตัว ใครจะคุยอวดสรรพคุณว่าวัตถุมงคลสุดยอดอย่างไร สู้ลองทดสอบด้วยตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้ผมแขวนวัตถุมงคลของเกจิแห่งยุคที่ยังมีชีวิตอยู่ ๓ รูป คือ ตะกรุดหลวงปู่แย้ม หนังเสือและเสือเนื้อตะกั่ว วัดตะเคียน จ.นนทบุรี หลวงพ่อสุวรรณ วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง และหลวงปู่ตี๋ ฉันทธัมโม วัดเขาเขียวพนาราม อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ศิษย์สืบสายธรรมหลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา" นี่คือเหตุของนายอำนาจ

ทั้งนี้ นายอำนาจยังบอกด้วยว่า เมื่อได้วัตถุมงคลมาโดยเฉพาะประเภทตะกรุดจากวัดต่างๆ ประมาณ ๒๐ ดอก ก็จะนัดเพื่อนๆ ในกลุ่มมาลองของโดยใช้ปืน ๓ ขนาดยิงคือ ปืนแม็กนั่ม ปืนขนาด ๑๑ มม. และปืนซูเปอร์ เมื่อลองไปแล้วหากตะกรุดดอกใดปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่ถูกจะใช้ปืนลูกกรดยาวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นปืนที่ยิงและมีความแม่นยำมากมายิงซ้ำอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามในระยะหลังไม่ค่อยได้ลองด้วยเหตุที่ว่าขับรถไปประสบอุบัติเหตุเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตามความเข้าใจของตนเองเชื่อว่าเป็นผลพวงมาจากการลองของลบหลู่ครูบาอาจารย์



ข้อคิดคนลองของ

นายพิศาล เตชะวิภาค อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย หรือ ต้อย เมืองนนท์ บอกว่า เคยมีลูกค้าคนหนึ่งเมื่อเช่าพระเครื่องทั้งพระกรุ พระเกจิ รวมทั้งเครื่องราง แล้วอยากรู้ว่าของที่เช่าไปมีพุทธคุณจริงสมคำร่ำลือหรือไม่ แม้จะห้ามไม่ให้ลองแต่เขาบอว่า เงินของเขาและพระของเขาด้วย จึงขัดไม่ได้ โดยเอาพระและวัตถุมงคลไปผูกไว้กับคอไก่จากนั้นก็ใช้ปืนยิงไปที่ตัวไก่ ปรากฏว่าไก่ถูกยิงตายไปว่า ๒๐๐ ตัว ที่ไม่ตายก็มีเพียง ๒-๓ ตัวเท่านั้น ส่วนจะเป็นพระอะไรไม่ขอบอกเพราะจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือเชียร์พระรุ่นนั้น แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนปรากฏว่าคนที่ลองนั้นเลือดไหลออกจากตาโดยไม่มีสาเหตุ โดยส่วนเชื่อว่าเป็นเพราะกรรมตามทันหรือไปลบหลู่พุทธคุณในองค์พระ

ทั้งนี้ ต้อย เมืองนนท์ พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "การลองของเพื่อพิสูจน์พุทธคุณนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องพุทธคุณได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลองด้วยการยิงไปที่องค์พระตามหลักวิทยาศาสตร์ถ้ามือปืนแม่นจริงร้อยทั้งร้อยแตกหักหมด โดยส่วนตัวเชื่อว่าพุทธคุณเกิดขึ้นเฉาะตัวเฉพาะตนเท่านั้น ที่สำคัญคือต้องอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาและปฏิบัติตัวที่ดีของผู้ครอบครองด้วย สรุปแล้วพระจะแสดงพุทธคุณคนแขวนต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมด้วย"



ในขณะที่ นายฉลอง เรี่ยวแรง อดีต ส.ส.นนทบุรี บอกว่า เพิ่งเลิกลองของเมื่อกว่า ๑๐ ปี ที่ผ่านมานี้เอง โดยลองมาทุกวัด ทุกสำนัก เรียกว่าเกือบทุกอย่างก็ว่าได้ เหตุผลหนึ่งของการลองของเพราะอยากรู้ว่าพระที่ได้มาซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากพ่อเป็นพระเก๊หรือพระแท้กันแน่ เพราะเซียนหลายคนดูบอกว่าเป็นพระเก๊ แต่ตัวเองไม่เชื่อ ดังนั้นต้องยิงเพื่อพิสูจน์พุทธคุณ ครั้งนั้นหลังจากอาราธนาของพุทธคุณแล้วใช้ปืนขนาด ๒๑ มม. ยิงระยะเผาขน ซึ่งอย่างไรก็ต้องโดนองค์พระ ปรากฏว่าองค์พระไม่เป็นอะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าเป็นพระแท้ นอกจากนี้ครั้งหนึ่งก็เคยลองยิงพระหลวงปู่ช่วง ปรากฏว่ายิงไม่ออก ขณะเดียวกันถึงกับไข้ขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเลิกลองของอย่างเด็ดขาดจนมาถึงทุกวันนี้

สำหรับวิธีการลองของ นายฉลองเล่าให้ฟังว่า ในช่วงเด็กๆ เคยไปดูการลองของ ในครั้งนั้นผู้ลองเชิญมือปืนระดับทีมชาติมาทดลองยิง มีทั้งการลองยิงพระเครื่องและเครื่องราง เท่าที่จำได้มีเพียงตะกรุดหลวงพ่อทบวัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ยิงไม่โดน จากนั้นก็ลองของด้วยตัวเองซึ่งมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.ใช้ปืนยิงไปที่องค์พระ ๒.ใส่ปากปลาดุกแล้วใช้มีดกรีดหรือฟันไปที่ตัวปลา ถ้าฟันไม่เข้าแสดงว่ามีพุทธคุณ และ ๓.ให้งูเห่าฉก โดยเอางูเห่าใส่อ่างจากนั้นนำของที่อยากลองไปล่องูเห่า ถ้าฉกแสดงว่าไม่มีพุทธคุณ ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ เอาพระหรือเครื่องรางผูกกับคอไก่จากนั้นใช้ปืนยิงไก่ แม้วิธีนี้ได้ยินมามากที่สุดแต่ก็ไม่กล้าลอง



"เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู"

364


หลวงปู่ขำ วัดห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ศักดิ์สิทธิ์มากครับ ลองเข้าไปนมัสการปิดทองดูครับ

365




ออกปี 2515 ประสบการณ์เยี่ยมครับ พระดีศรีนครปฐมอีก 1 รูปครับ

366



สิงห์เนื้อผง หลวงพ่อชื่น วัดกลางคูเวียง

368


ด้านหลัง




ขอทราบรายละเอียดหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

369
ลอคเกต หลวงพ่อเงิน คุณย่าให้มาครับ เลยเอามาให้ชม  :005:






370
ไปเจออยู่บนหิ้ง เลยเอามาให้ชมกันครับ



372






ได้มาตอนไปช่วยงาน ในช่วงงานสวดพระอภิธรรม 100 วัน หลวงพ่อเปิ่นมรณะภาพ ปี 45 หลวงพี่แป๊วท่านอุตส่าห์เข้าไปหยิบจากในกุฏิท่านมาแจกกันเลยทีเดียว

373
อันนี้กระเป๋าตังค์ใบเก่าครับ พอไปให้หลวงพ่อสำอางค์ท่านจาร พอกลับมาบ้านก็ได้ผลทันตาเห็น เป๋าตุงขึ้นเยอะเลย อิอิ






อีกใบครับ ไปหาหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม ก็เอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ในพานกะให้ท่านเป่าให้ แต่ปรากฏว่า หลวงปู่แย้ม ท่านหยิบไปจารให้ ผมละซึ้งใจสุดๆ



374



คติพจน์หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว



375
เช้าวันนี้ผมได้มีโอกาสไปหา อ.พร ที่วัดดอนยายหอมมาครับ พอดีไปทำป้ายชื่อร้านมา เลยเอาไปให้ท่านลงให้หน่อย เชิญชมบรรยากาศในวัดครับ




หน้ากุฏิ อ.พร ครับ





อันนี้โอ่งบรรจุทรายเสกวัวธนูอันลือชื่อ อยู่หน้ากุฏิ อ.พร ครับ ( แขกไปใครมาก็มาตักไปโรยรอบๆบ้าน ป้องกันโจรโขมยได้นะครับ )


376
ไปค้นเจอมาอ่ะครับ พี่พอจะทราบประวัติมั๊ยครับว่าสร้างปีไหน อย่างไร ขอบคุณครับ






377
เก็บบทความมาจากข่าวสดครับ หวังว่าจะเป็นประโยชฯแก่ทุกๆท่าน ( บทความของ แทน  ท่าพระจันทร์ )




สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ใครๆ ก็จะรู้จักท่าน ในสมัยที่หลวงพ่อเดิมท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้ให้แก่ศิษย์หลายอย่าง เช่น เหรียญรูปท่าน พระรูปเหมือน งาแกะรูปสิงห์ นางกวักต่างๆ ตะกรุด ผ้ายันต์ และมีดหมอ ในวันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องมีดหมอกันครับ

หลวงพ่อเดิมท่านได้ศึกษาวิชามีดหมอมาจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี นครสวรรค์ ต่อมาท่านก็ได้สร้างมีดหมอขึ้นมา และการสร้างมีดในยุคแรกนั้นท่านก็ได้สร้างมีดเล่มใหญ่ให้แก่ควาญช้างของท่าน ซึ่งมีขนาดทั้งด้ามทั้งฝักยาวประมาณหนึ่งศอก ในสมัยต่อมามักเรียกกันว่ามีดควาญช้างหลวงพ่อเดิม ต่อมาท่านก็ได้ทำมีดให้มีขนาดเล็กลง ขนาดพอพกได้พอดีจนมาถึงมีดขนาดเล็ก พกใส่กระเป๋าเสื้อได้ในที่สุด

ว่ากันว่าเนื้อเหล็กที่นำมาใช้ตีเป็นมีดนั้นจะมีส่วนผสมประกอบด้วยตะปูสังขวานร ซึ่งเป็นตะปูในสมัยโบราณที่ใช้ยึดเครื่องไม้ในพระอุโบสถแทนตะปู ตะปูโลงผีที่สัปเหร่อเผาแล้วเก็บไว้ บาตรแตกชำรุด และเหล็กน้ำพี้ นำมาเป็นส่วนผสมใช้ทำมีดหมอ สำหรับช่างที่ตีมีดหมอของหลวงพ่อเดิมนั้น เท่าที่พบจะเป็นฝีมือช่างฉิม ช่างไข่ และช่างสอน ซึ่งแต่ละช่างจะมีเอกลักษณ์ของตัวมีดของตนเองต่างกันไป เมื่อช่างทำใบมีดเสร็จแล้ว ก็จะส่งต่อให้ช่างทำด้ามและฝักทำต่อ ส่วนที่เป็นตัวด้าม ถ้าเป็นมีดเล่มใหญ่จะมีด้ามเป็นงา และฝักเป็นไม้คูน ส่วนเล่มเล็กก็จะมีด้ามเป็นงาและฝักเป็นงา จากนั้นก็ส่งต่อไปให้ช่างทำเงินทำที่รัดปลอกมีดและด้ามมีด ช่างจะทำเงิน ทองหรือนากตามที่กำหนด โดยส่วนมากจะเป็นเงินเพียงอย่างเดียว

เมื่อทุกอย่างเสร็จก็จะนำมาประกอบที่วัดหนองโพ โดยหลวงพ่อเดิมจะทำผงอิทธิเจไว้ให้ ผสมกับเส้นเกศาของหลวงพ่อที่ปลงในวันขึ้น 15 ค่ำ และแผ่นตะกรุด ซึ่งเป็นเงิน ทอง นาก เป็นแผ่นเล็กๆ ลงอักขระ ตัดพอดีกับตัวกั้นของมีด บรรจุลงไปในด้ามมีดอุดด้วยครั่งจนแน่น หลังจากนั้นหลวงพ่อเดิม จึงนำมีดไปปลุกเสกอีกทีหนึ่ง

พุทธคุณมีดหมอของหลวงพ่อเดิมนั้นดีในทุกๆ เรื่อง เช่น เป็นมหาอุดอยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ป้องกันเขี้ยวงา ป้องกันคุณไสย การกระทำย่ำยี ป้องกันภูตผีปีศาจร้ายได้ มีผู้เคยมีประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้มามากมาย วิธีอาราธนามีดหมอของหลวงพ่อเดิมเวลาจะไปไหนมาไหนให้ระลึกถึงหลวงพ่อเดิมแล้วว่า "พระพุทธังรักษา พระธรรมมังรักษา พระสังฆังรักษา ศัตรูมาบีฑาวินาศสันติ" เท่านี้ก็พอครับ ส่วนคาถากำกับมีดหมอของหลวงพ่อเดิมนั้นมีดังนี้" สักกัสสะ วชิราวุทธัง เวสสุวันนะสะคะธาวุทธัง อาฬาวะกะธุสาวุทธัง ยะมะสะนัยนาวุทธัง ณารายยะสะจักกะราวุทธัง ปัญจะอาวุทธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุทธานัง ภัคคะภัคขา วิจุณนัง วิจุณนาโลมังมาเมนะ พุทธะสันติ คัจฉะอะมุทหิ โอกาเสติฐาหิ"

ส่วนข้อห้ามประจำมีดหมอของหลวงพ่อเดิมนั้น คือ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นอกจากจะป้องกันตัวเท่านั้น ห้ามนำมีดของท่านไปใช้ในทางที่ผิด เช่น รังแกคนอื่น อย่าเป็นผู้กับเมียคนอื่น ถ้าไม่จำเป็นอย่าให้สตรีที่มีรอบเดือนถูกมีดหมอของหลวงพ่อครับ

ในปัจจุบันมีดหมอของหลวงพ่อเดิมแท้ๆ นั้นหายากมาก มีบางคนหัวใสนำมีดหมอแท้ๆ ของหลวงพ่อเล่มเดียว แยกตัวมีดออกแล้วทำฝักและด้ามใหม่ ส่วนตัวฝักและด้ามของแท้นำใบมีดของใหม่มาประกอบ ทำให้มีดเล่มเดียวแต่แยกขายได้ถึงสองเล่มครับ มีคนเคยโดนมาแล้ว ปัจจุบันมีดหมอหลวงพ่อเดิมแท้ๆ นั้นมีสนนราคาแพงมากและหายากมากครับ

วันนี้ได้นำรูปมีดหมอหลวงพ่อเดิมขนาดเล็ก แบบมีปากกามาให้ชมกันหนึ่งเล่มครับ

378



     





พระชัยวัฒน์ น้ำเต้าเอียงครึ่งซีกเนื้อผง วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ สร้างเมื่อปีพ.ศ. 2485 ซึ่งเป็นวัตถุมงคลตกค้างจากผู้ที่สะสมเก็บรักษาวัตถุมงคลชุดนี้ และมีจำนวนไม่มากนัก ปัจจุบันกระจายอยู่ในมือเซียนพระชื่อดังแถบสมุทรสาคร

รุ่นนี้สร้างโดย "เจ้าคุณศรีสนธิ์" วัดสุทัศน์ ศิษย์พุทธาคม สมเด็จพระสังฆราช (แพ) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์สร้างพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ที่ปัจจุบันมีราคาเช่าบูชากันองค์หนึ่งหลักล้านหลักแสน
สมเด็จพระสังฆราช(แพ)

 


ท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ ได้รวบรวมผงวิเศษ 5 ประการ อาทิ ผงอิทธิ ปถมัง ตรีนิสิงเห มหาราช พุทธคุณ จากหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และพระอาจารย์ในยุคนั้น มาผสมกับว่านมหามงคลที่เป็นสีขาว เช่น เสน่ห์จันทน์ขาว เป็นต้น นำมาเป็นส่วนผสมของพระชัยวัฒน์น้ำเต้าเอียงครึ่งซีกเนื้อผง ถือว่าเป็นครั้งแรกของการสร้างพระชัยวัฒน์เนื้อผง โดย เจ้าคุณศรีสนธิ์ ปลุกเสกอธิษฐานจิตหลายวาระ

ตามโบราณเชื่อว่า พระชัยวัฒน์ มีอานุภาพมากมายหลายประการกับผู้ที่บูชาพกพาอาราธนาติดตัว ชนะทุกอย่าง ความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ ชนะหมู่มารที่คิดไม่ดี คิดร้าย วัตถุมงคลจะมีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวานุภาพ ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ป้องกันภูตผีปีศาจ แคล้วคลาดปลอดภัย จากภัยพิบัติใดๆทั้งปวง เพิ่มพูนในเรื่องของเสน่ห์ เมตตามหานิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง กับผู้ที่บูชาพกพามีความศรัทธา เลื่อมใส ยึดมั่น ถือมั่น ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพศรัทธาพระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำพระธรรมมาสั่งสอน
เจ้าคุณศรีสนธิ์

 


"ชัยวัฒน์" คือ ชัยชนะทุกอย่างที่เป็นอัปมงคล อายุวัฒนะ คือผู้ที่มีอายุยืนยาวนาน



ที่มา - ข่าวสด
..........................................................................................................................................

เห็นว่าแปลกดีครับ ( เพิ่งเคยเห็น ) ส่วนมากเราๆท่านๆจะเห็นพระชัยสายวัดสุทัศน์ เป็นเนื้อโลหะกัน แต่องค์นี้เป็นเนื้อผงครับ




380
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี เป็นวันที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ , ตรัสรู้ , ปรินิพพาน ซึ่งปีนี้ ตรงกับวัน จันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2551 ขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ร่วมทำบุญวันวิสาขบูชา เข้าวัด ทำบุญ ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียนคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสครับ? :090:





381



ได้มาก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี เลยเอามานั่งจารยันต์เกราะเพชรไว้อ่าครับ แปลกดีไปอีกแบบ

382
ลองเข้าไปชมได้ครับ
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREV6TURVMU1RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4TXc9PQ==

 :002:

383
คณะกรรมการวัดซับตะเคียน จ.เพชรบูรณ์ และพระอาจารย์ลอย พระเลขาฯ หลวงปู่ขุ้ย แจ้งว่า ในวันที่ 20 พ.ค. 2551 เป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงปู่ขุ้ย ปีนี้ท่านมีสิริอายุ 97 ปี 77 พรรษา (แต่ถ้าคิดอายุที่ท่านแจ้งเกิดมีใบทะเบียนเอกสาร ท่านจะมีอายุ 87 ปี เพราะท่านแจ้งเกิดช้าไป 10 ปี) ในวันนั้นหลวงปู่ขุ้ยจะทำบุญคล้ายวันเกิด แจกทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนในอำเภอหนองไผ่ และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้กับญาติโยม พร้อมทั้งทำพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลรุ่นวันเกิด หลังเสร็จพิธีให้ญาติโยมบูชาได้ทันที

ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปที่ร่วมแสดงมุทิตาสักการะหลวงปู่ขุ้ยแจกวัตถุมงคลฟรี


ที่มา - http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekV6TURVMU1RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdOUzB4TXc9PQ==

384
ข่าวจากวัดบางกุฎีทอง ถนนติวานนท์ (ตรงข้ามนิคมอุตสาหกรรม บางกะดี) อ.เมือง จ.ปทุมธานี แจ้งว่า วัดบางกุฎีทองจะจัดงานเป่ายันต์พรหม 4 หน้าครั้งที่ 8 ประจำปี 2551 ของหลวงพ่อชำนาญ ในวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ค. 2551 และในโอกาสนี้คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดงานแสดงมุทิตาจิตที่สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการจัดการเชิงพุทธศาสนา โดยมี พระพรหมสุธี วัดสระเกศ มาเป็นประธาน ในพิธีเป่ายันต์พรหม 4 หน้านี้หลวงพ่อชำนาญจัดขึ้นทุกปี วิชาพรหม 4 หน้า ท่านได้รับถ่ายทอดวิชานี้ตามตำรับพิชัยสงครามสืบต่อๆ กันมา ตั้งแต่สมัยหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ, หลวงปู่สี, ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ซึ่งพิธีนี้จัดพร้อมกับงานไหว้ครูทุกปี เป็นการช่วยศิษย์ของท่านเป็นสาธารณะโดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ศิษย์หลวงพ่อชำนาญหลายพันคนในแต่ละปีอยู่ที่ไหนไกลแสนไกลเมืองนอกเมืองนาก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเข้าพิธี พิธีนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่าขลังมาก จะเห็นคนของขึ้นกันมากมาย ที่สำคัญใครได้เข้าพิธีนี้แล้วดีขึ้นทุกคนไป

หลวงพ่อชำนาญ เผยว่า พิธีนี้ต้องอาราธนาพระรัตนตรัย เข้าศูนย์กลางพิธี เชิญเทพ พรหม ยม ยักษ์ ทุกชั้นฟ้า เชิญ ครูฤๅษี ทั้ง 108 องค์ ที่ขาดไม่ได้เลยพระพรหม พิธีนี้จึงมีอานุภาพมากเพราะพระเป็นประธาน มงคลของพิธีนี้มีมากมายเสริมดวงให้ดวงดีอยู่เสมอ แก้เคราะห์กรรมอันเกิดจากดวง พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ด้วยงานนี้ทางวัดได้ออกวัตถุมงคลที่ระลึก เหรียญรูปเหมือนหลังพระพรหมหมื่นคาถาแสนยันต์ 2 พระพรหมกรอบกระจก หรือพระพรหมสยบราหูเนื้อผง 3 ตะกรุดอัฏฐอรหันตา ในวันดังกล่าวคณะศิษย์ถือโอกาสจัดงานแสดงมุทิตาจิต ที่สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการจัดการเชิงพุทธศาสนา ในเวลา 13.19 น. งานนี้หลวงพ่อชำนาญแจกวัตถุมงคลฟรี สอบถามได้ที่วัดบางกุฎีทองครับ

ที่มา - ข่าวสด

385
ขอเริ่มที่ พระบูชารัตนฯ หน้าตัก 9 นิ้วครับ





พระบูชา หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม รุ่นแรก พ.ศ 2507 ครับ





พระบูชา หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม รุ่นแรก พ.ศ.2518 ครับ





พระบูชา หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา รุ่นแรก พ.ศ.2510 ครับ






387



ในท้องที่จังหวัดนนทบุรีนั้น โดยเฉพาะชาวอำเภอปากเกร็ดยากที่จะผู้ไม่รู้จัก "หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง" อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้สร้างพระปิดตาที่อยู่ 1 ใน 5 เบญจภาคีพระปิดตา เจ้าตำรับตะกรุดโสฬส อันเป็นตะกรุดยอดปรารถนาของนักนิยมสะสมเครื่องรางของขลัง

ปัจจุบันทั้งพระปิดตาและตะกรุดโสฬสมีราคาเล่นหาแพงเรือนแสนเรือนล้าน

เมื่อสิ้น "หลวงปู่เอี่ยม" ไปแล้วยัง "หลวงปู่กลิ่น" วัดสะพานสูง สืบทอดไสยเวท และตกทอดมาถึง "หลวงพ่อทองสุข" วัดสะพานสูง หากแต่ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการสร้างพระปิดตาและยันต์โสฬสจากหลวงพ่อทองสุข วัดสะพานสูง ถึงปัจจุบัน
 


พระเกจิอาจารย์รูปนั้นก็คือ "หลวงพ่อเปรื่อง" วัดบางจาก จ.นนทบุรี ศิษย์รูปสุดท้ายของหลวงพ่อทองสุขที่ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันสิริอายุ 78 ปี

ทุกวันนี้ หลวงพ่อเปรื่อง ยังสืบสานวิชาการสร้าง "ตะกรุดโสฬส" ตามตำรับที่ตกทอดมาแต่ครั้งหลวงปู่เอี่ยม และยังสร้างพระปิดตาคลุกรัก ตามแบบฉบับเดิมทุกประการ "ตะกรุดโสฬส" ทุกดอกของหลวงพ่อเปรื่องท่านจะจารแผ่นยันต์และม้วนด้วยตัวท่านเอง และหลังจากถัก จุ่มรัก และคลุกรักตามตำรับสายวัดสะพานสูงทุกประการ

ส่วนพระปิดตานั้น หลวงพ่อเปรื่องจะทำการลบผงศักดิ์สิทธิ์เอง พร้อมทั้งกดพิมพ์พระด้วยตัวท่านเองทุกองค์ ทุกขั้นตอนท่านจะควบคุมอย่างใกล้ชิด และหากจะมีผู้มาช่วยกดพระพิมพ์ปิดตา ท่านจะครอบครูและให้ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด ซึ่งนับว่าหากยากแล้วในปัจจุบัน

นับว่าเป็นพระปิดตาอีกสำนักหนึ่งที่น่าบูชาและทรงคุณค่าต่อไปในภายภาคหน้า

วัตถุมงคลที่ได้จัดสร้างทั้งหมดหลวงพ่อเปรื่องได้นำเข้าไปปลุกเสกที่กุฏิท่านทุกคืน จนกว่าจะเป็นที่น่าพอใจ จึงนำออกมาให้ญาติโยมทำบุญ บางครั้งถึงกับมีผู้คนจากท้องที่อื่นไกลมาเฝ้าบูชาตะกรุดจากท่านที่กุฏิเสมอ

วัตถุมงคลของท่านได้เกิดประสบการณ์ จนเป็นที่เล่าลือให้กับคนย่านปากเกร็ดมากมาย และทางวัดบางจากยังได้จัดสร้างเหรียญกลมขนาด 3.5 ซ.ม. ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม ด้านหลังเป็นยันต์โสฬส เพื่อเป็นการบูชาครูอาจารย์ของสายนี้ เหรียญรุ่นนี้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันยังมีให้เช่าบูชาอยู่ แต่มีจำนวนไม่มากนัก






388




พระพุทธชินราช รุ่นอินโดจีนนี้เริ่มมีการดำริที่จะจัดสร้างโดยพลเรือตรี หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ซึ่งเป็นนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เนื่องจากตอนนั้นมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เรื่องสิทธิเหนือดินแดนของอินโดจีน ในราวปีพ.ศ.2483-2484 วัตถุประสงค์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ทหารที่ไปราชการสงคราม และให้ประชา ชนโดยทั่วไปได้มีโอกาสเช่าบูชา

ต่อมาในปีพ.ศ.2485 สงคราม โลกครั้งที่ 2 ก็กำลังก่อตัวขึ้นในภูมิภาคนี้ จึงได้มีการจัดสร้างพระ พุทธชินราช รุ่นอินโดจีนขึ้น ในตอนแรกมีกำหนดการให้ทำพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก แต่มีเหตุต้องเปลี่ยนสถานที่การเททองให้มาทำพิธีที่วัดสุทัศน์ แทน เนื่องจากในขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามโลก ไม่สะดวกในการเดินทางและทำพิธี จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน สถานที่มายังวัดสุทัศน์แทน

กำหนดการทำพิธีตรงกับวันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2485 โดยมีสมเด็จพระสังฆราชแพ เป็นองค์ประธาน และท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ เป็นผู้ดำเนินงาน ทำพิธี ณ มณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศน์ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย และได้มอบหมายให้ช่างอีกหลายโรงงานรับช่วงไปดำเนินงานต่อจนเสร็จ ชนวนมวลสารที่ใช้หล่อนั้นประกอบด้วยชนวนโลหะของวัดสุทัศน์ แผ่นจารจากพระคณาจารย์ทั่วประเทศ รวมทั้งโลหะทองเหลืองที่ประชาชนนำมาบริจาคให้

หลังจากนั้นเมื่อหล่อพระเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำพระทั้งหมดมามอบให้กับทางพุทธสมาคมฯ เพื่อตอกโค้ด เป็นรูปธรรมจักร และรูปอกเลา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก พระส่วนใหญ่ได้ทำการตอกโค้ดจนครบ แต่ได้มีพระอีกเพียงบางส่วนที่ยังไม่ได้ตอกโค้ด เนื่องจากโค้ดชำรุดเสียก่อน และได้นำพระทั้งหมดเข้าทำพิธีมหาพุทธาภิเษก ที่วัดสุทัศน์

พิธีมหาพุทธาภิเษก พระพุทธชินราช อินโดจีน เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากในครั้งนั้นมีพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง จำนวนถึง 108 รูป พระคณาจารย์ที่เข้าร่วมในพิธีจะขอยกตัวอย่างเพียงคร่าวๆ คือ สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศน์ หลวงปู่นาค วัดอรุณฯ กทม. หลวงพ่อนวม วัดอนงค์ฯ กทม. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ กทม. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพฯ กทม. หลวงพ่ออ๋อย วัดไทร กทม. หลวงพ่อโชติ วัดตะโน กทม. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส อ้วน วัดบรมฯ กทม.หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ฉะเชิงเทรา หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ปราจีนบุรี หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว สมุทรปราการ หลวงพ่อภักตร์ วัดบึงทองหลาง กทม. หลวงพ่อเหมือน วัดโรงหีบ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ หลวงพ่อดี วัดเหนือ หลวงพ่อเหรียญ วัดหนองบัว หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง หลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยาง หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ หลวงพ่อกลิ่น วัดสะพานสูง หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ หลวงปู่กลีบ วัดตลิ่งชัน หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก เป็นต้น

หลังจากเสร็จพิธีแล้ว จึงนำออกมาแจกจ่ายให้แก่ทหารหาญที่ไปราชการสงคราม และประชาชนที่ได้สั่งจองไว้ พร้อมทั้งนำเอาไปถวายไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกอีกจำนวนหนึ่ง ในส่วนที่แจกจ่ายไปนี้เป็นพระที่ทำการตอกโค้ดแล้วทั้งสิ้น พระส่วนที่เหลือทั้งที่ตอกโค้ดและไม่ได้ตอกโค้ดทางพุทธสมาคมฯ ได้ทำการเก็บรักษาไว้ จนในปี พ.ศ.2516 จึงเปิดให้ประชาชนได้มีโอกาสได้เช่าบูชาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนี้มีทั้งพระที่ตอกโค้ดและพระที่ยังไม่ได้ตอกโค้ด

พระพุทธชินราช อินโดจีนสามารถแบ่งออกมาเป็นหมวดพิมพ์ใหญ่ได้ 3 หมวดพิมพ์ คือพิมพ์สังฆาฏิยาว พิมพ์สังฆาฏิสั้น และพิมพ์ต้อ แต่ละหมวดพิมพ์นั้นก็ยังแยกออกได้อีกหลายแม่พิมพ์ครับ



บทความโดย - แทน ท่าพระจันทร์

389
บทความโดย - อาจารย์ราม วัชรประดิษฐ์





ในประเทศไทยนั้นมีพระพุทธรูปมากมายหลายแบบหลายสมัย ซึ่งแต่ละแบบแต่ละสมัยก็จะมีความแตกต่างทางศิลปะตามอิทธิพลของถิ่นกำเนิดและศิลปะต้นแบบ "พระพุทธรูปเชียงแสน" เป็นพระพุทธรูปอีกศิลปะหนึ่งที่สำคัญและมีต้นกำเนิดจากทางภาคเหนือครับผม

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ภาคเหนือของประเทศไทยเคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรอันกว้างใหญ่ชื่อว่า "อาณาจักรเชียงแสน" ในราวรัชสมัยพระเจ้าอนุรุทมหาราชแผ่อำนาจเข้ามาปกครองเมืองเชียงแสน พระองค์ได้นำเอาพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน (เถรวาท) อย่างพุกามเข้ามาเผยแผ่ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานที่เข้ามาทางประเทศอินเดียฝ่ายเหนือผ่านมอญและพม่า

อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้เอง การสร้างพระพุทธรูปจึงได้รับอิทธิพลจากพระพุทธรูปศิลปะอินเดียสกุลช่างปาละ ซึ่งมีพุทธลักษณะที่สำคัญคือ พระรัศมีทำเป็นแบบดอกบัวตูมหรือลูกแก้ว ขมวดพระเกศาทำเป็นก้นหอยใหญ่ พระพักตร์กลมอมยิ้ม พระหนุ (คาง) เป็นปม ลำพระองค์อวบอูมสมบูรณ์ พระอุระนูน ชายสังฆาฏิเหนือพระอังสาซ้ายสั้นและปลายแตกเป็นปากตะขาบ นิยมสร้างเป็นปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร และปรากฏพระบาททั้งสองข้าง และตั้งชื่อพระพุทธรูปศิลปะแบบนี้ว่า "พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน" เชื่อกันว่าเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปรุ่นแรกๆ ของไทย

"พระพุทธรูปเชียงแสน" ไม่ได้มีจำกัดอยู่เฉพาะที่เมืองเชียงแสนเท่านั้น แต่ได้ขยายขอบข่ายออกไปถึงเมืองเชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน และเลยเข้าไปยังเมืองหลวงพระบางและนครเวียงจันทน์ ด้วยพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้เข้ามามีอำนาจอยู่ในนครเชียงใหม่ช่วงระยะหนึ่ง และกวาดต้อนชาวเชียงใหม่ที่มีฝีมือในการสร้างพระพุทธรูป ไปสร้างพระพุทธรูปในเขตเมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์ จึงได้เกิดเป็นพุทธรูปศิลปะอีกแบบหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า "พระเชียงแสนลาว" หรือ "พระพุทธรูปแบบเชียงแสนนอกเมือง" มีอายุเทียบได้ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ประมาณอายุใกล้เคียงกับ "พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนสิงห์ 3" หรือสมัยอยุธยา ยังมีการค้นพบในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยโดยทั่วไป ซึ่งเป็นต้นแบบฝีมือสกุลช่างปั้นพระพุทธรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยต่อมา พระพุทธรูปเชียงแสนยังได้รับอิทธิพลและแบบอย่างจากพุทธศิลปะประเทศลังกา ซึ่งเผยแผ่เข้ามาทางภาคใต้ของประเทศไทย เกิดเป็นพุทธศิลปะอีกแบบหนึ่งเรียกว่า "พระพุทธรูปเชียงแสนลังกาวงศ์"

สรุปว่าพระพุทธรูปเชียงแสนนั้น มีมาก มายหลายสกุลช่าง และได้มีการสืบสานการสร้างตลอดมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายร้อยปี พุทธลักษณะหลักมีดังนี้ พระเกศทำเป็นพระเกศบัวตูม พระศกทำเป็นขมวดก้นหอย และเม็ดพระศกค่อนข้างเขื่อง พระพักตร์อวบอูมดูสมบูรณ์ และปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย พระเนตรเป็นแบบเนตรเนื้อ (ไม่ฝังมุก) พระหนุเป็นรอยหยิก พระวรกายอวบอ้วนสมบูรณ์ ชายสังฆาฏิสั้นอยู่เหนือราวนมและแตกเป็นปากตะขาบ ซึ่งจะเรียกว่า "พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 1" ถ้ายาวเลยราวนมลงมาเรียกว่า "พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 2" และสุดท้ายถ้ายาวลงมาจรดพระหัตถ์ จะเรียกว่า "พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 3" ครับผม


390

เห็นบทความดีๆ เลยนำมาฝากกันครับ

ที่มา - ข่าวสด





สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้จะคุยกันถึงเครื่องรางของขลังกันต่อนะครับ เครื่องรางของขลังที่ผมจะพูดถึงนี้เป็นเครื่องรางรูปเสือ แต่ไม่ใช่ของ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาสนะครับ เนื่องจากได้เคยเขียนถึงมาแล้ว และในปัจจุบันเขี้ยวเสือแกะของหลวงพ่อปานนั้นหายากมากๆ ครับ สนนราคาเรือนแสนครับ วันนี้ผมจะพูดถึง เสือของหลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาสราชสงครามครับ ซึ่งเป็นเสือยุคกลางเก่ากลางใหม่ในปัจจุบันยังพอหาได้ครับ

เสือเนื้อโลหะของหลวงพ่อวงษ์นั้น ก็โด่งดังมากในด้านประสบการณ์เช่นเดียวกันครับ ในปัจจุบันเสือรุ่นแรกๆ นั้นก็มีราคาสูงพอสมควรครับและค่อนข้างหายากแล้วครับ หลวงพ่อวงษ์ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จึงทำให้ท่านต้องสร้างไว้หลายรุ่นก็ไม่ค่อยจะพอกับความต้องการของลูกศิษย์ครับ หลวงพ่อวงษ์ท่านจึงสร้างเสือไว้ถึง 6 รุ่นครับ

หลวงพ่อวงษ์ ท่านมีความเคารพเลื่อมใสในตัว หลวงพ่อปาน วัดคลองด่านมาก ท่านจึงสร้างเสือตามแบบฉบับของหลวงพ่อปาน แต่สร้างเป็นเสือเนื้อโลหะครับ เสือรุ่นแรกของท่านนั้นสร้างในปี พ.ศ. 2501 เนื่องจากหลวงพ่อวงษ์สร้างรูปเหมือนหลวงพ่อปาน จากนั้นทองฉนวนที่เหลือท่านจึงนำไปผสมปั๊มเป็นรูปเสือรุ่นแรก ออกมาเป็นเนื้อทองผสมทองเหลือง สร้างได้จำนวน 500 ตัว โดยตอกโค้ดตัวเฑาะว์ และตัวพุทเป็นอักษรขอมไว้ที่ด้านหลังเสือ โดยทำพิธีปลุกเสกที่ในพระอุโบสถ และมีการบวงสรวงอัญเชิญหลวงพ่อปานให้มาช่วยทำพิธีด้วย ว่ากันว่าการทำพิธีปลุกเสกนั้น ปลุกเสกจนเสือกระดุกกระดิกได้จึงเสร็จพิธีครับ

ต่อมาปรากฏว่าเสือหมดไปจากวัด และลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้เสือยังมีอีกมาก หลังจากนั้นอีก 3 ปี จึงทำพิธีสร้างเสือรุ่น 2 คือ ในปี พ.ศ. 2504 หลวงพ่อจึงสั่งให้ช่างปั๊มเสือแบบรุ่นแรกเป็นตัวอย่างแต่เปลี่ยนเป็นเนื้อทองแดง จำนวนประมาณ 1,000 ตัว ทำพิธีปลุกเสกที่ในพระ อุโบสถเช่นเดิม

ในปี 2508 หลวงพ่อจึงได้สร้างเสือรุ่น 3 ขึ้นอีก จำนวนประมาณ 2,500 ตัว เป็นเนื้อทองแดง ทำพิธีในพระอุโบสถเช่นเดิม มีประชาชนมาเช่าบูชาจนหมดอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อวงษ์ท่านจึงได้ให้สร้างอีกเป็นรุ่นที่ 4 เป็นเสือเนื้อทองเหลืองจำนวน 2,000 ตัว แต่ช่างทำให้ไม่ทันฤกษ์ เสร็จเพียง 1,200 ตัวเท่านั้น มีตอกโค้ดตัวอุ ที่ด้านหน้า และตอกตัวพุทที่ด้านหลัง ทำพิธีปลุกเสกในพระอุโบสถเช่นเดิมและออกให้เช่าบูชาในปี พ.ศ. 2512 เสือรุ่น 4 นี้ก็ประชาชนสนใจเช่าบูชาหมดไปอย่างรวดเร็ว

ในปี พ.ศ. 2514 หลวงพ่อจึงให้สร้างเสือรุ่นที่ 5 ขึ้นอีก โดยถอดจากเสือรุ่น 4 โดยวิธีการหล่อเนื้อทองเหลืองจำนวนประมาณ 5,000 ตัว โดยมีการตอกโค้ด 2 ตัว ที่ด้านหน้าตอกเป็นตัวอุ ที่ด้านหลังตอกเป็นตัว พุท คราวนี้ทำพิธีปลุกเสกที่พระวิหาร

ในปี พ.ศ. 2519 หลวงพ่อวงษ์ท่านได้ให้สร้างเสือรุ่น 6 ขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้าย โดยนำพิมพ์รุ่น 3 มาเป็นแบบ มีเนื้อทองแดงสร้างไว้ประมาณ 37,000 ตัว และเนื้อเงิน 29 ตัว แม่พิมพ์ก็แตกเสียก่อน เสือรุ่นนี้ได้ทำพิธีในพระอุโบสถเช่นเดิม ในขณะทำพิธีนั้นได้มีเสือกระโดดออกมาจากบาตร 16 ตัว บรรดาศิษย์ที่อยู่ในพิธีต่างแย่งกันชุลมุน เสือรุ่นนี้หลวงพ่อพระครูจันทร์โอภาสเจ้าอาวาสวัดคลองด่าน ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อวงษ์ได้ขอไป 2,000 ตัว ไปออกที่วัดคลองด่าน

หลวงพ่อวงษ์ท่านมรณภาพในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2523 ในปัจจุบันก็มีคนเสาะหาเสือของหลวงพ่อวงษ์กันมาก โดยเฉพาะเสือรุ่นแรกนั้นเริ่มหายาก และมีสนนราคาค่อนข้างสูงแล้ว แต่รุ่นอื่นๆ นั้นยังมีราคาหลักพันอยู่ครับ วันนี้ก็นำรูปเสือของหลวงพ่อวงษ์รุ่นแรกมาให้ชมกันครับ

391
ข่าวจาก - ไทยรัฐ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 13 เมษายน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบหลวงปู่แผ้ว ปวโร อายุ 85 ปี เกจิดังเมืองนครปฐม ซึ่งจำวัดอยู่อย่างเรียบง่ายที่กุฏิหลังใหม่ที่ลูกศิษย์พึ่งสร้างถวาย ตั้งอยู่ริมคลองท่าสารบางปลา ภายในวัดประชาราษฎร์บำรุง (รางหมัน)  ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยก่อนหน้านี้หลวงปู่แผ้วได้เข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันขึ้นสูงที่ รพ.จันทรุเบกษา โรงเรียนการบินกำแพงแสน จนอาการดีขึ้น และแพทย์อนุญาตให้ศิษย์นิมนต์กลับวัดได้ซึ่งหลวงปู่แผ้วกล่าวว่า มาอยู่ที่นี่เพื่อต้องการพักผ่อนตามสังขาร และอยากสร้างโบสถ์วัดรางหมันให้เสร็จ

...............................
จึงเรียนมาเพื่อทราบ

392



ประกาศสงกรานต์ปี พ.ศ. 2551

ปกติมาส ปกติวาร อธิกสุรทิน

สงกรานต์วันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน เวลา 18 นาฬิกา 55 นาที 48 วินาที

นางสงกรานต์ชื่อ ทุงสะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม แก้วปัทมราช เป็นอาภรณ์ ภักษาหารอุทุมพร พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมา บนหลังครุฑ

เถลิงศก จุลศักราช 1370

วันอังคาร ที่ 15 เมษายน เวลา 22 นาฬิกา 53 นาที 24 วินาที

เถลิงศก 2551 จุลศักราช 1370

มาสเกณฑ์ 16945 อวมาน 245

หรคุณ 500405 กัมมัชพล 37

อุจจพล 2056 ดิถี 10

วาร 3

กาลโยค เริ่มใช้ วันที่ 15 เมษายน

ศก 227 ธงไชย อธิบดี อุบาทว์ โลกาวินาศ

วัน 4 3 3 5

ยาม 7 6 6 2

ราศี 11 2 10 6

ดิถี 23 14 22 30

ฤกษ์ 14 23 13 6

เกณฑ์นาคให้น้ำ

ปีชวด นาคราชให้น้ำ 3 ตัว ฝนแรกปีน้อย กลางปีน้อย ปลายปีมากแล

เกณฑ์ธัญญาหาร

ชื่อ มัชฌิมา ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 1 ส่วน เสีย กึ่งหนึ่ง โภชนาหารเป็นมัธยม ประชาชนทั้งหลายจะคลายทุกข์ ได้สุขเป็นอนุมาน

เกณฑ์พิรุณศาสตร์

ปีนี้ อาทิตย์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า ตกในจักรวาล 160 ห่า

ตกในหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า


ที่มา - ข่าวสด

393
  เหตุที่ผมใช้ชื่อ "สิบทัศน์" เป็นเพราะว่า บ้านผมตั้งอยู่บนพื้นที่ "โคกยายหอม" หรือ "เนินพระ" อันเป็นต้นกำเนิดของ "พระพิมพ์สิบทัศน์ วัดดอนยายหอม"  ( สำนึกรักบ้านเกิด ) จึงขอนำประวัติมาเล่าสู่กันฟังโดยสังเขปครับ
   

   โคกยายหอม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากว่า "เนินพระ" ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิด "พระสิบทัศน์" ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ หลวงพ่อเงินท่านริเริ่มจะสร้างพระอุโบสถ วัดดอนยายหอม ท่านจึงไปขุดอิฐทำรากที่บริเวณ โคกยายหอม ก็บังเอิญ พบโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาอันล้ำค่ามากมาย อายุนับพันปี เช่น เสาหินแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่,รูปปั้นกวางเหลียวหลัง,เสมาธรรมจักร (ทั้งหมดนี้ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่วัดดอนยายหอม)   นอกจากนี้ ยังได้พบแม่พิมพ์พระเครื่อง มีพระพุทธรูป 10 องค์  อยู่ในแม่พิมพ์เดียวกัน  ต่อมาทางวัด ได้นำแม่พิมพ์นี้ไปพิมพ์พระเครื่องสำหรับแจก แล้วขนานนามพระเครื่องนั้นว่า "พระสิบทัศน์" มาจนบัดนี้

   พระสิบทัศน์นี้ จัดอยู่ในพระเครื่องชุดแรกๆที่หลวงพ่อเงิน ท่านได้สร้างเอาไว้เพื่อ แจกแก่ชาวบ้านที่มาร่วมสรางพระอุโบสถ วัดดอนยายหอม ( ประมาณ พ.ศ 2480 ) เริ่มแรก สร้างได้ราว 100 องค์ สำหรับแจกแก่ผู่ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ช่วยเหลือวัดในการสร้างพระอุโบสถ
   ในระยะเวลาเดียวกันนั้น มีผู้นำแท่งเงินที่ขุดเจอ มาถวายหลวงพ่อเงิน คณะกรรมการวัดจึงได้นำไปใช้ทำพระชนิดต่างๆ รวมถึงพระสิบทัศน์ด้วย 

   ต่อมา ราวๆปี พ.ศ.2496 ทางวัดจะจัดสร้างโรงเรียนประชาบาล ตามเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ และต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อที่ดิน ( 3 ไรเศษ ตารางวาละ 130 บาท เป็นเงิน 175,550 บาท ) ทางวัดได้สร้างพระสิบทัศน์ ( มีทั้งเนื้อดิน และเนื้อโลหะ แจกแก่ผู้มาร่วมการกุศลตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นไป พระอื่นๆก็กำหนดมูลค่าลดหลั่นกันไป เข้าใจว่าถือขนาดพระ )และพระเครื่องอื่นๆ

ราวๆปี พ.ศ.2505 ทางวัดได้สร้างพระสิบทัศฯขึ้นอีกคราวหนึ่ง เป็นเนื้อโลหะ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ คุณนายริ้ว กรรณสูตร ได้นำใบจักรของเรือรบหลวงศรีอยุธยา มาถวายหลวงพ่อเงิน ( เพื่อเป็นการแทนคุณ ที่หลวงพ่อเงินช่วยกู้เรือรบหลวงศรีอยุธยา ที่ถูกระเบิดจมลงในแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าวัดอรุณราชวราราม คราวกบฏแมนฮัตตันที่กรุงเทพฯ ) เพื่อจะหล่อเป็นระฆัง เมื่อหล่อระฆังเสร็จแล้ว ยังเหลือเนื้อโลหะอยู่อีกส่วนหนึ่ง หลวงพ่อเงินจึงได้นำมาสร้างพระเครื่อง ( รวมถึงพระพิมพ์สิบทัศน์ด้วยส่วนหนึ่ง ) น้อยท่านนักที่จะทราบเรื่องนี้

   พ.ศ.2512 เป็นปีที่มีเสาร์5 ประกอบกับลายรดน้ำและหน้าบรรพ์โบสถ์ของวัดทรุดโทรม คณะกรรมการวัดจึงมีมติสร้าง พระสิบทัศน์ แต่หลวงพ่อเกรงว่าจะเป็นการฉวยโอกาส ท่านจึงไม่เห็นด้วย แต่ด้วยความจำเป็นและทนต่อคำเรียกร้องของลูกศิษย์ไม่ไหว ท่านจึงอนุญาตืให้จัดสร้างขึ้น มีพระสิบทัศน์และพระพุทธรูปบูชา   พระสิบทัศน์ มี 3 แบบ จัดทำอย่างละ 10,000 องค์ พระบูชา จำนวน 200 องค์ ) นอกจากนี้ยังมีพระผงจากอินเดียจำนวนหนึ่งด้วย 
   พระที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2512 นี้ กล่าวกันว่า เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวัดดอนยายหอมเลยทีเดียว ปลุกเสกโดยคณะสงฆ์วัดดอนยายหอม (หลวงพ่อเงิน,หลวงพ่อแช่ม,หลวงพ่ออวยพร) สมกับคำที่ว่า "ชาติเสือ ไม่ขอเนื้อใครกิน"

   9 มีนาคม พ.ศ. 2517 ทางวัดได้สร้างพระเครื่องขึ้น ในงานทำบุญอายุ 84 ปี ( 7 รอบ ) พระราชธรรมาภรณ์ ทางวัดได้จัดสร้างพระสิบทัศน์ด้วย มีทั้งเนื้อดินผสมผงใบลานเผา และเนื้อผงพุทธคุณสีขาว อีกวาระหนึ่ง

   เมื่อหลวงพ่อเงินถึงกาลมรณะภาพไป หลวงพ่อแช่ม ก็ได้สานต่อวิชาที่หลวงพ่อเงินได้ฝากฝังไว้ หลวงพ่อแช่ม ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้มากมาย 1 ในนั้น ก็มีพระพิมพ์สิบทัศน์ด้วย
   ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ หลวงพ่อเงินและหลวงพ่อแช่ม ได้ละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้สืบสานต่อวิชาของหลวงพ่อเงินไว้ได้เป็นอย่างดี คือ หลวงพ่อประพันธ์ ( เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ) และ หลวงพ่ออวยพร ( รองเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม )  ท่านก็ได้สร้าง พระสิบทัศน์ สืบต่อมา ตำนาน "สิบทัศน์" จึงได้เล่าขานมาสู่ทุกวันนี้

   


คติธรรม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
"จิตหาญ ใจพ้นทุกข์ สุขด้วยธรรม"
"รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน"

394





ฮือฮาพระศพไม่เน่า-แข็งคล้ายหิน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ที่วัดใหม่บำเพ็ญผล (วัดท่าแห) ม.8 ต.ดงละคร อ.เมืองนครนายก มีอดีตเจ้าอาวาสวัดที่มรณภาพไปนานแล้วกว่า 10 ปี แต่ลูกศิษย์ยังเก็บร่างไว้ในโลงแก้ว พอเปิดออกมาดูอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนจีวรให้ใหม่ ก็พบว่าร่างของหลวงพ่อกลายเป็นหิน สร้างความแปลกใจให้กับลูกศิษย์ทุกคน จึงได้รีบเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง

เมื่อไปถึงผู้สื่อข่าวได้พบกับพระสำเนียง สุขธัมโม อายุ 74 ปี พระลูกวัดและเป็นบุตรชายของหลวงพ่อแดง อภิโชโต พระเกจิดังสายเมตตา ที่ได้มรณภาพไปแล้ว แต่มีการเก็บรักษาร่างไว้ จากนั้นพระสำเนียงนำผู้สื่อข่าวไปยังศาลาการเปรียญที่เก็บร่างของหลวงพ่อ แดงเอาไว้ในโลงแก้ว ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่เดินเข้าออกกราบไหว้ศพเป็นระยะ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ศพของหลวงพ่อแดงที่นอนอยู่ในโลงแก้ว มีลักษณะประหลาด ผมงอกออกมาใหม่เหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ลักษณะของเส้นผมเป็นสีน้ำตาลยาวประมาณ 3 ซ.ม. และมีหนวดงอกออกมาบ้างเล็กน้อย เมื่อชาวบ้านช่วยกันอุ้มร่างของหลวงพ่อแดงออกมา ก็พบว่าเนื้อที่แห้งหุ้มกระดูกนั้น มีลักษณะแข็งเป็นหิน ลองเคาะดูมีเสียงเหมือนเคาะไม้ไผ่ น้ำหนักตัวประมาณ 30 ก.ก. เล็บมือกับเล็บเท้าถอดหมดแล้ว ส่วนอวัยวะอื่นๆ อยู่ครบ และไม่มีกลิ่นของศพแต่อย่างใด

พระสำเนียง เปิดเผยว่า หลวงพ่อแดงบวชเรียนที่วัดใหม่บำเพ็ญผล (วัดท่าแห) เมื่อปี พ.ศ.2501 เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นพระนักพัฒนา และเป็นพระที่มีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้อื่น เวลาต่อมาได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดดงข่า อ.ปากพลี จ.นครนายก อยู่ประมาณ 10 ปี

จากนั้นย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะกา อ.ปากพลี ระยะหนึ่ง ช่วงบั้นปลายของชีวิตได้ย้ายกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่บำเพ็ญผลจนกระทั่ง มรณภาพไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2536 ที่ร.พ.นครนายก ด้วยโรคตับทับถุงน้ำดี ท่ามกลางความเสียใจของญาติพี่น้องและลูกศิษย์ทุกคน ในขณะที่มีอายุได้ 86 ปี

สำหรับหลวงพ่อแดง อภิโชโต เป็นพระเกจิอีกรูปหนึ่งสายเมตตา เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มุ้ย เจ้าอาวาสวัดท้าวอู่ทอง ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพระเกจิชื่อดังสายเมตตา ก่อนมรณภาพเคยบอกกับลูกศิษย์ว่าร่างกายของหลวงพ่อจะไม่เน่าเปื่อย และขอให้อย่าได้เอาร่างของท่านไปเผาอย่างเด็ดขาด

ขอรอให้ร่างหลวงพ่อมีอายุครบ 108 ปีก่อน แล้วร่างกายของหลวงพ่อก็จะสลายเอง ซึ่งทั้งญาติพี่น้องและลูกศิษย์ต่างก็เฉยๆ คิดว่าท่านพูดเล่นๆ จากนั้นไม่นานหลวงพ่อได้มรณภาพ และก็ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดท่าแหแห่งนี้จนครบ 6 เดือน

พอเปิดฝาโลงออกเพื่อจะนำร่างออกมาทำพิธีฌาปนกิจศพ ก็ต้องพบกับความแปลกใจว่าร่างกายของหลวงพ่อแดงไม่เน่าเปื่อยและไม่มีน้ำ เหลืองไหลเยิ้มแม้แต่น้อย ญาติพี่น้องและลูกศิษย์จึงนำร่างใส่เอาไว้ในโลงแก้ว จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมอายุของหลวงพ่อแดงได้ 101 ปี ซึ่งก็จะต้องเก็บร่างเอาไว้ให้ครบ 108 ปี ซึ่งเหลืออีกเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น บรรดาลูกศิษย์ต่างอยากรู้ว่าร่างของหลวงพ่อแดงจะสลายตัวเอง ตามที่บอกไว้จริงหรือไม่

ที่มา -- ข่าวสด
..............................................................................................................

เมื่อซักครู่ที่ผ่านมา ผมนั่งชมรายการเดอะโชว์เมจิก จากที่สังเกตดู สังขารของหลวงพ่อแดง แห้ง มีเส้นผมและหนวดเครางอกออกมา และที่ฮือฮา ก็ตอนที่พระลูกวัด เคาะสังขารของหลวงพ่อแดง ดังโป๊กๆๆๆๆ ดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยครับ สุดยอดจริงๆ  :054:

395
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด  31 มีนาคม พ.ศ. 2551

ต้องมีพิธี ล้างอาคม ศพจึงไหม้ คนตะลึง





ศพไม่ไหม้- ศิษย์แห่ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพครูบาผัด วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่ พบมหัศจรรย์ศพไม่ไหม้ชาวบ้านเชื่อเพราะอิทธิฤทธิ์ตะกรุดกาสะท้อน ครูบาน้อยศิษย์เอกต้องทำพิธีล้างอาคม ศพจึงไหม้จนหมด

 
ศิษยานุศิษย์กว่าครึ่งแสนร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ"ครูบาผัด" เกจิอาจารย์ล้านนา ต้นตำรับตะกรุดกาสะท้อน ฮือฮารอบๆวัดฝนตกหนักแต่บริเวณพิธีลมพัดเย็นสบายไม่มีฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะที่ช่วงเผาศพทั้งปราสาทและโลงต่างไหม้ไฟหมด ทว่าสังขารครูบาผัดกลับไม่ไหม้ไฟ "ครูบาน้อย"ศิษย์เอกต้องนั่งอธิษฐานจิตล้างอาคมพระอาจารย์ จากนั้นไฟจึงเผาสรีระครูบาผัดจนหมดเป็นที่อัศจรรย์แก่ลูกศิษย์จนต้องก้มกราบ พร้อมกับเปล่ง"สาธุ"ดังกระหึ่ม

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 30 มี.ค.ที่เมรุชั่วคราวบริเวณลานอเนกประสงค์เจดีย์ 9 คณาจารย์ วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ มีพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูพิศิษฏ์สังฆการ หรือครูบาผัด ผุสฺสิตธมฺโม เกจิอาจารย์ชื่อดังล้านนา เจ้าตำรับตะกรุดกาสะท้อน โดยมีนายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ประธานฝ่ายฆราวาส เป็นผู้อัญเชิญผ้าไตรพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 5 ผืน และอัญเชิญไฟหลวงพระราชทานเข้าประกอบพิธี ฝ่ายสงฆ์มีพระเทพวิสุทธิคุณ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิธีพระราชทานเพลิงศพครูบาผัดครั้งนี้มีประชาชนและศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศมาร่วมพิธีกว่าครึ่งแสนคน ทำให้บริเวณเมรุชั่วคราวพื้นที่กว่า 30 ไร่แคบลงไปถนัดตา โดยช่วงทำพิธีเพื่ออัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและไฟหลวงพระราชทานนั้น เกิดลมพายุพัดตลอดเวลา ขณะเดียวกันรอบๆ วัดศรีดอนมูลเกิดพายุและฝนตกอย่างหนัก แต่บริเวณพิธีพระราชทานเพลิงศพครูบาผัดกลับไม่มีฝนมีแต่ลมพัดสร้างความเย็นสบายแก่ผู้มาร่วมพิธีเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ทุกคนต่างยกมือท่วมหัวสาธุ เพราะเชื่อว่าเป็นบุญญาบารมีของครูผาผัด

หลังเสร็จพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและไฟหลวงพระราชทานแล้ว พระสงฆ์ ประชาชนและศิษยานุศิษย์ร่วมกันวางดอกไม้จันทน์ จากนั้นพระราชทานเพลิงโดยใช้พลุและดอกไม้ไฟนานาชนิดตามประเพณีแบบโบราณเพื่อเผาทั้งปราสาทนกหัสดีลิงค์ โดยมีรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลชมภู คอยดูแลไม่ให้เพลิงลุกลามจำนวน 5 คัน

ทั้งนี้ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ปราสาทนกหัสดีลิงค์และลามไหม้โลงศพแก้วบรรจุสังขารครูบาผัดจนเป็นจุณไปในพริบตา ปรากฏว่าสรีระของครูบาผัดที่นอนสงบอยู่ในโลงแก้วกลับไม่ไหม้ไฟทั้งที่เปลวเพลิงลุกโหมรุนแรงตลอดเวลา ประชาชนและศิษยานุศิษย์ที่เฝ้าดูต่างฮือฮาและพากันก้มลงกราบพร้อมกับเปล่งคำว่า "สาธุ" ดังกระหึ่ม กระทั่งไฟได้ไหม้ปราสาทนกหัสดีลิงค์และโลง ศพจนหมดแล้วแต่กลับเหลือสรีระของครูบาผัดนอนทอดยาวบนกองเพลิงไม่ได้ไหม้ไฟไปด้วย

จากนั้นคณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์จึงร้องขอให้พระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อย เตชปัญโญ ศิษย์เอกครูบาผัด นั่งอธิษฐานจิตเพื่อล้างอาคมในตัวครูบาผัดให้หมดสิ้นไปเพื่อไฟพระราชทานจะได้ไหม้ส่งดวงวิญญาณไปสู่สัมปรายภพ เมื่อครูบาน้อยนั่งจิตอธิษฐานเพลิงก็ค่อยๆไหม้สรีระครูบาผัดไปเรื่อยๆ จนหมดเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้อยู่ร่วมงานหลายหมื่นคน

นายภัทร กองคำ คณะกรรมการวัดศรีดอนมูล เปิดเผยว่า สาเหตุที่สรีระของครูบาผัดไม่ไหม้ไฟนั้น น่าเชื่อว่าเป็นเพราะวิชาอาคมในตัวของครูบาผัดยังล้างออกไปไม่หมด ตอนที่ครูบาผัดมรณภาพทางครูบาน้อย ศิษย์เอกก็ได้นำน้ำสมป่อยล้างวิชาอาคมออกจากตัวครูบาผัดแล้วครั้งหนึ่ง คาดว่ายังคงมีวิชาอาคมบางส่วนยังล้างไม่ออก โดยเฉพาะวิชาตะกรุดกาสะท้อนที่แรงกล้าติดตัวท่าน


396
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 มีนาคม 2551 คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง  โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์



การจะตัดสินใจจะเช่าบูชาพระเครื่องเก่าแก่สักหนึ่งองค์ ยิ่งถ้ามูลค่าสูงๆ ด้วยแล้ว คงต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังว่าเป็นพระเก๊บ้าง พระซ่อมบ้าง โดยเฉพาะพระเครื่องที่มีอายุยาวนานมากๆ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่องค์พระอาจเกิดการแตกหักหรือชำรุด ซึ่งจะทำให้มูลค่าลดลงไปตามส่วน "พันธุ์แท้พระเครื่อง" จึงขอนำ "แนวทางการพิจารณาพระซ่อม-พระตกแต่ง" มาให้เรียนรู้กันพอสังเขปจะได้ไม่โดนหลอกง่ายๆ ครับผม

การซ่อมพระในวงการพระเครื่อง พระบูชา เริ่มมีเป็นอาชีพมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2490 ต่อมาแพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการพัฒนาถึงขั้นดูไม่ออกเลยว่า เป็นพระที่ผ่านการซ่อมมาแล้วก็มี ขนาดเอากล้องส่องยังไม่พบร่องรอยการซ่อมว่าอยู่ตรงไหน จะรู้กันเพียงเจ้าของพระกับช่างซ่อมเท่านั้น ยิ่งในกรณีที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ยังไม่มีการชำระค่าเช่าบูชาแก่เจ้าของพระ ยิ่งเป็นการลำบากที่จะนำพระมาล้าง เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับเจ้าของพระได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นพระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่มีคุณค่าสูง มูลค่าสูง และหายากด้วยแล้ว
 


ข้อแนะนำประการแรกคือ ให้นำองค์พระไปที่ "แผนกรังสีวิทยา" ของโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง เพื่อให้ทำการ "เอกซเรย์" เพราะรอยหักรอยซ่อมจะปรากฏชัดขึ้นตามฟิล์ม อันเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าพระหักเป็นสองชิ้น ถึงแม้จะซ่อมยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ ด้วยอายุขัยของเนื้อมวลสารและรอยประสานที่แตกต่างกัน และกลายเป็นหลักปฏิบัติมาถึงปัจจุบัน แต่ในบางกรณีที่องค์พระเกิดการกะเทาะ ช่างซ่อมจะตกแต่งให้สมบูรณ์ขึ้น อันนี้ ถ้าช่างฝีมือเยี่ยมจริงๆ จะดูได้ยากมาก ถ้านำพระไปเอกซเรย์ตามปกติคือวางพระในแนวราบธรรมดา เพราะฉะนั้นจะต้องวางองค์พระในแนวตะแคงทำมุม 15 องศา จึงจะสังเกตเห็นได้ อีกวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบพระซ่อม โดยเฉพาะพระสมเด็จ คือ ให้นำ "เมทิลแอลกอฮอล์" ใส่สำลีแล้วเช็ด 2-3 ครั้ง ที่องค์พระ รอยซ่อมก็จะปรากฏ

พระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น พระสมเด็จวัดระฆังฯ จะทำการซ่อมและตกแต่งยากกว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เพราะเป็นพระที่ไม่ได้ผ่านการบรรจุกรุ จึงไม่มีคราบกรุที่จะอำพรางรอยซ่อมได้ แต่สำหรับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมมักจะมีคราบกรุจับ ช่างเก่งๆ บางคนสามารถทำการ "ย้ายคราบกรุ" มาปิดตรงบริเวณที่ซ่อมเพื่อเป็นการอำพราง ไม่ว่าจะเป็นพระแท้ที่หักเป็น 2 ส่วน พระแท้หักครึ่ง 2 องค์ แม้กระทั่งพระแท้ครึ่งองค์กับพระเทียมครึ่งองค์ก็มี จนในวงการมักมีคำล้อกันว่า "ซื้อองค์เดียวได้สององค์" พระที่ถูกซ่อมในลักษณะเช่นนี้ ให้พิจารณา "ซุ้มครอบแก้ว" ว่าบรรจบเหลื่อมล้ำกันหรือไม่ ดูแผ่นหลัง รอยตัดข้าง สีผิวขององค์พระว่ามีความแปลกแตกต่างกันไหม ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความละเอียดรอบคอบอย่างสูง

จึงขอแนะนำวิธีง่ายๆ แต่ค่อนข้างพิสูจน์ได้ คือ นำองค์พระไปตรวจสอบกลางแดด เอียงองค์พระในลักษณะ 45 องศา ให้สะท้อนกับแสงแดด กระดกองค์พระไปมา ถ้าเป็นพระที่ไม่มีการซ่อมจะมีผิวด้านเสมอกัน แต่หากบริเวณใดมีการซ่อมจะปรากฏความมันสะท้อนแตกต่างจากจุดอื่น ให้ตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า น่าจะเป็นพระที่ผ่านการซ่อมมา แต่ระวังอย่ากระดกแรงไป เดี๋ยวหลุดมือขึ้นมา..เรื่องใหญ่ครับผม


....................................................................................
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แกพี่น้องชาวบางพระนะครับ

397
ขอเชิญร่วมงานประจำปี ปิดทองหลวงพ่อแดง ,หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง ,หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร ,พระอาจารย์ดาว วัดเกาะวังไทร
ระหว่างวันที่ 21 - 25 มีนาคม 2551? มหรสพฟรีตลอดงาน พร้อมกับ เชิญบูชา วัตถุมงคล ของ หลวงพ่อเต้า ตั้งแต่ ปีพ.ศ.2496? รายได้ นำไปสร้างวิหาร ประดิษฐานสังขารหลวงพ่อเต้า สนใจก็เชิญได้ที่วัดเกาะวังไทร เลยนะครับ ( มีแจกตะกรุดคาดเอว หลวงปู่แผ้ว วัดกำแพงแสนด้วยนะครับ ผมเพิ่งไปรับมา )


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

398
ข่าวฝากจากวัดป้อมแก้ว

กำหนดการ

พิธีทำบุญอายุวัฒนะมงคล ครบ ๘๑ ปี

พระครูประโชติธรรมวิจิตร

(หลวงพ่อเพิ่ม อตฺตทีโป)

เจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางไทร
วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๑ (ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน๔)
...................................................................

เวลา ๐๙.๓๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ สวดมาติกา บังสุกุล รับทักษิณานุปทาน

บำเพ็ญกุศลอุทิศอดีตเจ้าอาวาสและผู้มีพระคุณต่อวัดป้อมแก้ว

เวลา ๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวน ๒๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์

เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษู สามเณร จำนวน ๑๐๐ รูป

เวลา ๑๒.๐๐ น. พิธีถวาย น้ำสรงแด่หลวงพ่อเพิ่ม

เสร็จแล้วเชิญผู้ร่วมพิธี รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน

................................................................


ขอเชิญศิษยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือทุกท่าน

ร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกับ


อันที่จริงแล้ววัดป้อมแก้วกับวัดพระขาว (หลวงปู่ทิม) ก็เหมือนวัดพี่ วัดน้อง ทางเข้าวัดก็อยู่ตรงข้ามกัน มีงานการครั้งใดก็ถึงกัน งานนี้พระสงฆ์ มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์ก็ล้วนแล้วแต่ระดับสุดยอดพระดีศรีอยุธยาทั้ง ๒๐ รูป หนึ่งในนั้นที่ขาดไม่ได้ ก็คือพระเดชพระคุณหลวงปู่ทิม วัดพระขาว แล้วก็ยังมี หลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน เรียกว่างานชุมนุมสุดยอดเกจิยิ่งกว่างานพุทธาภิเษกเสียอีก

เรียนเชิญทุกท่านนะครับ โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ที่สำคัญหลวงพ่อเพิ่มท่านเป็นพระดีมาก มากครับ น่านับถือจริงๆ กราบได้อย่างสนิทใจ ลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธาท่านจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ สมดังมงคลนามของท่าน และเป็นสุดยอดพระดีศรีอยุธยา อีกรูปหนึ่ง


.....................................................

วัดป้อมแก้ว

ต.บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา

โทร. (๐๓๕) ๓๐๗ ๕๘๗ .. (๐๓๕) ๒๙๐ ๖๙๗

โทร.สอบถามเส้นทางได้นะครับ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

399
หายหน้ากันไปซะนานเลยนะครับ พี่น้องชาว บางพระทุกท่าน พอดีเกิดปัญหานิดหน่อยครับ ช่วงที่ไม่อยู่เลยตระเวนไปทำบุญ หาของฝากยกใหญ่  กะว่าจะเอาไปแจก วันครอบครู หลวงพี่ติ่ง 20 มีนาคม 2551  ใครเจอผมก็ทวงของรอรับกันได้เลยนะครับ
เข้าไปหาหลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอมมาครับ เลยขอพระของท่านมาแจกกัน ดังนี้
พระพิมพ์สิบทัศน์ หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม เนื้อดินผสมผงใบลาน หลังจารเปียก 1 องค์ ( ได้มา 2 องค์ ตั้งใจถวายหลวงพี่แป๊ว ท่านไปองค์นึง)
พระพิมพ์เข่าลอย หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม เนื้อดินผสมผงใบลาน หลังจารเปียก 9 องค์
พิเศษสุดๆ กับแผ่นจาร ลายมือ หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม (ผมขอให้ท่านลง โภคทรัพย์ ไว้นะครับ) แผ่นจารนี้ ผมขอมอบให้กับท่านแรกที่เจอผมนะครับ มีชิ้นเดียวครับ

แล้วเจอกันนะครับทุกๆท่าน (หาตัวไม่ยากส์ครับเด๋วใกล้ๆแล้วจะเข้ามาบอกรายละเอียดอีกที)

...................................................................................................................................
อ่อ เกือบลืม สำหรับท่านโจรสลัด เดี๊ยวผมจะล็อคของไว้ให้นะครับ ไม่ต้องห่วง ครับ

400
ขอเชิญร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี
ณ วัดป่าสามัคคี เมืองคิลลีน มณรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
งานฉลองครบรอบ 14 ปี และประเพณีสงกรานต์
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 26-27 เมษายน 2551
เวลา 13.00น.
นำโดย
พระครูสังฆรักษ์อวยพร วัดดอนยายหอม
ออกเดินทาง วันพุธ ที่ 23 เมษายน 2551 ( เวลา 12.00น.)


ไปวัดดอนยายหอมมาอ่ะครับ เห็นขึ้นป้ายที่หน้ากุฏิ อ.พร เลยเก็บมาฝาก ใครสนใจไปก็ออกทุนตามกันไปเองนะครับ สาธุ

401
สิ้น"หลวงปู่สุธีร์" พระราชมงคลวุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ที่ร.พ.บำรุงราษฎร์ สิริอายุ 90 ปี 70 พรรษา ท่ามกลางความเศร้าสลดของศิษยานุศิษย์ กำหนดพิธีน้ำหลวงสรงศพ 17.00 น. วันที่ 10 มี.ค. ที่วัดโสธร วราราม วรวิหาร

พุทธศาสนิกชนสูญเสียพระผู้ใหญ่ไปอีกรูป เมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายสินชัย ผดุงเจริญ เลขานุการพระราชมงคลวุฒาจารย์ (สุธีร์ ทองบูรณะ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจ.ฉะเชิงเทรา อดีตเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือวัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า พระราชมงคลวุฒาจารย์ มรณภาพด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อเวลา 22.54 น. วันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ร.พ.บำรุง ราษฎร์ สิริอายุ 90 ปี 1 เดือน 29 วัน รวม 70 พรรษา

เลขานุการอดีตเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามฯ กล่าวต่อว่า พระราชมงคลวุฒาจารย์เข้ารักษาตัวที่ร.พ.บำรุงราษฎร์ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการอาพาธประจำตัว ถุงลมโป่งพอง โดยเริ่มอาพาธมาหลายปีแล้ว คณะลูกศิษย์หารือกันแล้วจะเคลื่อนศพมาบำเพ็ญกุศลที่หอฉันวัดโสธรวรารามวรวิหาร วันที่ 10 มี.ค. จากนั้นเวลา 17.00 น.ทำพิธีน้ำหลวงสรงศพ ส่วนการจัดการพิธีศพและวันพระราชทานเพลิงจะประชุมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดวันต่อไป

สำหรับประวัติพระราชมงคลวุฒาจารย์ เดิมชื่อสุธีร์ ทองบูรณะ เกิดเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2461 เป็นชาวต.เปร็ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อนายรอด ทองบูรณะ มารดาชื่อนางเทียบ ทองบูรณะ บรรพชาเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2477 ที่วัดสุคันธศีลาราม ต.บางเกลือ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา มี พระอาจารย์บุญ ปุญญโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2482 ที่วัดทองนพคุณ แขวงและเขตคลองสาน กรุงเทพฯ มีพระเทพวิมล เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2482 สอบได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดทองนพคุณ พ.ศ.2490 สอบได้ป.ธ.4 สำนักเรียนวัดอนงคาราม พ.ศ.2502 เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พ.ศ.2511 เป็นรองเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร พ.ศ.2511 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา พ.ศ.2532 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ.2540 เป็นพระพุทธิรังสี พ.ศ.2541 เป็นพระราชมงคลวุฒาจารย์ พ.ศ.2547 มหาเถรสมาคมมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เนื่องจากชราภาพ และวัดเกิดปัญหาหลายๆ เรื่อง

พระราชมงคลวุฒาจารย์ เป็นพระสงฆ์ที่ได้รับความเคารพศรัทธาเลื่อมใสจากศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ ด้วยวัตรปฏิบัติยึดสายกลาง สมถะ ไม่ยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง สร้างคุณประโยชน์ต่อวงการสงฆ์และศาสนามาตลอดตราบจนวาระสุดท้าย
....................................
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าสด

402
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2551
เมื่อเวลา 00.15 น. วันที่29 กพ. พ.ต.ต. วินัย โห้เหรียญ สารวัตรเวร สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งมีคนถูกแทงที่หน้าหอพักคนงาน ภายในซอยสุขุมวิท พัทยา 81 หมู่10 ต.หนองปรือ รุดไปตรวจสอบพบกองเลือด ส่วนผู้บาดเจ็บเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาลบางละมุง ทราบชื่อ นายประเสริฐ มากกลาง อายุ 37 ปี หน.ฝ่ายคลังกระเบื้องบริษัทซีเมนต์ไทยโฮมมาร์ทพัทยา มีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมตามลำตัวและต้นคอ รวม 8 แผล ส่วนมือมีดตำรวจตามจับกุมได้ในเวลาต่อมา ทราบชื่อนายสมาน นพสกุล อายุ 38 ปี พนักงานขับรถส่งสินค้าบริษัทเดียวกัน สอบปากคำให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนั่งดื่มสุรากัยเพื่อนคนหนึ่ง แล้วมีปากเสียงทะเลาะกับนายประเสริฐที่เดินผ่านมา แต่ไม่มีอะไรรุนแรง หลังแยกย้ายกันกลับหอพัก ปรากฏว่านายประเสริฐยังไม่หายโกรธบุกมาที่หอพักหมายจะทำร้าย จึงคว้ามีดหมอลงอักขระยันต์ของหลวงพ่อเปิ่นที่วางไว้บนหิ้งพระออกมาเป็นอาวุธกระหน่ำแทงนายประเสริฐเสียชีวิต

403
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด  ( http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREF4TURNMU1RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdNeTB3TVE9PQ==)


พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ

 
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระประธานคู่บ้านคู่เมืองปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 48.3 เซนติเมตร สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร 66 เซนติเมตร ประดิษ ฐานอยู่ในบุษบกทองคำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดา ราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอรวบรวมได้ว่าองค์พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในประมาณปี พ.ศ.500 โดยพระนาคเสนเถระ เมืองปาฏลีบุตร อินเดีย เข้ามาสู่ดินแดนของไทยครั้งแรกในอาณาจักรอโยธยา

จากนั้นอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วเมืองชากังราว หรือกำแพงเพชร จากกำแพงเพชรได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วเชียงรายเป็นเวลา 45 ปี จากนั้นก็อัญเชิญลงมาประดิษฐานที่ลำปางอีก 32 ปี จากลำปางอัญเชิญขึ้นเหนือไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา 85 ปี

จากเชียงใหม่ไปประดิษฐานที่เมืองเวียงจันทน์ 225 ปี แต่เก่าก่อนตอนปลายสมัยอยุธยา เมืองเวียงจันทน์ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยามีศึกหนักกับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ทางเวียงจันทน์ถือโอกาสแข็งเมืองแยกตัวเป็นอิสระ
 


จนกระทั่งพระเจ้าตากกอบกู้เอกราชได้และตั้งราชธานีใหม่ จึงได้ส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเมืองเวียงจันทน์ให้กลับมาเป็นเมืองขึ้นเหมือนเดิม ศึกครั้งนั้นทัพของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด ก่อนได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับคืนสู่แผ่นดินไทย

ครั้งแรกเมื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมายังประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วิหารน้อยวัดอรุณราชวราราม ประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณฯ เป็นเวลา 5 ปี

เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเมื่อชนะศึกเมืองเวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาก็เกิดความยินดี ดั่งว่าพระแก้วมรกตเป็นพระคู่บารมีคู่บ้านคู่เมือง ครั้นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จ และได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่มีชื่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์

รวมระยะเวลาที่องค์พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ.2321 จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 227 ปี

พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชาสำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน

เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประ ดับด้วยเพชร เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทอง คำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ

บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ 1 เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยไม่มีเมาฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป

หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 องค์ ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้ง 2 พระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง 3 เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิหุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองไทย ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอยู่ไม่ขาดสาย

404
                                                                                           
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ( http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday02&content=79148 )
ความศรัทธา...เป็น พลังของความเชื่อถือ และยึดมั่นต่อสิ่งนั้นๆอย่างมีสติ มิใช่มากล้นจนหลงใหล แต่อาจมีการเปลี่ยนในปริมาณได้บางเวลา คือ อาจเพิ่มพูน หรือเสื่อมสลายลงเมื่อใดก็ได้...โดยไม่มีกำหนดวาระและกฎเกณฑ์

นาวาอากาศตรี ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มีความสามารถ เก่งกาจจนได้รับการบันทึกว่าเป็น ซุปเปอร์สตาร์ ดาราเอเชีย...ทั้งเพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลมี ความเชื่อมั่นศรัทธากับตัวเขาในทักษะของเกม

...แต่ในบางลีลา ตัวเขาเองกลับศรัทธาต่อเครื่องรางของขลัง ด้วยเพิ่มความมั่นใจว่า ช่วยให้สิ่งต่างๆเกิดความสำเร็จได้ เหนือจากความสามารถของตนเอง

O O O

ดาวซัลโวลูกหนัง...เกิดความมั่นใจว่า ตะกรุด ของ หลวงพ่อยงยุทธ วัดไผ่เลี้ยง มีพลังส่งผลให้มีสิ่งดีๆเข้ามาในวิถี...

อย่างเช่น...หน้าที่การงานราบรื่น การเงินหมุนเวียนดี บ่อยครั้งที่ได้รับเม็ดเงินก้อนโตๆ มีผู้ใหญ่คอยค้ำชูอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งงานเขียนหนังสือ “เคล็ดลับการเล่นฟุตบอล” ก็มีการตอบรับจากนักอ่านเป็นอย่างดี

และยังได้รับการ ทาบทามจากโทรทัศน์หลายช่องให้ดำเนินการเป็นพิธีกรร่วม พากย์กีฬาฟุตบอล เมื่อไม่นานมานี้ได้เดินทางไปดูงานสำนักลูกหนัง เบคแคม อะคาเดมี่...ก็ยัง พกตะกรุดไปด้วย

O O O

ตะกรุดชุดนี้มี 4 ดอก 4 สีสดสวย...ซึ่ง เป็นได้ทั้งเครื่องรางของขลัง และ เครื่องประดับ ไปในตัว

...ตะกรุดสีเงิน กับ สีทอง อย่างละดอก มีชื่อรวมกันว่า “ตะกรุดรับเงินรับทอง” ภายในบรรจุผงแร่เงินล้าน ผงต้นเศรษฐี และว่านเงินไหลมา ประจุคาถาเงินล้านเสริมพลัง ในการค้าขายและการทำงานเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินเงินทอง

อีกดอกเป็น สีแดง ภายในอุดด้วย แป้งขุนแผน ว่านสาวหลงผงพิศวาส โดยรวมเอาทั้งกิ่ง ใบ รากและต้นสวาทมาบดรวมกัน แล้วประจุพลังคาถาเมตตามหานิยม เรียกตะกรุดดอกนี้ว่า “มหาเสน่ห์”

และ สีดำ...ภายในอุดด้วย ผงเหล็กไหลพันปี และมวลสารมหามงคล 299 ชนิด แล้วประจุคาถาแคล้วคลาด เรียกว่า ตะกรุดธาตุดินมหายงยุทธ

ซึ่งนอกจากจะเข้าพิธีกรรมโบราณแล้ว ยังผ่านกรรมวิธีไฮเทค ตอกโค้ดด้วยเลเซอร์ทุกดอก...

...เมื่อแล้วเสร็จ นำจำนวนหนึ่งบรรจุไว้ใต้ฐานพระอุโบสถ (ที่กำลังสร้างเกือบเสร็จแล้ว) อีกส่วนก็ จ่ายแจกแก่ศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใส

O O O

[     

หลวงพ่อยงยุทธ หรือ พระครูวิมลอรรถวาที (มหายงยุทธ อุปคุตฺโต ป.ธ.3) อายุ 76 ปี เจ้าอาวาสวัดไผ่เลี้ยง เขตหนองแขม ซอยเพชรเกษม 110 กทม. บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่ออายุ 13 ปี และอุปสมบทที่นั่นเมื่ออายุครบ...

...ได้ศึกษาอาคมของ หลวงปู่ศุขตั้งแต่เป็นสามเณรจนแกร่งกล้า เมื่อพ้นจาก เป็นพระนวกะแล้ว จึงได้ออกธุดงค์ปฏิบัติกิจวิปัสสนากรรมฐานโปรดสัตว์ ไปตามสถานที่ต่างๆ จนได้รับแรงศรัทธาสร้างศาสนสถานหลายแห่ง...อาทิ

วัดโปรดภาวนา อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี วัดดงประดาพระ ทุ่งโพธิ์ทอง อุทัยธานี ฯลฯ และในปี 2526 ขณะที่จะธุดงค์ลงสู่ภาคใต้ เข้ากรุงเทพมหานคร ผ่านหนองค้างพลู เขตหนองแขม ได้เทศน์โปรดแม่บุญเลี้ยงกับแม่ไผ่ 2 พี่น้อง จนเกิดแรงศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงได้ถวายที่สวนให้และได้สร้างเป็นศาสนสถานขึ้น อีกแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งศรัทธาจึงได้เอาชื่อ 2 พี่น้องมาเป็นชื่อว่า วัดไผ่เลี้ยง...แล้ว หลวงพ่อก็ได้จำวัดแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน

O O O

หลวงพ่อยงยุทธ ก็ได้สืบสานกิจกรรมต่างๆตามแบบของ หลวงปู่ศุข ในทางเมตตามหานิยมอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดแรงศรัทธา แก่บุคคลทั่วไปทั้งใกล้และไกลวัด

มีรายหนึ่งคือ ร้อยตำรวจโท จินตศักดิ์ สิทธิคง ซึ่งปฏิบัติราชการ อยู่ที่จังหวัดปัตตานีไม่เคยรู้จักกับ หลวงพ่อยงยุทธ มาก่อนเลย เมื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อนๆชวนแวะไปที่วัดไผ่เลี้ยง...

ครั้งแรกที่พบแทบไม่อยากจะเข้าใกล้ด้วยเห็นหน้าตาดุ ต่อเมื่อได้เจรจา จึงเกิดศรัทธา ด้วยเป็นผู้ที่มีพลังแห่งเมตตาจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ พอหลวงพ่อรู้ว่าปฏิบัติราชการ ในพื้นที่เสี่ยงภัยจึงได้ มอบตะกรุดไว้เผื่อ (เน้นคำว่าเผื่อ) จะ มีพลังไว้ป้องกันตัว

O O O

หลังจากที่ได้ตะกรุดมาก็มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางดี ซึ่งตอนปฏิบัติราชการ ไม่เคยเดินผ่านแผงลอตเตอรี่เลย มีวันหนึ่งบังเอิญผ่านก็เลยลองซื้อดู และก็ มีโชค กับเขาจริงๆแม้เป็นเม็ดเงินที่ไม่มากนัก มันก็สร้างความดีใจ และ ศรัทธา

และที่เด่นชัดคือการมีเมตตามหานิยม เพื่อนฝูงผู้ใต้บังคับบัญชามีความเชื่อฟังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งเจ้านายก็เรียกหาอยู่เป็นประจำ...และได้เลื่อนเงินเดือนขึ้น 2 ขั้น

ที่แปลกมากคือในยามที่จะมีภัยหรือเหตุการณ์ มักจะมีอะไร ที่เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ก่อน เป็นคล้ายๆกับมีอะไรลึกลับ มาสั่งการหรือจิตสังหรณ์...

อย่าง...ในช่วงที่กำลังเดินทางเมื่อมีปรากฏการณ์อย่างนี้ จะต้องหยุดก่อนซักระยะหนึ่ง แล้วค่อยเดินทางต่อ ซึ่งก็ปรากฏว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น คือถ้าไม่หยุดก็จะเป็นจังหวะ ที่โดนพอดี...และมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งเช่นกัน

O O O

ซึ่ง หมวดจินตศักดิ์ ก็บอกว่า...กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวแล้วหลีกเลี่ยง แต่มันเป็นพลังของการแคล้วคลาด...

...จะหลีกเลี่ยงหรือแคล้วคลาดก็คงไม่มีใครกังขา เพราะ Safety First หรือ ปลอดภัยไว้ก่อน ...เป็นดีที่ซู้ด...!!!

   
.............................................................................

405
   


ข่าวดีเป็นมงคล  จัดทุกครั้งดังทุกปีเทศกาลงานประจำปี 2551 นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ
ปิดทององค์หลวงพ่อโต
ทำบุญบ่อน้ำพระพุทธมนต์
วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
๑-๑๐ มีนาคม ๒๕๕๑ (๑๐วัน๑๐คืน)
หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว...

406
ธรรมะ / ชายคนหนึ่ง???
« เมื่อ: 26 ก.พ. 2551, 10:15:07 »
เก็บมาจากเวปพระอาจารย์ครับ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี จึงนำมาฝากกัน(www.dhammadelivery.com)

ชายคนหนึ่ง...เพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ

ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
 
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน

ชายคนนั้น...เคยถูกปฏิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค

ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้าไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"

ชายคนนั้น...ชื่อ ?อัลเบิร์ต ไอสไตน์? บิดาแห่งปรมาณู

*********************************************

ชายคนหนึ่ง...หลงไหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก

ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ และถูกเพื่อนมองว่า สกปรก บ้าคอมพิวเตอร์

ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ และถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์

ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"

ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก

ชายคนนั้น...ชื่อ ?วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์? ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม ?บิลล์ เกตส์? ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

**********************************************

ชายคนหนึ่ง...หลงไหลวิชาการเงินอย่างมาก

ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ

ชายคนนั้น...ถูกปฏิเสธในเวลาต่อมา

ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย

ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา

ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ

ชายคนนั้น...ชื่อ ?วอเรน บัฟเฟตต์? นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

***********************************************

ชายคนหนึ่ง... เป็นนักร้อง

ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ ไล่ออก

ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า ?แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า?

ชายคนนั้น...ชื่อ ?เอลวิส เพรสลี่ย์? ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์

***********************************************

"เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ แต่คนแพ้ไม่ใช่คนล้มเหลว คนที่ล้มเหลวคือ ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก"

407
                    กำหนดการไหว้ครู หลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต
ณ ตำหนักป้ายเขต เลขที่ ๓๐/๓ หมู่ที่ ๕ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม_____________________________________________________________________________
วันศุกร์ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔)
             เวลา ๑๘.๐๐ น.  ชุมนุมเทพ
วันเสาร์ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ (ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๔)
             เวลา ๐๙.๓๙ น.  ไหว้ครู
             เวลา ๑๑.๐๐ น.  ถวายภัตตาหารแด่พระวงฆ์ ๙
รูป

จึงขอเรียนเชิญศิษย์ยานุศิษย์ทุกท่านร่วมในพิธีนี้ โดยพร้อมเพรียงกัน
                                                  คณะศิษยานุศิษย์  ผู้จัดงาน 

408


เริ่มขึ้นแล้วครับ ปีนี้ สำหรับงานนมัสการรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาคิชฌกูฏ  จังหวัดจันทบุรี ปีนี้งานจัดระหว่างวันที่ 7 กุมภาพันธ์ - 7 เมษายน 2551  ครับ (นักแสวงบุญท่านใดสนใจก็ไปร่วมกันทำบุญได้ครับ) :001:............................................................................................

สำหรับลูกบาตร(ก้อนหินในภาพ) เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าอัศจรรย์มากๆ อยู่บริเวณข้างรอยพระพุทธบาทพลวง กล่าวกันว่า หินก้อนนี้ ลอยอยุ่สามารถเอาเชือกลอดได้ ครับ   :073:   

409


ศึกษาธรรมะกันได้ง่ายๆ สบายๆ ได้ความรู้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน กับ พระมหาสมปอง ตาลปุตโต  และคณะพระวิทยากร  ได้ที่http://www.dhammadelivery.com/

410


เจริญพรท่านสาธุชนทั้งหลาย
  วันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พุทธศักราช 2551 ตรงกับวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว
  ท่ามกลางพระอรหันตขีณาสพ 1,250 รูป ฉะนั้นเมื่อวันมาฆบูชามาถึง เราทั้งหลาย ควรทำการบูชาด้วยการปฏิบุติธรรม เพื่อถึงความสุข ความร่มเย็น แก่ประเทศชาติบ้านเมืองและเพื่อนร่วมโลกสืบไป
                                                                                                                                  ขออำนวยพร

411
เมื่อเวลา 18.40 น. วันที่ 18 ก.พ. ขณะที่พระมหาสมุทร  เตชปัญโญ พระวัดพระรูป เลขที่ 112/1 ถนนขุนช้าง ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมืองสุพรรณบุรี นำอาหารเสริมเข้าไปถวายพระครูสุนทรสุวรรณกิจ หรือ หลวงพ่อดี  จัตตะมะโล อายุ 96 ปี เจ้อาวาสวัดพระรูป ที่นอนพักผ่อนในกุฏิ ปรากฏว่าขณะที่หลวงพ่อดีลุกขึ้นรับอาหารเสริม จู่ๆก็ล้มหงายผลึ่งแน่นิ่งบนที่นอน พระมหาสมุทรรีบเข้าไปพยุง ก็พบว่าหลวงพ่อดีได้สิ้นลมไปแล้ว หลังข่าวการมรณะภาพของหลวงพ่อดีได้แพร่สะพัดไป ชาวสุพรรณบุรีแห่ไปที่วัดอย่างเนืองแน่น เนื่องจาก หลวงพ่อดี เป็นพระเกจิชื่อดังระดับประเทศ สร้างพระเครื่องที่มีคนนิยมเช่าบูชากันหลายรุ่น อาทิ พระขุนแผน รุ่นปี 13 ปัจจุบันมีราคาองค์ละหลายหมื่นบาท นอกจากนี้ พระกรุของวัดพระรูป ชุดกิมตึ๋ง ประกอบด้วยพระสี่กร พระมอญแปลง พระประคำรอบ พระนากปรกชุมพล รวมทั้งพระกรุขุนแผนไข่ผ่าซีก ก็เป็นพระกรุยอดนิยม ที่เซียนพระทั้งประเทศรู้จักกันดี

............................................................
ข่าวจาก ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 19 ก.พ.2551


ขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ :070:

412
ประวัติท่านอาจารย์ ประจวบ คงเหลือ ( คัดลอกมาจาก http://homeamulet.tarad.com/article?id=17212&lang=th )


ประวัติท่าน อาจารย์ประจวบ คงเหลือ

อาจารย์ประจวบ คงเหลือ เป็นชาวพัทลุงโดยกำเนิด ท่านเกิดและเติบโตที่บ้านโคกวัด หมู่ที่ ๓ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง บิดาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็ก ๆเมื่ออายุท่านได้ ๑๒ ปีมารดาแต่งงานและย้ายครอบครัวไปอยู่กับสามีใหม่ที่อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช เด็กชายประจวบไม่สามารถอยู่กับพ่อเลี้ยงได้จึงต้องอาศัยอยู่กับญาติ ที่บ้านเดิมและกลับมาอยู่บ้านคนเดียวบ้าง ญาติๆ เล็งเห็นว่าเป็นการลำบากมาก จึงจัดการให้บวชเป็นสามเณรที่วัดสุวรรณวิชัย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง


โดยมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธิธรรมธาดาอดีตรองเจ้าคณะจังหวัดพัทลุงและเจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิชัยบรรพชาให้บวชเป็นสามเณรแล้วอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดสุวรรณวิชัย สอบได้นักธรรมชั้นเอกสามเณรประจวบนั้นมีความสนใจในเรื่องไสยเวทตั้งแต่บวชเป็นสามเณรเนื่องจากว่าได้อาศัยอยู่กับพระหลวงตารูปหนึ่งซึ่งมีความสนใจในเรื่องไสยศาสตร์และเป็นผู้ที่มีหน้าที่เก็บรักษาตำราไสยศาสตร์ของวัดซึ่งเก็บรักษากันมานานหลวงตารูปนั้นคือพระปลัดเล็ก รัตนโชโต เมื่อสามเณรประจวบอาศัยอยู่ด้วยพระปลัดเล็กก็มอบหน้าที่ให้ทำความสะอาดกุฎิที่เก็บตำราโบราณเหล่านั้นสามเณรประจวบเห็นเข้าก็อยากรู้ว่าเป็นอะไรเมื่อทราบว่าเป็นตำราศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุไสยเวทไว้ก็อยากเรียนแต่ก็เรียนไม่ได้เพราะตำราเหล่านั้นส่วนใหญ่จะถูกจารึกเป็นภาษาขอมและตอนนั้นผู้ที่รู้ภาษาขอมก็มีน้อยเหลือเกินแล้วในวัดสุวรรณวิชัยเองก็มีเพียงพระปลัดเล็กเท่านั้นที่อ่านภาษาขอมได้สามเณรประจวบจึงได้ขอให้พระปลัดเล็กสอนให้ครั้งแรกพระปลัดเล็กไม่ค่อยเต็มใจจะสอนให้ ไม่ใช่เพราะหวงวิชาหากแต่ต้องการให้สามเณรประจวบมีอนาคตในทางการศึกษาตามแบบปัจจุบันมากกว่า ท่านตระหนักว่าวิชาไสยเวทช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนักในวัยเรียนเช่นนั้นน่าจะเอาเวลาไปศึกษาเล่าเรียนตามอย่างปัจจุบันให้มากๆดีกว่า เพื่อจะได้มีวิชาความรู้กับตัว แต่สามเณรประจวบก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในที่สุดพระปลัดเล็กก็ยอมสอนภาษาขอมให้เมื่อเรียนภาษาขอมจนอ่านออกเขียนได้แล้วสามเณรประจวบก็เริ่มศึกษาไสยเวทย์จากตำราเหล่านั้นเมื่อมีอะไรติดขัดก็ไปเรียนถามพระปลัดเล็กการศึกษาของท่านจึงก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วเพราะในวัยเด็กสามเณรประจวบมีความจำดีเฉลียวฉลาดจนท่านสำเร็จวิชาอาคมชั้นสูงต่างๆของเมืองพัทลุงตั้งแต่ในวัยเด็ก ปัจจุบันตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปหมดสิ้นเนื่องจากเมื่อพระปลัดเล็กมรณภาพจึงขาดผู้ดูแล

จึงถูกปลวกถูกมอดแทะเสียหายไปหมดนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยสามเณรประจวบอยู่ที่วัดสุวรรณวิชัยจนอายุครบอุปสมบทก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสุวรรณวิชัยโดยมีพระเดชพระคุณพระพุทธิธรรมธาดาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูกรุณานุรักษ์เป็นพระกรรมวาจาจารย์และมีพระปลัดเล็ก รัตนโชโต เป็นพระอนุศาสนาจารย์อุปสมบทแล้ว พระภิกษุประจวบก็ได้ศึกษาไสยเวทตามตำรานั้นสืบต่อมาจนท่านได้รับการสนับสนุนจากท่านเจ้าคุณพระพุทธิธรรมธาดา เจ้าอาวาส มอบตำราเก่าที่ท่านเก็บรักษาไว้ให้ อาจารย์ประจวบไปศึกษาต่ออยู่ต่อมาไม่นานก็ได้มีโอกาสใช้วิชานั้นพิสูจน์ความจริงคือขณะนั้นในวัดสุวรรณวิชัยมีโรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ ๆ มีเด็กๆจากชนบทไปเรียนกันมากเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะพักอยู่ในวัดที่กุฏิพระอาจารย์ประจวบก็มีเด็กมาอาศัยอยู่ด้วยหลายคนมีอยู่คราวหนึ่งเด็กวัดคนหนึ่งมากราบลาจะกลับบ้านด่วนพระอาจารย์ประจวบสอบถามจนได้ความว่าบิดาของเขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านชื่อแดงถูกยาพิษกำลังจะเสียชีวิตทางบ้านได้ตระเตรียมการศพกันแล้ว เขาในฐานะลูกชายต้องกลับไปร่วมด้วยแต่ลาเรียนไม่ทันจึงฝากให้พระอาจารย์ประจวบลาครูให้แทนครั้นทราบอย่างนั้นพระอาจารย์บอกว่าท่านขอติดตามไปด้วยเพื่อจะไปดูอาการของบิดาเขาเด็กคนนั้นก็ยอมให้ตามไป เมื่อพระอาจารย์ประจวบได้เห็นจึงรู้ว่าผู้ใหญ่แดงได้ถูกยาสั่ง ท่านมีวิธีรักษาซึ่งเป็นวิธีที่ได้เรียนมาจากตำราโบราณที่วัดสุวรรณวิชัยท่านจึงให้ผู้คนไปหาตัวยามาแล้วก็ทำการรักษาเพียงไม่นานอาการของผู้ใหญ่แดงเริ่มดีขึ้น และค่อย ๆ ทุเลาจนเป็นปกติงานศพที่เตรียมไว้เป็นอันต้องยกเลิก นับว่าพระอาจารย์ประจวบท่านเข้าไปช่วยชีวิตไว้ได้ทันและในเหตุการณ์นั้นทำให้ผู้ใหญ่แดงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระอาจารย์ประจวบ มากขึ้นเมื่อมีโอกาศเดินทางมาอำเภอควนขนุนก็จะต้องแวะมาเยี่ยมพระอาจารย์ประจวบทุกครั้ง พระอาจารย์บวชอยู่ต่อได้ ๒พรรษาก็ตัดสินใจลาสิกขาผู้ใหญ่แดงทราบข่าวก็รีบมารับให้ไปอยู่ที่บ้านของท่านในฐานะบุตรบุญธรรมต่อมาก็ได้จัดการสู่ขอหญิงสาวให้คนหนึ่ง ชื่อ ?ละมูล? จัดการแต่งงานให้เสร็จสรรพพระอาจารย์ประจวบจึงได้ย้ายมาสร้างครอบครัวใหม่กับภรรยาที่บ้านดอนนูดใกล้วัดดอนศาลาเนื่องจากมีจิตใจที่ศรัทธาในไสยเวทย์อยู่แล้วแม้ลาสิกขาแล้วอาจารย์ประจวบก็ยังไม่เลิกสนใจวิชาอาคมต่างๆ ท่านจึงได้ไปขอศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลาอาจารย์ท่านมีพื้นฐานในเรื่องไสยเวทย์อยู่มากแล้วจึงได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆจากพระอาจารย์ศรีเงินจนสำเร็จวิชาอาคมชั้นสูงต่างๆของวัดดอนศาลา และจึงได้ขอพระอาจารย์ศรีเงิน ให้พาไปฝากเรียนวิชาต่างๆของวัดเขาอ้อ อาจารย์ประจวบ จึงได้เรียนวิชาต่างของวัดเขาอ้อจากศิษย์ปรมาจารย์ทองเฒ่าหลายท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นทั้งพระและฆราวาส เช่นอาจารย์แจ้ง เพชรรัตน์ อาจารย์เปรมนาคสิทธิ์ อาจารย์ประจวบศึกษาวิชาเหล่านี้ด้วยความตั้งใจเพียงไม่นานก็มีความชำนาญและได้นำวิชาอาคมต่างๆของสำนักเขาอ้อมาช่วยเหลื่อศิษย์ที่ตกทุกได้ยากจนถึงปัจจุบันนี้



วิชาที่ท่านอาจารย์ประจวบ คงเหลือ เชี่ยวชาญมีลูกศิษย์นิยมให้ท่านทำให้เสมอ

๑.หุงข้าวเหนียวดำ เป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่งของสำนักเขาอ้อ โดยนำข้าวเหนียวดำประสมกับน้ำยาว่านต่างๆ หุงจนสุกแล้วปลุกเสกอาคมโดยอาจารย์ผู้ชำนายเวทย์ ใช้รับประทานเพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน เครื่องยาว่านที่ใช้ประสมมีประมาณ 108 ชนิด เช่น ว่านขมิ้นดำ ว่านขมิ้นขาว ว่านขมิ้นเหลือง ว่านสามพันตึง ว่านเอ็นเหลือง ว่านมหาเมฆ ว่านมหานิล ว่านเพชรตาเหลือก ว่านมหากาฬ ว่านมหาปราบ ว่านหนุมานนั่งแท่น ว่านหนุมานสมานกาย ว่านกำลังหนุมาน ว่านสบู่เลือด ว่านเพชรหึง ว่านสากเหล็ก ว่านพระเจ้าคุ้มภัย ว่านเปราะดำ ว่านเขาควาย ว่านพระเจ้า 5 องค์ ว่านนิรพัตร ว่านประกายเหล็ก ว่านกระชายดำ ว่านเพชรน้อย ว่านหอกหัก ว่านไพลดำเป็นต้น เมื่อได้ว่านที่ต้องการแล้ว ก็นำมาต้มเอาน้ำยาประสมกับข้าวเหนียวดำ ใส่หม้อนำไปประกอบพิธีในอุโบสถ หม้อและไม้ฟืนทุกอันอาจารย์ผู้ประกอบพิธีต้องลง อักขระกำกับไว้ อาจารย์จะเริ่มปลุกเสกตั้งแต่จุดไฟ จนกระทั่ง ข้าวในหม้อสุก แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ นำมาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงแจกจ่ายไปรับประทาน เชื่อกันว่า ผู้ที่กินข้าวเหนียวดำแล้วจะสามารถอยู่ยงคงกระพัน และยังเชื่อว่าเป็นยารักษาโรคแก้ปวดหลังปวดเอวได้ด้วย ๒.อาบว่านยา รักษาโรคดีทางคงกระพันชาตรี ๓.ปรุงยาจินดามณี ป้อนให้ศิษย์ยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแดนดินอุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิ์โสภณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจะพูนกองกว่าโลกหญิงชาย คนทั้งหลายนำมาบูชาอภิวาทบ่วาย ระงับอันตรายทั้งสี่อิริยา โทษหนักเท่าหนักถึงจะมรณากลับน้อยถอยคลา ยิ่งถ้าได้กิน 3 ดับ 3 เพ็ญในแม่คงคายิ่งประเสริฐกว่า ดำน้ำลงไปกินในคืนจันทร์เพ็ญจะเด่นสูงศรี คาบน้ำอันดีให้เร่งภาวนาวาสนาเลิศยิ่ง กลืนยาลงเข้าไปให้ได้ 3 ที ยิ่งถ้าจันทร์เพ็ญในเดือนสิบสอง ถือว่ายิ่งดี จันทร์เพ็ญในเดือนสิบสองของทุกปีถือว่าน้ำในแม่น้ำขึ้นเต็มที่ จึงนิยมทำไสยศาสตร์ในทางโชคลาภวาสนา และคุ้มกันภัย


413


          ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันชาวล้านนามีความเชื่อในเรื่องของพระธาตุประจำปีเกิดกันมาก ซึ่งความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ แต่พบว่ามีบันทึกอยู่ในตำราพื้นเมืองโบราณสรุปได้ว่า ก่อนที่วิญญาณจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของผู้เป็นมารดานั้นจะลงมาชุธาตุ ซึ่งหมายถึงการมาพักอยู่ที่เจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่งโดยมีตั๋วเปิ้ง (สัตว์ประจำนักษัตร) พามาพักไว้ 

          เมื่อได้เวลาดวงวิญญาณก็จะเคลื่อนจากพระเจดีย์ไปสถิตอยู่บนกระหม่อมของผู้เป็นบิดาเป็นเวลา 7 วันก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ครรภ์มารดา และเมื่อเสียชีวิตแล้วดวงวิญญาณก็จะกลับไปอยู่ที่เจดีย์นั้นๆ ตามเดิม

          ดังนั้นบุคคลซึ่งเกิดในปีนักษัตรใดก็ตาม ควรที่จะหาโอกาสไปกราบไว้พระธาตุประจำปีเกิดของตนให้ได้อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นมงคลแก่ชีวิต มีอานิสงส์สูงและทำให้อายุยืนนานและความเชื่อนี้ได้แพร่กระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆ ของประเทศในบันทึก ระบุนักษัตรต่างๆ ไว้ด้วยว่า

          คนเกิดปีชวด ชาติกำเนิดเป็นเทวดาเป็นคนธาตุน้ำมีพระธาตุจอมทอง จ.เชียงใหม่ประจำปีเกิด วันพุธ, เสาร์เป็นวันฤกษ์ดี เลขมงคล 3, 6, 8 และ 9 ถ้าสร้างศาลาและบ่อน้ำจะเป็นกุศลยิ่ง

          คนเกิดปีฉลู ชาติกำเนิดเป็นบุรุษธาตุดิน มีพระธาตุลำปางหลวง อ.เมืองลำปางประจำปีเกิด วันอาทิตย์, พฤหัสบดีเป็นวันมงคล เลขมงคล 3, 6, 9, 12 เสริมดวงให้แข็งขึ้นด้วยการสร้างไฟฟ้าและโรงไฟ

          คนเกิดปีขาล ชาติกำเนิดเป็นยักขิณีธาตุไม้ มีพระธาตุช่อแฮ อ.เมืองแพร่ประจำปีเกิด วันพุธ, เสาร์เป็นวันมงคล เลขมงคลคือ 4, 14 และ 28 ทำทานด้วยการสร้างศาลาหรืออารามได้ก็จะเป็นการดี

          คนเกิดปีเถาะ ชาติกำเนิดเป็นนารีธาตุไม้ มีพระธาตุแช่แห้ง อ.เมืองน่านประจำปีเกิด วันพุธ  ศุกร์ เสาร์เป็นวันมงคล เลขมงคล 5, 15, 25, 38 ทำบุญสร้างปราสาทถูกโฉลก

          คนเกิดปีมะโรง ชาติกำเนิดเป็นเทพบุตรธาตุทอง มีพระธาตุเจดีย์พระสิงห์ อ.เมืองเชียงใหม่ประจำปีเกิด วันพุธ ศุกร์ เสาร์เป็นวันมงคล เลขมงคล 3, 6, 9, 11, 12 การทำบุญสร้างเจดีย์ถูกโฉลก

          คนเกิดปีมะเส็ง ชาติกำเนิดเป็นผู้ชายธาตุไฟ มีพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ อ.เมืองเชียงใหม่ประจำปีเกิด วันอาทิตย์ พฤหัสเป็นวันมงคล เลขมงคล 5, 15, 21, 30 การให้ดอกไม้เป็นทานดีที่สุด

          คนเกิดปีมะเมีย ชาติกำเนิดเป็นเทพธิดาธาตุไฟ มีพระธาตุเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่าประจำปีเกิด วันอาทิตย์ พฤหัสบดีมหาฤกษ์ เลข 5, 7, 17, 27 เป็นมงคล การสร้างอาสนสงฆ์เป็นบุญดีที่สุด

          คนเกิดปีมะแม ชาติกำเนิดเป็นเทพธิดาธาตุทอง มีพระธาตุดอยสุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ประจำปีเกิดวันจันทร์ พุธ เสาร์ เป็นสิริมงคล เลข 2, 8, 15, 25, 35 เป็นมงคล

          คนเกิดปีวอก ชาติกำเนิดเป็นพระยายักษ์ธาตุเหล็ก มีพระธาตุพนม อ.เมืองนครพนมประจำปีเกิด วันโชคชัยคือวันพุธและเสาร์ เลข 2, 7, 15, 25 เป็นมงคล ทำบุญสร้างกำแพงเพื่อศาสนสมบัติดีที่สุด

          คนเกิดปีระกา ชาติกำเนิดเป็นพระยายักษ์ธาตุเหล็ก มีพระธาตุหริภุญชัย อ.เมืองลำพูนประจำปีเกิด วันอุดมฤกษ์อังคารและศุกร์ เลขมงคล 3, 6, 9, 11, 21 การสร้างเวจกุฎีทำบุญถูกโฉลก

          คนเกิดปีจอ ชาติกำเนิดเป็นนางยักษิณีธาตุดิน มีพระธาตุวัดเกตุการาม อ.เมืองเชียงใหม่ประจำปีเกิด วันมหามงคล อาทิตย์ พฤหัสบดีและเสาร์ เลขมงคล 8, 18, 24, 34, 44 ทำบุญสร้างธรรมาสน์ดียิ่งนัก

          คนเกิดปีกุน ชาติกำเนิดนารีธาตุน้ำ มีพระธาตุดอยตุง อ.เมืองเชียงรายประจำปีเกิด วันจันทร์และพฤหัสบดีอุดมฤกษ์ เลข 3, 8, 9, 13 เป็นมงคล ทำบุญด้วยการสร้างห้องน้ำจะเป็นกุศลทวีคูณ
.......................................
ข้อมูลจาก  ไทยโพส

414
                                 
 ประวัติ พระฉลอง 25 ศตวรรษ ในปีพุทธศักราช 2500 พระพุทธศาสนา ยุคกาลได้ล่วงพ้นเป็นเวลา ?2,500 ปี? รัฐบาลสมัยนั้นนำโดยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้จัดงานฉลองทั้งภาครัฐบาลและประชาชนทั่วพระราชอาณาจักรโดยในกรุงเทพมหานคร กำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่ที่ ท้องสนามหลวง เป็นเวลา 7 วัน 7 คืนเรียกว่างาน ?เฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ? ตั้งแต่วันที่ 12-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 (ในช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชา) ส่วนการเฉลิมฉลองใน ภาคประชาชน จัดให้มีการ สวดมนต์ภาวนา, รักษาศีล, ทำบุญทำทาน ทางด้าน ภาครัฐบาล จัดให้มีการ บูรณะวัดและปูชนียสถานที่สำคัญ ทางพระพุทธศาสนาพร้อม การอภัยโทษปลดปล่อยผู้ต้องหา และการ นิรโทษกรรมและล้างมลทิน แก่ผู้กระทำความผิดบางจำพวกและการจัดสถานที่อันเป็นการ อภัยทานแก่สัตว์ เพื่อปลอดจากการถูกทำลายล้างชีวิตโดยได้ทำการเผยแพร่การจัดงานไปยังนานาประเทศ พร้อมเชิญผู้แทนรัฐบาลจากทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา และผู้แทนองค์การทางพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ มาร่วมพิธีฉลองด้วย ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดงานที่นำโดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่สำเร็จเป็นรูปธรรมในครั้งนั้นได้แก่ 1. การจัดซื้อที่ดินสร้างพุทธมณฑล 2. การวางผังพุทธมณฑล 3. การออกแบบองค์พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล 4. รัฐพิธีก่อฤกษ์พุทธมณฑล 5. การสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลอื่น ๆ 6. การจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ระหว่าง 12-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 เป็นเวลา 7วัน 7 คืน ที่อ้างอิงมาก็เพื่อนำพาผู้อ่านย้อนถึงมูลเหตุของการจัดสร้าง ?พุทธมณฑล? จะได้เข้าใจอย่างชัดเจนเพราะการสร้างพุทธมณฑลมีมากมายหลายแง่มุม ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงเฉพาะการสร้างพระเครื่อง ?ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ? อันเป็นวัตถุมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองและ กดพระพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ ส่วนมูลเหตุในการจัดสร้างพระเครื่องฉลอง ?25 พุทธศตวรรษ? สืบเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างพุทธมณฑลที่คณะกรรมการได้ประมาณการไว้ ?25 ล้านบาท? แต่กระทรวงการคลังจัดสรรเงินงบประมาณขั้นต้นไว้ ?4,280,000 บาท? เท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอในการก่อสร้าง คณะกรรมการจัดงานจึงลงมติให้มีการจัดสร้าง ?พระเครื่องฉลอง 25พุทธศตวรรษ? พร้อม ?พระพุทธรูปและวัตถุมงคลอื่น ๆ? เพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินสมทบในการสร้างพุทธมณฑลและเป็นที่ระลึกในงาน ?ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ? โดยการจัดสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้คณะกรรมการได้กราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองหล่อ ?พระพุทธรูป? และทรงกดพิมพ์ ?พระพิมพ์เนื้อดิน? เป็นปฐมฤกษ์โดยหนังสือ ?พุทธมณฑลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช? ได้บันทึกเหตุการณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูปและทรงกดพิมพ์พระเป็นปฐมฤกษ์ ดังนี้ ?วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2500 เวลา 16 นาฬิกา 30 นาที พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตรมหาราช เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดสุทัศน์เทพวราราม เสด็จขึ้นบนพระวิหาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระศรีศากยะมุนี แล้วเสด็จฯไปยังพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะถวายศีลจบแล้วเจริญพระพุทธมนต์ ทรงจุดเทียนมหามงคล โหรบูชาฤกษ์ เวลา 17 นาฬิกา 4 นาที 8 วินาทีถึงเวลา 17 นาฬิกา 17 นาที เสด็จพระราชดำเนินไปยังมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถทรงเททองหล่อ ?พระพุทธรูปทองคำแบบพุทธลีลา 4 องค์? และทรงพิมพ์พระเครื่องฉลอง 25 พุทธศตวรรษชนิด ?พระเนื้อดินผสมผงเกสร 30 องค์? เป็นปฐม ฤกษ์โหรลั่นฆ้องชัย เจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรและดุริยางค์ สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ 25 รูป เจริญชัยมงคลคาถา พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณหลั่งน้ำสังข์ เสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระอุโบสถ สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะถวายอดิเรก จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระสงฆ์ 25 รูปเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว ?พระคณาจารย์ 108 รูป? นั่งปรกปลุกเสกสรรพสิ่งของบรรจุพุทธาคมต่อตลอดคืน? จากบันทึกดังกล่าวทำให้ทราบว่าพระเครื่อง ?ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ? มีความเป็นสิริมงคลที่สำคัญยิ่งอีกรุ่นเพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯจาก พระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯทรงประกอบพิธีเททองหล่อ ?พระพุทธรูป? และกดพิมพ์พระเครื่อง ?เนื้อดินผสมผง? (พิมพ์ปางลีลา) เป็นปฐมฤกษ์ อีกทั้งได้ทราบการพิมพ์พระเครื่องและพระพุทธรูปดังกล่าวล้วนจัดสร้างขึ้นที่ วัดสุทัศน์ฯ ดังบันทึกในหนังสือเล่มเดียวกันว่า ?คณะกรรมการจัดสร้างพระเครื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ได้สร้างโรงงานให้ผู้รับจ้างพิมพ์พระได้ทำงานอยู่ในบริเวณวัดสุทัศน์ เทพวราราม ด้วยประสงค์จะให้พระพุทธรูปดังกล่าวได้จัดทำอยู่ในปริมณฑลพิธี หรือในเขตพระอารามโดยตลอดและสะดวกต่อการควบคุมดูแล เพราะใช้เวลาสร้างพระเครื่อง 3 เดือนเศษ จึงแล้วเสร็จ และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอีกเป็นครั้งที่ 2? ดังนั้นวัตถุมงคล ?ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ? จึงนับเป็นวัตถุมงคลมีคุณค่าที่ถึงพร้อมด้วย พระพุทธคุณ, พระธรรมคุณ, พระสังฆคุณ และ พระมหากษัตราธิคุณ ส่วนรายพระนามและรายนามพระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกขออนุญาตไม่เอ่ยถึง เพราะมีจำนวนมากครับ จึงเสนอเฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวเนื่อง ?พระมหากษัตราธิคุณ? ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงถึงพร้อมด้วยทศพิธราชธรรมและทรงเป็น สมเด็จพระบรมธรรมิกราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงมีพระธรรมประจำพระทัยอันเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป ผู้เขียนจึงนำเสนอเฉพาะในแง่มุมที่ยังไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญหรือสนใจมาก่อนเพื่อให้ท่านผู้อ่าน ?ความจริง...อ่านเดลินิวส์? ได้รู้ไว้ ?จะได้ไม่เสียเปรียบในการสะสม?. ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูล คุณศุทธิวิทย์ กิจชัยพร

....................................................................................
องค์ในภาพ เป็นพิมพ์พิเศษ เนื้อชินหน้าทองครับ(หายากส์)

415


             แม้ว่าอดีตที่ผ่านมา คนไทยจะรู้จัก และเคารพนับถือเทพอยู่หลายองค์ เช่น  เจ้าแม่กวนอิม,พระแม่อุมา,พระศิวะ,พระพรหม และพระนารายณ์ เป็นต้น แต่ปีสองปีที่แล้ว เทพที่มาแรงแซงโค้ง เห็นทีจะไม่มีองค์ใดดังเกิน ท่านพ่อจตุคามรามเทพ เพราะความนิยมในตัวท่าน ก่อให้เกิดกระแส จตุคามรามเทพฟีเวอร์ ขึ้นทั่วประเทศ ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ต้องมีองค์ท่านอย่างน้อยรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เพราะชื่อแต่ละรุ่น ล้วนชวนให้สะสมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นโคตรเศรษฐี,รุ่นเศรษฐีทวีทรัพย์,รุ่นมั่งมีศรีสุข ฯลฯ เรียกว่าแค่มีไว้ จะรวยจริงหรือไม่ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นอีกโข
       
             แต่สำหรับปีชวด หรือปีหนูนี้ เทพที่กำลังเป็นที่นิยม และต้องหาไว้บูชาเป็นพิเศษ คือ พระพิฆเณศวร์ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไม? เพราะอันที่จริง พระพิฆเณศวร์ ท่านก็ดังแบบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอยู่แล้ว คือเป็นเทพอันดับต้นๆ ที่คนทั่วไปให้ความเคารพบูชาเสมอมา แล้วทำไมปีนี้จึงต้องบูชาเป็นพิเศษ คำตอบก็เพราะ ท่านเป็นเทพที่มี หนู เป็นพาหนะผู้คนจึงเชื่อว่า ถ้าบูชาท่าน ก็อาจช่วยให้ หนู ซึ่งเป็นลูกน้องของท่าน และเป็นสัญลักษณ์ของปี 2551 นี้ ไม่เที่ยวอาละวาด ทำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเขา และยังอาจนำโชคลาภวาสนามาให้อีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้เป็นความรู้ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำตำนาน และเรื่องราวเกี่ยวกับเทพองค์นี้ มาเสนอให้ทราบดังนี้

             พระพิฆเณศวร์ หรือบางแห่งก็เขียน พระพิฆเนศ หรือ พระคเณศ เป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี ด้วยเชื่อว่าท่าน เป็นเทพแห่งศิลปะความรู้ และความสำเร็จทั้งมวล ถ้าใครบูชาท่าน ท่านก็จะช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรค ข้อขัดข้องต่างๆให้ รวมทั้งอำนวยความสำเร็จ ให้แก่กิจการทั้งหลายทั้งปวงด้วย คนจึงนิยมกราบไหว้ท่านก่อนที่จะกระทำการใดๆ

             สำหรับรูปกายของท่านหลายๆ คนคงจะคุ้นกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นคล้ายๆ กับพระสังกัจจายย์บ้านเรา คือทรงตุ้ยนุ้ย อ้วนพุงพลุ้ย และแทนที่จะมีหัวเป็นคน ท่านกลับมีเศียร(หัว) เป็นช้าง มีกร(มือ) 4 บ้าง 6 บ้าง 8 บ้าง สุดแล้วแต่จะเสด็จมาปางใด ซึ่งในเชิงปรัชญาเขาบอกว่า ร่างกายแต่ละส่วนของท่าน ล้วนมีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น นั่นคือ พระเศียร ที่เป็นหัวช้าง จะเป็นเศียรที่ใหญ่ จึงหมายถึง สมองที่เต็มไปด้วยปัญญาความรู้

             พระกรรณ (หู) ที่กว้างใหญ่ หมายถึง การได้รับฟังคำสวดจากคัมภีร์ หรือความรู้อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งเบื้องต้น ของการศึกษาเล่าเรียน หรือพูดง่ายๆ ว่าฟังมากก็รู้มาก,ส่วน งา ที่มีเพียงข้างเดียวและอีกข้างหักนั้น มีนัยแสดงให้รู้ว่า คนเรามักต้องอยู่ระหว่างความดี-ความชั่วอยู่เสมอ จึงต้องรู้จักแยกแยะ ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ถึงความแตกต่างนั้น เช่นเดียวกับ งวงช้างที่อยู่ตรงกลาง ที่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำ หรือค้นหาสิ่งที่ดีงาม โดยใช้ปัญญาเลือกเฟ้น ไม่ว่าจะเป็นความผิด-ความถูก ความดี-ความชั่ว และหนู พาหนะที่ท่านขี่มา หมายถึง ความปรารถนาของมนุษย์ ตรงนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นความคิดเชิงปรัชญา เลยต้องคิดให้ลึกซึ้งกว่าปกติ 

             โดยทั่วไป เราจะพบเห็นรูปพระพิฆเณศวร์ มี 1 เศียร 4 กร แต่จริงๆ แล้วท่านมีหลายปางมาก บางประเทศอย่างอินเดีย หรือเนปาล พระพิฆเณศวร์จะมีถึง 5 เศียร  ส่วนพระกรหรือมือ จะมีตั้งแต่ 2 กรไปจนถึง 10 กว่ากรขึ้นไป โดยแต่ละหัตถ์ หรือมือของท่าน ก็จะถือสิ่งของแตกต่างกันไป มีทั้งที่เป็นขนม ผลไม้ อาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆ เช่น ขนมโมทกะ (เป็นข้าวสุก ผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก) ผลทับทิม ลูกหว้า งาหัก ขวาน ตรีศูล สังข์ แก้วจินดามณี เป็นต้น 

             ส่วนท่าทางนั้น เดิมจะอยู่ในรูปยืนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก็พัฒนาเป็นท่านั่ง ซึ่งจะมี 4 ลักษณะด้วยกัน คือ

1. ท่าเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น อีกข้างงอพับบนอาสนะ (ที่นั่ง)
2. ท่านั่งขาไขว้กัน
3. ท่านั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่ง และอีกข้างพับอยู่บนอาสนะ
4. ท่านั่งโดยขาทั้งสองข้างพับอยู่ด้านหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดติดกัน 

             การที่มีจำนวนพระเศียร และสัญลักษณ์ที่ถือในมือ ตลอดจนลักษณะท่าทาง ที่ปรากฎเป็นปางที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็เพราะความเชื่อที่ว่า แต่ละปางก็จะให้คุณที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

             ปางพาลคเณศ จะเป็นรูปพระคเณศตอนเด็ก อยู่ในท่าคลาน หรืออิริยาบถไร้เดียงสาแบบเด็ก ถ้าโตหน่อยก็จะเป็นรูปนั่งขัดสมาธิ บนดอกบัว มี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งปางนี้หมายถึง ความมีสุขภาพดีของเด็กๆ ในครอบครัว จึงนิยมบูชาในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน 

            ปางนารทคเณศ เป็นปางที่อยู่ในท่ายืน มี 4 กร ถือคัมภีร์ หม้อน้ำ ไม้เท้า และร่ม หมายถึงการเดินทางไกลไปศึกเล่าเรียน ปางนี้เขาว่าเหมาะกับคนที่มีอาชีพ เป็นครูบาอาจารย์ 

            ปางมหาวีระคเณศ เป็นปางที่มีมือมากเป็นพิเศษอาจจะ 12-16 กรเลยทีเดียว และแต่ละพระหัตถ์ก็ถืออาวุธต่างๆ กัน เช่น ตะบอง หอก ตรีศูล คันธนู ฯลฯ ปางนี้เป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรู จึงเหมาะกับพวกทหาร ตำรวจ และข้าราชการ   
 
            ปางสัมปทายะคเณศ เป็นปางที่เราพบเห็นกันบ่อย คือ มี 4 กร ถืออาวุธอยู่สองหัตถ์บน เช่น ขวานหรือตรีศูล ที่ทรงใช้ทำลายสิ่งชั่วร้าย และคอยขับไล่อุปสรรค อีกพระหัตถ์ถือบ่วงบาศ หมายถึง บ่วงที่ทรงใช้ลากจูงให้คนทั้งหลาย เดินตามรอยพระบาทของท่าน หรือใช้ขจัดศัตรู หัตถ์ล่างจะถือขนมโมทกะ ท่านถือไว้เพื่อประทานเป็นรางวัล แก่ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทของท่าน ส่วนหัตถ์ขวาล่าง ทำท่าประทานพร หมายถึง ทรงประทานความผาสุก และความสำเร็จให้แก่สาวกของท่าน หรือบางที่ก็ถืองาที่หัก

             อ้อ! มีบางคนอาจสงสัย เกี่ยวกับงูที่พันรอบพุงท่านว่ามาจากไหน เขาก็มีเรื่องเล่าขำๆ ว่า วันหนึ่งหลังเสด็จกลับจากงานเลี้ยง กำลังขี่หนูเพลินๆ ก็ดันมีงูเห่าตัวหนึ่ง เลื้อยผ่านหน้า หนูตกใจเลยทำท่านหล่นลงมาท้องแตก ด้วยความเสียดายขนมต้มที่ทะลักออกมา (เพราะเสวยเข้าไปมาก) ท่านจึงเอาขนมยัดกลับไปในพุงใหม่ แล้วเอางูตัวแสบตัวนั้น มารัดพุงเสีย 

             เจ้ากรรม ! สิ่งที่ท่านทำ พระจันทร์มาเห็นเข้า ก็ขำกลิ้ง ท่านคงโกรธและอาย เลยเอางาขว้างไปติดพระจันทร์จนแน่น ทำให้โลกมืดไปในทันใด ทวยเทพที่ทราบเรื่อง ก็เลยพากันไปอ้อนวอนขอโทษแทน ท่านใจอ่อนก็ยอมถอนเอางาออก แต่คงยังไม่หายเคือง จึงให้พระจันทร์ต้องรับโทษ ด้วยการต้องเว้าๆ แหว่งๆ ไม่เต็มดวงทุกคืน ยกเว้นวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่เราเห็นพระจันทร์เป็นเสี้ยว อยู่บนท้องฟ้าแทบทุกค่ำคืน

             ได้รู้จักรูปลักษณ์ของท่านแล้ว คราวนี้มาถึงชาติกำเนิดกันบ้าง เขาว่ามีอยู่สองสามตำนาน ได้แก่

             ตำนานแรก เล่าว่าวันหนึ่งพระนางปารวตี หรือพระแม่อุมา เมียพระศิวะทรงสรงน้ำ อาบไปอาบมา ถูกขี้ไคลไปด้วย ก็นึกขึ้นได้ว่าพระสหาย เคยแนะนำให้หาบริวาร เป็นของตนเองบ้าง จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่บริวารของพระสวามี คิดได้ดังนั้นแล้ว พระนางก็เลยนำเอาเหงื่อไคล มาปั้นเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วสั่งให้ไปเฝ้าประตู ห้ามใครเข้ามารบกวน ถ้าไม่ได้อนุญาต หนุ่มน้อยที่ว่าก็ทำหน้าที่นายทวารบาลอย่างดีเยี่ยม 

             จนมาวันหนึ่ง พระศิวะเกิดคิดถึงพระนางปารวตี จึงเสด็จมาหา เจ้าหนุ่มไม่รู้จักว่าทรงเป็นพระบิดา ก็เข้าขัดขวาง มิให้พบพระมารดา พระศิวะจึงทรงกริ้ว และคงบวกกับลมเพชรหึงด้วย เพราะจู่ๆ ก็มีหนุ่มรูปงามมาเฝ้าอยู่หน้าห้องเมีย แถมห้ามมิให้เข้าหาอีก ก็เลยพุ่งตรีศูลตัดเศียรนายทวารบาลหนุ่มจนสิ้นชีพ พอความทราบถึงพระนางปารวตี ก็ทรงโกรธพระสวามียิ่ง (ฐานฆ่าบริวารที่พระนางอุตส่าห์ปั้นมากับมือ และถือได้ว่าเป็นลูกชายตาย) โดยไม่ถามไถ่ให้รู้เรื่อง จึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพ และเทพีบนสวรรค์ ร้อนถึงพระฤษีนารอด อดรนทนไม่ไหว ต้องทำหน้าที่เป็นทูตเจรจาหย่าศึก พระนางก็ยินยอม 

             แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องชุบชีวิตลูกของพระนางให้ฟื้นคืนมา พระศิวะ จึงต้องระดมเทวดาทั้งหลาย ให้ไปหาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบ มาต่อให้โอรสพระนาง ปรากฏว่าได้หัวช้างงาเดียวมา จึงต่อให้พระคเณศฟื้นขึ้นมา และเมื่อคืนชีวิตแล้ว พระคเณศได้ทราบว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขออภัยโทษ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอพระทัย จึงประสาทพรให้พระคเณศ มีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง ท่านจึงได้ชื่อว่าพระคเณศ หรือคณปติที่หมายถึงผู้เป็นใหญ่ในคณะเทพ

             ส่วนตำนานที่สอง เล่าว่าครั้งหนึ่งพระศิวะ และพระแม่อุมาได้เสด็จไปเที่ยวภูเขาหิมาลัย แล้วไปเจอช้างกำลังสมสู่กัน ก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะก็แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนพระแม่แปลงเป็นช้างพัง ร่วมสโมสรกันจนมีลูกเป็นพระคเณศ 

             ตำนานที่สาม เล่าว่าพวกอสูร และรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะ จนได้รับพรหลายประการ จึงเกิดความฮึกเหิม ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว  ร้อนถึงพระอินทร์ ต้องนำเทวดาทั้งหลายไปเฝ้าพระศิวะบ้าง ขอให้พระองค์ทรงสร้างเทพ แห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวาง มิให้พวกยักษ์บวงสรวงขอพรได้สำเร็จ พระศิวะจึงทรงแบ่งกายส่วนหนึ่ง ให้บังเกิดในครรภ์ของพระแม่อุมา 

             ซึ่งออกมาเป็นบุรุษรูปงาม นามวิฆเนศวร มีหน้าที่ขัดขวางเหล่าอสูร และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลี ขอพรจากพระศิวะ อีกทั้งให้เป็นผู้อำนวยความสะดวก แก่เทวดาและคนดี ที่จะทำการใดๆ ให้ไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ชื่อ วิฆเนศวร ซึ่งเป็นอีกพระนามของพระคเณศ ที่หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในความติดขัด จึงมาจากตำนานนี้ คือ ทำให้คนชั่วทำการติดขัด แต่ส่งเสริมคนดีให้ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ

             สำหรับสองตำนานแรก จะเห็นกำเนิดพระคเณศ ที่บอกเหตุว่าทำไมจึงมีเศียรเป็นช้าง แต่ตำนานที่สามมิได้บอกไว้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่า จะเป็นตำนานหลังนี้หรือไม่ ที่มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เมื่อพระคเณศ มีอายุพอจะทำพิธีโสกันต์ (โกนจุก)แล้ว พระศิวะก็ได้ให้เทวดา ไปอัญเชิญพระนารายณ์ หรือพระวิษณุที่บรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม มาร่วมพิธีด้วย    ปรากฎว่าท่านกำลังหลับเพลินๆ อยู่ พอถูกปลุกก็คงจะหงุดหงิด จึงพลั้งปากเปล่งวาจาว่า ?ไอ้ลูกหัวหาย กวนใจจริง? ด้วยวาจาสิทธิ์ เลยมีผลให้เศียรพระคเณศ หลุดไปในทันใด   

             พระศิวะจึงต้องมีเทวโองการ ให้เหล่าเทวดาไปหาหัวมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าวันนั้น กลับไม่มีใครตาย มีเพียงช้างที่นอนตายอยู่ทางทิศตะวันตกเท่านั้น เทวดาจึงต้องตัดหัวช้าง มาต่อเศียรให้พระคเณศแทน ท่านเลยมีหัวเป็นช้างมาตั้งแต่บัดนั้น และอาจเพราะเหตุนี้ คนโบราณเขาถึงห้าม มิให้นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เพราะจะทำให้ประสบเหตุร้าย แต่บางแห่งก็ว่าเป็นทิศเหนือ นี่ก็สุดแต่ความเชื่อ

             ส่วนสาเหตุที่พระคเณศ มีเพียงงาเดียวนั้น เล่ากันว่า ถูกขวานของปรศุรามขว้างใส่ ซึ่งปรศุรามนี้ เป็นพราหมณ์ซึ่งเป็นอวตารภาคหนึ่ง ของพระนารายณ์ และได้รับประทานขวานเพชรจากพระศิวะ ทำให้มีฤทธิ์เดชมาก ได้ใช้เทพศัตราวุธนี้ ไปล้างแค้นแทนบิดามารดา รวมถึงไปปราบปรามเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายจนสิ้นโลก วันหนึ่งปรศุรามเกิดระลึกถึงพระศิวะ จึงอยากไปเฝ้าด้วยความจงรักภักดี แต่เมื่อไปถึงเทพสถานชั้นใน ก็ถูกพระคเณศออกมาห้ามมิให้เข้าไป เนื่องจากพระศิวะมีเทวบัญชา ห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าเด็ดขาดในวันนั้น เพราะกำลังทรงพระสำราญ กับพระแม่อุมาอยู่ ไม่อยากให้ใครรบกวน 

            แต่เพราะปรศุรามคิดว่า ตนเป็นคนโปรดไม่ฟังเสียงจะเข้าเฝ้าให้ได้จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ปรศุรามโกรธจนลืมตัวเหวี่ยงขวานเพชรไปที่องค์พระคเณศ พระคเณศเห็นขวานถูกขว้างมาก็ตกใจ และจำได้แม่นว่าเป็นขวานของพระศิวะเทพบิดา ก็เกิดความเคารพยำเกรง ไม่กล้าต่อสู้ด้วย เพราะกลัวว่าจะเป็นการหลู่ พระเกียรติยศของมหาเทพ อีกทั้งเห็นว่า ลูกไม่ควรบังอาจไปต่อต้านอาวุธของ พ่อ แม้จะเสียชีวิตเพราะความกตัญญูก็ต้องทำ 

             จึงก้มเศียรลงคารวะ ต่ออาวุธพระบิดา พร้อมหลับเนตรลง ยอมถวายชีวิตแต่โดยดี ก็ปรากฎว่าขวานที่ขว้างมา กระทบกับงาเบื้องขวาของท่าน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว และก่อนงาที่หักจะตกสู่โลก ท่านก็รีบรับไว้ ด้วยเกรงว่า หากงาของท่านตกสู่พื้นโลก จะเป็นอันตรายต่อโลก  และเพราะเสียงดังเอะอะขนาดนั้น พระศิวะและพระแม่อุมา ที่กำลังสำราญพระทัยก็เลยต้องเสด็จออกมาดู ครั้นพอทราบเรื่อง พระแม่อุมาก็กริ้วจัด สาปปรศุรามจนสิ้นฤทธิ์ ต่อมาพระวิษณุได้มาอ้อนวอน ขอให้พระแม่อุมายกโทษให้ปรศุราม พระแม่จึงยอมและถอนคำสาปให้   

             อย่างไรก็ดี พระวิษณุก็ได้มีเทวประกาศิต แบ่งกำลังของปรศุราม มาให้พระคเณศครึ่งหนึ่ง เพื่อมิให้ปรศุรามมีกำลังมากเกินไป และใช้ไปในทางที่ไม่ควรอีก นอกจากให้กำลังแล้ว ท่านยังประกาศให้พระคเณศ มีพระนามว่า เอกทนต์ คือ ผู้มีงาเดียว และว่านามนี้ จะเป็นเครื่องประกาศคุณงามความดี ที่ทรงเป็นลูกกตัญญูต่อบิดา รู้จักรักษาเกียรติบิดา และยังให้นามว่า พิฆเนศวร ซึ่งหมายถึง ผู้ที่สามารถกำจัดอุปสรรคได้นานาประการ รวมทั้งให้นามว่า สิทธิบดี หมายถึง เจ้าแห่งความสำเร็จ 

            แต่ที่สำคัญคือ ทรงให้พรแก่พระคเณศอีกว่า ในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง ท่านจงเป็นใหญ่เป็นประธาน ผู้กระทำพิธีกรรมใดๆ หากไม่เอ่ยนามท่าน ไม่สวดสรรเสริญท่านก่อน พิธีกรรมนั้นจะไร้ผล และล้มเลิกโดยสิ้นเชิง บุคคลใดสวดสดุดีท่านก่อนทำกิจกรรมใดๆ กิจกรรมของเขาจะลุล่วงเป็นผลสำเร็จโดยง่าย และด้วยพรที่พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ประทานแก่พระคเณศนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลาย ต่างพากันบูชาและกล่าวสดุดี องค์พระพิฆเณศวร์ก่อนเทพองค์อื่น เพื่อความสำเร็จแห่งตน และนอกจากพระนามข้างต้นแล้ว พระคเณศยังมีอีกหลายพระนาม ซึ่งล้วนเรียกตามลักษณะของพระองค์ทั้งสิ้น เช่น อาขุรถ หมายถึง ผู้ทรงหนูเป็นพาหนะ, สัพโพทร หมายถึง ผู้มีท้องย้อย และ ลัมพกรรณ หมายถึง ผู้มีหูยาน เป็นต้น

             นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว พระคเณศยังได้ชื่อว่า เป็นเทพแห่งปัญญาด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งพระแม่อุมา ได้นำมะม่วงผลหนึ่งมาถวายพระศิวะ โอรสทั้งสองคือ พระคเณศและพระขันธกุมาร ต่างอยากเสวยมะม่วงผลนี้บ้าง พระศิวะจึงได้ทดสอบดูว่า พระกุมารทั้งสองใครเก่งกว่ากัน โดยบอกว่าใครก็ตาม ที่เดินทางรอบโลกได้เจ็ดรอบ แล้วกลับมาถึงก่อนเป็นผู้ชนะ 

             ขันธกุมารได้ฟังปั๊บไม่รอช้า ขี่นกยูงออกไปท่องโลกทันที ฝ่ายพระคเณศแทนที่จะทำตาม กลับเดินประทักษิณ (เดินเวียนขวา) รอบพระศิวะผู้เป็นบิดาเจ็ดรอบ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์  ข้าพระองค์ได้ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศล เท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ พระศิวะได้ยินคำตอบ ก็ชื่นชมในสติปัญญาของพระคเณศ จึงมอบผลมะม่วงให้พระองค์ทันที

            ที่ว่ามาข้างต้นถือว่าเป็นเรื่องในตำนาน  แต่ตามหลักวิชาการ เขาว่ากันว่า ลัทธิบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิที่บูชาสัตว์ และพระคเณศอาจมีต้นกำเนิด มาจากการเป็นเทพเจ้าประจำเผ่า ของคนที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ และต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัว จึงได้เกิดการเคารพในรูปช้างขึ้น เพื่อปกป้องคุ้มครองตน และได้พัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูง จนกลายมาเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค ที่มีความเฉลียวฉลาด และยังได้รับการยกย่อง ให้เป็นหัวหน้าแห่งเทพ ที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย และต่อมาก็ได้พัฒนาเรื่องราว จนกลายเป็นโอรสแห่งพระศิวะ และพระแม่อุมาตามตำนานข้างต้น   

             ส่วนหนูนั้น เขาว่าน่าจะเกิดจากการที่สมัยก่อน คนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ หนูที่ชอบทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงเป็นอุปสรรคต่ออาชีพ และเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ดังนั้น การนำหนูมาเป็นพาหนะ ของเทพเจ้าที่ตนนับถือ จึงเป็นการแสดงความมีอำนาจเหนือกว่า และมีนัยของการขจัดอุปสรรคไปในตัว ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานี้ คงจะทำให้ทุกท่านได้รู้เรื่องราวขององค์พระพิฆเณศร์เพิ่มขึ้น และก่อนจบขอนำคาถาที่นิยมใช้บูชาพระองค์ มาให้ท่านผู้สนใจได้ท่อง คือ โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ หมายถึง ข้าฯ ขอนอบน้อมแด่พระคเณศ



....................................................
ข้อมูลและภาพจาก อ ส ม ท ข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  กระทรวงวัฒนธรรม

416

นักมวยสากลชื่อดังซิ่งรถชนคนตายครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 9 ก.พ. พ.ต.ท.อภิมุข อำนาจมั่นคง สารวัตรเวร สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถเก๋งชนรถ จยย. มีผู้เสียชีวิต บริเวณป้ายสุดเขตเมืองพัทยา ถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าสัตหีบ หมู่ 1 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์พัทยานำกำลังไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุในร่องกลางถนนพบรถ จยย.ยามาฮ่า มีโอ สีดำ ทะเบียนป้ายแดง หมายเลข 1-326 สภ.สัตหีบ สภาพพังยับทั้งคัน ชนอัดก๊อบปี้อยู่กับโครงเหล็กป้ายโฆษณาของเทศบาลเมืองพัทยา ใกล้กันพบศพนายสุรพงษ์ เพชรใสดี อายุ 23 ปี ผู้ขี่รถ จยย. นอนเสียชีวิตอยู่ในร่องกลางถนน สภาพศพคอหัก แขนและขาทั้ง 2 ข้างหัก โดยมีญาตินั่งร่ำไห้อยู่ข้างศพด้วยความโศกเศร้า ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร พบรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กม 646 ชลบุรี สภาพรถหลังคาเปิดหายไปทั้งแถบ

จากการสอบปากคำนายพรชัย ราชโสภา อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 9 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หรือแสนศักดิ์ สิงห์มนัสศักดิ์ นักมวยสากลชื่อดัง คนขับรถเก๋งคันดังกล่าว ซึ่งได้รับบาดเจ็บถูกเศษกระจกบาดใบหน้าและแขนเพียงเล็กน้อยให้การว่า ขับรถยนต์มุ่งหน้าไปสัตหีบ เพื่อจะไปรับญาติไปหาหมอ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุรถ จยย.ของผู้ตายขี่ออกมาจากซอยตัดหน้ารถเก๋งอย่างกระชั้นชิด ตนพยายามเหยียบเบรกแต่เอาไม่อยู่ พุ่งชนรถ จยย. และโครงเหล็กป้ายโฆษณาพังยับ และทำให้นายสุรพงษ์เสียชีวิตดังกล่าว 

โดยนักมวยชื่อดังได้โชว์เครื่องรางของขลังและพระเครื่องที่ห้อยคอ อาทิ พระร่วงกรุลพบุรี และตะกรุดอาจารย์อ๊อด ให้ผู้สื่อข่าวดู ก่อนจะเปิดใจว่า การรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ครั้งนี้เชื่อว่าน่าจะมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บูชาอยู่ หลังตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้ว เจ้าหน้าที่ จึงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนควบคุมตัวนายพรชัยไปสอบสวนอีกครั้ง ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

................................................................
ข่าวจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 10/0/2551
http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=78340

417
ไล่หลังที่เขามีการจัดชุดพระเครื่อง เบญจภาคี อันมีพระเครื่องหลักยอดนิยม ประกอบด้วย พระสมเด็จวัดระฆัง พระลีลาเม็ดขนุน(ซุ้มกอ) พระรอด พระผงสุพรรณ และพระนางพญา นั้นก็ได้มีการจัดเบญจภาคีชุดเหรียญพระเกจิอาจารย์ ตามไปด้วย ซึ่งชุดเบญจภาคีเหรียญชุดแรก เขาจัดเรียงตามลำดับของความนิยม นั้นก็มีดังนี้  (ที่มา www.amulet2u.com/ben03.htm )
1. เหรียญหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง
2. เหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม
3. เหรียญหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
4. เหรียญหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม
5. เหรียญหลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่





แต่พอมาถึงทุกวันนี้ ชุดเบญจภาคีเหรียญ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมไปบ้าง คือ เหรียญหลวงพ่อกลั่น จากอันดับสอง เลื่อนขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่ง แล้วเหรียญหลวงปู่เอี่ยม ก็ลดลงมาอยู่อันดับสอง และเหรียญหลวงพ่อพุ่ม ซึ่งนับวันจะหาของไม่ค่อยมี จึงได้มีการเอาเหรียญหลวงปู่ขาว วัดหลักสี่ เหรียญพระครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง หรือเหรียญหลวงพ่อฉุย วัดคงคาราม เหรียญใดเหรียญหนึ่งเข้าไปแทน แต่ก็แน่นด้วยพุทธคุณเช่นกันครับ 
 

(ภาพจากเฮียตี๋เหล้า)


(ภาพจากชรินทร์ สงขลา)

418
ธาตุ ตามตำราทั้งโหราศาสตร์ไทยและโหราศาสตร์จีน แบ่งออกเป็น 5 ธาตุ  ได้แก่ ดิน ทอง น้ำ ไม้ไฟ วิธีดูว่าตนเองอยู่ธาตุอะไรดูได้ดังนี้
ธาตุดิน ได้แก่ผู้ที่เกิดปีนักษัตร ฉลู มะโรง มะแม จอ
ธาตุทอง ได้แก่ผู้ที่เกิดปีนักษัตร วอก ระกา
ธาตุน้ำ ได้แก่ผู้ที่เกิดปีนักษัตร ชวด กุน
ธาตุไม้ ได้แก่ผู้ที่เกิดปีนักษัตร ขาล เถาะ
ธาตุไฟ ได้แก่ผู้ที่เกิดปีนักษัตร มะเส็ง มะเมีย

419
คาถาปลุกตัว (วัดถ้ำฝด กาญจนบุรี)
สัมปันโนปะวะสีเสวะ สมาธิงปะวะโรชิโน
สะยัมภูญาณะสัมปันโน สันหาวาจังนะมามิหัง
ฤทธ์ปุราคาริภูตังวะ ฤทธิวิชาปฏิหันยาติ
ริตตะกัมมังนะกาเรตะวา ริยะวังสังนะมามิหัง
โทอุด ทังอัด โทอุด ทังอัด โทอุด ทังอัด
...................................................................
สวดก่อนนอน หรือ ก่อนออกเดินทาง หรือ ก่อนติดต่องาน
เมตตามหานิยม มหาอำนาจ มหาอุด แคล้วคลาด โชคลาภ ป้องกันคุณไสย
สวดตามกำลังวัน อา.6,จ.15,อ.8,พ.17,พ.กลางคืน12,พฤ19,ศ21,ส10

เมื่อวานไปเที่ยววัดถ้ำแฝดมาครับ เลยนำมาฝาก :001:

420
ธรรมะ / คิด-พิจารณา
« เมื่อ: 03 ก.พ. 2551, 07:43:34 »
  ไม่นานเลยหนอ กายนี้ก็จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้ปราศจากวิญญาณแล้ว ถูกเขาทิ้งไว้เหมือนท่อนไม้ที่หาประโยชน์มิได้ ควรที่มนุษย์เราจะต้อง....ทำตนให้เป็นผู้มีเหตุผล สร้างคุณความดี มีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเสียสละ สร้างความสามัคคีในชาติ อันเป็นแดนดินถิ่นเกิด กตัญญูรู้คุณ จักชื่อว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็น....มนุษย์.

พระครูประกาศสมาธิคุณ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘

421
หลวงปู่แผ้ว ปวโร ถูกส่งตัวเข้ามารักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลกำแพงแสน ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมาโดยหลวงปู่มีอาการเวียนศีรษะ ร่างกายอ่อนแรง มีไข้ขึ้นสูง แพทย์พบว่ามีอาการปอดบวม และโรคเบาหวานกำเริบ ขณะนี้อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังไม่มีกำหนดกลับวัดจนกว่าแพทย์จะอนุญาต และยังงดเยี่ยมชั่วคราว
(ที่มาของข้อมูล:หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551)

422
วันนี้ผมมีโอกาสได้ไป ที่วัดโคกเขมา พระอาจารย์ระพิน(กำไร)อภิชาโน  เจ้าอาวาสวัดโคกเขมารูปปัจจุบัน(ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเปิ่น) ผมสอบถามกับท่านเรื่องคาถาที่ใช้ในการคาดตะกรุด ท่านก็เมตตาบอกให้มาว่า
ตั้งนะโม 3 จบ
พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง อุกาสะ อาราธนานัง กะโรมิ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตตัง สุนะพุทธัง อะสุนะอะฯ (บริกรรมก่อนคาด)
สัตถาเทวะมะนุสสานัง(ภาวนาตอนจะคาด)
อิมัง กายะพันธะนัง อะธิษฐามิ (บริกรรมขณะคาด)
พุทโธภะคะวาติฯ (บริกรรมเมื่อแก้ปมออก)
ที่สำคัญ ท่านบอกว่า ใช้ได้ทุกสำนักครับ :015:

424
พระตระกูลยอดขุนพล จัดได้ว่าเป็นพระชุดที่ได้รับความนิยมมากชุดหนึ่ง พุทธลักษณะของพระตระกูลยอดขุนพล จะเน้นหนักไปทาง มหาอำนาจเคร่งขรึม ส่วนมากที่พบ จะทำมาจากเนื้อชิน(ตะกั่ว+แร่เงิน+ฯลฯ)ซึ่งความเก่าของพระจะปรากฏออกมาจากคราบบนองค์พระ  เช่น เนื้อชินเงิน(แก่เงินมาก),เนื้อชินตะกั่ว,เนื้อชินสนิมแดง,เนื้อชินสนิมเขียว.พุทธคุณจะเน้นไปที่เรื่องคงกระพันชาตรีเป็นหลัก  ดูได้จากฉายาที่นักเลงพระสมัยก่อน ขนานนาม เช่น พระท่ากระดาน เกศบิด ตาแดง มัจจุราชเมิน.จัดได้ว่าเป็นพระของนักรบมาแต่โบราณกาล ซึง่ท่านเสถียร เสถียรสุต ได้จัดหมวดหมู่สุดยอดพระชุดยอดขุนพลเนื้อชิน ออกมาได้ ๕ องค์ เรียกว่า"พระเบญจภาคีเนื้อชิน(ยอดขุนพล)" ประกอบไปด้วย๑.พระร่วงรางปืน สุโขทัย

๒.พระหูยาน ลพบุรี[URL=http://imageshack.us][/URL]

๓.พระท่ากระดาน กาญจนบุรี[URL=http://imageshack.us][/URL]

๔.พระชินราชใบเสมา พิษณุโลก[URL=http://imageshack.us][/URL]

๕.พระมเหศวร สุพรรณบุรี[URL=http://imageshack.us][/URL]
..............................................................................
พุทธศิลป์บรรพบุรุษสร้างไว้ควรรักษาให้คงอยู่สืบไป.

425
สุดยอดเบญจภาคีเครื่องราง-ของขลัง ของเมืองไทย
ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ เสือ หลวงพ่อปาน หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่น หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เบี้ยแก้กันของ หลวงปู่รอด วัดนายโรง







426

เก็บเอามาให้ชมครับ ในวันปลุกเสก(พิธีมหาพุทธาภิเษกจักรพรรดิตราธิราช)13 ตุลาคม 2550

ตั้งแต่เริ่มพิธี ฝนตั้งเค้ามืดครึ้ม รอบๆวัดฝนตกหนัก แต่ในบริเวณพิธีไม่มีฝนซักหยด หลังจากปลุกเสกเรียบร้อย ประชาชนแย่งกันดึงสายสิญจน์ ที่ขึงรอบพิธี เท่านั้นแหละครับ ฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย   เชื่อแล้วครับว่า ยันต์พระพายสะกดทัพ สุดยอดจริงๆ :015:

427
แนะนำพระสุปัฏิปันโณ อีกรูปหนึ่งนะครับ ผมไปอ่านเจอแล้วน่าศรัทธาเลยนำมาฝากครับ :017:(คัดลอกมาจาก พลังจิต)
หลวงปู่ผู้หลีกเร้นอยู่ในป่า

--------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวันเสาร์หนึ่งต้นปี 2545 กัลยาณมิตรผู้เป็นอุปฐากใหญ่ของหลวงปู่กูดแห่งวัดใจ ได้นำขึ้นเขาไปอยู่ ค้างคืนภาวนาในถ้ำเฝ้าหลวงปู่ หลังจากที่หลวงปู่ขึ้นมาภาวนาเป็นสัปดาห์ที่ 3 แล้ว เป็นโอกาสที่ได้สัมผัสกับการปฏิบัติตนตามพุทธประเพณีอย่างเคร่งครัดของพระสงฆ์สาวก แม้หลวงปู่อายุจะครบ 87 แล้วก็ยังแสวงความวิเวก มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ระย่อกับความขัดข้องของธาตุขันธ์ ปฏิบัติตามธุดงควัตรเป็นปกติ คนที่อายุน้อยกว่าหลวงปู่คราวหลาน ทั้งเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอยังหอบแล้วหอบอีก เหงื่อไหลโทรมกาย กว่าจะขึ้นถึง แม้จะพออยู่พอภาวนาได้ก็เป็นเพียงคืนเดียว มีข้อปลอบใจว่าเดี๋ยวก็จะได้กลับมาพบความสุขสบายตามเดิม ในขณะที่หลวงปู่อยู่เป็นปกติ ภาวนาทั้งคืน เป็นธรรมดาอย่างที่สุด

ได้พบได้เห็นด้วยตนเองก็เป็นบุญเหลือเกินแล้ว ธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ธุดงควัตรตามพุทธประเพณี ยังได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยสงบเยือกเย็นและเป็นธรรมดา

ต่อมาไม่นานนัก จากคำบอกเล่าของกัลยาณมิตร ผู้เป็นอุปฐากก้นกุฏิของหลวงปู่ เป็นเวลาค่ำแล้วขณะที่หลวงปู่กำลังปฏิบัติสมณธรรมอยู่ในกลด (หลวงปู่ขึ้นเขามาอยู่ในถ้ำเป็นเดือนแล้ว) พบว่ามีมดไต่อยู่บนตัว จึงเปิดกลดออกดู ก็เห็นมดดำขนาดใหญ่ล้อมอยู่เป็นหมื่นๆตัว ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหลวงปู่ได้เอ่ยวาจาว่า "อโหสิกรรมให้เด้อ" และปลดจีวรออกจากตัว กองทัพมดป่าก็เข้ารุมกัดทึ้งเนื้อหนังของหลวงปู่ตลอดคืน กระทั่งเช้าขึ้น พระ-เณรที่มาเฝ้าอยู่หน้าถ้ำถึงได้เข้ามาเห็นฝูงมดที่ปกคลุมร่างของหลวงปู่ดำมืดไปทั้งองค์ เอะอะแจ้งบอกมายังอุปฐากก้นกุฏิท่านนี้ จึงได้รีบแจ้นไปพาหลวงปู่เข้าโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ก็ได้ให้เข้าไอซียูทันที

แม้เมื่ออยู่โรงพยาบาลแล้ว ยังไม่วายต้องคอยปลดมดออกจากตัวหลวงปู่ ตามร่างกายส่วนใดที่ถูกมดใหญ่กัดแทะก็จะเห็นเป็นรอยแผลรอยเนื้อหนังแหว่งออกไป ส่วนใดที่เป็นพื้นที่ของมดเล็กก็จะไม่ค่อยเห็นรอยหนังเปิด แต่ก็อักเสบบวมแดงจากพิษอย่างน่ากลัว ยับเยินไปทั้งร่าง

แม้ธาตุขันธ์ของหลวงปู่จะชอกช้ำ น่าเจ็บปวดทรมานสักเพียงใด หลวงปู่ก็ยังทรงไว้ซึ่งสติและความเมตตาเป็นปกติธรรมดาอย่างที่สุด ซ้ำยังลุกขึ้นมานั่งเทศน์แสดงธรรมให้แก่ลูกศิษย์ที่รุดมาดูอาการด้วยความห่วงใย

ธรรมะที่หลวงปู่ได้แสดงอย่างเอาธาตุขันธ์เข้าแลก สุดจะแจกแจงบรรยาย แต่อย่างน้อย ประการหนึ่งก็ได้เห็นเป็นอัศจรรย์ในคุณธรรมอันวิเศษเหนือสติปัญญาของเรา ที่หลวงปู่วางธาตุขันธ์ราวกับซากศพให้ฝูงมดกัดแทะเป็นอาหารได้ตลอดคืน อีกประการหนึ่งก็ได้เห็นการแสดงผลของกฎแห่งกรรม ได้เห็นความทุกข์ทรมานจากการทรงขันธ์ในวัฏสงสาร ไม่เว้นแม้ภิกษุชราภาพผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอันวิเศษ

ครับ ไม่ว่ากระแสโลกจะเป็นอย่างไร ก็ยังปรากฏผู้ปฏิบัติรักษาพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ภิกษุผู้มีความเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติรักษาพุทธประเพณีและพระธรรมวินัย ธุดงควัตรอย่างเป็นอธิ ดุจดังพระมหากัสสปในครั้งพุทธกาลยังมีปรากฎอยู่ และที่สำคัญพระภิกษุผู้ปล่อยวางธาตุขันธ์ดังซากอสุภะยังมีให้พบสัมผัสอยู่

ถ้าจำไม่ผิด ท่านเกิดในจังหวัดทางอีสานใต้และทิ้งครอบครัวออกบวชเมื่ออายุประมาณ 50 ปี โดยเคยบวชเณรมาก่อน ครั้งเมื่อเป็นเณร ที่วัดได้ยินกิตติศัพท์หลวงปู่มั่น ก็ทิ้งท่านไปหาหลวงปู่มั่นกันหมด แม้ท่านอยากจะตามไปด้วยก็ไม่สามารถทำได้เพราะยังเด็กเกินไป ไม่สามารถเดินทางด้วยตนเองได้ เมื่อมีครอบครัว ท่านเกิดความรู้สึกเบื่อการครองเรือนมากจนไม่สามารถทนอยู่ในบ้านได้ ต้องออกไปนอนตามเขียงนา และในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งครอบครัวเพื่อออกบวช ขณะที่เดินจากมานั้น โดยท่านกำลังเดินอยู่บนเขา ภรรยาวิ่งตามมาทันที่ตีนเขา ร้องเรียกให้กลับไป ท่านก็ไม่หวั่นไหว หันหลังให้แล้วเดินจากไป

ซึ่งแม้ท่านไม่ได้พบหลวงปู่มั่น แต่ก็ได้อาศัยสำนักต่างๆในสายอีสาน เช่น ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระลูกวัดของหลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ และอาจเป็นวิบากแห่งความปรารถนาพุทธภูมิ จึงดูเหมือนท่านมิได้กราบครูบาอาจารย์องค์ใดเป็นอาจารย์อย่างชัดเจน คงได้แต่ฟังคำแนะนำเป็นครั้งคราวแล้วหลีกเร้นเข้าถ้ำเข้าป่า ทำความเพียรตามลำพัง

เพราะท่านออกบวชเมื่ออายุมากแล้ว จึงเร่งทำความเพียรมาก เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี กลับพบว่าไม่ค่อยก้าวหน้าในเรื่องมรรคผลสักเท่าใด เนื่องจากท่านปรารถนาพุทธภูมิอยู่โดยไม่รู้ตัว จนได้ครูบาอาจารย์ผู้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นท่านหนึ่งสะกิดให้ จึงได้ระลึกรู้แล้วลาพุทธภูมิ ก่อนที่จะลาพุทธภูมิ ขณะหลวงปู่ปฏิบัติธรรมจะมีความสว่างที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แม้เป็นเวลาเดือนมืด พระ-เณรชอบไปแอบดูความอัศจรรย์นี้ ครั้นลาแล้วความสว่างนี้ก็หายไป เข้าใจว่าเป็นการสงเคราะห์จากภูมิละเอียดที่ต้องการสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์

กัลยาณมิตรของผมได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่เมื่อประมาณกว่า 10 ปีที่แล้ว จากอาจารย์ของท่าน(ท่านอาจารย์สมาน แห่งวัดหินโป้งเป้ง จ.หนองคาย ปัจจุบันท่านประจำอยู่ที่ประเทศสหรัฐ) ขณะนั้นหลวงปู่อาพาธหนักติดต่อกันมาหลายปี มีโรคต่างๆรุมเร้า เช่น วัณโรคกระดูก เกาต์ ความดัน หัวใจ แพ้ยา ฯลฯ หูดับสนิท(จากอาการแพ้ยาขณะนั้น) ลุกเดินไม่ได้ ต้องถัดไปกับพื้นเพื่อขับถ่าย ตาเกือบมองไม่เห็น ตามเนื้อตัวมีอาการบวม ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ไม่สามารถจะล้มตัวลงนอนได้ ต้องอยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งตลอดเวลา อาหารแข็งก็ฉันไม่ได้ ได้แต่เฉพาะที่เป็นน้ำครั้งละเล็กละน้อยเท่านั้น ท่านอาจารย์สมานได้บอกเพื่อนของผมว่าจากทุกขเวทนาของธาตุขันธ์ที่ต่อเนื่องมาหลายปีนี้เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทานทน การที่หลวงปู่ยังทรงขันธ์อยู่ได้ ก็น่าจะเป็นเพราะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ พร้อมกับได้ฝากฝังให้เพื่อนท่านของผมนี้ดูแลด้วย มิฉะนั้นอีกไม่นานหลวงปู่อาจจำเป็นต้องดับขันธ์ ซึ่งท่านผู้นี้ก็ได้นำหลวงปู่มาเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพ ปรนนิบัติรักษาหลวงปู่ด้วยความเคารพศรัทธาจนหลวงปู่หายป่วย

ครั้นหลวงปู่กลับไปวัดที่จ.อุดร ผู้ที่เคารพศรัทธา ณ ที่นั้น ยังคงเพียงหวังพึ่งบุญหลวงปู่เพื่ออิทธิฤทธิ์และโชคลาภ โดยเฉพาะเรื่องหวยเป็นส่วนใหญ่ หลวงปู่จึงขอให้ท่านผู้นี้พาออกมาเสีย และในที่สุดก็ได้มาอยู่ที่วัดใจ ในบริเวณป่าละอู ซึ่งอุปัฏฐากท่านนี้ศรัทธาปลูกสร้างขึ้นมาให้หลวงปู่ได้พำนัก

เท่าที่เข้าใจเอาเอง คิดว่าหลวงปู่น่าจะมีวิบากเป็นพวกภูมิละเอียดมากกว่ามนุษย์ อันคงจะเป็นบริวารที่ติดตามหวังพึ่งหลวงปู่ หากเมื่อหลวงปู่ลาพุทธภูมิเสีย เหล่าบริวารจึงออกฤทธิ์ออกเดชกันยกใหญ่ หลายครั้งหลายคราว

หลายครั้งที่ผมได้ติดตามเพื่อนท่านนี้ไปกราบหลวงปู่ ก็ได้รับความเมตตาอย่างมากจากหลวงปู่เสมอ ที่มีแต่เฝ้าบอกสอนธรรมะให้ลัดตรงเข้าสู่พระนิพพานแต่ถ่ายเดียว

ปัจจุบันหลวงปู่ลงมาอยู่ที่วัดป่าบ้านวไลย ใกล้ถนนใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ไม่ต้องวิ่งลึกเข้าไปในเขตป่าละอูเหมือนวัดใจ แต่ครั้งหนึ่งที่เข้าไปกราบหลวงปู่ในช่วงหน้าฝนปี 2546 พอจะกลับก็เจอกับกระแสน้ำป่าไหลท่วมสะพานเข้าวัด เกือบออกมาไม่ได้ ดีที่มีกัลยาณมิตรอีกท่านที่ชำนาญการขับรถในป่า รู้เทคนิคบังคับรถ ฝ่ากระแสน้ำออกมาได้ด้วยความปลอดภัย

หากต้องการถวายทานกับหลวงปู่ควรไปแต่เช้าให้ถึงวัดประมาณ 7:00น ไปที่โรงครัวเลยเพื่อจัดอาหารที่เตรียมมาถวาย อาหารขบฉันต้องเป็นของอ่อนๆ ย่อยง่าย และไม่ทำให้โรคเกาต์กำเริบ เช่น พวกเนื้อไก่-สัตว์ปีกอื่นๆ ไข่ เครื่องใน และหน่อไม้ ต้องงดเว้น อาหารรสจัดและเสาะท้องต้องงดเว้นเช่นกัน น้ำขิงไม่ถูกธาตุขันธ์กับหลวงปู่ ซึ่งเมื่อฉันเสร็จก็เป็นเวลาเดียวที่จะถวายของ และขอรับฟังธรรมได้ แต่จะเป็นเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นหลวงปู่จะบำเพ็ญสมณกิจโดยตลอด ไม่ควรรบกวน อีกเวลาหนึ่งที่สามารถเข้าไปกราบได้คือหลังหลวงปู่สรงน้ำเสร็จใหม่ๆ เวลาประมาณ 15:30น

ส่วนเครื่องไทยทานอื่นๆก็ไม่ทราบจะแนะนำอะไร เพราะหลวงปู่สมถะแบบพระป่าจนน่ากลุ้มใจสำหรับผู้มุ่งหวังจะเอาบุญกับท่าน ครั้งที่ผมไปขออาศัยค้างคืนปฏิบัติธรรมในถ้ำ ไม่ได้เตรียมอะไรไปถวายเลย คิดจะไปซื้ออาหารถวายเอาข้างหน้า เมื่อถึงสถานการณ์จริงก็พบว่าขัดข้องขึ้น-ลงลำบากไม่ทันการ ได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ แต่ก็เหมือนหลวงปู่เมตตา สายวันรุ่งขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังจะออกจากถ้ำเพื่อยุติการรบกวนหลวงปู่จากการปฏิบัติสมณธรรม เกิดเอะอะกันขึ้นว่าหลวงปู่ไม่ได้เอาไฟฉายมาจากกลด (ที่นั่งฉันและรับแขกอยู่ห่างจากกลด) ผมจึงได้โอกาสรีบถวายไฟฉายที่ติดตัวไป เพื่อนของผมปากไว้ด้วยความเคยชินมรรยาทสังคม บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ของหลวงปู่มีอย่างดีอย่างใหญ่ เดี๋ยวขึ้นไปเอามาให้หลวงปู่ได้ เล่นเอาผมใจตกวูบ หลวงปู่ก็เอ่ยแย้งขึ้นอย่างเมตตาเป็นที่สุดว่า อันนี้มันเล็กเหมาะดี เล่นเอาปลื้มปีติอยู่อีกหลายวันและทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็ยังมีแถมให้ยิ่งปลื้มไปกว่านั้น บางครั้งที่ไปกราบหลวงปู่ก็ยังสังเกตุเห็นไฟฉายกระบอกน้อยแบบนักดำน้ำใช้ สีเหลืองใสสะดุดตา อันที่ได้ถวายไว้วางใกล้ที่หัวนอนของหลวงปู่ดุจเป็นเครื่องบริขารประจำ

เส้นเกศาของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์มาก แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุก็มี ผู้ที่อาราธนาติดตัวได้พบความอัศจรรย์กับตัวเองหลากหลาย มีกรณีหนึ่งอดีตหัวหน้าเจ้าหน้าป่าไม้เขตนั้นเคยนำเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ แล้วถูกดักซุ่มยิงด้วยอาวุธสงครามชนิดที่คงต้องการไม่ให้เหลือรอดออกไปเลย หากกลับไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่เป็นระยะหวังผล

ชานหมากของท่านก็มีผู้จ้องขอตลอดเวลา หากศรัทธาปรารถนา ควรกราบเรียนขอท่านเมตตาไว้ตั้งแต่ท่านเริ่มมาถึงศาลา แต่ถ้ามีผู้อื่นขอไว้แล้วก็ควรงดเว้น มิฉะนั้นท่านจะเมตตาฉันเพิ่มกว่าปกติ ซึ่งเป็นการรบกวนธาตุขันธ์ท่านเกินไป

พรของหลวงปู่เป็นที่เชื่อศรัทธาว่า ทันตาเห็น แต่ก็ใช่จะหว่านโปรยอย่างขัดต่อกฏแห่งกรรม นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้รับพรจากหลวงปู่ไปได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งภายในเวลาไม่กี่วัน ล่าสุดมากราบขอพรจากหลวงปู่อีก หลวงปู่ก็เมตตาอำนวยอวยชัยให้ดังปรารถนา แต่ตบท้ายด้วยใจความว่า ?.ความสุขความสมหวังที่ต้องการและอวยพรให้นั้นจะสำเร็จได้ก็ต้องด้วย กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรมที่สุจริต?. เจ้ากรมทหารท่านหนึ่งพาลูกน้องมากราบหลวงปู่เป็นคันรถบัส พอจะเรียงแถวเข้ามาขอพร หลวงปู่ก็กวักมือเรียกท่านเจ้ากรมให้มานั่งข้างๆ และเมื่อลูกน้องท่านเจ้ากรมกราบขอพรให้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง หลวงปู่ก็หันมาถามเจ้ากรมว่า จะให้เขาไหม??

ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมของหลวงปู่ ก็ล้วนแล้วเป็นการไล่ให้ไปพระนิพพานทั้งสิ้น มีประโยคหนึ่งที่ผมจำได้แม่น คือ ?พิจารณา ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 ให้มาก พระนิพพานก็อยู่ตรงนี้แหละ? และยังมีอีกวลีที่กระแทกใจคนกิเลสหนาอย่างผมได้อย่างถึงกึ๋น คือ ??..มัวบริโภคความโง่อยู่ทำไม?..? :017:

428
ตามลิงค์ครับ
www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=333 - 10k -
ผมเคยได้ยินข่าว ว่าช่วงนั้นประมาณปี36-37 ที่วัดหนองแกมีพิธีพุทธาภิเษก(หลวงปู่คำ,หลวงพ่อเปิ่น,หลวงพ่อตัดฯลฯร่วมปลุกเสก) แรงถึงขนาด เมรุระเบิดเลยครับ(ทั้งๆที่วันนั้นไม่มีการเผาศพเลย) สุดๆจริงๆ :015:

429
วัวธนู ควายธนู หลวงพ่อน้อย ของขลังสายเขมรที่ไม่ธรรมดา


          วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย ซึ่ง วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย นี้เป็นของขลังสายเขมรที่ไม่ธรรมดา อยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ วัวธนู ควายธนู เครื่องรางของขลัง หลวงพ่อน้อย ลองอ่านดูครับ(ข้อมูลจาก ไทยโพสต์)




          แท้จริงแล้วเรื่องของวัวและควายธนู เป็นเครื่องรางของขลังทางฝั่งลาวและเขมร แต่ต่อมาได้เข้ามาสู่แผ่นดินสยามเมื่อคราวมีการอพยพไพร่พลเข้ามา

          หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง นครปฐม ท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์สายนี้เป็นอย่างมาก ท่านสร้างและปลุกเสกวัวธนูและควายธนูเอาไว้เฝ้าบ้านป้องกันเสนียดจัญไรจากคุณไสยลมเพลมพัด

          หลวงพ่อน้อย ท่านเอาทองแดงมาขึ้นเป็นรูป จากนั้นพอกด้วยครั่งผสมผงอาถรรพ์ 108 ลงรักปิดทองก็มี ท่านเสกด้วยคาถาที่เข้มขลังจากสายลาว เสกจนวัวธนู-ควายธนูหันหัวไปซ้ายไปขวาได้ พระเกจิรุ่นเก่าท่านขลังศักดิ์สิทธิ์จิตสูงจึงทำได้

          คนโบราณเรียกวัวของท่านว่า วัวปั้นหุน ดังคำภาษิตที่เขายกเอาไว้ให้เป็นเบญจภาคีเครื่องรางของขลังว่า "ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อปาน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นหลวงพ่อน้อย ศรีษะทอง เบี้ยแก้กันของวัดนายโรง"

          เคยเห็นมากับตาตอนที่เดินจากตราดเข้าสู่เขมรทางด้านเกาะกงและอ่าวปอ ด้วยเราเป็นเพียงพระหนุ่มเณรน้อยที่ยังอ่อนนักกับพระเวทย์และอาคมในยุคนั้น ได้เดินทางไปพักที่อ่าวปอเพื่อรอวันพรุ่งจะไปเฝ้าสังฆราชเขมร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์สอนกรรมฐานที่อยู่เมืองนครศรีธรรมราช

          ที่อ่าวปอนี้มีวัดหนึ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างเอาไว้ ทราบจากที่หน้าบันโบสถ์มีรูปตราประจำพระองค์ และเลข 5 ไทย ภายใต้มหามงกุฎปรากฏ อย่างนี้ก็ทำให้เราได้อุ่นใจขึ้นบ้างว่าโบสถ์หลังนี้พระราชสมภารเจ้า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของเราสร้างขึ้น คงจะพอนอนได้หลับลงสนิท ไม่คิดมากถึงเรื่องไสยอันลึกลับเสียเท่าไหร่นัก

          ไม่น่าเชื่อ สองทุ่มเศษที่เงียบราวกับป่าช้าที่ผีดุ ในใจก็กลัวอยู่แต่พอข่มด้วยสมาธิให้อยู่พอประคองไหว ราวเที่ยงคืนเศษไม่รู้สุนัขทำไมเห่าหอนนัก ทั้งๆ ที่นี่ไม่มีเลือกตั้งผู้แทน สักครู่ได้ยินเสียงอะไรไม่ทราบดังขึ้นตุบๆๆ อยู่หน้าโบสถ์ นึกในใจเป็นตายก็ไม่ออกไปดู โบสถ์ทรงแบบมหาอุดเข้าออกทางเดียวยังไม่น่าเกรงเท่าไหร่ แต่ในใจลึกๆ นึกไว้ว่าทหารเขมรมาเราไม่กลัว แต่ถ้าหากเป็นผีเขมรนี่คงลำบาก เพราะคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่

          แต่คืนนั้นก็รอดผ่านพ้นไปด้วยดี พอเช้าแล้วเปิดประโบสถ์ออกไปดู เห็นมีเศษหนังชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือวางเรียงกองอยู่ตรงใกล้ๆ ธรณี ประมาณ 3-4 ชิ้น พระในวัดที่พอสื่อกันได้พูดไทยสำเนียงเขมรบอกว่า เมื่อคืนนี้เขาเห็นมีคนมาปล่อยของลองอาคม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เลยหล่นอยู่หน้าโบสถ์ พอได้ฟังแล้วขนลุกซู่ และพนมมือขึ้นนึกถึงพระบารมีพระราชสมภารเจ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะลำพังพระหนุ่มเณรน้อยอย่างเราคงไม่รอดพ้นแน่

          พอเดินไปดูหลังประธาน ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีคอกของวัวและควายธนูอยู่บนโต๊ะหมู่เล็กๆ ถามว่ามีไว้ทำไม เขาบอกว่าโยมเอามาถวายไว้ เวลาวันโกนโยมเขาจะมาถือศีลนอนในโบสถ์นี้ รุ่งเช้าเป็นวันพระ ก็ทำบุญใส่บาตรและภาวนาจนสิ้นวันพระ เขามีเอาไว้กันคนที่เป็นมิจฉาทิฐิมาทำของใส่อย่างเมื่อคืนนี้แหละ ผมจึงเชื่อว่าแม้วันนี้โลกเปลี่ยนไปปานใด แต่ทว่าเรื่องของคุณไสยยังมีอยู่จริง

          ที่เขมร วัวธนูและควายธนูเป็นเครื่องรางที่ป้องกันคุณไสยได้เยี่ยมนัก ใครมีบูชาต้องตั้งเป็นคอก มีแก้วน้ำและกอหญ้าสดวางไว้เป็นเครื่องเซ่น เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเกรงกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีกต่อไป แม้เราจะอยู่ในโลกวิทยาศาสตร์แล้ว แต่บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นสิ่งที่จำกัดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงกับสิ่งที่นอกเหตุเหนือผลที่มีอยู่จริงได้เหมือนกัน

....................................................

สำหรับวัวธนูในภาพ เป็นของ หลวงพ่อจืด สำนักสงฆ์โพธิ์เศรษฐี (ศิษย์สายหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองและศิษย์เอก หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา) ครับ :015:





430
บทพุทธคุณ
อิ   ระ   ชา   คะ   ตะ   ระ   สา
ติ   หัง   จะ   โต   โร   ถิ    นัง
ปิ   สัม   ระ   โล   ปุ   สัต   พุท
โส  มา   นะ   กะ   ริ   ถา   โธ
ภะ  สัม   สัม   วิ    สะ  เท   ภะ
คะ  พุท  ปัน   ทู  ทัม   วะ   คะ
วา  โธ    โน   อะ  มะ   มะ   วา
อะ  วิช    สุ    นุต  สา  นุส    ติ
.............................................
ลองท่องจากบนลงล่าง จะเป็นบทพุทธคุณ
ท่องจากซ้ายไปขวา จะเป็นคาถาอิติปิโสแปดทิศ (กระทู้เจ็ดแบก,ฝนแสนห่า,นารายณ์เกลื่อนสมุทร,นารายณ์ขว้างจักร,นารายณ์ตวาดป่าหิมพานต์,นารายณ์ถอดจักร,นารายณ์พลิกแผ่นดิน,นารายณ์แปลงรูป.ตามทั้ง 8 บรรทัด)
ท่องถอยหลัง จะเป็นบทอิติปิโสถอยหลัง
โยงตามดาเดินหมากรุก ตัวม้า จะเป็นคาถาเกราะเพชรฯลฯ 

431
จะลองนำไปใช้กันดูก็ได้นะครับ ( ตำราเดียวกับหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม)


433


หลังจากที่ผมได้รับผ้ายันต์ โภคทรัพย์ ของ หลวงพ่ออ็น วัดเขาราหู เมื่อวานนี้ จากคุณ leng_kub ก็ทำให้กิจการของที่บ้านผม ดีขึ้น อย่างผิดหู ผิดตา
ล่าสุด วันนี้ครับ ลูกหนี้เอาเงินมาจ่าย 3แสนกว่าบาท เป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ (ผัดมา 3-4 เดือนกว่าๆแล้ว) พุทธคุณสุดยอด จริงๆครับ ขอขอบคุณความมีน้ำใจของคุณ leng_kub อีกครั้งครับสำหรับผ้ายันต์ :054:

434

คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
ด้วยความเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา สุขุมตามวิถีของท่านไปเป็นแบบสมถะเรียบง่าย ไม่สะสม เงินทอง ไม่ยึดติดกับวัตถุ หรือลาภยศใดๆ แม้แต่ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดก็ได้ให้ลูกศิษย์ เป็นผู้รับ ตำแหน่ง แทน เป็นการละในเรื่องของความอยากออกไป ทำให้ หลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดกำแพงแสน เป็นพระผู้ใหญ่ ที่มีลูกศิษย์ ให้ความเคารพ ศรัทธาเลื่อมใสจำนวนมาก

หลวงปู่แผ้ว อาจไม่ได้เป็นพระนักเทศน์ ไม่ใช่พระธรรมกถึก ที่เรืองนาม แต่คำพูดตรงๆ ง่ายๆ ของท่าน ก็ได้แทรกหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเสมอ เป็นการเตือนสติในการ ประพฤติปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตใจของพุทธศาสนิกชน ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ขณะเดียวกัน ท่านก็เป็นพระนักปฏิบัติ คำสอนหลักธรรม ที่ให้กับศิษย์ทั้งหลาย จึงมักจะเป็นข้อคิดหรือคติสอนใจ ธรรมะที่สอน อยู่ในรูปของบทความ บทกลอน หรือสักวาต่างๆ ตามแต่ละสถานการณ์ในขณะนั้น หรือตามภาวะของความทุกข์ของศิษย์แต่ละคน ที่พออ่านก็เกิดปัญญา สามารถที่จะนำมาวิเคราะห์พิจารณา ในการปฏิบัติ...หลวงปู่แผ้วได้อนุญาตให้สัมภาษณ์แบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้...

ศีลมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างไรครับ ?

-ศีล ๕ ข้อ ห้ามฆ่าสัตว์ ลักสมบัติ ผิดลูกเมียคนอื่น ลวงโลก ดื่มสุราเมรัย ใครทำได้ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง อาตมาเคยอ่าน ประวัติของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ท่านว่าให้ถือศีลเป็นชั่วโมงก็ได้ หรือเอาข้อหนึ่งข้อใดก็ได้ โบราณท่านว่าขาดศีล ก็ยังดีกว่าไม่มีศีลจะขาด คือไม่ถืออะไรสักอย่างเลย

นักวิชาการท่านว่าในศีล ๕ ข้อนั้น มีความเป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าศีลขาด ๑ ข้อ ความเป็นมนุษย์ก็ขาดไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าขาด ๒ ข้อก็หมดความเป็นมนุษย์ไป ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังนับว่าดีอยู่มาก ถ้าขาด ๓ ข้อก็หมดความเป็นมนุษย์ไป ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังใช้ได้

ขาด ๔ ข้อก็หมดความเป็นมนุษย์ไป ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ใกล้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าขาดทั้ง ๕ ข้อ ก็หมดความเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานเต็มตัว เพราะฉะนั้นการเกิดมาเป็นมนุษย์จึงสมควรที่จะรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ ถึงแม้จะรักษาไม่ครบทั้ง ๕ ข้อ รักษาได้สัก ๒-๓ ข้อก็ยังดี

วิชากรรมฐาน หลวงปู่เรียนมาจากใครครับ ?

วิชาวิปัสนากรรมฐาน อาตมาไม่ได้ไปเรียนมาจากที่ไหนหรอก เนื่องจากอาตมามีความสนใจในพระกรรมฐานของวัดมหาธาตุ แต่มาเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังที่วัดกำแพงแสน เพราะได้ศึกษาอยู่กับหลวงพ่อหว่างท่านนี้นั่นแหละ อาตมาเรียนอยู่กับท่านจนกระทั่งท่านมรณภาพ

การฝึกกรรมฐานจะดีต่อคนเราอย่างไรครับ ?

เพื่อความเข้าใจของการนั่งสมาธิ นอกจากจะให้ผลเป็นฌานสมาบัติแล้ว ยังให้ผลในความมั่นคงสมบูรณ์ได้อีกด้วย เป็นผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า คือชาตินี้เป็นคนรวย ชาติหน้าก็เป็นปัจจัยใกล้มรรคผล คือให้ผลในสุคติ มีสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไป หากคนใดสนใจเอาสมาบัติที่ได้ไป เป็นกำลังของการวิปัสสนาญาณด้วยแล้ว ก็จะได้รับผลสูงอย่างคาดไม่ถึง ขณะเดียวกันอาจผดุงผลทางลาภให้เกิดกลายเป็นคนร่ำรวย สมาธิยังให้ผล ในทิพยจักขุญาณ เป็นการช่วยส่งเสริมศรัทธา ในการสร้างความดีให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

สมาธิเป็นสิ่งที่ทำให้มีจิตอิ่มเอิบเบิกบาน หน้าตาชุ่มชื่นตลอดวัน อาตมาคิดว่า ใครได้ฝึกก็จะได้ในเรื่องของความสงบทางจิตใจ ไม่เครียดกับสิ่งแวดล้อม มีความอดทนต่ออารมณ์ที่เข้ามาย้ำเย้าได้ดีมาก มีเมตตาปรานีเกิดขึ้นแก่ใจ อย่างคาดไม่ถึงด้วย ไม่หลงใหลในภาพที่เห็น ยิ่งวันนี้เราจะเห็นกันว่า โลกทุกวันนี้ มีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ ทำอะไรก็ต้องอยู่กับการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอดกันทั้งนั้น ใครก็ตามที่เริ่มฝึกวิปัสสนากรรมฐาน จะเป็นการเพิ่มพูนบารมีให้กับตัวเอง เพื่อจะได้ไปสู่ในภพหน้า หรือไปสวรรค์นั่นเอง

ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง ?

เมื่อปัจจุบันบ้านเมืองเรามีคนจำนวนมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ก็มีมากขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนเหล่านี้ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจในการประมาณตนเอง และถ้าคนเราคิดว่าสุขมันก็ไปสวรรค์ หากทุกข์ก็เหมือนนรกนั่นเอง

เห็นลูกศิษย์พูดกันว่าหลวงปู่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้จริงไหมครับ ?

โอ๊ย ! อาตมาหยั่งรู้ไม่ได้หรอก (หัวเราะ) เพราะอาตมายังไม่สามารถนั่งสมาธิถึงฌานระดับนั้นได้ มันเป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่ที่บางคนบอกว่าอาตมารู้ใจใครได้นั้น ก็เป็นการถ่ายแบบรู้ตื่นๆ โยมบางคนมาหาที่วัด อาตมาก็เห็นผอมโซแสดงว่าเขาหิวข้าว (หัวเราะ)

แล้วหากพูดถึงเรื่องกฎแห่งกรรม มีอิทธิพลต่อมนุษย์เราอย่างไร ?

อาตมาอยากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ใครไม่เชื่อก็ต้องพิจารณากันให้ดีแล้วจะรู้ว่ามันมีจริงไหม กรรมก็เป็นกรรมบันดาลให้เกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีที่ได้ทำไว้นั่นเอง บางคนคิดฆ่าพ่อฆ่าแม่ นี่ก็เป็นวิบากของกรรม อย่าง พระสารีบุตร ท่านไปพบมารดาท่านในสมัยที่ร้อยชาติผ่านมาแล้ว เป็นเปรตผอมโซ ซี่โครงขึ้น

เมื่อท่านเดินผ่านไป เปรตผู้หญิงก็มองหน้า ถามว่าท่านจำฉันได้ไหม พระสารีบุตร ถามว่าท่านเป็นใคร เปรตตนนั้นบอกว่าสมัยหลังจากนี้ไปร้อยชาติ ฉันเคยเป็นมารดาของท่าน แต่อาศัยที่ไม่ทำความดี จึงมาเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นาน พระสารีบุตร ก็ถามว่า โยมต้องการอะไร จะทำให้ เปรตตนนั้นก็บอกว่าจะขอให้ถวายสังฆทาน แล้วก็มีผ้าสักผืนหนึ่งเล็กๆ กว้างคืบยาวคืบก็ได้ ถวายสังฆทานคืออาหารแล้วขอน้ำสักหน่อย เมื่อพระสารีบุตรกลับมาจากบิณฑบาตแล้วก็เอาใบไม้มา สมัยนั้นมันหาข้าวยาก เอาใบไม้มา เอาข้าวใส่ไปสักหน่อยหนึ่ง แล้วเอาใบไม้มาอีกใบ ใส่กับข้าวไปหน่อยหนึ่ง แล้วเอาน้ำใส่บาตร มีผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ ผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดมือเรานี่นะ ถวายเข้าไปในหมู่สงฆ์ลูกศิษย์ของท่านเป็นสังฆทาน อานิสงส์เพียงเท่านี้ เมื่อท่านอุทิศส่วนกุศลให้ ปรากฏว่ามารดาของท่านไปเกิดเป็นนางฟ้า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานสวยงาม มีสระโบกขรณี

บางคนบอกว่าทำชั่วแล้วยังได้ดี ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?

มันก็มีความเป็นไปได้ (หัวเราะ) บุญเก่าของเขาอาจมีมากอยู่ ผลกรรมชั่วก็เลยยังมาไม่ถึง บาปที่เป็นกรรมไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับมีเจตนาทำแล้วแบบไหน หากทำไปแบบอาตมา สมัยเป็นเด็กก็ฆ่าสัตว์มาเยอะเหมือนกัน นั่นก็เป็นบาปที่ไม่ทัน แต่ก็เป็นบาปเป็นกรรมที่จะต้องชดใช้เหมือนกัน

หลวงปู่ได้เริ่มสร้างวัตถุมงคลออกมาเมื่อไรครับ ?

เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ จริงๆ อาตมาก็ไม่ได้สร้างวัตถุมงคลเองหรอก มีลูกศิษย์นั่นแหละสร้างมาถวาย อาตมาจะทำพิธีปลุกเสกด้วยตัวเอง ปลุกเสกไปตามตำราที่หลวงพ่อหว่างเขาว่าเอาไว้นั่นแหละ ไม่มีคาถาอะไรที่มากไปกว่านี้

บางคนบอกว่าเอาพระของหลวงปู่ไปใช้แล้ว รอดตายจริงไหมครับ ?

เฮ้ย ! ไม่ใช่ (หัวเราะ) สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากอะไรอาตมาก็ไม่รู้ แต่การรอดตายนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ด้วยว่า เป็นคนดีแค่ไหน พวกนี้ก็มีส่วนทำให้คนเรารอดตายได้ แต่จะให้อาตมาบอกว่ารอดตายจากพระเครื่อง มันบอกไม่ได้

อ้าว ! แล้วบางคนบอกว่ามีพระของหลวงปู่แล้วใครก็ยิงไม่เข้า ?

อาตมาว่ายิงไม่ออกหรือยิงไม่เข้า กระสุนมันอาจไม่ดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ที่ยิงไม่ออก ยิงเข้าบ้างไม่เข้าบ้างก็เพราะมันยิงไม่ถูกก็ได้ (หัวเราะ)

จริงๆ วัตถุมงคลมีความจำเป็นต่อคนเรามากน้อยแค่ไหนครับ ?

จะว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็นมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่า เพราะวัตถุมงคลเหล่านี้มันก็เป็นการบำรุงจิตใจ กระตุ้นจิตใจให้กับคนเราได้ยึดมั่นในคุณงามความดี หรือบางครั้งบ้านเมืองเราอยู่ในยามคับขัน ขับรถกลัวเกิดอุบัติเหตุ พระเครื่องก็เป็นสิ่งย้ำเตือนไม่ให้คนเราประมาท ทำอะไรก็ต้องมีสติตลอดเวลา เมื่อจิตใจเราดี มันก็ทำให้คนเราฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

มีญาติโยมมาขอหวยบ้างไหมครับ ?

ก็มีเยอะเหมือนกัน แต่อาตมาไม่รู้ พอมาแล้วเขาไปซื้อกันไม่ถูกเลยหลายงวด คนพวกนี้ก็จะเลิกขอไปเอง ถ้าอาตมารู้ก็แสดงว่าเทวดาบอกซิ (หัวเราะ) ถ้าเขาไม่บอกอาตมาก็ไม่รู้

บางคนมาถ่ายภาพหลวงปู่แล้ว ปรากฏว่าภาพไม่ติดนั้น เกิดจากอะไร ?

กล้องมันเสียหรือเปล่า ต้องไปถามคนถ่ายว่าถ่ายอย่างไร อาตมาไม่รู้เพราะไม่ใช่คนถ่าย

แล้วหลวงปู่ไม่ได้เป่ามนต์คาถาห้ามถ่ายไม่ติดหรือครับ ?

อาตมาไม่ได้สั่ง เพราะจริงๆ อาตมาตั้งใจให้มันติด แต่ทำไมคนถ่ายออกไปแล้วภาพที่ถ่ายกลับไม่ติด ก็ไม่รู้เหมือนกัน

หลวงปู่มีโรคประจำตัวไหมครับ ?

สุขภาพอาตมาก็เรื่อยๆ แข็งแรงบ้างไม่แข็งแรงบ้าง มีโรคประจำตัวอยู่เหมือนกัน อาตมาเป็นโรคหัวใจ เมื่อไม่สบายก็ต้องรักษากันไป พออาตมาหยุดหายใจมันก็ตายอยู่แล้ว (หัวเราะ)

มีอะไรที่หลวงปู่ยังไม่ได้ทำบ้างครับ ?

อาตมาคงไม่คิดทำอะไรแล้ว อายุก็มากแล้ว อยากทำอยู่อย่างเดียว คือการมรรคผลนิพพาน เท่านี้อาตมาก็พอใจแล้ว ถ้าได้ก็ดี แต่มันคงลำบากและยากอยู่เหมือนกัน จะตายเสียก่อนล่ะมั้ง (หัวเราะ) คิดว่าอยู่อีกสองปีครบ ๗ รอบ อายุก็ ๘๔ ปีพอดี ชีวิตนี้เอาแค่นี้ก็พอ เกิดก็เกิดมานานแล้ว และที่สำคัญความเป็นพระสงฆ์จึงไม่ควรอยู่ในที่โอ่โถง

หลวงปู่มีธรรมะข้อไหนที่จะฝากให้กับผู้อ่านหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" ครับ ?

เมื่อถึงวัยทำงานแล้ว ปล่อยเวลาให้ผ่านไปไม่ยอมทำงานให้เป็นมรรคผล ปล่อยใจให้เป็นไปตามอารมณ์ก็ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ชีวิตก็จะรวนเรไม่เป็นแก่นสาร เมื่อถึงคราวชรามีมาถึงก็ไม่มีทรัพย์สมบัติมาเลี้ยงตัวก็จะอดอยาก จะพึ่งลูกหลานก็ไม่ให้พึ่ง ตัวเองก็จะถึงความเสื่อมทั้งกายและทรัพย์สิน คล้ายเป็นคนอนาถา หาที่พึ่งไม่ได้ ฉะนั้น ก่อนจะถึงวัยชราควรขยันทำมาหากิน หาสมบัติเป็นหลักฐานเอาไว้สำหรับเลี้ยงตัวและลูกหลาน ความทุกข์จะได้ไม่เบียดเบียนด้วยยามชรา

เมื่อวัยชรามีมาถึงเริ่มทำบาปไม่ไหวแล้ว หมั่นอยู่ในศีลธรรมภาวนาไม่เป็นคนเจ้าสำราญดื่มสุราเป็นอาจิณ ไม่เอาใจใส่ต่อบุญทานการกุศล แม้แต่จะหยุดใจเพื่อเจริญกรรมฐาน พุทโธ ธัมโม สังโฆ สัมมาอะระหัง ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ นะมะพะทะ จิตก็จะไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว มันก็จะไกลจากบุญกุศลจะพาตนให้เดือดร้อน มีทุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า คราวใกล้ตายจิตก็จะเศร้าหมองไม่ผ่องใส จิตไปสู่ทุคติ มีนรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จะไม่สมกับที่เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนาและเป็นชาวพุทธ อาตมาอยากจะบอกว่า เกิดมาเป็นมนุษย์จงทำความดีให้ถึงที่สุด ทำความดีให้สุดกำลังนั่นเอง


ชาติภูมิหลวงปู่แผ้ว
หลวงปู่แผ้ว ปวโร อายุ ๘๒ ปี พรรษา ๖๒ ชื่อเดิม แผ้ว บุญวัตร ชื่อเล่น แกละ เกิด เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๖๖ ตรงกับวันพุธ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุน ณ หมู่บ้านหลักเมตร ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม บิดาชื่อพาน มารดาชื่อ จุ้ย จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๓

จากโรงเรียนวัดหนองม่วง ต.เตาอิฐ อ.บางแพ จ.ราชบุรี

อายุได้ ๒ ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน ยึดอาชีพทำนาเป็นหลัก พ่อแม่ ถือเป็นคนใจบุญ สนทนาธรรมะกับพระมิได้ขาด กระทั่งปี ๒๔๗๕ โยมพ่อ ได้ฝากเด็กชายแกละไปเป็นศิษย์ ณ วัดหนองม่วง ต.เตาอิฐ เพื่อให้ได้ เรียนหนังสือกับพระสงฆ์ โรงเรียนสมัยนั้น จะอยู่ในวัด และพระเป็นครูสอน เด็กชายแกละ จึงอยู่ในความดูแลจากหลวงพ่อหงส์ เจ้าอาวาสวัดหนองม่วง แต่ก็ต้อง ออกจากโรงเรียนกลางคัน เพราะต้องออกมาช่วยงานทางบ้าน

อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๘๖ ณ วัดหนองปลาไหล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยมี พระครูสุกิจธรรมสร(พระอธิการหว่าง ธมมสโร) วัดกำแพงแสน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการปาน อารกฺโฆ วัดหนองปลาไหล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสนั่น วัดหนองปลาไหล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ต่อมาในปี ๒๔๙๗ จำพรรษาอยู่ที่วัดสว่างชาติประชาบำรุง ต.กำแพงแสน มีอาจารย์สุนทร ชิตะมาโร เป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยอย่างมุ่งมั่น จนสอบได้ถึงนักธรรมเอก หน้าที่รับผิดชอบยังคงเป็นครูสอน พระนักธรรมแก่พระภิกษุและสามเณร ต่อมาเจ้าอาวาสวัดได้ลาสิกขา ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง ๑-๒ ปี ชาวบ้านรวมทั้งพระภิกษุและสามเณรต้องการให้หลวงปู่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แม้หลวงปู่จะไม่ยินดีเท่าใดนัก

ปี ๒๕๐๒ จำพรรษาที่วัดกำแพงแสน จ.นครปฐม จนถึงปัจจุบัน โดยเบื้องต้นมีความสนใจในพระกรรมฐาน ของวัดมหาธาตุเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มาเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังที่วัดกำแพงแสน เพราะมีพระที่วัดได้ไปศึกษากรรมฐาน ที่สำนักกรรมฐาน ตรงพระนอนภายในองค์พระปฐมเจดีย์ จึงได้ยึดเป็นหลักการปฏิบัติเรื่อยมา

สาธุชนที่ต้องการจะไปกราบไหว้หลวงปู่แผ้ว สอบถามรายละเอียดเส้นทางไปที่วัดกำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้ที่โทรศัพท์ ๐-๙๔๔๕-๕๙๐๘, ๐-๑๗๒๒-๒๕๖๘
 


435


ขอบารมีหลวงปู่หิ่ม ,หลวงพ่อทองอยู่,หลวงพ่อเปิ่น และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในวัดบางพระ 

ได้โปรดดลบันดาลประทานพร คุ้มครอง สมาชิกเวบวัดบางพระ และครอบครัวทุกท่านครับ

สุข สดชื่น สมหวัง ตามอัตภาพ และเหมาะควรกับธรรมที่นำใจทุกท่านครับ
_________________

436


*-ประวัติ *- หลวงพ่อจืด นิมมฺโล สวนปฏิบัติธรรมโพธิ์เศรษฐี จ.นครปฐม เป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยระดับแนวหน้าของประเทศในยุคปัจจุบัน ท่าานเชี่ยวชาญพุทธคมสืบทอดสายวิชามาจากครูบาจารย์หลายรูป(อาทิ เป็นศิษย์เอก หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา,สืบสานวิชาของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เป็นต้น) มีดีหลายอย่างด้วยคุณธรรมนา นัปการ ด้วยวิริยะ อุตสาหะสูงส่งด้วยศิลาวัตรอันงดงาม ในการประพฤติปฏิบัติของหลวงพ่อจืดที่ท่านได้จรรโลง และสรรค์ สร้างแต่สิ่งดีๆ มีมงคลให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาก่อให้เกิดพลังศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ และสวัสดีมงคลทุกๆ คนส่งเสริมให้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองตามโบราณจารย์ท่านสั่งสอนอบรมเอาไว้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็ตามสร้างด้วยเจตนาอันดีงามเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้กำลังเจริญด้วยอำนาจวาสนาแห่งบุญญาบารมีอันล้ำเลิศประเสริฐยิ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นของผู้มีบุญสูง มีอนุภาพมากหากมีโอกาสให้รีบไขว่คว้ามาไว้ในชีวิตของตน บารมีของท่านผู้สร้างจะแผ่อนุภาพอันยิ่งใหญ่ ให้บังเกิดสิ่งดีๆ แก่ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย สาเหตุนี้เองจึงทำให้หลวงพ่อจืดท่านโด่งดังในด้านวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะบุญฤทธิ์อิทธิบารมีความเป็นผู้ทรงมหาเวทย์มหาอาคมแก่กล้าพลังจิตพลังฤทธิ์ที่ดลบันดาลผลถึงลูกศิษย์ลูกหา
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนอกจากในด้านเมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย ด้านแคล้วคลาดมหาอุตม์นั้นก็เป็นที่เลื่องลือไม่ใช่น้อยเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของญาติโยมทั้งส่วนท้องถิ่น และส่วนกลางท่านมีวาจาประกาศิต เลื่องลือกันมากคำไหนเป็นคำนั้นตรงกับใจเสมอวาจาสิทธิของหลวงพ่อจืด เป็นที่เล่าขานกันมานานแล้ว ส่วนความเมตตาบารมีธรรมนั้นสูงส่งมีญาณวิเศษของหลวงพ่อจืดล่วงรู้เหตุการณ์ใครที่เดือดร้อนทุกข์ใจไปกราบนมัสการขอความช่วยเหลือท่านจะเมตตาสงเคราะห์ โดยการอาบน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ไม่เลือกว่าใครจน ใครรวย เสมอเหมือนกันหมดสมกับเป็นพระของชาวบ้านอย่างแท้จริงและพร้อมกับแจกวัตถุมงคลให้ไปบูชาโดยเฉพาะตัวต่อเงิน-ต่อทอง ไว้ไปบูชา ไม่ช้าไม่นานก็รวยขึ้นมาเป็นลำดับ เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มามากต่อมากแล้ว วัตถุมงคลของท่านค้าไม่ดีจริง ไม่ขลังจริง คงไม่มีใครกล้ากล่าวถึง โดยเฉพาะคนในพื้นที่ใกล้วัดต่างก็มีวัตถุมงคล ของหลวงพ่อจืดบูชาติดตัวกันทั้งนั้น ต่างก็ยอมรับในประสบการณ์กล่าวขานกันมาช้านานแล้ว

437
 

พระสีสะแลงแงง เป็นวิชาอาคมที่ หลวงพ่อเต๋ คงทอง ท่านได้เรียนมาจากครูกระเหรี่ยงซึ่งในสมัยของหลวงพ่อเต๋ ไม่มีการสร้างพระสีสะแลงแงงนี้ขึ้นเพราะอาจจะกลัวว่าหากสร้างขึ้นแล้วผู้ที่บูชาไปอาจจะนำไปใช้ผิดทำนองคลองธรรม หรือผิดศีลธรรมได้ อันเนื่องด้วย พระสีสะแลงแงงนี้เป็นวิชาอาคมที่มีอานุภาพสูงทางด้านมหาเสน่ห์ มหาหลง มาถึงในยุคสมัยของหลวงพ่อแย้ม ท่านได้อนุญาตให้สร้างขึ้น
หลวงพ่อแย้มได้ทำการปลุกเสกเรียกจิต หนุนธาตุ 4 อาการ 32 มีจิตมีตัว วิธีบูชาให้บนด้วยเหล้าขาว บอกความปราถนาหากสำเร็จให้เลี้ยงด้วยเหล้าขาวโดยการเทเหล้าขาวลงบนผ้ายันต์เล็กน้อย ผ้ายันต์พระสีสะแลงแงงของหลวงพ่อแย้มนี้ไม่เพียงใช้ทางมหาเสน่ห์ มหาหลง เท่านั้น ยังสามารถใช้ทางด้านเจรจาค้าขาย โชคลาภ อีกด้วย ประสบการณ์สูงเป็นที่นิยม น่าเช่าบูชามากครับ



440
แนะนำพระดี ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก
ลองคลิกที่ลิงค์ด้านล่างนี้นะครับ
www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=1022 - 119k -


....................................
รู้จักพอ  ก่อสุข  ทุกสถาน

441
ห้อยพระอย่างไรให้ถูก "โฉลก"

คนเกิดปีชวด

วันอาทิตย์ เหมาะที่จะแขวนพระที่มีเมตตาเป็นหลัก ได้แก่ พระปิดตา พระสิวลี
พระสังกัจจายน์ ส่วนพระเครื่องเพื่อป้องกันตัวและเสริมการงาน
เนื่องจากเป็นผู้ที่มีรูปงามมีเสน่ห์ พระที่เหมาะควรเป็นพระที่มีอำนาจในตัว
ควรแขวนพระ ที่เป็นโลหะหรือผ่านธาตุไฟ เช่น พระกรุเนื้อชิน
พระเครื่องเนื้อโลหะหรือเหรียญ ไม่ควร จะเป็นพระที่เป็นเนื้อผง ถ้าเป็นเนื้อผง
ควรจะเลือกที่ผสมด้วยธาตุเหล็ก หรือผงตะไบเหล็กหรือโลหะเท่านั้น
หรือเป็นพระผงฝังตะกรุด

วันจันทร์ รูปสมบัติเป็นโภคทรัพย์ติดตัวมา จึงไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน
ควรจะทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัวจึงจะถูกโฉลก ควรแขวนพระที่คล้ายกับโฉลกงาน
เช่น พระทรงเครื่อง พระที่มีลวดลายประกอบอย่างงดงาม หรือพระพรหม พระพิฆเนศ

วันอังคาร ชีวิตมีแต่ความลำบาก ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้เงิน
ต้องระวังปากตัวเองให้มากที่สุด ควรแขวนพระไสยาสน์ หรือพระปางสมาธิ
เป็นเนื้อที่ผ่านไฟหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะพระทั้งสองปางหมายถึงความสงบระงับ
เมื่อเกิดความพลุ่งพล่านทุกครั้งให้เอามือกุมพระ จะเยือกเย็นลง

วันพุธ ชีวิตมีแต่ความเจ็บไข้จุกจิก แม้ไม่อันตรายถึงชีวิตก็บั่นทอนร่างกายไปมาก
เหมาะที่จะแขวนพระที่ทำจากต้นไม้ใบยา เช่น พระว่าน พระขมิ้นเสก พระไพลเสก
หรือพระที่มีส่วนผสมของตัวยาต่างๆ พระเนื้อผงผสมว่านก็ใช้ได้
บางคนแขวนหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดี เป็นผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ มีบุญเก่าอยู่มาก
ทำให้ชีวิตไม่ล้มลุกคลุกคลานมากนัก ไม่ค่อย รอบคอบในการตัดสินใจ ประมาทเป็นนิจ
ทำให้พลาดเงินหรือ เสียประโยชน์อันควรได้ไปอย่างน่าเสียดาย
ควรแขวนพระที่จะมารับหน้าพระอังคารที่เป็นใจคือ พระปางป่าเลไลยก์ พระราหูเนื้อผง
หรือเนื้อโลหะ เพราะพระราหูกับพระอังคารเป็นมหามิตรกัน จะรับหน้า
ทำให้พระอังคารไม่อาจมาเบียดเบียนดวงชะตาได้

วันศุกร์ มีดีทางด้านผู้รับใช้ใกล้ชิดจะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่อยู่ด้วยไม่ได้นาน
เพราะบางครั้งไม่ได้ตั้งใจแต่พูดไปโดยไม่คิด ทำให้บริวารต้องจากไป
ควรแขวนพระพิมพ์ที่มีพระอัครสาวกอยู่ซ้ายและขวา
เพราะพระพุทธองค์และพระสาวกนั้นหมายถึงการปกครองผู้ใ ต้บังคับบัญชาตามสายงาน
จะแก้โฉลกให้ดีได้

วันเสาร์ เป็นผู้มีอำนาจในตัว มีดีที่คนเกรงขาม
แต่มีข้อเสียชอบออกหน้าแทนลูกน้องหรือคนอื่น
จึงมักต้องเดือดร้อนแทนคนอื่นในแทบทุกเรื่อง ให้แขวนพระปางห้ามสมุทร ยกพระหัตถ์
(มือ) สองข้าง ซึ่งจะแก้เคล็ดและทำให้ยับยั้งชั่งใจได้


คนเกิดปีฉลู

วันอาทิตย์ วาสนาไม่ค่อยจะดีนัก ให้เก็บหอมรอมริบทุกครั้งที่มีโชค
โฉลกของท่านคือการเก็บงำ ควรแขวนพระเสริมวาสนา เช่น พระผงยาวาสนา พระปิดตามหาลาภ
(ไม่ปิดทวาร) พระสิวลี พระปางลีลา พระสังกัจจายน์

วันจันทร์ มีดาวบริวารดีมาก จะได้ทรัพย์เพราะบริวารเป็นหลัก
เพราะบริวารของท่านดีอยู่แล้ว ควรแขวนพระที่มีพระหลาย องค์รวมอยู่ในองค์เดียวกัน
เช่น พระเจ้าห้าองค์ หรือพระ ที่มีจำนวน สององค์ขึ้นไป
ถ้าหาไม่ได้ให้แขวนพระที่เป็นพิมพ์มีพระอัครสาวกอยู่ ด้วย
เพื่อเสริมบารมีในด้านบริวาร ควรเป็นเนื้อผสมส่วนผสมหลายอย่างจะดีที่สุด

วันอังคาร มีวาสนาน้อย ควรเจียมตน ไม่ทำการใหญ่เกินกำลัง
อย่าจับงานใหญ่ทีเดียวจะแพ้ภัย ควรแขวนพระมหาอุด ปิดทวาร หรือเต่าเรือน
เพื่อเป็นเคล็ดสำรวมระวังเรื่องการลงทุน
พระปิดทวารจะทำให้นึกถึงการไม่ทำอะไรเกินตัว เต่าคือให้หดหัวยามมีภัยมา
คืออย่าลงทุนมากนั่นเอง

วันพุธ หัวเดียวกระเทียมลีบ มีเพื่อนมีญาติเหมือนไม่มี พึ่งใครไม่ได้
นอกจากพึ่งตัวเอง ควรแขวนพระที่มีคำว่าเดี่ยวอยู่ด้วย เช่น เดี่ยวดำ เดี่ยวแดง
พลายเดี่ยว หรือพลายคู่ตัดเดี่ยว เสริมโฉลกที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเดี่ยวๆ

วันพฤหัสบดี มีวาสนาตกที่นั่งมีทรัพย์มาก ไม่ต้องขวนขวายก็จะได้มาแบบไม่ยาก
มีข้อเสียเป็นคนมือเติบ มักมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย หรือขาดดุล
แก้โฉลกด้วยการแขวนพระที่มีชื่อว่า "คง" เช่น หลวงพ่อคง พระอาจารย์มั่น
จะทำให้รู้จักเก็บทรัพย์ให้มั่นคงและคงที่

วันศุกร์ เป็นคนตกที่นั่งอับโชคลาภ เงินที่จะได้มาอย่างง่ายๆ เช่น เล่นหวย
อย่าไปหวัง ควรแขวนพระที่มีคำว่าเศรษฐี เงินแสน เงินล้าน พระทุ่งเศรษฐี
พระที่ลงท้ายว่ารุ่นมหาเศรษฐี หรือขวัญถุงเงินล้าน เงินแสน จะเสริมพลังแห่งโชคลาภ


วันเสาร์ เป็นคนตกที่นั่งนักโทษ ทั้งชีวิตมีแต่คนเบียดเบียนใส่ไคล้
ทำให้เดือดร้อน มีโรคประจำตัวบั่นทอนชีวิตอยู่มาก ควรแขวนพระที่มียันต์เกราะเพชร
หรือพระที่เป็นรูปโล่ จึงจะถูกโฉลกกับตัวเอง


คนเกิดปีขาล

วันอาทิตย์ หากินอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ แม้จะมีตำแหน่งสูง
แต่งานในความรับผิดชอบหนักหนา หรือไม่ก็ไปใหญ่โตในถิ่นกันดาร
ควรแขวนพระที่มีความเคลื่อนไหว เช่น พระลีลา พระเปิดโลก พระสิวลี

วันจันทร์ ดวงชีพจรลงเท้า ถูกโฉลกกับงานที่ต้องเดินทางขึ้นล่อง
ควรแขวนพระที่สงบและอยู่นิ่ง พระปางสมาธิ ไม่ควรแขวนพระเคลื่อนไหว
เพราะจะทำให้โฉลกร้อนขึ้นไปอีก

วันอังคาร เป็นนักบู๊ มักมีเรื่องราวชกต่อยเสมอ ส่วนใหญ่เป็นนักเลง นักพนัน
หรือนักมวยเดินหน้าชน มีนิสัยก้าวร้าว มีโทสะจริตเป็นที่ตั้ง ควรแขวนพระเมตตา
เช่น พระปิดตา พระสังกัจจายน์ พระสิวลี ที่ทำด้วยอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ผ่านความร้อน
ทำให้เย็นขึ้นได้

วันพุธ มีจิตใจเยือกเย็น สุขุม ไม่บุ่มบ่าม ใจเหมือนแม่น้ำ ใฝ่การบุญ
เป็นที่รักของคนทั่วไป ควรแขวนพระปิดตามหาอุด หรือพระที่มีลักษณะอยู่กับที่เช่น
พระยืนปางถวายเนตร

วันพฤหัสบดี แต่น้อยลำบาก เมื่ออายุมากขึ้นจะมีวาสนามากตามไป
ควรอดทนรอให้งอมจึงหลุดจากขั้ว
ควรแขวนพระที่ผ่านการหล่อหลอมจากธาตุไฟเพื่อเสริมพลั งชีวิต
จะเป็นพระกริ่งหรือรูปหล่อที่ผ่านไฟแรงเท่าใดก็ยิ่งด ี

วันศุกร์ พึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตัวเอง เป็นเสือจับเนื้อกินเองจนแก่
ควรแขวนพระที่มีรูปเสือมาเกี่ยวข้อง หรือแขวน***็ได้ จะเป็นเสืองาแกะ
หรือเขี้ยว***็ได้ หรือเสือที่เป็นโลหะก็ได้

วันเสาร์ เป็นผู้มีโภคทรัพย์ ทำมาหากินแล้วตั้งหลักฐานได้ง่าย มีข้อเสียคือ
เชื่อคนง่าย มักถูกหลอกหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์อยู่บ่อยๆ
ควรแก้เรื่องความใจง่ายเชื่อคนง่ายไว้ ควรแขวนพระที่ตรงข้ามกับพระทั่วไป
เพื่อแก้โฉลกด้านการถูกคดโกง
จึงควรแขวนพระที่เป็นพิมพ์แบบสะดุ้งกลับจะเหมาะที่สุ ด


คนเกิดปีเถาะ

วันอาทิตย์ เป็นคนอาภัพอับวาสนา ทำมาหากินไม่พอเลี้ยงตัวเอง
ต้องอาศัยบารมีคู่ครองเป็นหลัก หากอยู่ตัวคนเดียวจะลำบากมาก ควรแขวนพระเสริมวาสนา
เช่น พระผงยาวาสนา พระที่มีนามเกี่ยวกับโชคลาภ

วันจันทร์ คนเกิดวันนี้ แต่น้อยจะลำบาก เมื่อเลยวัยกลาง
คนไปจะดีขึ้นและตั้งตัวได้ ควรแขวนพระปางลีลา เพื่อความก้าวหน้า

วันอังคาร เป็นคนที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ชีพจรลงเท้า ต้องเดินทางถึงจะได้เงิน
เหมาะแก่การเป็นพนักงานขายของขึ้นๆ ลงๆ หรือค้าขาย ระหว่างประเทศ
ควรแขวนพระเกี่ยวกับการค้าขาย เช่น พระสังกัจจายน์ พระสิวลี

วันพุธ เป็นที่ไม่พอใจกับเจ้านายหรือผู้ใหญ่ มักจะให้ร้ายเสมอ เป็นโฉลกของวันเกิด
จึงไม่ควรรับราชการเพราะจะไม่ก้าวหน้า เหมาะที่จะทำมาหากินในความถนัดของตน
ไม่ขึ้นกับใคร ควรแขวนพระมหาอุด
ที่ทำจากโลหะที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้เกิดตบะและเด ชะป้องกันตัวเองได้

วันพฤหัสบดี เป็นคนใจร้อนใจน้อย ใครตักเตือนก็ไม่พอใจ ดื้อรั้น
ควรอ่อนน้อมรับฟังผู้อื่นแล้วเอามาคิด ให้แขวนพระที่มีหนุมานอยู่ด้วย
เพราะดวงอาสาเจ้านายเหมาะ หรือไม่ก็แขวนพระที่มีลักษณะการกวัก เช่น พระพุทธกวัก

วันศุกร์ มีวาสนาดี เป็นนักบวชก็ก้าวหน้า เหมาะกับการควบคุมคนหมู่มาก
มีลักษณะเป็นผู้นำ ควรแขวนพระที่ในหนึ่งพิมพ์มีจำนวนมากกว่าหนึ่งขึ้นไป เช่น
พระเจ้าห้าองค์ พระเจ้าสิบทัศน์ พระตรีกาย

วันเสาร์ โฉลกเป็นคนที่คนทำร้ายไม่ได้ มีผู้คอยออกรับและคุ้มครองป้องกันอยู่เสมอ
ทำให้ไม่ต้องลำบาก แต่เป็นคนที่อาภัพคู่ครอง
แม้มีสมบัติมากแต่ก็มักจะผิดหวังเรื่องคู่ครองเสมอ
ควรแขวนพระที่มีนามทางความอ่อนนุ่ม เช่น พระนางพญา


คนเกิดปีมะโรง

วันอาทิตย์ มีบริวารอยู่มาก มักได้เป็นผู้บังคับบัญชาคน มีทรัพย์ดีมาก
เก็บไม่อยู่ แต่เงินไม่ขาดมือ เหมาะที่จะแขวนพระชัยวัฒน์
เพราะเป็นผู้นำคนหรือเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก

วันจันทร์ มีใจอาฆาตพยาบาทรุนแรง มักมีเรื่องชกต่อยเสมอ ยิ่งเสพสุรายิ่งอาละวาด
ควรแขวนพระที่มีข้อห้ามเรื่องสุรา จะได้คอยเตือนใจ เช่น พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น หลวงปู่จันทร์
วัดศรีเทพ จ.นครพนม

วันอังคาร ทำมาหากินฝืดเคือง แต่รอดตัว วาสนาปานกลาง อารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว
ห้ามแขวนพระที่ผ่านธาตุไฟ หรือความร้อนเด็ดขาด ให้แขวนพระผง
หรือพระที่แกะจากอัญมณี หรือหินที่มีความเย็น หากแขวนพระที่ทำจากหยก จะยิ่งดีใหญ่


วันพุธ เหมาะเป็นนักร้อง นักแสดง กวี นักเขียนมากกว่าอาชีพอื่น ทำมาหากินคล่อง
รับราชการไม่ดี จะมีภัยจากเจ้านาย วาสนาปานกลาง
ควรแขวนพระกริ่งที่เขย่าแล้วมีเสียงดัง เพราะดวงเหมาะเป็นนักร้องหรือกวี
แม้ทำอาชีพอื่น หากมีพระกริ่งเสียงกังวานจะช่วยเสริมโฉลกโชคลาภ

วันพฤหัสบดี ต้องดิ้นรนไม่หยุดหย่อน จะได้ห้าต้องลงทุนเกินห้า
เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความอดทน ความอุตสาหะ ควรแขวนพระที่มีพลังเร้นลับ เช่น
พระหูยาน พระนาคปรกลพบุรี พระยอดขุนพล หรือพระพิมพ์ที่แสดงถึงปาฏิหาริย์

วันศุกร์ เป็นคนขี้โรค ทำมาหากินคล่อง แต่มีโรคมาเบียดเบียนเสมอ
ทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต ควรแขวนพระเนื้อว่านที่เป็นยา พระที่ทำจากยาผสมว่าน
พระเนื้อว่านต่างๆ เพื่อแก้โฉลกที่สุขภาพไม่ดี

วันเสาร์ ถ้าเป็นนักบวชจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถ้าเป็นข้าราชการปานกลาง
เป็นพ่อค้าปานกลาง ทำงานอิสระดีที่สุด
ควรแขวนพระที่เป็นพระเกจิอาจารย์จะถูกโฉลกมากกว่าเป็ นพระพุทธรูป
พระเกจิอาจารย์ที่มีเครื่องหมายของอาชีพอิสระ เช่น พระที่ทางคณะแพทย์สร้าง
หรือคณะผู้พิพากษาสร้าง



คนเกิดปีมะเส็ง

วันอาทิตย์ มักเดือดร้อนจากการหาความของผู้อื่นเสมอ การงานอาภัพ
กว่าจะได้มาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เก็บเงินเก่ง ควรแขวนพระที่เป็นยันต์เกราะเพชร
หรือเต่าเรือน หมั่นบริจาคเงินให้กับสถาบันที่เกี่ยวข้องกับ ตำรวจ ราชทัณฑ์
หรือตุลาการ จะช่วยบรรเทาเรื่องคดีความลงได้

วันจันทร์ เป็นผู้ที่มีคนคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
ไปถิ่นฐานใดไม่ขาดแคลนคนคอยคุ้มครองรักษา
ทำการงานพึ่งผู้ใหญ่หรือทำอะไรกับผู้สูงอายุดีกว่า อายุเท่ากันหรือน้อยกว่าไม่ดี
ให้แขวนพระปางนาคปรก สัญลักษณ์แห่งการคุ้มครองป้องกันภัยช่วยเหลือ
หรือพระที่มีสององค์ในพิมพ์เดียวกัน จะถูกโฉลกดีนัก

วันอังคาร ดวงชีพจรลงเท้า เกิดที่หนึ่งไปดังที่หนึ่ง
ถ้าจะให้ก้าวหน้าต้องไปทำงานต่างถิ่น ควรแขวนพระปางลีลา
หรือพระที่แสดงความเคลื่อนไหว เพราะดวงต้องเดินทางตลอดเวลา
หากใช้พระที่หยุดนิ่งจะไม่ถูกโฉลกกัน

วันพุธ ทำงานหากินไม่พอรายจ่าย ดวงพลิกผันง่าย คาดหมายอะไรล่วงหน้าไม่ได้
ต้องทำงานตามน้ำตลอดเวลา ทวนน้ำเมื่อไรพัง จึงต้องระวัง ให้แขวนพระสังกัจจายน์
หรือพระสิวลี หรือพระที่ด้านหลังมียันต์ ดวงจะถูกโฉลก

วันพฤหัสบดี เป็นคนมีดวงทางบริวารดี วางใจได้ เป็นผู้มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู
เป็นที่เกรงขามของคนทั่วไป นักบริหารที่ยิ่งใหญ่มักเกิดปีมะเส็งวันพฤหัสบดี
ควรแขวนพระที่มีอัครสาวกอยู่ด้วย หรือแขวนพระเจ้าห้าองค์ จึงจะถูกโฉลกกับตัวเอง

วันศุกร์ มีสติปัญญาดี มีปัญญาเป็นทรัพย์ เป็นคนใฝ่การศึกษาหาความรู้
หากเป็นนักบวชจะเป็นพระเกจิ อาจารย์ที่มีความขลัง อมตะ เล่าลือไม่สิ้นสุด
ควรแขวนพระที่มีจีวรของพระคุณเจ้า ผู้เป็นเจ้าของพระอยู่ด้วยเพราะโฉลก
ของท่านกับจีวรพระสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนนั้น ถูกกัน

วันเสาร์ เป็นคนทำงานได้ทุกอย่าง แต่อาภัพคู่ครอง มักหย่าร้างหรืออยู่กันไม่ยืด
อยู่ยืดก็เป็นคู่ร้างคู่เละ ตัวเองขยันแต่คู่ครองบั่นทอน ความสุขเสมอ
ให้แขวนพระเป็นคู่หรือ สององค์ในพิมพ์เดียวกัน จะแก้เคล็ดและช่วยให้ถูกโฉลก

คนเกิดปีมะเมีย

วันอาทิตย์ เป็นผู้ตั้งหลักฐานได้ง่าย มีความกล้าแกร่ง เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป
มักเป็นผู้นำ ทำราชการดีนัก เป็นนักพูดหรือนักเขียนจะโด่งดังไม่มีใครเกิน
ควรแขวนพระที่มีคำว่าโต เช่น หลวงพ่อโต
หรือพระที่มีลักษณะใหญ่กว่าพระเครื่องทั่วไป

วันจันทร์ เหมาะแก่การเป็นพ่อค้าวาณิช เป็นนายหน้า แต่เป็นนักการทูต นักการเมือง
นักวิชาการ รับราชการไม่ดี แขวนพระอะไรก็ได้
แต่มีเคล็ดว่าให้หาปลาตะเพียนขนาดเล็กๆ ที่ปลุกเสกแล้วคู่หนึ่งติดตัวไว้เสมอ
จะทำให้ทำมาค้าคล่อง และติดต่อการงานดีมาก ช่วยเสริมโฉลกโชคลาภ

วันอังคาร มีวาสนาดี แต่มักถูกเบียดเบียนชื่อเสียงผลประโยชน์อยู่เป็นนิจ
การทำอะไรที่ใหญ่ๆ ควรมีหลักฐานกำกับยืนยันให้แน่นแฟ้น จึงจะไม่ถูกเบียดเบียน
เป็นคนที่มีของกำนัลมาสู่มิได้ขาด ควรแขวนพระปางมารวิชัย
หรือไม่ก็แขวนพระไพรีพินาศ ก็ดีเหมือนกัน

วันพุธ อาภัพไร้คนอุ้มชู หัวเดียวโด่เด่ แต่อดทนแกร่งกล้า ไม่ยอมแพ้ชะตา
ชีวิตจะต้องทำงานหนัก ก้าวหน้าช้า แต่ถ้าถึงจุดแล้วจะมั่นคงและยืนนาน
ไม่ควรท้อแท้กับชีวิต ให้แขวนพระนาคปรก จะเกิดมีการคุ้มครองหรือช่วยเหลือ
ห้ามแขวนพระปางป่าเลไลยก์เด็ดขาด แม้จะเกิดวันพุธกลางคืนก็ตาม

วันพฤหัสบดี ชาตินี้ต้องเป็นผู้ทำประโยชน์ให้คนอื่นตลอด
แล้วจึงได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์นั้นมา คือ ทำงานกับหุ้นส่วนและคนหมู่มาก
จะทำงานอิสระไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยเป็นคู่คิดเสมอ ควรแขวนพระปิดตายันต์ยุ่ง
เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง กลมเกลียว สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

วันศุกร์ ไร้ชายคาที่อาศัย ต้องพึ่งตัวเอง
แม้จะสิ้นใจก็มิอาจร้องขอความเมตตาจากผู้ใด ดวงอาภัพผู้อุปถัมภ์
จึงควรทำอะไรที่ตัวเองถนัดและทำแต่ลำพัง ไม่ต้อหาใครมาช่วย
เพราะเมื่อใดทำงานเป็นทีมเป็นหุ้นส่วนกันจะพัง ให้แขวนพระเดี่ยวๆ
องค์เดียวแก้เคล็ด อย่าแขวนพระเป็นพวง ให้แขวนเดี่ยว จะได้ผลดีอย่างยิ่ง
เสริมโฉลก

วันเสาร์ วังเวง วิเวก ว้าเหว่ นอกจากอาภัพคู่แล้ว
ชั่วชีวิตยังปราศจากคนจริงใจอีกด้วย
จึงต้องระมัดระวังรอบคอบไตร่ตรองคำพูดคนรอบข้างไว้เส มอ ให้แขวนพระปิดทวารทั้งเก้า
ยิ่งอุดมมากเท่าใดยิ่งดี เพราะจะทำให้โฉลกดีขึ้นกว่าแขวนพระอย่างอื่น


คนเกิดปีมะแม
วันอาทิตย์ เป็นคนมือเติบ เลี้ยงคนถูกใจเท่าไรเท่ากัน ทำให้เป็นนักเลงสุรา
นักเลงผู้หญิง เก็บเงินไม่อยู่ ควรแก้เคล็ดเปลี่ยนเงินเป็นทองคำ บ้าน ที่ดิน
ใบหุ้นที่มีระยะเวลา ถ้าเก็บเงินสดไว้กับตัวก็ละลายหมด ควรแขวนพระนาคปรก
หรือพระปางซ่อนหา เพื่อแก้โฉลกให้เบา จากความเสียหายเรื่องการพนันและผู้หญิง
ไม่ใช่ใส่แล้วไปเล่นการพนัน หรือไปเที่ยว ห้ามเด็ดขาด

วันจันทร์ ดวงบริวารดีมีผู้คอยช่วยเหลือ แต่มักต้องลำบาก เพราะญาติพี่น้อง
จึงควรรู้จักแยกแยะ ว่าควรจะสงเคราะห์ใครอย่างไร ไม่งั้น จะก่อศัตรูไม่สิ้นสุด
ควรแขวนพระปิดตาที่ไม่ปิดทวาร
เพื่อส่งผลแก้โฉลกตรงปากที่พูดทำร้ายตัวเองและผู้อื่ นให้เกิดศัตรู

วันอังคาร ทำงานหนัก แต่รายได้ไม่คงที่ แม้จะมีความรู้ ก็ไม่อาจหา
งานที่เหมาะสมทำได้ โฉลกเป็นอย่างนั้น จึงควรหาทักษะความรู้เกี่ยวกับงานด้านต่างๆ
ไว้ให้พร้อมมากที่สุด ควรแขวนพระปางประทานพร หรือปางอุ้มบาตร
เพื่อแก้โฉลกและทำให้การงานดีขึ้น

วันพุธ เป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก พูดจาน้อย แต่มีน้ำหนักเป็นที่เกรงกลัวของคนทั่วไป
นักบวชมีชื่อเสียง ผู้พิพากษาคนสำคัญ นักการเมืองที่เป็นรัฐบุรุษมักเกิดวันนี้
ควรแขวนพระที่มีเมตตาสูง เช่น พระสมเด็จ พระปิดตา
และพระที่มีอานุภาพทางเมตตาที่ไม่ผ่านความร้อน
เพื่อทำให้โฉลกทางด้านอำนาจเบาบางลง เกิดเมตตามากขึ้น

วันพฤหัสบดี เป็นผู้นำคนหมู่มาก มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก
เป็นเจ้านายที่ลูกน้องเกรงใจ นักบริหารผู้มีฝีมือ นักการธนาคารผู้มีชื่อเสียง
นักการเมืองผู้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ควรแขวนพระปางปฐมเทศนา
หรือมีรูปธรรมจักรอยู่ในองค์พระด้วย
เพื่อทำให้คำพูดของท่านมีความหนักแน่นมั่นคงมากขึ้น และทำให้ลดความน่ากลัว
หรืออำนาจลงไปได้บ้าง

วันศุกร์ เป็นคนอาภัพ ทำคุณไม่ขึ้น ช่วยเขาแล้วเราพังเป็นส่วนใหญ่
สมควรที่จะอยู่เฉยๆ อย่าได้ออกหน้า โดยเฉพาะการเป็นนายประกัน
ไม่ถูกกับคนเกิดวันศุกร์อย่างยิ่ง ควรแขวนพระปิดตามหาอุด หรือพระบัวเข็ม
จึงจะเหมาะสมกับโฉลกของตน ทำให้เยือกเย็นมากขึ้น

วันเสาร์ เป็นคนมีโทษ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความมาโดยตลอด ไม่เคยอยู่เป็นสุข
มีศัตรูมาก ควรสงบเสงี่ยมเจียม ปากเจียมคำ อย่าได้ทำเด่นเกินไป ภัยจะมาถึงตัว
ควรแขวนพระที่เป็นยันต์เกราะเพชร หรือที่เป็นรูปโล่
เพื่อให้ทำโฉลกเป็นดีขึ้นมาได้


คนเกิดปีวอก

วันอาทิตย์ มีวาสนาดีมาแต่เกิด มีทรัพย์สินบริวารพร้อม รับราชการจะก้าวหน้า
เป็นนักบวชจะได้เป็นถึงพระราชาคณะ ให้แขวนพระที่มีพัดยศด้วย จะถูกโฉลกมากขึ้น

วันจันทร์ เหมือนถูกลอยแพในมหาสมุทร ต้องร่อนเร่พเนจรไปต่างถิ่น
ถูกโฉลกกับการค้าขายขึ้นล่องตามแม่น้ำลำคลอง หรือค้าขายเครื่องสูบน้ำ วิดน้ำ
ควรแขวนพระห้ามสมุทรยกพระหัตถ์ จะทำให้โฉลกดีขึ้น

วันอังคาร เป็นคนมีศัตรูมาก ต้องต่อสู้จึงจะได้มาซึ่งสิ่งที่พอใจ
ชนิดที่ได้มาแบบง่ายๆ ไม่มี ควรแขวนพระปางซ่อนหา
ที่มีพระพุทธรูปซ้อนบนพระเกศของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ ่ง เป็นพระที่ซ้อนกับสององค์
เช่น พระหล่อพิมพ์ซ้อนของ วัดหนองโว้ง จ.สุโขทัย

วันพุธ มีสติปัญญา มีความรู้ เป็นนักปราชญ์ พระโหราบดี ราชครู
และสมณะผู้***สัตว์เลื้อยคลานลายสวยมาก***วชาญด้านพร ะบาลี มักเกิดวันนี้ ควรแขวนพระสังกัจจายน์ พระสีวลี
จะถูกโฉลกที่สุด

วันพฤหัสบดี เป็นคนทำงานราชการก้าวหน้า หรือค้าขายส่วนตัวก็จะดี
ควรแขวนพระปางลีลา หรือพระซุ้มเรือนแก้ว จะถูกโฉลกโชคลาภ

วันศุกร์ มีเชาวน์ปัญญาไว เรียนรู้อะไรได้ง่าย มีวาสนา มีเสน่ห์
รับราชการเกี่ยวกับต่างประเทศ เจรจาความเมืองจะก้าวหน้าที่สุด
หรือทำการค้าขายสั่งนำเข้าจากนอกประเทศดีที่สุด
ควรแขวนพระที่มีนางกวักอยู่ด้านหลัง จะดีที่สุด

วันเสาร์ โฉลกมักถูกคดีความเป็นจำ จึงไม่ควรคิดทำสิ่งผิดกฎหมาย
เป็นดวงที่ต้องระวังแง่กฎหมายมากที่สุด ถ้าเป็นทนายความจะมีลูกความมาก
ควรแขวนพระที่มีสัญลักษณ์กฎหมาย คือตราชั่ง หรือโล่ตำรวจ จึงจะถูกโฉลก
หรือพระที่สร้างโดยองค์กรของกฎหมาย ตุลาการ หรือตำรวจ


คนเกิดปีระกา

วันอาทิตย์ บริวารดีมาก จะได้ใช้สอยพึ่งพาอาศัยได้ แต่ให้ระวังความใจกว้าง
ทำคุณกับผู้อื่นอาจต้องเสียใจบ่อยๆ ให้แขวนพระมหาอุด
หรือพระที่มีรัศมีอยู่รอบองค์พระ หรือมีซุ้ม เพื่อแก้โฉลกให้ดีขึ้น
จะทำให้มีลาภอุดม

วันจันทร์ มีกินล้นเหลือ ไม่มีก็ต้องขอข้าวเขากิน
จึงต้องสำรองเงินเก็บไว้ยามมีมาก จะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ จะประมาทไม่ได้เลย
ควรแขวนพระสังกัจจายน์ ยิ่งเป็นแบบจีน หรือแป๊ะยิ้ม ยิ่งดี หรือไม่ก็แขวนพระสีวลี
เพื่อเสริมโฉลกให้ดีขึ้น

วันอังคาร เป็นคนชอบเที่ยวเตร่
มากผัวหลายเมียควรระมัดระวังเรื่องเที่ยวเตร่คบเพื่อ นฝูง
จะเสียเพราะเพื่อนและคนใกล้ชิดติดคุกติดตะรางมามากแล ้ว
ควรแขวนพระมหาอุดหรือเต่าเรือนเพื่อทำให้โฉลกดีขึ้น

วันพุธ รับราชการดีที่สุด อาชีพอิสระไม่ดี ต้องร่วมหุ้นหรือทำงานผู้บริหารจะดีมาก
สติปัญญาดี เอาตัวรอดได้เพราะปัญญาของตัวเอง ให้แขวนพระปางปฐมเทศนาเป็นดีที่สุด
หรือพระที่มีเครื่องหมายธรรมจักรอยู่ด้วยในองค์พระ

วันพฤหัสบดี เป็นคนมีบุญ มีคนรักใคร่ชอบพอ พูดจาเป็นเสน่ห์แก่ตัวเอง
รู้หลักนักปราชญ์ ได้พึ่งคนใกล้ชิดและบริวารเป็นส่วนใหญ่
ให้แขวนพระองค์ใหญ่หรือชื่อใหญ่ เช่น พระหลวงพ่อโต ปางสมาธิ จะถูกโฉลกยิ่งขึ้น

วันศุกร์ ทำมาหากินไม่พอกิน ลำบากมาก แต่มีลาภลอยให้ได้แก้ขัดเสมอ
อย่าคิดเล่นการพนันเป็นอาชีพเด็ดขาด จะซ้ำร้ายลงไปอีก
จึงควรหมั่นเก็บหอมรอมริบให้มากที่สุด ให้แขวนพระปิดตามหาลาภ หรือพระฤๅษี
จะถูกกับโฉลกทำให้มีลาภลอยมากขึ้น

วันเสาร์ มีคนอุปถัมภ์ไม่ตกต่ำ เป็นที่เมตตาของคนทั่วไป ทำราชการจะดีมาก
หรือค้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องเสริมสวยจะดีมาก
ให้แขวนพระพิมพ์ทรงเครื่องที่งดงาม หรือพระที่มีลวดลายแพรวพราว
หรือพระแกะพิมพ์วิจิตรพิสดารเพื่อเสริมโฉลกโชค


คนเกิดปีจอ

วันอาทิตย์ เป็นดวงฝ่าฟัน มักต้องแก้ปัญหาในหน้าที่การงานเสมอ ทำงานมีอุปสรรคมาก
บางครั้งต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ
เป็นนักบริหารประเภทแก้สิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วให้ดีขึ้ นจะถูกโฉลกมาก
ให้แขวนพระปางมารวิชัย ยิ่งมีพระอัครสาวกซ้ายขวาด้วยยิ่งดีใหญ่

วันจันทร์ สติปัญญาเป็นทรัพย์ ไม่ชอบงานหนัก ชอบงานได้ผลตอบแทนสูง เช่น
ซื้อขายหุ้น ซื้อผลิตผลที่ต้องเก็งกำไรระยะสั้น ให้แขวนพระที่มีซุ้มครอบแก้ว
จะช่วยให้ดีขึ้น

วันอังคาร ทำงานไม่ค่อยก้าวหน้า สติปัญญาไม่ดี แต่มีความขยันอดทน เหมือนหมูป่า
แม้มีแต่เขี้ยวก็สามารถขุดหาหัวเผือกหัวมันรากไม้กิน ได้อย่างไม่อัตคัด
ให้แขวนพระปางลีลา เสริมโฉลกต่อสู้อุปสรรคทั้งปวงให้หมดไป

วันพุธ มีบริวารมาก ได้ดีเพราะบริวาร มักเป็นผู้นำ
เป็นนักบริหารที่เพียบพร้อมด้วยปัญญาและบริวาร ควรแขวนพระเป็นพวง พวงละหลายๆ องค์
จะช่วยหนุนโฉลกให้ดีขึ้น

วันพฤหัสบดี เป็นคนเจ้าโทสะ มักชอบสิ่งเย้ายวนต่างๆ เจ้าชู้มีเมียไม่เลือก
ตกที่นั่งนารีอุปถัมภ์ ควรแขวนพระทรงอิทธิฤทธิ์ เช่น พระตรีกาย
พระปางมหาปาฏิหาริย์ หรือพระที่มีความร้อนแรงจากธาตุไฟ
เพื่อเสริมบารมีให้โฉลกดีขึ้น

วันศุกร์ เป็นคนมีลาภอยู่เป็นนิจ ทำอะไรก็ก้าวหน้าได้ง่าย แต่มือเติบ
ทำให้เสียทรัพย์โดยใช่เหตุ ให้แขวนพระมหาอุด เสริมโฉลกให้ทุกอย่างดีขึ้น

วันเสาร์ เป็นคนอาภัพ คู่ครองเป็นอริ จะอยู่กันยืดเฉพาะแม่ม่าย
เป็นนักเลงการพนันและสุราชนิดหัวราน้ำ จึงควรแก้ไขแต่ต้นมือ
ให้แขวนพระที่มีคำสาปเกี่ยวกับการห้ามดื่มสุราและเล่ นการพนันเพื่อปรามตัวเอง
เป็นการเสริมโฉลก หาไม่แล้วจะเอาตัวไม่รอดจะบอกให



คนเกิดปีกุน

วันอาทิตย์ มีวาสนาบารมีสูง ตั้งตัวได้ไว มีบริวารมาก เป็นผู้นำของคนหมู่มาก
แต่ทำคุณใครไม่ขึ้น ควรแขวนพระทางโชคลาภ เช่น พระสังกัจจายน์ พระสีวลี

วันจันทร์ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หากินไม่ฝืดเคือง แต่ต้องทำงานหนัก
ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล การเปิดอู่ซ่อมรถถูกโฉลกดี
ควรแขวนพระที่มีพระพุทธรูปคู่กับพระพิฆเนศ หรือแขวนพระพิฆเนศองค์เดียวก็ได้

วันอังคาร เป็นคนมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู รับราชการจะได้ดีเพราะเจ้านายเป็นคนชอบ
ขันอาสาเจ้านาย ทำอะไรทำจริง ให้แขวนพระที่มีพระอัครสาวกซ้ายขวาจะถูกโฉลกดี

วันพุธ ทำงานอะไรก็ต้องพบอุปสรรค ไม่มากก็น้อย
พองานตั้งหลักได้แล้วก็ถูกเขี่ยเหมือนรื้อนั่งร้าน
จึงควรระมัดระวังเรื่องการถูกหักหลังไว้ ให้แขวนพระสะดุ้งกลับ
เพื่อเสริมโฉลกของตัวเองให้ดีขึ้น

วันพฤหัสบดี เกิดที่นี่ไปได้ดีถิ่นอื่น จะต้องเดินทางไกลเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ยิ่งข้ามจังหวัดยิ่งดี ทำมาค้าขายนายหน้าแลกเปลี่ยนที่ดินดี เป็นครูก็ดี
แต่ไม่ถูกโฉลกกับงานขายประกันชีวิตให้แขวนพระปางลีลา เป็นหลัก

วันศุกร์ มีชีวิตที่ต้องวนเวียนอยู่กับคดีความ แต่ก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
จะทำกิจการใด ควรระวังเรื่องกฎหมายให้มาก ให้แขวนพระไพรีพินาศ เป็นดีที่สุด

วันเสาร์ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เป็นเซียนพนันมือเติบ
เป็นลูกพี่ที่มีลูกน้องบริวารมาก จะเดือดร้อนเพราะลูกน้องผู้ใกล้ชิดเสมอ
ให้แขวนพระที่เกี่ยวกับการปกครองหมู่มาก
ซึ่งควรจะเป็นพระที่ทางกระทรวงมหาดไทยหรือกรมตำรวจจั ดสร้างจะถูกโฉลกดีนัก

....................................
รู้จักพอ  ก่อสุข  ทุกสถาน

442
ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชครับ วันนี้เพิ่งเข้าไปตรวจดูผลสอบมาครับ ปรากฏว่าสอบผ่านหมดทุกวิชาที่ลงเรียน ตั้งแต่ผมสมัครเรียนกับ มสธ. ผมยังไม่เคยสอบตกเลยครับ วันนี้ผมเลยจะมาบอกสูตรความสำเร็จให้นะครับ
สิ่งที่ผมใช้ติดตัวก่อนเข้าห้องสอบทุกครั้งก็คือ ลูกอมชานหมาก ของหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ตอนที่ผมไปรับลูกอมชานหมากจากมือหลวงปู่ หลวงปู่ท่านบอกว่า จะทำอะไรก็ให้นึกถึงหลวงปู่นะ และกำชับว่าก่อนเข้าสอบทุกครั้ง ให้พกลูกอมชานหมากและนึกถึงหลวงปู่ และที่สำคัญที่สุก ก่อนเข้าห้องสอบ ให้เคาะประตูห้องสอบ ๓ ครั้งแล้วจะสอบผ่านทุกวิชา แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณยายของผมเสีย ผมเลยไม่ได้อ่านหนังสือเรียน แต่ก็ใช้ลูกอมชานหมากของหลวงปู่ทิม เนี่ยหล่ะครับ ทำให้ผมสอบผ่านมาได้  สำหรับลูกอมชานหมากของหลวงปู่ทิมนี้ ไม่มีให้เช่าบูชานะครับ แต่หลวงปู่ท่านแจกอย่างเดียว ไปรอรับลูกอมชานหมากของหลวงปู่ทิม ได้ที่ วัดพระขาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยานะครับ แต่ต้องรอท่านว่างอยู่วัดด้วยนะครับ เพราะช่วงนี้ท่านติดกิจนิมนต์เยอะมากครับ  หรือถ้าอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็เข้าไปดูที่เว็ปบอร์ดหลวงปู่ทิมได้ครับ www.luangputim.co :001:m
.......................................................................
หลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระที่เมตตาต่อชนทุกชั้น

443
มีข่าวมาฝากครับ เมื่อไม่นานมานี้ ทางวัดเกาะวังไทร ได้จัดสร้างองค์จตุคามรามเทพ -หลวงพ่อเต้า-หลวงพ่อแดง ซึ่งก่อนปลุกเสกได้เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์คือ หลังคาโบสถ์ได้ระเบิด โดยไม่ทราบสาเหตุ ทางคณะกรรมการวัดจึงได้นำเศษกระเบื้องหลังคาโบสถ์มาใช้เป็นมวลสารสร้างองค์จตุคาม และพบอีกว่ามีพระเครื่องถูกบรรจุอยู่ใต้หลังคาโบสถ์ ซึ่งพระเครื่องทั้งหมดเป็นพระพิมพ์ที่หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร(ท่านเป็นศิษย์เอก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง) ซึ่งส่วนมากเป็นพระพิมพ์เนื้อดินโปร่งรุ่นแรกของหลวงพ่อ สร้างเมื่อพ.ศ.๒๔๙๖ เท่าที่ผมไปดูมาที่มีก็คือ พระพิมพ์สิบทัศน์ พระพิมพ์ยอดขุนพล พระพิมพ์พุทธกวัก พระพิมพ์ขุนแผน พระกริ่ง พระรอด และอื่นๆอีกมากมาย และที่พิเศษสุดๆก็คือ ธงแดง ที่เชื่อกันว่าสามารถหยุดฝนได้ ประวัติรายละเอียดของหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร สามารถหาดูได้ในเว็ป หมวดพระเกจิคณาจารย์ ราคาเช่าบูชามี่วัดถือว่าถูกมากๆเลยครับแค่หลักร้อย แต่พุทธคุณล้นเหลือครับ ดีกว่าพระใหม่ๆแพงๆหลายๆรุ่นอีกครับ อีกอย่างก็ถือว่าเป็นการทำบุญ ร่วมกันสร้างเสนาสนะให้กับวัดเกาะวังไทร เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญสืบไปครับ :050:

หน้า: [1]