แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - karnpong

หน้า: [1]
1
ตอนแรกก็คิดว่าเต็มหลังแล้วปรากฏว่าพระอาจารย์ท่านเพิ่มยันต์ให้อีกต่อจากหนุมานเชิญธงครับ เอาไว้ถ่ายรูปได้เมื่อไหร่จะนำมาลงให้ชมกันครับผม

2
ยินดีด้วยครับ
ลายยันต์ของท่านก็สวย และมีพลังนะครับ

3
พระอาจารย์ท่านใดเมตตาบ้างครับท่าน karnpong   :048:  :048:  :048:
เกือบทั้งหมดเป็นลายยันต์จากพระอาจารย์ญาครับ มีเพียง 2 ลายยันต์ที่ได้มาจากพระอาจารย์นันครับ

6
คือพอดีว่าวันนี้ผมไปสักกับหลวงพี่นันท์ครับ บอกหลวงพี่ว่า ขอตาข่ายเพชรที่ไหล่ครับ พอหันหลังไปได้ อันนี้มา (ยิ้มในใจ)

อยากรู้ชื่อกับพุทธคุณ ครับ ขอบคุณมากครับ


ตามที่ได้ข้อมูลมา ผมว่าน่าจะเป็นยันต์พระเจ้ารักษาโลกนะครับ ปกติยันต์ลูกนี้เขียนใส่แผ่นเงิน ทอง นาค ใช้แขวนคอเด็กน้อยป้องกันภูตผีปีศาจสาระพัดแล้วแคล้ว คลาดดีนักแล แต่พอมาสักให้คุณแสดงว่าพระอาจารย์ท่านมีเมตตาต่อศิษย์ครับ (หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม)
อ้างอิงจาก http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=2310

7
:054:ผิดบกพร่องประการใด พี่ๆชี้แนะด้วยครับ
สวยงามครับ

8


ล่าสุดวันนี้เลยครับ
ขอบคุณครับสำหรับข่าวสารครับผม

9
:002: :002:ลายมือหลวงพี่ญา ป่าวครับสวยครับ
ใช่ครับผม

11
สรุปแล้วผมออกเดินทางจากบ้านด้วยรถส่วนตัวของเพื่อนผมตั้งแต่ตี 2 ของวันที่20 ไปไม่ถึงวัดบางพระครับเสียใจมากๆเพราะหลงทางในกรุงเทพครับประกอบกับรถในกรุงเทพเยอะมากๆจริงๆ เลยตัดสินใจใช้แผนสองเอารถไปจอดไว้ที่หอพักเพื่อนแถวๆเตาปูนแล้วมาหารถตู้ที่อนุสาวรีย์ที่จะไปนครปฐม
ปรากฏเพื่อนผมสองคนที่มาด้วยกันไม่มีอารมณ์อยากไปแล้วเพราะไม่ได้นอนทั้งคืนจนถึงเที่ยงๆ ส่วนผมศรัทธาเกินจะห้ามได้เลยเดินหารถตู้ที่จะไปให้ได้โดยมีเพื่อนผมสองคนเดินไปด้วยไปถึงเจอคิวนึงมีป้ายเขียนว่าไปนครปฐมเป็นผู้หญิง สอบถามเค้าว่าจะไปวัดบางพระไปอะไรยังไงต่อรถได้ที่ไหนบ้างแล้วเวลาจะกลับ กลับมายังไงสอบถามเรียบร้อย เค้าก็โทรไปบอกคนที่ขับรถตู้ว่าให้มารับผู้โดยสารสามคน ผมเลยบอกเค้าไปว่า ผมไปคนเดียวครับ ปรากฏว่าเค้าวางสายแล้วชี้มือบอกผมว่าให้ลองไปขึ้นที่คิวอื่นเพราะถ้าไปคนเดียวเค้าไม่คุ้ม ตอนแรกเค้าบอกว่ารถตู้เค้าสองสามคนก็ไปแล้วไม่ได้รอคนเต็ม ผมอารมณ์เสียมากที่ไม่ได้ไปที่วัดบางพระอย่างที่ตั้งใจ แต่ไหนๆก็มาแล้วเลยถือโอกาศไปไหว้พระที่วัดพระแก้วครับ แต่ผมยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจผมต้องไปให้ได้ครับ
ไม่เป็นไรครับ ความตั้งใจของนายแน่วแน่และมุ่งมั่น ด้วยความศรัทธา ยังไงก็คงมีโอกาสที่จะเดินทางมาถึงวัดได้แน่นอนครับแต่ก่อนจะมาขอให้ศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนละกันครับ(เพราะอยู่ไกล) ในแผนที่ของ Google นั้นช่วยได้เยอะเลยครับ ผมเอาใจช่วยนะครับ :001: :050:

12
จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย ...(ของหลวงปุ่ชา สุภัทโท )

--------------------------------------------------------------------------------

จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย

[p]ธรรมชาติของใจเรามันก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดความวุ่นวายสับสน เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่ พอมันวุ่นวายสับสนมากๆเข้า เราก็คิดว่าคงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้ว แล้วก็เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะไม่เข้าใจว่ามันต้องเป็นของมันอย่างนั้นเอง ความคิด ความรู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันสงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆเข้าใจว่าธรรมชาติของใจมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ปล่อยวางได้จิตใจก็สงบ

ถ้าเราเห็นอันนี้ชัด เราก็จะทิ้งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่อีก คอยแต่บอกตัวเองไว้อย่างเดียวว่า "มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง" พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว ทีนี้ก็จะปล่อยอะไรๆได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึกมันจะหายไป มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว

เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนั้นเอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา ความเดือดร้อนรำคาญของเราก็หมดไป มันไปได้อย่างไร ก็เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราเปลี่ยน และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฎฐิ

ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำลึกมืดสักเท่าใด ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ ใจจะสงบได้ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฎฐิเท่านั้น ทีนี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้ เพราะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบมัน เราปล่อยวางมัน เมื่อใดที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น เราปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อจะกวนเรา แม้บางทีเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงความรู้สึกนั้นเป็นของมันอย่างนั้นเอง

ถ้าเราปล่อยวางมันเสีย รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียก็สักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฎฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์ เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำท่า ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวดเดียวกัน มันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน เหมือนกับคนที่ฉลาดก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น

ที่มา: http://www.baanmaha.com/community/thread4183.html

14
เมื่อยกพานให้กับพระอาจารย์ผู้สัก 1 ครั้งก็จะได้มา 1 ลายยันต์ครับผม ถ้าต้องการลายยันต์เพิ่มเติมต้องไปซื้อดอกไม้ ธูป เทียน และค่าบูชาครูยกพานในรอบต่อไปครับผม ก่อนที่จะสักเพิ่มให้ดูสภาพตัวเองก่อนนะครับว่าร่างกายของตนเองจะยังสามารถรับไหวหรือไม่ครับผม :001:

15
ขอบคุณมากครับที่นำภาพบรรยากาศสวย ๆ มาให้ดูกันครับ :054: :054: :054:

16
ขอบพระคุณครับที่แจ้งข่าวครับ ซึ่งกระผมขอรับทางไปรษณีย์ครับและจะสอดซองเปล่าติดสแตมป์ไปให้คุณเสน่ห์ack01 ตามที่อยู่ที่แจ้งมาครับ ขอขอบพระคุณอีกครั้งครับผม  :054: :054: :054:

17
ขอบคุณทุกท่านที่นำภาพสวย ๆ มาให้ดูกันครับสุดยอดครับผม :016: :015:

18
พลังแห่งความศรัทธาต่อหลวงปู่เปิ่นนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของผมกับงานไหว้ครูหลวงปู่เปิ่น และได้เห็นคลื่นมหาชนลูกศิษย์ของหลวงปู่เข้ามาร่วมพิธี ทำให้เกิดความปลื้มปิติ ยินดีเป็นอย่างมากครับที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้นำเสียงของหลวงปู่มาเปิดให้ลูกศิษย์ได้ฟังกันก็ตาม แต่จิตที่เราได้ระลึกถึงหลวงปู่ที่อยู่ในระหว่างการสวดพิธีนั้นทำให้ผมนั้นน้ำตาซึมออกมาด้วยความที่มันกลั้นไม่อยู่จริง ๆ ครับ :054: :054: :054:

19
ผมก็ไปรับเสื้อมา หลังจากเสร็จสิ้นพิธีไหว้ครูครับผม

20
ขอบคุณที่นำภาพมาลงให้ดูครับ สุดจะบรรยายครับ ขนาดผมนั่งอยู่หลังสุดแล้วยังมีคนของขึ้นผมเลยครับทั้งด้านซ้ายและขวา

21
คุ้มค่ากับการรอคอยครับผม ยินดีด้วยครับผม :053: :053: :053:

22
เล่าเรื่องราวจากชีวิตจริง

ทำไมถึงต้องไปสักยันต์ แล้วอะไรเป็นสิ่งจูงใจให้ท่านไปสักยันต์
ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันอายุก็ปาเข้าไปตั้ง 43 ขวบปีเข้าไปแล้วก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาสักยันต์อะไรทำนองนี้เพราะไม่เคยได้สนใจในศาสตร์ด้านนี้มาก่อนเลยไม่มีอยู่ในหัวสมองจริง ๆ และอยู่มาวันหนึ่ง(ตุลาคม 2553) ไม่รู้คิดไปได้ยังไงจู่ ๆ ก็คิดที่อยากสัก(tattoo)เสือคู่ขึ้นมา(สงสัยจะสับสนในชีวิตไปหน่อยฮ่า ๆๆๆๆ) ก็ลองเข้าไปในโลกออนไลน์ดูว่ามีใครสักบ้าง ใครสักได้สวยบ้าง ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร(ใครถูกบ้างแพงบ้างอันนี้คิดหนักหน่อยฮ่า ๆ ๆ) เพราะเข้าไปดูแต่ละสำนักนั้นหรือแต่ละร้านนั้นโหราคาไม่เบาเหมือนกันแฮะ(คิดหนักอีกแล้วเรา) อ่อเกือบลืม...เคยโทรไปเช็คที่สำนักแล้วด้วยนะเพราะกะว่าจะเข้าไปให้ท่านสักให้ซะหน่อย(เป็นฆราวาส) เห็นในรูปแล้วเสือคู่สวยงาม ได้ใจมาก ๆๆ ตอนแรกก็ตกลงได้แล้วว่าจะไปให้เขาสักให้ในวันหยุด ซึ่งราคาก็ไม่แพงมากจนเกินไป(ควักกระเป๋าตัวเองดูแล้ว สงสัยหลังจากสักมาแล้วคงต้องกินแกลบแทนข้าวเสียแล้วมั๊งเราฮ่า ๆ ๆ ๆ)
   ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะไปสักที่สำนักที่ตัวเองได้เลือกไว้ แต่จู่ ๆ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองมันก็แวบ....ขึ้นมาให้คิดว่า แล้วจะไปสักทำไม เอาเพื่อความสวยงามแค่นั้นหรือ ร่างกาย เนื้อหนัง ของตัวเองนะ ติดไปตลอดชีวิต(เสียดายผิวขาว ๆ ของตัวเอง แม้แต่คนรอบข้างยังอิจฉาอิ ๆ ๆ ๆ)
   ซึ่งนั่นทำให้ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่าจะสักเพื่ออะไร ในที่สุดก็นึกถึงหลวงปู่เปิ่นขึ้นมาเลยครับ ว่าวัดบางพระมีการสักยันต์(แต่ในใจก็ยังอยากได้เสือคู่อยู่อ่ะ)  เพราะหลวงปู่เปิ่นท่านโด่งดังมากในเรื่องของการสักยันต์  แต่ก่อนผมก็ได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่มานานแล้วตั้งแต่สมัยท่านมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยความที่การสักยันต์หรือการ tattoo ไม่อยู่สมองเลย จึงได้ปล่อยเวลาให้ผ่านมาจนมาถึงวันนี้ ที่ทำให้ผมมีความคิดและตั้งใจจะสักยันต์(เพราะเสือคู่นี่แหละฮ่า ๆ ๆ ๆ อยากได้อ่ะ)  จึงมาตรองดูว่าถ้าจะสักหรือ tattoo คงจะต้องสักยันต์ ดีกว่า เพราะว่าถ้าเราได้ยันต์ที่เกิดจากการที่พระอาจารย์ท่านสักให้ ซึ่งจะมีการลงอักขระ และเป่าเสกคาถากำกับทุกยันต์ที่เราได้รับ ยันต์นั้นจะช่วยประคอง ค้ำจุน ชีวิตของตัวเราปฏิบัติตนเป็นคนดี ยึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเรา จะคิดจะทำสิ่งใด ก็จะมียันต์ที่คอยกระตุ้นเตือนให้คิดก่อน ตรองก่อนว่าสิ่งนั้นถ้าจะทำไปแล้วมันดีหรือไม่ดี และจะทำให้เราคิดได้ว่าไม่ควรทำถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี และทำให้ตัวเราเป็นคนที่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี(เอาละสิเข้าธรรมเลยเราเดี๋ยวก็เตลิดร่ายคาถายาว....เอ้ากลับเข้าประเด็นต่อ) นอกจากนี้ยันต์ที่เราได้รับมาก็เป็นประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือ เป็นการอนุรักษ์ลายยันต์ของไทยที่มีมาแต่โบราณ ไม่ให้สูญหายไป และผลพลอยได้ที่จะตามมาเมื่อเราปฏิบัติตนให้เป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรมอย่างน้อยศีล 5 (กว่าจะปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อต้องใช้เวลากันหน่อย เพราะสังคมการดำเนินชีวิตในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปเยอะมากเหลือเกิน....) ยันต์ต่าง ๆ ที่เราได้รับมาจะช่วยส่งผลให้เราแคล้วคลาด ปลอดภัย มีชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้า มีกิน ไม่อับ ไม่จน ไม่เดือดร้อน
   และแล้วเมื่อสรุปได้แล้วว่าจะต้องมาสักยันต์ที่วัดบางพระ ก็ค้นหาเส้นทางที่จะมายังวัดบางพระทันทีเพราะยังไม่เคยมาวัดบางพระ เมื่อถึงวันหยุดที่ตั้งใจไว้ สำรวจตัวเองว่าใจพร้อม กายพร้อม ก็ขับรถตรงไปยังวัดบางพระเลย และหาดอกไม้ ธูป เทียน ค่าบูชาครู เข้าไปหาพระอาจารย์ที่กุฏิและยกพานกับพระอาจารย์ให้ท่านสักยันต์ให้ ซึ่งพระอาจารย์ท่านก็เมตตาให้ยันต์ครูมาก่อนเลยครับครั้งแรก เก้ายอด และก็มีการไปสักครั้งที่สองแปดทิศ ครั้งที่สามพระปิดตา และครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า พระอาจารย์ก็ให้เสือคู่มาเลยครับ โดยไม่ได้เอ่ยปากขอจากพระอาจารย์(แต่แอบอธิษฐานจิตบอกพระอาจารย์ว่าอยากได้เสือคู่ อิ ๆ ๆ ๆ)  แต่ถึงกระนั้นการสักก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้นครับ ก็ยังคงไปสักกับพระอาจารย์ต่ออีก ได้หนุมานเชิญธง ต่อยอดยันต์เก้ายอดเป็นสี่สิบเก้ายอด ยันต์งบน้ำอ้อย ยันต์อักขระต่าง ๆ ยันต์พระปิดทวารทั้งเก้า ยันต์เศียรพระฤาษี(พ่อแก่) ยันต์จิ้งจกสองหางกินหางเป็นวงกลม(เรียกไม่ถูกอ่ะ) ยันต์ตะกร้อ ยันต์ลิงทหารของหนุมาน ยันต์เกราะเพชร ยันต์จิ้งจก(อีกแล้วสามตัวเกาะกันพัลวันเลย...ฮ่า ๆ ๆ ๆ) ยันต์เศียรหนุมาน ล่าสุดยันต์พระพิฆเนศ อ่ะครับแต่ยังไม่หยุดแค่นี้นะครับคงจะยังไปสักอยู่เรื่อยครับ และอย่าลืมกันนะครับวันที่ 3 มีนาคม 2555 ไปไหว้ครูที่วัดบางพระกันครับ
   สุดท้ายนี้ก็ขอให้เนื้อหาที่กล่าวมานี้ เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับทุก ๆ คน และรวมไปถึงคนที่คิดจะสักด้วยครับ และขอคุณพระศรีรัตนไตรจงช่วยปกปัก รักษา คุ้มครอง ให้ทุก ๆ ท่านมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขมีแต่ความเจริญ หมดทุกข์ หมดโศกกันทั่วหน้าครับผม

23
ดีแล้วครับที่จะไปถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่สัตว์ตัวนั้นเพื่อจะทำให้เราได้มีจิตใจที่ดีขึ้น และการอโหสิกรรมต่อกันด้วยครับ

24
ผมก็ได้พระพิฆเนศมาเช่นกันแต่อยู่ด้านหลังใกล้กับบริเวณหัวไหล่ครับ :050:
:074:รูปพระพิฆเนศที่เป็นโลโก้เหมือนเป็นฝาแฝดกับของผมเลย :045: :002: 31;
ครับผม เป็นวันอังคารถือว่าเป็นวันดีสำหรับพระพิฆเนศจึงได้ยันต์นี้มาครับผม

25
ผมก็ได้พระพิฆเนศมาเช่นกันแต่อยู่ด้านหลังใกล้กับบริเวณหัวไหล่ครับ :050:

26
15 วิธีคิด เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

         ปัจจุบันการมี Positive thinking หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าชีวิตคิดบวกนั้นกำลังเป็นที่แพร่หลายในสังคม ทั้งนี้น่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คนเราในสมัยนี้ใช้ชีวิตกันอย่างค่อนข้างเคร่งเครียดก็เป็นไปได้ ดังนั้นการที่เราจะมองปัญหาในอีกด้านเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นก็นับเป็นเรื่องที่ดี และถือว่าเป็นการเข้าใจโลกในอีกแง่มุมหนึ่งที่สามารถทำให้สบายใจ คลายเครียดไปได้ช่วงหนึ่งเรามี 15 วิธี ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันได้ง่าย ๆ

1. ถ้าโกรธกับเพื่อน...มองคนไม่มีใครรัก
        
   ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจกันในด้านไหนก็ตาม แต่ขอให้คุณรู้ไว้เสมอว่าคุณยังมีเพื่อน (ให้โกรธ) อยู่ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้นคุณลองมองคนที่ไม่มีใครรักดูสิ แล้วคุณจะได้รู้ว่าการที่คุณยังได้มีเพื่อนน่ะดีที่สุดแล้ว

2. ถ้าเรียนหนัก...มองคนที่เขาอดเรียนหนังสือ

         คุณโชคดีแค่ไหนที่ยังมีโอกาสในการได้รับการศึกษา เมื่อคุณเรียนจบออกมาจะมีหน้าที่การงานความสำเร็จรอคุณอยู่อีกมากแค่ไหน แล้กับคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือล่ะ เมื่อได้มองกลับไปถึงคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนแล้ว คุณพร้อมที่จะเรียนหรือยัง

 3. ถ้างานลำบาก...มองคนอดแสดงฝีมือ

         วิถีชีวิตของมนุษย์เราย่อมต้องมีการทำงานเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตแทบทุกคน หลายคนได้ทำงานสบายและอีกหลายคนได้ทำงานที่คิดว่าตนเองลำบาก แต่โดยรวมแล้ก็คือยังมีงานทำ ทีนี้ลองนึกในทางกลับกันของคนที่ไม่มีงานทำดูล่ะ ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ แล้วคุณยังอยากทำงานกันอยู่หรือเปล่า

 4. ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ...มองคนตายที่หมดล

         พลังงานในการทำงานของคุณย่อมมีการอ่อนล้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติถ้าคุณยังเป็นมนุษย์ เมื่อเหนื่อยล้าควรต้องพักผ่อนเพื่อกลับมาทำงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ ให้ดีต่อไป แสดงผลงานของคุณให้มีคุณค่าเป็นที่น่าจดจำ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตามให้คิดเสียว่ายังดีกว่าการที่คุณต้องหมดลมหายใจโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้ตนเองและคนรอบข้างเลย

 5. ถ้าขี้เกียจนัก...มองคนที่ไม่มีโอกาส

         ยังมีอีกหลายคนที่อยากได้โอกาสอย่างที่คุณมีแล้วทำไมคุณถึงไม่อยากทำมันล่ะ ในเมื่อคุณสามารถทำได้แล้วขอให้ทำให้ดีที่สุด เพราะการที่คุณขี้เกียจก็เท่ากับคุณกำลังทำลายเวลาที่สามารถทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกเยอะเลย

 6. ถ้างานผิดพลาด...มองคนที่ไม่เคยฝึกฝน

         คนทำงานย่อมเกิดความผิดพลาดได้ทุกคน ซึ่งแตกต่างจากคนที่ไม่เคยผิดพลาด เพราะนั่นคือคนที่ไม่เคยทำงานเลย นี่เป็นสัจธรรมที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาบ้าง เมื่อเกิดความผิดพลาดขั้นการแก้ไขให้กลับมาดีเหมือนเดิมย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยคุณก็คิดเสียว่าคุณได้ลงมือทำแล้วและยังได้เรียนรู้ในความผิดพลาดครั้งนี้ด้วย

 7. ถ้ากายพิการ...มองคนไม่เคยอดทน

         ความไม่สมประกอบของมนุษย์เราไม่ใช่อุปสรรคในการทำให้ชีวิตมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า แต่ความอดทนตั้งใจในการที่จะดำเนินชีวิตต่างหาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอะไร ขอให้คุณคิดเสียว่าร่างกายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ความอดทนต่างหากที่จะเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จ

8. ถ้างานรีบรน...มองคนไม่มีเวลา

         การที่งานการของคุณมีมาให้สะสางอย่างต่อเนื่องเรื่อย ๆ ขอให้คุณจงรีบทำให้เสร็จโดยที่อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะการกระทำเช่นนี้จะมีผลต่องานของคุณอย่างแน่นอน รีบจัดการทำให้เสร็จซะเพื่อที่จะไม่ได้มีดินพอกทางหมูในวันต่อ ๆ ไป

 9. ถ้าตังค์ไม่มี...มองขอทานข้างถนน

         รู้อย่างนี้แล้วคุณยังจะทอดอาลัยอยู่อีกไหม ถ้าคุณยังมีงานทำอยู่ล่ะก็ขอให้คุณสบายใจเถอะว่าคุณยังมีรายได้อยู่ จะมีมากหรือมีน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความคิดของคุณแล้วล่ะ การมีน้อยของคุณก็อาจจะมากพอในชีวิตของผู้อื่นก็เป็นได้

 10. ถ้าหนี้สินล้น...มองคนแย่งกินกับหมา

         คนเราทุกคนเกิดมาย่อมเป็นหนี้อยู่แล้ว จะเป็นมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าคุณสร้างขึ้นมาเท่าไหร่ มีหนี้แล้วใช้หนี้ วันหนึ่งย่อมหมดหนี้แน่นอน ลองคิดและทำเช่นนี้ วันที่หมดหนี้ของคุณจะมาถึงแน่นอน

 11. ถ้าข้าวไม่มีกิน...มองคนไม่มีที่นา

         การที่คุณยังพอมีกำลังกาย กำลังใจ หรือกำลังทรัพย์ แม้จะเล็กน้อยแต่อย่าคิดว่าด้อยค่าโดยเด็ดขาด ให้นึกไว้เสมอว่าคุณยังมีอยู่ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว

 12. ถ้าใจอ่อนล้า...มองคนที่ไม่รู้จักความรัก

         อยากให้คุณลองกลับไปที่บ้านหรือที่ ๆ คุณมีใครสักคนรอคุณอยู่ แล้วคุณคงจะรู้ดีขึ้นถ้มีใครรอคุณอยู่ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่คุณยังไม่ยอมให้ใครมาร่วมใช้ชีวิตกับคุณเลย การรู้จักให้ความรักกับผู้อื่นอาจทำให้ใจคุณสดใสขึ้นมาบ้างก็ได้

 13. ถ้าชีวิตแย่...มองคนที่แย่กว่า
         ชีวิตคนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมสรรพเหมือนกันทุกคน อาจมีบ้างบางคนทีมีครบทุกอย่างที่ต้องการและอาจมีบ้างที่ไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ถ้ามีคนที่ไม่เคยได้และไม่เคยมีเลยล่ะ คุณคงไม่อยากเป็นคนประเภทหลังใช่ไหม เพราะฉะนั้นขอให้จงภูมิใจและพอใจในชีวิตคุณเถอะ

 14. อย่ามองแต่ฟ้า...ที่สูงเกินตาประจักษ์

         บางขณะการใช้ชีวิตที่พอดีและพอเพียงอาจเป็นความสุขทีสุดแล้วก็ได้ ลองหันกลับมาสักหน่อย ถอยมาสักก้าว ความสุขของคุณอาจอยู่ตรงนั้นก็ได้

 15. ความสุขข้างล่าง...มีได้ไม่ยากเย็น

         เพราะบางขณะชีวิต ความคิด และความสุขมักเริ่มจากตัวคุณก่อนทั้งนั้น คิดดี ทำดี พูดดี แค่นี้ก็สามารถทำความคิดให้เป็นบวกได้

         เพียงแค่นี้จิตใจคุณจะเป็นสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียคุณไม่หยุดที่จะพัฒนาความคิดให้เป็นบวก คุณก็จะได้พบมุมมองใหม่ที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้ นอกจากมุมที่คุณคิด และสร้างขึ้นมาด้วยตัวของคุณเอง

ที่มา: http://health.kapook.com/view24135.html

27
วิธีทำจิตว่างจากความทุกข์ กราบนมัสการองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
 การปฏิบัติธรรมแบบต่าง ๆ ที่ทุก ๆ ท่านศาสนิกชนได้ปฏิบัติ ต่างก็มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ พระนิพพาน แต่ละคน แต่ละจิต ก็ปฏิบัติตามแนวจริตของตน ตามอารมณ์จิตและบารมี คือ กำลังใจของแต่ละท่าน ที่ได้เคยปฏิบัติตามพระอาจารย์ของแต่ละท่าน ในภพชาติที่ผ่านมา นับชาติไม่ถ้วน และสิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ให้จิตท่านเข้าถึงสภาวะพระนิพพาน จิตเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่มีวันตาย จิตไม่มีวันแตกแยกสูญสลาย
 จิตของเรานี้ บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มมาก่อนที่จะมาหลงวนเวียนเข้ามาอยู่ในวัฏฏสงสาร แต่ละภพแต่ละชาติ เวียนว่าย ตายเกิด แล้วลืมชาติกำเนิดก่อนเกิด แต่ละชีวิตก็ถูกกิเลส ครอบงำมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ ยึดมั่นในสิ่งสมมติในโลกที่เป็นอุปาทาน ทั้งคนสัตว์ วัตถุสิ่งของ มีเกิดมีดับ ตายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็เลยไม่สามารถหลุดออกจากวัฏฏสงสาร จนกว่าจะขัดเกลาจิตให้บริสุทธิ์ ให้ว่างจากกิเลสทั้งปวง จึงจะเห็นจิตในสภาพที่แท้จริง
 ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาทในชีวิต อย่าได้คิดว่าหาเงินหาทองลาภยศสรรเสริญไว้ก่อน จิตใจเอาไว้ปฏิบัติธรรมยามแก่เฒ่า วันเวลาชีวิตของมนุษย์สั้นมาก ตายกันได้ง่าย ๆ ไม่มีใครรู้ว่าความตายจักมาถึงเวลาไหน สภาพอย่างไร
 ถ้าจิตก่อนตายไม่ใสสะอาด จิตเศร้าหมองหรือตกใจ ก็ไปเกิดยังภพภูมิที่เศร้าหมอง เพราะมีแต่ทุกข์ ทรมานกายจิต ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าจิตสะอาด ปราศจากกิเลส โลภ โกรธ หลง ตัณหา อุปทาน ผิดศีล 5 ข้อ ไม่ติดใจในกายขันธ์ของใครทั้งสิ้น จิตก็หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากลำบากกายใจสารพัด จิตที่ยึดติดในกายเรา กายเขา ทรัพย์สมบัติอันเป็นที่รักใคร่พอใจ เรียกว่า จิตมีอุปาทาน คือ หลงยึดติดใจ

 วิธีขัดเกลาจิตของท่านให้จิตว่างจากกิเลสมีดังนี้

1. สร้างกำลังใจของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยการรักษาศีล 5 ทำบุญทำทาน บวชจิตทำจิตให้สะอาดไม่วิตกกังวล ไม่ติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นเนกขัมมบารมี มีปัญญา มองดูทุกสิ่งใด ๆ ในโลก พังสลายไม่คงทนทั้งหมด มีวิริยะเอาชนะอารมณ์ชั่ว อารมณ์เศร้าหมองเครียด ขจัดออกไปจากจิต ด้วยการภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีดีอย่างไร มีขันติบารมี คือ อดทนฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ไม่หวั่นไหวมีอารมณ์อดกลั้น ไม่โกรธตอบ ใช้น้ำเย็นระงับความหงุดหงิด ไม่พอใจด้วยการเมตตาสงสารขอให้เขาเป็นสุข เป็นเมตตาบารมี หน้าตาเบิกบานแจ่มใส
 มีความจริงใจที่จะทำจิตใจให้ว่างจากกิเลสด้วยการพิจารณาโลก คน สัตว์ทั้งหมด เป็นสุขจริงหรือทุกข์จริง มีความจริงใจพิจารณาร่างกายคน หอมหรือเหม็น ร่างกายเป็นคุณหรือเป็นโทษ ร่างกายอยู่ในความเชื่อฟังควบคุมของจิตหรือไม่ ร่างกายตายสุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า ทำจิตให้ว่างจากกายเรา กายเขา ทำแบบจริงจัง แต่ทำให้สบาย คิดเล่น ๆ แค่มีความจริงใจในการปฏิบัติ คือ สัจจะบารมี
 อธิษฐานบารมี สร้างกำลังใจ ว่าเราจะทำคุณงามความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ จนกว่าจะหมดลมหายใจ มีจิตมั่นคง ไม่สงสัย ในพระธรรม คำสอนขององค์พระชินวร ปฏิบัติตามพระพุทธองค์ จิตเราเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน ในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องอธิษฐาน ไปนิพพานชาติหน้า ให้เสียเวลาเกิดเป็นคนอีกพบกับความทุกข์แบบนี้อีก
 ทำจิตให้มีกำลังใจในอุเบกขาบารมีครบถ้วน ด้วยการมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาของโลกเป็นธรรมชาติ จิตสบายเฉย ๆ ไม่มียินดีหรือยินร้าย ทำใจนิ่งเฉยไม่วอกแวก
 บารมี 10 กำลังใจทั้ง 10 อย่างนี้สำคัญมาก ท่านจะเข้าใจสภาวะนิพพานในจิตใจของท่านเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย กำลังใจ 10 อย่างนี้ สามารถตัดกิเลส สังโยชน์ 10 อย่างได้ ตามกำลังใจของท่าน ถ้าเข้มแข็งจริง ๆ ท่านก็เอาชนะกิเลสได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นทางลัดรวดเร็ว พยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เคร่งเครียด ทำแบบสนุก จิตจะเป็นสุขไปด้วยพลังธรรม
 การพิจารณาขันธ์ 5 ร่างกายเรา เขา ว่าไม่เที่ยง มีภาระต้องดูแลเลี้ยงดู ทำความสะอาดกันทุกวัน และควบคุมไว้ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ของเขาอยู่แล้ว เป็นของธรรมชาติ เป็นของโลก เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของจิตเราท่าน ต้องพิจารณาจนเห็นเข้าใจว่า ไม่ใช่ของจิตจริง ๆ แม้ใครจะมาทำร้ายหรือตามมาฆ่าร่างกาย เราก็ไม่ตกใจหวั่นไหว เพราะจิตเราไม่ยืดติดในร่างกายชั่วครู่ชั่วคราวของโลกนี้
 การปฏิบัติเพื่อจิตไม่ยึดติดในร่างกายมีหลายข้อหลายวิธี มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เช่น กรรมฐาน 40 แบบและ มหาสติปัฏฐานสูตร 4 อริยสัจ 4 มรรค 8 ศีล สมาธิ ปัญญา เลือกเอามาใช้พิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งใน 84,000 พระธรรมขันธ์ จิตก็จะเข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่าย ๆ อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ เพียงแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
" พาหิยะ จิตเป็นของเบาบริสุทธิ์ จิตเธอเห็นรูปร่างกายขันธ์ 5 แล้ว จงทำจิตเพียงสักแต่ว่าเห็นรูป อย่าเอาใจที่เป็นของเบาไปยึดติดรูปร่างกายที่เป็นของหนัก มีแต่ทุกข์แต่โทษ เพียงเท่านี้ จิตของท่านพาหิยะ บรรลุอรหัตตผลทันที เป็นพระสาวกที่บรรลุธรรมได้รวดเร็วที่สุด
2. แนวการปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพาน ก็คือ ปฏิบัติด้วยการมีศีล 5 ข้อ บริสุทธิ์ วาจาจริงใจไพเราะมีประโยชน์ ใจในขันธ์ 5 ก็คือ อารมณ์ 108 ประการ เอาจิตที่ว่างสะอาด ปราศจากกิเลส ควบคุมอารมณ์ใจให้มีเมตตาอยู่เสมอ

3. เอาจิตพิจารณามองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก สัตว์ คน วัตถุสิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขทางโลก ไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมุติ ทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน คงที่ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสาระแก่นสารได้ ย่อมสูญสลายหายสาบสูญไปหมดทั้งสิ้น
 เตือนจิตตนแบบนี้ตลอดเวลา จิตจะว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ว่างจากกายขันธ์ 5 ของตน ว่างจากกายขันธ์ 5 คนอื่น ไม่มีวิตกกังวลอยู่ในจิตในใจเราอีกต่อไป มองเห็นทุกสิ่งเป็นความว่างเปล่า

4. จิตว่าง คือ จิตมีอยู่ แต่จิตเป็นกุศลฉลาด มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จักรวาล นรกโลก เทวโลก พรหมโลก ในความเป็นจริงว่า เป็นเพียงภาพสมมุติ ภาพมายา มีจริง แต่ก็สูญสลายไปจริง ๆ เหลือแต่ความว่างเปล่า จิตไม่ไปยึดเกาะกับของว่างเปล่า เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมเพราะไม่มีอุปาทาน ยึดติด ทั้ง 3 โลก ไม่ยึดติดทุกข์ คือ นรก ไม่ยึดติดสุข ในสวรรค์ พรหม
 จิตไม่ยึดติดในสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ โลกหน้า สภาพจิตจะเบา เป็นอุเบกขา เป็นหนึ่งคือ เอกัตคตารมณ์ วางเฉยในทุก ๆ เรื่อง เป็นสังขารุเบกขาญาณ วางเฉยในร่างกายเขาและเรา

5. จิตว่างจากกายเรา กายเขา แต่ถ้าจิตยังอยากเป็นพระอริยเจ้า อยากเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ ท่านทำได้ดีแล้ว แต่ดียังไม่ถึงที่สุด ควรวางจิตให้เป็นอุเบกขา ไม่ยึดติดในความดี ความชั่ว บุญบาป ไม่สนใจ ทำจิตให้นิ่ง วางเฉยแต่มองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างสลายไปหมดเหลือแต่อวกาศ สุญญากาศ มีแต่จิตสะอาดเบาว่างจากกิเลส ว่างจากความหลงเหลืออยู่

6. จิตของคน สัตว์ เทพ พรหม ผีต่าง ๆ ถูกความว่างหุ้มห่อไว้ จิตมองเห็นตามความเป็นจริงว่า ทั้ง 3 โลก มีแต่ความแปรปรวนว่างเปล่าในที่สุด จิตจะหลุดจากการเกาะยึดสิ่งชั่วคราวสมมุติแล้วก็เหลือความว่างนั้น โดยเฉพาะขันธ์ 5 ร่างกายมนุษย์ สัตว์ ผี เทพ ก็มีแต่ความว่างเปล่า เพียรทำจิตให้ว่าง เหมือนแก้วในประการเพชร สว่างไปไกลไม่มีขอบเขต และวางเฉยแบบนี้ เป็นอุบายง่าย ๆ แบบลัด ๆ ได้ผลรวดเร็ว เป็นแบบพุทธจริต คือ จิตของท่านผู้ฉลาดมีบุญบารมี ปัญญา เฉียบแหลมคม
 ในที่สุด จิตท่านก็ถอนความเห็นเป็นตัวเป็นตนของร่างกาย ซึ่งเป็นของหนักเสียได้ อย่างง่ายดาย ดังเช่น ท่านโมฆราชได้บรรลุ พระอรหัตตผลแล้ว ท่านก็จะเข้าใจสภาวะพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่ในจิตของทุกท่าน ที่องค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหากรุณา เมตตาสั่งสอน และคอยสอดส่องดูแลเหล่าพุทธบริษัท เป็นกำลังใจให้พวกเราได้เข้าใจจิตเดิมแท้ของพวกเราตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านรีบเร่งบำเพ็ญเพียรทางจิต อย่าได้คิดผัดผ่อน ทุกวินาที มีค่าสำหรับเราเพื่อพ้นทุกข์ ร่างกายเป็นครู เป็นพระธรรมให้เราเห็นทุกข์โทษ ถ้าจิตติดในร่างกายไม่มองกายในความเป็นจริง
 พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ไม่ฉลาด ไม่มีความรู้จริง ขอให้ท่านช่วยตนเอง ทำจิตให้ฉลาดมีปัญญาตามพระธรรมคำสอนขององค์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์พระปฐมจนกระทั่งถึงสมเด็จองค์ปัจจุบัน

7. ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ สัมผัสพระพุทธเจ้าเบื้องบนพระนิพพานได้แล้ว ให้ขยันยกจิตเข้าไปฝากไว้ในจิตองค์สมเด็จพระประทีปแก้วตลอดเวลา เป็นการแยกจิตซึ่งเป็นของจริงของเบา ออกจากกายที่เป็นของหนักสกปรก จิตที่ยกไปผากไว้กับพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระนิพพาน จะเป็นจิตสะอาด จิตเบิกบาน จิตว่างจากกิเลส เป็นจิตของพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา เป็นจิตที่มีปัญญา เข้าถึงพระนิพพานเพราะว่างจากกิเลส จิตที่พระนิพพานอยู่กับองค์สมเด็จพระพิชิตมารเป็นฌาน 4 ใช้งานเป็นของง่ายเป็นของจริง ถ้าไม่มีบารมีนึกอย่างไรก็ไม่ถึงเพราะสงสัยไม่เชื่อ
 ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ บารมีพระนิพพาน บารมีพระธรรม และบารมีพระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดลบันดาล ดลจิตของทุกท่านได้รอดพ้นจากวัฏฏสงสาร สามารถก้าวล่วงสู่พระนิพพาน เป็นสุขยิ่งชั่วกาลนาน ทุกท่านด้วยเทอญ

ที่มา: http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn%202/witee%20tamjithaiwang.html

28
“ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ
มนุษย์สามารถจะพยากรณ์ชาติภพหน้าของตนเองได้จากกรรมที่กระทำเสมอในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากจิตของคนเรา ซึ่งมีระดับที่ค่อนข้างคงที่และตรวจวัดได้เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงน้อยลง และระดับจิตคงที่นี้เอง ที่ยังผลให้ไปเกิดภพต่างๆ อีกทั้งจิตนี่แหละ คือ ผู้ก่อสร้างภพชาติทุกขณะจิต หากจิตระลึกภาวนาถึงสิ่งใดอยู่เสมอก็จะสร้างภพสร้างชาติในสิ่งนั้นๆ เช่น การระลึกถึงตรึกแต่เรื่องเงินทอง จิตก็จะสร้างภพชาติแห่งความโลภ อันเป็นเหตุให้เกิดภพเปรตได้ หากจิตระลึกแต่พระพุทธเจ้า จิตก็จะสร้างภพแห่งความดีงาม ยังผลให้ไปเกิดถึงสวรรค์ชั้นดุสิตได้ แต่หากจิตระลึกถึงการสิ้นไปของชาติภพ ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดชาติภพต่อไป คือ นิพพาน การพิจารณาระดับจิตของตนจะช่วยให้เรารู้ตัว และพัฒนาระดับจิตให้สูงขึ้นได้ดีขึ้น จิตของคนเรามีระดับหลายระดับด้วยกัน สามารถพิจารณาได้ไม่ยากเป็น ๑๓ ประเภท เรียงจากต่ำสุดไป ดังนี้คือ

นรกภูมิ คือ จิตที่ก่อแต่กรรมเลว แล้วหลงผิดคิดว่าดีเพราะเชื่อคนเลวในคณะ
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดยัง “นรก” จะมีลักษณะทำความชั่วมากกว่าความดี ไม่เชื่อเรื่องกรรม ศีลบกพร่องถึงขั้นไม่มีเลย มีความเชื่อเดียวกันเองในกลุ่มย่อย ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมสากล คนที่ต้องตกนรกแน่นอน เช่น คนที่ติดสุราต้องกินทุกวันแม้มีคนทักท้วงห้ามก็จะโมโหใส่, คนที่มีมิจฉาอาชีวะ ต้องโกงกินหรือเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชีพ, คนที่คบชู้และทำร้ายจิตใจผู้ที่รักตนอย่างหนัก, คนที่ไม่สนใจทำบุญทำทาน รังแต่จะจับผิดนินทาคนที่ตั้งใจทำความดี เป็นต้น คนเหล่านี้ ไม่อาจหลุดพ้นนรกไปได้เลย  

เปรตภูมิ คือ จิตที่ตระหนี่ เพราะหลงผิดคิดว่าไม่ทำร้ายใครก็ถือว่าตนดีแล้ว
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต แม้ไม่ถูกทรมานในนรก ก็จะต้องพบกับความหิวโหยทรมานอยู่เป็นนิตย์ จะมีลักษณะไม่ทำความดี ไม่ทำบุญทำทานเลย ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ตลอดเวลา ถือคติว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” และคิดว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วย นี่เป็นทรัพย์อันชอบธรรมของตนแล้ว สมควรเลี้ยงดูตนเอง ไม่สมควรแบ่งปันแก่ใคร แม้นไม่ทำร้ายใครมาก แต่ไม่มีบุญเลี้ยงตัวเลยเมื่อตายลง จึงเกิดเป็นเปรตที่หิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะของคนประเภทนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเปรตไปได้  

เดรัจฉานภูมิ คือ จิตที่ทำดีต่อคนเลว แล้วทำเลวต่อผู้อ่อนแอกว่าเพราะความกลัว
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องหาอาหารด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เมื่อจะกินต้องล่าผู้อื่น เมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องถูกผู้อื่นล่ากิน และต้องตายอย่างทรมาน ชีวิตทั้งชีวิตลำบากลำบน แม้มีอาหารกินบ้าง แต่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ต้องแก่งแย่งอาหารกับเดรัจฉานอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นคนที่ทำดีแต่กับคนที่มีอำนาจเหนือตน หรือข่มตนได้ และตนเองจะข่มเหงผู้อื่นที่อ่อนแอหรืออำนาจน้อยกว่าตนต่อไป เช่น นายจ้างที่ยอมนักการเมือง แต่เบียดเบียนใช้แรงงานพนักงานอย่างหนัก จนพวกเขาไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกวันพระ คนเหล่านี้ เมื่อตายลงชดใช้กรรมในนรกแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อ มีจิตเป็น “เดรัจฉาน” คือ นิยมอำนาจและการกดขี่กันเป็นทอดๆ

มนุษย์ภูมิ คือ จิตที่พุ่งไปสู่ความหมดสิ้นไปแห่งกรรม เพราะความเบื่อการเกิด

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นคน มีความสุขอยู่บ้าง มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายที่สุด และมีโอกาสสะสมบุญบารมีมากที่สุดเหนือกว่าภพอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเกิดอีก เพราะเหนื่อยล้ากับการเกิด หรือกลัวการเกิด อยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้นไป หากเป็นมนุษย์ที่บรรลุโสดาบัน จะเกิดในภพที่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ หากเป็นเทวดาที่ไม่อยากเกิดอีก ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หากเป็นเทวดาที่อยากชดใช้กรรมก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นกัน หรือเป็นผู้ที่รอการเกิดเป็นมนุษย์มานานและได้ชดใช้กรรมในภพอื่นๆ หมดสิ้นแล้วจึงถึงคิวเกิด

จตุโลกภูมิ คือ จิตที่ทำความดีแบบมีเงื่อนไข เป็นบุญไม่สมบูรณ์เจือด้วยบาป
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “จตุมหาราชิกา” ซึ่งเป็นเทวดาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ มีความบกพร่องต่างๆ เช่น ยักษ์ จะมีรูปร่างไม่เหมือนเทวดา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว, นาค แม้ถอดกายทิพย์เป็นเทวดาสวยงาม แต่มีร่างเหมือนงูขนาดใหญ่, กุมภัณฑ์มีรูปร่างพิกลพิการในแบบต่างๆ, คนธรรพ์ ที่มีรูปกายแบบเทวดาสมบูรณ์แต่ไม่วายต้องได้รับผลกระทบจากการที่สถิตอยู่ใกล้โลก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปกติเป็นคนชอบทำบุญ แต่เป็นบุญเจือบาป ทำดีแบบมีเงื่อนไขต้องการสิ่งตอบแทน เช่น ลาภสักการะ ทำบุญเจือกิเลสประเภทต่างๆ เช่น ช่วยคนไปด่าไป ทำให้เขาทุกข์ใจ เทวดาชั้นนี้จึงมีภาระเกี่ยวข้องกับโลกมาก ต้องสะสมบุญบารมีมาก จึงไปสู่ภพที่ดีขึ้นได้

ดาวดึงส์ภูมิ คือ จิตที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ แต่อาลัยอาวรณ์ห่วงหาญาติมิตร

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดาวดึงส์” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อันพ้นจากเขตของพื้นโลก สงบจากความวุ่นวายของมนุษย์ จัดเป็นสวรรค์ที่แท้จริงชั้นแรก แต่ยังคงต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลมนุษย์โลก ทำให้ต้องขึ้นๆ ลงๆ สวรรค์และโลกในยามที่ต้องไปช่วยเหลือมนุษย์ เห็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตยังอาลัยในโลกมนุษย์ พวกพ้องและญาติมิตรมาก แม้ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นบุญที่ไม่เจือด้วยบาปแบบเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาก็ตาม ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ มีจิตใจมั่นคงเชื่อในศาสนา แต่ยังมีความอาลัยในโลกมาก ห่วงญาติมิตรมาก ทำให้ไปไม่ไกล อยู่เพียงสวรรค์ชั้นต้น รอคอยเวลามาช่วยมนุษย์โลกเสมอ

ยามาภูมิ คือ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อให้พ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชน
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ยามา” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกอีก เพราะไม่ต้องรับหน้าที่หมุนเวียนกันดูแลโลกมนุษย์มากเหมือนเทวดาชั้นดาวดึงส์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะได้ทำบุญใหญ่ไว้มาก หรือจิตไม่มีความห่วงหาอาลัยในโลก มีความยินดีในผลบุญและการเสวยสุขบนสวรรค์อันแท้จริง ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่มักทำบุญใหญ่และทำสม่ำเสมอ เช่น เป็นเจ้าภาพในงานสร้างอุโบสถ, การบวชพระทั้งชีวิต ดำรงตนในศีลไม่บกพร่อง แต่ไม่บรรลุธรรมหรือการฝึกจิตใดๆ มีจิตไม่อาลัยในโลก อยากหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายทางโลก บุคคลที่ดำรงตนเช่นนี้ ประพฤติตนเช่นนี้สม่ำเสมอ จึงมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ได้

ดุสิตภูมิ คือ จิตที่ทำความดีเพื่อมหาชน เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์โปรดผู้คน

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดุสิต” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกแล้วยังมีโอกาสได้พบกับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรรอการจุติอยู่ที่ชั้นดุสิต ทำให้นอกจากไม่ต้องยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์อีกด้วย ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลบุญให้เป็นของตนเอง ทำเพราะเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิสัย เช่น เป็นผู้ชอบเก็บสุนัขจรจัดมาเลี้ยงเพราะสงสาร เป็นต้น

นิมานรดีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อแก่งแย่งแข่งขันเอาหน้าแต่จิตริษยาอาฆาต
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “นิมารดี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ มีฤทธิ์มีอำนาจเอาไว้เอาชนะคะคานกัน ดังนั้น จึงมาเกิดสวรรค์ชั้นสูงกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะจะอยู่นานกว่า และมีโอกาสได้เกิดเป็นคนไม่บ่อย ได้สะสมบุญบารมีน้อยกว่า เอาแต่ตีรันฟันแทงทำสงครามกันบนสวรรค์ ไม่มีผู้ใดสอนได้ เพราะมีจิตมิจฉาทิฐิ ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญไว้มากมายเพื่อให้ตนเหนือคนอื่น เช่น พวกคุณหญิงคุณนายที่ทำบุญมากๆ เอาหน้าเอาตา ให้เขาออกชื่อประกาศใหญ่โต เพื่ออวดดีอวดเด่นแข่งกัน แต่กลับมีจิตใจริษยากันเอง

ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อเป็นหนึ่งเหนือใคร มีจิตริษยาอาฆาต

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ปรนิมมิตวสวัสตี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ หลงผลบุญที่มากมาย ฟุ้งเฟ้อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์แต่หาความสุขไม่ได้ มีฤทธิ์มีอำนาจมาก บ้างฝึกจิตขั้นสูง แต่ยังไม่พ้นอวิชชา คิดอยากเป็นใหญ่เหนือผู้ใด คิดครองโลกครองสวรรค์ ก่อสงครามบนสวรรค์ไม่จบไม่สิ้น มีอายุยืนยาวนานที่สุด มีโอกาสเกิดเป็นคนเพื่อมาสะสมบุญบารมีได้น้อยครั้ง ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญใหญ่มามาก แต่มีจิตริษยาอาฆาต เช่น กอบกู้แผ่นดิน แต่มีจิตอาฆาตศัตรู แทนที่จะตกนรกเพราะทำสงคราม กลับดื้อด้านขึ้นสวรรค์ จึงต้องอยู่นานเป็นมารสวรรค์

พรหมภูมิ จิตที่เสพติดในรสสุขแห่ง “ฌาน” และความสงบสุข ไร้กิเลสกามใดๆ
ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “พรหม” ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีเพศ จึงไม่มีการเสพกาม ไม่มีคู่ครอง ต่างอยู่อาศัยอย่างสงบสงัดดุจฤษีต่างๆ ในป่า ในวิมานของตน ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะมีความยินดีในการเสพความสุขจากฌาน แต่ยังไม่แจ้งในธรรม ไม่รู้ว่าแท้แล้วการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร จิตยังมีความยินดีในฌาน จึงเกิดภพชาติใหม่ ต้องไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายและกิเลสทั้งปวง แต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงได้ คนที่ไปเกิดเป็นพรหมมักบำเพ็ญพรหมจรรย์นั่งสมาธิฝึกจิตจนได้ฌาน

อรหันตภูมิ จิตที่ปล่อยวางการยึดถือทั้งมวล เพราะมีดวงตาเห็นธรรม พบสุขแท้

ระดับจิตไร้กิเลส มีความสุขแท้ ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เมื่อตายลงสามารถไม่เกิดอีกได้ ซึ่ง ระดับจิตนี้พบเฉพาะผู้บรรลุอรหันต์เท่านั้น บุคคลที่จะพัฒนาภูมิจิตถึงระดับนี้ได้ จะต้องผ่านแต่ละขั้นก่อน คือ การละสักกายทิฐิ หรือความอวดดีถือตน หากบุคคลยังไม่ละ ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์กำราบให้ยอมจำนน บุคคลจะยังไม่บรรลุแม้โสดาบัน ไม่อาจบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ บุคคลจะบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ ก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระปัจเจก ซึ่งบารมีเต็มในชาติสุดท้ายเท่านั้น ในระหว่างชาติที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ จนถึง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกมาเกิดอีก

สุขาวดีภูมิ จิตที่บรรลุธรรมแล้วโปรดสรรพสัตว์ ยอมเกิดใหม่ช่วยสัตว์เรื่อยไป

ระดับจิตที่ไร้กิเลส บรรลุธรรม ดับสิ้นเชื้ออวิชชาแล้ว เมื่อตายลงสามารถเกิดได้อีก เพื่อลงมาช่วยมวลสรรพสัตว์ อันเกิดได้เพราะ “พระพุทธเจ้า” ในอดีต ที่ทรงมีมหาปณิธานไม่ยอมบรรลุนิพพาน เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ให้หมดก่อนตน บังเกิดภพใหม่ขึ้น ที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร” เป็นที่ๆ บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้ พบความสุขแท้ได้ พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ และยังสามารถกลับมาเกิดช่วยคนได้อีกตามแต่จิตปรารถนา ปกติ ภพนี้จะไม่แนะนำหรือแสดงให้คนทั่วไปได้รู้เห็น นอกจากจะเป็นผู้มีบุญบารมีมาก มีจิตเมตตาจริงๆ

การเกิดขึ้นของภพต่างๆ นั้น เช่น พรหมโลก ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๖ ชั้น พรหมโลกเองก็มีชั้นต่างๆ มากมายยิ่งกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้น เสมือนเป็นภพโลกอีกภพหนึ่ง อันเกิดจากดวงจิตที่พึงพอใจในการบำเพ็ญฌาน และรสชาติแห่งฌานมากกว่าการบรรลุธรรม พรหมโลก จึงเป็นโลกที่บริสุทธิ์สงบสงัดจากกิเลสชั่วคราว แต่ไม่แจ้งในธรรม ยังมีความยินดีในภพภูมิ และยังมีโอกาสลงมาเกิดในโลกได้อีก ในบรรดาฤษีมากมายที่ตายไปไม่บรรลุธรรม ก็ไปรวมกันที่พรหมโลก แต่ละดวงจิตก็เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ บางดวงจิตก็โปรดสัตว์ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่เพราะไม่บรรลุธรรม จึงไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้บรรลุธรรม ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และพบสุขที่แท้จริงได้ ดวงจิตที่โปรดสัตว์เหล่านี้ จะนำพลังอิทธิฤทธิ์มาให้แก่ผู้ที่นับถือศรัทธาตน เช่น มหาเทพต่างๆ ในฮินดู เป็นต้น

ภพบางภพก็เกิดขึ้นด้วยผลบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า, พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อันได้แก่ สุขาวดีพุทธเกษตร นั่นเอง  

บทสรุปส่งท้าย

จิตของคนเรามีระดับที่ค่อนข้างคงที่แน่ชัด เรียกว่า “ภูมิจิต” ซึ่งภูมิจิตนี้สอดคล้องกับ “ภพภูมิ” ที่สัตว์จะไปเกิดต่อในชาติภพหน้า เพราะจิตนั้นมีความคงที่ระดับหนึ่งจนเกิดสภาวะเหมือน “ภพ” ซ้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่บนโลก ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเป็นเหมือนคนทั่วไป พอทำบุญครั้งแรกเกิดจิตที่เป็นกุศล มีปีติสุข จากนั้นจึงทำบุญบ่อยๆ จิตใจก็มีสุขสดชื่น ภูมิจิตก็เปลี่ยนจากความเป็นโลกีย์ กลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาทันที มองโลกก็เหมือนอยู่สวรรค์ มีความสุขในจิตของตนเทียบเท่ากันกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นจริงๆ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนโลก และเมื่อตายลงจิตก็ระลึกถึงแต่สิ่งเหล่านี้ ปกติแล้ว เมื่อสัตว์ตายลง จิตดวงสุดท้าย คือ “จุติจิต” จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากจิตระลึกถึงสิ่งใดมาก ก็จะส่งผลให้ไปเกิดยังภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ตายลง จึงมีโอกาสที่จิตจะส่งไปยังภพที่จิตเกี่ยวพันอยู่จึงเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลควรหลีกให้พ้นจากอบายภูมิทั้งสาม อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, เดรัจฉานภูมิ อันเป็นภพภูมิชั้นต่ำ ที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีความลำบากเป็นนิตย์

สำหรับผู้ที่ยึดถือหรือเชื่อถือแต่พวกพ้องกลุ่มย่อยของตนที่ดีแต่พูดเอาอกเอาใจ ตรงใจ ถูกใจ เพราะปล่อยตัวตามใจอยาก นั้น จะนำพาตนเองเข้าสู่ “นรกภูมิ” เป็นแน่แท้ การจะหลุดพ้นออกมาได้ จะต้องเลิกยึดมั่นในความเชื่อของกลุ่มย่อย ที่เชื่อกันเองในกลุ่มเล็กๆ อย่างผิดๆ เช่น พรรคพวกที่คุยสังสรรค์และสร้างความเชื่อกันว่า การข่มขืนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงสนุก และการที่ผู้หญิงร้อง เพราะมีความสุขมาก แท้แล้วเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นพฤติกรรมการเลียนแบบนายนิรบาล ที่ลงไปทรมานสัตว์ในนรก และตนก็อยากระบายลงในผู้อื่นบ้าง ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ในสรรพสัตว์ไม่ถูกทิ้งถูกเพียงกลุ่มเดียว จึงสร้างให้ได้พบเจอกับนายนิรบาล ซึ่งหากปรารถนาจะเป็นนายนิรบาล จำต้องเริ่มหัดทำบุญ แม้ว่าจะเป็นบุญเจือบาปก็ต้องเริ่มทำ ไม่ใช่ความเลว โดยการเลียนแบบนายนิรบาล บุคคลจะได้เป็นอย่างที่ตนปรารถนาก็ต่อเมื่อเขาประพฤติจนพร้อมที่จะเป็น จักรวาลจึงจะส่งพลังหนุนนำให้ แต่หากหักหาญเป็นเอง ใช้พลังอำนาจของตนเอง ก็จะถูกสมดุลจักรวาลตอบโต้กลับ ทำให้ตนเอง ต้องได้รับวิบากกรรมซ้ำซ้อน ต้องตกนรกซ้ำๆ

สำหรับผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ไม่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใคร จำต้องเลิกความยึดมั่นในความดีที่ไม่แท้จริงของตน การไม่ทำร้ายใครและไม่ช่วยเหลือใครนั้น ไม่ใช่ความดี เป็นแค่การไม่ทำเลวเพิ่มเท่านั้นเอง แต่บุคคลยังต้องพิจารณาว่าตนเองได้เกิดเป็นมนุษย์กินสัตว์ได้อื่นมากมายเพราะอะไร สัตว์บางชนิดที่กินได้เฉพาะใบพืชชนิดเดียวเท่านั้นเพราะอะไร หรือนั่นเพราะการไม่ทำบุญ หรือทำบุญมาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ บุคคลหากยังเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องมีการทำบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว

สำหรับผู้นิยมกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และยอมก้มจำนนต่อผู้มีอำนาจมากกว่า มักยอมจำนนเป็นบริวารคนเลว แล้วทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าตน เป็น “เดรัจฉาน” มาเกิดโดยแท้ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็ก ข่มเหงเบียดเบียนกันเป็นทอดๆ หากต้องการหลุดพ้นจากภพนี้ จะต้องไม่ยอมก้มจำนนต่อคนเลว หลีกเลี่ยงคนเลว เลิกข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เลิกเลียนแบบรุ่นพี่ หรือผู้มีอำนาจ แล้วหันมาสนับสนุนคนดี และช่วยผู้อ่อนแอ จึงจะพ้นได้

เมื่อพ้นจากอบายภูมิทั้งสามนี้แล้ว ก็จะได้เกิดแต่ภพที่ยังมีความสุขอยู่บ้าง ซึ่งบางภพเป็นสวรรค์ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน และหลงลืมการทำสิ่งที่ดีงาม สุดท้ายหมดวาระบุญต้องมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ทำงานลำบากลำบน และตกต่ำกว่าสวรรค์เดิมที่ตนเคยอยู่ ดังนั้น บุคคลจึงควร “ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” เพราะความไม่แน่ไม่นอน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกขณะทีเดียว หากยังมีภพชาติใหม่อยู่เรื่อยๆ ก็จะยังต้องเสี่ยงเกิดเสี่ยงกรรมอีกเรื่อยๆ หากหมดสิ้นภพชาติได้ จึงหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม พบแต่ความสุขอย่างเดียว แต่หากมีกำลังบุญบารมีมาก คิดช่วยเข็ญสรรพสัตว์แล้ว พึงพัฒนาภูมิจิตให้ถึงสุขาวดี

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=144866

29
อยากถามพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ที่ทราบเกี่ยวกับยันต์ลิงสมุนของหนุมานครับผมว่าให้คุณทางด้านใดบ้างครับ :063: :073: :086: :054: :054: :054:

30
วันนี้ได้มีโอกาสไปวัดบางพระมาหลังจากน้ำท่วมนานพอดูครับ แต่ได้ไปเอาแค่พานเดียวเนื่องจากเงินยังไม่ออกอิอิ ได้กวางเหลียวหลังขี่เพชรพญาธรมาครับเลยมาแบ่งปันให้ชมกัน



 
ป.ล. สักมาตรงหน้าขาอ่อนนะครับ
สวยงามและเข้มขลังครับ

31
บทความ บทกวี / ในเสียมีดี
« เมื่อ: 06 ม.ค. 2555, 04:07:20 »
ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นจะเลือกมองในมุมใด
ถ้ามองเป็นก็เห็นปัญญา ไม่เป็นทุกข์
ถ้ามองไม่เป็นชีวิตก็มีแต่ความหดหู่

มาฟังเรื่องนี้กันเลยแล้วกัน
เมืองใหญ่แห่งหนึ่งมีพระราชาองค์หนึ่งชอบล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ
ด้วยความชอบส่วนตัว ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาดูแลบ้านเมืองมากนัก
เหล่าเสนาบดีทั้งหลายเริ่มไม่พอใจ และจะทำการก่อกบฏขึ้น

เมื่อเรื่องหลุดลอดไปถึงหูของพระราชา ทำให้ท่านทรงกลัดกลุ้มมาก
พระราชาจึงได้ปรึกษากับ มหาดเล็กคนสนิทที่ติดตามท่านตลอดว่าควรทำเช่นไร
ตอนนี้ เสนาบดีเหล่านั้น มีอำนาจทหารอยู่ในมือมากมาย
มหาดเล็กตอบอย่างใจเย็นว่า เป็นการดีสิท่าน
เมื่อเรารู้เรื่องก่อนแล้ว เราก็จะได้เตรียมการรับมือได้ทัน
และทำการกำจัดกบฏเสี้ยนหนามออกไปให้สิ้น
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ ชาวบ้าน เรียกศรัทธาของท่านกลับคืนมา

พระราชาได้ยินเช่นนั้น ก็ ใจชื้นขึ้นมาทันที
พร้อมออกคำสั่งให้ทหารเตรียมการรับมือกับเหล่ากบฏ
ทำให้กำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นซาก โดยการสั่งประหาร เสนาบดีทั้งหลายนั้นสิ้น

พอบ้านเมืองสงบขึ้น พระองค์ก็ออกล่าสัตว์อยู่เหมือนเดิม
และในครั้งหนึ่งของการออกล่า มีดที่เหน็บอยู่ที่เอว ดันหลุดออกจากฝัก
กระเด็นมาบาดนิ้วมือของพระราชาจนขาด ทำให้พระราชาเสียนิ้วไป 1 นิ้ว
พระราชาเป็นกลุ้มอีกครั้ง กลายเป็นคนนิ้วด้วน ครั้นหันไปสอบถามมหาดเล็กคนสนิท
ว่าเราจะทำอย่างไรดี นิ้วของเราไม่มีแล้ว
มหาดเล็กตอบอย่างใจเย็นอีกครั้งว่า ก็เป็นการดีสิท่าน เสียนิ้วเพียง 1 นิ้ว
ยังดีกว่าเสียชีพนะท่าน พระราชาได้ฟังเช่นนั้น เกิดโมโหอย่างมาก

นิ้วเราเสียไปทั้งที เจ้ากลับบอกว่าเป็นการดีซะอย่างงั้น
ทำให้พระราชาสั่งจำคุก มหาดเล็กเป็นเวลา 10 ปี
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี พระราชายังคงออกล่าสัตว์อยู่เป็นนิจ
และครั้งหนึ่งของการออกล่า พระองค์และทหารได้ถูกเผ่ากินคนจับตัวไป
ได้สังหารทหารที่ละคน พอมาถึงพระราชา ท่านก็คิดในใจแล้วว่า ชีวิตนี้คงหาไม่แล้ว
ได้แต่ภาวนาขอพรแด่พระเจ้าเท่านั้น เพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์
แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง เมื่อคนป่าเผ่ากินคน ตัดสินใจไม่กินพระราชา
เพราะว่า นิ้วมือที่กุดของพระราชานั่นแหละ
เป็นเหตุ คนป่าเผ่ากินคนนี้ ถือธรรมเนียมว่า
พวกที่นิ้วกุดนิ้วด้วน เป็นกาละกินี กินเข้าไปแล้วจะเป็นอัปมงคลต่อเผ่าพันธุ์
ทำให้คนป่าปล่อยตัวพระราชาออกมา
ครั้นรอดชีวิตได้ พระราชา ดั้นด้นเดินทาง
กลับสู่เมืองของตัวเอง และได้รับการช่วยเหลือให้ใส่เสื้อผ้า
และเสวยพระกายาหารให้อิ่มหนำสำราญ

เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ พระราชาได้นึกถึงมหาดเล็กที่กล่าวทูลกับพระราชาว่า
เสียนิ้ว ยังดีกว่าเสียชีพ นั้นเป็นเรื่องจริง
จึงได้ทำการปล่อยตัวมหาดเล็กหลังจากถูกขังมาเกือบ 10 ปี
และตรัสถามมหาดเล็กว่า เราผิดไปแล้วที่ขังเจ้า
เจ้าพูดถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างโดนขังไปเกือบ 10 ปี
มหาดเล็กตอบอย่างใจเย็นอีกครั้ง ก็ดีน่ะสิท่าน
อ่าว พระราชาทำหน้า งง ตรัสถามกลับ มันดียังไง
ก็ถ้าข้าไม่ถูกขังอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องติดตามท่านไป และถูกคนป่าเผ่ากินคนจับกินน่ะสิท่าน…”

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลกนี้นั้นมีสองด้านเสมอ ทั้งด้านดี และไม่ดี เพราะฉะนั้นเราควรมองแต่ด้านดีเข้าไว้ ไม่ว่าเรื่องจะดูเลวร้ายยังไง มันจะมีเรื่องดีๆ แฝงอยู่ภายในเสมอๆ

ที่มา : http://www.dhammaforever.com/main/index.php?option=com_content&task=view&id=692&Itemid=69

32
กราบนมัสการหลวงปู่เปิ่น และพระอาจารย์ทุก ๆ รูปครับผม และสวัสดีปีใหม่ศิษย์พี่ เพื่อน น้อง ๆ วัดบางพระทุก ๆ ท่านครับ ขอให้มีสุขภาพร่างกาย แข็งแรง สมบูรณ์ ทำงานหรือกิจการใด ๆ ก็ขอให้มีแต่เฮง ๆ ๆ ร่ำรวยด้วยลาภยศ เงิน ทอง ไหลมาเทมา กระเป๋าตุงกันทุก ๆ ท่านครับผม

33
กราบนมัสการพระอาจารย์ธนพงศ์ และพระอาจารย์ทุกรูปครับผม รวมถึงสวัสดีปีใหม่พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาวเว็ปบางพระทุกท่าน ขอให้มีความสุข คิดสิ่งใดสมดังใจปราถนา กิจการรุ่งเรือง ร่ำรวยกันทุก ๆ คนครับ
และขอขอบคุณ nobeeta ที่นำวัตถุมงคลต่าง ๆ มาให้ชมกันครับทำให้ผมนึกได้ว่าส่วนตัวผมก็มีวัตถุมงคลหลวงปู่เปิ่นอยู่เหมือนกัน พอดีกลับไปเยียมแม่ต่างจังหวัดก็เลยถือโอกาสไปค้นหาวัตถุมงคลที่โต๊ะหมู่บูชาของที่บ้านจึงพบว่ามี พระยอดธงรุ่นเดียวกับคุณ nobeeta ครับผม
ไม่ทราบว่าพระยอดธงนั้นมีพุทธคุณด้านใดครับผม

35
ผมขอรบกวนอีกคำถามครับ ถ้าผมจะไปสักที่วัด ผมต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับ
พระอาจารย์มีหลายรูปที่สักให้ครับเดิน ๆ ดูตามกุฏิต่าง ๆ ก่อนก็ได้ครับ อ่อและจะมีอาจารย์(เป็นฆารวาส)สักให้ด้วยครับ
1. เตรียมร่างกายให้พร้อมอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อไปรับความเจ็บ จี๊ดจ๊าด  :075: :070:ของฝีเข็มที่พระอาจารย์หรืออาจารย์จะมอบให้ครับ
2. เตรียมใจให้มีความศรัทธาต่อหลวงปู่เปิ่นเพื่อรับสิ่งดี ๆ ที่ทางพระอาจารย์หรืออาจารย์จะมอบให้ครับ
3. เตรียมเงินสำหรับค่าบูชา ดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ (ที่หน้ากุฏิของพระอาจารย์มีตั้งโต๊ะรอขายให้ท่านอยู่ชุดละ 70 บาท หรือจะไปซื้อที่หน้ารูปหล่อหลวงปู่เปิ่นนั่งเสือที่บรรดาสาธุชนทั้งหลายไปจุดธูป เทียน กราบไหว้หลวงปู่เปิ่นก่อนขึ้นไปยังกุฏิใหญ่ครับผม จุดนี้ขายชุดละ 50 บาทครับผม)
4. นำดอกไม้ ธูป เที่ยน บุหรี่ ที่เตรียมมา แล้วเดินเข้าไปยังกุฏิของพระอาจารย์ที่เราต้องการสักครับ โดยนำไปวางไว้ในพานบูชาครู พร้อมทั้งใส่เงินลงไปด้วย 25 บาท(ค่าบูชาครู) และถ้าเราจะมีปัจจัยถวายให้พระอาจารย์เป็นการส่วนตัวก็ใส่ซองถวายให้พระอาจารย์ตอนถึงคิวของเราที่เข้ารับการสักยันต์ครับ(ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของเราเองครับไม่มีก็ไม่ต้องครับผม)
5. นั่งรอ ๆ ด้วยความใจเย็นครับ :001: :050:
6. พระอาจารย์จะเรียกให้ยกพานประเคนให้พระอาจารย์ก่อนการสักยันต์ (เนื่องจากคนอาจมีเข้ามารับการสักมากบางครั้งทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงพานขณะยกประเคนให้พระอาจารย์ อาจทำการใช้มือแตะที่ตัวของผู้ที่อยู่ข้างหน้าเราก็ได้ครับ แต่ถ้ามีคนไม่มากก็ควรที่จะยกพานประเคนให้พระอาจารย์จะดีที่สุดครับผม)
7. นั่งรอ ๆ ด้วยความใจเย็นครับ :001: :050: จนกว่าจะถึงคิวของเราครับผม(จำคิวของตัวเองครับ ไม่มีคนจัดให้ครับผม บางครั้งอาจมีลัดคิวครับแต่อย่าไปโกรธเขานะครับ เพราะเราตั้งใจมาวัดเพื่อรับเอาสิ่งดี ๆ จากพระอาจารย์ครับ)
8. พอถึงคิวของเรา ก็ถอดเสื้อหันหลังให้พระอาจารย์เพื่อรับการสักยันต์ครับ ช่วงนี้แหละครับความเจ็บ จี๊ดจ๊าด  :075: :070:ก็จะเกิดขึ้นซึ่งอาการการเจ็บมากน้อยนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของการสักของพระอาจารย์ครับผม
9. หลังจากพระอาจารย์ สักและเป่า เสกคาถากำกับให้เสร็จแล้ว อย่าลืมกราบนมัสการพระอาจารย์ด้วยนะครับผม
10. เมื่อได้รับการสักยันต์มาแล้วก็น่าจะกราบหลวงปู่เปิ่นที่ตั้งอยู่ในกุฏิใหญ่(กุฏิหลวงพ่อสำอางค์) :054: :054: :054:
และสุดท้ายขออวยพรให้ทุกท่านที่ได้รับการสักยันต์ โชคดีและ เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพครับผม :053: :016: :015:

36
ธรรมะ / 9 วิธีธรรมบำบัด
« เมื่อ: 28 ธ.ค. 2554, 12:23:45 »
9 วิธี ธรรมบำบัด

ความเจ็บป่วยเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของชีวิต ทุกๆ คนต่างเคยเจ็บป่วยกันมาแล้วทั้งนั้น และยังจะต้องพบกับความเจ็บป่วยอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อมีความเจ็บป่วยยาวนานหรือร้ายแรง นอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ผู้ป่วยอาจจะได้รับความทุกข์ทางใจ นั่นก็เป็นเพราะว่าร่างกายกับจิตใจมีความสัมพันธ์กัน
การใช้ธรรมะเพื่อเยียวยาความเจ็บป่วย อาจจะไม่มีผลต่อความเจ็บป่วยด้านร่างกายโดยตรง แต่ส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจ เมื่อใจปกติสุข สงบนิ่ง สบาย เมื่อนั้นก็จะส่งผลต่อร่างกายที่กำลังอ่อนแรง เพราะเมื่ออวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนสู่การทำงานตามธรรมชาติ ก็จะสามารถเสริมสร้างภูมิต้าน เพิ่มความเข้มแข็งพร้อมสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ

1) สวดมนต์ เพื่อความสงบนิ่ง มั่นคง
อาจจะไม่บ่อยนักที่จะเห็นภาพคนไข้ลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ทุกเย็น วันละประมาณครึ่ง
 ชั่วโมงจะช่วยให้รู้สึกสบายใจ โล่งโปร่ง ขณะที่สวดมนต์ ใจจะได้พักจากการคิดวิตกกังวลจากเรื่องต่างๆ มา
 จดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ ช่วยให้คลื่นสมองสงบ ลืมสิ่งที่เป็นไปชั่วคราว
2) อ่านหนังสือหรือฟังซีดีธรรมะ
ในปัจจุบัน มีสื่อจำนวนมากที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดด้านธรรมะ แต่เรียบเรียงด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายประกอบกับการยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติต่อได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น การอ่านหนังสือหรือฟังซีดีธรรมะน่าจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้เข้าถึงหลักธรรมได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสื่อธรรมะประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เช่น วีซีดี ดีวีดี เป็นต้น
3) กิจกรรมเพื่อความสุขทางใจ
หลักคำสอนทางธรรมจะสัมฤทธิ์ผลให้เห็นได้จริงก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ และเผื่อแผ่ผลบุญนั้นๆ ให้กับ
 บุคคลอื่นๆ ที่กำลังประสบกับความยากลำบากหรือด้อยโอกาสกว่า เช่น การทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน บริจาคทาน หรือเป็นอาสาสมัครให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ
4) พิจารณาทุกอิริยาบถอย่างมีสติ
เป็นวิธีการเจริญสติที่สะดวกสบายที่สุด เหมาะสำหรับบุคคลที่ไม่มีเวลาทำกิจกรรมต่างๆดังที่กล่าวมา
เริ่มจากการดำรงสติ สงบอยู่อิริยาบถใดก็ได้เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน สักพักหนึ่ง เมื่อจะเริ่มเคลื่อนไหวตัวไปทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างมีสติ รู้สึกตัว เช่นเมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ
 สิ่งของ ก็รู้ตัวกำลังยื่นมือออกไปหยิบหรือจับสิ่งของนั้นๆ แล้วหยิบเข้ามาหาตัว กำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่ง กำลังก้าวขา ซ้าย ขวา หรือกำลังยกขาเพื่อก้าวขึ้นหรือลงบันได ฯลฯ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรจะมีสติและรับรู้ได้ถึงการกระทำนั้นๆ
เมื่อแรกฝึกอาจหลงลืมทำตามความเคยชินไปบ้าง แต่เมื่อฝึกจนเกิดความคล่องตัว ชำนาญ สามารถดำรงสติติดต่อกันไปพร้อมกับอริยาบถในชีวิตประจำวันได้ต่อเนื่องนานขึ้น จะเกิดสมาธิในระดับที่สามารถพัฒนาปัญญาในทางธรรม สามารถพิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ระลึกได้ถึงความผิดชอบ ชั่ว ดี กระตุ้นเตือนให้คิด ทำ พูด ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เผลอไปเบียดเบียนตนเองด้วยความเครียด หรือเบียดเบียนคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อน
5) ออกกำลังกายควบคู่กับการกำหนดลมหายใจ
ตัวอย่างเช่น โยคะ ไทเก๊ก พีลาทีส ฯลฯ ที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้รูปร่าง
 ดีขึ้นแล้วยังทำให้จิตใจสงบลง โดยหลักการสำคัญของการออกกำลังกายดังกล่าวคือการหายใจเข้าขณะที่
 ร่างกายหรือกล้ามเนื้อยืดออก และหายใจออกขณะที่ร่างกายหดเข้า ซึ่งเป็นเทคนิคการหายใจที่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนเลือด
6) เดินจงกรม
คือ การเดินเป็นเส้นตรงระยะเท่าที่ทำได้ หรืออาจเดินกลับไปกลับมาถ้าอยู่ในบริเวณจำกัด และขณะที่เดินนั้นก็มีสติ รู้ตัว ทั่วพร้อมว่ากำลังยก ย่าง เหยียด เหยียบ หรือหยัดส่วนประกอบของเท้าเช่นฝ่าเท้า ข้อเท้า เวลายืนก็มีสติสัมผัสรู้ตัวว่า พื้นที่ยืนหรือเดินอยู่นั้น เย็น ร้อน อ่อนหรือแข็ง เมื่อเดินเซก็รู้ตัวว่าเซ เมื่อเมื่อย เบื่อ หรืออยากนั่งพัก หรือเผลอไปคิดเรื่องใด ก็มีสติตามรู้ความรู้สึกนั้นๆ กระทำการทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ อย่าฝืนจนกลายเป็นความรู้สึกเกร็งหรือบังคับร่างกาย เมื่อเดินไปสักระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ไม่วิตกกังวลหรือฟุ้งซ่าน
7) สมาธิ หลักแห่งการผ่อนกาย คลายใจ
การนั่งสมาธิตามแต่วิธีที่ถนัดราวๆ วันละ 20 นาที จะช่วยให้สมองเราปลอดโปร่ง สงบจิตใจได้ ไม่เครียด มีสมาธิ ความจำดีขึ้น คิดอะไรได้ปลอดโปร่ง แถมยังผุดผ่องอีกด้วย แต่ทว่าการฝึกสมาธิช่วง 5 นาทีแรกอาจจะรู้สึกเบื่อ หงุดหงิด แต่ถ้าทำต่ออีก 5 นาทีหรือ 10 นาที สมองซีกขวาจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ถ้าทำครบ 15 นาที ร่างกายจะหลั่งสารสุขทำให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง
ระหว่างการนั่งสมาธิควรจะตามรู้ลมหายใจเข้าออก หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ หรือเพียงได้รู้สึกถึงลม
 หายใจออกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และอย่างสม่ำเสมอตามธรรมชาติ ไม่พยายามไปบังคับ กดข่ม หรือเผลอเพ่ง เช่น ถ้าลืม เผลอ หรือแม้แต่ขณะที่นั่งหลับตานั้นได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รู้รส ก็มีสติตามรู้ว่าได้สัมผัสกับสิ่งนั้นๆ และกลับมาพิจารณาลมหายใจเข้าออกต่อเนื่องไป ก็จะเกิดทั้งสติ สมาธิ และปัญญา
8) สนทนาธรรม
คือ การสนทนากับผู้มีปัญญา หรือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในทางธรรมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเกิด
 ปัญญาแยกแยะรู้ว่าสิ่งใดเป็นกุศลกรรม ทำให้ความดี ความสบายใจ หรือสิ่งใดเป็นอกุศล หรือความชั่ว คือทำแล้วก่อให้เกิดการเบียดเบียน หรือความไม่สบายใจทั้งแก่ตนเองและคนรอบข้าง จะได้ละเว้นเสีย สิ่งใดเป็นกุศลธรรมความดีจะได้ตั้งใจทำให้มากขึ้น และรู้เท่าทันความดีความชั่วทุกประการจะได้ไม่หลงเข้าใจผิด
9) ทางสายกลาง ข้อธรรมที่ไม่ควรหลงลืม
สิ่งสำคัญที่สุดคือความพอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตปกติหรือแม้แต่การดำเนินตามหลักการทางธรรม ถ้ามากหรือน้อยเกินไปย่อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตด้านอื่นเช่นกัน รวมถึงการใช้ชีวิตสุดโต่ง ทั้งการรับประทานอาหารและการทำงาน แม้จะเกิดมาจากความตั้งใจ แต่ถ้าลืมนึกถึงความพอดีและความเหมาะสมกับร่างกายก็ย่อมไม่เป็นผลดี

ไม่ว่าคุณจะป่วยทางกายหรือทางใจ... ลองนำ 9 วิธี ธรรมบำบัดไปปรับใช้ แล้วจะพบว่าตัวของเราเองก็สามารถบำบัดได้เองภายใน ขอให้เรารู้เท่าทันกายและใจ เพียงเท่านี้ ธรรมก็สามารถบำบัดได้ทุกสิ่ง

ที่มา: http://www.kbeautifullife.com/health_wellness/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/290/www.kautosmilesclub.com

37
ธรรมะ / ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญ
« เมื่อ: 27 ธ.ค. 2554, 03:12:35 »
ทำบุญให้ได้บุญ
  เมื่อเราทำบุญซึ่งมีอย่างย่อ ๆ ๓ ประการ คือ
๑. ทาน คือ การให้
๒. ศีล คือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์
๓. ภาวนา คือ การเจริญภาวนาโดยการสวดมนต์หรือเจริญสมถะ วิปัสสนา กรรมฐาน

    แต่ว่าบุญอย่างย่อนี้แบ่งย่อยออกเป็น ๑๐ อย่าง คือ
๑. บุญสำเร็จด้วยการให้ บริจาคทาน
๒. บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่
๕. บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือในการงานที่ดีที่ชอบ
๖. บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาในส่วนบุญส่วนกุศล
๘. บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรมะ
๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรมะ
๑๐. บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

   เมื่อเรารู้ว่าทำอย่างไรที่จะได้บุญ แต่จากการที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาและปฏิบัติแล้ว บุญที่ได้สะดวก สบาย และง่ายที่สุดคือการอนุโมทนาส่วนบุญ เมื่อเห็นผู้ใดทำความดี ความงาม ที่เป็นกุศลแล้ว เพียงแค่เปล่งวาจา "อนุโมทนา สาธุ" เพียงเท่านี้เราก็ได้บุญด้วยแล้ว และการที่เรามีจิตที่เป็นกุศลเช่นนี้ อย่างน้อยเราก็ไม่อิจฉาริษยาเมื่อเห็นผู้อื่นทำความดี

   อีกอย่างหนึ่งสำหรับการทำบุญ ควรจะทำให้ตรงกับสิ่งที่เราอธิษฐาน เช่น ถ้าเราอยากสวย หล่อ รูปร่างงดงาม ควรทำบุญด้วยสิ่งที่สวยงามเช่นดอกไม้ หรือ เครื่องหอมเช่นธูปหอม
   ถ้าอยากฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญา ควรทำบุญด้วยสิ่งที่ให้แสงสว่าง เช่น เทียน ไฟฟ้า หรือทำบุญค่าไฟฟ้ากับวัด
   ถ้าอยากมีสุขภาพดี ควรทำบุญกับโรงพยาบาลในการซื้อเครื่องมือแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยต่อไป ทำบุญกับผู้ป่วยอนาถา หรือทำบุญซื้อยารักษาโรคถวายพระสงฆ์
   ถ้าอยากมีร่ำรวย เหลือกิน เหลือใช้ ก็ต้องเป็นผู้สละ ผู้ให้ในการบริจาคทาน
ถ้าอยากมีการศึกษาดี ก็ควรทำบุญกับโรงเรียน บริจาคทุนการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส
   ถ้าอยากมีอายุยืนยาว ก็ให้ชีวิตกับผู้อื่นโดยการปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า แต่ปล่อยแล้ว ไม่ควรไปกินเขาอีก ถ้าคิดจะทำร้ายเขาโดยการกินเขาก็ไม่ควรไปให้ความหวังแก่เขาโดยการให้ชีวิตเขาเลย ก่อนที่จะปล่อยเขาไป ควรตั้งจิตอธิษฐานว่า ให้เขาไปดีมีความสุขสวัสดี ให้พบกับชีวิตใหม่ที่สุขสดใส อย่าได้มีทุกข์โศกโรคภัย จงอย่าตั้งจิตอธิษฐานให้สัตว์ที่เราปล่อยนั้นนำพาความโชคร้าย ความทุกข์โศกโรคภัยของเราไป เพราะการที่เราให้อย่างไรกับเขา สิ่งเหล่านั้นจะกลับมาหาเรา เรายิ้มให้ผู้อื่น ผู้อื่นก็ยิ้มตอบ เราด่าว่าเขา เขาก็ด่าว่าตอบ ดังนั้นจะอธิษฐานให้สัตว์ที่เราปล่อยไป ให้ไปพบกับความสุข ความดีงามตลอดไป อธิษฐานแต่สิ่งที่ดี ที่เจริญ แล้วสิ่งเหล่านั้นจะกลับมาหาเราเอง

    ในการทำบุญของเราไม่ควรทำให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนจากการทำบุญ มิฉะนั้นจะได้บาปมาด้วยเนื่องจากการเบียดเบียนตนเอง

    ในแต่ละวันเราควรจะทำบุญเพื่อสร้างสมเอาไว้อย่างใดอย่างน้อยที่สุดก็อย่างหนึ่งในสิบอย่าง ถ้าไม่ได้ทำทานก็สวดมนต์หรืออนุโมทนาบุญ แต่ทางที่ดีที่สุดควรทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
   เมื่อเราทำบุญแล้ว ได้บุญแล้ว มีบุญแล้วก็ไม่ควรลืมที่จะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้มีพระคุณแก่เรา เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
 ที่มา: http://www.dhammathai.org/editor/tst06.php

38
พุทธคุณ ๙ (คุณของพระพุทธเจ้า)

อิติปิ โส ภควา (แม้เพราะอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น)

๑. อรหํ (เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น )

๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ (เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง )

๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ )

๔. สุคโต (เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา)

๕. โลกวิทู (เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยท่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังมาอยู่ในกระแสโลกได้ )

๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ (เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า )

๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย )

๘. พุทฺโธ (เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใดๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ ดดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย )

๙. ภควา (ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม )

พุทธคุณ ๙ นี้ เรียกอีกอย่างว่า นวารหาทิคุณ (คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ มีอรหํ เป็นต้น) บางทีเลือนมาเป็น นวรหคุณ หรือ นวารหคุณ แปลว่า คุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ๙ ประการ
ที่มา: http://www.dhammathai.org/dhamma/group09.php?#291

39
อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ข้อที่สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนืองๆ )
๑. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ )
๒. พยาธิธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไมล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ )
๓. มรณธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ )
๔. ปิยวินาภาวตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจักต้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น)
๕. กัมมัสสกตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาท ของกรรมนั้น )

ข้อที่ควรพิจารณาเนืองๆ ๕ อย่างนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อละสาเหตุต่างๆ มี ความมัวเมา เป็นต้น ที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท และประพฤติทุจริตทางไตรทวาร กล่าวคือ :-

ข้อ ๑ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความเป็นหนุ่มสาวหรือความเยาว์วัย

ข้อ ๒ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความไม่มีโรค คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี

ข้อ ๓ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในชีวิต

ข้อ ๔ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความยึดติดผูกพันในของรักทั้งหลาย

ข้อ ๕ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความทุจริตต่างๆ โดยตรง

เมื่อพิจารณาขยายวงออกไป เห็นว่ามิใช่ตนผู้เดียวที่ต้องเป็นอย่างนี้ แต่เป็นคติธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่จะต้องเป็นไป เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้เสมอๆ มรรคก็จะเกิดขึ้น เมื่อเจริญมรรคนั้นมากเข้า ก็จะละสังโยชน์ทั้งหลาย สิ้นอนุสัยได้.
ที่มา: http://www.dhammathai.org/dhamma/group05.php?#230

40
เรากำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
เราปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติ
อย่าไปบังคับลมให้มันยาว อย่าไปบังคับลมให้มันสั้น
ปล่อยสภาพลมให้พอดี แล้วดูลมหายใจเข้าออก
เมื่อปล่อยอารมณ์ได้ เสียงอะไรก็ไม่ได้ยิน
ถ้าจิตเราวุ่นวายกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ยอมรวมเข้ามา
ก็ต้องสูดลมเข้าไปให้มากที่สุด
จนกว่าจะไม่มีที่เก็บ แล้วก็ปล่อยลมออกไปให้มากที่สุด
จนกว่าลมจะหมดในท้องสัก 3 ครั้ง
...ถ้าเรามีสติอย่างนี้...
อย่างวันนี้ เข้าสมาธิสัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วไมง
...จิตใจของเรา...
จะมีความเยือกเย็นไปตั้งหลายวัน แล้วจิตจะสะอาด
เห็นอะไรจะรับพิจารณาทั้งนั้น นี้เรียกว่าผลเกิดจากสมาธิ
...สมาธิมีหน้าที่ทำให้สงบ...
เมื่อจิตเราสงบแล้ว จะมีการสังวร สำรวมด้วยปัญญา
เมื่อสำรวมเข้า ละเอียดเข้า มันจะป็นกำลังช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก
แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้นมาก เมื่อสมาธิเต็มที่ก็จะเกิดปัญญา

41
บทความ บทกวี / ตอบ: พระปิดทวาร
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2554, 12:20:21 »
นำสาระดีมาเผยแพร่ต่อครับ :054: :054: :054:
พระปิดทวารสอนอะไร..........
ความสบายที่แท้จริงนั้น มันต้องเกิดจากจิตใจที่สบายจิตใจที่สงบ ซึ่งความจริงนั้นมันมีอยูู่่ตามธรรมชาติ แต่ว่าเราไม่ให้มันโผล่ออกมาได้ เพราะว่าเราเอาความวุ่นวายไปปิดมันเสีย เรานึกไปแต่เรื่องภายนอก นึกไปในเรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องสิ่งที่ถูกต้องทางกายประสาทอยู่ตลอดเวลา ความสงบไม่มีเวลาที่จะโผล่ออกมา ทีนี้เราลองปิดเสียบ้าง ลองปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปากเสียบ้าง เรียกว่าเป็นพระปิดทวารเสียบ้าง

พระเครื่องมีอยู่องค์หนึ่ง เขาเรียกว่า พระปิดทวารทั้งเก้า เขาทำรูปมีมือปิดตาปิดหูปิดจมูกปิดทวารหนักปิดทวารเบา ความจริงหนักกับเบาไม่ต้องปิดอะไรก็ได้มันไม่ยุ่งอะไร มันมีแต่เรื่องออก เรื่องเข้ามันไม่มีอย่างนั้น แต่ว่าทวารนี้แหละสำคัญคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายประสาท สิ่งนี้ควรปิดแล้วก็ปิดใจเสียด้วย

เขาว่าพระปิดทวารใครๆ ก็อยากได้ เพราะถ้าได้องค์นี้แขวนคอแล้ว ยิงไม่เข้าแทงไม่เข้า อะไรก็ไม่เข้า นั่นเขาพูดเป็นภาษาชาวบ้านมากไปหน่อย หาว่าวัตถุอื่นไม่เข้าร่างกาย แต่ ความจริงนั้นที่เขาทำพระปิดทวารทั้งเก้าก็เพื่อจะสอนคนนั่นเอง เพื่อให้คนรู้จักปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดกาย ปิดใจ ไม่รับอารมณ์ต่างๆ

อารมณ์คือสิ่งที่จรเข้ามากระทบตา หู จมูก อันนี้มันของมาจากข้างนอก ไม่ใช่ของมีอยู่ข้างใน ทีนี้ท่านให้ปิดเสียอย่าไปมอง หรือมองก็ได้แต่มองด้วยปัญญา ฟังก็ได้แต่ฟังด้วยปัญญา ดมกลิ่นก็ดมด้วยปัญญา ลิ้มรสก็ลิ้มด้วยปัญญา ร่างกายจะไปแตะต้องสิ่งใด ก็แตะต้องด้วยปัญญา ที่ว่าด้วยปัญญาคือด้วยความรู้ รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น เราไม่มองด้วยความหลง ไม่ฟังด้วยความหลง ไม่ดมกลิ่นลิ้มรสถูกต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยความหลงใหลมัวเมา หรือด้วยความเพลิดเพลิน

เช่นเราไปดูหนังมักจะดูด้วยความเพลิดเพลิน ปล่อยใจไปตามภาพบนจอ บางทีหนังมันแสดงเศร้าโศกเราพลอยเศร้าโศกไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย ทำไมจึงร้องไห้ นี่แหละเขาเรียกว่า ปล่อยใจไปตามสิ่งนั้น ลืมไปว่านั่นเป็นละครเป็นลิเก เป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องเนื้อแท้ แต่ว่าการแสดงของคนเหล่านั้น เขาแสดงแนบเนียน ทำให้คนดูมองเห็นว่าเป็นความจริง แล้วก็นึกว่าเป็นเรื่อง จริง จิตใจก็คล้อยตามเรื่องนั้นไปด้วย เวลาเรื่องน่าโกรธ ก็โกรธ เวลาน่าเกลียดก็เกลียด เรื่องน่ารักน่าเศร้าใจก็รักก็เศร้าใจ ร้องไห้ร้องห่ม นี่เรียกว่าไม่ดูด้วยปัญญา ไม่ได้ใช้ปัญญาว่านี่มันละคร นี่มันลิเก หรือว่าเป็นเรื่องหนัง ที่เขาทำเป็นภาพขึ้น คนเหล่านั้นมันไม่ได้โกรธไม่ได้เคืองกัน แต่เราลืมไปเพราะเราเพลิดไปกับสิ่งเหล่านั้น เมื่อเพลินไปก็นึกว่ามันเป็นความจริง เลยไปโกรธกับเขาด้วย ไปรักกับเขาด้วย ไปเศร้าโศกเสียใจกับเขาด้วย อย่างนี้เรียกว่ามองด้วยไม่มีปัญญา ไม่มีสติกำกับการมอง

พระ พุทธเจ้าสอนว่าให้มองอะไรด้วยปัญญา ฟังอะไรก็ฟังด้วยปัญญา ไปได้กลิ่นอะไรก็ต้องใช้ปัญญา ไปลิ้มรสอะไรก็ต้องปัญญา ไปจับต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้า ก็ต้องใช้ปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาอยู่ว่า สิ่งนี้คืออะไร มันมาจากอะไร มันให้ทุกข์ให้โทษให้ประโยชน์อย่างไร เราควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ในรูปใด ให้พิจารณาตามไปด้วย เรียกว่าดูไป มีปัญญาติดตามไป มีสติติดตามไป สิ่งนั้นจะไม่ครอบงำเรา จะไม่ทำเราให้ตื่นเต้น หรือว่าให้เสียอกเสียใจ หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ให้ขึ้นไม่ให้ลงตามอารมณ์ที่มากระทบจิตใจเราที่คงที่

คนที่มีสภาพจิตใจคงที่อย่างนี้ เหมาะที่จะไปสู่สมรภูมิชีวิต คือจะไปสู่สิ่งใดอะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะไม่ทำร้ายไม่ทำให้เดือดร้อน เหมือนกับสัตว์ป่า ที่เราเอามาหัดจนเชื่องเช่นว่า ช้างป่า เขาจับมาได้ก็เอามาหัดจนเชื่อง พอเชื่องดีแล้วเขาขับเข้าไปในเมืองได้ เอาเข้าไปในเมืองใหญ่คนพลุกพล่านช้างก็ไม่ตื่นเต้น ได้ยินเสียงรถก็ไม่ตื่นเต้น คนโห่ก็ไม่ตื่นเต้น แสดงว่าช้างนั้นเป็นช้างที่ได้ฝักฝนอบรมดี แล้ว เอาไปสู่นครเมืองใหญ่ได้

คนเราจึงต้องหัดบังคับควบคุมจิตใจไว้เราจะไปไหน เราต้องเตรียมวางแผนไว้ว่า เราไปในที่นั้น เราจะสู้กับอารมณ์อย่างไร เช่นเราจะไปพูดกับคนบางประเภท ไปพูดกันในเรื่องสลักสำคัญ จิตใจของเราจะเข้มแข็งพอไหม เย็นพอไหม อดทนเพียงพอไหม ในการที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้น มีสติมีไหวพริบเพียงพอไหม ที่เขาจะพูดยั่วให้เราโกรธ ยั่วให้เราเกิดความน้อยอกน้อยใจ หรือว่าเสียอารมณ์ไป เสียใจไป ถ้าว่าเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้นได้กำลังมันก็หมดไป กำลังในการต่อสู้ไม่มี เพราะเราเป็นคน หวั่นไหวง่ายต่ออารมณ์เหล่านั้น เขาทำให้เราหวั่นไหวเสียสมาธิ ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ หาคำพูดที่หลักแหลมคม คายมาต่อสู้กับเขาไม่ได้ ก็นับว่าพ่ายแพ้ ใจไม่เย็นพอ

แต่ถ้าเราเป็นคนเตรียมใจดี จิตใจมั่นคงเข้มแข็ง เราจะไปกระทบอารมณ์อะไรก็เฉยๆ เขาพูดให้กระเทือนใจ เราไม่กระเทือน เพราะเราคอยรู้ว่า คำนี้เขาพูดให้เรากระเทือนใจ เราต้องโต้กลับไป โต้กลับไปด้วยสติปัญญา ด้วยใจคอที่สงบเยือกเย็น เราจะไม่โต้ตอบด้วยอารมณ์เสีย เช่นเขาด่าเรา เราจะไม่ด่าตอบ แต่เราจะยิ้มรับคำด่า ยิ้มด้วยปัญญา ด้วยความรู้ว่า เขาว่าเรา แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนที่ว่านั้นมันใส่ความเรา เราไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องโกรธไม่ต้องเคือง เพราะถ้าเราโกรธเรามีปมด้อย ทำให้คนที่เป็นข้าศึกของเรา มองเห็นว่าเราโกรธ

คนโกรธนั้นเสียสมาธิ ขาดความสงบใจ ขาดไหวพริบ ขาดปัญญาที่จะคิดอ่าน มันก็แพ้อยู่ในตัวแล้ว เราแพ้อยู่ในตัวแล้ว แต่ถ้าเราไม่โกรธไม่เคือง เรายิ้มอยู่ตลอดเวลา เราก็สามารถสู้เขาได้ ใจเราสงบคงที่ จิตที่สงบนั้นแหละ มันทำให้เกิดปัญญาเกิดความคิดความอ่าน แต่ถ้าจิตไม่ สงบ มันก็ไปไม่รอด

42
บทความ บทกวี / พระปิดทวาร
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2554, 12:02:48 »
ขออนุญาตนำเนื้อหาสาระดีมาเผยแพร่ต่อครับ........
                 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เลิกใหม่ ๆ เช้าวันหนึ่ง เศรษฐีผู้หนึ่งขับรถรุ่นใหม่ที่เพิ่งซื้อ เพื่อไปเที่ยวลพบุรีกับเพื่อนอีก ๓ คน พอสายก็ได้กลิ่นควันดำจากรถคันหน้า เมื่อเร่งเครื่องขึ้นหน้า เพื่อนเศรษฐีก็ตะโกนต่อว่าที่ปล่อยควันดำใส่รถคนอื่น รถคันนั้นนั่งกันอยู่ ๒ คน สภาพเก่ามาก ถ้าเทียบความเร็วก็เหมือนกระต่ายกับเต่า ชายหนุ่มผู้ขับรถคันนั้น แม้จะถูกตะโกนใส่หน้าก็ตอบอย่างสุภาพ และขอโทษที่เติมน้ำมันเครื่องมากไป
                  เมื่อคนในรถใหม่จอดพักกินข้าวเช้า รถเก่าก็แซงขึ้นหน้า ต่อมารถใหม่ก็ตามทันพอจะผ่าน คนในรถใหม่พากันพูดดูถูกรถเก่าต่าง ๆ นานา คนในรถเก่าก็รับฟังอย่างยิ้มแย้ม เมื่อแซงแล้ว คนหนึ่งในรถใหม่ได้พูดอย่างขบขันว่า รถจะเป็นศพอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์เอามาใช้ ถ้าพังลงกลางทางจะสมน้ำหน้า
                  ขากลับจากลพบุรีก็แวะเที่ยวตลาดสระบุรี ได้พบรถเก่า จึงพากันพูดเยาะเย้ยรถเก่าอีกทั้งที่คนขับรถเก่าก็อยู่ในร้านที่จอดรถนั่นเอง เมื่อเที่ยวตลาดแล้ว รถใหม่ก็กลับกรุงเทพ เจ้าเต่าคันนั้นก็ยังจอดอยู่ที่เดิม ในเวลานั้นถนนสายกรุงเทพ-สระบุรียังไม่เรียบร้อยนัก บางแห่งกำลังลงหินใหญ่ รถใหม่จึงถูกก้อนหินครูดใต้ท้องหลายครั้ง แต่ก็วิ่งได้สะดวก เมื่อเลยบางปะอินมาไม่นาน รถใหม่ก็หยุดวิ่งเครื่องดับ แก้เท่าไรก็ไม่ติด นาน ๆ จะมีรถผ่านสักคัน คนในรถที่ผ่านก็พากันหัวเราะ ไม่มีใครมีแก่ใจลงมาถามเลย เมื่อใกล้จะมืด ทุกคนก็หน้าซีดด้วยความกลัว เพราะแถวนั้นในระยะนั้นเคยมีรถยนต์ถูกจี้ปล้นกันบ่อย ๆ เศรษฐีซึ่งตอนแรกมีทิฏฐิไม่ยอมขอให้ใครช่วย ก็หมดทิฏฐิแล้ว คิดว่า ถ้ามีรถผ่านมาก็จะโบกมือขอความช่วยเหลือ ถ้าใครแก้ได้ จะเอารางวัลสัก ๕๐๐ บาทหรือมากกว่าก็จะทูนหัวให้ ขอให้ได้กลับบ้านวันนี้ก็แล้วกัน
                  ขณะนั้นรถคันหนึ่งกำลังวิ่งมาใกล้ อ้ายเต่า นั่นเอง เศรษฐีคิดว่า แม้ขอความช่วยเหลือเขาก็คงไม่ช่วย ซ้ำจะเยาะเย้ยให้ได้อายอีก คิดแล้วจึงเอาหัวซุกเข้าไปในกระโปรงเครื่อง ทำทีว่ากำลังแก้เครื่อง ส่วนคนอื่น ๆ ก็หลบเข้าไปนั่งในรถหลับตาพิงเบาะ ทุกคนต่างก็อยากให้อ้ายเต่าผ่านไปเสียเร็ว ๆ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงรถผ่านไปพร้อมกับตะโกนหัวเราะเยาะ กลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์หยุด แล้วได้ยินเสียงคนเปิดประตูรถลงมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงถามอย่างสุภาพว่า รถคุณเป็นอะไร มีอะไรจะให้ช่วยบ้างไหม
                  เศรษฐีฟังแล้วเกือบจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ น้ำเสียงนั้นเป็นเสียงที่ถามอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีการเยาะเย้ยแฝงอยู่   ทำให้เศรษฐีหายอายจึงตอบว่า รถแล่นมาดี ๆ ก็หยุดลงเฉย ๆ แก้เท่าไรก็ไม่ตก ชายผู้นั้นจึงเข้าไปตรวจดู ในที่สุดพบว่า ถังน้ำมันรั่ว จึงอุดรอยรั่วในถังชั่วคราวแล้วเติมน้ำมันพอให้ไปถึงกรุงเทพได้ เมื่อเครื่องยนต์ติดดีแล้ว เศรษฐีก็หยิบซองธนบัตรเพื่อจะให้รางวัล ชายผู้นั้นก็รีบปฏิเสธเพราะตั้งใจช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เศรษฐีจึงล้วงไปในคอเสื้อ หยิบพระสมเด็จเลี่ยมทองที่ห้อยคออยู่พร้อมทั้งสายสร้อยทองคำ ส่งให้ด้วยความรักในน้ำใจ แต่ชายผู้นั้นก็ปฏิเสธอีกอย่างสุภาพ
                 เศรษฐีจึงพูดว่า พระของคุณคงไม่ใช่พระสมเด็จแน่ โปรดรับไว้เถิด
                 ชายผู้นั้นตอบว่า ของเขาไม่ใช่พระสมเด็จ เป็นพระปิดทวารมีองค์เดียวก็พอ ขอให้มีใจสุจริตเคารพท่านจริง ๆ พวกปล้นมีพระห้อยคอพวงใหญ่ แต่ก็ป้องกันอะไรไม่ได้เพราะใจไม่สุจริต หากินโดยการปล้น ของเขามีองค์เดียวบูชาไว้ที่บ้าน เมื่อมีเรื่องอะไรก็นึกถึงท่าน เช่น เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ดี ก็นึกถึงท่าน เห็นท่านปิดหู เขาก็ไม่ฟังเสียงนั้น ไม่นำมาใส่ใจ เมื่อเพื่อนชวนให้ดื่มสุรา เขานึกถึงท่าน เห็นท่านปิดปาก เขาก็ไม่ดื่ม เมื่อมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นเขาก็นึกถึงท่านทุกครั้ง ท่านก็สอนให้อดทน เขาก็ทำตาม จิตใจจึงสบายไม่มีกังวล

               เศรษฐีฟังแล้วก็ตื้นตันใจ อยากจะร้องไห้ อยากจะเอาผ้าปูแล้วกราบความดีของชายผู้นั้น
                                                                                        (กฎแห่งกรรม โดย ท. เลียงพิบูลย์)

                  ประตูเรือนเป็นสถานที่สำคัญที่จะต้องดูแลรักษาให้ดี ฉันใด อินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นทางสำหรับให้อารมณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาสู่ใจ ก็เป็นสถานที่สำคัญที่จะต้องสำรวม คือต้องดูแลรักษาให้ดี ฉันนั้น
                 ชายหนุ่มในเรื่องนี้ไม่โกรธแม้จะถูกเยาะเย้ยชนิดที่เรียกว่า ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา (หมายถึง เหยียดหยามทั้งด้วยวาจาและสายตา) เพราะสามารถสำรวมอินทรีย์ได้ดี เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ดี เขาก็ระลึกถึงพระปิดทวารที่ตนเคารพบูชา เห็นท่านปิดหู ก็มีสติสัมปชัญญะรู้ว่า
                เสียงไม่ดีนั้นก็สักว่าเสียง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จึงไม่ควรนำมาใส่ใจ เมื่อระลึกได้อย่างนี้ ความโกรธเคือง ความไม่พอใจ ความแค้นใจ ก็ไม่เกิดขึ้น สามารถรับฟังเสียงไม่ดีได้อย่างยิ้มแย้ม
                สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ที่เราไม่รู้ไม่เห็นยังมีอีกมาก แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เราจะต้องไปรู้ไปเห็นให้หมด ดังนั้นในบางครั้ง แม้จะเห็นก็ควรแกล้งทำเป็นไม่เห็น แม้จะได้ยินก็ควรแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อรู้จักปิดหูปิดตาตัวเองเสียบ้าง เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็จะลดน้อยลง ชีวิตก็จะเป็นสุขขึ้นกว่าเดิม

                            ปิดหู ซ้ายขวา        ปิดตา สองข้าง
                            ปิดปาก เสียบ้าง    แล้วนั่ง สบาย



43
อันสตินี้ สัมปชัญญะนี้ ก็สมมติเป็นโชเฟอร์กำพวงมาลัย
มีสติคอยระมัดระวัง กาย วาจา จิต อยู่เสมอ ๆ
คอยระวังเรื่องต่าง ๆ ระมัดระวังไปเรื่อย ๆ
...แต่ไม่ได้หมายความว่า...
เราต้องเทียวประกาศ ห้ามใครมาติชมเรา
ที่ว่าระวังนั้น คือ เมื่อมีเรื่องมากระทบให้รู้ทัน ในทันที
เราจะห้ามจิตไม่ให้หวั่นไหวไปไม่ได้ แต่ให้ระวัง
ต้องควบคุมจิตด้วยสติให้ถี่ ๆ กระชับสติสัมปชัญญะให้มันถี่เข้ามา
จะได้ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเสียดแทงใจต่างๆ
ถ้าติตสงบมีกำลังพักผ่อนเต็มที่แล้ว
มันก็จะอยากรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้
ต้องกำหนดหาเรื่องที่ควรจะรู้
สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ก็ต้องกำหนดพิจารณา
เช่น กำหนดพิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เบื่อในทุกข์ของขันธ์ 5
อันไม่เที่ยงแปรปรวน อาการหวั่นไหวกันไปมานั้นแหละ
เรียกว่า...ทุกขลักษณะ
เมื่อจิตรู้อย่างนี้ก็จะได้ไม่หวั่นไหว ไม่ยึดเอาของไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์

44
...ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม...
ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน
ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้นก็พอ
เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา
ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่
จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ในจิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ ๆ
...ถ้ากิเลสความโลภนี้...
ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนา
จนวันตายโน้น
การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริง ๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้
เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา
บริกรรมกำหนดลมหายใจจนติตตั้งมั่นดีแล้ว
ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ
ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง
ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย
มีทวารทั้ง 9 เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม

45
...การให้อภัย...
จะทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่าง ๆ ได้
เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด
ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่
เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย
...การให้อภัย...
เวลาจะให้ ไม่ต้องไปขอใคร
ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกระเป๋าให้
แต่ให้อภัย เราไม่ต้องหาจากไหน
และไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย
ขอให้เราภูมิใจเมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา
หรือเมื่อสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน
การขอโทษหรือการให้อภัยมิใช่การเสียหน้า หรือการเสียรู้
มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด
หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด
...เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาดได้...

46
ธรรมะ / คติธรรมหลวงพ่อลี ธัมมธโร
« เมื่อ: 17 ธ.ค. 2554, 10:21:02 »
ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้น
...จะต้องทำทางใจ...
ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว จะทำการกุศลสักเท่าไร ก็ถึงมรรคผลพิพพานไม่ได้
นิพพานนี้จะต้องถึงด้วยข้อปฎิบัติทางใจเท่านั้น
ที่เรียว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา
ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ
...สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ...
เพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรค
แต่จะขาดสมาธิไม่ได้ ถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิด ๆ นึก ๆ เอา
ฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ ปราศจากหลักฐานสำคัญ
สมาธิเปรียบเหมือนตะปู ปัญญาเปรียบเหมือนฆ้อนที่ตอกตะปู
ถ้าตะปูเอียงไปฆ้อนก็ตีผิด ๆ ถูก ๆ ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดานนี้ ฉันใด
ใจเราจะบรรลุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน
แล้วจึงเกิดญาณ ญาณนี้จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น
ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย
แต่ไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ
ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์

47
เราจะทำจะปลูกอะไร ก็ฝังให้มันแน่น
ไม่ต้องถอนไปไหน มันเกิดขึ้นเอง
นี้แหละสมาธิ ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ
หรืออีกนัยหนึ่ง
เปรียบเหมือนเราจะขุดบ่อน้ำ ต้องการน้ำในพื้นดิน
เราก็ขุดลงไปแห่งเดียวเท่านั้น
พอเราขุดไปได้หน่อยเดียว ได้น้ำสัก 2-3 บาตรแล้ว
...มีคนเขาบอกว่า...
ที่นั่นมันตื้น...เราก็ย้ายไปขุดที่อื่นอีก
...พอคนอื่่นเขาบอกว่า...
ตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ไม่ดี ก็ย้ายไป ย้ายมา
ผลที่สุดก็ไม่ได้กินน้ำ
ใครจะว่าก็่ช่างเขา ขุดมันแห่งเดียวคงถึงน้ำ ฉันใด
เปรียบเหมือนสมาธิของเรา
ต้องตั้งไว้แห่งเดียวเท่านั้น
เมื่อเราตั้งไว้แห่งเดียว ไม่ต้องไปอื่นไกล
ไม่ต้องส่งไปข้างหน้า ข้างหลัง ไม่ต้องคิดถึงอดีต อนาคต
...กำหนดจิตให้สงบอันเดียวเท่านั้น...

48
ทุกข์กับความเพียรเท่านั้นที่มีค่ามากในโลกนี้
หากไม่มีทุกข์กับความเพียรเสียแล้ว
ใคร ๆ ในโลกนี้ จะไม่ทำความดีเพื่อพ้นทุกข์ในโลกนี้และโลกหน้า
...ตลอดถึงพระนิพพาน...
แท้จริงความนึกคิดไม่ใช่ทุกข์
แต่การไปยึดความนึกคิดมาเป็นของตน จึงเป็นทุกข์
...หลักอนัตตา...
ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ
พระองค์มิได้ตรัสว่า
อนัตตาเป็นของไม่มีตน ไม่มีตัว เป็นของว่างเปล่า
...พระองค์ตรัสว่า...
ตนตัวคือ ร่างกายของคนเรา
อันได้แก่ขันธ์ทั้ง 5 นี้มันมีอยู่แล้ว
แต่จะหาสิ่งเป็นสาระในขันธ์ 5 นั้นไม่มี ดังนี้ต่างหาก
การเห็นความฟุ้งซ่านของจิตนั้นคือ
" ปัญญาขั้นต้น "
คนใดว่าตนดี คนนั้นยังไม่ดี
ใครว่าตนวิเศษวิโส หรือฉลาดเฉียบแหลม คนนั้นคือ คนโง่

49
พระพุทธเจ้าว่าสิ่งอันประเสริฐก็ได้แก่คน บาปและบุญก็เรียก
เราต้องเป็นผู้มีหิริโอตัปปะ
หิริ ความอายต่อความชั่ว โอตัปปะ ความสะดุ้งต่อผลของมัน
ความชั่วมันจะให้ผลเราในคราวหลัง
เมื่่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่ควรนอนใจ
อย่าให้กาลกินเรา ให้เรากินกาล ให้เร่งทำคุณงามความดี
เวลาล่วงไป ชีวิตของเราก็ล่วงไป
...ล่วงไปหาความตาย...
มนุษย์เป็นสัตว์อันสูงสุด อันนี้เป็นเพราะเราได้สมบัติอันดีมา
...ปุพเพจะกตะปุญญตา...
บุญกุศลคุณงามความดีเราได้สร้างมาหลายภพหลายชาติแล้ว
เราอย่าไปเข้าใจว่า เราเกิดมาชาติเดียวนี้
ตั้งแต่เราเทียวตายเทียวเกืดมานี้ นับกัปป์นักัลป์อนันตชาติไม่ได้
แล้วจะว่าเหมือนกันได่้อย่างไรล่ะ
...เมื่อเรามาเกิดก็มีแต่วิญญาณเท่านั้น...
พมาปฏิสนธิ ก็เอาเลือดเอาเนื้อพ่อแม่มาแบ่งให้ได้อัตตภาพออกมา
แม้กระนั้้นก็ไม่มีสัตว์มาเกิด ต้องอาศัยจุตวิญญาณ
...เราต้องสร้างเอาคุณงามความดี...

50
...ควรพวกเราทั้งหลาย...
คิดดูให้เห็นโทษและคุณแห่งความตายเสียให้ชัดใจ
...ผู้มีปัญญาไม่ควรประมาทความตาย...
ให้เห็นว่าเป็นสมบัติสำหรับตัวเรา เราจะต้องการในกาลอันสมควร
คือความตายมาถึงเราสมัยใด สมัยนั้นแหละชื่อว่ากาลอันสมควร
ไม่ควรจะเกลียด ไม่ควรจะกลัว
...สังขารทั้งหลาย...
คือสัตว์ที่เกิดมาในไตรภพจะหลีกหลบให้พ้นจากความตาย ไม่มีเลย
เมื่อมีความเกิดเป็นเบื้องต้นแล้ว ย่อมมีความตายเป็นเบื้องปลายทุกคน
นัยหนึ่งให้เอาความเกิด ความตาย ซึ่งมีประจำอยู่ทุกวันเป็นเครื่องหมาย
เมื่อพิจารณาถึงความตาย
ก็ต้องพิจารณาถึง ความป่วยไข้ และความแก่ ความชรา
เพราะเป็นเหตุเป็นผลกัน
...ความระงับสังขารทั้งหลายนั้น...
ท่านมิได้หมายถึงความตาย
ท่านหมายถึงวิปัสสนาญาณ และอาสวักขยญาณ
คือปัญญารู้เท่าสังขาร รู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะ
...เป็นชื่่อของพระนิพพาน...เป็นสุดยอดแห่งความสุข

51
การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง
สิ่งที่ได้ก็คือสัญญา (ความจำได้)
การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ
สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม
การปฏิบัติให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ
เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์
ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน
หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น
ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร
เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน
หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง
...ผู้ที่ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น...
ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลังหรือนรก สวรรค์อะไรก็ได้
ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเหนียวแน่นก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง 16 ชั้นตามตำรา
ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนโดยลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้
ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ

52
...วิปัสสนานี้...
มีผลอานิสงฆ์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหาร ภาวนา
ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำการกิริยา
มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบี้องหน้า
หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึงพระนิพพาน
ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล
ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์
คือ ศีล 5 และกุศลกรรมบถ 10 จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนัก
เพราะอันตรายชีวิตทั้งภายในภายนอกมีมากต่าง ๆ
การที่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้ยากยิ่งนัก
เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนัก
...บางคาบ บางสมัย...
จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง
เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
อย่างให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศานานี้เลย
ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเอง

53
เราต้องการของดี คนดีก็จำต้องฝึก
...ฝึกจนดี...
จะพ้นการฝึกไปไม่ได้
งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น
ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ
นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก
คำว่า ดี จะเป็นสมบัติของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน
...ผู้เห็นคุณค่าของตัว...
จึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่นว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
ไม่เบีิยดเบียนทำลายกัน
...ผู้มีศีลสัตย์...
เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ
...เพราะ...
อำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน
จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้สมบูรณ์
ธรรมสั่งสอนแล้ว
ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

54
การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง
หากพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง
...ก็ถอนได้...
กามกิเลสนี้แหละ
เป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่ากันตาย ชิงดีชิงเด่น
...กิเลสตัวเดียว...
ทำให้มีการต่อสู้แย่งชิงกัน
ทั้งความรัก ความชัง จะเกิดขึ้นในจิตใจก็เพราะกาม
...นักปฏิบัติ...
ต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา
ทำให้ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ
มันเกิดมันดับอยู่นี ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่าทันมัน ก็ดับไป
ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป
ตัดอดีต อนาคตให้หมด
จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน
รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน

55
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ และขออนุญาตนำภาพการประชาสัมพันธ์งานประจำปีวัดบางพระไปโพสต์ในเฟซบุ๊คของกระผมครับผม :054: :054: :054:

56
พี่ค่ะ..วันไหว้ครู..กะวันครอบครูวันเดียวกันรึป่าวอ่ะคะ่...นู๋ไม่เคยไปอ่ะค่ะ... :077:
ใช่ครับ วันเดียวกัน
เช้าตรู่ก่อนงานพิธีจะมีการครอบเศียรครูครับ วันงานไหว้ครูก็ไปเลย  :015: :015:
การครอบเศียรครูทางลูกศิษย์ต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับเพื่อเข้าสู่พิธีการครอบเศียรครู และอีกประการหนึ่งครับว่าเราต้องเตรียมอะไรไปบ้างสำหรับงานไหว้ครูบูรพาจารย์ครับเช่นดอกไม้ บายศรีปากชาม เป็นต้นครับ

57
ขอบคุนทุกท่านครับ ๆ
เออว่าแต่ตอนนี้ท่านได้สักยันต์เพิ่มอีกหรือเปล่ายังไม่เต็มหลังเหมือนพ่อแฟนเลยครับ :002: :095:

58
z
รุ่นนี้นิยมไหมครับ


         รูปหล่อกริ่งโคกเขม่า

                 นิยม . . . ครับ

                            แต่มักไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก

                                       สวยงามมาก . . . ครับ


  -------------------- ข อ บ คุ ณ ค รั บ --------------------

                               15;


ผมว่าเก็บรักษาไว้เถอะครับ ของดีพุทธคุณจะได้อยู่กับตัวท่านครับ

59
สวยเนียบยันต์องค์ที่สี่เป็นหนุมานเลยเนอะ
 :093: :053:

60
.. อยากสอบถามผู้รู้ครับ..
พอดีผม ได้เก็บกวาดบ้าน เพื่อทาสีพรุ่งนี้ (เนื่องจากน้ำท่วม)

ผมเห็น เหรียญ ในรูป ของเจ้าของกระทู้ คือ คุณ smoke เมื่อเดือนกย.
ซึ่งเหมือนกับเหรียญของผมที่เลี่ยมเงินอยู่ในกล่องผมพอดี
เลย อยากทราบว่า
" ยันต์ ในหลังเหรียญ ในรูป รุ่นพิเศษ กรรมการ อำเภอสร้าง  ปี29 (ยันต์ม้วนๆ) ชื่อว่ายันต์อะไรครับ "

ขอบคุณล่วงหน้า สำหรับคำตอบครับ / ผมค้นหาอยู่พักนึงเลยตัดสินใจสอบถามครับ พอดีลืมชื่อ แล้วนึกอยู่นานก็นึกไม่ออกครับ

(อ้างอิงรูปจาก คุณ smoke ครับ / ขออนุญาตนะครับ)





 
ผมไม่แน่ใจนะครับว่าจะใช่ที่ทั่วไปเรียกว่า "ยันต์นะ" หรือเปล่าต้องรอผู้เชี่ยวชาญมายืนยันอีกครั้งครับ แต่ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขอโทษด้วยครับ
นะ ห้าม โมปิด พุท มิด ธาล้อม ยะซ่อนตัว อยู่ในกลางสกล
นะกาโร โหติ สัมภะโว นะจักกุ นะพุทโธ นะจักโกหากุ นะโอนะธา นะปิดตา นะโม มิเห็น
พุทซ่อนไว้ ธาสบอยู่ ยะหายไป นะจงงง โมจังงัง พุทละลวย ธาละลวย ยะฆ่ามิตาย สูญหาย บัดนี้ นะกาโรโหติ สัมภะดว พระคาถานี้สำหรับลงตัวนะ และเสกนะ ทำเป็นผงและเสกไป จนเห็นตัวนะ ปรากฎขึ้น เป็นทองนะครับเอาผงมาทาตัวเราไป เค้าไม่เห็นตัวเราเลย และเป็นเสน่ห์เมตตาครับผม

61
:054:  รบกวนช่วยชี้แนะค่ะ
เดินทางจาก หนองจอก ถนนสุวินทวงค์ ไป นครปฐม (วัดบางพระ) เจ้าค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้านะคะ  :015:
ต้องขึ้นทางด่วนพระราม9มาลงที่พระราม2 แล้วตรงมายังแยกบ้านแพ้วพระประโทน(นครปฐม) เลี้ยวเข้าบ้านแพ้วไปออกที่พระประโทนแล้วไปเลี้ยวกลับมาเข้าถนนเทศบาล 1 ที่อยู่ข้างเทคนิคนครปฐมครับจะผ่านวัดต่าง ๆ ดังนี้ วัดสามกระบือเผือก วัดโคกเขมา วัดทุ่งน้อย วัดใหม่สุคนธาราม ประมาณนี้ครับมีป้ายบอกทางอยู่ครับมาตามเส้นทางนั้นหรือสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดูก็ได้ครับไม่มีน้ำเลยครับผมก็ไปถวายสังฆทานมาเมื่อวันจันทร์ที่ 14112011 ครับ

ขอบคุณมากนะครับคุณ karnpong
แต่ผมขอถามนิดนึงว่า
ใช้เวลาเดินทางประมาณกี่ ชม ครับ ผมจะได้กะเวลาถูก
ประมาณว่า เอ่อ... ผมอยากจะรู้คร่าวๆน่ะครับว่าคุณkarnpongขึ้นสะพานพระราม 9 ตอนประมาณกี่โมงครับ
(เพราะสะพานพระราม 9 รถติดหนักหน่วงมากครับ)  :075:

รบกวนบอกผมหน่อยนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับผม  :054:
ผมว่าคุณน่าจะออกมาเช้ามืดนะครับเพราะถ้าออกสายรถติดมากอย่างที่คุณบอกครับผมระยะเวลาที่อยู่บนทางด่วนพระรามเก้าคงคาดเดาได้ยากครับช่วงนี้แต่ถ้าลงมาถึงถนนพระรามสองแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณสองชั่วโมงเศษ ครับก็จะถึงวัดบางพระครับ อ่อลืมไปทางพระอาจารย์ช่วงนี้ท่านจะสักให้ช่วงเช้าครับเพราะช่วงบ่ายไม่มีคนเข้ามาให้สัก(เพราะลูกศิษย์มัวแต่กลัวน้ำท่วมกัน) ช่วงนี้ควรจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนนมัสการพระอาจารย์กันบ้างครับ

62
:054:  รบกวนช่วยชี้แนะค่ะ
เดินทางจาก หนองจอก ถนนสุวินทวงค์ ไป นครปฐม (วัดบางพระ) เจ้าค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้านะคะ  :015:
ต้องขึ้นทางด่วนพระราม9มาลงที่พระราม2 แล้วตรงมายังแยกบ้านแพ้วพระประโทน(นครปฐม) เลี้ยวเข้าบ้านแพ้วไปออกที่พระประโทนแล้วไปเลี้ยวกลับมาเข้าถนนเทศบาล 1 ที่อยู่ข้างเทคนิคนครปฐมครับจะผ่านวัดต่าง ๆ ดังนี้ วัดสามกระบือเผือก วัดโคกเขมา วัดทุ่งน้อย วัดใหม่สุคนธาราม ประมาณนี้ครับมีป้ายบอกทางอยู่ครับมาตามเส้นทางนั้นหรือสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดูก็ได้ครับไม่มีน้ำเลยครับผมก็ไปถวายสังฆทานมาเมื่อวันจันทร์ที่ 14112011 ครับ

63
เห็นด้วยครับไปได้ครับ

64
วัดบางพระน้ำไม่ท่วมครับ และถนนที่ไปยังวัดให้เข้าทางซอยเทศบาล 1 (ข้างวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม)ครับ จะเป็นเส้นทางที่สะดวกมากที่สุดน้ำไม่ท่วมตลอดเส้นทาง จะใช้มอเตอร์ไซด์ รถยนต์วิ่งได้หมดครับ ผมก็เพิ่งเข้าไปถวายสังฆทานมาเมื่อวันจันทร์ 14/11/2554 ครับ พระอาจารย์ทุกท่านในวัดบางพระยังคงรอคอยศิษย์ทุกท่านไปเยี่ยมเยียนและกราบนมัสการอยู่ครับ และถ้าจะขึ้นรถโดยสารไปยังวัดต้องรอขึ้นรถทีปากทางวัดศรีษะทองครับรถที่จะไปดอนตูมนั้นแหละครับ

65
http://www.ohmsaya.com/index.php?mo=3&art=551585
ลองดูตามลิงค์นี้นะครับผม

66

http://www.ongtep.com/detail.php?id=87รบกวนของเข้าดูตามลิงค์นี้ได้ครับมีให้เยอะเลยครับและรวมไปถึงคาถาที่คุณอยากได้ด้วยครับ

67
ขอขอบคุณอีกครั้งครับ แล้วมีความต่างจากยันต์พุฒซ้อนอย่างไรครับเพราะที่เคยทราบมาว่ายันต์พุฒซ้อนมีชื่ออีกอย่างว่าพระเจ้าห้าพระองค์เช่นกันครับ(เกิดความสับสนครับและไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจถูกหรือไม่)

68
แล้วยันต์ที่อยู่ใต้ยันต์บัวแก้วนั้นชื่อว่ายันต์อะไรครับผมรบกวนที่ผูู้รู้ช่วยไขความกระจ่างให้ด้วยครับผม

69
ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับสถานการณ์น้ำที่วัด แต่ว่าทางไปวัดสิครับอ่วมเลยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมนั่งรถไปถึงแค่ปากทางเข้าวัดศรีษะทองมีผู้หญิงที่เขามารอรถโดยสารที่จะเข้าไปยังดอนตูมเขาบอกว่าทางไปวัดบางพระไม่มีรถวิ่งแล้วผมก็เลยต้องคอตกกลับบ้านเลยครับไปวัดไม่ได้ครับ
แต่อย่างไรก็ตามจะต้องพยายามหาทางไปวัดให้ได้หละครับไม่ลดละความพยายามครับ

70
ท่วมมากมายเลยครับแล้วจะไปวัดได้ยังไงหละครับเนี่ย :065: :086:
http://news.mthai.com/thaiflood/flood-map

71
ร่วมด้วยช่วยกันขอให้สถานการณ์น้ำคลี่คลายลดลงโดยเร็วด้วยครับ

72
นมัสการพระอาจารย์ญา และพระอาจารย์ทุกรูปของวัดบางพระครับ ยินดีด้วยครับที่เจ้าของกระทู้ได้ยันต์เพิ่มมาอีกและคงเป็นลักษณะเฉพาะของพระอาจารย์ท่านที่เมตตาให้กับศิษย์ในช่วงนี้ครับ

73
กราบนมัสการพระอาจารย์ญา และพระอาจารย์วัดบางพระทุกรูปครับ และยินดีกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับที่ได้เสือคู่แล้วครับ :016: :015: :053:

74
ขอบคุณอีกครั้งครับผม และภาวนาขอบุญบารมีของหลวงพ่อเปิ่นจงช่วยปกปักรักษาอย่าให้น้ำท่วมวัดครับ และขอให้กำลังใจแก่ทุกท่านที่อยู่แถวนั้นด้วยครับขอให้วิกฤตนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วครับ

75
ขอบพระคุณครับที่ส่งรูปมาให้ดูกันครับเป็นการเผยแผ่ลายยันต์ที่แต่ละบุคคลทีได้รับจากพระอาจารย์ทั้งหลายครับ

76
ผมเห็นมีอยู่บริเวณทางด้านหน้าทางเดินไปกุฏิพระอาจารย์ญาและพระอาจารย์นันจะมีแผงพระเครื่องอยู่เขารับใส่กรอบพระอยู่ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็เห็นมีคนเขาไปกรอบเลี่ยมพระอยู่ครับ

77
ขอขอบคุณอีกครั้งครับกับการรายงานสถานการณ์น้ำที่วัดครับ ด้วยความเป็นห่วงครับ

78
ดีครับช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจเราให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบครับผม

79
ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับที่ช่วยแนะนำเส้นทางการเดินทางไปวัดครับ ซึ่งเป็นข้อมุลให้กับศิษย์วัดท่านอื่น ๆ ที่อยู่ต่างถิ่นได้มีโอกาสได้เข้าไปวัดได้ครับ :053: :015: :016:

80
ขอบคุณครับที่ช่วยรายงานสถานการณ์น้ำที่วัดครับ :053:

82
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 31.10.2011 06.30
« เมื่อ: 31 ต.ค. 2554, 10:54:11 »
ขอบพระคุณสำหรับการรายงานสถานการณ์น้ำล่าสุดและขอพุทธบารมีของหลวงพ่อเปิ่นจงช่วยปกปักรักษาให้แคล้วคลาด ผ่านพ้นไปด้วยดีครับผม

83
ต้องพยายามอนุรักษ์ยันต์ต่างๆ เหล่านี้ไว้ครับเพราะเป็นมรดกภูมิปัญญาของคนไทยที่มีมาแต่โบราณกาลครับ

84
เห็นด้วยครับผมคิดว่าถ้ายันต์ไหนเหมาะสมกับตัวเราเมื่อถึงเวลาพระอาจารย์ท่านคงสักให้ครับ

85
ในชีวิตของความเป็นจริงพ่อ แม่รักลูก ๆ ครับไม่เคยโกรธหรือเคืองกับลูก ๆ ที่มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อบุพการี ท่านได้แต่ให้อภัยต่อลูก ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นลูก ๆ ทุกคนควรที่จะหันมองตัวเองแล้วกลับไปดูแลบุพการีของตัวเองด้วย

86
เป็นหนึ่งในสถปัตยกรรมที่สุดยอดของประเทศไทยครับผม

87
ดีครับมีการป้องกันดีครับ ซึ่งวันอาทิตย์นี้ศิษย์ทุกท่านร่วมกันทอดกฐินสามัคคีนะครับ และขอบคุณครับที่มีการรายงานสถานการณ์น้ำให้ทราบโดยทั่วถึงกันและเป็นปัจจุบันครับ

88
สถานการณ์ล่าสุดสามารถเข้าไปดูในกระทู้ของ 28.10.2011 โดยคุณอ้อครับผม :053:

89
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 28.10.2011
« เมื่อ: 28 ต.ค. 2554, 08:20:11 »
ขอบคุณมาก ๆ ครับสำหรับการแจ้งสถานการณ์น้ำแถววัดครับ

90
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่วัดตลอดครับถ้าใครมีข้อมูลสถานการณ์ใหม่ ๆ ช่วยแจ้งให้สมาชิกทราบด้วยครับ ด้วยความเป็นห่วงครับ เพราะว่าสิ้นเดือนจะมีงานกฐินแล้ว

91
ไปสักมาแล้วสองวันติดกันครับคือวันอาทิตย์และวันจันทร์(23-24/10/2011) ได้ยันต์ครู(เก้ายอดและแปดทิศ)มาครับโดยพระอาจารย์ญาท่านเมตตาให้ผมครับ เดี๋ยวกะว่าจะหาโอกาสไปกราบพระอาจารย์ท่านเพื่อให้สักต่อครับ แต่ว่าวันอาทิตย์นี้อย่าลืมไปทำบุญทอดกฐินที่วัดกันนะครับ

92
ภาวนาขอให้หลวงพ่อเปิ่นจงคุ้มครองอย่าให้น้ำท่วมและขอให้น้ำผ่านลงไปยังทะเลโดยเร็วครับผม

93
สรุปครับผมไปหาพระอาจารย์ญามาเมื่อวันอาทิตย์สรุปว่ายังไม่ท่วมครับผม แต่ช่วงแยกท่านาทางไปวัดมีน้ำซึมนิดหน่อยครับแต่ไม่มีผลกระทบครับช่วงนี้ถ้าใครไปยังสะดวกครับน้ำไม่ท่วมครับ

94
ไม่ทราบว่าสถานะการณ์น้ำท่วมแถววัดบางพระเป็นยังไงบ้างครับลดลงบ้างหรือยังครับ

95
ขอบพระคุณครับที่ให้ความกระจ่างครับผม

96
แล้ววันนี้ระดับน้ำที่ท่วมอยู่ลดลงบ้างหรือครับผม

97
1) ถามท่านผุ้รู้ทั้งหลายครับผมว่าผมจะไปสักยันต์ที่วัดบางพระผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับเช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น
2) มีค่าใช้จ่ายในการบูชาครู และอื่น ๆ ประมาณเท่าไหรครับ
3) ต้องมีการจองคิวหรือไม่ครับ

98
เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

99
อยากเรียนถามท่านผู้รู้ทั้งหลายครับว่าผมไม่เคยสักยันต์มาก่อนและตอนนี้มีความต้องการสักยันต์เพื่อเสริมดวง หนุุนดวงทางพระอาจารย์วัดบางพระท่านจะเมตตาสักยันต์อะไรให้ครับผม

หน้า: [1]