:053:เพราะอัตตาและอุปาทานเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเห็นที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรม คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิด
ความรู้ความเข้าใจเข้าหาหลักธรรม แต่มักจะพยายามแก้ไขตีความหลักธรรมให้มาสงเคราะห์รองรับความคิดเห็นของตน สิ่งนั้นทำให้เกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความจริง เพราะหลักธรรมทั้งหลายนั้นมันมีมาก่อนแล้วคู่กับโลก มันเป็นกฏของธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ถูกต้อง
และดีงามอยู่แล้ว แต่ความคิดความเห็นของเรานั้นมันเกิดจากการปรุงแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของจริงตามธรรมชาติ ความผิดพลาด ความ
ขัดแย้งจึงเกิดขึ้น เพราะเราเข้าไปยึดถือในอัตตาและอุปาทานของเรา
การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าจะให้พบของจริง ต้องละทิ้งอัตตาและอุปาทานที่เป็นตัวปิดบังความเป็นจริงออกเสียก่อน ทำให้มันแจ้งมันสว่าง แล้วเราจะได้เห็นสภาพแห่งความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง แต่การถอนมานะ การละทิฏฐินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเรื่องยากสำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ตราบใดที่เรายังไม่เกิดธรรมสังเวชในกายมันก็ยังละไม่ได้ในอัตตา และถ้ายังไม่เกิดธรรมสังเวชในเวทนามันก็ละไม่ได้ซึ่งอุปาทาน
เราท่านทั้งหลายต้องเพียรพยายาม ทำให้แจ้งชัดในฐานกาย แล้วเราจะเข้าใจในฐานเวทนาและจะนำพาไปสู่ฐานจิตและฐานธรรมตามลำดับ
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่พื้นฐาน ถ้าพื้นฐานมั่นคง มันจะส่งผลสู่ชั้นต่อไปให้มั่นคงตาม การปฏิบัติต้องเป็นไปตามขั้นตอน ไม่ควรใจร้อนหวังผลความสำเร็จโดยฉับไว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป สั่งสมกำลัง อบรมอินทรีย์ สร้างบารมีไปเรื่อยๆจนมันเต็ม แล้วเราจะพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน
:016:แด่ความเห็นที่ขัดแย้ง...ที่ทำให้แจ้งในทางธรรม
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๑๖ น. ณ ชายป่าห้วยขาแข้ง อุทัยธานี
:069:บทความอุทานธรรมในยามบ่าย...เกิดจากที่ต้องไปเป็นกรรมการตัดสินความ ให้กับผู้ปฏิบัติธรรมที่เกิดความเห็นขัดแย้งกัน ในสิ่งเดียวกัน
เพราะต่างคน ต่างยึดถือในสิ่งที่ตนรู้และเข้าใจ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คิดว่าสิ่งที่ตนได้พบได้เห็นและเข้าใจนั้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ถ้าเห็นแตกต่างไปจากตนแล้วสิ่งนั้นผิด เลยต้องเข้าไปอธิบายให้ทั้งสองฝ่ายได้เข้าใจ ว่าทำไมแต่ละคนจึงมีความเห็นที่แตกต่างกัน จนเป็นที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย จึงได้เป็นที่มาของ"อุทานธรรมในยามบ่าย"