ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
๔ มีนาคม ๒๕๕๔
ผู้ที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทขาดสติที่เป็นสัมมาสติ
คือการระลึกรู้ในสิ่งที่ดี เพราะว่าความประมาทที่ขาดสัมมาสตินั้น จะทำให้นักปฏิบัติ
เห็นผิดไปจากความเป็นจริง คือมีสติ แต่เป็นมิจฉาสติ คือการระลึกรู้ในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว
ความไม่ประมาทนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มีอยู่ ๔ ประการคือ
๑. ไม่มีความอาฆาตพยาบาทใคร คือการที่ต้องทำให้มีจิตใจเป็นกุศล จิตใจที่ดีงาม
ไม่น้อยใจตนเอง ไม่น้อยใจผู้อื่น ไม่โกรธตนเอง ไม่โกรธผู้อื่น อยู่กับความคิด
อยู่กับจิตที่เป็นกุศล
๒. มีสติอยู่ทุกเมื่อ คือมีการระลึกรู้ในสิ่งที่กำลังคิดและในกิจที่กำลังทำ รู้จักการ
แยกแยะบุญและบาป สิ่งที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล รู้ในสิ่งที่ควรคิดและในสิ่ง
ที่ควรทำ คือการรู้กาย รู้จิต รู้ความคิด รู้การกระทำ มีสติเป็นสัมมา
๓. มีสามธิอยู่ภายใน คือการตั้งใจมั่น ในสิ่งที่กำลังคิดและกำลังทำ มีสติสัมปชัญญะ
อยู่ทุกขณะจิต เพราะว่าสมาธินั้นคือจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นอยู่ในกายในจิต ในสิ่งที่คิด
และในสิ่งที่ทำ
๔. บรรเทาความอยากในใจในจิต คือการรู้จักคิดให้พอดีและพอเพียงกับสิ่งที่เห็น
และเป็นอยู่ คือคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ตามเหตุและปัจจัยที่มี นั้นคือความพอดี
ในการคิด คือการรู้จักควบคุมจิตใจ ให้อยู่กับความเหมาะสม
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า " บุคคลใด ได้มีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้
บุคคลผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในคำสอนของเราตลอดกาล " การที่จะเริ่มเข้าสู่การปฏิบัตินั้น
จึงต้องมีการปรับกาย ปรับจิต ปรับความคิด กันเสียก่อน คือการฝึกจิตให้มีความคุ้นเคย
กับคุณธรรมคือความเป็นกุศลจิต ความคิดที่ดีงาม การไม่มองโลกในแง่ร้าย ฝึกมองโลก
ในแง่ดี เพราะการที่เราไปเพ่งโทษผู้อื่นนั้น มันเป็นการเพิ่งกิเลสให้แก่จิตของตัวเราเอง
การมองโลกในแง่ดีนั้น เราต้องเปิด โลกทัศน์ ชีวทัศน์และวิศัยทัศน์ของเรานั้นให้เปิดกว้าง
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ลดมานะทิฏฐิ อัตตาของตัวเรา อย่าเอาตัวเรา ความคิดของเรา
มาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่น ว่าเขาดี เขาเลว เขาถูกหรือเขาผิด อย่าเอาความคิดของ
เราเข้าไปกำหนด ฝึกมองโลกในแง่ที่ดี มองหาความดีของสรรพสิ่ง แล้วเราจะเห็นความจริง
ของชีวิต รู้กาลและกิจที่ควรกระทำ คุณธรรมของนักปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นในจิตของเรา...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๕๖ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี