ศีล ๕ คือ คุณสมบัติวัดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ,ธรรมอันเป็นปกติของผู้เป็นมนุษย์
ศีลมีความหมายได้หลายนัย นัยยะหนึ่งที่น่าสนใจ ศีล หมายถึง "ปกติ"
คนมีศีลก็คือคนปกติ คนผิดศีลก็คือคนไม่ปกติ นั่นเอง
จะให้ผลในสองกาลคือ ผลในปัจจุบัน และผลที่จะเกิดหลังจากละอัตภาพ(ตาย)จากโลกนี้ไปแล้ว
***ประโยชน์ของศีลที่แท้จริงคือเพื่อกำจัดละกิเลส แต่หากนำศีลไปปฏิบัติอย่างงมงาย ถือศีลเพื่อเพิ่มกิเลสในตัวเรามากขึ้นอาทิว่าต้องรักษาศีลพรตแล้วจะขลังศักสิทธิ์จะไม่เสื่อม หรือรักษาศีลไปเพื่อยกข่มผู้อื่นว่าศีลเราบริสุทธิ์กว่า ทั้งหมดนี้จัดเข้าอยู่ใน"สีลัพพตปรามาส"ทั้งสิ้น(เป็น๑ในสังโยชน์๑๐ประการหมายถึงเป็นกิเลสเครื่องผูกมัดใจสัตว์ไว้)***
1.ถ้าเกิดดื่มของมึนเมาจะผิดมากไหมค่ะ
ของมึนเมาจัดอยู่ในศีล ๕ ข้อ "สุราเมระยะ มัชชะ ประมาทัฏฐานาฯ" เมื่อล่วงเข้าแล้วจะทำให้ขาดสติ ในที่นี้หากเอา"มหาปเทส ๔"มาเป็นเครื่องชี้วัด ในข้อที่ว่า"สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร" ก็จะรวมถึงสิ่งเสพติดทั้งหลายเข้าด้วยกับศีลข้อที่ ๕ เพราะสิ่งเสพติดเหล้านั้นเมื่อบุคคลเสพเข้าไปแล้วย่อมขาดสติ บุคคลเมื่อขาดสติแล้วก็จะทำผิดศีลข้ออื่นๆตามมาได้ง่าย และอาจจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมาได้อีกมากมาย นี้เองจึงเป็นผลในปัจจุบัน ฉะนั้นศีลข้อ ๕ นี้ จึงเป็นข้อที่สำคัญที่สุดที่บุคคลพึงรักษา
ส่วนผลที่ได้รับหลังจากละอัตภาพไปแล้ว ก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์นรก ในมหานรกขุมที่ ๕ มีนามว่า"มหาโรรุวนรก" คือ สถานที่ที่สำหรับลงทัณฑ์สัตว์นรกที่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ได้กระทำผิดศีลข้อที่ ๕ โดยได้รับการทรมานจากนายนิรยบาลตามกรรมของตนที่ได้ทำไว้ครั้งเป็นมนุษย์ คือ ดื่มสุราของมึนเมาและสิ่งเสพติด
2.ถ้าหลุดวาจาหยาบคายกะเพื่อนไปบ้าง
ศีลข้อ ๔ "มุสาวาทาฯ" โดยทั้งหมดแล้วจะครอบคลุมทั้งหมดดังนี้คือ พูดเท็จ,พูดคำหยาบ,พูดส่อเสียด,พูดเพ้อเจ้อ ผลในปัจจุบัน จะทำให้ไม่เป็นที่เชื่อถือเกรงใจ และหากโกหกไปจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว ความจำก็จะลดสั้นลง เพราะการโกหกเชื่อได้เลยว่าเมื่อโกหกแล้ว ก็จะต้องโกหกไปเรื่อยๆอย่างแน่นอน เป็นต้น
ผลในอนาคต หากทำจนเป็นนิสัย จนเกิดความเคยชิน เมื่อละอัตภาพ(ตาย)จากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ก็จะไปบังเกิดในมหานรกขุมที่ ๔ ชื่อว่า"โรรุวมหานรก" เป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรกที่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ได้กระทำผิดศีลข้อ ๔ ไว้
*ทั้งข้อ ๑ และข้อ ๒ นี้ ต้องดูกรรมเป็นตัวประกอบด้วยเช่นกันว่ากรรมไหนจะส่งผลช้าเร็ว (ในธรรมวิภาคปริจเฉท ๒ หมวด ๑๒ มีกล่าวถึงเรื่องกรรม ๑๒ กล่าวถึงไว้ ลองศึกษาเพิ่มเติมดูครับ) อาทิเช่น"ครุกรรม"หมายถึง กรรมหนัก กล่าวคือหากทำกรรมชนิดนี้ลงไปแล้ว ทางเดียวที่จะได้ไปคืออเวจีมหานรก ในที่นี้จะกล่าวถึง"อนันตริยกรรม"๕ ประการ คือ ฆ่าพ่อ,ฆ่าแม่,ฆ่าพระอรหันต์,ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต,ทำสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ว่าจะประกอบกรรมดีมามากมายเท่าไหร่ หากกระทำ ๑ ใน ๕ ข้อนี้แม้ครั้งเดียว ก็จะส่งผลให้ไปเกิดในอเวจีมหานรกสถานเดียว จนกว่าจะใช้กรรมบาปนี้หมด จึงจะได้กลับมาเสวยผลของกรรมดีอันเป็นบุญกุศลที่เคยได้กระทำไว้ เป็นต้น
3.ไม่ได้สวดมนต์ทุกวันจะเป็นไรไหมค่ะ
ต้องถามตัวเราเองก่อนว่า สวดมนต์ ไปเพื่ออะไร? ในสมัยพุทธกาลขณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ทุกเช้าเย็นก็จะมีสาธุชนพุทธบริษัทเดินทางมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมและสักการะเป็นประจำทุกวันมิได้ขาดสาย แต่ภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว เหล่าพุทธบริษัทเหล่านั้นก็ได้ปฏิบัติเช่นเดิมโดยการมาพระวิหารทั้งเช้าและเย็นเพื่อฟังธรรมจากพระเถระ และก็ได้พร้อมใจกันสวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระสงฆ์ เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย นี้คือที่มาของการทำวัตรสวดมนต์
มาในปัจจุบัน การสวดมนต์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจของผู้สวดสงบขึ้น เพราะเป็นการปฏิบัติสมาธิวิธีหนึ่ง โดยที่จิตของเราเพ่งไปที่ตัวหนังสือบทสวดเหล่านั้น จนจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งนี้สิ่งเดียว ก็จะทำให้ใจสงบเป็นสมาธิได้เช่นกัน บางท่านอาจจะจำบทสวดมนต์ได้ พอสวดไปแล้ว จิตเราก็จะนึกถึงวรรคประโยคต่อๆไป ก็เข้าข่ายเป็นสมาธิด้วยเช่นกัน เป็นต้น
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบได้แล้วครับว่า"เราจะสวดมนต์ไปเพื่ออะไร?" การที่เราจะทำหรือไม่ทำนั้น ไม่ทำก็ไม่ได้ผิดอะไร หากทำก็จะได้รับประโยชน์แก่ตัวเองเป็นที่สุด.
สุดท้ายนี้ขอฝากให้กำลังใจ โดยนำคำที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ผมเคารพท่านนึงได้กล่าวให้โอวาทไว้ว่า
"อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด บาปอกุศลทุกชนิดไม่ทำเพิ่มอีกเด็ดขาด หมั่นสั่งสมบุญกุศลให้เข้มข้นทับทวี ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน"