แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - อิศวรน้อย

หน้า: [1]
1
วิธีป้องกันผีหลอกในโรงแรม

นี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าคุณจะป้องกันตัวคุณเองได้อย่างไร

๑. ก่อนที่จะเข้ายังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

๒. หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ "ขนลุก" จงออกจากห้องไปเงียบ ๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

๓. หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

๔. ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็นการแสดงถึงหลัก "หยิน-หยาง" เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

๕. จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟห้องน้ำยิ่งดี

๖. ห ากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้ เช่น กระ เป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

เราเตือนคุณแล้ว...

...............................

นอกเหนือจากนี้ ควรจะต้องสวดมนต์ "แผ่เมตตา" ทุกครั้งก่อนนอน ก็จะแคล้วคลาดไม่เจอ "แขกพิเศษ" เหล่านั้นเลย ..ย ..ย


นี่เป็นอีกวิธีป้องกัน


- อย่านอน เตียงที่มีใต้เตียงโล่ง ถ้ากลัวมากๆก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทนปล่อยผีนอนบนเตียง ไ ป

- ถ้ากลัวผีช่องแอร์ให้เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน

- ถ้ากลัวไฟปิดเปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวงเช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง ก็ให้ เปิดมันทิ้งไว้

- ถ้าอยู่ดีๆได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูนมาดม

- ถ้า อยู่ดีๆได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง

- ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี

- ถ้าเพื่อนโดน ผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจผีก็จะเซ็งออกไปเอง

- ถ้ามีเงา อะไรผ่านหน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆหน้าต่าง ทำเงาผ่าน ย้อน ไ ปบ้าง

- ถ้ากลัว จะมีใครมายืนอยู่ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ปลายเตียง (ดูซิจะไปยืน ไหน)

- ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง(ในกรณี ที่เป็นชั้น 3 ขึ้นไป) ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง

- ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผีในตู้เสื้อ ผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า "ที่หมานอน"

- ถ้าถ่ายรูปแล้ว ติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก

- ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่าสามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน สาขา อะไร รับบัตรเครดิตหรือเปล่า?

- ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ

- ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้านบอก ให้ผีไปทำเรื่องย้ายช ื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน





ขอบคุณเพื่อน : F.W. mail

2


จักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ครุ่นคิดถึงปัญหา 3 ข้อมาเป็นเวลานาน พระองค์คิดว่าถ้าตอบคำถามนี้ได้จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ข้อนี้คือ

1. เวลาไหนที่สำคัญที่สุด

2. ใครคือคนที่สำคัญที่สุด

3. ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด


พระองค์รับสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วอาณาจักรของพระองค์ว่า ใครก็ตามที่สามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ จะได้รับรางวัลมหาศาล คนทั้งหลายเมื่อได้อ่านประกาศนั้นแล้ว ต่างก็พากันเดินทางมุ่งมายังวังของพระจักรพรรดิทันที แต่ละคนก็มีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป

พระจักรพรรดิไม่พอพระทัยคำตอบไหนเลย เพราะว่ามันแตกต่างกันไปหมด และก็เลยไม่มีใครได้รับรางวัล

หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายคืน พระจักรพรรดิก็ตัดสินพระทัยที่จะไปหาฤาษีตนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเขา และว่ากันว่าเป็นผู้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน พระจักรพรรดิปรารถนาที่จะไปตรัสถามคำถามของตนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฤๅษีนั้นจะต้อนรับแต่เฉพาะคนยากจนเท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ พระจักรพรรดิจึงต้องปลอมตัวเป็นชาวนาธรรมดา และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่พระจักรพรรดิทรงไต่เนินเขาขึ้นไปพบฤๅษีตามลำพัง

พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น พระจักรพรรดิก็ทรงพบว่าฤๅษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของตน เมื่อฤๅษีแลเห็นคนแปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนัก เพราะฤๅษีนั้นชรามากแล้ว แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมา ท่านจะต้องหอบแรง ๆ ทุกครั้งไป

พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า "ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผมคือ

1. เวลาไหนที่สำคัญที่สุด

2. ใครคือคนที่สำคัญที่สุด

3. ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด


ฤๅษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบา ๆ และก็ขุดดินต่อไป พระจักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ" ฤๅษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้พระจักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น

หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง พระจักรพรรดิก็หยุดและหันมาถามปัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง ฤๅษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบและบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ ฉันทำต่อไปได้แล้ว" แต่พระจักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา พระจักรพรรดิทรงวางจอบลงและหันมาตรัสกับฤๅษีว่า "ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"

ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า "เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" พระจักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร ทันใดนั้นทั้งสองก็แลเห็นชายมีเคราขาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าละเมาะ ชายคนนั้นวิ่งเตลิดมา มือทั้งสองกุมบาดแผลโชกเลือดที่ท้อง เขาวิ่งตรงมายังพระจักรพรรดิ ก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไปตรงพื้นดินนั้น พอเปิดเสื้อผ้าออก ทั้งจักรพรรดิและฤๅษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น พระจักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผลแล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียวเสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด พระจักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผลอีกเป็นครั้งที่สอง และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลือดหยุดไหล

เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ พระจักรพรรดิรีบวิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง ขณะนั้นดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว ฤๅษีช่วยพระจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อมและให้นอนบนเตียงของตน ชายคนนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป พระจักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกันด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีนเขาและการขุดดินทั้งวัน และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว พระจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นพระจักรพรรดิ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า "ได้โปรดประทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ด้วย"

"แต่เธอทำอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ

"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าตายเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้ และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาตและได้ปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤๅษีตามลำพัง ข้าพระองค์จึงตั้งใจจะดักฆ่าท่านเสียตอนท่านเสด็จกลับ แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา แต่แทนที่จะพบท่าน ข้าพระองค์กลับไปเจอเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้ และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บนี่แหละ แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ ถ้าไม่ได้พบท่าน ป่านนี้ ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว ข้าพระองค์ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่ท่านกลับช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจ และสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด"

พระจักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนักที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย นอกจากจะประทานอภัยแล้ว ยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว พระจักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤๅษีอีกครั้ง เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย และพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงในแปลงดินที่ขุดไว้เมื่อวาน

ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางพระจักรพรรดิ "คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่"

"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง



"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายโดยชายผู้นั้นตอนขากลับ และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยฉันขุดดิน จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลสำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น และภารกิจสำคัญที่สุดก็คือการรักษาพยาบาลเขา"

"จงจำไว้ว่า มีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คือคนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้น ๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"



อนาคต ยังมาไม่ถึง พะวงมากทำไม

อดีต ผ่านไปแล้ว คิดคะนึง มากไปใย

ปัจจุบัน นั้นไซร้ ทำให้จงดี




ขอบคุณ..นิทานเรื่องหนึ่งของ ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย...

ที่มา...ธรรมมะสวัสดีดอทคอม

3
บทความ บทกวี / คมในฝัก
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2553, 11:54:22 »


ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด
มีนายพรานสองพ่อลูกปลูกกระท่อมพักอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น

อาชีพของนายพรานก็คือ การหาของป่าไปแลกเปลี่ยนกับข้าวปลาอาหารและสิ่งของ
เครื่องใช้ต่างๆ จากในเมือง ทุกเช้านายพรานผู้พ่อจะเข้าป่า
ส่วนลูกชายจะอยู่ที่กระท่อมคอยหุงหาอาหารไว้คอยท่าพ่อ เมื่อพ่อกลับมาในตอนเย็น

วันหนึ่งนายพรานออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อนเข้าไปหาของป่าอย่างเคย บังเอิญเขาถูก
งูเห่ากัด อาการสาหัสมาก แต่ถึงกระนั้น นายพรานก็พยายามแข็งใจเดินกลับมายัง
กระท่อมของเขาจนได้ แล้วนายพรานก็เรียกลูกชายมาบอกว่า

"ลูกรัก พ่อถูกงูเห่ากัดเสียแล้ว คราวนี้เห็นทีจะไม่รอด
คงไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว"

"ทำใจดีๆ ไว้เถอะพ่อ พ่อคงไม่เป็นอะไรมากหรอก พ่อจะให้ผมช่วยอย่างไร
พ่อรีบบอกมาเถอะ" ลูกชายนายพรานพูดให้กำลังใจพ่อ

"ต่อไปนี้เจ้าต้องช่วยตัวเองนะลูก เข้ามาใกล้ๆ พ่อซิ แล้วเจ้าจงจำคำพ่อไว้
พ่อมีของดีอยู่อย่างหนึ่งนั้นคือ นอแรด เมื่อพ่อสิ้นใจไปแล้ว
เจ้าจงเอานอแรดในย่ามนี้ไปถวายพระราชา อย่าลืมทำตามที่พ่อสั่งนะลูกนะ"

นายพรานพูดจบก็ยื่นย่ามใส่นอแรดให้แก่ลูกชาย แล้วเขาก็ขาดใจตาย

ฝ่ายลูกชายนายพราน เมื่อพ่อตายก็มีความเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็พยายามสะกด
ใจไว้รีบนำศพพ่อไปฝัง แล้วกราบลาศพพ่อมายังกระท่อมที่พัก ตรงไปหยิบย่าม
ที่ใส่นอแรดสะพายบ่าเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อถวายนอแรดแด่พระราชาตาม
ที่พ่อสั่งไว้ เขาเดินทางไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวง จึงตรงไปยังประตูชึ้นนอก
แล้วพูดกับนายประตูชั้นนอกว่า

"ท่านนายประตู ผมต้องการจะเข้าเฝ้าพระราชา ท่านจะกรุณาผมหน่อยจะได้ไหม"

"เอ็งต้องการจะเข้าเฝ้าพระองค์ท่านด้วยธุระอันใดหรือ" นายประตูถามด้วยความสงสัย

"ผมมีของดีอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาถวายท่าน"

"ของดีอะไรของเอ็งหรือ ไหนข้าขอดูหน่อย"

"นอแรดนี้ไงของดีที่ว่านั้น"

ลูกชายนายพรานพูดพร้อมควักนอแรดออกมาจากย่ามให้นายประตูดู

นายประตูเมื่อเห็นลูกชายนายพรานมีนอแรดที่สวยงามจริงๆ ก็คิดในใจว่า

"ถ้าลูกชายนายพรานนำไปถวายพระราชาแล้ว พระองค์คงพอพระทัยเป็น
อย่างยิ่ง และอาจพระราชทานรางวัลให้แก่ลูกชายนายพรานเป็นจำนวนมาก"

เมื่อคิดดังนั้นแล้ว นายประตูชั้นนอกก็เกิดความโลภขึ้นมาทันที อย่ากระนั้นเลย
เราจะต้องขู่เข็ญให้เด็กคนนี้แบ่งรางวัลที่ได้รับแก่เราส่วนหนึ่ง จึงพูดกับลูกชาย

นายพรานว่า

"นี่เจ้าเด็กน้อย ถ้าข้านำเจ้าเข้าไปถวายนอแรดแด่พระราชา
แล้วพระองค์พระราชทานรางวัลให้แก่เจ้า เจ้าจะต้องแบ่งรางวัลนั้น
ให้แก่ข้าครึ่งหนึ่งนะ ถ้าไม่ตกลง ข้าก็คงจะพาเจ้าเข้าเฝ้าไม่ได้หรอก"

ลูกชายนายพรานได้ยินดังนั้นก็เกิดความไม่พอใจนายประตู ที่เป็นคนเห็นแก่ได้
ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ จึงคิดว่าถ้ามีโอกาสจะหาทางสั่งสอนนายประตูผู้นี้ให้รู้สำนึก
แล้วพูดกับนายประตูว่า

"ตกลง ผมจะแบ่งรางวัลที่ได้รับให้แก่ท่านครึ่งหนึ่งแน่นอน"

"เอ็งอย่าโกหกนะ แล้วก็จำคำพูดของเอ็งเอาไว้ให้ดีนะ"

ว่าแล้วนายประตูชั้นนอกก็พาลูกชายนายพรานเข้าไปยังประตูชั้นใน พบนาย
ประตูชั้นใน ก็เล่าเรื่องที่ลูกชายนายพรานจะขอเข้าเฝ้าพระราชา
เพื่อถวายนอแรด และมอบรางวัลครึ่งหนึ่งให้แก่ตน ให้นายประตูชั้นในฟัง

นายประตูชั้นในได้ฟังเรื่องทั้งหมด ก็เกิดความโลภอยากได้
ในส่วนแบ่งจากรางวัลบ้างเหมือนกัน จึงพูดกับลูกชายนายพรานว่า

"แล้วข้าละ เจ้าจะให้อะไรบ้าง ถ้าข้าจะพาเจ้าเข้าไปเฝ้าพระราชา"

"เอาเถอะผมจะไม่เอาอะไรเลย
แต่ผมจะแบ่งรางวัลที่ได้รับทั้งหมดให้แก่ท่านทั้งสองคนละครึ่ง"
ลูกชายนายพรานพูดยืนยัน ส่วนในใจนั้นก็คิดว่า
จะหาโอกาสสั่งสอนคนทุจริตเห็นแก่ได้นี้ให้รู้สำนึกบ้าง

"เจ้าพูดจริงๆ นะ เจ้าอย่าโกหกนะ ถ้าเจ้าโกหกเจ้าจะต้องเห็นดีกะข้าแน่"

นายประตูชั้นในพูดขู่สำทับ

"ตกลงผมไม่โกหกท่านแน่ ขอจงพาผมเข้าเฝ้าโดยเร็วเถิด"
ลูกชายนายพรานพูดขอร้อง

นายประตูชั้นในได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมาก จึงรีบพาลูกชายนายพรานเข้าเฝ้า
พระราชาทันที เมื่อหมอบถวายบังคมแล้ว ลูกชายนายพรานก็หยิบนอแรด
จากถุงย่ามถวายแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรนอแรด
ทรงพอพระทัยมาก จึงตรัสขึ้นว่า

"นอแรดนี้สวยงามมาก เจ้าได้มาจากไหน"

"ข้าพระพุทธเจ้าได้นอแรดนี้มาจากพ่อของข้าพระพุทธเจ้าที่เป็นนายพราน
พระพุทธเจ้าข้า"

"แล้วทำไมเจ้าถึงต้องนำนอแรดนี้มาถวายข้าด้วยล่ะ" พระราชาตรัสถามต่อ

"พ่อของข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งไว้ก่อนตายว่า ขอให้นำนอแรดนี้มาทูลเกล้าฯ
ถวายแด่พระองค์ พระพุทธเจ้าข้า"

"และเจ้าต้องการสิ่งใดตอบแทน เจ้าบอกข้ามาได้เลย ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง"

ลูกชายนายพรานสมหวังดังใจ จึงคิดที่จะสั่งสอนนายประตูทั้งสองคน ให้เห็น
โทษของความไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ จึงกราบทูลไปว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทองสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น
แต่จะทูลขอพระองค์สองอย่าง พระพุทธเจ้าข้า"

"เจ้าว่ามาเลยของสองอย่างนั้นมีอะไร ข้าจะจัดให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ"

"อย่างแรก ข้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์รับข้าพระพุทธเจ้า
ไว้เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทตลอดไป พระพุทธเจ้าข้า"

"และอย่างที่สองล่ะ ว่ามาซิ"

"อย่างที่สอง ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานรางวัลการโบยหลังให้แก่
ข้าพระพุทธเจ้าสัก 100 ที พระพุทธเจ้าข้า"

"เจ้าเป็นอะไรไปหรือ โบยหลัง 100 ที เจ้าจะเอาไปทำไม เจ้านี่หาเรื่อง
เจ็บตัวเปล่าๆ อยู่ดีไม่ว่าดี" พระราชาตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย

"หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะขอแบ่งรางวัลการโบย 100 ทีนี้
ให้แก่นายประตูทั้งสองคน คนละครึ่งตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่นายประตูทั้งสอง
ก่อนที่จะนำข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า"

"อย่างนั้นหรือ เจ้าฉลาดมาก ข้าจะชุบเลี้ยงเจ้าและแต่งตั้งให้เป็น
มหาดเล็กหลวงต่อไป และข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต
ส่วนนายประตูทั้งสองนั้น ทหารนำตัวทั้งสองคนไปโบยหลังคนละ 50 ที เดี๋ยวนี้"

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้

1. การเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่ชีวิต

2. คนที่คดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงาน ในที่สุดก็จะถูกจับได้
และถูกลงโทษ ทำให้เสื่อมเสียทั้งชื่อเสียงและวงศ์ตระกูล

3. ผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ย่อมสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ




ขอบคุณที่มา:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3798

4
ระลึกชาติ www พลังจิต คลิปวีดีโอ 
http://www.youtube.com/watch?v=icCHWmPz30c


http://www.youtube.com/watch?v=OgG8LjkCo-4


http://www.youtube.com/watch?v=05iJ2IrTH6k


http://www.youtube.com/watch?v=lTRRJTdPxRs


http://www.youtube.com/watch?v=qINLO1nuPTg


เมื่อดูจบแล้วเกิดอุทาหรณ์อย่างไรกันบ้างครับ.




ขอบคุณที่มา...http://www.reincarnation.tk/

6
บทความ บทกวี / ขาวกับดำ
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2553, 09:16:03 »


เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว

เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"

ชาวนาไม่ตกลง

เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"

ชาวนาตกลง

เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ

เธอจะทำอย่างไร?

หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน

เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง

บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่

โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ

ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด

เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร"

ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ "...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว" ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ"

 


ขอบคุณที่มาจาก
http://www.med.cmu.ac.th/ethics/story-txt/webboard.php

7



ขอให้มีความสุขนะครับ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ

บารมี...หลวงพ่อเปิ่นคุ้มครองรักษาครับ.

8
ยินดีด้วยนะครับ...ของเขาแรงจริงๆ...อิ อิ 02;

9
ขอบคุณท่านใหญ่...สำหรับคลิป...

ชอบท่าพระรามแผลงศร...จริงๆ อิ อิ

10
บทความ บทกวี / สามเณรน้อย
« เมื่อ: 05 มี.ค. 2553, 02:18:51 »


เรื่องของ สามเณรน้อยรูปหนึ่งที่เพิ่งเริ่มออกบิณฑบาตเป็นครั้งแรก
เณรน้อย เป็นเด็กชายจากในเมืองที่พ่อแม่ส่งมาบวชที่วัดบ้านนอก
อายุอานามก็ยังไม่เต็มสิบขวบดี บวชเรียนได้ไม่ถึงสามวัน
หลวงพ่อท่านก็ให้ตามหลวงพี่ออกบิณฑบาตด้วย
เช้าตรู่วันนั้นมีพระลูกวัดนอนซมด้วยพิษไข้หวัดถึงสามรูป
ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก
เณรน้อยจึงเดินตามหลวงพี่ที่เดินอยู่นำหน้าด้วยความประหม่า
เด็กวัดเห็นท่าทางเคอะๆ เขินๆ ของเณรน้อยเข้าก็ชอบใจ
พอพ้นสายตาคนก็ล้อเลียนเอา
ยิ่งถูกล้อเณรน้อยก็ยิ่งทำท่าทำทางไม่ค่อยถูก
ยืนหน้าแดงอยู่ที่ทางแยก
หันมาอีกทีขบวนของหลวงพี่กับเด็กวัดก็เดินอยู่ข้างหน้าไกลลิบแล้ว
เณรเห็นดังนั้นก็รีบจ้ำเพื่อจะตามให้ทัน
แต่ด้วยที่อยู่ในเพศบรรพชิต แม้จะเป็นเด็กก็ไม่กล้าออกวิ่ง
ขณะที่กำลังจะรีบเดินให้ทันหลวงพี่ข้างหน้า
ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง คุณป้าเกล้าผมมวยกำลังยกมือไหว้รอเณรน้อยอยู่
คุณป้า "นิมนต์เณรด้วยเจ้าค่ะ"
พูดจบคุณป้าแกก็หันไปยกโถข้าวที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา
เณรน้อยต้องหยุดเดินหันมาเปิดฝาบาตรเพื่อรับบิณฑบาต
แต่สายตาของเณรนั้นก็ยังคงชำเลืองไปยังขบวนของหลวงพี่ที่เดินห่างออกไปแล้ว
คุณป้าตักข้าวใส่ลงไปหนึ่งทัพพี พร้อมกับแกงส้มใส่ลงไปอีกถุงหนึ่ง
เสร็จแล้วคุณป้าแกก็นั่งยองๆ ลง
เณรน้อยปิดฝาบาตรเสร็จก็เตรียมตัวจะเดินออกไป
คุณป้า "ขอพรด้วยเจ้าค่ะพ่อเณร เมื่อกี้ออกมาไม่ทันพระ วันนี้วันเกิดเจ้าค่ะ"
เณรชะงักเท้าแล้วก็หันกลับมามองโยมเจ้าของวันเกิด
และหลังจากที่ก้มหน้านึกอยู่พักใหญ่
ในที่สุดเณรก็กล่าวอำนวยพรออกมา


"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู"

ว่าจบก็รีบออกจ้ำเดินตามหลวงพี่ไป

คุณป้า " ??? !!! "



ขอบคุณที่มา...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17415

11
ธรรมะ / พราหมณ์ทดลองศีล
« เมื่อ: 05 มี.ค. 2553, 02:01:35 »


พราหมณ์ผู้หนึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถี อาศัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีวิต แกรักษาไตรสรณคมน์และศีล ๕ พระราชาก็ทรงพระกรุมีณาโปรดปรานประทานข้าวของให้แก่พราหมณ์นั้นมากกว่าข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง อยู่มาวันหนึ่งพราหมณ์นั้นมาคิดว่า พระมหากษัตริย์นี้จะรักเราด้วยศีล หรือจะรักเราด้วยชาติตระกูล คิดดังนี้แล้ว ครั้นออกจากที่เฝ้าก็ไปลักเอาเงินจากกระดานของนายช่างเงินมา นายช่างเงินรู้ก็ไม่ว่าอะไรด้วยเกรงใจ

ครั้นวันที่ ๒ มหาพราหมณ์ก็ไปลักเอาเงินของนายช่างเงินมาอีก นายช่างเงินก็ไม่ว่าอะไร ครั้นถึงวันที่ ๓ พราหมณ์ไปลักเอาเงินมาอีกกำมือหนึ่ง นายช่างเงินโกรธ จึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ขโมย ชาวบ้านก็มาช่วยกันจับและทุบตีพราหมณ์ แล้วก็มัดไปถวายแก่พระราชา ชนทั้งหลายกล่าววาจาด่าว่าต่างๆ นานา

พระราชาได้เห็นพราหมณ์นั้นถูกเขามัดมา จึงตรัสถามว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เหตุไรท่านจึงทำกรรมอันหยาบช้าปานดังนี้” พราหมณ์จึงกราบทูลมูลคดีที่ตนคิดมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลลาพระราชาออกบวชในพระพุทธศาสนา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงอนุญาต

พราหมณ์นั้นก็เข้าเฝ้าพระบรมโลกนาถทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ก็ให้พราหมณ์บวชในพระพุทธศาสนา เจริญกรรมฐาน ไม่เนิ่นช้าก็สำเร็จพระอรหันต์ตัดกิเลสขาดจากขันธสันดาน ข้าพเจ้าชักเรื่องนี้มาชี้ให้เห็นโทษ ในอทินนาทานว่า ให้ผลในปัจจุบันทันตา ดังวิสัชนามาฉะนี้.




ขอบคุณที่มาจากนิทานธรรมะ จากวัดไตรมิตร

12
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก ๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่
ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า
ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย
อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น
พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์
กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน
อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน
ให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ

เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขา
เพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษาโยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้ว
ก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า
คำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
ถ้าเรายังเป็น โรค อยู่ในใจ ไม่ พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย


ขอบคุณ: F.W. mail

13
ขอบคุณครับสำหรับคำตอบนะครับ  

ผมขอย้อนความซักนิดนะครับ วันที่ผมไปสัก ปกติผมจะถามพระอาจารย์เสมอว่าได้เมตตาอะไรให้ผม (ส่วนตัวผมจะไม่ขอลายอะไรครับ แล้วแต่พระอาจารย์จะเมตตาให้ครับ)
ซึ่งทุกครั้งพระอาจารย์ติ่งก็จะเมตตาบอกให้ครับ แต่ครั้งที่ผมไปสักล่าสุดมานี้ พระอาจารย์บอกว่า
"อะไรที่อาจารย์ให้มาดีหมดแหล่ะ ไม่ต้องรู้หรอก" ผมก็เก็บข้อสงสัยนี้มาหลายวัน จนวันนี้นึกยังไงไม่รู้ก็เลยโพสต์ถามดู

เรื่องของเรื่องคือผมค่อนข้างจะมีสังสรรค์บ่อยครับ เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีดื่มไปเยอะพอสมควรครับ ด้วยความที่ผมไม่รู้ว่าบางยันต์ไม่สมควรจะดื่มเหล้า(จากที่พี่ D-O-N และ
พี่ธรรมะรักโข บอกนะครับ) แล้วอย่างนี้ ผมจะต้องทำยังไงบ้างครับตอนนี้กลุ้มใจจริงๆ ครับ
นอนไม่หลับเลยเข้ามาโพสต์ถามก่อนนี่แหล่ะครับ

ปล. ทั้งๆ ที่รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะได้ยันต์อะไรมาก็ไม่สมควรดื่มสุราอยู่แล้วแท้ๆ นะครับ แต่ผมก็พยายาม ลด ละ ลงให้น้อยที่สุด เท่าที่จะหลีกเลี่ยงแล้วล่ะครับ
       ปีนี้ก็ตั้งใจว่าจะลด ละ อบายมุขต่างๆ ให้น้อยลงกว่าเดิม หรือไม่ข้องเกี่ยวเลยด้วยซ้ำครับ
       แล้วถ้า หลังจากที่ผมทราบแล้วว่าเป็นยันต์อะไร สมควรจะเลิกเหล้าเลยหรือไม่ครับ รบกวนไขข้อข้องใจให้ด้วยนะครับ........
       แต่ถึง ณ ตอนนี้ผมก็ทำใจแล้วล่ะครับ.................ขอบคุณครับ


ผมเห็นว่าสมควรเลิกเหล้า..เบียร์..และของมึนเมาได้แล้วครับตอนนี้ เริ่มทำใจได้ตั้งแต่บัดนี้ต้องมีสัจจะ...หน่อยนะครับ
ดูอย่างท่านเอ็มเมืองไร่ขิง เป็นตัวอย่างขอประทานโทษที่เอ่ยนาม...ลองsearchหาดูกระทู้เก่าๆนะครับ
เพราะจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น...
1.เงินทองไม่สิ้นเปลืองไปกับเรื่องอันปล่าวประโยชน์
2.สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง
3.โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน
4.ท่านได้สักยันต์เกราะเพชรไว้ด้วย...ยันต์นี้เน้นเรื่องการห้ามดื่มสุราเมรัยเด็ดขาด เว้นไว้แต่เป็นกระสายยา
5.มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น
6.ให้...เหล้าเท่ากับแช่ง...
รักษาศีล 5 หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ...นั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน...เสร็จแล้วแผ่เมตตากรวดน้ำ...
สิ่งใดใดที่แล้วแล้วมาให้ลืมมันไปหันหลังให้มัน เริ่มต้นกันใหม่...เริ่มตั้งแต่วันนี้นะครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอ...

15
บทความ บทกวี / คุณ 'กำ' อะไรอยู่
« เมื่อ: 19 ก.พ. 2553, 11:12:57 »
คุณ 'กำ' อะไรอยู่


ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง
ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบ กำลังน่ารักเลยทีเดียว
เจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูก
ไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง
ซึ่งนั่นก้อหมายความว่ามันราคาแพงมาก
นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน
ทันใดนั้นเจ้าหนูก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่าง
แต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่าเจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร
เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำเร็จ
จนต้องใช้ไม้ตายคือ
'ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน'
เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู
เมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ
น้ำมันก็แล้ว น้ำสบู่ก็แล้วทำอีท่าไหนก็ไม่ออก
จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้
เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่
ก็พบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น
ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า 'หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?'
เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง 'ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ'
'แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก ?' ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย
' มันเป็นสตางค์ครับ' เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม จึงปรากฏว่า
ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ
เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้
ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า

แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง 'กำ' อะไรไว้ในชีวิตบ้าง

เงิน ?
บ้าน ?
งาน ?
รถ ?
หัวโขน ?
ทิฐิ ? ...

แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง

เวลา....
ครอบครัว....
พ่อแม่.....
คนที่รักเรา.....
ความสุข
สวรรค์

คุณ ' กำ'อะไรอยู่ ??



ขอบคุณที่มา:http://www.dhammajak.net

16
บทความ บทกวี / เจ้าสุนัข...แสนรู้...
« เมื่อ: 30 ม.ค. 2553, 01:04:40 »


เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้าน
โดยในปากมันคาบแบงก์ 10 ดอลลาร์และกระดาษเขียนข้อความว่า
"ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับขาแกะ 1 ขาครับ"
เขารู้สึก ประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้น หลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์
และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุง แขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้ว
เขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป


หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลาย
มันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลังและยกขาหน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนน
แล้วก็คาบถุงต่อ รอจนไฟคนข้ามเขียวมันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง
มันจ้องมองตารางเวลาเดินรถแล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอ
สักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา


มันเดินไปดูหมายเลขที่ หน้ารถแล้วก็กลับมานั่งรอต่ออีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคัน
มันเดินไปดูหมายเลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็นสายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น
คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน แล้วรีบตาม มันขึ้นรถคันนั้นไป


หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง
เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ
เมื่อรถจอดมันก็ลงและเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าไป
คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆ เช่นเดิม

เมื่อมาถึงประตูบ้านที่ปิดอยู่มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง
แล้ว ถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง
มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้งแต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก
มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง
ที่ปิดอยู่และเอาหัวโขกที่หน้าต่างหลายครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอ ที่ประตู


สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก
ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จเขาก็เริ่มเตะต่อยและตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที
ถึง ตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้าม เจ้าของหมา
พร้อมกับถามว่า "คุณเตะมันทำไมกัน มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย
ถ้าไปออกทีวีต้องดังแน่"


เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า "คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ
เชอะ! รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์นี้... นะที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย"


คติสอนใจจากเรื่องนี้คือ
"เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่น
แต่ก็ยังทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ"
นี่คือ เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน


ขอบคุณที่มาจาก... http://cms.srivikorn.ac.th/svk_forum/in ... opic=260.0

17


ตึกเบิร์จ คาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
 
 
ใครที่ชื่นชอบความสูงเร่เข้ามา เพราะฉันจะพาไปเล่นของสูง แต่ไม่ใช่แบบเพลงเล่นของสูงของบิ๊กแอสหรอกนะ แต่เป็นพาไปรู้จักกับตึกที่สูงมากถึงสูงที่สุดในโลกในยุคนี้ พ.ศ.นี้ต่างหาก เพราะเมื่อเร็วๆนี้ที่ดูไบได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของตึกใหม่ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน (ไม่นับรวมหอคอยชมเมืองและหอส่งสัญญาณโทรทัศน์) ซึ่งก็คือตึก "เบิร์จ ดูไบ" และแน่นอนเมื่อมีการเปิดตัวตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ตึก "ไทเป 101" ที่เคยสูงที่สุดในโลกได้ถูกทำลายสถิติไปอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน

"เบิร์จ ดูไบ" (Burj Dubai ) หรือในปัจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "เบิร์จ คาลิฟา" (Burj Khalifa) หรือชื่อเต็มๆว่า "ชีค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAEเพื่อเป็นการให้เกียรติในฐานะผู้นำประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และผู้นำของนครรัฐอาบู ดาบี

สำหรับสิ่งก่อสร้างที่ฉันมองแล้วมีรูปทรงเรียวยาวแหลมสูงคล้ายจรวดแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาขนาดยักษ์ของเมืองดูไบ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547 ออกแบบโดยเอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับผู้ออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เบิร์จ คาลิฟา สร้างแล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ด้วยความสูง 818 เมตร สูงกว่าอาคารไทเป 101เจ้าของสถิติเดิมถึง 309 เมตร ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกใหม่ล่าสุดในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เบิร์จ คาลิฟา ยังครองสถิติอาคารที่มีจำนานชั้นมากที่สุดคือ 162 ชั้นอีกด้วย

 
 
ตึกไทเป 101ไต้หวัน  
 
นอกจากนี้ยังได้ทำลายสถิติหอคอยที่สูงที่สุดในโลกคือหอคอยซีเอ็น ที่โทรอนโท ประเทศแคนาดา ซึ่งมีความสูง 553.3 เมตร และแซงหน้าสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมา นั่นคือ เสาอากาศโทรทัศน์ KVLY-TV Mast ที่สหรัฐอเมริกาด้วย และเป็นแชมป์สถิติตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกนับถึงชั้นหลังคา โดยสูงถึง 546 เมตร จากเจ้าของสถิติเดิมคืออาคารไทเป 101 ซึ่งสูง 449.2 เมตร อีกทั้งยังได้ครองสถิติปั๊มคอนกรีตทางดิ่งที่สูงที่สุดในโลกสำหรับการก่อสร้างอาคาร ซึ่งสูงถึง 512.1 เมตร โค้นแชม์อาคารไทเป 101 ที่เคยสูง 439.2 เมตร และยังครองสถิติปล่องลิฟต์ที่ยาวที่สุดในโลกคือ 514 เมตร อีกด้วย

แน่นอนว่าตึกที่สูงรองลงมาก็คือ "ไทเป 101" แห่งไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2543 แล้วเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2547 ไทเป 10เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยีลดอันตรายจากแรงลมอันทันสมัยตามหลักวิทยาศาสตร์ กับการตกแต่งด้วยรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านทุกปล้องเพื่อขับไล่ภูติผีปิศาจ ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์จากคำบอกเล่าของซินแส

 
 
เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์(สูง)สูงลำดับที่ 3 ตั้งคู่กับตึกจินเหมาทาวเวอร์(ต่ำ)ที่สูงลำดับที่ 10 ของโลก
 
 
ตึกระฟ้าสูงอันดับ 3 ของโลก คือ "เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ตั้งอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตึกแห่งนี้สูง 492 เมตร ประกอบด้วยชั้น 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น สร้างในปี พ.ศ.2540-2551 ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง

 
 
ตึกอินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์ ฮ่องกง
 
 
ลำดับ 4 เป็นตึก "อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง มี 118 ชั้น สูง 484 เมตร ก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ.2550-2553โดยที่ตั้งของตึกนี้เรียกว่า ยูนิออนสแควร์เฟส 7 ส่วนชื่ออินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์นั้น ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2548

 
 
ตึกแฝดเปโตรนาส ครองอันดับที่ 5 และ6 ร่วม
 
 
สำหรับตึกสูงลำดับที่ 5 และ 6 คือตึก"เปโตรนาส" ที่มีความสูง 452 เมตร จำนวน88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นอาคารแฝดมี 2หอคอย ได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหล็กที่ห่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามีสะพานเชื่อมลอยฟ้า (Sky Bridge) ในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวิวทิวทัศในมุมสูงสุดหวาดเสียวได้ฟรี วันละประมาณ 1,000คน โดยจะต้องมารับตั๋วในตอนเช้าก่อนขึ้นชมในแต่ละรอบ และเนื่องจากอาคารแห่งนี้เป็นตึกแฝดมี 2 หอคอย จึงครองอันดับที่ 5 และ 6 ร่วมกัน อีกทั้งยังครองอันดับตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

 
 
หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ตึกระฟ้าที่สูงเป็นลำดับที่ 7 ของโลก
 
 
ตึกสูงอันดับ 7คือตึก "หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" มีความสูง 450 เมตร 89 ชั้น ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2551และกำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา ตึกหลังนี้จะมีดาดฟ้าชมวิวบนชั้นที่ 72 ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 287 เมตร สามารถมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองหนานกิงและแม่น้ำแยงซี ทะเลสาบสองแห่ง และภูเขาหนิงเจิงได้เป็นอย่างดี

 
 
ตึกวิลลิสทาวเวอร์ ในอเมริกา สูงเป็นลำดับที่ 8ของโลก
 
 
ตึกสูงอันดับ 8 ได้แก่"วิลลิสทาวเวอร์"หรือมีชื่อเดิมที่คุ้นหูว่า"เซียรส์ทาวเวอร์"ตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา สร้างในปี พ.ศ.2513 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2517 มีความสูง 442 เมตร และมีจำนวนชั้นทั้งสิ้น 108 ชั้น เคยครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดของโลกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2518 จนถึงปีพ.ศ. 2548 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับตึกแฝดเปโตรนาสของมาเลเซีย

 
 
ตึกกว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์ ตึกที่สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก  
 
ลำดับที่ 9 ได้แก่ “กว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์”ตั้งอยู่ที่เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตึกระฟ้าขนาด 103 ชั้น สูง 440.2 เมตร ตึกได้เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2548 และสร้างถึงจุดสูงสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และมีการเปิดตัวในปี พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา

ส่วนตึกสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ได้แก่ "จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีความสูง 421 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 มีจำนวนชั้นทั้งหมด 88 ชั้น ซึ่งคนจีนถือว่าเลข 8 เป็นเลขดีเลขนำโชค รูปแบบการก่อสร้างอาคารแห่งนี้เหมือนกับเจดีย์โบราณของจีน จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้สูงสุดคือโรงแรมเซี่ยงไฮ้แกรนด์ไฮแอท ในชั้นที่ 53-87 และชั้นที่ 88 จะไม่ใช่พื้นที่ของโรงแรม แต่เป็นส่วนที่เรียกว่า สกายวอล์ค เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นเพื่อดูวิวมุมสูงได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว

เมื่อรู้จักกับ 10 อันดับตึกระฟ้าที่สูงที่สุดของโลกปัจจุบันนี้แล้ว ใครที่อยากจะท้าทายความสูงก็สามารถเดินทางไปพิชิตกันได้ ส่วนใครที่ยังกล้าๆกลัวๆก็ลองไปชิมลางกันก่อนได้ที่ "ใบหยก 2 ทาวเวอร์" มหานครกรุงเทพฯ ประเทศไทยของเราได้ ซึ่งตึกใบหยก 2 แห่งนี้สูงเป็นลำดับที่ 47ของโลก ด้วยความสูง 304 เมตร จำนวน 88 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2540 ในชั้นที่ 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมวิว โดยที่ชั้น 84 เป็นดาดฟ้าหมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 10.30 ถึง 22.00 น.

แต่ในปี 2553 นี้ตึกใบหยก 2 ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอาจจะถูกทำลายสถิติ โดยตึก "โอเชี่ยนวัน" (Ocean 1 Tower) คอนโดใจกลางพัทยา ซึ่งปัจจุบันกำลังก่อสร้างมีความสูง91 ชั้น 327 เมตร สูงกว่าตึกใบหยก 2 ถึง 23 เมตร คาดว่าจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยและเป็นที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



ขอบคุณที่มา : ข้อมูลลำดับ 10 ตึกสูงที่สุดในโลกอ้างอิงจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
                   และโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 

18
1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )




Earth rotate โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ จะเป็นหนึ่งวัน แต่ตัวเลขที่เราคุ้นเคยกันว่า 1 วันมี 24 ชั่วโมง นั้นเป็นเพียงตัวเลขประมาณเท่านั้น เพื่อให้จดจำง่าย

รายละเอียด โลกหมุนรอบตัวเอง


•โลกหมุนรอบตัวเอง 86,164.098 903 691 วินาที ( 23 ชั่วโมง 56 นาที 4.098 903 691 วินาที ) จะละเอียดไปไหนกัน
•ทุกวันนี้โลกหมุนรอบตัวเองช้าลงทุกวันทุกวัน โดยทุกวันนี้โลกจะหนุนรอบตัวเองช้าลง 2.2 วินาที ทุก 1 แสนปี
•ด้วยตัวเลข 2.2 วินาที ฉะนั้นเมื่อยุคเริ่มแรกที่โลกได้ถือกำเนิดขึ้นมาในจักรวาล โลกหมุนรอบตัวเองด้วยเวลาเพียง 12 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าปัจจุบันถึง 2 เท่า
•โดยสาเหตุที่โลกหมุนช้าลงนั้นเป็นผล มาจากแรงเสียดทานที่โลกกระทำกับมหาสมุทร เมื่อเกิดน้ำขึ้นน้ำลง

รูป โลกหมุนรอบตัวเอง





อาจจะสงสัยว่ารูปพวกนี้เกี่ยวอะไรกับ โลกหมุนรอบตัวเอง รูปพวกนี้ใช้อธิบายว่าโลกหมุนรอบตัวเองได้ เนื่องจากเราจะไม่รู้สึกว่าโลกหมุน แต่กล้องถ่ายรูปที่ตั้งความเร็วซัทเตอร์ไว้ต่ำมาก จะสามารถเก็บภาพดวงดาวเป็นลักษณะเส้นโค้งหมุน




การที่เห็นดาวเป็นลักษณะเส้นโค้งหมุน นั้นเป็นผลมาจากการที่โลกของเราหมุน


ข้อมูลอ้างอิง

•http://pages.prodigy.com/suna/earth.htm
•http://www.newscientist.com/gallery/dn17858reclaiming-the-night-sky/3
•http://slideshows.nyppa.org/2006.php?c=2006editorialillustration&i=1
•http://earthobservatory.nasa.gov/Features/OrbitsHistory/

19

นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ สิ่งมีชีวิต คล้าย กระสือ ( Ghost of Intestine )




Sea cucumber ปลิงทะเล คือ สัตว์ประหลาดตัวนี้ ซึ่งรูปร่างมันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ ผีกระสือของไทยเราเสียเหลือเกิน ที่มีแต่หัว กับ ไส้

รายละเอียดเกี่ยวกับ ปลิงกระสือ ตัวนี้



•ปลิงทะเลตัวนี้มี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Enypniastes

•ต่อไปนี้จะขอเรียก ปลิงตัวนี้ว่า ปลิงกระสือ wowboom

•ลักษณะร่างกาย มีลำตัวโปร่งใส สีชมพู มีหนวดสั้นๆ

•ปลิงกระสือ พึ่งถูกค้นพบเมื่อเร็วๆนี้ ที่ อ่าวเม็กซิโก (Gulf of Mexico) ที่ระดับน้ำลึก 2.74 กิโลเมตร

•บริเวณผิวหนังของพวกมันมี เซลเรืองแสงที่ใช้ป้องกัน การถูกล่า จากนักล่า

•พวมมันเป็นปลิงทะเล จำนวนไม่กี่สายพันธุ์ที่ใช้การว่ายน้ำเพื่อเคลื่อนที่ แทนการคลานอยู่บนพื้นมหาสมุทร พวมมันอาศัยอยู่ที่ระดับความสูงจากท้องมหาสมุทรถึง 30 เมตร

•ปลิงกระสือใช้การ หุบ และ อ้า หนวดบริเวณส่วนหัวไปมาในการว่ายน้ำ

เห็นว่าแปลกดี...จึงนำมาให้ชมกันนะครับ...


ข้อมูลอ้างอิง ปลิงกระสือ
•http://news.discovery.com/animals/sea-cucumber-deep-ocean.html
•http://www.whoi.edu/page.do?pid=10897&i=2645&x=194

20
ได้ search เจอภาพนี้จากทางอินเตอร์เน็ท และเห็นว่าแปลกดี...
จึงได้นำรูปมาให้ชมกัน..โดยที่ไม่ได้เช็คที่มาที่ไปของข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน
เห็นเขาระบุว่าของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม เราก็เชื่อตามนั้นเลย...ถ้าไม่ใช่ของหลวงพ่อเต๋
ต้องขอกราบ...ขออภัย...ที่ผิดพลาดในครั้งนี้ :054:
กราบขอประทานอภัย...หลวงพ่อเต๋และหลวงพ่อแย้มด้วยครับ :054:
เจตนาลงรูปให้ชมเฉยๆ...ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆแอบแฝง

กราบขอบพระคุณครับ :054:

21
                             

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำมีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลยมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดีใครมาหยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากชีวิตการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น "ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ "
                             

วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น "รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง" เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า "พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ" ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป



เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า "ลังอะไร" คุณลุงตอบว่า "เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด" ปรากฏว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า

                                                                    

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

ได้ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่า เป็นเพียงนิทานเพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ....พึ่งพาใครไหนเรา..จะดีเท่าพึ่งพาตัวเราเอง


:ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ คุณพจนี คงคาลัย
http://www.everykid.com/

22
สิ่งมหัศจรรย์ สัตว์โลก จอมปลวก ( Termite mound )


 


Termite mound หรือ จอมปลวก นับว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ สัตว์โลก เนื่องจากปลวก เป็นแมลงสังคม โดยมีศูนย์รวมทั้งหมดอยู่ที่นางพญาปลวก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปลวกทหาร ถึง 30 เท่า ทั้งยังสามารถวางไข่ถึง 30 ฟองต่อนาที และบรรดาแมลงตัวเล็กที่มีขนาดเพียง 1 เซ็นติเมตรเหล่านี้ เป็นเจ้าของสุดยอดสิ่งก่อสร้าง ที่เรียกว่า จอมปลวก

•ใช้วัสดุในการก่อสร้างจอมปลวกที่มีน้ำหนักรวมกว่า 100 ตัน
•จอมปลวกที่มีความสูงกว่า 12.8 เมตร ( หรือประมาณ ตึก 4 ชั้น) พบในอัฟริกา
•จอมปลวกที่มีความกว้างกว่า 6.1 เมตร พบใน Australia
•จอมปลวกสามารถลึกลงไปในดินได้มากถึง 67.6 เมตร ( ก็ประมาณตึกที่มีชั้นใต้ดิน 22 ชั้น )


 

จอมปลวกนี้อยู่ที่ Litchfield National Park , รูปขวาที่ไหนไม่รู้


เรื่องจริง ไม่น่าจริง เกี่ยวกับ ปลวก

•ก๊าซมีิเทนที่ถูกปล่อย ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศของโลกนั้น 11% ปลวกเป็นผู้ปล่อยออกมาในขั้นตอนขบวนการย่อยของปลวก ซึ่งถือเป็นแหล่งมลพิษ อันดับสอง ในการปล่อยก๊าซมีเทน รอง จากแหล่งน้ำขัง ที่มีซากพืช และซากสัตว์ ข้อมูลจาก http://itech.dickinson.edu/chemistry/?cat=67
•จอมปลวก สร้างจาก ดิน โคลน เซลลูโลสที่ได้จากการย่อยไม้ น้ำลายปลวก และมูลของปลวก

เห็นว่าแปลกดี...ใหญ่กว่าปลวกของบ้านเรา...และมีรูปร่างแปลกๆ...จึงนำมาให้ชมกันนะครับ


ขอบคุณที่มา...http://www.fwdder.com

23
ต้นไม้แปลก...แปลก...จากทุกมุมโลก...














เห็นว่าแปลกดี...จึงได้นำรูปภาพมาให้ชมครับ...



ขอบคุณที่มา:http://www.fwdder.com

24


ปริศนาธรรม: ทำไมเห้งเจียไม่สามารถหนีจากฝ่ามือพระยูไลได้?

ในตำนานไซอิ๋ว เราคงจำได้ว่า เห้งเจียมีฤทธิ์มาก เห้งเจียทั้งเหยียบเมฆา ห้าวหาญ ตีลังกาฝุ่นตลบท่องเที่ยวไปทั่วจักรวาลและใน 3 ภพ อย่างไรก็ตาม ด้วยฤทธิ์ของเห้งเจียมีมาก กลับเป็นผลเสีย ทำให้เห้งเจียไม่อยู่ในโอวาท คึกคะนอง ซุกซน และทะนงในตนเองมากเกินไป ใครๆก็เอาไม่อยู่
เนื่องจากเห้งเจียรู้ว่า เทพในสวรรค์ต่างสู้ฤทธิ์ของตนเองไม่ได้ เห้งเจียเลยชอบอาละวาดในสวรรค์ชั้นต่างๆ



วันหนึ่ง เห้งเจียก็เจอดี ไปรับคำท้าของพระยูไล ที่ท้าว่าถึงเห้งเจียจะมีฤทธิ์มากเพียงใด ก็ไม่สามารถเหาะไปพ้นฝ่ามือของตถาคต(พระยูไล)หรอก หลังจากเห้งเจียรับคำท้าของพระยูไลแล้ว เห้งเจียก็กระโดดหนีร้อยลี้พันลี้หมื่นลี้ จนคิดว่าตนเองหนีอยู่จากฝ่ามือพระยูไลแล้ว แต่จริงๆเห้งเจียกลับยังอยู่บนฝ่ามือพระยูไล

สุดท้ายพระยูไล ( ตถาคต )ก็ดับความอหังการของเห้งเจีย ทับเห้งเจียด้วยฝ่ามือของพระองค์ ที่ในที่สุดกลับกลายเป็นเขาห้ายอด


วิเคราะห์ปริศนาธรรมเรื่องนี้


สรรพสิ่งที่อยู่ใน 3 ภพ ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น โดยเฉพาะขันธ์ 5 มันเป็นมายา เป็นทิฏฐิ หรือเป็นอุปทานที่ไม่เป็นจริง แต่เราไปคิดว่ามันเป็นจริงเอง ด้วยเหตุนี้จิตที่อยู่ในขันธ์ 5 ของเห้งเจียก็ยังอยู่ในภพทั้ง 3 จึงไม่สามารถออกพ้นมือของพระยูไล ที่เป็นธรรมกาย(อายตนะนิพพาน) พระยูไลท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเป็นสัพพัญญู ท่านอยู่พ้นหรืออยู่เหนือภพทั้ง 3


“ขันธุ์ห้าเป็นของหนักเด้อ”



ขอบคุณข้อมูล...http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3786

25



การ์ตูนสั้นเรื่องนี้สื่อธรรมะว่าอะไร
ใครพอจะอธิบายได้บ้างครับผม ?

ขอบคุณที่มาจาก : budpage.com



26
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้



Sailing Stones เป็น 1 ใน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ยังคงเป็น ปริศนา ที่เกิดขึ้นที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศ สหรัฐอเมริกา ส่งที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี้จะเกิดขึ้นทุก 2 - 3 ปี ครั้ง และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3 - 4 ปีในการเคลื่อนที่

ปรากฏการณ์ ดินเดินได้ เกิดจากมนุษญ์ หรือ สัตว์ หรือไม่

จาก ลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของหินนั้นบ่งบอกได้ว่าหินก้อนนั้นต้อง เคลื่อนที่ในช่วงที่พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้นถูกปกคลุมด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์จะต้องมีร่องรอยของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดิน เหนียวด้วย แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอยจากคนหรือสัตว์ที่จะช่วยให้หิน เคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น





เห็นว่าแปลกดี...เลยนำมาให้ชมกันนะครับ


ขอบคุณข้อมูล...http://wowboom.blogspot.com/

27
คาถาอาคม / 3 คาถา...ของคนทำงาน...
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2553, 11:29:06 »
1 . คาถาคนทำงาน
ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ...

อาจจะมี ... เซ็งเป็ดไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์.



2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย.



3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด.


ขอบคุณข้อมูลจาก...http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=83330

28
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมฆจานบิน


Lenticular เป็นภาษาลาติน มีความหมายว่า รูปทรง เลนส์ (Lens - Shaped ) เมฆรูปทรงเลนส์ ( Lenticular cloud ) เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ แสนประหลาด และสวยงาม มันช่างดูคล้าย จานบิน ไม่มีผลิต และหากปรากฏการณ์ เมฆรูปทรงเลนส์ ก็ขึ้นในสมัยก่อน รูปภาพวัตถุบินลึกลับ ต่างที่มีการจารึกไว้ก็อาดเป็น ปรากฏการณ์นี้ก็เป็นไปได้

สาเหตุของการเกิด เมฆจานบิน

เมื่ออากาศชื้นอิ่มตัวพัดผ่านยอดเขาสูง หรือบริเวณภูเขา จะทำให้เกิดการไหลของกระแสอากาศชื้น แบบลูกคลื่นขนาดใหญ่ หลายระลอกขึ้น เมื่ออากาศชื้นถูกพัดไหลขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ตามระลอกคลื่นอุณหภูมิจะค่อยลดลงเรื่อยจนถึงจุดที่ทำให้ อากาศชื้นเริ่มกลั่นตัว ทำให้เกิด ปรากฏการณ์ เมฆจานบิน เมื่อเมฆไหลลงมาต่ำเรื่อยๆอุณหภูมิจะสูงขึ้น เมฆจะค่อยๆระเหยกับไปอยู่ในสภาพของอากาศชื้นอีกครั้ง


รูปทฤษฎี การเกิดปรากฏการณ์ เมฆจานบิน โดยความสูงที่จะเกิดปรากฏการณ์นี้จะอยู่ที่ระหว่าง 6,000 - 12,000 เมตร







เห็นว่าแปลกดี...เลยนำมาให้ชมกันนะครับ


ขอบคุณข้อมูล...http://wowboom.blogspot.com/

29

























ขอบคุณที่มาจาก...http://www.palungdham.com/t860.html#anfang

30
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทะเลโฟม ( Whipping Cream Ocean )



Whipping Cream Ocean เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งทางเหนือของ เมืองซิดนี่ย์ ( Sydney ) ที่ยัมบา ( Yamba ) ของ นิวเซาธ์เวลส์ ( New South Wales ) และได้แปรเปลี่ยนชายฝั่งเป็น คาปูชิโนใน ( Cappuccino Coast ) ฟองโฟนได้ กลืนกินทั้งหาด และอาคารสิ่งก่อสร้างไปกว่าครึ่งหลังที่ก่อสร้างอยู่ริมชายหาด ไม่เว้นแม้แต่ศูนย์หน่วยกู้ภัยชายหาดท้องถิ่น ฟองโฟนนี้นกินอาณาบริเวณออกไป กว่า 30 ไมล์จากชายฝั่ง
โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงสาเหตุของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี้ไว้ว่าเกิดจาก ความบังเอิญหลายอย่างที่ลงตัว ฟองโฟมเหล่านี้ไม่ได้เกิดสิ่ง สวยงาม แต่มันเกิดจาก สิ่งสกปรกต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น ทำให้ทะเลสกปรก , เกิดจากเกลือ , เกิดจากปฎิกริยาทางเคมี , การเน่าเปื่อยของซากพืช ซากสัตว์ในทะเล ปลา ที่เกิดจากน้ำเสียที่มนุษย์ไ้ด้สร้างขึ้น เมื่อทุกอย่างมารวมตัวกันด้วยส่วนผสมที่ลงตัว และมีคลื่นที่เคลื่อนตัวแล้วม้วนตัวลงก็จะทำให้เกิดฟอง และเมื่อคลื่นได้เคลื่อนมากระทบฝั่งจะคลายฟอง ออกมาสะสมอยู่ที่ริมชายหาดสะสมตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ


เหล่าเด็กต่างสนุกสนาน ต่ิอปรากฏการณ์ประหลาดนี้ และลงไปเล่นกันทั้งดำผลุดดำว่าย



ไม่เว้นแม้แต่วัยรุ่นสาวกลุ่มนี้ต่างก็แต่งชุดว่ายน้ำลงมาเล่นฟองโฟนกัน อย่างสนุกสนาน แต่ถ้ารู้ถึงสาเหตุของโฟมเหล่านี้แล้ว ก็ไม่รู้จะยังสนุกกันหรือไม่

เห็นว่าแปลกดี...เลยนำมาให้ชมกันนะครับ...สวัสดีครับ...



ขอบคุณที่มา...http://wowboom.blogspot.com/

31
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เสาเพลิงหมุน น่ากลัวที่สุด


Fire whirl เสาเพลิงหมุน หรือมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการอื่นอีกเช่น ไฟปีศาจ ( Fire devil ) หรือ โทร์นาโดไฟ ( Fire tornado ) เป็น หนึ่งใน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ยากยิ่งที่จะเกิดขึ้น และพบเห็นได้ เนื่องจากจะต้องอยู่ในสภาวะเฉพาะ ( คือจะต้องมีั อุณหภูมิอากาศที่เหมาะสม และกระแสลมที่เหมาะสม เท่านั้น ) และเมื่อทุกอย่างเหมาะสม จะเกิด เสาเพลิงหมุนวน ในแนวดิ่ง ขึ้น

เหตุการณ์ เสาเพลิงหมุน ในอดีต สุดสพึง

1923 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ในคันโต ( Great Kanto Earthquake ) ขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเสาเพลิงหมุน ขนาดใหญ่ขึ้นโดยกินเวลา 15 นาทีและในเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเพลิงไหม้ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 38,000 คน และทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ไปทั้งเมือง ทำให้เกิดรูปภาพ เมืองที่เหลือแต่เถ้าถ่านจาก มหาเพลิงไหม้ หลังจากเหตุการณ์ Great Kanto Earthquake








ขอบคุณที่มา : http://wowboom.blogspot.com/

32
เนื่องด้วยทุกวันนี้ความหมายของเรื่อง อัตตา-อนัตตา ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยมีหลายความหมาย และมีการใช้คำแตกต่างกัน คำว่า "อนัตตา" บางท่าน บางแห่ง ใช้คำว่า "ไม่มีตัวตน" บางท่าน บางแห่ง ใช้คำว่า "ไม่ใช่ตัวตน" ซึ่งคำว่า "ไม่มี" กับ "ไม่ใช่" นั้น ในภาษาไทยความหมายแตกต่างกัน จึงทำให้ผู้สนใจหรือผู้ปฏิบัติบางท่านเกิดความสับสน เกิดความสงสัยขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วจะใช้อย่างไร ถึงจะถูกต้องกันแน่...

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงได้นำนิทานเรื่องนี้มาให้อ่าน เพื่อช่วยอธิบายเสริมความเข้าใจอย่างง่ายๆ ในประเด็นเรื่องการใช้คำว่า "ไม่มี" กับ "ไม่ใช่" อย่างไหน "อนัตตา" กันแน่ ดังต่อไปนี้


ณ วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา มีอาจารย์กับลูกศิษย์กำลังนั่งอยู่ในศาลาริมสระน้ำ ชายผู้เป็นอาจารย์อายุราว ๘๐ ปีเห็นจะได้ เขามีรูปร่างผอม ศรีษะโล้น สีหน้าผ่องใส มีหนวดเคราสีขาวยาวมากแล้ว ส่วนผู้เป็นลูกศิษย์ ดูอายุยังน้อยประมาณ ๒๐ ปี นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ผู้เป็นอาจารย์ ที่กำลังนั่งหลับตาในกริยาสงบนิ่ง....

เพียงไม่นานนัก ได้มีคนแบกฝืนเดินผ่านมา บทสนทนาของเขาทั้งสองจึงได้เริ่มต้นขึ้น...

ลูกศิษย์ : "คนที่เดินอยู่นี้อาจารย์ว่าไม่มีอยู่หรือ?"
อาจารย์ : "คนมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี"
ลูกศิษย์ : "คนที่เดินอยู่นี้อาจารย์ว่าไม่ใช่คนหรือ?"
อาจารย์ : "ใช่คน ไม่ได้ไม่ใช่"
ลูกศิษย์ : "แล้วพระพุทธองค์ทรงสอน เรื่อง "อนัตตา" ในบุคคลอย่างไรครับ ในเมื่อคนก็มีอยู่ และก็ใช่คน?"

หลังจากลูกศิษย์ถามคำถามนี้ อาจารย์ได้ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับลูกศิษย์ว่า...

อาจารย์ : "คนเที่ยงหรือไม่เที่ยง?"
ลูกศิษย์ : "ไม่เที่ยงครับ"
อาจารย์ : "เมื่อคนไม่เที่ยง คนจึงเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า?"
ลูกศิษย์ : "เป็นทุกข์ครับ"
อาจารย์ : "เมื่อคนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันต้องเปลี่ยนแปรไป แก่ไป ตายไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเห็นว่าเป็นคนนั้น เป็นของคนนั้น เป็นอัตตาตัวตนของคนนั้น"

ลูกศิษย์ได้ยินอาจารย์ว่าดังนี้ จึงนิ่งลงครู่หนึ่ง เพื่อประมวลสิ่งที่อาจารย์พูดมา แล้วจึงตอบออกไปว่า...

ลูกศิษย์ : "ไม่ควรครับ"
อาจารย์ : "นั่นแหละ โดยสมมุติกันคนมีอยู่ไม่ใช่ไม่มี ใช่คนอยู่ไม่ได้ไม่ใช่ แต่ว่าโดยแท้จริงแล้วคนประกอบขึ้นมาจากอวัยวะน้อยใหญ่ ประกอบขึ้นมาจากธาตุ รูปธรรม-นามธรรมต่างๆ แต่ปัจจัยต่างๆ ที่รวมกันแล้วสมมุติเรียกว่าเป็น "คน" นี้เองที่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไป ตายไปเป็นธรรมดา ดังนั้น คนจึงเป็น "อนัตตา" อย่างนี้ เรียกว่า ไม่มีคน และ ไม่ใช่คนก็ได้"
ลูกศิษย์ : "อืม...ผมเข้าใจแล้วครับท่านอาจารย์ ที่พูดว่าใช่คน มีคน ก็คือ พูดไปอย่างสมมุติ ที่เขาพูดกัน แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ไปเข้าใจอย่างนั้น เพราะแท้จริงจะหาคน มีคน หรือใช่คน แม้ในปัจจุบันก็หาไม่ได้ใช่ไหมครับ?"
อาจารย์ : "ใช่แล้ว...นั่นแหละ เมื่อชาวโลกเขาพูดกันอย่างไร เราก็พูดกันไปอย่างนั้น แต่ไม่ยึดถือ เพียรหมั่นเห็นถึงความเป็นจริงอันซ่อนเร้นอยู่ภายใน เมื่อรู้ เมื่อเห็นตามเป็นจริงอยู่อย่างนี้ ย่อมเข้าถึงอนัตตา ย่อมหายติด แล้วจะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด"
ลูกศิษย์ : "สาธุๆ ผมเข้าใจในธรรมแล้วครับท่านอาจารย์"

     +++++จบ++++++


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การใช้คำว่า "ไม่มี" หรือใช้คำว่า "ไม่ใช่" ในเรื่อง "อนัตตา" นั้น สามารถจะใช้คำไหนก็ได้ มันไม่ได้สำคัญ เพราะสองคำนี้เป็นเพียงบัญญัติ ที่ตั้งขึ้นมา สิ่งที่สำคัญต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้คำเหล่านั้นต่างหากว่ามีความเข้าใจในความหมายที่แท้จริง เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงของอนัตตาว่าอย่างไร ซึ่งถ้าหากผู้ใช้ยังเห็นยึดถือว่าใช่ตัวใช่ตน เป็นเรา เป็นเขาอยู่ เขาจะใช้คำไหนก็ตาม ก็ชื่อว่ากล่าวยังไม่ถูกต้องในเรื่องของอนัตตาไปได้ สิ่งที่เขากล่าวเป็นเพียงของปลอม แต่ตรงกันข้ามหากผู้ใช้ไม่ได้มีความเห็นและไม่ได้มีความยึดถือว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขาอยู่ จะกล่าวคำใดๆ ออกไป จะ "ไม่มี" ก็ดี จะ "ไม่ใช่" ก็ดี ชื่อว่ากล่าวได้ถูกต้อง สิ่งที่เขากล่าวเป็นของจริง คนที่เป็นเช่นนี้แล้วแม้จะกล่าวว่า "เรา" ว่า "เขา" ว่า "ของเรา" ว่า "ของเขา" ก็ดี ก็หากล่าวผิดไปจากหลักอนัตตาไม่ เพราะเขากล่าวไปตามโลกเขาสมมุติกันขึ้น กล่าวแต่เพียงเรียกใช้ แต่ไม่ยืดถือ...
ขอบคุณที่มาของข้อมูลครับ : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =5&gblog=2

33
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมฆ สวยที่สุดในโลก



Mammatus Clouds เมฆ แมมมะทูส หรือ เมฆตะปุ่มตะปํ่า (Bumpy clouds) เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่จะทำให้เมฆเกิด เป็นเซล เป็นปุ่มเล็กปุ่มน้อย คล้ายถุงห้อยลงมาจากท้องฟ้า โดยคำว่า "mammatus" มาจากภาษาลาติน mamma แปลว่าเต้านม ซี่งมาจากการที่ก้อนเมฆมีลักษณะคล้าย เต้านมของวัว โดยแต่ละปุ่มมีขนาดใหญ่ 1 - 3 กิโลเมตร ยืนยาวลงมาประมาณ 0.5 กิโลเมตร เรียงรายยาวหลายร้อยกิโลเมตร ปรากฏการณ์ นี้อาดเกิดขึ้น 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ปรากฏการณ์ เมฆ แมมมะทูส มีส่วนเชื่อมโยงกับ การเกิดพายุใหญ่ หรือก่อนเกิดพายุ ทอร์นาโด







เห็นว่าแปลกดี...เลยนำมาให้ชมกันนะครับ...ขอบคุณครับ


ขอบคุณที่มาครับ: http://wowboom.blogspot.com/

34
ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตาของโลก



ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง



Ice Flowers เป็นอีก 1 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สร้างความตกตลึงให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง และเกิดมีเกร็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็น ช่อดอกไม้สีขาง กลีบบางผุดขึ้นมาเต็มพื้นน้ำแข็ง

สาเหตุ ของการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง

* ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง เป็นหนึ่งในรูปแบบของแผ่นน้ำแข็ง ที่เพึ่งก่อตัวขึ้นใหม่
* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ( Saturated Water Vapors ) ที่แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง
* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว สัมผัสกับอากาศเย็นจัดด้านบนก็จะเริ่มก่อตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็ง
* ส่วนเกลือที่อยู่บนผิวของเกร็ดน้ำแข็งก็จะเกิดการตกผลึก เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบนผิวของเกร็ดน้ำแข็ง
* ผลึกเกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนแกนให้ไอน้ำอิ่มตัว ที่เหลือเกาะเป็นเกร็ดน้ำแข็งใหม่ขึ้นสลับไปมาจนซ้อนทับกันจนคล้าย กลีบดอกไม้

เห็นว่าแปลกดี...เลยนำมาให้ชมกันนะครับ :074:
ขอบคุณข้อมูล: http://wowboom.blogspot.com/

35



“เป็นอะไรก็ไม่สู้เป็นกูเอง”


กบ ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในสระใกล้กุฏิของพระในวัดแห่งหนึ่ง ทุกเช้ามันจะโดดออกจากสระขึ้นไปหมอบอยู่ริมทางเดิน มันเห็นพระเดินออกไปบิณฑบาตและเห็นโลกกว้างทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งมันเห็นพระออกไปบิณฑบาตไม่นานก็กลับวัดพร้อมกับมีข้าวเต็ม บาตรมีกับข้าวและขนมเต็มย่าม มันจึงคิดว่า
“เออ เป็นพระนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ดีกว่าเราเป็นไหนๆ แค่เดินไปชั่วโมงเดียวก็ได้อาหารมากมาย” >>
หลักจากพระฉันอาหารเสร็จแล้ว ท่านก็นำเศษข้าวมาโปรยให้ฝูงไก่กิน กบเห็นเข้าก็คิดอยากเป็นไก่ขึ้นมา >>
“อ๊ะ เป็นไก่นี่ดีกว่าเป็นพระอีก ไม่ต้องเดินไปหากินไกล ๆ ถึงเวลาพระก็มาโปรยข้าวให้กิน สบายดีจริงๆ” >>
ทันใดนั้นมีหมาวัดตัวหนึ่งเห็นไก่กำลังจิกอาหารกินอย่างเพลิดเพลินจึงวิ่งมาไล่ไก่จนแตกกระเจิงไป กบเห็นเข้าก็อยากจะเป็นหมาขึ้นมาอีก >>
“เป็นหมานี่ก็ไม่เบา เป็นฮีโร่ไล่ไก่เล่นสนุกดี ทำอย่างไรเราจึงได้เป็นหมาได้หนอ” >>
ขณะกำลังคิดเพลิน ๆ อยู่ เด็กวัดคนหนึ่งเห็นหมาไล่ไก่เข้าก็คว้าไม้ไล่ตีหมาร้องลั่นวัดไป กบเห็นเข้าถึงกับสะดุ้งโหยง คิดว่า “โธ่เรานึกว่าเป็นหมาจะเก่ง ที่แท้ก็สู้เด็กไม่ได้ ขนาดเป็นเด็กหมายังกลัวถ้าเป็นผู้ใหญ่คงปราบอะไรได้ทั้งหมด เราน่าจะเป็นคนดีกว่า” กบคิดเตลิดไปอีก >>
หลัก จากเด็กวัดไล่ตีหมาแล้วก็มานั่งหอบอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ ขณะนั้นมีแมลงวันหลายตัวมาตอมแข้งตอมขา เด็กวัดจึงปัดแมลงวันให้วุ่นไป เมื่อสู้ไม่ไหวทนรำคาญไม่ได้ก็ลุกหนีไปพลางบ่นว่า >>
“รำคาญจริง ตอมได้ตอมดีไอ้พวกแมลงวันนี่” >>
กบได้ยินเสียงบ่นก็เลิกคิดเป็นคนทันที สู้เป็นแมลงวันไม่ได้ “หนอยเป็นคนนึกว่าจะเก่ง ที่แท้ก็แพ้แมลงวันตัวเล็กนิดเดียว เป็นแมลงวันท่าจะดีเป็นแน่” >>
กำลัง คิดเพลินอยู่นั้น แมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านหน้ามันไปพอดีมันจึงใช้ลิ้นตวัดแมลงวันตัวนั้นเข้า ปากไปด้วยสัญชาตญาณ พอได้สัมผัสแมลงวันเท่านั้น ตัณหาของกบก็สะดุดกึก มันได้ดวงตาเห็นข้อสัจธรรม ถึงกับรำพึงว่า >>
“เป็นอะไรก็ไม่สู้เป็นกูเอง”
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
อันความอยาก เช่นอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ภาษาพระเรียกว่าตัณหานั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีจุดจบ หาฝั่งไม่เจอ เพราะเป็นเรื่องของใจ ใจจึงคิดอยากเรื่อยไป นี่เป็นธรรมดา
ถ้า หากรู้ทันไม่หลงละเมอไปกับตัณหาที่เกิดขึ้นก็จะไม่เดือดร้อนอะไรมาก หากปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือใจเหนือความรู้สึกก็จะยุ่งวุ่นวายไม่เลิก อันที่จริงความอยากนั้นเกิดจากความหิวและความไม่รู้จริง คิดแต่เพียงว่าที่ตัวเองเป็นหรือที่ตัวมีนั้นไม่ดี ยังไม่สมบูรณ์แบบ สู้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ สู้มีอย่างนี้ไม่ได้
แต่ถ้ารู้ความจริงว่าไม่ว่าจะอะไรล้วนมีดีและมีเสีย ล้วน มีข้อดีข้อด้อยอยู่ในตัวทั้งสิ้น ไม่มีอะไรดีอย่างเดียวหรือเสียอย่างเดียว ก็จะผ่อนเพลาความอยากลงได้ และหากยอมรับภาวะที่ตัวเองเป็นอยู่และพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็ย่อมประจักษ์ว่าเป็นอะไรก็สู้เป็นตัวเราและเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลย


ขอบคุณที่มา...http://www.dhammajak.net

36
มาชมความสามารถของช้างไทย...กันบ้างครับ!!!  ที่สวนนงนุช พัทยา จ.ชลบุรี


พัง"หยก" ช้างไทย วัย 6 ขวบ ใช้ปลายงวงวาดภาพ "พ่อหลวง"



พลาย"ไม้เมือง" วัย 6 ขวบวาดรูปแผนที่ประเทศไทยและพลาย"ออมสิน วัย 6ขวบ เช่นกัน เขียนคำว่า
"รักแม่"และ"รักเขาพระวิหาร"
เห็นความสามารถและความน่ารักของช้าวไทยแล้ว...จึงได้นำมาให้ชมกัน...
ขอบคุณครับ

ขอบคุณภาพจาก:http://www.dailynews.co.thและhttp://www.telewizmall.com

37
บทความ บทกวี / แบ่งกันไม่ลงตัว...
« เมื่อ: 07 ม.ค. 2553, 11:20:51 »


               

 

แบ่งกันไม่ลงตัว
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระอุปนันทศากยบุตรผู้โลภมาก
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ต้นไม้ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง
ณ ที่ไม่ไกลจากนั้น มีสุนัขจิ้งจอกสองผัวเมียอาศัยอยู่ อยู่มาวันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกตัวเมียพูดกับสามีว่า
"พี่ ฉันแพ้ท้องอยากกินเนื้อสด ๆ ที่ยังมีเลือดอยู่ ที่ช่วยหามาหาให้หน่อยสิ" สุนัขสามีรับคำว่า
"น้องไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพี่จะจัดการหามาให้" จึงเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำนั้น

ขณะนั้นเองมีนาก ๒ ตัวหากินอยู่ฝั่งแม่น้ำนั้น ตัวหนึ่ง หากินอยู่ในน้ำลึก อีกตัวหนึ่งหากินตามฝั่ง
วันนั้น นากตัวหากินในน้ำลึกได้ปลาตะเพียนแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แต่ไม่สามารถนำปลาขึ้นฝั่งได้
เพราะปลาตัวใหญ่เกินไป จึงเรียกนากอีกตัวมาช่วยกันลากปลาขึ้นฝั่ง พอลากปลาขึ้นฝั่งได้แล้ว
นากทั้งสองตัวทะเลาะกันตกลงแบ่งปลากันไม่ได้ พอดีสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเดินไปพบเข้า
นากทั้งสองตัวจึงวิงวอนให้สุนัขจิ้งจอกช่วยแบ่งปลาให้หน่อย สุนัขจิ้งจอกจึงบอกว่า
"สบายมากสหายทั้งสอง เราเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน" ว่าแล้วก็แบ่งปลาออกเป็น ๓ ส่วน
พร้อมกับพูดว่า "ท่อนหางเป็นของนากผู้หากินตามฝั่ง ท่อนหัวเป็นของนากผู้หากินทางน้ำลึกนะ
ส่วนท่อนกลางเป็นของเราผู้พิพากษา" กล่าวจบก็คาบปลาท่อนกลางเดินจากไป

นากทั้งสองเห็นเช่นนั้น และก็ได้แต่นั่งซึมเซาพร้อมกับบ่นว่า "ถ้าพวกเราไม่ทะเลาะกัน
ท่อนกลางก็จะเป็นอาหารของเรากินได้อีกหลายวัน เพราะทะเลาะกันท่อนกลางจึงตกเป็นอาหารของสุนัขจิ้งจอกไป"

ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกก็คาบปลาท่อนกลางไปให้เมียได้กินตามความต้องการ เมียเห็นก็ดีใจพร้อมกับถามว่า
"พี่ไปได้มาอย่างไร" สุนัขจิ้งจอกจึงตอบด้วยความเย่อหยิ่งว่า "น้องรัก คนทั้งหลายผ่ายผอมเพราะทะเลาะกัน
สูญเสียทรัพย์ก็เพราะทะเลาะกัน นาก ๒ ตัวก็เพราะทะเลาะกัน จึงทำให้ไม่ได้กินปลาท่อน
กลางน้องรักเจ้าจงกินปลาสดเถิด" รุกขเทวดาผู้เห็นเหตุการณ์นั่นแล้วได้แต่ให้เสียงสาธุการ

พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานมาสาธกแล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
"ในมนุษย์ ขอพิพาทกันเกิดขึ้น ณ ที่ใด พวกเขาจะวิ่งหาผู้พิพากษาเพราะผู้พิพากษา
เป็นผู้แนะนำพวกเขา ฝ่ายพวกเขาก็จะเสียทรัพย์ ณ ที่นั้น เหมือนนาก ๒ ตัวนั้นเอง แต่คลังหลวงเจริญขึ้น"




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

ญาติพี่น้องเพราะทะเละกันเรื่องมรดก จึงเป็นเหตุให้เสียทรัพย์เพื่อจ้างทนายให้เป็นผู้แบ่งปันให้ ดังนั้น จึงไม่ควรทะเลาะกัน เพราะจะนำความสูญเสียทรัพย์มาให้

ขอบคุณที่มา :หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย) : เว็บไซด์ธรรมะไทย

38
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / สติแตก...
« เมื่อ: 07 ม.ค. 2553, 11:09:03 »
การไปปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน๔ คือ การพิจารณากาย เวทนา
จิตธรรม ขณะนั่งท่านให้กำหนดพองหนอ -ยุบหนอ เดินให้กำหนดขวาย่างหนอ-ซ้ายย่างหนอ
และต้องกำหนดสติตามฐานต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ปวดหนอ เมื่อยหนอ คิดหนอ
ได้ยินหนอ เห็นหนอ เป็นต้น จากนั้นเมื่อครบ ๖ ชั่วโมง ก็จะต้องสอบอารมณ์กับพระวิปัสสนาจารย์
โดย รายงานสภาวะจิตที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ
 หญิงสาว/ ทั้งช่วงนั่งและเดิน หนูกำหนดง่วงหนอ ปวดหนอ
และฟุ้งหนอ เกือบจะทั้งวันเลยค่ะ ตอนไปกินอาหารก็กำหนดเดินหนอและมองหนอสลับกันไป
จนถึงโรงอาหารเลยค่ะ
 พระวิปัสสนาจารย์/ อืม! ดีแล้ว และกำหนดอิริยาบถย่อยอื่นๆ
ด้วยรึเปล่าระหว่างกินข้าว
 หญิงสาว/ กำหนดค่ะว่า ตาลายหนอ และสติแตกหนอค่ะ
 เกิดอะไรขึ้นล่ะ กำหนดคำสั้นๆ ก็ได้นี่นา เช่น โกรธหนอ เห็นหนอ
 หญิงสาว/ ก็ต้องกำหนดตามสภาวะจริงไม่ใช่หรือค่ะ
ขณะนั้นหนูสติแตกเพราะรองเท้าคู่ใหม่หาย แล้วก็ตาลายเพราะมัวแต่มองเท้า
คนที่เดินไปเดินมา เผื่อว่าเขาจะใส่รองเท้าของหนูไปค่ะ


ขอขอบคุณ ข้อมูลจากหนังสือ...ซีเคร็ต

39
 หนูชื่อหลินปิง 




 เป็นลูกแม่หลินฮุ่ย 




 คุณๆอาจจะสงสัยว่า วันๆนึง หนูอยู่ที่นี่ต้องทำอะไรบ้าง

 นอกจาก...นอน.. 



 นอน... 


 แล้วก็นอน... 


  แม่ฮุ่ยสอนหนูว่า หนูเป็นผู้หญิง ต้องรู้จักทำงานบ้านงานเรือนไว้บ้าง 

 เช่น ถูบ้าน. 


 หนูช้ำมากๆๆๆ กระซิก กระซิก.... 




 นอกจากนี้ แม่ฮุ่ยยังบอกอีกว่า

แม่ฮุ่ยและลูกปิงถึงเป็นชาวจีน แต่ก็อยู่เมืองไทย

หนูต้องช่วยหารายได้ให้เขา เพราะเขาเลี้ยงดูเราอย่างดี

เช่นการผลิตตะเกียบส่งไปขายที่จีน จีนได้ตะเกียบ ไทยได้เงิน




แต่ไม้ที่แม่ฮุ่ยเอาไปทำตะเกียบนั่นมันคมแฝกหนู...




 แต่หนูก็ยังเป็นเป็นเด็กนะ ให้ทำงานทั้งวัน หนูก็เบื่อๆแหละ

มันต้องมีเล่นบ้าง





 แต่เล่นในบ้านนานๆ มันก็เบื่อๆนะ หนูอยากออกไปดูโลกภายนอกบ้าง 




  หนูก็เลยพยายาม...แหกคุก! 




แต่หนูทำไม่สำเร็จหรอก โดนพี่เลี้ยงจับได้ ก็เลยโดนส่งกลับเข้ามา




แล้วยังไงมาเจอหนูปิงกับแม่ฮุ่ยได้ที่เชียงใหม่นะ บ๊ายบาย...




..............................................................................   
 
 
ขอบคุณที่มาจาก...http://www.dhammajak.net

40























ขอบคุณ...YehYeh.com

41

















ขอบคุณที่มาจาก... อารมณ์ดี

42
บทความ บทกวี / ลงโทษคนโกง...
« เมื่อ: 05 ม.ค. 2553, 10:59:19 »
พ่อค้าชาวอินเดียคนหนึ่งทำกระเป๋าซึ่งมีเงินอยู่ในนั้น 100 เหรียญหายไป
เขาจึงประกาศว่า หากใครเอากระเป๋ามาคืนได้
เขาจะให้รางวัลเป็นเงิน 10 เหรียญ

ต่อมามีคนจรคนหนึ่งเก็บกระเป๋าใบนั้นได้
จึงเอามาให้พ่อค้าเพื่อรับรางวัล
พ่อค้าเป็นคนตระหนี่ เสียดายที่จะต้องควักเงินรางวัล 10 เหรียญ
เขาจึงเสแสร้งตระหนกตกใจโดยกล่าวว่า
แหวนเพชรวงหนึ่งในกระเป๋าได้หายไป
สุดท้ายทั้งสองได้ไปหาผู้พิพากษาที่ศาล

ผู้พิพากษาถามพ่อค้าว่า
"ท่านแน่ใจหรือว่าในกระเป๋านอกจากเงินเหรียญแล้ว
ยังมีแหวนเพชรอีกวงหนึ่ง?"

"แน่ใจทีเดียว" พ่อค้าตอบอย่างมั่นใจ

"ดีมาก" ผู้พิพากษากล่าวต่อ "ในกระเป๋าใบนี้มีเพียง 100 เหรียญเท่านั้น
ไม่มีแหวนเพชรอะไรเลย แสดงให้เห็นว่ากระเป๋าใบนี้มิใช่กระเป๋าใบที่ท่านทำหาย
เพราะฉะนั้น กระเป๋าใบนี้ ข้าต้องเก็บรักษาไว้ก่อน
เพื่อคอยเจ้าของที่ทำหายมารับไป
ท่านควรไปหากระเป๋าใบที่มีแหวนเพชรของท่านเถอะ!"



อีนี่ไม่น่าเลยยย...นะนายจ๋าาาา
แทนที่จะเสียแค่สิบ กลับต้องเสียทั้งหร้อยยย

ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.everykid.com/nitan/merchant_stingy.html

43




 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้าขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศล
ให้สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วย
ลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป
ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหิน
ขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงินนั้น

เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ
เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
" พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ "
" เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ " พี่ชายตอบ

เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป

ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความกระหยิ่มใจ
แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียวที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป
ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร

หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
" ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ "
ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า " ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ "
จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้าร้านนั้น

พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า
" ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ "
" ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ " ชาวประมงตอบ

เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา
เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
" แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ "

ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า
" เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา
เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น "

แล้วได้กล่าวคาถาว่า
" ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่
ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา "

กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป     

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง


ขอบคุณที่มาของข้อมูล : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย) : เว็บไซด์ธรรมะไทย

44
สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง10 ตึกประหลาด




30 St. Mary Axe

"สถาบันสถาปัตยกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา" พยากรณ์ล่าสุดว่า ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา จะส่งผลให้ลักษณะการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ลดการออกแบบหวือหวาลงไปเพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันไปเน้นรูปแบบเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้นิตยสารเทคโนโลยีเครื่องยนต์กลไกเล่มดัง "พ็อพพิว ลาร์เมคานิก" จึงตระเวนสรรหาตึกแปลกประหลาดพิสดาร ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ด้านสถาปัตยกรรมและแรงโน้มจากทั่วโลกมาให้ได้ยลโฉมกันบางส่วนดังนี้

1. 30 St. Mary Axe (30 เซนต์ แมรี่ แอ็กซ์)
ตึกระฟ้าเจ้าของสถิติอาคารสูงอันดับ 2 ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการปี 2547 มีชื่อเล่นว่า "ตึกแตง" เพราะรูปทรงคล้ายแตง กลมมนทั้งตึก โครงสร้างเต็มไปด้วยกระจก เฉพาะภายนอกติดตั้งกระจกกินพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร

2. The Egg (ดิ เอ้ก)
อาคารทรงไข่ผ่าครึ่ง ที่ตั้งศูนย์ศิลปะการแสดงเมืองอัลเบนี่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีโรงละครอยู่ภายใน 2 โรง ความจุรวม 892 ที่นั่ง ยากที่ใครจะเลียนแบบ เพราะมีโครงสร้างรับน้ำหนักซับซ้อนมาก


The Egg

3. Flintstone House (ฟลินต์สโตน เฮาส์)
บ้านจัดสรรในเมืองเบอร์ลินเกม รัฐแคลิ ฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างเลียนแบบบ้านในการ์ตูนยอดฮิตในอดีต "มนุษย์หินฟลินต์สโตน" ออกแบบโดย วิลเลียม นิโคลสัน เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน


Flintstone House


4. The Crooked House (เดอะคร้กเก็ดเฮาส์)
อาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจเมืองโซพอต ประเทศโปแลนด์ มองดูมีสัดส่วนบิดเบี้ยวสุดๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพบ้านเรือนในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ตรงหลังคาออกแบบตั้งใจให้เหมือนเกล็ดมังกร


The Crooked House


5.) Basket Building (บาสเก็ตบิลดิ้ง)
สำนักงานใหญ่บริษัทลองกาเบอร์เกอร์ เมืองนิวอาร์ก สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขายตะกร้า ซึ่งก็คือที่มาของอารมณ์นึกสนุกสร้างตึกเป็นทรงตะกร้านั่นเอง


Basket Building


6.) Guggenheim Museum (กุกเกนไฮม์ มิวเซียม)
พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน รังสรรค์โดย แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกชื่อดังระดับโลกชาวแคนาดา ออกแบบให้ดูสับสนวุ่นวาย มองแล้วเดาไม่ออกว่าเส้นสายโครงสร้างจะไปจบตรงไหน


Guggenheim Museum

7.) Dancing House (แดนซิ่งเฮาส์)
"บ้านเต้นระบำ" กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ผลงาน แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกแคนาดา และวลาโด มิลยูนิช เพื่อนสถาป นิก มีชื่อเล่น "จิงเจอร์แอนด์เฟร็ด" ตามที่มีการออกแบบได้แนวคิดจากท่าเต้นพลิ้วไหวคู่กันของ จิงเจอร์ โรเจอร์ส และเฟร็ด แอสแตร์ สองนักเต้นชื่อดัง


Dancing House

8.) Lotus Temple (โลตัสเทมเปิ้ล)
"วัดดอกบัว" หรือ "โลตัสเทมเปิ้ล" ในกรุง นิวเดลี อินเดีย หนึ่งในศาสนสถานที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในอินเดีย


Lotus Temple

9.) Cube House (คิวบ์เฮาส์)
บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน

Cube House

10.) Library of Alexandria (ไลบรารี่ ออฟ อเล็กซานเดรีย)
ห้องสมุดเมืองอเล็กซานเดรีย อียิปต์ มีความสูง 11 ชั้น ลักษณะอาคารสื่อถึงภาพดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เปรียบได้กับการเข้ามาแสวงหาเพิ่มพูนปัญญา ณ สถานที่แห่งนี้


Library of Alexandria

ขอบคุณข้อมูลจาก...เว็บพลังจิต.คอม...ขอบคุณครับ



45
ขอบคุณครับ...เรื่องราวน่าอัศจรรย์จริงๆครับ
กราบนมัสการ...หลวงพ่อจงและพ่อท่านคล้ายด้วยครับ
:054:

46
ขอบคุณครับที่นำเสนอ...ประวัติหลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว
ข้อมูลดีมีประโยขน์...กราบนมัสการ...หลวงพ่อเพิ่มด้วยครับ
:054:

47
 
 
                         
                          จงอ่อนน้อมต่อผู้ที่อาวุโสกว่า

                            เพราะประสบการณ์คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ


                         
 

                              ต่อให้เก่งมากแค่ไหน ถ้าไม่ได้นำมาใช้

                              ความสามารถนั้น ก็จะค่อยๆสูญหายไป


                           


                               จงเลือกในสิ่งที่พอดีกับตัวเอง

                               ไม่มากไป หรือน้อยไป


                           


                                ความรักที่ปราศจากการเอาใจใส่กัน

                                ก็เปรียบเสมือนหัวใจ ที่ไร้ความอบอุ่น

                           


                                  เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี

                                  จงเป็นคนตรงต่อเวลา

                                  คนที่ทำจิตใจให้ผ่องใส

                                  มีความคิด วาจาที่บริสุทธิ์

                                  ย่อมมีสุขทั้งกายและใจ


                           


                                   จะเล็กจะใหญ่ไม่สำคัญ

                                   ถ้าใจสู้ซะอย่าง

                                   เป้าหมายที่หวังไว้ ไม่ไกลเกินเอื้อม


                           



                                    ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรค

                                    ของคำว่า "มิตรภาพ"


                             


                                     จงเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เสมอ

                                      เพื่อก้าวทันโลกที่ทันสมัย อยู่ตลอดเวลา


                             


                                       คนที่เราต้องพยายามทำความรู้จักให้มากที่สุด

                                       ไม่ใช่ใคร

                                        แต่เป็นตัวเรานี่เอง


                             


                                         จงเป็นตัวของตัวเอง

                                         และมีความสุขกับสิ่งที่ชอบ


       ขอบคุณข้อมูลจาก...
                                                        http://www.oknation.net/blog/tocare/2009/02/28/entry-1

 

48
ขอบคุณมากครับ สำหรับภาพบรรยากาศในงานรดน้ำ...

ขอร่วมใว้อาลัยแด่หลวงปู่ที่เคารพด้วยครับ
  :054: :054:

49


สวัสดีวันปีใหม่ 2553
ขอให้ทุกๆคนชาวเว็บจงสุขขี 
ขอให่สิ่งที่ผ่านมาในสิ้นปี 
จงทิ้งไปซะทีที่ผ่านมา 
อย่ากังวลเรื่องใดที่แล้วผ่าน
อย่าให้วันวานมาทำให้หม่นหมอง
เอาความคิดความกังวลเป็นเรื่องรอง
แล้วเก็บความเศร้าหมองให้ไปกับสิ้นปี


ขอบคุณครับ...

50
พระนอนตะแคงซ้าย" วัดป่าประดู่ "จ.ระยอง





‘พระนอนตะแคงซ้าย’
วัดป่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง

จังหวัดระยอง ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย มีชายฝั่งทะเล
ยาวประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร มีเนื้อที่ ๓,๕๕๒ ตารางกิโลเมตร

จังหวัดระยอง เริ่มปรากฏชื่อในพงศาวดารเมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๑๓ ในรัชสมัยของ
สมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ
ปีพุทธศักราช ๑๕๐๐ ยุคที่ขอมมีอานุภาพเฟื่องฟูแถบดินแดนสุวรรณภูมิ
ปรากฏจากหลักฐานคือ ซากศิลาแลง คูค่ายที่ยังหลงเหลืออยู่
ในเขตอำเภอบ้านค่าย อันเป็นศิลปะการก่อสร้างแบบขอม



ประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเมืองระยอง ระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียทีแก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒
ในรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ ปีพุทธศักราช ๒๓๐๙ พระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก
พร้อมไพร่พลประมาณ ๕๐๐ คน ได้ตีฝ่าวงล้อมทัพพม่า มาหยุดพักไพร่พลที่เมืองระยอง
ก่อนเดินทัพต่อไปยังเมืองจันทบุรี เพื่อยึดเป็นที่มั่นในการกอบกู้อิสรภาพคืนจากพม่า ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๑

จังหวัดระยอง เป็นแหล่งอาหารทะเลและผลไม้นานาชนิด เป็นเมืองอุตสาหกรรม
และเป็นที่ตั้งของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญ
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่สำคัญ

ระยองได้รับการขนานนามให้เป็นเมือง “สุนทรภู่” เมืองแห่งกวีเอก ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
ผู้ประพันธ์วรรณกรรมประเภทร้อยกรอง ได้อย่างไพเราะสละสลวย และเต็มไปด้วยจินตนาการ
โดยเฉพาะนิทานกลอนสุภาพ เรื่องพระอภัยมณี ซึ่งฉากหนึ่งในนิทานเรื่องนี้
คือ หมู่เกาะน้อยใหญ่ และท้องทะเลที่สวยงามในจังหวัดระยอง



นอกจากธรรมชาติอันงดงามแล้ว ในขณะเดียวกันระยองยังมีสถานที่ท่องเที่ยว
ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายแห่ง และถ้าเป็นรูปแบบพระพุทธรูปแล้ว
ก็ต้อง “พระนอนตะแคงซ้าย” (พระพุทธไสยาสน์)
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดป่าประดู่
ในเขตเทศบาลเมือง ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
เดิมองค์พระตั้งอยู่กลางแจ้ง ต่อมามีการสร้างพระวิหารครอบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔

“วัดป่าประดู่” สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติความเป็นมาก่อนสร้างวัด
ประมาณเมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๒ พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ อุปัชฌาย์เทียน เดิมจำพรรษาอยู่ที่ วัดเนิน
(หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดอินทรสมบัติ ปัจจุบันรวมกับวัดลุ่ม) ได้มาพบสถานที่แห่งนี้เป็นวัดร้าง
มีต้นตะเคียนเป็นจำนวนมาก มีซากวัดที่เหลือแต่ ซากโบสถ์ ซากพระพุทธรูปปางไสยาสน์
และ ซากองค์พระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
วัดป่าประดู่แห่งนี้จึงเคยมีชื่อเดิมว่า วัดป่าเลไลยก์

อุปัชฌาย์เทียนจึงได้มาจำพรรษาเพื่อบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่นี่ บรรดาชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
พากันศรัทธาเลื่อมใสในท่าน จึงชักชวนกันสร้างกุฏิถวาย และร่วมกันฏิสังขรณ์วัดนี้จนเจริญสืบมา

ต่อมา เพื่อให้สอดคล้องกับนามหมู่บ้านที่วัดตั้งอยู่คือ ตลาดท่าประดู่ อีกทั้งเพราะมีต้นประดู่ใหญ่
อยู่ภายในวัดเป็นจำนวนมาก (แต่ปัจจุบันเหลือเพียงต้นเดียวตรงปากประตูทางเข้าวัด)
และเพื่อมิให้ชื่อวัดพ้องกับวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย
จากเหตุผลดังกล่าวจึงได้เปลี่ยนนามวัดเป็น “วัดป่าประดู่”

ปัจจุบัน พระพุทธรูปทั้งสององค์ได้รับการบูรณะไว้ จึงถือเป็นพระเก่าแก่คู่บ้านเมืองของระยองแห่งหนึ่ง
วัดได้รับการพัฒนามาโดยตลอด ปัจจุบันกำลังก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่สวยงาม

วัดป่าประดู่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นพระอารามหลวง เป็นวัดที่มีความสำคัญต่อชุมชน
ในการปฏิบัติศาสนกิจ และพิธีการทางศาสนาของประชาชนในเมืองระยอง

ที่วัดป่าประดู่ มีพระพุทธรูปนอนตะแคงซ้ายที่เก่าแก่ เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่แปลกที่สุดในประเทศไทย
โดยปกติแล้ว เมื่อมีการสร้างองค์พระปางสีหไสยาสน์ มักจะสร้างประทับอยู่ในท่านอนตะแคงขวา
แต่พระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าประดู่สร้างในท่านอนตะแคงซ้าย มีความยาว ๑๑.๙๕ เมตร สูง ๓.๖๐ เมตร ขนาดใหญ่

ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ พระครูสมุทรสมานคุณ (แอ่ว) อดีตเจ้าอาวาส ได้บูรณะองค์พระส่วนที่ชำรุดแล้วปิดทองเสียใหม่



มีผู้สันนิษฐานว่า เป็นการสร้างตามพระพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้ากระทำยมกปาฏิหาริย์ให้พวกเดียรถีย์ชม
โดยมีพระพุทธนิมิตแสดงอาการอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าเป็นคู่ ๆ เมื่อถึงอิริยาบถไสยาสน์
จึงผินพระพักตร์เข้าหากัน เป็นการนอนตะแคงซ้าย และขวาในลักษณะเดียวกัน
ผู้สร้างคงเจตนาสร้างให้มีนัยของพุทธปาฏิหาริย์ดังกล่าว จึงสร้างเป็นพระนอนตะแคงซ้าย.....

องค์พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าประดู่ มีลักษณะพิเศษกล่าวคือ มีการหนุนพระเศียรด้วยหัตถ์ซ้าย
สังเกตจากพระเกศ ไรพระศก จีวรแล้ว น่าจะอยู่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา
จนกระทั่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ดูแลรักษาอย่างดี

วัดป่าประดู่ ได้รับการยกฐานะเป็น พระอารามหลวง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓
อยู่คู่บ้านคู่เมืองระยอง และมีงานสมโภชใหญ่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเป็นประจำทุกปี

ทุกวันจะมีประชาชนผู้ศรัทธา เดินทางเข้าไปกราบไหว้ขอพร เพื่อให้สมหวังในเรื่องต่างๆ
ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล อย่างไม่ขาดสาย

การเดินทางไปสักการะพระนอนตะแคงซ้าย (พระพุทธไสยาสน์) วัดป่าประดู่
สามารถใช้เส้นทาง ถ.สุขุมวิท เข้าตัวเมืองระยอง ใกล้กับโรงพยาบาลระยอง
และโรงเรียนวัดป่าประดู่ ถือเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายที่สุด


พระวิหารวัดป่าประดู่ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระนอนตะแคงซ้าย”


ด้านหน้าพระวิหารวัดป่าประดู่


พระอุโบสถวัดป่าประดู่

 

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือไหว้พระประธาน ๗๖ จังหวัด กองบรรณาธิการข่าวสด สำนักพิมพ์มติชน
                                           __________________

51
--------------------------------------------------------------------------------

The Wave (between Arizona and Utah - USA)

สถานที่ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนของสายลม แสงแดด
มีอายุ 190 -1000 ล้านปีก่อน มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมา
มีการให้เข้าชมด้วยการเดินเท้าและจำกัดการเข้าชม





--------------------------------------------------------------


Antelope Canyon (Arizona - USA)

สถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมที่สุดแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดและอันตรายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว

เพราะ เมื่อเกิดฝนตกจะเกิดน้ำท่วมอย่างรวดเร็ว
ไม่อนุญาตให้เข้าเที่ยวชมคนเดียว ต้องมีผู้เชี่ยวชาญไปด้วยทุกครั้ง




------------------------------------------------------------------


Great Blue Hole (Belize)

เป็นส่วนหนึ่งของปากปล่องภูเขาไฟ ห่างจากแผ่นดินใหญ่ 60 ไมส์




-------------------------------------------------------------


Crystal Cave of the Giants (Mexico)

่ผลึก แร่ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ถูกค้นพบในถ้ำภายในเหมืองเงินและสังกะสีใก ลักับเมือง Naica รัฐ Chihuahua ประเทศเม็กซิโก มีความยาวผลึกมากถึง 11 เมตร ประกอบไปด้วยเซเลไนต์ (selenite) ซึ่งเป็นรูปผลึกหนึ่งของแร่ยิปซัม (gypsum) ที่มีลักษณะโปร่งใส



ผลึกแร่เหล่านี้ค่อนข้างเสถียร เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 50 องศาเซลเซียส พร้อมกับความชื้น 100% หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่าโครงสร้างผลึกเหล่านี้เติบโตมาในสภาพแบบไอน้ำร้อน และด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้สามารถที่จะฆ่าใครก็ได้ โดยคนทั่วไปสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมนี้ได้เพียง 6 ถึง 10 นาทีเท่านั้น ก่อนที่จะสูญเสียสภาพทางจิตอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้



------------------------------------------------------------------


Eye of the Sahara (Mauritania)

ดวงตาแห่งซาฮาร่า" อยู่ใน Mauritania ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ไมล์ เห็นได้จากอวกาศเลยทีเดียว



----------------------------------------------------------------

Blue Lake Cave (Brazil)

ถ้ำทะเลสาปสีน้ำเงินอยู่ในประเทศบราซิล



----------------------------------------------------------------
     
Giants Causeway (Ireland)

Giants Causeway เกิดจากภูเขาไฟระเบิด ทำให้มีแท่งหินบะซอลท์เรียงกันถึง 40,000 แท่ง อยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์เหนือ



-----------------------------------------------------------------

"ประตูสู่นรก" อยู่ในประเทศอุเบกิซสถาน
ค้นพบโดยบังเอิญจากการขุดแก๊สเมื่อ 35 ปีก่อน

เต็มไปด้วยแก๊สพิษมากมาย ยังไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ



....................................................................................

คลื่นหินอยู่แถบออสเตรเลีย

สูง 15 เมตร ยาว 110 เมตร




......................................................................................

Chocolate Hills (Philippines)


"ภูเขาช็อกโกแล็ต" อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์
พื้นที่กว้างใหญ่ 50 ตารางกิโลเมตร
มีภูเขารูปโคนแบบนี้ถึง 1,268 ลูกเลยทีเดียว



--------------------------------------------------------------


ขอบคุณที่มาของข้อมุล: http://www.youphuket.com 
 

52
ขอบคุณครับ...ที่นำมาให้ชมสวยงามมากครับ :053:

53
ขอขอบคุณครับสำหรับประวัติหลวงปู่เอี่ยม สมกับป็นศิษย์วัดหนังจริงๆครับ :016: :015:

54
ขอบคุณพี่ตี๋ครับ...ที่นำมาให้ชม แล้วว่างๆจะไปเที่ยวบ้าง...

55
บทความ บทกวี / เรื่อง...ขำ ขำ
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2552, 03:20:58 »
**หากวันหนึ่ง...เรื่องนี้...อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้...!!!




นับตั้งแต่กระทรวงมหาดไทยออกบัตรประจำตัวประชาชนชนิดใหม่
ที่เรียกกันว่าสมาร์ทการ์ดนั้น เดี๋ยวนี้บัตรเดียวใช้ได้ทุกอย่าง
บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีถูกยกเลิก บัตรรักษาพยาบาลไม่ต้องมี..
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคหรือไม่ก็ตาม


เรื่องต่อไปนี้เกิดขึ้นกับ บุญโฮม แต่ไม่แน่...อาจเกิดขึ้นกับคุณด้วยก็ได้

>>
กริ๊งงงง....กริ๊งงงง.....กริ๊งงงง....กริ๊งงงง...



พนักงาน : สวัสดีค่ะ พิซซ่าคอมปานีค่ะ ดิฉัน..สายคนึง ยินดีรับใช้ค่ะ

บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าหน่อยครับ

สายคนึง : กรุณาแจ้งตัวเลขบัตรประชนของคุณหน่อยค่ะ

บุญโฮม : อืม์ม์ม์...เดี๋ยวๆ.. ถือสายรอสักครู่

อ้าาา...8 897 100 354 28 64

สายคนึง : คุณบุญโฮม ใช่ไหมคะ?
คุณอยู่บ้านเลขที่ 39/7512 ซอยวิภาวี 47
แขวงทุ่งกาหลง เขตดอนกรุง …
หมายเลขโทรศัพท์บ้าน 0299765651
หมายเลขที่ทำงาน 0201184927.
เบอร์มือถือ 07-98052473 คุณโทรมาจากบ้านใช่ไหมคะ?

บุญโฮม : เอ๊ะ นี่คุณรู้ได้อย่างไร? รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลของผมด้วย

สายคนึง : สายโทรศัพท์ของเราเชื่อมกับระบบฐานข้อมูลแห่งชาติค่ะ
ขอโทษ คุณจะสั่งอะไรคะ?

บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าทะเลสองถาด

สายคนึง : ไม่ได้ค่ะ นโยบายเราจะไม่ยอมให้ลูกค้าสั่งสิ่งที่
อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกค้า..
ตามประวัติแล้ว คุณไม่เพียงแต่แพ้อาหารทะเล แต่คุณยังมี..
ความดันโลหิตสูงและมีระดับฆอเรสเตอรอล สูงเกินเกณฑ์อีกด้วย

บุญโฮม : อะไรนะ? แล้วผมจะกินอะไรได้นี่?

สายคนึง : ดิฉันขอเสนอพิซซ่าสมุนไพร ดิฉันเชื่อว่าคุณต้องชอบแน่ๆเลย

บุญโฮม : คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมต้องชอบ?

สายคนึง : ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณยังไปยืมหนังสือ สมุนไพรไทย
และ สมุนไพรยาอายุวัฒนะ จากหอสมุดแห่งชาติ นี่คะ

บุญโฮม : เอาล่ะๆ ผมยอมแพ้ ขอพิซซ่าสมุนไพรสองถาด เป็นเงินเท่าไหร่ครับ?

สายคนึง : สองถาดกำลังดีสำหรับคุณ ภรรยา และลูกสาวสองคน
ทั้งหมด 540 บาทค่ะ

บุญโฮม : คุณรับบัตรเครดิตหรือเปล่า?

สายคนึง : ปกติเรารับบัตรเครดิตค่ะ แต่วันนี้เราขอโทษที่รับบัตรเครดิตคุณไม่ได้
เพราะคุณใช้เต็มวงเงินแล้ว นอกจากนั้น คุณยังมียอดหนี้ ค้างจ่าย...
ตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้วอีก 24,754 บาท
นี่ไม่รวมค่าผ่อนบ้านที่ยังค้างชำระ อีกสองเดือน..
ดังนั้นออร์เดอร์นี้คุณต้องชำระเป็นเงินสดค่ะ

บุญโฮม : อย่างนั้นผมจะไปกด เอทีเอ็ม เตรียมเงินสดไว้จ่ายตอนเด็กมาส่งพิซซ่า

สายคนึง : ดิฉันคิดว่าวันนี้คุณกดไม่ได้แล้วค่ะ...
เพราะคุณกดครบจำนวนเงินที่กำหนดแล้ว
บุญโฮม : เอาเถอะๆ คุณให้เด็กมาส่งเดี๋ยวนี้เลย ผมมีเงินสดจ่ายให้ก็แล้วกัน
คาดว่าอีกนานเท่าไหร่?

สายคนึง : ประมาณ 40 นาทีค่ะ แต่ถ้าคุณรอไม่ไหว…
คุณจะขี่มอเตอร์ไซค์มารับเองก็ได้นะคะ

บุญโฮม : หา... คุณว่าอะไรนะ?

สายคนึง : ก็คุณมีมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าอาร์เอฟ120 เลขทะเบียน มยว 093 อยู่นี่คะ
ถ้าคุณมารับเองจะเร็วกว่าค่ะ

บุญโฮม : โอเคๆ แล้วโค้ก สองกระป๋องที่จะแถมตามโปรโมชั่นยังมีอยู่หรือเปล่า?

สายคนึง : ตอนนี้เรายังแถมอยู่ แต่ขอโทษค่ะ เราคงแถมให้คุณไม่ได้
เพราะคุณมีประวัติเป็นเบาหวานเรื้อรัง

บุญโฮม : ไอ้..ลำใย.. ที่สุด (ผวนคำว่าลำใย..คำหยาบพิมพ์ไม่ได้)

สายคนึง : ขอโทษค่ะ คุณใช้คำไม่สุภาพอีกทั้งๆที่เคยถูกภาคทัณฑ์จากศาล
เมื่อ 13 มิถุนายน 2551 ในคดีมีปากเสียงกับเพื่อน !!!!!!.
……………………!!!!!!?????.....***.

  :045:ฮ่วย! จั๊งซี่....บุญโฮมมีเมีย 4 ลูกอีกครึ่งโหล สมาร์ทการ์ดก็ฮู้โม๊ดดดดดดดดด!!!!  :075:   


ขอบคุณ Fw.Mail.ดีดีจากเพื่อนเรา...
ขอบคุณภาพจาก:http://www.newswit.com/photos/2008-12-23/287fa50726102e9df4fd2894c8de55be.jpeg

56
คาถาอาคม / ตอบ: หัวใจพระคาถา...
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2552, 09:15:00 »
ใช้หัวแม่เท้าจิกลงไปที่พื้นดินก็ได้... หรือกำหนดจิตให้นิ่งโดยไม่ต้องจิกหัวแม่เท้า  ขณะที่ท่องพระคาถา  แล้วเพ่งจิตลงสู่พื้นดินก็ได้...

57
คาถาอาคม / ตอบ: หัวใจพระคาถา...
« เมื่อ: 22 ธ.ค. 2552, 10:32:31 »
ผมขอรบกวน ท่าน ผู้รู้ หน่อยครับผม คือ ผมได้อ่าน คาถา พระแม่ธรณี มา คือ เม อะ มะ อุ หรือ เม กะ มุ อุ ครับผม  :086: ขอบคุณครับผม :054:

ใช้ได้ทั้งสองบทครับ...แล้วแต่ชอบ                       

58
4เอกลักษณ์4รูปแบบ4สไตล์ ไม่เหมือนกันหล่อคนละแบบ... 02; 40; 37; 38;

59
บทความ บทกวี / ตาที่สาม...
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2552, 10:21:49 »
            ตาที่สาม หรือตาทิพย์ แท้จริงคืออะไร และอยู่ตรงไหน
 

                               
 


ตาที่สาม หรือ Third Eye เป็นคำที่ผู้สนใจฝึกสมาธิทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศคุ้นเคยกันพอสมควร เป็นเวลานานที่นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับตาที่สามนี้ว่าอยู่ส่วนไหนในสมองและมีหน้าที่อย่างไร

 


                                     


 


โดยปกติดวงตาของเราจะส่งภาพกลับหัว จากบนเป็นล่าง ส่งไปยังสมอง ซึ่งสมองจะประมวลผลและทำให้เราเห็นภาพในลักษณะปกติที่ถูกต้อง

นอกจากดวงตาปกติแล้ว มนุษย์ยังมีอวัยวะอีกอย่างที่รู้จักกัน ในชื่อ ของดวงตาที่สาม หรือ ต่อมไพนีล. ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพลังมหัศจรรย์หรือตาทิพย์ เป็นดวงตาภายใน


ต่อมไพนีล Pineal Gland มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว และอยู่ตรงกลางของสมอง หลังดวงตาปกติ อยู่ข้างหลังเยื้องด้านบนจากต่อมปิตูอิตารี่ ( pituitary ) บางคนได้เทียบตำแหน่งกลางสมองนี้ว่าคล้ายคลึงกับตำแหน่งศูนย์กลางของปิรามิดซึ่งเป็นจุดรวมแห่งพลังงานที่กล่าวกันว่าเหนือธรรมชาติ

นักปราชญ์กรีกโบราณเชื่อว่า ต่อมไพนีล เป็นจุดเชื่อมต่อกับอาณาจักรแห่งความคิด บางคนเรียกว่า ที่สถิตของจิตวิญญาณ ต่อมไพนีลนี้จะถูกกระตุ้นโดยแสงสว่าง และต่อมนี้ควบคุมระบบร่างกาย ( Biorhythm) หลายอย่าง โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส ( hypothalamus) ซึ่งต่อมไฮโปทารามัส ส่งผลโดยตรงกับร่างกายในเรื่อง ความหิว ความกระหาย เรื่องเซ็กส์ และนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์

เมื่อต่อมไพนีลถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา จะรู้สึกถึงความกดดันที่ใต้สมอง ( ความกดดันเหมือนในลักษณะที่อยู่ใต้คลื่นความถี่สูง) การกระทบกระเทือนที่ศีรษะบางครั้งก็เป็นสาเหตุกระตุ้นให้ต่อมไพนีลตื่นขึ้นได้

ถึงแม้ในอดีตจะยังไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์เกี่ยวกับต่อมไพนีล เพิ่งจะมาทราบในสมัยปัจจุบันไม่นานนัก แต่ในสมัยนั้นก็เชื่อกันว่า เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งวัตถุและโลกแห่งวิญญาณ และเป็นจุดสำคัญในการเริ่มต้นของพลังเหนือธรรมชาติในมนุษย์ทำให้มองเห็นเหนือกว่าคนทั่วไปได้...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.nakusol.com/

60

                                                 
 

บูรพาจารย์ของไทย ตั้งแต่อดีต เมื่อเริ่มต้นศึกษาวิชาธรรมธาตุ หรือ การฝึกพลังจิต สายธรรมแบบไทย มักจะให้ศิษย์ฝึกฝนเรียนรู้ อักขระ พระคาถา ควบคู่ไปกับการฝึกจิต ซึ่งพระคาถาต่างๆ หรือ เคล็ดวิชาโบราณต่างๆ มักบันทึกไว้เป็นอักษรโบราณ เช่น อักษรขอมไทย อักษรธรรมอีสาน หรือ อักษรธรรมล้านนา

การบันทึกไว้ด้วยภาษาโบราณนั้น เหตุผลหนึ่งคือ เพื่อเป็นการคัดเลือกบุคคลผู้ที่จะสืบทอดวิชา ต้องเป็นบุคคลที่มีความสนใจจริงจังจึงจะสามารถอ่านและเรียนได้ บุคคลธรรมดาทั่วไปจะมิสามารถอ่านออก

เหตุผลอีกประการคือ การอนุรักษ์ รากฐานของวิชา หากผู้ใด ไม่เข้าใจในคุณวิเศษของอักขระทั้งปวง ย่อมยากที่จะสำเร็จวิชา หรือ โบราณเรียกว่า สำเร็จธาตุ ได้เลย

วิชาเหล่านี้ เป็นวิชา พุทธศาสตร์ มิใช่วิชาไสยศาสตร์หรือมนต์ดำแต่อย่างใด พระอริยเจ้าในอดีตจำนวนมากล้วนแต่เป็นผู้สำเร็จธาตุด้วยกันทั้งสิ้น เช่น หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ,หลวงปู่สำเร็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หากเป็นฆารวาสที่ได้รับความเคารพ เช่น กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์  และยังมีผู้สำเร็จธาตุท่านอื่นอีกจำนวนมาก

ผมเคยได้พบผู้ฝึกจิต นั่งสมาธิหลายท่าน เมื่อฝึกไปถึงระดับหนึ่ง บางครั้งเกิดภาพนิมิตเห็น อักขระธรรมสีทอง มาปรากฎให้เห็น แต่ก็ไม่สามารถอ่าน หรือ แม้แต่จะจดจำได้ เพราะไม่เคยมีพื้นฐานด้านอักขระมาก่อน ซึ่งนับว่าเสียดายโอกาสอย่างยิ่ง

พระเกจิอาจารย์หลายท่าน เมื่อปรากฎอักขระธรรมในนิมิต ท่านได้จดจำมาใช้ในการโปรดญาติโยม ล้วนแต่ปรากฎผลสำเร็จ

ดังนั้นหากผู้ใด ประสงค์จะศึกษาวิชาพลังจิตตามครูบูรพาจารย์ในอดีต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้อักขระเป็นพื้นฐาน ซึ่งต่อไปทางเราจะทยอยนำมาเขียนเพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้ที่สนใจต่อไป
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.nakusol.com/

61
คาถาอาคม / หัวใจพระคาถา...
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2552, 09:57:48 »
 

หัวใจพระคาถา 

หัวใจพระธรรม ๗ คัมภีร์ คือสังวิชาปุกะยะปะ

หัวใจพระสูตร คือ ทีมะสังอังขุ

หัวใจพระวินัย คืออาปามะจุปะ

หัวใจสัตตะโพชฌงค์ คือ สะธะวิปิปะสะอุ

หัวใจพระรัตนตรัย คืออิสะวาสุ

หัวใจพาหุง คือ พามานาอุกะสะนะทุ

หัวใจพระพุทธเจ้า คืออิกะวิติ


หัวใจปฏิสังขาโย คือ จิปิเสคิ

หัวใจพระไตรปิฎก คือสะระณะมะ

หัวใจยอดศีล คือ พุทธะสังมิ

หัวใจธรรมบท ( เปรต ) คือทุสะนะโส

หัวใจปถมัง คือ ทุสะมะนิ

หัวใจอิธะเจ คืออิทะคะมะ

หัวใจตรีนิสิงเห คือ สะชะฏะตรี

หัวใจสนธิ คืองะญะนะมะ

หัวใจแม่พระธรณี คือ เมกะมุอุ

หัวใจยะโตหัง คือนะหิโสตัง

หัวใจพระกุกกุสันโธ คือ นะมะกะยะ

หัวใจพระโกนาคมน์ คือนะมะกะตะ

หัวใจพระกัสสป คือ กะระมะถะ

หัวใจสังคะหะ คือ จิเจรุนิ

หัวใจนอโมคือ นะอุเออะ

หัวใจไฟ คือ เตชะสะติ

หัวใจลม คือ วายุละภะ

หัวใจบารมี คือผะเวสัจเจเอชิมะ

หัวใจน้ำ คือ อาปานุติ

หัวใจดิน คือปะถะวิยัง

หัวใจวิรูปักเข คือ เมตะสะระภูมู

หัวใจพระปริตร คือสะยะสะปะยะอะจะ

หัวใจพระนิพาน คือ สิวังพุทธัง

หัวใจยานี คือยะนิรัตนัง

หัวใจกรณีเมตตสูตร คือ เอตังสะติง

หัวใจวิปัสสนา คือวิระสะติ

หัวใจมงคลสูตร คือ เอตะมังคะลัง

หัวใจอายันตุโภนโต คือ อานิชะนิ

หัวใจมหาสมัย คือ กาละกัญธามหาภิสะมา

หัวใจเสฎฐัน คือเสพุเสวะเสตะอะเส

หัวใจปาฏิโมกข์ คือ เมอะมะอุ

หัวใจเพชรสี่ด้าน คืออะสิสัตติปะภัสมิง

หัวใจศีลสิบ คือ ปาสุอุชา

หัวใจอริยสัจ ๔ คือทุสะนิมะ

หัวใจธรรมจักร คือ ติติอุนิ

หัวใจนิพพานจักรี คืออิสะระมะสาพุเทวา

หัวใจทศชาติ คือ เตชะสุเนมะภูจะนาวิเว

หัวใจธาตุทั้ง ๔ คือนะมะพะทะ

หัวใจธาตุพระกรณีย์ คือ จะภะกะสะ

หัวใจพระกรณีย์ คือจะอะภะคะ

หัวใจปลายศีล คือ อิสะปะมิ

หัวใจกินนุสัตรมาโน คือกะนะนะมา

หัวใจพระยายักษ์ คือ ภะยะนะยะ

หัวใจภาณยักษ์ คือกะยะพะตัง

หัวใจอาวุธพระพุทธเจ้า คือ ปะสิสะ

หัวใจนะโม คือนะวะอัสสะ

หัวใจกะขะ คือ กะยะนะอัง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.nakusol.com/

62
สวยงามและดูเข้มขลังครับ...ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม :053: :052: :053:

63
ขอบคุณลุงต้อครับที่นำภาพมาให้ชม น่าไปเที่ยวจัง :025: :074: :045:

64
ขอบคุณท่าน Ronaldo 2007 ที่ได้ลงประวัติของหลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ อยุธยา ว่างๆจะไปกราบท่าน :054:

65
ขอขอบคุณภาพจากwww.hunsa.com

66
บทความ บทกวี / รถเบนซ์ของฉัน...!!!
« เมื่อ: 20 ธ.ค. 2552, 12:45:31 »
         
     
    มีผู้ชายคนหนึ่งขับรถเบนซ์สปอร์ตคันใหม่  ฉวัดเฉวียนไปบนถนนสุขุมวิทด้วยความเร็วสูง   ทันใดนั้น  รถของเขาเสียหลัก  พุ่งเข้าชนเกาะกลางถนนอย่างแรง  ตัวของเขาหลุดกระเด็นออกมานอกรถ   ทันทีที่เขาฟื้นคืนสติแล้วหันไปเห็นซากรถที่พังยับเยิน

เขาก็ร้องครวญครางว่า

“เบนซ์สปอร์ตของฉัน     เบนซ์สปอร์ตของฉัน”

คุณลุงขายผลไม้ข้างถนนก็รีบตะโกนบอกเขาว่า

“คุณ   มัวร้องไห้เสียดายรถอยู่ได้ไง   ดูโน่นสิ   แขนของคุณกระเด็นไปอยู่ฟากโน้นแน่ะ”

ทันทีที่เขาหันไปเห็นแขนของตนเองที่ฉีกขาดยับเยิน   เขาก็กรีดร้องเสียงดังโหยหวนว่า

“โธ่  นาฬิกาโรเล็กซ์ของฉัน   นาฬิกาโรเล็กซ์ของฉัน”

                                               

                                                   .....   จบ  .....
 
           ขอบคุณข้อมูล...   จากหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” ฐิตินาถ   ณ  พัทลุง

           ขอขอบคุณภาพจาก...http://www.friendthai.com/Classifieds/mbdetail.php?id=E010143739

67
บทความ บทกวี / ชาวนารวยกว่า...
« เมื่อ: 20 ธ.ค. 2552, 10:42:26 »
 
อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา
กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น
จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้
โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน
เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน
กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง
จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก
ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า

......ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

......อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ
บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
.......เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร
และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

......ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ให่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

.........ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน
โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

........ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

.........ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า..จริงๆ แล้ว
.......เรายากจนกว่าชาวนามาก

คุณยากจนกว่าชาวนามั๊ย



 ขอขอบคุณที่มาครับ... http://www.watyan.com/blog_veiw.php?id_view=110
 ขอบคุณภาพจาก...   http://p.mthai.com/picpost/2009-07-15/411187_0.jpg

68


 

อิติปิโส ภะคะวือ
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


นึกถึงนิทานย่อๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังเสมอ หลวงตาพรอาจารย์ของหลวงพ่อนักธรรมตรีก็ไม่ได้ สอนลูกศิษย์ลูกหาก็ไม่มีปฏิภาณโวหาร แต่ว่าลูกศิษย์สอบได้นักธรรมตรี โท เอก ท่านกลัวว่าลูกศิษย์จะลบหลู่ดูหมิ่นท่านหรืออย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ท่านก็เล่านิทานอันนี้ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ท่านบอกว่า

มีครูบาอาจารย์สำนักหนึ่งสอนลูกศิษย์ให้ภาวนา อิติปิโส ภะคะวือ แล้วลูกศิษย์ที่ยังไม่มีความรู้กว้างขวาง ก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์อย่างคนว่าง่าย แต่มาภายหลังลูกศิษย์เหล่านั้นมีโอกาสได้ไปศึกษาเล่าเรียนในต่างสำนัก บางท่านก็ได้เป็นมหาเปรียญกลับมา ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ก็ไปค้นคว้าตำรับตำราหาคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ ไม่มีเลย

ทีนี้พอกลับมาแล้ว ก็มาปรึกษาหารือว่าอาจารย์ของเรานี้ เข้าใจผิดซะแล้วล่ะ พวกเราต้องมาช่วยกันแก้ทิฏฐิของอาจารย์ มีอย่างที่ไหน อิติปิโส ภะคะวือ มาสอนกัน มันไม่มีในตำราสักหน่อยหนึ่งเลย พอกลับมาก็เข้าไปกราบอาจารย์ "อาจารย์ๆ สอนพวกเราว่า อิติปิโส ภะคะวือ นี้สอนผิดซะแล้วล่ะ ควรแก้ใหม่ พวกเราไปค้นตำรับตำรากันหมดพระไตรปิฎกแล้ว ไม่เจอคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ กันสักแห่งเลย อาจารย์เอาที่ไหนมาว่าก็ไม่รู้ล่ะ"

ทีนี้อาจารย์ท่านก็บอกว่า "เราก็ปฏิบัติของเรามาอย่างนี้ ของพวกท่าน อิติปิโส ภะคะวา ก็คืออิติปิโส ภะคะวา ไปซิ จะมาให้ผมเลิก อิติปิโส ภะคะวือ นี้มันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะผมปฏิบัติมานานแล้ว" ลงผลสุดท้ายอาจารย์กับลูกศิษย์เถียงกันไม่ตก ก็เลยต้องแยกทางกัน อาจารย์บอกว่า "เออ ! ถ้า อิติปิโส ภะคะวา ของท่านทั้งหลายถูกต้อง พวกท่านพากันอยู่วัดเสีย ผมจะไปภาวนา อิติปิโส ภะคะวือ ของผมบนภูเขาโน้น" ว่าแล้วท่านก็เตรียมบริขารของท่านไปอยู่บนเขา

ฝ่ายลูกศิษย์อยู่ทางวัด ข้อวัตรปฏิบัติก็ย่อหย่อน แล้วประชาชนทั้งหลายก็เสื่อมศรัทธาไม่มีความเลื่อมใส เพราะว่าพระภิกษุไม่สำรวมในสิกขาบทวินัย ไม่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ เขาไม่มีศรัทธา ไม่มีใครทำบุญก็พากันอดอยากเกิดความเดือดร้อน แล้วก็พากันคิดถึงครูบาอาจารย์ ก็มาปรึกษาตกลงกันว่า เราจะไปอาราธนาอาจารย์ของเรากลับคืนมา ว่าแล้วก็พากันไป ขึ้นไปบนภูเขาที่อาจารย์ท่านพักอยู่ พอไปถึงก็พากันไปกราบอาจารย์ อาจารย์ก็เดินจงกรมเฉย

ทีนี้ลูกศิษย์ก็กราบเรียนท่าน ท่านก็หันหน้ามา ลูกศิษย์องค์หัวหน้าก็กราบเรียนท่านว่า "พวกเรามาขอพักกับอาจารย์สักคืนหนึ่ง" "เออ ! ที่พักที่นี้กุฏิก็ไม่มี มีแต่ร่มไม้กับพลาญหิน เสื่อหมอนก็ไม่มี มีแต่ก้อนหินกับใบไม้นั้นแหละ พวกท่านต้องการที่ไหนเป็นที่สบายก็นิมนต์จัดหาเอาเอง" พอเสร็จแล้วพระทั้งหลายก็พากันจัดที่พักผ่อนหลับนอนตามอัธยาศัย

พอตื่นเช้าขึ้นมา อาจารย์ก็เดินจงกรมเฉย จนกระทั่ง ๑๑ โมง มันเพลแล้วยังไม่พาบิณฑบาตเลย "อาจารย์เมื่อไหร่จะพาออกบิณฑบาตซักที" "ฮือ ! หิวแล้วหรือ" "หิวแล้วล่ะ" "อ้าว ! ถ้าหิวก็เก็บก้อนหินใส่บาตร" พอเก็บก้อนหินใส่บาตรมา มาประเคนอาจารย์ อาจารย์ก็นั่งหลับตาลง ก็เพ่งลงในบาตร แล้วท่านก็สวด อิติปิโส ภะคะวือ อิติปิโส ภะคะวือ ก้อนหินที่อยู่ในบาตรกลายเป็นข้าวมธุปายาส อันหอมตลบไปทั่วทุกทิศทุกทาง พอเสร็จแล้วก็ยื่นมาให้พวกลูกศิษย์ "อ้าว ! เอาไปฉันซะ" ทีนี้พระทั้งหลายก็พากันฉัน ฉันเสร็จแล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย

พอวันหลังมาลูกศิษย์ก็พากันไปกราบอาจารย์ "อาจารย์ๆ วันนี้พวกเราขอทดลองดูหน่อยนะ" "เออ ! ตามใจ" พอเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างเก็บก้อนหินใส่เข้าไปในบาตรแล้วก็ไปนั่งบริกรรมภาวนา อิติปิโส ภะคะวือๆๆ จิตมันก็ไม่เป็นสมาธิสักที อิติปิโส ภะคะวือ นึกขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็ไม่เป็นสมาธิสักที ลืมตาขึ้นมาก้อนหินก็คงเป็นก้อนหินโค่โร่อยู่อย่างเก่า ผลสุดท้าย ๑๑ โมงถึงเวลาฉัน ยอมจำนนเข้าไปกราบอาจารย์ "โอ๊ย ! อาจารย์ไม่ไหวแล้ว ท่องมาจนเมื่อยแล้วไม่เห็นเป็นข้าวมธุปายาสสักที" "หือ ! อ้าว ! เอาบาตรมาตั้งเรียงกัน" ตอนนี้อาจารย์แสดงปาฏิหาริย์ใหญ่เลย เอามือไปแตะบาตรเท่านั้นแหละ ในบาตรควันตลบขึ้นมากลายเป็นข้าวมธุปายาส

ทีนี้พอตกตอนเย็นมา อาจารย์ก็เรียกมาประชุมกัน ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ท่านบอกว่า อิติปิโส ภะคะวือ หรือ อิติปิโส ภะคะวา นี่นะมันเป็นแต่เพียงคำบริกรรมภาวนาเท่านั้นเองแหละ เมื่อก่อนนี้ผมก็ภาวนาอิติปิโส ภะคะวา เหมือนกัน พอภาวนาไป ภาวนาไป จิตมันเคลิ้มๆ ลงไปสักหน่อยหนึ่งคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ มันก็โผล่ขึ้นมา ผมก็เลยจับเป็นอารมณ์ภาวนาเรื่อยมา จนกระทั่งได้สมาธิ ได้ญาณ สามารถเสกก้อนหินเป็นข้าวกินได้

เพราะฉะนั้น พวกท่านจะไปสำคัญมั่นหมายอะไรกับคำบริกรรมภาวนา ท่านจะเอาคำไหนมาบริกรรมภาวนาก็ได้ทั้งนั้น ขอแต่ว่าให้เราจริงใจอดทน พากเพียรพยายามเท่านั้นเป็นพอ

ทีนี้ถ้าจะพิจารณาตามนิทานย่อๆ นี้ เราก็ไม่น่าจะไปสงสัยข้องใจกับคำบริกรรมภาวนา ภาวนาพุทโธไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ สัมมา อรหัง ไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ ยุบหนอ พองหนอ ไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายอย่าไปข้องใจสงสัยในเรื่องคำภาวนา หรืออารมณ์จิตในการภาวนา

 
ขอขอบคุณที่มาครับ...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9977 
 

69
บทความ บทกวี / ยอดกตัญญู...
« เมื่อ: 19 ธ.ค. 2552, 09:52:26 »
                

ในครั้งพุทธกาล มีพราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า ราธะ ลูกหลานทอดทิ้งเป็นคนอนาถา มาอาศัยอยู่ในวัด ต่อมาอยากบวช แต่ไม่มีภิกษุรูปใดบวชให้เพราะเห็นเป็นคนแก่ เกรงไปว่าจักมาบวชอาศัยเกาะพระกินในพระศาสนาื ไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรมให้ดีได้ ราธะพราหมณ์จึงตรอมตรมใจเพราะผิดหวัง...
วันหนึ่ง เวลาเช้า ราธะพราหมณ์ได้พบและเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องตนศรัธาจะบวช แต่ไม่มีภิกษุรูปใดจัดการให้ พระองค์ทรงอาศัยเรื่องเป็นเหตุ จึงตรัสถามในที่ประชุมภิกษุสงฆ์ในเย็นนั้น ว่ามีภิกษุรูปใดรำลึกถึงคุณของพราหมณ์เฒ่าผู้นี้ได้บ้าง
พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า รำลึกถึงอุปาระคุณของพราหมณ์ได้โดยพราหมณ์ผู้นี้เคยใส่บาตรท่านครั้งหนึ่งด้วยข้าว ๑ ทัพพี ฉะนั้น จะรับเป็นภาระในการบวชให้พราหมณ์ผู้นี้เอง เพื่อปฏิการคุณ
พระพุทธเจ้าทรงประทานสาธุการ คือ ยกย่องความดีว่า พระสารีบุตรเป็นคนดี เพราะไม่ลืมคุณของคนผู้่เคยมีคุณมาก่อน ต่อจากนั้นพระสารีบุตรได้จัดการให้ธาระพราหมณ์ได้อุปสมบทเป็นภิกษุสมตั้งใจ
ปรากฏว่า พระราธะผู้บวชใหม่ แม้จะเป็นคนแก่ มีอายุมากแต่ประพฤติเป็นผู้ว่าง่าย สอนง่าย ไม่ดื้อดึง ยอมรับโอวาทและปฏิบัติตามคำสอนของพระเถระอย่างเคร่งครัด โดยเคารพในพระสารีบุตรเป็นที่สุด ต่อมาได้บรรลุมรรคผลเบื้องสูงในพระพุทธศาสนา
จากเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นคติสั้นๆ ว่า โลกมนุษย์ จะดำรงได้ด้วยดี เพราะ
   ๑. มีคนยอมเสียสละอนุเคราะห์ให้ความสุขแก่ผู้อื่น
   ๒. ผู้ได้รับอนุเคราะห์แล้วปฏิการะ คือ ตอบแทนคุณท่านในภายหลัง
พ่อแม่ ยอมเสียสละเลี้ยงดูลูกมาก่อน ลูกจึงรอดชีวิตและเติบโตขึ้นมาได้ ครูอาจารย์เสียสละไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก สั่งสอนอบรมศิษย์จึงมีความรู้ติดตัว การเสียสละของผู้เป็นบุพการีชนดังกล่าว เรียกว่า ยอมอนุเคราะห์คือช่วยเหลือเป็นเบื้องต้นก่อน แม้ผู้มีคุณอื่นๆ ก็เช่นกัน
ผู้ได้รับการอนุเคราะห์จากท่านแล้ว รู้จักทำปฏิการะ คือตอบแทนคุณภายหลัง เช่นบุตรธิดา... เลี้ยงพ่อแม่ตอบแทน, ศิษย์ ...เคารพนับถือและไม่ทอดทิ้งครูอาจารย์, ผู้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้ว ไม่ลืมคุณของท่านพยายามทดแทนสนองคุณภายหลัง เช่นนี้ เสมือนพืชที่บุคคลหว่านบนแผ่นดินอันชุ่มด้วยน้ำ ไม่แห้งแล้ง ย่อมงอกงาม เติบโตไปได้
แต่ผู้เนรคุณ คือได้รับการอนุเคราะห์จากผู้อื่นแล้ว ลืมคุณท่านเสีย ไม่ตอบแทนพระคุณท่านบ้าง แม้ในสิ่งง่ายๆ อันควรทำได้เช่นนี้ คล้ายพืชที่หว่านลงบนกองเำพลิง มีแต่ไหม้สิ้นสูญไป จงเป็นปฏิการคุณ อย่าเป็นผู้เนรคุณ !!


ขอขอบคุณที่มาครับ...http://www.dhammathai.org/dhammastory/story25.php

70
บทความ บทกวี / แม่ตัวจริง...
« เมื่อ: 19 ธ.ค. 2552, 09:37:36 »
           

สมัยก่อน...หลังพุทธกาล...
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง..น่าสนใจ...
เขาบอกว่า...หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง...แต่งงานกับหนุ่มต่างถิ่น...
แต่งงานเสร็จ...ก็ไปอยู่บ้านฝ่ายชาย...
แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร...
ต่อมามีลูก...
พอคลอดลูกออกมา...เธอจึงเข้าใจว่า...
การคลอดลูกนี่มันเจ็บปวดแค่ไหน...
เจ็บปวด...จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด...
พอลูกร้อง...อุแว้...อุแว้...
น้ำตาแม่ไหล...
แม่พึ่งเข้าใจว่า...
ความรักของแม่...ที่มีต่อลูก...มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน...
ในนาทีวิกฤตินั้น...
ถ้ามีชีวิตหนึ่งที่จะต้องสิ้น...
แม่ยอมตาย...เพื่อให้ลูกรอด...
แม่รักลูกสุดชีวิต...จนสามารถตายแทนได้...
ถ้าลูกเป็นอะไรไป...แม่คงขาดใจตายไปพร้อมกับลูก...
ตอนที่ตัวเองอยู่กับพ่อแม่...ไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลย...
พอมีลูกแล้ว...ถึงรู้ซึ่ง...
จึงบอกกับสามีว่า...
จะขออนุญาตเดินทางไปเยี่ยมแม่...
ไปบอกให้แม่รู้...ว่าลูกเข้าใจความรักที่มีต่อลูกแล้ว...
และจะมาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่...
สามีก็อนุญาต...
ในขณะที่เดินทาง...แดดจัด...อากาศร้อนมาก...
เธออุ้มลูกเดินทางไกล...ด้วยความเหนื่อยล้า...
เมื่อมาถึงริมธารน้ำ...จึงวางลูกน้อยไว้ริมตลิ่ง...
ตัวเองเดินลงน้ำ...วักน้ำลูบหน้า...ลูบตัว...
ให้เย็นสบาย...คลายร้อน...หายเหนื่อย
ทันทีที่สัมผัสความเย็นสบาย...ด้วยสัญชาตญาณของแม่...
ทันทีที่แม่มีความสุข...
ใจของแม่จะคิดถึงลูกขึ้นมาทันที...
เธอตกใจรีบหันไปมองลูก...
เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง...กำลังอุ้มลูกของตนวิ่งหนี...ไปต่อหน้าต่อตา...
นางตกใจแทบสิ้นสติ...ใจหวิวเหมือนจะขาด...
รีบวิ่งตามทั้งที่เหนื่อยล้าสุดกำลัง...และร้องเรียกให้คนช่วย...
วิ่งไล่ตามกันเข้าไปในหมู่บ้าน...
ชาวบ้านได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ...
พากันออกมาดักหน้าหญิงคนที่อุ้มเด็กไว้...
เมื่อแม่ตามมาทัน...ก็ยืีอแย่งลูกกัน...
ต่างคน...ต่างอ้างสิทธิ์ความเป็นแม่...
บอกว่าเด็กเป็นลูกของตน...
ไม่มีใครยอมใคร...
ชาวบ้านที่มามุงดู...ไม่มีใครสามารถตัดสินได้...
ทั้งสองคนมีเหตุผลน่าเชื่อ...ทั้งคู่...
จึงไปหามโหสถ...ผู้คงแก่เรียน...หรือที่เราเรียกว่า ... บัณฑิต...
เป็นผู้มีปัญญาล้ำเลิศ...
ให้ช่วยตัดสินให้...
มโหสถฟังเรื่องแล้ว...หัวเราะ...
บอกว่าสบายมาก...เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก...
มีวิธีหาแม่ตัวจริงได้ง่าย...
จึงบอกให้ชาวบ้านเอาเชือกมาสองเส้น...
เส้นหนึ่ง...มัดไว้ที่ราวนม...ใต้แขนเด็ก...
อีกเส้นหนึ่ง...มัดไว้ที่รอบเอวเด็ก...
แล้วให้ผู้หญิงสองคน...ที่อ้างว่าเป็นแม่เด็ก...ถือเชือกไว้คนละข้าง...
มโหสถบอกว่า...
เราจะนับหนึ่ง...ถึงสาม...แล้วให็หญิงทั้งสองดึงเชือก...
ใครสามารถดึงเด็กไปทางด้านตัวเองได้...
แสดงว่า...รักเด็กมาก...มีความมุ่งมั่นที่อยากจะได้เด็กมาเป็นเจ้าของ...
คนนั้น...คือแม่เด็ก...
แล้วมโหสถก็นับ...หนึ่ง...สอง...สาม...
พอสิ้นเสียง...หญิงทั้งสองก็เริ่มดึงเชือก...
พอเชือกตึง...เด็กรู้สึกเจ็บ...ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที...
พอลูกร้องไห้...แม่ตัวจริงตกใจ...สงสารลูกเหมือนใจจะขาด...
โยนเชือกทิ้ง...แล้วร้องไห้...
ผู้หญิงอีกคน...ดึงเด็กเขยื้อนไปทางตัวเองได้...
มโหสถจึงสั่งให้หยุด...
แล้วเดินไปอุ้มเด็ก...มาส่งให้กับ...
แม่ตัวจริง...ที่ยืนร้องไห้อยู่...
โดยบอกว่า...
ไม่มีแม่คนไหน...ทนเห็นความเจ็บปวดของลูกได้...
ทันทีที่ลูกร้อง...เธอโยนเชือกทิ้งทันที...
เธอเป็นแม่ที่ประเสริฐ...ควรได้รับโอกาสให้เลี้ยงดูเด็กคนนี้ต่อไป...
ชาวบ้านที่มุง...ไม่มีใครสามารถเถียงมโหสถได้...
ยืนน้ำตาซึมไปตามๆกัน...

71
บทความ บทกวี / ไม่ต้องสงสัยหละ...
« เมื่อ: 19 ธ.ค. 2552, 09:23:57 »
 
                     



กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐี 2 คน เป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งเป็นเศรษฐีขี้เหนียว และมีความโลภมาก

อีกคนหนึ่งเป็นเศรษฐีเจ้าเล่ห์ ครั้งหนึ่ง เศรษฐีเจ้าเล่ห์ได้ไปค้าขายต่างแดน ได้ผ่านป่าแห่งหนึ่ง และจับนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง จึงได้ขังกรงไว้ และสอนมันให้พูดอยู่ประโยคหนึ่ง

เวลาผ่านไปได้ปีเศษ ไม่ว่าเศรษฐีจะทำอะไร นกแขกเต้าก็จะพูดประโยคนั้นทุกครั้งไปวันหนึ่งเศรษฐีเจ้าเล่ห์ก็ไปเยี่ยมเพื่อนเศรษฐีขี้เหนียว และได้ถามไถ่ถึงความสุขความทุกข์ของเพื่อน เมื่อเพื่อนเศรษฐีขี้เหนียวเล่าความทุกข์ให้เพื่อนฟัง

เพื่อนก็บอกว่า "แต่ผมนี้ โชคดี ที่บรรพบุรุษได้ทิ้งนกวิเศษให้ไว้ตัวหนึ่ง เมื่อสมบัติของผมใกล้จะหมด ก็จะให้นกตัวนี้หาสมบัติเพิ่มให้อีกทุกครั้งไป ผมจึงสบาย ไม่ต้องทำมาหากินอะไร มีความสุขไปตลอดชีวิต"

เศรษฐีขี้เหนียวได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น ก็บอกเพื่อนว่า"คุณอย่ามาโกหกให้ผมฟังเลย มันเป็นเรื่องโกหก เพ้อเจ้อที่สุดเท่าที่ไดยินได้ฟังมา มันเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้ มีที่ไหนที่นกตัวเล็กๆ จะหาสมบิให้ได้ ไปหลอกเด็กอมมือเถอะ"

เศรษฐีเจ้าเล่ห์จึงบอกเพื่อนว่า "ถ้าคุณไปเชื่อ พรุ่งนี้ให้คุณไปที่บ้านผม ผมจะให้นกวิเศษหาสมบัติให้ดู"

คืนนั้น เศรษฐีเจ้าเล่ห์ให้บริวารขุดหลุมขนาดใหญ่ และได้ขนสมบัติของตัวเองที่มีอยู่ ใส่ลงไปในหลุม และได้กลบเอาไว้ รุ่งเช้าเศรษฐีขี้เหนียวก็ได้มาเยี่ยมเพื่อนเศรษฐีเจ้าเล่ห์ และขอให้เพื่อนแสดงฝีมือบอกให้นกแสดงการหาสมบัติให้ดู

เพื่อนเศรษฐีเจ้าเล่ห์จึงบอกว่า “นก..นก..ที่นี่มีสมบัติมั้ย”นกก็บอกว่า............

“ไม่ต้องสงสัยหละ”เศรษฐีจึงให้บริวารขุดลงไป ก็พบสมบัติมากมายขนกันอย่างไม่หวั่นไหว
เศรษฐีขี้เหนียว เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ก็ตาโต ความโลภก็เข้าครอบงำจิตใจทันที ในใจคิดว่า ถ้าเราเป็นเจ้าของนกวิเศษตัวนี้ก็ดี จะได้ให้นกตัวนี้บอกที่ซ่อนสมบัติทั้งหมดให้เรารู้ จะได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยที่สุดในโลก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น จึงได้ขอซื้อนกวิเศษตัวนี้จากเพื่อนเศรษฐี เพื่อนก็บอกปัดไม่ยอมขาย เศรษฐีเจ้าเล่ห์ก็บอกว่า ถ้าขายนกวิเศษตัวนี้ให้แล้ว เมื่อสมบัติที่ใช้หมดแล้ว จะไปหาได้ที่ไหนอีก จึงทำเป็นอิดออดไม่ยอมขาย

เมื่อหมดหนทางแล้ว เศรษฐีขี้เหนียวจึงเสนอสมบัติของตัวเองทั้งหมดแลกกับนกวิเศษตัวนี้ และก็บอกเพื่อนว่า ขอให้ผมได้มีความสุขอย่างเพื่อนบ้างเถิด ขอให้เพื่อนได้เห็นใจด้วยเถิด

เราคบกันมาก็นานแล้ว ผมไม่เคยขอร้องใครๆ เลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ขอให้เพื่อเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเถิดนะ เศรษฐีเจ้าเล่ห์จึงตกลงขาย เมื่อเศรษฐีเจ้าเล่ห์ได้สมบัติของเศรษฐีขี้เหนียวแล้ว จึงยกนกวิเศษตัวนี้ให้เพื่อนไป

ตัวเองก็รีบขนของหนีไปต่างเมืองทันทีครั้นเศรษฐีขี้เหนียวได้นกวิเศษตัวนี้มา จึงเริ่มให้นกหาสมบัติให้ทันที โดยถามว่า “นกๆ ที่นี่มีสมบัติไหม” นกก็บอกว่า “ไม่ต้องสงสัยหละ”

เศรษฐีก็ให้บริวารขุดลงไป จนลึก 1 โยชน์แต่ก็ไม่มีอะไร (1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร) จึงคิดว่า ต้องมีอะไรผิดไปแน่ จึงถามใหม่ “นกๆ ที่นี่มีสมบัติไหม” นกก็บอกว่า “ไม่ต้องสงสัยหละ”

เศรษฐีจึงให้บริวารขุดลงไปใหม่ แต่ก็ไม่พบอะไร จึงปลอบใจตนเองว่า ไม่เป็นไรคนเราก็ต้องทำอะไรผิดไปได้บ้าง สัตว์ก็เหมือนกัน จึงถามใหม่ “นกๆ ที่นี่มีสมบัติไหม” นกก็บอกว่า “ไม่ต้องสงสัยหละ”

เศรษฐีก็ให้บริวารขุดลงไปใหม่ คราวนี้ขุดลึกและกว้างกว่าเก่า แต่ก็ไม่พบอะไร จึงรู้สึกโมโหมาก และคิดว่า ตนเองคงจะถูกเพื่อนหลอกเข้าแล้ว จึงถามนกว่า “นกๆ มึงหลอกกูหรือ” นกก็บอกว่า “ไม่ต้องสงสัยหละ”

เศรษฐีรู้สึกเจ็บใจ และแค้นสุดขีด จึงจับนกตัวนี้ทอดกินด้วยความแค้นใจมาก คนเราถ้าไม่มีความโลภ อยากได้ของของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรานี้ ก็จะไม่พบเหตุการณ์แบบนี้ เพราะความโลภแท้ๆ จึงต้องหมดเนื้อหมดตัว

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” และก็ให้มีความสันโดษ มีความพออกพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และให้มีความขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้านในหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ช่วยเหลือตนเอง และผู้อื่น ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพียงฝ่ายเดียว ขอจบเพียงแค่นี้ก่อนครับ...

“ขอให้ทุกๆท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรม ละความโลภ โกรธ หลง ได้ในภพชาตินี้เถิด”สาธุ...
 
ขอขอบคุณที่มาครับ...http://board.agalico.com/showthread.php?t=26965

72
                               


คนขาดสตินั้นมีตัวอย่างให้เห็นมากมายดังเช่น  มีเรื่องเล่า  มียายคนหนึ่งแกชื่อยายม้อย  วันนั้นเป็นวันพระแกเตรียมจะไปทำบุญที่วัด  แต่ก่อนที่จะไปวัดแกก็จะต้องใส่บาตรพระก่อน  พอดีวันนั้นพระมา ๓ องค์  ซึ่งปกติพระมาบิณฑบาตองค์เดียว  พอยายเห็นพระมาบิณฑบาต ๓ องค์ แกก็ตกใจ  เพราะเตรียมอาหารไว้ชุดเดียว  แกก็เลยตะโกนเรียกลูกสาวว่า  “อีหนูเอ๋ยเอาปลาทูมาเพิ่มอีก ๒ องค์ วันนี้พระมา ๓ ตัว “ นี่ยายม้อยขาดสติพูดผิดเรียกพระเป็นตัว  ส่วนปลาทูกลายเป็นองค์  และหลังจากใส่บาตรเสร็จแกก็ไปวัดโดยพาหลานสาวไปด้วย  พอไปถึงวัดหลานเห็นขนมมากมายก็หิว  จึงร้องบอกยายว่า  “ยายกินหนม ๆ  “  ยายก็บอกว่า “ เดี๋ยวคอยก่อนให้พระท่านฉันก่อน”  สักพักหนึ่งหลานก็มาสะกิดยายอีกว่า  “ ยายกินหนม ๆ “  ทีนี้ยายแกก็โมโหหลานเลยตะคอกออกไปว่า  “เอะนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง  เดี่ยวมึงค่อยฉันให้พระแดกก่อน”    นี่ยายม้อยก็ขาดสติอีก  พระจะ  “ฉัน”  ยายแกดันไปพูดเป็นว่า  “พระแดก”  เสีย  เห็นไหมว่าขาดสติไม่ดีเลย...


ขอขอบคุณที่มาครับ... http://www.geocities.com/watprempracha/nitan/kadsati.htm
 
 
 

73
   
                           


หญิงวัยกลางคนนางหนึ่ง บรรจงจัดของใส่ห่อผ้า แล้วบอกบุตรชายว่า “ลูกรัก เจ้าจงนำห่อนี้ไปมอบให้ท่านลุง เพื่อนของพ่อเจ้าที่เมืองหลวง ผู้ที่เปี่ยมไปด้วย คุณธรรมและความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของพ่อเจ้า เขาเองก็รักใคร่นับถือบิดาผู้ซื่อสัตย์ของเจ้ายิ่งนัก และเคยกล่าวไว้ว่าหากพ่อเจ้ามีบุตรชาย เขาจะรับไว้เป็นศิษย์”

ชายหนุ่มรับห่อของมา ขณะที่มารดาย้ำว่า “ในห่อนี้มีหมั่นโถวสามลูกที่แม่ปรุงตามตำรับของตระกูลเรา มีน้ำสมุนไพรบำรุงสุขภาพที่พ่อกับท่านลุงชอบดื่ม และสุดท้ายคือจดหมายจากลายมือของพ่อเจ้า ท่านลุงเห็นแล้วจะรู้ทันทีว่าเจ้าเป็นใคร”

ชายหนุ่มรับคำมารดาอย่างแข็งขันและออกเดินทางด้วยความตั้งใจจะศึกษาวิชาต่างๆ ระหว่างทางชายหนุ่มผ่านหมู่บ้านที่อดอยากแร้นแค้นจากภัยธรรมชาติ เขาพบเด็กน้อยผอมโซร้องขอทานด้วยเสียงแผ่วเบา

“ท่านผู้ใจดี โปรดทำทานด้วยเถิด ข้าหิวเหลือเกิน”
ชายหนุ่มนึกถึงหมั่นโถว 3 ลูกในห่อผ้า “เราแบ่งให้เด็กที่น่าสงสารสักหนึ่งลูก ก็ยังเหลืออีกถึงสองลูกสำหรับท่านลุง” คิดแล้วชายหนุ่มจึงหยิบหมั่นโถวให้เด็กน้อยไปด้วย ใจกรุณา

ไม่นาน เขาก็พบชายชรานอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ข้างบ่อน้ำที่แห้งขอด ชายหนุ่มจึงแบ่ง น้ำสมุนไพรให้ชายชราดื่มแก้กระหาย และเขาก็ได้พบผู้หิวโหยและขาดอาหารอีกหลายคน จนไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้โดยไม่ช่วยเหลือ ในไม่ช้าทั้งหมั่นโถวและน้ำสมุนไพรก็หมดลง

“ไม่เป็นไร ข้ายังเหลือจดหมายของท่านพ่ออีกหนึ่งฉบับ”

แต่ก่อนจะถึงเมืองหลวง เขาก็พบหญิงคนหนึ่งกำลังร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนกเพราะลูกของนางตกน้ำ ชายหนุ่มรีบกระโจนลงไปช่วยเด็กน้อยขึ้นมาได้ทันท่วงที ทำให้จดหมายขาดเปียกยุ่ยหมด เขาจึงไม่เหลือสิ่งใดเลยที่จะไปให้กับท่านลุง

“แต่ข้ายังเหลือตัวข้าและความซื่อสัตย์ที่ไม่มีวันหมดไป” ชายหนุ่มกล่าวกับตัวเอง และเมื่อไปถึงเขาก็เข้าไปพบเพื่อนของบิดาอย่างกล้าหาญ พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

“ข้าไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บอกว่าเป็นลูกของพ่อ ท่านลุงจะไม่รับข้าเป็นศิษย์ก็ได้” ชายหนุ่มพูดจบก็เตรียมจะกลับ แต่ขุนนางใหญ่ผู้เป็นเพื่อนบิดายกมือห้ามไว้

“ตัวเจ้า ความซื่อสัตย์ กล้าหาญและมีน้ำใจของเจ้านั่นแหละคือหลักฐาน เจ้าจงมาเป็นศิษย์ของลุงเถิด”
..........
ไม่ว่ายุคสมัยใด สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในความดีและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คำสอนใน พุทธศาสนาที่ว่า “ทำดีได้ดี” นั้น จะเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดกาล


ขอขอบคุณที่มาครับ...http://www.tamdee.net/db/forum_posts.asp?TID=411

74
 

 


พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ จ.อุดรธานี


การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก


การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือน ๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมา เคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา

ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้น และเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้

๑. น้ำลึกเงาลึก
๒. น้ำลึกเงาตื้น
๓. น้ำตื้นเงาลึก
๔. น้ำตื้นเงาตื้น

ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น

ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก นั้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง

ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย

ข้อ ๓ น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที

ข้อ ๔ น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง


ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที

ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อศาสนาล่วงเลยมาจนบัดนี้แล้ว ความคิดเห็นของแต่ละท่านก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินอยู่เสมอว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้เลย เพราะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ก็ยังมีผู้เชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่ก็มีน้อยองค์ จะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาไม่ได้ ดังคำว่า เมื่อใดยังมีผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ เมื่อนั้นจะไม่ขาดจากพระอรหันต์ ถึงจะมีพระอรหันต์ หรือพระอริยเจ้าขั้นอื่น ๆ น้อยก็ตาม ก็ยังนับว่ายังมีอยู่นั้นเอง ถ้าหากมีคำถามว่า ในยุคนี้สมัยนี้ถ้าหากยังมีพระอรหันต์อยู่จริง ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก็บอกแล้วว่าดูยากมาก ถ้าหากจะดูจริง ๆ ก็ดูอัฐิของหลวงพ่อต่าง ๆ ที่ถูกเผาไปก็แล้วกัน ถ้าอัฐินั้นได้แปรสภาพเป็นเม็ดใสเหมือนกับเมล็ดงา หรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักจากเผาไปแล้วไม่นานนัก นั้นแหละคือพระอรหันต์โดยแท้ ส่วนพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน อัฐิยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะมีกิเลสภายในใจละยังไม่หมด บางท่านยังเข้าใจว่า อัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุตั้งแต่ภูมิธรรมพระโสดาบันขึ้นไป

ความเข้าใจอย่างนี้ไม่มีประวัติในครั้งพุทธกาลเลย ถ้าเช่นนั้น พระโสดาบันผู้ที่จะไปเกิดอีก ๗ ชาติข้างหน้าโน้น แต่ละชาติภูมิธรรมก็ไม่ได้เสื่อมไปจากใจ เมื่อตายไปแต่ละชาติ อัฐิก็จะกลายเป็นพระธาตุทุกชาติไปอย่างนั้นหรือ บางท่านก็เข้าใจว่า การอธิษฐานให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุก็เป็นได้ นี้ความเข้าใจของคนเรา จึงมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินว่า อัฐิของหลวงปู่องค์นั้นได้แปรสภาพเป็นพระธาตุขึ้นมาแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็สวนขึ้นมาทันทีว่า เรื่องไร้สาระหาวิธีหลอกประชาชนให้งมงาย คนประเภทนี้ก็มีอยู่ในโลก ไม่ยอมรับความจริงจากใคร ๆ ไม่ว่าในยุคนี้หรือครั้งพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าของเรา ก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง ฉะนั้น ในโลกนี้จึงเกิดลัทธิขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นคณะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ก็พยายามปกป้องในกลุ่มตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โจมตีกันไปว่าฝ่ายโน้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ไป ในที่สุดก็เกิดสงครามน้ำลายกัน หรือมากกว่านี้ก็ใช้เครื่องทุ่นแรง มีปืน มีระเบิดเข้าถล่มกัน ล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย ลักษณะอย่างนี้นับวันจะเกิดความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่คือความแปรปรวนที่เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อถึงกาลเวลาแล้วจะต้องเป็นไปในตัวของมนุษย์เอง อาวุธทุกประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็เพื่อสังหารในหมู่มนุษย์กันเองมิใช่หรือ

ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ปัญญาชนผู้มีเหตุผลเป็นส่วนตัว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนไปในสังคมโลก จะเบี่ยงเบนไปในทางทิศใด ถ้าหากเราจะพิจารณาย้อนหลังลงไปสัก ๕๐ - ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว มาเปรียบเทียบดูในสังคมยุคปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วให้คาดการณ์ล่วงหน้าไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีข้างหน้า ก็จะรู้ว่าสังคมในหมู่มนุษย์ทั่วโลกย่อมมีการเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต บุญกุศลใดที่เราจะพึงทำในขณะนี้ก็รีบทำเอาเสีย เพราะไม่รู้ว่าชีวิตเราจะหมดไปเมื่อไร เมื่อถึงวันนั้นแล้วจะปรับตัวไม่ทัน ดังเราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เอง และบุญกุศลที่ได้พิมพ์หนังสือประวัติหลวงพ่อทูลในครั้งนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมในชาติปัจจุบันนี้เทอญ.
                                                                                      __________________

ขอขอบคุณที่มา...
http://board.agalico.com/showthread.php?t=33944

75
ของพระมหาเมธังกร วัดน้ำคือ จ. แพร่ครับ ขอบคุณครับ  :070:

76
เชื่อหรือไม่มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 13,687 วัน เท่านั้นเอง

*ผู้ที่อ่านบทความนี้จนจบ จะรู้สึกเลยว่า เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที มันช่างมีค่า และความหมายมากเพียงใด และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่เราปล่อยผ่านไปปล่าวๆ ให้กลับคืนได้อีกเลยตลอดกาล*

สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ในยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุขัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี

อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที

เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ

(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ

วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น

เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก


มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันเถอะ


แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า " เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ " โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้ท่านคิดเช่นนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ อดีตชาติของท่านอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่ท่าน "จุติ" จากชาติที่แล้ว จนท่านมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าท่านจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือกตาย"


โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)

การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ

เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ

1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป ที่มีอาการครบ 32 (ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ ประเทศเนปาล-อินเดีย นะครับ)
2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ ในอนาคตกาล)
3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา "สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่งจะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน")


พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)

1) ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
2) สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
3) ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16")
4) อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
5) ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
6) ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7) ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8) ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
9) ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
10) ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี-พระศรีอริยเมตรไตรย์มี , เชื่อว่าทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้-เอาไปได้แค่บุญกุศล , ร่างกายมนุษย์มีไว้สร้างบุญบารมี-ไม่ได้เอาไว้หาความสุขสำราญ)


อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย


โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริงและค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย



ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น


ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ


โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!


*ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะครับ !!!*


**ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก**


***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มันให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ ..

หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ" ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ***




"ญาณ ๑๖" ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นพระอริยะบุคคลระดับ "พระโสดาบัน"
ขอขอบคุณมี่มาจาก...http://www.larnbuddhism.com/webboard/index.php?topic=179.0

77
มาให้ชมเพิ่มเติม... ลูกกรอกกุมารทองสามหัว

78
พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

1.ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี)      วอนขออะไร
 

2.วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้      กลุ้มเรื่องอะไร
 

3.ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์      เคารพทำไม
 

4.พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา      ทะเลาะกันทำไม
 

5.ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต       ห่วงใยทำไม
 

6.ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ      ร้อนใจทำไม
 

7.ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย       ทุกข์ใจทำไม
 

8.ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้       อวดโก้ทำไม
 

9.อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร      อร่อยไปใย
 

10.ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้      ขี้เหนียวทำไม
 

11.ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง       โกงกันทำไม
 

12.โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย       โลภมากทำไม
 

13.สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต       ข่มเหงกันทำไม
 

14.ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน       หยิ่งผยองทำไม
 

15.ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต      อิจฉากันทำไม
 

16.ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ       แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
 

17.นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ      เล่นการพนันทำไม
 

18.ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น      สุรุ่ยสุร่ายทำไม
 

19.จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น      อาฆาตทำไม
 

20.ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก       คิดลึกทำไม
 

21.ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้       รู้มากทำไม
 

22.พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด       โกหกทำไม
 

23.ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด       โต้เถียงกันทำไม
 

24.ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด       หัวเราะเยาะกันทำไม
 

25.ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา       แสวงหาทำไม
 

26.ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ       ถามโหรเรื่องอะไร
 

27.ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย       วุ่นวายทำไม

ขอบคุณที่มาครับ...  http://teacher.pk.ac.th/tangmo/buddhism/pray/jikong.html
 

79




 หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้หลายสิ่งกลับมามากขึ้น

- ลดความโกรธให้น้อยลง คุณได้สติกลับมามากขึ้น++

- ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณได้เงินเก็บมากขึ้น++

- ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น++

- ลดการพูดให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++

- คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณเข้าใจคนที่รักคุณมากขึ้น++

- รักตัวคุณเองให้น้อยลง คนอื่นรักคุณมากขึ้น++

- พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น++

- แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น++

- ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น++

- นอนให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++

- คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณยิ้มได้มากขึ้น++

- ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น++

- ดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น++

- เชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น++

- ลดทิฐิให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น++

- กระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น++

- ก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น++

- เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น++

- ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น++

- เป่าลมออกให้น้อยลง คุณสูดลมเข้าได้มากขึ้น++

- คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็นคำตอบมากขึ้น++


.....แล้วคุณลดอะไรไปบ้างแล้วล่ะ.....

 

 
ขอบคุณที่มาครับ... http://www.yehyeh.com/webboard/question_detail.php?question_id=8927

80
                                                                                                                                                                                                                                                   ลูกกรอกกุมารทองสองหัว หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม

81






พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่า
ทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบ กิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน




กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม




แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะ
หลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึง
บุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???




มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน
พร้อมกับคิดว่า
การกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้ว





ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน
แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งาน
โดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใด
แม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา
24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้




ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลา
ให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงิน
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า ...




ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอก
เพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น




8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต
8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อน
เก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้
5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ
2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง
59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคม




และ 1 นาทีของคุณ
ที่ มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น




จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... '
เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์
มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้




24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจก
มีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที




ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา '
จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง
ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา '
เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลา




มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียว
แต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิต
ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัว




วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง
ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทาง
มิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต




นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา '
แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า
' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ?






ขอขอบคุณบทความจากเว็บพลังจิตมากเลยนะครับ

82
บทความ บทกวี / ตะกรุดสามดอก
« เมื่อ: 10 ธ.ค. 2552, 11:05:45 »
                                                                                         

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีชายชาวลานนาคนหนึ่ง อยู่กับพ่อผู้ยังชีพด้วยการทำสวน แม่ของเขาตายเสียตั้งแต่เมื่อเขายังจำความไม่ได้ ความสงสารลูกประกอบทั้งความยากจน ชายผู้พ่อก็มิได้แต่งงานใหม่ เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ด้วยมือของตัวเอง ช่วยกันรดน้ำพรวนดิน เก็บพืชพักผลไม้ขาย บางทีก็อดมื้อกินมื้อ ฐานะขัดสนพยายามเลี้ยงลูกชาย มาจนลูกชายนั้นอายุได้ 15 ปี
อยู่มาวันหนึ่ง ชายผู้พ่อรู้สึกตัวว่าไม่สบายมาก และมีลางสังหรณ์ว่าตัวนั้น คงจะอยู่ได้ไม่นาน จึงมีความเป็นห่วงลูกชายเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังโตไม่พอที่จะเลี้ยงตัวได้ ชายผู้พ่อแข็งใจทำตะกรุดขึ้น 3 ดอก เป็นกะกรุดใหญ่ ถักเชือกขั้นเป็นเปราะ 3 ดอก แล้วยื่นให้แก่ลูก พลางบอกลูกด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า
"อ้ายหนู เอ็งเอาตะกรุดนี้แขวนคอไว้ อย่าให้ถอดออกจากตัวได้ เมื่อไหร่เอ็งตกยากเข้าที่อับจน เอ็งก็แกะตะกรุดดอกแรก ทางขวามือออกคลี่ แล้วอ่านจารึกในตะกรุดดู ความทุกข์ยากจะหายไปทั้งสิ้น หมดบุญพ่อแล้วก็มีแต่ตะกรุดนี่แหละ ที่จะคอยช่วยเหลือเอ็งได้"
ลูกชายเอื้อมมือไปรับเชือกที่ร้อยตะกรุด 3 ดอก พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง แข็งใจตอบไปตามคำสั่ง ไม่ต้องห่วงฉันดอก หลับเสียบ้างจะได้พัก แล้วจะได้หายเจ็บ ว่าแล้วชายหนุ่ม ก็เอาสร้อยเชือกเส้นนั้นแขวนที่คอไว้
แล้วในที่สุดพ่อเขาก็ตาย ลูกชายจึงจัดการเผาศพพ่อตามประเพณี อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเสร็จพิธีศพพ่อแล้ว ชายหนุ่มมาคิดว่า "เราจะอยู่ที่เก่าทำสวนกินคนเดียว คงเป็นไปไม่ได้ เราไปหากินตายเอาดาบหน้าจะดีกว่า พ่อก็ดูเหมือนอยากจะให้เราทำอย่างนั้น"
คิดแล้วชายหนุ่มก็เก็บข้าวของห่อผ้าขาวม้า ออกเดินมุ่งหน้าลงมาทางใต้ เขาไปที่ไหนก็พยายามหางานทำ โดยไม่เลือกงาน แต่ก็หาไม่ได้ เร่รอนผ่านเมืองต่างๆ ลงมาหลายเมือง เงินทองเล็กๆ น้อยๆ ที่พ่อทิ้งไว้ให้และเอาติดตัวมา ก็ร่อยหรอจนหมดตัว ต้องเอาแรงงานแลกข้าวชาวบ้านกิน
วันหนึ่งเขาไปขอข้าวบ้านใครกินไม่ได้ เพราะแต่ละบ้านก็ยากจนด้วยกันทั้งนั้น ผ่านลำธารหรือคลอง เขาก็ก้มลงช้อนน้ำกินดับความหิว ในที่สุดหิวจนทนไม่ได้ เกิดอาการหน้ามืดเดินต่อไปไม่ไหว เขานึกถึงคำที่พ่อสั่งขึ้นมาได้ เขาจึงแก้ตะกรุดลูกที่ 1 ออกมาคลี่ดู
ปรากฎว่าเขาอ่านตัวอักษรในตะกรุดนั้นไม่ออก ต้องไปขอให้สมภารวัดข้างทางอ่านให้ คาถาในตะกรุดนั้นเขียนไว้แปลได้ว่า "หากเห็นพระสงฆ์องค์ใดอยู่ใกล้ๆ ให้ขอข้าวสุกท่านกิน และขออยู่กับท่าน"
พระผู้อ่านจารึกในตะกรุด จึงชวนชายหนุ่มให้อยู่ที่วัดเสียระยะหนึ่งก่อน จะได้มีทั้งที่กินและที่นอน ไม่ต้องตุหรัดตุเหร่ต่อไป ชายหนุ่มก็ปรนนิบัติพระ ด้วยความขยันขันแข็ง จนพระสมภารเกิดความเมตตาสอนหนังสือให้ จนอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ชายหนุ่มจึงคิดในใจว่า
"พระอาจารย์ก็มีความเมตตากรุณาตัวเราเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราจะอยู่อย่างนี้ ก็คงจะต้องเป็นลูกศิษย์พระไปจนตาย จะลองนำความคิดนี้ไปปรึกษาพระอาจารย์ดู"
พระอาจารย์เมื่อฟังลูกศิษย์ปรารภก็เกิดเห็นด้วย จึงอนุญาตให้เขาลาเดินทางผจญโชคต่อไป แต่โชคไม่ช่วยทั้งๆ ที่เขาเป็นคนดี และขยันขันแข็ง ยิ่งเดินทางไปๆ ก็ยิ่งจนลงๆ หางานอะไรทำก็ไม่ได้ จะถึงต้องอดมื้อกินมื้อ จนในที่สุดเดินไม่ไหว เขาจึงตัดใจแกะตะกรุดดอกที่สองออกมา คลี่อ่านข้อความในตะกรุดนั้นเป็นภาษาหนังสือธรรมดา บอกไว้ว่า
"ต้นไม้เป็นเงินเป็นทอง" ชายหนุ่มเข้าใจความสั้นๆ นี้เป็นอย่างดี จึงเข้าป่าตัดฟืนมาขายได้เงินทองมาซื้ออาหารกิน เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ สิ้นทุกข์ไปอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดฟืนก็หมดป่า ทำให้เขาตกอับต้องยากจนอย่างเดิมอีก เมื่อหมดหนทาง เขาจึงแกะตะกรุดดอกสุดท้ายออกมาคลี่ดู ความที่จารึกไว้สั้นๆ มีว่า
"ของที่แน่นอนอยู่ในไร่" พออ่านจบเขาก็เข้าใจทันที เสียใจที่ตนทิ้งไร่และสวน อันเป็นสมบัติของพ่อแม่เสีย หากเขาหยุดการเร่ร่อน กลับไปยังที่ดินของตัว หักล้างถางพง เริ่มทำสวน ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ทำจริงจัง หยุดเร่ร่อนก็จะตั้งหลักแหล่งได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเกิดความปลอดโปร่งใจ รีบเดินทางกลับมาอยู่บ้านเดิม ชาวบ้านแถวนั้นก็คุ้นเคยกันมาก่อน เดินผ่านบ้านไหนต่างก็เรียกชายหนุ่ม ให้ขึ้นไปกินข้าวบนเรือน และมิได้เรียกแต่ปาก ขยั้นขยอให้ร่วมรับประทานอาหาร ตามอัธยาศัยของชาวบ้านไทย ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไป และที่ตนตัดสินใจทิ้งถิ่นเดิม ไปในที่ใหม่ ขาดทั้งความจัดเจนในพื้นที่ ขาดทั้งคนชอบพอคุ้นเคยเพื่อนและญาติ จึงทำให้เขาต้องลำบากอยู่นาน
หลังจากได้รับความอบอุ่น จากการต้อนรับของเพื่อนบ้าน ที่รู้ว่าเขาเป็นคนกำพร้าทั้งพ่อและแม่ เขาก็เกิดกำลังใจ หักล้างถางพง ชาวบ้านก็นำเอาเม็ดพืชพันธุ์ มาบริจาคให้ตามมีตามเกิด
ไม่ช้าไม่นานเขาก็ได้เก็บผักขาย ต่อมาต้นไม้ทั้งเก่าและใหม่ก็ได้ผล หลังจากเขาแต่งงาน กับลูกสาวชาวบ้านหน้าตาหมดจด และขยันขันแข็งแล้ว สองคนผัวหนุ่มเมียสาวก็ช่วยกันทำมาหากิน จนเก็บเงินทองได้ ไม่ลำบากอีกจนตาย
ทั้งลูกชายลูกสะใภ้ ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อ เขาเอาตัวรอดได้เพราะตะกรุดของพ่อแท้ๆ เขาจะลืมบุญคุณ และความรักห่วงใย ของพ่ออย่างไรได้

ขอบคุณที่มา  http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=Budha_page&club_id=1078&table_id=1&cate_id=815&post_id=4271
 
 

83
เหล่าลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า “ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ” อาจารย์จึงพูดว่า “วันนี้พวกเราจะเรียนเรื่องธรรมดาๆและง่ายที่สุด” ให้ทุกคนแกว่งแขนไปข้างหน้าให้สุด แล้วแกว่งไปข้างหลังให้สุดเช่นกัน พระอาจารย์สาธิตให้ดู พร้อมกับกำชับว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้แกว่งแขนวันละ 300 ครั้ง ทุกคนทำได้หรือเปล่า ?”

เหล่าลูกศิษย์รู้สึกสงสัยจึงถามว่า “ทำไมต้องทำเรื่องอย่างนี้” พระอาจารย์ตอบว่า “หลังจากทำเรื่องนี้แล้ว ผ่านไปหนึ่งปี พวกเจ้าจะรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ” เหล่าลูกศิษย์คิดในใจว่า “เรื่องง่ายๆอย่างนี้ ทำไมถึงจะทำไม่ได้”

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พระอาจารย์ถามเหล่าลูกศิษย์ว่า “เรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มีใครยังทำอยู่หรือเปล่า? ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยังตอบอย่างมั่นคงว่า ยังทำอยู่ พระอาจารย์รู้สึกพอใจ พยักหน้าบอกว่า “ดีๆ”

และเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พระอาจารย์ก็ถามอีกว่า “ตอนนี้ใครยังทำอยู่อีก” ที่สุดก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่บอกว่าทำแล้ว

หนึ่งปีผ่านไป พระอาจารย์ถามทุกคนว่า "พวกเจ้าจงบอกซิว่า การออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนแบบง่ายๆ ยังมีใครยังคงทำอยู่ ?” ตอนนี้มีเพียงคนเดียว ที่ตอบว่ายังคงทำอยู่

พระอาจารย์จึงพูดว่า “อาจารย์เคยบอกกับพวกเจ้าว่า เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จ พวกเจ้าจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกพวกเจ้าคือ เรื่องที่ทำง่ายที่สุดในโลก บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด เรื่องที่ทำยากที่สุด ที่บอกว่าง่าย เพราะขอเพียงยอมไปทำ ใครๆก็สามารถทำได้

และที่บอกว่าเรื่องง่ายทำยาก ก็เพราะว่า คนที่ทำได้อย่างแท้จริง ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนจะทำได้

หลังจากนั้น พระรูปที่ทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายมีพระรูปนี้ที่ประสบความสำเร็จอยู่รูปเดียว


ขอบคุณที่มา   http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2389&page=2

84
บทความ บทกวี / "เบียดเบียนตนเอง"
« เมื่อ: 09 ธ.ค. 2552, 11:54:23 »
วันนี้แพรตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อลุกขึ้นมาทำกับข้าวใส่บาตรที่หน้าบ้าน อากาศยามเช้าเย็นชื่นใจ พระสงฆ์เดินอย่างสงบดูน่าเลื่อมใส แพรรู้สึกเป็นบุญที่มามีบ้านอยู่ในย่านที่มีวัดหลายวัด ทำให้มีพระออกบิณฑบาตรมาก ได้สัมผัสถึงวิถีชาวพุทธที่จะได้ทำบุญกับพระสงฆ์ในเวลาเช้า

          ตักบาตรเสร็จแล้วเข้าห้องพระนั่งสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิประมาณ 10 นาที พอจิตใจสงบดีแล้วแพรก็นั่งคิดพิจารณาธรรมเนื่องด้วยวันวานได้ฟังเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งสนทนากันว่า

          “ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็น่าจะพอแล้วจริงมั้ย”

          อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

          “คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

          อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

          “คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

          ในตอนแรก แพรยังนึกคำตอบไม่ค่อยออก เปิดตำราไม่ทันแต่ก็รู้สึกว่าคำสนทนาที่บังเอิญได้ยินมานั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว วันนี้แพรจึงนั่งสมาธิเพื่อจะค่อย ๆ พิจารณาคำตอบให้กับตัวเอง คิดถึงคำสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เคยสอนไว้ว่าอย่างไร

          การทำวันนี้ให้ดีที่สุด แน่นอน เป็นประโยคทองของนักพูด พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องคิดคร่ำครวญอยู่กับอดีต เพราะทำให้ทุกข์ใจ ไม่ต้องพะวงถืออนาคต เพราะจะกังวลใจ อนาคตเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ ไม่เป็นไปอย่างใจเราวางแผนไว้ฉะนั้น ก็คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเมื่อวันนี้ดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะมีอดีตที่ดีด้วยโดยอัตโนมัติ

          แต่ประโยคนี้ยังไม่จบใจความ ความหมายเต็ม ๆคือ

          “การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น”

          “การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” กับ “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด” นั้น ไม่เหมือนกัน ถ้ามีเพื่อนชวนไปกินเหล้า การทำวันนี้ให้ดีที่สุด อาจจะเป็นการไปกินเหล้ากับเพื่อนให้เมาที่สุด สนุกที่สุดก็ได้ ก็เป็นการทำวันนี้ให้ดี คือ ไม่มีอะไรเศร้าหมอง เมาให้สนุก

          แต่ที่ถูกแล้ว ไม่ใช่

          การทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีด้วย เมื่อเพื่อนมาชวนไปกินเหล้า คำตอบมี 2 อย่าง ไปกับไม่ไป สิ่งที่ดีคือไม่ไป แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดี อาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้

          อันนี้ไปสอดคล้องกับประโยคที่ 2 ของเด็กกลุ่มนั้นที่ว่า “ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้เบียดเบียนตัวเอง แล้วก็หาความสุขได้”

          คนกินเหล้า แล้วมีความสุข กินด้วยเงินของตัวเอง เมาแล้วกลับไปนอนเงียบ ๆ อย่างมีความสุข มองดูแค่วันนี้ตรงนี้แล้วน่าจะเป็นการกระทำที่ปลอดภัย ใช้ได้ แต่ก็แค่วันนี้เท่านั้น

          การกินเหล้านั้นผิดศีล ถ้ายกเรื่องศีลออก การกินเหล้าก็เบียดเบียนสุขภาพของตนเอง เป็นการเบียดเบียนตนเอง แม้จะโดยเต็มใจ

          กรรมคือการกระทำ วิบากคือผลของกรรม ทุกกรรมที่ทำมีวิบาก นี่คือ กฎของกรรม

          กินเหล้าจะผิดศีล หรือไม่ถือศีล กรรมได้สำเร็จแล้ว วิบากเกิดไปรออยู่ในอนาคต เราสร้างอนาคตเลวรอตัวเราอยู่เบื้องหน้าตรงนี้เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง ทำให้ตัวเองต้องเดินไปพบสิ่งเลวที่สร้างไว้

          ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน คำนี้พูดกันเท่ คือคำว่า เดือดร้อนในความหมายของพวกเรา คนชอบเถียง ต้องเป็นขนาดขับรถชนคนตายเสียก่อน จึงจะเรียกว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถ้าชนต้นไม้ยังไม่ถือว่าทำให้ใครเดือดร้อน

          แน่ใจหรือว่าคนรอบข้างที่รักเรา ไม่มีใครสักคนที่เดือดร้อนใจ เป็นทุกข์ที่เรากินเหล้า

          แล้วเงินที่กินเหล้า เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง และครอบครัวมากขึ้น น่าจะดีกว่าหรือเปล่า หรือว่าตัวใครตัวมัน

          ส่วนท้ายประโยคที่ว่า "….แล้วก็หาความสุขได้" นั้น

          ในเส้นทางแห่งพุทธไม่มีคำว่าสุขที่แท้จริง มีแต่ทุกข์น้อย กับ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยก็เป็นสุขแล้ว ความสุขมีหลายระดับ ตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อย สุขร้อยคือนิพพาน สุขเก้าสิบคืออนาคามี สุขแปดสิบคือ สกิทาคามี สุขเจ็ดสิบคือ โสดาบัน สุขหกสิบคือ กัลยาณปุถุชน สุขห้าสิบคือ คนดีปกติ สุขสี่สิบลงมาถึงศูนย์คือสุขของปุถุชนระดับที่ว่า “เมาแล้วมีความสุขดีนี่นา ทำไมว่าทุกข์ ไม่เข้าใจ พูดเรื่องอะไร” ทำนองนั้น

          ระดับต่าง ๆ ที่แพรแบ่งเอง เพื่อความเข้าใจของตัวเองไม่มีในตำรา

          การที่เด็กคนนั้น บอกว่า “คนเราหาความสุขได้ ไม่ผิด” นั้น ถ้าคิดแบบปุถุชนคนยินดีพอใจเวียนว่ายตายเกิดชั่วกับชั่วกัลป์อยู่ในสังสารวัฎนี้ ก็เป็นคำพูดที่จริงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าสำหรับคนปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่จริง

          ในศาสนาพุทธแบ่งโลกนี้ออกเป็น 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ความหมายคือ ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความเพลิดเพลิน พอใจแก่จิตใจ เรียกว่าโลภะหมด เช่นกินก๋วยเตี๋ยวใส่พริกน้ำส้มเผ็ด ๆ โอ๊ย อร่อยชะมัด ชอบ นี่เป็นโลภะแล้ว คือจัดอยู่ในหมวดเกิดความพอใจแก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใดทางหนึ่ง

          ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความโกรธ ความโทมนัส เศร้า เสียใจ ร้องไห้ ศัพท์ท่านยกให้โทสะ

          ส่วนโมหะ คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง อย่างที่เราคิดว่าสุขนี่แหละ เป็นต้น

          เวลาเรามีความรัก เราคิดว่าเรามีความสุข แต่ที่จริงแล้วมันคือช็อกโกแลตสอดไส้ความทุกข์ไว้ข้างใน พอรักแล้วก็อยากให้เขาเอาใจเรา ไม่อยากให้เขาคุยกับใคร หึง หวง พอเขาหายไปก็เสียใจ พอเขาโผล่มาก็ดีใจ อารมณ์แห่งกิเลสเข้ามาขย้ำหม่ำกินหัวใจเราเข้าไปเท่าไหร่ ๆ เราก็ยังชื่นใจว่ามีความสุขจากการมีความรัก บางทีน้ำตาไหลก็ยังเดินตามเขาไปต้อยๆ หวังว่าเขาจะหันกลับมาแล้วกอดเราปลอบใจ

          ความสุขของชาวพุทธ คือการเรียนให้รู้จักตัวทุกข์ รู้จักตับไตไส้พุงของโลภะ โทสะ โมหะ เพื่อจะขึ้นไปอยู่เหนือมันให้ได้ ไม่ยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้ามัน ให้มันย่ำยีเล่น

          ความสุขของชาวโลก บางครั้งดูเหมือนไม่น่าอันตรายอะไร ยกตัวอย่างเช่น การดูหนัง ฟังเพลง

          ในชาดกเล่าว่า ตระกูลฟ้อนรำ ฟ้อนรำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ถึงรุ่นหลาน กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะได้ไปสวรรค์ชั้นไหนเพราะให้ความสุขเพลิดเพลินแก่ผู้ชม พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องไปตกนรก เพราะชาวโลกมีโลภะ โทสะ โมหะ เพลิดเพลินอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขามัวเมาเพลิดเพลินหนักเข้าไปอีก นับว่าเป็นบาป

          ในการถือศีล 5 จะไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องดูหนัง ฟังเพลง แต่ในการถือศีล 8 จะมีข้อหนึ่งที่ให้งดการดูหนัง ฟังเพลง เพราะเป็นเหตุแห่งกิเลสคือโลภะ

          ทั้งนี้เพื่อเป็นการขัดเกลา ฝึกหัดตนเองให้ทวนกระแสไม่หลงใหลไปกับเสียง พัฒนาจิตใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนได้รับสุขอันประณีตกว่า ๆ ไม่ต้องอาศัยเสียงเพลงมาช่วยให้มีความสุข

          คนที่หัดเข้ามาสู่เส้นทางธรรมใหม่ ๆ และชอบดูหนัง ฟังเพลง ก็ไม่ถึงกับต้องเบรกเอี๊ยดเลิกจนหัวคะมำ และรู้สึกสงสัยว่าห้ามความสุขไปเสียทุกอย่างแล้ว ธรรมะจะนำชีวิตที่ร่าเริงไปสู่ความเป็นตอไม้ที่เงียบงัน

          ท่านให้ฝึกหัดโดยทำเคียงคู่กันไป ฟังเทปธรรมะบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง หัดเข้าสมาธิภาวนาพุทโธอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ บ้าง แล้วว่าง ๆ ก็ฟังเพลงไปบ้าง

          แต่พอนาน ๆ เข้าจิตใจจะพัฒนาเอง มันจะเทียบเคียงของมันได้เอง รู้เอง เข้าใจเอง ว่าความสุขเมื่ออยู่กับธรรมะเป็นความสุขสงบที่สูงกว่าประณีตกว่า ทำให้การฟังเพลงจะลดลงไปเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะเริ่มมองเห็นว่า การมานั่งฟังเนื้อร้องอันคร่ำครวญหวนไห้ มีแต่เรื่องอกหักรักร้างไปตามอารมณ์ของโลกียชนนั้นเป็นการเสียเวลา จิตใจมันจะอยากอยู่กับสุขอันประณีตที่ได้รู้จักแล้วว่าธรรมะมากกว่า

          ดังนั้น แพรสรุปให้ตัวเอง ควรจะเปลี่ยนประโยคแรกจาก “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” มาเป็น “ทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” สิ่งที่ดีที่สุดอาจจะไม่ถูกใจเช่นอดกินเหล้า แต่ก็ถูกต้อง คือไม่ผิดศีลและไม่เบียดเบียนตัวเอง และคนที่รักเรา

          และประโยคที่สองที่ว่า “ถ้าเราไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็หาความสุขได้” อันนี้ก็ต้องมองยาวไกลว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง ทั้งในวันนี้และอนาคต ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งทางกายและใจในวันนี้และอนาคต แล้วก็หาความสุขได้โดยเป็นความสุขที่แท้จริงตามคำสอนของธรรมะ ไม่ใช่ความสุขแบบที่เราพอใจข้างเดียว ข้างกิเลสเสียด้วย คิดว่าถูกแล้ว เพราะไม่รู้ธรรมะ เป็นความสุขที่อาจจะนำเราไปสู่อบายภูมิได้

          แพรรู้สึกเหมือนได้ทบทวนตำราที่เรียนมา พิจารณาแล้วก็รู้สึกดี ได้เตือนตัวเองเกี่ยวกับข้อธรรมขึ้นมาบ้าง ทำให้เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ดีมาก ๆ อีกวันหนึ่ง

          แพรก้มกราบขอบพระคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ที่ได้สอนให้เข้าใจสิ่งดี ๆ ของโลกและชีวิต และเป็นแสงสว่างนำทางเดินไปสู่ชีวิตที่ดีงาม ทั้งวันนี้และวันหน้า.
 
 

 

ขอบคุณที่มาจากหนังสือ ช้อปปิ้งบุญ ของคุณขวัญ เพียงหทัย

85
ขอบคุณครับ...ที่นำมาให้ชมเป็นบุญตา ชอบครับ 25;

86
ชอบครับ...ขอบคุณครับที่นำเสนอสิ่งดีๆ

87
คาถาอาคม / ตอบ: คาถานักเลง
« เมื่อ: 08 ธ.ค. 2552, 12:53:15 »
ชอบครับ...คาถานี้ดีจริงๆ ขอบคุณครับ 25;

88
ชอบครับ...ขอบคุณท่านขุนแผนที่ลงประวัติสมเด็จโต วัดระฆัง                                                                                                                                                     ชื่อใหม่เท่ดีนะครับ...สงสัยจะเสน่ห์สุดยอด  อิ อิ                                                                                                                                                                           ขอบคุณครับ :074:

89
บทความ บทกวี / ทศพิธราชธรรม
« เมื่อ: 04 ธ.ค. 2552, 09:43:29 »


 
 
               ราชธรรม ๑๐ ประการ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญมาโดยสม่ำเสมอ ได้แก่ ทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเพียร ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน และความเที่ยงธรรม ราชธรรม ๑๐ ประการนี้เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม"






 


๑.ทาน
 
  ©   หนึ่งท้าวประกอบมนสะเอื้น      อนุเคราะหะอวดทาน
      เพื่อชนนิกรสุขะสราญ              ฤดิเพื่อ บ่ ยากจน จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

         

          นับแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมีมากมายจนเหลือที่จะพรรณนาได้สุดสิ้น ครบถ้วนทั้งสองประการ คือ “ธรรมทาน” ซึ่งถือเป็นทานอันเลิศทางพระพุทธศาสนา สามารถแก้ความทุกข์ยากขาดแคลนทางจิตใจ ทำให้ใจเป็นสุขและตั้งอยู่ในความดีงาม โดยได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแฝงด้วยคติธรรมเป็นเครื่องเตือนใจในเรื่องต่าง ๆ แก่พสกนิกรตามสถานะและวาระโอวาทอยู่เสมอ ในท้องถิ่นที่ต้องการความรู้ ได้พระราชทานความรู้และตรัสแนะนำในสิ่งอันจะทำประโยชน์มาให้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่จะทรงช่วยดับทุกข์ความเดือดร้อนในจิตใจของประชาชนทั้งมวล

          นอกจากธรรมทานแล้ว “อามิสทาน” หรือ “วัตถุทาน” ก็ทรงมีพระเมตตาคุณในพระราชหฤทัยเป็นล้นพ้น ได้พระราชทานพระราชทรัพย์และวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เพื่อแก้ความทุกข์ยากขาดแคลนทางกายให้แก่พสกนิกรเสมอมา

          ในการบำเพ็ญทางบารมีนี้ ได้ทรงบำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสองทุกประการ คือ ทรงบำเพ็ญครบถ้วนตามคุณสมบัติของทาน ๓ ประการ ได้แก่ คุณสมบัติของทานประการที่หนึ่ง คือ การพระราชทานให้แก่บุคคลที่สมควรได้รับการอนุเคราะห์โดยมิได้ทรงเลือกเชื้อชาติหรือศาสนา คุณสมบัติของทานประการที่สอง คือ ถึงพร้อมด้วยเจตนาโดยทรงมีพระเมตตาคุณเปี่ยมล้นในพระราชหฤทัยทั้งก่อนการพระราชทาน ขณะพระราชทาน และหลังการพระราชทานแล้ว คุณสมบัติประการที่สาม คือ วัตถุที่พระราชทานนั้นล้วนเป็นประโยชน์แก่ราษฎรผู้รับพระราชทาน ให้พ้นจากการขาดแคลนได้อย่างไม่มีข้อสงสัย

          นอกจากนี้ยังทรงบำเพ็ญทานให้เป็นบุญตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ คือ บำเพ็ญให้เป็นเครื่องชำระกิเลสอันมีความละโมบ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น “สวนหลวง ร.๙“ ซึ่งชาวไทยร่วมใจกันสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นราชสักการะ ก็มิได้ทรงสงวนไว้สำหรับพระองค์แต่ได้พระราชทานให้เป็นสาธารณสถาน เพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงชนชาวไทยทั้งมวล

 

          ส่วนโครงการหลวง โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ที่มีอยู่นับพันโครงการทั่วประเทศ รวมทั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งโปรดให้ตั้งขึ้นในภาคต่าง ๆ เพื่อศึกษาพื้นที่และวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืชผลให้เหมาะแก่ท้องถิ่น อันเป็นการแก้ไขต้นเหตุแห่งปัญหาเพื่อพัฒนาประเทศให้ได้ผลนั้น จัดเป็นการบำเพ็ญทานให้เป็นกุศล คือ เป็นกิจของคนดีคนมีปัญญา ถูกกาลสมัย เหมาะแก่ความต้องการของผู้รับ ไม่ทำให้พระองค์หรือผู้ใดเดือดร้อน การบำเพ็ญทานให้เป็นกุศลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงยังผลให้ไพร่ฟ้าหน้าใสได้โดยทั่วหน้ากัน

©  ด้วยท้าวประกอบมนสะเอื้อ      อนุเคราะอวดทาน
      จึ่งไทยพสกสุขะสราญ            ฤดิชื่นระรื่นทรวง
 

 
 

 ๒.ศีล
  ©   หนึ่งคือประพฤติศุภะสำรวม    จิตะมุ่งมนูญผล
      ทรงศีละสังวระวิมล                 ธุระมุ่งเสวยสวรรค์

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ตลอดมาว่า ทรงเคร่งครัดในการรักษาศีล และทรงมีน้ำพระทัยนับถือพระพุทธศาสนาโดยบริสุทธิ์ ดังจะเห็นได้จากการเสด็จออกทรงผนวชรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ของพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเมื่อทรงผนวชแล้วได้เสด็จมาประทับรักษาศีลตามพุทธบัญญัติ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยประทับ ณ "พระตำหนักปั้นหย่า" แล้วจึงเสด็จมาประทับ ณ "พระตำหนักทรงพรต" ตามขัตติยราชประเพณี แม้เมื่อทรงลาผนวชแล้ว พระองค์ยังคงเสด็จมาประทับนั่งสมาธิกรรมฐานเป็นครั้งคราว ณ พระตำหนักทรงพรตนี้



          ตลอดระยะเวลาแห่งการทรงผนวช ทรงดำรงพระองค์ได้งดงามบริสุทธิ์ สมควรแก่การเป็นพุทธสาวก จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา แก่พสกนิกรโดยทั่วหน้า

         เมื่อทรงลาผนวชมาอยู่พระราชฐานะแห่งพระมหากษัตริยาธิราชแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงประพฤติอยู่ในศีลโดยบริสุทธิ์ กล่าวคือ ทรงประพฤติพระราชจริยาในทางพระวรกายและในทางพระวาจาให้สะอาดงดงามถูกต้องอยู่เป็นนิจ ไม่เคยบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นศีลในการปกครอง หรือศีลในทางศาสนาก็ตาม

          ในด้านศีลในการปกครอง คือ การประพฤติตามกฎหมายและจารีตประเพณีอันดีงามนั้น ไม่เคยปรากฎเลยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์เหนือกฎหมาย และไม่เคยมีแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะทรงละทิ้งจารีตประเพณีอันดีงามของชาติและของพระราชวงศ์ พระเกียรติคุณในข้อนี้เป็นที่ซึมซาบในใจของชาวไทยเป็นอย่างดี นับจากกาลเวลาที่ล่วงผ่านมาตราบจนถึงทุกวันนี้

         

          ส่วนศีลในทางศาสนา อย่างน้อยคือศีลห้าอันเป็นศีลหรือกฎหมายที่ใช้ในการปกครองแผ่นดินมาตั้งแต่อดีตก่อนพุทธกาลนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสมาทานรักษาอย่างเคร่งครัด และทรงสนับสนุนให้พสกนิกรของพระองค์สมาทานรักษาอย่างเคร่งครัด และทรงสนับสนุนให้พสกนิกรของพระองค์สมาทานรักษาเช่นเดียวกัน

        

          สำหรับผู้ที่มิได้นับถือพุทธศาสนา พระองค์ทรงสนับสนุนให้ยึดมั่นตามคำสอนแห่งศาสนาอันตนศรัทธา ด้วยทรงตระหนักว่าทุกศาสนามีหลักคำสอนที่นำไปสู่การประพฤติดี ศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันของชนหมู่มาก แม้บัดนี้ในการปกครองจะมีกฎหมายอยู่แล้วก็ยังต้องอาศัยศาสนาเป็นเครื่องอุปการะ ด้วยกฎหมายบังคับได้เพียงแค่กาย ส่วนศาสนาสามารถเข้าถึงจิตใจ น้อมนำไปปฏิบัติตามโดยไม่ต้องบังคับ

          การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปกครองบ้านเมืองด้วยกฎหมายและศาสนา ประกอบกับการที่ทรงสมาทานศีลอย่างเคร่งครัดดังปรากฎในที่ทุกสถาน ชาวไทยจึงมีความสุขสงบและวัฒนาด้วยศีลบารมีแห่งพระองค์

©   ด้วยท้าวประพฤติศุภะสำรวม     จิตะมุ่งมนูญผล
     ทรงศีละสังวระวิมล                  สุขะจึ่งสถิตไทย
 

 


๓.บริจาค
  ©  หนึ่งเอื้อบำรุงสมณพราหมณ์       และประดิษฐ์หิตานันท์
      โรงเรียนสะพานและคฤหะอัน      ชนไข้จะพึงประสงค์

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ในด้านการบริจาค ซึ่งหมายถึงการเสียสละสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อยกว่า เพื่อสิ่งที่มีประโยชน์ใหญ่ยิ่งกว่านั้น ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดถือประโยชน์และความเจริญของชาติ ศาสนา รวมทั้งประโยชน์สุขของพสกนิกร สำคัญยิ่งกว่าพระองค์เอง พระราชกรณียกิจนานัปการจึงเป็นไปเพื่อความวัฒนา และประโยชน์สุขของชาวไทยและสถาบันดังกล่าว

          ด้านการศาสนา ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภกศาสนาต่าง ๆ อันมีในประเทศไทย และได้พระราชทานทรัพย์เพื่อทะนุบำรุงไปเป็นจำนวนมาก โดยพระพุทธศาสนานั้นทรงมีคุณูปการเป็นอเนกอนันต์ ทั้งในการบูรณะปฏิสังขรณ์ปูชียสถาน อันมีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นต้น การสร้างถาวรวัตถุ เช่น "พระพุทธรูปปางประทานพร ภปร." และ "พระพุทธนวราชบพิตร" เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะพระพุทธนวราชบพิตร ซึ่งเสด็จไปพระราชทานด้วยพระองค์เองแก่ทุกจังหวัดทั่วประเทศนั้น ได้ทรงบรรจุที่ฐานด้วยพระพิมพ์ซึ่งทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ประกอบด้วยผงศักดิ์สิทธิ์ทั้งในพระองค์และจากจังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทรงบำรุงพระพุทธศาสนาในด้านอื่น ๆ อีกนานัปการ ด้วยศรัทธาและปริจาคะของพระองค์เช่นนี้ จึงไม่น่าสงสัยที่พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองจนประเทศไทยกลายเป็นแหล่งศึกษาพระธรรม ของชาวต่างประเทศและเป็นแหล่งส่งพระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนาในประเทศต่าง ๆ



          ในด้านการสงเคราะห์ ได้ทรงเสียสละพระราชทรัพย์และสิ่งของจำนวนมากมายจนสุดที่จะประมาณได้ เพื่อดับความทุกข์ยากของพสกนิกรในยามประสบภัยพิบัติและในถิ่นทุรกันดาร

          ทรงสละพระราชทรัพย์เพื่อพัฒนาการศึกษาให้แก่เยาวชนไทย โดยโปรดให้มีโครงการจัดตั้งโรงเรียนในถิ่นยากจนต่าง ๆ โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และทุนอานันทมหิดลเพื่อส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่างประเทศ เป็นต้น

          ทรงสละพระราชทรัพย์นับจำนวนไม่น้อย ในการพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่มูลนิธิและสาธารณสถานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของชาวไทย

          ทรงเสียสละพระราชทานที่นาของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในจังหวัดต่าง ๆ กว่า ๕๐,๐๐๐ ไร่ ให้เข้าอยู่ในโครงการปฏิรูปที่ดิน เมื่อปี ๒๕๑๘ เพื่อแบ่งปันที่ทำกินให้แก่เกษตรกรที่ยากจน

          การที่ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ วัตถุสิ่งของและที่ดินจำนวนมหาศาล รวมทั้งการที่ทรงเสียสละปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งนอกและในประเทศ พระราชภารกิจในโครงการพระราชดำรินับพัน ๆ โครงการทั่วประเทศนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดในความเสียสละอันใหญ่หลวงของพระองค์ ด้วยทรงเสียสละเวลา พระปรีชาสามารถ และความสำราญพระราชหฤทัยทั้งมวล ทรงยอมรับความเหน็ดเหนื่อยพระวรกายทุกประการเพื่อพสกนิกร อย่างไม่มีประมุขประเทศใดในขณะนี้ จะเสียสละได้เทียบเท่าที่พระองค์ทรงเสียสละให้แก่พสกนิกรไทยมาเนิ่นนานไม่น้อยกว่า ๔๑ ปี

©   ด้วยท้าวบำรุงสมณพราหมณ์      และประดิษฐ์หิตานันท์
      จึ่งพุทธศาสน์นิกะระพลัน           พุฒิเพิ่มเพราะภูมินทร์

(หมายเหตุ ผงศักดิ์สิทธิ์ในพระองค์ ได้แก่
          ๑. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต และได้ทรงแขวนไว้ที่องค์พระพุทธปฏิมากรตลอดเทศกาล จนถึงคราวที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ดอกไม้แห้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมไว้
           ๒. เส้นพระเจ้า ซึ่งเจ้าพนักงานได้รวบรวมไว้หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ทุกครั้ง
           ๓. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระแสงขรรค์ชัยศรี ใรพระราชพิธีฉัตรมงคล
           ๔. สี ซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์
          ๕. ชันและสี ซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่ง ขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่ง

          ผงศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่าง ๆ ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ได้แก่วัตถุที่ได้มาจากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด อันได้แก่ดินหรือตะไคร่น้ำแห้งจากปูชนียสถานเปลวทองคำปิดพระพุทธรูป ผงรูปหน้าที่บูชา และน้ำจากบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้เคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษก  ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก)
 

 




 ๔.ความซื่อตรง
  ©  หนึ่งมีมลวิมละใส              หฤทัย ธ ซื่อตรง
      เป็นนิตย์นิรันตะระธำรง     สุจริต ณ ไตรทวาร

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          อันทศพิธราชธรรมข้อที่สี่ คือ อาชชวะ หรือความซื่อตรงนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติอยู่นิจ สำหรับผู้ที่มีอายุคงจะจำกันได้ดีว่าหลังจากที่ได้ทรงดำรงสิริราชสมบัติแล้ว ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ อันเป็นวันกำหนดเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อในต่างประเทศ ระหว่างประทับรถพระที่นั่งเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปขึ้นเครื่องบินนั้น ได้มีเสียงร้องมาจากกลุ่มพสกนิกรที่เฝ้าส่งเสด็จว่า "อย่าทิ้งประชาชน" และได้มีพระราชดำรัสตอบในพระราชหฤทัยว่า "เราจะไม่ทิ้งประชาชน ถ้าประชาชนไม่ทิ้งเรา" การตั้งพระราชหฤทัยดังนี้เสมือนเป็นการพระราชทานสัจจะ ว่าจะทรงเป็นร่มบรมโพธิสมภารของพสกนิกรตลอดไป



          ครั้นต่อมาในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นวันที่ทรงกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้มีพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรทั่วประเทศว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" วันเวลาที่ล่วงผ่านไปเนิ่นนานจากวันนั้นถึงวันนี้ ๔๑ ปีเศษแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรักษาสัจจะที่ได้พระราชทานให้แก่พสกนิกรทั้งสองประการ มาอย่างสมบูรณ์สม่ำเสมอ พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งพสกนิกร ด้วยทรงถือเอาความทุกข์เดือดร้อนของพสกนิกรเป็นความทุกข์เดือดร้อนของพระองค์เอง เหตุนี้เมื่อเกิดความเดือดร้อนหรือภัยพิบัติในส่วนใดของประเทศ พระองค์จะเสด็จฝ่าไป ไม่ว่าระยะทางจะใกล้ไกล ทุรกันดารเพียงใด แดดจะแผดกล้าร้อนแรง หนทางจะคดเคี้ยวข้ามขุนเขา พงไพรจะรกเรื้อแฉะชื้นเต็มไปด้วยตัวทาก ฝนจะตกกระหน่ำจนเหน็บหนาว น้ำจะท่วมเจิ่งนอง พระองค์ก็มิได้ทรงย่อท้อที่จะเสด็จไปประทับเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรผู้ทุกข์ยาก เพื่อทรงดับความเดือดร้อนให้กลับกลายเป็นความร่มเย็น

          นอกจากนี้ยังทรงครองแผ่นดินด้วยธรรมานุภาพ ไม่ว่าการสิ่งใดอันจะยังความทุกข์สงบมาสู่พสกนิกร พระองค์จะทรงปฏิบัติ และการสิ่งใดที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรประพฤติปฏิบัติตาม จะพระราชทานกระแสพระราชดำรัสชี้แจงถึงเหตุและผลให้เข้าใจ พสกนิกรผู้ปฏิบัติจึงปฏิบัติด้วยเห็นประโยชน์แห่งผลของการปฏิบัตินั้น ปฏิบัติด้วยความเต็มใจและด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มิใช่ด้วยความกลัวเกรงพระบรมเดชานุภาพ การครองแผ่นดินโดยธรรมของพระองค์จึงยังประโยชน์สุขมาสู่มหาชนชาวสยาม สมดังพระราชปณิธาน

          คงไม่มีความรู้สึกอันใดที่จะวาบหวานและซาบซึ้งใจชาวไทย ยิ่งไปกว่าความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พระผู้ทรงมีพระราชอัธยาศัยเปี่ยมไปด้วยอาชชวะคือความซื่อตรงต่อพสกนิกรและประเทศชาติ

©   ด้วยท้าวทรงวิมละใส         หฤทัย ธ ซื่อตรง
      จึ่งชนและชาติถิระธำรง      ทฤฆะทัศน์จรัสเรือง
 

 



 ๕.ความอ่อนโยน
  ©   หนึ่งคือหทัยบ่มิกระด้าง           บ่มิพึงจะรุนราญ
       บ่มิถือพระองค์สมะสมาน         มนะน้อมนิยมชม

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ราชธรรมในข้อมัททวะหรือความอ่อนโยนนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรมาช้านานแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอัธยาศัยอ่อนโยนเพียบพร้อมทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนโยนในความหมายทางโลกหรือความหมายทางธรรม

          ความอ่อนโยนในความหมายทางโลก คือความอ่อนโยนต่อบุคคลอื่นในสังคม อันเป็นมารยาทที่บุคคลในสังคมจะพึงปฏิบัติต่อกันเพื่อผลดีในทางสังคม ความอ่อนโยนในความหมายนี้ย่อมชี้ให้เห็นชัดได้ด้วยพระราชจริยาวัตรต่าง ๆ ในที่ทุกสถาน

          ส่วนความอ่อนโยนในทางธรรมนั้น มีความหมายกว้างขวางมาก คือ หมายถึงความสามารถโอนอ่อนผ่อนตาม น้อมไป หรือเปลี่ยนไปในทางแห่งความดี ทำให้เกิดการผสมผสานกันอย่างดีในทางการงานและบุคคลแก่บุคคลทุกระดับชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าถึงธรรมะในข้อนี้เป็นอย่างดี และอย่างถ่องถ้วนทุกระดับขั้น



          ขั้นแรก คือ ความอ่อนโยนทางพระวรกาย ทุกพระอิริยาบถที่ปรากฎไม่มีที่จะแสดงถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ หรือถือพระองค์เลยจะมีก็แต่ความอ่อนโยน นิ่มนวล งดงาม เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์พระราชหฤทัย อันยังความชื่นชมโสมนัส และอบอุ่นใจให้เกิดแก่พสกนิกรโดยทั่วกัน

          ขั้นที่สอง คือ ความอ่อนโยนทางพระวาจา อันพึงเห็นได้จากการที่ทรงมีพระราชปฏิสังถารแก่ราษฎรซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่มารับเสด็จอย่างใกล้ชินสนิทสนม ไม่เคยมีพระวาจาที่กระด้าง มีแต่อ่อนโยนสุภาพละมุนละไม แม้จะทรงอยู่ในพระราชฐานะอันสูงสุด กลับทรงแสดงพระองค์เป็นธรรมดาอย่างที่สุด มิได้ทรงวางพระองค์ให้แตกต่างห่างไกลจากประชาชนที่ประกอบด้วยฐานะต่าง ๆ กัน ทางปฏิบัติพระองค์เป็นกันเอง เสมือนบิดาปฏิบัติต่อบุตรอันเป็นที่รัก ตรัสพระวาจาอ่อนหวานอันควรดื่มด่ำไว้ในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง

          ขั้นที่สาม คือ ความอ่อนโยนนิ่มนวลทางจิตใจและสติปัญญา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุถึงมัททวะในขั้นนี้อย่างแท้จริง และทรงเข้าพระทัยในธรรมะของชีวิตอย่างลึกซึ้งว่า แต่ละชีวิตย่อมมีหน้าที่หลายอย่าง พระองค์จึงทรงวางพระทัยให้อ่อนโยน และทรงวางพระสติปัญญาให้โอนอ่อนไปตามสถานภาพได้อย่างเหมาะสม เช่นในพระราชฐานะต่าง ๆ ในพระบรมราชวงศ์ (ทั้งพระราชฐานะที่เป็นพระราชโอรส เป็นพระอนุชา เป็นพระบิดา เป็นอัยกา ฯลฯ)

          ในพระราชฐานะแห่งพระมหากษัตริยาธิราช ทรงมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมแด่ผู้เจริญโดยวัยและเจริญโดยคุณ และมีพระราชอัธยาศัยอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอพระองค์และต่ำกว่า ไม่เคยทรงดูหมิ่น การที่ทรงวางพระองค์เช่นนี้จึงก่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่บ้านเมือง และความปิติศรัทธาแก่ชาวไทยอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบ

©    ด้วยท้าวประทานมธุรถ้อย         รติร้อยมโนชน
       อ่อนโยนอดุลย์จริยะดล               รติท้าวสนิทใจ
 

 



 ๖.ความเพียร
  ©    หนึ่งเผากิเลสอกุศล              มละกลั้ว ณ อารมณ์
        ด้วยการบำเพ็ญพิระอุดม     วรศาสโนบาย

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ราชธรรมข้อที่หก คือ ตบะ หรือความเพียร เป็นราชธรรมที่มีการตีความหมายกันไว้หลายประการ แต่ไม่ว่าจะตีความหมายโดยนัยอย่างใด การดำรงพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังคงอยู่ในขอบข่ายของพระมหากษัตริยาธิราชผู้ทรงบำเพ็ญตบะบารมีอยู่นั่นเอง



          ตบะในความหมายหนึ่งคือความเพียรเป็นเครื่องแผดเผาความเกียรคร้าน โดยความหมายนี้จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบด้วยพระราชอุตสาหะวิริยภาพเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ไม่โปรดที่จะประทับอยู่เฉย ทรงพอพระราชหฤทัยในการเสด็จพระราชดำเนินออกทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นต่าง ๆ แม้ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกล ขวางกั้นด้วยผืนน้ำกว้างใหญ่ ป่าทึบ หรือเขาสูงสุดสายตาเพียงเพื่อให้ทรงทราบถึงความทุกข์สุขของราษฎร ด้วยพระเนตรพระกรรณของพระองค์เอง เมื่อทรงทราบแล้วก็มิได้ทรงนิ่มนอนพระราชหฤทัย แต่ได้ทรงมีพระราชดำริริเริ่มสิ่งต่าง ๆ เพื่อขจัดความทุกข์เดือดร้อนของราษฎรทั้งในด้านการอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย การศึกษาและอื่น ๆ ด้วยพระราชอุตสาหะ วิริยภาพเช่นนี้ พระองค์จึงทรงขจัดความขัดข้องความยากจนขัดสนทั้งหลายให้แก่ราษฎรได้โดยทั่วกัน

          ตบะ ในอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงความตั้งใจกำจัดความเกียจคร้านและการกระทำผิดหน้าที่ มุ่งทำกิจอันเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำ ซึ่งเป็นกิจที่ดีที่ชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญตบะในความหมายนี้ได้อย่างครบถ้วนเช่นเดียวกัน ในพระราชฐานะแห่งพระมหากษัตริยาธิราช ทรงมีหน้าที่ปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้ได้รับความร่มเย็น พระองค์ได้ทรงตั้งพระราชอุตสาหะวิริยภาพ ประกอบด้วยปัญโญภาส ปฏิบัติพระราชกรณียกิจให้เป็นไปด้วยดีไม่มีข้อผิดพลาด ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรโดยไม่หยุดยั้ง โครงการพระราชดำริของพระองค์จึงมีนับพัน ๆ โครงการไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงติดตามกิจการที่ได้ทรงปฏิบัติหรือโปรดให้ปฏิบัติโดยใกล้ชิด โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะทรงลำบากยากพระวรกายเพียงไร แต่ด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงทรงพอพระราชหฤทัยที่จะทรงปฏิบัติพระราชภารกิจ ด้วยพระราชอุตสาหะวิริยภาพโดยไม่มีวันว่างเว้น และในวันหนึ่ง ๆ ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้มายมายจนไม่น่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะสำหรับบุคคลโดยทั่วไปหากจะเป็นไปได้เช่นนั้น ก็คงต้องใช้เวลาหลายวันมิใช่วันเดียว ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ

          ตบะ ในความหมายอีกอย่างหนึ่ง คือ ความเพียรในการละอกุศลกรรม เพียรอบรมกุศลบุญต่าง ๆ ให้บังเกิดขึ้น โดยความหมายนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเพียบพร้อมด้วยพระราชวิริยภาพที่จะทรงเอาชนะความชั่วต่าง ๆ ด้วยความดี ทรงมีพระตบะเดชะ เป็นที่เทิดทูนยำเกรงการสมาทานกุศลวัตรของพระองค์ จึงสามารถเผาผลาญกำจัดอกุศลกรรมให้เสื่อมสูญได้โดยสิ้นเชิง อาณาประชาราษฎร์ผู้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร จึงมีแต่ความสุขสวัสดิ์วัฒนาพ้นจากความเดือดร้อนนานาประการด้วยตบะเดชะบารมีแห่งพระองค์

©   ด้วยท้าวมลายมละกิเลส          มหะเหตุจะเกียจคร้าน
      พร้อมเพียบบำเพ็ญพิริอุฬาร    รุจิล้วนจำเริญไทย
 

 



 ๗.ความไม่โกรธ
  ©  หนึ่งแม้จะมีมนุชะปอง         ประติปักษะมุ่งร้าย
      เมตตาธิธรรมะวธิหมาย       ชนะด้วยอเวรา
จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญอักโกธะบารมี หรือความไม่โกรธให้เป็นที่ประจักษ์ใจทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทย และในนานาประเทศมาเป็นเวลาช้านาน แม้มีเหตุอันควรให้ทรงพระพิโรธยังทรงข่มพระทัยให้สงบได้โดยสิ้นเชิง อย่างที่ปุถุชนน้อยคนนักจะทำได้ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๐๕ และ ๒๕๑๐ เป็นต้น ซึ่งยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ตามเสด็จทุกคน



          วันนั้น…วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ เป็นวันแรกที่ทรงย่างพระบาทสู่ดินแดนออสเตรเลีย พร้อมด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเสด็จเยือนมาสามประเทศแล้ว จากรถพระที่นั่ง…ขณะเสด็จไปยังที่ประทับพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็น ชายคนหนึ่งชูป้ายเป็นภาษาไทยขับไล่พระองค์ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงหวั่นไหวด้วยทรงพิจารณาว่าเป็นการกระทำของคนเพียงคนเดียว มิใช่ประชาชนทั้งประเทศ จึงทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนอื่น ๆ ที่โห่ร้องรับเสด็จไปตลอดทาง

          ต่อมาที่นครซิคนีย์เหตุการณ์อย่างเดียวกันได้เกิดขึ้นอีก โดยกลุ่มคนที่ได้รับการสนับสนุนจากลัทธิการเมืองที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลไทย เริ่มจากการชูป้ายข้อความขับไล่ผู้เผด็จการเมืองไทย ในทันทีที่รถพระที่นั่งแล่นเข้าสู่ศาลากลางเทศบาล ซึ่งจัดไว้เพื่อรับเสด็จ ติดตามด้วยใบปลิวมีข้อความขับไล่ผู้เผด็จการเมืองไทย และกล่าวหารัฐบาลไทยว่าเป็นฆาตกรฆ่าผู้บริสุทธิ์ ใบปลิวนี้โปรยลงมารอบพระองค์ขณะที่ตรัสตอบขอบใจนายกเทศมนตรี และประชาชนกลางเวที แต่พระองค์ยังคงตรัสต่อไป เสมือนมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น

          เพียงเท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเสด็จต่อไปยังเมืองเมลเบิร์นเพื่อทรงรับการถวายปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ พระองค์ยังทรงถูกโห่ฮาป่าจากกลุ่มนักศึกษาซึ่งไม่สุภาพ ทั้งท่าทางและการแต่งกาย และเมื่ออธิการบดีกล่าวสดุดีพระเกียรติคุณของพระองค์ นักศึกษากลุ่มเดิมได้โห่ฮาป่ากลบเสียงสดุดีเสีย แม้เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปเพื่อตรัสตอบ คนกลุ่มนี้ยังโห่ฮาป่าขึ้นอีก แต่พระองค์คงมีสีพระพักตร์เรียบเฉย ซ้ำยังทรงหันมาเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุยโค้งคำนับคนกลุ่มนั้นอย่างสุภาพ พร้อมกับตรัสด้วยพระสุรเสียงที่ราบเรียบมีใจความว่า “ขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมากในการต้อนรับอันอบอุ่นและสุภาพเรียบร้อย ที่ท่านแสดงต่อแขกเมืองของท่าน” เสียงฮาป่าเงียบลงทันที นักศึกษากลุ่มนี้ได้พ่ายแพ้แก่อักโกธะ หรือความไม่โกรธของพระองค์โดยสิ้นเชิง…ครั้นถึงเวลาเสด็จกลับ ทุกคนในกลุ่มพร้อมใจกันยืนคอยส่งเสด็จด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ บ้าง ยิ้มบ้าง โบกมือและปรบมือให้บ้างจนรถพระที่นั่งแล่นไปจนลับตา

          ต่อมาในปี ๒๕๑๐ อันเป็นปีที่ชาวอเมริกันเดินขบวนและหนังสือพิมพ์ลงข่าวโจมตีรัฐบาล เรื่องการส่งทหารมาช่วยรบและเสียชีวิตมากมายในเวียนนามใต้ ในภาวะอันวิกฤตนี้ทรงเกรงรัฐบาลอเมริกันจะล้มเลิกนโยบาลช่วยเหลือเอเชียอาคเนย์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของไทย จึงเสด็จไปทรงเจริญสัมพันธไมตรี

          ในการนี้จะทรงได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยวิลเลียมส์ ก่อนวันแจกปริญญาทรงทราบว่าบทความที่ได้รับรางวัลซึ่งจะอ่านในวันแจกปริญญา เป็นบทความคัดค้านนโยบาลของรัฐบาล ในการส่งทหารมาช่วยรบในเวียนนาม นอกจากนี้กลุ่มนักศึกษายังเตรียมแจกใบปลิว และเตรียมเดินขบวนออกจากพิธีถวายปริญญาแก่พระองค์ด้วย…และแล้ววันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๐ วันอันน่าระทึกใจก็มาถึง เมื่อนักศึกษาอ่านบทความที่ได้รับรางวัลจบลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรบพระหัตถ์ให้กับการใช้ภาษาที่ถูกต้องและไพเราะ แม้จะไม่ทรงเห็นด้วยกับเนื้อหาก็ตาม จากนั้นพระองค์จึงตรัสขอบใจมหาวิทยาลัย และทรงเตือนสตินักศึกษา “ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูเหตุผลให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะมั่นใจเชื่ออะไรลงไป มิใช่สักแต่ว่าเชื่อเพราะมีผู้บัญญัติไว้” พระราชดำรัสนี้เป็นที่ชื่นชอบมากถึงกับทุกคนลุกขึ้นยืน และปรบมือถวายเป็นเวลานาน และเหตุการณ์ร้ายที่เกรงกลัวก็มิได้เกิดขึ้น



          การที่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริยาธิราชผู้ทรงบำเพ็ญอักโกธะบารมี หรือความไม่โกรธได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ จึงทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาสัมพันธไมตรีอันดีกับนานาประเทศไว้ได้ตลอดมา พระเกียรติคุณของพระองค์ในข้อนี้จึงเป็นที่ชื่นชมของชาวไทยและชาวต่างประเทศยิ่งนัก

©  ด้วยท้าวอภัยมนุชะผอง        มนะปองประสงค์ร้าย
     เมตตาพระเอื้ออริมลาย          มติภักดิ์พระภูบาล

(หมายเหตุ : เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศระหว่างปี ๒๕๐๕ - ๒๕๑๐ นี้ ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสัมพันธภาพระหว่างประเทศไทย และต่างประเทศ เนื่องจาก :-
          ๑. เหตุการณ์ที่ออสเตรเลีย มิใช่การกระทำของเจ้าของประเทศแต่เป็นการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทย ซึ่งนิยมลัทธิการปกครองที่ขัดแย้งกับลัทธิการปกครองของไทย ในปี ๒๕๐๕ เป็นปีที่บุคคลกลุ่มนี้ได้ขยายการต่อต้านและพยายามแทรกซึมเข้าไปปฏิบัติการในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งออสเตรเลียด้วย

          ๒. เหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกา การเคลื่อนไหวของนักศึกษาหัวรุนแรงเป็นการกระทำที่ต้องการต่อต้านรัฐบาลอเมริกัน มิได้มีเจตนาที่จะลบหลู่พระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่สถานการณ์ทำให้ดูเสมือนเป็นเช่นนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงผลกระทบตามวิถีทางการเมืองเท่านั้น)
 

 




 ๘.ความไม่เบียดเบียน
  ©    หนึ่งท้าวบ่ปองมนะจะเบียน        นรพึ่งพระเดชา
        ป้องปกพสกนิกรนา-                   ครแม้นปิโยรส

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          จากอดีตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (๒๕๓๐) นับเป็นเวลาเนิ่นนานไม่น้อยกว่า ๔๑ ปี ที่ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินไทยได้รับความร่มเย็นมีความเป็นอยู่อย่างสุขสงบ ภายใต้เบื้องพระยุคลบาทแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงบำเพ็ญอวิหิงสาบารมี คือ ไม่เบียดเบียนให้ผู้อื่นลำบาก ไม่ก่อทุกข์ยากให้แก่ผู้ใดแม้จนถึงสรรพสัตว์ ด้วยเห็นเป็นของสนุกเพราะอำนาจแห่งโมหะหรือความหลง ไม่ทำร้ายรังแกมนุษย์และสัตว์เล่นเพื่อความบันเทิงใจแห่งตน

          ในการบำเพ็ญอวิหิงสาบารมีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญได้โดยบริสุทธิ์ทุกสถาน ไม่ว่าจะเป็นทรงพระวรกาย พระวาจา พระราชหฤทัย และไม่ว่าจะเป็นการอันทรงปฏิบัติต่อมวลมนุษย์หรือสรรพสัตว์ใด ๆ แม้การนั้นจะยังความสะดวกสบายมาสู่พระองค์ หากเป็นความยากลำบากแก่ทวยราษฎร์แล้ว พระองค์จะทรงงดเว้นเสีย โดยทรงยอมลำบากตรากตรำพระวรกายของพระองค์เองแทน ดังเหตุการณ์อันเป็นที่เปิดเผยจากวงการตำรวจจราจรเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๐ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าตามปกติเวลาที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ใดเจ้าหน้าที่จราจรจะปิดถนนตลอดเส้นทางนั้นทุกครั้ง จึงทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่า ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ปิดการจราจรเวลาเสด็จพระราชดำเนินไม่ว่าที่ใด หากการจราจรเกิดติดขัดก็มีพระมหากรุณาธิคุณที่จะทรงร่วมอยู่ในสภาวะแห่งการติดขัดนั้น เช่นเดียวกับพสกนิกรของพระองค์

          การบำเพ็ญอวิหิงสาอย่างยิ่งยวดของพระองค์นี้ แม้จะหยิบยกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเพียงประการเดียวจากพระราชกรณียกิจอันมากมาย คงเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าไม่มีพระมหากษัตริยาธิราช หรือประมุขประเทศใดในโลกขณะนี้ที่จะเสมอเหมือนพระองค์



          ในส่วนที่เกี่ยวกับสรรพสัตว์ พระองค์ไม่เคยทรงกระทำการใดให้เป็นที่ทุกข์ยากเจ็บปวด ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะเสด็จออกประพาสป่าล่าสัตว์ตัดชีวิต จะมีก็แต่การพระราชทานชีวิตให้เท่านั้น ในรูปของโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ที่เป็นไปเพื่อการอนุรักษ์ป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำและอนุรักษ์สัตว์ เช่น โครงการอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่า เป็นต้น

          การบำเพ็ญอวิหิงสาบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแผ่ไพศาลไปทั่วทุกหนแห่ง จึงปกป้องคุ้มครองชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสรรพสัตว์ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย จึงดำรงอยู่ได้ด้วยความสุขสงบและร่มเย็น

©    ด้วยท้าวบ่เบียนผิว์อภิบาล         นรปานปิโยรส
       จึ่งไทยถวายรติประณต             มนะน้อมนโรดม

 

 



 ๙.ความอดทน
  ©  หนึ่งแม้จะมีธุระรำคาญ      หฤทัยก็ออมอด
      ยามควรก็ทรงกรุณะงด      คุรุทัณฑะอาญา

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริยาธิราช ผู้ทรงมีพระขันติธรรมเป็นยอดเยี่ยมอย่างหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ บางครั้งเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับพระองค์ที่จะทรงอดทนได้ แต่พระองค์ยังทรงอดทนรักษาพระราชหฤทัย พระวาจา พระวรกาย และพระอาการ ให้สงบเรียบร้อยงดงามได้ในทุกสถานการณ์

  

          ทรงอดทนต่อโทสะ จากการเบียดเบียนหยามดูหมิ่น ดังเช่น การถูกขับไล่โดยกลุ่มชนที่ไม่หวังดีต่อเมืองไทย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เมื่อปี ๒๕๐๕ เป็นต้น

          ทรงอดทนต่อโลภะ คือความอยากได้ทุกประการโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าพระองค์ได้เคยมีพระราชประสงค์สิ่งใดจากผู้ใด แม้สิ่งของที่นำมาถวายหากมากเกินไปก็มิได้ทรงรับ เช่น รัฐบาลในสมัยหนึ่งจะถวายรถพระที่นั่งคันใหญ่เป็นพิเศษเพื่อให้สมพระเกียรติยศ แต่พระองค์กลับมีพระราชดำริว่ารถพระที่นั่งน่าจะเป็นรถคันใหญ่พอประมาณและราคาไม่แพงนัก เพื่อจะได้สงวนเงินไว้พัฒนาประเทศได้อีกส่วนหนึ่ง เป็นต้น

          นอกจากนี้ยังทรงอดทนต่อโมหะ คือความหลง โดยพระองค์มิได้ทรงติดข้องอยู่ในความสุขสำราญและความสะดวกสบายต่าง ๆ อันพึงหาได้ในพระราชฐานะแห่งพระมหากษัตริยาธิราช

          ทรงอดทนต่อความทุกขเวทนา ความลำบากตรากตรำพระวรกายต่าง ๆ เพื่อทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรทุกแห่งหน

          ทรงอดทนต่อความหวาดหวั่นภยันตรายต่าง ๆ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๑๐ เป็นต้น ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ก่อการร้ายกำลังฮึกเหิมพระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งทหารตำรวจ ผู้ทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทย โดยทรงมีวิทยุติดพระองค์เพื่อทรงรับฟังเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาทรงสอบถามเหตุการณ์ทางวิทยุอยู่เสมอ และหากทรงว่างจากพระราชภารกิจจะรีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทันท ีเพื่อทรงสอบถามเหตุการณ์ด้วยพระองค์เอง หากทรงทราบว่ามีทหารตำรวจได้รับบาดเจ็บ จะทรงให้เฮลิคปอเตอร์รับผู้บาดเจ็บไปรักษาพยาบาลทันที ส่วนในที่บางแห่ง เช่นที่กุยบุรี จังหวัดประจวบศีรีขันธ์ ซึ่งขาดแคลนพาหนะในการตรวจท้องที่ทำให้ทหารตำรวจถูกลอบทำร้ายล้มตายกันเนือง ๆ หลังจากเสด็จไปทรงเยี่ยมทหารตำรวจแล้วทรงเห็นความจำเป็นจึงพระราชทานพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ซื้อรถจิ๊ปพระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ๖ คัน เพื่อสงวนชีวิตเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไว้

           

          ในคราวเกิดเหตุปะทะที่ทุ่งช้าง จังหวัดน่าน อันขึ้นชื่อว่าเป็นสมรภูมิเลือดนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงกลัวเกรงภยันตรายใด ๆ ได้เสด็จขึ้นเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปบินสำรวจเหนือจุดซ่องสุมของผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นจุดที่เฮลิคอปเตอร์ของทางราชการเคยถูกยิงตกมาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงให้เฮลิคอปเตอร์รับทหารผู้บาดเจ็บออกมารับการรักษาพยาบาลได้ทันท่วงทีด้วย พระองค์มิได้ทรงหวดหวั่นภยันตรายใด ๆ แม้ในแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการอย่างรุนแรง เช่น ลอบฆ่าข้าราชการและประชาชน (บ้านนาวง อ.เมือง จ.พัทลุง)



          และแม้ในขณะที่พายุฝนกระหน่ำอย่างหนัก พระองค์ยังคงเสด็จฝ่าสายฝนไปเพื่อทรงเยี่ยมทหารตำรวจ ในสภาวะอันวิกฤตนั้นด้วยขันติบารมีของพระองค์เช่นนี้ ทำให้ราษฎรไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะทุกข์ยากทุรกันดารหรือตกอยู่ในภยันตรายเพียงใด ยังเกิดความรู้สึกอยู่เสมอว่าเขามิได้ถูกทอดทิ้งให้ว้าเหว่ผจญชะตากรรมอยู่เพียงลำพัง หากยังมีองค์พระประมุขที่จะเสด็จมาประทับเคียงข้าง และแผ่พระบารมีคุ้มครองให้เขารอดพ้นจากภยันตรายทั้งมวล

©  ด้วยท้าวสะกดกมลกลั้น               ทุรสรรพะรำคาญ
     ทนทุกข์พระองค์สละประทาน     นรพ้นพิบัติภัย
 
 



 ๑o.ความเที่ยงธรรม
  ©  หนึ่งคงธำรงนิติประวัติ      วรยุกติธรรมา
      ทรงงำพิภพศีลกะผา         สุกะแม้นมนูเดิม

จาก พระนลคำหลวง
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          นับเป็นบุญของชาวไทยเป็นอย่างยิ่งที่ได้อยู่ภายใต้เบื้องพระยุคลบาล แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริยาธิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอวิโรธนะคือความเที่ยงธรรมได้อย่างสมบูรณ์ยิ่ง ซึ่งความเที่ยงธรรมในที่นี้ หมายถึงความตรงตามความถูกต้อง หรือความไม่ผิดนั่นเอง

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระองค์ถูกต้องตามขัตติยราชประเพณีทุกประการ ไม่เคยทรงประพฤติผิดจากราชจรรยานุวัตรนิติศาสตร์และราชศาสตร์ ทรงปฏิบัติพระองค์ได้อย่างงดงามไม่มีความบกพร่องให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศได้เลย

          พระองค์ทรงรักษาพระราชหฤทัยได้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งมวล จึงมิได้ทรงหวั่นไหวต่ออำนาจแห่งอคติใด ๆ อันมีความรัก ความชัง ความโกรธ ความกลัว และความหลง เป็นต้น จึงไม่มีอำนาจใดที่อาจน้อมพระองค์ให้ทรงประพฤติทรงปฏิบัติไปในทางที่มัวหมองไม่สมควร หรือคลาดเคลื่อนไปจากความยุติธรรม ทรงอุปถัมภ์ยกย่องผู้ควรอุปถัมภ์ยกย่อง ทรงบำราบคนมีความผิดควรบำราบโดยทรงที่เป็นธรรม และในพระราชฐานะแห่งองค์พระประมุขของชาติไทยในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องมีพรรคการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน พระองค์ได้ทรงดำริอยู่ในความยุติธรรม ทรงเป็นหลักชัยของพรรคการเมืองทุกพรรค


©  พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์    พระร้อยรัดศรัทธาใจไทยทั้งผอง
    พระคือพระพิรุณพรำฉ่ำใจปอง    พระทรงครองหัวใจไทยทั้งมวล

                                                       วันเพ็ญ เซ็นตระกูล - ประพันธ์

          ในด้านพระราชภารกิจต่าง ๆ ทรงปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไม่มีผิด้วยทรงสดับตรับฟัง ทรงศึกษา ทรงแสวงหาความรู้ความถูกต้องทั้งจากบุคคล ตำรา จากการที่ทรงสอบค้นด้วยพระองค์เอง และทรงนำมาประมวลใคร่ครวญด้วยพระปัญญา ความรู้ที่ทรงได้จึงเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งและถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พระราชกรณียกิจใด ๆ ที่ทรงมุ่งผลให้บังเกิดเป็นความผาสุกความเจริญแก่พสกนิกรอย่างใด ก็ย่อมสำเร็จเป็นความผาสุกและความเจริญอย่างนั้น แม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องแก้ไขอันเป็นธรรมดาของการทำงานทั้งปวง ก็ทรงปฏิบัติแก้ไขอย่างรอบคอบให้บังเกิดผลดีและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปด้วยลำดับ พระราชกรณียกิจของพระองค์จึงมีแต่ความไม่ผิด ดังเช่น ในการพัฒนาประเทศทรงพัฒนาอย่างถูกต้อง คือทรงพัฒนาประเทศไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาประชาชน โดยทรงแนะนำตรัสสอนด้วยพระองค์เองและผ่านทรงโครงการพระราชดำริต่าง ๆ เป็นต้น

          นอกจากนี้ในการพัฒนาแต่ละท้องถิ่นพระองค์ยังได้ทรงศึกษาถึงภูมิประเทศ ลมฟ้าอากาศ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีความเป็นอยู่และความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นย่อมไม่เหมือนกัน การพัฒนาของพระองค์จึงเป็นการพัฒนาด้วยความเข้าใจ เหมาะสมและเหมาะแก่ความจำเป็นของท้องถิ่นนั้น ๆ การพัฒนาโดยวิธีทางที่ถูกต้องนี้เอง ทำให้การพัฒนาประเทศได้ผลไม่สูญเปล่า สามารถช่วยให้ไพร่ฟ้าหน้าใสได้โดยทั่วหน้ากันสมดังพระราชประสงค์ ทั้งนี้ก็ด้วยการบำเพ็ญอวิโรธนะของพระองค์นี้เอง

©  ด้วยท้าวธำรงนิติประวัติ      ประจุทัตตะเที่ยงธรรม
     ไทยถ้วนสราญจิระฉนำ        รติน้อมมโนกราน


 

 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ...ข้าพระพุทธเจ้า...อิศวรน้อย :090:
 ขอขอบคุณที่มา  http://www.dhammajak.net/ratchathum/rat01.htm
 

 

90
ขอให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยไวและมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์                                                                                                               ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ... :090:

91
เทิดไท้องค์ราชัน   :090:  ขอพระองค์ทรงพระเจริญ :090:

92
สมาชิกใหม่ขอรายงานตัวครับ :054:

หน้า: [1]