แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - nobeeta

หน้า: [1]
1
ภาพงานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น โดยพระอาจารย์ธนพงค์ ขันติธัมโม เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์หนองหวาย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ประจำปี 2555 เพื่อแสดงมุฑิตาจิต แก่บูรพาจารย์ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ  มีบรรดาศิษย์หลวงพ่อเปิ่นและศิษย์พระอาจารย์มาร่วมงานและร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำปัจจัยไปสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศแด่ ครูอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ทุกคนที่มาร่วมงานต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่จะมาแสดงความระลึกถึงหลวงพ่อเปิ่นและครูบาอาจารย์ที่ได้มอบสิ่งที่เป็นมงคลให้กับชีวิต ถึงแม้บางท่านจะมาจากต่างจังหวัด ด้วยระยะทางที่ยาวไกลก็ตาม ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาร่วมงานด้วยครับ..











































หลังจากเสร็จพิธีไหว้ครู ได้มีการทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างศาลาการเปรียญ





2
เนื่องในวโรกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่วันนี้ขอนำภาพรูปปั้นหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือมาให้ชมเพื่อเป็นศิริมงคลกับ      ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่นทุกท่าน ซึ่งปั้นขึ้นโดย พระอาจารย์ธนพงค์ สำนักสงฆ์หนองหวาย ท่านปั้นไว้เพื่อระลึกถึงองค์หลวงพ่อเปิ่นที่เป็นอาจารย์ของท่าน และเพื่อให้ศิษย์ที่ได้มาทำบุญได้ไว้กราบไหว้และเคารพถึงคุณความดีขององค์หลวงพ่อเปิ่น  ท่านปั้นเองทุกขั้นตอน และลงสีเอง ท่านปั้นได้เหมือนมากและลงสีได้สวยเสือก็เหมือนมีชีวิตจริงๆมีโอกาสได้ไปกราบท่านเลยเก็บภาพมาฝากเพื่อนสมาชิกทุกท่าน



องค์หลวงพ่อประทานพรที่พระอาจารย์ได้ปั้นตอนสร้างกุฏิเพื่อเป็นพระประธานให้พุทธศากนิกชนทุกคนได้กราบไหว้



และวันนี้ขอนำวัตถุมงคงของหลวงพ่อเปิ่นที่ผมเคารพ และที่ได้สะสมไว้มาให้ชม บางรุ่นเพื่อนสมาชิกอาจเคยนำมาลงแล้วต้องขออภัยด้วยครับ
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเปิ่นปี2519


เหรียญรุ่นสองค่อมเสือ ปี2520


เหรียญรุ่นสามเสือเผ่น ปี 2521


เหรียญรุ่นบูรณะโบรถส์ ปี 2525


เหรียญพัดยศ เนื้อเงินปี 2537


เหรียญเอกลักษณ์นั่งเสือเนื้อเงิน ปี 2537


รูปเหมือนปั้มหลังเตารีด เนื้อเงิน ปี2535


เหรียญเพิร์ธ รุ่นเมตตาบารมี เนื้อเงินขัดเงา ปี 2337


เหรียญเพิร์ธ รุ่นเมตตาบารมี เนื้อทองนอก ปี 2337


เหรียญบูชาครู (เสื้อเกาะ) กระไหล่ทอง ปี 2533


เหรียญนั่งพาน 6 รอบ เนื้อทองแดง ปี 2537


เหรียญนั่งพาน 6 รอบ เนื้อนวโลหะ ปี 2537


พระยอดธง รุ่น 1 เนื้อนวะโลหะ ปี 2535


เหรียญหล่อน้ำเต้ามหาลาภ ปี 2536


เหรียญหล่อพิมพ์หน้าเสือ ปี 2536


ปิดตาหมื่นล้านเนื้อนวะโลหะ ปี 2535


เหรียญศรีนคร ปี 2534


เหรียญเสือคู่ ปี 2528


เหรียญอิทธิบารมีไพรีพ่าย ปี 2537


ล็อกเก๊ตเสาร์ห้า ปี 2536


ขุนแผนหลังพ่อปู่ฤาษี ปี 2544


พระผงนั่งเสือ ปี 2536


ปิดตาปลดหนี้เนื้อผงพุทธคุณฝังตระกรุดทองคำ ปี 2534


พระผงหลวงพ่อเปิ่นนั่งเสือ5เสาร์ เนื้อยาจินดามณี ปี 2536


พระผงนั่ง หมูป่า ฉลองอายุ 70 ปี2534เนื้อผงยา


พระผงขี่เสือหลังหนุมาน รุ่นบูชาครู ปี 2541


ลูกอมมหามงคล เสาร์ห้า ปี 2543

พระขรรค์รุ่นแรก ปี 2531



สำหรับปีใหม่ ปีมังกรทองที่จะมาถึงขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย องค์หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ และครูบาอาจารย์ที่ทุกท่านนับถือ
โปรดดลบัลดาลให้สมาชิกเว็บวัดบางพระทุกท่านมีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดให้สมปราถนา เดินทางด้วยความปลอดภัยครับ

ด้วยความปราถนาดี nobeeta  :114: :090: :114:







3
 ในช่วงวันหยุดยาววันแม่แห่งชาติมีโอกาสไป สำนักสงฆ์หนองหวาย นำภัตาหารไปถวายเพลแก่พระอาจารย์และช่วยพระอาจารย์ กดพิมพ์พระ เพื่อเตรียมแจกในงานทอดกฐิน พอดีเห็น กะลาตาเดียวที่พระอาจารย์แกะเสร็จแล้วบางส่วน ซึ่งเป็นเครื่งรางที่มีศิลปะที่งดงามและหายาก ก็เลยถ่ายรูปเพื่อนำมาแบ่งปันให้เพือ่นสมาชิกได้ชมกันครับ

แกะเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่น


ราหูอมจันทร์

พระอินทร์ทรางกวาง





มงกุฏพระพุทธเจ้า







วัตถุมงคลเนื้อผงแร่เขาอึมครึมกดพิมพ์ด้วยมือ





4
ภาพงานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น โดยพระอาจารย์ธนพงค์ ขันติธัมโม เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์หนองหวาย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อแสดงมุฑิตาจิต แก่บูรพาจารย์ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ  มีบรรดาศิษย์หลวงพ่อเปิ่นและศิษย์พระอาจารย์มาร่วมงาน
และร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำปัจจัยไปสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศแด่ ครูอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว กันจำนวนมาก ทุกคนที่มาร่วมงานล้วนตั้งใจจริง ถึงแม้บางท่านจะมาจากต่างจังหวัด ด้วยระยะทางที่ยาวไกล ก็ตาม ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาร่วมงานด้วยครับ..

























































เหล่าบรรดาแม่ครัวและชาวบ้านที่นำอาหารมาช่วยงาน




พิธีถวายผ้าป่าสามัคคี

ภาพหลวงพ่อเปิ่นวาดโดยพระอาจารย์ประมาณปี 35  ยังคงสวยงามมองกี่ครั้งก็ยังรู้สึกได้ถึงเมตตาบารมีของหลวงพ่อ

ช่วงบ่ายพระอาจารย์ได้ลงนะหน้าทองให้ลูกศิษย์ที่มาร่วมงาน


  ขอ บารมีหลวงพ่อเปิ่นและพระอาจารย์ที่ทุกท่านเคารพศรัทธาได้คุ้มครองปกปักษ์รักษาและให้โชคดีทุกท่านนะครับ  :054:

5
ได้มีโอกาศไปร่วมงานทอดกฐิน ณสำนักสงฆ์หนองหวาย จ.กาญจนบุรี ก็เลยเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกัน สำนักสงฆ์หนองหวายเป็นสำนักสงฆ์ เล็กโดยมีพระอาจารย์ธนพงศ์ (ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น)เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านมีเจตนาที่จะส่ร้างสำนักสงฆ์แห่งนี้ให้เจริญสืบไปคู่พระพุทธศาสนา เพื่อเป็นศาสนสถานให้ประชาชนในหมู่บ้านได้ใช้ในการจัดพิธีการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและเพื่อเป็นการเผยแพร่บุญบารมี ของหลวงพ่อเปิ่นให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
ภาพบรรยากาศภายในสำนักสงฆ์












ภาพหลวงพ่อเปิ่นวาดโดยพระอาจารย์ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีสีก็ยังสวยสดเหมือนเดิม




ชาวบ้านนำอาหารมาช่วยกันเลี้ยงคนที่มาร่วมงานมีทั้งกล้วยทอดส้มตำ และก๋วยเตี๋ยว

พระอาจารย์ปลุกเสกวัตถุมงคลอีกรอบเพื่อแจกให้กับกรรมการ






กระเป๋าสตางค์หนังเสือพระอาจารย์เย็บเอง ไว้ให้ลูกศิษย์ได้บูชา



พระอาจารย์เมตตาจารแบงก์เพื่อเป็นขวัญถุงให้กับลูกศิษย์













บรรยากาศในพิธี


เสร็จพิธีชาวบ้านที่มาร่วมงานหาข้าวปลาอาหารกินตามอัธยาศัย


เสือเนื้อแร่เขาอึมครึม พระอาจารย์แจกให้กับชาวบ้านที่นำข้าวหม้อแกงหม้อมาช่วยงาน



ที่สำนักสงฆ์ยังพอมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อเปิ่นไว้ให้บูชาในรูปเป็นพระยอดธงรุ่นแรก
ยอดกฐินปีนี้ 358,154 บาท ขอร่วมอนุโนทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมทำบุญในงานทอดกฐินปีปี้
ช่วงนี้ช่วงเทศกาลทอดกฐิน หลายคนคงไปร่วมงานทอดกฐินมาหลายที่ ยังไงก็ขอให้เดินทางด้วยความปลอดภัยนะครับ

6
ผ้ายันต์หลวงพ่อเปิ่น



เหรียญเสือคู่ ปี 2528

7
เมื่อวานมีโอกาสไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์พุทธรรม กับวัดปริวาส มาเลยเก็บภาพมาฝากเผื่อในวันแม่ใครไม่รู้จะพาแม่ไปเที่ยวใหนก็ลองแวะไปดูครับ
พิพิธภัณฑ์พุธธรรม พระบรมสารีริกธาตุเป็นที่เก็บรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตธาตุไว้จำนวนมากภายในตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
การเดินทางก็สะดวกสบายติดสถานีรถ BRT สถานีวัดปริวาส
































ที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์พอดีเป็นช่วงครบรอบ 1 ปีของพิพิธภัณฑ์ เขาเลยแจกพระธาตุมา 1 องค์ เห็นว่าแจกจนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ครับ

8
ร่วมระลึกถึงหลวงปู่ วันนี้ขอนำภาพ พระเนื้อผงยาจินดามณีที่หลวงปู่เคยสร้างไว้ที่เก็บสะสมไว้มาให้ชม
องค์แรกสร้างในโอกาสครบรอบอายุ 70 ปี ในปี 2534



อีกองค์เป็นรุ่นขี่เสือเสาร์ 5 ปี 2536 ครับ


น้อมลำลึกถึงองค์หลวงปู่เปิ่นในวันคล้ายวันเกิด วันที่ 12 สิงหาคม นี้ ขออำนาจบารมีของหลวงปู่ดลบันดาลให้สมาชิกทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป :054:

9

รีโอเดจาเนโร 17 ธค.- ตำรวจบราซิล เปิดเผยว่า เด็กชายวัย 2 ขวบที่มีอาการเจ็บปวดจากเข็ม 50 เล่มที่ฝังอยู่ทั่วร่างกาย ตกเป็นเหยื่อของพ่อเลี้ยงที่นำตัวเด็กมาทำพิธีไสยศาสตร์มนต์ดำ เพื่อแก้แค้นแม่เด็ก

ผู้บัญชาการตำรวจฝ่ายสืบสวน แถลงว่า นายโรแบร์โต การ์ลอส มากาลลาส ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยง ยอมรับสารภาพภายหลังถูกควบคุมตัว โดยให้การว่า เขาต้องการแก้แค้นภรรยา  และภรรยาลับของเขาแนะนำว่าให้ฆ่าเด็กชายด้วยการทำคุณไสยมนต์ดำ  ขณะที่หนูน้อยรายนี้ยังคงอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลนับตั้งแต่ที่แม่เด็กพามารักษาตัวเมื่อวันอาทิตย์ หลังมีอาการอาเจียนและปวดท้อง ซึ่งผลเอกซเรย์พบเข็มเย็บผ้าราว 50 เล่มฝังอยู่ในตัวเด็ก ทั้งที่คอ ลำตัว และขา   แพทย์กล่าวว่า เด็กไม่ได้กลืนเข็มไปเอง แต่เป็นการจงใจฝังเข็มเข้าไปในตัวเด็ก   เด็กชายยังคงมีอาการสาหัส เนื่องจากมีเข็มฝังอยู่ตามอวัยวะสำคัญ เช่น ปอด  ทีมแพทย์ตัดสินใจผ่าเอาเข็มออกทั้งหมด แต่ต้องคอยติดตามอาการอย่างระมัดระวัง   ทั้งนี้บราซิลเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงมีความเชื่อทางไสยศาสตร์และความเชื่อเรื่องวิญญาณ โดยเฉพาะในพื้นที่ยากจนทางเหนือของประเทศ.-สำนักข่าวไทย

ที่มา: http://news.mcot.net/


10
  ได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญบริจาคเงินและเยี่ยมผู้ป่วยที่วัดพระบาทน้ำพุ หลังจากที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมได้กำไรพอสมควรเลยได้นำเงินที่ได้ไปบริจาคที่วัดพระบาทน้ำพุ จำนวน
1 แสนบาทซึ่งเป็นการทำ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ อย่างหนึ่ง ก็เลยเก็บภาพมาฝากให้ชมกันครับ ภาพบางภาพอาจจะดูน่ากลัว แต่ก็เป็นการเตือนสติในการใช้ชีวิตให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความมีสติและไม่ประมาทได้เป็นอย่างดีครับ

 ประวัติวัดพระบาทน้ำพุครับ
  วัดพระบาทน้ำพุ หรือวัดพระพุทธบาทประทานพร เป็นวัดไทยตั้งอยู่เชิงเขาน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มีพระอาทรประชานาถ (พระอลงกต ติกฺขปญฺโญ) เป็นเจ้าอาวาส วัดแห่งนี้รู้จักกันดีว่ามีรอยพระพุทธบาท เป็นสถานรักษาพักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ และเป็นที่ตั้งของมูลนิธิธรรมรักษ์
  วัดพระบาทน้ำพุมีสิ่งสำคัญในวัดได้แก่ รอยพระพุทธบาทถูกครอบอยู่ภายใต้มณฑปโดยอยู่ห่างจากอาคารสำนักงานมูลนิธิธรรมรักษ์ประมาณ 150 เมตร โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ที่ฟักฟื้นและรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้ายที่อาจจะกล่าวได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก [1] ในอุโบสถมีพระประธานขนาดพระเพลากว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร พร้อมด้วยพระอัครสาวก นอกจากนี้ในถ้ำบนเขาที่อยู่ในวัดภายในมีหลวงพ่อดำ ปางมารวิชัยสมัยอยุธยา และพระโพธิสัตว์ 9 องค์ส่วนบนยอดภูเขาพระอุทัย อโนโม สร้างหลวงพ่อขาวขึ้นเมื่อพ.ศ. 2523
   บทบาทในฐานะสถานพยาบาลผู้ป่วยโรคเอดส์
วัดแห่งนี้เริ่มต้นรับรักษาและฟักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2535 และดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ริเริ่มโครงการคือเจ้าอาวาส พระอาทรประชานาถ การดำเนินการเกี่ยวกับโรคเอดส์มีสองส่วน ส่วนแรกคือรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไปจากทั่วประเทศ ส่วนที่สองคือการรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบโรคเอดส์จากบิดามารดา ทั้งสองส่วนอยู่ในการดูแลของวัดประมาณ 2,000 คน แบ่งเป็นเด็กประมาณ 1,300 คน[1] ในแต่ละเดือนวัดจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่าบริหารจัดการภายในวัด และค่าเผาศพ ปัจจุบันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเดือนละ 100,000 บาท ส่วนที่เหลือเป็นการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา
ข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เดินทางมาถึงวัดช่วยกันขนสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์มาบริจาค


บรรยากาศภายในวัด





เข้าไปชมการแสดงของผู้ป่วยโรคเอดส์และสารคดีเกี่ยวกับโรคเอดส์ได้รับประโยชน์ในการใช้ชีวิตมากครับ


อาคารผู้ป่วยโรคเอดส์ครับได้เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วย บางคนดีใจจนร้องไห้ออกมาเพราะหลังจากที่ถูกญาติเอามาไว้ที่นี่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมเลย
พวกเขาเหล่านี้ต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิต บางคนน่าสงสารมากเพราะติดเชื้อจากสามีโดยไม่รู้ตัว


ศิลปะการปั้นเรซิ่นจากชิ้นส่วนกระดูกดูให้ดีๆจะรู้ว่ารูปที่ปั้นต้องการสื่อถึงอะไร


เตาเผาศพด้วยไฟฟ้ามีหลายเตามาก


พิพิธภัณฑ์อวัยวะเอดส์






ชอบบทกลอนที่ติดไว้ด้านล่างครับลองอ่านดู



คำสอนท่านพุทธาส




เถ้ากระดูกของผู้เสียชีวิตจากปี 35- ปัจจุบัน บางส่วนมีญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลแล้ว


ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


เดินทางกลับด้วยความปลง...ทุกอย่างในโลกล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา :054:










11
     อาการผีอำนั้นหลายคนอาจจะเคยเป็นบางคนก็บอกว่าเป็นเป็นเรื่องไสยศาสตร์บางคนก็อาจจะบอกว่าเกิดจากเป็นแค่อาการทางร่างกายที่เกิดจากความผิดปกติของสภาวะร่างกายและสภาวะจิต ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่ยากจะพิสูจน์ พอดีได้รับฟอร์เวิล์ดเมลล์จากเพื่อนเกี่ยวกับอาการผีอำแต่เป็นในแนวทางของวิทยาศาสตร์ซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เลยนำมาให้อ่านกันครับ ส่วนใครเคยมีประสบการก็ลองเล่าสู่กันฟังได้ครับ:001:

     หลายคนเคยโดนผีอำกันมาบ้างแล้ว ด้วยอาการสากลที่มักพบได้บ่อย นั่นคือ ขยับแขนขาไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ พูดไม่ได้ หรือหายใจลึกๆ ไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่าตนเองตื่นอยู่ ทำให้มีลักษณะเหมือนเป็นอัมพาตทั้งตัว รวมไปถึงบางคนอาจเห็นภาพหลอน หรือได้ยินเสียงหลอน และฝันร้ายร่วมด้วย ทำให้ตกใจกลัว เพราะเคลื่อนไหวหรือต่อสู้ไม่ได้
     
      เพื่อให้ทุกบ้าน เข้าใจลักษณะอาการผีอำที่เกิดขึ้น ทีมงาน Life and Family ได้สอบถามไปยัง "พล.อ.ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญญ์" อายุรแพทย์ระบบประสาท ประจำศูนย์สมอง และระบบประสาท รพ.กรุงเทพ ซึ่งได้รับความรู้ที่น่าสนใจว่า อาการผีอำ เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป อาจจะเจออย่างน้อยเดือนละครั้ง สองครั้ง หรือบางครั้งอาการผีอำ มักเกิดขึ้นกับคนที่มีโรคประจำตัวที่จำเป็นต้องกินยาคลายเครียด หรือยานอนหลับ ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาวะจิตใจได้ง่าย     
      *** ผีอำ...ภาวะผีกดทับ หรือแค่อาการชนิดหนึ่ง?
     
      สำหรับภาวะผีอำนั้น คุณหมอบอกว่า เป็นอาการของจิตแบบหนึ่ง เกิดขึ้นขณะกำลังเคลิ้มหลับ หรือช่วงใกล้ตื่นนอน ในขณะนั้นสภาพจิตใจเริ่มรู้ต้วขึ้นบ้าง แต่ยังไม่รู้เต็มที่ อาจรับรู้ทางหู หรือทางตาได้ แต่ทั้งนี้อาจแปลเสียง หรือภาพไปในทางที่น่ากลัว ซึ่งภาวะผีอำ มักเกิดจากความเหนื่อยล้า โดยเฉพาะหลังจากทำงาน ดูหนังสือ หรือแม้กระทั่งดูโทรทัศน์ ส่งผลให้เมื่อล้มตัวนอนด้วยความล้า จึงเกิดการประสานกันระหว่างสารเคมี กับสภาพชีวเคมีของร่างกาย เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้ขยับเขยื้อนตัวเองไม่ได้
     
      ดังนั้น อาการผีอำ จึงเกิดจากการที่กล้ามเนื้อของร่างกายเข้าสู่ภาวะการหลับ ที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) แต่สมองส่วนที่เป็นจิตสำนึกยังตื่นอยู่ อาการผีอำเป็นอาการที่ร่างกายกับจิตสำนึกหลับไม่พร้อมกัน หรือตื่นขึ้นมาไม่พร้อมกัน ส่งผลให้ร่างกายไม่สารมารถขยับตัวเองได้ ทั้งๆ ที่พยายามขยับตัวให้หลุดออกจากภาวะดังกล่าว ซึ่งจะเป็นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นไปเอง     
      *** ผีอำ สัมพันธ์กับการนอน และสถานการณ์ประจำวัน     
      อาการผีอำ มักจะเกี่ยวข้องกับการนอน และสัมพันธ์กับสถานการณ์ ในชีวิตประจำวัน เช่น สถานการณ์ที่ทำให้เขากังวล ตื่นเต้น พูดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะถูกผีอำได้ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจ เป็นเพียงตะกอนความคิดที่เกิดจากชีวิตประจำวัน ซึ่งบางคนหาทางออกไม่ได้ ก็ไปออกในช่วงตอนนอน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเริ่มมีภาวะความเครียด ไม่ถือเป็นโรค ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะมันจะหายได้เอง 
       และคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่ถูกผีอำส่วนใหญ่ จะนอนอยู่บนเตียง มีเป็นส่วนน้อยที่จะโดนอำในท่านั่งหลับบนเก้าอี้ หรือท่าที่ไม่น่าจะสบายนัก และมักจะเกิดกับคนที่นอนหงายมากที่สุด ระยะเวลานานตั้งแต่ 2-3 วินาที จนถึง 10 นาที โดยจะหายไปเอง หรือไม่ก็ผู้ที่ถูกผีอำพยายามเอาชนะอาการเอง หรือมีคนมาช่วยสะกิดปลุกให้ตื่นขึ้น
     
      ทั้งนี้ อาจมีอาการหลอนทางประสาทร่วมด้วย ได้แก่ หลอนว่าตัวลอย หรือบินได้ หรือเหมือนกำลังออกจากร่าง หมุนเคว้ง หลอนทางสัมผัสกาย เช่น มีใครมากดทับหน้าอก หรือ มีใครมาสัมผัสตัว หรือ ดึงตัวเอาไว้กับเตียง บางทีก็รู้สึกว่าผ้าคลุมเตียงเคลื่อนไหว
     
      บางคนก็โดนเขย่าตัว หรือ มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น หลอนทางการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงย่างเท้า เสียงเคาะประตู เสียงหายใจ เสียงคุย เสียงกระซิบ เสียงฮัม เสียงหึหึ หลอนทางการมองเห็น เช่น เห็นหมอกควัน หรือ ความมืดคลึ้ม เห็นร่างคน สัตว์ หรือ อสูรกาย บางทีก็มีการโต้ตอบทั้งทางกายหรือวาจากับสิ่งที่เห็นนั้น อย่างเป็นเรื่องเป็นราว หลอนทางการได้กลิ่น เช่น ได้กลิ่นเครื่องหอม กลิ่นสาบ
     

      *** 'ผีอำ' ป้องกัน-แก้ไขได้ โดยไม่ต้องใช้คาถา     
      สำหรับวิธีการลดอาการผีอำขณะเคลิ้มหลับ หรือช่วงใกล้ตื่นนอนนั้น สามารถทำได้ง่าย ซึ่งคุณหมอแนะนำว่า ควรจัดตารางการนอนให้ดี ไม่ควรอดหลับ อดนอนจนเกิดภาวะสะสม นอกจากนี้ การออกกำลังกาย จะช่วยลดความเครียดได้ดี อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายความเครียด ควรก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง ไม่ทำอะไรที่ตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์ หรืออาจจะอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น
     
      และเมื่อรู้สึกว่าโดนผีอำ ให้รีบตั้งสติทันที อย่าตกใจ โดยการออกจากผีอำจะได้ผลดีที่สุดเมื่อรีบทำตั้งแต่มันเกิด พยายามขยับกล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อนิ้ว อะไรที่เล็กๆ ก่อน เพราะหากขยับได้ จะทำให้หลุดออกได้ในทันที 


       *** ผีอำบ่อยๆ ไม่ดี เสี่ยงเป็นโรค Narcolepsy
     
      ถ้ามีลักษณะอาการผีอำ ร่วมกับอาการง่วงตอนกลางวัน คุณหมอบอกว่า อาจเป็นสัญญาญเตือนสู่ตัวโรคง่วงมากผิดปกติ หรือ Narcolepsy ซึ่งจะพบได้ทุกวัย ตั้งแต่ช่วงอายุ 20-50 ปี เนื่องจากอดนอน หรือนอนไม่พอสะสมมาหลายวัน หรือเข้านอนผิดเวลา ส่งผลให้บางคนทำงาน หรือกำลังขับรถอยู่ เกิดอาการวูบหลับในทันทีได้
     
      ดังนั้น ถ้าสมาชิกในบ้านคนใด มีลักษณะอาการผีอำบ่อยๆ จนผิดปกติ บวกกับมีอาการง่วงกว่าปกติในตอนกลางวัน อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรค Narcolepsy ได้ ซึ่งถ้าไม่รีบเข้าไปพบแพทย์ อันตรายต่อการใช้ชีวิตได้ จะมีโอกาสเกิดได้สูง เช่น วูบหลับโดยที่ไม่รู้ตัวขณะขับรถ หรือวูบหลับ ขณะทำงานในหน่วยงานที่ต้องใช้ความเสี่ยงสูง เป็นต้น
     
      ////////////////////////
     
      ข้อมูลประกอบข่าว
     
      อาการทั่วๆไปของ NARCOLEPSY มีคล้ายๆ กันอยู่ 4 ประการ คือ
     
      1. อาการที่ง่วงนอนฉับพลันจะเกิดขึ้นวันละ หลายครั้ง บางคนเป็นติดๆกันวันละ 10 ครั้ง หรือกว่านั้นก็ยังมี
     
      2. ตอนที่เริ่มหลับกะทันหัน มีฝันแน่ชัดกระจ่าง บางคนฝันร้ายและละเมอก็มี พอตื่นขึ้นจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แต่อีกประเดี๋ยวเดียวก็กลับหลับไปอีก
     
      3. เวลาหลับด้วยโรคนี้ หรือแม้แต่บางทีตอนกลางคืนขณะหลับตามธรรมดา จะมีอาการที่เรียกว่า CATAPLEXY หรือถ้าเรียกแบบภาษาชาวบ้าน ก็เรียกว่า SLEEP PARALYSIS คือกล้ามเนื้อตามร่างกายขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต ทั้งๆที่บางครั้งรู้ตัวอยู่ แต่ก็พูดไม่ได้และเคลื่อนไหวไม่ได้ อย่าเพ่อตกใจ อาการอย่างนี้ไม่มีอันตราย เป็นอยู่เดี๋ยวเดียวก็หายไป
     
      4. มีอาการสมองมึนชา ซึ่งไม่เกี่ยวกับการหลับ หมายความว่า สมองมึนชาขณะยังตื่นอยู่ บางทีจำอะไรไม่ได้ แต่อาการมึนชาหรืออาการเกี่ยวกับสมองนี้ มักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ ก่อนจะเกิดอาการหลับกะทันหัน ผู้ป่วยมักจะมีอารมณ์รุนแรง เช่น โกรธอย่างชนิดระงับอารมณ์ไม่อยู่ หรือแม้แต่ เกิดรู้สึกสนุกขบขัน หัวเราะอยู่ได้นานๆ หัวเราะไม่หยุด นอกจากจะเกิดอาการสมองมึนชาแล้ว ถึงเวลาหลับแบบ NARCOLEPSY ก็จะหลับบ่อยๆ และมากครั้งต่อวัน


12
นกแขวกคืออะไร มีกี่ ชนิด …เท่าที่รู้มี1 ชนิดร้อง แขวกๆ

ส่วนนกแสก ละเคยเห็นใหม มีกี่ชนิด..คำตอบคือ 2 ชนิดคือ




พอดีได้ฟอร์เวิร์ดเมล์ จากเพื่อนเปิดดูแล้ว อดอมยิ้มไม่ได้โดยเฉพาะนกแสกข้างเนี่ยพกหวีด้วย ...คิดได้ไง  ขำๆครับอย่าคิดมาก
ทำอารมณ์ให้สบายจิตใจเบิกบานยามเช้าครับ :002:


13
ได้อ่านฟอร์เวิดเมลล์ฉบับหนึ่งรู้สึกดี และเห็นว่ามีประโยชน์ได้ข้อคิดดีดี ก็เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ :089:

พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ

สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต

โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด

พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก.......

วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ

ตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน....อยากพักผ่อน....

อาตมารู้สึกโมโหมาก

พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ

แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก....

“ ไอ้ยอม... ไอ้ยอม... มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย... กรูขึ้นไม่ไหว ”

ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง..

กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม..

ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ

พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ... ถึงหัวสะพาน

จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง
เสียงดังโครม....

พ่อแกร้องไห้.... แล้วพูดว่า

“ ไอ้ยอมนะ... ไอ้ยอม.. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย....

กรูนอนหลับ.. แต่มรึงไม่ยอมนอน... ร้องไห้กวน..

กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง...ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน

จะไปไหนมรึงไม่ไหว.. มรึงเหนื่อย. . กูก็ต้องอุ้มมรึง.. ทั้งที่กรูก็เหนื่อย

กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู

แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย....

เพราะกรูรักมรึง......

วันนี้... มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม.....”

พอพ่อพูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม

อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน

ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า

“ พ่อครับ ต่อจากนี้ไป... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต

โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ”

หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให ้พ่อสบายขึ้น

แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว

โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว

คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้

จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต

แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า

บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิด

บ้างครั้งท่านเฉยเราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ

แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า

สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ

ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา

ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป....."

-- -------------------------------------------
สำหรับบางคน......

บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊ากลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา

แต่บางสิ่งง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ของเรา เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน

ทั้งๆที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว....

เคยได้ยินมาว่า....

ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่

มีค่ามากกว่า "เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...


ที่มา คู่สร้าง คู่สม
[/color]

14
กลับบ้านที่ต่างจังหวัด พอดีต้นกวนอิมที่ปลูกไว้ออกดอกสวยดี มีกลิ่นหอมด้วย เลยเก็บภาพมาให้ชม เผื่อบางคนยังไม่เคยเห็น  :002:

15
ได้มีโอกาสกลับบ้านในช่วงออกพรรษาไม่ลืมที่จะแวะไปนมัสการพระอาจารย์ ธนพงศ์(ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น) ที่สำนักสงฆ์หนองหวาย พอดีพระอาจารย์กำลังสร้างพระเครื่องเพื่อจะแจกให้กับผู้ที่มาร่วมทอดกฐิน ในวันที่ 1พย.นี้ เลยเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมเป็นการสร้างพระแบบโบราณ ทำกันเองทุกขั้นตอนไม่ต้องใช้เครื่องจักรเหมือนสมัยนี้ ชาวบ้านและลูกศิษย์พระอาจารย์ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างด้วยความตั้งใจ
มวลสารหลักมาจากแร่เขาอึมครึมและแร่ฟ้าผ่าซึ่งแร่สองชนิดนี้มีความแข็งกว่าหินมากต้องช่วยกันตำ

ครกกับสากพระอาจารย์ออกแบบเองเพื่องานนี้โดยเฉพาะสากหนักประมาณ20กก.เห็นจะได้

ช่วยกันตำคนละไม้ละมือ



ตำเสร็จแล้วก็เอามาร่อนตะแกรง

16
ภาพนี้ได้รับความเมตตามาจากพี่ท่านหนึ่งก็เลยนำไปให้พระอาย์ธนพงศ์ (ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น) ลงให้ ด้วยความเมตตาจากพระอาจารย์จึงได้มาอย่างที่เห็น กราบนมัสการพระอาจารย์ ที่ได้มอบสิ่งดีๆให้ศิษย์เสมอ :054:



17
เป็นภาพบรรยากาศงานตักบาตรเทโว ที่สำนักสงฆ์หนองหวาย ที่พระอาจารย์ธนพงศ์ (ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น) เป็นเจ้าอาวาส คนส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นคนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงที่ศัทธาในพระพุทธศาสนาศัทธาองค์หลวงพ่อเปิ่นและ พระอาจารย์ธนพงศ์ที่เป็นพระนักพัฒนาทุกคนที่ได้เข้ามาล้วนเลื่อมใสในบารมีของท่านและความตั้งใจจริงของท่านที่จะสร้างวัด
เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป

ชาวบ้านมารอตักบาตรกันตั้งแต่เช้าตรู่บางคนพาลูกพาหลานมาด้วยน่ารักมาก

พระอาจารย์ลงจากกุฎิ



ภาพหลวงพ่อเปิ่นภายในศาลาการเปรียญวาดโดยพระอาจารย์

ภาพบรรยากาศภายในศาลาการเปรียญ





ลุกตักบาตรกันเป็นแถวงานนี้ได้บุญกันถ้วนหน้า


พระอาจารย์ให้ศีลกับญาติโยม

เสร็จแล้วก็พร้อมเพรียงกันรับพรแล้วก็กลับบ้านด้วยความสุขอิ่มบุญไปตามๆกันสาธุ

ตอนนี้ทางเข้าสำนักสงฆ์ลาดยางเสร็จแล้วครับ เดินทางสะดวกสบายไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เป็นทางลูกรังกว่าจะไปถึงเล่นเอาผมเปลี่ยนเป็นสีทองเลยทีเดียว
ออกพรรษานี้ใครไปทำบุญตักบาตรที่ใหนกันบ้างครับ  :114:






18
ภาพๆนี้เป็นภาพหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือวาดโดยพระอาจารย์ธนพงศ์ ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ที่เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์หนองหวาย ลองดูแสงเงาบนจีวรของหลวงพ่อสิครับถ้าดูใกลๆแล้วจะเห็นว่าเหมือนกับหน้าเสือมาก แต่ถ้าใครเคยเห็นภาพนี้ที่สำนักสงฆ์โดยไม่ได้ถ่ายรูปออกมาก็จะเห็นเป็นรูปจีวรของหลวงพ่อธรรมดา บางคนถ่ายออกมาจะเห็นเป็นรูปหน้าเสืออย่างชัดเจน บางคนอาจมองว่าเป็นแสงเงาธรรมดา แต่สำหรับผมแล้วผมว่าเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อ ที่ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นเช่นนี้  :054:

19
สำนักสงฆ์หนองหวาย ตั้งอยู่ที่ต.หนองกร่าง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี มีพระอาจารย์ธนพงศ์ ขันติธัมโม เป็นเจ้าอาวาส
ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นส่วนใหญ่ท่านจะแกะขึ้นเองหรือทำเองทุกขั้นตอนแต่ละชิ้นล้วนมีพุทธศิลป์ ที่งดงาม
ผู้ที่นำไปใช้ล้วนมีประสบการณ์ครับ วันนี้นำมาใหมบางส่วน

ภาพหลวงพ่อเปิ่นกับพระอาจารย์ธนพงศ์


รูปหลวงพ่อเปิ่นมอบเข็มสักยันต์ให้พระอาจารย์


แร่เขาอึมครึมก่อนแกะเป็นวัตถุมงคล

20
บางท่านอาจเคยเห็นบ้างแล้ว เป็นรูปหลวงปู่ที่ใช้เป็นภาพต้นแบบทำเหรียญปี 19 พอดีได้รับความเมตตามาจากพี่ท่านหนึ่งเลยนำมาให้ชมกัน ขอบคุณมากครับ  :054:

21
แกะจากแร่เขาอึมครึม(โครตเหล็กไหล) พระอาจารย์พงษ์ สำนักสงฆ์หนองหวาย ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น แกะมือ ขอกราบนมัสการพระอาจารย์ที่ได้มอบของดีได้ไว้ใช้ติดตัว :054:


22
เหรียญร่นแรกปี 2505 พอดีพึ่งได้มาครับรบกวนผู้รู้ช่วยพิจารณาด้วยครับ :054:


23
พอดีกำลังตัดสินใจจะเช่าจากเวปไซด์แห่งหนึ่งอะครับขอบคุณมากครับ :054:


รูปภาพจากเวปไซด์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายพระเครื่องจึงขอไม่เอามาลงนะครับ

24
การตรวจสอบพระพุทธรูปบูชาเนื้อสัมฤทธิ์เก่าหรือใหม่
การที่จะเป็นนักสะสมพระพุทธรูปเทวรูปพระเครื่องพระบูชาในสมัยนี้นั้น ต้อง
ลงทุนมาก ต้องศึกษาหาความรู้ว่าพระเก่าหรือพระใหม่เป็นเช่นไร เสี่ยงต่อการ
ถูกต้มตุ๋นหลอกลวงเป็นอย่างมาก นักเลงนักสะสมพระเครื่องพระบูชามือใหม่เป็น
จำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจ ในวิธีตรวจสอบดูพระเครื่องพระบูชาที่เป็นของเก่าของกรุ
ว่าของเก่าแท้แน่นอนนั้นเป็นประการใด

ทั้งนี้เพราะนักเล่นพระมือใหม่ยังไม่ค่อยสนใจศึกษาหาความรู้ หรือขอดูพระเก่าของแท้จากผู้รู้ให้กะจ่างแจ้งเสียก่อน ส่วนมากมือพระใหม่พอเข้าสู่วงการพระมีผู้รู้บ้างไม้รู้บ้างชักจูงแนะนำไปในทางที่ผิด เข้ารกเข้าป่าไปก็มี เช่นให้เล่นพระตามใจชอบ ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอนไม่มีพี่เลี้ยงหรือเทรนเนอร์ที่ดีมีความรู้ ขอให้ชอบเป็นเช่า หาได้ทราบไม่ว่าของที่เช่านั้น เป็นพระใหม่หรือพระเก่า ในวงการพระเขานิยมหรือไม่ เชื่อแต่ลิ้นลมลวงเอาหูฟังประวัติอันเลื่อนลอยอ่อนหวานของผู้ชาย สรุปแล้วเอาหูเล่นพระเป็นใหญ่อย่างนี้ ผู้เล่นพระร้อยทั้งร้อยเล่นพระแต่หนุ่มจนแก่ก็ไม่ได้ดีเพราะหลงผิด เสียเงินเสียทองเปล่า บางรายอาจถูกต้มจนหมดตัวก็มี ขอให้ท่านจงระวังจงเป็นผู้มีเหตุผลเล่นพระตามสากลนิยมพระอย่างใด ครูบาอาจารย์ผู้เล่นมาก่อนว่าเป็นพระชั้นดีก็ต้องเชื่อเขา เช่นพระเครื่องชุดเบญจภาคีอันประกอบด้วย พระสมเด็จโต พระนางพญา พระรอด พระทุ่งเศรษฐี พระผงสุพรรณ อันเป็นยอดพระเครื่องชั้นสูงหรือพระบูชาสมัยสูง เช่นทวารวดี ศรีวิชัย ขอม ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา อย่างนี้ถ้าเป็นพระแก่แท้ก็เป็นของหายากราคาสูง จึงควรจะได้แสวงหาเช่ามาบูชา ก็จะเกิดโชคดีมีศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว พระเก่าแท้ให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้กราบไหว้เคารพบูชาอย่างแท้จริง พระเก่าไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องพระบูชาอย่างแท้จริง

พระเก่าไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องพระบูชาสร้างด้วยเนื้อหินศิลา สัมฤทธิ์ ชิน ตะกั่ว ดิน ผง ว่านฯ ต้องมีความเก่า คือมีคราบ มีสนิม มีรอยสึกกร่อน แอ่ง รูพรุนปรายเข็ม ริ้วระแหงแตกร้าวเหี่ยวย่น ผิวเข้ม เนื้อแห้งสนิทพื้นผิวของ เนื้อพระไม่ตึงเรียบ เนื้อไม่มันวาว ไม่กะด้าง ถ้าใช้มานานถูกเสียดสีเนื้อพระจะเข้มขึ้นแลมันใส ลูบดูทั่วองค์พระจะไม่มีขอบคมเลย ดมดูจะไม่มีกลิ่น เอาลิ้นแตะดูจะไม่ดูดลิ้นอย่างนี้เป็นต้น


หลักการพิจารณาตรวจสอบพระพุทธรูปบูชาเนื้อสัมฤทธิ์เก่าหรือใหม่ เป็นของแท้ของเทียมหรือของปลอมดังจะได้เรียนต่อไปนี้ ขอท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาทุกตัวอักษร และตีความหมายไปด้วย แล้วท่านจะเข้าใจในการดูพระแท้พระปลอม การที่จะตรวจสอบว่าเป็นพระเก่าพระใหม่โดยการเขียนเป็นตัวอักษรให้เข้าใจได้แน่ชัดนั้นยากนัก และแต่ละหัวข้อให้ถามตนเองว่าพระที่สร้างแบบนี้ทำปลอมได้ไหม


๑. พระเก่าเราดูรูปแบบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยใด เป็นสมัยลพบุรี เชียงแสน อู่ทอง สุโขทัย อยุธยา ถูกต้องหรือไม่เป็นฝีมือช่างราษฎร์ (สร้างไม่สวยงาม) หรือฝีมือช่างหลวง (สวยงาม)


๒. พระเก่าต้องมีคราบมีสนิม มีรอยสึกกร่อน แอ่งรูพรุนปรายเข็ม รอยชำรุดแตกร้าวเนื้อแห้งสนิทผิวเข้ม เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ว่าสนิมอยู่ในเนื้อ


๓. พระเก่าแท้เห็นแล้วได้ไว้เป็นเจ้าของมีความซึ้งตา ซึ้งใจ เนื้อผิวของพระเนียนสนิท


๔. พระเก่าเอามือจับลูบดูทั่วองค์พระทุกแห่ง จะไม่มีขอบคมติดมือเลย


๕. ถ้าตรงไหนมีเนื้อในของพระสึกกร่อนจนเห็นเนื้อโลหะ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ตรงนั้นจะมองเห็นสีแดงปนเหลือง หรือค่อนข้างแดง หมองหม่น คล้ำ สีซีด ไม่มันวาว ไม่เป็นเหลืองเหมือนทองเหลืองล้วนๆ


๖. พระเก่าผิวเนื้อจะมันใส แห้งสนิท ของทำเทียมเลียนแบบผิวเนื้อพระจะมันวาวเช่นดำมันวาวหรือแดงน้ำตาลไหม้มันวาว พระของใหม่เนื้อจะกะด้าง ไม่งามติดตา หรือให้ช่างรมดำเอา


๗. พระเก่าถ้าเป็นพระนั่งเคาะดูที่ฐานนั่งจะมีเสียงดังแปะๆ ถ้าเป็นพระใหม่จะมีเสียงดังหนักแน่นกังวาล ก็เพราะเนื้อพระยังใหม่กินตัวกับอากาศไม่นานพอ


๘. พระเก่าเนื้อแห้งสนิท ผิวเนื้อของพระไม่เรียบตึง เนื้อพระเก่าจะมีรอยย่นเหี่ยวแอ่งรู พรุน สึกกร่อนสวนมากมีรอยชำรุดแตกร้าวใช้แว่นขยายกำลังสูงส่องจะมองเห็นชัดเจน


๙. พระเก่ามีรูสนิมขุม หรือขุมสนิมจะเกิดจากด้านในมาด้านนอก ปากสนิมขุดจะเล็กด้านในกลวง สนิมที่ทำเทียมใช้น้ำกรดราดกัดเนื้อพระปากสนิมจะกว้างด้านในเล็ก สนิมจะกัดกินเนื้อพระสม่ำเสมอ พระเก่าสนิมขุมจะเป็นแอ่งขรุขระสูงๆ ต่ำๆ ไม่สม่ำเสมอ


๑๐. ดินหุ่นด้านในใต้ฐานของพระ พระเก่าดินหุ่นมักจะมีค่อนข้างหนา แข็ง แห้งสนิทถ้าเอานิ้วมือแตะดูดินหุ่นจะติดมือ เพียงเล็กน้อย หรืออาจจะไม่ติดมือเลย


๑๑. ขอบโลหะพระนั่งด้านล่าง คือตรงฐานที่เราตั้งพระนั่ง พระเก่าแท้ขอบพระด้านล่างจะมีผิวสนิมเหมือนกับผิวสนิมขององค์พระไม่มีรอบตะไบ ขอบด้านล่างนี้ผู้ปลอมหรือทำใหม่ทาน้ำยาเคมีไม่ติดแน่นจึงทำให้ผิวขอบพระนั่งด้านล่างนี้แตกต่างจากองค์พระไม่มากก็น้อย


๑๒. เม็ดพระศกก้นหอยขององค์พระเก่าแท้ ผู้สร้างคนโบราณได้ปั้นเม็ดพระศกของพระด้วยมือทุกๆ เม็ดพระศก ฉะนั้นเม็ดพระศกอาจจะมีเล็กใหม่แตกต่างกันเล็กน้อย แถวเรียงเม็ดพระศกอาจจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยก็ได้ แต่เม็ดพระศกของพระทำเทียมเลียนแบบ หรือ พระใหม่จะมีรอยขีดเป็นเส้นโคงไปตามแนวพระนลาตหรือพระเศียรของพระ แล้ววางเรียงเม็ดพระศกเป็นระเบียบเรียบร้อย


๑๓. พระใหม่เม็ดพระศกด้านหน้าตรงพระนลาตจะยกขอบสูงกว่าพื้นผิวพระนลาตจนเห็นชัด หรือบางทีก็เห็นเป็นเส้น เป็นแอ่งชัดเจน พระเก่าแท้เม็ดพระศกด้านหน้าจะอยู่ในระดับเดียวกับผิวพระนลาต ไม่มีรอยขีดและเป็นไปตามธรรมชาติ พระบูชาถ้าเป็นพระสมัยสูงอายุเกินกว่า ๘๐๐ ปีขึ้นไป เช่นพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง ฐานเขียงไม่มีบัว เม็ดพระศกของพระจะแตกบี้เห็นได้ชัดเจน


๑๔. พระเก่าผิวเนื้อ ผิวสนิมจะมองดูเห็นมีสีอ่อนแก่ได้ชัดเจน ไม่ใช่ผิวสนิมเนื้อของพระมองดูเป็นสีเดียวโล้นๆ ซึ่งเป็นผิวสนิมของพระใหม่


๑๕. พระเก่าดมดูจะไม่มีกลิ่นฉุน เมื่อดมดูจะรู้สึกเฉยๆ หรือเมื่อเอาลิ้นแตะเนื้อพระดูจะไม่ดูลิ้น เนื้อพระใหม่เอาลิ้นแตะดูจะดูดลิ้นเพราะในเนื้อพระน้ำยาเคมียังระเหยไปไม่หมด


๑๖. พระบูชาที่เอาเนื้อพระเก่าที่แตกหักชำรุดหรือไม่สวยงามมาเทสร้างใหม่ให้เป็นพระสมัยสูงมีราคาแพง
เช่นพระพุทธรูปเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง ลพบุรี นี้นั้นขอให้สังเกตุให้ดี ผิวสนิมเนื้อของพระที่เทใหม่จะไม่มันใส แต่มีความเก่า เนื้อพระนี้จะมองดูด้านๆ และเนื้อโลหะไม่เข้ากันสนิท คือดำๆ ด่างๆ ผิวหยาบ ทำกินหุ่นไม่เหมือนของเก่าหรือบางทีก็ไม่มีดินหุ่น เอามือจับลูบดูอาจมีขอบคมอยู่บ้าง


๑๗. เคล็ดลับหรือตำหนิพระเก่าแท้พระบูชาสมัยเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง ลพบุรี
ที่ผู้รู้กำหนดไว้บอกว่า พระที่มีลักษณะต่อไปนี้เป็นพระเก่าที่คณาจารย์ หรือช่างโบราณสร้างขึ้นได้ลักษณะถูกต้องแท้จริง ย่อมประกอบไปด้วยสิ่งดังต่อไปนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างคือ
ก. ขอบหรือจีบชายจีวร ที่พาดผ่านพระอุระของพระจากด้านหน้าวก โค้งไปด้านหลังจะมีจีบเป็น ๒ จีบ
ข. เหนือคิ้วขององค์พระจะมีขีดเป็นขีดเล็กๆ โค้งไปตามคิ้วอย่างสวยงาม
ค. พระสังฆาฏิ ของพระด้านหลังจะไม่ถึงที่นั่ง คือปลายสังฆาฏิด้านหลังพระถึงที่นั่ง คือปลายสังฆาฏิด้านหลังพระ จะไปหยุดอยู่แค่สะโพก และพระบูชาที่ไม่มีตำหนิดังกล่าวนี้ที่เป็นของเก่าแท้แน่นอน ก็มีมากมายเช่นกัน และพระใหม่พระทำเทียมเลียนแบบ อาจจะมีตำหนิดังกล่าวนี้ได้เช่นเดียวกัน จึงถือเอาตำหนินี้เป็นแน่นอนไม่ได้ ทำไมเซียนพระจึงเพียงแต่มองดูพระพุทธรูป โดยยังไม่ได้จับต้องก็รู้ว่าพระนั้นเป็นพระเก่า หรือพระใหม่ได้ถูกต้อง อย่างนี้ก็ไม่ใช้เรื่องแปลกปลาดอันใดเพราะเขาดูและยึดถือตำหนิดังกล่าวนี้ จึงบอกได้ถูกต้อง

 




วัสดุที่โบราณาจารย์ นิยมเอามาสร้างเป็น พระพุทธรูปบูชาอย่างแพร่หลายได้แก่โลหะ ทองคำ นาค เงิน ทองเหลือง ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ลงหิน เมื่อผสมกัน แล้วเรียกว่าสัฤทธิ์นี้ เฉพาะแร่ทองคำ เงินและทองแดง เป็นธาตุแท้ นอกนั้นเป็นโลหะผสม เนื้อทองคำเหลืองอร่ามสวยงามมีราคาสูงไม่กลายสภาพเป็นอย่างอื่น เมื่อผสมกับแร่ธาตุอื่นจะทำให้แร่ธาตุอื่น จะทำให้ แร่ธาตุนั้นผิวกลับดำ ถ้าธาตุนั้นเก่าก็จะทำให้มองเห็นความเก่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื้อทองแดงเมื่อผสมกับแร่ธาตุอื่น จะทำให้แร่ธาตุนั้นเปลี่ยนไป เช่นทองแดงผสมสังกะสีจะกลายเป็นทองเหลืองเนื้อสัมฤทธิ์ตามความหมายของนักเล่นพระ หมายถึงโลหะผสมผิวกลับดำหมองคล้ำย่อมมีผิวเนื้อแตกต่างกัน ทั้งนี้แล้วแต่ส่วนผสม เช่นถ้าส่วนผสมแก่เงินผิวโลหะนั้นจะกลับดำ ถ้าโลหะนั้นมีทองคำผสมด้วยแม้จะไม่มากนักก็ทำให้โลหะนั้น มีความมันในสวยงามขึ้น โลหะที่ผสมเป็นเนื้อสัมฤทธิ์สร้างพระบูชา นิยมเรียกชื่อต่างกันตามผสม เช่น ปัญจโลหะ, และนวโลหะ


ปัญจโลหะ ได้แก่ส่วนผสมโหละ ๕ อย่างดังต่อไปนี้คือ
๑. ดีบุก หนัก ๑ บาท
๒. ปรอท หนัก ๒ บาท
๓. ทองแดง หนัก ๓ บาท
๔. เงินหนัก ๕ บาท
๕. ทองคำ หนัก ๕ บาท


สัตตะโลหะได้แก่ส่วนผสมโลหะ ๗ อย่างดังต่อไปนี้
๑. ดีบุก หนัก ๑ บาท
๒. สังกะสี หนัก ๒ บาท
๓. เหล็กละลายตัว หนัก ๓ บาท
๔. ปรอท หนัก ๔ บาท
๕. ทองแดง หนัก ๕ บาท
๖. เงิน หนัก ๖ บาท
๗. ทองคำ หนัก ๗ บาท


นวะโลหะได้แก่ผสมโลหะ ๙ อย่างดังต่อไปนี้
๑. ชิน หนัก ๑ บาท
๒. เจ้าน้ำเงิน หนัก ๒ บาท
๓. เหล็กละลายตัว หนัก ๓ บาท
๔. บริสุทธิ์ หนัก ๔ บาท
๕. ปรอท หนัก ๕ บาท
๖. สังกะสี หนัก ๖ บาท
๗. ทองแดง หนัก ๗ บาท
๘. เงิน หนัก ๘ บาท
๙. ทองคำ หนัก ๙ บาท


พระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์ ที่เห็นปรากฏเป็นส่วนมาก็มี เนื้อสัมฤทธิ์ดำ เนื้อสัมฤทธิ์เขียว เนื้อสัมฤทธิ์แดง เนื้อสัมฤทธิ์ดังกล่าวนี้ ถ้ามีส่วนผสมของทองคำจะทำให้สัมฤทธิ์นั้นมันใสสวยงามยิ่งขึ้น
สัมฤทธิ์ดำ มีส่วนผสมของแร่เงินมาก
สัมฤทธิ์เขียว มีส่วนผสมของทองเหลืองมาก
สัมฤทธิ์ แดงน้ำตาลไหม้ มีส่วนผสมของแร่ทองแดงมาก

 

เนื้อพระผิวสนิมสีของพระเก่ามีสีอ่อนแก่ แตกต่างกัน และสนิมของพระก็แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระเก่าบางองค์ฝังอยู่ในดินฝันอยู่ในถ้ำ บางองค์เก็บรักษาไว้ในถ้ำ ในปราสาท ในโบสถ์ วิหาร ศาลาเปรียญหรือเก็บไว้ในบ้าน พระเก่าที่ฝังอยู่ในดินในกรุผิวสนิมของพระจะหนา เหี่ยวย่นที่เก็บไว้ในบ้านเคหะสถาน โบสถ์วิหาร ผิวสนิมจะบางสวยงามเนียนสนิท


พระสัมฤทธิ์ เนื้อมันวาว เรามองดูผิวพระจะมันวาว มันละเลื่อม ผิวเข้ม ความมันวาวจะฉาบอยู่บนพื้นผิวของพระ ความมันวาวนี้อาจจะเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติถ้าเป็นพระเก่าสร้างมานานเกินกว่า ๖๐ ปี ถึง ๒๐๐,๓๐๐ ปี หรือเกิดจากการรมดำ ถ้าเป็นพระใหม่ฉะนั้นตามทัศนะของข้าพเจ้าผู้เขียนเห็นว่าพระเนื้อสัมฤทธิ์มันวาว มีทั้งที่เป็นพระเก่าที่สร้างเลียนแบบ และที่เป็นพระสร้างขึ้นใหม่โดยทาสีรมดำเอา ขอให้หัวข้อที่กล่าวมาแล้ว ๑๗ ข้อตรวจสอบพิจารณาก็จะทราบว่าเป็นพระใหม่หรือพระเก่า (พระที่เลียนแบบพระสมัยต่างๆเช่นสมัยเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง นั้นได้สร้างกันมานานแล้ว อย่างที่นักเลงพระบอกว่า พระองค์นี้เก่าอยู่แต่ไม่ถึงสมัย ความนิยมคุณค่าราคาก็จัดว่าเก่ามีราคาพอสมควร)


พระสัมฤทธิ์เนื้อมันใส จัดเป็นเนื้อเก่าแท้ ความมันใสเกิดจากพระสร้างมานานเนื้อพระกินตัว กับอากาศถูกความร้อนเย็นนานเข้าเนื้อพระแห้งสนิท เกิดคราบสนิมมีความสึกร่อนตามธรรมชาติ ความแห้งไล่ความชื้นในเนื้อพระออกไปทำให้พระแห้ง เกิดความมันใส ความมันใสนี้ดูด้วยตาจะอยู่ในระหว่างความมันวาวและความกะด้าง

ที่สุดนี้ขอให้ศึกษาได้โปรดพิจารณาด้วยดี ถ้าอ่านช้าๆ พินิจพิเคราะห์ตัวอักษรด้วยดี จะช่วยให้ท่านดูพระบูชาเป็น ป้องกันคนอื่นจะมาแหกตาได้ ที่กล่าวมานี้ก็ด้วยเจตนาบริสุทธิ์เจตนาดีแก่ทุกท่านที่เป็นนักนิยมพระ จะว่าเรื่องเชยสิ้นดีเอามะพร้าวมาขายสวนก็ยอม สะสมพระมานานมีความรู้ประสพการณ์ มาอย่างไรก็เอามาเล่าบอกกล่าวให้กันฟัง และโปรดอย่าได้ถือเอาความคิดเห็นนี้เป็นข้อยุติ ขอให้ถือว่าข้อเขียนนี้เป็นทัศนะของนักสะสมคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องขอได้โปรดอภัยด้วย ขอยุติเพียงเท่านี้ สวัสดี
ที่มา:http://www.soonphra.com/content/viewtopic/viewtopic.php?topicid=84&topicdetailid=104

26


สอบถามผู้รู้หน่อยครับว่าเป็นไงบ้าง สร้างปีใหนครับทันหลวงพ่อมั๊ยครับ

28
เป็นเหรียญเนื้อเงินด้านหน้าหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือ ด้านหลังเป็นรูปหงส์คู่ครับ
ด้านหน้า...
ด้านหลัง..

29
หลวงพ่ออุตตมะ (เทพเจ้าของชาวมอญ) (อ่าน 11246 ครั้ง) ย้อนกลับ
 
 
หลวงพ่ออุตตมะ

           พระราชอุดมมงคล หรือ ?พระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ? หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ ?หลวงพ่ออุตตมะ? พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี ทั้งยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ชาวมอญ ผู้มีบทบาทผู้นำคนสำคัญของชาวมอญพลัดถิ่นที่สังขละบุรี

ประวัติหลวงพ่ออุตตมะ
          หลวงพ่ออุตตมะ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ จุลศักราช 1272 (พ.ศ. 2453) ที่หมู่บ้านโมกกะเนียง ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง   เป็นบุตรของนายโงและนางทองสุข อาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 12 คน เนื่องจากเป็นทารกเพศชายเกิดในวันอาทิตย์ จึงมีชื่อว่า ?เอหม่อง?

           ปี พ.ศ. 2462 ขณะเด็กชายเอหม่องมีอายุได้ 9 ขวบ เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน บิดามารดาจึงพาเด็กชายเอหม่องไปฝากกับพระอาจารย์นันสาโรแห่งวัดโมกกะเนียงผู้เป็นลุงเพื่อให้ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจากโรคภัย เด็กชายเอหม่องเป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษาอย่างยิ่ง จนสามารถสอบได้ชนะเด็กในวัยเดียวกันเป็นประจำทุก ๆ ปี

           ปี พ.ศ. 2467 เด็กชายเอหม่องอายุได้ 14 ปี เกิดอหิวาตกโรคระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ต้องสูญเสียน้องชายถึง 5 คน เด็กชายเอหม่องจึงขอออกจากวัดโนกกะเนียงเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านด้วยความขยันขันแข็ง จนกระทั่งอายุ 18 ปี เจ้าอาวาสวัดเกลาสะได้ไปขอกับบิดามารดาให้เด็กชายเอหม่องไปบรรพชาเป็นสามเณร

          หลวงพ่ออุตตมะ บรรพาเป็นสามเณร ณ วัดเกลาสะ ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เมื่อจุลศักราช 1291 (พ.ศ. 2472) โดยมีพระเกตุมาลาเป็นพระอุปัชฌาย์ ปีนั้นเอง หลวงพ่อศึกษาภาษาบาลี และพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี อีกปีหนึ่งต่อมาสอบได้นักธรรมโท แต่ไม่นาน หลวงพ่อก็ตัดสินใจสึกออกมาเพราะเห็นว่าไม่มีใครช่วยบิดามารดาทำนา

          จนกระทั่งหม่องเอ ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวของบิดา ได้มาอาศัยอยู่ด้วย หลังจากที่บิดามารดาของหม่องเอเสียชีวิตจนหมดสิ้น ซึ่งเท่ากับว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำนา และมีญาติซึ่งไว้วางใจได้มาคอยดูแลบิดามารดา หลวงพ่ออุตตมะจึงตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเกลาสะ โดยมีพระเกตุมาลา วัดเกลาสะ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระนันทสาโร วัดโมกกะเนียง เป็นพระกรรมวาจารย์ พระวิสารทะ วัดเจ้าคะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2476 ได้รับฉายาว่า ?อุตตมรัมโภ? แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด?  โดยหลวงพ่ออุตตมะได้ตั้งเจตจำนงที่จะบวชไม่สึกจนตลอดชีวิต

           ด้วยความพากเพียรและใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรม ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่ออุตตมะ สามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนวัดปราสาททอง อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสุขการี อำเภอสะเทิม จังหวัดสะเทิม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศพม่า ขณะนั้น บ้านเมืองกำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงพ่อจึงเดินทางกลับวัดเกลาสะ และได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์สอนภาษาบาลีแก่ภิกษุสามเณร

           ต่อมาท่านก็ลาพระอุปัชฌาย์เดินทางไปศึกษาวิปัสนากรรมฐานที่วัดตองจอย จังหวัดมะละแหม่ง และวัดป่าเลไลย์ จังหวัดมัณฑะเลย์ จนมีความรู้ความสามารถในเรื่องวิปัสนากรรมฐานตลอดจนวิชาไสยศาสตร์และพุทธคมเป็นอย่างดี ปี พ.ศ. 2486 หลวงพ่อจึงเริ่มออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์

         หลวงพ่ออุตตมะ ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศพม่า และเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกทางจังหวัดเชียงใหม่  ต่อมาทราบข่าวว่าพระเกตุมาลา พระอุปัชฌาย์กำลังอาพาธ จึงรีบเดินทางกลับพม่า จนกระทั่งพระเกตุมาลามรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง    โดยครั้งนี้ หลวงพ่อเดินทางเข้ามาทางตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2492

         และใน ปี พ.ศ. 2492 อันเป็นพรรษาที่ 16 ของพระมหาอุตตมะรัมโภ พายุไต้ฝุ่นพัดจากทะเลอันดามัน สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะบ้านโมกกะเนียง และเกลาสะ มีผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยคน บ้านเรือนเหลือเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ชาวบ้านลำบากยากแค้นแสนสาหัส ข้าวของอาหารการกินขาดแคลนกันทั่วหน้า

           นอกจากภัยธรรมชาติแล้ว ชาวบ้านยังต้องประสบเคราะห์กรรมจากปัญหาความขัดแย้งในทางการเมืองอีกด้วย เนื่องจากการปะทะและต่อสู้ระหว่าง กองทหารของรัฐบาลพม่า กับกองกำลังติดอาวุธกู้ชาติ อีกทั้งกองกำลังกู้ชาติบางกลุ่มแปรตัวเองไปเป็นโจรปล้นสดมภ์ชาวบ้าน

          ด้วยความเบื่อหน่ายเรื่องการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างชนเผ่า หลวงพ่ออุตตมะ จึงตัดสินใจจากบ้านเกิด มุ่งหน้าสู่ดินแดนประเทศไทย เป้าหมายที่แท้จริงของท่านในเวลานั้น คือเขาพระวิหาร ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าวต่างเสียใจ ไม่อยากให้ท่านจากไป พากันร้องไห้ระงมด้วยความอาลัย ซึ่งท่านได้ชี้แจงการออกเดินทางของท่านว่า
                                      ?การไปของเราจะเป็นปรหิต เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น?

         หลวงพ่ออุตตมะ เดินทางเข้าเมืองไทยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2492-2493 ทางหมู่บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก ชายแดนเขตจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยสองคน ซึ่งมีเชื้อสายมอญพระประแดงที่มาทำเหมืองแร่ที่บ้านอีต่อง ทั้งคู่ได้จัดบ้านพักหลังหนึ่งให้เป็นกุฏิชั่วคราวของหลวงพ่อ มีชาวเหมืองจำนวนมากมาทำบุญกับหลวงพ่อ เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีวัดและพระสงฆ์เลย

          เดิมทีนั้น คนไทยเชื้อสายมอญพระประแดงทั้งสอง ต้องการสร้างกุฏิถวายหลวงพ่ออุตตมะให้จำพรรษาอยู่ที่บ้านอีต่อง แต่หลวงพ่อไม่รับ เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นพระเถื่อนเข้าเมืองไทย ท่านจึงต้องการไปขออนุญาตจากพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเขตปิล็อกเสียก่อน ทั้งสองจึงพาหลวงพ่ออุตตมะ มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กับหลวงพ่อไตแนม ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงและอุปสมบทที่วัดเกลาสะเช่นเเดียวกับหลวงพ่ออุตตมะ

         ปี พ.ศ. 2494 ขณะจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่ออุตตมะมีโอกาสไปสักการะพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ทำให้หลวงพ่อได้พบชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่มาจากเมืองต่าง ๆ เช่น แม่กลอง สมุทรสาคร มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อ ไปจำพรรษาที่วัดบางปลา ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

        หลังจากเดินทางกลับจากวัดบางปลา มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน หลวงพ่อไตแนมขอให้หลวงพ่ออุตตมะ ไปจำพรรษาที่วัดปรังกาสีซึ่งเป็นวัดร้าง บริเวณวัดปรังกาสีมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และบริเวณนั้นไม่มีพระหรือวัดอื่นเลย หลวงพ่อร่วมกับกำนันชาวกะเหรี่ยงนิมนต์พระกะเหรี่ยง จากตลอดแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อยได้ 42 รูป มาอยู่ปริวาสที่วัดปรังกาสี 9 วัน 9 คืน หลัง

         จากนั้นก็สร้างกุฏิและเจดีย์ขึ้น หลวงพ่ออุตตมะนิมนต์พระกะเหรี่ยงมาจำพรรษาที่วัด 3 รูป ท่านสอนภาษามอญแก่พระทั้ง 3 รูปนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการสอนธรรมะต่อไป

         หลวงพ่ออุตตมะจำพรรษาอยู่วัดปรังกาสีหนึ่งพรรษา ต่อมาผู้ใหญ่ทุม จากท่าขนุนมานิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยมหลวงปู่แสงทีวัดเกาะ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเคยไปจำพรรษาที่วัดโมกกะเนียง เกลาสะ และมะละแหม่งมาก่อน และในพรรษานั้น หลวงพ่ออุตตมะได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ ตามคำนิมนต์ของหลวงปู่แสง

          ปี พ.ศ. 2494  ขณะที่หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ มีคนมาแจ้งข่าวแก่หลวงพ่อว่า ที่กิ่งอำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญจากบ้านเดิมของหลวงพ่ออพยพเข้าเมืองไทย ทางทางบีคลี่เป็นจำนวนมาก และต้องการนิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยม เมื่อหลวงพ่ออุตตมะออกจากจำพรรษา แล้วเดินทางกลับไปยังอำเภอทองผาภูมิ และไปยังอำเภอสังขละบุรี และพบกับคนมอญทั้งหมดที่มาจากโมกกะเนียง เจ้าคะเล และมะละแหม่ง บ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อจึงพาชาวมอญเหล่านี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านวังกะล่าง นับเป็นจุดกำเนิดแรกเริ่มของชุมชนชาวมอญในสังขละบุรี

กำเนิดวัดหลวงพ่ออุตตมะ
       
        ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญได้พร้อมใจกันสร้างศาลาวัดขึ้น และสร้างเสร็จในเดือน 6 ของปีนั้นเอง  แต่เนื่องจากยังมิได้มีการขออนุญาตจากกรมการศาสนา วัดที่สร้างเสร็จจึงมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า ?วัดหลวงพ่ออุตตมะ? ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า ?สามประสบ? เพราะมีแม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกัน  คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี

        ในปี พ.ศ. 2505  เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์ตามชื่ออำเภอเก่า (อำเภอวังกะ) ว่า  ?วัดวังก์วิเวการาม?

         ในปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถวัดวังก์วิเวการามโดยปั้นอิฐเอง

        ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อได้เริ่มสร้างเจดีย์จำลองแบบจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2529

ตำแหน่งด้านการปกครองคณะสงฆ์และสมณศักดิ์

        ปี พ.ศ. 2504  เป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม
        ปี พ.ศ. 2505 เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม
        ปี พ.ศ. 2509 เป็นพระกรรมวาจาจารย์
        ปี พ.ศ. 2511 เป็นพระอุปัชฌาย์
        ปี พ.ศ. 2512 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูอุดมสิทธาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชั้นโท
        ปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก 
        ปี พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ พระอุดมสังวรเถร
        ปี พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชอุดมมงคล

ผลงานของหลวงพ่อผู้บำเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์



วัดวังก์วิเวการาม


กุฏิสงฆ์



เจดีย์พุทธคยา



พระอุโบสถกลางน้ำ(หลังเก่า)


หอระฆังกลางน้ำ


สะพานไม้ สร้างด้วยแรงศรัทธาของชาวมอญ

 
 

หน้า: [1]