1. หากเราพบมนุษย์ที่กล่าว มุสาวาทา ครบองค์ประกอบอันได้แก่
1. อภูตวัตถุ... กล่าวเรื่องไม่จริง
๒.วีสังวาทนจิตตตา...มีจิตคิดกล่าวเรื่องหลอกลวง
๓.ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรกล่าว
๔.ตทัตถวิชานนัง...ผู้ฟังรู้เนื้อความนั้น
แล้วทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เดือดร้อน เป็นภัย จากผลพวงจากการกระทำการมุสาวาทาจากมนุษย์ผู้นั้น...
นอกจากนิ่งเฉยไม่โต้ตอบแล้ว...เราควรทำอย่างไรคะหลวงพ่อ?
1.1 คำถามเพิ่มเติม การละเว้นไม่พูดถือว่าเป็นการมุสาไหมคะ?
1.2 แล้วการละเว้นไม่พูดแต่ผู้อื่นเสียใจ แต่ไม่เดือดร้อนแบบนี้ถือว่ายังไง?
2. หากพบมนุษย์ที่กระทำ ปิสุณวาจา ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ประการที่ถือเป็นการพูดส่อเสียด ยุยงให้เกิดความแตกแยก อันได้แก่
๑. ภินทิตัพโพ...มีหมู่คณะที่พึงแตกกัน
๒. เภทปุเรกขาโร...มีความปรารถจะให้แตกแยกกัน
๓. ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรเพื่อให้แตกแยกกัน
๔. ตทัตถวิชานนัง...หมู่คณะรู้ความนั้น
แล้วทำให้เราคิดจะแตกแยก แตกหักจากกัน...แบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นพรรค เป็นพวก...
เราควรจะทำอย่างไรให้เขาทราบถึงผลพวงแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้าคะ?
เหตุเพราะบางครั้งมนุษย์เหล่านั้นอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดประสบการณ์คิดถึงผลพวงแห่งการกระทำดังกล่าว
3.หากเราพบมนุษย์ที่ล่วงสัมมาวาจา ผรุสวาจา อันครบองค์ประกอบด้วยโทสะทั้ง ๓ ประการ อันได้แก่
๑.อักโกสิตัพโพ...มีคนอื่นที่พึงจะด่า
๒.กุปปิตจิตต...มีจิตเข้าไปโกรธ
๓.อักโกสนา...กล่าวด่า บริภาษ
นอกจากเราจะนิ่งเฉย หรือหัดใช้วิธีโต้ตอบแบบสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว...เราควรทำอย่างไรให้เขาทราบว่า การกล่าวผรุสวาจาบ่อยๆ นั้นคือ คือการทำกรรมทุกวันๆ โดยไม่รู้ตัว (เขาเรียกไรนะหลวงพ่อ จำไม่ได้แล้วค่ะ แบบทำกรรมเป็นอาจิณอ่ะค่ะ เงอะงะหน่อยค่ะผู้หญิง)
เอ่อ...ออ...สะท้อนบทความนี้แล้ว เลยต้องท่องข้อความนี้ให้ขึ้นใจ...
'หาความดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขามากล่าวชื่นชม ดีกว่าจ้องจับผิดมาด่าทอกัน..'
อรุณสวัสดิ์หลวงพ่อโด่ง.. วันนี้ฉันกาแฟรสอะไร.. ลูกดื่มกาแฟผสมโสมที่ไปซื้อมาเมื่อวาน
ตราบใดที่เขายังไม่ได้รับผลแห่งกรรมนั้น เขาย่อมไม่มีวันสำนึก เพราะความรู้สึกนึกคิดของเขาเป็น"มิจฉาทิฏฐิ"
อันยากแก่การที่จะชี้แนะและตักเตือน ดั่งคำที่เคยกล่าวไว้""ถ้ายังมีหนทางไป ใจย่อมไม่นึกถึงธรรม แต่เมื่อยามเจ็บช้ำ
พระธรรมจะเป็นที่พึ่งของคุณ"... "ยังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวธรรมสงเคราะห์เขา"
และการที่เราไปโกรธตอบ...ด่าตอบนั้น มันทำให้รามีกรรมและทุกข์มากกว่าเขา เพราะว่า
๑.เราเป็นผู้ต่อเวรต่อกรรมให้ยืดยาวไปอีก เรียกว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก...แต่ถ้ามือทั้งสองข้างกระทบกันย่อมมีเสียงดัง
และอาจมีคนมาได้ยิน และมองเป็นเรื่องสนุก จึงเขามาช่วยกันตบ เมื่อหลายคนช่วยกันตบ เสียงนั้นย่อมจะดังขึ้นเรื่อย
ถ้าเราปล่อยให้เขาตบสัมผัสกับอากาศ คือความว่าง มันย่อมไม่มีเสียงหรืออาจจะมีก็เพียงเล็กน้อย ไม่นานเขาเหนื่อย เขาก็เลิกไปเอง
และถ้าเขาไม่ยอมเลิก...คนที่ผ่านมาเห็นย่อมจะคิดว่าคนๆนั้นไม่ปกติแน่นอน
๒.เขาด่าเราโกรธเรา..เราทุกข์เพราะถูกด่าถูกโกรธ..และเมื่อเราด่าเขาตอบ..โกรธเขาตอบ มันก็เพื่มกำลังเป็นสองเท่าคือทั้งของเขาและ
ของเรามารวมกัน...โกรธ..โมโห ที่ถูกด่า...โกรธ โมโห ที่จะคิดคำด่าตอบ ซึ่งสรุปแล้วเราทุกข์กว่าเขา เมื่อเราคิดโต้ตอบ
:059:ปล่อยให้กรรมและกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูนจ์ เป็นตัวจัดการ เอาสมองไปคิดเรื่องที่มีสาระและมีประโยชน์จะดีกว่า