กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => ธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: phisorn.b ที่ 09 มิ.ย. 2551, 04:27:21
-
สวัสดีครับ
วันนี้ขอนำเสนอ ? " คติธรรม " ? ?บางส่วนจากพระไตรปิฎกครับ
? ? ? ? ***? ? ?? คติธรรม ? ?? ? ***? ?
? ? ? ? ? ? วิริเยน? ทุกขมัจเจติ? ?
บุคคลล่วงทุกข์ได้? ?เพราะความเพียร
( พุทธภาษิต จากขุททกนิกาย สุตตนิบาติ )
ความเพียร ทำให้ตน พ้นจากทุกข์
ความเพียร ทำให้สุข สมประสงค์
ความเพียร ให้สำเร็จ เจตน์จำนง
ความเพียร จะพาส่ง สู่นิพพพาน
*** ความเพียรกล่าวโดยทั้วไปมี ๒ อย่างคือ เพียรทำความดี กับเพียรทำความชั่ว
แต่เพียรทำความชั่วจะพาตนให้ประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ความเพียรในพุทธภาษิตนี้ มุ่งหมายถึงความเพียรที่ดีเท่านั้น และอาจแบ่งได้เป็น ๓ ระดับดังนี้
*** ความเพียรระดับต้น คือความเพียรในการประกอบสัมมาอาชีพ เมื่อแสวงหาทรัพย์สมบัติได้แล้ว ก็รู้จักรักษา รู้จักใช้จ่ายให้เหมะสมกับฐานะของตน ก็จะทำให้ตนนั้นพ้นจากความจน ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินผู้อื่น ได้รับความสุขจาการมีทรัพย์ได้ตามสมควรในโลกนี้เพียรเพื่อประโยชน์โลกนี้อย่างแท้จริง
*** ความเพียรระดับกลางเป็นความเพียรอีกระดับหนึ่ง ได้แก่ความเพียรในการหมั่นประกอบกองบุญกุศล มีการบริจากทาน มีการรักษาศีล เป็นต้น ก็จะทำให้ตนพ้นทุกข์ภัยในอบายภูมิ ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกาย ที่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นอันมาก แต่บุญกุศลจะพาตนให้ได้เกิดในสุคติ เป็นมนุษย์ หรือเทวดา มีความสุขสบายในโลกหน้าเป็นการเพียรเพื่อประโยชน์โลกหน้าอย่างแท้จริง
*** ความเพียรระดับสูง หรือความเพียรอย่างสูงนั้น คือความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือใช้สติปัญญาให้รู้จัก นามรูป หรือกายกับใจ ตามความเป็นจริง โดยรู้ถึงลักษณะเฉพาะตัว ของนามรูปนั้นๆ และลักษณะที่เสมอเหมือนกันกับสังขารโดยทั้วไป ได้แก่ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ที่เรียกว่าสามัญญลักษณะ หรือไตรลักษณ์นั่นเอง ความเพียรประเภทนี้จะสามารถทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป ทำให้ตนพ้นจากทุกข์ทั้งปวง และทำให้ถึงสันติสุข คือพระนิพพานได้อย่างแท้จริง เป็นการเพียรเพื่อประโยชน์อย่างยิ่งที่แท้จริงที่สุด .
*** วันนี้ขอหยุดไว้ก่อนนะครับ...สวัสดีครับ พิศร ครับ :090:
-
:002: ขอบคุณครับ
-
อนุโมทนาครับ เพียรไปเถิดจะเกิดผล :054:
-
สวัสดีครับ
วันนี้มาต่อกันครับ
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวทํ
จิตที่คุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้
( พุทธภาษิต จาก ธรรมบท ขุททกนิกาย )
***? อันนานาจิตตังท่านตั้งไว้
เพราะดวงใจมีต่าง ๆ อย่างมากหลาย
มีใจดีใจชั่วอยู่มากมาย
จะเลวร้ายหรือดีล้นไม่พ้นใจ
เมื่อใจดีพาให้ได้ความสุข
ส่วนใจชั่วพาให้ทุกข์ไม่สดใส
ท่านจึงสอนให้คุ้มครองป้องกันใจ
ก็จะได้สุขสมอารมณ์ เอย.
*** จิต เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ มีความรู้สึกนึกคิดได้ เป็นธรรมที่ผันแปรกลับกลอกอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวรักเดี๋ยวชัง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จิตของปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลสนั้น มีปกติฝักใฝ่แสวงหาอารมณ์ที่ตนพอใจเสมอ อยากเห็นรูปที่สวยงาม ฟังเสียงที่ไพเราะ ดมกลิ่นที่หอมหวน รับรสที่อร่อย และต้องการสัมผัสที่นิ่มนวล เมื่อได้รับอารมณ์ที่ตนประสงค์แล้วก็พอใจติดใจ แต่ถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน หรือได้รับอารมณ์ที่ดีแล้วแต่พาพลัดพรากจากไปเสีย ก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับปริเทวนาการร่ำไห้ก็มีอยู่มิใช่น้อย
*** จิตของปุถุชน มักตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ และความหลง อยู่เป็นปกติ มีความคิดซัดส่าย ฟุ้งซ่านอยู่เป็นประจำ จะสงบลงบ้างก็เวลาที่ตนหลับสนิทเท่านั้น แต่จะหลับได้นานสักเท่าใด ไม่นานนักก็จะต้องตื่นขึ้นมา และพอลืมตาก็ลืมตัว ปล่อยให้กิเลสทั้งหลายมีความโลภ เป็นต้น เข้าครอบงำสืบต่อไป
*** ฉะนั้น พระบรมศาสดาผู้ทรงมีเมตตากรุณาต่อชาวโลก จึงได้ทรงแนะนำพร่ำสอนให้พวกเราชาวพุทธรู้จักการคุ้มครองป้องกันจิต มิให้จิตตกไปในฝักใฝ่แห่งความชั่ว แต่ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมความดี ไม่ให้ตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้มีสติปัญญาคอยคุ้มครองรักษาจิตอยู่เสมอ ก็จะทำให้ตนพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน ถึงซึ่งความสงบสุขได้โดยแท้จริง.
*** ( อารมณ์ เป็นธรรมชาติที่ถูกจิตรู้ ) ***
***? ? วันนี้ขอหยุดไว้ก่อนนะครับ...สวัสดีครับ? ?พิศร? ?ครับ? ?? ?:090:
-
ขอแสดงความขอบคุณให้อีกหนึ่งเสียงครับ.....
-
อนุโมทนาครับท่าน :053:
-
สวัสดีครับ
วันนี้มาต่อกันครับ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? สารญฺจ? สารโต? ญตฺวา? อสารญฺจ? อสารโต
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?เต? สารํ? อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา
ชนเหล่าใด? รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ? และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ชนเหล่านั้นมีความดำริชอบเป็นโคจร? ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ
( พุทธภาษิต? ธรรมบท? ขุททกนิกาย? ยมกวรรค )
***อันสาระจะทำให้ ได้ประโยชน์
ไม่เกิดโทษไม่เกิดทุกข์ แต่สุขแน่
ผิดกันกับอสาระ ไม่ดีแล
สมควรแท้จะละลด ให้หมดไป
***มวลมนุษย์น้องพี่ ที่เกิดมา
มิควรข้าพึงรีบหา สาระไว้
เพื่อจักได้อยู่รอด และปลอดภัย
ประสบสุขยิ่งใหญ่ จริงจริงแล
***? ?สารธรรม คือธรรมที่จะให้เกิดประโยชน์และความสุข? ส่วนอสารธรรมเป็นธรรมที่จะนำมาซึ่งโทษและความทุกข์ ? สารธรรมเป็นธรรมที่ดีแต่อสารธรรมเป็นธรรมที่ชั่ว? ? สารธรรมเป็นธรรมที่น่ายินดีในการที่จะกระทำตาม ? แต่อสารธรรมเป็นธรรมที่ควรจะเกรงกลัวและพยายามหลีกหนีเสียให้ห่างไกล
***? ?ธรรมที่ดีหรือความดีนี้? ได้แก่? การกาะทำดี พูดดี และคิดดี? ที่เป็นไปในทวารทั้ง ๓ คื? กาย? วาจา? และใจนี้เอง? การกระทำความดีย่อมไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน? แต่จะทำให้ตนเองและผู้อื่นเป็นสุข ส่วนธรรมที่ชั่วตรงกันข้ามกับความดี? คือทำชั่ว? พูดชั่ว? และคิดชั่ว? ทำให้ตนเองและผู้เดือดร้อน.
***? ?พระอรรถกถาจารย์ได้จำแนกสารธรรมไว้ ๕ อย่าง? คือ? ศีล? สมาธิ? ปัญญา? วิมุต? และวิมุตติ? ญาณ ? ทัสสนะ? และกล่าวถึงพระนิพพานว่าเป็นปรมัตถสาระ ? คือสาระที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ? สาระ ๕ อย่างนี้? เรียกว่า? ธรรมขันธ์ก็ได้
ศีล ? เป็นธรรมที่เป็นพื้นฐานของคุณธรรมความดีต่าง ๆ ที่สูงยิ่งกว่าศีล เช่น สมาธิ ? เป็นต้นนั้นต้องอาศัยศีลเป็นเหตุเป็นเครื่องรองรับจึงจะเกิดได้? การรักษาศีลนี้จะต้องให้สมบูรณ์ คือ ให้ครบทุกข้อ ศีล ๕ ก็ครบ ๕ ข้อ ศีล ๘ ก็ครบ ๘ ข้อ? เป็นต้น? และต้องรักษาให้เหมาะสมกับเพศของตน? คือคฤหัสถ์ก็รักษาแบบคฤหัสถ์? เป็นบรรพชิตก็รักษาแบบบรรพชิต? การรักษาศีลนอกจากจะต้องให้สมบูรณ์คือ ? ?มีครบทุกข้อไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว? ยังต้องให้บริสุทธิ์? ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกิเลสอีกด้วย? เช่นรักษาศีลแล้วปรารถนาเป็นมนุษย์หรือเทวดา เป็นต้น? ก็ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์? ศีลเมื่อไม่บริสุทธิ์ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ ? แต่ถ้าศีลบริบูรณ์และบริสุทธิ์ดีแล้ว? ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดสมาธิต่อไป
สมาธิ ในที่นี้เป็นสมาธิที่เกิดจากรักษาศีลบริสุทธิ์? ที่เรียกว่า? ศีลวิสุทธิ? ซึ่งได้มาจากการเจริญสติปัฏฐาน เพราะศีลจะบริสุทธิ์ได้นั้นต้องมีอินทรียสังวรศีล ? ซึ่งได้มาจากการปฏิบัติสติปัฏฐานนั่นเอง? แต่การปฏิบัติในขั้นต้นนั้น? นิวรณ์ยังเกิดกลุ้มรุมได้? ใจยังไม่สงบ? ไม่เป็นสมาธิ? ไม่เป็นจิตตวิสุทธิ ได้อย่างมากก็เพียงศีลวิสุทธิ? แต่เมื่อได้ปฏิบัติต่อไปอย่างถูกวิธีดีแล้ว? นิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น? ก็ย่อมจะสงบลง? จิตก็เป็นสมาธิเป็นจิตตวิสุทธิ ? และเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาต่อไป
ปัญญา ? หมายถึงวิปัสสนาปัญญา? ได้มาจากการเจริญสติปัฏฐานจนนิวรณ์สงบแล้ว ? ปัญญาประเภทนี้ย่อมรู้จักรูปนามหรือขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ? รู้ทั้งปัจจัตตลักษณะ? ลักษณะประจำตัวของรูปนามนั้น ๆ เช่น? รูปมีลักษณะเสื่อมสลาย? นามลักษณะน้อมสู่อารมณ์หรือจะเรียกว่าวิเสสลักษณะก็ได้? และรู้ลักษณะอีกอย่างหนึ่งคือสามัญลักษณะ ? ลักษณะที่มีเสมอเหมือนกันกับสังขารทั้งปวง? คือ? การเกิดขึ้น? ตั้งอยู่? และดับไป? หรืออนิจจัง? ไม่เที่ยง? ทุกขัง? เป็นทุกข์? และอนัตตา? ไม่ใช่ตน? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า? ไตรลักษณะ? ลักษณะ ๓ อย่างเมื่อได้เจริญวิปัสสนามาจนเห็นรูปนาม? เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตาแล้ว ? เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายในรูปนาม? และนี่เองที่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่าเป็นทางแห่งความบริสุทธิปราศจากกิเลส ปัญญาจึงเป็นเหตุให้ถึงวิมุตความหลุดพ้นจากกิเลสได้
***? ?วิมุต ? ในที่นี้หมายถึง? มรรคและผล? เมื่อได้เจริญวิปัสสนาจนมีปัญญาแก่กล้าแล้ว? ก็สามารถประหาณกิเลสได้เด็ดขาด? บรรลุมรรคและผล? ในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น? ย่อมทำกิจในอริยสัจครบ ๔ ประการ? คือ รู้ทุกขสัจ? ละสมุทัยทำให้แจ้งนิโรธสัจ? และทำมรรคสัจให้เกิดสำหรับผลจิตนั้นแม้ไม่ได้ทำกิจเหมือนกับมรรคจิตแต่ก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์และมีเจตสิกประกอบเหมือนในมรรคจิต? จึงจัดเป็นวิมุตด้วย
***? ?วิมุตติญาณทัสสนะ? เป็นสารธรรมข้อสุดท้าย? คือความรู้มรรค? ผล? นิพพาน ? ที่ตนได้ประสบแล้วนั่นเอง ? และรู้ตลอดถึงกิเลสที่ตนละได้แล้ว ? และกิเลสที่ยังละไม่ได้ด้วย ความรู้ประเภทนี้รู้ในปัจจเวกขณวิถี? จะเกิดมีแก่พระอริยบุคคลทุกท่าน
***? ?สำหรับปรมัตถสาระ ? ไม่ได้อยู่ในสาระ ๕ แต่พระอรรถกถาจารย์ได้นำมากล่าวไว้ เพราะเป็นยอดแห่งสาระทั้ง ๕ คือเป็นผลที่เกิดจากสาระทั้ง ๕ นั่นเอง? พระบรมศาสนดาได้ทรงยกย่องว่าเป็นธรรมที่ประเสริฐที่สุด? เป็นปรมัตถประโยชน์
***? ?ผู้มีศรัทธาและปัญญา ? เมื่อมาปฏิบัติตนอยู่ในสารธรรมทั้ง ๕ แล้ว ? ในที่สุดก็จะถึงปรมัตถสาระ? หรือปรมัตถประโยชน์ ? คือพระนิพพานได้โดยแท้.
***? วันนี้ขอหยุดไว้ก่อนนะครับ...สวัสดีครับ? ?พิศร? ?ครับ? ? :090:
-
ขอบคุณครับท่าน :002: