อวิชชาต้องดับด้วยวิชชา
ศีล สมาธิ ปัญญา
มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
ผู้รู้ย่อมไม่ตาย ตถาคตเจ้าไม่ตาย แต่อยู่ในแดนพระนิพพาน ที่ตายคือสังขาร จิตไม่สูญไปไหน
นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
ผมเป็นคนจันทบุรี จะมีอำเภอโป่งน้ำร้อนที่ติดกับเขมร ดังนั้นคนจันท์จะทราบถึงความน่ากลัวของคุณไสยเขมรดีครับ
เมื่อ 40-50 ปีก่อน คนเก่าๆแก่ๆ รวมทั้งคุณย่าผมเล่าให้ฟังว่า มีเสือชื่อว่า โหย เรียนวิชามาจากเขมร จะออกปล้นทุกคืนเดือนมืด แต่ไม่เคยลักขโมยของวัดและแตะต้องผู้หญิงที่ไปปล้นเลยแม้แต่น้อย
ตำรวจในสมัยนั้นระดมยิงเข้าไปในกอหญ้าคากลุ่มหนึ่ง หลังจากเห็นเสือโหยและเพื่อนที่ชื่อว่าเสือหลอมกระโดดเข้าไปหลบ พอยิงเสร็จเข้าไปตรวจสอบปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย
ต่อมาอีกหลายปีเจอศพเสือโหยลักษณะผูกคอตายด้วยเชือกกล้วยที่สวนยางพารา มือกับเท้าถูกผูกด้วยใบหญ้าคา ใกล้กับศพเสือโหยมีเสือหลอม นั่งอยู่ใกล้ๆพร้อมสวดมนต์ลักษณะคล้ายๆสวดส่งวิญญาณให้เพื่อนที่เคยร่วมปล้นกันมา เสือหลอมเป็นผู้ฆ่าเสือโหยด้วยใช้คาถาบทไหน หรืออะไรที่ใครก็ไม่ทราบได้ หลังจากเสือหลอมฆ่าเสือโหยแล้ว เสือหลอมก็ตัดนิ้วชี้ตัวเองหนึ่งองคุลี เพื่อไว้อาลัยให้เพื่อนรักที่ร่วมปล้นกันมา แล้วใช้กระถางดินเผาครอบนิ้วที่ถูกตัดไว้ นายอำเภอเร่งมาดู แต่ไม่จับกุมเสือหลอม โดยลงบันทึกว่าเสือโหยผูกคอตายเอง.
ผ่านไปไม่นานเสือหลอมก็อุทิศตัวเองบวชเป็นพระ ออกธุดงค์ตามป่าเขานับสิบปี แล้วตอนที่ผมบวชเณรในวัดใกล้บ้านตอนภาคฤดูร้อน ตอนม.3 ผมได้ก็เจอหลวงตาหลอม หรืออดีตเสือหลอม ท่านมีใบหน้าที่น่าเลื่อมใสมาก หากไม่มีใครเล่าประวัติท่านให้ผมฟัง ผมก็ไม่เชื่อเลยว่าท่านจะเคยเป็นอดีตเสือ แต่ที่ผมต้องแปลกใจก็คือ ตอนที่ท่านชราภาพท่านเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ท่านเดินนิดหน่อยก็มักจะหอบ แต่พอผมถามว่าหลวงตาวันนี้ไปบิณฑบาตที่ไหน ท่านก็มักจะยิ้ม แต่ท่านไม่ตอบอะไร แต่คนมักจะพูดว่าท่านบิณฑบาตข้ามตำบลไปตำบลอื่นที่ไกลออกไปเกือบ 15 กิโลเมตรแต่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และท่านก็เป็นโรคหัวใจด้วย
ปกติท่านไม่ค่อยพูดกับพระรูปไหน แต่ถ้ามีพระมาถามกรรมฐานกับท่าน ท่านก็จะสอนให้ ท่านเคยสอนผมนั่งสมาธิ และเดินจงกรมอยู่บ่อยครั้ง ท่านมักจะพูดว่าถ้าถามหลวงตาเรื่องฌาณ หลวงตาตอบได้ แต่ถ้าจะถามเรื่องนิพพาน หลวงตาไม่รู้เพราะหลวงตายังไม่เป็น ท่านก็จะยิ้มๆ และนั่งหลับตาต่อ.
หลังจากลาสิกขามาเรียนต่อ 2ปี ท่านก็บอกกับแม่ผมว่าให้ผมไปหาท่านหน่อย ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นผมฝีกงานอยู่กรุงเทพ หลังจากนั้นท่านก็เขียนหนังสือใส่กระดาษส่งมาให้แม่ผม แล้วบอกว่าฝากไปให้ลูกชายด้วย พอหลังจากนั้นหนึ่งเดือนท่านก็มรณภาพด้วยลักษณะมือประสานกัน เหมือนคนที่เดินจงกรม แต่คว่ำหน้าลง ใบหน้ายิ้ม ตอนท่านเดินขึ้นบันไดกุฎิ 2ชั้น ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่ากุฎิสูงเนื่องจากสูงมาก บันไดจะชัน แต่ท่านก็ชอบที่จะจำวัดที่นั้นเพราะอยู่ห่างจากกุฎิพระรูปอื่น
พอผมรู้ผมก็ร้องไห้ และกลับมาร่วมงานศพของท่าน แม่ส่งกระดาษที่เขียนด้วยหน้าสมุดแผ่นใหญ่กว่าสมุดที่ใช้เรียนหนังสือที่ท่านฝากมาให้ ผมเปิดออกท่านเขียนไว้ว่า
บันทัดแรก-อวิชชาต้องดับด้วยวิชชา
บันทัดที่สอง -ศีล สมาธิ ปัญญา
บันทัดที่สาม- มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
บันทัดที่สี่ -ผู้รู้ย่อมไม่ตาย ตถาคตเจ้าไม่ตาย แต่อยู่ในแดนพระนิพพาน ที่ตายคือสังขาร จิตไม่สูญไปไหน
เกือบลืมครับ ทิ้งท้ายไว้ว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
ผมอ่านแล้วร้องไห้ ทุกวันนี้ก็ยังเสียใจที่ไม่ได้กลับไปกราบท่านก่อนที่ท่านจะมรณภาพครับ