2
« เมื่อ: 30 ธ.ค. 2552, 10:14:13 »
คุณปุ้ย ผมอยากทราบว่าสายพราย ที่นำมาสร้าง เครื่องรางนั้น เป็นการผูกมัดพรายหรือไม่ คำถามอาจดูแรงแต่อยากทราบความจริง
ผมเองก็ใช้สายพราย อยู่หลายอาจารย์ กุมารก็ดีเครื่องราง ต่างก็ดี ผมอยากทราบว่าการพลีพราย นั้นมีจริงหรือไม่
หรือเป็นแค่ข้ออ้างที่ ไม่เป้นความจริง ผมอยากทราบเรื่องนี้แบบละเอียด รบกวนด้วยนะครับ เป้นวิทยาทานครับ
สวัสดีครับคุณธนาเป็นคำถามที่ดีและมีหลายๆ ก็คงท่านอยากจะรู้กันนะครับ สำหรับคำว่าเครื่องรางสายพราย สายเทพ นี่ แต่วันนี้ประเด็นเราอยู่ตรงคำว่าสายพราย
สำหรับคำถามแรกว่า "สายพราย ที่นำมาสร้างเครื่องรางนั้น เป็นการผูกมัดพรายหรือไม่" คำว่าผูกมัดนั้นผมไม่แน่ใจว่าคุณธนาหมายถึงการผูกมัตสิ่งใด เพราะไม่ได้แจ้งไว้ในคำถาม แต่เอาเป็นว่าตามคอมมอนเซ้นต์ของคนทั่วไปคงจะไม่พ้นการหมายถึงการผูดมัด "วิญญาณ" เรามาพูดให้ง่ายเข้าว่า พราย = ผี และ การผูกมัดพราย = ผูกวิญญาณผีเพื่อเอาไว้ใช้งาน โดยไม่ให้สามารถไปไหนได้ รวมทั้งการไปเกิดในภพภูมิที่ควรไปเมื่อถึงกาลสมควร ซึ่งผมขอเรียนตามตรงว่าวิชาของครูบาอาจารย์แต่ละท่านนั้นผมไม่สามารถคาดเดา ได้ว่า แต่ละท่านการจัดสร้างและปลุกเสกในลักษณะใด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เป็นการผูกมัดวิญญาณแบบนี้แล้ว ทางสายวิชาผมถือว่าเป็นไสยดำ เป็นของไม่ดี เพราะเป็นการบังคับ เป็นการสร้างกรรมและสร้างแรงพยาบาทให้แก่ดวงวิญญาณ ซึ่งหากคนใช้มีจิตที่อ่อนแอลงเมื่อใด จนไม่สามารถบังคับควบคุม วิญญาณนั้นย่อมย้อนมาทำอันตรายได้ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "ของเข้าตัว"
เอาเป็นว่าครูท่านอื่นจะสร้างแบบไหนก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกันครับ มาดูกันว่าทางสายวิชาของผมที่ทั้งครูอาจารย์ของผมท่านสอนสั่งมานั้นเป็นแบบ ไหนดีกว่า ทางสายเรานั้นจะไม่ทำการผูกวิญญาณครับ หากแต่เราจะใช้ดวงจิต ที่เป็น "สัญญา" ของเค้าแทน (สัญญาก็คือ ความจำได้ หมายรู้) จึงไม่ใช่เชิงแห่งการบังคับ แต่เป็นการให้สถิตอยู่ลักษณะเหมือนตั้งหนุนให้เกิดเหมือนกับโดยสมัครใจ นั่นจึงเป็นเหตุผลของการที่ว่า ท่านนี้เลี้ยงเค้าดี เค้าอยู่ช่วยงาน ท่านนั้น เลี้ยงดูเค้าไม่ดีจึงเงียบ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เปรียบเหมือนเค้าย้ายถ่ายเทไปสู่ที่ที่ดีกว่า เหมือนดั่งการเลือกนายอยู่ด้วย จิตดังกล่าวนี้จะไม่ไปผุดไปเกิด ไม่สามารถรับผลของกุศลและอกุศลกรรมได้ (เพราะแต่ละร่างกายจะมีจิตดวงเดียวเท่านั้นที่เกิดได้ ดับได้ตามสภาวะ)
จะว่าไปแล้วเราคงต้องได้กล่าวถึงสิ่งที่ผมไม่อยากกล่าวถึง (เพราะคนทั่วไปเข้าใจได้ยาก และจริงๆ ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจนัก) นั่นก็คืือ พระอภิธรรมปิฎก แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ทุกคนจะทราบว่าจิตที่สถิตอยู่ในเครื่องรางของขลังเหล่านั้น คืออะไรครับ เข้าเรื่องกันเลยว่าร่างการเราก็มีพระธรรมปิฎกอยู่ นั่นคือ ประกอบไปด้วย จิต / รูป (ร่างกาย) / เจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และพระนิพพาน ตามความเป็นจริงแล้ว คนๆ คนๆ หนึ่งก็มีจิตอมตะอยู่ จิตดวงเดียว ท่องเที่ยวไปเกิดตามภพต่าง ๆ ไม่ตายไม่สลาย ที่ท่านแยกจิตออกเป็น 89 ดวง (พระอภิธรรม) หรือ 121 ดวง (พระปรมัตถธรรม) นั้น ท่านแยกตามระดับอารมณ์ หรืออาการของจิต 1 ดวงนั่นเอง
จิต 89 ดวงนั้น ท่านแบ่งตามระดับของจิตอันเดียว นั้นคือ
1) เป็นจิตระดับกามาวจรภูมิ 54 ชนิด คือ จิตระดับคน เทวดา สัตว์ ที่ติดในกาม
2) เป็นจิตระดับรูปาวจรภูมิ 15 ชนิด คือ จิตระดับเทพ พรหมมีรูปลักษณ์เป็นทิพย์ ตาคนมองไม่เห็น นอกจากเทพพรหมจะทำให้คนเห็นได้
3) เป็นจิตระดับอรูปวจรภูมิ 12 ชนิด คือ จิตระดับอรูปพรหมมีแต่จิตแต่ไม่มีรูปทิพย์ของพรหม
4) เป็นจิตระดับ โลกุตตรภูมิ 8 ชนิด คือ จิตของพระอริยชนเป็นจิตสะอาดสดใสไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปทานอยู่ในจิต
ท่านแบ่งลักษณะของจิตตามความดีความชั่วมี 121 ชนิดคือ
1) เป็นจิตที่ฉลาดเป็นกุศล 37 ชนิด
2) เป็นจิตฉลาดมากมหากุศล 8 ชนิด
3) เป็นมหัคคตกุศล 9 ชนิด
4) เป็นจิตโลกุตตรวิบาก 20 ชนิด
5) เป็นจิตอกุศล 12 ชนิด
6) เป็นกิริยาจิต 20 ชนิด
รวม เป็น 121 ชนิด แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนละเอียดสำาหรับบุคคลที่ชอบสงสัย ชอบค้นคว้า มีปัญญาฉลาดดี หรือท่านที่จะเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนศิษย์ต่อไปเท่านั้น สำหรับเราๆ ท่านๆ ไม่จำาเป็นต้องเล่าเรียนลำ้ลึกมากขนาดนั้นก็ได้ครับ
ส่วนว่าทำไมถึงใช้ของพวกที่เป็นของอาถรรพณ์ต่างๆ ทั้งพวกกระดูก ชิ้นเนื้อ ผงเถ้า เชิงตะกอน ขี้ผึ้งปิดปากปิดหน้าผี หรือน้ำมันจากศพ เป็นต้น มาเป็นมวลสารในการจัดสร้าง นั่นก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสื่อวิญญาณ สื่อดวงจิต ที่ทำให้เราสามารถตั้งสามารถหนุนให้เกิดเป็นดวงจิตเป็นตัวตนได้ง่ายครับ คิดเล่นๆ ก็เหมือนร่างกายอยู่ที่ใด จิตก็อยู่ที่นั่นครับ มาดูกระบวนการผลิตกันดีกว่าครับ เอาคร่าวๆ ก็พอ คือ หลังจากที่เราได้มวลสารมาครบถ้วนแล้ว เราก็จะทำพิธีกันเพื่อปั๊มกดแบบหรือหล่อก็ว่าไปให้ได้เครื่องรางของขลังนั้น จากนั้นก็จะทำการปลุกเสก โดยตั้งธาตุ หนุนธาตุ หนุนอาการ 32 ตั้งขันธ์ 5 ตามด้วยคาถาที่เป็นของครูบาอาจารย์ท่านแต่ละสาย หากเป็นแบบที่มีตัวตนก็บังสกุลเป็นด้วยครับ พิธีส่วนใหญ่ถ้าจะต้องเกี่ยวข้องกับจิตกับวิญญาณมักจะไปทำกันในป่าช้า (สถานที่สุดฮิตของผมก็คือป่าช้าวัดป่าบ้านเปลือย จ.ร้อยเอ็ดครับ เยอะดีมาก ทั้งศพตายโหง ตายพราย ไม่มีญาติ ลูกเล็กเด็กแดงมีครบที่นี่) แต่บางครูท่านก็ทำที่วัดเลย
สุดท้ายกับคำว่า "พลี" เอ..คำนี้ทำให้ผมคิดถึงการพลี ที่เหมือนกับการเซ่นสังเวยใช้กับผี เซ่นไหว้ใช้กับเจ้ากับเทวดา แต่พลีในที่นี้คุณธนาคงหมายถึงว่าการไปเซ่นไหว้ผีเพื่อเอาเค้ามาใช้งานถูก ต้องไหมครับ ตัวผมและครูอาจารย์มักใช้การเชิญเค้ามาอยู่ด้วยมาร่วมทำบุญมากกว่า อยากมาก็มาจะเลี้ยงดู แต่ถ้าไม่อยากมาก็ไม่ใช้กำลังบังคับ ไม่รู้ว่าตรงกับคำว่าพลีในความเข้าใจของคุณธนาไหมนะครับ เพราะส่วนใหญ่การไปพลี ส่วนมากผมจะใช้กับการจะไปพลีเอาพวกไม้มงคล ไม้ตายพราย (ยืนต้นตาย) ว่าน และพวกกาฝากซะมากกว่าผีครับ ถ้าใช่ก็คงไม่ต้องตอบมากแล้วมากแล้วครับ อ่านมาถึงจุดนี้คงจะพอมองภาพทั้งหมดออกนะครับ
ผมไม่ได้เป็นผู้รู้หรือกูรูแต่ประการใดนะครับ หากแต่เป็นหมอธรรมที่ศึกษาวิชาดวงธรรมและพระเวทย์คาถา เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ที่ตอบมานั้นก็ตอบตามภูมิรู้ที่ครูอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอน ถูกผิดประการใดก็รอท่านที่รู้มากกว่าผมมาชี้แนะอีกทีครับ