"คนเราควรมองผู้มีปัญญาใดๆ
ที่คอยชี้โทษและกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป
ว่าผู้นั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ
ควรคบหาบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เพราะเมื่อคบหากับบัณฑิตเช่นนั้นอยู่
ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐส่วนเดียว ไม่มีเสื่อมเลย"
"นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวี ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย"
พุทธสุภาษิต ธรรมบท ๒๕/๒๑
...............................
ทุกคนเมื่อลงมือทำธุรกิจ ก็มุ่งหวังผลกำไร ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของธุรกิจที่ทำ
ทุ่มเทเวลาและแรงกายให้กับธุรกิจที่กระทำ จนทำให้เวลาของชีวิตครอบครัวต้องขาดหายไป
โดยส่วนใหญ่มีความคิดว่า เมื่อมีฐานะทางสังคมที่มั่นคงแล้ว จึงหันมาให้ความสุขแก่ครอบครัว
และในสังคมที่เป็นอยู่มักเป็นเช่นนั้น ทำให้เกิดมีปัญหาทางสังคมและครอบครัวที่แตกแยกให้เห็นกันอยู่
เพราะช่วงเวลาของชีวิตที่ขาดหายไป ความสัมพันธ์ในครอบครอบที่ห่างเหินไม่มีเวลาให้แก่กัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา บิดากับบุตร คนในครอบครัวขาดหายไป เพราะเราเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับธุรกิจที่กระทำ
ซึ่งเวลาสำหรับครอบครัวที่สูญหายไปนั้น ไม่อาจจะประเมินค่าเป็นตัวเงินหรือมูลค่าทางทรัพย์สินได้ เพราะมีค่ามากมาย
"กำไรในเชิงธุรกิจแต่ขาดทุนในชีวิตและครอบครัว"มักเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายมองข้ามกันไปลืมคิดและพิจารณา
...ที่มาของบทความนี้...
มีญาติโยมท่านหนึ่งมาขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำในการทำธุรกิจ
จึงได้ให้แนวความคิดในลงทุนการทำธุรกิจเพื่อให้นำไปคิดและเป็นแนวทาง
การมองโลกให้กว้าง วิเคราะห์ทุกอย่าง ทั้งในเชิองบวกและเชิงลบ
และสิ่งที่กระทำนั้นไม่กระทบต่อศีลธรรมและความสุขของครอบครัว
โดยอย่ามองตัวเลขและผลกำไรจนมากเกินไป จนทำให้เวลาของชีวิตนั้นขาดหาย
ธุรกิจที่กระทำนั้นต้องเดินไปควบคู่กันได้ทั้งทางโลก ทางธรรมและครอบครัว
สรุปแล้วคือให้รู้จักความพอดีและความเพียงพอในชีวิตในทางธุรกิจและครอบครัว
จากประสพการณ์ที่ผ่านมา เราจะมักเห็นกันว่าปัญหาต่างๆนั้นเกิดจากการที่เราให้ความสำคัญกับธุระกิจจนเกินไป
ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวตามมา สามีมีภรรยาน้อย ภรรยามีชู้ ลูกเป็นเด็กมีปัญหา ขาดความอบอุ่นในครอบครัว
พ่อต้องเดินทางไปทำธุรกิจติดต่องานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว แม่ต้องออกงานสังคมเพื่อสร้างภาพทางธุรกิจ
ลูกได้รับการเลี้ยงดูด้วยเงินทองและทรัพย์สิน ขาดความใกล้ชิดกันในครอบครัว เพราะไม่มีเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกัน
...จึงได้แนะนำและให้ข้อคิดแก่ญาติโยมที่มาขอคำปรึกษา
และเห็นว่าสิ่งที่ได้กล่าวไปนั้น คงจะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย
จึงได้นำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง หลังจากที่ขาดหายไปตั้งแต่ออกพรรษามา
เพราะว่ามีภาระกิจหน้าที่ตามที่เขานิมนต์มาและเวลาที่ต้องสงเคราะห์หมู่คณะ
และเมื่อว่างจากภาระหน้าที่จึงมีเวลาที่จะนำเสนอข้อคิดและคติธรรมแก่ท่านทั้งหลาย...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะชายขอบ
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๖.๕๖ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย
..............................................................................
"กุศลธรรมทั้งปวง มีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น"
"เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต อปฺปมาทมูลกา
อปฺปมาทสโมสรณา อปฺปมาโท เตสํ อคฺคมกฺขายติ"
พุทธสุภาษิต อัปปมาทสูตร ๒๔/๒๕
............................................................