ขอบคุณที่มา และท่านwebmaster
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)
จิตหนึ่งนี้ ตลอดจนสังขารทั้งปวง จึงมีการแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง เกิดดับ เกิดดับๆๆๆ....อยู่ตลอดเวลา ตามเหตุอันมาเป็นปัจจัยกันนั่นเอง เฉกเช่นดัง เงา
เราก็รู้อยู่อย่างตำใจ ว่ามีจิต แต่ไฉนจึงกล่าวว่าไม่มีตัวไม่มีตน , ไม่ใช่ของตัวของตน อย่างแท้จริง เหตุเพราะจิตนั้นอุปมาเหมือนดังเงา อันไม่มีตัวตน,ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่างเป็นแก่นแกนถาวรแท้จริง จึงไร้แก่นสารหรือสาระอย่างแท้จริงที่จะไปยึดหรือไปอยากให้เป็นทุกข์ ดังเช่น ถ้าถามว่ามีเงาไหม ทุกคนก็ต้องตอบว่ามี ก็เพราะเห็นอยู่ทั้งตำตาและตำใจแท้ๆ แต่ถึงจะมีก็จริงอยู่ แต่ก็อยู่ในสภาวะที่ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง ตามกฏพระไตรลักษณ์ นั่นเอง เพราะเงาล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ มีเหตุต่างๆอันมี วัตถุทึบแสง, แสง, พื้นที่รับแสง มาเป็นปัจจัยกัน
เงา นั้นก็ไม่มีใน วัตถุทึบแสง
เงา นั้นก็ไม่มีใน แสงหรือแสงแดด
เงา นั้นก็ไม่มีใน พื้นที่รับแสง
แต่เมื่อเหตุทั้ง ๓ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ วัตถุทึบแสงมาบังกั้นแสงที่ตกกระทบบนพื้นที่รับแสง จึงเกิด สังขาร - สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จากเหตุทั้ง ๓ มาเป็นปัจจัยกัน จึงเกิดสิ่งที่เราเรียกกันโดยภาษาสมมติหรือสมมติสัจจะว่า เงา ขึ้น อันเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา ที่หมายถึงเมื่อเหตุปัจจัยครบดังนี้ ก็ย่อมต้องเกิดขึ้น จะไปห้ามไม่ให้เกิด,ไม่ให้เป็นก็ไม่ได้ เมื่อเจริญวิปัสสนาโดยการโยนิโสมนสิการจะพบว่า เมื่อเหตุต่างๆอันคือวัตถุทึบแสง, แสง, พื้นที่รับแสง ที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเหล่านั้น เมื่อเหตุตัวใดตัวหนึ่งซึ่งต่างก็ย่อมล้วนเป็นสังขารอันไม่เที่ยงเช่นกัน มีอาการแปรปรวนหรือดับหรือสูญไป เงาอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม ย่อมต้องเกิดอาการแปรปรวน หรือดับไป กล่าวคือขึ้นอยู่หรืออิงอยู่กับเหล่าเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันนั้นนั่นเอง เงาอันเป็นสังขารจึงมีการแปรปรวน หรือการเกิดดับๆๆๆ...เป็นไปตามเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ภายใต้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไปเช่นดั่งจิต ที่ก็เป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยต่อกันและกันดังเช่นเงานั่นเอง ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันก็ไม่เกิด ดังนั้นการพยายามหาตัวหาตนของจิต หรือไล่จับจิตหรือวิญญาณ จึงเป็นการพลัดหลงสู่วังวนของความคิด หรือมายาของจิต จึงอุปมาได้ดั่งการพยายามวิ่งไล่จับเงา อันย่อมไม่มีวันประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักกี่ร้อยภพ กี่พันชาติ ก็ตามที
เงา เมื่อเป็นสังขารสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นชนิดหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น จึงย่อมต้องเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ เกิดแต่เหตุปัจจัยมาเนื่องสัมพันธ์กัน ชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเท่านั้น สังขารจึงมีความไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นที่สุด เป็นอนัตตา ไม่เป็นแก่นไม่เป็นแกนอย่างแท้จริง เพราะคงทนอยู่ไม่ได้ และควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามใจปรารถนา เป็นไปหรืออิงตามเหตุปัจจัยหรือหลักปฏิจจสมุปบันธรรม จิตก็เป็นเช่นดังเงานั้นนั่นเอง ดังนั้นการพยายามหาตัวจิตหรือนิยามของจิตอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นการตกสู่หลุมพรางของความคิดหรือมายาของจิตทันที ดังนั้นการที่ไปยึดหรือไปอยากใดๆในผลอันเกิดแต่จิตอันไม่เที่ยง ผลอันเกิดขึ้นมาแต่เหตุที่ไม่เที่ยงนั้น ผลก็ย่อมไม่เที่ยงไปด้วย จึงย่อมต้องเกิดทุกข์ขึ้นในที่สุดจากการเสื่อม การสูญเสีย ความอาลัย ความอาวรณ์ ความคำนึงถึงต่างๆ เพราะอำนาจพระไตรลักษณ์เป็นที่สุด
จิต จึงไม่มีตัวตนเป็นแก่นเป็นแกน เป็นมายาเหมือนดั่งเงานั่นเอง เกิดแต่เหตุปัจจัยดุจดั่งเงา เมื่อขาดเหตุปัจจัยก็ดับไป จิตจึงมีสภาวะเกิดดับ..เกิดดับ เหมือนดัง เงา ดังนี้