สมาธิไม่ต้องทำอารมณ์แต่มีทำในใจ
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสถามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงมีได้หรือหนอ แลการที่ภิกษุได้สมาธิ โดยประการที่ไม่ถึงมีความสำคัญ
ในธาตุดิน ว่าเป็นธาตุดิน
.เป็นอารมณ์
ในธาตุน้ำ ในธาตุไฟ ในธาตุลม
เป็นอารมณ์
ในอากาสานัญจายตนะ
เป็นอารมณ์
ในวิญญานัญจายตนะ
..เป็นอารมณ์
ในอากิญจัญญายตนะ
..เป็นอารมณ์
ในเนวสัญญานา สัญญายตนะ
.เป็นอารมณ์
ในโลกนี้ ในโลกหน้า เป็นอารมณ์ ฯ
ไม่พึงมีความสำคัญ
..
ในรูป ที่ได้เห็น
เป็นอารมณ์
เสียง ที่ได้ยิน
.เป็นอารมณ์
กลิ่น ที่ได้ทราบ
..เป็นอารมณ์
รส ที่รู้แจ้ง
..เป็นอารมณ์
โผฏฐัพพะ ที่ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ที่ใจตรองตามแล้ว
.เป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าถึง เป็นผู้มีสัญญาหมายรู้
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่แจ่มแจ้งในเนื้อความนี้ ขอพระองค์ จงประทานวโรกาส แสดงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ แก่พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สดับแล้ว จะทรงจำไว้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงจำใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระพุทธพจน์ว่า พระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงมีได้ การที่ภิกษุได้สมาธิ โดยประการที่ไม่พึงมีความสำคัญ
.
ในธาตุดิน ในธาตุน้ำ ในธาตุไฟ ในธาตุลม
.
ในอากาสานัญจายตนะ
ในวิญญานัญจายตนะ
ในอากิญจัญญายตนะ
ในเนวสัญญานา สัญญายตนะ
ในโลกนี้ ในโลกหน้า
เป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญ
..
ในรูป ที่ได้เห็น
เสียง ที่ได้ยิน
กลิ่น ที่ได้ทราบ
รส ที่รู้แจ้ง
โผฏฐัพพะ ที่ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ที่ใจตรองตามแล้ว
เป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าถึง เป็นผู้มีสัญญา
.. หมายรู้ คือ ทำใจหมายรู้อย่างนี้ ว่า
(บาลี) เอตัง สันตัง เอตัง ปะณีตัง, ยะทิทัง สัพพะสังขาระ มะมะโถ สัพพูปะธิปะฏินิสสัคโค,ตัณหักขะโย,วิราโค,นิโรโธ นิพพานัง. ฯ
ธรรมชาตินั่นสงบละเอียด ฯ ธรรมชาตินั่นประณีตยอดเยี่ยม ฯ
คือ ความสงบจากอารมณ์นึกอารมณ์คิดทั้งหลาย ฯ
และ ความสละคืนสิ่งทั้งปวงที่เกาะที่ถือ ฯ
ความวกวนเร่าร้อนทั้งหลาย ย่อมหายไป ฯ
ย่อมมีความผ่องใสไพบูลย์ สะอาดสะอ้านเกิดขึ้น ฯ
ย่อมเป็นสุขแท้ เพราะสังขารทั้งหลายดับสนิท ฯ
นี่แหละ ฝั่งอมตะนิพพาน ที่ล่วงพ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวง ฯ
(บาลี) เอตัง สันตัง,เอตัง ปะณีตัง ฯ
ยะทิทัง สัพพะสังขาระสะมะโถ ฯ
สัพพูปะธิปะฏินิสสัคโค ฯ
ตัณหักขะโย ฯ
วิราโค ฯ
นิโรโธ ฯ
นิพพานัง ฯ
เนื้อความ หรือ ข้อความการปฏิบัติตามแนวพระสูตรนี้ ก็คือ การกระทำภายในใจหมายหา คือ โน้มใจหันเข้าหาความสงบอารมณ์ พร้อมทั้งมีการปล่อยอารมณ์ออกคู่กันไป เพื่อให้จิตเข้าถึงความเป็นจิตเดิม หรือเป็นตัวของตัวเอง ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฯ
ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4