ประวัตินางกวัก และ ตำนาน "แมวกวัก"
ตำนานแรกในสมัยพุทธกาลหลายพันปีก่อน ที่เมืองมัจฉิกาสัณฑ์มีครอบครัวตระกูลพราหมณ์ บิดาชื่อ สุจิตพราพหณ์ มารดาชื่อ สุมณฑา มีบุตรสาวชื่อสุภาวดี ครอบ
ครัวมีอาชีพค้าขาย นางสุภาวดีจะหาบขายไปตามตลาดและที่ต่างๆ อยู่มาวันหนึ่งนางสุภาวดีขายของได้ไม่ดี แต่ว่าวันนั้นนางสุภาวดีได้พบพระมหากัสสปะ อัครสาวกของพระ
พุทธเจ้าซึ่งมีผู้นิมนต์มาฉันเพลที่บ้านหลังหนึ่ง นางจึงได้ไปทำบุญถวายเพลร่วมกับคนอื่น ๆ และได้ขอพรจากพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะผู้มีวาจาสิทธิ์จึงให้พร คือ ให้
นางสุภาวดีนั้นร่ำรวยมิทรัพย์สินเงินทองจากการค้า ปรากฏว่าพรนั้นทำให้นางสุภาวดีขายดีขึ้นอย่าวน่าอัศจรรย์จนมีฐานะดีขึ้น ต่อมานางสุภาวดีก็ได้ฟังธรรมจากพระสิวลีซึ่งเป็น
พระสาวกผู้เป็นเลิศด้านมีลาภสักการะมาก เกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้ทำบุญถวายเพลแด่พระสีวลี และนางก็ได้ขอพรจากพระสีวลี พระสีวลีก็ได้ให้พรซึ่งเหมือนกับพรที่พระมหากัส
สปะให้ ทำให้นางสุภาวดียิ่งขายดีมากขึ้น จนนางเป็นเศรษฐีในที่สุด ตั้งแต่นั้นมาจึงมีคนปั้นรูปผู้หญิงยกมือกวัก ต่อมาจึงเรียกว่า นางกวัก ซึ่งก็คือนางสุภาวดีนั่นเอง ทำให้
เกิดความเชื่อว่า ถ้าใครบูชานางกวัก หรือนางสุภาวดีแล้ว ก็จะค้าขายดีและมีเงินไหลมาเหมือนกับนางสุภาวดีนั่นเอง
ส่วนอีกตำนานหนึ่งเป็นตำนานที่แต่งเพิ่มเติมจากเรื่องท้าวกกขนากใน รามเกียรติ์ของไทย ที่เป็นที่มาของตำนานหนึ่งของลพบุรี มีเรื่องราวว่า นางกวักเป็น
ลูกสาวคนเดียวของ "ปู่เจ้าเขาเขียวหรือท้าวพนัสบดี" ซึ่งเป็นเจ้าชั้นจาตุมหาราชิกา มีตำแหน่งเป็นพระพนัสบดีคือ เจ้าแห่งป่าเขาลำเนาไพรทั้งปวง ครั้งนั้นอสูรหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อน
กับปู่เจ้าเขาเขียว ชื่อ "ท้าวอุณาราช" ถูกพระรามเอาศรต้นกกแผลงศรไปถูกทรวงอกแล้วตรึงร่างไปติดกับเขาพระสุเมรุ แล้วสาปว่า "ตราบใดที่บุตรของท้าวอุณาราชทอใยบัว
เป็นจีวร เพื่อถวายแด่พระศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้ จึงจะพ้นคำสาป" ท้าวอุณาราชจึงมีชื่อเรียกว่าท้าวกกขนากอีกชื่อหนึ่ง และนางนงประจันต์ บุตรสาวของท้าว
กกขนากจึงต้องอยู่คอยปฏิบัติพระบิดาและพยายามทอจีวร ด้วยใยบัวเพื่อให้เสร็จทันถวายพระศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้ในภายหน้า เมื่อนางนงประจันต์มาคอยดูแล
พระบิดาอยู่ที่เขาพระสุเมรุนั้น ฐานะความเป็นอยู่ของนางลำบากมาก ทำให้ปู่เจ้าเขาเขียวเกิดความสงสารจึงส่งนางกวักบุตรสาวมาอยู่เป็นเพื่อน ด้วยบุญฤทธิ์ของนางกวัก จึงได้
บันดาลให้พ่อค้าวานิช และผู้คนทั้งหลายเกิดความเมตตาพากันเอาทรัพย์สินเงินทองและเครื่องอุปบริโภค มาให้นางประจันต์เป็นจำนวนมาก ทำให้ความเป็นอยู่ของนางสุขสบาย
ขึ้น รูปปั้นนางกวัก จะเห็นว่าจะยกมือขึ้นกวักระดับเสมอปาก แปลว่ากินไม่หมด แต่ถ้ากวักต่ำลงมากกว่าปาก จะแปลว่ากินไม่พอ
ส่วนเรื่องแมวกวัก(ของญี่ปุ่น) มาเนกิเนโกะนั้น จะเป็นรูปแมวยกขาซ้ายขึ้นมาทำท่ากวักเหนือหูซ้าย มาจากความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่นคือ ถ้าเมื่อ
ไหร่แมวยกขาซ้ายขึ้นเหนือหูซ้ายจะมีแขกมาหา ของไทยก็เชื่อแบบนี้เหมือนกัน แต่เราบอกว่าถ้าแมวล้างหน้าจะมีแขกมาหา ก็เห็นนางเหมียวที่บ้านมันล้างหน้าของมันทุกวัน
แขกก็มามั่งไม่มามั่ง
ตำนานมาเนกิเนโกะมีอยู่ว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อยูสุกุโม เธอเลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งแมวตัวนั้นคอยตามพันแข้งพันขาดึงเสื้อดึงผ้ายูสุกุโมอยู่ วุ่นวายไม่ได้
ห่าง คนรักของยูสุกุโมรำคาญจึงเอาดาบฟันแมวคอขาดกระเด็นไปบนเพดาน ปรากฏว่าคอแมวที่ขาดกระเด็นลอยขึ้นไปบนเพดานนั้น ปากของแมวได้คาบงูตัวหนึ่งลงมาด้วย ซึ่ง
นั่นคือมันห่วงเจ้านายจะโดนงูกัด พยายามเตือนด้วยภาษาแมวๆ แต่นายไม่รู้เรื่อง แม้มันจะตายแต่ด้วยความจงรักภักดี แต่ก็ได้ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีของนายเป็นครั้งสุดท้าย ยูสุกุ
โมโศกเศร้าและอาลัยแมวมากนอกจากทำสุสานให้มันแล้ว ยังจ้างช่างสลักรูปของแมวของเธอด้วย ช่างได้สลักรูปแมวที่เหมือนกับแมวของเธอขึ้นทำท่ายกขาขึ้นเหนือหูซ้าย
ซึ่งเธอก็พอใจเล่นกับรูปแมวและให้อาหารทุกวัน
ขอบคุณครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ