22 กรกฎาคม 2545
บ่อน้ำทิพย์เจริญธรรม ภูเก้ายอด บ้านห้วยกล้วย แม่ฮ่องสอน
ออกรับบิณฑบาตรในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 1 กิโลเมตร มีบ้านเรือนอยู่ประมาณ 18 หลัง
ซึ่งตั้งอยู่ต่ำกว่าที่ตั้งของธุดงคสถาน จึงต้องเดินลงดอยไปรับบิณฑบาตร ซึ่งช่วงนี้ฝนตกหนักเดินลำบาก
เพราะพื้นดินลื่นและเต็มไปด้วยโคลน ต้องใส่รองเท้ายางที่กระเหรี่ยงเรียกว่า"รองเท้าโฟร์วิลย์" มีพื้นรองเท้า
เป็นปุ่มๆคล้ายรองเท้าเตะฟุตบอล ถึงจะเดินกันได้ไม่ลื่น มีพระที่ไปด้วยไม่กล้าใส่รองเท้า"โฟร์วิลย์"ออกไป
บิณฑบาตร เพราะกลัวว่าจะผิดพระวินัย เดินเท้าเปล่าออกไปรับบิณฑบาตร ปรากฏว่ากว่าจะถึงหมู่บ้านนั้น
ลื่นล้มไปสามครั้ง จีวรเลอะโคลนไปทั้งตัว ต้องเดินกลับที่พักก่อนลงไปรับบิณฑบาตรไม่ได้เพราะจีวรนั้น
เปื้อนโคลนไปทั้งตัว เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านจึงถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่ชายป่าทางเข้าหมู่บ้าน
อาหารการกินของชาวกระเหรี่ยงบนดอยนั้นก็ง่ายๆ คือต้มหน่อไม้ ต้มยอดฟักทอง ต้มมะเขือใส่เกลือ
ไม่มีเนื้อปลา เนื้อหมู มีแต่ผักล้วนๆ ส่วนขนมหวานนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง คือไม่มีเลย ถ้าอยากจะฉันต้องทำกันเอง
มีคำทักทายกันของคนบนดอยคำหนึ่งก็คือ " อยู่ดี กินหวาน " คือใครได้ทานขนมหวานแสดงว่าอยู่ดีกินดี
เช้านี้ไม่ได้ทำวัตรเช้า เพราะว่านั่งไม่ลง ขาตึงไปหมดเพราะเดินขึ้นดอย กล้ามเนื้อขายังไม่แข็งแรงพอ
ปวดไปทั้งตัว มีอาการไข้เล็กน้อยต้องฉันยาแก้ไข้ไปชุดหนึ่งอาการเลยดีขึ้น ฉันเช้าเสร็จแล้วเรียกพระมารวมกัน
เพื่อจะแบ่งพระออกไปจำพรรษาตามดอยต่างๆ ถามความสมัครใจของพระทุกรูปว่าจะเลือกเอาดอยไหน
โดยให้ไปอยู่กันดอยละสองรูป ซึ่งแต่ละดอยนั้นอยู่ห่างกันประมาณ 5 กิโลเมตร มีบ้านเรือนดอยละประมาณสิบกว่าหลัง
แบ่งพระออกเป็นสามชุด ไปอยู่กันสามดอย คือ ดอยป่าคา ดอยปมฝาด และดอยห้วยกล้วย ซึ่งทั้งสามดอยนั้น
จะอยู่กันคล้ายคล้ายจุดมุมของสามเหลี่ยม มีเส้นทางเดินไปมาหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม มียอดดอยกั้นกลางอยู่ทุกเส้นทาง
แบ่งพระกันลงตัว โดยตัวเราอยู่จุดศูนย์กลางคือจำพรรษาอยู่ที่ธุดงคสถานบ่อน้ำทิพย์เจริญธรรม ดอยห้วยกล้วย
อากาศเย็นมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งวัน ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่แล้วถ้าไม่ดูนาฬิกา เพราะว่าอากาศเหมือนกันตลอดวัน
ตั้งแต่เช้ายันค่ำฟ้าครึ้มเหมือนกันหมด ที่บนดอยนี้จะสว่างเร็วมากตีห้ากว่าๆฟ้าสว่างแล้ว แต่จะมืดช้ามากเช่นกัน
เกือบสองทุ่มท้องฟ้าจึงจะมืด คงเป็นเพราะอยู่บนดอยสูงบนยอดเขา จึงเห็นพระอาทิตย์ได้มากกว่าคนอื่นเขา
ที่อยู่ตามพื้นราบ มันจึงสว่างเร็วและมืดช้ากว่าที่อื่น กลับขึ้นกุฏิมานั่งสมาธิตั้งแต่ทุ่มครึ่งจนถึงสี่ทุ่ม จึงได้จำวัตร....
...
:059:อธิบายขยายความ...การที่เราแยกพระให้ไปอยู่ตามดอยนั้น ก็เพื่อให้เขาไปฝึกกัน ถ้าอยู่รวมกันมากๆนั้น
อาจจะทำให้คลุกคลีกันมากเกินไป การทำความเพียรนั้นอาจจะย่ิอหย่อน เพราะจะจับกลุ่มคุยกันเสียมากกว่า
และอีกเจตนาของการพาพระมาอยู่บนดอยนั้น ก็เพื่อให้พระเหล่านั้นมาฝึกท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้กันในพรรษา
โดยเราให้แยกกันอยู่ จับคู่ไปท่องกัน เพื่อให้เกิดการแข่งขัน พระท่านจึงจะได้มีความเพียรในการเรียนพระปาฏิโมกข์
เพราะตัวเราจะเดินไปทานพระปาฏิโมกข์ให้ทุกสามวัน สลับกันในแต่ละดอย และการที่เราปล่อยให้พระออกไปอยู่ตาม
ดอยนั้นก็เพราะให้ท่านไปฝึกเป็นผู้นำ ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยมีเราคอยดูเป็นพี่เลี้ยงอยู่ห่างๆ ปล่อยให้เขาทำกันไป
ให้รู้จักใช้ชีวิตในที่ที่กันดารและขาดแคลน ที่เต็มไปด้วยความยากลำบากในการดำเนินชีวิต...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตเพื่อให้คิดและพิจารณา
รวี สัจจะ-วจีพเนจร-สมณะชายขอบ
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๕.๒๒ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย
:059:หมายเหตุ...บทท้ายนั้นเป็นการอธิบายขยายความในวันนี้ เพื่อให้รู้ให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน..