ตัวอย่างเรื่องจริงที่ปรากฎในพระสูตร ในสมัยนั้นมีภิกษุอยู่รูปหนึ่ง กำลังนั่งเย็บผ้าจีวร บังเอิญเข็มไปแทงถูกตัวเรือดที่อยู่ในตะเข็บจีวรตาย ตัวเรือดมันมีขนาดเล็กมาก ๆ ท่านมองไม่เห็น และไม่มีเจตนาฆ่ามันด้วย ตัวเรือดนั้นก่อนตายก็ได้ผูกอาฆาตไว้ด้วยเช่นกัน
"เจตนาไม่มี แต่เวรเกิดมีขึ้นแล้ว" *(เหตุที่กล่าวเพียงแค่ "เวร" โดยไม่มีคำว่ากรรม เพราะ กรรม หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา)*
ชาติต่อ ๆ มา พระภิกษุรูปนั้นก็กลับมาเกิดเป็นพระภิกษุอีกชาติหนึ่ง ส่วนตัวเรือดนั้นมาเกิดเป็นนายพรานป่า
วันหนึ่ง ในขณะที่พระภิกษุเดินสวนทางกับนายพราน เมื่อพระภิกษุเห็นนายพรานที่กำลังถือหอกอยู่ในมือ ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงหลบเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้
ฝ่ายนายพราน เมื่อไม่เห็นพระภิกษุก็สงสัยว่าไปไหนเสียแล้ว ก็คิดขึ้นในใจว่าพระท่านคงกลัวที่เราถือหอกกระมัง เลยหลีกทางหายไป เมื่อคิดได้ดังนี้ นายพรานจึงพุ่งหอกทิ้งไปในพุ่มไม้โดยเจตนาแค่ว่า จะทิ้งหอกออกจากมือไว้ตรงนี้ก่อน
ผลปรากฎว่า หอกนั้นได้พุ่งเข้าหน้าอกพระภิกษุที่หลบอยู่ในพุ่มได้ มรณะภาพในทันที...
ขนาดไม่มีเจตนา ขนาดเป็นเพียงแค่ตัวเรือดที่เล็กมากๆ เวรยังตามมาสนองกันถึงเพียงนี้ ใคร่ครวญดูเถิดแล้วผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ
ในกรณีดังกล่าว เป็นกรรม คือเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ชี้แจงให้เห็นคร่าว ๆ ก่อน
กรรมจะให้ผลตามลำดับความหนักเบาของกรรมดังนี้
-
ครุกรรม คือกรรมหนัก จะให้ผลก่อนเสมอ ในทางที่ดีคือ สมาบัติ ๘ ,ในทางที่ชั่วคือ อนันตริยกรรม ๕(ฆ่าบิดา,ฆ่ามารดา,ฆ่าพระอรหันต์,ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต,ยังสงฆ์ให้แตกกัน) และสำหรับพระภิกษุสามเณร จะมีเพิ่มอีก ๑ คือ "อัญญสัตถุทเทส" คือ การนับถือศาสดาอื่นนอกจากพระพุทธเจ้า เช่น บวชในพระพุทธศาสนาแล้วไปนับถือไหว้ฤาษี,นับถือพราหมณ์ ฯ ถือว่าเป็นกรรมหนักร้ายแรง ใน "อภิฐาน ๖"
-
พหุลกรรม คือกรรมทำมากจยเคยชิน จะส่งผลรองลงมาจากครุกรรม
-
อาสันนกรรม คือกรรมจวนเจียนหรือกรรมใกล้ตาย-
กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมตัวนี้ก็จะตามมาส่งผล
จะพ้นจากกรรมได้ ก็ต่อเมื่อกรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีกแล้ว ที่เรียกว่า "อโหสิกรรม" นั่นเอง๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เมื่อได้ทำไปแล้ว ย่อมไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ ก็หมั่นประกอบเหตุอันเป็นกุศลในปัจจุบันขณะไว้จะดีกว่า
ศีล แปลว่าปกติ เมื่อคนมีศีลก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนปกติ เพื่อเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความมั่นคงรักษาสัจจะในศีล เป็นไปได้ก็หมั่นอาราธนาศีลเป็นประจำทุกวัน เพียรระวังไม่ให้ผิดสัจจะคำพูดนั้นที่ได้กล่าวรับศีลมาเป็นข้อปฏิบัติในการดำรงชีวิตของตน
เมื่อทำบุญก็หมั่นอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวร(เพื่อประโยชน์คืออโหสิกรรมต่อกันในที่สุด) นี่ก็จะเป็นการเพิ่มบุญไปในตัวอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "ปัตติทานมัย" แปลว่า บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ บุญยิ่งอุทิศให้แก่ผู้อื่นก็ยิ่งได้บุญเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลงแต่ประการใด เปรียบดังแสงเทียน เมื่อต่อไปให้ผู้อื่นมากขึ้นเท่าใด ความสว่างไสวก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นฉันนั้น
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ - เมื่อให้ บุญก็เพิ่มขึ้น.๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
"อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด บาปอกุศลทุกชนิดไม่คิดทำเพิ่มอีกเด็ดขาด หมั่นสั่งสมบุญให้เพิ่มขึ้นทับทวี ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน"