ผู้เขียน หัวข้อ: สมทบทุนสร้างหลวงปู่ทวดองค์ยืนใหญ่ที่สุดในโลก  (อ่าน 3804 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Noname

  • อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 166
  • เพศ: ชาย
  • อะไรอะไรก็พระไตรลักษณ์
    • ดูรายละเอียด
หลวงปู่ทวดยืนใหญ่ที่สุด! ที่...วัดแม่ตะไคร้ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่

--------------------------------------------------------------------------------

หลวงปู่ทวดยืนใหญ่ที่สุด! ที่...วัดแม่ตะไคร้ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
 
 




"ใหญ่ที่สุดในโลก!" ยังคงใช้เป็นจุดเรียกศรัทธาของพุทธศาสนิกชนให้เข้าวัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดเริ่มต้นจากการจัดสร้าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ขนาดหน้าตักกว้าง ๘ เมตร ๑ นิ้ว สูง ๑๑ เมตร เป็นรูปหล่อด้วยทองเหลือง ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบ้านโนนกุ่ม ริมถนนมิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ที่จัดสร้างโดย นายสรพงษ์ ชาตรี


ตามด้วยการจัดสร้าง พระหลวงปู่ทวด ปางสมาธิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หล่อด้วยโลหะผสม หน้าตักกว้าง ๙.๙ เมตร สูง ๑๑.๕ เมตร บนฐานสูง ๓ ชั้น ชั้นล่างกว้าง ๗๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่บริเวณวัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

จากนั้นก็มีวัดอีกหลายแห่ง สร้างพระใหญ่ที่สุดในโลก เช่น วัดตาลเจ็ดยอด ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ สร้างรูปหล่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรัหมรังสี) ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ เมตร สูง ๑๘ ซึ่งใหญ่กว่าที่วัดบ้านโนนกุ่ม ส่วนที่วัดบางกะพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีการจัดสร้างรูปเหมือน หลวงพ่อคง องค์ใหญ่ ขนาดหน้าตัก ๑๐ เมตร ในขณะที่วัดหนองพลับ หมู่ ๒ ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จัดสร้าง พระพุทธรูปปางประทานพร องค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ เมตร ๘๙ ซม. สูง ๑๗ เมตร




ส่วนที่วัดเกาะหงส์ ต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จัดสร้าง พระสังกัจจายน์ยืน องค์ใหญ่ แกะสลักด้วยหินทรายทั้งองค์ ขนาดสูง ๑๙.๓๙ เมตร เป็นต้น

โครงการสร้างพระใหญ่อีกโครงการหนึ่ง คือ การจัดสร้างรูปเหมือน หลวงปู่ทวด ปางยืนธุดงค์ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หล่อด้วยโลหะผสม ขนาดความสูงรวมฐาน ๒๙ เมตร ซึ่งจะประดิษฐาน ณ วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ โดยมี นายสมพงษ์ กันภัย (อ.หนู กันภัย) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักขระ-เลขยันต์ รับเป็นประธานดำเนินการจัดสร้าง

"การสร้างครั้งนี้ นับเป็นนิมิตหมายอันดีของชาวเชียงใหม่ และชาวเหนือ ที่จะไม่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปสักการบูชายังสถานที่ที่มีการสร้างองค์หลวงปู่ทวด

เนื่องจากทราบมาว่า ทั่วภาคเหนือยังไม่เคยมีใครจัดสร้างองค์พระหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่มาก่อนเลย รวมทั้งเมื่อการสร้างเสร็จสิ้น ก็หวังว่าจะให้พื้นที่บริเวณโดยรอบกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งใหม่ของ จ.เชียงใหม่ อีกแห่งหนึ่ง

โครงการอุทยานหลวงปู่ทวด จะเสร็จสมบูรณ์แบบภายในระยะเวลา ๒ ปี ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับบรรดาผู้มีจิตศรัทธา" นี่คือเหตุผลของ อ.หนู กันภัย





สาเหตุที่ได้เลือกสร้างรูปเหมือนหลวงปู่ทวด ไว้ที่วัดแม่ตะไคร้ อ.หนูบอกว่า เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ รวมไปถึงรู้จักกับ พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท หรือ หลวงพ่อเทียนชัย เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้มานาน ซึ่งเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อีกทั้งมีความชอบในวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของท่าน ภายหลังที่มีการปรึกษาหารือร่วมกัน กับหลวงพ่อเทียนชัย จึงคิดหาวิธีการที่จะระดมทุนก่อสร้าง เพราะต้องใช้งบประมาณมากถึง ๕๐-๖๐ ล้านบาท ซึ่งไม่ทราบว่า จะหาเงินทุนจำนวนมหาศาลก้อนนี้มาจากไหน จึงปรึกษากับบรรดาลูกศิษย์ที่พอมีฐานะช่วยกันระดมทุน เบื้องต้นได้มาก้อนหนึ่ง แต่ยังไม่มากพอ
 
"ความรู้สึกของคนทั่วไป ที่ส่วนใหญ่มักคุ้นกับองค์หลวงปู่ทวดที่เป็นปางสมาธิ และเป็นพระเกจิชื่อดังทางภาคใต้ แต่เหตุที่นำมาสร้างที่ภาคเหนือ ผมเห็นว่า หลวงปู่ทวด ปางยืนธุดงค์ มีการสร้างกันบ้าง แต่น้อยมาก ซึ่งตามตำนานนั้น หลวงปู่ทวดเป็นพระนักธุดงค์ จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้คนทั่วไปได้รับทราบเกร็ดเล็กๆ ในอัตชีวประวัติของท่าน จึงคิดสร้างปางที่ไม่ซ้ำกับที่อื่น และเรียกปางนี้ว่ารุ่นยืนมั่นคงบุญยฤทธิ์หนุนดวง" อ.หนูกล่าว









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ม.ค. 2552, 10:56:40 โดย โองการยันนะรังสี »
การเกิดนั่นแหล่ะเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
การบริหารขันธ์นั่นแหล่ะทุกข์
พระนิพพานนั่นแหล่ะคือทางดับทุกข์

ออฟไลน์ Noname

  • อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 166
  • เพศ: ชาย
  • อะไรอะไรก็พระไตรลักษณ์
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ Noname

  • อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 166
  • เพศ: ชาย
  • อะไรอะไรก็พระไตรลักษณ์
    • ดูรายละเอียด
อาจารย์หนู กันภัย

ยันต์ ๕ แถวหนุนวง
June 4th, 2008 by admin
ยันต์ 5 แถวหนุนดวงนั้น พุทธคุณของคุณพระมีพุทธคุณดังนี้                                                                       

แถวที่ 1 คือพระคาถาเมตตามหานิยม                                                 

แถวที่ 2 คือพระคาถาหนุนดวงชะตา 

แถวที่ 3 คือพระคาถาแห่งความสำเร็จ (เรื่องหน้าที่การงาน)               

แถวที่ 4 คือพระคาถาราศีประจำตัว   

            แถวที่ 5 คือพระคาถามหาเสน่ห์         

            โดยกำหนดให้วางไว้ที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย โดยใช้เวลาสัก ประมาณ 15 นาที หลังจากสักเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หนูกล่าว ผ่านล่ามว่ายันต์อักขระ 5 แถว ที่สักให้ไปทั้งหมดนี้ แปลรวมกันเป็น หัวใจของพระคาถาลงอักขระโบราณตามพระสูตรที่ได้ศึกษาร่ำเรียน มาทำให้อักขระที่มีทั้งหมดเกิดพลังและอานุภาพ พระสูตรที่กล่าวมา นั้นเมื่อมารวมกันครบองค์อักขระ จะทำให้มีพลังพุทธคุณ ไม่ว่าจะเป็น เจ้านายคนใกล้ชิดหรือเพศตรงข้าม เมื่อเห็นหรือได้พูดคุยจะเกิดความรักและหลุมหลง เรื่องการงานก็จะเจริญรุ่งเรือง ดวงไม่ตกต่ำ ใครเห็นใครรัก แม้กระทั่งคนเคยเป็นศัตรูกันก็กลับการเป็นมิตร

 

 


        นึกไว้ตลอดยันต์ 5 แถวหนุนดวงนั้น ความหมายของอักขระแต่ละตัว จะเป็นองศาของดวงเมืองและดวงดาวต่างๆ ราศีกำลังวันจันทร์ ถึง อาทิตย์ ครบทั้ง 7 วัน ไม่ว่าจะเป็นดาวพระราหูที่จะแทรกเข้ามาทำให้ ดวงตก เช่น คุณพระอาทิตย์ 6 พระจันทร์ 15 อังคาร 18 พระพุทธ 17 พฤหัสบดี 19 พระศุกร์ 21 คุณพระเสาร์สิบทัศน์พระจักรพรรดิ์ 14 พระเกตุ 9 พระราหู 12 แม้กระทั่งองศาในตัวอักขระ 5 แถวนี้ยังมีองศา ด้นพระธรณี (คำว่าด้นคือการย่นระยะทาง) ที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้ รวมถึง ธาตุต่างๆ เช่น (ปฐพีหมายถึงความอ่อนแข็ง) ธาตุดิน-(อาโปหมายถึง ความกำซาบ)ธาตุน้ำ-(วาโยหมายถึงสภาวะที่ไหลดัน)ธาตุลม-(เตโช หมายถึงความร้อน) ธาตุไฟ และโลกุตรธรรม (ธรรมหรือสิ่งที่อยู่เหนือ สภาวะทางโลก)ไหนๆ ก็ได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วจะขยายความตรง เรื่องของธาตุและเรื่องของโลกุตรธรรมให้ฟัง                          ธาตุในโลกมีมากมายก่ายกองเกินกว่าธาตุในตารางธาตุ มี ธาตุชนิดหนึ่งที่วิเศษเป็นธาตุที่บ่งชี้ถึงว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ หรือหมดไปจากโลก แล้วธาตุนั้น คือ นิพพานธาตุปัจจุบันนิพพาน ธาตุยังคงอุดมอยู่ในสยามประเทศแห่งนี้  ผู้ใดอยากได้ชมเชยนิพพาน

ธาตุ ผู้นั้นย่อมพึงทำได้ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นเทวดาและมนุษย์โดย การสร้างบารมี เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์สาวก พระอรหันต์ที่ได้เชยชมและมีนิพพานทานเป็นเครื่องอยู่ ทุกพระองค์ ล้วนสะสมบารมีมาด้วยตนเองทั้งสิ้น บารมีอันประกอบไปด้วยทาน

บารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี โดยมีเครื่อง ค้ำจุนบารมีเหล่านี้ที่เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37 อันประกอบไปดำอานาปานัสสตินั้นถือว่า เป็นการสะสมบารมี เป็นการ บังคับจิตให้อยู่ในกายอย่างสงบนิ่ง  ใครมีบารมีมาแต่ปางก่อนก็เป็นการ

 

ทบทวนและกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้อยากกระทำความเพียร ในทางที่จะ

ได้เห็นนิพพานธาตุซึ่งเป็นธาตุเย็น  การหมั่นสร้างความเพียรให้ถึงพร้อม และสม่ำเสมอมิได้ขาด หมั่นสั่งสมเพิ่มเติมความพยายามที่จะสร้าง ความดีทั้งกายและจิตใจ  ผู้นั้นจะได้เข้าถึงนิพพานธาตุ เข้ากราบพระ- พุทธเจ้าได้อย่างใกล้ชิด                                                                                    ในมนุษยโลกไม่มีนิพพานธาตุ สัตว์โลกอยู่อย่างลำบากยิ่งร้อน ทั้งภายในอันประกอบไปด้วยกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่ง เป็นไฟที่เรียกว่าไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ร้อนภายนอกอันประกอบ ไปด้วยวัตถุต่างๆ ที่ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นไฟอันออก มาจากใจไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์   

            ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ควรหมั่นสร้างบารมีตั้งแต่บัดนี้ เพื่อเป็นการสั่งสมบารมีของตนเอง เพื่อผลิตนิพพานธาตุซึ่งเผื่อแผ่ ความร่มเย็นให้กับตนเองและผู้อื่น ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ เชื่อว่าการหมั่นเพียรสั่งสมบารมีนั้น บิดา-มารดา ผู้ที่ให้กำเนิดนั้น

จะได้บุญบารมีจากกองบุญที่เราได้สร้างขึ้น เป็นความกตัญญูที่ลูก

หลานมองข้ามกันไป   

.               ส่วนคำว่า โลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก คือใจของเรา

เอง ถ้าเราอยากจะทราบว่าโลกุตรธรรมคือธรรมเหนือโลกเป็นอย่างไร ก็ต้องหมายถึงใจผู้ปฏิบัติตนได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นภายในจิตใจ  ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมด

                ภายในใจ?ธรรมทุกขั้น นั่นละท่านว่าโลกุตรจิต โลกุตรธรรม เต็มภูมิ-ของจิตของธรรม เป็นเครื่องยืนยันกันได้ที่ใจ หากใจยังไม่สัมผัสเมื่อไร

                แม้คำว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลกๆ ก็สักแต่ความจำ ความคาด ความหมาย หาความแน่ใจยังไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จะยืนยันกัน จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เมื่อจิตได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมขั้นใดเข้าไป ย่อมทราบได้ชัดเจน ๆ ความพิสดารของจิตกับธรรมที่สัมผัสกันนั้น พิสดารเอามากทีเดียว ดังที่ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านแสดงไว้ ว่าปัญญาของมนุษย์เรานั้น มีมาก มายกว้างกว่ามหาสมุทรและใหญ่กว่าผืนฟ้า ไม่สามารถที่จะประมาณได้ จิตของเรานั้นสามารถที่จะสัมผัสและรับทราบปัญญาแห่งธรรมทั้ง

หลายที่เกิดขึ้นได้ .       
            ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมากีดกันหรือกีดขวาง  ระหว่างธรรมกับ

จิตไม่ให้สัมผัสกันได้เลย ขอให้ปฏิบัติถึงขั้นที่ควรจะทราบเรื่องธรรม ทั้งหลาย  ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตรเว้นพระพุทธเจ้าเสีย พระสารีบุตร เป็นผู้เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา หรือท่านผู้ที่บรรลุจตุปฏิสัมภิทาญาณนี่ ท่านเหล่านี้แตกฉานมากทีเดียว หมายถึงธรรมเกิดนั่นเอง ธรรมไม่เกิดเอาอะไรมาแตกฉาน  เกิดอยู่ตลอดเวลา วิสัยของจิตเราจึง จะมาแข่งขันกันไม่ได้ เช่นเดียวกับภูมินิสัยวาสนานั่นเอง ภูมิของจิตของ ธรรมที่จะรู้ธรรมมากน้อยตามนิสัยวาสนาของตนก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะอิริยาบถใดเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด จะมีอะไรเป็นสาเหตุให้เกิด ก็เกิด  ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุก็เกิด  เกิดโดยลำพังของตน คือไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่จะมาบีบบังคับไม่ให้เกิด  แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีกรรมเป็นตัว กำหนดด้วยว่าจะช้า  หรือเร็วที่เราจะไปให้เห็นธรรมนั้นๆ