แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ทรงกลด

หน้า: 1 [2] 3
1000
กฎแห่งกรรม / ตอบ: นรก อยู่ไหน?
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 09:58:57 »
บาปตกที่ลูก
บาปอะไรไม่ลงกับตัวเอง


   คนเรานั่นบางครั้งคิืดว่าบา่ปกรรมไม่มีจริง แต่การที่เราสร้างบาปกรรมเอาไว้ไม่ได้มาสนองที่ตัวเราเิอง แต่อาจที่จะไปตกที่ลูกเข้าก็เป็นได้ อย่างเช่นนี้ราวต่อไปนี้

  เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวของนายขาว เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างที่จะลำบาก คือชีวิตจะอยู่กับการทำไร่ ทำสวน นายขาวมีเมียอยู่คนหนึ่งชื่อ ณี และยังมีลูก ๆ ด้วยกัน 2 คน อ้อ! นายขาว กับณี ได้เลี้ยงสุนัขไว้ด้วย 3 ตัวด้วยกัน

   เหตุเกิดกัับนายขาวอยู่วันหนึ่ง ในวันนั่นนายขาว และณีได้เข้าไร่ เข้าสวนตามปกติ เค้าทั้งคู่ได้ทำงานไปเรื่อย ๆ จนใกล้เที่ยง ทั้งสองก็ได้รู้สึกหิวขึ้นมา และได้พากันเดินกลับที่พัก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นกับพวกเค้า คือเมื่อทั้งคู่ไปถึงที่พักแล้ว ปรากฎว่าอาหารที่ณีได้เตรียมไว้นั่นกระจัดกระจายไปทั่ว และก็หมดแล้วด้วย นายขาวซึ่งอยู่กับอาการที่หิวมาก ก็เกิดโมโหขึ้นมาเค้าแน่ใจเลยว่าต้องเป็นสุนัขตัวใดตัวหนึ่งที่เค้าเลี้ยงไว้แน่นอน นายขาวเดินมาเห็นสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั่นเข้า ในขณะที่เจ้าสุนัขกำลังเลียปากอยู่ ทำให้นายขาวแน่ใจว่าต้องเป็นตัวนี้แน่นอน นายขาวไม่รอช้า

  เหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นแล้ว นายขาวได้หาไม้ท่อนใหญ่พอสมควรมา 1 ท่อน จากนั้นนายขาวได้วิ่งไล่เพื่อตีเจ้าสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั่น ผลปรากฎว่านายขาวตีจนสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั่นพิการเลย เพราะตั้งแต่ส่วนของสะโพกลงไปถึงขาของสุนัขไม่สามารถใช้การได้แล้ว และเจ้าสุนัขเคราะห์ร้ายตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานมาพอสมควร ด้วยการที่ต้องเดินไปไหนมาไหนต้องลากขา เป็นเหตุให้ขาของมันเน่าเสีย จนมันต้องตายไปในที่สุด แต่ช่วงที่มันอยู่อย่างทรมานนี้ วัน ๆ เจ้าสุนัขจะนอนร้องครวญครางอยู่้ตลอดเวลา

  และเหตุการณ์ที่นายขาว และณี ได้ทำเค้าก็ลืมไปจนหมด แต่เรื่องยังไม่จบลง เพราะอยู่มาหลังจากที่สุนัขตัวนั้นได้ตายลงไป ณี ก็ได้ตั้งท้องขึ้นมา และพอคลอดพวกเค้าต้องดีใจเป็นที่สุด แต่ก็ต้องเสียใจที่สุดเช่นกันเพราะพวกเค้าได้ลูกชาย แต่ที่น่าเสียดายคือ ลูกชายของพวกเค้าออกมาในลักษณะที่พิการ คือ ส่วนล่างลงไปลีบ และไม่สามารถที่จะเดินได้ ลูกชายของเค้าจะต้องลากขาไปไหนมาไหนเอา ซึ่งก็เหมือนกับเจ้าสุนัขตัวที่นายขาวได้ทำร้ายมันนั่นเอง และสุดท้ายลูกของนายขาว และณีั ก็ต้องจบชีวิตลงในวัยประมาณ 2 ขวบเศษ และยังมีอาการร้องโหยหวนเช่นกัน

   เหตุการณ์นี้จึงทำให้ทั้งนายขาว และณี ได้สำนึกขึ้นได้กับการกระทำกับสุนัขตัวนั้น ทั้งคู่ได้คิดแล้วมามันเป็นบาปที่เค้าได้ก่อขึ้นเอง แต่น่าเสียดายที่นายขาวผู้ที่เป็นคนลงมือกระทำนั่นไม่ได้รับกรรมอ้นใดจากบาปนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าลูกชายคนแรก และคนเดียวของเค้า่ได้เกิดมาดูโลกได้ในระยะสั้น ๆ และยังต้องพิการอีกด้วย

คุณที่จะปฏิบัติอะไร ควรที่จะคิดให้ดีก่อน ว่าจะมีผลต่อบาปกรรมอะไรตามมาหาเราหรือไม่


ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html

1001
กฎแห่งกรรม / ตอบ: นรก อยู่ไหน?
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 09:56:10 »
นรก อยู่ไหน ๒/๒

   ลูกสาวได้บอกกับพ่อว่า "แม่ไม่หายใจแล้ว" และทั้งคู่ก็นั่งร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาที ผู้เป็นแม่ได้มาอาการขยับตัวและลืมตามามองหน้าลูก และสามี และบอกว่า "ฉันได้ไปเมืองนรกมา" แต่สามีห้ามไม่ให้พูดอะไร แล้วทั้งสามก็พากันกลับบ้าน ไปรักษาอาการของแม่ แต่ก็แปลกที่เมื่อแม่รู้สึกตัวขึ้นมา แม่ไม่มีอาการใด ๆ เลยนอกจากรู้สึกอ่อนเพลียไปเท่านั้น

   พอรุ่งเช้าทั้งสามได้มานั่งคุยกัน และแม่เริ่มที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่าตอนที่แม่กำลังทำนาอยู่นั้นแม่มีอาการหน้ามืด และเป็นลมไป และรู้สึกมีลมเย็น ๆ มาปะทะกับตัว และมีผู้ชายคนหนึ่งมารับตัว เค้าแนะนำตัวเองว่า เค้านั้นเป็นยมทูต และลูกสาวได้ถามแม่ว่า แม่จำได้ไหมว่าเป็นยังไงต่อ แม่เค้าก็ตอบไปว่า

   ผู้ชายคนนั้นได้พาแม่เดินทางมาเรื่อย ๆ กับเค้าจนมาถึงถ้าแห่งหนึ่งซึ่งที่ถ้ำนั้นมืดมาก ๆ จนแม่ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่สักครู่ก็ได้มีแสงสว่างขึ้นมา ซึ่งแสงนั่นไม่ใช้แสงธรรมดา แต่เป็นแสงสีทองอร่าม และแม่ก็ตื่นตาตื่นใจมาก แต่แม่ก็ต้องตกใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะแม่ได้เห็นผู้คนที่อยู่ในถ้ำมากมายเหลือเกิน ทุกคนแต่งชุดสีขาว และท่านยมทูตได้ตอบให้ฟังว่า "คนพวกนี้คือวิญญาณที่รอไปเกิด ก็เลยมารออยู่ที่ปากถ้ำ" จากนั้นท่านยมทูตได้พาเดินไปอีกสักครู่ และมาถึงห้อง ๆ หนึ่งท่านบอกให้นั่งลง และก้มหน้าลงด้วย แม่ได้ถามว่าให้นั่งทำไม ยมทูตตอบว่า "ให้นั่งรอท่านพญามัจจุราช" พอได้ยินเท่านั้นแม่ยิ่งกลัวไปใหญ่เลย แม่จึงนั่งก้มหน้าไม่ยอมเงยเลยเป็นเด็ดขาด แต่พอแม่นั่งอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงที่ดังก้องกังวาน ก็ทำให้แม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะ "แม่เห็นท่านพญายม นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงสง่า พร้อมกับมีคนอีก 2 คนยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวท่าน และมีผู้ชายตัวใหญ่อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ท่านพร้อมกับสมุดโน้ตเล่มใหญ่ 1 เล่ม อ้อแต่หน้าตาของท่านพญามัจจุราชไม่ดุเลยน่ะ หน้าตาท่านก็คล้ายกับคนเราทั่ว ๆ ไปนั้นแหละ

   แต่เรื่องยังไม่มีแค่นี้ เพราะท่านพญามัจจุราชได้พูดกับแม่ว่า "แม่เป็นคนที่ทำำบุญไว้มาก และที่สำคัญแม่ยังไม่ถึงที่ตาย" แต่แม่ไม่สามารถรู้เวลาที่แม่อยู่ในนรกได้ว่านานเท่าไร แต่เมื่อท่านพญามัจจุราชท่านบอกว่าแม่ยังไม่ถึงที่ตาย แม่ก็ดีใจ และท่านยังบอกอีกว่าถ้าแม่ได้กลับขึ้นไปยังเมืองมนุษย์แล้ว ให้หมั่นทำบุญให้มาก ๆ และให้นำเรื่องราวในนรกไปเผยแพร่ให้มนุษย์บนโลกได้รับรู้กันบ้างน่ะ และก่อนที่เจ้าจะได้กลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าการทำบาป ทำกรรม จะได้รับโทษอย่างไรบ้าง

   ท่านพยายมได้เดินทางเพื่อมาส่งแม่ที่โลกมนุษย์ แต่ระหว่างทางท่านได้พาไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่เห็นคือ มีต้นงิ้วสูงใหญ่ และมีคนปีนขึ้นไปบนต้นงิ้ว โดยที่คนเหล่านั้นไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่เลย พวกเค้าต้องปีนไปถึงยอด แต่พอถึงยอดต้นงิ้วก็จะมีอีกาจิก และพวกเึค้าก็จะปีนลงมาข้างล่าง ซึ่งด้านล่างก็จะมีผู้ชายถือหอกไว้ทิ้มแทงอีก และคนพวกนั้นจะร้องแบบเจ็บปวดทรามานมาก อ้ออีกาที่อยู่ข้างบนไม่ได้จิกธรรมดาน่ะ แต่จิกลูกตา เมื่อแม่เล่ามาถึงตอนนี้แม่ก็เกินอาการอาเจียนออกมา และท่านยมทูตได้บอกกับแม่ว่า คนพวกนี้ที่ต้องปีนต้นงิ้วก็เพราะ "ผิดลูกผิดเมีย เป็นชู้กับชาวบ้าน" จึงต้องชดใช้กรรมอย่างที่เห็น

   และนี้ก็เป็นเรื่องราวที่คน ๆ หนึ่งได้ไปยังเมืองนรก ซึ่งเป็นเมืองที่คนเราอาจจะต้องไปกันทุกคนถ้าได้กระทำกรรมชั่วไว้มาก แต่การกระทำนั่นยังไม่สายจนเกินไป ให้เรามาทำบุญกันไว้มาก ๆ ดีกว่า แล้วผลบุญก็จะกลับมาหาตัวท่านเอง


ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html

1002
กฎแห่งกรรม / นรก อยู่ไหน?
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 09:51:38 »
นรก อยู่ไหน ๑/๒
บาป กรรม ที่ไหน.. นรก


    ทุกคนคงไม่คิดว่านรกจะมีจริงใช้ไหม แต่มีคนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยไปถึงนรก ทั้ง ๆ ที่เค้ายังไม่ถึงคาด จะว่าไปก็อาจจะไม่ค่อยมีคนเชื่ออีกเช่นเคย คนเราจะเคยได้ยินแต่ "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" มันก็คงจะจริงเหมือนกันนั่นแหละ เพราะ"ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว" แต่จะมีสักกี่ึคนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงกับเรื่องราวของนรก คุณคงเคยเห็นว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างเช่นในหนังในละครได้นำมาเผยแพร่กัน คือต้องมีต้นงิ้ว มีกระทะทอง มีนกเหล็ก มีคนถือหอกคอยทิ้มแทง อะไรประมาณนี้

    แต่อันที่จริงนั้นนรกน่ากลัวกว่าที่เราได้เห็นทางทีวีกันมากกว่า เพราะคนที่เคยไปถึงนรกนั่นได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะให้เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายได้กลัวเกรงต่อบาป กรรม กันบ้าง ไม่มากก็น้่อย เพราะการถ่ายทอดของเค้าเป็นการที่เค้าอยากให้เราทั้งหลายสร้างบุญกุศลเอาไว้ให้มาก ๆ เมื่อตายไปแล้วเราจะได้ไม่ต้องตกนรก แต่การขึ้นสวรรค์นั้่นยังไม่มีใครเคยมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังน่ะ

    เรื่องของบุคคลคนนี้ที่ไปนรกนั้น ก็ไม่มีใครหรอกจะคาดการณ์ได้ว่าเค้าได้ไปนรกมาจริง ๆ แต่การยืนยันนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อได้ และัอีกอย่างบุคคลคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยโกหก และเป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นกุศลด้วย

เริ่มเรื่องเลยดีกว่า

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า นรกนั้นใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็เพราะเมืองมนุษย์ กับเมืองนรกเป็นภพคนละภพกัน การเดินทางเลยไม่เหมือนเช่นในเมืองมนุษย์ เรื่องก็มีอยู่ว่า มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีอาชีพทำนา ครอบครัวนี้จะมีกันเพียง 3 คนเท่านนั้น คือ พ่อ แม่ และลูกสาวอีกคนเท่านั้น ในทุก ๆ วันครอบครัวนี้ก็จะมีหน้าที่ออกไปทำนา ทำสวนตามปกติ คือ เช้าตอนประมาณตี 4 ก็จะออกเดินทางจากบ้าน ซึ่งกว่าจะถึงท้องนาก็ประมาณ 20 กิโลเมตรได้ ผู้เป็นแม่จะมีหน้าที่ในตอนเช้าเพื่อเติมอาหารนำไปกินที่นาด้วย พวกเค้าจะทำแบบนี้ในทุก ๆ วันไม่มีเว้น เพราะข้าวในนาก็คือเงินที่พวกเค้าจะนำมาเลี้ยงชีพนั้นเอง

ทุกอย่างของชีวิตทั้งสามก็ดำเนินมาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมาถึงวันหนึ่ง ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดได้เลยว่าแม่ที่รักของเค้าจะได้พบยังนรกมา ก่อนที่แม่ของเค้าจะได้ไปนรกนั้น แม่ของเค้าก็ทำภาระกิจเหมือนเดิม ๆ แต่พอเวลาใกล้เที่ยงซึ่งวันนั้นอากาศร้อนมาก เรียกว่าร้อนอย่างผิดปกติเลยทีเดียว ทุังสามก็ได้ทำนากันตามปกติ แต่แล้วจู่ ๆ แม่ก็ได้เป็นลมล้มพับลงไป ซึ่งพ่อ กับลูกสาวตอนนั้นได้อยู่ห่างจากผู้เป็นแม่แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก ในขณะนั้นพ่อก็ได้หันมามองที่แม่ ซึ่งตอนนี้แม่ก็ได้ล้มลงไปกับพื้นนาเสียแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงร้องเรียกลูกสาวให้มาดูแม่ แต่พ่อได้มาถึงตัวแม่ก่อนและได้ตะโกนบอกลูกสาวว่า "แม่เป็นอะไรไม่รู้" ลูกสาวรีบวิ่งมาดูอาการของแม่ และได้ช่วยกันนำแม่ไปไว้ยังใต้ต้นไหม้ใหญ่ที่อยู่เลยไป ทั้งคู่ก็ได้พยายามทำให้แม่พื้น แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ผู้เป็นแม่ไม่มีลมหายใจแล้วในขณะนี้



ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html

1003
กรรม การคดโกง
โกง กิน เป็นกรรม


เพื่อนค่ะ ก่อนอื่นเราต้องมาดูกันก่อนน่ะค่ะ ว่าเรา หรือเพื่อน ๆ นั้นไ้ด้มีการโกงกันบ้างหรือไม่ มีว่าเพื่อน ๆ จะเจตนา หรือไม่เจตนา นั้นก็คือกรรม ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเรา ก็ได้น่ะค่ะ

เรามาลองดูกันน่ะค่ะว่า ถ้าเราโกงจะเกิดกรรมกับเราอย่างไรบ้าง และเราจะมีวิธีแก้กรรมอย่างไรน่ะค่ะ เราเรื่องมีดังนี้ค่ะ

คือ konsin ได้รู้จักกับคน ๆ หนึ่งน่ะค่ะ และเค้าได้เล่าเรื่องราวของญาติให้ฟัง ว่าญาติเค้าคนนี้เป็นข้าราชการระดับสูง เค้าก็ต้องเป็นธรรมดาที่ จะมีคนให้ช่วยเหลือไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งนะค่ะ แต่ญาติเค้าคนนี้ก็ไม่มีคนคามคิดว่า เค้าได้ โกง กิน หรือกระทำการที่ผิดเลย แถมทุก ๆ ครั้งที่มีคนขอความช่วยเหลือใต้โูต๊ะ หรือที่เรารู้จักกันก็คือสินบน และนี้ก็เริ่มเป็นเหตุที่ทำไมถึงได้เกิดเรื่องกับคนๆนี้ เพราะหน้าที่การงาน และเงินทอง ที่เค้าใช้จ่ายได้อย่างคล่องมือ เค้าถึงไม่เห็นว่าเป็นกรรม

แต่การโกงกินได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเค้าเอง คือ เค้าได้มีลูก และเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายเป็นเด็กเกเร ตั้งแต่เล็กจนโต แต่พอโตเค้าได้ทำเรื่อง คือ ได้ฆ่าคนตาย แต่เค้าบอกไม่ได้ตั้งใจ จนลูกได้ถูกจับ และพ่อก็ได้วิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือลูกตัวเอง และเงินที่ได้จากการ โกง กิน ได้นำมาใช้ แต่เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อตัวเองมีเงินมาก จึงคิดอยากที่จะมีบ้านเล็กบ้านน้อย แต่เพื่อน ๆ ค่ะความลับไม่มีในโลกนี้จริง ๆ เพราะภรรยาเค้ารู้เข้า ถึงกับฟ้องหย่า และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดก็ต้องโดนหารออก

แต่นั้นคือการเริ่มต้นการรับกรรมน่ะค่ะ เพราะสูญเสียเงินเพราะลูก สูญเสียภรรยาที่รัก และเมื่อประวัติตัวเองไม่ดีก็ส่งผลกับเรื่องงาน จึงทำให้ถูกไล่ออกจากงาน และบ้านเล็กเมื่อลูกว่าเค้าไม่ใช่คนที่เคยมีทองมากมาย หรือจะพูดว่าหาเงินให้้ตัวเองใช้ได้อย่างสบายแล้ว มีหรือที่จะอยู่ด้วย บ้านเล็กก็ไม่มี บ้านใหญ่ก็ไม่มี จนสุดท้ายก็เหลือตัวคนเดียว และทรัพย์สินเงินทองก็หมด เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวในที่สุด จนสุดท้ายเค้าถึงเริ่มคิดได้ว่า สิ่งที่เค้าได้ โกง กิน ทำให้ชีวิตเค้าเป็นเช่นนี้ และนี้เองคือ การ โกง กิน ทำให้เกิดกรรม นั้นเองค่ะ คราวนี้เราลองมาดูวิธีการแก้น่ะค่ะ

การแก้กรรม ของการ โกง กิน
การแก้กรรมนั้นจะทำกันได้ทุกคนน่ะค่ะ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรากระทำผิดแต่ต้น เราก็ควรจะรีบแก้น่ะค่ะ การแก้กรรมมี ดังนี้ค่ะ
ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และให้สวดมนต์ ทุก ๆ วันเกิดของตัวเอง โดยให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ขอให้ได้รับกุศล และให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
ให้พยายามตักบาตรทุก ๆ วันโกน โดยให้อุทิศส่วนุศลให้เจ้ากรรมนายเวรให้ได้รับกุศล เพื่อเปิดทางให้กับชีวิตขอให้ดีขึ้น
ให้ความช่วยเหลือกับคนที่ด้อยกว่าตัวเอง ไม่ว่าจะช่วยในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย หรือกำลังใจ ก็ไ้ด้

ก็นี้คือ สิ่งที่ให้กระทำเพื่อการแก้ไขในสิ่งที่เราได้กระทำผิด ในเรื่อง การ โกง กิน ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามน่ะค่ะ ก็เพื่อน ๆ ก็ลองนำไปปฏิบัติกันดูน่ะค่ะ konsin ก็สามารถที่จะแนะนำได้แค่นี้น่ะค่ะ เพราะกรรมใครก็กรรมคนนั้นค่ะ

ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2011/03/blog-post.html

1004
ความหมายของยันต์

   หน้านี้ว่าด้วยเรื่องยันต์แบบต่างๆตามความเชื่อของปรมาจารย์ เส้นที่ขีดลากไปมานอกยันต์นั้นหมาย ถึง"สายรกของพระพุทธเจ้า" ส่วนเส้นที่อยู่ภายในยันต์ เรียกว่า "กระดูกยันต์"ยันต์มีหลายแบบต่างๆ กันไป เช่น ยันต์แบบกลม ยันต์สามเหลี่ยมยันต์สี่เหลี่ยม ยันต์รูปภาพ ส่วนความหมายของยันต์แต่ละแบบมีดังนี้
 
ยันต์กลม มีความหมายว่าเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ทางศาสนาพราหมณ์ หมายถึงพระพักตร์ของพระพรหม
ยันต์สามเหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นพระรัตนตรัย หรือภพทั้งสาม ส่วนทางศาสนาพราหมณ์ให้ความหมายว่าเป็นพระเป็นเจ้าทั้ง 3 ของพราหมณ์คือ พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์
ยันต์สี่เหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นทวีปทั้งสี่ หรือธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ยันต์รูปภาพ มีทั้งรูปภาพ เทวดา มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ส่วนความหมายก็อยู่ในตัวของรูปภาพนั้นๆ

การลงยันต์
    การลงยันต์หรือการเขียนยันต์นั้นจะใช้อักขระขอมซึ่งเขียนเป็นตัวย่อของพระคาถาแต่ละบทเพราะหากเขียนพระคาถาลงไปในยันต์ทั้งหมดเนื้อที่คงไม่พอ จึงใช้อักขระย่อส่วนตัวเลขที่อยู่ในยันต์ก็ย่อมาจากอักขระของพระคาถาข้อควรระวังในการลากเส้นยันต์นั้นควรลากทีเดียวให้ตลอดไม่ใช่ลากแล้วหยุดหากลากแล้วหยุดถือว่ายันต์นั้นใช้ไม่ได้ต้องใช้คาถาหรือสูตรในการต่อเส้นยันต์นั้นใหม่ยันต์นั้น  จึงจะใช้ได้และการลงอักขระให้ระวังอย่าลงอักขระทับเส้นยันต์เพราะจะทำให้ยันต์นั้นใช้ไม่ได้ท่านเรียกว่าเป็นยันต์ตาบอด  การลงยันต์หรือการเขียนยันต์หากยันต์นั้นมีคาถาหรือสูตรกำกับไว้ผู้เขียน

จะต้องภาวนาคาถานั้นไปด้วยพร้อมกันการลงยันต์
คลิกที่นี่ครับเพื่ออ่านรายละเอียดสูตรและคาถาเวลา

เขียนยันต์
ฉะนั้นจึงต้องใช้สมาธิสูง ส่วนขั้นตอนและวิธีการลงยันต์พร้อมทั้งสูตรต่างๆ ยังมีอีกมากครับ

การปลุกเสกยันต์
    เมื่อมีการลงยันต์เสร็จแล้วจะต้องมีการปลุกเสกเพื่อทำให้ยันต์ขลังมีฤทธานุภาพตามจุดประสงค์ของยันต์นั้นๆ   คาถาที่ใช้ในการปลุกเสกจะใช้คาถาที่กำกับยันต์นั้นหรือไม่ก็คาถาที่ใช้เขียนยันต์นั้นหรือใช้คาถาที่เกี่ยวข้องกับยันต์นั้นปลุกเสก เช่น ยันต์คงกระพันชาตรีก็ใช้คาถาคงกระพันชาตรีเสก
เป็นต้นส่วนมากคาถาที่ใช้ทั่วไปในการปลุกเสกยันต์คือ พระไตรสรณคมน์  พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

ยันต์ลักษณะต่างๆ
ชื่อยันต์ (คลิกดูรูปยันต์)   อิทธิฤทธิ์/อานุภาพ
 
ยันต์รัตนตรัย                 ชนะศัตรู, เมตตามหานิยม...
ยันต์ตะกรุดโทน             กันอันตรายจากอาวุธทุกชนิด
ยันต์พุทธคุณ                คุ้มกันสารพัดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย
ยันต์อาวุธทั้ง ๔             กันสารพัดภูตผีปีศาจ ถอนแก้คุณไสยทุกอย่าง
ยันต์กันสะกด                กันอันตรายจากขโมย
ยันต์โภคทรัพย์              ใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ทำให้เงินพอกพูนเพิ่มขึ้น
ยันต์มหาศิริมงคล            เป็นมงคลยิ่งนักและคุ้มภัยอันตรายทั้งปวง   
ยันต์พญาหงส์ทอง          เมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ ทำให้ทุกคนรัก
ยันต์ยอดมงกุฎ              แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
ยันต์พญาราชสีห์            คนเกรงขาม เป็นตบะเดชะ มีอำนาจ
ยันต์พญาเสือ                คนเกรงขาม เดินป่าป้องกันสัตว์ร้าย
ยันต์บารมีพระพุทธเจ้า     กันภูตผี ปีศาจ ป้องกันอันตรายทั้งปวง
ยันต์พญาหนุมาน           อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม
ยันต์มหาสาวัง              กันและแก้สารพัดโรคภัยและอันตราย
ยันต์ท้าวเวสสุวรรณ        กันภูตผีปีศาจทุกชนิด กันและแก้คุณไสย
ยันต์เมตตามหานิยม(ด้านหน้า)       เป็นเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ทำให้คนรัก
ยันต์นางกวัก                สำหรับค้าขายให้มีกำไรดี ร่ำรวยเงินทอง
ยันต์เมตตามหานิยม(ด้านหลัง)                  เป็นเมตตามหานิยม ทำให้คนหายโกรธ
ยันต์พระเจ้าเปล่งรัศมี         ไปไหนนำติดตัวไปด้วยทำให้คนรักใคร่
ยันต์มหาอุด                 คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม
ยันต์ห้ายอด                 คุ้มกันภัยและอันตรายทั้งปวง
ยันต์การะเวก                สำหรับนักร้อง นักพูด นักเทศน์ วิเศษยิ่งนัก   
ยันต์ตะกรุดมหาระงับเป็นยันต์นะจังงัง ยิง ฟัน แทงไม่เข้า

ที่มา
http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=6613.0

1005
สมุนไพร-ว่านสบู่เลือด

ว่านสบู่เลือดสามารถนำมาทำยาได้ แต่ไม่สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้


หัวว่านสบู่เลือด


เถาและใบว่านสบู่เลือด

  ลักษณะ : ว่านสบู่เลือด เป็นไม้เถาเลื้อย มีหัวขนาดใหญ่ 2 ชนิด มีด้วยกันคือ ตัวผู้กับตัวเมีย ตัวผู้หัวจะมีลักษณะยาวคล้ายหัวมันสำปะหลัง ตัวเมียหัวกลม นิยมใช้ตัวเมียมากกว่าตัวผู้ มียางสีแดงที่หัวเหมือนกัน ใบรูปกลม มีหยักที่ขอบตื้น เมื่อเด็ดไปจะมียางสีส้มจาง จึงถูกเรียก ชื่อตามสีของยางว่า “ว่านสบู่เลือด” พบขึ้นตามป่าบนเขาทุกภาคของประเทศไทย

   ตามความเชื่อที่มีต่อ “ว่านสบู่เลือด” แต่โบราณ เชื่อว่าดีทางด้านคงกระพันชาตรี โดยนักเลงสมัยก่อนนิยมใช้ยางจากหัวให้ อาจารย์ดังๆสักลงอักขระเลขยันต์ใส่ตัว เพื่อจะได้คงกระพันตลอดชีวิต แต่ผู้สักต้องปฏิบัติดี ไม่ผิดศีลห้า เนื้อหัว “ว่านสบู่ เลือด” มีรสขม เมื่อกินเข้าไปจะทำให้คง กระพันเพียงชั่วเมา เมื่อหมดฤทธิ์จะเจ็บปวดได้ ก่อนกินหรือใช้ต้องว่าคาถา “นะโมพุทธายะ” จำนวน 108 คาบ จะศักดิ์สิทธิ์มาก  ทางยาโบราณ ฝานเนื้อหัวเป็นแว่นๆ ตากแห้งแล้วบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นก้อนขนาดปลายนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่ กิน 3 เวลาก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ ใช้หัวสดกะพอประมาณสับละเอียดผสมน้ำซาวข้าว หรือเหล้า 40 ดีกรีเล็กน้อย กินจะหายได้

    สรรพคุณทางยา : ตำรายา แผนไทยปัจจุบันระบุว่า ใบของ “ว่านสบู่เลือด” เพิ่งจะค้นพบว่า มีสรรพคุณทางเภสัชชั้นยอด โดยใช้ใบจำนวน 7 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดต้มกับน้ำกะตามต้องการดื่มแทนน้ำชา จะเป็นยาบำรุงเซลล์สมอง และ บำรุงเส้นปลายประสาทได้ ซึ่งจะทำให้ไม่เป็นโรคความจำเสื่อมได้ แต่มีข้อแม้ ต้องทำกินเพียงเดือนละครั้ง กินติดต่อกัน 5 วัน แล้วหยุด ไปทำกินต่อในเดือนถัดไป

ที่มา
http://www.wiparatfood.com/

1006
เขียนโดย tongn005      อังคาร, 24 เมษายน 2007

วิชาชุบตัวเเละอาบว่านยา

   ในตำราของหลวงพ่อกวย ต้นว่านนี้หมายถึง ไม้มงคลหรือไม้ประเภทมีฤทธิ์ เป็นต้นไม้มีหัวเเละราก นำมากินไปเเล้วจะมีือำนาจทางอยู่ยงคงกระพัน ว่านพวกนี้ เป็นต้นไม้ที่มีเทวดารักษา นี่คือลักษณะของต้นว่าน

   คนโบราณหรืออาจารย์โบราณ มักปลูกว่าน โดยหวังผลทางด้านเมตตามหานิยมหรือทางคงกระพัน ว่านบางอย่างกินเข้าไปจะทำให้ผิวหนังรัดตัว มีความเเข็งเเกร่งหรือเหนียว สามารถป้องกันคมมีดคมดาบได้ ตามความเชื่อ ยิ่งกินว่าน เเล้วมีอาคมเสกด้วย ยิ่งดีใหญ่

   ว่านที่เป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยมนั้น มักมีดอกหอม เช่นว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านบางอย่างที่มีเทวดารักษา คนมักจะปลูกไว้เพื่อเฝ้าบ้าน ไว้คอยปกป้องรักษา เเต่ว่านบางอย่างก็มีความน่ากลัว เพราะมีภูตผีอาศัยอยู่ เช่นว่านกระสือ ว่านปอบ ว่านเเบบนี้มีประโยชน์บางอย่าง เเต่ก็เเฝงไว้ด้วยอันตราย เหมือนดาบสองคม มีทั้งคุณเเละโทษ

ว่านที่มีอานุภาพทางคงกระพันนั้น เช่น ว่านหนังเเห้ง ว่านสบู่เลือด ว่านหนังคางคก เป็นต้น ดังนั้น จึงมีการทำวิชาอาบว่านขึ้นมา

    วิชาอาบว่าน เป็นที่นิยมมากของทางภาคใต้ เเละสำนักที่โด่งดังในเรื่องนี้ คือ สำนักเขาอ้อนั่นเอง เนื่องจากสรรพคุณต่างๆ จึงมีการนำว่านต่างๆมาผสมพระเครื่องด้วย เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น

   การกินว่านเพื่ออาศัยอานุภาพนั้น จะอยู่ได้ไม่นาน ต้องกินเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เขาว่า ถ้าใครกินว่านมากๆ พอหน้าหนาว ว่านออกดอก อาจมีอาการเเพ้ว่าน จะทำให้มีจุดขาวๆตามตัว คล้ายรอยเกลื้อน

   การอาบว่านโดยใช้อาคมกำกับ เมื่อเเช่ว่านนานๆนั้น คนที่เเช่ว่านเมื่อมีอายุมาก ฤทธิ์ว่านจะออกตามลิ้น  เช่นเวลากินข้าว จะมีรสไม่อร่อย คือมีรสขมของว่าน ถ้าอาบหรือเเช่มากๆ ทำให้ผิวหนังรัดตัวมาก รูขุมขน ไม่สามารถระบายไขมันเเละเหงื่อออกได้ จะทำให้เป็นสิวทั้งตัวเลย

ปัจจุบัน วิชาจำพวกนี้ ไม่ค่อยมีคนทำเเล้ว เเทบเสื่อมสูญ เหลือเเต่เพียงคำบอกเล่า

   หลวงพ่อกวยเคยชุบตัวให้ศิษย์โดยมีว่านยาเป็นตัวประกอบ หลวงพ่อเรียนมาจากครูรุน ครูเพ็ง อาจารย์เเหล่ม วัดท่าช้าง ทั้งสามท่านนี้ เป็นศิษย์รุ่นเดียวกับอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ เรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ในบันทึกหลวงพ่อท่านเรียกชื่อเป็นหลวงพ่อกลั่น วัดทะยาน

ในตำรา หลวงพ่อได้ระบุว่านยาเอาไว้ พร้อมวาดรูปวิทยาธรที่รักษาว่านยาเอาไว้ด้วย ท่านเขียนไว้ว่า

( รูปเพ็ชพยาทร รักษาอยู่ที่ต้นยา มีฤทธิ์ เมื่อขุดต้องเบิกก่อน ถ้าอาคมไม่กล้า เขาไม่กลัวเราเลย เอามาทำก็ไม่ได้ผล )

เครื่องยาที่หลวงพ่อใช้ทำพิธีอาบว่านชุบตัว มีดังนี้

๑.รากพญารากดำ
๒.รากพญาย้า
๓.รากชะมัด
๔.รากตีนต่าง
๕.รากคาง
๖.รากเถาวัลย์เปรียง
๗.ตาไม่ไผ่ ๗ ตา

ให้เอาเครื่องยาทั้ง ๗ อย่าง เเช่น้ำค้าง ปลุกด้วยคาถาอมพิสหนูครูเเก้ว... ก่อน

เวลาอาบ ให้ตั้งเครื่องบูชาครู ให้อาบที่บันไดขั้นเเรก เเล้วกลับบันไดลง ปลุกด้วยคาถาให้ได้ ๗ ครั้ง อาบ ๓ วัน ถ้าจะลอง ให้ลองด้วยขวานโยน ๗ เล่ม ดาบ ๗ เล่ม ขวากหรือหลาวเสี้ยมเเหลม ใช้ไม้ลวก ๗ อัน

เมื่อจะเก็บเครื่องยา ให้ว่าคาถาเบิกเเละคาถาเรียกก่อน

สมัยที่ีหลวงพ่อทำพิธีอาบว่านยาเพื่อชุบตัวให้ศิษย์นั้น นอกจากจะอาบที่บันไดเเล้ว หลวงพ่อยังทำเเคร่ไม้ไผ่ ให้ศิษย์ขึ้นไปนอนบนเเคร่ เเล้วอาบว่าน ใต้เเคร่หลวงพ่อได้ปักขวากเอาไว้ เป็นไม้รวกเสี้ยมเเหลม ๗ อัน เมื่ออาบจนพอใจ หลวงพ่อจะถีบเเคร่ให้ล้มลง หรือหลุดจากเสา ศิษย์ที่นอนอาบว่านจะตกลงไปด้านล่างที่มีขวาก ๗ อันปักอยู่ ผลคือ ขวากจะตำไม่เข้าเลย เเสดงถึงความมั่นใจในอาคมของท่านมาก สมัยนั้น ถ้าไม่เเน่จริง ไม่เก่งจริง มีสิทธิ์ติดคุกเเน่ ไม่้เหนียวจริง ขวากตำทะลุหลังเเน่

ที่มา
http://www.watkositaram.com/index.php?option=com_content&task=view&id=119&Itemid=42

1007

 3.พิธีเสกน้ำมันงาดิบ การเสกน้ำมันงาดิบ ต้องมีเครื่องบูชาครูเช่นเดียวกับการหุงข้าวเหนียวดำ คือ หมาก 9 คำ ดอกไม้ 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ธูป 3 ดอก สายสิญจน์ หนังเสือ หนังหมี เอาวางไว้ที่หน้าเครื่องบูชา การเสกน้ำมันส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำมันงาดิบ หรือน้ำมันยางแดงประสมว่าน พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะนั่งบริกรรมพระคาถาจนน้ำมันแห้งเป็นขี้ผึ้ง เรียกว่า "พิธีตั้งมัน"

เมื่อเสกจนน้ำมันแห้งแล้ว พระอาจารย์จะทำพิธีป้อนน้ำมันให้สานุศิษย์แบบเดียวกับพิธีป้อนข้าวเหนียวดำ คือ ผู้ที่จะกินมันต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยผิดศีลข้อกาเมมาก่อน ถ้าบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ ต้องให้พระอาจารย์ทำพิธี "บริสุทธิ์ตัว" คือ "สะเดาะ" เสียก่อน เสร็จแล้วก็ทำเช่นเดียวกับกินข้าวเหนียวดำ โดยพระอาจารย์ ผู้ประกอบพิธีจะป้อนน้ำมันให้กิน 3 ช้อน แต่ละช้อนมีขมิ้นอ้อย 1 ชิ้น เมื่อกินช้อนที่ 3 หมด พระอาจารย์จะตักน้ำมันมาทาบบนฝ่ามือทั้ง 2 ของศิษย์ แล้วเขียนตัวอักขระตัว "นะโม" ข้างละ 1 ตัว จับมือศิษย์ทั้ง 2 ประกบกันละเลงให้น้ำมันทั่วฝ่ามือ แล้วนำไปทาบนหลังเท้าทั้ง 2 ข้าง ข้างละมือ พร้อมกับพระอาจารย์จะปลุกเสกคาถากำกับไปด้วย ต่อจากนั้นใช้มือลูบขึ้นและลูบลงเช่นเดียวกับการกินข้าวเหนียวดำ เสร็จแล้วมือซ้ายของอาจารย์จะกดมือทั้ง 2 ไว้หัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ไว้ เช่นเดียวกับการกินข้างเหนียวดำ เพื่อเป็นการผูกอาคม เป็นอันเสร็จพิธีการกินน้ำมันงาดิบ
คุณค่าการกินน้ำมันงาดิบของสำนักวัดเขาอ้อ เชื่อกันว่ามีคุณค่าทางด้านอยู่ยงคงกะพัน มีเมตตามหานิยม แต่มีข้อห้ามไว้ว่า ถ้าผิดลูกเมียผู้อื่นเมื่อใด น้ำมันที่กินเข้าไปจะไหลออกมาตามขุมขนจนหมดสิ้น และถ้าจะกินน้ำมันใหม่ก็ต้องทำพิธีสะเดาะใหม่อีกครั้ง

 4.พิธีแช่ว่านยา เป็นพิธีกรรมชั้นสูงทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ การแช่ว่านยา หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ลงไปนอนแช่ในน้ำว่านยาที่ได้ทำพิธีปลุกเสกตามหลักวิชาไสยศาสตร์ จากพระอาจารย์ผู้เรืองอาคม เพื่อประสงค์ให้ตัวเองอยู่ยงคงกระพันชาตรี วัดเขาอ้อจึงได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า "วัดพระอาจารย์หลัง" หลายคนเชื่อกันว่าวัดเขาอ้อเป็นต้นตำรับพิธีการแช่ยา ต่อมาเมื่อมีลูกศิษย์มากขึ้น พิธีการนี้ก็แพร่หลายออกไปตามวัดต่างๆ เช่น วัดดอนศาลา วัดบ้านสวน อ.ควนขนุน วัดเขาแดงออก วัดยาง วัดปากสระ อ.เมือง พัทลุง เป็นต้น
พิธีการแช่ยาที่วัดเขาอ้อ นิยมประกอบพิธีบนไหล่เขาหรือภายในถ้ำฉัตรทันต์ ในราวเดือน 5 เดือน 10 ของทุกๆปี โดยก่อเป็นรูปอ่างน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือใช้เรือขุดจากไม้ก็ได้ให้มีขนาดพอที่จะให้คนลงไปนอนได้ประมาณ 3-4 คน ส่วนมากไม่มีการกำหนดขนาดที่แน่นอน อ่างน้ำนี้เรียกว่า "รางยา"
เนื่องจากพิธีกรรมแช่ว่าว่านยาเป็นพิธีใหญ่มาก และเป็นพิธีชั้นสูงของสำนักวัดเขาอ้อและทำได้ยากลำบาก เครื่องบูชาครูจึงต้องมีมากเป็นธรรมดา คือ หัวหมู บายศรีไหญ่ ยอดบายศรี สวมแหวนทองคำหนัก 1 บาท หมากพลู ธูปเทียน ดอกไม้ และมีหนังสือหนังหมี เหล็กกล้า เป็นเครื่องประกอบ

อ้างอิงจาก
- หนังสือ "วัดดอนศาลา" โดย คุณธีระทัศน์ ยิ่งดำนุ่น และ คุณจำเริญ เขมานุวงศ์
- หนังสือ "ที่ระลึกงานฉลองสัญญาบัตร พัดยศ พระครูอดุลธรรมกิตติ์ เจ้าอาวาสวัดเข้าอ้อ" โดย คุณสมคิด คงขาว และ คุณศิริพงศ์ ยูงทอง 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536

ที่มา
http://www.nathalenoi.com/

1008
พิธีกรรม ด้านคงกระพัน สำนักเขาอ้อ

     วัดเขาอ้อ เป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่า พระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พระครูพิพัฒน์สิริธร (อาจารย์คง) วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และ ที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นต้นและยังมีพิธีกรรมทางด้านคงกระพันชาตรี ของสำนักเขาอ้อ หรือ วัดเขาอ้อ ตกทอดสืบต่อกันมาถึงทุกวันนี้
พิธีกรรมทางไสยศาสตร์

     ความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อที่สำคัญถือเป็นหลัก นิยมใช้ประกอบพิธีกรรมให้สานุศิษย์และประชาชนที่ศรัทธาโดยทั่วไปมี 4 พิธี คือ พิธีเสกว่านให้กิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำ พิธีเสกน้ำมันงานดิบ และพิธีแช่ว่าน นอกจากนี้ก็ยังมีพิธีอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น พิธีสอนให้ชักยันต์ด้วยดินสอ และการสร้างพระเครื่องรางของขลัง วิชาดูฤกษ์ยาม ตำรารักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสมุนไพร และการรักษาด้วยคาถาอาคม เพื่อประโยชน์ของการศึกษาทางด้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ จึงขอนำเอาพิธีกรรมที่กล่าวแล้วข้างต้น มาอธิบายไว้ในที่นี้พอสังเขป...
 
 1.พิธีเสกว่านให้กิน หมายถึง การนำเอาว่านที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือทางด้านมหาอุด มาลงอักขระเลขยันต์ทางเวทมนต์คาถา แล้วนำไปให้พระอาจารย์ผู้ชำนาญเวท ปลุกเสกด้วยอาคมกำกับอีกครั้งหนึ่ง ว่านที่นิยมใช้ในพิธี ได้แก่ ว่านขมิ้นอ้อย ว่านสบู่เลือด ว่านสีดา ว่านเพชรตรี ว่านเพชรหน้าทั่ง ต้นว่านเหล่านี้เชื่อกันว่ามีเทพารักษ์คอยคุ้มครองรักษา พันธุ์ว่านบางชนิดต้องไปทำพิธีกินในสถานที่พบ ที่นิยมมาก ได้แก่ การกินว่านเพชรหน้าทั่ง
การทำพิธีกินต้องหาฤกษ์ยามเสียก่อน เมื่อได้ฤกษ์แล้วพระอาจารย์จะนำสายสิญจน์ไปวนไว้รอบต้นว่าน แล้วตั้งหมากพลูบูชาเทพารักษ์ ปลุกเสกอาคมทางหลักไสยศาสตร์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วนำมาแจกจ่ายกินกัน เชื่อว่าจะทำให้ผู้นั้นเป็นคนอยู่ยงคงกระพันชาตรี
การเสกว่านให้กิน เมื่อสิ้นพระอาจารย์ทองเฒ่าแล้ว นิยมไปทำกันที่วัดดอนศาลา ต.มะกอกเหนือ โดยมีพระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) เจ้าอาวาสวัดดอนศาลาเป็นผู้ประกอบพิธี เช่น การประกอบพิธีกินว่านหน้าทั่ง เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ.2473 มีพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ (ยังเป็นฆราวาส) เป็นผู้หาฤกษ์ยาม ผู้ร่วมกินมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช และพระเณรในวัดดอนศาลา .

2.พิธีหุงข้างเหนียวดำ นิยมทำพร้อมกับพิธีเสกน้ำมันงาดิบ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "กินเหนียวกินมัน" แต่ละปีจะประกอบพิธีกิน 2 ครั้ง คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
พิธีหุงข้าวเหนียวดำ หมายถึง การนำเครื่องยาสมุนไพร หรือว่านชนิดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 108 ชนิด มาผสมกันแล้วต้มเอาน้ำยามาใช้หุงข้าวเหนียวดำ
การประกอบพิธีนิยมทำกันภายในอุโบสถมากกว่าสถานที่อื่นๆ ในสมัยก่อนนิยมทำกันในถ้ำฉัตรทันต์ หม้อและไม้ฟืนทุกอัน จะต้องลงอักขระเลขยันต์กำกับด้วยเสมอ พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะเริ่มปลุกเสก ตั้งแต่จุดไฟ จนกระทั่งข้าวเหนียวในหม้อสุก แล้วนำข้าวเหนียวที่สุกแล้วไปประกอบพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งจนเสร็จพิธี

   พิธีกินข้าวเหนียวดำ จะทำพิธีกันภายในอุโบสถ ก่อนกินถ้าสานุศิษย์คนใดไม่บริสุทธิ์ต้องทำพิธีสะเดาะ หรือเรียกว่า "พิธีการเกิดใหม่" หรือ "พิธีบริสุทธิ์ตัว" เพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์จากสิ่งไม่ดีชั่วร้ายทั้งปวง

   เมื่อถึงเวลาฤกษ์กินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนุ่งด้วยผ้าขาวม้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ แล้วเข้าไปกราบพระอาจารย์ผู้ประกอบพิธี 3 ครั้ง เสร็จแล้วพระอาจารย์จะให้นั่งชันเข่าบนหนังเสือ เท่าทั้ง 2 เหยียบบนเหล็กกล้าหรือเหล็กเพชร ปิดศรีษะด้วยหนังหมี มือทั้ง 2 วางบนหลังเท้าของตัวเอง พระอาจารย์ใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ พร้อมกับภาวนาพระคาถา ส่วนมือขวาปั้นข้าวเหนียวดำเป็นก้อนป้อนให้ศิษย์ครั้งละ 1 ก้อน แล้วปล่อยมือศิษย์ที่กดไว้บนเหลังเท้า มือทั้ง 2 ของศิษย์จะลูบขึ้นไปตั้งแต่หลังเท้าจนทั่วตัวจดใบหน้า การลูบขึ้นนี้เรียกว่า "การปลุก" เสร็จแล้วลูบลง เอามือทั้ง 2 ไปวางไว้บนหลังเท้าทั้ง 2 เช่นเดิม โดยกะประมาณว่ากินข้าวเหนียวก้อนแรกหมดพอดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยกินอาจกลืนลำบาก เนื่องจากว่าข้าวเหนียวมีรสขมมาก บางคนป้อนก้อนแรกถึงกับอาเจียนออกมาก็มี แต่ถ้ากลืนก้อนแรกจนหมดได้ ก้อนต่อไปจะไม่มีปัญหา พระอาจารย์จะป้อนจนครบ 3 ก้อน ในแต่ละครั้งจะลูบขั้นลูบลง เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่ครั้งที่ 3 นั้นเมื่อศิษย์กินข้าวเหนียวหมดแล้ว พระอาจารย์จะใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ที่เดิมหัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ ทำทักษิณาวัตร 3 รอบ พร้อมกับภาวนาพระคาถาไปด้วย เป็นการผูกอาคม
สำหรับคุณค่าของการกินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์ของสำนักเขาอ้อ เชื่อกันว่าใครกินได้ถึง 3 ครั้ง จะทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี เป็นมหานิยม และยังเป็นยาแก้โรคปวดหลังปวดเอวได้เป็นอย่างดี


ที่มา
http://www.nathalenoi.com/

1009
ขออนุญาตนำภาพมาประกอบครับ :054:


1010
“นิพพิทาญาณ” ญาณที่ผู้ฝึกจิตหากไม่ได้ ก็เท่ากับสูญเปล่า
 
นิพพิทาญาณเป็นไฉน?

   นิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก คือ ปัญญาที่หยั่งรู้เท่าถึงความไม่จีรัง ความมายา ความทุกข์ ความหลงมัวเมาที่เต็มอยู่ในโลก ความรู้สึกที่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกีย์อย่างยิ่ง เบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกอย่างยิ่ง จนละทิ้งบ้านเรือนออกแสวงหาสัจธรรม นี่คือ อาการของนิพพิทาญาณ ซึ่งจะเกิดเมื่อ จิตผู้หนึ่งมีความสงบสุขสงัดทางธรรมมากๆ แล้วหันกลับไปมองทางโลกก็รู้สึกแตกต่างจากความสุขทางธรรมได้แจ้งชัด ชัดเจน จึงหันหลังให้ทางโลก หรือเกิดจากความเบื่อสุดระอา เพราะความทุกข์อย่างยิ่งทางโลก แล้วได้พบธรรมเข้าพอดี เกิดความสงบสุขได้ จิตละจากทางโลกได้ฉับพลันเข้าหาทางธรรมทันทีก่อนที่จะไม่เหลือจิตสมประดี เช่น กรณีหญิงบ้าที่แก้ผ้าเข้าวัดไปหาพระพุทธองค์ สติของนางยังพอมีเหลืออยู่บ้างยังไม่ถึงขนาดขาดหมดไม่สมประดี เมื่อได้พบธรรม ได้พบพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมีพระมาโปรดให้ใจชุ่มเย็น ดับความเร่าร้อน แล้วได้สติ เห็นทางธรรมเป็นทางรอด จนได้บรรลุธรรมในที่สุด นี่ก็ต้องมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นก่อน
 
ทำไมต้องได้นิพพิทาญาณ?

    สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิแล้วไม่ได้ฌาน ย่อมยังผลให้ไม่ได้ญาณด้วย นั่นหมายถึง ไม่เกิดนิพพิทาญาณขึ้นเลย ไม่มีความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย บุคคลนั้นแม้ได้เปรียญเก้าประโยค มีความรู้ทางธรรมท่วมหัว ก็ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากความทุกข์ไปได้ ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากนรกไปได้ (เพราะไม่บรรลุโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายในสามภพ นั่นหมายถึง นรกด้วย) ดังนั้น บุคคลผู้ฝึกสมาธิ หากไม่ได้ฌาน ก็ไม่ได้ญาณ เมื่อไม่ได้ญาณ นิพพิทาญาณไม่เกิด แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เช่นนี้ นรกย่อมมีอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นั้นเป็นแน่แท้ ไม่แปรอื่น ไม่ชาติภพใดก็ชาติภพหนึ่ง ไม่อาจพ้นไปได้
 
ฝึกสมาธิไม่ได้ฌานและญาณเท่ากับสูญเปล่า

    คนที่ฝึกสมาธิได้อภิญญามากมาย เช่น ฤษีในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดนั้น บ้างได้ตายลงไปเกิดเป็นงู เป็นสัตว์นรก ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้น ฝึกสมาธิขั้นสูง ได้อภิญญามากมาย แต่เสียดาย พวกเขาไม่ได้ญาณหยั่งรู้ที่สำคัญอันนำไปสู่การบรรลุธรรม ทำให้ต้องวนเวียนในสามภพไม่สิ้นสุดไปได้ ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำอย่างยิ่งว่า ฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อให้ได้แค่สมาธิ แต่ต้องให้ได้ฌาน แล้วฝึกฌานเพื่อให้ได้ญาณ อนึ่ง ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายญาณใดๆ ไม่เท่านิพพิทาญาณเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากเป็นความหยั่งรู้ในความน่าเบื่อของเรื่องทางโลกีย์ที่ไม่สิ้นสุด จึงเป็นญาณเปิดทางสู่การบรรลุธรรมโดยแท้
 
การฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ

   นับเป็นความล่อแหลมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างยิ่ง สำหรับการฝึกเอานิพพิทาญาณในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฌาน เพราะจิตที่อ่อนกำลัง ไม่มีความสงบสงัดรองรับสภาวะความจริงอันน่าเบื่อของโลก ความมายาหลอกลวงของโลก ความไม่เที่ยงไม่จีรังของโลก ความทุกข์ระทมของโลก ความลุ่มหลงมัวเมาของโลกนั้น ย่อมอาจนำบุคคลไปสู่การฆ่าตัวตายหนีโลกได้ ดังนั้น ก่อนการฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ จึงต้องมีการเตรียมใจเตรียมจิตให้พร้อม คือ ควรได้ฌานสี่ ในระดับที่คล่องแคล่วพอควร และแน่วแน่ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ควรมีทั้งวสีในฌานและตบะในฌานในระดับหนึ่ง เพราะหากขาดวสีในขณะที่เห็นความจริงอันแสนน่าเบื่อของโลกแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ฌาน รองรับอารมณ์สภาวธรรมไม่ทัน และเกิดอาการ “จิตตก” จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในขณะที่บางท่านไม่มี “ตบะ” เลย เมื่อได้เห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกนี้แล้ว แม้จิตเข้าสู่ภาวะฌานรออยู่ แต่หากได้เห็นความจริงของโลก แล้วเกิดอาการฌานเสื่อมถอยเพราะจิตตกทันควัน ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ ควรมีทั้งวสีและตบะในฌานในระดับหนึ่ง จึงไม่ขอกล่าวอธิบายเรื่องการทำวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณต่อไปในบทความนี้ (จำต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว)

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=239156

1011
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:


นิพพิทาจึงเป็นของดี  ไม่ใช่เป็นไปเพื่อทุกข์  แต่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์

นิพพิทา จึงเป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อการตัดทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวาร

นิพพิทา จึงไม่เป็นไปเพื่อทุกข์ แต่เป็นไปเพื่อโลกุตตรสุข อันเป็นสุขยิ่ง :054:

1012
ศีล นิพพิทาญาณ และโคตรภูญาณ ๓/๓

---คำถาม การเป็นพระโสดาบันนี่ ยากตรงไหนคะ
---คำคอบ ยากตรงศีล ยากตรงศีล พระพุทธเจ้าบอกว่า บุคคลจะเข้าถึงพระโสดาบันได้ ต้องมีศีลเป็นอธิศีล เคยได้ยินไหม
---บุคคลจะเข้าถึงพระอนาคามีได้ ต้องมีจิตเป็นอธิจิต จะเข้าถึงพระอรหันต์ได้ ต้องมีปัญญาเป็นอธิปัญญา คราวนี้จะมีศีลเป็นอธิศีล เราก็ต้องมาดูว่ายังไงเรียกว่า อธิศีล จะทำอย่างไรให้ศีลของเราเป็นอธิศีล ให้เราไปย้อนดูคำสอนของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า จะทำศีลให้เป็นอธิศีล ต้องรักษาศีล ๓ ขั้น คือ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นละเมิดศีล แล้วไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นละเมิดศีลแล้ว เคยได้ยินไหม
---เคยได้ยินหรือเปล่า คราวนี้เราก็มาดูคำสอนของท่าน ปกติเวลาที่เรารักษาศีลนี่ เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเรารักษาศีล ครบทุกข้อ ไม่ละเมิดซักข้อหนึ่ง เราก็ถือว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ ถูกไหม

---แต่ตรงนี้หลวงพ่อบอกว่า ยังไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์ มันยังเป็นเพียงแค่ศีลไม่ขาดเท่านั้นเอง ตรงนี้เพียงข้อแรกเราไม่ละเมิดศีลแค่นั้นเอง เข้าใจไหม

---ในขณะที่เราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเองนั้น บางครั้งเราไปยุบุคคลอื่นทำ เราไม่ทำเองแต่ใช้เขาทำ อย่างบางทีบ้านของเรา หรือว่าห้องของเรา บางทียุงมันเยอะหรือแมลงสาบมันเยอะ ไม่ทำเองหรอก แต่ใช้เด็กทำ เรากลัวบาปแต่โยนบาปไปให้เขา ไอ้ตรงนี้สัตว์ก็ตายเพราะเราเป็นเหตุ แล้วศีลของเราจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร เข้าใจไหม

---และศีลก็ยังบริสุทธิ์ไม่ได้ เราไม่ทำเองด้วย แล้วเราไม่ยุบุคคลอื่นเขาทำด้วย แล้วศีลจะบริสุทธิ์หรือยัง มันก็ยังอยู่ดี เพราะบางครั้งจิตเรายังคิดละเมิดศีล ไอ้จิตคิดละเมิดศีลนี้ มันจิตคิดยังไง จิตไปยินดีการละเมิดศีลของบุคคลอื่น อย่างสมมุติบ้านเรา หรือว่าห้องของเราก็แล้วแต่ บางทียุงมันเยอะ แมลงสาบมันเยอะ เราไม่ทำด้วย เราไม่ใช้เด็กทำด้วย แต่เด็กมันมาเห็นว่ายุงมันเยอะ แมลงสาบมันเยอะ มันหวังดีทำให้เรา เรากลับถึงมันไม่มี ยุงไม่มีแมลงสาบไม่มีดีนี่หว่า มันอุตส่าห์ช่วยทำให้ นี่ไปยินดีเขาฆ่าสัตว์ ถูกไม่ถูก จิตยินดีแค่นี้ จิตมันก็ไม่บริสุทธิ์ในศีล ถูกไหม

---ท่านถึงบอกว่า ศีลอย่างไรที่ศีลจะบริสุทธิ์อย่างไร ? พร้อมกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ คือ ไม่ละเมิดด้วยตนเองด้วย ปากต้องไม่ยุบุคคลอื่นเขา ใจก็ไม่ยินดีในการละเมิดศีลของบุคคลอื่นเขา มันต้องบริสุทธิ์พร้อมกันทั้งหมดอย่างนี้จึงจะเรียกว่า อธิศีล เข้าใจไหม

---คำว่า อธิศีล นะ คราวนี้เมื่อจิตเป็นศีล จิตรักษาศีลมั่นคง เวลานั้นศีลมันจะเข้าถึงจิต มันจะรักศีลจริง ๆ พอจิตเป็นศีลขนาดนั้น จิตมันจะเหมือนศีลนี้เป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่เราเลย คอยระวังไม่ให้เราตกไปในที่ชั่ว ระวังไม่ให้เราละเมิดศีล เวลานั้นจิตมันจะรักศีลจริง ๆ จิตรักศีลแล้วนั้น จิตจะมีความสงบ จิตจะมีความเยือกเย็น มันจะมองเห็นเลยว่าเรานี่ แม้แต่คิดชั่วก็ไม่มี อย่าว่าแต่ทำชั่วเลยนะ ไอ้กายมันไม่ทำอยู่แล้ว ถ้าลองรักษาศีลถึงจิตนี่ ปากก็ไม่พูด กายก็ไม่ทำ แม้แต่จิตคิดชั่วยังไม่มีเลย จิตคิดละเมิดศีลยังไม่มี เมื่อจิตไม่คิดละเมิดศีล จิตก็มีแต่ความเยือกเย็น จิตก็มีแต่ความสงบ ถูกไหม

---เมื่อจิตมีความเยือกเย็น จิตมีความสงบ ไอ้ตัวความเยือกเย็น ความสงบตรงนั้นน่ะ มันจะทำให้มองเห็นกิเลสในใจชัด ศีลนี่ท่านแปลว่าเย็นนะ ที่ท่านแปลว่าเย็น เพราะผู้ที่รักษาศีลใจจะเย็น เมื่อจิตมีความเยือกเย็น มันก็เห็นกิเลสในใจชัด ไอ้ตัวปัญญาตัดกิเลสมันก็จะตามมาเอง จิตของผู้ไม่มีศีลจิตจะเร่าร้อน ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะมีสมาธิขนาดไหนก็แล้วแต่ รับรองได้ว่าจิตเร่าร้อน จิตไม่สงบ อันนี้จริง ๆ นะ เขาอาจจะสงบ เขาอาจจะมีสมาธิถึงฌาน ๔ ถึงอภิญญา ๕ แต่ความสงบอันนั้นมันเป็นความเร่าร้อน มันสงบอยู่บนความเร่าร้อน (ตัวอย่างคือท่านเทวทัต)

---คำถาม ถ้าอย่างนี้ถ้าเราทรงอธิจิตก็แสดงว่า กรรมบถ ๑๐ ก็รวมด้วย ใช่ไหมค่ะ
---คำตอบ คำว่ากรรมบถ ๑๐ มันอย่างนี้นะ เรื่องศีล ๕ กับกรรมบถ ๑๐ นี่ ศีล ๕ เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติของพระสกิทาคามี คราวนี้เราเอาเบื้องต้นพระโสดาบันให้ได้ดีกว่า เอาแค่ศีล ๕ ข้อ เอาให้มันเป็นอธิศีลให้ได้ เข้าใจไหม เอาตรงนี้ให้เป็นสำคัญ

---คำถาม ถ้าเป็นอธิศีลแล้วนี่ กรรมบถ ๑๐ จะตามมาทีหลัง
---คำตอบ มันจะง่ายขึ้น เพราะเรารักษาศีลด้วยจิต กรรมบถ ๓ ข้อท้าย มันเป็นจิตเข้าใจไหม ในเมื่อศีล ๕ เรารู้จักใช้จิตรักษาศีลคือ รักษาศีลด้วยจิตแล้ว ไอ้ ๓ ข้อท้ายนี่มันทำไม่ยากเข้าใจนะ บางตัวมันใกล้กัน มันจะดึงกันขึ้นมา
_______________จบ

ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1044

1013
ศีล นิพพิทาญาณ และโคตรภูญาณ ๒

---เราต้องไม่ถอยจากตรงนั้น ต้องพิจารณาต่อไป แต่ขณะที่พิจารณาต่อไป ต้องมองให้เห็นความจริงของโลกว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ร่างกายของคนทุกคนมันเป็นอย่างนี้ ร่างกายไม่มีของใครดีหรอก มันมีแต่ความเสื่อม มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความปวดเมื่อย มันมีแต่มองดูแล้ว ร่างกายเราตั้งแต่ตื่นจนหลับ มันไม่มีคุณให้เราเลย เราหาเลี้ยงมันเท่าไร มันไม่เคยเชื่อฟังเรา มันมีแต่ทำโทษให้เราทั้งนั้น เราคือจิต ทำโทษให้เราตรงไหน ตรงที่ต้องคอยดูแลรักษามัน ทำโทษตรงที่ว่า เราต้องโดนกระทบกระทั่งกับอารมณ์ต่าง ๆ ก็เพราะเรามีร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายก็ไม่ต้องดูแล ก็ไม่ต้องกระทบอารมณ์ต่าง ๆ ใช่ไหม

---อารมณ์ที่กระทบกับบุคคลบ้าง รอบข้างต่าง ๆ นี้ มันเป็นความทุกข์ ทั้งราคะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ เพราะเรามีร่างกาย เราถึงกระทบ ถ้าร่างกายไม่มีมันไม่กระทบหรอก อย่างคนที่เขาว่าเขาตำหนิ เขาตำหนิกาย ไม่มีใครตำหนิจิตหรอก ถูกไหม

---เขาตำหนิกาย แต่จิตมันไปยึดกาย จิตมันก็โกรธ มันก็เป็นโทสะไป ไอ้อารมณ์เหล่านี้มันก็เกิดเพราะเรามีกาย เข้าใจไหมนี่

---กายมันไม่มีคุณ มันมีแต่โทษ ให้มันเห็นความจริงของกายภายนอก พอจิตวางลงธรรมดาได้ ตัวธรรมดาตัวนี้แหละคือ โคตรภูญาณ คราวนี้ตรงโคตรภูญาณนี่ก็เหมือนกัน ต้องทรงธรรมดาให้อยู่ ถ้าทรงไม่อยู่ จิตมันก็ถอยกลับไปสู่ปุถุชนเหมือนกัน คราวนี้ทรงให้อยู่ ทรงให้มันเห็นอยู่ตลอดเวลาว่า โลกทั้งโลกมันไม่มีอะไรดี ให้มันเห็นความจริงของโลกให้ได้ พอจิตมันทรงอยู่ได้แล้ว จิตมันจะพ้นโคตรภูญาณ พอพ้นโคตรภูญาณจะเข้าพระโสดาบัน เวลาอยู่ในโคตรภูญาณ หลวงพ่อท่านถึงบอกว่า มันเหมือนกับเหยียบอยู่ลำรางข้างหนึ่งเป็นโลกีย์ อีกข้างเป็นโลกุตระ ถ้ากำลังมันไม่พอ เดี๋ยวมันก็ถอยกลับมาโลกีย์ใหม่ เข้าใจไหม

---คราวนี้กำลังมันอาจจะไม่พอ มันก็อยู่ที่เราขยันไม่ขยัน อยู่ที่ปัญญาของเรา ถ้าหากว่าทำ ๆ แล้วเดี๋ยวก็ถอยบ้าง คือ กิเลสมันพาให้ถอยอยู่เรื่อย ว่ากันตรง ๆ กิเลสมันจะฉุดให้ถอยหลัง ถ้าเราไม่เชื่อกิเลส อย่างที่ท่านบอกว่า ต้องมีวิริยะบารมี ต้องมีขันติบารมี คือ ไม่ยอมเชื่อกิเลส เราบากบั่นจะเอาชนะมันให้ได้อย่างเดียว ยังไงมันก็ชนะ แต่ถ้าหากเราบารมีไม่พอ เดี๋ยวก็ถอยหลังกิเลสมันคอยฉุดไม่ให้ขาก้าวไปข้างหน้า มันก็เข้าพระโสดาบันไม่ได้ จิตมันต่อเนื่องอยู่อย่างนี้

ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1044

1014
ศีล นิพพิทาญาณ และโคตรภูญาณ
ท่านพระสุรจิตเทศน์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๙

จาก หนังสือ “ธรรมะหลวงพ่อ” และพระอริยเจ้าบางองค์
โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

---ไอ้คำว่าเบื่อ ๆ อยาก ๆ เพราะว่ามันยังไม่ทรง เข้าใจไหม

---นิพพิทาญาณจริง ๆ นี่ ท่านเบื่อท่านทรง มันเบื่อจริง ๆ เบื่อจนมันไม่เอาอะไร ไอ้ตัวนี้มันเบื่อจริง ๆ มันเห็นร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ๆ มันเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มันเห็นความไม่เป็นสาระ ในเมื่อโลกทั้งโลกนี้ ดูแล้วไม่เป็นสาระ มันมีแต่ความเบื่อหน่ายในโลก เบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ คราวนี้ถ้ามันเบื่ออยู่อย่างนั้น แล้วจิตไม่สามารถจะถอนความเบื่อได้ มันก็อาจจะฆ่าตัวตายได้ เพราะมันเป็น มันเป็นมาก เข้าใจไหม

---จิตก็จะต้องหาทางออกให้ได้ ออกจากนิพพิทาญาณ คราวนี้ถ้าจิตจะออกจากนิพพิทาญาณ จิตนั้นจะต้องเห็นธรรมดาของโลก เห็นธรรมดาของร่างกายว่ามันเป็นอย่างนี้ มันต้องทุกข์อย่างนี้ มันต้องสกปรกอย่างนี้ เราอยู่กับคนที่มีกิเลส เราก็ต้องถูกกิเลสกระทบอย่างนี้ มันหนีไม่พ้นหรอก ไอ้โลกนี้มันสกปรกไปด้วยกิเลสของคน เข้าใจไหม

---เราอยู่กับคนที่มีกิเลส เค้าก็สาดกิเลสมาหาเรา มันก็มีแต่ความเดือดร้อน ไอ้ความวุ่นวายทั้งหมดมันก็มาจากกิเลส ทำให้ใจเห็นธรรมดาให้ได้ จิตที่มองเห็นธรรมดาและยอมรับนับถือในธรรมดาตรงนี้แหละ คือ โคตรภูญาณ มันต่อเนื่องกันกับนิพพิทาญาณ ถ้าจิตไม่สามารถออกจากนิพพิทาญาณได้ เข้าโคตรภูญาณไม่ได้ มันก็เสร็จอยู่ตรงนั้นแหละ คราวนี้บางคนพอเบื่อเข้ามาก ๆ ไอ้นิพพิทาญาณมันก็ถอย ไม่เอา ๆ คือ ไม่ยอมพิจารณาต่อ กลัวว่าจะฆ่าตัวตาย กลัวว่าจะไปผิดทางแล้วมันก็ถอยกลับเข้าปุถุชนเลย จิตมันจะไม่ก้าวต่อ เข้าใจไหม



ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1044

1015
อ่านสนุกๆกันนะครับ :002:
===========
วิธีทดสอบว่าเป็นกายทิพย์หรือไม่

กายทิพย์จะเป็นกายที่มีความเบาบางมาก

เสมือนกายล่องลอยอยู่เหนือพื้น

ไม่สามารถรับรู้สัมผัสว่ากายสัมผัสที่นั่ง

สามารถมองเห็นกายได้ตลอดร่าง
(เหมือนความฝัน)

วิธีทดสอบว่าภาพมาหาเราหรือเราไปหาภาพ

ถ้าภาพมาหาเรา

จะยังรับรู้สัมผัสและเสียงรอบตัวได้

ถ้าเราไปหาภาพ

จะไม่สามารถรับรู้สัมผัสหรือเสียงรอบตัวได้

ศัพท์เฉพาะทางจิตวิญญาณเรียกญาณหูดับ

แต่ยังไม่ใช่
(เพราะไม่ได้อยู่จุดที่นั่งนั้น)

ที่มา
http://www.saksitsart.com/index.php?mo=3&art=524027

1016

วิชาย่นระยะทางของท่านพระป่าอาจารย์ในดง

 
การที่ผู้ที่ท่านมีพลังอำนาจจิตสูงส่งจะเดินทางไปปรากฏร่างในสถานที่แห่งใดก็ตาม ท่านสามารถเดินทางไปได้หลายรูปแบบ
ถ้าเป็นระยะทางใกล้ๆ ท่านอาจจะเดินทางไปด้วยตนเอง การเดินทางของท่านก็เป็นการเดินเท้าธรรมดาเหมือนคนอื่น
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือท่านสามารถเดินได้เร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ท่านอาจารย์ในดงที่เรียกกันว่าพระป่าเพราะท่านชอบอยู่แต่ในป่าในเขาไม่ยอมเข้าในเมือง
เมื่อท่านต้องการที่จะเดินทางไปที่แห่งใดด้วยเท้าเปล่าแล้วท่านจะตั้งหน้าตั้งตาเดินลูกเดียว
สายตาของท่านมองไปที่ยอดไม้ที่อยู่เบื้องหน้าไปทีละช่วง
เมื่อท่านเดินไปถึงเป้าหมายแรกแล้วท่านก็มองไปที่เป้าหมายเด่นๆ ที่อยู่เบื้องหน้าต่อไป เท้าเก้าเดินฉับๆ ปากท่องบ่นพึมพัมไปตลอดทาง

“ อาวอิว  อิวอาว  อาวอิว  อิวอาว ”

เสียงบ่นของท่านเป็นจังหวะกับการก้าวเท้าพอดี
 
ศิษย์ร่วมทางมัวแต่นึกขำในคำที่ท่านอาจารย์ในดงท่องเพลินไปหน่อย เงยหน้าดูเห็นท่านเดินขึ้นหน้าไปประมาณร้อยกว่าก้าวเห็นจะได้
รู้สึกแปลกใจมากที่ท่านเดินอยู่ข้างหลังดีดีก้มหน้าไม่ถึงห้าวินาที หลวงปู่ท่านเดินทิ้งระยะห่างขนาดนั้น
ต่อให้อาจารย์รีบวิ่งหรือกระโดดไปก็คงไปได้ไม่ไกลถึงขนาดนั้นเพราะท่านแก่มากแล้ว
ด้วยความสงสัยจึงคอยจับตาจ้องดูที่เท้าของท่าน ก็ไม่พบว่าท่านก้าวยาวหรือเร็วกว่าคนธรรมดาเลย
ก้มมองดูเท้าท่านก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เงยหน้าขึ้นมา รู้สึกเย็นวาบไปหมดทั้งตัวขนหัวลุกตั้ง
ก่อนที่จะก้มหน้าดูเท้าท่านอาจารย์ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมันอยู่ข้างหน้าประมาณร้อยก้าว
ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์ท่านก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ทั้งศิษย์ทั้งท่านอาจารย์เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
โดยทิ้งระยะห่างจากมันประมาณร้อยก้าวได้อย่างไร  ?
ดูเหมือนท่านอาจารย์ในดงจะรู้ว่าลูกศิษย์กำลังคิดอะไรอยู่

ท่านพูดลอยๆ ออกมา
“ ให้สร้างจินตนาการสร้างมโนภาพให้เห็นหรือรู้สึกว่าเห็น
ว่าตัวเรามีขาที่ยาวมากก้าวไปได้ไกลๆ
ข้ามเขาข้ามห้วยข้ามหนองข้ามคลองข้ามทะเล
ตาจับยึดที่เป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้าไปทีละช่วงสายตา  เห็นถึงไหนยึดถึงนั่น
ทั้งตัวเราและเป้าหมายจะเกิดแรงดึงดูดต่อกัน  เราก็เดินเป้าหมายก็ฉุด  มันเกิดแรงช่วย ”

 
อีกรูปแบบหนึ่ง
ท่านเอาไปแต่รูปไม่ได้เอาร่างไปด้วย เมื่อกายทิพย์ไปถึงจุดหมายแล้ว
ท่านจึงทำกายทิพย์ซึ่งเป็นกายละเอียดที่คนมองไม่เห็นให้เป็นกายหยาบที่คนมองเห็นได้
ผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้จะต้องมีพลังอำนาจจิตสูงมากเพราะ ต้องสามารถรักษาภาพนิมิตได้นานมาก
 
ท่านอาจารย์ในดงอยู่ร่วมในงานจนเสร็จพิธีท่านจึงเดินทางกลับ
โดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า ท่านเอามาแต่รูป ( ให้เห็นได้ด้วยสายตา )
แต่....
ไม่ได้เอาร่าง ( ตัวตนที่แท้จริงที่สามารถสัมผัสได้ของท่าน ) มาด้วย เพราะไม่มีผู้ใดไปสัมผัสท่าน
ท่านใช้เวลาเดินทางกลับจากงานพิธีในเมือง กลับถึงที่พักกลางป่าลึก
เพียงอึดใจเดียว
ท่านสามารถเดินทางไปได้ทุกสถานที่อย่างรวดเร็วมาก เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้
เพราะท่านไม่ต้องแบกสังขารที่แกชราไปด้วย

ที่มา
http://www.saksitsart.com/index.php?mo=3&art=406586

1017

เรียนวิชาคงกระพันเผลอสักวันคงต้องตาย

หลวงพ่อสมภพท่านไปได้วิชาคงกระพันชาตรียิงไม่เข้าฟันไม่เข้ามาจากเสือเย็นขุนโจรสมัยเก่า
เมื่อตอนที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ทางคงกระพันชาตรีใหม่ๆ  ท่านทดสอบทดลองแทบทุกวัน
ท่านรู้สึกภาคภูมิใจมากที่เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในทางนี้ แต่พอนานไปท่านก็เริ่มลังเลใจ ท่านคิดผิดไปหรือเปล่า  ?
บรรดาศิษย์ที่เข้าหาท่านนอกจากผู้ที่มีหน้าที่ที่จะต้องจับอาวุธแล้วยังเต็มไปด้วย
พวกนักเลงอันธพาล
มือปืนรับจ้าง
นักฆ่ามืออาชีพ
 
บทเรียนที่ทำให้ท่านต้องทบทวนบทบาทของตัวท่านเองใหม่
ชาวบ้านแถบชายแดนนิมนต์ท่านไปฉันเพลในงานของนักเลงใหญ่ประจำหมู่บ้าน
ท่านหลงเชื่อจึงต้องพาตัวไปเป็นเป้าหมายให้พวกนักเลงมือปืนในหมู่บ้าน ทดสอบวิชาคงกระพันชาตรีของท่าน
มือปืนลอบยิงท่านโดยไม่ทันได้ระวังตัวในระยะเผาขนเข้าที่ขมับขวา ในขณะที่ท่านกำลังฉันเพลิน
ท่านหัวคว่ำลงในสำรับอาหารสลบเหมือดทันที คนในหมู่บ้านกรูกันเข้ามารุมล้อมดูหลวงพ่อซึ่งหมดสติอยู่
ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง กระสุนที่ยิงใส่ขมับของหลวงพ่อในระยะเผาขนนัดนั้นมิได้เจาะผ่านเข้าไปในเนื้อท่าน
มันเพียงแต่ทำให้เกิดรอยช้ำบวมขนาดเท่าลูกมะนาวเป็นรอยเขียวช้ำจนเกือบดำ
มือปืนผู้ทำการทดสอบความเหนียวของหลวงพ่อรีบเข้าไปช่วยทำการปฐมพยาบาล จนท่านฟื้นลืมตาขึ้น
พอท่านรู้สึกตัวแล้วมือปืนก็เข้าไปกราบแทบเท้าขอขมาหลวงพ่อ
พร้อมกับขอฝากตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน
 
หลวงพ่อเล่าว่าในตอนนั้นท่านยังไม่หายจากอาการมึนงงและปวดหัวอย่างรุนแรง
ท่านขอให้ญาติโยมช่วยนำท่านไปส่งที่วัดโดยรถยนต์ของผู้ใหญ่บ้านคนดัง
คืนนั้นท่านนอนไม่หลับคิดทบทวนอยู่ตลอดคืนจนรุ่งเช้า ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ได้ตายดีแน่
คนในหมู่บ้านนี้มันไม่มีศีลธรรมกันเลยแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้ามันยังยิงได้ลงคอ
ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เห็นตอนที่ท่านถูกยิงและอยากจะเห็นอยากจะลองกับมือตัวเองบ้าง
ถ้าขืนเป็นแบบนี้อีกท่านคงดังไปได้ไม่นานก็คงจะต้องดับไปสักวันแน่
 
ท่านเพิ่งเข้าใจที่ท่านอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาคงกระพันชาตรีให้ท่านที่ว่า
หมองูตายเพราะงูเป็นอย่างไร
ท่านจะยอมยกตัวให้ตกเป็นเครื่องมือของพวกนักเลงปืนทั้งหลายไปเพื่ออะไรกัน ?
ท่านออกอุบายขอไปเยี่ยมญาติโยมต่างจังหวัดแล้วหายวับไม่กลับวัดอีกเลย
ท่านหายหน้าไปนานหลายปีพบอีกทีท่านกลายเป็นหมอดูและหมอยาไปแล้ว
เหตุผลง่ายๆ สั้นๆ แต่ชัดเจน
กูเรียนวิชาคงกระพันเผลอสักวันคงต้องตาย  เรียนหมอยาหมอดูเรียนแล้วกูสบายใจ
มีวิชาคงกระพันมีแต่พวกนักรบนักเลงเข้าหา
สู้เรียนวิชาหมอยากับหมอดูไม่ได้มีแต่คุณหญิงคุณนายเข้าหา
แล้วหลวงพ่อไม่นึกเสียดายความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาหรือครับ  ?
กูเสียดายชีวิตของกูมากกว่า
 
วิชาคงกระพันชาตรีหลวงพ่อสมภพได้รับการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์แปลก
ท่านอาจารย์แปลกได้รับการถ่ายทอดมาจากเสือเย็น ( ขาเดี้ยง ) จอมโจรชื่อดังในอดีต
ท่านให้จารึกยันต์กำแพงเจ็ดชั้นลงในแผ่นทองเหลืองหรือทองแดงเป็นตระกรุดโทนใช้คาดเอว
โดยให้เตรียมเอาปืนหรือดาบวางบนพานครูเตรียมไว้ทดสอบได้เลย เสกด้วยพระคาถาพระธรรมเจ้าสิบหกพระองค์  ( เสกในตัว )
 
ท่านยกตำราประสิทธิ์ประสาทให้ศิษย์เพียงคนเดียวของท่าน
( ถ้ามีโอกาสวันดีคืนดีผมจะคัดลอกออกมาเผยแพร่ให้คุณที่ชอบเรื่องแบบนี้อ่าน )
ศิษย์ที่ได้รับมอบไว้เคยทำให้กับหลานชายคาดเอาไว้
และเคยถูกกลุ่มอันธพาลรุมตีด้วยไม้แทงด้วยมีดดาบขนาดยาวเป็นศอกถูกยิงด้วยปืน แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
กลุ่มคนร้ายตื่นตกใจแตกหนีไป
เขาเพิ่มข้อห้ามเข้าอีกหนึ่งข้อ
“  ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่า ข้าเป็นคนทำให้เอ็งเดี๋ยวมันจะมาลองทดสอบข้าแบบหลวงพ่อสมภพ ”


ที่มา
http://www.saksitsart.com/index.php?mo=3&art=406708

1018
ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต

            เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย  ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,
วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง  และอื่นๆอีกมากมาย

วิชาคงกระพันชาตรี 
         เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง  บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน
ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา  แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผลให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลมแทงสวนทวารอย่างเดียว


วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก 9 วิชา

วิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆ วิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี


วิชาปูนคาดคอ 
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว 
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำว่าน 
วิชานี้ใช้อาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำมันเดือด 
วิชานี้ใช้เสกอาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี  แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

วิชาเสกฝุ่นทาตัว
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี   ในบางทีเรียกว่า  “ หนุมารคลุกฝุ่น ”

วิชาสักยันต์
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเขียนยันต์ 
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ, เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาชาตรี คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม  วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่.......... 
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย  เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา  วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา  และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว   
เรียกว่า  “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม


วิชาแคล้วคลาด
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี  เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ  ไม่โดน  และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป  โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลังและลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย  วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย

วิชามหาอุด
วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ  “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย  วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด  ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด
เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า  เป็นต้น

วิชาแต่งคน
วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้ คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก  ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
 
“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย  มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชา ในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”

ที่มา
http://www.pu108.com/historymwnu/beginarticemenu.html

1019


   ไพฑูรย์ อินทศิลา จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เข้าสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ไว้ในวันที่ 5 ตุลาคม 2546 ขุนพันธรักษ์ราชเดช นับเป็นแบบอย่างตำรวจไทยที่น่ายกย่อง ข้อมูลต่าง ๆ จากนี้ เสมือนเป็นแผ่นหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการตำรวจไทย และเป็นทั้งข้อคติเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังตระหนักถึง"เสือ" อาชญากรแผ่นดินที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ท่านขุนฯ ได้พูดถึงเสือในยุคสมัยนั้นว่า เสือในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็อยากเป็นอยู่แล้ว เพราะนั่นย่อมหมายถึง ความยิ่งใหญ่ ความโหดร้าย และคำว่า"เสือ" กระตุ้นให้เกิดความระห่ำ ความกล้าใจพองโตและฮึกเหิม เสือพวกนี้จะมีอิทธิพล มีสมัครพรรคพวกมาก อีกทั้งในเวลานั้นการปราบปรามเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องไล่ล่าบุกป่าฝ่าดงแหวกคมหนามเข้าไปในถิ่นของมัน ยิ่งถ้าเสือตัวนั้นเป็นเสือทางภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลาง เพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลัง ติดตัว แต่ทางภาคกลางไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่ให้ความสำคัญกับจำนวนของสมัครพรรคพวก "เสือแต่ละรายมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมกว่าในปัจจุบัน แต่ถ้าจะว่าไปแล้วเสือในสมัยนั้นจะยึดถือและรักษาคำสัตย์

    ท่านขุนฯได้เปรียบเทียบเสือในแต่ละยุคสมัยไว้น่าคิด เมื่อสังคมเปลี่ยน จิตใจคนก็อาจเปลี่ยนตามได้เหมือนกัน การรักษาสัจจะนี้เองผลักดันให้เกิดการตกลงกันระหว่างฝ่ายเสือ กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเข้าร่วมปราบปรามเสือในก๊กอื่น ๆ เช่น ชุมเสือฝ้าย ได้มีการพูดคุย และส่วนหนึ่งก็ถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ให้ร่วมกันปราบปรามเสือ ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เสือชุมอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ท่านขุนฯ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเสือร้าย และเหตุการณ์เป็นช่วง ๆ อย่างในภาคใต้ เช่นเสือสังข์ เสืออะแวสะดอ ตาและ ส่วนเสือในภาคกลาง ก็ 4 เสือสุพรรณ อันประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ นั่นคือชื่อบรรดาเสือที่มีอำนาจ มีอิทธิพลอย่างมาก

    แต่การปราบเสือที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด คือการปราบขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ เจ้าพ่อแห่งขุนเขาบูโด จ.นราธิวาส ขุนโจรผู้นี้มีความโหดเหี้ยม และมีเป้าหมายที่น่ากลัวมาก โดยต้องการที่จะแบ่งแยกแผ่นดินอิสลามใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งที่ทำการปล้นตามหมู่บ้านจะจงใจเลือกเหยื่อที่เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เมื่อปล้นแล้วจะฆ่าเจ้าของบ้านตายด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมพิสดารทุกรายไป อย่างการจิกผมแล้วใช้"กริช" ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวมาทิ่มแทงที่คอจากนั้นจะกดกริชหมุนเอาเนื้อ หรือหลอดลมออกมา สิ่งที่ท่านขุนฯ ยอมรับขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ ก็เห็นจะเป็น ความที่มันมีของขลังอยู่จริง ท่านขุนฯ เคยยิงปะทะซึ่ง ๆ หน้ามาแล้ว แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ การติดตามปราบปรามเกิดปะทะกันอีกครั้ง หลังจากกระหน่ำกระสุนยิงแล้วไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ ท่านขุนฯ จึงวิ่งเข้าไปชกต่อยกันพัลวันร่วมครึ่งชั่วโมง จึงจับมันใส่กุญแจมือได้ และจากการตรวจสอบพบว่า กระสุนที่ยิงตามลำตัวไม่ถูกมันเลย ส่วนกระสุนที่ซัดเข้าที่ปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยที่ไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก ขุนโจรผู้นี้ยังคายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวน เห็นชัดว่า คาถาอาคมในยุคสมัยก่อนมีบทบาทมากที่ทำให้"เสือ" มีความกล้า และไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่
    
    วิชาอาคมนั้นมีมากมาย อย่างวิชามหายันต์ วิชาตรีนิสิงเห ไทยศาสตร์ขาว ผ่านพิธีเสกว่านกิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำ พิธีเสกน้ำมันงาดิบ พิธีแช่ยาแช่ว่าน คาถาอาคมนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่สร้างความฮึกเหิมให้กับ เสือแล้วยังมีเครื่องรางของขลังอีกหลายอย่าง เช่น พระประหนังอยุธยา แหวนพระรอด ตะกรุดโทน เป็นต้น หลังจากการคุมขังโจรผู้นี้แล้ว ไม่เกิน 10 วัน เหมือนมันรู้ว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย ไม่เพียงแต่ ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ ที่ต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการไล่ล่า

    ยังมี"เสือสังข์" เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการติดตามหลายเดือน อาวุธปืนก็ทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน พอมีจังหวะในการปะทะ ท่านขุนก็บุกใส่เปลี่ยนจากการยิงเป็นการเข้าแลกด้วยมือเปล่า หมัด เท้า เข่า ศอก รวมทั้งใช้ปากกัด เสือสังข์ตัวใหญ่มาก เสือสังข์กัดขุนพันธ์ไม่ยอมปล่อย ขุนพันธ์จึงใช้ง่ามหัวแม่เท้าขวาหนีบพวงสวรรค์เสือสังข์ และกดให้เสือสังข์ชิดติดกับพื้น มันชักมีดพร้าที่เหน็บอยู่ที่เอวมาเชือดคอ แต่คมมีดเอาขุนพันธ์ไม่อยู่ ในที่สุดเสือสังข์ก็สิ้นฤทธิ์และตายในที่สุด ท่านขุนฯ ยอมรับว่าการปราบเสือสังข์นั้นทำให้ท่านเกือบเอาตัวไม่รอด.

ที่มา อ่านทั้งหมด
http://www.jatukarm-ramatep.com/library/kunepan.html

1020

    บันทึกการสำรวจของพวกฝรั่งได้กล่าวถึงมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียทางใต้ถึงรอบอ่าวไทยเรียกว่าสามารัส หรือสยามัสมีนิสัยชอบสักหมึกดำตามแขนขา ลำตัว รบเก่ง การช่างเก่ง ทำกสิกรรม รักสันตินับถือพุทธ      ทีนี้เผ่าสยามัสนี่นิยมเอาหมึกจากกระดูกผีมาสักลงผิวคนครับ เป็นลวดลายติดถาวรต่าง ๆ ซึ่งฝรั่งยุคหลัง มานิยมเป็น Tatto มีสีสรรมากมายก็ช่างเขาเถอะ แต่สยามัส เอามาทำยำยีใส่คุณไสยให้อักขระลวดลายมีฤทธิ์ต่างๆได้ คือมีผีเฝ้าอักขระ   บ้างเพื่อการเสน่ห์เมตตามหานิยม บ้างเพื่อลาภยศเงินทองเพิ่มพูน  และสุด ๆไปเลยคือหนังเหนียวคงกระพันชาตรี

  คนหนังเหนียวมีร่ำลือกันมาในหมู่ทหารเสือสมัยกอบกู้กรุงแตกครั้งที่สองมีคนเหล่านี้อยู่ประมาณห้าสิบกว่าคนติดตามพระเจ้าตากลงมาตอนยังเป็นยกกระบัตร  ด้วยความเป็นนักล่องซุงด้วย คนเหล่านี้เก่งมากหนังเหนียว ทั้งเดินบนซุงซึ่งลอยน้ำไปหมุนกลิ้งไปได้อย่างยอดเยี่ยม (ไม่เชื่อท่านผู้อ่านไปเดินดูสักครั้งไม่ตกน้ำให้รู้ไป)  กลุ่มนี้ล่ะครับเป็นกลุ่มบุกเบิกคุ้มกันพระเจ้าตากในการฝ่าพม่าออกไปสู่จันทบุรี  และเป็นกองหน้าหัวหมู่ทะลวงฟัน ทำสงครามกองโจรก่อกวนหรือปล้นสดมภ์พม่าอย่างได้ผลมาตลอดทุกครั้ง   


เล่ากันว่าย้อนขึ้นไปในสมัยพระนารายณ์มหาราช   ได้เคยจัดทหารหนังเหนียว 16คน ไปกับคณะทูตโกษา(ปาน)  ได้แสดงหนังเหนียวต่อหน้าพระเจ้าหลุยส์ 14มาแล้ว โดยยืนหน้ากระดานให้ทหารฝรั่งเศส 500 ยิงปืนเข้าใส่ปรากฎว่ายิงไม่เข้า...ประวัติศาสตร์เขาเล่ากันอีกว่าระหว่างขาไปปารีส   คณะเรือของท่านทูต  ถูกกระแสน้ำพัดเข้าวังน้ำวน "เบอร์มิวด้า" (ซึ่งเรือฝรั่งเท่าที่บันทึกมา   ถูกดูดจมเกือบไปทุกลำ) แต่เรือคณะทูตสยามมีพระอาจารย์ที่ไปด้วย แกร่ายเวทย์ทวนวังน้ำวนกลับออกมาได้ครับ  จริงไม่จริง ก็สุดแล้วแต่

............ทหารฝรั่งเศสลองของทหารไทย.....

เรื่องนี้อ่านมาจากพงศาวดารฉบับราชหัถเลขา เห็นน่าสนใจจำนำมาเล่าสู่กันฟัง


  ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระราชสัมพันธ์ไมตรีอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก โดยมีการส่งคณะฑูตไปมาหาสู่กันหลายคณะ
 
ทูตคนแรกของฝรั่งเศสที่มาไทยคือ เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ และราชฑูตไทยคือ โกษา ปาน


แต่ในสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศต่างมีความใน กล่าวคือ ไทยต้องการคานอำนาจของ ฮอลันดา ที่กำลังเข้ามาแผ่อำนาจล่าอณานิคมเข้ามาใกล้จนเป็นภัยคุกคาม ส่วนทางฝรั่งเศสเองพระเจ้าหลุยส์ที่14 ต้องการที่จะเปลี่ยนศาสนาของสมเด็จพระนารายณ์ ถ้าเปลี่ยนได้ก็จะเป็นการกระเดื่องพระเกียรติยศของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14นั้นเอง
  นี้แหละครับการเมือง.........................



  ในพงศาวดารมีเรื่องเล่าน่าสนุกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการไปเยือนของกลุ่มราชทูตไทยว่า
  ชาวฝรั่งเศสเคยได้ยินว่าคนไทยอยู่ยงคงกระพัน ฟัน แทง ยิง ไม่เข้า จึงขอ "ลองของ" แล้วกลุ่มราชทูตไทยก็จัดให้
   ในวันลองของ ต่อหน้าคณะผู้ปกครอง หลังจากทำการบวงสรวงตั่งศาลเพียงตาของคนไทย ทางฝรั่งเศสได้ให้กลุ่มผู้ติดตามราชทูตโกษา ปาน นั่งกลางพิธี แล้วทหารฝรั่งเศสยืนเรียงหน้ากระดานหลายสิบนาย แต่ละคนอยู่ในท่าเตรียมยิงปืน เลงไปที่ทหารไทยกล่มนั้น พอได้สัญญาณ จึงยิงออกไปคนละหนึ่งนัด เรื่องน่าแปลกก็คือ ปืนด้านทุกกระบอก จากนั้นทหารฝรังเศสจึงขอลองอีก โดยยิงออกไปอีกคนละหนึ่งนัด ครั้งนี้ยิงออก แต่ลูกปืนที่ยิงออกไปนั้นตกแค่ตีนเสื่อที่กลุ่มคณะทูตไทยนั่งเท่านั้น
  เท่ห์มั้ยล่ะ เรื่องนี้ฝรังเขาบันทึกเอาไว้ คนไทยไม่ได้เขียนเองนะ

คุณเชื่อหรือไม่  มีเรื่องจริงที่คุณไม่ยากจะเชื่ออีกมากมาย
ด้วยความเคารพคนอ่าน

ขอขอบคุณ...วาทิน ศานติ์ สันติ

ขอขอบคุณ...http://atcloud.com/stories/72570

ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14655

1021
วิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด
                           
     เมื่อวานนี้เองเพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งที่เป็นชาวอิตาเลี่ยนชน  เป็นผู้ชายครับแต่ท่านนับถือศาสนาพุทธแถมพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำมากได้โทรศัพท์ตามผู้เขียนให้ออกมานั่งดื่มน้ำชาเพื่อขอปรึกษาเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง  ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร???  เลยจำต้องเออออห่อหมกออกจากบ้านมาตอนสายๆพอเจอกันที่ร้านน้ำชาเล็กๆร้านหนึ่งในตัวเมืองสงขลาก็พูดคุยกันสักครู่พอที่จะจับใจความได้ว่า คุณเพื่อนของผมท่านนี้ต้องการที่จะทราบถึงเรื่อง ?คาถาวิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด? เพราะเขา(เพื่อนชาวอิตาเลี่ยนชนของผม)ไปสืบทราบมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ว่าผมเคยสะสมตำราในแนวนี้ไว้  คุยกันไปคุยกันมานี่ผมถามกลับไปประโยคหนึ่งว่า ?คุณเชื่อเหรอ เรื่องคาถาจำพวกนี้????  เขาก็มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดตอบกลับมาว่า ?ก็เชื่อ เพราะเคยเจอเข้ากับตัวเอง?  ผมเองก็ไม่ได้ถามกลับไปว่าท่านเจอมา

     อย่างไรบ้างและต้องการเอาเรื่องเหล่านี้ไปทำอะไร แต่ก็เพียงบอกเอาไว้ว่าขอเวลาสัก 2-3 วันแล้วจะไปหาข้อมูลมาให้  อีก 3 วันต่อมาผมจึงนำตำราเก่าๆที่ได้เก็บเอาไว้ในตู้เก็บหนังสือมาให้กับคุณเพื่อนท่านดังกล่าว   ครับ.......ตำราที่ผมนำมาให้นี่เป็นตำราอันเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด(เรื่องนี้สุดแต่ใครจะเชื่อกันนะครับ)  แต่.......ไหนๆก็สู้อุตส่ารื้อค้นหาจนเจอแล้วก็ขอแอบเอามาอ่านเสียหน่อยครับ  ตำรา(เก่าๆ)เล่มที่ผมถืออยู่ในมือนี้เป็นตำราที่เขียนลงบนกระดาษสีเหลืองๆน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปีล่วงเลยผ่านมาแล้ว ในตำราก็เล่าเอาไว้เกี่ยวกับผู้ทรงวิทยาคมท่านต่างๆในยุคดังกล่าว อาทิ หลวงพ่อทอง แห่งวัดคลองแห  และหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์)แห่งวัดโคกสมานคุณ และวัดคลองเรียน เป็นต้น

     พลิกตำรับตำราเล่ม(ดังกล่าว)ดูแล้วแลเห็นอยู่หน้าหนึ่งที่บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องของ ?คาถาคงกระพันชาตรี?  เลยขออ่านเสียหน่อย(เอาไว้ประดับความรู้  ส่วนเรื่องจะเชื่อหรือไม่นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ) ในตำรา(เล่มดังกล่าวอธิบายเอาไว้ว่า เรื่องคาถาพวกนี้มีอยู่จริง  โดยวิชาคาถาที่เป็นที่นิยมกันนี่ก็มีคาถาสายหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์)ที่ต้องท่องคำว่า ?อุทธัง อัทโธ โธอุทธังอัด? เอาไว้ในใจ พร้อมทั้งต้องตั้งจิตให้มั่นคงแล้วจะสามารถทานทนต่อศาสตราวุธร้ายชนิดต่างๆได้  ส่วนอีกหน้าหนึ่งของตำราก็บอกเล่าและบันทึกถึงคาถาคงกระพันชาตรีของทางพระป่าสายเหนือเอาไว้ว่าด้วยความเชื่อในคาถาสาย ?พญาคางคก? ว่าคาถาสายพญาคางคกนี้เป็นคาถาที่เชื่อกันว่าถ้าผู้ใดนำมาใช้จะสามารถทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกแขนงได้เช่นเดียวกันกับของสายหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์) ดังมีความเชื่อในเรื่องของคาถาพญาคางคกร่วมกันดังนี้คือ ให้ท่องคำว่า ?อิติคกคก  คกคกอิติ  อิติคกคก  นะมะพะทะ  ดะฮึม  ดะฮัม  ดะฮึม  นะอะฮึม?  ภาวนาคาถาไว้ในลำคอทุกเช้า- ค่ำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 บทในเวลากิน- ทานอาหาร โดยเมื่อเสกคาถาเสร็จ 1 จบครั้งจะต้องปั้นข้าวสวยเข้าปาก 1 ก้อน เชื่อกันว่าถ้าทำแล้วนี่ผู้ที่เสกข้าวเข้าปากจะมีความคงกระพันชาตรีติดตัวตน เป็นต้น 

    อ่านมาจนถึงหน้านี้แล้วก็ปรากฏว่าคุณเพื่อน(ท่านดังกล่าว)ขับรถมาถึงหน้าบ้านพอดี ผมจึงนำตำราไปมอบให้(ให้ยืม)ดูท่าทางว่าท่านจะดีใจมาก  เขียนมาจนถึงตรงนี้ก็ต้องขอบอกกล่าวกันล่ะครับว่า ?ความเชื่อส่วนบุคคล? นี่เราไม่สามารถที่จะไปห้ามได้ครับ คุณจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเหอะถ้าความเชื่อดังกล่าว(ที่คุณเชื่อ)นั้นมันไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อนและมันทำให้คุณมีความสุข  คนแถบบ้าน

ผู้เขียนก็เหมือนกันครับก่อนจะถึงวันต้นเดือนและกลางเดือนนี่ดูว่าพวกเขามีความสุขกันเสียเหลือเกินครับ  แต่.......พอหลังจากนั้นแล้วแต่ละคนก็ดูมีความทุกข์และความเซ็งอยู่เต็มถ้วนหน้าเช่นกัน  ส่วนจะเรื่องอะไรนะหรือก็เรื่องของชมรมคนรักตัวเลขล่ะครับ ตัวเลขเหล่านี้มันทำให้คนเรามีทั้งความสุขและความทุกข์(ได้เช่นเดียวกัน) นับจากวันที่ผู้เขียนให้คุณเพื่อน(ท่านดังกล่าว)ยืมตำราไปก็ปรากฏว่าท่านได้นำตำรามาส่งคืนให้ พร้อมกับความเชื่อมั่นในหน้าที่การงานที่ได้กระทำยิ่งๆขึ้นไปอีก  ก็ดีครับเอาความเชื่อดังกล่าวที่ได้รับนำมาแปรเปลี่ยนเป็นกำลัง และใจในการทำงาน ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น(แบบนี้ผมสนับสนุนครับ) ส่วนเรื่องที่จะเอาคาถา(ดังกล่าวมาข้างต้น)ไปลองเล่นอะไรแผลงๆ หรือทดสอบซึ่ง ?ความขลังความศักดิ์สิทธิ์? นี่ผมไม่ขอสนับสนุนครับ เพราะไม่มีใครหรอกครับจะรับประกันว่า ?มันได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์?.........หรือใครจะลองก็แล้วแต่ความเชื่อครับ?????


คุณาพร/30/3/2550/ www.siamsouth.com
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=2202.0

1022
suriyan said...

    การอยู่คงกระพันชาตรีตามที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนต์ทำให้เป็นไป แต่ยังมีสิ่งที่อยู่คงได้โดยไม่ต้องใช้คาถา เราเรียกของจำพวกนี้ว่า"ทนสิทธิ์"ได้แก่พวกคต แร่ เขี้ยว งา และว่านยาทั้งปวง ที่มีคุณสมบัติทำให้อยู่คงได้ ซึ่งการอยู่คงนี้มีหลายประการนัก นอกจากที่กว่าวมาแล้วท่านยังจำแนกการอยู่คงไว้ดังนี้ "บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพรว่าน
บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา
บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา
บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน
บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์
บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน
บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพรชนิล
ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนศาสตรา"

    การอยู่คงด้วยว่านและยานั้น เฉพาะพวกที่อยู่คงด้วยยานั้น ก็ได้แก่พรรณไม้ที่เป็นเครื่องยาต่างๆ บางทีก็ใช้รากยานั้นมาเสกเช่น รากหางนกกระลิง รากตำเลีย รากกระเช้าผีมด รากพระยายา รากมะตูมหรือเช่นบรเพ็ด ไพร ขมิ้น เหล่านี้เอามาเสกเข้าแล้วจึงกินไป ทำให้เนื้อหนังอยู่คง ส่วนคาถาที่เสกนั้นก็ให้ไช้ตามบทคาถาที่วางไว้ในคำภีร์ต่างๆ ว่าไว้ดังนี้

เสกไพร
"อะระหังคารัง เพชคังคารัง อะระหังจังเหล็ก
เพชคังจังเหล็ก อะระหังตรีเพชชคงคง"


เสกขมิ้น
"กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถ พุทธังคงทรหด ตใจหนัง ธัมมังคงทรหดมังสังเนื้อ สังฆังคงทรหดอัตถิกระดูก อิสวาสุคงคง ตรีเพชชคงคง"


เสกบอระเพ็ด
"นะอิเพชชคงอรหังสุคโตภควา
โมติพุทธะสังเพชชคงอรหังสุคโตภควา
พุทปิอิสวาสุเพชชคงอรหังสุคโตภควา
ธาโสมะอะอุเพชชคงอรหังสุคโตภควา
ยะภะอุอะมะเพชชคงอรหังสุคโตภควา "


อ้างอิงจาก ตำราพระเวทพิสดาร ภาค 2
โดย อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร

ที่มา
http://siamyuth.blogspot.com/2007/03/blog-post_1958.html

1023
คงกระพันชาตรี ๖ ประเภท

.....ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้เขียนไว้ในหนังสือ วิชาคงกระพันชาตรีว่า วิชาไสยศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์พ้น อันตรายจากอาวุธนั้นแบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ

วิชาคงกระพัน

.....เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น

...............๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน
...............๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก
...............๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น

.....การเรียกประกายเหล็กเข้าตัวนี้มีกรรมวิธีที่พิศดารมาก คือ ให้นำเหล็ก ที่มีประกายเวลากระเทาะหินมานั่งับไว้ตรงรูทวารหนัก หลังจากนั้นจึงบริกรรม คาถาเรียกประกายเหล็กเข้าตัวทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปให้นำเหล็กกระเทาะหินดู หากหินนั้นมีประกายอยู่ให้บริกรรมต่อไป หากหินนั้นหมดประกายแล้วก็แสดงว่า ประกายเหล็กถูกเรียกเข้าตัวหมดแล้ว

วิชาชาตรี

.....เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้


วิชาแคล้วคลาด

.....เป็นวิชาที่ทำให้อันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นหลีกเลี่ยงไป และแม้จะถูกทำร้ายซึ่งหน้าก็ดี อาวุธนั้นก็จะมีเหตุให้บังเอิญพลาดเป้าไป มีทั้งการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด และคาถาอาคม วิชานี้รวมถึง วิชาพรหม 4 หน้า ที่นักมวยคาดเชือกใช้บริกรรมเพื่อให้คู่ต่อสู้ชกไม่ถูกเพราะเห็นเป็นหลายหน้าด้วย

วิชามหาอุด

.....เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย

วิชาแต่งคน

.....วิชานี้แม่ทัพนายกองในสมัยโบราณใช้คุ้มกันทหารในกองทัพ มักนิยมเสกน้ำมัน ใช้ปูนป้ายลูกกระเดือก หรือเสกหมากให้กินก็ได้

วิชาล่องหนหายตัว

.....วิชานี้กล่าวว่าเมื่อผู้ฝึกถึงขั้นจะสามารถ กำบังตนและพาหนะไม่ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้

*ซึ่งยังมีวิชาปลีกย่อยอีกมากมายในตำราพิชัยสงครามที่อาจจัดเข้าหมวดหมู่ที่จัดไว้หรือแยกไปตากหาก เช่น สมานแผล เป็นต้น


Posted by terapak at 3:37 AM
ที่มา
http://siamyuth.blogspot.com/2007/03/blog-post_1958.html

1024
สืบเนื่องจากกระทู้เก่า หัวข้อ คงกระพันชาตรี โดยคุณsad(เบสท์)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=993.msg5063
มีข้อมูลอยู่อ่านแล้วน่าสนใจใคร่ศึกษาขยายความ
และจากข้อมูลของเวปบางพระฯ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมายถึง 9 หน้า
จะพยายามลองรวบรวมข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหลายเท่าที่จะทำได้

คงกระพันนั้นสามารถทำได้หลายด้านเช่น เสกปูนคาดคอด้วย อิติมัตติยา มัตติภะเว ของหลวงปู่ศุข หรือ อุนุยัง เสกแล้วป้ายคอถ้าทำด้วยใจเชื่อแล้วก็จิตนิ่งไม่เข้าแนนอน  ต่อมาเป็นการเสกของกินหรือที่เรียกว่า อาพัด เช่นหมาก เหล้า ข้าวเป็นต้นเช่น เสกหมากกินใช้หัวใจ นิพพานจักกรีว่า อิ สะ วิ ระ มะ สา พุ เท วาเป็นต้น เสกเหล้าด้วยคาถา4เกลอว่า กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถนอกจากจะเหนียวแล้วถ้าเสกแค่3ประโยคแรกจะเมาช้า ถ้าเสก4 แถวแล้ววางไว้ให้คนอื่นในวงกินเป็นอันตีกัน ส่วนเสกข้าวใช้หัวใจปฏิสังขาโยว่า จิ ปิ เส คิครับผม แล้วเดี่ยววันอื่นเอาวิธีอื่นมาลงอีกนะครับผม


1025
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 6/6
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

     ความสงบของจิตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของจิตไป ความรู้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของจิตไป ส่วนความรู้สึกในความตั้งใจ จิตจะรู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ตรงที่กำหนดรู้อารมณ์จิตในขณะนี้ แล้วเมื่อเรากำหนดรู้อารมณ์จิตในขณะนี้ จิตของเราก็จะมีความสัมพันธ์กับอารมณ์จิตเอง เมื่อมีอารมณ์สัมพันธ์กับจิต จิตมีอารมณ์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้อยู่ อารมณ์กับจิตไม่พรากจากกัน เราจะกำหนดก็ตาม ไม่กำหนดก็ตาม เราก็รู้อารมณ์จิตของเราอยู่อย่างนั้น นั่นแสดงว่าจิตได้วิตก มีสติรู้อยู่ได้วิจาร ถ้าเกิดมีปีติ สุข เอกคักตาก็ได้ปีติ สุข เอกคักตา ถ้าจิตเสวยวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคักตาอยู่เป็นเวลานานๆ ก็ได้ปฐมฌาน คือ ฌานที่ 1 อันนี้เป็นวิธีการนั่งสมาธิ ปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง

    ทีนี้ปฏิบัติสมาธิในท่าเดินเรียกว่าเดินจงกรม ก็กำหนดอารมณ์อย่างเดียวกับการนั่ง ปฏิบัติสมาธิในท่าเดินเรียกว่าเดินสมาธิ ปฏิบัติสมาธิในท่ายืนเรียกว่ายืนสมาธิ กำหนดอารมณ์อย่างเดียวกัน เวลานอน นอนสีหไสยาสน์ นอนตะแคงข้างขวา เอาเท้าซ้ายเหลื่อมเท้าขวานิดหน่อย วางมือแนบกับใบหน้า จะพนมมือก็ได้

--จบ--
ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1026
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 5
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

     ดังนั้นมนุษย์จึงมีการสร้างแก้ไข เปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของตนเอง สุดแล้วแต่ความสามารถสติปัญญาของผู้ใดจะสามารถทำได้ แม้เราไม่ได้คำนึงถึงการที่จะสร้างวัตถุ แต่เรามาสร้างพลังจิตพลังใจของเราให้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวันปรับปรุงชีวิตของเราให้เป็นอยู่ได้สบายในสังคม ก็เป็นการเพียงพอสำหรับการปฏิบัติธรรม

   ดังนั้นการทำสมาธินี้จึงเป็นอุบายวิธีอันหนึ่งเพื่อสร้างพลังดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เพื่อสร้างจิต สร้างใจ สร้างชีวิตของเราให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เราจะได้สามารถทำธุรกิจการงานต่างๆ ด้วยความมั่นใจ ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นการสร้างสรรชีวิตของตนเองและสังคม ให้มีความเจริญมั่นคงสืบไป

    ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฝึกฝนอบรมเอาให้ได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ต้องอาศัยสมาธิทั้งนั้นแหละ พวกทำสมาธิส่วนใหญ่ก็มุ่งสู่พระนิพพาน แต่เมื่อเรายังไม่ถึงพระนิพพาน เราก็ต้องหาเอาประโยชน์ในระหว่างทางให้ได้ ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงพึงกำหนดจิตรู้ ลมหายใจออก หายใจเข้า กำหนดรู้อยู่เฉยๆ ในช่วงที่ท่านกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ ถ้าหากมีอาการเคลิ้มๆ เหมือนกับง่วงนอน ก็ให้มีสติกำหนดรู้อยู่เฉยๆ หากมีการรู้สึกอึดอัดหรือหนักหน่วงตรงต้นคอ หรือเวียนศรีษะ ก็กำหนดรู้อยู่เฉยๆ กำหนดรู้ลมหายใจไว้เป็นหลัก ถ้าหากว่าจิตปล่อยวางลมหายใจ จิตมีอาการเคลิ้มวูบวาบลงไป ถ้าไปคิดสิ่งอื่นขึ้นมา ก็ควรปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ไปทุกขณะที่จิตมีความคิด ให้ปฏิบัติสลับกันไปอย่างนี้ พยายามทำให้มากๆ อบรมให้มากๆ ในขณะที่ปฏิบัติอยู่ อย่าไปบังคับจิตให้สงบ หน้าที่ของเรากำหนดรู้ลมหายใจและอารมณ์ภาวนาอยู่เท่านั้น เมื่อใดจิตจะสงบก็อย่าไปคิด เมื่อใดจะรู้จะเห็นก็อย่าคิด ให้รู้อยู่ที่สิ่งรู้ในปัจจุบันเท่านั้น



ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1027
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 4
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

      ที่เรามาฝึกหัดสมาธิ เพียงแค่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เมื่อเรามีสติปัญญาเกิดขึ้น เราจะรู้ว่าลมหายใจนี้มันก็เปลี่ยนแปลงมีออกมีเข้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด เราก็รู้แต่ว่าลมหายใจมันเปลี่ยนจากหยาบเป็นละเอียด ละเอียดเป็นหยาบ แต่ในบางครั้งเมื่อจิตสงบเป็นสมาธิอย่างลึกซึ้งถึงขนาดกายหายไป ลมหายใจมันก็หายไปด้วยเพราะลมหายใจมันเป็นส่วนกายก็ยังเหลือแต่จิตสงบ นิ่ง เด่นรู้ สว่างอยู่

     ใครภาวนาแบบไหนอย่างไรพอจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วก็นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ใครทำก็ได้ ถ้าทำจริง ไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธผู้นับถือ พระพุทธศาสนา คนในศาสนาอื่นทำก็ได้ คนไม่มีศาสนาทำก็ได้ ในเมื่อทำลงไปแล้ว จิต สงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ใครจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่จะสมมติบัญญัติ รู้เป็นธรรมชาติของจิต จิตเป็นธาตุรู้ จิตมีสภาวะรู้สึก รู้นึก รู้คิด แต่ถ้าขาดสติสัมปชัญญะจะไม่รู้จักดี จักชั่ว ไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก เพราะสติสัมปชัญญะของเรายังอ่อน เราจึงมาฝึกสมาธิเพื่อให้สติเพิ่มพลังเข้มแข็งขึ้น จะได้กำหนดรู้สิ่งต่างๆ ให้รู้จริงตามกฎของธรรมชาติ

   ทีนี้กฎธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ที่มันเกี่ยวข้องกับเรา เมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขา สิ่งที่เราถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขานั้น เมื่อหากว่าสิ่งนั้นเป็นไปในทางที่เราไม่พอใจ เราก็เกิดทุกข์เพราะเราเอาความรู้สึกของเราไปขัดอยู่กับความเป็นไปของกฎธรรมชาติ

    ดังนั้น นักปราชญ์ไม่ว่าในลัทธิและศาสนาใดๆ จึงสอนให้ทุกคนให้เรียนรู้กฎของธรรมชาติ เผื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงธรรมชาติบางอย่างซึ่งพอที่จะเป็นไปได้ให้อยู่ในสภาพที่เป็นไปตามความต้องการของเรา เครื่องยนต์ เครื่องกลทั้งหลายต่างๆ วัตถุดั้งเดิมเขาเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในดิน ในน้ำ แต่ผู้ฉลาดไปค้นคว้าคิดเอามาสร้างนู่นสร้างนี่ สร้างรถยนต์ สร้างเครื่องบิน สร้างจรวด สร้างปรมาณู นิวเคลียร์ เอามาเป็นพลังงานสำหรับเป็นเครื่องปฏิกรต่อชีวิตหรือทำลายซึ่งกันและกัน

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ดั้งเดิมวัตถุมาจากธรรมชาติ แต่ผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว ก็สามารถเอามาดัดแปลงแต่งเป็นโน่นเป็นนี่ให้ใช้ในประโยชน์แก่ชีวิตของเราได้ ทีนี้ธรรมะอันเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นรูปธรรม นามธรรม เราก็สามารถที่จะฝึกฝนอบรมสร้างสมรรถภาพให้เข้มแข็ง มีพลังทางสติปัญญาเพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน เป็นการดัดแปลงธรรมชาติเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อันนี้เป็นวิสัยของมนุษย์จะต้องเป็นไปอย่างนั้น มนุษย์จะปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามบุญตามกรรมเหมือนอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้น มันก็ย่อมไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1028
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 3
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เราเรียนให้รู้ธรรมชาติของตนเอง ธรรมชาติของร่างกายต้องมีการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดและคิด ธรรมชาติของจิตก็เป็นผู้มีหน้าที่คอยบังคับบัญชาสั่งให้ร่างกายทำอะไร และเป็นผู้รับผิดชอบในกิจการทั้งปวงเพราะตนเองเป็นนาย ตนเองเป็นผู้สั่งการ สั่งการลงไปแล้วย่อมมีการรับผิดชอบจึงจะสมศักดิ์ศรีของผู้เป็นนาย

     ดังนั้นในตัวของเรานี้ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว การปฏิบัติธรรมจึงอาศัยกายกับจิตทั้ง 2 อย่างเป็นของคู่กัน เป็นหลักของการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นวิธีการทั้งหลายนั้น เป็นแต่เพียงวิธีการสำหรับประกอบการปฏิบัติ แต่แท้ที่จริงสมาธิ สมาธิเป็นกิริยาของจิต
ในขณะนี้เรามานั่งกำหนดรู้ลมหายใจ เรามาเรียนรู้ธรรมชาติของลมหายใจ แต่เรารู้อยู่ เราก็จะรู้ว่าธรรมชาติของกายย่อมมีการหายใจอยู่เป็นปกติขาดไม่ได้ เมื่อเรามีสติกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจยาวเราก็จะรู้ ลมหายใจสั้นเราก็จะรู้ ลมหายใจหยาบเรารู้ ลมหายใจละเอียดเรารู้ เอารู้ตัวเดียวเท่านั้น รู้นี่เป็นกิริยาของจิต ทุกคนมีจิตรู้กันทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่มนุษย์ สัตว์ก็มีจิตรู้ ทีนี้รู้ตัวนี้ไม่ได้สังกัดในลัทธิและศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น

   ดังนั้นที่เรามาเรียนรู้ธรรมชาตินี้ เพื่อจะให้รู้ความจริงของกฎธรรมชาติ เมื่อรู้ความจริงของธรรมชาติแล้ว ก็ควรจะรู้ความจริงของกฎธรรมชาติด้วย กฎของธรรมชาติทั้งหลายนั้น ธรรมชาติอันนี้เป็นกายกับใจ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ ซึ่งเรียกว่าจักรวาลทั้งสิ้นนี่แหละเรียกว่าธรรมชาติ ทีนี้กฎของธรรมชาติก็คือการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ ตั้งแต่อนูปรมาณูจนกระทั่งมวลสารที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่โต เขาย่อมตกอยู่ในกฎของธรรมชาติคือมีความเปลี่ยนแปลง มีปรากฏการณ์ขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดย่อมสลายตัว อันนี้เป็นหลักภาษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสาธารณะทั่วไป ส่วนบทบัญญัติของภาษาอินเดีย ความเปลี่ยนแปลง เขาเรียกว่า อนิจจัง ความทนไม่ได้อยู่ตลอดกาลเขาเรียกว่าทุกขัง ความสลายตัว เขาเรียกว่า อนัตตา ภาษาไทยว่าไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล ไม่เป็นตัวของตัว อันนี้เป็นคำสมมติบัญญัติเท่านั้น แต่แล้วโลกทั้งโลกนี้ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายตัว เกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายตัว อันนี้ภาษาโลกที่เขานิยมใช้กันโดยทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาในหลักวิทยาศาสตร์เขาใช้กัน แต่พวกอินเดีย เขาใช้คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไทยเรียกว่าเปลี่ยนแปลง ยักย้าย ทนอยู่กับที่ไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวคือสลายตัวอยู่ตลอดเวลา

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1029
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 2
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

     การกำหนดรู้ลมหายใจเป็นหลักสาธารณะทั่วไป และการปฏิบัติสมาธิก็เป็นหลักสาธารณะทั่วไป ไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการฝึกสมาธินี้เราจะมาฝึกจิตของเราให้สามารถกำหนดรู้ธรรมชาติ การปฏิบัติธรรมหรือการเรียนธรรมก็คือเรียนให้รู้ธรรมชาติ วิชาการที่เราเรียนกันมาในศาสตร์ใดๆ ก็ตาม เป็นการเรียนรู้ธรรมชาติและกฎธรรมชาติทั้งนั้น การฝึกสมาธิไม่เฉพาะแต่เราจะมานั่งขัดสมาธิ หลับตากำหนดรู้ลมหายใจเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเรามีสติรู้อยู่กับเรื่องชีวิตประจำวันทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ก็ชื่อว่าเป็นการฝึกสมาธิทั้งนั้น

     แต่เพื่อจะให้มีวิธีการเข้มข้นเข้าไปหน่อย เราจึงมาฝึกกันแบบมีพิธีรีตองอย่างที่เรามาฝึกกันอยู่เวลานี้ นอกจากเราจะมากำหนดรู้ลมหายใจแล้ว เราอาจจะนึกพุทพร้อมลมเข้า โธพร้อมลมออกก็ได้ หรือเราจะท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอก็ได้ หรือเราจะกำหนดรู้จิต คอยจ้องดูจิตของเรา เมื่อความคิดอะไรเกิดขึ้นให้มีสติกำหนดตามรู้ไปก็ได้ เป็นวิธีการฝึกสมาธิทั้งนั้น การฝึกสมาธิดังที่กล่าวมานี้ เราสามารถจะทำได้ทั้งในท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน ใช้อารมณ์อย่างเดียวกันเพราะสมาธิเป็นกิริยาของจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นกิริยาของจิต ไม่ใช่การยืน เดิน นั่ง นอน แต่การยืน เดิน นั่ง นอนเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการบริหารร่างกาย ว่าอย่างง่ายๆ ก็คือการออกกำลังกายนั้นเอง เพราะถ้าเรานั่งมากมันก็เมื่อยทรมานร่างกาย ต้องเปลี่ยนไปเดิน เดินมากทรมานก็เปลี่ยนเป็นยืน ยืนมากทรมานเปลี่ยนเป็นนอน เปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความคล่องกาย ในเมื่อกายของเราคล่อง แคล่วว่องไว จิตของเราก็คล่องแคล่วว่องไวขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นยืน เดิน นั่ง นอนจึงเป็นท่าประกอบเท่านั้น

     แต่สมาธิที่แน่ๆ ก็คือกิริยาของจิต ดังนั้นเราจะปฏิบัติสมาธิในท่าไหนได้ทั้งนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เพียงแค่มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ ในขณะที่เราทำอะไรอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เราทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นการเรียนให้รู้ธรรมชาติ ธรรมชาติของร่างกายย่อมมีการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด นักปราชญ์ไม่ว่าในศาสนาใดๆ ท่านสอนมนุษย์ให้รู้จักความเป็นของตัวเองในเบื้องต้น ในเมื่อรู้จักความเป็น รู้จักธรรมชาติของตนเองได้ถ่องแท้แน่นอน การที่จะไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกตัวเองนั้น จึงเป็นของไม่ยากนัก


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1030
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

     การนั่งสมาธิ เรียกว่าวิธีนั่งสมาธิ ให้นั่งเอาขาขวาทับขาซ้ายขัดสมาธิ เอามือซ้ายวางลงที่ตัก เอามือขวาวางทับ ให้หัวแม่มือจรดกันเบาๆ อย่าให้กด ตั้งกายให้ตรง คือนั่งให้รู้สึกว่ากายตรงให้เป็นที่สบาย อย่าเกร็งกล้ามเนื้อหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย นั่งพอพยุงกายให้ตรงอยู่ อย่าให้เอียงซ้าย เอียงขวา อย่าก้มนัก อย่าเงยนัก ลองนั่งให้ตรง สง่าผ่าเผยเหมือนพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ อันนี้เป็นวิธีนั่ง ต่อไปเป็นวิธีกำหนดจิตคือทำความรู้สึกที่จิตของตนเอง ความรู้สึกอยู่ที่ตรงไหน จิตของเราก็อยู่ที่ตรงนั้น เพื่อจะให้จิตมีฐานที่ตั้ง ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จะนึกพุทพร้อมลมเข้า โธพร้อมลมออกก็ได้ หรือใครจะไม่นึกอะไร เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจซึ่งออกเข้าอยู่โดยธรรมชาติของการหายใจก็ได้ อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเรียนให้รู้ธรรมชาติของร่างกาย

        ทำไมลมหายใจจึงชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกาย เพราะเหตุว่า เราจะตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตาม กายของเราก็หายใจอยู่โดยธรรมชาติ เพียงแต่เรากำหนดรู้ลมหายใจเฉยๆ อยู่ อย่าบังคับจิตให้สงบ แต่ประคองจิตให้รู้อยู่ที่ลมหายใจตลอดเวลา จิตของเราจะเป็นอย่างไร เราไม่คำนึงถึง คำนึงแต่ว่าจะรู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หายใจสั้นรู้ หายใจยาวรู้ เพียงแต่เอารู้ตัวเดียวกำหนดรู้อยู่ที่ตรงนี้

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

1031
คาถาอาคม / ตอบ: การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 01:36:07 »

     แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้น เวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว
เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งในจุลราชปริตร (สวด ๗ ตำนาน) และมหาราชปริตร (สวด ๑๒ ตำนาน) อยู่แล้ว

     การสวดภาณยักษ์นั้น ถือกันว่าเป็น “พุทธโอสถ” ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าอัปมงคลออกไปจากร่างกาย ทำนองเดียวกับการทำบุญสวดบ้านเมื่อมีเรื่องร้าย แต่ต่างกันที่สวดภาณยักษ์ เป็นการชักชวนคนจำนวนมากมาร่วมทำในพิธีคราวเดียวกัน

โดยเมื่อเริ่มพิธีกรรม จะมีพระสงฆ์ที่ยกย่องกันว่าเชี่ยวชาญเชิงอาคมและขมังเวทย์จำนวนสี่รูป นั่งบนอาสนะประจำทิศทั้งสี่ อีกสี่รูป รวมกันอยู่ด้านหน้าพิธี ท่องบทสวดและผสมเสียงใส่กัน ฟังคล้ายเสียงประกอบหนังสยองขวัญ ลี้ลับดุดันน่าขนลุก และออกจะน่ากลัวสำหรับคนจิตอ่อน

 
     หลังการสวดดำเนินไปสักพักก็ถึงช่วงสำคัญ พระสงฆ์ที่นั่งประจำทิศทั้งสี่เริ่มประพรมน้ำมนต์ ผู้ร่วมพิธีบางคน (ที่เชื่อว่ามีสิ่งของไม่ดีอยู่ในตัว) จะออกอาการแปลกๆ บางคนร้องไห้โฮ บ้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า และผู้หญิงบางคนก็ออกท่าทางร่ายรำ และคนเหล่านี้ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากหมู่พระสงฆ์เหล่านั้นให้คืนสู่สภาพปกติ

      แต่ในปัจจุบัน การสวดภาณยักษ์ได้กลายเป็นพุทธพาณิชย์เชิงธุรกิจแล้ว มีนายหน้ามาขอเช่าสถานที่ของวัด จัดพิธีสวดฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
มีหน้าม้า ค้าวัตถุมงคล ผ้ายันต์ สารพัด ซึ่งเป็นธุรกิจที่หากินกับความศรัทธาของชาวพุทธ ที่ยังไม่เข้าใจถึงพระธรรมคำสอน ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้เคยกล่าวไว้ว่า

     มีผู้กล่าวว่า บทสวดหรือพระสูตรนี้ แต่งเติมภายหลัง มิใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา แต่พิเคราะห์ดูเนื้อหาแล้ว เป็นบทสวดสรรเสริญอดีตพุทธะ มีพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นต้น จะขับไล่ยักษ์มารได้จริงหรือไม่ คงมิใช่ประเด็น

ที่สำคัญคือ เมื่อสวดประจำย่อมสามารถขับไล่ “ยักษ์ภายใน” คือโลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้แน่นอน

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15015

1032
คาถาอาคม / ตอบ: การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 01:21:48 »
อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน 3/3
จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน
http://www.luangporruesi.com/90.html

    ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่า ภาณพระ ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือ เวลาประมาณ ๑๗ น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คือ พวกของเจ้าลาวอันธพาล เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดงใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่า ท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามองตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า ๒ ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน

     นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่าถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระที่อยู่ร่วมกันสำรวมเรียบร้อยดีทุกองค์ ไม่มีใครสนใจกับแม่วัวเขาอ่อน จะรักจะชอบก็ไม่กล้าแสดงออก

     ลูกหลานที่รัก นึกว่าปลอดแล้วหรือที่พลพรรคของฉันจะไม่ถูกรุกรานจากวัวเขาอ่อน เปล่าเลย ยิ่งเฉยก็ยิ่งเรียบร้อย ก็เกิดมีวัวตัวแปลก ๆ ปรากฏมากขึ้น ดูเหมือนจะเป็นวัวพันธุ์ดีกว่าที่เคยเห็นมา เมื่องานเสร็จงวดจาหน้าที่ของท่านเหล่านั้น แทนที่ท่านจะกลับภูมิลำเนาเดิม ต่างก็เดินเข้าคอกวัวกันเป็นแถว แม่วัวเขาอ่อนนี้ช่างมีอานุภาพมากจริง ไม่รู้ว่าย่องไปตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเธอมาไม่เห็นพูดอะไรกัน ต่างก็วางท่าวางทางสงบเสงี่ยม แต่หลังจากพ่อวัวเหลืองสลัดหนังเดิมออกกลายเป็นควายเปลี่ยวไปแล้ว และเดินเข้าคอกวัวเขาอ่อนไป พวกเราก็พบจดหมายรักที่ที่นอนของพ่อวัวเหลืองเป็นปึก ๆ เป็นจดหมายตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงอวสาน คือ ตกลงแต่งงานตามคำขอร้อง และช่วยเป็นภารธุระด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าเรื่องอานุภาพของท่านขุนด่านตอนนี้ก็หยุดเพียงเท่านี้นะ เพราะถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี พรุ่งนี้คุยกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงมีอารมณ์สบาย ทรงฌาน ทรงญาณ และเข้าถึงวิปัสสนาญาณโดยทั่วกันทุกคนนะ สวัสดี

1033
คาถาอาคม / ตอบ: การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 01:15:25 »
อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน 2/3
จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน
http://www.luangporruesi.com/90.html

     ผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อ ท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ ๒๐ ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ ๔๐ ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุข เพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ

   ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์แปลว่ายักษ์พูด คำว่าภาณแปลว่าพูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรานี้มีโทษรุนแรงมาก เมื่อประกาศแล้วท่านทั้งสี่ก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสามให้ท้าวเวสสุวัณเป็นคนพูดกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่า ยักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและบริวาร ส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก คำว่าพรหมจรรย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือ ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่า พรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยมก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร

     เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมณธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้วท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น


1034
คาถาอาคม / ตอบ: การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 12:44:57 »
ลองมาอ่านเรื่อง...อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน
จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน
http://www.luangporruesi.com/90.html
=================================================

     ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องรู้จักท่านเจ้าพ่อขุนด่าน มาพูดถึงเรื่องอานุภาพท่านสักหน่อย ลูกหลานจะได้ไม่สงสัย หรือใครจะสงสัยก็ตามใจ ไม่ว่าอะไร ถ้าสงสัยก็จงหัดขยันทำสมาธิตัดความชั่วทางใจที่อยากสนใจเรื่องของชาวบ้าน ใครเขาจะดีจะชั่วช่างเขา ถ้าเป็นคนที่เนื่องกับเราก็ตักเตือนโดยธรรม เมื่อเขาไม่รับฟังก็ตัดหางปล่อย ไม่สนใจกับเขาต่อไป ไม่ข่มขู่ใคร ไม่อวดว่าเราดีกว่าใคร สนใจแต่รักษาอารมณ์ของเราเป็นสำคัญ อารมณ์ที่ควรรักษาก็คือ ไม่มีอารมณ์โหดร้ายฆ่าใคร ทำร้ายใคร ไม่ลักเล็กขโมยน้อยใคร ไม่แย่งความรักหรือขโมยรักลูกใคร เมียใคร ผัวใคร ญาติใคร หลานคร และคนในปกครองของใคร ไม่โกหกมดเท็จใคร ไม่ย้อมใจด้วยน้ำเมาแม้แต่หยดเดียวก็ไม่เอา ต่อไปก็ตัดอารมณ์อยากเสียชั่วคราวคือ อยากเป็นผัวเป็นเมียใคร แม้ชั่วขณะก็ไม่อยาก ไม่อยากฆ่าใคร กลั่นแกล้งใคร มีอารมณ์จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ วันละ ๑๐ นาที ไม่ต้องมาก ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ง่วงเคลิบเคลิ้มเมื่อนั่งจับ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สงสัยผลที่รู้ลมหายใจเข้าออกว่าจะไม่เป็นผล ให้รู้จักฝึก ต่อไปก็รักษาอารมณ์ใจให้สดชื่นด้วยความเมตตาปรานี อยากสงเคราะห์คนและสัตว์ที่มีทุกข์มีอารมณ์สดชื่น ไม่คิดว่าใครเป็นศัตรูกับเรา ไม่ริษยาใคร เมื่อเขาได้รับรางวัลจากใครก็ช่าง หรือจากผลงานของเขาเองก็ช่าง วางอารมณ์เฉยไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นถึงความวิบัติ หัดไว้เท่านี้ทุกวัน ใช้เวลารักษาอารมณ์อย่างนี้เพียงวันละ ๑๐ นาที เมื่อพ้นแล้วจะอยากทำอะไรก็ตาม ไม่ห้าม เวลารักษาอารมณ์จงละมันจริง ๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที ถ้าทำได้เรื่องผีเรื่องเทวดาเรื่องเล็กเหลือเกิน รู้ได้กระทั่งว่าเราตายแล้วจะไปไหน เมื่อก่อนเกิดมาจากไหน ไม่มีอะไรยากเลย ทำได้ไหมจ๊ะ ถ้าทำได้ก็รู้เองได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ฟังฤาษีหัวล้านเล่าเรื่องนี้เป็นนิทานต่อไป ฟังแล้วอย่าเชื่อ ใครเชื่อก็เป็นคนโง่ เมื่อฟังแล้วปฏิเสธว่า ไม่มี ไม่จริง โดยที่ตนเองไม่พยายามทำตาม ฉันก็ว่ายิ่งโง่มากกว่าพวกที่เชื่อเฉย ๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าบรมโง่ ทั้งนี้เพราะนิทานที่เล่าให้ฟังเป็นนิทานมีแบบปฏิบัติ

               ว่ากันต่อไป เมื่อรักษาอารมณ์ดีแล้วก็หัดฝึกอารมณ์รักษานิมิต ปล่อยนิมิต ตามแบบฝึกวิชชา ๓ ตามที่ท่านผู้รู้เขียนไว้ในหนังสือฝึกสมาธิ หรือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน หรือในวิสุทธิมรรคเผด็จ ๖ เล่ม ที่ท่านเอาเป็นหลักสูตรประโยค ๘ ของพระก็ดี ฝึกตามนั้นง่ายนิดเดียว เดี๋ยวก็เห็นหมด หมดสงสัย คนที่ไม่ยอมโง่เขาทำกันอย่างนี้ ไม่ใช่มานั่งอวดเป็นนักปราชญ์ออกอากาศสอนชาวบ้านแล้วก็คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระเป็นเรื่องของพราหมณ์ ในพระพุทธศาสนาไม่มี ท้าวมหาราชทั้งสี่ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวรหรือที่เรียกว่าท้าวเวสสุวัณ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่พราหมณ์แต่งขึ้น พูดอย่างนี้รู้มากไป อายท่านผู้พูด อายุเท่าไร ทำไมแอบไปรู้เรื่องก่อนพระพุทธศาสนาเกิด และท่านอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้ แสดงว่าท่านติดตามพระพุทธเจ้ามาทุกระยะ เป็นอันว่าท่านเกิดก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เกิดก่อนต้นตระกูลศาสนาพราหมณ์ ถึงได้ทราบว่าพราหมณ์บัญญัติขึ้น และท่านติดตามพระพุทธเจ้าตลอดมา พระพุทธเจ้าได้ไปเทศน์ที่ไหน พูดกับใคร ท่านคอยฟังตลอดเวลา ความจำท่านเองก็ดีมาก จำได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดกับใครเรื่องนี้ ท่านเองก็มีอายุยืนมาก ท่านมีชีวิตได้ถึงวันนี้ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ แสดงว่าท่านมีอายุหลายพันปี ท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาก ท่านคงจะเป็นญาติกับท่านเทวทัต มันแน่นักหรือนายที่ออกข่าวมาอย่างนั้น การพูดที่คิดเอาเองไม่ใคร่ครวญให้ดี ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ เที่ยวรื้อโบสถ์รื้อศาลา รื้อประเพณีที่ดีงาม ถึงแม้ว่าจะพลาดเป้าไปบ้าง ถ้าไม่มีภัยควรแล้วหรือที่จะไปรื้อของเขา ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสร้งอารมณ์ทรงไว้ได้หมดแล้วหรือ หรือว่าเพียงแต่อ่านผ่านไป ท่านทรงปฏิสัมภิทาแล้วหรือยัง แม้แต่พระที่ทรงปฏิสัมภิทายังมีโง่ตั้งเยอะ โดนพระพุทธเจ้าถามสิ่งที่ไม่ใช่วิสัยยังงงเป็นไก่ตาแตก คลำหาคำตอบไม่ได้ เพื่อนเอ๊ย ไหน ๆ ก็อาศัยพระพุทธบารมีสร้างวาสนาบารมีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง อย่าสมัครไปอยู่กับเทวทัตเลย ลูกหลานเอ๋ย นี่ฉันพล่ามมากไปกระมัง ที่พูดนี้บังเอิญฟังวิทยุได้ยินนักปราชญ์ท่านปฏิเสธเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระ เรื่องท้าวมหาราชไม่มีตัวตน แม้ฉันอยู่ในป่าที่ไกลเมืองหลายร้อยกิโลเมตร ฉันก็มีวิทยุฟัง เพราะลูกอัศนียา อนันตวงษ์ เธอให้ไว้ ๑ เครื่องใช้ถ่านไฟฉาย ๒ ลำโพง มีเครื่องเล่นจานเสียงด้วย แต่ฉันก็ใช้ฟังน้อยเหลือเกิน ด้วยฤาษีมีเวลาว่างยาก เกรงว่าเจ้าเสือร้ายในป่ากิเลสมันจะทำอันตราย เลยต้องระวังตัวเสมอะ เพื่อนรัก ขอพูดกับนักปราชญ์อีกนิด ตั้งตัวเสียใหม่เถิดเพื่อน ฟังเพื่อนพูดแวแสดงว่าเพื่อไม่มีเลยแม้แต่ฌานโลกีย์ เพื่อไม่เกิน ๗๐ ฝนเป็นอย่างมาก เพื่อนอย่าคะนองปากนักซิ ฝึกฝนอารมณ์ตนตามพุทธวัจนะเสียบ้าง จะได้เลิกพูดแบบนี้

1035
คาถาอาคม / การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 12:09:41 »
ที่มา จากกระทู้เก่า ประวัติการสวดภาณยักษ์ โดยคุณปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6449.msg51711

การสวดภาณยักษ์ นั้นก็คือ การสวดพระอาฏานาฏิยปริตร โดยพระปริตรนี้ แบ่งเป็น2ภาค คือภาคภาณพระ และภาคภาคยักษ์ โดยตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า หลังจากพระมหาบุรุษตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ท้าวจตูโลกบาลก็มาเข้าเผ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสกล่าวถึงพระพุทธวงศ์ คือพระนามพระพุทธเจ้าที่เคยตรัสรู้มาแล้ว (ภาณพระ) จากนั้นท้าวจตุโลกบาลก็มีดำริว่าบริวารของตนนั้นมีมากมาย ทั้งที่เป็นยักษ์ กุมภัณฑ์ นาค และคนธรรพ์ ซึ่งมีมายมากที่ไม่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลัวว่าจะมารบกวนพระสงฆ์สาวกที่ไม่มีฤทธิ์ ขณะจาริกและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานให้ได้ความเดือดร้อน จึงถวายพระปริตรนามว่า อาฏานาฏิยปริตร แด่พระพุทธเจ้า เพื่อให้พระสงฆ์นำไปสวดกัน(ภาณยักษ์) โดยในพระปริตรดังกล่าวจะกล่าวถึงพระนามของท้าวจตุโลกบาล ทั้งนี้เมื่อบริวารของท้าวจตุโลกบาล เมื่อได้ยินพระนามท้าวเธอก็ย่อมจะเกรงกลัวและเร้นกายไปไม่มารบกวน ดังนั้นความเชื่อของชาวพุทธ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายไม่มีในบ้านเมืองก็จะนิมนต์ให้พระสงฆ์สวดภาณยักษ์ อย่างเช่นในสมัยต้นกรุงฯได้เกิดโรค--ยุดนั้นก็มีการสวดภาณยักษ์กันมากมาย แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้นเวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งใน จุลราชปริตร(สวด 7 ตำนาน) และมหาราชปริตร(สวด 12 ตำนาน) อยู่แล้ว

การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหง รับมาจาก พระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๕ เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนครเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีความเชื่อกันมาว่า บ้านเมืองหนึ่งๆ จะมีผีที่ดี และผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่ ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูติผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยดา และที่บ้านเมืองมีเหตุเพทภัยต่างๆเกิดขึ้น ก็เป็นเพราะเกิดจากภูติผีปิศาจ กลั่นแกล้งบันดาลให้เป็นไป ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง จึงเป็นสาเหตุ ที่มีการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันขึ้นมานั่นเอง ภาณ หมายถึงการสวด สมัยก่อนการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และสวดภาณยักษ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่าง ภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะไม่ กระแทกกระทั้นดุดันเหมือนการสวดภาณยักษ์ ภาณยักษ์ เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด และน่ากลัวจึงได้เรียกว่าสวดแบบภาณยักษ์นั่นเอง ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่างๆ การสวดทั้งสองแบบนี้ได้นำมาจาก อาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกว่าด้วยเรื่องของยักษ์ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบ มาดัดแปลงทำนองให้ดุดันและโหยหวน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้ออกไป มีการจุดปืนใหญ่สมทบ เพื่อให้ภูตผีปิศาจเกิดความกลัวจะได้หนีไป แต่ในปัจจุบันใช้การจุดประทัดแทน บางตำนานก็บอกว่าการสวดภาณยักษ์นั้น เกิดจากเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงโปรดเทศนาธรรม ให้กับพญายักษ์ที่มีชื่อว่า ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นจ้าวแห่งภูตผีปิศาจทั้งหลาย แค่เอ่ยชื่อเพียงอย่างเดียว พวกภูตผี ปีศาจที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายยังต้องเกรงใจ ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวต่อกรด้วย หลังจากที่ยักษ์ท้าวเวสสุวัณได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้า ก็บังเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมขึ้น จึงได้แต่งพระคาถาน้อมถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งก็คือคาถาสวดภาณยักษ์นั่นเอง เมื่อสวดคาถาบทนี้เมื่อใด เหล่าภูตผีปิศาจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องยอมศิโรราบให้ เพราะเกรงกลัวในบารมีของท่านท้าวเวสสุวัณ พากันเผ่นหนีกันจ้าละหวั่นไปกันหมดท่านท้าวเวสสุวัณ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวกุเวร เป็นเทวาธิราชพระองค์หนึ่ง เป็นจอมเทพที่มีศักดาอานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์(บางตำนานก็ว่าหน้าเป็นคน)ก็เป็นยักษ์ที่ใจดีมีเมตตาและมีศีลธรรมประจำใจ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันมากมายที่มีอยู่ จึงเป็นที่กลัวเกรงของเหล่าบรรดาภูตผีทั้งปวงและบรรดาเหล่ายักษ์มารทั้งหลาย รวมทั้งเทวดาชั้นผู้น้อย ทำหน้าที่ปกครองดูแลเทพเทวาในนครอันดับที่สี่ ซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ในสวรรค์ชั้นนี้ก็มี เทพเทวดา อสูร นาค ราคสด คนธรรพ์ และพวกสัมพเวสีอาศัยอยู่ ดังที่ได้กล่าวมาดังนี้แล......


1036
ของขลัง

พระลูกศิษย์องค์หนึ่งมากราบเรียนของวัตถุมงคล (เหรียญ) ของหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงสอนว่า "เครื่องรางของขลังนี่อย่าไปสอนให้ผู้คนเขาเชื่อจนงมงายมากนัก การแจกเหรียญก็เหมือนกับการถ่ายรูปแจก กันไปเป็นของที่ระลึก ที่พูดนี่ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะ ผมนี่แหละทดลองเอาเนื้อหนังไปทดสอบมาแล้ว สุดท้ายมันก็ ไม่มีความเป็นอมตะ ทหารออกรบแบกเครื่องรางกันเป็นกิโล ๆ แต่ก็คุ้มครองไม่ได้ เวลาแบกศพทหารนี่น้ำหนักตัวพอ ๆ กับน้ำหนักเครื่องราง เครื่องรางที่ดีที่สุดคือ ศีลธรรม เครื่องรางของผมน่ะ คืออะไรรู้ไหม คือ ความกตัญญู ใครทำบุญกับผมเท่าขี้เล็บ ผมจะตอบแทนเขาเป็นสิบเท่าร้อยเท่า"

อยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าทำความดี

    หลวงพ่อเล่าว่าบางครั้งท่านก็เกิดความเบื่อหน่ายสภาพแวดล้อมจนอยากจะย้ายไปที่โน่นที่นี่ตามประสา ครั้งหนึ่งเคยบ่นอยากย้ายที่ เจ้าคุณอริยคุณาธารได้ยินเข้าก็ให้แง่คิดว่า "อย่าไปหาย้ายให้มันยุ่งยาก คนเราจะไปไหนกรรมมันพาไป เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนก็ขอให้ทำความดีตรงนั้นให้มาก ๆ"

   ต่อมาหลวงพ่อก็ถูกย้ายจากเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวันตามธรรมดาของโลกที่มีคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ในการย้ายครั้งนี้ก็มีผู้สมน้ำหน้า หลวงพ่อว่าถูกย้ายจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นแค่เจ้าอาวาส แต่หลวงพ่อก็ไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำความดีตามที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ ความดีของหลวงพ่อค่อย ๆ เป็นที่รับรู้ของ คนทั่วไปจนกลายเป็นพระ "ดัง" องค์หนึ่ง ผู้คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมืองไปไหนมาไหนก็มักมีคนเข้ามากราบมาทักว่า "นี่เองหลวงพ่อพุธ ได้ยินชื่อมานานแล้ว เพิ่งได้เห็นตัวจริงวันนี้เอง" แล้วคนที่เคยสมน้ำหน้าหลวงพ่อก็ไปบอกกับคนอื่นว่า
อย่าไปเอาอย่างหลวงพ่อพุธนะ
ทำไมจะเอาอย่างไม่ได้ ไม่ดีอย่างไร
ไม่ใช่ไม่ดี มันดีเกินไปน่ะซี ไปเอาอย่างเดี๋ยวความดีมันจะทับตาย
ในที่สุดความดีของหลวงพ่อก็เอาชนะผู้ที่เคยคิดไม่ดีกับหลวงพ่อ


ไม่ติดอามิส

    ตำแหน่งอุปัชฌาย์เป็นตำแหน่งที่พระหลายองค์ใฝ่ฝัน เพราะนอกจากจะเป็นที่นับหน้าถือตามากแล้ว ยังมีโอกาสได้สิ่งตอบแทนเป็นอามิสไม่น้อย แต่ในสิ่งที่หลายคนแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้ หลวงพ่อกลับสละโอกาสนั้น โดยในต้นปี ๒๕๓๔ ท่านได้นิมนต์หลวงปู่บุญมี จากวัด… จ.กาฬสินธุ์ มาช่วยแบ่งเบาภาระการเป็นอุปัชฌาย์ แต่การแบ่งเบาภาระนี้เรียกได้ว่าหลวงพ่อพยายามสละโอกาสนั้นถวายหลวงปู่เสียเกือบทุกครั้ง ท่านเล่าว่าในช่วงเวลาเพียง ไม่กี่เดือนหลวงปู่ได้บัญชีเงินฝากซึ่งเป็นปัจจัยถวายอุปัชฌาย์มาให้หลวงพ่อดู ปรากฏว่ามีเงินฝากอยู่ถึง ๙๐,๐๐๐ บาทเศษ


--จบตอนที่ 4--
ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

1037
หลวงพ่อกับเหล็กไหล

      มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์องค์หนึ่งอยู่แถวชลบุรี มานั่งเฝ้านอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่หลายวัน หลวงพ่อก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร จนวันหนึ่งเขาบอกว่าที่เขามาเฝ้าอยู่นี่เพราะมีคนบอกว่าหลวงพ่อมีเหล็กไหลอยากจะมาขอ หลวงพ่อจึงบอกว่าท่านไม่มีหรอก "แต่มีอยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีเหล็กไหลมากมายถ้าคุณอยากได้จะบอกที่ให้ อยากรู้ไหมล่ะ" เมื่อโยมต้องการจะรู้แหล่ง ท่านจึงบอกว่า "ไปที่หัวรถไฟแน่ะ ทุกวันจะมีเหล็กไหลจากโคราชไปกรุงเทพฯ วันละหลาย ๆ เที่ยว"   ไม่ทราบว่าพอโยมได้คำตอบอย่างนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร :004:

     อีกครั้งหนึ่ง มีโยมมาจากศรีสะเกษ มาเสนอขายเหล็กไหลให้หลวงพ่อในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท โดยบรรยายสรรพคุณว่ามีแล้วจะทำให้ร่ำรวย หลวงพ่อตอบข้อเสนอว่า "ก่อนคุณจะมา ทำไมไม่สืบประวัติฉันก่อนว่าฉันเป็นพระนักค้าหรือเปล่า คุณไปรวยคนเดียวซะ ถ้าฉันอยากจะรวย ฉันไม่มาห่มผ้าเหลืองอยู่อย่างนี้หรอก" :069:

คติธรรมจากนักมวย

    ถ้าดูมวยได้ความคิดเพียงแค่ว่าไอ้หมอนี้มันอยากได้เงินมันลงแรง ลงเงินของมัน ให้เขาต่อย ดีกว่าพวกที่เอาไก่ไปชน ไก่ชนไม่เก่งก็เอาไปต้ม ไปแกง ดูแล้วมันสลดใจ พ่อแม่อุสาหะเลี้ยงอย่างทะนุถนอม ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม พองั้นมันโตแล้วมันก็เอาสมบัติของแม่มาชกมาต่อย มาตีกัน


เคยฝึกเรื่องอยู่ยงคงกระพัน

    สมัยหลวงพ่อเป็นพระหนุ่ม ใครพูดเรื่องอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวเป็นไม่ได้ อยากจะลองก็เลยไปฝึกกับ พอ.ชม สุคนธรัตน์ เขาสอนให้เสกใบพลู ๗ ใบแล้วภาวนา ตอนบริกรรมอยู่ลองเอามีดแทงเนื้อจนทะลุหนังสือที่รองแขนอยู่ ยกแขนขึ้นมาหนังสือยังติดมีดติดแขนมาด้วย โดยไม่มีบาดแผลสักนิด แต่พอไม่บริกรรม ยังไม่ทันออกแรงแทงเลือดก็สาดแล้ว


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

1038
นมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:
ขออนุญาตนำภาพมาประกอบ



1039
คาถาที่ได้มาจากวัดบางพระ

คาถาบูชาหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ

(นะโม ๓ จบ)

อิติสุคคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ
ฐิตคุโณ อาจาริโย จะ มหาเถโร มหาลาโภ
สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม :054:



1040
ศีล ๕

ศีล ๕ เป็นแม่บทและเป็นเค้ามูลให้เกิดความดี ทำไปแล้วมันเป็นบาปตามกฎธรรมชาติ ใครทำก็เป็นบาปโดยธรรมชาติ จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม นับถือศาสนาก็ตาม ไม่นับถือก็ตาม
ศีล ๕ เป็นมนุษยธรรมที่มีอยู่ตลอดกาล ศาสนาจะมีก็ตาม ไม่มีก็ตาม ก็จะมีคนรักษาโดยตลอด
บาปที่จะถ่วงให้จิตตกต่ำ มีแค่ศีล ๕ เท่านั้น


เจิมรถ

งานหนึ่งซึ่งมีผู้มาขอความกรุณาให้หลวงพ่อทำให้อยู่เนือง ๆ คือ การเจิมรถ มีทั้งรถเก่านำมาเจิมใหม่ รถออกจากอู่ใหม่ ๆ รถส่วนตัว รถโดยสาร หลวงพ่อท่านก็เมตตาทำให้ทุกครั้ง แต่ท่านมักจะพูดเสมอว่า "มาให้หลวงพ่อเจิมให้น่ะ คนเจิมก็รถคว่ำมาหลายครั้งแล้ว" หวัง "เจิมรถน่ะมันไม่ถูกหรอก ต้องเจิมคนจึงจะถูก"

มุมมอง

หมอนี่ไปว่าคนนั้นโลภ คนนี้โลภ ก็เพราะตัวเองมีความโลภอยู่จึงไปเห็นความโลภของคนอื่น คนที่ไปว่าคนโน้นไม่ดี ก็เพราะตัวเองยังไม่ดีจึงมองเห็นความไม่ดีของคนอื่นธรรมวินัยนี้ ถ้าจิตมันถึงแล้วมันไม่อยากจะไปคิดตำหนิใคร ธรรมะนี่ถ้าตั้งใจจะปฏิบัติกันจริง ๆ แล้วมันไม่มีที่ไหนจะไปวัดกัน


ผู้มีบุญ

โยมผู้หญิงคนหนึ่งปรารภเวลาโกรธแล้วดับไม่ได้สักที หลวงพ่อแนะนำว่าถึงดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ว่าเมื่อโกรธแล้ว อย่าไปด่าว่าหรือทำร้ายเขา นอกจากนี้ยังให้อุบายกำจัดความอิจฉาริษยาว่า "พอเห็นคนเขานั่งรถเก๋งคันงาม สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีรถเก๋งงาม ๆ นั่ง เห็นเขามีบ้านสวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีบ้านสวย ๆ อยู่ เห็นเขาร่ำรวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงร่ำรวย ถ้าเขารวยเพราะโกงมา จะยังสาธุอยู่ไหม.. ก็สาธุซิ เขามีบุญเขาจึงโกงแล้วรวย เราโกงทีเดียวติดตารางจ้อย นี่ที่จริงเขารวยเพราะบุญเก่าของเขา"

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

1041
พระพ่อ - พระแม่

พระท่านสอนให้เราบำเพ็ญทาน เราก็ทำ แต่ส่วนใหญ่ท่านจะสอนให้เราไปทำทานกับวัด หลวงพ่อจะสอน ให้คนทำทานกับพ่อกับแม่ ถ้าเราไหว้พ่อไหว้แม่ไม่ได้ อย่าไปไหว้พระ มันไม่มีประโยชน์ เราต้องกราบพ่อกราบแม่ เราได้เราจึงไปกราบพระ ถ้าพ่อแม่ของเรายังไม่อิ่ม อย่าไปเที่ยวหาเลี้ยงพระให้อิ่ม ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่มเราต้อง เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มด้วย ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด ให้พ่อแม่อดอยากนี่ตกนรกกันหมด เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยง พ่อเลี้ยงแม่

ศีลแม่บท

ลัทธิธรรมเนียมประเพณีของสังคมก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ศาสนาพุทธในประเทศไทยทรงอยู่ได้ เพราะศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธเป็นปรัชญาชั้นสูง มีแต่ปรมัตถธรรม ระเบียบและวิธีการต่างๆ แม้แต่วินัย ก็ เป็นจารีตประเพณีสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ ศีลที่พระพุทธเจ้ายอมรับเอามาเป็นข้อปฎิบัติของพุทธบริษัทที่ เป็นไปตามกฎความจริงและกฎของธรรมชาติ มีแต่ศีล ๕ ข้อเท่านั้น ทีนี้ถ้าใครละเมิดศีล ๕ ข้อแล้วตกนรกทันที คฤหัสถ์กินข้าวเย็นไม่บาป แต่เมื่อพระไปกินข้าวเย็นบาปทันที ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะศีล ๘, ๑๐, ๒๒๗ พระ พุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้เ พื่ออบรมนิสัยของผู้ปฎิบัติให้ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป ผู้มาปฏิญาณตนอยู่ในระดั้บนี้ ต้อง ปฏิบัติ ตามระเบียบนี้ มันจึงจะเป็นอย่างนี้ แต่คฤหัสถ์จะปฎิบัติก็ได้ไม่ปฏิบัติก็ได้ แต่ต้องปฏิบัติ ตามหลักของศีล ๕

เรานึกว่าเรามีศีลมากๆ (๒๒๗) เราตบยุงตายไปตัวหนึ่งเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเรานึกว่าเราฆ่าสัตว์ เดรัจฉานแล้วแสดงอาบัติ เอาได้... มันก็อยู่ไม่ได้.... เพราะปาณาติบาต มันอยู่ในกฎของศีล ๕ ศีล ๕ ขาดแล้วมัน ขาดความเป็นมนุษย์ ผู้ที่จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์สมควรแก่มรรคผลนิพพาน ควรแก่คุณธรรมสูงขึ้นไป ตั้งแต่ศีล ๘, ๑๐, ๒๒๗ ต้องมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ผู้ปฏิญาณตนเป็นเพศสมณะ แต่ไม่มี ศีล ๕ ศีล ๒๒๗ มันก็พังอยู่ไม่ได้ เพราะศีลที่เป็นแม่บทมันขาดแล้ว

เมื่อเร็วๆ นื้ มีอุบาสิกาสาวคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้หนูภาวนาแล้วจิตสงบ สว่าง รู้ ตื่น เบิกบานดี อยู่มาวันหนึ่ง ภาวนาจิตมันสว่างขึ้นมา มันมองเห็นเลขหวยเบอร์ เลยไปซื้อ แล้วก็ถูก ภายหลังมาภาวนาแล้วไม่ เป็นอย่างนั้นอีก ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เขาถามอย่างนั้น หลวงพ่อก็เลยบอกว่ามันผิดศีล ๕ ข้ออทินนาทาน เพราะการเล่น หวยเบอร์นี้ตำรวจเห็นเขาจับ อันใดมันผิดกฎหมาย เราไปทำเข้า มันผิดศีล มันผิดศีลข้ออทินนาทาน ไปลักเล่นหวยเบอร์ เป็นอาการแห่งขโมย


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

1042
อาจาริโยวาท

    หลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์เอาไว้ว่า เพ่งเข้ามาดูข้างในรู้ข้างใน เป็นมรรค รู้นอกเป็นสมุทัย รู้ในแล้วมันมายกโทษตัวเอง เพ่งโทษตัวเอง แก้ไขแต่ตัวเอง ถ้ามองออกไปข้างนอก ไปมองเห็นความประพฤติคนอื่น ที่ไม่ถูกหูถูกตาเกะกะ ก็ยกโทษแต่คนอื่น
หลวงปู่ตื้อนี่ไปเห็นต้นมะขามป้อม เอาตีนถีบ ต้นขนาดแขน ลูกมันดก ตีนถีบมันหล่นลงมาแล้วเก็บมาฉันเลย แต่หลวงปู่มั่นบอกว่า ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ "ท่านตื้อเป็นพระเถระ" อย่างนี้เป็นต้น

    หัวใจโอวาทของพระอาจารย์ฝั้น ท่านว่า "อย่าปล่อยให้จิตอยู่ว่าง" ความหมายของท่านคือ ๑. อย่าให้ว่างจากการกำหนดรู้ ๒. อย่าให้ว่างจากอารมณ์อันเป็นกุศล ส่วนของท่านอาจารย์มั่น "อย่าไปว่าให้เขา ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น" วิสัยของพระโสดาบัน ใครพูดมาฉันฟังได้หมด ดีฉันฟังได้ ชั่วฉันฟังได้ ฉันจะเอาหรือไม่เอานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หัดเป็นพระโสดาบัน

    เราจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร พยายามอย่าให้มันมีความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์และคน อื่น มานะความถือตนถือตัวนี่ ภูมิของอรหัตมรรค เป็นตัวตัดขาด มานะความถือตนถือตัวมันเป็นกิเลสละเอียด พอสมควร พระอนาคามีก็ละไม่ขาด โน่น! ต้องภูมิอรหัตมรรคจึงละได้ขาด
พยายามหัดเป็นพระโสดาบัน โส-ตะ-ปัน-นะ แปลว่าผู้ถึงซึ่งการฟัง ใครพูดดีฉันก็ฟังได้ พูดเสียฉันก็ฟังได้ แต่ฉันจะเอาหรือไม่เอาเป็นหน้าที่ของฉันจะพิจารณาโดยเหตุผล โส-ตะ แปลว่า ผู้ฟัง ปัน-นะ แปลว่า ถึงแล้ว ซึ่ง การฟัง รวมความว่า ผู้รับฟัง ไปตรงกับมารยาทของสังคมว่า เคารพมติของผู้พูด
ท่านอาจารย์วัน เพื่อนหลวงพ่อ ลูกศิษย์ท่านวิพากษ์วิจารณ์กรรมฐานคณะนั้นกรรมฐานคณะนี้ ท่าน นั่งฟังเฉย พอท่านจะพูดท่านก็ว่า "ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น ความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปขัดคอ เขา" นี่แสดงว่าท่านผู้นี้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ถ้าใครพูดมาไม่ถูกหูเรา เราเถียงคอเป็นเอ็น นั่นยังใช้ไม่ได้


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

1043
สมัยก่อนมีคนใส่ร้ายพระสายป่า

    หลวงพ่อสร้างวัดสร้างวานี่ไม่เคยคิดที่จะสร้าง มีแต่คนอื่นมาชวนสร้าง "ทำไมหลวงพ่อไม่ทำอย่างงั้น" "โอ๊ย! ไม่มีปัญญาทำดอก" "จะทำให้เอามั๊ยละ" "เออ จะใส่บาตรพระทั้งทีอุตส่าห์มาถาม" วัตถุก่อสร้างที่มีอยู่นี่ มีแต่คนมาทำให้ทั้งนั้น จนกระทั่งระยะหนึ่ง เขาส่งเจ้าหน้าที่กองปราบมานอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่ตั้ง ๓ เดือน มีคนฟ้องไปว่าหลวงพ่อค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด เฮโรอีน เอาเงินคอมมูนิสต์มาสร้างวัด สมัยนั้นคอมมูนิสต์มันกำลังฮิต เขามานอนเฝ้าอยู่ตั้ง ๓ เดือน เราก็แปลกใจว่าคน ๒ คนนี่มันไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพหรือ มานั่งเฝ้าเราอยู่ทั้งวันนี่หว่า เราก็ชักสงสัยเหมือนกัน ทีนี้พอเขาจะกลับ เขาก็เข้ามากราบ เขาบอกว่า พวกผมเป็นตำรวจกองปราบมียศเป็นนายร้อยเอกทั้งสองคน "แล้วพวกคุณมาทำอะไรล่ะ" "มาเฝ้าสังเกตการณ์พระคุณเจ้า มีผู้ฟ้องไปว่าพระคุณเจ้าค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด" "เพราะอะไรเขาจึงว่าอย่างนั้น" "เขาว่างานการก็ไม่ได้จัด ทำบุญประจำปีอะไรก็ไม่ได้จัดงานหาเงินหาทอง แล้วเอาเงินที่ไหนมาสร้างวัด ถ้าไม่ค้าของเถื่อนก็เอาเงินคอมมูนิสต์มาสร้าง เขาว่าอย่างนี้"

    เพื่อนซึ่งเป็นเด็กๆ เล่นหัวร่วมกันมาอีกองค์หนึ่ง โดนในทำนองเดียวกัน อาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ที่ อ.ส่องดาว จ.สกลนคร อันนั้นเจ้าหน้าที่ทหารส่งเจ้าพนักงานไปสอบสวนเอง สอบสวน ๒ ที ๓ ที ก็ไม่ได้ข้อมูล มันไม่ได้ความ พอเสร็จแล้วครั้งที่ ๔ นี่ เขาสั่งให้พันโท…… ซึ่งนับถือเป็นญาติๆ กันกับหลวงพ่อไปสอบ ทีนี้เขาก็เอาห่อเอกสารมาให้ดู มาพลิก ๆ ๆ อ่านดูแล้ว โอ๊ย! เอกสารแค่นี้ก็ยังไปถือเป็นเรื่องสำคัญ บัตรสนเท่ห์ที่ไม่มีชื่อ บางทีก็ลงชื่อปลอม ๆ นายนู่น นายนี่ เขียนไปแล้ว จะลงชื่อใครก็ได้ทั้งนั้น ทีนี้เขาก็บอกว่าสอบสวนมาแล้ว ๓ ครั้ง นี่เป็นครั้งที่ ๔ หลวงพ่อจะทำอย่างไรมันจึงจะยุติสักที โอ้หนอ พวกคุณนี่เป็นข้าราชการทหาร เป็นนายทหารระดับนายพันนายพล อันนี้เขาเรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด กินเงินเดือนรัฐบาลเสียเปล่า เราก็ด่าเอาในฐานะที่คุ้นเคยกัน มันไม่ยากหรอก เอ้า! ฉันจะให้เงินสัก ๕,๐๐๐ บาท เงิน ๕,๐๐๐ สมัยก่อนนี่มันมากมายก่ายกอง ไปแล้วจะให้ทำอย่างไร ไปแล้วก็ไปนอนอยู่นั่นแหละ นอนอยู่กับท่านนั่นแหละ กินข้าวก้นบาตรอยู่นั่น แล้วทีหลังก็ไปแสดงความจำนงว่าอยากจะทำบุญกับหลวงพ่อ ถ้าใครจะทำบุญกับท่าน ท่านจะโยนบัญชีมาให้ ให้ลงชื่อเอาเอง แล้วถ้าอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร ท่านเซ็นเอาไว้แล้ว ก็เขียนเอาเอง ทีนี่ก็ไปนอนอยู่ ๔-๕ วัน วันสุดท้ายจะกลับ ลาครูบาอาจารย์กลับแล้ว อยากจะทำบุญร่วมกับครูบาอาจารย์ ท่านก็ชี้เอานั่นบัญชี ปัจจัยใส่ลงในตู้แล้วก็ลงชื่อเอาไว้ ถ้าเป็นข้าราชการมีตำแหน่งหน้าที่ลงไว้ด้วยก็ยิ่งดี พอไปเปิดบัญชี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานมา ๕๐๐,๐๐๐ สมเด็จพระราชินีทรงพระราชทานมา ๒๐๐,๐๐๐ พระบรมวงศานุวงศ์องค์ละแสนสองแสน นายพลนู่น พลนี่คนละสี่ห้าแสน อู๊ยตาย! ถ้าพระอาจารย์วันเป็นคอมมูนิสต์ เจ้านายเราก็เป็นคอมมูนิสต์หมดสิ เลยต้องทำหนังสือเป็นหนังสือราชการยืมบัญชีของท่านไปถ่ายเอกสาร แล้วก็ก่อนอื่นเอาทั้งบัญชีนั่นล่ะไปเสนอผู้บังคับการทหารกรมผสมที่ จ.สกลนคร ทีนี้พอพวกนั้นไปเปิดอ่านดู เอ้า ถ้า อ.วัน เป็นคอมมูนิสต์ เจ้านายเราก็คอมมูนิสต์หมดสิ เลยเรื่องมันก็เลยยุติ

    อันนี่ตำรวจที่มานอนเฝ้าหลวงพ่อนี่ พอเขาบอกความประสงค์ที่เขามา หลวงพ่อก็ถามว่า "พวกคุณได้หลักฐานอะไร พอที่จะเอาหลวงพ่อเข้าตะรางได้มั๊ย" ก็เราไม่มีความผิด เราก็ถามอย่างนี้ ทีนี้พอเสร็จแล้ว เขาก็ตอบในทำนองตลกเหมือนกัน "ได้หลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สุด" "ทางดีหรือทางร้าย" "ทางดีขอรับ ผมเกิดมาผมไม่ได้เข้าใจเลยเรื่องปฏิบัติสมาธิภาวนา บางทีพวกผมฟังแล้วก็หลบไปนั่งสมาธิอยู่ในป่าหลังกุฏิของหลวงพ่อเนี่ย แล้วเพิ่งจะมารู้ว่าสมาธิคืออะไร ตอนที่มาอยู่กับหลวงพ่อนี่แหละ เมื่อไหร่เขาจะฟ้องหลวงพ่อไปอีก พวกเราจะได้มานอนเฝ้าอีก" "เออ! ไม่ต้องมาก็ได้หรอก กลับไปแล้วก็ไปนอนเฝ้าบ้านเฝ้าลูกเฝ้าเมีย ก็ภาวนาไป ก็ได้ผลดีทั้งนั้นแหละ"

    สมัยตอนนั้น พระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่ตามป่าตามดงถูกเขามองกันทั้งนั้น ทีนี้เรามาสบายต่อเมื่อ ดร.เชาวน์ เข้าไปอยู่ในวัง ดร.เชาวน์ลาออกจากรองผู้ว่าการรถไฟ แล้วก็ในหลวงก็มีพระบัญชาเรียกดร.เชาวน์นี่ไปเป็นที่ปรึกษา จนตั้งให้เป็นคณะผู้สำเร็จราชการ พอท่านได้จังหวะแล้วภายหลังมานี่ ก่อนอื่นไปเป็นรมต.ช่วยกระทรวงคมนาคมก่อน ทีนี้พอเป็นรมต.ช่วยกระทรวงคมนาคมนี่ ท่านก็สั่งทางเข้าวัดป่าที่ไหนที่มันขรุขระ ให้พวกกรมทางไปทำหมด ทีนี้พอเสร็จแล้วก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าในหลวง แล้วก็เล่าเรื่องถวายในหลวงจนกระทั่งพระองค์ทรงโปรดพระป่า ทีนี่มาภายหลังก็เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้นบ้าง อาจารย์วันบ้างเรื่องราวต่างๆ มันก็ค่อยสงบไป


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_2.html

1044
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23314
======================

การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด

      พระเทวทัตปีนขึ้นไปยอดเขาคิชกูฏ ไปกลิ้งก้อนหินลงมาหวังจะให้ทับพระพุทธเจ้าตาย ทีนี้พระองค์รู้วาระจิต ถ้าเทวทัตไม่ได้ทำร้ายเรานิดหนึ่ง วันนี้จะอกแตกตายก่อนที่จะสำนึกผิดได้ พอก้อนแง่หินมันแตกกระเด็นมาท่านก็ยื่นหลังพระบาทไปรับ เทวทัตก็ดีอกดีใจว่าได้ทำร้ายพระพุทธเจ้านิดหนึ่ง แล้วก็ไม่อกแตกตายเพราะฉะนั้นคติของพระองค์นี่ พระองค์ทรงเมตตาสงสารทั้งคนทำดีและทำชั่ว คนทำดีเป็นบุคคลที่น่าอนุโมทนา คนทำชั่วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร ถ้าหากว่าเราว่ากล่าวตักเตือนเขาไม่ได้ เราก็แผ่เมตตาให้เขา มันจะเป็นเพราะยังนี้ละมั๊งคนที่คิดไม่ดีกล่าวไม่ดีกับหลวงพ่อ มันถึงมีอันเป็นไปเป็นแถบ ๆ เลย มันไม่ใช่รายหนึ่งรายเดียวนะ ๑๐ กว่ารายมาแล้ว

เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงว่า ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง บุคคลผู้ควรบูชาอันดับหนึ่งพระราชามหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้มีบุญจึงไปเกิดในตระกูลซึ่งเป็นสมมติเทวดา ทีนี้รองลงมาก็ปู่ย่าตายาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ใครจะลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ ถ้าขืนลบหลู่ดูหมิ่นคนทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่วิบัติท่าเดียว ไม่มีความเจริญ
พยายามดูคนในแง่ดีไว้ อย่าไปดูแต่ในแง่ร้าย เผื่อว่าเราดูคนในแง่ดี ไม่เพ่งโทษในแง่ร้าย มันเป็นผลดีสำหรับเรา

มหาอำนาจอเมริกากับลัทธิไสยศาสตร์

     ที่พระไทยไปถูกฆ่าตายอยู่รัฐแอริโซนา ทำไมพระไทยจึงถูกฆ่า ทีนี้พอรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าสำนักนั้น มันเล่นเอาหมอดูไปเผยแพร่ ไสยศาสตร์ไปเผยแพร่ แถมทรงวิญญาณเข้าไปด้วย ทีนี้อเมริกามันเป็นประเทศมหาอำนาจ มันจะไปรับได้อย่างไรของอย่างนี้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคลั่งศาสนาก็มี เขาป้องกันทุกอย่าง เขาก็จับฆ่าทิ้ง ทีนี้ทางเราหนังสือพิมพ์ก็วิจัยไปอย่างนั้น วิจารณ์ไปอย่างนี้ เอาลัทธิบ้าบอไปนี่ ไม่ว่าแต่เขา ถ้าหลวงพ่อเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองก็ฆ่าทิ้งจริงๆ นี่ปัจจุบันนี่ยังอยากจะฆ่าพระไทยทิ้งอยู่หลายองค์ มีอย่างที่ไหนโฆษณาตั้งแต่เมืองแปดริ้วจนถึงเมืองโคราชเรื่องมักลีผล มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาซักหน่อย ปัญหาหนักอยู่เวลานี้สำหรับความคิดของหลวงพ่อเนี่ย

ทำอย่างไรพระสงฆ์คณะเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมฐานเนี่ยะที่อยู่ในวัดกรรมฐานนี่มันจึงจะเคร่งต่อพระวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดเรานี่มันเลอะเทอะหมดแล้ว ปิดกั้นไม่อยู่ มันไปเอาลัทธิของภายนอกเข้ามา ขนาดพระเถระที่เรานึกว่ามันจะเป็นผู้นำได้ มันยังละเมิดสิกขาบทวินัยกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาตะรูปะระชะตัง เวลานี้ไม่มีความหมายสำหรับพระวัดป่าสาลวัน พอว่าไปว่าไป มันว่าภาษาอะไร สำหรับพวกเรา หลวงพ่อท่านยิ่งรวยเป็นล้านๆ มันหาได้คิดไม่ว่าหลวงพ่อรวยนี่ มันรวยอะไร เขาให้เงินล้านมา เขาให้มาเพื่ออะไร มันไม่ได้คิด เพราะฉะนั้นที่ทางกระทรวงศึกษา เขามีนโยบายจะปราบพระอลัชชีนี่ โอ๊ย! ยกมือสุดศอก


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_2.html

1045
วิญญาณผีตายโหง

 มีความเชื่อกันว่า บุคคลที่มีสัมผัสพิเศษที่สามารถสื่อถึงคนที่อยู่อีกภพหนึ่งได้ จะมีโอกาสพบเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วได้บ่อยครั้งมาก แต่สำหรับพันเอกอิวัตแล้วนั้น  เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองมีญาณพิเศษนั้นจริงหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน เพราะการที่คุณต้องพูดคุยอยู่

กับใครสักคนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะมาทราบภายหลังว่า เขาไม่ใช่คนเหมือนอย่างเราๆ คุณจะรู้สึกเช่นไร
 ด้วยภาระหน้าที่ในฐานะนายทหารม้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยที่ลอร์ดฮาร์ดดิงเป็นอุปราชปกครองประเทศอินเดียอยู่นั้น ทำให้พันเอกอิวัตต้องเดินทางด้วยรถไฟเป็นประจำ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาจำต้องเดินทางจากคาร์ลลิเซิลไปลอนดอนด้วยรถบรัดชอว์ อย่างไรก็ตามเขาคิดว่ามันสะดวกสบายกว่าการที่จะต้องโดยสารรถตู้ร่วมกับผู้โดยสารคนอื่นซึ่งค่อนข้างจะจู้จี้จุกจิก

 ขณะที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานี พันเอกอิวัตนั่งอยู่ในตู้โดยสารเพียงคนเดียว  เขาเริ่มถอดเสื้อคลุมและรองเท้าออกวางไว้ข้างตัว ก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายอารมณ์ อากาศในขณะนั้นเย็นสบายมากทำให้เขาหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกคอแห้งผากมาก เขาคงจะหลับไปนาน

ทีเดียว หากคาดไม่ผิดรถไฟคงแล่นผ่านคัมเบอร์แลนด์จนเข้าเขตแลนคาเชียร์หรือไม่ก็เซฟเฟลแล้ว    พันเอกอิวัตเริ่มรู้สึกว่า ขณะนี้เขาไม่ได้นั่งอยู่เพียงคนเดียวแล้ว บริเวณม้านั่งฝั่งตรงข้ามมีหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอนั่งนิ่งเงียบ มีเสื้อคลุมหลวมๆคลุมร่างไว้ สวมหมวกปีกสั้น ผมสีน้ำตาลดูมีเสน่ห์มาก

 สมัยก่อนจะถือกันว่า หากอยู่ต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะสุภาพสตรีต้องสวมเสื้อคลุมและรองเท้าให้เรียบร้อย ซึ่งพันเอกอิวัตเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาได้ทำตัวไม่สุภาพเข้าให้แล้ว จึงพยายามจะกล่าวคำขอโทษแก่เธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้สนใจต่อคำขอโทษของเขาเลย เธอยังคงนั่งเงียบจนเขารู้สึกอึดอัด

พันเอกอิวัตพยายามกล่าวคำขอโทษเธออีกครั้งคราวนี้เธอเริ่มมีอาการแข็งทื่อขึ้นมาทีละน้อย ตอนนี้เขาเริ่มสังเกตเห็นว่าในมือของเธอถือห่อผ้าที่มองดูคล้ายเปล และเธอก็เริ่มร้องเพลงกล่อมเด็กขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆดังขึ้นทีละนิด แต่เสียงร้องของเธอทำให้เขารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในทันที  ก่อนจะเอะใจขึ้นมาว่าเธอมีลูกมาด้วยหรือนี่แต่เขากลับมองไม่เห็นตะกร้าผ้าเด็กหรือกระเป๋าเดินทางของเธอแต่อย่างใด เขาค่อยๆเข้าไปใกล้เธออย่างช้าๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะหวงแหนสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของเธออย่างมาก ทำให้เขาเริ่มสนใจใคร่อยากจะดูหน้าทารกที่มองไม่เห็นโดยเร็ว

แต่พอเขาขยับไปนั่งตรงกันข้ามกับเธอ ปรากฎว่าเธอหันมาพร้อมกับลืมตาโพลงแล้วก็อ้าปากกว้าง เป็นใบหน้าที่น่ากลัวมากจนเขาไม่มีวันลืมได้ มือของเธอยกขึ้นเหมือนเตรียมพร้อมที่จะปกป้องสิ่งที่อยู่บนตักทุกเมื่อ ทันใดนั้นรถไฟก็เกิดการกระตุกอย่างแรง จนพันเอกอิวัตหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนที่จะรู้สึกตัวในเวลาต่อมา ก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นหายไปแล้ว…

เขาพยายามเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พนักงานรถไฟฟัาและถามถึงหญิงสาวที่เขาเพิ่งได้เจอมา ปรากฏว่าไม่มีใครเคยเห็นเธอเลย แต่พอเขาบอกว่าเธอมีเด็กมาด้วย พนักงานรถไฟก็ทำท่าตกใจและดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง พร้อมกับเล่าให้เขาฟังว่า เมื่อประมาณหกปีก่อนมีคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งเดินทางไปฮันนีมูนที่ลอนดอนโดยรถไฟขบวนนี้ แต่ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าบ่าวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
 ทำให้หญิงสาวคนนั้นเสียใจมาก เธอกอดร่างของคนรักไว้แนบอกตลอดเวลา ต่อมาเธอก็ช็อกจนเสียชีวิตตาม จากนั้นก็มีคนเห็นวิญญาณของเธอปรากฏกายให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง ว่ากันว่าวิญญาณผีที่ตายโหงนั้นกว่าจะได้ไปเกิดต้องคอยหลอกหลอนเพื่อนมนุษย์อยู่นาน

แล้วคุณล่ะเคยประสบเหตุการณ์เช่นที่พันเอกอิวัตเคยเจอมาแล้วบ้างหรือเปล่า!!!!

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4166

1046
วิญญาณที่ถูกลืม :074:

 ว่ากันว่า  เมื่อร่างกายของคนเราสูญสลายไปแล้วนั้น  สิ่งที่จะยังคงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอยรอเวลาไปเกิดใหม่ แต่ในบางครั้งอาจจะยังมีวิญญาณจำพวกหนึ่งซึ่งยังคงวนเวียนอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกับความสุขครั้งใหม่ในชีวิตเลย  อะไรที่ทำให้วิญญาณเหล่านั้นต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้  มันคือความผูกพันธ์ของวิญญาณเหล่านั้นที่มีต่อคนบนโลกมนุษย์ซึ่งไม่สามารถลบเลือนไปได้ หรือว่ามันจะหมายถึงความน่าสะพรึงกลัวบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้ากันแน่

 เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกับครอบครัวของอัลเลน   โดยมีโรเบิร์ต เป็นหัวหน้าครอบครัว   ซึ่งอาศัยอยู่กับเบ็ตตี้  ภรรยาสาวและลูกชายวัย 5  ขวบ  ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชานเมืองแมนเชสเตอร์  ประเทศอังกฤษอย่างสงบมานาน จนกระทั่งในปี 1996 ที่ผ่านมา  ครอบครัวอัลเลนก็ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดขึ้น  เมื่อเบ็ตตี้ ภรรยาสาวสวย ถูกฆาตกรใจอำมหิตฆ่าข่มขืนและนำศพไปหมกทิ้งในกอหญ้า  ห่างจากบ้านของเธอเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ซึ่งแม้ว่าในภายหลังฆาตกรจะถูกจับตัวมาลงโทษได้  แต่สิ่งที่ครอบครัวอัลเลนต้องสูญเสียไปนั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้

 และนอกเหนือไปจากความเศร้าโศกเสียใจแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องประสบในเวลาต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความน่าสะพรึงกลัวอันเกิดจากวิญญาณของเบ็ตตี้ซึ่งตามมาหลอกหลอน และสร้างความเขย่าขวัญให้กับครอบครัวอัลเลนโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งที่หลังจากเบ็ตตี้เสียชีวิตไปได้ 2 ปี เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นยังคงดูเงียบสงบปราศจากเหตุการณ์ร้ายแต่อย่างใด ทุกวันโรเบิร์ตจะพาลูกชายของเขาไปเคารพสุสานของเบ็ตตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปไม่กี่ร้อยเมตร และทำเช่นนี้เป็นประจำจนกระทั่งไม่นานโรเบิร์ตได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง และได้อพยพครอบครัวไปอยู่ทางตอนใต้ ซึ่งนับจากนั้นมาโรเบิร์ตก็ปล่อยให้สุสานของเบ็ตตี้ตั้งอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวปราศจากการเหลียวแล แม้กระทั่งลูกชายของเขาเองก็ไม่เคยถามถึงมารดาอีกเลย ซึ่งดูเหมือนว่าการที่วิญญาณของเบ็ตตี้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายเช่นนั้น มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่าสยดสยองที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

เหตุการณ์สยองขวัญดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงที่โรเบิร์ตกับลูกชายพร้อมด้วยภรรยาใหม่ไปพักอาศัยอยู่  เรื่องราวมันเริ่มขึ้นมาจาก  ในตอนตีสองของทุกคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เบ็ตตี้ถูกฆาตกรรม มักจะมีคนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินร้องห่มร้องไห้ไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ปากของเธอก็พร่ำร้องหาสามีและลูกชายตลอดระยะทางที่เธอเดินผ่านไป  และไม่ว่าเธอจะเดินผ่านไปทางไหน ทุกคนจะได้กลิ่นเหม็นสาปสางโชยมาตลอดเวลา  และเมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า  ชาวบ้านก็เริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร  พอตกดึกทุกคนก็จะปิดประตูบ้านไม่มีใครกล้าออกไปไหน  เป็นอย่างนี้อยู่นาน จนชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มทนไม่ได้  จึงได้จ้างวานหมอผีชื่อดังคนหนึ่งมาปัดเป่าวิญญาณของเบ็ตตี้ให้พ้นออกไปจากหมู่บ้าน  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาคอยสร้างความหวาดผวาให้กับพวกเขาอีก  แต่มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน

เพราะปรากฏว่าวิญญาณของเบ็ตตี้ไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่วิญญาณของเธอกำลังล่องลอยตามสามีและลูกมาต่างหาก โดยในคืนวันหนึ่ง ขณะที่โรเบิร์ตกำลังพาลูกชายของเขาเข้านอน จู่ๆก็มีลมพัดมาวูบใหญ่จนทำให้หน้าต่างบนห้องเปิดกว้างออก และสิ่งที่โรเบิร์ตกับลูกชายมองเห็นในขณะนั้นก็คือ ร่างของเบ็ตตี้กำลังลอยวนไปมาอยู่เหนือระเบียงห้องซึ่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน  สภาพของเบ็ตตี้ในตอนนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเมื่อตอนที่โรเบิร์ตเห็นในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาเขาไปดูศพของเธอ  แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ใบหน้าของเธอเริ่มเน่าเฟะและส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วห้อง  และเมื่อลูกชายของเขามองเห็นหนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยไปทั่วร่างกายของมารดา เด็กน้อยก็หันมากอดโรเบิร์ตไว้ซะแน่นด้วยความกลัว  ในขณะที่โรเบิร์ตเองก็เริ่มตื่นตระหนกยิ่งขึ้น  แม้สิ่งที่เขามองเห็นอยู่ตรงหน้าในขณะนั้นจะเป็นร่างภรรยาของเขาก็ตาม  แต่เธอก็ดูน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะทนมองต่อไปได้

ในตอนแรกนั้นโรเบิร์ตเข้าใจว่า วิญญาณของเบ็ตตี้คงยังรักและห่วงใยลูกน้อยวัย 5 ขวบของเธออยู่ จึงยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ แต่โรเบิร์ตอาจจะ ยังไม่ทราบว่า  ในเวลานั้น วิญญาณของเบ็ตตี้ไม่ใช่ภรรยาผู้อ่อนโยนและใจดีคนเก่าของเขาอีกต่อไปแล้ว  เธอได้ผ่านความรู้สึกที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณ  ความรู้สึกที่ต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย  จนมันสั่งสมและได้กลายเป็นรอยแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเธอเสียแล้ว

ดังนั้น เมื่อเบ็ตตี้เห็นลูกน้อยแสดงท่าทีหวาดกลัวต่อวิญญาณของเธอผู้เป็นแม่  มันจึงได้สร้างความโกรธให้เธอเป็นอย่างมาก  พร้อมกับลั่นปากออกมาว่า  เธอจะฆ่าทุกคนที่ทอดทิ้งและทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เพียงเดียวดาย  และในวินาทีนั้น   เบ็ตตี้ก็ได้ยื่นมือของเธอมาจับร่างของโรเบิร์ตเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับฝาผนังห้อง  และหันมามองลูกชายของเธอที่ตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง พร้อมกับร้องเรียกให้เข้ามาหาเธอ แต่เมื่อเด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ  วิญญาณของเบ็ตตี้ก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ  เธอขว้างปาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนย่อยยับด้วยอารมณ์แค้น  แต่มันก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง  เพราะเมื่อเธอมองเห็นลูกน้อยร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจกลัว  ความโกรธของเธอก็เริ่มอ่อนลง  และในไม่ช้าร่างของเธอก็ค่อยๆเลือนหายไป

ในเช้าวันต่อมา  โรเบิร์ตรีบพาลูกชายของเขากลับไปยังสุสานของเบ็ตตี้  เขาจัดการขุดเอาศพของเธอขึ้นมาเพื่อนำไปฝังใกล้ๆกับบ้านพักที่เขาและลูกอาศัยอยู่ในปัจจุบัน  ถึงแม้โรเบิร์ตและลูกจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าเมื่อไรที่วิญญาณของเบ็ตตี้จะยอมไปเกิดและพวกเขาจะต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้วิญญาณของเบ็ตตี้ออกอาละวาดสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนอีกต่อไป

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4075

1047
ผีตุ๊กตา

 เชื่อว่าเมื่อเล็กๆ     เด็กผู้หญิงทุกคนต้องเคยเล่นตุ๊กตากันมาบ้างแล้ว     แต่ถ้าสักวันหนึ่ง  ของเล่นชิ้นนี้ของคุณ ได้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาผีสิง  คุณจะรู้สึกเช่นไร  เราไปฟังเรื่องราวอันน่าสยองขวัญ  ที่เกี่ยวกับตุ๊กตาผีกันดีกว่า
 ในปี ค.ศ. 1880 ที่หมู่บ้านโบเดก้า  ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก  มีเด็กหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตลง ในขณะที่มีอายุได้เพียง 8 ขวบ  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่อย่างมาก   และก่อนที่ศพของเธอจะถูกนำไปทำพิธีทางศาสนา   พ่อกับแม่ของเด็กหญิงคนนี้  ได้ตัดสินใจพิมพ์รูปแบบใบหน้าของเธอ  แล้วนำมาทำตุ๊กตา เพื่อไว้เป็นที่ระลึก  เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 นอกจากนี้เส้นผมยาวสีบรอนซ์ของเด็กหญิงคนนี้  รวมทั้ง ขนตา  และคิ้ว  ก็ถูกถอนออกมา 
เพื่อใส่ให้กับหุ่นตุ๊กตา ที่เป็นตัวแทนของเธอนั่นเอง ก่อนที่ตุ๊กตาตัวนี้จะถูกตั้งไว้ภายในบ้าน อยู่เป็นเวลาหลายปี  แต่เมื่อพ่อกับแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้เสียชีวิตลง 

 ตุ๊กตาตัวแทนของเธอ ก็มีคนมานำเอาไปเก็บรักษาไว้  จนสุดท้าย จึงได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของ   พิพิธภัณฑ์เตุ๊กตาและของเล่น  โดยมีชาร์ลีน เวเบอร์  เป็นผู้ดูแลพิพิธภํณฑ์แห่งนี้
 พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาและของเล่น แต่เดิมเป็นเพียงโรงนาเก่าๆหลังหนึ่ง  ก่อนที่ชาร์ลีนจะดัดแปลงให้มาเป็นพิพิธภัณฑ์  เพื่อเก็บตุ๊กตาและของเล่น  และเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมได้  ภายในจะมีตุ๊กตาขนาดต่างๆ   ตั้งแต่สูงครึ่งนิ้ว    ไปจนถึงสูงเท่าคนจริง     และมีตั้งแต่ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นในปี  ค.ศ. 1930  ไปจนถึงตุ๊กตาสมัยศตวรรษที่ 19  ทั้งที่ทำจากกระดาษอัด กระเบื้องเคลือบ  ไม้ เศษผ้า  ขี้ผึ้ง  และ ตุ๊กตาที่สร้างด้วยเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเด็กหญิงคนนี้ด้วย

 เรื่องราวของอาถรรพ์ลี้ลับ  จึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่ชาร์ลีนได้ตุ๊กตาตัวนี้มา  ในคืนวันหนึ่ง  ขณะที่ชาร์ลีนกำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ในบ้านหลังใหญ่     ก็มีเสียงคล้ายเสียงกระจกแตก  ดังขึ้นในห้องเก็บตุ๊กตา ภายในพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ ไปอีกประมาณ 100 ฟุต

เสียงของมันดังมาก  จนทำให้ชาร์ลีนสะดุ้งตื่น  จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บตุ๊กตาทันที  ที่นั่นเธอเห็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิง  นอนหงายอยู่กับพื้น  รอบบริเวณมีเศษกระจกแตกหล่นอยู่ทั่ว  ชาร์ลีนไม่แน่ใจว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นหล่นลงมาจากบนชั้นวางได้อย่างไร  ในเมื่อหน้าต่างทุกบานในห้องนี้ถูกปิดสนิท  จึงไม่น่าจะมีลมเล็ดลอดเข้ามาได้  และจะว่ามีใครเข้ามาขโมยตุ๊กตา แต่เผลอปัดตกลงมา  ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะก่อนที่ชาร์ลีนจะเข้ามาในห้อง  ประตูและหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท  ไม่มีร่องรอยการงัดแงะแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่ทำให้ชาร์ลีน รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ก็คือ  ในขณะที่เธอกำลังจะนำตุ๊กตาขึ้นวางบนชั้นตามเดิมนั้น    เธอก็มีความรู้สึกว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่  คล้ายกับถูกสายตาของคน  จ้องมองยังงัยยังงั้น  แต่ชาร์ลีนก็ไม่ได้เก็บเอามาวิตกอะไรมากมาย   เธอดิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง  แต่เหตุการณ์ประหลาด  ก็ยังคงเกิดขึ้นตามมาไม่มีหยุดหย่อน   ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น  มันยังตามมาหลอกลอนเธอถึงที่บ้านอีกด้วย   เมื่ออยู่ดีๆ แมวที่ชาร์ลีนเลี้ยงไว้ก็ตายลงโดยไม่รู้สาเหตุ  แต่ก่อนที่มันจะตาย  เธอเห็นมันวิ่งพล่านไปมาทั่วบ้าน  คล้ายกับหนีอะไรบางอย่าง

ขณะเดียวกัน หลายครั้งที่ชาร์ลีน  มีความรู้สึกว่า  กำลังมีใครคอยเดินตามเธอไปทั่วบ้าน  และก็ยิ่งชัดเจนขึ้น  เมื่อเธอรู้สึกว่า  คนๆนั้นอยู่ใกล้เธอ  จนเธอได้ยินเสียงลมหายใจของเขา  แต่เมื่อหันไปมอง  ก็กลับไม่พบเห็นใครเลยและทุกๆคืน  ชาร์ลีนก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง   เดินโขยกเขยกขึ้นบันไดมา  และมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของเธอ     ชาร์ลีนพยายามข่มความกลัว   เพื่อที่จะเดินไปเปิดประตูห้อง  แต่เธอก็ไม่พบเห็นใครที่หน้าห้องเช่นเคย

ต่อมาเพื่อนของชาร์ลีน    ได้จัดพิธีเข้าทรงขึ้นที่บ้าน   เพื่อค้นหาความจริงของเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้น  ทำให้ชาร์ลีนทราบว่า  เมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา    บ้านหลังนี้เคยเป็นของครอบครัวแม็คคูเอน  ซึ่งมีลูกสาวคนเดียว แต่เธอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม  พ่อกับแม่ของเธอจึงต้องขังเธอไว้ในห้อง  ซึ่งคาดว่าจะเป็นห้องเดียวกับ  ห้องนอนของชาร์ลีนในปัจจุบัน  จนกระทั่งเด็กหญิงคนนั้นตายไป  เธอก็ไม่เคยได้ออกมาจากห้องของเธอเลย


หลายคนเชื่อว่า  วิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้น คงอาศัยอยู่ในร่างของตุ๊กตา  เนื่องจากเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเธอไม่ได้ถูกเผาทำลายไป  จึงทำให้เธอไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที  และการที่เธอถูกกักขังมาตลอดชีวิต  จึงทำให้วิญญาณของเธออาละวาด  เมื่อชาร์ลีนนำตุ๊กตาตัวแทนของเธอไปใส่กรอบกระจก

และการที่ชาร์ลีนมีความรู้สึกเหมือน      มีใครเดินตามเธอไปทั่วบ้านนั้น    คงเป็นเพราะ  เมื่อยังมีชีวิต   เด็กหญิงคนนั้น  ไม่มีโอกาสได้เดินไปไหนมาไหนภายในบ้านเลย    ชีวิตของเธอต้องจมปลักอยู่แต่ภายในห้องนอน  และแม้กระทั่งตาย  พ่อกับแม่ของเธอก็ยังกักขังวิญญาณของเธอไว้ในร่างของตุ๊กตาอีก  จนกระทั่งมันกลายมาเป็นตุ๊กตาผีสิงในที่สุด!!!


   ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4007

1048
ผีพราย....ประจำคลองประปา 2/2

และพอเพื่อนของผมหยุดว่ายเท่านั้น  เจ้าสิ่งที่ว่าก็ยังพยายามฉุดเขาให้ลงไปใต้น้ำ  ยังดีที่เพื่อนผมเขาว่ายน้ำแข็งพอสมควร  เลยสามารถ
 ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ แต่ก็เล่นเอาสำลักน้ำไปหลายอึก ตอนแรกเพื่อนผมเขาก็นึกว่าเขาเป็นตะคริว  ซึ่งขามันก็น่าจะชาและไม่มีความรู้สึกอะไร  แต่เพื่อนผมกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจับขาของเขาอยู่  เขาก็เลยพยายามสะบัดขาไปมาเพื่อให้เจ้าสิ่งที่ว่านั้นหลุดออกไป  แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล  จนเขาเริ่มอ่อนแรงลงในที่สุด  ยังดีที่เขายังสามารถตะโกนเรียกชื่อผมออกมาได้  ไม่งั้นผมว่าเขาอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าคลองประปาไปอีกคนแล้วก็ได้
 

หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้นแล้ว  ผมกับเพื่อนก็ไม่กล้าไปว่ายน้ำที่คลองประปาอีกเลย  แต่ก็ได้ยินชาวบ้านเขาพูดๆกันว่า  มีคนจมน้ำตายที่คลองประปาอีกแล้ว  คราวนี้รู้สึกว่าผู้เคราะห์ร้ายจะเป็นคนหาของเก่าหรือยังงัยนี่แหละ เพราะมีคนเห็นรถซาเล้งคันนึงจอดอยู่แถวนั้นหลายวัน ก็ยังไม่มีใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ   ก็เลยคาดว่าจะเป็นของคนตาย ตำรวจก็สันนิษฐานว่า ผู้ตายคงจะลงไปเล่นน้ำในคลอง แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้จมน้ำตายได้
 
 
แต่ชาวบ้านเขาก็ยังพูดกันต่อๆมานะว่า อาจจะเป็นฝีมือของผีพรายที่อาศัยอยู่ในบริเวณคลองประปาก็ได้  เขาว่ากันว่าวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว   จะกลายเป็นผีพรายและอาศัยอยู่บริเวณนั้น  เวลาที่ใครลงมาเล่นน้ำ  ผีพรายก็จะคอยฉุดดึงขาเอาไว้  ถ้าใครว่ายน้ำไม่แข็งจริงๆก็อาจมีสิทธิ์จมน้ำตายได้  แล้วอีกอย่าง ตอนที่พวกเขาไปดูศพของชายคนนั้นยังเห็นเลยว่า  ที่ข้อเท้าของเขามีรอยจ้ำๆสีเขียวอยู่หลายจุดเลยทีเดียว  แถมบริเวณที่พบศพ ยังมีรอยดินยุบลงไปเล็กน้อย ขนาดกว้างประมาณตัวคน แต่รอยมันไถลยาวลงไปถึงผิวน้ำเลยทีเดียว   มองดูแล้วเหมือนกับมีใครถูกลากลงไปในน้ำยังงัยยังงั้น
 
 
พอผมกับเพื่อนได้ยินดังนั้น  ก็เลยนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดกับเพื่อนผมขึ้นมาทันที  หรือที่ชาวบ้านเขาพูดกันจะเป็นความจริง เพราะจนถึงทุกวันนี้ ผมกับเพื่อนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า รอยจ้ำสีเขียว ที่คล้ายกับรอยนิ้วมือคน ที่ปรากฏอยู่บนขาของเพื่อนผมนั้น  มันคือรอยนิ้วมือของใครกันแน่!!!!

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3919

1049
ผีพราย....ประจำคลองประปา 1/2

 หลังจากที่ผมเกษียณอายุราชการได้ไม่นาน  ผมก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่   ตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้วหล่ะ  แต่ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว  สมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ  และสอบเข้ารับราชการที่หน่วยงานแห่งหนึ่งย่านสามเสนได้   ผมกับเพื่อนก็เลยมาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน  ก็ย่านริมคลองประปานั่นแหละ
 
                พูดถึงคลองประปาขึ้นมาทีไร  ผมก็อดที่จะขนลุกไม่ได้  เพราะอะไรน่ะเหรอ  ก็ประสบการณ์สยองขวัญที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้  มันเกิดขึ้นที่นี่นั่นเองคนกรุงเทพฯในสมัยก่อนรู้จักคลองประปาเป็นอย่างดี  เพราะนอกจากจะเป็นคลองระบายน้ำแล้ว     คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ยังใช้น้ำบริเวณนี้ในการหุงหาอาหาร  ดื่มกิน  และใช้ชำระล้างร่างกายอีกด้วย  ทั้งที่สมัยก่อน เจ้าหน้าที่ของทางราชการจะนำป้ายมาปักไว้   ไม่ให้ลงไปเล่นน้ำในบริเวณคลองประปา  แต่ทว่าก็ยังมีคนที่ฝ่าฝืนลงไปว่ายน้ำเล่นอยู่ดี
 
               เหตุที่เจ้าหน้าที่เขาห้ามไม่ให้ประชาชนลงไปเล่นน้ำบริเวณนี้  เพราะว่ามีข่าวออกมาว่าบริเวณมีคนประสบอุบัติเหตุจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก  ดังนั้นเขาคงกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหล่ะมั๊ง  ช่วงแรกๆที่เจ้าหน้าที่เขาเอาป้ายไปปักไว้  ผมก็เห็นว่าไม่ค่อยมีใครลงไปเล่นน้ำบริเวณนั้นเท่าไหร่  แต่พอนานไปก็เริ่มไม่มีใครสนใจป้ายประกาศซักเท่าไหร่แล้ว   ยังคงลงไปเล่นน้ำกันอย่างสบายใจ

ผมกับเพื่อนเอง  พอถึงวันหยุดก็ชอบชวนกันไปว่ายน้ำแถวนั้นเหมือนกัน  สมัยนั้นบริเวณริมคลองประปายังไม่มีรถยนต์แล่นพลุกพล่านเหมือนอย่างในปัจจุบัน  บรรยากาศสองข้างทางจึงค่อนข้างดูน่ากลัวอยู่ซักหน่อย  ผมจำได้ว่าวันนั้นที่ผมลงไปเล่นน้ำกับเพื่อน  มันก็ใกล้จะมืดแล้วหล่ะ  อากาศก็เริ่มเย็นลง  ยิ่งน้ำในคลองด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง   เย็นจับขั้วหัวใจเชียวแหละ

ผมเลยบอกเพื่อนไปว่า  ให้รีบๆอาบ เพราะน้ำเย็นแบบนี้ อาจมีสิทธิ์เป็นตะคริวได้ง่าย  หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว  ผมกับเพื่อนก็กระโจนลงไปในน้ำทันที  พร้อมกับดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน  เวลาผ่านไปไม่นาน  จู่ๆเพื่อนผมก็ร้องตะโกนขึ้นมา
“ เฮ้ย!! มีอะไรเกี่ยวขากูก็ไม่รู้ ”ผมหันไปทางเพื่อน  ก็เห็นเขากำลังสะบัดขาไปมาอยู่ใต้น้ำ  เหมือนกับพยายามจะเอาอะไรออกไป  ผมเลยถามเขาว่าเป็นอะไร  เขาก็ยังบอกว่ามีอะไรเกี่ยวขาเขาอยู่ไม่รู้

ผมเลยบอกให้เพื่อนรีบว่ายเข้าฝั่ง  แต่เขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  เขาบอกว่าตอนนี้ขาเขาแทบจะไม่มีแรงแล้ว  ผมเลยต้องว่ายไปหาเขาและลากตัวเขาเข้าฝั่งทันที  ตอนนั้นผมต้องออกแรงค่อนข้างมาก ทั้งที่เพื่อนก็ตัวเล็กกว่าผม แต่ขณะที่ผมกำลังพยายามดึงตัวเพื่อนให้มาอีกทางอยู่นั้น  ก็รู้สึกเหมือนกับมีใครดึงเขาให้กลับไปทุกที   แต่ในที่สุดผมก็สามารถลากเพื่อนเข้าฝั่งจนได้
 
ผมกับเพื่อนขึ้นมานั่งหอบอยู่บนฝั่งสักพักหนึ่ง  เพื่อนผมก็ยกขาของเขาขึ้นดู  เพราะอยากจะรู้ว่ามีอะไรเกี่ยวขาของเขาอยู่   แต่แล้วพวกเราก็ต้องตกใจสุดขีด  เพราะที่ขาของเพื่นผมมีรอยเขียวเป็นจ้ำๆปรากฏให้เห็นอยู่หลายจุดเลยทีเดียว แถมพอลองมองดีๆ ก็เห็นว่ารอยเขียวๆที่ว่ามันช่างเหมือนกับรอยนิ้วมือของคนยังงัยยังงั้นเลย
 
ตอนนั้นใบหน้าของเพื่อนผมเริ่มซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด  อย่าว่าแต่เขาเลยครับ  ตัวผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน  ผมละล่ำละลักถามเพื่อนไปว่า   ตอนที่เขารู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาเกี่ยวขาเขาไว้นั้น   เขามองเห็นหรือเปล่าว่ามันคืออะไร เพื่อนผมก็พยายามนึก   และบอกว่าตอนแรกเขารู้สึกเหมือนมีอะไรลื่นๆปัดไปปัดมาอยู่บริเวณขาของเขา แต่สักพักก็หายไป  เพื่อนของผมก็เลยว่ายน้ำต่อไม่ได้สนใจอะไร แต่พอว่ายไปได้สักพัก ก็เหมือนมีอะไรมาดึงขาเขาไว้  เพื่อนผมบอกว่าเขาพยายามว่ายน้ำต่อแต่ก็ว่ายไปไม่ได้ไกล  เพราะเจ้าสิ่งที่ว่านั้นมันพยายามดึงเขาให้ถอยหลังกลับไปทุกที


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3919

1050
คำสันนิษฐานเรื่องอดีตชาติ

หลวงพ่อนี่พวกนักรู้นักญาณทั้งหลายเขาก็มาว่าว่าหลวงพ่อคือรัชกาลที่ ๔ มาเกิด เอ้า..ใครจะมาเกิดมันไม่สำคัญ มันสำคัญว่าในปัจจุบันนี้เราจะเอาดีได้หรือเปล่า อยู่กันที่ตรงนี้ เอาชาตินี้แหละเป็นสำคัญ ชาติก่อนมันก็แล้วไปแล้ว ดีชั่วเราก็ทำไว้แต่ชาติก่อนแล้ว ทีนี้มาชาตินี้เราเกิดมาได้มามีความรู้อย่างนี้ความเห็นอย่างนี้ ทำอย่างไรมันจึงจะดีขึ้นกว่าชาติก่อน

พิจารณากาละเทศะ

     เรามาหาครูบาอาจารย์เราต้องสังเกตสังกาดูลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์ หรือญาติโยมที่ไปมาหาสู่ มันต้องศึกษาให้รู้เรื่อง ใครมาดี ใครมาร้าย ทีนี้คนที่มานี่จิตมันก็รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย แต่มันบอกไม่ถูกว่าใครคนนี้มาดีหรือมาร้าย แต่มันคล้าย ๆ กับว่ามันรู้อยู่ในทีนั่นแหละ หลวงพ่อนี่กว่าจะคุยเป็นกันเองได้กับผู้คนนี่มันไม่ใช่ย่อยนะ ถ้าไม่ไว้วางใจกันจริง ๆ จ้างอีก เรื่องมารยาทผู้ดีผู้เลวนี่หลวงพ่อเรียนจบมาแล้ว สมัยที่หลวงพ่อไม่มีการศึกษา ไม่มีการสังคม หลวงพ่อมีแต่สันดานไพร่ พอไปคบค้าสมาคมกับเจ้ากับนาย รัฐมนตรี เขาสอน เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงเป็นได้ทั้งผู้ร้ายและผู้ดี

    เราเข้าไปสังคมใดเรามองดูพั้บ สังคมนี้เขาแสดงกันอย่างไร เราดูระหว่างพระสงฆ์กับญาติโยมเขา เขาแสดงต่อกันอย่างไร เราก็จับได้แล้วว่าเขาแสดงอย่างนี้ เราก็แสดงตามเขา ทีนี้อย่างปกติอย่างนี้ใครเอาเครื่องของสังฆทานมาประเคนทั้งถัง อันนี้มันเป็นของของเรา เราก็บอกได้เต็มที่ แต่ในเมื่อไปอยู่ในสังคมนั่งเรียงแถวล่ะก็ หัวหน้าเขารับ ๆ ๆ เราจะปฏิเสธไม่ได้ เราต้องรับ นี่อย่างนี้เป็นต้น เขาจะเอาซองเงินมาใส่ย่าม เราทำเฉย เมื่อเขาคว้าย่ามไปใส่ เราก็ไม่ห้าม เราไม่สำคัญมั่นหมายว่าอะไรมันเป็นอะไร เขาใส่มา ถ้าหากว่าเราข้องใจ ทางพระวินัย เราดูคนขับรถฐานะมันแค่ไหน มันเป็นลูกจ้างเขาหรือเป็นนายทุน ถ้ามันเป็นลูกจ้างเขาเราก็จับยัดใส่กระเป๋าให้มัน ถ้าหากว่ามันเป็นเจ้าเป็นนายมันมั่งมีศรีสุข พอมันมาส่งเราแล้ว เอามาวางไว้ เอ้อ..อันนี้ เงินนี้พระถูกต้องแล้ว ใครจะเอาไปทำประโยชน์อะไรก็เอาไปซะ

   ในบางกรณีที่เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เสียหายรุนแรงเกินไป พออนุโลมก็อนุโลม บางทีเขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะไปว่าตักเตือนเขา บางทีเขาไม่พอใจ ก็พยายามให้เขารู้สึกสำนึกตัวเอง

ยินดีเพียงปัจจัย ๔

   ถ้าจะว่าโดยสภาพความเป็นจริงแล้วนี่ เงินนี่ไม่เห็นมีอะไรที่น่ายินดี ในความรู้สึกหลวงพ่อนี่ไม่เห็นมีอะไรที่น่ายินดี สิ่งที่ยินดีคือปัจจัย ๔ จีวร ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค แล้วก็อาหารบิณฑบาต เพราะฉะนั้นทางหลีกเลี่ยงอาบัติท่านจึงให้น้อมจิตยินดีในปัจจัย ๔ ในปวารณาจึงมีคำว่า ขอถวายจตุปัจจัยแด่พระคุณเจ้าจำนวนเท่านั้น จตุปัจจัยนี่หมายถึง จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค ๔ อย่าง ถ้าไปยินดีในตัวเงินตัวทองก็ไม่พ้นอาบัติ
(เคยปรากฏให้เห็นหลายครั้ง ในกรณีที่มีผู้นำเงินใส่ซองมาถวาย หลวงพ่อรับมาโดยไม่ทราบ พอเปิดซองมาเห็นเป็นเงิน ท่านจะสละทันที เมื่อสละไปแล้วหลวงพ่อก็จะบอกว่าไม่ให้นำมาเป็นประโยชน์กับพระอีก)

     สละแบบชนิดที่ว่าทำพิธีสละตามพระวินัยแล้วเอาคืนนี่ มันไม่ใช่เรื่องสละ สละนี่มันต้องโยนทิ้งเลยใครจะเอาก็เอา นั่นมันจึงเสียสละแน่ จึงจะแสดงอาบัติตก สละไปแล้วยังเอาคืนอยู่ ก็แสดงว่ายังยินดีกับเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตนอยู่ มันก็ไม่พ้นอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์


==จบตอนที่ 3==
ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

1051
สอนธรรม

แนวทางปฏิบัติกรรมฐานที่หลวงพ่อสอน บางเรื่องก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติแนวอื่น เช่น

๑. การปฏิบัติสมาธิแบบธรรมชาติ

     พวกชาวบ้านทั้งหลายเท่าที่ฟัง ๆ อยู่นี่ เอาเฉพาะชั่วเวลาหลังวันเกิดหลวงพ่อมาถึงวันนี้ (ปี ๒๕๓๙) มีคนที่ภาวนาเป็นนี่จำนวนหลายสิบคนที่มานั่งถามปัญหาอยู่นี่ แต่ในเมื่อเขามาถามแล้วอธิบายให้เขาฟัง เขามักจะพูดว่าทีอาจารย์อื่นทำไมเขาไม่ว่าเหมือนอย่างหลวงพ่อ อาจารย์อื่นเขาบังคับแต่ให้จิตหยุดนิ่งอย่างเดียว หลวงพ่อบอกเวลาจิตมันนิ่งปล่อยให้มันนิ่งไป เวลามันคิดปล่อยให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเท่านั้น ถ้าเราปล่อยให้มันคิดปรุงแต่งไป เรากำหนดรู้ไป ๆ ๆ ธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้น ๆ พอได้พลังพร้อมเขาจะไปหยุดกึ๊กลงนิ่งปั๊บสว่างไสว สภาวะทั้งหลายมันจะมาวิ่งวนอยู่ที่จิตตลอดเวลา จิตหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ ยืนหยัดอยู่ในความเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ไม่มีคติลำเอียงต่อสิ่งรู้สิ่งเห็น ความยินดีไม่มี ความยินร้ายไม่มี มีแต่จิตนิ่งสว่างเที่ยงตรงอยู่อย่างนั้น อันนี้แหละคือ ฐีติ ภูตัง ที่หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟัง

…ความรู้เรื่องสมาธิในปัจจุบันนี้ที่พระท่านเถียงกันอยู่นี่ สมาธิมีหนึ่งเดียว ใครภาวนาแบบไหนอย่างไร เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด คือจิตจะต้องสงบนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ไม่มีอารมณ์อะไรที่จะมาคิด มีแต่นิ่ง สว่าง อันนี้เป็นสมาธิขั้นสมถะ…

๒. การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนทั่วไปเข้าใจกันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในยามแรก จุตูปปาตญาณ ในยามที่ ๒ และอาสวักขยญาณในยามสุดท้าย แต่หลวงพ่อจะเทศน์ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกวิทูในขณะจิตเดียว แล้วจึงย้อนมาพิจารณาทีละเรื่องจนถึงยามสุดท้ายจึงตัดกิเลส เรื่องนี้หลวงพ่อเริ่มเทศน์ในราวปี ๒๕๓๕

หลวงพ่อไปเทศน์สนามหลวงเมื่อสามสี่ปีก่อน ไปเทศน์เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ดูรายละเอียดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)…ทีนี้พอเทศน์จบเจ้าคุณมหาระแบบกับเจ้าคุณอะไรที่ไปอยู่ประเทศอินเดีย ท่านเดินเข้ามาคุยด้วย เออ..ความเข้าใจเรื่องธรรมะของนักปฏิบัติกับนักปริยัติไม่เหมือนกันนะ หลวงพ่อก็เลยบอกว่า ความเป็นจริงนั่นมันเหมือนกันหมด แต่ว่าเรารู้ขาดกับรู้เกินมันจึงไม่เหมือนกัน ความรู้พอดีมันไม่มีมันจึงแตกต่างกัน

๓. การสอนสมาธิให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน

         วันนี้ไปเทศน์ที่วิทยาลัยครู มีนักศึกษามาฟังประมาณ ๒ พันคน รู้สึกว่าสนใจดี พวกที่เคยไปอบรมสมาธิวัดวะภูแก้วก็มี..พวกเด็ก ๆ เขาสนใจอยู่ แต่ว่าบางทีผู้ให้การอบรมนี่มันไม่สัมพันธ์กับการศึกษาของเขา มีแต่มีแนวโน้มให้เขาทิ้งงานการในหน้าที่ แล้วไปเข้าวัดนั่งสมาธิภาวนา แต่พวกเรา ทำอย่างไรนักศึกษามันจึงจะรู้ตัวว่าเขากำลังฝึกสมาธิอยู่ในห้องเรียน เวลาเขาเรียนนั่นแหละ ทำอย่างไรเขาจึงจะเข้าใจว่าเขากำลังฝึกสมาธิอยู่ นี่ปัญหาใหญ่ของพวกเราอยู่ที่จุดนี้ แล้วอันดับต่อไป ผู้ใหญ่ ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจหรือยอมรับว่าการทำงานคือการฝึกสมาธิ นี่ถ้าหากว่าเราสามารถทำความเข้าใจในสองจุดนี้ได้ คนทั้งหลายจะไม่เบื่อหน่ายต่อการฝึกสมาธิ เพราะว่ามันมีแนวโน้มไปในทางที่ว่าสร้างพลังจิต สร้างพลังสมาธิ สร้างพลังสติปัญญาเพื่อสนับสนุนธุรกิจอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

1052
สร้างบุญบารมี

     เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อนี่มีแต่นั่งกินบุญของคนอื่น อยากจะทำบุญอย่างเขาบ้างก็ไม่ได้ทำเพราะมันไม่เต็ม เวลานี้มันเต็มแล้ว ถึงไม่ใช่มหาเศรษฐีแต่มันก็เต็มแล้ว เต็มทั้งคุณธรรม เต็มทั้งวัตถุธรรม ในเมื่อมันเต็มแล้วมันก็ล้นออกมา ล้นออกมาเป็นทุนการศึกษาเด็กยากจนบ้าง เป็นโรงพยาบาลบ้าง เป็นโรงเรียนบ้างอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ถ้ามันพร้อมแล้วมันก็ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เพียงเอาชื่อไปลงในใบประกาศทอดผ้าป่าเท่านั้นก็ยังได้เงินแสนเงินล้าน นี่ถ้ามันพร้อมแล้วมันก็ล้นออกมาเป็นประโยชน์สังคมอย่างนี้ แม้แต่เรานั่งอยู่เฉย ๆ มันก็ยังมีประโยชน์ ถ้าหากว่าคนรู้จักเอาประโยชน์จากเรา

ขนาดผีมันไปเข้าสิงคนอยู่จังหวัดภูเก็ต มันยังบอกว่าให้ไปทำสังฆทานกับหลวงพ่อพุธที่โคราชจึงจะหมดเคราะห์ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อไม่ค่อยได้ไปภูเก็ตเท่าไรนัก ปีละหนก็ยังไม่เคย ไปแล้วมันไปเข้าสิงคน โอ๊ย เจ้านี่เคราะห์หนัก พวกที่เขาตั้งสำนักทรงนี่แหละ นายคนนี้เคราะห์ร้ายหนักต้องไปทำสังฆทานกับหลวงพ่อพุธที่วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา อุตส่าห์นั่งเครื่องบินมา มาสังฆทานที่นี่

หลวงพ่อสร้างอะไรต่ออะไรนี่ ไม่ต้องไปเที่ยวหาเรี่ยไรใคร เพียงแต่ปรารภก็มีผู้หยิบยื่นให้ นี่เมื่อสองสามวันนี่สร้างอนามัยอยู่ที่วัดวะภูแก้วแห่งหนึ่ง ที่นี่ (วัดป่าสาลวัน) แห่งหนึ่ง หลวงเขาให้ทุนมาแต่มันก็ไม่พอเราก็ต้องช่วยเขา เมื่อสองสามวันผ่านมานี่ขึ้นไปภูแก้ว คุณเปี๊ยกคุณกอบชัยเขานัดพบ เขาถามว่าอนามัยท่านขาดอะไร ขาดแต่รถยนต์รับส่งคนไข้ จะเอามาถวาย แน่ะ..เราบอกว่าคันเดียวไม่พอนะ ต้อง ๒ คัน เพราะว่าอนามัยมี ๒ แห่ง เขาบอกว่าเขาจะไปขอคุณแม่เขาคันหนึ่ง เขาจะให้คันหนึ่ง

    ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอานิสงส์ของการปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ทีนี้บางทีความดีเราทำไม่ถึงและทำไม่จริงไม่จัง แต่เราต้องการผลประโยชน์ มันก็เหมือน ๆ กับชิงสุกก่อนห่าม ความดีไม่ทำแต่ว่าอยากได้ดี เหมือนคนไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ อยากได้ค่าแรงสูง ๆ แต่ทำงานไม่เต็มที่ เบี้ยวงานอยู่เรื่อย ผลประโยชน์ของบริษัทมันลดน้อยลง รายจ่ายมันเพิ่มขึ้น เสร็จแล้วเขาจะเอาอะไรมาเฉลี่ยแบ่งปันให้เรา เพราะเราก็โกงแรงงานเขา โกงเวลาทำงานเขา อะไรทำนองนี้

    เพราะฉะนั้นความจริง ทำจริง ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ขยันไหว้พระสวดมนตร์ เราจะได้ภาคภูมิในคุณงามความดีของเรา อย่างน้อยก็ได้ความสบายใจ เคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีพ่อมีแม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ มันมีอยู่แค่นี้แหละหลักปฏิบัติ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

1053
ศีล ๕ เครื่องควบคุม

     วิชาความรู้ทางคดีโลกนั้น ถ้าหากขาดธรรมะหรือศีลธรรมเป็นเครื่องควบคุม เราก็สามารถจะใช้วิชาการนั้นให้เป็นไปในทางที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง ซึ่งอาจจะยังผลให้สังคมต้องเดือดร้อน วุ่นวายแต่ถ้าเรามีศีลธรรมเป็นเครื่องธรรมเป็นเครื่องควบคุม หรือเป็นแนวทางปฏิบัติเราก็สามารถจะใช้วิชาการนั้น ๆ ให้เป็นไปในทางที่มีคุณมีประโยชน์

     ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้มีความจำเป็นต้องเกี่ยวเนื่องด้วยสมาธิทั้งนั้น สมาธิเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อื่นไกล การปฏิบัติสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เพราะชีวิตมนุษย์เป็นไปด้วยกำลังของสมาธิ คือความมั่นใจ


     เราจะเอาดีกับพระพุทธเจ้า เอาดีกับพระพุทธศาสนา เราต้องทำจิตของเราให้แน่วแน่ต่อคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณของพระพุทธเจ้า จุดเริ่มอยู่ที่ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ทุกคนที่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี มีคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ถ้าใครสามารถมาปฏิบัติสมาธิทำจิตให้สงบ นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบานได้ เป็นจิตพุทธะอย่างแท้จริง

     ความชั่วที่จะละอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ถ้าตามหลักของศีลก็ละตามศีล ๕ นั่นเอง ถ้าตามหลักของการทำงานหรือการเรียน ความเกียจคร้าน ความมักง่าย ความไม่เอาไหน ความไม่จริงใจ ละสิ่งเหล่านี้ สร้างความมั่นใจ หรือตั้งใจมั่น ให้ใจมีสัจจะ สัจจะความจริงใจ ประพฤติสิ่งใดให้ได้สิ่งนั้น


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_2.html

1054
เมตตาธรรม

เมื่อเรามีการเกี่ยวข้องกับคนอื่น เรามีความหวังดีต่อคนอื่นอยากจะให้เขาประพฤติดีปฏิบัติชอบ เมื่อเราให้คำแนะนำตักเตือนเขา ถ้าเขายอมรับ จิตของเราจะทำหน้าที่ให้การอบรมตักเตือนสั่งสอนเรื่อยไป ด้วยความเมตตาปรานี ด้วยความหวังดีที่จะช่วยพยุงการประพฤติกาย วาจา และใจให้มีระดับสูงขึ้น เป็นการสงเคราะห์กันด้วยธรรม เป็นการแสดงความเมตตากันโดยธรรมแต่ผู้ใดไม่ยอมรับฟังโอวาทคำสั่งสอน จิตของผู้รู้พิจารณาแล้วว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะทำให้เกิดมีการร้าวรานแตกความสามัคคีซึ่งกันและกันก็จะหยุดเสีย ผู้ที่มีสมาธิมีสติปัญญาจะต้องเป็นอย่างนั้นเพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนี่ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้ปฏิบัติเอง


ธรรมคือธรรมชาติ

ท่านชายสิทธัตถะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติที่ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้ พระองค์จับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นอารมณ์จิต เมื่อจิตอยู่กับลมหายใจพระองค์ก็ปล่อยให้อยู่ ถ้าจิตพาเกิดความคิดพระองค์กำหนดรู้ความคิด ถ้าจิตว่างกำหนดรู้ความว่าง พระองค์ให้จิตของพระองค์เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง… ลมหายใจ ความคิด ความว่าง เดินวนเวียนกันอยู่ที่ตรงนี้ จนกระทั่งจิตเกิดความแน่วแน่เข้าสมาธิแล้วดำเนินไปตามขั้นตอน
อันนี้คือวิถีทางที่ท่านชายสิทธัตถะได้ปฏิบัติมา พุทโธก็ไม่มี สัมมาอรหังก็ไม่มี ยุบหนอ-พองหนอก็ไม่มี เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด คำพูด ๓ คำนี้เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่มีจะเอาคำพูด ๓ คำนี้จากไหนมาท่อง เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ต้องอาศัยทำสมาธิตามหลักของธรรมชาติ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_2.html

1055
สภาวธรรม

มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ที่เกิดมา ตามกฎของบุญของกรรม แล้วก็จะต้องมีการแก่ การเจ็บ การตาย ไปโดยธรรมชาติ อันนี้เรียกว่าสภาวธรรมที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ    สภาวะอันเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญานั้น เป็นกฎหรือระเบียบ เป็นคำสอนสำหรับกล่อมเกลาสภาวธรรมคือกายกับใจของมนุษย์ให้มีสภาพดียิ่งขึ้น
ดังนั้น   หลักการปฏิบัติเพื่อดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเรียกว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ   พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วนั้น จึงไม่หนีไปจากหลัก คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ก็ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลแต่ละประเภทแต่ละชั้น แต่ละภูมินั้น ย่อมเป็นกฎอันหนึ่งสำหรับกล่อมเกลาสภาวธรรมให้มีสภาวธรรมดีขึ้นและอีกนัยหนึ่ง   การเป็นผู้มีศีลนั้นเป็นการตัดผลเพิ่มของบาปกรรมที่มันจะเพิ่มทวีคูณขึ้นทุกที ๆ


สมาธิที่ถูกต้อง

ลักษณะสังเกตการทำสมาธิ ถ้าหากเราทำสมาธิที่ถูกต้อง ภูมิจิตที่มันเป็นสมาธิที่ถูกต้องนั้นจะมีลักษณะบ่งบอกว่า สมาธิจะต้องทำกายให้เบา ทำจิตให้เบา เบาจนกระทั่งบางครั้งเรารู้สึกว่าไม่มีกายนี้ ลักษณะของสมาธิที่ถูกต้อง แล้วเมื่อเลิกปฏิบัติ คือออกจากสมาธิแล้ว ก็ทำให้กายเบาตลอดเวลา   แม้แต่จะลุกจากที่นั่งนี้   อาการเหน็บชาหรืออะไรต่างๆ   จะไม่ปรากฏ   พอจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้นโพลงก็ลุกขึ้นเดินไปได้เลย    ไม่ต้องดัดแข้งดัดขาอันนี้คือสมาธิที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_1.html

1056
อโหสิกรรม

เมื่อทำกุศลคุณงามความดีให้แก่กล้ามากขึ้น มีกำลังเหนือบาปกุศลกรรมเหล่านั้น ก็บีบคั้นบาปที่ทำไว้ก่อนไม่ให้มีโอกาสที่จะให้ผลได้ ในที่สุดก็เลยกลายเป็นอโหสิกรรมนี่ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม" ทีนี้ถ้าหากว่าบุคคลมาทำบุญกุศลไว้แต่พอสมควร เมื่อภายหลังมาเกิดความเห็นผิดไปทำบาปเสียหายเข้า อันนี้อำนาจของบาปนั้นมันก็บีบคั้นบุญกุศลที่ทำไว้ไม่ให้มีโอกาสได้มีผลแก่ผู้กระทำเลยเพราะว่ามันมีกำลังน้อย บาปมีกำลังมากกว่า บุคคลนั้นจึงต้องประสบแต่ความทุกข์เป็นส่วนมาก

วัตถุมงคล

ครั้งหนึ่ง…มีผู้นำพระบูชารูปหล่อของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ไปให้ท่านอธิษฐานจิต หลวงพ่อท่านกล่าวว่า
"เอาไปทำไม เกะกะรกบ้าน ที่พูดอย่างนี้
ไม่ใช่ดูถูกวัตถุมงคลหรอกหนา
แต่อยากจะให้เข้าใจว่า วัตถุมงคลเป็นเครื่องจูงใจ
ทำกาย ทำวาจา ทำใจ ให้เป็นพระไม่ดีกว่าหรือ"


ทุกข์ 2 อย่าง

พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างของจริงมาไว้ให้เราศึกษา ไม่ได้มาสร้างของจริงไว้ให้เราเรียนรู้ แต่พระองค์รู้ของจริงอยู่โดยธรรมชาติแล้วก็มาบัญญัติชื่อไว้สำหรับให้พวกเราเรียกขาน และได้ดำเนินการปฏิบัติเพื่อให้เข้าไปรู้ของจริงอันนั้น ซึ่งเรียกว่า ทุกขอริยสัจ และอีกอย่างหนึ่ง คำว่าทุกข์ในอริยสัจ นั้น หมายถึงทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ   ซึ่งมีนัยแตกต่างกันกับทุกข์ในพระไตรลักษณ์ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์นั้นเป็นทุกข์สาธารณะทั่วไปทั้งของสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เช่น สิ่งธรรมชาติที่ไม่มีจิต ไม่มีใจ เขาก็ย่อมมีการปรากฏขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดก็สลายตัว แม้ว่าตัวเขาเองจะรู้สึก ไม่รู้สึกก็ตาม แต่มันเป็นกฎธรรมชาติชนิดนั้น   และสิ่งที่มีชีวิตก็อยู่ในกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
คนเราที่เกิดมาแล้ว ทรงตัวอยู่ชั่วชีวิตหนึ่ง ในที่สุดก็ย่อมสลายตัวเหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา ก็มีปรากฎการณ์ขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ทรงตัวอยู่ ในที่สุดต้องสลายตัวเหมือนกัน ซึ่งได้ในกฎพระบัญญัติของพระพุทธเจ้าว่า อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือหาความเป็นตัวเป็นตนไม่มี ดังนั้น ความเป็นไปของคำว่า ทุกข์ในอริยสัจและ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ จึงมีนัยต่างกัน


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_1.html

1057
ปฏิบัติไม่คุ้มค่า

ถ้าท่านลำพังแต่เพียงแค่นั่งสมาธิ 3-4 ชั่วโมง ออกมาแล้ว ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามอำเภอใจ ไม่มีการทำสติกำหนดตามรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านประสบอยู่ มันก็ไม่คุ้มค่า จะไปสำรวมจิตเฉพาะในขณะหลับตานั้นไม่คุ้มเพราะแรงผลักดันที่จะทำจิตของเราให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำนี้มันมีมากเหลือเกิน

เครื่องวัดผล

ถ้าท่านจะเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
ท่านอย่าไปถือพวกถือพรรค
ถือคณะว่าหมู่เขา หมู่เรา อาจารย์เขา อาจารย์เรา
ขอให้ยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง

ธรรม

สัมมาสมาธิ มุ่งให้จิตตั้งมั่นให้รู้จริง เห็นจริง
ภายในจิตใจของตนเอง อย่างน้อยก็ให้รู้ว่า
ใจของเราจิตของเรามันเป็นอย่างไร มันเป็นคนขี้โลภ
ขี้โกรธ ขี้หลง หรืออะไรก็แล้วแต่ อ่านตัวเองให้มันออก
นี้คือจุดที่ต้องการรู้


ศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์
หากใครว่าศาสนาพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์
แสดงว่าผู้นั้นไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง


เราเหงา เราหวังพึ่งคนอื่น สิ่งอื่น
ถ้าใจมันนึกว่า "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็หายเหงา
ทำใจให้มีที่อยู่ ที่อยู่ของใจ คือ วิหารธรรม
ถ้าใจยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่างแน่วแน่ ก็หายเหงา


ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติไม่ถึง
ไม่ถึงขั้นสละชีวิตเพื่อข้อวัตรปฏิบัติ
เราขาดความอดทน
ทำไม่ถึง แล้วก็ทำไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นต้องทำให้มาก ๆ
อบรมให้มาก ๆ มันถึงจะก้าวหน้า


ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่
ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี อรหันต์
คนนั้นไม่ใช่…
เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น


ในประเทศไทยนี่เรามีแต่เกจิอาจารย์เก่ง ๆ ทั้งนั้น
อาจารย์ไหนประกาศออกมาก็ของดีร่ำรวยอย่างนั้นอย่างนี้
แต่คนก็จนลงทุกที เพราะอะไร…
เพราะเขาไปคอยแต่ฟ้าดินจะบันดาลให้
คอยแต่เครื่องราง ของขลังของดิบของดีมาช่วย
แต่ตัวเองไม่ช่วยตัวเอง
จงพยายามหาที่พึ่งให้ตนเอง
คนที่หาพึ่งแต่คนอื่น จะพบแต่ความหลอกลวง
เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายคิดหาพึ่งคนอื่น ซึ่งผิดหลักความจริง
จงสร้างสมรรถภาพของตัวเองให้มีจิตใจเข้มแข็ง


เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เป็นหลักสูตรรักษาใจ
วิชาแพทย์เป็นสูตรสำหรับรักษาร่างกาย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างแล้วก็สบาย

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0744_2.html

1058
มิตรภาพที่ยั่งยืน :015:
             
           วันนี้ฉันเข้าสอนนักเรียน ชั้น ม.๕/๔ แทนเพื่อนครูที่ไปราชการ   หลังจากหมดชั่วโมงสอน  ทั้งนักเรียนและครูต่างทยอยออกจากห้องเรียนเพื่อเปลี่ยนวิชา   มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อวิชุดาเดินตามหลังฉันแล้วถามอย่างนอบน้อมว่า 

                 " อาจารย์คะ  ทำยังไงเราจะรักษาความเป็นเพื่อนได้นาน ๆ คะ "
                        "ทำไมหนูถึงถามอย่างนี้ละคะ ?"
                 "หนูขี้เกียจหาเพื่อนใหม่คะ อาจารย์ ?"

          ฉันหยุดคิดสักครู่  แล้วก็คิดถึงคุณธรรมการผูกมิตรตามคำสอนของพระบรมศาสดา หากฉันบอกเด็กไปด้วยภาษาบาลีเด็กคงจำไม่ได้   ได้แต่บอกเป็นคำง่าย ๆ ที่จดจำไม่ยากนัก

                 "หนูก็ต้องใช้คุณธรรมของพระพุทธเจ้าซีคะ เรียกว่าสังคหวัตถุ ๔   

                             ๑. รู้จักให้   ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ
                             ๒. พูดเพราะ ๆ  หนูต้องใช้คำพูดที่อ่อนหวาน  หนูชอบคำพูดยังไงเพื่อนก็ชอบอย่างนั้น
                             ๓. ทำตนให้เป็นประโยชน์  ช่วยเหลือเพื่อน ยามเพื่อนเดือดร้อน
                             ๔. วางตนให้เสมอตนเสมอปลาย  มีจิตใจที่มั่นคง ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ
จนเพื่อนงง
                หนูทำได้สี่ข้อรับรองมิตรภาพของหนูต้องยั่งยืนตลอดกาล..."

         วิชุดา  เดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างยินดีและพอใจ ฉันได้แต่คิดต่อ  แท้จริงความเป็นเพื่อนมันมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่   การที่คนจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างยั่งยืนยังต้องอาศัยความเหมือนกันในเรื่องของ ศีล  และ ทิฏฐิที่เสมอกันจึงจะคบกันได้    ธรรมชาติของสิ่งที่เหมือนกันจะโคจรไปรวมกันในที่สุด  น้ำย่อมไหลไปรวมกับน้ำ  น้ำมันย่อมไหลไปรวมกับน้ำมัน 

        ฉันได้แต่หวังว่า  เมื่อเธอเติบโตขึ้น   เธอจะซาบซึ้งกับความหมายของคำว่าเพื่อนมากกว่านี้   อย่างไรก็ตาม " นกที่ขาดขน  คนที่ไร้เพื่อนย่อมอยู่ไม่ได้"  เพื่อนนับเป็นส่วนเติมเต็มให้แก่ชีวิตเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่าหรือเพื่อนใหม่    สมดังคำกล่าวที่ว่า  " เพื่อนใหม่คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า "

         แล้วผู้อ่านละคะ ?  มีวิธีรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนอย่างไรบ้าง :001:

ขอบคุณที่มา
http://www.gotoknow.org/blog/thamtip6/385732

1059
ประวัติโดยย่อ  นามเดิม ฌอน ชิเวอร์ตัน ( Shaun Chiverton )

พ.ศ. ๒๕๐๑ เกิดที่ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้พบกับท่านอาจารย์ สุเมโธ ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ ถือเพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านอาจารย์ สุเมโธ เป็นเวลา ๑ พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๒๓ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดหนองป่าพง โดยมีหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๔๐-๔๔ รักษาการณ์เจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
ปัจจุบัน พำนัก ณ สถานพำนักสงฆ์ จังหวัดนครราชสีมา
ท่านพระอาจารย์ ชยสาโร เป็นชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แสดงธรรมเทศนาโดยใช้ภาษาไทยได้อย่างสละสลวยเข้าใจง่าย คติธรรมนี้รวบรวมจากธรรมเทศนาของท่าน จึงนำมาเผยแผ่เพื่อผู้สนใจในธรรมะ


ที่มา
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73926

1060
๕. หวังความสำเร็จ แต่ยังอยากเพลินในสิ่งที่เป็นอุปสรรค?

บางคน เห็นพอจะเริ่มนั่งสมาธิก็อ้างโน่นอ้างนี่ผลัดวันไปเรื่อยทีดูหนังดูละคร กลับยอมมีเวลามีข้ออ้างให้กับกิเลสมันอย่างนี้มันไม่ได้...เราจะเอาทั้งความสำเร็จ และเพลินไปกับสิ่งที่เป็นอุปสรรคในเวลาเดียวกันมันย่อมเป็นไปไม่ได้

๖. เพียรกำจัดความคิดที่เป็น "ขยะ"

อาตมาถามจริง ๆ เถิดว่า ในที่นี้มีใครกล้ายอมรับบ้างว่าความคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของเรานั้นเกินกว่า ๑๐ % เป็นความคิดที่เรียกได้ว่าเป็นความคิดในระดับ "ปัญญา"(ห้องเงียบกริบ)

อาตมาว่า ความคิดส่วนใหญ่ของพวกเราที่เกิดขึ้นขอโทษทีเถิดนะ...  ยังเป็นความคิดที่เรียกว่า ความคิดแบบ "ขยะ"เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปด้วยกิเลสต่าง ๆ ไม่มีแก่นสารสาระ

เรารู้จักคิดได้ เราก็ต้องรู้จักระงับความคิดได้นะ อย่าให้มันมาเป็นนายเราบางคนทำงานมาทั้งวัน เลิกงานแล้ว แต่ใจก็ยังไม่ยอมวางงานกลับมาบ้านก็ยังเก็บมานั่งคิดนอนคิดต่ออยู่อีกไม่รู้จบเลิกงานแล้ว เราก็ควรต้องเลิกคิดเรื่องงานได้ มีอะไรพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่ คิดกันใหม่ต่อวันรุ่งขึ้น

๗. ทำชีวิตให้มีแต่ "หน้าที่" แล้วจะไม่มี "ภาระ"

ท่านพุทธทาสเคยเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า เคยมีคนไปเยี่ยมเยียนท่านมาครั้งแรกนั้น ก็สังเกตเห็นอาคารใกล้ ๆ กำลังสร้างอีกสามปีต่อมา กลับมาเยี่ยมอีกครั้ง อาคารก็ยังคงก่อสร้างอยู่ผู้มาเยือนจึงกล่าวขึ้นว่า "อาคารนี้ยังไม่เสร็จอีกนะครับ"หลวงพ่อท่านกลับตอบว่า "เสร็จแล้ว""เท่าที่สร้าง เสร็จแล้ว"
(ท่านพระชยาสาโรบอกว่า) ให้รู้จักมองให้เป็นเรื่อง ๆ รู้จักทำให้เสร็จเป็นขั้น ๆ ไป อย่ามัวแต่ไปกังวลว่า โอย.. ยังมีงานค้างอีกตั้งเท่าไร ๆ สิ้นวันที ทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จเสียที มีแต่ความรู้สึกเป็นหนี้แต่จงมองงานให้เป็นเรื่อง ๆ วันนี้เสร็จอะไรไปบ้างแล้ว พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ

มีสติอยู่กับทุกเรื่องที่ทำ รู้จักเดินทีละก้าว
รู้จักบริหารชีวิตให้เป็นแล้วชีวิตจะมีแต่คำว่า "หน้าที่" ไม่มี "ภาระ" เลย


๘.ไม่มีครับ ไม่เห็นเลย สงสัยว่า ควรปล่อยวางและปล่อยว่าง :054:

๙. แก้ความสงสัยด้วยการปฏิบัติ

บางคนมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติ เพียรถามคนนั้นคนนี้ตรงนี้ ท่านอาจารย์ชาเคยกล่าวสอนเอาไว้อย่างหนึ่งว่า
"ความสงสัยในการปฏิบัติธรรมไม่เคยหายไปด้วยคำพูดคำอธิบายของคนอื่นแต่มันจะหายไป ก็ด้วยการปฏิบัติของตนเอง"
 
ก็เป็นเกร็ดธรรมที่เก็บมาฝากค่ะเอามาฝากไว้เป็นข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเพื่อนผู้กำลังพยายามว่ายทวนกระแสไปเหมือน ๆ กันค่ะ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

1061
๓. อธิษฐานจิตด้วยความเด็ดขาด

      การตั้งจิตอธิษฐานเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมกำลังใจและสร้างความมุ่งมั่นในการเพียรปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีแต่จะต้องเป็นการตั้งจิตอธิษฐานด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่ใช่การอธิษฐานแบบเปิดช่องว่างให้กิเลส
เหมือนคนที่ไปอยู่วัดและตั้งใจจะไม่ทานมื้อเย็นตั้งจิตอธิษฐานว่า "เราจะตั้งใจไม่ทานอาหารเย็นเลยตลอดเจ็ดวันนี้แต่หากทนไม่ไหวจำเป็นจริง ๆ ก็จะหยิบทานเพียงน้อยนิดเท่านั้น"แบบนี้... ก็เท่ากับว่าเปิดช่องว่างให้กับกิเลสแล้ว โอกาสไม่ทำตามมันก็มีได้มาก
หรืออย่างคนบวช พอบวชแล้วพบว่ามีความลำบากกว่าที่คิดก็เกิดความคิดนึกลังเลว่าจะสึกดี หรือจะอยู่บวชต่อดีหนอซึ่งถ้าเราตั้งใจแล้ว ความคิดที่จะสึกจะไม่ใช่ทางเลือกเลย จะไม่มีทางเลือกแบบนั้นมันมีแต่จะคิดหาหนทางเลือกว่า จะอยู่ต่อไปอย่างไร จะทำต่อไปอย่างไรให้ก้าวหน้า

เพราะฉะนั้น จะอธิษฐานจิต ก็ต้องอธิษฐานด้วยความเด็ดขาด

๔. ทุกคนมีศักยภาพที่จะ "ทำได้"

    หลายคนมัวแต่คิดว่าเราไม่มีบุญ ไม่มีบารมีเพียงพอ จึงทำไม่ได้อย่างคนอื่นแต่อาตมาเชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง อาจจะตั้งใจจะละนิสัยบางอย่างที่ไม่ดี แล้วละได้หรืออะไรที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้ แต่แล้วที่สุดเราก็ทำได้
(ท่านทิ้งช่วงเงียบ ๆ ไว้ครู่สั้น ๆ เพื่อให้พวกเราลองนึกทบทวนกันค่ะตัวเองก็นึกย้อนตามไป ก็เห็นว่ามีอยู่ไม่น้อยครั้งจริง ๆ ในชีวิตที่เราก็สามารถเปลี่ยนตัวเองไปสู่สภาวะหรือความสามารถที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้หรือไปถึงได้สำเร็จ)

ขอให้นึกถึงตัวเราในช่วงเวลาเหล่านั้นไว้จำไว้ว่าเราทุกคนเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะทำอะไร ๆ ให้สำเร็จได้ถ้าเราตั้งใจจริง และทำเหตุให้เหมาะสม


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

1062
๑. จงพอใจในทุกย่างก้าว

       ถ้าลองนึกถึงตอนเราเด็ก ๆ นั่งรถไปไหนกับคุณพ่อคุณแม่ถ้านั่งรถไปแค่รังสิตอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านั่งไปเชียงใหม่นี่ซิ จะเฝ้าสะกิดถามอยู่นั่นแลว่า "ถึงยาง... ถึงยาง..." แม้แม่จะตอบว่า "ยังลูก" กี่ครั้ง เราก็ยังเพียรถามอยู่นั่น "ถึงรึยัง.. แม่.. ถึงรึยัง..."
นั่นก็เพราะมิได้มีจิตใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบันการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน จิตใจจะไปคาดคั้นรีบเร่งย่อมไม่ได้มันเป็นหนทางยาวไกล ที่เราต้องอาศัยความอดทนและความเพียรที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอกันไป
ฉะนั้น จงค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใครบางคน เห็นคนอื่นนั่งสมาธิไม่นาน แล้วบอกว่าเห็นโน่นเห็นนี่ แต่เรากลับไม่เห็นอะไรบ้าง ก็คิดว่าเราไม่ก้าวหน้า น้อยใจว่าวาสนาบารมีไม่ถึง
ขอให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน เพียรตั้งใจทำในส่วนของเราให้ดีบางทีการที่เรานั่งสมาธิไม่เห็นอะไรเลยน่าจะดีกว่าเสียอีกเพราะยิ่งถ้าเราไปเห็นโน่นเห็นนี่ ก็จะยิ่งพาลทำให้รู้สึกไปว่าเราเหนือกว่าคนอื่น เราวิเศษกว่าคนอื่น ก็รังจะเพิ่มอัตตาให้กับตัวเอง
ดังนั้น ถ้ามั่นใจว่าทางนี้ "ใช่" แล้ว ทางนี้ถูกต้องแล้ว ทางนี้ควรแล้วก็จงพอใจในทุกย่างก้าวมีสติทำทุกย่างก้าวให้ดี

จงพอใจเมื่อปฏิบัติแล้วเห็นว่าทุกข์นั้นน้อยลง จงพอใจเมื่อปฏิบัติแล้วจิตใจนั้นเบาสบายขึ้น

๒. กำจัดความรู้สึกผิดส่วนตน และมลทินในจิตใจ

     หลายคน ปฏิบัติสมาธิหรือภาวนาไม่ได้ เพราะจิตใจมีความรู้สึก "ยึด" กับความผิดพลาดในอดีตอาจจะเพราะอดีตเคยทำไม่ดีต่อคนอื่น หรือรู้สึกตนเป็นคนไม่ดีด้วยเหตุผลต่าง ๆทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีมลทิน เป็นผู้ไม่สะอาดกระทั่งไม่เหมาะกับสิ่งดี ๆ คือ ธรรม
อาตมาอยากแนะนำให้ลองใช้พิธีกรรมเป็นเครื่องมือคนสมัยนี้อาจมองพิธีกรรมเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะไม่เห็นเป็นไปตามตรรกะแต่เราจะว่ากันแต่ตรรกะสำหรับทุกคน ทุกกรณีไปก็คงไม่ได้เพราะคนเรามีทั้งสมอง และหัวใจ บางอย่างไม่มีเหตุผล แต่ทำแล้วก็กลับมีผลให้เราสบายใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อพิธีกรรมนี้ก็อย่างเช่น ไปถวายสังฆทาน ทำบุญเลี้ยงพระ ฯลฯแล้วก็ปล่อยความรู้สึกผิดของตัวเราไปด้วยกันนั้นเลย แล้วเริ่มต้นกันใหม่บางคนถึงกับเปลี่ยนชื่อ แล้วก็มีผลดีขึ้นทางจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อก็มี

     อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องรู้จักให้อภัยตนเองบางคนให้อภัยคนอื่นทำได้ แต่กับตัวเองกลับไม่ให้อภัยวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองแผ่เมตตาให้กับตัวเราเมื่อห้าปีก่อน สิบปีก่อน ที่เคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้ให้อภัยตัวเราเมื่อครั้งยังมีสติเท่านั้น ยังมีปัญญาเท่านั้น ยังมี

ความเข้าใจเท่านั้นตอนนี้เราเติบโตขึ้นแล้ว มีความเข้าใจที่ถูกที่ควรขึ้นแล้วก็จงให้อภัยและแผ่เมตตาให้กับตัวเองในอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยทิฏฐิที่ถูกที่ควร แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

1063
เกร็ดธรรมเก็บมาฝาก
ชยสาโรภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน Shaun Chiverton)
วัดป่านานาชาติ

ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
๗ สิงหาคม ๒๕๔๔
 
โพสท์ในลานธรรมเสวนากระทู้ที่ 003221 โดยคุณ : กลางชล [ 9 ส.ค. 2544 ]


ภาพจาก http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73926

ความนำ :

    เมื่อสองวันก่อน ที่บริษัทฯ นิมนต์ท่านพระชยสาโร จากวัดป่านานาชาติ จ.อุดรธานีมาเทศน์ให้พนักงานฟังตอนช่วงเย็น ๆ ค่ะ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะจากที่ใคร ๆ คาดหมายว่าจะมีผู้เข้าฟังเพียงไม่มากนัก กลับมีผู้เข้าฟังล้นห้อง ยอมยืนฟังท่านเทศน์ก็มี (เห็นแล้วก็อยากให้บริษัทจัดบ่อย ๆ) ส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จักชื่อของท่านมาก่อนค่ะ แต่ก็ยอมรับว่าท่านน่าทึ่งทีเดียวกับการที่ท่านเป็นชาวอังกฤษโดยดั้งเดิม พูดภาษาไทยไม่ได้มาก่อนเลยและขณะเดียวกัน หลวงพ่อชาซึ่งเป็นครูของท่าน ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน (ขนาดคนที่เข้าใจภาษาไทย ศัพท์และคำอธิบายยังยากสำหรับผู้เริ่มต้นเลยนะคะ) แต่ด้วยความตั้งใจและความเพียรอย่างยิ่งยวดท่านก็สามารถเข้าถึงและเป็นอีกหลักหนึ่งให้พุทธศาสนาได้จนทุกวันนี้แถมท่านยังสามารถเทศน์เป็นภาษาไทยได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าฟังอีกด้วยค่ะ (แต่ขณะนี้ ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่านานาชาติแล้วเพราะท่านได้ปลีกลาไปเพื่อทำความเพียรส่วนตัวอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในโคราชค่ะ)จากที่ได้ฟังธรรมของท่าน ท่านฝากข้อคิดไว้หลายอย่างค่ะ เลยอยากเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝาก  เท่าที่เก็บจำมาได้ ท่านก็สอนประมาณนี้ค่ะ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

1064
ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด 36; 36;
                                                       
ขอบคุณท่าน Kingkhet ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
                                                                                                                                               
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณมากครับ) :054: :054:

ผมเห็นท่าน saken6009 มีความสุข ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วยครับ :002:

1065
ผมPMไปหาคุณทรงกรดแล้วน่ะครับ อ่านรายละเอียดในPMครับ  :003: :003: :003:
ขอบคุณครับ...ตอบไปแล้วขอซองชุดแรกด้วยครับ :054:

1066
ขอบพระคุณครับท่าน ที่ให้ความรู้  :054:
ไม่รู้มาก่อนครับ

1067
ลืมบอกไปว่า เป็นเกร็ดธรรมจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย


---------------------------------
หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะ ฟังธรรมบ่อย
ผลที่เกิดขึ้นในขณะที่หลับ แทนที่จะฝันฟุ้ง
กลับฝันเห็นพระเห็นเจ้าแทน :054:
อย่างน้อยก็เป็นนิมิตฝันที่ดี :002:

1068
อันนี้เป็นยอดแห่งบทสวดมนต์ ให้ทุกคนพยายามท่องจำให้ได้ แล้วพยายามสวดทุกวันๆ ทั้งเวลาเช้าเวลาเย็น   ถ้ามายึดบทสวดตามที่กล่าวนี้อย่างมั่นคงแล้วก็ตั้งใจสวดอย่างต่อเนื่องกันทุกวันๆ    ไม่ต้องไปสวดคาถาบทอื่นก็ได้   ให้สวดเฉพาะเท่าที่กล่าวมานี้   ทำจิตให้มั่นคงต่อบทสวดนี้อย่างแน่วแน่ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก   คาถาชินบัญชร หรือคาถาอื่นๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องสวดก็ได้

     มีนายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อเมื่อ ๒-๓ วันมานี่ เขามาปรึกษาว่า "ทำไมผมยิ่งสวดมนต์ ขยันสวดมนต์ สวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ ๑๐ จบ บทอื่นก็หลายจบ หนังสือยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี่ผมจำได้และสวดได้หมดทุกตัว    ผมนั่งสวดมนต์อยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง   ยิ่งสวดมนต์ไปเท่าไรแทนที่ว่าจิตมันจะเย็นลง   มันกลับทำให้ร้อน   นอกจากมันจะทำให้ร้อนแล้ว ผมกับภรรยาของผมต่างคนต่างสวดเก่งเหมือนกัน แต่พอออกจากห้องพระมาแล้วหาเรื่องทะเลาะกันทุกที ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อ"   

หลวงพ่อก็บอกว่า "บทสวดมนต์ตามที่คุณสวด มันมีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่   ถ้าเกิดสวดมาก ๆ เข้า    มันเกิดมีอาถรรพณ์   มันเป็นพลังมนต์ครอบคลุมจิต มนต์ไสยศาสตร์ทำให้เกิดพลังร้อน   เมื่อเกิดพลังร้อนแล้วมันก็อยากจะลองของ   ในเมื่อหาใครที่จะมาเป็นคู่ปะทะหรือทะเลาะไม่ได้ก็ทะเลาะกันเอง   คนบางคนสวดมนต์ทางไสยศาสตร์    ยิ่งสวดมากเท่าไรจิตใจก็ยิ่งโหดเหี้ยม   นั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์เวลาค่ำคืน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอออกจากที่สวดมนต์ ที่นั่งสมาธิมาแล้วมาทุบตีเมียของตัวเอง   อันนี้มันเป็นเพราะพลังมนต์ไสยศาสตร์บันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น    มนต์อันใดที่มีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ มนต์อันนั้นทำให้จิตร้อน เพราะมันมีพลังร้อน

       แต่พลังของพระพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ พลังพรหมวิหาร มันทำให้เกิดพลังเย็น เป็นไปเพื่อผูกมิตรไมตรีกับสิ่งทั้งปวง   ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย    ไม่พาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน"   เพราะฉะนั้น   ให้นักเรียนทุกคนจำเอาไว้   บทสวดมนต์ที่วิเศษที่สุดก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็แผ่เมตตา ทีนี้เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้ว    จะนั่งสมาธิภาวนาก็นั่งต่อไป   เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว   ก่อนจะลุกจากที่นั่งสมาธิ ให้น้อมจิตน้อมใจอธิษฐานถึงบุญบารมีที่เราได้ปฏิบัติมา แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บิดามารดา   ปู่ย่า   ตายาย ตลอดทั้งสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร ขอให้มารับส่วนบุญที่เกิดจากการปฏิบัติของข้าพเจ้านี้


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0644_1.html

1069
ทีนี้อันดับต่อไปก็ตั้งใจเจริญพรหมวิหาร

อะหัง สุขิโต โหมิ
นิททุกโข โหมิ
อะเวโร โหมิ
อัพยาปัชโฌ โหมิ
อะนีโฆ โหมิ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ

อันนี้บทเมตตาตน ต่อไปก็แผ่เมตตาสัตว์

สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ
สัพเพ สัตตา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ

นี่บทแผ่เมตตา ทีนี้ก็สวดบทกรุณาต่อไป

สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ
สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ

อันนี้ เป็นบทมุทิตา ทีนี้สวดบทอุเบกขาต่อไป

สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ.


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0644_1.html

1070
ต่อไปสำรวมจิต สวดบทอิติปิโส

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (กราบทีหนึ่ง)

แล้วสวดบทสวากขาโตต่อไป

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ(กราบทีหนึ่ง)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ   ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ    อาหุเนยโย    ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบทีหนึ่ง)



ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0644_1.html

1071
ธรรมะ / เกร็ดธรรม...สวดมนต์ให้เย็น
« เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 07:00:32 »
สวดมนต์ให้เย็น

บทสวดมนต์ที่เราจะยึดเป็นหลัก วิธีปฏิบัติ ถ้าเรามีดอกไม้   ธูป เทียนบูชาพระพุทธรูป ก็ให้กล่าวคำว่า

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง   ปูเชมิ


อันนี้เป็นคำบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์   เพื่อโน้มน้าวจิตของเราให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันดับต่อไปก็

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบทีหนึ่ง)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบทีหนึ่ง)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบทีหนึ่ง)

ทีนี้ก็มาสำรวมจิตให้แน่วแน่ต่อคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวนะโม ๓ จบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0644_1.html

1072
อยู่อย่างพอเพียง
« เมื่อ: 07 มีนาคม 2007,

คนยุคนี้ชอบวัดคุณค่าของคนด้วยสิ่งของเครื่องใช้ที่มีราคาแพง มากว่าจะดูกันที่จิตใจ
ใช้ชีวิตห่างไกลธรรมะ แต่อิงแอบอยู่กับความไร้สาระ ไปวันๆ
หากเรามีจุดยืนที่พอเพียง คงไม่ต้องวิ่งตามหาความเพียงพอ
ให้เหนื่อยใจเพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะเพียงพอสักที...
 
   Warren Buffet เศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นที่สองของโลก รองจาก บิลเกตส์ เขาใช้ชีวิตแบบพอเพียง อยู่บ้านหลังเล็กๆที่มี3ห้องนอนที่ซื้อมาหลังจากแต่งงานเมื่อห้าสิบปีที่แล้วไม่ได้อยู่คฤหาสใหญ่โตอย่างเศรษฐีเมืองไทย
เขาบอกว่าบ้านหลังนี้มีทุกสิ่งที่เขาต้องการพร้อมแล้วจึงไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านใหม่
เขาไม่มีคนขับรถไปไหบก็ขับรถเอง ไม่ต้องมี รปภ บอดี้การ์ด เพราะเขาไม่เคยทำให้ใครเดือนร้อนจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาทำร้ายเขา และเขาไม่มีเครื่องบินส่วนตัว
ทั้งๆที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องบินเจ็ตที่ใหญ่ที่สุดของโลก

  เวลาว่างเขานั่งกินข้าวโพดคั่วฝีมือตัวเองและดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน เขาบอกว่านี่คือความสุขของเขา

เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัว และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน แต่เขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่พอใจของลูกค้า เพราะการเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่เห็นแก่ตัว ติดดิน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ลูกค้าจึงไว้วางใจลงทุนกับบริษัทของเขามาก

Warren Buffet มีคำแนะนำสำหรับ คนรุ่นใหม่คือ จงอยู่ให้ห่างไกลจากบัตรเครดิต
และจงมีอุปนิสัยสร้างคุณค่าให้ตัวเอง โดยผ่านการศึกษา การพัฒนาทักษะ
และการขวนขวายหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง...


 เขาแสดงให้เห็นว่า การอวดรวย สู้อวดความดี กันไม่ได้
 คิดดี พูดดี ทำดี ชีวีมีสุขพอเพียง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
 เรียบง่าย สุขสงบแบบนี้ ควรยึดเอาเป็นแบบอย่างที่ดี ได้มั้ยคะ
 ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมค่ะ

คัดลอกจาก...http://larndham.net/index.php?s=ab9f4f2edcd13e782d203ca7fa998c6b&showtopic=25083

1073


ที่มา http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=20647
ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=807065

1074
ความฉิบหาย ๑๐ ประการนั้น คือ

๑. ประสบเวทนากล้า
๒. ประสบความเสื่อมทรัพย์
๓. ประสบความทรุดโทรมแห่งร่างกาย
๔. ประสบอาพาธอย่างหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน กระสับกระส่าย
๖. ประสบความขัดข้องกับพระราชา
๗. ถูกกล่าวตู่อย่างรุนแรง
๘. ประสบความย่อยยับแห่งเครือญาติ
๙. ประสบความเสื่อมเสียแห่งโภคทรัพย์ หรือถูกไฟไหม้บ้านเรือน
๑๐. ตายไปย่อมตกนรกหมดไหม้

จากเรื่องราวที่กล่าวมานี้อาจสรุปเป็นคติธรรมได้ว่า ผู้มีพระคุณ มิใช่ผู้ที่ควรจะทุบตีหรือฆ่าแกง หากแต่เป็นผู้ที่ควรแก่การเทอดทูนโดยแท้ ผู้ที่ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณย่อมประสบฐาน ๑๐ อย่างพลันแล

==จบ==
ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

1075
โทษของสุรา
การที่พวกโจรเผยความลับออกมาเองนั้น สาเหตุหนึ่งเพราะกรรมที่พวกเขาก่อเป็นกรรมหนัก กรรมนั้นจึงให้ผลในทันที คือให้ผลในชาติปัจจุบันเลยทีเดียว และเพราะมีสุราเป็นสาเหตุ คือ เพราะเมาจึงก่อการทะเลาะวิวาทและเผยความลับออกมา การก่อการทะเลาะวิวาทและเผยความลับนี้ จัดเป็นโทษแห่งการดื่มสุราโดยแท้ คือ ผู้มีปกติดื่มสุราย่อมประสบความเสื่อม ๖ อย่าง คือ

๑. เสียทรัยพ์
๒. ก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เกิดโรค
๔. ต้องติเตียน
๕. ไม่รู้จักอาย มักเผยความลับ
๖. ทอนกำลังปัญญา


บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์

พวกภิกษุเมื่อทราบข่าวก็พากันสนทนากันว่า “น่าสังเวชจริง ท่านพระมหาโมคคัลลาน์มรณภาพไม่สมควรแก่ฐานะของตนเลย”
พระบรมศาสดาเสด็จมาตรัสถาม เมื่อทราบเรื่องแล้วจึงตรัสว่า “ที่พระมหาโมคคัลลาน์ต้องตายอย่างนี้ ก็เพราะกรรมหนักที่เธอเองก่อไว้ในอดีตชาตินั่นเอง” จากนั้นพระองค์ก็ตรัสเล่าบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์ว่า....

...... “เมื่อครั้งอดีตกาล ท่านเป็นกุลบุตรผู้หนึ่งเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งตาบอด ด้วยหลงเชื่อเมียจนเกินไป จึงลวงท่านทั้งสองไปฆ่า โดยลวงว่า จะพาไปเยี่ยมญาติที่บ้านไกล ขึ้นเกวียนไปพอไปถึงระหว่างทางก็บอกว่า “แถวนี้โจรชุกชุมมาก จะลงไปดูก่อน” แล้วแกล้งทำเป็นเสียงโจร ถือไม้ทุบตีพ่อแม่ทั้งสอง ผู้ร้องบอกให้ลูกชายหนีไป เพราะเข้าใจว่าเป็นโจรจริงๆ เมื่อกุลบุตรนั้นได้ยินเสียงร้องบอก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของบุพการีทั้งสอง จึงเกิดสลดใจได้สำนึก ทำเสียงอื้ออึงขึ้น ทำทีเหมือนไล่โจรให้หนีไป แล้วช่วยพยาบาลมารดาบิดายกขึ้นสู่เกวียนนำกลับบ้านเลี้ยงดูด้วยดีจนตลอดชีวิตท่านทั้งสอง

เพราะการทุบตีมารดาบิดา พระมหาโมคคัลลาน์ต้องถูกโจรฆ่านับชาติไม่ถ้วน นับตั้งแต่อดีตจนถึงชาติปัจจุบัน”
ครั้นตรัสบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์แล้ว จึงตรัสว่า “บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแน่แท้”



ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

1076
อนันตริยกรรม

กรรมที่พวกโจรร่วมกันทำนั้น จัดเป็นกรรมหนักมีโทษคือ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน กรรมอันหนักอย่างยิ่งนั้น เรียก อนันตริยกรรม มี ๕ อย่างคือ
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้า จนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ผู้สามัคคีให้แตกกัน

กรรม ๕ อย่างนี้เป็นบาปหนักที่สุดตั้งอยู่ฐานปาราชิก (เทียบได้กับโทษประหาร) ของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด
พวกโจรเมื่อทำอรหันตฆาต (ฆ่าพระอรหันต์) แล้วก็ทิ้งร่างพระเถระไปที่หลังพุ่มไม้แห่งหนึ่งด้วยเข้าใจว่าตายแล้ว จากนั้นก็พากันหลบหนีไป
พระเถระได้ประสานอัตตภาพเสียใหม่ ด้วยอำนาจฤทธิ์แล้วเหาะไปทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อนิพพาน (ตาย)


คาถาพระมหาโมคคัลลาน์ต่อกระดูก

คาถาที่พระมหาโมคคัลลาน์ใช้ร่ายประสานกระดูกนั้น หลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์ ได้นำมาใช้รักษากระดูกให้ญาติโยม จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เนื้อความของคาถานั้นมีดังนี้

เถโร โมคคัลลาโน
อันตะระธายิตวา ภูมิสุขุมัง
ปรมาโน ภควโต อิทธิยา
อัตตโน สรเร มังสัง โลหิตัง

ภาวนาคาถาบทนี้ทุกๆ วัน วันละ ๑๐๘ คาบ ไว้กันอันตรายทั้งหลายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

กรรมสนอง

เรื่องราวที่พระเถระถูกพวกโจรฆ่าเลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป พระเจ้าอชาตศัตรู (เจ้าผู้ครองนครราชคฤห์) ได้ทรงทราบเช่นนั้น ก็ให้สายลับไปสอดแนมจับพวกโจร ขณะนั้นพวกโจรเหล่านั้นกำลังดื่มสุราอยู่ในร้านสุรา พอเมาก็เกิดทะเลาะกันและเถียงกันพร้อมทั้งอวดอ้างความเก่งกล้าของตนว่า “พระมหาโมคคัลลาน์ที่ว่ามีฤทธิ์มาก พอเจอตนแล้วก็จ๋อย ถูกตนทุบโดยประการต่างๆ จนตายไม่เห็นว่าจะแน่สักเท่าไหร่เลย”
สายลับเหล่านั้นได้ยินคำของพวกโจรเหล่านั้น ก็จับพวกเขานำไปถวายแด่พระราชา
พระราชาทรงสอบสวนพวกโจรเหล่านั้น เมื่อทรงทราบว่า พวกเดียรถีย์จ้างให้พวกเขาฆ่า จึงสั่งให้จับพวกเดียรถีย์นำมาจัดการประหารชีวิตเสียทั้งหมด

ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

1077
ได้รับตำแหน่งอัครสาวก

พระโกลิตะเมื่อบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่า มหาโมคคัลลาน์ ส่วนพระอุปติสสะ ได้ชื่อใหม่ว่า สารีบุตรและท่านทั้งสองเมื่อบวชแล้วต่างก็บรรลุพระอรหันต์ (จุดหมายสูงสุดแห่งพุทธศาสนา) ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน คือพระมหาโมคคัลลาน์บรรลุเมื่อบวชได้เจ็ดวันแล้ว ส่วนท่านพระสารีบุตรบรรลุเมื่อ ๑๕ วันล่วงไปแล้ว และในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์นั่นเอง สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงประทานตำแหน่งอัครสาวกแก่พระเถระทั้งสอง โดยพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ดำรงอยู่ในฐานะผู้มีปัญญามาก
พระมหาโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกเบื้องว้าย ดำรงอยู่ในฐานะแห่งผู้มีฤทธิ์มาก


ธรรมดาของพาลย่อมมีปกติอิจฉา

ท่านพระมหาโมคคัลลาน์จัดว่าเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการเผยแผ่พระศาสนา อาศัยที่ท่านเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและมีฤทธิ์มาก ท่านจึงท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือสวรรค์เพื่อสอบถามถึงบุพกรรม(กรรมเก่า) ที่สัตว์นรกและชาวสวรรค์เล่านั้นเคยทำเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ เมื่อท่านได้ทราบบุพกรรมของสัตว์เหล่านั้น แล้วนำมาบอกแก่ญาติๆ ของพวกเขา อาศัยกำลังความสามารถของท่าน ลาภสักการะเป็นอันมากจึงเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ในขณะที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ประดุจพระอาทิตย์ส่องแสงนั้น พวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกพุทธศาสนา) ต่างก็พากันเสื่อมลาภสักการะ ไม่มีใครถวายทานให้พวกเขา ไปถวายแด่พระศาสดาอย่างเดียว และพวกเดียรถีย์เหล่านั้นทราบดีว่าที่เป็นดังนี้ เพราะพระมหาโมคคัลลาน์เป็นต้นเหตุ ที่คอยท่องเที่ยวไปยังสวรรค์นรก และนำความกลับมาบอกมหาชนให้ทำบุญนั้นบุญนี้ พวกเดียรถีย์เหล่านั้น จึงตกลงกันจ้างพวกโจรไปฆ่าพระเถระ


ประสบผลกรรม

พวกโจรที่ถูกว่าจ้างพากันไปล้อมที่อยู่ของพระเถระเพื่อจะจับตัวมาฆ่า แต่พระเถระทราบได้ด้วยญาณวิถี จึงเหาะหนีไปได้เสียทุกครั้ง พวกโจรพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดพระเถระพิจารณาเห็นว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะหนีไปไหนก็ไม่พ้นแน่ ทั้งจะห้ามไม่ให้โจรเหล่านี้ก่อกรรมอันหนักยิ่งก็ไม่ได้ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อนนั้นติดตามทัน” จึงตกลงใจไม่หนีไปไหน ยอมให้โจรจับไปและทุบตี จนกระทั่งร่างกายแตกย่อยยับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

1078
บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์
ย้อนประวัติ

พระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณอย่างยิ่งใหญ่ มีคุณอเนกอนันต์ต่อพระพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในฐานะอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระบรมศาสดา เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์และอิทธิปาฏิหาริย์เลิศกว่าสาวกทุกองค์

ตามประวัติของท่าน เดิมทีท่านเป็นบุตรของนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อโกลิตะ มีฐานะอยู่ในระดับเศรษฐี วันหนึ่งได้ชักชวนเพื่อนสนิทนามว่าอุปติสสะ และบริวารพวกพ้องออกจากบ้านไปดูมหรสพ การดูมหรสพในวันนนั้นปรากฎว่า ไม่เป็นที่สนุกสนานรื่นเริง ดังเช่นวันก่อนๆ ทั้งคู่กลับได้ความรู้สึกสลดสังเวชต่อการละเล่นนั้นๆ โดยคิดตรงกันว่า “การละเล่นนี้ไม่มีแก่นสาร เมื่อยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี พวกนักแสดงเหล่านี้ก็จักพากันแก่ตายไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้การมัวเมาในการดูการละเล่นย่อมไม่ควร การแสดงหาสิ่งที่เป็นแก่นสารนั่นแหละสมควรแก่เรา”
และแล้วทั้งสองสหายพร้อมด้วยบริวารก็ได้พากันออกบวชในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) แต่เมื่อไม่สามารถค้นพบธรรมที่เป็นแก่นสารได้ ทั้งสองสหายจึงตกลงกันแสดงหาสำนักอาจารย์ใหม่ โดยให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า ใครได้พบอาจารย์หรือได้ค้นพบธรรมอันเป็นแก่นสารก่อนแล้วต้องบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้ทราบ


พบบรมครู

กาลต่อมา อุปติสสะผู้สหายได้พบลังคำสอนจากพระอัสสชิเถระ จนสามารถลุถึงสาระในคำสอนนั้น ท่านหวนระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่โกลิตะ จึงย้อนกลับไปที่สำนักเพื่อเปลื้องคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่โกลิตะ และเพื่อชักชวนสญชัยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่เสด็จประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันวิหารตามคำบอกของพระอัสสชิเถระเจ้า
เมื่ออุปติสสะกลับมายังอารามปริพาชกก็ได้แสดงธรรมตามที่ตนได้ยินได้ฟังมาแก่โกลิตะ จนโกลิตะได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าใจสาระแห่งคำสอนนั้นตามความเป็นจริง ทั้งสองตัดสินใจไปชักชวนสญชัยปริพาชกผู้อาจารย์ เพื่อนำไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แต่ไม่สำเร็จ สญชัยปริพาชกไม่ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองพร้อมด้วยบริวารครึ่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดายังวัดเวฬุวันวิหาร แล้วทูลขอการอุปสมบท (บวชเป็นพระ)


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

1079
ขอบพระคุณท่าน...ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่แนะนำสั่งสอน

หากพบเห็นบทความธรรมะใด ถ้าได้ท่านขยายก็จักได้กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น :015:

ปล...พรรษานี้ ผมคงละวางหนังสือพระไตรปิฎกไว้ก่อนแล้ว ขอศึกษาเอาตามจริตก่อนครับ :054:

1080
พระจูฬบันถกเมื่อถูกพี่ชายขับไล่เช่นนั้นก็ร้องไห้ออกไปจากวัดเพื่อจะหนีไปสึก แต่บังเอิญเจอพระศาสดา พระองค์ตรัสถามทราบความแล้วจึงตรัสปลอบว่า “จูฬบันถก เธอชื่อว่าบรรพชาในศาสนาของเรา เมื่อเธอถูกพี่ชายขับไล่ ทำไมจึงไม่ไปหาเรา มาหาเราเถิด เธอจะสึกทำไม เธอต้องอยู่ต่อไป อยู่กับเรา” พระองค์ตรัสปลอดพลางยกพระหัตถ์ขึ้นลูกศีรษะท่าน พาไปนั่งหน้ามุขพระคันธกุฎีประทานท่านผ้าที่สะอาดซึ่งทรงบันดาลขึ้นด้วยฤทธิ์พร้อมตรัสสั่งว่า “เธอจงผินหน้าไปทางทิศตะวันออก นั่งลูบท่านผ้านี้พร้อมกับบริกรรมไปด้วยว่า รโชหรณํ รโชหรณํ”      

      เมื่อได้รับคำแนะนำ พระจูฬบันถกก็นั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันออกพลางลูบผ้าท่อนนั้นบริกรรมตามที่พระศาสดาตรัสบอก เมื่อท่านลูบท่านผ้านั้นอยู่ ท่อนผ้านั้นก็เริ่มมีสีดำคล้ำขึ้น ท่านคิดว่า
      “ท่อนผ้านี้สะอาดแท้ๆ แต่เพราะแปดเปื้อนด้วยร่างกายของเรา จึงละปกติเดิมเสียกลายเป็นของเศร้าหมองไป สรรพสิ่งบรรดามี ไม่เทียงหนอ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป”

      พระศาสดาประทับอยู่ที่เรือนของหมอชีวกแต่ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า จิตของพระจูฬบันถกเป็นจิตมีบารมีแก่กล้าควรแก่การบรรลุมรรคผลนิพพานแล้วเปรียบประดุจพื้นนาที่ไถคราดแล้ว เป็นนาควรแก่การเพาะปลูกเมล็ดพันธ์พืช ฉะนั้น จึงตรัสว่า
“จูฬบันถก เธออย่าทำความหมายเฉพาะท่อนผ้านั้นว่า เศร้าหมองเปื้อนธุลี แม้จิตใจของเธอก็มีธุลี กล่าวคือ ราคะ ความกำหนัดยินดี เป็นต้น แปดเปื้อนนอนเนื่องอยู่ภายใน เธอจงกำจัดมันออกเสีย”

แล้วพระองค์ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นประดุจมีพระรูปปรากฏประทับนั่งอยู่ตรงหน้าพระจูฬบันถก ตรัสสอนเธออยู่ ณ ที่นั้นแหละ ชั่วกาลไม่นานท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้
จากเรื่องราวของพระจูฬบันถกนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นว่าคนเราแม้จะเกิดในครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกัน แต่มีความโน้มเอียงต่างกัน แม้เด็กฝาแฝดก็ยังแตกต่างกันในอุปนิสัย แสดงให้เห็นว่าร่องรอยในอดีตของเขาไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีความโน้มเอียงทางดนตรี บางคนทางศิลปะ บางคนทางศาสนาปรัชญา ข้อนี้ย่อมแสดงถึงความผูกใจรักใคร่ในสิ่งนั้นๆ ของเขาในอดีต มีโซ่สัมพันธ์สืบต่อกันเป็นกระแสมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้มนุษย์เรามีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ
ฉะนั้น หากเห็นคนอื่นมีระดับความรู้ ความถนัด ไม่เหมือนเราก็อย่าไปเหมาว่าเขาโง่ เขาอาจจะไม่รู้ในสิ่งที่เรารู้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อาจรู้ในสิ่งที่เป็นความรู้ความสามารถของเขาเช่นกัน มนุษย์ย่อมมีความรู้ ความถนัด ความโน้มเอียงที่แตกต่างกันตามอำนาจแห่งกรรมที่เขาเคยสั่งสมไว้ในภพชาติต่างๆ นั้นแล


==จบ==
ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884

พระจูฬบันถกลูบผ้าขาวแล้วบรรลุธรรม สาธุ สาธุ
สาธุ

1081
จูฬบันถก

      ในพระนครราชคฤห์ ธิดาสาวของเศรษฐีคนหนึ่ง เมื่อเธอเจริญวัยขึ้น บิดามารดาดูแลรักษาไว้อย่างดี โดยให้อยู่บนปราสาท ๗ ชั้น แต่อย่างไรก็ตามเพราะนางกำลังแตกเนื้อสาว ฝักใฝ่ในชายจนเกินไปจึงได้เสียกับคนรับใช้ของตน ต่อมาเกิดกลัวว่าจะมีคนรู้ จึงปรึกษาพากันหนีไปอยู่ที่อื่น ซึ่งไม่มีใครรู้จัก เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง นางได้คลอดบุตร ๒ คน โดยกาลผ่านล่วงไปเพียง ๒-๓ ปีเท่านั้น คนแรกชื่อ มหาปันถก ส่วนคนที่สองชื่อจูฬบันถก
เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตวิ่งเล่นไปมาได้แล้ว พ่อแม่จึงนำไปมอบให้ตาและยายผู้เป็นเศรษฐีในพระนครราชคฤห์เลี้ยงดูแทน ส่วนตนก็หนีไปตั้งหลักปักฐานที่อื่น
ในเด็กสองคนนั้น มหาปันถกปรากฏว่าเป็นคนฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณดี ชอบศึกษาหาความรู้อยู่มิได้ขาด ที่ใดมีนักปราชญ์ ก็จะเข้าไปหาเพื่อสนทนาปราศรัยด้วย ส่วนจูฬบันถกผู้น้องปรากฏว่าเป็นคนโง่เขลา ไม่สนใจในการศึกษาเล่าเรียนแต่อย่างใด ชอบแต่จะหาความสนุกเพลิดเพลินกับการละเล่นเสียเป็นส่วนมาก

ต่อมา มหาปันถกไปฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดากับตาผู้เป็นเศรษฐีเสมอ เมื่อเขาไปสำนักของพระศาสดาอยู่เป็นนิตย์ จิตก็น้อมไปในบรรพชา เขาจึงขออนุญาตกับตาเพื่อจะบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งตาก็อนุญาตแต่โดยดี เมื่อเธอบวชแล้ว ก็เป็นคนขยันศึกษาเล่าเรียนไปไม่ย่อท้อ ต่อมาการเจริญภาวนาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์

      ต่อมาท่านได้ชักชวนจูฬบันถกผู้น้องชายให้มาบวชด้วย แต่ว่าจูฬบันถกเมื่อบวชแล้วกลับโง่เขลาหนักขึ้นไปกว่าเดิม เพียงคาถาบทเดียวตลอดระยะเวลา ๔ เดือน ท่านก็ไม่สามารถที่จะท่องจำได้ แม้พระมหาปันถกผู้เป็นพี่ชายจะช่วยแนะนำสั่งสอนเพียงใด ท่านก็หาจดจำได้ไม่ เหตุที่เป็นเช่นนี้มีเรื่องเล่าว่า เมื่ออดีตชาติ ท่านเป็นผู้มีปัญญาดี เฉลียวลาดในการศึกษาเล่าเรียน ท่านถือว่าตัวเองเป็นคนฉลาด ได้หัวเราะเยาะภิกษุรูปหนึ่งผู้โง่เขลา ทั้งยังทำท่าล้อเลียนภิกษุรูปนั้นต่างๆ นานา จนเธอละอาย เลิกไม่ทำการสาธยาย     

      เพราะกรรมนี้ จูฬบันถกพอบวชแล้วจึงเป็นคนโง่เขลาอย่างหนัก สิ่งที่เธอเรียนแล้วก็เลือนหายไป เมื่อพระเถระผู้เป็นอาจารย์เรียกสอบถามความรู้ คำตอบที่ได้รับคือ ลืมแล้วครับ จำไม่ได้ครับ อะไรหรือ.... พวกภิกษุต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยหยันในความโง่ของท่าน แต่ตัวท่านก็หารู้สึกรู้สาไม่ จนกระทั่งสี่เดือนผ่านพ้นไป ท่านก็ไม่สามารถจะจดจำอะไรได้ พระมหาปันถกเมื่อเห็นว่าน้องชายโง่เช่นนั้น จึงตัดสินใจขับไล่ท่านให้พ้นเสียจากวิหาร

ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884

1082
ข้อว่า มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ นั้นอธิบายว่า พี่น้องโดยสายโลหิตของเราอาจช่วยเราได้บ้าง ช่วยไม่ได้บ้าง เป็นศัตรูกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง เบียดเบียนกันบ้าง เมื่อเติบโตขึ้นมาต่างก็แยกย้ายกันไป บางรายห่างกันคนละประเทศ คนละทวีปก็ดี มีความเดือดร้อนเกิดขึ้นก็ช่วยกันไม่ค่อยทัน ถ้าช่วยทันเขาก็ช่วยได้เฉพาะในวิสัยของเขาเท่านั้น พ้นวิสัยแล้ว เขาก็ช่วยไม่ได้ พี่น้องกันแท้ๆ เมื่อเวลาสอบไล่ จะสอบแทนกันก็ไม่ได้ พี่ฉลาด น้องโง่ น้องฉลาด พี่โง่ไม่แน่นอน แต่พวกพ้องเผ่าพันธุ์ที่อยู่กับเราตลอดเวลา คอยคุ้มครองรักษาเราอยู่ตลอดเวลาทั้งเวลาหลับเวลาตื่น คอยช่วยเหลือให้เจริญรุ่งเรืองจริงๆ คือกรรมของเรา บางคนพวกพ้องญาติพี่น้องไม่ดี แต่ตัวเขาเป็นคนดี บางคนญาติพี่น้องเผ่าพันธ์ดี ตระกูลดี แต่ตัวเขากลับตกต่ำ จนเข้าพี่น้องไม่ได้ก็มี ทั้งนี้เพราะพี่น้องเผ่าพันธุ์ของเขาจริงๆ คือกรรมของเขานั่นเอง เขาจึงต้องอยู่กับกรรมของเขา

      ข้อว่า มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย นั้น ความว่า ที่พึ่งอย่างอื่นให้บุคคลพักพิงได้เพียงชั่วคราว พ่อแม่เต็มใจให้เราพึ่งก็เฉพาะเมื่อเราอยู่ในปฐมวัย พอเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าพึ่งท่านอยู่อีก ท่านก็รังเกียจ คนอื่นก็ดูหมิ่น จะพึ่งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็ได้เป็นครั้งคราวพึ่งเขาบ่อยนักก็ไม่พ้นการดูถูกดูหมิ่นติเตียน แต่กรรมของเรานั่นแหละ  เป็นที่พึ่งของเราได้ตลอดชีวิต เป็นที่พึ่งได้ทุกๆ ชาติ คนที่กรรมไม่ยอมให้พึ่งแล้ว ถึงใครๆ อื่นก็ไม่อาจให้ที่พึ่งได้ มันมีอันให้วิบัติขัดข้องไปหมด ส่วนคนที่กรรมอุปถัมภ์แล้ว ใครจะทำลายก็ไม่ได้ ยิ่งกดยิ่งฟู ยิ่งบังยิ่งเห็น ยิ่งมีคนคิดร้ายยิ่งได้ดี

      ตามนัยดังกล่าวมา แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น กล่าวสั้นๆ คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

      ในมหากัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องกรรม และคติภพของผู้ทำกรรมแก่พระอานนท์ ใจความว่า
มีบุคคลอยู่ ๔ จำพวก คือ

      ๑. ผู้ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปนรกก็มี ทั้งนี้เพราะบุคคลพวกนี้ได้ทำกรรมชั่วต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
      ๒. ผู้ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปสวรรค์ก็มีเพราะบุคคลพวกนี้ ทำกุศลกรรมไว้มากในชาติก่อนๆ กุศลกรรมนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ ส่วนกรรมชั่วที่เขาทำใหม่ ยังไม่ทันให้ผล
      ๓. ผู้ทำสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ เมื่อสิ้นชีพแล้วไปสวรรค์ก็มีเพราะบุคคลพวกนี้ ทำความดีติดต่อกันมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน
๔. ผู้ทำความดีทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปนรกก็มี เพราะคนพวกนี้ ได้ทำความชั่วไว้มากในชาติก่อนๆ อกุศลกรรมนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ กุศลกรรมที่เขาทำใหม่ยังไม่มีโอกาสให้ผล

      อนึ่ง นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ขณะจิตที่จวนตายยังมีส่วนประกอบอีก คือในขณะที่จวนจะตาย ถ้าจิตของผู้ใดยึดมั่นอยู่ในกุศลกรรม ผู้นั้นย่อมไปสู่สุคติสวรรค์ก่อนตามอิทธิพลของอาสันนกรรม (กรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย)

      ตามพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์และมวลสัตว์ ย่อมมีความเป็นไปต่างๆ กันตามกฎแห่งกรรมและกรรมที่มนุษย์และมวลสัตว์ก่อขึ้นนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนดสถานะในปัจจุบันและคติเบื้องหน้าของมนุษย์และมวลสัตว์
เพื่อความชัดเจนต่อปัญหากรรมนี้ จะขอนำนิทานธรรมบท เรื่อง จูฬบันถก มาเล่าประกอบเป็นตัวอย่าง



ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884

1083
กฎแห่งกรรม / %$-กรรมทำให้แตกต่าง-$%
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:30:29 »
กรรมทำให้แตกต่าง

      มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดมนุษย์และมวลสัตว์โลกจึงมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น รูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ ความรู้ความสามารถ เป็นต้น ต่อข้อสงสัยนี้ มองในแง่กฎแห่งกรรม ก็สามารถอธิบายได้ว่า ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะแต่ละคนมีความปรารถนา มีการสั่งสมกรรมไม่เหมือนกัน
ทีแรกเขากระทำกรรมลงก่อนต่อมาภายหลังกรรมนั้นเองได้ย้อนจำแนกเขาผู้ทำให้เป็นต่างๆ ตามชนิดแห่งกรรมที่บุคคลนั้นๆ ได้ทำลงไปดังที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า............

      ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง

      ที่ว่า มีกรรมเป็นของตน นั้นคือเป็นเจ้าของแห่งกรรม ของอย่างอื่น เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ภายนอก เราเพียงอาศัยใช้ชั่วคราว เมื่อตายหาได้ติดตามไปได้ไม่ มีแต่กรรมดี กรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร สมบัติของเราจริงๆ คือกรรมดี กรรมชั่วที่เราทำ หาใช่ทรัพย์สมบัติภายนอกไม่ มรดกอย่างอื่น เช่น มรดกในทรัพย์สินที่คนอื่นเขาจะมอบให้ ก็เป็นของไม่แน่นอน แต่กรรมที่เราทำแล้วมันเป็นมรดกของเราแน่นอน เมื่อมันเป็นของเราแล้วจะมอบให้คนอื่นก็ไม่ได้ ตัวอย่างเช่นคนเป็นโรคมะเร็ง ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ลูกเมียพี่น้องได้แต่นั่งคอยดู จะแบ่งมาเป็นของตนบ้างก็ไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของๆ ตน และบุคคลต้องรับมรดกแห่งกรรม ใครทำกรรมอย่างใดไว้จึงต้องรับกรรมอย่างนั้นไป ลูกเมีย (ผัว) พ่อแม่ พี่น้องก็ไม่อาจแบ่งผลแห่งกรรมนั้นไปได้ แม้หมอก็ช่วยไม่ได้

      ข้อว่า มีกรรมเป็นแดนเกิดหรือเกิดเพราะกรรม นั้น อธิบายว่า คนเราเกิดมาเพราะยังมีกรรมอยู่ คือยังมีกิเลส มีกรรมและมีวิบากคือผลของกรรม ผลของกรรมนั้นย่อมส่งวิญญาณให้เกิดในที่ต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่กรรม วิญญาณย่อมปฏิสนธิในที่ๆ เหมาะสมแก่กรรมของตน คนไม่มีกรรมแล้วเช่น พระอรหันต์ ย่อมไม่เกิดอีก มารดาบิดาเป็นเพียงที่อาศัยเกิดของบุคคลผู้ยังมีกรรมอยู่ บางรายก็เคยเป็นบุตรเป็นบิดามารดากันมาหลายร้อยชาติแล้ว บางรายอุปนิสัยแห่งบุตรธิดาไม่เหมือนบิดามารดาเลย อุปนิสัยแห่งบุคคลแสดงถึงผลรวมแห่งกรรมของเขาที่เคยสั่งสมไว้ ในรายที่มีลูกมีอุปนิสัยคล้ายคลึงหรือเหมือนพ่อแม่ แสดงว่าเขาเคยอบรมตนอย่างเดียวกันมาและได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก บางรายก็เพราะการปลูกฝังอย่างหนักแน่นรุนแรงในปัจจุบัน แต่ถ้าคนไม่มีอุปนิสัยในทางนั้นอยู่บ้างแล้ว มักจะปลูกฝังไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่ยอมรับการปลูกฝัง บุคคลย่อมมีอิสระในการทำชั่วหรือทำดีตามอุปนิสัยของตน

      แต่อย่างไรก็ตาม มารดาบิดาที่ดี ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อบุตรธิดาอย่างประมาณมิได้ เพราะได้ทุ่มเทความรักความปรานี ความเสียสละให้ลูกอย่างหาใครเสมอเหมือนมิได้เป็นเวลานานปี หรืออาจกล่าวได้ว่าตลอดชีวิตของท่าน แต่มารดาบิดาก็ไม่สามารถช่วยให้ลูกได้ดีทุกคน ถ้าวิญญาณของลูกสั่งสมเอาอุปนิสัยชั่วติดสันดานมาอย่างเหนียวแน่น ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ที่เลวก็ไม่สามารถทำลูกให้เลวได้ทุกคน ลูกคนใดมีอุปนิสัยดีเลิศติดตัวมา เขาย่อมไม่เอาอย่างการกระทำที่เลวของพ่อแม่ เพราะขัดกับอุปนิสัยของเขาและในไม่ช้า เขาก็ต้องปลีกตัวไปอยู่ในที่อันเหมาะสมแก่เขาจนได้ นี่แหละกรรมเป็นแดนเกิด


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884

1084
กฎแห่งกรรม / ตอบ: **พลังแห่งบุญ**
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:25:15 »
ศีลทั้ง ๕ ข้อเหล่านี้ คือ

๑. ไม่ฆ่า
๒. ไม่ลัก
๓. ไม่ล่วงในกาม
๔. ไม่หลอกลวง
๕. ไม่เสพเอาของมึนเมาให้โทษ

จัดเป็นปกติศีล เกิดขึ้นโดยสามัญสำนึก และเกิดขึ้นพร้อมกับโลกเพื่อรักษาความปกติสุขของโลกไว้

ส่วนศีลที่อุบาสกอุบาสิการักษาในวันพระ เรียกว่า ศีลอุโบสถ จัดเป็นศีลพรตอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้แก่อุบาสกอุบาสิกา ในการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากองกิเลสให้เบาบาง ศีลอุโบสถนั้นมีทั้งหมด ๘ สิกขาบท คือมีเพิ่มเติมจากศีล ๕ ดังนี้

ศีลข้อ ๓ เปลี่ยนจากประพฤติผิดในกามเป็นเว้นจากการเสพกาม
ศีลข้อ ๖ เว้นจากการกินอาหารยามวิกาล คือ ตั้งแต่เที่ยงถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ศีลข้อ ๗ เว้นจากการตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ และของหอม และเว้นจากการดูการละเล่น
ศีลข้อ ๘ เว้นจากการนอนบนที่นอนอันนุ่มและสูงใหญ่
ศีลข้อที่ ๖ ถึง ๘ จัดเป็นข้อวัตรปฏิบัติสำหรับควบคุมความรู้สึกทางเพศไม่ให้เกิดขึ้นเกินส่วน และศีล ๓ ข้อนี้ย่อมเป็นไปเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น ไม่ให้มีการแข่งขันประดับประดาร่างกายอย่างฟุ้งเฟ้อ และเพื่อเป็นการทำจิตใจให้สงบในเบื้องต้น แล้วสามารถเข้าถึงธรรมะชั้นสูงต่อไป

ผู้มีศีลหรือวินัยดังกล่าวมาเช่น คนทำงานจ้างของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตอยู่อย่างประเสริฐ คือมีชีวิตเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตน บุคคล สังคม และประเทศชาติ ซึ่งสามารถประมวลสรุปได้ดังนี้ คือ
๑. ศีลหรือวินัยนำไปดี หมายความว่า ทำให้ผู้รักษาวินัยดีขึ้น ยกฐานะของผู้มีวินัยให้สูงขึ้น เช่น เด็กชาวบ้าน บวชแล้วถือศีล ๑๐ กลายเป็นสามเณร เป็นต้น
๒. ศีลหรือวินัยนำไปแจ้ง คำว่า แจ้ง แปลว่า สว่างหรือเปิดเผย ไม่คลุมๆ เครือๆ วินัยนำไปแจ้งคือเปิดเผยธาตุแของคนได้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน โดยดูว่าเป็นคนมีศีลมีวินัยหรือไม่
๓. ศีลหรือวินัยนำไปต่าง เราดูความแตกต่างของคนด้วยวินัย ยกตัวอย่างคนที่ซ่องสุมสมัครพรรคพวกและอาวุธไว้สู้รบกับคนอื่น ถ้ามีวินัยเราเรียกว่ากองทหาร เป็นมิ่งขวัญอขงบ้านเมือง ถ้าไม่มีวินัย เราเรียกว่า กองโจร เป็นเสี้ยนหนามของแผ่นดิน

ฉะนั้นถ้าเราต้องการก้าวไปสู่ความดี ความก้าวหน้า เราต้องการความบริสุทธิ์ กระจ่างแจ้ง เราต้องยกฐานะให้สูงขึ้น ด้วยการักษาศีลหรือพระวินัยอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นอยู่อย่างประเสริฐ ล่วงการเป็นอยู่ของพาลชนผู้ทุศีลทั้งหลาย
จากเรื่องราวทั้งหมด เมื่อประมวลสรุปในแง่กฎแห่งกรรมจะเห็นว่าการสร้างกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือชั่ว บุคคลไม่ควรดูถูกว่า นิดหน่อยแล้วจะไม่มีผล การกระทำที่พร้อมด้วยองค์ประกอบครบถ้วน ย่อมส่งผลแน่ ในเบื้องต้น กรรมที่เราทำแต่ละครั้ง จะก่อให้เกิดความคุ้นเคยต่อกรรมนั้น สั่งสมเป็นอุปนิสัยให้กระทำอีกในครั้งต่อๆ ไป จะเห็นว่าคนบางคนประเดี๋ยวก็ไปบ่อน ประเดี๋ยวก็ไปดื่มสุรา ประเดี๋ยวก็โกหก แต่บางคนนั้น ประเดี๋ยวก็ไปวัด ประเดี๋ยวทำบุญ เจริญเมตตา และสิ่งที่ทำจนเป็นอุปนิสัยนี้นอกจากจะสืบสันดานแล้วก็ยังเป็นเสมือนหนึ่งโลโก้เป็นยี่ห้อที่ติดเป็นภาพพจน์ประจำตัวของผู้กระทำกรรมในที่สุด ทำให้คนอื่นเขาพูดได้ว่า คนขี้โกง คนกะล่อน คนใจโหด คนมีน้ำใจ คนขยัน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า การสืบสันดานทั้งในทางดีและในทางเลว เป็นผลอย่างหนึ่งที่ผู้ทำกรรมจะต้องได้รับ


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252052

1085
กฎแห่งกรรม / ตอบ: **พลังแห่งบุญ**
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:23:18 »
กรรมวิจารณ์

จากธรรมบทนิทานเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ความต้องการความสุขของมนุษย์นั้นมีหลายระดับ ปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค นับว่ามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก ในคำสั่งของของพระพุทธเจ้านั้น เริ่มต้นทีเดียวท่านจะต้องจัดสรรเรื่องปัจจัยสี่ให้เรียบร้อย แต่ถ้าจัดได้ดีแล้วมันจะเป็นฐาน ทำให้เราสามารถก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีงาม มีการพัฒนาอย่างอื่นต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ในการจัดสรรในด้านวัตถุให้เป็นไปโดยเรียบร้อยนั้น ต้องอาศัยวินัยเป็นตัวช่วยเพื่อจัดการให้เกิดความถูกต้องดีงาม ฉะนั้นวินัยจึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมคน ให้คนใช้ความรู้ ความสามารถไปในการที่ถูกที่ควร วินัยนั้นท่านแบ่งออกเป็น ๒ คือ อนาคาริยวินัย วินัยสำหรับผู้ออกบวช และ อาคาริยวินัย วินัยสำหรับผู้ครองเรือน

วินัยสำหรับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนที่สำคัญคือ ศีล ๕
ศีล แปลว่า ปกติ เป็นวินัยทางธรรมเบื้องต้นของคน เป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีลักษณะปกติของมันเอง เช่น ปกติของม้าต้องยืนไม่มีการนอน ถ้าม้านอนก็เป็นการผิดปกติแสดงว่าม้าป่วย ฤดูฝนตามปกติจะต้องมีฝน ถ้าฤดูฝนกลับแล้ง ฝนไม่ตกแสดงว่าผิดปกติ

อะไรคือปกติของคน ?

๑ ปกติของคนจะต้องไม่ฆ่า ถ้าวันไหนมีการฆ่า วันนั้นก็ผิดปกติของคน แต่ไปเข้าข่ายปกติของสัตว์ เช่น เสือ หมี ปลา ฯลฯ ซึ่งมีปกติฆ่ากันโดยปราศจากเหตุผล เพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศีลข้อที่ ๑ จึงเกิดขึ้นว่า คนจะต้องไม่ฆ่า
๒. ปกติของสัตว์เวลากินอาหารมันจะแย่งกัน ขโมยกัน ถึงเวลาอาหารทีไรสุนัขเป็นต้องกัดกันทุกที แต่คนไม่เป็นอย่างนั้น เพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศีลข้อที่ ๒ จึงเกิดขึ้นว่าคนจะต้องไม่ลัก ไม่คอร์รัปชั่น ไม่ยักยอก คดโกง
๓. ปกติของสัตว์ ไม่รู้จักหักห้ามใจให้พอใจเฉพาะคู่ของตน ในฤดูผสมพันธุ์สัตว์จึงมีการต่อสู้แย่งชิงตัวเมีย บางครั้งถึงกับต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งก็มี แต่ปกติของคนแล้วจะไม่แย่งคู่ครองของใคร พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น เพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศีลข้อที่ ๓ จึงเกิดขึ้นว่า คนจะต้องไม่ประพฤติล่วงในกาม
๔. ปกติดของสัตว์ไม่มีความจริงใจต่อใคร พร้อมที่จะทำอันตรายได้ทุกเมื่อ แต่ปกติของคนนั้น เราพูดกันตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อกัน ถ้าใครโกหกหลอกลวงก็ผิดปกติไป เพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศีลข้อที่ ๔ จึงเกิดขึ้นว่า คนจะต้องไม่พูดเท็จ
๕. ปกติแล้วสัตว์มีกำลังร่างกายแข็งแรงมากกว่าคน แต่สัตว์ไม่มีสติควบคุมการใช้กำลังของตนให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนกำลังกาย ให้เป็นกำลังความดีได้ มีแต่ความป่าเถื่อนตามอารมณ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แม้มีกำลังกายมาก แต่ไม่เคยออกแรงไปหาอาหารมาเลี้ยงพ่อแม่ของมันแต่อย่างใด
ส่วนคนแม้มีกำลังกายน้อยกว่าสัตว์ แต่อาศัยสติอันมั่นคงช่วยเปลี่ยนกำบังกายน้อยๆ นั้น ให้เกิดเป็นกำลังความดี เช่น มีกตัญญูกตเวที เมื่อโตขึ้นก็เลี้ยงพ่อแม่ได้

สติเป็นของเหนียวแน่นคงทน แม้อดอาหารทั้งวันสติก็ยังดี ทำงานทั้งเดือนสติก็ยังดี นอนป่วยบนเตียงทั้งปีสติก็ยังดี แต่สติกลับเปื่อยยุ่ยทันที ถ้าไปเสพสุรายาเมาเข้า สุราเพียงครึ่งแก้วอาจทำผู้ดื่มให้สติฟั่นเฝือถึงกับลืมตัวลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณได้ หมดความสามารถในการเปลี่ยนกำลังกายให้เป็นกำลังความดี ดั้งนั้นผู้ที่เสพสุราหรือของมึนเมา จึงมีสภาพผิดปกติคือ มีสภาพใกล้สัตว์เข้าไปทุกขณะ เพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศีลข้อที่ ๕ จึงเดิดขึ้น คนจะต้องไม่เสพของมึนเมาให้โทษ


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252052

1086
กฎแห่งกรรม / **พลังแห่งบุญ**
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:21:25 »
พลังแห่งบุญ

ในเมืองโกสัมพี มีเศรษฐี ๓ คนคือ โฆสกเศรษฐี กุกกฎเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี
เมื่อกาลใกล้ถึงฤดูฝัน เศรษฐีเหล่านั้นเห็นฤาษี ๕๐๐ มาจากป่าหิมพานต์กำลังเที่ยวรับภิกษาอยู่ในพระนครก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนิมนต์ให้ฉันอยู่แต่ในเรือนของพวกตนตลอด ๔ เดือนและให้ฤาษีเหล่านั้นรับปากว่าจะต้องกลับมาฉันเป็นประจำเช่นนี้อีกตลอด ๔ เดือนในฤดูฝนของทุกๆ ปี
ตั้งแต่นั้นมา ฤาษีเหล่านั้นอยู่ในป่าหิมพานต์ตลอด ๘ เดือน พอถึงฤดูฝนก็พากันมาอยู่ประจำในสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ตลอด ๔ เดือน
สมัยหนึ่ง ฤาษีเหล่านั้นพากันออกจากป่าเพื่อไปยังสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ในระหว่างทางเห็นต้นไทรใหญ่จึงพร้อมใจกันเข้าไปนั่งหลบแดดที่โคนต้นไทรนั้น

เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฤาษีผู้เป็นหัวหน้าแหงนหน้ามองขึ้นไปบนต้นไทรพลางคิดว่า “เทวดาผู้สิงอยู่บนต้นไม้นี้ จักมิใช่เทวดาผู้ต่ำศักดิ์ แต่จักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทีเดียวเชียวละ จักเป็นการดีหนอ ถ้าหากเทวดาตนนี้ พึงให้น้ำดื่มแก่หมู่ฤาษี” เทวดาตนสิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรนั้นก็บันดาลให้ฤาษีเหล่านั้นได้น้ำดื่ม ฤาษีเมื่อได้ดื่มน้ำแล้วก็คิดถึงน้ำอาบ เทวดาก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้น้ำอาบ ฤาษีเมื่อได้น้ำอาบก็นึกถึงโภชนะ เทวดานั้นก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้โภชนะอีกตามที่ปรารถนา

ลำดับนั้น ฤาษีคนนั้นก็เกิดความคิดขึ้นว่า “เทวดาตนนี้ให้ทุกสิ่งที่เราคิด ผลนี้คงจักเป็นผลหรือพลังอำนาจของบุญที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะได้เห็นเทวดาคนนี้” ในขณะนั้นนั่นเอง เทวดาตนนั้นก็ชำแรกลำต้นไม้ แสดงตนให้ปรากฏ ฤาษีเหล่านั้นต่างพากันรุมถามเทวดานั้นว่า “ท่านเทวดา ท่านมีสมบัติมากมาย สมบัตินี้ท่านได้เพราะทำกรรมอะไรหนอ” เทวดาตนนั้นนึกละอายอยู่ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ เป็นกรรมเล็กน้อยจึงไม่กล้าบอก แต่เมื่อถูกฤาษีเหล่านั้นเซ้าซี้บ่อยๆ เข้า จึงตัดสินใจเหล่าบุพกรรมของตนแก่ฤาษีเหล่านั้น

เหตุต้นผลกรรม

ในอดีตชาติ เทวดานั้นเป็นคนเข็ญใจเที่ยวหางานทำอยู่ ในที่สุดได้งานทำการรับจ้างอยู่ในสำนักของอนาถบิณฑิกเศรษฐี อาศัยการงานนั้นเลี้ยงชีวิต
ต่อมาในวันอุโบสถ วันหนึ่งเศรษฐีกลับมาจากวัดแล้วถามว่า “วันนี้ เป็นวันอุโบสถ มีใครบอกแก่ลูกจ้างคนนั้นไหม” เมื่อคนในบ้านตอบว่า “ยังไม่มีใครบอก ขอรับ” เศรษฐีจึงบอกให้หุงหาอาหารเย็นไว้ให้เขา ชายเข็ญใจนั้นทำงานอยู่ในป่าตลอดทั้งวัน ตกเย็นก็กลับบ้าน เมื่อเขาจัดหาอาหารมาให้ก็อดที่จะแปลกใจมิได้ เพราะในวันอื่นๆ นั้น ผู้คนในเรือนจะเดินแจกและขออาหารเย็นกันขวักไขว่ แต่วันนี้ ทุกคนพากันเงียบเสียงพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ จัดอาหารเย็นไว้เพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ด้วยความสงสัยชายเข็ญใจจึงถามผู้ที่จัดอาหารเพื่อเขานั้นว่า “คนที่เหลือบริโภคแล้วหรือ”
ผู้จัดอาหารชี้แจงว่า “ในเรือนนี้ เขาไม่หุงหาอาหารในเย็นวันอุโบสถ ทุกคนเป็นผู้รักษาอุโบสถ แม้เด็กที่ยังดื่มนม ท่านเศรษฐีก็ให้บ้วนปากให้ใส่ของหวาน ๔ ชนิดคือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ลงในปากทำให้เป็นผู้รักษาอุโบสถ เมื่อสมาทานรักษาอุโบสถแล้ว ทุกคนต่างพากันเข้าสู่ที่นอนทำการสาธยายอาการ ๓๒ (ส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย) แต่ว่าพวกเราลืมบอกท่านว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ฉะนั้น พวกเราจึงหุงข้าวไว้เพื่อท่านคนเดียว เชิญท่านรับประทานอาหารนั้นเถิด”
ชายเข็ญใจได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความเลื่อมใสใคร่จะรักษาอุโบสถจึงไหว้วานให้ชนผู้จัดอาหารนั้นไปเรียนเศรษฐีให้ทราบ
เศรษฐีกล่าวว่า “ชายนั้น ไม่บริโภคในบัดนี้ วนปากแล้วอธิษฐานองค์อุโบสถ จักได้อุโบสถครึ่งหนึ่ง”

ฝ่ายชายเข็ญใจ ได้ฟังแล้วก็ทำตามนั้น เมื่อหิวจัดลมก็กำเริบปั่นป่วนขึ้นในท้อง เมื่อลมกำเริบหนักเข้า เขาก็ใช้เชือกผูกท้องจัดปลายเชือกไว้แล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่
เศรษฐีทราบข่าว ก็สั่งให้คนใช้ถือเอาของหวาน ๔ ชนิด แล้วรีบรุดไปดูอาการของชายเข็ญใจนั้น ถามดูทราบอาการแล้วก็บอกให้เขากินของหวานที่เตรียมมา
ชายเข็ญใจถามว่า “นาย แม้พวกท่านก็รับประทานหรือขอรับ” เศรษฐีตอบว่า “พวกเราไม่ได้ป่วยนี่ เจ้ากินเถิด”
ชายเข็ญใจจึงกล่าวกะเศรษฐีว่า “นาย ข้าพเจ้าเมื่อรักษาอุโบสถ ก็ไม่อาจเพื่อจะทำอุโบสถกรรมทั้งสิ้นได้ อุโบสถกรรมครั้งนี้ของข้าพเจ้า อย่าได้บกพร่องเลย” แล้วก็ไม่ปรารถนาที่จะกิน แม้เศรษฐีจะกล่าวอยู่ว่า “ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” ก็ยังไม่ปรารถนาที่จะกิน พออรุณรุ่ง ก็ทำกาลกิริยาตายไปเกิดเป็นเทวดาที่ต้นไทรนี้นั่นแล


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252052

1087
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

โฆสกเทพบุตร เมื่อจุติแล้วมาปฏิสนธิในท้องของหญิงโสเภณีในกรุงโกสัมพี เมื่อหญิงนันทราบว่าลูกของตนเป็นชาย ก็ให้คนรับใช้เอาใส่กระสอบไปทิ้งที่กองขยะ
กาและสุนัขมาห้อมล้อมเด็กแต่เข้าใกล้ไม่ได้ จึงเป็นเสมือนมาช่วยอารักขาคุ้มครอง นี่เป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้ในสมัยเป็นสุนัขที่เห่าหอนพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก แสดงให้เห็นว่า ความดีหรือความชั่วที่บุคคลทำไว้ ไม่เคยสูญ ย่อมหาโอกาสให้ผลตามกาลอันสมควร
ในขณะที่กาและสุนัขยืนห้อมล้อมอยู่นั้น มีบุคคลผู้หนึ่งเดินผ่านมาเข้าไปดู เห็นเด็กจึงเกิดความรักเพียงดังบุตร นึกว่า “เราได้ลูกแล้ว” นำไปเรือนเลี้ยงอยู่ลูกของตน
ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น เศรษฐีใหญ่เมืองโกสัมพีไปเฝ้าพระราชา พบกับปุโรหิตในระหว่างทางจึงถามด้วยความคุ้นเคยวา “วันนี้มีเหตุการณ์พิเศษอะไรบ้าง? ปุโรหิตเงยหน้าขึ้นมองทอ้งฟ้าแล้วตอบว่า “เด็กที่เกิดในวันนี้ต่อไปจะเป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองโกสัมพี”
เวลานั้นภรรยาของเศรษฐีใหญ่กำลังมีครรภ์แก่จวนคลอด เศรษฐีรีบไปเฟ้าพระราชาแล้วรีบกลับ เห็นว่าภรรยาของตนยังไม่คลอด จึงมอบเงินจำนวนหนึ่งพันบาทให้หญิงคนใช้ชื่อ กาลี ไปสืบดูว่า เด็กคนใดเกิดวันนี้บ้าง ให้ขอซื้อมา เขาคิดว่า ถ้าเด็กคนนั้นต่างเพศกับบุตรของตนก็จะให้แต่งงานกัน ถ้าเพศเดียวกันก็จะฆ่าเสีย
นางกาลีพบเด็กคนนั้นในเมืองแห่งหนึ่ง จึงขอซื้อมาด้วยเงินหนึ่งพันบาท ต่อมาอีกไม่กี่วันภรรยาของเศรษฐีก็คลอดลูกเป็นชาย เพศเดียวกันกับเด็กที่ซื้อมา

เศรษฐีจึงวางแผนฆ่าเด็กคนนั้นทันที เพราะเกรงเด็กคนนั้นจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีไปจากบุตรของตน
ครั้งหนึ่งในคราวที่เด็กยังเยาว์วัยเศรษฐีให้นางกาลีนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้า ด้วยหลังว่าสุนัขหรืออมนุษย์คงทำร้ายเด็กถึงตายแน่ ที่ป่าช้านั้นแม่แพะตัวหนึ่งเที่ยวกินใบไม้ เข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้น เห็นเด็กน้อยแล้วมีความเอ็นดูจึงคุกเข่าลงให้เด็กดื่มนม
เมื่อคนเลี้ยงแพะร้องไล่ “เห เห” แม่แพะก็หาเคลื่อนไหวไม่ คนเลี้ยงแพะจึงเดินเข้าไปใกล้ คิดว่าจะตีเสียให้สมดื้อ แต่แล้วเขาต้องวางไม้ เมื่อเห็นภาพอันน่าประทับใจยิ่งนัก คือเห็นแม่แพะกำลังคุกเข่าให้เด็กดื่มนมอยู่ เขามองดูด้วยความชื่นชมพลางเปรยว่า “เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักถนอมชีวิตของผู้อื่น แต่บุคคลผู้ทำให้ชีวิตนั้นเกิดขึ้นแล้ว หารับผิดชอบถนอมชีวิตไม่ ช่างน่าละอายเจ้าเหลือเกิน”
คนเลี้ยงแพะนำเด็กนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เศรษฐีทราบเรื่องให้นางกาลีไปซื้อกลับมาอีก
แต่เมื่อสบโอกาสก็ให้นางกาลีนำไปทิ้งอีก คือให้นำไปทิ้งไว้ที่หน้าคอกโคบ้าง ทางเกวียนบ้าง โยนเหวบ้าง แต่เด็กก็รอดชีวิต และเศรษฐีต้องจ่ายเงินซื้อกลับคืนมาเสียทุกครั้ง
เมื่อเศรษฐีพยายามฆ่าอยู่เช่นนี้ เด็กก็เจริญเติบโตตามลำดับปรากฎนามว่า โฆสกะ
และในคราวที่โฆสกเจริญวัยสามารถวิ่งไปมาได้นั่นแหละ เศรษฐีให้โฆสกะถือจดหมายไปหาช่างหม้อผู้เป็นเพื่อนตน ข้อความในจดหมายว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกเลว เมื่อมาถึงแล้วจงสับให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโยนลงไปในเตาเผา เราจะให้ค่าจ้างแก่ท่านหนึ่งพัน เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีรางวัลพิเศษอีก”

โฆสกะ อ่านหนังสือไม่ออก นำจดหมายฆ่าตัวเองไป พอดีขณะนั้นบุตรแท้ๆ ของเศรษฐีกำลังเล่นขลุบ (ลูกคลี) อยู่ใกล้ๆ บ้านกับเพื่อนๆ กำลังแพ้มาก เห็นโฆสกะเดินผ่านจึงเรียกให้ช่วยเล่นแก้มือเอาเงินคืน ตนเองรับอาสาจะไปส่งจดหมายพ่อให้เอง
ช่างหม้อไม่เคยเห็นบุตรเศรษฐี เมื่อได้รับจดหมายก็ทำตามคำสั่งสับจนละเอียดแล้วโยนลงเตาเผาตกเย็นโฆสกะกลับเข้าไปในบ้าน เศรษฐีเห็นจึงถาม ทราบเรื่องตกใจมากคร่ำครวญว่า “อย่าฆ่าลูกฉัน อย่าฆ่าลูกข้า” แล้ววิ่งร้องไห้ไปยังบ้านช่างหม้อ แต่สายเสียแล้ว
ช่างหม้อเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า “ท่านเศรษฐีอย่าเอะอะไปงานของท่านเรียบร้อยแล้ว”

เศรษฐีนั้นเศร้าโศกเป็นทุกข์ยิ่งนัก แต่นั้นมาก็ยิ่งเกลียดชังโฆสกะมากขึ้น ในคราวที่โฆสกะเป็นหนุ่มเศรษฐีเขียนจดหมายถึงผู้จัดการผลประโยชน์ในชนบทว่า “เด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุตรเลว ขอให้ท่านจับฆ่าแล้วทิ้งเสียในถังส้วม” แล้วมอบจดหมายให้โฆสกะถือไป
ในระหว่างทางโฆสกะได้แวะบ้านของสุมงคลเศรษฐีเพื่อนของพ่อ เพื่อรับเสบียงเดินทาง
สุมงคลเศรษฐีมีธิดาสาวสวยคนหนึ่ง นามว่า สุมนา ขณะที่มารดาของเธอกำลังต้อนรับโฆสกะอยู่นั้น เธอได้ใช้หญิงคนใช้ไปตลาด เมื่อมารดาของเธอเห็นเข้าก็เรียกให้มาปูที่หลับนอนให้โฆสกะ
เมื่อหญิงคนใช้กลับมาช้าลูกสาวเศรษฐีจึงถาม พอทราบว่าโฆสกะมาพักที่บ้าน เพียงเพราะได้ยินคำว่าโฆสกะเท่านั้น ความรักก็แล่นเขาจับใจของนาง ความจริงธิดาเศรษฐีนั้นหาใช่ใครที่ไหนไม่ เธอคือนางกีล ภรรยาของนายโกตุหลิกนั่นเอง (นายโกตุหลิก ก็คือนายโฆสกะนั่นเอง) เมื่อนายโกตุหลิกตายแล้ว นางได้พยายามทำความดีแม้จะยากจน แต่ไม่จนใจ พยายามเอาแรงกายเข้าช่วยเหลือนายโคบาลในเรื่องบุญกุศลอยู่เสมอ เมื่อสิ้นชีพจึงไปบังเกิดในสวรรค์แล้วจุติมาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี เพราะกุศลวิบากที่นางได้ทำในสมัยที่เป็นนางกาลี

ธิดาเศรษฐีแปลงสาสน์

เมื่อปลอดคน ธิดาเศรษฐีลงไปชั้นล่าง เห็นโฆสกะนอนหลับอยู่มีจดหมายติดชายพก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและด้วยความรัก ทำให้เธอดึงจดหมายออกจากชายพกของโฆสกะนำไปอ่านที่ห้องทราบเรื่องโดยตลอด เธอจึงฉีกจดหมายนั้นทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นใหม่ความว่า “โฆสกะนี้เป็นบุตรคนโตของเรา เราประสงค์จะให้แต่งงานกับบุตรีของสุมงคลเศรษฐีสหายของเรา เมื่อหลาน(ผู้จัดการผลประโยชน์) ได้รับจดหมายแล้วให้รีบจัดการทำให้ดี แล้วส่งข่าวให้เราทราบ”
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ก็ใส่ไว้ที่ชายพกของโฆสกะดังเดิม ผู้จัดการผลประโยชน์ของเศรษฐีได้ทำทุกอย่างตามจดหมายที่เขาได้รับจากมือของโฆสกะ แล้วส่งข่าวไปให้เศรษฐีทราบ
เศรษฐีพอได้ทราบข่าวก็เกิดความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงรำพันว่า “เราต้องการทำสิ่งใดแก่โฆสกะ สิ่งนั้นหาเป็นไม่ เราไม่ต้องการให้สิ่งใดเกิดขึ้นแก่โฆสกะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีไปสิ้น”
นี่แหละ บุคคลผู้อันบุญกุศลคุ้มครองแล้ว ย่อมไม่ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าใครจะคิดร้ายสักปานใด ส่วนผู้ที่ไม่มีบุญกุศลคุ้มครอง แต่มีเวรานุเวรติดตาม ย่อมประสบอันตรายเอง

ความโศกถึงบุตรที่ตายไป ๑ ความแค้นที่ทำอันตรายใดๆ แก่โฆสกะไม่ได้ ๑ มีผลกระทบกระเทือนต่อร่างกายและจิตใจมาก เศรษฐีนั้นจึงล้มป่วยลง และเมื่อเศรษฐีสิ้นชีวิตพระเจ้าอุเทนราชาแห่งโกสัมพีจึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่โฆสกะแทนที่บิดา
โฆสกะนั้นยืนบนรถ ทำการเฉลิมฉลองให้เอกเกริกตลอดนครโกสัมพี ฝ่ายนางสุมนาผู้ภรรยายืนมองดูสามีอยู่ที่หน้าต่าง เห็นสามีมาพร้อมด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหย่ จึงพูดกับนางกาลี (หญิงคนใช้ที่นำโฆสกะไปทิ้งหลายครั้ง) ว่า “ดูเถิดกาลีโฆสกะได้สมบัติเพราะเราแท้ๆ”
เมื่อนางกาลีสงสัยเรียนถาม นางจึงเล่าให้ฟังตั้งแต่โฆสกะนำจดหมายฆ่าตัวติดชายพกไป....
นางกาลี จึงเล่าเรื่องเบื้องต้นของโฆสกะให้นางสุมนาฟังเหมือนกัน ขณะที่โฆสกะกลับมานั้น สุมนาระลึกอยู่ว่า โฆสกะได้สมบัติก็เพราะตนโดยแท้ จึงหัวเราะขึ้น โฆสกะเห็นภรรยาหัวเราะเหมือนมีเลศนัย จึงถามทราบเรื่องแล้ว แต่ไม่ปลงใจเชื่อ จึงถามนางกาลีดู นางกาลียืนยันและเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ฟัง โฆสกะจึงเชื่อและได้ความสลดใจปลงสังเวชว่า “กรรมของเราหนักแท้ จึงมีเวรติดตามมา เราพ้นจากความตายเห็นปานนี้คงเพราะบุญช่วยคุ้มครองรักษา เราจะประมาทไม่ได้แล้ว ต้องรีบขวนขวายทำบุญกุศล”
ตั้งแต่นั้นมา โฆสกะได้สละทรัพย์วันละพันเพื่อทำอาหารเครื่องอุปโภคแจกจ่ายแก่คนกำพร้า คนยากจน และคนทุพพลภาพ
เรื่องของโฆสกะที่นำมาเล่านี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กรรมมิได้สูญหายไปเมื่อบุคคลตายแล้ว แต่จะติดตามให้ผลอยู่ตลอดเวลา ส่วนชั่วทำให้ตกต่ำลำบาก ส่วนดีช่วยคุ้มครองรักษา ผู้ที่กุศลคุ้มครองแล้ว ย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้.


....จบครับ....
ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252056

1088
บุญญานุภาพ

ฝ่ายภรรยาของเขาทำศพสามีแล้ว ขอทำงานรับจ้างอยู่ในบ้านของนายโคบาล เมื่อได้ข้าวสารเป็นค่าจ้างก็หุงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานว่า “ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จแก่ทาสของท่านผู้ล่วงลับคือนายโกตุหลิกด้วยเถิด”
นางคิดว่าควรอยู่บ้านนายโคบาลต่อไป เพราะได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกวัน แม้ไม่มีไทยธรรมถวายก็ยังมีโอกาสได้ขวนขวายในบุญกุศลได้ไหว้ได้ทำจิตให้เลื่อมใส เพียงเท่านี้ ก็คงประสบบุญเป็นอันมาก
ต่อมาอีก ๗ เดือน สุนัขตัวนั้นออกลูกเป็นสุนัขผู้ตัวหนึ่ง นายโคบาลเลี้ยงมันด้วยนมโค ลูกสุนัขโตวันโตคืนอย่างรวดเร็ว เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้านนายโคบาลมั่นมักให้ข้าวปายาสแก่มันก้อนหนึ่งเสมอมันจึงรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก
ส่วนนายโคบาล โดยปกติจะไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าวนละ ๒ ครั้ง ลูกสุนัขตัวนั้นตามไปด้วยเสมอ
วันใด นายโคบาลไม่มีโอกาส เขาก็จะส่งสุนัขตัวนั้นไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “จงไปนำพระปัจเจกพุทธเจ้ามา”
สุนัขรีบวิ่งไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อถึงบรรณศาลาก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง เป็นสัญญาว่ามารับพระปัจเจกพุทธเจ้า ขณะที่นำพระปัจเจกพุทธเจ้าไปนั้น จะออกหน้าและเก่าไปพลาง มีบางครั้งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการจะลองใจมัน แกล้งเดินไปทางอื่น สุนัขตัวนี้จะเอาปากงับชายจีวรของท่านแล้วนำท่านไปในทางที่จะไปบ้านของนายโคบาล
ด้วยความสัมพันธ์อันมีอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานๆ สุนัขจึงมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ต่อมาพระปัจเจกพุทธเจ้าบอกลานายโคบาล เพื่อจะไปทำจีวรใหม่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เพราะจีวรที่ใช้อยู่เก่ามากแล้ว
สุนัขแสนรู้ฟังพระปัจเจกพุทธเจ้าและนายโคบาลคุยกันอยู่ มันเข้าใจเรื่องราวโดยตลอด เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลานายโคบาลเหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์นั้น สุนัขยืนมองอยู่ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตา หัวใจมันก็แตกสลายถึงแก่ความตาย
เพราะเป็นสัตว์ที่มีความเห็นตรงไม่คดในข้องอในกระดูก และประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้า สุนัขตัวนั้นเมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเสียงอันก้องกังวาล เพราะอานิสงส์ที่เห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยใจเลื่อมใส ได้นามว่า “โฆสกเทพบุตร” แต่อยู่ในเทวโลกได้ไม่นานก็จุติมาเกิดเป็นมนุษย์อีก


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252056

1089
กฎแห่งกรรม / @@-หัวใจพ่อ-น้ำใจแม่-@@
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:05:22 »
หัวใจพ่อ-น้ำใจแม่

สมัยหนึ่ง แคว้นอัลลกัปปะเกิดขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ชายผู้หนึ่งชื่อ โกตุหลิก (โก – ตุ – หะ – ลิก) เห็นว่าไม่อาจครองชีพโดยผาสุกในแคว้นนั้นได้ จึงพาภรรยาชื่อกาลีและบุตรน้อยคนหนึ่ง มุ่งหน้าไปเมืองโกสัมพี มีเสบียงอาหารติดมือเพียงเล็กน้อย
เดินทางด้วยเท้าอยู่หลายวัน เสบียงที่ติดตัวหมดลง ระยะทางก็ยังอีกไกล สองสามีภรรยาผลัดเปลี่ยนกันอุ้มลูกน้อยได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส โกตุหลิกผู้สามีจึงขอให้ทิ้งบุตรเสีย อ้างว่า เมื่อเขาทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ย่อมสามารถมีบุตรได้อีก แต่กาลีผู้เป็นภรรยาไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ในคราวที่มารดาเป็นผู้อุ้ม เธอจะประคองบุตรอย่างทะนุถนอมเสมือนประคองพวกดอกไม้ ฝ่ายสามีเมื่อถึงคราวอุ้มก็อุ้มไปอย่านั้นเอง พอทราบว่าลูกหลับ จึงออกอุบายให้ภรรยาเดินนำหน้าไปก่อน ตนเองเข้าไปใกล้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วทิ้งลูกไว้ที่พุ่มไม้นั้นแล้วเดินตามภรรยาไป
นางกาลีเหลียวหลังกลับมาไม่เห็นลูกถามทราบความแล้ว นางก็คร่ำครวญขอร้องให้สามีกลับไปนำลูกมา แต่ปรากฎว่าบุตรของเขาสิ้นใจ ในขณะที่เขากำลังอุ้มกลับมานั่นเอง


นายโคบาลผู้อารี

สองสามีภรรยาเดินทางต่อไปจนมาถึงบ้านนายโคบาล วันนั้นที่บ้านนายโคบาลมีงานมงคล และที่เรือนของนายโคบาลนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งมาฉันอาหารอยู่เป็นประจำ
วันนั้น นายโคบาลได้จัดแจงข้าวปายาสไว้เป็นพิเศษ สำหรับถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าและเพื่องานมงคล ขณะนั้นเขาเห็นสองสามีภรรยาเดินมามีร่างกายซูบผอม อิดโรย ถามดูทราบความแล้วก็เกิดเมตตา จึงเลี้ยงดูด้วยข้าวปายาส (เข้าที่ปรุงด้วยน้ำนมสด) เป็นอันมาก
เนื่องจากอดอาหารมาถึง ๗-๘ วัน นายโกตุหลิกจึงบริโภคมากจนเกิดประมาณ ฝ่ายนายโคบาลเมื่อเลี้ยงดูสองสามีภรรยาเสร็จแล้ว จึงเริ่มบริโภคเองบ้าง โกตุหลิกนั่งดูเห็นเขาเอาข้าวปายาสให้นางสุนัขนอนอยู่ใต้ตั่ง คิดอยู่ในใจว่า “นางสุนัขตัวนี้ มีบุญจริงหนอได้กินอาหารอย่างดีอย่างนี้ทุกวันๆ”
คืนนั้นเอง อาหารจำนวนมากที่นายโกตุหลิกกินเข้าไปไม่อาจจะย่อยได้ เขาถึงแก่ความตายในคืนนั้น และบังเกิดในท้องนางสุนัขนั่นเอง


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252056

1090
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 11:52:42 »
ตอนสุดท้ายครับ ของ บันทึกชึนเชา ๓๖ (คำสอนฮวงโป)

๓๖. หลักที่ว่า ไม่มีธรรม

ถาม   ท่านพระสังฆปริณายกองค์ที่หก เป็นคนไม่รู้หนังสือ ทำไมท่านจึงได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตรเครื่องหมายตำแหน่ง ซึ่งยกท่านสู่ตำแหน่งนั้น ? ท่านเชนสุ่ย เพื่อนนักศึกษาคู่แข่งขันคนหนึ่งอยู่ในฐานะสูงกว่าศิษย์อื่น ๆ ตั้งห้าร้อยคน เพราะเป็นอาจารย์ช่วยสอน และสามารถอธิบายความหมายอันลึกซึ้งของพระสูตรต่าง ๆ ได้ถึง ๓๒ คัมภีร์ ทำไมท่านจึงไม่ได้รับผ้ากาสาวพัสตรนั้น ?

ตอบ   เพราะว่าท่านเชนสุ่ย ยังคงปล่อยตนไปในความคิดปรุงแต่ง คือในธรรมที่นำไปสู่การกระทำ ประโยคที่ว่า “เมื่อเธอปฏิบัติเธอจึงจะบรรลุ” นั้น ท่านองค์นั้นก็ยังยึดถือว่าเป็นของจริงอยู่ ดังนั้น พระสังฆปริฯยกองค์ที่ห้า ท่านจึงทำการมอบหมายธรรมแก่ท่านฮุยเหน่ง (เว่ยหล่าง) ชั่วขณะนั้นเอง ท่านฮุยเหน่งได้บรรลุถึงความเข้าใจซึมซาบชนิดที่ไม่ต้องมีคำพูดและได้รับธรรมหฤทัยอันลึกซึ้งที่สุด ของพระตถาคตไปอย่างเงียบกริบ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าทำไม ธรรม นั้น จึงถูกถ่ายทอดไปยังท่าน

พวกเธอไม่เห็นว่า หลักคำสอน อันเป็นรากฐานของธรรมนั้น คือหลักที่ว่า ไม่มีธรรม ถึงกระนั้น หลักที่ว่าไม่มีธรรม นั่นแหละ เป็นธรรมอยู่ในตัวมันเอง และบัดนี้ หลักที่ว่า ธรรมไม่มีนั้น ก็ได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว หลักที่ว่า มีธรรม จะเป็นธรรมได้อย่างไรกัน ?

ใครก็ตามเข้าใจซึมซาบความหมายของข้อความนี้ ย่อมควรที่จะได้นามว่า ภิกษุ คือผู้ซึ่งเชี่ยวชาญต่อ “ธรรมปฏิบัติ”

ถ้าเธอไม่เชื่อความข้อนี้เธอลองอธิบายความหมายของเรื่องต่อไปนี้ดู ท่านเว่ยมิง ได้ปีนขึ้นไปยังยอดสุดแห่งภูเขาต่ายื่น เพื่อพบพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านสังฆปริณายกได้ถามว่า มาทำไม มาเพื่อจีวรหรือมาเพื่อ ธรรม ? ท่านเว่ยมิงได้ตอบว่า ไม่ได้มาเพื่อจีวรแต่มาเพื่อ ธรรม เมื่อเป็นดังนั้น พระสังฆปริณายกได้กล่าวว่า “ขอให้ท่านทำจิตของท่านให้เป็นสมาธิสักขณะหนึ่ง และเว้นการคิดในความหมายของคำว่า ดีและชั่ว เสียให้หมด” ท่านเว่ยมิงได้ทำตามสั่ง และพระสังฆปริณายกได้กล่าวต่อไปว่า “เมื่อท่านไม่คิดถึงความดี และไม่คิดถึงความชั่วอยู่ ตรงขณะนี้แหละเธอจะย้อนกลับไปสู่ภาวะที่เธอได้เป็นอยู่ ในขณะก่อนแต่ที่มารดาบิดาของเธอเองเกิดมา” พอพูดจบ ท่านเว่ยมิงก็ได้ลุถึงความเข้าใจซึมซาบชนิดที่ไม่ต้องมีเสียงพูด ได้โดยแว็บเดียว ต่อจากนั้นท่านได้หมอบลงบนพื้นดินและได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเหมือนกับคนที่ดื่มน้ำอยู่ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง ว่ามันเย็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านสังฆปริณายกองค์ที่ห้า และศิษย์ทั้งหลายของท่านมาเป็นเวลา ๓๐ ปี แต่เพิ่งวันนี้เอง ที่ข้าพเจ้าสามารถขจัดความผิดพลาดต่าง ๆ ในวิธีคิดอย่างเก่า ของข้าพเจ้าเสียได้” พระสังฆปริณายกองค์ที่หก ได้ตรัสว่า “ถูกแล้ว อย่างน้อยที่สุด บัดนี้ท่านย่อมเข้าใจว่า ทำไมเมื่อพระสังฆปริณายกองค์ที่หนึ่งจากอินเดียมาถึง ท่านจึงได้ชี้ตรงไป แต่ที่ จิต ของคน ซึ่งโดย จิต นั้นเอง เขาเหล่านั้นสามารถรู้แจ้งเห็นจริง ถึง ธรรมชาติเดิมแท้ของเขา และกลายเป็น พุทธะ ได้ และข้อที่ว่า “ทำไมพระสังฆปริณายกองค์นั้น จึงไม่เคยพูดถึงสิ่งอื่นนอกไปจากนี้เลย”

เรายังไม่เห็นกันอีกหรือ ว่าทำไมเมื่อพระอานนท์ได้ถามพระมหากาศยปะว่า พระพุทธองค์ซึ่งโลกบูชา ได้ทรงมอบหมายอะไรให้อีก พร้อมกับจีวรทอง พระมหากาศยปะจึงร้องขึ้นว่า “อานนท์!” เมื่อพระอานนท์ขานตอบ ด้วยความเคารพว่า “อะไรครับ ?” ดังนั้น ท่านมหากาศยปะได้กล่าวต่อไปว่า “ทิ้งเสาธงลงเสียที่ประตูวัดเถิด” ดังนี้ นี่แหละ คือนิมิตซึ่งพระสังฆปริณายก (สายอินเดีย) องค์ที่หนึ่งท่านได้ให้แก่พระอานนท์

ตลอดเวลา ๓๐ ปี ที่พระอานนท์คนฉลาด ปฏิบัติรับใช้ตามพระพุทธประสงค์ส่วนพระองค์มา แต่เนื่องจากท่านเป็นคนรักการได้ความรู้มากเกินไป พระพุทธองค์จึงได้ทรงตักเตือนท่าน โดยตรัสว่า “แม้เธอเที่ยวหาความรู้อยู่ตั้ง ๑,๐๐๐ วัน มันก็ยังทำประโยชน์ให้แก่เธอได้น้อยกว่าการฝึกฝนเรื่อง ทาง ทางนี้โดยเฉพาะ แม้เพียงวันเดียว ถ้าเธอไม่ฝึกฝนมัน เธอจะไม่สามรถย่อยได้ แม้แต่น้ำหยดเดียว !”

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=274.0

  :090: ว่าง ไม่ปรุงแต่ง(คืนสู่สามัญ)

---จบ---

ถ้าสนใจใคร่อ่านต่อขอเชิญอ่านเรื่อง...พระสูตรของ ท่านเว่ยหล่าง มี 4 ตอน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21803
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21825
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21844
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21854

1091
ขออนุญาตนำภาพมาประกอบครับ

เปรียบประดุจเสียงระฆัง ที่พอดีก็ดัง...เกิดขึ้น
ตีไปแล้วเสียงก็ยังดัง....แล้วก็ค่อยๆเงียบลง...ดับไป

1092
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 07:55:05 »
๓๕. ความพากเพียร

ถ้าพวกเธอจะใช้เวลาของเธอทั้งหมด ไม่ว่าเดินอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ก็ตาม ให้เป็นการฝึกฝนเพื่อจะหยุดเสีย ซึ่งการกระทำต่าง ๆ ของจิตของเธอเอง ในการที่จะก่อรูปความคิดต่าง ๆ ขึ้น เมื่อเป็นดังนั้น เธอก็จะเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการลุถึงจุดหมายปลายทางขั้นสุดท้าย เนื่องจากธรรมที่เป็นกำลังของเธอยังมีไม่พอ เธอจึงไม่สามรถที่จะข้ามสังสารวัฏได้ ด้วยการกระโดดทีเดียวถึง แต่เมื่อห้าหรือสิบปีผ่านไป เธอก็จะมีการตั้งต้นที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แล้วก็สามารถก้าวหน้าต่อไปได้เอง เป็นธรรมดา

แต่มันเป็นเพราะเธอไม่เป็นบุคคลประเภทนั้น เธอจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้จิตของเธอเอง ใน “การศึกษาธฺยานะ” และ “ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น” การกระทำอย่างนั้น มันมีอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วยเล่า ?

ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า ทั้งหมดเท่าที่พระตถาคตได้สอนนั้น มีอยู่เพียงเพื่อจะกลับใจมหาชน มันเหมือนกับแสร้งลวงไปว่าใบไม้เหลือง ๆ เป็นทองคำแท้ เพื่อให้น้ำตาของเด็กหยุดไหล เท่านั้น ฉะนั้นมันต้องไม่ถูกยึดถือว่า เป็นความจริงที่เด็ดขาด แต่ประการใด ถ้าเธอถือเอาเป็นความจริง เธอก็ไม่ใช่สมาชิกแห่งนิกายเรา แล้วมันจะมีผลอะไรกับธรรมชาติเดิมแท้ของเธอเล่า ?

ดังนั้น ข้อความในสูตรจึงกล่าวว่า “สิ่งซึ่งเรียกว่าปัญญาอันสมบูรณ์ถึงที่สุดนั้น หมายความว่าไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ที่ต้องลุถึง” ถ้าเธอสามารถเข้าใจความข้อนี้ได้ เธอก็จะเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าทั้ง พุทธวิถี และ มารวิถี ก็ล้วนแต่พลาดจากเป้าหมายนี้สิ้นเชิงโดยเท่ากัน

จักรวาลเดิมที่รุ่งเรืองและบริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ของเหลี่ยมหรือของกลม ไม่ใช่ของใหญ่หรือของเล็ก มันปราศจากความแตกต่างว่ายาวหรือสั้นใด ๆ ทั้งหมด มันอยู่เหนือการเกี่ยวข้อง เหนือการกระทำ เหนือวิชชา และเหนือการตรัสรู้

พวกเธอต้องการเห็นให้ชัดลงไปว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย-ไม่มีทั้งทั้งมนุษย์สามัญ ไม่มีทั้งพุทธะทั้งหลาย มหาโลกธาตุมีจำนวนนับไม่ถ้วนดุจเม็ดทรายในโลก ก็เป็นเพียงฟองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ญาณทั้งหลายและอริยะภาวะทั้งปวง เป็นเพียงเส้นแฉก ๆ ของแสงฟ้าแลบ ในบรรดาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีอะไรซึ่งเป็นตัวแท้ของ จิต

ธรรมกาย ตั้งแต่โบราณกาลมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ รวมทั้งพระพุทธเจ้าทั้งปวง และพระสังฆปริณายกทั้งหลาย เป็น หนึ่ง แล้วมันจะขาดอะไรไปสักเส้นขนเดียว ได้อย่างไรกันเล่า ?

ถ้าแม้เธอเข้าใจความข้อนี้ เธอก็ต้องทำความพากเพียรเข้มแข็งถึงที่สุด ตลอดทั้งชีวิตนี้ พวกเธอไม่อาจจะมีอะไรเป็นที่แน่นอนอยู่ทุกเวลา ว่าจะได้มีชีวิตอยู่ยาว จนกระทั่งได้หายใจอีกครั้งหนึ่งหรือไม่


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=273.0

  :090: ฝึกฝนทุกนาที ทุกที่ ทุกเวลา เป็นกิจวัตร

1093
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.......คือ พระไตรลักษณ์ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้อง ปลง(เข้าใจ) :054:

1094
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 07:34:02 »
๓๔. กาฝาก

ถาม   สัจจะอย่างโลก หมายความว่าอะไร ?

ตอบ   เธอจะไปทำอะไรกับไม้กาฝากชนิดนั้นนะ ? ความจริงคือความบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทำไมจะต้องไปถกกันถึงคำที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นเล่า ? ความที่ปราศจากความคิดนึกต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด เรียกว่า ปรีชาของความมีจิตปรกติ

ทกวันไม่ว่าเดินอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ก็ตาม หรือในการพูดจาทั้งหมดก็ตาม จึงยังคงเป็นผู้มีจิตปราศจากการยึดถือทุก ๆ อย่างในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง ไม่ว่าจะพูด หรือแม้เพียงแต่กระพริบตา ขอให้ทำมันไปด้วยความที่จิตปรกติถึงที่สุด

เดี๋ยวนี้ เรากำลังอยู่ในตอนปลายของระยะห้าร้อยปีที่ ๓ นับแต่พุทธปรินิพพานมา นักศึกษาเซ็นแทบทั้งหมด ได้เอียงไปในทางยึดถือเสียงและรูปทุกชนิด

ทำไม่พวกเธอจึงไม่ลอกแบบเรา ด้วยการปลดเปลื้องความคิดทุกอย่างออกไปเสีย ราวกะว่ามันมิได้มีอยู่เลย หรือราวกะว่ามันเป็นไม้ผุ ๆ ชิ้นหนึ่ง หินก้อนหนึ่ง หรือขี้เถ้าที่ชดแล้วเท่านั้นเล่า ? หรือลอกแบบเรา ด้วยการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างแผ่วเบาที่สุด เท่าที่ควรจะทำได้ ในแต่ละโอกาสเล่า ? ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น และเผอิญตายลงเดี๋ยวนี้ เธอจะถูกทรมานโดยยมบาล

พวกเธอต้องหลีกเลี่ยงจากคำสอนเรื่องความมีอยู่ และเรื่องความไม่มีอยู่เสียให้หมด เพราะ จิต นั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ในข้อที่มันอยู่ในความว่างตลอดนิรันดร ส่องแสงได้โดยธรรมชาติของมันเอง และส่องแสงโดยไม่ตั้งใจจะส่องแสง นี่ไม่ใช่สิ่งซึ่งพวกเธออาจจะทำให้สำเร็จได้ โดยปราศจากความพากเพียร แต่เมื่อเธอลุถึงขั้นที่ไม่มีความยึดถือต่อสิ่งใด ๆ หมดแล้ว เธอก็จะเป็นผู้ที่ทำอยู่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านทำ

การทำอย่างนี้ จะเป็นการกระทำที่เข้าร่องเข้ารอยกันได้จริง ๆ กับคำที่กล่าวว่า “จงทำจิตให้เป็นจิตชนิดที่ไม่อิงอาศัยอยู่บนอะไรเลย เพราะว่านี่แหละ คือ ธรรมกายแท้ ของเธอ ซึ่งเรียกได้ว่า การตรัสรู้ที่สมบูรณ์ถึงที่สุด

ถ้าเธอไม่สามารถเข้าใจซึมซาบในข้อนี้ แม้เธอจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของเธอ หรือแม้เธอจะมีความพากเพียรอย่างสาหัส และบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างตึงเครียดที่สุด เธอก็จะยังคงล้มเหลวต่อการรู้แจ้งถึงจิตของเธอเองอยู่นั่นเอง ความพยายามทั้งหมดของเธอจะเดินทางผิด และเธอก็จะเข้าไปสมทบในครอบครัวของมาร โดยแน่นอน อานิสงส์อะไรกัน ที่เธอจะได้รับจากวัตรปฏิบัติชนิดนี้ ?

มันเหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ ชิกุง ได้พูดไว้ว่า “พุทธะ นั้น คือสิ่งซึ่งจิตของเธอเองสร้างขึ้นแท้ ๆ เมื่อเป็นดังนั้น จะแสวงหา พุทธะ นั้น จากพระคัมภีร์ต่าง ๆ ได้อย่างไรกัน ?” ดังนี้

แม้พวกเธอจะได้ศึกษาถึงเรื่อง ทำอย่างไรจึงจะบรรลุถึงความเป็นพระโพธิสัตว์สามประเภท ความเป็นพระอรหันต์สี่ประเภท และภูมิทั้งสิบแห่งความก้าวหน้า ต่อการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้เหล่านี้แล้วก็ตาม เธอก็จะยังคงทำตัวให้เคว้งคว้างอยู่ตรงกลางระหว่าง “อย่างธรรมดา” และ “อย่างตรัสรู้แล้ว อยู่นั่นเอง

การที่ไม่ดูให้รู้ว่าวิธีการแห่งการปฏิบัติ เพื่อลุถึง ทาง ทางโน้นทุกวิธี ล้วนแต่กินเวลานิดเดียวทั้งนั้น นั่นเป็นสังสาริกธรรม (คือสิ่งที่ทำให้เวียนว่ายไปในวัฏสงสาร ไม่รู้สร่าง)


แรงยิงของมัน เมื่อใช้ไปแล้วครั้งเดียว (ก็หมด) ลูกศรก็ตกดิน

พวกเธอสร้างขึ้นแต่ชีวิตชนิดที่ไม่ทำให้ความหวังของเธอเต็มได้

ช่างอยู่ต่ำกว่าประตู โคตรภู เสียนี่กระไร

ซึ่งจากนั้น กระโดดแผล็บเดียว ก็ถึง พุทธเกษตร !

มันเป็นเพราะว่า เธอไม่อยู่ในพวกที่กระโดดแผล็บเดียวถึง เธอจึงยังคงดันทุรังไปในทางที่จะเรียนให้ทั่วจบถึงวิธีการต่าง ๆ ที่พวกคนโบราณตั้งไว้ เพื่อการมีความรู้ที่ยังอยู่ในระดับของความคิดปรุงแต่ง

ท่านอาจารย์ ชิกุง ยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า “ถ้าเธอไม่พบอาจารย์ชั้นยอด เธอก็กลืนยามหายานเข้าไป เป็นหมันเปล่า ?” ดังนี้


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=272.0

  :090: หลีกเลี่ยงกาฝาก ความมีและไม่มี

1095
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 07:06:41 »
๓๓. เงาสะท้อน

ถาม   ความว่าง ซึ่งเห็นแผ่อยู่ตรงหน้าเรา ในสายตาของเรานั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ามีอยู่จริง เมื่อเป็นดังนั้น มิเป็นว่า ท่านอาจารย์กำลังชี้ไปยังสิ่งบางสิ่ง ซึ่งเห็น ๆ อยู่ และกำลังเห็น จิต อยู่ อยู่ในมันไปหรือ ?

ตอบ   จิตชนิดไหนกันนะ ! ที่ฉันจะอาจบอกให้เธอดูได้ ในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวิสัยแห่งการดูด้วยตา ? สมมติว่าเธอดูเห็นได้ มันจะเป็นแต่เพียง จิต ส่วนที่เป็นแสงสะท้อนกลับ อยู่ตามสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้นเอง เธอจะเป็นเหมือนคนที่กำลังมองดูหน้าตัวเองในกระจกเงา แม้เธออาจจะเห็นมันได้กระจ่างเหมือนของจริงไปทุกอย่าง เธอก็ยังคงเป็นเพียงแต่ผู้มองอยู่ที่เงาสะท้อนล้วน ๆ เท่านั้นเอง นี่มันมีผลคุ้มค่าอะไรที่ไหนกัน ที่ทำให้พวกเธอต้องวิ่งมาหาอาตมา ?

ถาม   ถ้าไม่ให้เราเห็นด้วยอำนาจของแสงสะท้อนแล้ว เมื่อไรเล่าเราจะเห็นกันได้สักที ?

ตอบ   ตลอดเวลาที่พวกเธอยังฝากตัวเองไว้กับ “ด้วยอำนาจของ” อยู่ดังนี้ พวกเธอก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เป็นมายาบางสิ่งอยู่ร่ำไป เมื่อไรพวกเธอจะเข้าใจได้สำเร็จกันสักทีนะ ? แทนที่จะปฏิบัติตามผู้ที่บอกให้เธออ้ามือกว้างทั้งหมดทั้งสองมือ เหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะปล่อยอีกแล้ว เธอก็มัวไปเสียแรงงานในการเที่ยวโอ้อวด ว่ามีอะไรสารพัดอย่าง

ถาม   แม้ผู้ที่เข้าใจเรื่องแสงสะท้อนดีแสงสะท้อนก็ยังไม่มีอยู่อีกหรือ ?

ตอบ   ถ้าของเป็นดุ้น ๆ ก็ยังไม่มีตัวตนที่ตั้งอยู่เสียแล้ว มันจะยิ่งไม่มีมากลงไปอีกสักเท่าไร ในการที่เราจะเอาอะไรกับสิ่งที่เป็นเพียงแสงสะท้อน อย่าเที่ยวได้พูดพร่ำเหมือนคนเดินฝันลืมตา (คนเดินละเมอ) ไปให้มากเลย

เมื่อก้าวเข้าไปในศาลาธรรมประจำเมือง ท่านอาจารย์ได้ประกาศออกมาว่า “การมีความรู้ต่าง ๆ มากมายหลายประเภทนั้น ไม่อาจจะเปรียบกับการที่สามารถเพิกถอนเสียได้ซึ่งการแสวงหาทุกสิ่ง ซึ่งการทำได้อย่างนั้น เป็นสิ่งเลิศสุดเหนือสิ่งทั้งปวง จิต มิได้เป็นสิ่งที่มีมากมายหลายชนิด ไม่มีหลักธรรมแท้จริงอะไร ที่อาจจะพูดกันได้โดยทางคำพูด”

เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ก็ต้องเลิกประชุม

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=271.0

  :090: เพิกถอนเสีย

1096
อยากเรียนถามผู้รู้ครับ
 
   ถ้านั่งสมาธิไปแล้ว
เกิดไม่อยากออกจากสมาธิ คือไม่ได้กำหนดจุดสิ้นสุดไว้
นั่งไปเรื่อยๆ แบบว่าติดความสงบที่ไม่มีอะไรมารบกวน
ประมาณว่า
นั่งเย็นวันศุกร์  ลุกเย็นวันอาทิตย์แบบนี้เป็นต้น
   ถึงขนาดถ้าตายตายไปนี้
มันปกติหรือเปล่า?ครับ
แต่ไม่ได้มีจินตนาการอะไร ไม่ได้ไปไหน
อยู่กับจิต แต่สงบมากๆ นิ่งมากๆ เท่านั้น
  รบกวนด้วยครับ
ระหว่างที่รอผู้รู้มาตอบ..........

แต่เท่าที่ทราบมีผู้ปฏิบัติหลายๆท่านเสวยสุขในฌานได้นานเกิน 7 วัน ก็ไม่ตายครับ
ขอนำบทความหนึ่งมาให้ท่านอ่าน อาจจะไม่ตรงนักแต่คงพอเข้าใจนะครับ.........
===================
 มีพระอาจารย์เซ็นมาจากเมืองจีน ๓ องค์ ยังค้นชื่อที่แน่ชัดไม่พบ แต่พอจะได้หลักฐานเค้ามูลบ้างแล้ว พวกนี้มาถึงก็ปลงสังขารตกว่า ถ้าสอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็เอาตัวรอดดับขันธ์ไป ไม่กลับเมืองจีน นี่รุ่นเก่าๆ บอกต่อๆ มาว่า อาจารย์ ๓ องค์หายไปในเมืองไทยได้อย่างไร

          ๑. รูปหนึ่งไปนั่งดับแห้งตายอยู่ในถ้ำเขาน้อย ท่าม่วง (กาญจนบุรี) พี่สาวผมทันเห็นองค์นี้ตอนอายุ ๙ ขวบ ช่วงนั้นฝนไม่ตกมา ๓-๔ ปี ชาวบ้านหาว่าหลวงพ่อแห้งที่อยู่บนถ้ำ ทำให้ฝนไม่ตก จึงอัญเชิญมาเข้ากองฟืนซะ แต่ศพไม่เน่า เพราะเซ็นเก่งเรื่องนี้ เขามีสูตรวิธีทำได้ แต่พวกฉันไม่กล้าแปล เพราะกลัวคนฆ่าตัวตาย

          ๒. หลวงพ่อกวงโพธิ์ อยู่ในถ้ำเมืองกาญจน์ มีพระธุดงค์มาเล่าให้ฟังว่า ธุดงค์เข้าไปในแดนกะเหรี่ยง มีกะเหรี่ยงที่พูดภาษาไทยได้บอกว่า มีถ้ำแปลก เขาบอกว่าคนนั่งตาย นอนตาย ตัวแห้งแข็ง พระท่านก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เข้าไปแล้วไม่ออก (เรื่องนี้ ในฝ่ายเซ็นมีคำว่า "ป่าช้าเซ็น" เข้าไปแล้วไม่ออก หมายถึงตั้งใจเข้าไปตาย) ท่านก็เลยให้กะเหรี่ยงคนนั้นพาไป และถ่ายรูปหลวงพ่อกวงโพธิ์ออกมาได้ ศพนั่งแห้งจนนึกว่าปั้น แทบไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ทำให้พอจะจับเค้าได้ว่า สมัยก่อนพระมหายานมาเมืองไทย ก็จะเข้าเมืองกาญจน์หมด

          ๓. อีกองค์หนึ่ง มีเชื้อพระวงศ์ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ บอกว่า ปู่ของเขาแล่นเรือออกไปทางสมุทรปราการ ยิงนก ตกปลาเล่น พอ ลองเอากล้องส่องทางไกล ไปเจอพระนั่งนิ่งอยู่ไกลๆ อีก ๕ วันกลับมา ก็ยังเห็นพระนั่งอยู่อย่างนั้น จึงแวะไปดู สืบรู้ว่าเป็นพระมาจากเมืองจีน ท่านบอกว่าตั้งใจจะลาโลกแล้ว เพราะเจตนาจะมาสอนธรรมในเมืองไทย แต่ไปไม่รอด เพราะติดเรื่องภาษา เจ้าองค์นั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วบอกว่าจะหาช่วยวิธีถ่ายทอดธรรมะให้ แต่อยู่ได้ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ ท่านก็บอกว่าอยากจะกลับที่เดิม ไม่ช้าพระรูปนั้นก็มรณภาพไปนี่เป็น ๓ องค์ที่ได้เค้าว่าเป็นพระเซ็นแน่ๆ
ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

1097
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 06:46:01 »
๓๒. “ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ”

ถาม   มายา ได้บัง จิต ของเราเอง เสียจากเรา แต่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ได้สอนพวกเรา ว่าทำอย่างไร จึงจะกำจัดมายานั้นเสียได้ ?

ตอบ   การเกิดขึ้นของมายาก็ดี การถอนมายาออกเสียได้ก็ดี ล้วนแต่เป็นมายาด้วยกัน มายามิใช่สิ่งซึ่งมีรกรากอยู่ใน ความจริง มันตั้งอยู่ได้ ก็เพราะความคิดแบบทวินิยมของพวกเธอ ถ้าพวกเธอเพียงแต่หยุดปล่อยตนไปตามความคิดที่ทำให้เกิดของเป็นคู่ตรงกันข้าม เช่น “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” เสียเท่านั้น มายาก็จะสิ้นสุดลงไปได้เองทันที และแล้วถ้าเธอยังขืนอยากจะทำลายมัน ในที่ทุก ๆ แห่งที่มันอาจจะมีอยู่ เธอจะพบว่า ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แม้แต่เท่าเส้นขนเดียว ให้เธอเกาะ นี่แหละ คือความหมายของคำที่ว่า “ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ” เพราะเมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ฉันจะพบ พุทธะ ใน จิต ของฉันโดยแน่แท้ นั่นเอง

ถาม   ถ้าไม่มีอะไรให้เกาะยึดเสียเลยแล้ว ธรรมะ จะถูกถ่ายทอดได้อย่างไรกัน ?

ตอบ   มันเป็นการถ่ายทอด จิต ด้วย จิต

ถาม   ถ้า จิต เป็นสิ่งที่ถูกใช้สำหรับการถ่ายทอด ทำไมท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า จิต ก็ไม่ได้ตั้งอยู่เหมือนกัน ดังนี้เล่า ?

ตอบ   การไม่ได้รับ ธรรมะ อะไรเลย นั่นแหละ เรียกว่าการถ่ายทอด จิต การเข้าใจซึมซาบ จิต ชนิดนี้ หมายความว่าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ

ถาม   ถ้าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ แล้ว การถ่ายทอด หมายถึงอะไรกันเล่า ?

ตอบ   พวกเธอได้ยินคนเขาพูดกันถึงการถ่ายทอด จิต แล้วพวกเธอก็พูดกันถึงอะไรบางอย่าง ที่พวกเธอเองหวังว่าจะได้รับ ดังนั้น ท่านอาจารย์โพธิธรรม จึงได้กล่าวว่า ...

ธรรมชาติแท้ของ จิต นั้น ถ้าเข้าใจซึมซาบแล้ว

คำพูดของมนุษย์ ไม่สามารถหว่านล้อม หรือเปิดเผยมันได้

ความตรัสรู้ คือความไม่มีอะไรให้ต้องลุถึง

และผู้ซึ่งได้ตรัสรู้แล้ว ก็ไม่พูด ว่าเขารู้อะไร

ถ้าเผอิญอาตมาทำความกระจ่างในข้อนี้ให้แก่พวกเธอ อาตมาสงสัยว่าพวกเธอจะทนมันไหวหรือ ?


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=270.0

  :090: ปล่อยเสีย

1098
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 06:40:31 »
๓๑. มายา

ถาม   จากข้อความทั้งหมด เท่าที่อาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ได้ความว่า จิต คือ พุทธะ แต่มันไม่กระจ่างในข้อที่ว่า หมายถึงจิตชนิดไหนในประโยคที่ว่า “จิต” ซึ่งเป็น “พุทธะ” นั้น ?

ตอบ   เธอมีจิตอยู่แล้วกี่มากน้อยเล่า ?

ถาม   ก็แต่ว่า พุทธะนั้น เป็นจิตธรรมดา หรือจิตที่ตรัสรู้แล้วเล่า ?

ตอบ  ก็ในโลกนี้ ที่ตรงไหนเล่า ที่เธอเก็บจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้ว ของเธอไว้ ?

ถาม   ในคำสอนของ ยานทั้งสาม มีกล่าวไว้ว่า มีจิตอยู่ทั้งสองอย่าง ทำไมท่านอาจารย์จึงปฏิเสธมันเสียเล่า ?

ตอบ  ในคำสอนแห่ง ยานทั้งสาม นั้น มีการอธิบายอย่างกระจ่างอยู่แล้วว่าทั้งจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้วนั้น ก็ล้วนแต่เป็นมายา เธอไม่เข้าใจเอง ความยึดมั่นต่อความคิดว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ทั้งหมดนี้เป็นความสำคัญผิด ไปเอาของลวงเหล่านั้นมาเป็นสัจจะ ความคิดต่าง ๆ ชนิดนั้น จะไม่เป็นมายาได้อย่างไรกัน ? เมื่อเป็นมายา มันก็บังจิต นั้นเสียจากเธอ

ถ้าเธอเพียงแต่ขจัดความคิดว่ามีจิตธรรมดา มีจิตตรัสรู้แล้วนั้นออกไปเสียจากเธอเท่านั้น เธอจะพบว่าไม่มีพุทธะอะไรที่ไหนอีกนอกจาก พุทธะ ในจิตของตนเอง

เมื่อท่านอาจารย์โพธิธรรม จากตะวันตกมาถึง ท่านได้ชี้ออกไปว่า สิ่งซึ่งคนทุกคนมีส่วนประกอบร่วมอยู่ด้วยนั่นแหละคือ พุทธะ คนจำพวกเธอ พากันเตลิดไปด้วยความเข้าใจผิด คือไปจับฉวยเอาความคิดเช่นว่า “อย่างธรรมดา” หรือ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็บังคับความคิดต่าง ๆ ของเธอให้เตลิดออกไปข้างนอก สู่ที่ซึ่งมันพากันควบห้อไปเหมือนกะม้า ! ดังนั้นฉันจึงขอบอกเธอ ว่า จิต คือ พุทธะ

ในทันทีที่ความคิด หรือความรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้น พวกเธอก็พลัดตกลงสู่คติทวินิยม กาลเวลาทั้งหมด ซึ่งปราศจากการตั้งต้น และขณะซึ่งเป็นปัจจุบันขณะหนึ่งนั้นเป็นของอันเดียวกัน ไม่มีนี้ ไม่มีโน้น การเข้าใจซึมซาบในสัจจะข้อนี้ เรียกว่าการรู้แจ้งเห็นจริงที่สมบูรณ์และไม่มีอะไรเหนือกว่า

ถาม   ถ้อยคำที่ท่านอาจารย์กล่าวมานี้ มีรากฐานอยู่บนหลักธรรมอะไร ?

ตอบ   เอ้า ! หาหลักหาเหลิกกันทำไมอีกเล่า ? พอสักว่าเธอมีหลักเท่านั้นเธอก็พลัดผลุงลงไปสู่ความคิดแบบคติทวินิยมทันที

ถาม   เมื่อตะกี้นี้เอง ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงอดีตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตั้งต้นเมื่อไร กับปัจจุบันนั้น เป็นของอันเดียวกัน ด้วยการกล่าวอย่างนั้น ท่านอาจารย์หมายถึงอะไร ?

ตอบ   มันเป็นเพราะการแสวงหาด้วยความอยากของเธอแท้ ๆ นี้ ที่เธอไปทำมันให้มีความแตกต่างกันขึ้น ระหว่างของสองอย่าง ถ้าเธอจะหยุดการแสวงหาด้วยความอยากเสียได้ แล้วมันจะมีความแตกต่าง ๆ ในระหว่างของสองอย่างนี้ได้อย่างไร ?

ถาม   ถ้ามันไม่แตกต่างกันแล้ว ทำไมท่านอาจารย์จึงใช้คำเรียกมันต่างกันเล่า ?

ตอบ   ถ้าเธอไม่ไปเอ่ยถึง “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมาแล้ว ใครเล่าจะอยากลำบาก ไปพูดกันถึงเรื่องชนิดนี้ ในเมื่อสิ่งซึ่งจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น ก็มิได้มีอยู่จริง แล้ว จิต ก็มิได้เป็น “จิต” จริง และเมื่อทั้ง จิต และทั้งสิ่งซึ่งถูกจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น โดยแท้จริงเป็นมายาแล้ว เธอจะหวังหาสิ่งใด ๆ ได้ที่ไหนกันเล่า ?


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=269.0

  :090: จิตหนึ่งเดียวไร้มายา

1099
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 06:31:17 »
๓๐. เด็กสวาปาม

บัดนี้ถ้าเธอมัวแต่สาละวนในการใช้จิตของเธอเอง แสวงหา จิต มัวอยู่แต่จะฟังคำสอนจากผู้อื่น และหวังอยู่แต่จะลุถึงจุดหมายปลายทางด้วยการศึกษาล้วน ๆ แล้ว เมื่อไรเล่า เธอจึงจะประสบความสำเร็จสักที ?

คนโบราณบางคน มีจิตใจแหลมคม เขารีบสลัดความรู้สึกทั้งหมดเสียได้ ในทันทีที่ได้รับฟังธรรมซึ่งประกาศออกมา ดังนั้นเขาจึงได้นามว่า “ปราชญ์ผู้ซึ่งสลัดการศึกษาเสียได้ แล้วมาอาศัยอยู่กับการโพล่งรวดเดียวถึงตัว ธรรมะ ได้ในตัวมันเอง”

คนในทุกวันนี้ได้แต่แสวงหาเพื่อจะยัดไส้ตัวเอง  ด้วยความรู้และความสามารถในการใช้เหตุผลทางอนุมาน แสวงหาความรู้ทางพระคัมภีร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และเรียกการทำอย่างนั้น ว่าการปฏิบัติธรรม เขาเหล่านั้นไม่รู้ ว่าความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีผลในทางตรงกันข้าม คือเป็นการสุมกองสิ่งกีดขวาง ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง  ลำพังการรวบเอาความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้อย่างท่วมหัวนั้น มันเหมือนกับเด็กที่ทำตนให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย เพราะสวาปามเต้าหู้เข้าไปมากเกินไป พวกที่ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นตามแบบของพวก ตรียาน นั้น เหมือนกับเด็กคนนี้ทุกอย่าง ทั้งหมดเท่าที่เธอจะเรียกคนพวกนี้ให้ดีที่สุดได้ ก็คือเรียกเขาว่า พวกคนที่เดือดร้อนเพราะท้องเสีย

เมื่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้และสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดชนิดนั้นเกิดย่อยไม่ได้ขึ้นมา มันก็กลายเป็นพิษขึ้น เพราะมันเป็นได้แต่เพียงของในเครือเดียวกันกับสังสารวัฏเท่านั้น ในฝ่าย ธรรมอันสูงสุด นั้น ไม่มีของชนิดนี้เลย ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ในคลังแสงสรรพาวุธแห่งราชาธิปัตย์ของข้า หามี ดาบแห่งความเป็นเช่นนั้นไม่” ดังนี้

ความคิดรูปต่าง ๆ ซึ่งเธอได้ก่อมันขึ้นในอดีต (เหลืออยู่ในรูปแห่งสัญญาต่าง ๆ) นั้นต้องสลัดทิ้งเสียให้หมด แล้วเข้าแทนที่ไว้ด้วยความว่าง เมื่อใดคติทวินิยม สิ้นสุดลง เมื่อนั้นก็มี ความว่างแห่งตถาคตครรภ์

คำว่า “ตถาคตครรภ์” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีเนื้อที่พอให้สิ่งใดซึ่งมีขนาดแม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด ตั้งอยู่ได้ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าเหตุใด พระธรรมราชา (พระพุทธเจ้า) ผู้ที่ได้ทำลายความยึดถือว่ามีตัวมีตนลงเสียได้ ได้ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏออกมาในโลกนี้ และนั่นแหละคือข้อที่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า “เมื่อเราอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธทีปังกร เรารู้สึกว่าไม่มีอะไร แม้แต่อนุภาคเดียวสำหรับเราเพื่อจะบรรลุถึง” ดังนี้

คำตรัสนี้ เป็นคำตรัสที่มุ่งหมายโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ของพวกเธอ ให้เป็นของว่างไปเสีย

มีแต่พวกที่เว้นขาดจากร่องรอย ของการปฏิบัติอย่างคว้าไปคว้ามา เพราะติดแน่นในความรู้ของตน (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ทุกอย่างทุกชนิดเสียได้ และเว้นขาดจากการหวังพึ่งสิ่งใด ๆ ทั้งหมดแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้สงบถึงที่สุดได้

คำสอนตามพระคัมภีร์ ของยานทั้งสามนั้น ก็เป็นแต่เพียงยาบำบัดความเจ็บไข้ ในขั้นปฐมพยาบาลเท่านั้น คำสอนเหล่านั้นถูกสอนไปเพื่อสนองความต้องการในทำนองนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นของมีคุณค่าเพียงชั่วคราว และขัดกันไปขัดกันมา อยู่ในตัวมันเอง ถ้าเพียงแต่ความจริงข้อนี้ เป็นที่กระจ่างกันแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เห็นที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดก็คือ มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะไม่ไปเลือกเอาคำสอนที่เหมาะเฉพาะบางโอกาส บางเรื่อง แล้วเอามาถือว่ามันเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันจับใจเขา โดยการที่มันปรากฏอยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ? เพราะว่าตามความจริงดังนั้น ไม่มีธรรม (สิ่ง) ใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งความข้อนี้ พระตถาคตก็ได้ประกาศไว้แล้ว คนในนิกายเราจะไม่แย้งเลย ในข้อที่ว่า สิ่งทำนองนี้คงจะมีได้

เรารู้จักทำให้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทางจิต หยุดเสียทั้งหมดเท่านั้น และเพราะเหตุนั้น ย่อมได้รับความสงบอันแท้จริง โดยแน่นอนเราไม่ควรตั้งต้นด้วยการคิดสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย แล้วจบลงแค่ความฉงนสนเท่ห์นานาชนิด


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=268.0

  :090:หยุดสวาปาม

1100
วิธีแก้วิปลาส

         อาจารย์ผู้สอนก็ดี ลูกศิษย์ผู้เจริญภาวนาก็ดี เมื่อเข้าใจวิถีจิตที่เข้าเป็นฌานแล้ว จงระวังอุปกิเลส ๑๐ จะเกิดขึ้น ถ้าจิตเข้าถึงฌานแล้ว อุปกิเลสไม่ทั้งหมดก็อย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องเกิดขึ้นสำหรับนิสัยของบางคน แต่บางคนก็ไม่มีเลย ถ้ามันเกิดขึ้นเราควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

         ๑. เมื่ออุปกิเลสเกิดขึ้นแล้ว พึงทำความรู้เท่าว่า นี่เป็นอุปกิเลสเป็นอุปสรรคแก่วิปัสสนาปัญญา และอุปกิเลสนี้เกิดจากฌานหาใช่อริยมรรคไม่ ถึงแม้วิปัสสนาญาณ ๙ แปดข้อเบื้องต้นก็เช่นเดียวกัน อย่าได้น้อมจิตส่งไปตามด้วยเข้าใจว่าเป็นของจริงของแท้ พึงเข้าใจว่านั่นเป็นแต่เพียงภาพอันเกิดจากมโนสังขาร คือจิตปรุงแต่งขึ้นด้วยอำนาจของฌานเท่านั้น พึงหยิบยกเอาพระไตรลักษณญาณขึ้นมาตัดสินว่า อุปกิเลสทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะฌาน ฌานก็เป็นโลกิยะ อุปกิเลสก็เป็นโลกิยะ โลกิยะทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวรนั้นแหละเป็นทุกข์ เพราะทนต่อความเที่ยงแท้ถาวรไม่ได้ แล้วก็แตกสลายดับไปตามสภาพของมันเอง ซึ่งไม่มีใครจะมีอำนาจห้ามปรามไม่ให้มันเป็นเช่นนั้นได้ ซึ่งเรียกว่า อนัตตา เมื่อยกเอาพระไตรลักษณญาณขึ้นมาตัดสิน ถ้าจิตเกิดปัญญาน้อมลงเห็นตามพระไตรลักษณะแล้ว จิตก็จะถอนออกจากอุปาทานที่เข้าไปยึดอุปกิเลสนั้น แล้วจะเกิดปัญญาญาณเดินตามทางอริยมรรคได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าแก้อย่างนั้นด้วยตนเองไม่ได้ผล คนอื่นช่วยแก้ก็ไม่สำเร็จ เพราะผู้เป็นหลงเข้าไปยึดมั่นสำคัญเอาเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว บางทีจนทำให้ซึมเซ่อมึนงงไปหมดก็ดี จึงควรใช้วิธีที่ ๓ วิธีสุดท้าย

         ๒. เมื่อรู้เท่าทันและเห็นโทษอย่างนั้นแล้ว จงคอยระวังจิตอย่าให้จิตน้อมเข้าสู่ความสุขเอกัคคตารวมเป็นหนึ่งได้ และอย่ายึดเอาอารมณ์ใดๆ อันเป็นความสุขภายในของใจ แล้วจงเปลี่ยนอิริยาบถ ๔ ให้เสมอ อย่ารวมอินทรีย์อันเป็นเหตุจะให้จิตรวม แต่ให้มีการงานทำเพื่อให้มันลืมอารมณ์ความสุขสงบเสีย แต่ถ้าจิตรวมลงไปจนเกิดวิปลาสขึ้นแล้ว จิตเข้าไปยึดถือจนแน่นแฟ้นจนสำคัญตัวว่าเป็นผู้วิเศษไปต่างๆ นานา มีทิฐิถือรั้นไม่ยอมฟังเสียงใครๆ ทั้งหมด เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็ยากที่จะแก้ตัวเองได้ ถึงแม้อาจารย์หากไม่ชำนาญรู้จักปมด้อยของศิษย์ หรือไม่เคยผ่านเช่นนั้นมาก่อนแล้ว ก็ยากที่จะแก้เขาได้ ฉะนั้น จึงควรใช้ ...

         วิธีที่ ๓ วิธีสุดท้าย คือใช้วิธีขู่ขนาบให้กลัวหรือให้เกิดความโกรธอย่างสุดขีดเอาจนตั้งตัวไม่ติดยิ่งดี แต่ให้ระวังอย่าให้หนีได้ ถ้าหนีไปแล้วจะไม่มีหนทางแก้ไขเลย เมื่อหายจากวิปลาสแล้วจึงทำความเข้าใจกันใหม่ วิธีสุดท้ายนี้ โดยมากมักใช้กับผู้ที่ติดในภาพนิมิตได้ผลดีเลิศ

         ผู้ที่หลงติดในภาพนิมิต มีหัวรุนแรงกว่าความเห็นวิปลาส ฉะนั้น วิธีแก้จึงไม่ค่อยผิดแผกกันนัก


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

==จบ==

1101
โทษของอุปกิเลส ๑๐

         ลักษณะอาการและการละกิเลส เป็นต้น ของฌานและสมาธิ ผิดกันดังแสดงมา ฌานมีความน้อมเชื่อมาก วิริยะและปีติแรง กำลังใจกล้า โลดโผนทุกๆ อย่าง สรุปแล้ว เมื่อจิตน้อมไปตามอารมณ์ของฌาน ถ้าผู้ติดฌานหลงฌานอย่างหนักหน่วงแล้ว จิตของตนแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเสียเลยก็ว่าได้ ที่จริงฌานเมื่อเกิดขึ้นเป็นของน่าตื่นเต้น ผู้ฝึกหัดใหม่จึงชอบนัก แต่ฌานเป็นของได้ง่ายพลันหาย เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของโลกธรรม ๘ ส่วนสมาธิเมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นไปอย่างเรียบๆ เพราะมีสติรอบคอบตามภูมิของตน และยึดเอาไตรลักษณะเป็นอารมณ์ ไม่หลงลืมตัว ค่อยได้ค่อยเป็นไปละเอียดลงโดยลำดับ ได้แล้วไม่ค่อยเสื่อมเป็นโลกุตตรธรรม บางคนจะไม่รู้สึกตื่นเต้นในเมื่อตนได้สมาธิ เพราะไม่ได้คำนึงถึงอาการที่ตนได้มี แต่ตั้งหน้าจะทำสมาธินั้นให้มั่นและละเอียดถ่ายเดียว ฌานเป็นของน่าสนุกสนาน มีเครื่องเล่นมาก มีเรื่องแปลกๆ ทำให้ผู้ไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงหลงติดจมอยู่ในฌาน อาการที่จิตหลงติดจมอยู่นั้นคือโทษ ของอุปกิเลส ๑๐ พึงสังเกตต่อไป

         โอภาส แสงสว่างย่อมปรากฏในมโนทวารวิถี ขณะเมื่อจิตเข้าถึงฌาน (ภวังค์) เมื่อจิตน้อมเชื่อไปตามแสงสว่าง และแสงสว่างนั้นก็ขยายวงกว้างออกไป มีอาการแปลกๆ ต่างๆ เหลือที่จะพรรณา

         ญาณ ความรู้สิ่งต่างๆ บางทีจนกำหนดตามไม่ทัน ไม่ทราบว่ารู้อะไรบ้าง ทั้งสิ่งที่เคยรู้เคยเห็น ทั้งสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น มิใช่รู้อยู่กับสิ่งที่รู้ ยังสอดส่ายไปตามอาการตลอดถึงคนอื่น สัตว์อื่น ทีแรกจริงบ้างไม่จริงบ้าง นานๆ เข้าก็เหลว
         ปีติ ทำให้อิ่มใจจนลืมตัว
         ปัสสัทธิ ทำให้สงบจากอารมณ์ภายนอก กลับเข้ามายุ่งอยู่กับอารมณ์ภายในจนไม่เป็นอันกินอันนอน เมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้า ธาตุย่อมกำเริบ จิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ
         สุข ทำให้สบายอยู่ด้วยอาการทั้งหลายดังกล่าวมา ถึงกับไม่ต้องรับประทานข้าวน้ำก็มี
         อธิโมกข์ ทำให้เกิดจิตน้อมเชื่อไปในนิมิตและแสงสว่าง ความรู้มีมากเท่าไร อุปกิเลสทั้ง ๑๐ ก็ยิ่งมีกำลังรุนแรงทวีขึ้น
         ปัคคาหะ ทำให้เพียรกล้าไม่หยุดหย่อนท้อถอย มีญาณความรู้คอยกระซิบตักเตือนให้ทำอยู่เสมอ
         อุปัฏฐาน ช่วยให้สติแข็งแกร่งอยู่เฉพาะในอารมณ์นั้น แต่ขาดสัมปชัญญะ ไม่รู้สิ่งที่ควรและไม่ควร
         ถ้าอุปกิเลสทั้ง ๘ ตัวดังกล่าวมาหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่งยังเกิดมีอยู่ อุเบกขาก็จะไม่เกิด ถ้าทั้ง ๘ นั้นสงบลงแม้ชั่วขณะหนึ่ง อุเบกขา และ นิกันติ จึงจะเกิดขึ้น

         อุปกิเลส ๑๐ นี้มิใช่จะเป็นโทษแก่วิปัสสนาเท่านั้น ยังสามารถทำให้เกิดวิปลาสต่างๆ จนต้องเสียผู้เสียคนไปก็ได้ เรื่องทั้งนี้เคยมีมาแล้วในอดีต หากอาจารย์ผู้สอนไม่เข้าใจ มุ่งส่งเสริมศิษย์ให้ยึดเอาเป็นของจริงแล้วก็จะทำให้ศิษย์เสียจนแก้ไม่ตก เมื่อมีเรื่องวิปลาสเกิดขึ้นเช่นนั้น ผู้รู้เท่าและเคยผ่านมาแล้วจึงจะแก้ได้


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1102
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 08:28:48 »
๒๙. “ทาง”

เมื่อกล่าวถึง ธรรมะ อย่างเซ็น ของพวกเรา ขอให้จำไว้ว่าจำเดิม ตั้งแต่ได้ถ่ายทอดกันมาเป็นครั้งแรกนั้น ไม่เคยสอนกันเลยว่า คนเราจะต้องแสวงหาด้วยการศึกษา หรือต้องสร้างความคิดขึ้นในรูปต่าง ๆ คำที่พูดว่า “การศึกษาเรื่อง หนทาง ทางโน้น” นั้นเป็นแต่เพียงโวหารกล่าวทางบุคลาธิษฐานเท่านั้น นั่นมันเป็นเพียงวิธีการสำหรับเร้าความสนใจของบุคคลในขั้นเริ่มแรก ของการดำเนินตามทางธรรมดาของเขาเท่านั้น

ตามความจริงแล้ว ทาง ทางนั้นไม่รวมอยู่ในสิ่งที่ต้องศึกษาเลย การศึกษา ย่อมนำไปสู่การหน่วงเอาความคิดในรูปต่าง ๆ ไว้โดยท่าเดียว เมื่อเป็นดังนั้น ทาง ทางโน้นก็มีแต่จะถูกเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้นอีก ทาง ทางโน้นไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ตั้งอยู่เป็นพิเศษ มันถูกขนานนามว่า มหายาน-จิต คือ จิต ซึ่งไม่อาจหาพบได้ข้างในหรือข้างนอก หรือตรงกลาง โดยแท้จริงแล้วมันไม่ได้มีตำแห่งแหล่งที่อยู่ ณ ที่ใดเลย

ข้อปฏิบัติขั้นแรกที่สุด คือการเว้นเสียจากความคิดในรูปต่าง ๆ ซึ่งตั้งรากฐานอยู่บนความรู้ที่เคยเล่าเรียนมา ข้อนี้หมายความว่า แม้พวกเธอจะได้ดำเนินการปฏิบัติไปโดยวิธีที่เกี่ยวข้องกับความรู้ชนิดนั้น ตามที่เธอเคยเชี่ยวชาญมา จนหมดความรู้ ถึงขั้นนั้นแล้ว เธอก็จะยังไม่สามารถพบตำแห่งแหล่งที่ของ จิต นั้นอยู่นั่นเอง

 ทาง ทางนี้ เป็น สัจจธรรม ฝ่ายนามธรรม และเป็นสิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีสมญามาแต่เดิม

มันเป็นเพราะสัตว์โลก ได้พากันแสวงหาสัจจะนี้อย่างโง่เขลา และคว้าไปคว้ามา ในขั้นทดลองอยู่ร่ำไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงได้มาปรากฏในโลกนี้ และสอนสัตว์เหล่านั้น ให้เพิกถอนวิธีการปฏิบัติ เพื่อการเข้าถึงสัจจะวิธีการของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงเลือกเอา คำว่า “ทาง” มาใช้

พวกเธอต้องไม่ปล่อยให้คำว่า “ทาง” คำนี้ จูงเธอไปสู่การก่อรูปแห่งความคิดขึ้นในจิต ว่าทางสำหรับเท้าเดิน (ถนน) ด้วยเหตุนี้แหละ จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อปลาตัวนั้นถูกจับได้แล้วเราก็ไม่สนใจกับ ลอบ อีกต่อไป” ดังนี้

เมื่อใดกายและจิต มีการโพล่งออกไปเอง ถึงธรรมชาติเดิมของมันได้ ทาง ทางนั้นก็เป็นอันว่าเดินเสร็จแล้ว และ จิต ก็เป็นอันว่าได้ถูกเข้าใจอย่างซึมซาบแล้ว

สมณะ ได้นามว่าสมณะ ก็เพราะรู้แจ้งแทงตลอดแหล่งกำเนิดเดิมของสิ่งทั้งปวง ผล คือความเป็นสมณะเช่นนั้น ลุถึงได้ด้วยการทำความสิ้นสุดให้แก่ความกระหายใคร่จะถึงทุกอย่างเสีย มันไม่ได้มาจากการศึกษาจากตำราเลย


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=267.0

1103
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 08:16:01 »
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23255
==============================
๒๘. คำตอบ

ถาม   จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผิดไปเสียทุกสิ่งเท่าที่กระผมได้กล่าวไปแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรเลย ในการที่จะชี้ให้พวกเราเห็น ธรรมะ ที่แท้จริง

ตอบ   ใน ธรรม ที่แท้จริงนั้น ไม่มีความสับสนเลย แต่พวกเธอเองได้สร้างความสับสนขึ้น ด้วยคำถามต่าง ๆ ทำนองนั้น ธรรมะ ที่แท้จริงอย่างไหนกันนะ ที่เธอจะเที่ยวแสวงหาเอาได้ ?

ถาม   ถ้าความสับสนเกิดขึ้นจากคำถามต่าง ๆ ของผมแล้ว คำตอบของท่านอาจารย์เล่า มีอยู่อย่างไร ?

ตอบ   จงสังเกตให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่มันเป็นอยู่จริง และอย่าไปสนใจกับคนอื่น มีคนบางพวกเหมือนกับสุนัขบ้าแท้ ๆ มันเห่าทุกสิ่งที่ เคลื่อนไหว เห่าจนกระทั่งใบหญ้าใบไม้ที่กระดุกกระดิกเมื่อถูกลมพัด


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=266.0


1104
วิสุทธิ ๗ เกิดแต่สมาธิ

๑. สีลวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งศีล
๒. จิตตวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งจิต
๓. ทิฏฐิวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
๕. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งญาณหยั่งเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง
๖. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ   ความหมดจดแห่งญาณหยั่งเห็นทางปฏิบัติ
๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ    ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ

 
         วิสุทธิ ๗ นี้จะเกิดได้ต้องอาศัยสมาธิเป็นหลักก่อน ถ้าหาไม่ก็จะไม่เกิดเลย วิสุทธิข้อต้น คือ ศีล ถ้าสมาธิไม่เป็นหลักยืนตัวอยู่แล้ว จะเป็นศีลวิสุทธิไม่ได้ วิสุทธิ ๗ นี้เหมือนกับวิปัสสนาญาณ ๙ เมื่อจะเกิดหาได้เกิดขึ้นตามลำดับไม่ อาจเกิดวิสุทธิข้อใดข้อหนึ่งก่อนก็ได้ และแล้วจะเกี่ยวเนื่องกันไปทั้ง ๗ เหมือนลูกโซ่ เพราะวิสุทธิทั้ง ๗ จัดเข้าขั้นมรรค เป็นโลกุตตระ แต่ถ้าสมาธิอ่อน จิตก็จะน้อมเข้าไปหาฌาน ซึ่งเป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนา ๑๐ อาจเกิดขึ้นในระหว่างวิสุทธิใดวิสุทธิหนึ่งได้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ปัญญาวิปัสสนาก็จะพิจารณาไตรลักษณะไม่ได้ และจิตก็จะเข้ายึดเอาอารมณ์ของอุปกิเลสนั้นต่อไป

         อุปกิเลส ๑๐ คือ โอภาส แสงสว่าง ญาณ ความรู้สิ่งต่างๆ ปีติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความสงบสงัดจากอารมณ์ภายนอก สุข ความสุข อธิโมกข์ น้อมใจเชื่อในนิมิตและเหตุนั้นๆ ปัคคาหะ เพียรกล้า อุปัฏฐาน มีสติแข็งแกร่ง อุเบกขา จิตเป็นกลางวางเฉย และ นิกันติ ยินดีชอบใจ อุปกิเลสทั้ง ๑๐ นี้ย่อมเป็นอุปสรรคของพระโยคาวจร ผู้กำลังเดินมรรคอยู่

ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1105


ที่มา
http://www.kaewjamfa.org/catalog-4.php

1106
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 05:50:19 »
อย่าคิดเอง

จงหยุดการปฏิบัติแบบนึกคิดเอาเอง
จงเชื่อในพระธรรมและปฏิบัติตามคำสอน
และเรียนรู้การย้อนกลับ
ซึ่งจุดประกายความสว่างไสวอยู่ภายใน
เมื่อนั้นรูปขันธ์และนามขันธ์ จะหายไป
จิตก็จะกระจ่างชัดในรูปลักษณ์เดิม

- โดเง็น (พ.ศ. 1743 - 1796)


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=820.0

1107
ผมจะฝากเพื่อนไปทำบุญด้วยครับ :054:

1108
พบแล้ว

ป้ายชี้ทางแห่งความสงบได้สว่างขึ้นแล้ว
ช่างสงบและเยือกเย็น ไร้คำบรรยาย
ความสว่างชัดปรากฏอยู่ตรงหน้า
เมื่อท่านตรึกนึกถึงมัน ท่านจะกลายเป็นผู้เบ่งบาน
เมื่อท่านซ้อนสรรพเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
สภาวะจิตของท่านจะเจิดจรัสและเบิกบาน
เมื่อเปรียบเทียบกับ
ความสว่างไสวของน้ำค้างใต้แสงจันทร์
ความสว่างไสวของดวงดาวจำนวนมหาศาล
ความขาวโพลนของหิมะบนยอดสน
หรือเมฆขาวบนยอดดอย
ในความมืดมิดแล้ว มันสว่างเจิดจ้าที่สุด
แต่ถ้าซ่อนมันไว้
ความกระจ่างชัดทั้งหมดในความรู้สึก
จะเพิ่มมากขึ้น

- ฮองชิ เซ็งจู (พ.ศ. 1634 - 1700)


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=817.0

1109
ความรู้พิเศษที่เกิดแต่สมาธิ

๑. จกฺขุ อุทปาทิ
ดวงตาคือความรู้แจ้งในสัจธรรม ซึ่งมองเห็นชัดด้วยตาใน (ปัญญาจักษุ)
๒. ญาณํ อุทปาทิ
ญาณวิถีภายใน ซึ่งมิใช่เฉพาะตาเท่านั้น แม้อายตนะทั้งหกก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
๓. ปญฺญา อุทปาทิ
ความรู้แจ้งในไตรลักษณะได้เกิดขึ้นจนหายสงสัย ไม่มีคำว่าอะไรหนอๆ อยู่ในใจ
๔. วิชฺชา อุทปาทิ
ความรู้พิเศษอันเป็นเหตุให้สิ้นอาสวะได้เกิดขึ้นแล้ว
๕. อาโลโก อุทปาทิ
แสงสว่างความรู้ทั้งปวงได้ฉายส่องทั่วทั้งโลก ไม่มีอะไรปิดดวงใจ ซึ่งเป็นเหตุให้มืดหลงได้อีกต่อไปแล้ว
 
         ความรู้พิเศษทั้ง ๕ นี้ ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยสมาธิอย่างเดียว พึงเห็นตัวอย่างคือ เมื่อพระสาวกนั่งฟังธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นต้น ความรู้เหล่านี้ได้เกิดขึ้นเฉพาะในที่นั่งนั่นเอง แสดงว่าท่านไม่ได้ฌานมาก่อน แต่ได้สมาธิในขณะที่ตั้งใจน้อมลงฟังธรรมนั้น สมาธิและความรู้ที่เกิดแต่สมาธิจึงจัดเป็นโลกุตตระและเป็นสัมมามรรคด้วย

วิปัสสนาญาณ ๙ เกิดแต่ฌาน
๑. อุทยัพพยญาณ   ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับ
๒. ภังคญาณ   ปรีชาคำนึงเห็นแต่ความดับของสังขาร
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ   ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว
๔. อาทีนวญาณ   ปรีชาคำนึงเห็นโทษของสังขาร
๕. นิพพิทาญาณ   ปรีชาคำนึงถึงด้วยเบื่อหน่ายในสังขาร
๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ    ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นเสียจากสังขาร
๗. ปฏิสังขาญาณ   ปรีชาคำนึงด้วยพิจารณาหาทาง
๘. สังขารุเปกขาญาณ   ปรีชาคำนึงด้วยวางเฉยในสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ   ปรีชาหยั่งรู้โดยสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจ

         ในวิปัสสนาญาณ ๙ นี้ ๘ ข้อเบื้องต้นมิได้เกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรทั้งหมด และเมื่อเกิดก็ไม่เกิดขึ้นตามลำดับดังตัวเลขที่เรียงไว้นั้น อาจเกิดขึ้นเฉพาะญาณใดญาณหนึ่งก็ได้ และแล้วก็เข้าถึงญาณที่ ๙ เลย เพราะญาณทั้ง ๙ นี้เกิดแต่ฌานโดยตรง ๘ ข้อเบื้องต้นมิได้มีคุณพิเศษยิ่งหย่อนกว่ากัน ต่างก็มีฌานเป็นภูมิฐาน ไม่ได้ใช้ไตรลักษณญาณเป็นเครื่องพิจารณา เพ่งเห็นแต่หน้าเดียวตามวิสัยของฌานโดยเฉพาะ

         อนึ่ง ของมากอย่างจะนับอะไรเป็นต้นขึ้นหนึ่งก่อนก็ได้ไม่มีปัญหา ส่วนข้อสุดท้ายเป็นเพียงมีคุณพิเศษสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจเท่านั้น แต่วิปัสสนาญาณนี้ ถ้าฌานที่เป็นรากฐานกล้ามากก็อาจให้เกิดวิปลาสไปได้ง่ายด้วย พึงเข้าใจว่าถ้าเป็นปัญญาวิปัสสนาเกิดแต่สมาธิแล้ว ก็ต้องขึ้นสู่ไตรลักษณะ เอาไตรลักษณะเป็นอารมณ์ทีเดียว


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1110
ฌานและสมาธิเป็นปัจจัยแก่กันและกัน

         ฌานกับสมาธิต่างเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำลังแก่กันและกันไปในตัว บางครั้งจิตเข้าฌาน (คือภวังค์) ขาดจากอารมณ์ภายนอกที่หยาบๆ เพ่งอยู่เฉพาะแต่ในอารมณ์ของฌานพอประมาณ แล้วออกมามีสติพิจารณาอารมณ์ของฌานหรืออารมณ์อื่นๆ ทำให้สติกล้าพิจารณาไตรลักษณะชัดเจนขึ้นกว่าเดิม จิตจะเข้าสมาธิได้รวดเร็วและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น บางครั้งจิตเข้าถึงสมาธิ มีสติ มีปัญญาผ่องใส เบิกบาน ดำเนินอยู่ในไตรลักษณญาณตามวิถี ถ้าสติอ่อน ปัญญาก็ซบเซาลง สมาธิก็ซึม แล้วจิตจะเข้าฌาน (ภวังค์) เงียบไป หรือไม่ก็น้อมไปหาความสุขของฌาน (คือเอกัคคตารมณ์) แล้วเสวยสุขอยู่

        สรุปแล้ว ฌานและสมาธิของผู้ฝึกหัดยังไม่ชำนาญย่อมผลัดเปลี่ยนกันเกิดขึ้นในอารมณ์กรรมฐานอันเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ จะห้ามมิให้เกิดเป็นเช่นนั้นหาได้ไม่ แม้ผู้ได้ฝึกหัดให้ชำนาญแล้วก็จำจะอยู่ด้วยวิหารธรรมอันนั้น หรือนำมาใช้ในบางกรณี เว้นแต่ผู้ที่ติดอยู่ในฌานโดยส่วนเดียว จึงจะไม่ยอมออกและเปลี่ยนไปรับเสวยอารมณ์อื่น
ความรู้พิเศษที่เกิดแต่ฌาน


         อภิญญา ๖ คือ อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ ทิพพโสต มีหูทิพย์ เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจของผู้อื่น บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ และ อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น ๕ ข้อเบื้องต้นเกิดขึ้นด้วยอำนาจของฌาน และเกิดขึ้นเฉพาะแก่ผู้มีอุปนิสัยวาสนาเท่านั้น ส่วนข้อสุดท้ายผู้อาศัยฌานและสมาธิทั้งสองมีกำลังเพียงพอ สนับสนุนเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ไม่ติดไม่หลงอยู่ในฌาน จึงจะทำอาสวะให้สิ้นได้ (เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ)

         พึงทราบว่าอาสวักขยญาณมิใช่อภิญญาโดยตรง และมิใช่วิปัสสนาโดยเฉพาะ หากเกิดแต่กำลังทั้งสองรวมกัน ฌานเป็นโลกิยะไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้นได้ แม้สมาธิอย่างเดียวก็ไม่สามารถให้เกิดอภิญญาได้ เพราะอภิญญาเกิดได้ด้วยอำนาจฌานเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย ผู้มีสมาธิตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิแล้ว ใช้ฌานอันเป็นโลกิยภูมิ (โลกุตตรฌานไม่มี) เป็นเครื่องมือเพื่อให้รู้ในอภิญญา ฌานนั้นก็เป็นโลกุตตรฌานไปตามกัน เหมือนรองเท้าเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงก็เรียกว่าฉลองพระบาทฉะนั้น หาได้เรียกรองเท้าอย่างเดิมไม่


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1111
ฌานและสมาธิมีที่สุดต่างกัน

         ฌานมีภวังค์เป็นที่สุด สมาธิมีสมาธิเป็นที่สุด ภวังค์มี ๓ คือ ภวังคบาต ภวังคจลนะ และ ภวังคุปัจเฉทะ อาการที่จิตตกเข้าสู่ภวังค์ มีลักษณะวูบวาบหรือแวบเดียวแล้วถอนออกมาเรียก ภวังคบาต อาการที่จิตไหวตัวตกเข้าสู่ภวังค์แล้วไม่ยอมออกมารับอารมณ์ภายนอก แต่เสวยอารมณ์อยู่ภายในใจเอง ซึ่งมีอาการคล้ายๆ กับอารมณ์ภายนอก ต่างแต่มีรสชาติพิเศษกว่า หรือที่จิตกำลังจะปล่อยวางอารมณ์รวมเข้าเป็นภวังคุปัจเฉทะ แต่ยังไม่สนิทพอที่จะวางได้ ก็เรียกว่า ภวังคจลนะ อาการที่จิตตัดอารมณ์ทั้งภายในและภายนอกขาดหมด รวมเข้าเป็นก้อนเดียว ไม่มีอาการแตกแยกแม้แต่นิดเดียว เรียกว่า ภวังคุปัจเฉทะ

         ภวังค์เป็นชื่อภพของจิต เมื่อจิตมาถือปฏิสนธิในกายนี้ และกายนี้ยังมีอยู่ จิตที่ถูกอบรมให้ละถอนอุปาทานได้แล้ว ก็จะเข้าไปรวมเป็นภวังค์ตั้งอยู่ในภูมิของตนโดยเฉพาะ ถ้ากายนี้แตกดับ อาศัยไม่ได้แล้ว จิตดวงนั้นก็จะเป็นภพของตนเอง ไม่ต้องรับสัมผัสที่เกี่ยวเนื่องด้วยกายประสาท เมื่อจิตเดินอยู่ในภวังค์ทั้งสามนี้ เรียกว่าจิตเดินในสายของตน ส่วนอรูปฌาน ๔ จิตได้เข้าถึงภวังคุปัจเฉทะแล้วโดยประการทั้งปวง ยึดเอาอรูปธรรมเป็นอารมณ์ สำหรับภูมิของฌานนี้ ไม่มีปัญญาพอจะยกไตรลักษณะขึ้นพิจารณาให้เห็นชัดแจ้งในอริยสัจ ๔ ได้ จึงไม่เป็นทางที่จะให้สิ้นภพสิ้นชาติได้

         สมาธิมี ๓ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ อาการที่ทำสมาธิจิตมีสติรวมเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่รวมชั่วครู่ชั่วขณะวับๆ แวบๆ แล้วหายไป จนจับอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ เรียก ขณิกสมาธิ อาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งรวมเข้าไปถึงกับตัดอารมณ์ขาดทีเดียว จะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์มาเป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น เรียกว่า อุปจารสมาธิ อาการที่จิตรวมเข้าสนิทสนม ตัดอารมณ์ทั้งปวดขาดสิ้น และถอนสละออกจากอุปาทาน แล้วเข้ารวมกำลังสติ สมาธิและปัญญาให้มีกำลังสมบูรณ์ผ่องใส สว่างแจ่มจ้าอยู่โดยลำพังดวงเดียว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอุปาทานใดๆ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ จิตที่ถอนออกมาจากอัปปนาแล้วมาเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ ไม่ถึงกับถอนออกไปเป็น ขณิกะหรือฟุ้งซ่าน ก็เรียกว่า อุปจารสมาธิ เหมือนที่เรียกว่าอุปจาระถอนออกมาจากอัปปนา เบื้องต้นเรียกว่าอุปจาระเข้าถึงอัปปนา


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1112
เรื่องของสมาธิ

         อาการที่ตั้งสติคุมจิตให้เพ่งพินิจอยู่ในกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งให้รวมอยู่ในจุดเดียวกันจนจิตแน่วแน่แน่นแฟ้น โดยมีสติรู้อยู่ว่า นี่สติ นี่สมาธิ นี่อารมณ์เหลืออยู่หมดไป มีไตรลักษณญาณควบคุมอยู่ตลอดเวลา นี่คือลักษณะของสมาธิ ซึ่งผิดแผกจากฌานดังกล่าวแล้ว สมาธิมี ๓ อย่าง คือ
         ๑. ขณิกสมาธิ อาการที่จิตเข้ารวมอยู่ในจุดเดียว แต่รวมเป็นครู่เป็นขณะมีลักษณะวับๆ แวบๆ แล้วก็หายไปจนจับอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้
         ๒. อุปจารสมาธิ อาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งจะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์เป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น จะละก็ไม่ใช่ จะเอาก็ไม่เชิง มีความลังเลเป็นสมุฏฐาน
         ๓. อัปปนาสมาธิ อาการที่จิตถอนสละออกจากอุปาทานทั้งปวงแล้วเข้ารวมกำลังสติ สมาธิ และปัญญา ให้มีกำลังสมบูรณ์เต็มที่ เกือบจะกล่าวได้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะนี้ แม้จะเป็นโลกอยู่ในโลกตามสมมตินิยมก็ดี แต่ใจในขณะนั้นไม่มีโลกติดอยู่เลย จะเรียกว่าโลกก็มิใช่ จะเรียกว่าธรรมก็ไม่เชิง เพราะอัปปนาไม่มีสมมติในที่นั้น
         ขณะนั้นสิ่งอันสังเกตได้ง่ายก็คือ ลมหายใจไม่มี หากจะมีปัญหาสอดเข้ามาว่า เมื่อลมหายใจไม่มี ไฉนจึงไม่ตาย เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยลมหายใจมิใช่หรือ พึงเฉลยว่า ลมหายใจไม่ระบายเข้าออกได้เฉพาะแต่ทางจมูกอย่างเดียว ย่อมระบายเข้าออกได้ทั่วไป แม้ชั้นแต่ขุมขนทุกขุมขนก็ระบายเข้าออกได้ พึงเห็นท่านผู้อบรมใจให้ละเอียดจนปล่อยวางอุปาทานในรูปได้แล้ว ท่านผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นตัวอย่าง ซึ่งสัญญาและเวทนาได้ดับหมด แม้ลมหายใจก็ไม่มีตั้ง ๗ วันก็อยู่ได้ เรายังทำไม่ถึงตรงนั้น ไม่ควรจะเอามติของเราไปวัด

อำนาจการละกิเลสของสมาธิ

         สมาธิเป็นมรรคละกิเลสที่เป็นของปุถุชน ทำคนให้เป็นพระอริยเจ้าได้ตามภูมิของมรรคนั้นๆ มรรคมี ๔ คือ
         ปฐมมรรค ละกิเลสได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุถือตน โดยถือรั้นในกายก้อนนี้ว่าเป็นสาระจริงจัง มิได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นด้วยไตรลักษณญาณ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย อันเป็นเหตุให้ถือพระศาสนาไม่สนิท ถือด้วยศรัทธาคลอนแคลน สีลัพพตปรามาส ลูบคลำการรักษาศีลและข้อวัตร คือ รักษาศีลและประพฤติวัตรด้วยอาศัยเหตุอย่างอื่น ไม่เป็นอริยกันตศีล อริยกันตวัตร
         มรรคที่สอง ละกิเลสได้ ๓ เหมือนปฐมมรรค และทำ ราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม โทสะ ความที่จิตคิดประทุษร้าย และ โมหะ ความหลงงมงายปราศจากเหตุผล ให้เบาบางลง
         มรรคที่สาม ละกิเลสที่เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาศ กามราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม ปฏิฆะ ความหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ
         มรรคที่สี่ ละกิเลสที่เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ นั้น และละกิเลสที่เป็นสังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้เด็ดขาด ซึ่งสังโยชน์เบื้องสูงนั้น คือ รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม มานะ ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่านไปในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ อวิชชา ความหลงเป็นเหตุให้ไม่รู้จริงในอริยสัจ ๔


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1113
อำนาจการละของฌาน

         ฌาน ละกิเลสที่เป็นวิสัยของกามาพจรได้ ๕ คือ กามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ ๕ พยาบาท ความปองร้ายคนอื่น ถีนมิทธะ ความง่วงงุนซบเซาหาวนอนอันเกิดแต่จิตใจไม่ปลอดโปร่ง ไม่มีเครื่องอยู่ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านของใจที่สอดส่ายไปในอารมณ์ภายนอกจนเป็นเหตุให้รำคาญ และ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในคุณของพระรัตนตรัย เมื่อพูดให้ตรงตามความเป็นจริงแล้วไม่น่าเรียกว่าละได้ ควรเรียกว่าสงบอยู่ได้ด้วยอำนาจแห่งฌาน ท่านอุปมาเหมือนศิลาทับหญ้า เพราะเมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสทั้ง ๕ ก็จะเข้ามาประจำที่เช่นเคย และองค์ฌานทั้งหมดนี้ก็อยู่ในภูมิแห่งโลกิยะด้วย

ตัวฌานแท้คือภวังค์

         ภวังค์ เกิดขึ้นในขณะที่จิตเข้าถึงฌาน มีอยู่ ๓ คือ
         ภวังคบาต จิตรวมเข้าสู่ภวังค์ขณะแวบเดียวแล้วถอนออกมาเสีย
         ภวังคจลนะ จิตที่ไหวตัวเข้าไปรวมเป็นภวังค์แล้วไม่ยอมออกมารับอารมณ์ภายนอก เสวยอารมณ์อยู่ภายในใจเอง ซึ่งมีอาการคล้ายๆ กับอารมณ์ภายนอก ต่างแต่มีรสชาติที่พิเศษกว่า หรือจิตที่กำลังจะปล่อยวางรวมเข้าเป็นภวังคุปัจเฉทะ แต่ยังไม่สนิทพอจะวางได้ ก็เรียกว่าภวังคจลนะเหมือนกัน
         ภวังคุปัจเฉทะ จิตที่รวมเข้าเป็นก้อนเดียวไม่มีอาการแตกแยกแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ในขณะที่จิตยังอาศัยกายอยู่ แต่แยกภพออกจากกายไปตั้งอิสระอยู่ตามลำพังผู้เดียว แล้วเสวยอารมณ์ตามลำพังของตนเองอยู่ต่างหาก


ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1114
แยก ฌาน และ สมาธิ ให้ต่างกัน

         สมถะ เป็นได้ทั้งฌานและสมาธิ อารมณ์ของฌานและสมาธิเหมือนกัน การฝึกเบื้องต้นก็เหมือนกัน แต่การละต่างกัน การเข้าถึงภูมิของตนก็ผิดกัน แต่ขณะเดียวกันต่างสนับสนุนเป็นทุนให้กำลังแก่กันและกันไปในตัว เรื่องนี้ผู้เข้าถึงแล้วจะรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง จะขอนำท่านผู้สนใจเข้าไปพิสูจน์ตามมติและหลักฐานเป็นเครื่องอ้างเพื่อท่านจะได้พิจารณาเลือกถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป

         ฌาน ได้แก่ การเพ่ง และเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว จะเป็นกสิณ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ข้อสำคัญจะต้องให้จิตจับจ้องอยู่ในเฉพาะอารมณ์อันนั้นเป็นใช้ได้ เบื้องต้นจะต้องตั้งสติควบคุมจิตให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างแน่นแฟ้น เมื่อจิตถอนออกจากอารมณ์อื่นมารวมอยู่ในอารมณ์อันเดียวเรียกว่า เอกัคคตารมณ์ เสวยความสุขอันไม่เคยได้รับมาแต่ก่อน จิตก็จะยินดีและน้อมเข้าไปสู่เอกัคคตารมณ์อย่างยิ่ง เรียกว่าเพ่งเอาความสุขอันเกิดจากเอกัคคตารมณ์เป็นอารมณ์ของฌานต่อไป จนเป็นเหตุให้เผลอตัวลืมสติไปยึดมั่นเอาเอกัคคตาว่าเป็นของบริสุทธิ์และดีเลิศ จิตตอนนี้จะรวมวูบเข้าภวังค์ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับเผลอสติ หรือลืมสติไปเสียเลยอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัวขึ้นมา แต่ผู้ที่เคยเป็นบ่อยและชำนาญแล้ว จะมีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกันแต่เป็นไม่แรง และนิมิตหรือความรู้อะไรจะเกิดก็มักเกิดในระยะนี้ เมื่อนิมิตและความรู้เกิดขึ้นแล้ว จิตที่อยู่ในเอกัคคตานั้นจะวิ่งตามไปอย่างง่ายดาย เพราะจิตที่อยู่ในเอกัคคตารมณ์เป็นของเบาและไวต่ออารมณ์มาก ที่เรียกว่าจิตส่งในเป็นภัยต่อผู้เจริญฌานอย่างยิ่ง บางทีอาจทำให้เสียผู้เสียคนไปก็มี ฌานมีเอกัคคตารมณ์เป็นเครื่องวัดในที่สุด แต่ไม่มีปัญญาจะพิจารณาสังขารให้เห็นเป็นพระไตรลักษณญาณได้ กิเลสของผู้ได้ฌานก็คือ มานะแข็งกระด้างทิฐิถือรั้นเอาความเห็นของตัวว่าเป็นถูกทั้งหมด คนอื่นสู้ไม่ได้ เรื่องนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของฌานหรือทิฐินิสัยเดิมของแต่ละบุคคลอีกด้วย ผู้ที่ผ่านเรื่องนั้นมาด้วยกันแล้วหรือมีจิตใจสูงกว่าเท่านั้น จึงจะแก้และแสดงให้เขาเห็นจริงตามได้ ถ้าแก้ไม่ตกก็เสียคนไปเลย

         ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตกยกจิตขึ้นสู่อารมณ์หรือกำหนดยึดเอาอารมณ์มาไว้กับจิต หรือเอาจิตไปตั้งไว้กับอารมณ์ของกรรมฐานที่ตนเจริญอยู่นั้นจนแนบสนิทติดเป็นอันเดียวกัน วิจารค้นคว้าตริตรองอยู่ในอารมณ์นั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นวิจารอยู่ในอสุภเป็นต้น ปีติ เมื่อจิตเห็นชัดในอารมณ์นั้นแล้วก็เกิดปีติ สุข เมื่อเกิดปีติแล้วก็เกิดสุข และเอกัคคตา เมื่อจิตมีสุขแล้วก็แช่มชื่น มีอารมณ์เป็นเอกัคคตาแน่วแน่อยู่ในสุขนั้น
         ทุติยฌาน มีองค์ ๓ ด้วยอาศัยปฐมฌานเป็นรากฐานหนักแน่นอยู่แล้ว กิจอันจะต้องใช้วิตก วิจาร ไม่มี จึงยังเหลืออยู่แต่ ปีติ สุข เอกัคคตา (พึงเข้าใจว่า ถ้าไม่ได้ปฐมฌานเป็นรากก่อนแล้ว จะก้าวขึ้นสู่ทุติยฌานไม่ได้เด็ดขาด)
         ตติยฌาน มีองค์ ๒ เพราะอาศัยฌานทั้งสองเบื้องต้นขัดเกลาฟอกจิตให้ค่อยละเอียดโดยลำดับ จนปีติหมดไปไม่ต้องการใช้ จึงยังคงเหลืออยู่แต่สุขกับเอกัคคตา
         จตุตถฌาน มีองค์ ๒ จิตในตอนนี้ละเอียดมาก การเพ่งในรูปกรรมฐานยึดรูปเป็นอารมณ์ ซึ่งรูปนั้นเกือบจะไม่ปรากฏ ถึงจะเพ่งรูปเป็นอารมณ์จนจิตเป็นเอกัคคตาอยู่ในรูปนั้นแล้วก็ตาม แต่ด้วยอำนาจความละเอียดของรูปกรรมฐาน จิตก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ต้องเข้าไปตั้งอุเบกขาอยู่ในรูปกรรมฐานนั้นอีกอาการหนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นความยึดถืออันละเอียดในรูป จตุตถฌานจึงยังเหลือองค์ ๑ คือ เอกัคคตา และเพิ่มอุเบกขาซึ่งเป็นองค์พิเศษเข้าอีก ๑ จึงมีองค์ ๒ เมื่อรวมแล้วรูปฌาน ๔ นี้ มีองค์ ๖ ส่วนอรูปฌานจะไม่กล่าวในที่นี้ เพราะรูปฌานก็เป็นบาทให้เดินมรรคเข้าถึงโลกุตตระได้แล้ว

ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1115
ลักษณะจิตเข้าถึงสมถะ

         ลักษณะที่จิตเข้าสงบจดจ่ออยู่ในจุดใดจุดหนึ่งในกายเป็นเอกัคคตารมณ์อยู่ในเฉพาะจุดเดียว เรียกว่า สมถะ อันจิตของคนเรานี้ย่อมมีอารมณ์มาก เที่ยวไปตามอารมณ์ต่างๆ ไม่อยู่คงที่ จิตของผู้ไม่ได้อบรมสมถะจะไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่รู้รสของความสุขที่เกิดแต่ความสงบ สมถะนี้ไม่เกิดเฉพาะแก่ผู้ฝึกหัดสมถะเท่านั้น แต่เกิดแก่คนทั่วไปก็ได้ในบางกรณี พึงเห็นเช่นเมื่อเราได้ประสบอารมณ์อะไรเข้า ซึ่งพอจะกระตุ้นเตือนใจที่กำลังฟุ้งซ่านให้หดตัวเข้ามาจดจ่ออยู่ในอารมณ์เดียว มีได้เห็นคนตายเป็นตัวอย่าง ซึ่งถ้าไม่มีความกลัวแล้ว จิตในขณะนั้นจะเลิกถอนจากอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังคิดสอดส่ายอยู่นั้น เข้ามารวมอยู่ในเรื่องตายอันเดียวด้วยความงงงันแล้วจะน้อมเข้ามาหาตน ปลงธรรมสังเวชสงบอยู่ นี่คือสมถะที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

         ส่วนสมถะที่เกิดขึ้นด้วยการฝึกหัด หมายถึงการปรารภกรรมฐานบทใดบทหนึ่งเป็นอารมณ์ จนจิตได้เข้าประสบกับอารมณ์ของกรรมฐานนั้นๆ และนำให้จิตรู้สึกนึกคิดพิศวงงงงันอยู่ในอารมณ์อันเดียว มีอุปมาเหมือนคนเดินทาง ขณะเมื่อสะดุดก้อนหินหรือท่อนไม้ถึงกับแตกเจ็บปวดเป็นกำลัง จิตก็จะถอนจากความเพลินและสอดส่ายไปในอารมณ์อื่น กลับเข้ามารวมจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บปวดเท่านั้น รวมความว่า ลักษณะที่จิตถอนจากอารมณ์ภายนอกเข้ามารวมเป็นเอกัคคตาอยู่ภายในจุดเดียว จะโดยบังเอิญก็ดี โดยฝึกหัดให้เกิดขึ้นก็ดี เรียกว่า สมถะ

ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

1116
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 03:45:13 »
จบตอนที่3 ต่อด้วยตอนที่ 4/4
----------------------------

ความขาดสติ
คือหนทางของอารมณ์ที่โลดแล่นออกสู่ภายนอก
เมื่อกลับมาดูจิตเดิม
ฉันพบพุทธภาวะที่อยู่เหนือตัวตนและอยู่เหนือทุกสิ่ง
เหนือการมาถึง และการจากไป
พุทธภาวะนี้จะยังคงอยู่ แม้ว่าทุกสิ่งจะจากไป

- ทานซาน (2362 - 2435)


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=827.0

1117
นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง

 นิทานเรื่องที่ ๗ ของเขามีว่า นิทานเรื่องนี้ ชื่อเรื่อง "พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง" ในนครโตเกียว สมัยศักราชเมจิ มีอาจารย์ที่เก่งๆ อยู่สองคน คนหนึ่ง ชื่อ อันโช เป็นครูบาอาจารย์ ในนิกาย ชินงอน คนนี้ ไม่ดื่มเลย อีกคนหนึ่ง ชื่อ แตนแซน หรือ ตานซาน ก็แล้วแต่จะเรียก เป็น ครูบาอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยด้วย ไม่เคยถือศีลเลย จึงดื่มจัด หรือ ละโมบ ในการบริโภค

วันหนึ่ง อาจารย์อันโช ไปเยี่ยม อาจารย์ตานซาน กำลังดื่มอยู่พอดี อาจารย์ตานซาน ก็ถามว่า จะไม่ดื่มบ้าง เทียวหรือ คือกล่าวชักชวน ให้ดื่ม นั่นเอง อันโชก็ บอกว่า ไม่เคยดื่มเลย ตานซานก็ว่า คนที่ไม่เคยดื่ม เลยนั้นน่ะ ไม่ใช่คน ฝ่ายอันโช ก็ฉุนกึก นิ่งเงียบไป ขณะหนึ่ง ในที่สุด พูดขึ้นมาได้ว่า ท่านว่าฉันไม่ใช่คน เพราะเพียงแต่ฉันไม่ดื่ม ถ้าฉันไม่ใช่คนแล้ว ฉันจะเป็นอะไร อาจารย์ตานซาน ก็บอกว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แล้วนิทานของเขาก็จบ

นี่เราจะฟังเป็นเรื่อง การโต้ตอบ ด้วยโวหาร ก็ได้ แต่ความจริง มันเป็นเรื่อง ที่มุ่งหมาย จะสอน ตามแบบวิธีของเขา ที่ให้คนสำนึกว่า คนนั้น ยังไม่เป็น พระพุทธเจ้า คนหนึ่ง ต่างหาก ที่ว่าเป็น พระพุทธเจ้า คนหนึ่ง ก็เพื่อจะสอนให้รู้ว่า ยังไม่เป็น พระพุทธเจ้า เลยมากกว่า ซึ่งทำให้ อาจารย์ คนนั้น ก็ชงักกึก ไปอีก เหมือนกัน เพราะมันก็รู้ตัวอยู่ว่า เราก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า สักที แล้วเราก็ ไม่ใช่เป็นคนแล้ว มันจะเป็นอะไรกัน คนก็ไม่เป็น พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็น แล้วเป็นอะไร

ฉะนั้น เราเองก็เหมือนกัน เราเป็นครู ตามอุดมคติ หรือยัง หรือว่า ถ้าไม่เป็นครู มันก็ไม่ใช่ครู ถ้าเป็นครู ก็ต้องเป็นครู และการที่เขาว่า เราไม่ใช่คน เราไม่ควรจะโกรธเลย หรือแม้ว่า ครูจะถูกกล่าวหาว่า อย่างนั้น อย่างนี้ เราก็ไม่โกรธ ถ้าจะพูดถึง พุทธะตามแบบ นิกายเซ็น ก็คือว่า ถ้าเรายังเป็นครู ตามอุดมคติ ไม่ได้ เราก็ยังเป็น พุทธะ ไม่ได้ อยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจะพยายาม ทำตน ไม่ให้เป็น อะไรเลย ให้มีจิตว่าง ไม่รู้สึกเป็นอะไรเลย ซึ่งหมายความว่า ให้อยู่เหนือ การถูกว่า หรือเขาว่ามา มันก็ไม่ถูก เราเป็นชนิดนั้น กันจะดีไหม คือว่า เราเป็นอะไร อย่างหนึ่ง ซึ่งใครจะว่าอะไร อย่างไรมา มันก็ไม่ถูกเรา มันก็คงไม่มีอะไร นอกจากเราเป็น "ว่างจากตัวเรา" ถ้าเราเป็นอย่างนี้ มันก็จะเป็นอย่างภูเขา ซึ่งลมจะพัดมา กี่ทิศกี่ทาง ก็ไม่สามารถ ทำให้ ภูเขา หวั่นไหวได้ :054:

ในบาลี มีคำกล่าวอยู่ ถ้าภูเขาเป็นหินแท่งหนึ่ง ฝังอยู่ในดิน ๑๖ ศอก โผล่อยู่บนดิน ๑๖ ศอก ลมไหนจะพัดให้หวั่นไหวได้ ถ้าเราว่างจาก ความยึดมั่นถือมั่น ว่าเรามีเกียรติ อย่างนั้นอย่างนี้ เราเป็นอะไร อย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อนั้นแหละ เราจะเป็นบุคคล ที่ลมไหน พัดมาก็ไม่ถูก
----------------------------------------------------------------------------------------
 
นิทานเซ็น มหรสพทางวิญญาณเพื่อจริยธรรม เล่าโดย.. ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ณ หอประชุมคุรุสภา พุทธศักราช ๒๕๐๕ พิมพ์โดย ธรรมสภา

ที่มา
http://www.buddhadasa.com/zen/zen07.html

1118
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 02:38:16 »
ข้อคิด อันเนื่องมาจากปฏิจจสมุปบาทและขันธ์๕
และ
จิตส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง


คิดนึกปรุงแต่ง ๑ ครั้ง,  คือการเกิดของขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง
เกิดขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง,  ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑ ครั้ง
ดังนั้นคิดนึกปรุงแต่ง ๑๐๐ ครั้ง,  ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
เวทนาเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง  ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหาได้ ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด  ทุกข์อุปาทานเกิดขึ้นเมื่อนั้น
ดังนั้นจงมีแต่คิดนึก,  แต่ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน.


ที่มา


ที่มา
http://nkgen.com/10.htm

1119
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 02:24:44 »
๒๗. ความรู้สึก

ถาม   ทาง นั้นเป็นอย่างไร และต้องเดินมันอย่างไร ?

ตอบ   เธอจะสมมติให้ ทาง นั้นเป็นของคนชนิดไหนกันนะ! จนถึงกับเธออยากจะเดิน ?

ถาม   อาจารย์มีคำแนะนำอะไรบ้าง ที่จะให้แก่ศิษย์ในที่ทั่ว ๆ ไป เพื่อปฏิบัติธฺยานะและศึกษาธรรม ?

ตอบ   ถ้อยคำต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องดึงดูดความสนใจของพวกปัญญาทึบนั้น ใช้อาศัยอะไรไม่ได้หรอก

ถาม   ถ้าคำสอนเหล่าโน้น มุ่งหมายสำหรับพวกปัญญาทึบแล้ว กระผมก็ยังต้องการจะฟังว่า ธรรมะอะไร ที่ใช้สอนพวกที่มีปัญญากว้างขวางจริง ๆ ?

ตอบ   ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญากว้างขวางจริง ๆ แล้ว เขาจะหาพบคนที่เขาควรเดินตาม ได้ที่ไหนเล่า ? ถ้าเขาแสวงหาจากภายในตัวเขา เขาจะพบว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว คิดดูเถิดว่าเขาจะพบธรรมะที่ควรแก่ความสนใจของเขา ในที่อื่น ๆ ภายนอกนั้นน้อยมากลงไปอีกเพียงไร ? อย่ามองมุ่งไปยังสิ่งซึ่งพวกนักเผยแผ่ทั้งหลายเรียกกันว่า ธรรมะ เลย เพราะ ธรรมะ ชนิดนั้นจะเป็นธรรมะอะไรที่ไหนได้ ?

ถาม   ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เราไม่ควรแสวงหาสิ่งใด ๆ กันบ้างเลยเชียวหรือ ?

ตอบ   ด้วยการทำอย่างนั้นแหละ พวกเธอจะประหยัดความเหน็ดเหนื่อยทางจิต ให้เธอเองได้มากที่สุด

ถาม   แต่สิ่งทุก ๆ สิ่ง จะต้องถูกขจัดออกไปด้วยการปฏิบัติวิธีนี้แล้วจะว่าไม่มีอะไรเลย ได้อย่างไรกัน ?

ตอบ   ใครเป็นคนเรียกสิ่ง ๆ สิ่งนั้นว่าไม่มีอะไร ? ใครเป็นคนเรียก ? มันมีแต่พวกเธอที่ต้องการจะแสวงหาอะไรสักอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

ถาม   ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหา ทำไมท่านอาจารย์จะต้องกล่าวว่าไม่ใช่ทุก ๆ สิ่งจะต้องถูกขจัดออกไป ดังนี้ด้วยเล่า ? (มันย่อมหมายความว่า มีสิ่งบางสิ่งเหลืออยู่ให้แสวงหามิใช่หรือ ?)

ตอบ   การไม่แสวงหา คือการอยู่สงบ ใครได้บอกเธอ ว่าให้ขจัดมันเสียตะพึดเล่า ? ดูความว่างที่ตรงหน้าเธอนี่ซิ เธอจะสร้างมันขึ้นหรือขจัดมันออกไปได้อย่างไรกันหนอ ?

ถาม   ถ้ากระผมสามารถเข้าถึง ธรรมะ นั้นได้เล่า มันจะเป็นเหมือนความว่างนี้ไหม ?

ตอบ   อาตมาได้อธิบายให้แก่พวกเธอแล้ว ทั้งเช้าทั้งเย็น ว่า ความว่าง นั้นเป็นทั้ง หนึ่ง และเป็นทั้ง หลายซับหลายซ้อน อาตมากล่าวความข้อนี้ในฐานะที่มันเหมาะสมสำหรับระยะเริ่มแรก แต่พวกเธอก็กำลังสร้างรูปความคิดต่าง ๆ ขึ้นจากมันเรื่อยเปื่อยไป

ถาม   ท่านอาจารย์หมายความว่า พวกเราไม่ควรมีการสร้างรูปความคิดต่าง ๆ เหมือนกับที่มนุษย์ธรรมดา เขาทำกันอยู่เป็นปกติดังนั้นหรือ ?

ตอบ   อาตมาไม่ได้ห้ามพวกเธอดอก แต่รูปความคิดต่าง ๆ นั้นมันขึ้นอยู่กับอายตนะ เมื่อใดความรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้น ปัญญาก็ถูกปิดบังเสียทันที

ถาม   ถ้าอย่างนั้นเราควรหลีกเลี่ยงจากความรู้สึกทุกชนิด แม้ที่เกี่ยวกับ ธรรมะ นั้น ดังนั้นหรือ ?

ตอบ   ถ้าในที่ที่ไม่มีความรู้สึก เกิดขึ้นเล่า ใครคนไหน กล้ากล่าวว่า เธอพูดถูก ?

ถาม   ทำไมท่านอาจารย์จึงกล่าวราวกับว่า ผมเป็นฝ่ายผิดไปเสียทั้งหมด ในทุกคำถาม ที่ผมได้ถามท่านอาจารย์ ?

ตอบ   เธอเป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจอะไร ๆ ที่เขาพูดให้ฟัง ไอ้ทั้งหมดที่เรียก ผิด-ผิด นั้น มันอะไรกันนะ ?


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=265.0

  :090:  การไม่แสวงหา คือการอยู่สงบ

1120
ปลูกต้นมะพร้าวไว้ อีก 4-5 ปี มันต้องออกผลเป็นมะพร้าวแน่ๆ

ปลูกมะพร้าวออกลูกเป็นมะเขือ ก็แปลกละครับท่านพี่ 30; 30;
   
(ขออนุญาตเข้ามาหยิกแกมหยอก ขอบคุณมากครับ) :054: :054:
เรียนท่าน saken6009
ผมเจอต้นรักแถวๆบ้านแล้วครับ ให้เด็กไปขุดมา เอามาเลี้ยงไว้ก่อน
จะนำไปปลูก หากท่านมีต้นรัก ก็นำมาได้นะครับ
ลองดูว่า ต้นรัก จะออกลูกเป็นอะไร :048: :079:



1121
ครั้งที่1
วันที่ 7/6/54 เวลา 10.00 น.
โอนไป 1,001 บาท



ฝากถึงคุณ derbyrock ได้ข่าวว่าท่านทำซองผ้าป่าฯ ผมปรารถนาจะได้ นำไว้แจกชาวพุทธบริษัท สัก20+ซอง จะขอรบกวนด้วยครับ

ภาพเพิ่มเติม
ส้วมของลูกศิษย์ อยู่ด้านล่างระหว่างทางขึ้นเขา ไม่มีห้องอาบน้ำ อาบกันกลางแจ้ง

1122
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 09:49:15 »
๒๖. สัจจยาน

เมื่อตถาคตได้ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏในโลกนี้ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะประกาศแต่ สัจจยาน เพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนจะไม่เชื่อพระองค์ และจะพากันจมลงในทะเลแห่งสังสารวัฏ เพราะพากันหัวเราะเยาะพระองค์ ด้วยความไม่เชื่อ

อีกประการหนึ่ง ถ้าหากว่าพระองค์จะไม่ตรัสอะไรเสียเลย ข้อนั้น ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัว และพระองค์ก็จะไม่สามารถกระจายความรู้เรื่อง ทาง อันเร้นลับนั้น ให้เป็นคุณประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงได้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงใช้วิธีที่เหมาะสม คือประกาศว่า มียานอยู่ ๓ ยาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อยานทั้งสามนี้ เป็นสิ่งที่ใหญ่เล็กกว่ากันและกันอยู่ มันจึงเกิดมีคำสอนตื้นและคำสอนลึกขึ้นมา อย่างที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ไม่มีอันไหนที่เป็น ธรรมะ เดิมแท้ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ว่า มีแต่ ทางแห่งยาน ยานเดียว ถ้ามันเกิดมีมากกว่านั้น มันก็ไม่อาจเป็นของจริงไปได้

นอกไปกว่านั้นอีก มันไม่มีวิถีทางใดเลย ที่จะบรรยายถึง ธรรม แห่ง จิตหนึ่ง นี้ ให้แก่กันและกันได้โดยเด็ดขาด เมื่อเป็นดังนั้น พระตถาคตจึงได้รับสั่งให้พระมหากาศยปะมาเฝ้า และนั่งกับพระองค์บนอาสนะแห่งการประกาศสัจจธรรม ทรงมอบ ธรรม แห่ง จิตหนึ่ง นี้ ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่เกี่ยวกับคำพูดแต่ประการใดเลยให้แก่ท่านเป็นพิเศษ ธรรม ที่ไม่อาจจะแตกแขนงข้อนี้เป็นธรรม ที่ต้องปฏิบัติเป็นพิเศษต่างหากจากธรรมเหล่าอื่น และผู้ที่จะรู้แจ้งเห็นแจ้งซึ่ง ธรรม นี้ โดยมิต้องมีการเอ่ยปากพูดกันนั่นแหละ จะได้ลุถึงภาวะแห่ง ความเป็นพุทธะ นั้น

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=264.0

  :090: สัจจยาน ธรรมที่ไม่เกี่ยวกับคำพูด

1123
ปลูกต้นมะพร้าวไว้ อีก 4-5 ปี มันต้องออกผลเป็นมะพร้าวแน่ๆ


1124
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 08:33:57 »
๒๕. เอกสภาวะ

คำว่า เอกสภาวะ เล็งถึงสิ่งที่มีความรุ่งเรืองทางฝ่ายจิต ซึ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันหมดสิ่งหนึ่ง ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นมูลธาตุ ที่เจือกันอย่างสนิทสนมเป็นเนื้อเดียวกัน มีจำนวน ๖ ธาตุ สิ่งที่มีความรุ่งเรืองทางฝ่ายจิต ซึ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันดังกล่าวนั้น ก็คือ จิตหนึ่ง นั่นเอง พร้อมกันนั้นมูลธาตุทั้งหกที่มีการเจือกันอย่างสนิทนั้น ก็คืออวัยวะแห่งอายตนะทั้งหกอีกนั่นเอง

อวัยวะแห่งอายตนะทั้งหกเหล่านี้ ต่างก็เข้าคลุกคลีกันกับสิ่งที่จะทำให้มันเศร้าหมอง กล่าวคือ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ และใจกับธรรมารมณ์ ในขณะแห่งการสัมผัสระหว่างอวัยวะเหล่านี้ กับวัตถุที่มันสัมผัส ย่อมเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ขึ้นอีก ๖ ชนิด (คือเวทนา) ดังนั้น จึงทำให้เกิดมีสิ่งซึ่งเนื่องกันอยู่กับอายตนะขึ้นเป็น ๑๘ อย่างด้วยกัน

ถ้าพวกเธอเข้าใจได้ว่า สิ่งซึ่งเนื่องกันอยู่กับอายตนะทั้ง ๑๘ อย่างเหล่านี้ ไม่มีความมีอยู่ที่เป็นตัวเป็นตนอะไรเลย เธอก็ไม่อาจจะคุมมูลธาตุที่มีการเจอกันอย่างสนิททั้ง ๖ ธาตุนั้น เข้าเป็นสิ่งซึ่งมีความสว่างไสวทางฝ่ายจิตเพียงสิ่งเดียวได้ สิ่งซึ่งมีความสว่างไสวทางฝ่ายจิตเพียงสิ่งเดียวนั้น ซึ่งได้แก่ จิตหนึ่ง นั่นเอง

นักศึกษาทุกคนแห่ง ทาง ทางนี้ ย่อมรู้ข้อนี้ดี แต่เขาไม่สามรถจะเว้นเสียจากการสร้างรูปความคิดต่าง ๆ อันเกี่ยวกับ “สิ่งซึ่งมีความรุ่งเรืองทางฝ่ายจิตสิ่งเดียว” และมูลเหตุต่าง ๆ ที่เจือกันสนิท ๖ อย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็กลายเป็นผู้ถูกจองจำอยู่กับความยึดถือในความมีอยู่ต่าง ๆ และพลาดจากการได้รับความเข้าใจ ชนิดที่หุบปากเงียบไม่ต้องพูดในเรื่อง จิตเดิมแท้


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=263.0

  :090: เอกสภาวะ เล็งถึงสิ่งที่มีความรุ่งเรืองทางฝ่ายจิต ซึ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันหมดสิ่งหนึ่ง = จิตหนึ่ง

1125
ขอกราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:

เดินทางไกล ใจต้องอดทน

ตถตา
มรรคาแห่งการหลุดพ้น
ย่อมดำเนินไปตามสภาวะของธรรมชาติ
โดยอิสระ และ ไม่ยึดเหนี่ยว
ดั่งเช่นเมฆซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นฝน
ดั่งแสงจันทร์ที่ส่องกระทบคลื่น
ดั่งกล้วยไม้ที่เติบโตในที่ร่ม
ดั่งต้นไม้ที่ผลิใบและดอกเองตามฤดูกาล
สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยไม่ต้องมีจิตควบคุม
แต่สามารถให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนได้

- ฮองซิ (พ.ศ. 1634 - 1700)
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=818.0

1126
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 07:57:33 »
๒๔. กาย ๓ กาย

พุทธะองค์หนึ่ง มีกาย ๓ กาย โดยคำว่า ธรรมกาย ย่อมหมายถึง ธรรมะ (ธรรมดา) แห่ง ความว่าง อันมีอยู่ในที่ทุกแห่งของธรรมชาติอันแท้จริงที่เป็นอยู่เองของสิ่งทุกสิ่ง โดยคำวา สัมโภคกาย ย่อมหมายถึง ธรรมะ (สภาวะธรรมดา) แห่งความบริสุทธิ์สากลอันสำคัญยิ่งของสิ่งทั้งปวง โดยคำว่า นิรมานกาย ย่อมหมายถึง ธรรม ต่าง ๆ แห่งวัตรปฏิบัติ ๖ ประการ ซึ่งนำไปสู่นิพพาน และอุบายวิธีอื่น ๆ ทำนองนั้นทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยกัน

ธรรม (ธรรมดา) ของ ธรรมกาย นั้น ไม่อาจแสวงหาได้โดยทางการพูดจา หรือโดยทางการฟัง หรือโดยทางตัวหนังสือ ไม่มีอะไรที่อาจจะพูด หรือทำให้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็นได้ มีอยู่ก็แต่ความว่างแห่งสภาวธรรมดาที่แท้จริง ของสิ่งทุกสิ่งซึ่งเป็นอยู่เอง อันมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีก เพราะฉะนั้น การบอกให้รู้ว่า ไม่มี ธรรมะ ที่ต้องอธิบายด้วยคำพูด นั่นแหละ เรียกว่าการเผยแผ่ธรรมละ

สัมโภคกาย และ นิรมานกาย ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมตอบสนองด้วยปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเหมาะสมแก่สิ่งแวดล้อมเฉพาะอย่าง ธรรมะ ต่าง ๆ ที่มีผู้นำมากล่าว เพื่อสนองแก่เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยความรู้สึกทางอายตนะ และในทุก ๆ ชนิดแห่งรูปและแบบนั้น ไม่มีอันไหนเลยที่เป็น ธรรมะ จริง ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า สัมโภคกาย ก็ตาม นิรมานกาย ก็ตาม หาใช่พุทธะที่แท้จริงไม่ ทั้งไม่ใช่ผู้ประกาศธรรมะด้วย


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=262.0

  :090: ธรรมกาย=ความว่าง, สัมโภคกาย=ความบริสุทธิ์สากล, นิรมานกาย=ธรรม ต่าง ๆ แห่งวัตรปฏิบัติ ๖ ประการ

1127
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 07:43:41 »
๒๓. การถ่ายทอด

ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เห็นได้ว่า จิตของพระโพธิสัตว์นั้น เหมือนกับความว่าง และสิ่งทุกสิ่งถูกเพิกถอนหมดสิ้น โดยจิตนั้น เมื่อความคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอดีตไม่ถูกยึดถือไว้ นั่นคือการเพิกถอนส่วนอดีต เมื่อความคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปัจจุบันไม่ถูกยึดถือไว้ นั่นคือการเพิกถอนส่วนปัจจุบัน เมื่อความคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอนาคตไม่ถูกยึดถือไว้ นั่นคือการเพิกถอนส่วนอนาคต นี้เรียกว่าการเพิกถอนที่สุดทั้ง ๓ กาล

จำเดิมแต่พระตถาคตได้ทรงมอบ ธรรมะ แก่พระมหากาศยปะ (กัสสปะ) มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จิต ได้ถูกถ่ายทอดด้วย จิต ตลอดมา และ จิต เหล่านี้ ล้วนแต่เป็น จิต ๆ เดียวกัน

การถ่ายทอด ความว่าง ให้กันและกันนั้น ไม่สามารถทำได้โดยทางคำพูด การถ่ายทอดตามความหมายทางฝ่ายวัตถุนั้น ไม่สามารถใช้กันได้กับ ธรรมะ เมื่อเป็นดังนั้น จิต เป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดด้วย จิต และ จิตเหล่านี้ไม่แตกต่างกันเลย

การถ่ายทอด และการรับการถ่ายทอด ทั้งสองอย่างนี้ เป็นความเข้าใจอันเร้นลับ ที่เข้าใจยากที่สุด จนถึงกับมีไม่กี่คนจริง ๆ ที่สามารถรับเอาได้

ถึงอย่างไรก็ตาม ตามความเป็นจริงนั้น จิต นั้นก็ยังมิใช่ จิต และการถ่ายทอดนั้น ก็มิใช่การถ่ายทอด ที่เป็นจริงเป็นจังอะไรเลย


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=261.0

  :090: การถ่ายทอด ความว่าง

1128
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 07:37:17 »
๒๒. การเพิกถอน

จิตของพระโพธิสัตว์นั้น เหมือนกับความว่าง เพราะท่านได้เพิกถอนสิ่งต่าง ๆ ออกเสียแล้ว และไม่ปรารถนา แม้แต่จะสร้างสมบุญกุศล

การเพิกถอนนั้นมีวิธีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกัน

เมื่อทุก ๆ สิ่งทั้งภายในและภายนอก ทั้งรูปธรรมและนามธรรมถูกเพิกถอนแล้ว เมื่อความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ ไม่มีเหลืออยู่ เช่นเดียวกันกับใน ความว่าง เมื่อการกระทำทั้งหมด เป็นไปแต่ตามควรแก่สถานที่และสิ่งแวดล้อมล้วน ๆ (ไม่มีกิเลสเจือปน) และเมื่อความรู้สึกว่าตัวตนในฐานะเป็นผู้ถูกกระทำ นั้นถูกเลิกล้างไปหมดแล้ว นั้นคือวิธีแห่งการเพิกถอนชนิดสูงสุด

เมื่อในขณะหนึ่ง หนทาง ทางนี้ มีการดำเนินโดยการประกอบกุศลธรรมมีประการต่าง ๆ และอีกในขณะหนึ่ง การเพิกถอนกุศลเหล่านั้นก็มีอยู่ และไม่ดำรงความหวังที่จะรับผลแห่งบุญกุศลเหล่านั้นไว้ นั้น คือวิธีแห่งการเพิกถอนชนิดกลาง ๆ

เมื่อการประกอบบุญกุศลทุกชนิด ได้ทำไปเพื่อหวังที่จะได้รับผลตอบแทน ของบุคคลผู้ซึ่งแม้จะมีความรู้เรื่อง ความว่าง โดยได้ยินได้ฟัง ธรรมะ ข้อนี้ แล้วทำตนเป็น (ประหนึ่งว่า) ผู้ไม่ยึดถือ นั่นคือ วิธีแห่งการเพิกถอนชนิดต่ำที่สุด

วิธีชนิดแรก เหมือนกับไต้ลุกโพลง ที่ถือส่องยื่นไปข้างหน้า อันไม่สามารถจะทำให้หลงทางไปได้ วิธีชนิดที่สอง เหมือนกับไต้ลุกโพลง ที่ถือย่นไปข้าง ๆ ซึ่งบางทีก็เห็นทาง บางทีก็มืด ส่วนวิธีที่สามนั้น เหมือนกับไต้ลุกโพลง ที่ถือไขว้ไว้ข้างหลัง จนกระทั่งหลุมมีอยู่ข้างหน้า ก็มองไม่เห็น

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=260.0

  :090: เพิกถอน ภายนอกภายใน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมถูก ไม่ยึดถือสิ่งใด >>ว่าง

1129
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2554, 09:37:52 »
๒๑. การหลบหลีก

คนเป็นอันมากมักถูกปิดกั้นเสียจากการรู้แจ้งต่อ จิต โดยปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวเขา และถูกปิดกั้นเสียจากการรู้แจ้งต่อหลักธรรมที่สำคัญที่สุด โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ เฉพาะตน ดังนั้น  เขาจึงพยายามหาทางหลีกเลี่ยงจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเสีย ด้วยหวังว่าจะทำจิตของเขาให้สงบ หรือพยายามที่จะระงับเหตุการณ์ต่างๆ เสีย ด้วยหวังจะยึดหนึ่งเอาธรรมะนั้นให้ได้ เขาไม่เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การทำอย่างนี้ เป็นการกลบเกลื่อนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ด้วยจิต กลบเกลื่อนเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยหลักธรรม

จงเพียงแต่ทำจิตของเธอให้ว่างเท่านั้น ปรากฏการณ์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็จะเป็นของว่างไปในตัวมันเอง จงให้หลักการต่าง ๆ หยุดแกว่ง แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็หยุดวุ่นวายได้ด้วยตัวมันเอง จงอย่าใช้ จิต ไปในทางอุตริแผลง ๆ เช่นนั้นเลย

  คนส่วนมากขี้ขลาดต่อการทำจิตของตนให้ว่าง โดยเกรงไปว่าเขาจะพลัดตกลงไปในความว่าง เขาเหล่านั้น ไม่ทราบว่า จิต ของเขาเองเป็น ความว่าง คนโง่มัวแต่หลบหลีกปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไม่หลบหลีกจากความคิดปรุงแต่ง ส่วนคนฉลาดย่อมหลบหลีกจากความคิดปรุงแต่งและไม่ต้องหลบหลีกปรากฏการณ์


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=258.0

  :090: หลบหลีกจากความคิดปรุงแต่งและไม่ต้องหลบหลีกปรากฏการณ์

1130
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2554, 09:32:23 »
๒๐. จิต นั่นแหละคือ ธรรม

พวกลัทธิอิจฉันติกา เป็นพวกที่มีหลักลัทธิอันไม่สมบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงซึ่งมีอยู่ในคติภพทั้งหกนี้ ซึ่งมีทั้งพวกมหายานและหีนยานรวมอยู่ด้วยนั้น ถ้าเขาไม่มีความเชื่อต่อ พุทธภาวะ อันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า ซึ่งมีอยู่ในตัวเขาเองแล้ว ก็เป็นการสมควรแล้วที่จะถูกขนานนามว่าเป็นพวกอิจฉันติกา ที่มีรากเหง้าแห่งกุศลอันขาดด้วนเสียแล้ว

บรรดาพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งมีความเชื่อใน พุทธธรรม อย่างลึกซึ้ง และไม่ยอมรับการแบ่งแยก เป็นมหายาน และหีนยานแล้วก็ตาม แต่ถ้ายังไม่เห็นแจ้งต่อ สภาวะหนึ่ง เดียว ของพุทธทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงแล้ว ก็ควรถูกขนานนามว่าเป็นพวกอิจฉันติกาประเภทที่รากเหง้าแห่งกุศลยังดีอยู่

 พวกที่การรู้แจ้งของเขาส่วนใหญ่ มีมูลมาจากการได้ยินได้ฟังธรรมที่มีผู้แสดงนั้น ถูกขนานนามว่าพวกสาวก พวกที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยการซาบซึ้งต่อกฎแห่งกรรม ถูกขนานนามว่าพวกปัจเจกพุทธะ พวกที่เป็น พุทธะ โดยได้มาจากการรู้แจ้งเห็นแจ้งอันแท้จริง ซึ่งแสวงหาเอาได้จากใจของเขาเองนั้น ถูกขนานนามว่าพวกสุตพุทธะ

 นักศึกษาเรื่อง ทาง ทางนี้แทบทั้งหมด รู้แจ้งโดยทางธรรมะซึ่งสอนกันเป็นคำพูด ไม่ใช่โดยทางธรรมะที่เห็นได้ด้วยใจ แม้ว่าเขาจะได้ทำความพากเพียรมาแล้วเป็นกัปป์ ๆ ไม่ขาดสาย เขาก็จะไม่เป็นผู้ที่กลมกลืนกันได้กับ เนื้อแท้ดั้งเดิมของพุทธะ พวกที่ไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งจากภายใน จิต ของเขาเอง ได้แต่ฟังธรรมซึ่งสอนกันด้วยคำพูดนั้น สร้างแสงสว่างให้แก่จิตเอาเอง และไปเห็นความสำคัญอยู่ที่คำสอน ดังนั้นเขาจึงมัวแต่ก้าวไปทีละขั้น ๆ โดยไม่ประสีประสาต่อ จิตเดิมแท้ ของตนเองเลย

เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าเธอเพียงแต่มีความเข้าใจซึมซาบต่อ จิต อย่างหุบปากเงียบ ไม่ต้องพูดอะไรเท่านั้น เธอก็ไม่จำเป็นต้องเที่ยวแสวงหาธรรมใด ๆ เลย เพราะเมื่อทำได้ดังนั้น จิต นั่นแหละ คือ ธรรม นั้น

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=257.0

  :090: จิต นั่นแหละ คือ ธรรม

1131
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2554, 08:57:48 »
ต่อจากตอนที่ 2/4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23217
=========================

๑๙. แดนแห่งสิ่งล้ำค่า

ในวันแปดค่ำของเดือนที่สิบ ท่านครูบาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ..

ลัทธิที่มีชื่อว่า นครแห่งมายา นั้น ได้กล่าวถึงยานสองอย่าง ภูมิสิบแห่งการก้าวหน้าของโพธิสัตว์ และการตรัสรู้เต็มที่สองแบบ เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นคำสอนที่มีอิทธิพลในการเร้าความสนใจของประชาชน แต่แล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงสิ่งของในนครแห่งมายา สมชื่อของมันอยู่นั่นเอง

ถิ่นที่เรียกว่า แดนแห่งสิ่งล้ำค่านั้น (ถ้ามีจริง) ก็คือ จิต จริงแท้ซึ่งเป็น เนื้อแท้ดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า และเป็นขุมทรัพย์แห่งสภาวะอันแท้จริงของพวกเราเอง เพชรพลอยเหล่านี้ วัดหรือตวงไม่ได้ สะสมให้มากขึ้นก็ไม่ได้

เมื่อพระพุทธะหรือสามัญสัตว์ทั้งหลายเอง ก็ยังไม่มี และสิ่งซึ่งจะเป็นตัวตนผู้ทำหรือตัวตนผู้ถูกกระทำ ก็ยังไม่มีเสียเองแล้ว นครแห่งสิ่งล้ำค่าจะมีได้ที่ไหนอย่างไรเล่า ?

 ถ้าพวกเธอถามว่า “เอาละครับ นครแห่งมายา มีอยู่มากพอแล้ว ส่วนแดนแห่งสิ่งล้ำค่านั้นเล่า มันอยู่ที่ไหนกัน ?”ดังนี้ ฉันขอตอบว่า มันเป็นถิ่นซึ่งไม่มีทิศทางที่ไม่อาจชี้ให้แก่เธอได้ เพราะว่าถ้ามันเป็น สิ่งที่อาจจะชี้ได้ มันก็ต้องเป็นถิ่นที่มีอยู่ในอวกาศมิใช่หรือ เมื่อเป็นดังนี้ มันก็ไม่อาจจะเป็นแดนแห่งสิ่งล้ำค่าที่จริงแท้อะไร ๆ ไปได้เลย อย่างมากที่สุดที่เราจะพูดได้ ก็คือว่ามันอยู่แค่จมูกนี่เอง มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะระบุตรง ๆ ลงไปได้ก็จริง แต่เมื่อใดพวกเธอมีความเข้าใจซึมซาบถึงเนื้อแท้ของมันอยู่อย่างหุบปากเงียบ พูดอะไรไม่ออกแล้ว มันก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=256.0

  :090: แดนแห่งสิ่งล้ำค่า มันอยู่แค่จมูกนี่เอง

1132
อ้างถึง
ในการบูขานั้น บูชาอะไรก็ไม่เท่าบูชาพระรัตนตรัย บูชาบิดามารดา บูชาครูบาอาจารย์ ดั่งบทที่ว่า "ปูชาจะปูชนียานัง" คือบูชาสิ่งที่ควรบูชา
ส่วนเทพเทวดาทั้งหลาย เราก็บูชาได้ ส่วนจะเป็นอามิสบูชา หรือปฏิบัติบูชานั้น ก็แล้วแต่ละท่านจะพิจารณากันเอง

กราบขอบพระคุณ :054:ท่าน สาม เสมา เป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับความรู้และแนวคิด  25;
ถ้าท่านเข้ามาพูดคุยหรือตอบเรื่องธรรมะบ้างก็จะยิ่งดีครับ ผมเป็นเพียงนักศึกษาใหม่ครับ สงสัยไปเรื่อยเลยครับ 15;

1133
ขอบพระคุณท่าน สาม เสมา ครับ  :054:
มีข้อเสนอแนะในการบูชาไหมครับ

1134
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2554, 12:57:15 »
ตามที่จริงแล้ว ไม่มีสักอย่างเดียว ที่มีอยู่จริง

การสลัดสิ่งทุก ๆ สิ่งออกไปเสีย นั่นแหละ คือ ตัวธรรม

ผู้ซึ่งเข้าใจความจริง ข้อนี้นั่นแหละ คือ พุทธะ

แต่การสลัดสิ่งที่เป็นมายา ทุกสิ่งออกไปเสียนั้น

ต้องไม่เหลือธรรมะอะไร ๆ ไว้ให้ยึดถือกันอีกจริง ๆ

- คำสอนของฮวงโป -

ที่มา
http://agaligohome.com/


อ่านดูง่ายๆ แต่เข้าใจยากมาก :010:

1135
นิทานเซน : พุทธะกับมูลวัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   1 มิถุนายน 2554 08:27 น.

       ครั้งหนึ่ง "ซูตงโพ(苏东坡)" ยอดนักกวีและนักปกครองในสมัยซ่งใต้เดินทางไปนั่งวิปัสนากับอาจารย์เซนฝออิ้น ณ วัดจินซาน โดยเมื่อเริ่มนั่งสมาธิไปได้สักพัก ซูตงโพ รู้สึกตลอดร่างปลอดโปร่งโล่งสบาย จึงหันไปถามอาจารย์เซนว่า "อาจารย์ ท่านว่าในยามนี้ ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง?"
       
       อาจารย์เซนตอบว่า "เคร่งครึม สง่างามดุจดั่งพุทธะ" เมื่อซูตงโพได้ยินดังนั้นก็พอใจเป็นอันมาก
       
       อาจารย์เซนฝออิ้นจึงถามกลับว่า "แล้วท่านเล่า เห็นว่าตัวอาตมาในยามนี้เป็นอย่างไร?"
       
       ซูตงโพสบโอกาสที่จะล้อเลียนอาจารย์เซน จึงได้ตอบไปในทันทีว่า "คล้ายดั่งมูลวัวกองหนึ่ง"
       
       มิคาด เมื่ออาจารย์เซนฝออิ้นได้ยินดังนั้นกลับแย้มยิ้มไม่ตอบโต้ ทำให้ซูตงโพได้ใจคิดว่าอาจารย์เซนจำนนต่อถ้อยคำหยอกล้อของตน แสดงว่าตนเหนือกว่าอาจารย์เซน จากนั้นเขาจึงนำเรื่องดังกล่าวไปป่าวประกาศให้ผู้อื่นฟังว่าตนสามารถเอาชนะอาจารย์เซนได้
       
       เมื่อเหตุการณ์นี้ได้ยินถึงหูของน้องสาวของซูตงโพ ผู้เป็นน้องจึงเอ่ยถามว่า "ท่านพี่ ที่แท้ท่านเอาชนะอาจารย์เซนได้อย่างไร?"
       
       ซูตงโพ จึงเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้น้องสาวฟังด้วยความลิงโลดใจอีกรอบหนึ่ง ซึ่งน้องสาวของซูตงโพคนนี้เป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดนัก เมื่อฟังเรื่องที่พี่ชายเล่าจบ จึงกล่าวแย้งออกมาว่า "ท่านพี่ ที่แท้คนแพ้คือท่าน เนื่องเพราะในใจท่านอาจารย์เซนมีพุทธะ จึงมองเห็นสรรพสิ่งล้วนคือพุทธะ ตรงกันข้าม ในใจท่านกลับเต็มไปด้วยมูลวัว ดังนั้นท่านจึงมองเห็นมูลวัวในตัวผู้อื่นอย่างไรเล่า"
       
       เมื่อซูตงโพได้ฟังคำชี้แจงของน้องสาว จึงค่อยตระหนักว่า ที่แท้ตนเองยังห่างชั้นกับอาจารย์เซนฝออิ้นมากนัก :004:
       
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000065932

1136
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ
ขออนุญาตนำภาพลงประกอบครับ



1137
นิทานเซน : ตรรกะในการใช้ชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 พฤษภาคม 2554 05:35 น.


       มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยปล่อยให้แสงแดดโลมเลียร่างกาย สลับกับหาวหวอดๆ เป็นระยะ
       
       เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า "พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งที่ต่างๆ ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?"
       
       ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า "บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?"
       
       "เจ้าไม่มีบ้านหรือ?" อาจารย์เซนถาม
       "ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มตอบ
       
       "เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?" อาจารย์เซนถามต่อ
       "ไม่มี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มว่า
       
       "แล้วมิตรสหายเล่า มีหรือไม่?" อาจารย์เซนไม่ละความพยายาม
       "ไม่มี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ต้องสูญเสียเพื่อน แล้วจะมีไปทำไม" ชายหนุ่มท้วง
       
       "เจ้าไม่คิดจะทำงานหาเงินบ้างหรือ?" อาจารย์เซนยังคงถามต่อไป
       "ไม่คิด ได้เงินมาสุดท้ายก็ต้องจับจ่ายออกไป เช่นนั้นใยต้องไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแต่ต้น" ชายหนุ่มกล่าวแย้ง
       
       "อ้อ" สุดท้ายอาจารย์เซนพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงกล่าวว่า "ท่าทางข้าต้องรีบไปหาเชือกมามอบให้เจ้าสักเส้นหนึ่งแล้ว"
       "เหตุใดต้องมอบเชือกให้ข้า?" ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยใจ
       "ให้เจ้าผูกคอตาย" อาจารย์เซนตอบ
       ชายหนุ่มได้ยินก็ถามกลับไปด้วยความโมโหว่า "ท่านอยากให้ข้าตายหรือไง?"
       
       อาจารย์เซนจึงตอบว่า "ถูกแล้ว เพราะคนเราทุกคนล้วนต้องตาย หากคิดตามตรรกกะของเจ้า ในเมื่อสุดท้ายต้องตายแล้วคนเราจะเกิดมาทำไม และหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าการมีชีวิตมีตัวตนของเจ้าในวันนี้นับเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเปล่าประโยชน์แล้ว ใยไม่รีบผูกคอตายไปเสียเลยเล่า?"
       

       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000063255

1138
อาจารย์ ลักษณ์ กล่าวว่า วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งตามหลักการโคจรดวงดาวในทางโหราศาสตร์ กล่าวคือ ดาวราหูย้ายราศี จากราศีธนูไปสู่ราศีพิจิก ได้ตำแหน่งเป็น "มหาอุจ" ส่งผลต่อชะตาเมืองและชะตาบุคคลใน 12 ราศี ตำแหน่งของราหู "มหาอุจ" คือตำแหน่งที่โดดเด่นหรือตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่

ใน ทางโหราศาสตร์ ดาวใดที่ได้ตำแหน่งมหาอุจนั้น ถือว่าเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด แล้วจะให้คุณให้โทษได้มากที่สุด ราหูจะมีวิถีแห่งการโคจรผ่านรอบจักรราศีหนึ่ง ใช้เวลา 18 ปี กล่าวคือ ใน 1 ราศี จะใช้เวลาโคจรประมาณ 1 ปีครึ่ง 12 ราศีก็เท่ากับ 18 ปี ในห้วงเวลาของวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้น ใครที่เคยเกิดเมื่อ 18 ปีที่แล้ว เมื่อ 36 ปีที่แล้ว จะมีราหูได้ตำแหน่งนี้แหละ และราหูที่ได้ตำแหน่งตรงนี้ ก็จะเป็นตำแหน่งที่สำคัญ กล่าวคือ จะบันดาลให้เกิดโชคลาภ บันดาลให้เกิดความเป็นสิริมงคลตามอิทธิฤทธิ์ของเทพพระราหู และที่สำคัญ เป็นตำแหน่งที่ส่งผลดีต่อดวงเมืองประเทศไทย และส่งผลดีต่อประชาชนผู้ประกอบกุศลวัตร ทำคุณงามความดี และมีวิริยะ อุตสาหะ :015:

สำหรับ "เทพพระราหู" นั้นมีอยู่ในทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะจะเห็นว่าเทพพระราหูจะอยู่สถิตหน้าบันพระอุโบสถ ประตูเทวสถาน หรือพุทธสถาน ที่มหาเจดีย์ชเวดากอง ทางทิศเหนือ ก็จะมีเทพพระราหูอยู่ด้านบนเจดีย์, นครวัด นครธม ก็มีภาพเทพพระราหูอยู่แทบทุกหนแห่ง, ยิ่งมหาเจดีย์บุโรพุทโธ จะมีเทพพระราหูอยู่ตามซุ้มประตูอันศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเทพองค์นี้มีฤทธิ์ที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มาช้านาน และมีประวัติมานับพันปีแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่พระราหูจึงควรสถิตอยู่คู่กับพระพุทธศาสนา เพราะมีความเชื่อของเทพพระราหูในการคุ้มครองป้องกันมิให้เกิดเหตุเภทภัยกับ พระพุทธศาสนาและสาธุชนทั้งหลาย และเป็นคติความเชื่อในเรื่องของการคุ้มครองผู้นับถือพระพุทธศาสนาและพระพุทธ ศาสนาให้ดำรงคงอยู่ด้วยบารมีของพระราหู ด้วยความเชื่อในทางโหราศาสตร์ ตามปรัชญาทางโหราศาสตร์ก็มีการกล่าวถึงพระราหูในตำนานของนพเคราะห์ และประวัติในทางพระพุทธศาสนา


ที่มา
http://www.xn--22cej4gzaby6cyaq5dzf9dj.com/


บทสวดบูชาพระราหู

อิติปิโส ภะคะวา พระราหูจะมัสมิง จะ พุทธคุณัง จะ ธัมมะคุณัง จะ สังฆะคุณัง
สัพพะทุกขัง สัพพะภะยัง สัพพะโรคัง วิวัชชะเย สัพพะลาภัง ภะวันตุเม

http://www.web-pra.com/Shop/Arayasombat/Show/389409

1139
อ้างถึง
ด้านอาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ กล่าวว่า เมื่อเวลา 17.15 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม พระราหูซึ่งเป็นโมหจริตได้ย้ายจากราศีธนูเข้าสู่ราศีพิจิกซึ่งเป็นภพมรณะของดวงเมือง ในทางโหราศาสตร์เมื่อดาวร้ายไปอยู่ในภพมรณะจะทำให้ความชั่วร้ายต่าง ๆ ถูกสยบลงไป ส่วนดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวที่แสดงถึงคุณธรรม จริยธรรม เคลื่อนไปทับลัคนาเมืองที่ราศีเมษจะยิ่งส่งผลดี ทำให้กลุ่มคนที่ลุ่มหลงมัวเมากลับมามีสติรู้สึกตัว และเข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น เพราะความลับต่าง ๆ จะถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น
:016: :015:
ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/59140

1140
อ้างถึง
การบูชาพระราหู ผู้บูชาจะต้องมีศีลมีธรรมและมีความดี มีคุณธรรมสูง และทำบุญกุศลอยู่เสมอ ความร่ำรวยหรือโชคลาภใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้
สวดด้วยพระคาถาบูชาพระราหู12จบว่าดังนี้ -

คาถาสุริยะบัพภา การบูชากลางวัน
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติฯ

คาถาจันทรบัพภา การบูชากลางคืน
ยัดถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ กาเสกัง
กาติยังมะมะ ยะติกาฯ

ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10981.0

1141
ขออนุญาตนำเรื่องที่เกี่ยวในเวปบางพระมาให้อ่านครับ
ผมตัดมาบางส่วน


      ครั้งหนึ่งพระอินทร์ พระพรหม พร้อมด้วยเหล่าเทวดาทั้งหลายและพระราหู ได้ช่วยกันขุดบ่อน้ำทิพย์อันเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้ดื่มกินจะเป็นอมตะ ไม่รู้จักคำว่าตาย แต่พระราหู โดยส่วนตัวแล้วชอบเอาเปรียบผู้อื่นอยู่แล้ว เลยไม่ค่อนได้ช่วย ทั้งที่ตัวใหญ่ และพระอินทร์ได้สั่งไว้ห้ามใครดื่มกินเด็ดขาด เมื่อพระอินทร์ พระพรหม และพระนารายณ์ ขุดจนได้น้ำแล้ว พระราหูแอบไปขโมยกินจนหมดบ่อ พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์ พระนารายณ์ทราบจึงได้ขว้างจักรใส่พระราหูจนขาดกลายเป็นสองท่อน ท่อนบนหรือส่วนหัวกระเด็นมาติดที่เขาพระราหู ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดสถิตคีรีรมย์(วัดเขาราหู) ส่วนท่อนล่างได้ตกลงบนพื้นดินกลายเป็นพระภูมิเจ้าที่ หรือเรียกว่าท้าวกรุงพาลี

   คำว่า นะ โม พุท ธา ยะ ดำเนินความตามโบราณคัมภีร์ ตั้งแต่ต้นปฐมกัป โลกนี้ยังว่างเปล่า เพราะเหตุไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้น แล้วฝนก็ตกลงมาจนน้ำท่วมโลก ชำระสิ่งต่างๆให้หมดไป ครั้งกระนั้นยังเหลือแต่พรหมโลกที่รอดพ้นจากภัยภิบัติ ขณะที่น้ำท่วมโลกลดลง และได้เกิดแผ่นดินขึ้นมา ก็เผอิญให้เกิดดอกบัวขึ้นมา ๕ ดอก ท้าวสะหะบดีพรหม ท้าวสะหะบดีพรหม ซึ่งประทับอยู่บนพรหมโลก จึงได้แลพระญาณลงมายังโลกนี้ ได้มองเห็นดอกบัว ๕ ดอก แต่ละดอกมี อักขระ นะโม พุท ธา ยะ กำกับอยู่ดอกละอักขระ จึงได้ทรงทำวันทนาการ แล้วตรัส พยากรณ์ว่า กัปป์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ชื่อว่า ภัทรกัปป์จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ แล้วท้าวสะหะบดิพรหมจึงได้ทรงเอาหญ้าคาทิ้งลงมาบนโลก จึงได้เกิดแผ่นดิน มนุษย์ และสัตว์โลกจนทุกวันนี้

      ฉะนั้น นะ โม พุท ธา ยะ จึงเป็นอักขระที่แสดงให้รู้ถึงพระพุทธเจ้า ๕พระองค์ เป็นอักขระที่แสดงให้รู้ถึงพระพุทธเจ้า ๕พระองค์ เป็นอักขระที่เกิดขึ้นมาเองที่วิเศษ โดยไม่ได้ตบแต่ง หากใครได้ภาวนาไว้ก็เหมือนได้พบกับพระพุทธเจ้า ๕พระองค์ และคณาจารย์ทุกสำนักก็ต้องเรียนอักขระนี้มาก่อนทั้งสิ้น
      

อ่านที่หมด ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11551.msg110037

1142
ราหูในทางโหราศาสตร์นั้น "ไม่ใช่ดาว" แต่เป็นจุดตัดกันระหว่าง "เส้นระวิมรรค (ทางเดินของพระทิตย์)" และ "เส้นจัทรมรรค(ทางเดินของพระจันทร์)" โดยจุดตัดทางทิศเหนือแทน "พระราหู" และ ทางใต้แทน "พระเกตุ"

พระราหูในทางโหราศาสตร์มีอัตราการโคจรราศีละ "ปีครึ่ง" โดยวันที่ ๖ มิ.ย.๕๔ จะยกย้ายจากราศีธนูมาราศีพิจิก โดยราหูจะเดินย้อนจักร (ตามเข็ม) ต่างกับดาวพระเคราะห์อื่นๆที่เดินตามจักร (ทวนเข็ม) อันที่จริงการคำนวณทางโหราศาตร์นั้น ในวันที่ ๖ นี้ จะเป็นการคำนวณแบบค่าเฉลี่ย ทางสากลเรียกว่า Mean Node โดยถ้าเป็นการคำนวณทางดาราศาตร์ที่แท้จริงจะเรียกว่า True Node ซึ่งราหูจะย้ายราศีตั่งแต่วันที่ ๓ พ.ค.แล้ว

ราหูในทางโหราศตร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับพระอสุริทรราหูหรือไม่อย่างไรนั้น ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ รู้แต่ว่าเมือราหูจรเข้าไปอยู่ที่ราศีใด และไปต้องกับดวงชาตาของผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดคราส (จันทรคราสและสุริยคราส) ความวิบัติมักจะบังเกิดกับชาตาผู้นั้น

ขอบพระคุณท่าน สาม เสมา ที่ให้ความรู้ครับ :090:

1143
ในทางพระพุทธศาสนา เชื่อว่า พระราหูคือ พระโพธิสัตย์ และจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ ชื่อว่า นารทะ

ในประวัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ยังกล่าวไว้ว่า พระราหูนั้นมาช่วยงานท่าน หลวงพ่อถามว่า ทำไมจึงไม่เที่ยวอมจันทร์ ทางบอกว่า ไม่อมหรอกดิน นั้น ก็แสดงให้เห็นว่า คติพุทธกับคติพราหมณ์นั้นแตกต่างกัน

ผมได้ศึกษาตำรายันต์ก็พบว่า มีการบอกวิธีการสร้างยันต์ราหู

เมื่อศึกษาเข้าใจอย่างถ่องแท้ เผอิญได้กะลาตาเดียวมาจากน้องชาย ชึ่งก่อนหน้านั้น น้องชายพกติดตัวไปร้านทุกวัน แต่ยังไม่ได้ปลุกเสก ลงยันต์ แต่อานุภาพของกะลา ก็สามารถเรียกลูกค้าได้

เมื่อผมได้มาจึงสร้างตามตำรา และเชื่อมีอานุภาพของพระโพธิสัตย์ ทำตามสูตรทุกอย่าง  ได้แก่

1. เครื่องบูชา
2. ใช้วิชาเรียกเทพ พรหมณ์ พระราหูมาช่วยปลุกเสก
3. ใช้วิชาดูดพลังเทพ
4. ใช้วิชาพระอรหันต์เข้านิโรธ
5. แกะสลักเลขยันต์ด้วยสูตรธาตุ และอาการ 32
6. ดูฤกษ์ และ เสกตามฤกษ์ ตลอดเวลากลางวัน และ กลางคืน

วิชานี้ สามารถทำให้บันดาลทรัพย์ สมบัติ แคล้วคลาด อำพรางตา มหานิยม อายุยืนยาวนาน ไม่เจ็บไม่เข้า ข้าทาสบริวารรัก ทำให้คนรักกัน ทำให้คนขโมยไปไหนไม่ได้ ป้องกันศัตรู ค้าขายดี

และวันที่ 24 และ 30 เมษายน นี้ ผมจะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก

นอกจากนี้ผมยังได้สร้างยันต์ราหู สุรุยประภา และ จันทรประภา อีกด้วย 7 คู่ ไว้สักการะบูชาส่วนตัว

ผมได้ลองสาธายายมาแล้ว ปรากฎว่ามีคนนำอาหาร มาให้กินถึงที่พักโดยอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับอาหารจากคนๆ นั้นมาก่อน

คราวหน้ามีเกร็ดความรู้อะไร จะมาเล่าให้ฟังต่อครับ

สวัสดีครับ
ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=16345.msg150699

1144
อสุรินทราหู เกี่ยวข้องกับ พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู) หรือไม่ :062:
=====================================
ตำนานพระปริตร
 
ขอเชิญบรรดาเทพเจ้า ผู้สถิตในสรวงสวรรค์ ชั้นกามาวจร รูปภพ และเป็นผู้สถิตเหนือยอดเขาและหุบเขา และวิมานอันมีอยู่ในอากาศ ทั้งที่สถิตบนเกาะในแว่นแคว้น ที่แดนบ้าน และบนต้นไม้ ในป่าโปร่ง และป่าทึบ ที่เรือน ที่เรือกสวนไร่นา อีกทั้งบรรดายักษ์ คนธรรพ์ และนาคผู้เป็นมิตร เป็นกัลยาณชน ที่สถิตอยู่ในน้ำ และบนบก ในที่ลุ่ม ที่ดอน

ขอจงมาประชุมกันในที่นี้ เพื่อฟังคำของพระมุนีอันประเสริฐ ซึ่งข้าพเจ้าจักสวดต่อไป ณ บัดนี้

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลบัดนี้ถึงกาลฟังธรรมแล้ว

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลบัดนี้ถึงกาลฟังธรรมแล้ว

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลบัดนี้ถึงกาลฟังธรรมแล้ว

มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์ มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดา ว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า ตัสสะ แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

เมื่อครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า ภะคะวะโต แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า "อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด

รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
ที่มา
http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=1092.0;wap2

1145
แล้ว....พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู) เกี่ยวข้องอะไรกับ ยักษ์อสุรินทราหู หรือไม่  :062:
=====================================


"พระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่ง และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

ตั้งอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีประมาณ 5 กิโลเมตร ไปทางด้านทิศตะวันออก

พระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู องค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่งของประเทศ บริเวณวัดยังเป็นที่ปฏิบัติธรรม เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านพุทธศาสนา สำหรับนักธรรม-บาลี และมีพระแก้ว พระกาฬ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วัด

ชาวสิงห์บุรี มีความเชื่อว่าหากมีโอกาสได้นมัสการวัดพระนอนจักรสีห์ฯ แล้วเดินชมต้นสาละลังกาใหญ่ที่ปลูกไว้กว่า 100 ต้น ในบริเวณวัดแล้วอธิษฐานปรบมือใต้ต้นสาละ หากดอกสาละร่วงลงมา คำอธิษฐานนั้นจะประสบผลตามที่หวังไว้

ประวัติ "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าทรงไสยาสน์ เทศนาโปรดยักษ์อสุรินทราหู เพื่อลดทิฐิของอสุรินทราหูที่ถือตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์

"หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว สร้างโดยท้าวอู่ทอง มีความยาว 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว (47.40 เมตร) พระเศียรชี้ไปทางตะวันออก หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ มีความงดงามเป็นอย่างมาก

ภาพ/ข้อมูล : ธรรมะไทย
ภาพ/ข้อมูล : หอมรดกไทย  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
บางส่วนของกระู้ทู้
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14329.msg130102

1146
ขอเรียนถามผู้รู้ว่า.......พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู)
มีความเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับพระราหู
=========================
พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู)

     สตฺถา สมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าของเราตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาพระยามาราธิราช ผู้เป็นธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โลกทั้งหลายจะสูญจากสมเด็จพระพุทธเจ้าสิ้นกาลช้านานถึง ๘ กัปป์ แผ่นดินตั้งขึ้นมาใหม่ได้แสนแผ่นดิน แผ่นดินนั้นสูญเปล่าเป็นสุญญกัปป์ หาบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้าไม่ ในเมื่อสุญญกัปนับได้แสนแผ่นดินล่วงไปแล้ว จึงบังเกิดแผ่นดินมาใหม่ มีชื่อว่ามัณฑกัปนั้น เป็นแผ่นดินทรงพระพุทธเจ้าได้ตรัส ๒ พระองค์ คือ
- พระยาอสุรินทราหู ๑
- โสณพราหมณ์ ๑
อันว่าพระยาอสุรินทราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ลำดับนั้นโสณพราหมณ์จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสืบไปฯ
เมื่อพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงพระนามว่าพระนารทะ
- มีพระองค์สูงได้ ๒๐ ศอก
- มีพระชนมายุยืนได้หมื่นปีเป็นกำหนด
- มีไม้จันทร์เป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบไปด้วยรัศมีสว่างรุ่งเรืองทั้งกลางวันและกลางคืน เปรียบประดุจดังว่าสายฟ้าในกลีบเมฆ พระพุทธรัศมีที่เป็นแผ่นแผ่ทึบเป็นแท่งเดียวนั้น ปรากฏสัณฐานดุจดอกปทุมชาติอันตั้งขึ้นมา
- ครั้นศาสนาพระยาอสุรินทราหูนั้น ในแผ่นดินประเทศทั้งปวงเกิดรสภักษาหาร ๗ ประการ มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคภักษาหาร ๗ ประการ อันเกิดแก่แผ่นดิน ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตของอาตมาเป็นสุขสำราญมิได้ขาด

        ดูก่อนสำแดงสารีบุตร อันว่าพระนารทผู้ทรงพระภาคนั้น มีพระรัศมีเห็นปานดังนี้ คือพระยาอสุรินทราหูแต่ก่อนได้สร้างบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลาย ๑๐ ประการมาเป็นอันมากแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ แต่กองบารมีอันหนึ่ง พระยาอสุรินทราหูได้กระทำเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์ พระองค์มีพระพุทธฎีกาดังนั้นแล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงแล้วช้านาน ในเมื่อพระสาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณ พระยาอสุรินทราหูนี้ได้เสวยพระชาติเป็นบรมกษัตริย์ เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในมัลลนคร เป็นเอกราชอันประเสริฐ ทรงพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช มีพระราชอัครมเหสีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชบุตร พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชบุตรมีนามว่า เจ้านิโครธกุมาร พระราชธิดามีนามว่า นางโคตมี อยู่มาวันหนึ่งยังมีพราหมณ์ ๘ คน พากันมาสู่สำนักแห่งพระยาสิริคุตต์ กราบทูลขอพระนคร พระองค์ก็ทรงโสมนัสบังเกิดพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานพระนครให้แก่พราหมณ์ทั้ง ๘ ยังแต่พระราชอัครมเหสีและพระราชโอรสกับพระราชธิดาทั้ง ๒ ก็พากันออกจากพระนครเข้าไปในอรัญประเทศ กระทำอาศรมอาศัยอยู่บนยอดเขาใหญ่ พร้อมกันทั้งสี่กษัตริย์ทรงเพศเป็นบรรพชิตอยู่ในอาศรมบทฯ

        ในกาลครั้งนั้นยังมียักษ์ตนหนึ่ง มีนามว่ายันตะ ยักษ์ใหญ่สูงได้ ๑๒๐ ศอก ออกจากประเทศราวป่ามาเฉพาะต่ออาศรมแห่งกษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ ยืนอยู่ในที่นั้นแล้วจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นยักษ์รักษาพนาลี มีแต่เลือดและเนื้อเป็นภักษาหารเลี้ยงชีวิต ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ปรารถนาจะขอพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง๒องค์ เป็นภักษาหาร ถ้าพระองค์ทรงพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานให้แล้ว ไปในอนาคตเบื้องหน้า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นแม่นมั่น เมื่อหน่อพระชินวงศ์ได้ทรงฟังยันตะยักษ์ทูลขอพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ นั้น พระยาสิริคุตตราชฤาษีผู้แสวงหาพระโพธิญาณก็ชื่นบานในกมลหฤทัยแสนทวี ท้าวเธอจึงมีสุนทรสารทีตรัสแก่ยันตะยักษ์ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญเอ๋ย พระราชกุมารและพระราชกุมารีทั้ง ๒ องค์นี้ ใช่ว่าเราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้ ด้วยเรารักใคร่ในพระโพธิญาณยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้ แสนเท่าพันทวี เราจะสละพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ ศรี ให้เป็นทานแก่ท่านในกาลบัดนี้ ตรัสแล้วเท่านั้นก็เสด็จลุกจากอาสน์ จูงเอาข้อพระหัตถ์พระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง๒ ผู้ร่วมพระราชหฤทัย มาพระราชทานให้แก่ยันตะยักษ์ แล้วหล่อหลั่งอุทกธาราให้ตกลงเหนือมือแห่งยักษ์ พระองค์จึงประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าและนางพระธรณีให้เป็นสักขีพยานว่า เดชะแห่งผลทานนี้จงสำเร็จแก่พระสร้อยเพชุดาญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด พอสิ้นความปรารถนาก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักรวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทำลายฯ
เบื้องหน้ายันตะยักษ์ครั้นได้รับพระราชทานพระราชกุมารและพระราชกุมารีแล้ว ก็บังเกิดมีความชื่นชมยินดี พาตรุณสองศรีไปยังหลังพระบรรณศาลา ก็ก้มศีรษะลงกัดเอาคอกุมารและกุมารีทั้งสองให้ขาดด้วยอำนาจของอาตมา แล้วก็ดื่มโลหิตกินเป็นภักษาหาร แล้วก็เคี้ยวซึ่งเนื้อและกระดูกกลืนเข้าไป เสียงเคี้ยวนั้นดังกร้วมๆ พระฤๅษีผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเห็นหยาดเลือดย้อยลงจากปากยันตะยักษ์ในขณะเมื่อเคี้ยวนั้น มิได้มีพระทัยไหวหวาดด้วยโลกธรรม จึงร้องประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทุกหย่อมหญ้าลดาวัลย์ทั้งปวงจงมาชื่นชม ด้วยทานของเราบัดนี้เป็นอันประเสริฐแล้วฯ

        ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ในเมื่อพระศาสนาของของพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
- ฝูงชนทั้งปวงประกอบไปด้วยรูปศิริวิลาสเป็นอันงาม ควรจะนำมาซึ่งความสิเนหา ด้วยเดชะผลานิสงส์ที่ให้ลูกทั้งสองเป็นทานฯ
- ซึ่งพระองค์ประกอบได้ด้วยพระพุทธรัศมีส่องสว่างสิ้นทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นด้วยเดชะผลานิสงส์ที่เห็นโลหิตกุมารทั้ง ๒ หยดย้อยลงจากปากยักษ์ มิได้มีความหวาดหวั่นไหวในมหาทานเลย
แสดงมาด้วยเรื่องราบพระยาอสุรินทราหูบรมโพธิสัตว์คำรบ ๕ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ

ที่มา
http://7meditation.blogspot.com/2011/03/blog-post_1655.html

1147
ได้ข่าวจากเพื่อนว่า พรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 6/6/54 ดาวราหูจะยก
ส่วนเวลา 15.00 น.ได้มาจากเวป
http://www.masteryuk.net/site/index.php?t=1167&jfile=viewtopic.php&option=com_jfusion&Itemid=30
รายละเอียดการยก(เข้า-ออก)ในราศีอะไรยังไม่ทราบ ต้องถามโหร
====================
ส่วนประวัติและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราหู ค้นหาในเวปบางพระพบว่ามีมากมาย

เทวกำเนิดของพระราหู
กำเนิดของพระราหูมีอยู่ด้วยกัน๒ตำนานด้วยกันคือ ๑.พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ(ทิศพายัพ) และแสดงถึงเศษวรรคที่ ๑ (ย ร ล ว) ๒.พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค

พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา พระราหูเป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธอันมีเหตุตามนิทานชาติเวร

ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีก๒องค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้ง๒คน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง๓พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง (แต่ในบางตำราก็ว่ากายของพระราหูนั้นมีสีดำบ้าง สีทองบ้าง แตกต่างกันไป)

สาเหตุที่พระราหูมีกายเพียงครึ่งท่อน
 
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอัมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งร่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่๙แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ

ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๒


อ้างอิง
อุระคินทร์ วิริยะบูรณะ และคณะ.พรหมชาติ ฉบับหลวง. กรุงเทพฯ:สำนักงาน ลูก ส.ธรรมภักดี, ม.ป.ป.
เทพย์ สาริกบุตร และคณะ.พรหมชาติ ฉบับราษฎร์. กรุงเทพฯ:สำนักงาน ลูก ส.ธรรมภักดี, ม.ป.ป.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6671.msg53682

1148
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ :054:

เมื่อก่อนเงินเดือนหมื่นนึงก็อยู่ได้ ตอนหลังเงินเดือนเป็นแสนก็ไม่พอ :069:
ถ้ารู้จัก"พอ" มันก็พอนะ :092:

1149
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2554, 07:34:11 »
๑๘. การรู้แจ้งเห็นแจ้ง

     ถ้าคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง เมื่อเขาร่อแร่จวนจะตาย หากว่าเขาสามารถเพียงแต่เห็นว่ามูลธาตุทั้งห้า ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และเห็นว่ามูลธาตุทางรูปกายนั้น ไม่ใช่สิ่งซึ่งประกอบขึ้นเป็นตัว “ข้าพเจ้า” และเห็นว่า จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่างและไม่ใช่สิ่งที่มีการมาหรือการไป และเห็นว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเขานั้น เป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งมิได้มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิดหรือมิได้มีการสิ้นสุดลงที่การตายของเขา แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจากการเคลื่อนไหวใด ๆ ในส่วนลึกจริง ๆ ของมันทั้งหมด และว่า จิต ของเขากับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมเขาอยู่นั้น เป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน ถ้าเขาสามรถทำได้ตามนี้จริง ๆ เขาจะลุถึงการรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแว็บเดียว ในขณะนั้น

 เขาจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับโลกทั้ง ๓ อีกต่อไป เขาจะเป็นผู้อยู่เหนือโลกได้ เขาจะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว

แม้หากว่าเขาจะได้มองเห็นภาพอันรุ่งโรจน์ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์กำลังเสด็จมาต้อนรับเขา ห้อมล้อมไปด้วยสิ่งอันวิจิตรตระการตาทุกชนิด เขาก็ไม่เกิดความรู้สึกอยากเข้าไปใกล้สิ่งเหล่านั้น หรือถ้าเขาจะได้มองเห็นสิ่งอันหน้าหวาดเสียวทุก ๆ ชนิดมาแวดล้อมอยู่รอบตัวเขา เขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลย

เขาจะเป็นแต่ตัวของเขาเองเท่านั้นที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่ง ๆ เดียวกันกับ สิ่งสูงสุด สิ่งนั้น เขาจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้นนี่แหละ คือ หลักธรรมะที่เป็นหลักมูลฐานในที่นี้


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=255.0

  :090: วิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า

1150
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2554, 07:24:20 »
๑๗. ว่างเปล่า

    คนธรรมดาทั่วไปทุกคน พากันปล่อยตัวไปตามความคิดปรุงแต่ง ซึ่งอาศัยปรากฏการณ์ทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความรักและความชัง ถ้าจะขจัดปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นเครื่องแวดล้อมเหล่านั้นเสีย เธอก็เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่งของเธอเสีย เมื่อความคิดปรุงแต่งหยุด ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องแวดล้อมก็กลายเป็นของว่างเปล่า เมื่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ กลายเป็นของว่างเปล่าความคิดก็สิ้นสุดลง

แต่ถ้าเธอพยายามขจัดสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น โดยไม่ทำให้ความคิดปรุงแต่งหยุดไปเสียก่อน เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ กลับมีแต่จะเพิ่มกำลังให้แก่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้รบกวนเธอหนักขึ้น

เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งปวงก็ไม่ได้เป็นอะไร นอกจาก จิต คือ จิต ซึ่งสัมผัสไม่ได้ทางอายตนะ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อะไรเล่า ที่เธอหวังว่าอาจจะบรรลุได้ ?

พวกที่เป็นนักศึกษาด้านปรัชญา (ของเซ็น) ย่อมถือว่าไม่มีอะไรเลย ที่จะต้องสัมผัสได้ด้วยอายตนะ เมื่อเป็นดังนั้น เขาจึงหยุดคิดถึงยานทั้งสาม

มีความจริงอยู่ก็แต่เพียง ความจริง อย่างเดียวนั้น ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่ต้องรู้ หรือต้องลุถึง การพูดว่า “ข้าพเจ้าสามารถ รู้ ถึงสิ่งบางสิ่ง” หรือ “ข้าพเจ้าสามารถ ลุ ถึงสิ่งบางสิ่ง” นั้น คือการจัดตัวเองไปไว้ในระหว่างบรรดาคนผู้เป็นนักอวดโอ้ เหมือนพวกคนที่สะบัดฝุ่นที่เครื่องนุ่งห่มของเขา แล้วลุกไปจากที่ประชุม ดังที่มีกล่าวอยู่ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรนั่นแหละ คือคนพวกนั้นทีเดียว

เพราะเหตุดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้วเราตถาคตไม่ได้บรรลุถึงผลอะไร จากการตรัสรู้ของเรา” ดังนี้ มีอยู่ก็แต่ความเข้าใจซึมซาบอย่างเงียบกริบ และเร้นลับที่สุดเท่านั้น ไม่มีอะไรอีกแล้ว


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=254.0

  :090: ความว่าง = หยุดความคิดปรุงแต่ง แห่ง อายตนะ

1151
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2554, 07:15:14 »
๑๖. สัจจะธรรม

เมื่อวันหนึ่งค่ำเดือนเก้า ท่านครูบาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ...

นับตั้งแต่วันที่ท่านโพธิธรรมผู้ปรมาจารย์ ได้มาถึงประเทศจีนเป็นต้นมา ท่านได้พูดถึง จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น และได้ถ่ายทอด ธรรมหนึ่ง นี้ แต่อย่างเดียวเท่านั้น ท่านได้ใช้ พุทธะ (คือ จิตหนึ่ง ที่กล่าวแล้วนั่นเอง) นี้ ถ่ายทอด พุทธะ นี้ ไม่เคยกล่าวถึงพุทธะอื่นใดเลย ท่านได้ใช้ ธรรมะ นี้ ถ่ายทอด ธรรมะ นี้เท่านั้น ไม่เคยกล่าวถึงธรรมะอื่นใดเลย

ธรรมะ ที่กล่าวนั้นเป็น ธรรม ที่ไม่อาจจะบรรยายได้ด้วยคำพูด และ พุทธะ นั้น ก็เป็น พุทธะ ที่ไม่เห็นได้ด้วยตา หรือคลำได้ด้วยมือ เพราะว่าที่จริงนั้น สิ่งทั้งสองนั้นก็คือ จิตล้วน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง นั่นเอง นี่แหละ คือสัจจะ ซึ่งมีอยู่เพียงอย่างเดียว ข้ออื่นนอกไปจากนี้ เป็นสัจจะเทียม

ปรัชญา คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือ จิต-ต้นกำเนิด ดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป

 คนธรรมดาทั่วไป ไม่แสวงหา ทาง ทางโน้น เขาเหล่านั้นได้แต่ปล่อยตนไปตามอำนาจของอายตนะทั้งหก ซึ่งย่อมนำเขาวกกลับไปสู่การกำเนิดในคติทั้งหกไปตามเดิม นักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ก็ยังพลัดตกไปสู่พวกมารร้ายได้ โดยการยอมให้ตนเองเกิดมีความคิดอย่างสังสารวัฏขึ้นมา แม้เพียงครั้งเดียว ถ้าเขายอมให้ความคิดชนิดที่นำไปสู่ความสำคัญมั่นหมายมีประการต่าง ๆ เกิดขึ้นแก่เขาเองเพียงครั้งเดียว เขาก็ตกไปสู่ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ

การถือว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และพยายามขจัดความเป็นอย่างนั้นเสียนั้นก็จะทำให้ตกลงไปอยู่ในระหว่างบรรดาพวกสาวก(ยาน) การถือว่าสิ่งๆ ไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็อยู่ในวิสัยที่จะแตกทำลายไปนั้น ก็จะทำให้ตกลงไปอยู่ในระหว่างบรรดาพวกปัจเจกะ(ยาน)

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรทำลายไป จงเหวี่ยงคติทวินิยมไปเสียให้พ้น รวมทั้งความชอบและความไม่ชอบของเธอด้วย สิ่งที่มีอยู่จริง ๆ เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น เมื่อเธอเข้าถึงสิ่ง ๆ นี้ด้วยใจแล้ว เธอก็จะได้ขึ้นสู่ราชรถแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย(พุทธยาน)

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=253.0

 :090: จิตล้วน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง คือสัจจะ

1152
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2554, 07:00:45 »
๑๕. พุทธภาวะ

     มันต้องเป็นไปในทางที่จะขจัดเสียซึ่งความโลภ ความโกรธ และความไม่รู้เท่านั้น ด้วยความสำรวม ความสงบ และปัญญาตั้งอยู่ ถ้าไม่มีความหลงผิดแล้ว การตรัสรู้จะมีขึ้นได้อย่างไร ? ด้วยเหตุนั้นท่านโพธิธรรมจึงได้กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าได้ประกาศธรรมทั้งปวง โดยมั่งหวังที่จะขจัดเสียซึ่งลู่ทางทุก ๆ ชนิด แห่งความคิดปรุงแต่ง ถ้าฉันปราศจากคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงแล้ว ธรรมทั้งปวง จะมีประโยชน์อะไรแก่ฉัน” ดังนี้

    พวกเธอจงอย่าผูกพันตัวเองกับสิ่งใด นอกจากกับ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง สมมติว่านำพวกเธอเพชรพลอยจำนวนนับไม่ถ้วน ไปประดับเข้าที่ความว่าง จงคิดดูเถิดว่า มันจะติดอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ?

    ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ นั้น เป็นเหมือนกับความว่าง แม้เธอจะประดับมันด้วยบุญกุศลและปัญญา อันมากมายจนประมาณมิได้ ก็จงคิดดูเถิดว่า สิ่งเหล่านั้นจะติดอยู่ที่ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ นั้น ได้อย่างไร ? บุญและปัญญาชนิดนั้น ก็รังแต่จะปิดคลุมธรรมชาติดั้งเดิมของ พุทธภาวะ เสีย และทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ ไปเสียเท่านั้น

     ลัทธิที่มีชื่อว่า “ลัทธิแสดงมูลฐานของจิต” (อันปฏิบัติกันอยู่ในนิกายอื่นบางนิกาย)นั้น วางหลักคำสอนไว้ว่า สิ่งทุกสิ่งก่อตั้งขึ้นในจิตและว่าสิ่งเหล่านั้นแสดงตัวเองออกมาให้เห็นได้ ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสกันกับอารมณ์ภายนอก และไม่แสดงอะไรเลย เมื่ออารมณ์ภายนอกไม่มี แต่นี่มันผิดอยู่ตรงที่ไปคิดว่าสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น เป็นอีกสิ่งหนึ่งต่างหาก นอกไปจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของสิ่งทั้งปวง

    ลัทธิที่มีชื่อว่า “ลัทธิแว่นส่องสมาธิและปัญญา” (หมายถึงมหายานซึ่งมิใช่เซ็นอีกนิกายหนึ่ง) นั้น ต้องการประโยชน์ของการเห็นการฟัง การสัมผัส และความรู้ที่เกิดจากการกระทำเปล่านั้น ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่สภาวะแห่งความสงบ ซึ่งสลับกันอยู่กับความวุ่นวาย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวกันอยู่กับความคิดต่าง ๆ ซึ่งรากฐานอยู่ที่อารมณ์ต่าง ๆ ที่แวดล้อมมัน มันเป็นการกระทำอย่างขอไปที และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรากเหง้าแห่งกุศลชั้นต่ำ ๆ รากเหง้าของกุศลชั้นนี้ สามารถเพียงแต่ทำให้คนเขาได้ยินได้ฟังเท่านั้น

     ถ้าเธอต้องการเข้าถึงตัวความตรัสรู้ด้วยตัวเธอเองจริง ๆ เธอต้องไม่ปล่อยตัวไปตามความคิดเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เป็นประเภทเครื่องแวดล้อม ซึ่งเนื่องกันอยู่บนความมีอยู่ และความไม่มีอยู่ ถ้าเธอจะเพียงแต่ทำจิตให้ว่างจากความคิด เรื่องความมีอยู่และความไม่มีอยู่เกี่ยวกับทุก ๆ สิ่ง จริง ๆ ได้เท่านั้น เธอก็จะลุถึงธรรมตัวจริงได้

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=252.0

  :090: ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ นั้น เป็นเหมือนกับความว่าง

1153
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 11:34:39 »
๑๔. ธรรมกาย

ถ้าพวกเธอผู้ซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ประสงค์จะได้ความรู้นี้ เรื่องของสิ่งอันเร้นลับใหญ่หลวงนี้ พวกเธอก็เป็นเพียงแต่เว้นขาดจากการยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งทุกสิ่งเสีย เว้นแต่ จิต นั้นอย่างเดียว

การกล่าวว่า ธรรมกาย ที่แท้จริงของพุทธะ ย่อมเหมือนกับ ความว่าง นั้น เป็นวิธีกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ของการที่จะกล่าวว่า ธรรมกาย คือ ความว่าง หรือว่า ความว่าง คือ ธรรมกาย ก็ตาม

คนทั้งหลายมักจะอวดอ้างว่า ธรรมกาย มีอยู่ในความว่างและว่า ความว่าง บรรจุไว้ซึ่ง ธรรมกาย นี้เป็นเพราะเขาไม่รู้แจ้งเห็นจริงว่าสิ่งทั้งสองนั้นเป็นเพียงของสิ่งเดียว และเป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าพวกเธอให้คำจำกัดความลงไปว่า ความว่าง นั้น เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าเป็นดังนั้น ความว่าง นั้นก็ไม่ใช่ ธรรมกาย และถ้าพวกเธอให้คำจำกัดความลงไปว่า ธรรมกาย นั้น เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าเป็นดังนั้น ธรรมกาย นั้น ก็ไม่ใช่ ความว่าง

พวกเธอจงเพียงแต่ละเว้นเสียจากความคิด ที่เป็นไปในทางความมีตัวมีตน อันเกี่ยวกับ ความว่าง นั้นเสียเท่านั้น เพราะเมื่อเป็นดังนั้น นั่นแหละ คือ ธรรมกาย และถ้าพวกเธอเพียงแต่ละเว้นเสียจากความคิดที่เป็นไปในทางความมีตัวมีตนใด ๆ อันเกี่ยวกับ ธรรมกาย นั้น เสียเท่านั้นก็พอแล้ว ทำไมเล่า เพราะถ้าเป็นดังนั้น นั่นแหละ คือ ความว่าง

สิ่งทั้งสองนี้ ไม่แตกต่างจากกันและกันเลย หรือนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีความแตกต่างใด ๆ ในระหว่างสามัญสัตว์ทั้งปวง กับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือระหว่างสังสารวัฏ กับนิพพาน หรือระหว่างโมหะ กับ โพธิ เมื่อใดรูปบัญญัติเหล่านี้ ถูกเพิกถอนไปแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละ คือ พุทธะ

คนธรรมดาสามัญมองดูแต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา พร้อมกันนั้นพวกผู้ปฏิบัติฝ่าย ทาง ทางนี้ ก็มองดูไปยัง จิต แต่ ธรรม ที่แท้จริงนั้น คือ ไม่ใส่ใจมันเลยทั้งสองอย่าง

อย่างแรก ง่ายพอใช้ แต่อย่างหลังนั้น ยากมาก คนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่าตนไม่มีจิตของตน โดยกลัวว่าจะตกลงไปใน ความว่าง ซึ่งปราศจากที่เกาะที่ยึด ในการตกนั้น เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่า ความว่าง นั้น ไม่ได้เป็นความว่างอย่างที่พวกเขารู้กันอยู่ตามธรรมดา แต่เป็น “เมือง” แห่ง ธรรม อันแท้จริง

ธรรมชาติที่เป็นความรู้แจ้งทางฝ่ายจิตนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีการเริ่มต้น เป็นของเก่าเท่าความว่าง ไม่อยู่ใต้อำนาจของการเกิดหรือการทำลาย ไม่ตั้งอยู่ หรือไม่ได้ตั้งอยู่ ไม่ใช่ของมีมลทินหรือของบริสุทธิ์ ไม่อึกทึกครึกโครมหรือเงียบสงบ ไม่แก่ไม่หนุ่ม ไม่กินเนื้อที่ ไม่มีภายในไม่มีภายนอก ไม่ขนาด ไม่มีรูปร่าง ไม่มีทั้งสีหรือเสียง

สิ่งนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ หรือเป็นสิ่งที่ถูกแสวงหา ไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยปัญญา หรือความรู้ อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด สัมผัสไม่ได้อย่างวัตถุ หรือไม่อาจลุถึงได้ด้วยการประกอบบุญกุศลใด ๆ

พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ รวมทั้งสิ่งซึ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ทั้งหมด ย่อมมีส่วนใน ธรรมชาติของนิพพาน อันใหญ่หลวงนี้ทั้งนั้น ธรรมชาติที่กล่าวนี้ คือ จิต จิต ก็คือ พุทธะ และพุทธะ ก็คือ ธรรม

ความคิดใด ๆ ที่ออกไปนอกลู่นอกทาง ของความที่กล่าวนี้ ย่อมเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง พวกเธอไม่อาจจะใช้ จิต ให้แสวงหา จิต ใช้พุทธะ ให้แสวงหา พุทธะ หรือใช้ ธรรม ให้แสวงหา ธรรม

เพราะฉะนั้น พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นควร จะละเว้นขาดจากความคิดปรุงแต่งเสียทันที ขอให้เข้าใจอย่างเงียบเชียบอย่างเดียวก็เป็นพอ !

พฤติกรรมทางจิตไม่ว่าชนิดไหนหมด ย่อมนำเราไปสู่ความผิดพลาดทั้งนั้น มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ก็แต่เพียงการถ่ายทอด จิต ด้วย จิต เท่านั้น นี้คือทัศนะอย่างเดียวที่ต้องถือไว้

จงระวังอย่าให้เพ่งเล็งไปทางภายนอก ไปยังสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทางวัตถุ การเข้าใจผิดว่าสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทางวัตถุ มีอยู่เพื่อ จิต นั้น ก็เท่ากับไปเข้าใจโจร ว่าเป็นลูกของเธอ

http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=251.0
 
:090: จิต ก็คือ พุทธะ และพุทธะ ก็คือ ธรรม....ธรรมกาย คือ ความว่าง หรือว่า ความว่าง คือ ธรรมกาย

1154
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 11:22:24 »
๑๓. วิธีชั้นสุดยอด

พวกสาวก(ยาน) ลุถึงการตรัสรู้ โดยการฟังธรรม ดังนั้น เขาจึงถูกเรียกว่า สาวก พวกสาวกเหล่านั้น ไม่มีความเข้าใจอย่างทั่วถึงต่อจิตของตนเอง แต่ก็ได้ยอมให้ความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการฟังธรรมนั้น

ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้ยินถึงความมีอยู่ของ โพธิ และ นิพพาน โดยทางกำลังจิตที่เหนือธรรมชาติมนุษย์ก็ตาม หรือบังเอิญมีโชคดีก็ตาม หรือจากการได้ยินได้ฟังคำสอนก็ตาม เขาจะลุถึง ความเป็นพุทธะ ได้ ก็ต้องหลังจากเวลาอันยืดยาว ทั้ง ๓ กัปป์ล่วงไปแล้วเท่านั้น วิธีทั้ง ๓ นี้ เป็นวิธีของพวกสาวก(ยาน) ดังนั้นเขาจึงถูกขนานนามว่า สาวกพุทธะ

แต่การทำตัวเองให้ลืมตาโดยฉับพลันต่อความจริงที่ว่า จิต ของเธอนั่นแหละ คือ พุทธะ และว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุหรือไม่มีอะไรสักสิ่งเดียวที่จะต้องปฏิบัติ คือวิธีขั้นสุดยอด นี่คือวิธีที่จะทำให้เป็น พุทธะ ได้อย่างแท้จริง

สิ่งที่ควรกลัวมีอยู่แต่ว่า พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นเมื่อความคิดเกิดขึ้นแม้แต่เพียงอย่างเดียว ก็จะกลายเป็นว่า เธอได้สร้างสิ่งกีดขวางขึ้น ระหว่างเธอเองกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้ว

จากขณะจิตหนึ่งถึงขณะจิตหนึ่ง ก็ไม่มี (การก่อ) รูป (ของความคิดปรุงแต่ง) จากขณะจิตหนึ่งถึงขณะจิตหนึ่ง ก็ไม่มีการกระทำ (กรรม) นั่นแหละ คือวิธีที่จะเป็น พุทธะ ละ

ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ปรารถนาที่จะเป็น พุทธะ พวกเธอไม่ต้องศึกษาคำสอนใด ๆ หมด จงเรียนแต่เพียงว่าทำอย่างไร จึงจะเว้นขาดจากการแสวงหา หรือการผูกพันตัวเองต่อสิ่งทุกสิ่งเท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรถูกแสวงหา ข้อนี้หมายความว่า จิต ไม่เกิดเมื่อไม่มีการยึดมั่นถือมั่นอยู่ ข้อนี้หมายความว่า จิต ไม่ถูกทำลาย สิ่งซึ่งไม่เกิดและไม่ถูกทำลาย นั่นแหละ คือ พุทธะ

วิธีการตั้งแปดหมื่นสี่พันวิธี สำหรับต่อสู้กับสิ่งซึ่งเป็นมายาหลอกลวง จำนวดแปดหมื่นสี่พันอย่างนั้น เป็นเพียงคำพูดอย่างบุคคลาธิษฐาน เพื่อชวนคนให้มาสู่ ประตู นี้เท่านั้น

ตามที่จริงแล้ว ไม่มีสักอย่างเดียว ที่มีอยู่จริง การสลัดสิ่งทุก ๆ สิ่งออกไปเสีย นั่นแหละ คือ ตัวธรรม ผู้ซึ่งเข้าใจความจริง ข้อนี้นั่นแหละ คือ พุทธะ แต่การสลัดสิ่งที่เป็นมายา ทุกสิ่ง ออกไปเสียนั้น ต้องไม่เหลือธรรมะอะไร ๆ ไว้ให้ยึดถือกันอีกจริง ๆ


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=250.0

 :090: จิต ไม่มี รูป ไม่มี กรรม

1155
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 11:12:58 »
๑๒. การแบ่งแยก

     ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ย่อมมีการกินอย่างมีกิเลสตัณหา และการกินอย่างมีสติปัญญา เมื่อร่างกายซึ่งประกอบอยู่ด้วยธาตุทั้งสี่ กระวนกระวายอยู่เพราะการบีบคั้นของความหิว และเธอต้องให้อาหารแก่มัน ถ้าปราศจากการละโมบ ก็เรียกว่าเป็นการกินอย่างมีสติปัญญา

ในทำนองที่ตรงกันข้าม ถ้าเธอมีความยินดีอยากตะกละในอาหารที่มีความสะอาดและรสอร่อย ก็ชื่อว่าเธอยอมให้มีการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายอันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากความเข้าใจผิดขึ้นมาแล้ว การที่เพียงแต่มุ่งจะปรนเปรออวัยวะทางรส โดยปราศจาการรู้แจ้งว่า เมื่อไรหรือเพียงไหน เป็นการบริโภคที่เพียงพอแล้วนั่นแหละ คือการบริโภคอย่างมีกิเลสตัณหา


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=249.0

 :090: การบริโภคอย่างมีกิเลสตัณหา vs การกินอย่างมีสติปัญญา

1156
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 11:06:28 »
๑๑. ตัวตน

นักศึกษา ทาง ทางโน้น ควรจะแน่แก่ใจว่า ธาตุทั้งสี่ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดมี “ตัวตน” ขึ้นมาได้และ “ตัวตน” ก็มิใช่เป็นความมีอยู่จริง และเพราะว่ามันว่างจากข้อเท็จจริงอันนี้เองทำให้ลงสันนิษฐานได้ว่า ร่างกายนั้น ไม่ใช่ทั้ง “ตัวตน” ไม่ใช่ทั้งความมีอยู่จริง

ยิ่งไปกว่านั้นอีก ส่วนประกอบ ๕ ส่วน ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็น จิต (ตามที่รู้กันอยู่ทั่วไป) ก็ไม่ก่อให้เกิด “ตัวตน” หรือความมีอยู่จริงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น จึงสันนิษฐานลงไปได้ว่า จิต (ซึ่งเรียกกันว่าตัวตน) นั้น ไม่ได้เป็นทั้ง “ตัวตน” หรือทั้งความมีอยู่จริง

อวัยวะแห่งอายตนะทั้งหก (รวมสมองอยู่ด้วย) พร้อมทั้งสัญญา ๖ อย่าง และอารมณ์ ๖ ชนิด ของสัญญานั้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดโลกทางอายตนะขึ้นมานี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการทำความเข้าใจในทำนองเดียวกันกับที่กล่าวนั้น

สิ่งทั้ง ๑๘ สิ่ง ซึ่งเนื่องด้วยอายตนะดังที่กล่าวแล้วนั้นจะโดยแยกกันหรือรวมกันก็ตาม ย่อมเป็นของว่าง มันมีอยู่แต่ จิต-ต้นกำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดในทุกทิศทุกทาง และประกอบด้วยความไม่มีอะไรเจือปนอย่างเด็ดขาด


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=248.0

 :090: จิต ไม่ได้เป็นทั้ง “ตัวตน” หรือทั้งความมีอยู่จริง

1157
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 10:54:32 »
ต่อจากตอนที่ 1/4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23213
=========================

๑๐. การแสวงหา

เมื่อชาวโลกได้ฟังคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงถ่ายทอด ธรรม คือ จิต, เขาก็พากันเหมาเอาว่า มีอะไรบางสิ่ง ซึ่งจะต้องลุถึงหรือเห็นแจ้งต่างหากไปจาก จิต และเพราะเหตุนั้น เขาจึงใช้ จิต เพื่อการแสวงหา ธรรม โดยไม่รู้เลยว่า จิต และ ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพากันแสวงหานั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน

จิต ไม่ใช่สิ่งซึ่งอาจนำไปใช้แสวงหาสิ่งอื่น นอกจาก จิต เพราะ ถ้าทำดังนั้น แม้เวลาล่วงไปแล้ว เป็นล้าน ๆ กัปป์ วันแห่งความสำเร็จก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นอยู่นั่นเอง, การทำตามวิธีนั้นไม่สามารถจะนำมาเปรียบกันได้กับวิธีแห่งการขจัดความคิดปรุงแต่งโดยฉับพลัน ซึ่งนั่นแหละคือตัว ธรรม อันเป็นหลักมูลฐาน.

เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น นักรบคนนั้นก็จะเกิดความรู้แจ้งขึ้นในทันทีทันใดนั้น ว่าไข่มุกได้อยู่ที่นั่นแล้วตลอดเวลา.

ข้อนี้ฉันใด เรื่องของพวกเธอก็เป็นฉันนั้น คือถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น กำลังสำคัญผิดเกี่ยวกับ จิต จริงแท้ของตัวเอง คือจับฉวยความจริงไม่ได้ว่า จิต นั่นแหละ คือ พุทธะ ดังนี้แล้ว พวกเธอก็จะต้องเที่ยวแสวงหาพุทธะนั้น ไปในที่ทุกหนทุกแห่ง เฝ้าสาละวนอยู่แต่กับการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติ และการเก็บเกี่ยวผลของการปฏิบัติ มีประการต่าง ๆ มัวหวังอยู่แต่การที่จะลุถึงซึ่งความรู้แจ้ง โดยการปฏิบัติที่ค่อยๆ คือ ค่อยๆ คลาน ไปด้วยอาการเช่นนี้เท่านั้น. แต่แม้ว่าจะได้แสวงหา ด้วยความขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ พวกเธอก็ไม่สามารถลุถึงทาง ทางโน้นได้เลย

วิธีการอย่างนี้ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้กับวิธีการชนิดฉับพลัน กล่าวคือการขจัดความคิดปรุงแต่ง โดยอาศัยความรู้อันเด็ดขาด ว่าไม่มีอะไรเลย ที่จะตั้งอยู่อย่างไม่ต้องแปรผัน ไม่มีอะไรเลยที่ควรจะเข้าไปอยู่อาศัย ไม่มีอะไรเลย ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ.

มันต้องทำโดยการป้องกัน ไม่ให้ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นมาได้เท่านั้น ที่พวกเธอจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงต่อ โพธิ, และเมื่อเธอทำได้ ดังนั้น เธอก็จะเห็นแจ้งต่อ พุทธะ ซึ่งมีอยู่ใน จิต ของเธอเองตลอดเวลาได้จริง!

ความดิ้นรนตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ เหล่านั้น จะพิสูจน์ตัวมันเองให้เห็นว่า เป็นความพากเพียรที่เสียแรงเปล่า อย่างมหึมา, เปรียบเหมือนกับเมื่อนักรบผู้นั้นได้พลไข่มุกของเขาแล้ว เขาก็เพียงแต่ค้นพบสิ่งซึ่งแขวนอยู่ที่หน้าผากของเขาเองมาตลอดเวลาแล้วเท่านั้น, และเหมือนกับการพลไข่มุกของเขานั่นเอง ที่แท้ก็ไม่มีอะรที่ต้องทำเกี่ยวกับความเพียรของเขา ที่ไปเที่ยวค้นหามันทุกหนทุกแห่ง. เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้ว เราตถาคต ไม่ได้ลุถึงผลอะไร จากการตรัสรู้ที่สมบูรณ และที่ไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า.”

โดยทรงเกรงว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำตรัสข้อนี้ พระองค์จึงทรงดึงความสนใจมายังสิ่งซึ่งมนุษย์เห็นได้ โดยการเห็น ๕ วิธี และสิ่งซึ่งมนุษย์พูดกันอยู่แล้ว ด้วยการพูด ๕ วิธีดุจกัน. ดังนั้น คำกล่าวนี้จึงมิใช่คำพูดพล่อย ๆ แต่ประการใดเลย แต่ได้แสดงถึงสัจจะอันสูงสุดทีเดียว.

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=247.0

 :090: ธรรม คือ จิต จิต คือ พุทธ ไม่ต้องปรุงแต่ง = ว่าง

1158
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 10:40:56 »
สรุป 1-9

พุทธะ อยู่ในตัวตนของทุกท่าน
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสัจจะพื้นฐานในทุก ๆ กรณี
จิต เป็นเหมือนความว่าง
ว่างและไม่เคลื่อนไหว
ธรรมชาติไร้ตำหนิ
ปลดเปลื้องตัวเองจากความคิดปรุงแต่ง
จิต นั้น คือ พุทธโยนิอันบริสุทธิ์ ที่มีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
ความว่าง, เป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ
ขจัดความคิดปรุงแต่ง เพราะ สิ่งทุกสิ่งย่อมมีอยู่เองตามปกติ

 :090:จิต คือ พุทธะ สัจจะมีอยู่ทุกตัวตน เป็นความว่างตามธรรมชาติ ที่มีความสุข

1159
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 10:13:57 »
๙. ขอบวงของพุทธะ

     จิต ล้วนๆ นี้ ซึ่งเป็นที่กำเนิดของสิ่งทุกสิ่ง ย่อมส่องแสงอยู่ตลอดกาล และส่องความสว่างจ้าแห่งความสมบูรณ์ของมันเองลงบนสิ่งทั้งปวง, แต่ชาวโลกไม่ประสีประสาลืมตาต่อมัน ไปมัวเข้าใจเอาแต่สิ่งซึ่งทำหน้าที่ดู ทำหน้าที่ฟัง ทำหน้าที่รู้สึก และทำหน้าที่คิดนึก ว่าแหละคือ จิต. เขาเหล่านั้นถูกการดู การฟัง การรู้สึก และการคิดนึกของเขาเอง ทำเขาให้ตาบอด เขาจึงไม่รู้สึกต่อแสงอันสว่างจ้าของสิ่งซึ่งเป็นต้นกำเนิดทางฝ่ายจิต.

     ถ้าเขาเหล่านั้น จะเพียงแต่ได้ขจัด ความคิดปรุงแต่ง เสียชั่วแว็บเดียวเท่านั้น สิ่งซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงดังที่ได้กล่าวนั้น จะแสดงตัวมันเองออกมาทันที เหมือนดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางที่ว่างและส่องสว่างทั่วจักรวาล โดยปราศจากสิ่งบดบังและขอบเขต.

     เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นมุ่งทำความก้าวหน้าโดยการดู การฟัง การรู้สึก และการคิดนึกอยู่ เมื่อถูกหลอกโดยสัญญาต่างๆ ของเธอเองเสียแล้ว ทางที่เธอจะเดินตรงไปยัง จิต โน้น ก็จะถูกตัดขาดออก และเธอก็จะหาทางเข้าไม่พบ.

     พวกเธอจงเพียงแต่มองให้เห็นชัดว่า แม้ จิต จริงแท้นั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวรวมอยู่กับสัญญาเหล่านี้ก็ตาม มันก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นส่วนประกอบของสัญญาเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้แยกออกไปต่างหากจากสัญญาเหล่านี้.

      เธอไม่ควรตั้งต้นการใช้เหตุผลไปจากสัญญาเหล่านี้ หรือยอมให้มันก่อความคิดปรุงแต่งขึ้นมา, แม้กระนั้น เธอก็ไม่ควรแสวงหา จิตหนึ่ง นั้น ในที่ต่างหากไปจากสัญญาเหล่านั้น หรือละทิ้งสัญญาเหล่านั้นเสีย ในการคิดค้น ธรรม นั้นของเธอ. พวกเธออย่าเก็บมันไว้และอย่าทิ้งมันเสีย หรือพวกเธออย่าอยู่ในมัน และอย่าแยกไปจากมัน. เบื้องบนก็ตาม เบื้องล่างก็ตาม และรอบๆ ตัวเธอก็ตาม สิ่งทุกสิ่งย่อมมีอยู่เองตามปกติ เพราะว่าไม่มีที่ไหนที่อยู่ภายนอกขอบวงของ พุทธะ หรือ จิต นั้น.


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=246.0

 :090: ขจัดความคิดปรุงแต่ง เพราะ สิ่งทุกสิ่งย่อมมีอยู่เองตามปกติ

1160
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 10:03:23 »
๘. ความฝันอันไร้ตัวตน

      ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว. สิ่ง นี้ เป็น ความว่าง, เป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ, และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง. จงเข้าไปสู่สิ่งนี้ให้ลึกซึ้งโดยการลืมตาต่อมันด้วยตัวเองเถิด.

      สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเธอนั่นแหละ คือ สิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว. ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว. ถึงแม้เธอได้ก้าวไปจนถึง ความเป็นพุทธะ โดยผ่านทางภูมิทั้งสิบ แห่งความก้าวหน้าของพระโพธิสัตว์ ทีละขั้นๆ ไปตามลำดับ จนกระทั่งวาระสุดท้าย และเธอได้ลุถึงความรู้แจ้งเต็มที่โดยแว็บเดียวก็ตาม, เธอก็จะเพียงแต่ได้เห็นแจ้ง ซึ่ง ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อันนั้น ซึ่งที่แท้ก็ได้มีอยู่ในตัวเธอเองแล้วตลอดเวลา. การปฏิบัติก้าวหน้าตามลำดับดังกล่าวแล้วทั้งหมด ของเธอนั้น ก็หาได้เป็นการเพิ่มอะไรให้แก่ สิ่ง สิ่งนี้ไม่เลย แม้แต่หน่อยเดียว.

      ในที่สุด เธอก็จะมองเห็นว่า การบำเพ็ญบุญและผลที่เธอจะได้รับมาตลอดเวลาเป็นกัปป์ๆ นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระทำในความฝันอันไร้ตัวจริง. นั่นแหละ คือข้อที่ว่า ทำไมพระตถาคตจังตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้ว เราตถาคตไม่ได้ลุถึงอะไรจากการตรัสรู้ที่สมบูรณ์และไม่มีอะไรยิ่งกว่า. ถ้ามีอะไรลุถึงแล้ว พระพุทธเจ้าทีปังกรก็จะไม่ทรงทำการพยากรณ์เกี่ยวกับเรา” ดังนี้.

      พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ธรรมสภาวะ นี้เป็นสิ่งซึ่งไม่มีทางที่จะถูกแยกเป็นฝักฝ่ายโดยเด็ดขาด เช่น ไม่เป็นของสูงหรือของต่ำและมันมีชื่อว่า โพธิ” สิ่ง นี้ คือจิตล้วนๆ ที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. มันเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดของทุกๆ สิ่ง. และไม่ว่าจะปรากฏออกมาเป็นแม่น้ำและภูเขาในโลก ซึ่งมีรูปร่าง หรือเป็นสิ่งอื่นที่ไม่มีรูปร่าง หรือเป็นสิ่งที่ซึมแทรกอยู่ทั่วสากลโลกก็ตาม มันก็ยังเป็นสิ่งซึ่งไม่มีทางที่จะถูกแยกเป็นฝักฝ่ายโดยเด็ดขาดอยู่นั้นเอง, ไม่มีทางที่จะเกิดสมญานามต่างๆ เช่น สมญาว่า “ตัวเอง” หรือ “ผู้อื่น” ขึ้นมาได้เลย


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=245.0

:090:  ความว่าง, เป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ

1161
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 09:57:21 »
๗. หลักธรรม

     การสร้างสมความดีและความชั่ว ทั้งสองอย่างนี้ เนื่องมาจากความยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรม. ผู้ที่ยึดมั่นในรูปธรรม ซึ่งทำความชั่วจะต้องทนรับการเกิดแล้วเกิดอีก ด้วยประการต่างๆ อย่างไม่จำเป็น. ส่วนผู้ที่ยึดมั่นในรูปธรรม ซึ่งทำความดี ก็ทำตัวเองให้ตกลงไปเป็นทาสของความพยายาม มันจะเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ขาดแคลนอยู่เสมอโดยเท่าเทียมกัน อย่างไม่มีที่มุ่งหมาย. ในทั้งสองกรณีนั้นมันจะเป็นการดีเสียกว่า ถ้าหากว่าเขาจะทำให้เกิดความเห็นแจ้งในตนเองอย่างฉับพลัน และในการที่จะยึด หลักธรรม อันเป็นหลักมูลฐานของสัตว์ทั้งหลาย ดังที่กล่าวแล้ว.

      หลักธรรม ที่กล่าวนี้ ก็คือ จิต ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย, และ จิต นี่แหละ คือ หลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่มีจิต. จิต นั้น โดยตัวมันเอง ก็ไม่ใช่จิต, แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมิใช่จิต. การที่กล่าวว่า จิต นั้นมิใช่จิตดังนี้นั่นแหละย่อมหมายถึงสิ่งบางสิ่ง ซึ่งมีอยู่จริง. ขอให้มีความเข้าใจอย่างนิ่งเงียบเถิด! ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.

      จงละเลิกความคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น. เมื่อนั้นเราอาจจะกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติการณ์ของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว.

จิต นั้น คือ พุทธโยนิอันบริสุทธิ์ ที่มีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน. สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดกระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี, และพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี. ล้วนแต่เป็นของสิ่งหนึ่งแห่ง ธรรมชาติ อันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย. ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากความคิดผิดๆ เท่านั้น และย่อมนำไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิด ไม่มีหยุด.

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=244.0

 :090: จิต นั้น คือ พุทธโยนิอันบริสุทธิ์ ที่มีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน

1162
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 09:46:34 »
๖. ปลดเปลื้อง

จิต นี้ มิใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวง จึงไม่แตกต่างกันเลย ถ้าพวกเธอเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกมาเสียจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเธอจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง

แต่ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นไม่ปลดเปลื้องตัวเองจากความคิดปรุงแต่งเสียให้ได้ฉับพลันแล้ว แม้จะเพียรพยายามอยู่กัปป์แล้วกัปป์เล่า เธอก็จะไม่ประสบความสำเร็จ นั้นเลย ถ้าพวกเธอถูกผูกพันอยู่กับการปฏิบัติเพื่อหวังบุญต่าง ๆ ตามแบบของยานทั้งสาม อยู่ดังนี้ เธอจะไม่สามารถลุถึงความรู้แจ้งเลย

อย่างไรก็ดี การรู้แจ้งแทงตลอดต่อ จิตหนึ่ง นี้อาจจะมีได้ทั้งจากการปฏิบัติซึ่งกินเวลาน้อยหรือกินเวลานาน มีอยู่หลายคนที่เมื่อได้ฟังคำสอนนี้แล้ว สามารถปลดเปลื้องความคิดปรุงแต่งออกจากตนได้โดยแว็บเดียว แต่ก็ยังมีพวกอื่น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างนี้โดยการปฏิบัติตามหลักแห่งศรัทธา ๑๐ ภูมิ ๑๐ กรรมบถ ๑๐ และบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และยังมีพวกอื่นอีก ซึ่งประสบความสำเร็จหลังจากการปฏิบัติตามหลักแห่งภูมิ ๑๐ ในความก้าวหน้าของพระโพธิสัตว์ แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่เหนือความคิดปรุงแต่งเหล่านั้นได้ด้วยทางที่ยาวหรือสั้นก็ตาม ผลที่ลุถึงก็มีแต่สิ่งเดียว คือภาวะแห่ง สภาวะ อย่างหนึ่งเท่านั้น ที่แท้ไม่มีการบำเพ็ญบุญและการทำให้เห็นแจ้งอะไรที่ต้องทำ คำพูดทีว่า ไม่มีอะไรที่ต้องลุถึงนั้น มันไม่ใช่คำพูดพล่อย ๆ แต่เป็นความจริง

ยิ่งกว่านั้นไปอีก ไม่ว่าเธอจะประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายของเธอ ได้ด้วยเวลาชั่วความรู้สึกแว็บเดียว หรือตลอดเวลาอันยาวนานแห่งการบำเพ็ญตามหลักแห่งภูมิทั้งสิบของความก้าวหน้าของพระโพธิสัตว์ก็ตาม ผลที่ได้รับก็จะเป็นอย่างเดียวกัน เพราภาวะแห่ง สภาวะอันนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่มีอันดับลดหลั่น เพราะฉะนั้นวิธีอย่างหลัง จึงเป็นวิธีที่ทำให้เสียเวลาเป็นกัปป์ ๆ ด้วยต้องทนทุกข์และพากเพียรเปล่า ๆ โดยไม่จำเป็น


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=243.0

 :090: ปลดเปลื้องตัวเองจากความคิดปรุงแต่ง

1163
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 06:33:20 »
๕. ชื่ออันไร้ตำหนิ

พระโพธิสัตว์มัญชุศรี เป็นตัวแทนกฎแห่งธรรมที่เป็นมูลฐานของสัตว์ และพระโพธิสัตว์สมันตภัทร เป็นตัวแทนกฎแห่งกรรม สิ่งแรกหมายถึงกฎแห่งความว่าอันแท้จริง และไม่ถูกจำกัดขอบเขต และสิ่งหลังหมายถึงการเคลื่อนไหวที่ไม่รู้จักหมดกำลัง ซึ่งอยู่ภายนอกวงเขตของรูปธรรม

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นตัวแทนของความเมตตากรุณาอันไม่มีสิ้นสุด พระโพธิสัตว์ มหาสถามะ เป็นตัวแทนของปัญญาอันยิ่งใหญ่ และวิมลกีรติ เป็นตัวแทนของชื่ออันไร้ตำหนิ คำว่าไร้ตำหนิ เล็งถึงธรรมชาติอันแท้จริงของสิ่งทั้งปวง ในเมื่อคำว่า ชื่อ เล็งถึงรูปร่าง ถึงกระนั้น รูปโดยแท้จริงก็ยังเป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมชาติที่แท้จริง ดังนั้นจึงเกิดมีคำรวมว่า “ชื่ออันไร้ตำหนิ” ดังนี้

คุณสมบัติทั้งหลายนี้ ซึ่งถูกทำเป็นบุคคลาธิษฐาน ว่าเป็นโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อนั้นชื่อนี้ขึ้นมาเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งมีประจำอยู่ในคนเรา และก็ไม่แยกออกไปต่างหากจาก จิตหนึ่ง ที่กล่าวแล้ว จงลืมตาดูมันเถิด มันอยู่ที่ตรงนั้นเอง พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น เมื่อไม่ลืมตาต่อสิ่ง ๆ นี้ ซึ่งมีอยู่ในใจของเธอเองแล้ว และยึดมั่นถือมั่นต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ หรือแสวงหาสิ่งบางสิ่งฝ่ายรูปธรรมจากภายนอกใจของเธอเอง อยู่ดังนี้แล้ว ย่อมเท่ากับหันหลังให้ต่อทาง ทางโน้นด้วยกันทุกคน

เม็ดทรายแห่งแม่น้ำคงคานั้นน่ะหรือ ? พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงทรายเหล่านี้ว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระโพธิสัตว์ทั้งปวงทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งพระอินทร์และเทพเจ้าทั้งหมด พากันเดินไปบนทรายนั้น ทรายเหล่านั้นก็ไม่มีความยินดีปรีดาอะไร และถ้าโค แกะ สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงต่าง ๆ ทั้งหลาย จะพากันเหยียบย่ำ เลื้อยคลานไปบนมัน ทรายนั้นก็ไม่รู้สึกโกรธ สำหรับเพชรนิลจินดาและเครื่องหอม ทรายนั้นก็ไม่มีความปรารถนา และสำหรับความปฏิกูลของคูถและมูตรอันมีกลิ่นเหม็น ทรายนั้นก็ไม่มีความรังเกียจ”

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=242.0
 :090: ธรรมชาติไร้ตำหนิ

1164
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 06:21:30 »
๔. เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุด

การถวายทานใดๆ ต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ไม่เท่ากับการถวายทานต่อผู้ที่ดำเนินการตาม ทาง ทางโน้น แม้เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นผู้กำจัดความคิดปรุงแต่งเสียได้แล้ว เพราะเหตุใดเล่า ? เพราะบุคคลประเภทนั้น ย่อมไม่ก่อความคิดในรูปใดๆ ทั้งสิ้น

เนื้อแท้แห่ง สิ่งสูงสุด สิ่งนั้น โดยภายในแล้ว ย่อมเหมือนกับไม้หรือหิน คือ ภายในนั้นปราศจากความเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนความว่าง กล่าวคือปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใด ๆ สิ่งนี้มิใช่เป็นฝ่ายนามธรรม (หรอฝ่ายกรรตุการก) หรือฝ่ายรูปธรรม (หรือฝ่ายกรรมการก) มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้
 
ผู้ที่รีบจะไปให้ถึง ก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวว่าจะพุ่งลงไปสู่ที่ว่าง โดยไม่มีสิ่งใดจะให้เกาะ หรือให้อาศัยไม่ให้ตก เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาจึงดูอยู่แต่ที่ขอบ และถอยออกมา ข้อนี้ เล็งถึงพวกแสวงหาความหลุดพ้นโดยการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น พวกที่แสวงหาความหลุดพ้นโดยการเรียนรู้จึงมีมากเหมือนขนสัตว์ และพวกที่ได้ประสบความรู้แห่งทาง ทางโน้นด้วยใจตนเอง มีน้อยเหมือนเขาสัตว์

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=241.0

 :090: ว่างและไม่เคลื่อนไหว

1165
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 06:16:02 »
๓. ความว่าง

จิต เป็นเหมือนความว่าง ซึ่งภายในนั้น ย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น ก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณของความสว่างและความมืด ย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง

จิต ของ พุทธะ และของสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเธอมองดู พุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ผ่องใสและรู้แจ้ง ก็ดี หรือมองดูสัตว์โลกทั้งหลาย ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น อันเป็นผลเกิดมาจากความยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเธอไว้เสีย จากความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเธอจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม
 
มีแต่ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น และไม่มีสิ่งอื่นใด แม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะว่า จิต นั่นเอง คือ พุทธะ ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่องทาง ทาง ทางโน้น ยังไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิต นี้ พวกเธอจะต้องปิดบัง จิต นั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเธอเอง พวกเธอจะเที่ยวแสวงหาพุทธะนอกตัวเธอเอง และพวกเธอจะยังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่าง ๆ และสิ่งอื่น ๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้ เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้น แต่อย่างใดเลย

 
ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=240.0
 :090: จิต เป็นเหมือนความว่าง

1166
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 06:09:49 »
๒. ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร

สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้าย ๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด ถ้าเมื่อเธอเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสัจจะพื้นฐานในทุก ๆ กรณีอยู่แล้ว (คือเป็น จิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว) เธอก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้น มิใช่หรือ เมื่อไรโอกาสอำนวยให้ทำ ก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉย ๆ ก็แล้วกัน

ถ้าเธอยังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้น คือ พุทธะ ก็ดี และถ้าเธอยังยึดมั่นถือมั่น ต่อรูปธรรมต่าง ๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อยู่ก็ดี และต่อพิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่าง ๆ อยู่ก็ดี แนวความคิดของเธอก็ยังผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกับทาง ทางโน้นเสียเลย

จิตหนึ่ง นั่นแหละ คือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใด ๆ เลย การใช้จิตจองเธอให้ปรุงความคิดฝันไปต่าง ๆ นั้น เท่ากับเธอละทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองกับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก

พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้นไม่ใช่พุทธะทางรูปธรรมหรือพุทธะของความยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะได้เป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าไปทีละขั้น ๆ แต่พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้น ๆ เช่นนั้นไม่

เรื่องมันเพียงแต่ตื่น และลืมตาต่อ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละ คือ พุทธะ ที่แท้จริง พุทธะ และสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย

http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=239.0

 :090:เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสัจจะพื้นฐานในทุก ๆ กรณี

1167
ธรรมะ / ตอบ: คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 05:57:47 »
บันทึกชึนเชา

๑. จิตหนึ่ง


ท่านครูบาได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า :
 
พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง (One mind) นอกจากจิตหนึ่ง นี้แล้ว มิได้ มีอะไรตั้งอยู่เลย
 
จิตหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่ของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ มันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ มันไม่อาจจะถูกลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า มันไม่ใช่ของยาว ของสั้น ของใหญ่ ของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น
 
จิตหนึ่ง นี้ เป็นสิ่งที่เธอเห็นว่าตำตาเธออยู่แท้ ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เธอจักหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้เป็นเหมือนกับความว่างอันปราศจากขอบทุก ๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจหยั่งหรือวัดได้
 
จิตหนึ่งนี้เท่านั้น เป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่าง พุทธะ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่าง ๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น จึงได้แสงหา พุทธะภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้น นั่นเอง ทำให้เขาพลาดจาก พุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็น พุทธะ ให้เที่ยวแสวงหา พุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวย จิต แม้เขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็ม ๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงมันได้เลย เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้ ก็คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ ก็คือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่ง ๆ นี้เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวง ก็หาไม่


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=238.0

:090: พุทธะ อยู่ในตัวตนของทุกท่าน

1168
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 05:48:38 »
มีกระทู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 กระทู้ คือ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1790.msg
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22729.msg
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23210
-----------------------------------------


คำสอนของฮวงโป
 
 พุทธทาสภิกขุ แปลเรียบเรียง

 พิมพ์ครั้งที่ - พ.ศ.- ธรรมสภาจัดพิมพ์
 ๑๓๕ หน้า ปกอ่อน
 
 คำสอนของฮวงโปนี้ เรียกในภาษาจีนว่า "ฮวงโป ฉวน สิ่น ฟา หยาว" มร. John Bolfeld แปลออกเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่า The Zen Teaching of Huang Po
 
 พวกเราเห็นว่าควรแปลออกสู่ภาษาไทย จึงทำให้เกิดหนังสือเล่มที่ท่านถืออยู่นี้
 ผู้ที่เคยอ่านหนังสือเว่ยหล่างมาก่อนแล้ว พึงทราบว่า ฮวงโป เป็นหลานศิษย์ของเว่ยหล่าง
 
 กล่าวคือ เมื่อเว่ยหล่าง สังฆปริณายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกายเซ็น ได้รับการถ่ายทอดธรรมโดยตรง ชนิดที่เรียกว่า จากจิตถึงจิต จากพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ แล้ว
 
 นิกายเซ็นก็แตกออกเป็น ๒ สาย สายเหนือนำโดย ชินเชา คู่แข่งของเว่ยหล่าง สอนวิธีปฏิบัติการตรัสรู้อย่างเชื่องช้าคือ ค่อยเป็นค่อยไป เจริญรุ่งเรืองอยู่พักหนึ่งโดยราชูปถัมภ์ของพระจักรพรรดิ ตั้งอยู่ไม่นานก็เงียบหายไป ส่วนสายใต้ คือสายของเว่ยหล่าง สอนวิธีการปฏิบัติที่เป็นการตรัสรู้ฉับพลัน (จนได้นามว่า Sudden School) ได้เจริญรุ่งเรืองและขยายตัวออกมาจนแตกเป็นนิกายย่อยๆลงไป
 
 ศิษย์คนที่สำคัญองค์หนึ่งของเว่ยหล่างมีนามว่า มา ตสุ (ตาย อาย) ถึงแก่มรณภาพเมื่อ ค.ศ.๗๘๘ สำหรับฮวงโปนี้ ถือกันว่าเป็นศิษย์ช่วงที่หนึ่งหรือช่วงที่สอง ต่อจากท่าน มา ตสุ เป็นสองอย่างอยู่ และกล่าวกันว่าถึงแก่มรณภาพในปี ค.ศ.๘๕๐ ท่านได้ถ่ายทอดคำสอนนิกายนี้ให้แก่ อาย สื่น ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิกายหลินฉิ หรือที่เรียกอย่างญี่ปุ่นว่า รินซาย อันเป็นนิกายที่ยังคงมีอยู่ในประเทศจีน และแพร่หลายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยเหตุนี้ ฮวงโป จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อกำเนิดพุทธศาสนานิกายนี้

 
ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=417.0

1169
ท่านพุทธทาสจะชอบพูดว่า "การศึกษา ศึกษาเพื่อให้พ้นทุกข์ สิ่งที่ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ก็ไม่ศึกษา" ในด้านมหายานนี้ท่านให้ความสนใจเซ็นในแง่นี้หรือเปล่า

         ขอโทษ มหายานทั้งหมด ท่านดูถูกเลย แต่เซ็นนี่ท่านสนใจ เพราะเซ็นเข้ากับเถรวาทได้ โดยเฉพาะเรื่อง "สุญญตา" ของเราก็มีในหลักสูตรนักธรรมโท "วิโมกข์สาม" แต่ไม่มีอาจารย์สอนขยายความ ตอนที่คนโจมตีท่านพุทธทาสว่า สุญญตาไม่มีในพระไตรปิฎก เจ้าคุณนรฯ (เจ้าคุณนรรัตน์) บอกเลยว่า "ผิด เจ้าคุณฯ (หมายถึง ท่านพุทธทาส) ถูก" คือ มีวิโมกข์สามอยู่ เพียงแต่ไม่มีคนอธิบายเอง รุ่นก่อนก็ไม่มีคนอธิบาย เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์เป็นคนยืนยันว่ามี หาคนสอนไม่ได้ สุญญตาจึงขาดตอน เจ้าคุณฯ (ท่านพุทธทาส) พูดถูกแล้ว

          เซ็นเป็นสายสุญญตาโดยเฉพาะ เฉพาะ มหาสุญญตาสูตร นี้ เจ้าคุณฯ หลงเลย ฉันเคยฟังสรุปย่อๆ มาตอนอายุ ๑๔ ครั้งหนึ่ง หลังๆ อายุเกือบสามสิบ เคยฟังพระจีนสวด ๒-๓ ครั้ง เป็นปัญญาวิมุติล้วน แทบจะไม่มีเรื่องอภินิหาร (ขอโทษ) เรื่องงมงายแทบไม่มี สติปัฏฐานสี่ มรรคแปด โพธิปักขิยธรรม อยู่ในนั้นครบ

          ที่ถูกใจท่านพุทธทาสมากที่สุดคือ มหาสติปัฏฐานสี่ของไทยเรามี กาย เวทนา จิต ธรรม เขาบอกว่า พิจารณาเห็นกายในกาย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ครบ แต่ไทยเน้นแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตาแทบไม่เคยได้พูด ยกเว้นแต่ที่เจ้าคุณพุทธทาส ยกมา ท่านเป็นคนบุกเบิกสุญญตา อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เราได้ยินกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตามหลักเซ็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และสุดท้ายเป็นสุญญตา สามอย่างแรกแปลเหมือนกันคือ อนิจจังแปลว่าไม่ เที่ยง ทุกขังคือทนอยู่ไม่ได้ แต่เซ็นเติมไปอีกนิดว่า "ยึดมั่นเป็นทุกข์" ไทยไม่พูดคำนี้ ใช้แต่ว่า "ทนอยู่ไม่ได้" แล้วอนัตตา "ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีตัวตน" แปลความหมายตรงกันทั้งสามคำ แต่เซ็นเติมว่า ถ้าเอา มหาสุญญตาสูตร เป็นหลัก สามอย่างนี้ยังเป็นโลกีย ธรรม ไม่ใช่โลกุตตระ เพราะอนิจจัง จิตยังปรุงแต่ง ทุกขังก็ยังปรุงแต่ง อนัตตาก็ยังปรุงแต่ง ต้องจิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง นั่นถึงจะเป็นสุญญตาเป็นนิพพาน ตราบใดยังอยู่ที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเธอยังปรุงแต่ง จิตยังวนเวียนเกิดดับ ยังเป็นโลกีย์ ไม่เป็นโลกุตตระ จิตต้องหลุดพ้นจากกระแสดึงดูดของโลกีย์ จึงจะเป็นสุญญตา อันนี้เป็นสิ่งที่เร้าใจให้ท่านศึกษาเซ็น

          อย่างกายานุปัสสนานี้ สุดท้ายจิตจะต้องหลุดพ้นเป็นความว่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คุณพูดได้ แต่จิตคุณหลุดพ้นหรือยัง ถ้ายังไม่หลุดพ้นยังไม่เป็นความว่าง ยังไม่เป็นนิพพาน ต้องจิตหลุดพ้นเมื่อไรจึงเป็นสุญญตา นี้คือขันธ์ ๕ ตามแนวจิตว่าง อันนี้เจ้าคุณฯ สนใจที่สุด บอก "แหม น่าจะแปลคัมภีร์ชุดนี้" ท่านอธิบายด้วยภาพเด็กเลี้ยงวัว

          อีกคัมภีร์หนึ่งที่สำคัญมาก นอกจากเว่ยหล่าง แล้วยังมีเว่ยไห่ หลานศิษย์เว่ยหล่าง อาจารย์เสถียรแปลเป็นภาษาจีนแล้ว เสร็จตอนใกล้ๆจะตาย มีขุนฯอะไรก็ไม่ทราบ ขอเอาไปพิมพ์ดีดให้ แกก็ให้ไป ไม่ถามชื่อแซ่ ที่อยู่ จนบัดนี้ ฉันประกาศจนไม่ประกาศแล้ว สงสัยจะหายเข้าโลงตาขุนคนนั้นไปด้วย คัมภีร์นั้นชื่อ หุ่ยไห้ (มหาสาคร)

          ในวงการพุทธศาสนาไทย-จีน ฉันได้ยินมาว่า เขานับถือนักปราชญ์อยู่สามท่าน หนึ่ง หมอตัน ม่อ เซี้ยง พูดเสียงตามสาย สถานีวิทยุจีนทุกแห่ง บอกเราอยู่เมืองไทยต้องเคารพพระเจ้าแผ่นดินไทย สอง ต้องควร ใส่บาตรพระภิกษุสามเณร คนจีนถึงใส่บาตร พระทุกองค์บอกคนจีนใส่บาตรไม่น้อยกว่าคนไทย บุญคุณนี้อยู่ที่หมอตัน ม่อ เซี้ยง พูดเสียงตามสายทุกสมาคมจีน มาที่นี่ (โรงเจเป้าเก็งเต๊ง) ก็พูดอย่างนี้ จากนั้นก็มีเจ้าคุณฯพุทธทาสที่แปล สูตรของเว่ยหล่าง และ คำสอนฮวงโป ทำให้ไทยกับจีนเชื่อมกันได้ อีกคนคือเสถียร โพธินันทะ ผู้แปลวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลวิมลเกียรตินิทเทศสูตร เมธีตะวันออก และปรัชญามหายาน ฯลฯ ๓ นักปราชญ์นี่นำพุทธศาสนาไทย-จีน เชื่อมกันได้ คนรุ่นเก่าเขาพูดอย่างนี้ และข้าพเจ้า "ธีรทาส" มีบุญอยู่หน่อยที่ได้มาพิมพ์คำสอนเหล่านั้นเผยแพร่.

ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

อ่านที่มากันแล้ว โปรดตามไปอ่านเรื่อง....คำสอนฮวงโป กันต่อไปนะครับ  :054:

1170
อ้างถึง
เว้นไว้แต่ฝันเปียกไม่เป็นอาบัติครับ

ขอบคุณ :054:ท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)เป็นอย่างยิ่ง

ผมเข้าใจผิดเสมอมาว่าเป็นอาบัติ...แต่ความผิดไม่หนัก

1171
นอกจาก สูตรของเว่ยหล่าง และ คำสอนฮวงโป แล้ว ท่านเอาอะไรจากมหายานอีกบ้าง

         ส่วนใหญ่เป็นประเภทเรื่องข้างเคียงเจ้าคุณฯมักจะจดหัวข้อสำคัญๆที่สนใจมาถาม เช่น เคยถามหมอตัน ม่อ เซี้ยง อาจารย์เสถียร ว่าฝรั่งอ้างอย่างนี้ถูกหรือเปล่า คัมภีร์นั้นมีอะไรบ้าง ว่าพระไตรปิฎกจีนมีหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น แล้ว มหาสุญญตาสูตร เป็นแค่ผูกหนึ่งใน มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ตอนนั้น ฉันลาออกจากงานประจำ จะมาตั้งกองแปล มหาปรัชญาปารมิตาสูตร เอาอย่าง กษัตริย์หลี ซี หมิน ซึ่งจำนนต่อพระถังซำจั๋ง จนตั้งกองแปลพระสูตรนี้ทั้ง ๖๐๐ ผูก โดยให้ทุนหลวง และใช้พระนักปราชญ์จีนถึง ๑,๐๐๐ องค์ร่วมกันแปลจากภาษาบาลี สันสกฤตเป็นภาษาจีน จึงสำเร็จ

          พวกฉันคิดว่าจะทำกัน ๓ คน โดยให้อาจารย์เสถียรแปลเป็นภาษาไทย ฉันคอยอัดเทป พอถอดเทปเสร็จ ก็เอาไปให้หมอตัน ม่อ เซี้ยง เกลาอีกทีหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก็แปลได้แค่ผูกเดียวคือ กิมกังเก็ง(วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร) เพราะอาจารย์เสถียรตายเสียก่อน มีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันขอพูดหน่อยเถิด ใครบอกท่านพุทธทาสจะไม่เกิด ผมเอาตามแบบมหายาน เขาเชื่อกันว่าท่านเป็นอรหันต์ ไม่เกิด เรื่องนี้มหายานว่าอย่างไร เซ็นว่าอย่างไร เห็นเหมือนกัน เป็นอรหันต์แล้วไม่กลับมาเกิดอีก แต่ว่าถ้าต้องการเกิด เกิดได้ไหม? ตรงนี้ขัดกัน เพราะมหายานบอกว่าได้ ถ้าต้องการ เพราะฉะนั้น ผมยังไม่เชื่อว่าท่าน พุทธทาสจะไม่เกิด เพราะท่านมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่ยังทำไม่สำเร็จอยู่ คือ "สารานุกรม พุทธศาสนาภาษาไทย" ทำออกมาได้เล่มเดียวย่อๆ ภาษาคน ภาษาธรรม ท่านบอก ว่าเป็นงานชิ้นสุดท้าย ไม่รู้จะมีชีวิตทำหรือไม่ บอกกับผมอย่างนี้ หลักฐานมีพร้อมแล้ว ท่านให้ผมช่วยหา ปณิธานนี้ยังไม่เสร็จ ผมเชื่อว่าท่านจะต้องกลับมาเกิดอีก และผมก็ขอให้ท่านกลับมาเกิดอีก


ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

1172
ไม่ทราบว่า การที่ท่านพุทธทาสสนใจประวัติศาสตร์ของไชยา เป็นเหตุให้ท่าน สนใจมหายานหรือเปล่า อย่างการที่ท่าน สนใจเรื่องรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร

         ใช่ ท่านอ่านจากหลักฐานภาษาอังกฤษ และมีระฆังใบหนึ่งขุดได้ที่ไชยา เดี๋ยวนี้ตัวจีนหายไปแล้ว เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ผมบอกอาจารย์ธรรมทาส (น้องชายท่านพุทธทาส) ว่า อย่าให้ระฆังตากฝน เสียดายตัวภาษาจีนว่า "ก๊ก ไถ่ มิ้ง อัง กวง เตี๊ยว โหว สุก" คำพูด นี้ผมเอามาให้หมอตัน ม่อ เซี้ยง ดู แกบอกว่า ระฆังนี้ต้องเป็นกษัตริย์พระราชทาน แต่เดี๋ยวนี้หนังสือจีนหายหมดแล้ว เพราะตากน้ำฝน ฉะนั้น กรุงศรีวิชัยจึงมีความสัมพันธ์กับจีน อันนี้คงเป็นเรื่องที่เร้าอารมณ์ท่านให้ศึกษาเรื่องมหายาน ท่านพุทธทาสมองว่ามหายานต่างจากเซ็นอย่างไร

         ท่านมองว่ามหายานทั้งหมดเป็นเรื่องงมงาย เป็นเทวนิยม ของผมนี่ก็เทวนิยมนะ แล้วปัจจุบันร้อยละ ๙๐ ในเมืองไทยก็เทวนิยม บวงสรวง กราบไหว้วิงวอน ขอโชคลาภ เจ้าคุณฯ ท่านมองว่าทั่วๆ ไปในมหายานเป็นเทวนิยม ยังมิใช่อเทวนิยม ไม่ใช่พุทธศาสนาจริงๆ เจ้าชายสิทธัตถะประสูติในดงเทวนิยมทั้งหมด บวงสรวง ฆ่าสัตว์ บูชายัญ กระทั่งฆ่าคน เสร็จแล้วท่านมองทะลุด้วยปัญญาที่เหนือเขา จึงเห็นว่านั่นขาดหลักวิชาการ งมงาย (ถือ) อารมณ์เกินกว่าเหตุผล ระยะยาว จะไปไม่รอด จึงหนีออกบวช ก็ไปตรัสรู้หลักธรรม อเทวนิยม อนัตตานิยม กรรมนิยม นิพพานนิยม อันนี้กำมือเดียว ฟังได้ทุกคน แต่ปฏิบัติทันทีไม่ได้หมดนะ เคยมีคนกล่าวเป็นโศลกเปรียบเทียบไว้ว่า คน ศึกษาธรรมมีมากเท่าขนสัตว์ แต่ที่บรรลุธรรมมีจำนวนแค่เขาสัตว์เท่านั้น         แล้วท่านพุทธทาสชอบเจออาจารย์เสถียร โพธินันทะ เจอพวกผมทีไรมักจะถามทุกที เจออาจารย์เสถียรยิ่งชอบ ชอบถามเรื่องพระสูตร สรุปแล้วพุทธศาสนาของจีนที่บริสุทธิ์จริงๆ คือ มหาสุญญตาสูตร ชื่อเต็มๆ คือ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ๖๐๐ ผูก พระถังซำจั๋งแปลไว้เป็นภาษาจีน พุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม เป็นอเทวนิยมตาม มหาสุญญตาสูตร

          ตอนแรก กษัตริย์หลี ซี หมิน (ถังไท่จง) ไม่สนพระทัย เพราะมองว่า จีนมีศาสนาขงจื๊อ เต๋า อยู่แล้ว ถ้าไปเพิ่มอีกจะปกครองยาก อีกเรื่องคือ พระองค์มองพุทธศาสนาผิดไป นึกว่าเป็นเทวนิยม เหมือนขงจื๊อ เหมือนเต๋า พระถังซัมจั๋งจับจุดได้ จึงทูลว่า พระอรหันต์ไม่เหมือนกับเต๋า เพราะเหนือบุญเหนือบาป ดับกิเลสตัณหาอุปาทานได้ ดังนั้น พุทธศาสนาจึงไม่ใช่เทวนิยม เป็น อเทวนิยม อันนี้เป็นประวัติศาสตร์

แล้วที่ท่านพุทธทาสบอกว่า "เซ็นเป็นผู้ล้อมหายานเป็นผู้คัดค้านมหายาน"

         จริง อันนี้จริง คำพูดของเซ็นแทบทั้งหมด (ขอโทษเถอะ) เปรียบเทียบก็แบบทุบหม้อข้าว คือจะโจมตีพิธีกรรมที่งมงายจนเกินไป โจมตีการเอาหลักธรรมมาปฏิบัติอย่างไม่ถูกทาง เรื่องเทวนิยมก็ไม่พ้นจะหาเงิน แสวงลาภผล เพื่อปากเพื่อท้อง เทวนิยมที่สุดก็มาลงเอยที่วัตถุนิยม โลกเราที่ฆ่ากันทุกวันนี้ก็เพราะแย่งวัตถุนะ โบราณก็แย่งกัน จึงไปตรัสรู้ อเทวนิยม อนัตตานิยม สุญญตานิยม กรรมนิยม นิพพานนิยม


ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

1173
ท่านพุทธทาสรับฟังแล้วว่าอย่างไรบ้าง

         ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่า เตี่ยผมเรียนเซ็น สายอุบาสกมาจากเมืองจีน มาเมืองไทย ก็ไม่อาจถ่ายทอดหนังสือที่หอบมาด้วยได้ เพราะ ว่า(บทความใน)หนังสือรุนแรงเกินไป สภาพการณ์ทั่วไปยังรับไม่ได้ คุณเสถียร โพธินันทะ ยังมองเลยว่ายุคนั้นยังรับไม่ได้ เพราะถือเป็นของต่างด้าว มาอยู่ในสมาคมต่างด้าว เอาออกไปไม่ได้ เลยรอกาลเวลาเป็นขั้นตอน

          เมื่อท่านแปล สูตรของเว่ยหล่าง แล้วก็มา แปล คำสอนฮวงโป พอแปลเสร็จ เมื่ออบรมผู้พิพากษาก็เอามาด้วย มาหาหมอตัน ม่อ เซี้ยง ตรวจภาษาจีนทุกตัวอักษร ๑ เดือนเต็ม ทุกๆ คืนจากสี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง ฉัน ๓ คน คือหมอตัน ม่อ เซี้ยง เจ้าคุณพุทธทาส และฉัน จะมาตรวจทุกตัวอักษร หมอตัน ม่อ เซี้ยง อ่านก่อนแล้วแปล เจ้าคุณฯ ก็เอามาเทียบ ฮวงโป จึงแปลได้ดีที่สุด ใกล้ภาษาจีนที่สุด เทียบตรวจกันอยู่เดือนกว่าๆ จึงเสร็จ กลางวันท่านอบรมผู้พิพากษา กลางคืนมาที่วัดปทุมคงคา นี้เป็นความจริง แต่ตอนนั้นไม่ได้เอ่ยถึงชื่อหมอตัน ม่อ เซี้ยง ฉันมาจัดพิมพ์ถึงได้จารึกไว้ ส่วนต้นฉบับ ฮวงโป หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ (สวัสดิวัตน์) เอาไปให้เจ้าคุณฯ แล้วหมอตัน ม่อ เซี้ยง แปลเป็นภาษาไทยให้เจ้าคุณฯฟัง ท่านก็ยังฉงน ผม ก็แก้ไขเพิ่มเติมบางอย่างว่าอย่างนี้ๆ เจ้าคุณฯ ก็งงว่า "ธีระรู้ได้อย่างไร" ผมบอก "เตี่ยผม อธิบายให้ฟังตั้งแต่เก้าขวบ สิบสองขวบ แต่ผมรู้แบบนกแก้วนกขุนทอง ท่องเป็นคาถากันผี ผู้ใหญ่เขาบอกแบบนั้น"
 
อาจารย์เคยได้ยินไหม ที่ท่านพุทธทาสพูดว่าทำไมถึงมาสนใจในเรื่องของเซ็น

         ท่านมองว่าปรัชญาขงจื๊อเป็นขั้นโลกีย์ ขงจื๊อเป็นโลกียปราชญ์ที่พระเจ้าแผ่นดินจีนทรงนับถือทุกยุคทุกสมัย ยังไม่มีนักปราชญ์คนใดในโลกนี้ ที่พระเจ้าแผ่นดินทุกราชวงศ์เอาหมด มองโกลเข้ามาก็เอา เราต้องยอมรับ ว่าท่านมีความเป็นอมตะ คำพูดนี้เป็นความจริง แสดงว่าขงจื๊อต้องมีอะไรดี ในขั้นโลกีย์ขงจื๊อปูฐานไว้ให้จีนดีมาก ส่วนภาคโลกุตตระ เต๋าเยี่ยม กึ่งๆโลกุตตระ ดูถูกไม่ได้ ท่านบอก อย่าดูถูก ท่านอบรมพระธรรมทูตแต่ละรุ่น ต้องเติมคำนี้ "คัมภีร์เต๋าเขาอย่าไปดูถูกนะ" ส่วนเซ็นนั้นมาทีหลัง

          ที่จริงเซ็นมาก่อนแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าฮั่นเม่งตี่ ต้นตระกูลสามก๊ก อัญเชิญพระไตรปิฎก แล้วสร้างวัดม้าขาวเมื่อสองพันปีเศษ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยอมรับกัน อันนั้นก็มีเซ็นปรากฏอยู่แล้ว และพวกฉันยังเชื่อว่าพุทธศาสนาเข้าสู่เมืองจีนตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ไปแบบพระธุดงค์ไม่เป็นทางการ มีประวัติศาสตร์อ้างอิงอยู่ อย่างในประวัติศาสตร์จีนสมัยเลียดก๊ก "เศ็กเกียม่อนี้ฮุดโจ้ว" นี้คือศากยมุนี สมัยเลียดก๊กทำไมถึงรู้จัก แสดงว่าชาติใหญ่มีความสัมพันธ์กันมาแต่โบราณ (ศาสนาพุทธ) จึงไปแบบพระธุดงค์ ไม่เป็นทางการ พระเจ้าฮั่นเม่งตี่อัญเชิญ (พระคัมภีร์) มาแปล เป็นเรื่องทางการ

          จากฮั่นเม่งตี่อีก ๕๐๐-๖๐๐ ปี ถึงมีโพธิธรรม นำนิกายเซ็น เอาบาตร จีวรของพระพุทธเจ้า หนีสงครามใหญ่ที่เผาอินเดียทั้งหมด โดยอ้อมแหลมมลายูมาไว้เมืองจีน เพราะมองดูว่าอินเดียจะถูกภัยสงครามใหญ่แน่นอน [อาจารย์เสถียร (โพธินันทะ) บอกว่า สงครามครั้งนั้นเป็นสงครามอิสลาม แต่ภาษาจีนบอกแค่ว่า "สงครามใหญ่"]

          เจ้าคุณพุทธทาสท่านมองเห็นคุณค่าของมหายาน แต่หาคนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยไม่ได้ ท่านว่าได้พยายามบอกให้คนจีน ที่รู้ภาษาไทย (ให้ช่วย) เสร็จแล้วท่านไปเจอ สูตรของเว่ยหล่าง พระยาลัดพลีชลประคัลภ เอามาให้อ่าน (ฉบับภาษาอังกฤษ) อ่านดูก็ตกใจว่า "จีนมีของดี" แล้วมาเจอ คำสอนฮวงโป (ฉบับภาษาอังกฤษ) ยิ่งเชื่อมั่นใหญ่เลย

          ท่านบอกให้อาจารย์เสถียร บอกให้พวกผมพยายามแปลเป็นภาษาไทย เรายังไม่มีปัญญาเอาจีนมาเป็นไทย ต้องไปอาศัยมือฝรั่ง (หมายถึงหนังสือทั้งสองเล่มในภาษาไทย ท่านพุทธทาสถ่ายทอดมาจากฉบับภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง)

          เมื่อก่อนนี้คนไทยมักจะดูถูกพระจีนว่า เป็น "พระกงเต็ก" ทำพิธีกรรม เผากระดาษ งมงาย เสร็จแล้วพอ สูตรของเว่ยหล่าง ออกไป ปัญญาชนไม่กล้าดูถูก ของดีจีนเขามี เราไม่อาจจะเอื้อมถึง ปัญญาของสามก๊ก เลียดก๊ก เป็นโลกียปัญญาที่สุดยอด จีนเก่งปรัชญาโลกีย์อยู่แล้ว

 

ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

1174
ขอบคุณ  :054:ท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) เป็นอย่างยิ่งครับ

1175
พุทธทาสกับมหายาน (เซ็น)

สัมภาษณ์ ธีรทาส
ตีพิมพ์บางส่วนใน เสขิยธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑๘ เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๖
ภาคสมบูรณ์ ตีพิมพ์ที่ สารสยาม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๘, ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓
ขอบคุณ เว็บไซต์เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย (ธรรมานุรักษ์)

"ธีรทาส" หรือคุณธีระ วงศ์โพธิ์พระ เจ้าของงาน ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดพิมพ์เผยแพร่ผลงานของปราชญ์มหายานท่านสำคัญ ๆ ของเมืองไทย และรู้จักมักคุ้นกับท่านพุทธทาสเป็นอย่างดีในแง่การศึกษาทางมหายานวิทยา ปัจจุบัน "ธีรทาส" ปักหลักใช้โรงเจแห่งหนึ่งย่าน คลองเตยเพื่อเผยแพร่ธรรม



อาจารย์ได้คุยกับท่านพุทธทาสเรื่องเซ็น เรื่องมหายานอย่างไรบ้าง

          ผมพบท่านพุทธทาสที่เชียงใหม่ เมื่ออายุ ๒๓-๒๔ และที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นท่านมาอบรมผู้พิพากษาที่กรุงเทพฯ ทุกปี มาทีหนึ่งก็เดือนหรือเดือนกว่า ผมติดตามบริการท่าน

          ตอนพบท่านท่านก็ดีใจ ผมบอกท่านว่า สูตรของเว่ยหล่าง ที่ท่านอาจารย์แปล เตี่ยสอนผมตั้งแต่อายุ ๘-๙ ขวบแล้ว ท่านก็แปลกใจ "๘-๙ ขวบ เตี่ยสอน สอนยังไง" ผมก็ท่องโศลก "กายคือต้นโพธิ์ ใจคือกระจกเงาใส..." ให้ฟัง ท่านก็ถามต่อว่า "ทำไมเมืองไทยรู้เรื่องเซ็นตั้งแต่โน่นเหรอ" ผมบอก "ใช่ เขามาก่อนเตี่ยผมแล้ว อาจารย์ ที่มาแล้วสอนไม่ได้ ไม่อาจถ่ายทอดเป็นภาษาไทย เพราะพูดจีนกลาง ตอนนั้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย จีนกลางใช้ไม่ได้ รวมทั้งแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน" มีพระอาจารย์เซ็นมาจากเมืองจีน ๓ องค์ ยังค้นชื่อที่แน่ชัดไม่พบ แต่พอจะได้หลักฐานเค้ามูลบ้างแล้ว พวกนี้มาถึงก็ปลงสังขารตกว่า ถ้าสอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็เอาตัวรอดดับขันธ์ไป ไม่กลับเมืองจีน นี่รุ่นเก่าๆ บอกต่อๆ มาว่า อาจารย์ ๓ องค์หายไปในเมืองไทยได้อย่างไร

          ๑. รูปหนึ่งไปนั่งดับแห้งตายอยู่ในถ้ำเขาน้อย ท่าม่วง (กาญจนบุรี) พี่สาวผมทันเห็นองค์นี้ตอนอายุ ๙ ขวบ ช่วงนั้นฝนไม่ตกมา ๓-๔ ปี ชาวบ้านหาว่าหลวงพ่อแห้งที่อยู่บนถ้ำ ทำให้ฝนไม่ตก จึงอัญเชิญมาเข้ากองฟืนซะ แต่ศพไม่เน่า เพราะเซ็นเก่งเรื่องนี้ เขามีสูตรวิธีทำได้ แต่พวกฉันไม่กล้าแปล เพราะกลัวคนฆ่าตัวตาย

          ๒. หลวงพ่อกวงโพธิ์ อยู่ในถ้ำเมืองกาญจน์ มีพระธุดงค์มาเล่าให้ฟังว่า ธุดงค์เข้าไปในแดนกะเหรี่ยง มีกะเหรี่ยงที่พูดภาษาไทยได้บอกว่า มีถ้ำแปลก เขาบอกว่าคนนั่งตาย นอนตาย ตัวแห้งแข็ง พระท่านก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เข้าไปแล้วไม่ออก (เรื่องนี้ ในฝ่ายเซ็นมีคำว่า "ป่าช้าเซ็น" เข้าไปแล้วไม่ออก หมายถึงตั้งใจเข้าไปตาย) ท่านก็เลยให้กะเหรี่ยงคนนั้นพาไป และถ่ายรูปหลวงพ่อกวงโพธิ์ออกมาได้ ศพนั่งแห้งจนนึกว่าปั้น แทบไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ทำให้พอจะจับเค้าได้ว่า สมัยก่อนพระมหายานมาเมืองไทย ก็จะเข้าเมืองกาญจน์หมด

          ๓. อีกองค์หนึ่ง มีเชื้อพระวงศ์ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ บอกว่า ปู่ของเขาแล่นเรือออกไปทางสมุทรปราการ ยิงนก ตกปลาเล่น พอ ลองเอากล้องส่องทางไกล ไปเจอพระนั่งนิ่งอยู่ไกลๆ อีก ๕ วันกลับมา ก็ยังเห็นพระนั่งอยู่อย่างนั้น จึงแวะไปดู สืบรู้ว่าเป็นพระมาจากเมืองจีน ท่านบอกว่าตั้งใจจะลาโลกแล้ว เพราะเจตนาจะมาสอนธรรมในเมืองไทย แต่ไปไม่รอด เพราะติดเรื่องภาษา เจ้าองค์นั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วบอกว่าจะหาช่วยวิธีถ่ายทอดธรรมะให้ แต่อยู่ได้ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ ท่านก็บอกว่าอยากจะกลับที่เดิม ไม่ช้าพระรูปนั้นก็มรณภาพไปนี่เป็น ๓ องค์ที่ได้เค้าว่าเป็นพระเซ็นแน่ๆ

ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

1176
"จริงตามความเป็นจริง"

สุภาพสตรีชาวจีนคนหนึ่ง ถวายสักการะแต่หลวงปู่แล้ว เขากราบเรียนดิฉันว่า ดิฉันจะ
ต้องไปอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทำมาค้าขายอยู่ใกล้ญาติทางโน้น ทีนี้
บรรดาญาติๆ ก็เสนอแนะว่า ควรจะขายของชนิดนั้นบ้าง ชนิดนี้บ้าง ตามแต่เขาจะเห็นดี
ว่าอะไรขายได้ดี ดิฉันยังมีความลังเลใจ ตัดสินใจเอาเองไม่ได้ว่าจะเลือกขายของอะไร
จึงให้หลวงปู่ช่วยแนะนำด้วยว่า จะให้ดิฉันขายอะไรจึงจะดีเจ้าคะฯ

"ขายอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนซื้อ"


ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index27.htm

1178
ฝากถามพี่ๆ ทุกท่าน วันนี้ที่วัดบางพระลูกศิษย์มาสักกันเยอะหรือป่าวคะ
เยอะครับ
--------------------------------------------
ดูภาพประกอบกระทู้ บทกวีธรรมะกัน


1179
ขอบคุณ คุณทรงกลดมากค่ะ ชอบบทความนี้มากค่ะ :015:
มีคำถามมารบกวนผู้รู้เกี่ยวกับการใช้คำหน่อยค่ะ
อยากถามเพิ่มเติมว่าเวลากรวดน้ำ ใช้คำว่า"อุทิศ" บุญให้กับคนตายอย่างเดียวใช่ไหมคะ
"นำส่งบุญ"ให้ใช้กับ คนเป็น ใช่หรือไม่
"ถวายส่วนบุญกุศล" ให้ใช้กับ พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์รวมทั้ง พระอริยสงฆ์เจ้า ทุกๆพระองค์ รึเปล่า
"แผ่ส่วนบุญกุศล" ใช้กับองค์เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ รึเปล่า


เพราะทุกวันนี้ก็กล่าวแบบนี้อยู่  บางคนก็บอกถูกแล้ว บางคนบอกไม่ใช่ ก็เลยไม่ค่อยสบายใจ
อ่านหนังสือบางเล่มบอกเวลาส่งบุญพวกนี้ ต้องมีการแยกคำระหว่าง พระ เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนตาย คนเป็น
แต่บางคนบอกคำว่า "อุทิศ" ใช้ได้ครอบคลุมหมด ก็เลยอยากทำให้ถูกต้องหมดเลยค่ะ รบกวนผู้รู้หน่อยนะคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าที่เข้ามาตอบค่ะ  :054:
รอท่าน... ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)หรือท่านอื่นที่ทราบ มาตอบ
สำหรับความคิดผม...อยู่ที่เจตตนา

1180
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คู่กัน คือ..........

การบวชคืออะไร ?
พุทธทาสภิกขุ
a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
มีหัวข้อเรื่องดังนี้

อานิสงส์ของการบวช คืออะไร ?
เครื่องมือของคนบวช คืออะไร ?
ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/buddhadas/bdd-40-01.htm

สิทธิของผู้บวช
วัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช คืออะไร ?
ความมุ่งหมายของการบวช
ข้อพึงระลึกเกี่ยวกับการบวช
สรุปความ

......รู้จักถือเอาประโยชน์อันสูงสุด ซึ่งเป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงแห่งการบวช กล่าวคือความเร็วไวในการบรรลุมรรคผลและโอกาสที่ตนสามารถบำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นได้กว้างขวางไพศาลสูงสุด อย่างไม่มีขอบเขต<<<[เช่นเดียวกับเรือทำเล็กที่พายได้เบาแรงไปถึงเร็วกว่า(ทรงกลด)]

สมกับพระบาลีที่ว่า “ อปิ รชฺเชน ตํ วรํ “ ซึ่งมีใจความว่า “ บรรพชานั้นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าการเป็นจักรพรรดิ์ “ ดังนี้โดยไม่ต้องสงสัยเลย

ขอให้เราทั้งหลาย ผู้บวชเป็นสมณะศากยบุตร ในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงได้รักษาเกียรติแห่งความเป็นสมณะศากยปุตติยะไว้ให้ได้ โดยการทำตนให้ประสบผลแห่งการบวช โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วนั้น ทุกประการ
~ พุทธทาสภิกขุ ~  

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/buddhadas/bdd-40-02.htm

1181
๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้

            เอ้า ทีนี้ข้อสุดท้ายว่า มีปัญญา มีปัญญา ข้อ ๑ มีศรัทธา, ข้อ ๒ มีวิริยะ, ข้อ ๓ มีสติ, ข้อ ๔ มีสมาธิ, ข้อ ๕ มีปัญญา, ปัญญา แปลว่า ความรู้ คือ รู้สิ่งที่ควรรู้, รู้ความจริงที่ควรรู้ ความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้น เป็นความจริงที่ควรรู้.

            ขอให้รู้ความจริงนั้นอยู่ตลอดเวลา อยู่ตลอดเวลาด้วยสติ สติระลึกเอามา แล้ว สัมปชัญญะกำหนดเอาไว้ แล้วก็อยู่อย่างเป็นความรู้รอบ เป็นปัญญาอยู่ตลอดเวลา อย่าให้เกิดการปรุงแต่งในจิตจนเกิดความคิดชนิด ตัวกูของกู นี่คำพูดมันค่อนข้างจะหยาบคาย แต่มันจำเป็นว่า ความคิดชนิดที่มีความหมายเป็นตัวกู หรือเป็นของกูนั้น เป็นความคิดผิด พร้อมที่จะทำให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้ที่ผิด เรียกว่าเป็นความผิดนั่นแหละ

            นี้ปัญญาต้องรอบรู้ รู้ที่ถูก มันรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ รู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่อย่าไปรู้ชนิดที่ว่าเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวตน เป็นของตน นี่มันก็เป็นของละเอียดประณีตลึกซึ้งอยู่มาก, คือมันจะต้องรู้จักทำความละเอียดประณีตในทางจิต, ความคิดมันปรุงแต่งกันได้อย่างที่ว่ามาแล้วในเรื่องของผัสสะ. นี้เราอย่าให้ความคิดหรือความรู้เกิดขึ้น มีความหมายเป็นตัวกู เป็นของกู

            ทำงานด้วยความรู้อยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ฟังให้ดีๆ ว่า ถ้าทำงาน ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ตาม จงทำด้วยสติปัญญาที่รู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วระวังอย่าให้ความคิดประเภทตัวกูของกู, ทำเพื่อกู กูจะได้ กูจะอะไร อย่าให้เกิดขึ้นมา ความคิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอย่าได้เกิดขึ้นมา อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา อย่าให้ความหวังจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา. นั้นเป็นของผิดทั้งนั้น อันตรายทั้งนั้น มีแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่า ทำอย่างไร ทำอย่างไร ที่ทำถูกต้องนั้นทำอย่างไร แล้วก็สนใจทำแต่อย่างนั้น นี้แหละเรียกว่า ทำงานอยู่ด้วยปัญญาอย่างยิ่ง ไม่เกิดความผิดพลาด ไม่เกิดความหวัง ไม่เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์

            ฉะนั้นเรามี ความรู้ที่ถูกต้องเรื่องอิทัปปัจจยตา ว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน และว่า ตถตา มันจะต้องเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้. มีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ตถตา เต็มที่แล้วก็ทำงานอยู่ ส่วนความหวังความอยากว่าจะได้ผล เอาผลมากิน มาใช้กันให้สนุกสนานเอร็ดอร่อยนั้น อย่าต้องมีผล ถ้ามีมันเป็นความคิดหรือความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู มันจะต้องเป็นทุกข์

            ข้อนี้ก็ ในพระบาลีให้ตัวอย่างไว้อย่างดีที่สุด ที่อาตมาก็เอามาเล่าบ่อยๆ ว่า แม่ไก่ฟักไข่ให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าลูกไก่จงออกมา, นี่แม่ไก่น่ะฟักไข่ให้ถูกต้องตามวิธีของธรรมชาติ; จะเขี่ย จะกก จะกลับ จะทำให้อุ่นให้เย็นอะไรก็แล้วแต่ ให้มันถูกต้องตามวิธีของการฟักไข่, แล้วลูกไก่ก็จะออกมาเอง โดยที่แม่ไก่ไม่ต้องหวังว่า ลูกไก่จงออกมา ลูกไก่จงออกมา, ถ้าแม่ไก่ตัวไหนมันหวังว่าลูกไก่จงออกมา บ่นว่า ลูกไก่จงออกมา มันเป็นแม่ไก่บ้า มันใช้ไม่ได้. คนนี้ก็เหมือนกันแหละ จงทำงานให้ถูกต้องด้วยสติปัญญา เกี่ยวกับการกระทำนั้น โดยไม่ต้องมีความคิดหวังเป็นตัวกูของกู ว่าออกมา จงออกมา จงได้มา จงได้กำไร จงอย่างนั้น จงอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกู ของกูอย่างนั้น มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ แล้วมันก็ไม่ได้ด้วย แล้วมันจะทำให้งานเสียก็ได้

            เดี๋ยวนี้ เราสอนกันผิดๆ อยู่บางอย่าง ที่ว่าให้ใช้ความหวังมากเกินไป; ที่จริง ถ้าความหวังมากเกินไป แทรกแซงเข้ามาในขณะทำงานแล้ว มันฟุ้งซ่าน ทำไม่ได้ดี ทำไม่ได้ถูกต้องอย่างดี มันต้องให้เหลือไว้ มีแต่สติปัญญา ว่าจะทำอย่างไรเท่านั้น ให้มีมากที่สุด ให้ทำอย่างดี ส่วนที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมาในความคิด มันมาทำให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิแน่วแน่อยู่แต่ว่า ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร นั่นแหละเรียกว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีจิตว่างจากความคิดความนึกรู้สึกว่าตัวตนหรือของตน ว่างจากความรู้สึกคิดนึกว่า ตัวกู-ของกู แล้วก็เป็นจิตว่างแหละ จะคิดอย่างไรก็ได้, จะคิดเรื่องจะทำให้ดีให้นันอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้มันแลบเลยไป ถึงว่า เพื่อตัวกู หรือของกู, กูจะเอา กูจะได้ พอความคิดเกิดขึ้นอย่างนั้น มันจะมืด มันจะกลุ้มมันจะร้อน มันจะเป็นทุกข์ นี่เรียกว่า เคล็ด หรือ ศิลปะ ในการที่จะทำงานให้ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับพุทธบริษัท

            เดี๋ยวนี้เราจะบวชอยู่ที่บ้าน เราจะบวชอยู่ที่บ้านขอให้มีการกระทำงานด้วยปัญญา, มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ให้ได้ผลดีที่สุดของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เกิดมาแล้ว จะต้องได้อะไรดีที่สุด ก็ให้มันได้อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะได้ด้วยการกระทำด้วยปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา หวังว่าจะได้อย่างนั้น หวังว่าจะได้อย่างนี้แก่ตัวกู แก่ของกู นั้นไม่ต้องไปหวังดอก เมื่อทำถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้ว มันก็ต้องออกผลมาเอง, ไปหวังให้มันฟุ้งซ่าน; หรือจะเปรียบด้วยตัวอย่างง่ายๆ อีกทีหนึ่งว่า ไปซื้อลอตเตอรี่มาแล้ว อย่ามาหวังให้มันรบกวนจิตใจเป็นโรคประสาท, ซื้อแล้วก็แล้วไป ถึงเวลามันออกก็ไปตรวจดู มันถูกหรือไม่ถูก แต่บางคนเขาไม่ชอบอย่างนั้น เขาชอบซื้อเอามาทำให้มันบ้า ให้มันหวัง ให้มันนอนหวัง นั่งหวัง นอนหวัง แล้วในที่สุด มันจะเป็นโรคประสาท ได้จริงเหมือนกันแหละ

            เราจงทำงานหรือมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา อย่าประมาทปัญญา พอกพูนปัญญา คือความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะทำงานก็มีปัญญาในงานที่จะทำ เมื่อทำงานอยู๋ ก็มีปัญญาในงานที่กำลังทำ เมื่อทำงานเสร็จได้ผลงาน ก็มีปัญญาอยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ได้ผลงานด้วยกิเลส ตัณหา แต่ได้ด้วยสติปัญญา อ๋อ มันอย่างนี้เองนี่ ทำอย่างนี้มันก็ได้อย่างนี้เอง ไม่ต้องไปหลงไหลมัวเมา ให้มันสูญเสียสติสัมปชัญญะ หรือจะเก็บผลงาน ไว้กินไว้ใช้รักษาไว้ ก็ด้วยสติปัญญา เก็บไว้ด้วยสติปัญญา อย่าให้มันทรมานใจ เมื่อจะเอาผลงานมากินมาใช้ ก็ทำด้วยสติปัญญา อย่าให้มันผิดพลาด เมื่อจะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นบ้าง ทำบุญทำทาน ก็ทำด้วยสติปัญญา; แปลว่าเป็นฆราวาสที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ทั้งก่อนแต่ทำงานกำลังทำงาน ได้ผลงาน เก็บผลงาน ใช้ผลงาน กินผลงาน แบ่งปันผลงาน อะไรก็ทำด้วยปัญญา ไม่มีกระหืดกระหอบด้วยกิเลสตัณหา

บวชอยู่ที่บ้านทำได้จริงก็มีผลดีเท่าที่ควรได้.

            นี่จะบวชอยู่ที่บ้าน แล้วจะเป็นพระอรหันต์อยู่ที่บ้าน; พอเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็เลิกหมด ไม่ต้องบวชต้องอะไรดอก เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วมันเลิกบวช เลิกความหมายของคำว่า บวช, บวช หรือประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องมีแล้ว. แต่เดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ขอให้เป็นผู้บวชด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่บ้าน; โดยเฉพาะผู้หญิงไม่ต้องสนใจว่าผู้หญิงบวชไม่ได้. แต่เราบวชอยู่ที่บ้านได้อย่างนี้ แล้วเหมือนกัน หรืออย่างเดียวกัน หรือเท่ากัน แม้ไม่มีโอกาสไปบวชกับเขาบ้าง เขาบวชกันเกร่อหมด บวช ๙ วัน ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร.

            แต่อาตมาขอยืนยันว่าบวชอย่างที่ว่านี้เถิด, มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่บ้าน. บวชอยู่ที่บ้าน บริบูรณ์อยู่ด้วยธรรมะ ๕ ประการ ซึ่งทบทวนอีกทีหนึ่งก็ว่า:

            มีศรัทธา เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง คือการปฏิบัติหรือคำสอนนั้น แล้วก็ เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เราทำได้ ไม่เหลือวิสัย เราทำได้ แล้วก็ปล่อยให้ทำไปด้วยศรัทธา

            พร้อมกันนั้นก็ มีวิริยะ คือความกล้าหาญ ความพากเพียร ความบากบั่น สนุกสนานในการทำ พอใจในการทำ เป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำ ไม่ต้องรอต่อผลงานได้มา กำลังทำอยู่มันก็พอใจและเป็นสุข อิ่มอยู่ด้วยความสุข ได้ความสุขโดยไม่ต้องเสียเงิน

            ทีนี้ก็มีสติ เฝ้าระวังรักษาป้องกัน ไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ในความคิดความนึกหรือในการกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจเอง

            มีสมาธิ คือจิตแน่วแน่ต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก, มีจุดมุ่งมั่นต่อพระนิพพาน เรียกว่า มีเอกัคคตาจิตมุ่งพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำทุกอย่างที่รักษาจิตชนิดนั้นไว้ ก็คือแบบสมาธิวิธีต่างๆ มันจะต่างกันอย่างไร มันก็อยู่ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งนั้น คือมีความหลุดพ้นจากความทุกข์เป็นอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น

            แล้วในที่สุด ก็มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา คือ ความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน ในสิ่งที่ต้องกระทำ หรือควรกระทำ อย่าให้ความอยาก เช่นกิเลสตัณหา เพื่อตัวกู-ของกู เข้ามาแทรกแซง นั้นมันจะทำให้เสียหมด นี่เรียกว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง แหละ "ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที" ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาอะไร, มีจิตที่บริสุทธิ์ อยู่ด้วยปัญญา และ ความสุขสงบ นี่คือ บวชอยู่ที่บ้าน.

            ใครเห็นด้วยก็ลองดู บวชอยู่ที่บ้าน ที่ชะเง้อหาบวชที่วัด บวชในป่านั้น บางทีจะเป็นความโง่ ลำบากมากกว่าคนที่บวชอยู่ที่บ้านก็ได้ ระวังให้ดี. ถ้ามีความตั้งใจจริง ระมัดระวังจริง บวขอยู่ที่บ้านจะได้ผลมากกว่าบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า ก็ยังเป็นไปได้ เพราะว่า การบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า มันยังเหลวไหลอยู่ทั่วๆ ไป มันยังไม่สำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมายที่ควรจะได้เลย.

            เอาละ, เป็นอันว่า วันนี้เราพูดกันด้วยเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก โดยใช้ชื่อว่า บวชอยู่ที่บ้าน : เว้นจากสิ่งที่ควรเว้นโดยประการทั้งปวง อยู่ที่บ้าน. แล้วก็ประพฤติหน้าที่ที่ควรประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างดีที่สุด อย่างเต็มกำลังเต็มสติปัญญาสามารถอย่างดีที่สุด ในหน้าที่ของตนๆ แล้วก็เป็นสุขอยู่กับการทำหน้าที่ ไม่มีกิเลสตัณหา ที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ มาสนองกิเลส เรื่องก็มีเท่านี้ ว่าบวชอยู่ที่บ้าน

            ไม่ได้หมายความว่า ให้สึกไปอยู่ที่บ้านกันเสียให้หมด แต่หมายความว่า แม้อยู่ที่บ้านก็อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ, แม้อยู่ที่บ้านก็สามารถที่จะทำได้ดีที่สุด ที่บ้านนั้นเอง เพราะคนที่อยู่บ้านมันยังมีมากกว่าคนที่อยู่ที่วัด คนเหล่านั้นไม่ควรจะเสียประโยชน์อะไร ควรจะได้ประโยชน์ทุกอย่างทุกประการ เท่าที่พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนาจะพึงได้

            ขอให้ผู้ที่อยู่บ้าน หรือยังอยู่ที่บ้านนั้น จัดแจงปรับปรุงให้ชีวิตการเป็นอยู่ของตนนั้น อนุโลมเข้ากันกับการบวช โดยสมาทานสิกขาบท คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา, ธรรม ๕ ประการนี้ แทรกอยู่ในการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นสุดท้าย ถ้าปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างเคร่งครัดในป่า ในวัดในดงก็ตาม เขาก็ระวังให้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ในการปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเต็มที่ แล้วผลก็แน่นอน สำเร็จตามความปรารถนา

            การบรรยายในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา แม้จะว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกออกไป ก็ควรจะได้พิจารณาดู จะได้ใช้เวลาที่บ้าน ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แม้จะต้องยังอยู่ที่บ้านก็ไม่เสียเปรียบเสียหาย ไม่เสียเปรียบแก่ผู้ที่จะทิ้งบ้านออกไปได้โดยน่าอัศจรรย์ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าทำได้นะ ถ้าทำได้บวชอยู่ที่บ้าน น่าอัศจรรย์กว่าบวชอยู่ที่วัด.


            ขอยุติการบรรยายนี้ ด้วยความสมควรแก่เวลา เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย สวดบทพระธรรม ในรูปคณสาธยายส่งเสริมกำลังใจของท่านทั้งหลาย ให้เข็มแข็งในการประพฤติปฏิบัติธรรมะสืบต่อไปในบัดนี้

คัดจาก
            หนังสือ บวชทำไม โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ สุขภาพใจ ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา ครั้งที่ ๑๒
:054:

ที่มา
http://www.songpak16.com/Budhatas/kanbuad.html

1182
๔. มีสมาธิ มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.

            ทีนี้ อีกข้อต่อไป ก็ว่า มีสมาธิ กำหนดไว้ให้ดีๆ นะ ข้อที่ ๑ มีสัทธา อย่างที่ว่ามาแล้ว ข้อที่ ๒ มีวิริยะ ข้อที่ ๓ มีสติ นี้ข้อที่ ๔ มีสมาธิ, มีสมาธิ

            สมาธิคืออะไร? ท่านบัญญัติความหมายไว้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เป็นสมาธิใหญ่หลวงมหาศาลเลยว่า สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์, เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์. อาตมารู้สึกว่าบางคนฟังไม่ถูกก็งง ไม่รู้ว่าอะไร. เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็บอกเสียเลยว่า เอกัคคตาจิต คือ จิตที่มีความคิดเพียงสิ่งเดียว มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว; เอกัคคะ แปลว่า มียอดยอดเดียว, เอกัคคตาจิต จิตที่มียอดยอดเดียว คือมันมุ่งอยู่ที่สิ่งสิ่งเดียว, นี้เรียกว่า เอกัคคตาจิต, และมัน มุ่งต่อพระนิพพานเท่านั้น, ไม่มุ่งต่ออันอื่น ก็เรียกว่ามันมีนิพพานเป็นอารมณ์. เอกัคคตาจิตที่มุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์นั่นแหละคือใจความของสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ มันจะทำสมาธิแบบไหน กี่แบบ กี่สิบแบบ ทำไปเถอะ ต่างๆ แปลกๆ กัน, ใจความของมันมันก็อยู่ที่ความมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิตที่ตั้งไว้ เป็นอารมณ์เดียว เป็นสิ่งเดียว.

            จะพูดให้ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้ ก็พูดว่า หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ; เมื่อรู้จักพระนิพพานพอสมควรแล้ว การที่หวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านก็ทำได้, เมื่อกำลังเป็นทุกข์อยู่แล้วก็ยิ่งชวนให้ทำ, เป็นทุกข์ด้วยเรื่องใดๆ อยู่ ก็มุ่งต่อพระนิพพาน คือดับทุกข์เป็นอารมณ์. นี้โดยทั่วไปเราก็รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่นี้เพื่อจะบรรลุนิพพาน จิตจึงมุ่งจ้องจดจ่ออยู่แต่พระนิพพานเพียงสิ่งเดียวเป็นอารมณ์ นี่คือความหมายของสมาธิ

            ทีนี้ที่เขาทำสมาธิอย่างนั้น สมาธิอย่างโน้น เป็นขั้นตอนๆ หลายๆ ขั้นตอนน่ะ มันแยกซอยให้ละเอียด แต่เมื่อรวมความหมดแล้ว มันมุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์. เช่นว่า สติกำหนดลมหายใจอยู่ ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจออก ลมหายใจเข้าก็ตามเถอะ, ทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยการกำหนดอย่างนี้ แต่มันมีนิพพานเป็นอารมณ์ที่หวังอยู่ข้างหน้า, คือทำสมาธินี้เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิงในปลายทาง ในจุดหมายปลายทาง, ทำสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ทำเป็นวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. แล้วก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ก็หลุดพ้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ความหมายนี้ดีที่สุดแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า สมาธินั้น คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์.

            ขอให้เราทุกคนดำรงจิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือว่ามีพระนิพพานเป็นที่หมาย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, จะต้องถึงที่นั่นให้จงได้เร็วที่สุด โดยเร็วที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี. นี่คือ สมาธิที่มีประโยชน์ สมาธิโดยความหมายที่แท้จริง ที่มันมีประโยชน์ คือความมุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่ข้อใหญ่ใจความนั้นไม่ลืม ไม่ลืมว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่เราทำนี้ มันจะรวมกันเข้า แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพาน.

            สมมุติว่า จะทำนา มันก็หาข้าวให้ได้กินข้าว, ให้ได้กินข้าว แล้วก็มีชีวิตอยู่ แล้ว ก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง. แม้แต่ ทำสวน ก็ได้เงินมากินมาใช้, ก็เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง. จะค้าขายหรืออาชีพอะไรอยู่ก็ตาม ต่อให้เป็นอาชีพถีบสามล้อเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ทั้งวันๆ มันก็ สามารถจะมีเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ โดยมุ่งหวังอยู่ว่า เราจะเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ เพื่อทำให้ปรากฏเฉพาะซึ่งภาวะที่ไม่มีความทุกข์เลย. ที่เรียกว่า นิพพาน คือชีวิตที่เยือกเย็น, ชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์เลย เรียกว่า นิพพาน เราจะมีที่นั่นเป็นจุดหมาย แม้ว่าจะทำงานอย่างต่ำ ล้างท่อถนน กวาดถนน ถีบสามล้อ แจงเรือจ้าง ก็ยังสามารถที่จะมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ ว่าจะต้องได้พบกันในโอกาสข้างหน้า

            ทีนี้จะพูดให้สิ้นสุดเสียเลยว่า แม้เป็นคนขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็ยังทำได้ เดี๋ยวนี้กูยังต้องขอทาน ก็ขอทานให้ชีวิตมันรอด ชีวิตมันรอดแล้วก็จะทำต่อไป, ปฏิบัติมีสติระวังสังวรเรื่อยไป แล้วก็จะมีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน. นี่ไม่ใช่แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาแหละ; ให้เป็นขอทานอยู่ มันก็ยังมีโอกาส ยังมีความหวังจะมีสมาธิ; สมาธิ, สมาธิเรียกอย่างนี้แปลว่า เอกัคคตาจิตคือจิตดวงเดียว เดี่ยวโดด หนักแน่น มีพระนิพพานเป็นที่หมาย ฉะนั้น ใครๆ ทุกคน ที่เป็นฆราวาสอยู่ จงดำรงตนให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย เป็นจุดหมายปลายทาง ก็จะเรียกว่ามีสมาธิ เต็มตามความหมายของคำคำนี้

            มีสติเป็นเครื่องชักนำให้จิตมีสมาธิ มีสติอย่างที่ว่ามาแล้ว ชักนำให้จิตมีสมาธิ รู้สึกตัวอยู่ เมื่อแรก ระลึกได้ แรกระลึกถึงความจริงความรู้อะไรได้ นี่ เรียกว่า มีสติ, ครั้นระลึกได้แล้ว รักษาความรู้นั้นไว้ ให้อยู่ยาวไป ก็เรียกว่า สติสัมปชัญญะ. สติกับสัมปชัญญะนั้น มันเป็นคู่แฝดกัน; สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว คือรักษาความระลึกได้นั้นให้ยังคงอยู่ เช่น สติระลึกถึงความถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา แวบขึ้นมาได้ แล้วก็รักษาไว้ นั่นก็คือ สัมปชัญญะ; สติกับสัมปชัญญะก็ต้องทำงานร่วมกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว จะไม่ทำอะไรผิดพลาด จะทำอะไรถูกต้อง ได้รับผลดีของสิ่งที่ต้องทำ.

            ทีนี้ก็ มีสมาธิ ก็หมายความว่า จิตมันมั่นคง ตั้งมั่น ขณะนั้นก็ไม่มีกิเลสรบกวน ขณะนั้นจิตก็ ว่องไวในการที่จะคิดจะนึก หรือจะทำหน้าที่ของจิต คำว่า ทำสมาธิ, ทำสมาธิไม่ใช่หมายถึงไปนั่งหลับตาตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้, ไม่ใช่หมายความว่าอย่างนั้น หมายความว่า ทำทุกอย่างทุกทาง กล่อมเกลาจิตใจให้เป็นจิตที่มีจุดหมายเดียว อารมณ์เดียว ที่เรียกว่า เอกัคคตา, แล้วมันก็ปราศจากกิเลส แล้วมันก็เข็มแข็ง มันก็เข็มแข็ง เพราะมันรวมแสงรวมกำลัง แล้วมันก็ไวต่อหน้าที่ของมัน จิตมีหน้าที่คิด จิตที่เป็นสมาธิจะไวต่อการคิด จิตที่ไม่เป็นสมาธิมันงุ่มง่ามเคอะคะ มันคิดไม่ได้ หรือมันไม่ไวต่อการคิด สมาธินั้นหมายความว่า จิตมีกำลังเข็มแข็งอยู่ที่จุดเดียว ไม่มีกิเลสรบกวน แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ที่จะคิด จะนึก จะคิดจะนึก จะทำจะตัดสินใจ จะทำอะไรก็ตาม; ถ้าทำด้วยสมาธิมันทำได้ดี ทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ฉะนั้นคนที่มีหน้าที่จะต้องคิดจะต้องนึกจะต้องตัดสินใจ จะต้องสั่งงานผู้อื่น อะไรก็ตาม จะต้องทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

            ทีนี้ก็ จะต้องฝึกให้เป็นสมาธิ มีสติชักหน่วงดึงจิตให้ติดอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ทำด้วยสมาธิเสมอไป คือว่าจะมีสมาธิจิตตั้องแต่ก่อนทำ แล้วก็เมื่อกำลังทำ และทำเสร็จแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนทำ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น กำลังทำอยู่ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น ทำเสร็จแล้วก็มีสมาธิในเรื่องนั้น มันจะผิดได้อย่างไร ลองคิดดูเถอะ มันไม่มีทางที่จะผิดได้ มันมีแต่จะถูกถึงที่สุด

            ทีนี้เรา บวชอยู่ที่บ้าน ก็หาโอกาสที่จะฝึกสมาธิ เวลาที่เอาไปใช้เหลวไหลเสียวันหนึ่งๆ ตั้งมากมาย ขอเปลี่ยนเอามาทำสมาธิ, และ เมื่อกำลังทำการงานอยู่ ก็ทำสมาธิได้ โดยทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ทำการงานอะไรอยู่ก็ตาม

            ถ้าว่า เป็นชาวนา กำลังไถนาอยู่ กำลังไถนาอยู่ เดินตามหลังความยอยู่ ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายไถนาอยู่ จิตอยู่ที่ปลายไถ ที่มันแหลมที่มันตัดดินอยู่ตรงนั้นเรื่อยไปมัน ก็เป็นการทำสมาธิตลอดเวลาที่ไถนา

            ถ้าทำสวน เมื่อเอาจอบฟันดินลงไปกระทบดินยกขึ้นมานั้น ก็มีสมาธิอยู่ที่จอบมันตักดิน
            เอาที่บ้านที่เรือนกันก็ได้, งานอื่นๆ นั่นมันมีค่า หรือว่ามันน่าดู. แต่เดี๋ยวนี้ เราเอางานชั้นต่ำสุดนะ ว่าถ้าเราจะต้องกวาดบ้าน กวาดพื้นบ้าน หรือกวาดลานบ้าน เมื่อกำลังกวาดอยู่นั้น ขอให้จิตมันกำหนดอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่จดดิน ทำอย่างนั้นไม่ยาก จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาด ที่จิดดินอยู่เรื่อยไปๆ กวาดเรื่อยไป จิตอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา นี่เป็นสมาธิชั้นดี เป็นสมาธิชั้นดี

            หรือว่าเมื่อล้างจาน, ก็ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายนิ้วที่มันถูจาน เมื่อล้างจานธรรมดาสามัญ คนทั่วไปก็ต้องเอามือถูจาน ให้ปลายนิ้วที่ถูจานแตะจานอยู่ จิตกำหนดอยู่ที่ตรงนั้น จนกว่าจะล้างจานเสร็จ ก็เป็นการทำสมาธิที่ดีที่สุด เมื่อกำลังล้างจาน.

            ทีนี้ เมื่อล้างหม้อ ล้างกะทะ ก็เหมือนกันนั่นแหละ; เมื่อเอาอะไรมาถูหม้อถูกะทะอยู่ เครื่องถูหม้อนั่นแหละ เมื่อมันจดจ่ออยู่กับหม้อหรือจดจ่ออยู่กับกะทะ มีจิตอยู่ที่ตรงนั้นสิ คุณก็เป็นผู้มีสมาธิ เหมือนกับนั่งสมาธิอยู่ในป่านั่นแหละ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทำสมาธิที่บ้าน.

            ถ้าว่าจะผ่าฟืน เอ้า, ผ่าฟืน สมาธิอยู่ที่คมขวาน เมื่อไม้ฟืนกระทบขวาน แล้วแต่จะผ่ากันท่าไหน แต่ที่ตรงคมขวานที่ชำแรกไม้ออกไปนั้น จิตอยู่ที่ตรงนั้น.

            ทีนี้ก็ ทำทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน; เมื่อยืนเท้าแตะพื้นตรงไหน กำหนดตรงนั้น เมื่อเดินก็เหมือนกัน มันจดลงไปแล้ว มันยกขึ้นมา มันจดลงไปมันยกขึ้นมา จิตอยู่ที่นั่น เมื่อนั่งก็นั่งถูกที่พื้น โดยไม่ได้กำหนดอะไรอื่น กำหนดที่ก้นมันแตะพื้นนั่นแหละ มันก็เป็นสมาธิ แต่เขามีอย่างอื่นหลายวิธี เช่นกำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ อะไรก็ได้ แต่ที่แท้จริงแล้ว มันอยู่ที่สิ่งที่มันเป็นธรรมดาเป็นเจ้าของเรื่อง

            นี่เรื่องบวชอยู่ที่บ้าน เห็นไหมเล่า พูดเรื่องบวชอยู่ที่บ้าน บวชอยู่แต่ที่บ้าน มีโอกาสจะทำ ประพฤติธรรมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ได้อย่างมากมาย มีสติประกอบอยู่กับสมาธิในทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ การงาน นับตั้งแต่ว่าไถนา สมาธิจิตอยู่ที่ปลายไถที่ตัดดิน, ถ้าพายเรือ จิตอยู่ที่ปลายพายที่มันแตะน้ำ แจวเรือก็เหมือนกัน อยู่ที่แจวมันตัดน้ำ นี้จะเป็นสมาธิจริง สมาธิที่จะเอามาใช้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ ทุกๆ ความหมาย ทุกๆ ชนิด


ที่มา
http://www.songpak16.com/Budhatas/kanbuad.html

1183
คำว่า สติ นั้นน่ะ มันประกอบอยู่ด้วยปัญญาเสมอ คำว่า สติ นั้น ต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ สติ คือ ระลึกได้ ระลึกก็คือ ระลึกความจริงของความจริงว่า เป็นอย่างไร นั้นคือ ปัญญา สติขนเอาปัญญามาทันเวลา ที่มีการกระทบทางอายตนะนี้, มันก็ รู้ว่าควรทำอย่างไร มันก็เลยทำไปในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ไม่เกิดความรัก ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความเกลียด ไม่เกิดความกลัว ไม่เกิดความอิจฉาริษยา ไม่เกิดความหึงความหวง ไม่เกิดความอาลัยอาวรณ์ ไม่เกิดอะไรต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทนทุกข์ทรมาน นี่เรียกว่า มีสติ

            บวชอยู่ที่บ้าน แต่มีสติอย่างนี้ ลองคิดดูคำนวณดู; บวชอยู่ที่บ้านโดยการมีสติอย่างนี้ อยู่ที่บ้านมันดีกว่าที่บวชอยู่ที่วัดหลายๆ องค์ ที่ไม่ประสีประสาอะไร ไม่รู้จักแม้แต่ว่ามีสติคืออะไรด้วยซ้ำไป นี่ขอให้สนใจว่า ที่บ้านก็บวชได้ บวชได้อย่างยิ่ง ถ้ามีสติสมบูรณ์ ในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้.

            เรามีหลักว่า ในขณะที่สัมผัส สัมผัสหรือกระทบต้องมีสติ เมื่ออะไรมากระทบจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องมีสติ ให้เป็นการสัมผัสสิ่งนั้นๆ ด้วยสติ ก็เรียกว่า สัมผัสด้วยวิชชา, สัมผัสด้วยปัญญา มีความลืมหูลืมตา ก็กระทำไปอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดใดๆ ไม่อาจจะเกิดทุกข์ได้ นี่เรียกว่า เราสัมผัสโลกด้วยสติปัญญาอยู่ทุกวันๆ ทุกวันๆ ทุกวันๆ สัมผัสโลก คือ สิ่งทั้งปวงที่มากระทบ ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดความทุกข์

            บวชอยู่ที่บ้าน เป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ทำได้อย่างนี้ ก็คือ ปฏิบัติสูงสุด ตามหลักพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

            นี่จำไว้ว่า ถ้าว่าทำผิดเมื่อผัสสะ คือเป็นสัมผัสด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดทุกข์ ถ้าสัมผัสด้วยวิชชา รู้จริงตามที่เป็นจริงอย่างไร เรียกว่า เป็นสัมผัสด้วยวิชชาแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ ฉะนั้นอย่าได้มีการสัมผัสด้วยความโง่, อย่าได้มีการกระทบหรือรับอารมณ์ใดๆ ด้วยความโง่ แต่ให้รับหรือ รู้สึกอารมณ์นั้นๆ ด้วยสติ ด้วยปัญญา และให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ

            เรื่องนี้ พูดมันก็พูดได้ และพูดง่าย; แต่พอถึงคราวที่จะทำมันไม่ง่ายนัก มันอาจจะพลั้งเผลอ หรือทำไม่ได้ ต้องมีความทุกข์กันเสียก่อน ตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วจึงค่อยๆ ทำได้ จึงค่อยๆ ทำได้ นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ค่อยๆ ทำได้ ฉะนั้น จะต้องฝึกฝนอยู่ให้ดีที่สุด เหมือนที่เขาฝึกฝนอะไร ๆ ที่เขาพอใจ อย่างพวกที่เล่นกีฬา เล่นศิลปะหาเงินหาทอง เขาฝึกเหลือประมาณ เช่นว่าจะเตะตะกร้อลอดบ่วงได้ อย่างนี้ต้องฝึกเหลือประมาณ นี้ก็เหมือนกันแหละ เราก็ฝึกเหลือประมาณ ฝึกที่จะให้มีสติ ทุกครั้งที่ผัสสะ, แล้วถ้ามันล้มเหลว เผลอไป ก็ละอายๆ ละอายแก่ตัวเอง ว่าไม่สมควรแก่เราเลย ที่เป็นผู้ไม่มีสติ ขาดสติ พลั้งเผลอจนเกิดความทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ แล้วทำไมจึงมากลายเป็นมาเกิดเพื่อความทุกข์อย่างนี้ ก็เสียใจอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ทุกๆ คราวที่พลั้งพลาด เผลอไป จนเกิดความทุกข์ ไม่เท่าไรมันก็จะไม่เผลอ ก็จะเผลอน้อยเข้าจนไม่เผลอ

            อุปมาสมมติเหมือนอย่างว่า มันเดินตกร่อง ตกร่องที่นอกชาน หรือตกร่องที่ไหนก็ตาม มันเดินไม่ดี ไม่ดูให้ดี แล้วมันตกร่อง เดินตกร่องนั้นมันทั้งเจ็บด้วย แล้วมันทั้งน่าละอายด้วย ใครเห็นก็ละอายเขา ถ้าคอยสังวรอยู่ว่า มันเจ็บด้วย มันละอาย มันน่าละอายอย่างยิ่งด้วย ก็จะระวังดีขึ้น เมื่อระวังดีขึ้น มันก็ไม่ตกร่องอีกต่อไป นี่แหละการที่จะมีสติอย่างดีที่สุด ต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นั้น ต้องตั้งใจอย่างนี้ ต้องอธิษฐานจิตอย่างดียิ่งที่จะไม่พลั้งเผลอ และกลัว ว่ามันเป็นทุกข์และละอาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย

            เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกกันเสียทั้ง ๒ อย่าง หรือ ทั้งทุกอย่าง กลัวก็ไม่กลัว ละอายก็ไม่ละอาย มันก็เลยมีได้มากแล้วเป็นทุกข์อยู่ข้างใน; ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้, แม้ว่าไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นทุกข์อยู่ข้างใน ก็ขอให้กลัวและให้ละอายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่มันมาข้างนอก จนคนอื่นเขารู้หรือเขาหัวเราะเยาะ

            นี่ผู้ที่มีธรรมะแล้ว ก็จะต้องมีความกลัวและความละอายอย่างยิ่งอยู่ประจำตัว มีหิริ มีโอตตัปปะ ในธรรมะที่เป็นภายในอย่างนี้แหละ มีประโยชน์ดียิ่งกว่าที่เป็นภายนอก เป็นเรื่องภายนอก หมายความว่าที่ใครๆ เขารู้เขาเห็น ก็ยังไม่สำคัญเท่าที่ไม่มีใครรู้เห็น เรารู้เห็นของเราแต่คนเดียว นี่มันสำคัญมาก มันเสียหายมาก มันเป็นสิ่งที่จะยอมให้มีขึ้นมาไม่ได้

            นี่ขอให้สนใจ มีสติเท่านั้นแหละ มันก็รอดจากความทุกข์ในทุกกรณี มันไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปโทษผีสางเทวดา ซึ่งเป็นความโง่อย่างยิ่ง เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันโง่จนปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นี้มันก็โง่หนึ่งแล้ว ทีนี้มันก็ไปโทษผีสางเทวดา มันก็เป็นอีกโง่หนึ่ง มัน ๒ โง่ ๓ โง่ ซ้ำเข้าไป แล้วมันก็น่าละอายสักเท่าไร ขอให้คิดดู

            ความสุข และความทุกข์เกิดขึ้น เพราะเราทำผิดหรือทำถูกเมื่อมีผัสสะ ที่เรียกว่า ตามกฏอิทัปปัจจยตา, มีพระบาลีตรัสไว้ ซึ่งควรจะนึกถึงด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากพระเป็นเจ้า, สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า, และสุขทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สุขทุกข์ก็มีเหตุ เหตุนั้นก็คือ ทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตาก็เกิดทุกข์ ถ้าทำไม่ผิดก็ไม่เกิดทุกข์ ทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ก็ทำเมื่อมีอารมณ์มากระทบนั่นเอง เมื่อมีผัสสะนั่นเอง, เป็นเวลาสำคัญที่สุด ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ไม่เกิดความทุกข์

            นี่ ถ้าทำสติได้ อย่างนี้ แม้บวชอยู่ที่บ้าน ก็ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดเป็นไหนๆ นี่พูดอย่างนี้มันชอบกลเหมือนกัน แล้วมันก็เสี่ยงอยู่ว่าจะอันตราย แต่ขอยืนยันว่า ถ้าบวชอยู่ที่บ้าน แล้วทำได้อย่างนี้ ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดโดยมากที่ไม่ทำอย่างนี้ ที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ บวชละเมอๆ อยู่

ที่มา
http://www.songpak16.com/Budhatas/kanbuad.html

1184
๒. มีวิริยะ-มีความเพียรและกล้าหาญ

            ทีนี้ ข้อที่ ๒ มีวิริยะ วิริยะแปลว่า ความเพียร หรือ ความกล้าหาญ, บวกกันทั้งความเพียรและความกล้าหาญเข้าด้วยกัน ก็เรียกว่า วิริยะ, ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะหรือในตัวเองมาก่อนแล้ว วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด; อาศัยอำนาจของศรัทธา นั้นเป็นพื้นฐาน กระทำอย่างกล้าหาญ อย่างพากเพียร ในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ เกี่ยวกับเหนือโลก.

            เรื่องที่เราจะต้องทำ ถ้ากล่าวกันแต่ใจความสรุปสั้นๆ แล้วก็จะมีอยู่ ๔ ประการ ด้วยกัน คือ มีความพากเพียรกล้าหาญในการที่จะป้องกัน, พากเพียรกล้าหาญ ในการที่จะสละ, พากเพียรกล้าหาญในการที่จะสร้างสรรค์, และพากเพียรกล้าหาญในการที่จะรักษา. คำ ๔ คำนี้มีความหมายคลุมหมดในหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ป้องกัน สละ สร้าง และรักษา.

            (๑) ป้องกัน คือ ป้องกันไม่ให้ สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจะมีนั้น เกิดมีขึ้นมา; เช่นศัตรูอย่างนี้ เราต้องใช้การป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ให้มีขึ้นมา. กิเลสเป็นศัตรูร้ายกาจกว่าอะไรหมด ก็มีการป้องกัน อยู่อย่างถูกต้อง, ราวกับว่าป้องกันข้าศึกอันใหญ่หลวง ไม่ให้เกิดขึ้นได้.

            แล้วก็อันที่ (๒) สละที่เกิดขึ้นแล้ว; ถ้าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ก็ต้องพากเพียร เข้มแข็ง กล้าหาญ ในการที่จะสละมันออกไปเสีย.

            ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่ (๓) ต้องสร้างสรรค์ ได้แก่สิ่งที่ยังไม่มี ความดี ความงาม กุศล สุจริต ทุกอย่างทุกประการที่ควรจะมีในตนที่มันยังไม่เคยมี ก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมา, ด้วยอาศัยความเชื่อในสิ่งนั้นๆ และเชื่อตัวเอง ว่าจะปฏิบัติได้ ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อศรัทธา ก็สามารถจะสร้างสิ่งที่ยังไม่มีในตน, ความดีหรือกุศลที่ยังไม่มีในตน ให้เกิดมีขึ้นมาในตนให้จนได้, นี้เรียกว่า ในทางสร้างสรรค์.

            ทีนี้ (๔) ข้อสุดท้าย ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้เท่าไร เพียงไร ต้องมีการรักษา, มีการรักษา หรือจะถึงกับพัฒนาให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นหน้าที่สุดท้าย คือรักษา. เหมือนกับว่าหาเงินมาได้ มันก็ต้องรักษาให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้อง, ให้ใช้จ่ายในลักษณะที่ถูกต้อง, ให้มีอยู่อย่างถูกต้อง.

            เราอยู่ที่เรือน บวชอยู่ที่เรือน แต่มีวิริยะ: ความพากเพียร หรือกล้าหาญถึงที่สุด ในการที่จะป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายอกุศลบาปใดเกิดขึ้นในตน, ป้องกันได้เต็มที่. แล้วถ้ามีบาป มีอกุศลที่ได้เกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ก็ละไปเสีย อย่างเต็มที่, แล้วก็สร้างที่มันยังไม่เกิด บุญกุศลความดีที่ยังไม่เกิด ก็สร้างให้เกิด, ทำให้เกิดขึ้นมา. ครั้นเกิดขึ้นได้แล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรือง ยิ่งๆ ขึ้นไป, นี้เรียกว่า มีวิริยะอยู่ที่บ้านที่เรือน.

            โดยมากไม่สนใจที่จะทำให้จริง คือปล่อยไปตามบุญตามกรรม: แต่เดี๋ยวนี้เราต้องการจะเป็นผู้บวช จะเป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ก็จะต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ในฐานะที่ว่าเป็นนักบวช; แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน มีความระมัดระวัง ให้เกิดความถูกต้องในการที่จะป้องกัน หรือ สละ หรือ สร้าง หรือ รักษา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

๓. มีสติ- ต้องใช้ในทุกกรณี

            ทีนี้ ข้อถัดไป ก็คือ มีสติ, มีสติ สิ่งที่เรียกว่า สติ นี้เป็นธรรมะพิเศษ, เป็นธรรมะจำเป็นสำคัญที่จะต้องใช้ในทุกกรณี; ช่วยจำข้อความนี้ไว้ให้ดีๆ ว่าธรรมะที่จะ ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร ได้แก่ สติ. ทุกเรื่องมันต้องทำไป หรือเป็นไป ในความควบคุมของสติ; ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำอะไรไม่ได้, แม้แต่จะลุกขึ้นยืนจะเดินไปมันก็ทำไม่ได้, มันก็หกล้มหกลุกซวนเซไป, แม้แต่จะรับประทานอาหาร ถ้ามันไม่มีสติ เดี๋ยวมันก็ป้อนอาหารเข้าจมูกไป, หรือว่าถ้าไม่มีสติ มันก็จะกินอาหารอย่างตะกละ อย่างที่เป็นกิเลส ไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า เรื่องอะไร ทุกเรื่องที่อยู่ที่บ้านที่เรือน นับตั้งแต่ว่าจะทำงานชั้นหยาบ ตักน้ำ ผ่าฟืน ล้างหม้อล้างไห ก็ต้องทำไปด้วยความรู้สึกที่เรียกว่า สติ ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว ก็จะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีหลักในชั้นสูงว่า มีสติในทุกผัสสะ, มีสติในทุกผัสสะ.

            สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นี้ เข้าใจว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะพูดกันมามากมายหลายสิบครั้งเต็มทีแล้ว พูดสรุปอีกทีหนึ่งก็ว่า เรา คนเรานี่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างที่จะกระทบกันเข้ากับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นคู่กระทบ; เรียกว่า มันมีคู่ติดต่อ หรือ คู่กระทบ: ตาเป็นคู่กับรูป หูเป็นคู่กับเสียง จมูกเป็นคู่กับกลิ่น ลิ้นเป็นคู่กับรส ผิวหนังเป็นคู่กับโผฏฐัพพะที่จะมากระทบผิวหนัง; นี้เป็นฝ่ายกาย เป็นฝ่ายรูปธรรม, คู่สุดท้ายเป็น ฝ่ายนามธรรม คือ ใจ ที่จะรู้สึกกระทบต่อความรู้สึกคิดนึกของใจ ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ ใจนี้เป็นคู่กับธัมมารมณ์ จะต้องพบกันอยู่เสมอ คือ มันคิดนึกรู้สึกได้, จะอาศัยความจำแต่หนหลัง ที่จำอะไรๆ ไว้ได้มาก สิ่งเหล่านั้น ก็จะมากลายเป็นสิ่งสำหรับคิดนึกรู้สึกขึ้นมาแล้วก็กระทบใจ. นี้ก็เรียกว่า มีคู่กระทบ:

                        ตา ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ รูป,
                        หู ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ เสียง
                        จมูก ก็มีคู่กระทบ คือ กลิ่น
                        ลิ้น มีคู่กระทบ คือ รส
                        ผิวกาย ก็มีคู่กระทบ คือ โผฏฐัพพะ
                        ใจ ก็มีคู่กระทบ คือ ธัมมารมณ์


            เป็นสิ่งที่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นเนื้อเป็นตัวของตนอยู่แท้ๆ แต่แล้วคนก็ไม่รู้จัก นี่พิจารณาดูกันถึงข้อนี้ก่อนเถอะว่า มันเป็นเนื้อเป็นตัวของตัวอยู่กับตัวแท้ๆ แต่คนก็ไม่รู้สึก ไม่รู้จัก ว่ามันมีอยู่อย่างไร ในฐานะอย่างไร

            ถ้าจะศึกษาธรรมะให้เป็นธรรมะกันจริงๆ แล้ว จะต้องรู้จักสิ่งสำคัญ ๖ คู่นี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอน รู้กันให้ทั่วถึงเกี่ยวกับเรื่องทั้ง ๖ นี้; เพราะว่าอะไรๆ มันก็สำเร็จมาจากอายตนะ ๖ คู่นี้, หรือว่า โลก โลกทั้งโลกมันจะมีปรากฏอยู่ได้ก็เพราะว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็คือ ไม่มีอะไร, มันก็คือไม่มีโลก ไม่มีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง. จงรู้จักสิ่งที่เรามี สำหรับทำให้สิ่งต่างๆ มี และเป็นเรื่องราวขึ้นมา ก็เพราะสิ่งทั้ง ๖ นี้, สิ่งทั้ง ๖ นี้จึงอยู่ในฐานะสำคัญว่า ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย ไม่มีอะไรจะร้ายยิ่งไปกว่านี้.

            จึงขอชักชวนวิงวอนท่านทั้งหลายว่า จงรู้จักสิ่งทั้ง ๖ คู่นี้ให้ดีที่สุด ในฐานะที่มันมีอยู่ในตัวเรา หรือมันเป็นตัวเราอยู่นั่นเอง, แล้วก็มีสติเมื่อสิ่งนี้ทำหน้าที่: มีสติเมื่อตาทำหน้าที่เป็นรูป, มีสติเมื่อหูทำหน้าที่ได้ยินเสียง, มีสติเมื่อจมูกทำหน้าที่ดมกลิ่น, มีสติในเมื่อลิ้นทำหน้าที่รู้รส, มีสติเมื่อผิวหนังทำหน้าที่กระทบสิ่งที่มากระทบผิวหนัง, และมีสติเมื่อใจทำหน้าที่กระทบเข้ากับธัมมารมณ์ คือ ความรู้สึกนึกคิด ให้รู้โดยประจักษ์ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมีการกระทำสืบต่อต่อไปอย่างไร ซึ่งก็ควรจะทราบไว้ด้วยเหมือนกัน.

            ยกตัวอย่างคู่แรก คือ ตากับรูป พอตากับรูปกระทบกัน มันก็เกิดวิญญาณทางตา คือการเห็นแจ้งทางตาขึ้นมา นี่เรียกว่า วิญญาณทางตา ตากับรูปที่มากระทบ และวิญญาณทางตา มีอยู่พร้อมกัน ๓ อย่างนี้ในหน้าที่เดียวกัน, นั่นแหละเรียกว่า ผัสสะ; ไม่ใช่เพียงแต่ตากระทบรูป นั้นมันพูดหยาบๆ เกินไป พูดตามพระบาลี ที่ชัดเจนแล้ว จะต้องมี ๓ เสมอ คือ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ ที่เกิดออกมาจากอายตนะนั้นๆ เหมือนอย่างในทางตาดังที่กล่าวแล้ว พอตาเห็นรูป กระทบกับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา คือ จักษุวิญญาณ, เลยได้เป็น ๓ อย่าง คือ ตา อย่างหนึ่ง รูป อย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง, จักษุวิญญาณทำหน้าที่สัมผัสรูปทางตา นี่เรียกว่า จักษุสัมผัส, จักษุสัมผัส มีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ก็เหมือนกันแหละ มันมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างนี้ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ก็เรียกว่า ผัสสะ.

            ทีนี้ ผัสสะมีแล้ว เช่น ผัสสะทางตามีแล้ว มันก็ จะเกิดเวทนา คือ ความรู้สึกที่พอใจ หรือไม่พอใจ หรือ เฉยๆ เป็นเวทนา ๓ อย่างขึ้นมา เรียกว่า เวทนาที่เกิดมาจากการสัมผัสโดยทางตา นี่เวทนาเกิดแล้ว มันไม่หยุดอยู่เพียงนั้น มันให้เกิดอันอื่นต่อไปอีก ถ้าในขณะสัมผัสนั้นเราเป็นคนโง่ คือ ไม่มีสติ หรือ ไม่มีปัญญา ใดๆ ในขณะที่สัมผัสทางตานั้น มันก็ เป็นสัมผัสโง่, มันก็ออกมาเป็น เวทนาโง่ ที่ไม่มีสติควบคุม. มันก็ปรุงความคิดนึกต่อไป คือ มีความยินดี เมื่อสัมผัสนั้นให้พอใจ ยินร้าย โกรธแค้นขัดเคือง เมื่อสัมผัสนั้น ไม่เป็นที่พอใจ หรือ เกิดพะวงหลงใหลอยู่ อยากจะรู้แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร อย่างนี้ เมื่อสัมผัสนั้น มันไม่แสดงว่าเป็นที่พอใจ หรือ ไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเวทนานั้น ไม่ชัดลงไปว่า เป็นที่พอใจหรือ ไม่เป็นที่พอใจ.

            นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาตรงนี้; ถ้ารับเอาด้วยความพอใจ ก็เกิดโลภะ รับเอาด้วยความไม่พอใจ ก็เกิดโทสะ รับเอาด้วยความไม่แน่ใจว่า พอใจหรือไม่พอใจ ก็เกิดโมหะ ถ้าเกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้ว มันเกิดไฟเสียแล้วนั่นเอง.

            ทีนี้มันก็ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา คือ อยากต่อไป ในกรณีที่เกิดโลภะ คือ เวทนาเป็นที่ถูกใจ เกิดโลภะ มันก็เกิดตัณหา สำหรับจะได้ จะเอา จะมีไว้ หรือ จะหามาอีก; หรือถ้าหากว่ามัน เกิดโทสะ คืออารมณ์นั้นไม่น่าพอใจ เกิดโทสะ มันก็เกิดความอยาก คือ ตัณหา อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย หรืออยากจะผลักไสออกไปเป็นอย่างน้อย ตามแบบของโทสะ ถ้าว่ามัน ไม่แน่ว่าอย่างไร มันก็วนเวียนอยู่ที่นั่น เป็นลักษณะของ โมหะ.

            นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล้ว มันก็คือ เกิดไฟ, เกิดไฟขึ้นในจิตใจ ถ้ามีสติเสียแต่ในขณะผัสสะ แล้ว มันไม่เกิดอย่างนี้ มันกลายเป็นเกิดอีกทางหนึ่ง คือ ทางที่ให้รู้ว่า นี่อะไรนะ นี่อะไรนะ ควรทำอย่างไรนะ นี่ควรทำหรือไม่ควรทำ ควรทำอย่างไร ก็ทำไปตามที่ควรจะทำ ไม่มามัวยินดียินร้ายโกรธแค้นขัดเคืองอะไรอยู่ มันก็เลยไม่เกิดไฟ ไม่เกิดทุกข์ นี่เพราะ อำนาจสติ แท้ๆ ที่ป้องกันไว้ไม่ให้เกิดไฟขึ้นมา ในเมื่อมีการกระทบทางผัสสะ

            เมื่อมีตัณหา เป็นความอยากแล้ว มันก็ ปรุงแต่ไปเป็น อุปาทาน คือ ผู้อยาก ความรู้สึกอยาก มันก็จะปรุง ให้เกิดความรู้สึกว่า มีผู้อยาก ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนอะไร; พอมีผู้อยากแล้ว มันก็ถึงที่สุดแล้ว ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับจะเป็นทุกข์ทรมาน คือมันมีความรู้สึกหนัก ด้วยความมีตัวตน ความมีตัวตน, และเมื่อมีตัวตนแล้ว มันก็มีอะไรเป็นของตน.

            เมื่อเกิดตนขึ้นมาอย่างนี้แล้ว เกิดตนในความรู้สึก ไม่ใช่ตัวจริงอะไร เพียงแต่ในความรู้สึกว่าตัวตน มันเกิดตัวตนอย่างนั้นแล้ว มันก็เอาอะไรๆ มาเป็นของตน ทั้งภายนอกและภายใน เช่น ยึดถือเอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาเป็นของตน มันก็หนักเท่าไร ทุกข์เท่าไร ร้อนเท่าไร ทีนี้ ภายนอก มันก็ยึดถือเอา ทรัพย์สมบัติสิ่งของ บุตรภรรยาสามี เป็นต้นว่า เป็นของตน, มันก็หนักเท่าไร มันก็เลยหนักรอบด้าน หนักทุกทิศทุกทาง เพราะเมื่อผัสสะ ทำผิดเมื่อผัสสะ แล้วก็ ความทุกข์มันก็เกิด อย่างนี้.

            ถ้ามีสติเมื่อผัสสะ คือได้ศึกษาฝึกฝนมาดี มีสติมีปัญญา แล้วก็มีสติมาทันเวลาที่มันมีอะไรมากระทบตา มันก็เป็นการกระทบที่ฉลาด เป็นสัมผัสที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ มันไม่หลงปล่อยให้กิเลสเกิด แต่มันกลับรู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วมันก็ทำไปในทางที่ควรทำ ให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่เกิดโทษ ถ้าไม่มีสติ มันก็ไปเกิดกิเลส แล้วมันก็เกิดโทษ มันเป็นได้อย่างนี้ทั้ง ๖ ทางคือ ทั้งทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ มีวิธีที่จะปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์กันอย่างนี้

            นี่เป็นวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ เรื่องของความทุกข์ ในเรื่องของความทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา เป็นหลักวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่อย่างนี้ ความสุข และ ความทุกข์ มันเกิดขึ้น เพราะทำผิดหรือทำถูกในขณะแห่งผัสสะ; มันไม่ได้เกิดมาจากผีสางเทวดา เคราะห์ โชค ดวงดาวอะไรที่ไหน พระองค์จึงตรัสว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับผลกรรมแต่ชาติก่อนด้วยซ้ำไป มันเกิดมาจากการกระทำผิดหรือกระทำถูก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือผัสสะ นั่นเอง นี้เราก็มีผัสสะชนิดที่มีสติ เราจึงต้องมีสติ เพื่อจะได้ควบคุมผัสสะ


ที่มา
http://www.songpak16.com/Budhatas/kanbuad.html

1185
การบวชอยู่ที่บ้าน
โดย พุทธทาสภิกขุ
สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี


            บางคนจะสงสัยว่า บวชทำไมอยู่ที่บ้าน? มันก็พอจะตอบได้ว่า เราทำอย่างเดียวกัน ในวัตถุประสงค์ที่มุ่งหมายของคำว่า บวช แปลตามตัวหนังสือ ก็ว่า เว้นหมดจากที่ควรเว้น ก็คือ เว้นจากการปฏิบัติหรือการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นไปเพื่อความทุกข์ เราจะเว้นเสียโดยเด็ดขาด; ไม่ทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด แต่ว่าโดยแท้จริงก็อยู่ที่บ้าน แต่ไม่ต้องทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด, ทำในใจแต่การประพฤติปฏิบัติ ให้ตรงตามความหมายนั้นเท่านั้น คือว่า เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้น ในทุกๆระดับ.

            หรือแม้ว่าเราจะอาศัยคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติประเสริฐ, ประพฤติอย่างพรหม ก็ไม่ได้จำกัดว่าที่บ้านหรือที่วัด ถ้าประพฤติได้ก็ประพฤติ; อย่างจะถือศีลพรหมจรรย์อยู่ที่บ้าน ศีล 8 ศีล 10 นั้นก็ยังถือได้ คำว่า พรหมจรรย์ นั้นมีความหมายว่า การประพฤติอย่างเต็มที่หรือเคร่งครัด ติดต่อกันเป็นระยะยาว เป็นการปฏิบัติตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ยังได้ พูดกันง่ายๆ ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ที่บ้าน มันก็ยังทำได้.

            ทีนี้เมื่อบุคคล บางคนไม่อาจจะออกไปบวช หรือว่าเป็นสตรี ไม่อาจจะบวชเป็นภิกษุณี ก็เสียใจ หรือน้อยใจ อย่างนี้ก็มี, หรือด้วยเหตุอย่างอื่นออกไปบวชไม่ได้ อย่างนี้ก็มี, ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องน้อยใจ, พยายามประพฤติปฏิบัติในธรรมะ ซึ่งเป็นการปฏิบัติให้ดีที่สุดให้สูงที่สุด ตามที่จะทำได้ ก็จะเป็นการบวชอยู่ที่บ้าน เรียกว่า บวชอยู่ที่บ้าน. ฟังดูให้ดีๆ เพราะบวช นั้นคือการเว้นเสียจากสิ่งที่ควรเว้น, พรหมจรรย์นั้น หมายถึงการประพฤติข้อธรรมอย่างจริงจังเคร่งครัด แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำอย่างเคร่งครัดติดต่อกันจนตลอดชีวิต ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ได้เหมือนกัน. เดี๋ยวนี้เราจะถือเอาหลักปฏิบัติตามที่มีอยู่อย่างไรในพระพุทธศาสนานั้น เอามาถือไว้เป็นหลักปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน กับพวกที่บวชออกไปอยู่ที่วัด หรือไปอยู่ที่ป่า, และในบางกรณี บวชอยู่ที่บ้าน จะทำได้ดีกว่าบางคนหรือบางพวก ที่ไปบวชเหลวไหลอยู่ที่วัด หรือแม้อยู่ในป่า ด้วยเหตุนี้แหละพอที่จะกล่าวได้ว่า เรื่องสถานที่นั้น ก็ไม่ได้สำคัญเด็ดขาด อะไรนัก, มันสำคัญหรือเด็ดขาดอยู่ที่การประพฤติกระทำมากกว่า ซึ่งขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ ว่า การบวชอยู่ที่บ้านนั้น จะบวชกันได้อย่างไร?

หลักปฏิบัติในการบวชอยู่ที่บ้าน

            การบวชอยู่ที่บ้านนั้น ก็ต้องอาศัยหลักธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ หรือเป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นหลักชัดเจนตายตัว ในที่นี้ จะเลือกเอามาสักหมวดหนึ่ง สำหรับยึดเป็นหลักปฏิบัติ แต่ก็มิได้เลือกเอาหมวด เช่น อริยอัฏฐังคิกมรรค เป็นต้น นั้นมันเป็นหลักทั่วไป ที่วัดก็ได้ ที่ไหนก็ได้, จะเอาชนิดที่สูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น คือหมวดธรรมที่มีชื่อว่า อินทรีย์ทั้ง 5, จำไว้ให้ดี.

            อินทรีย์ทั้ง๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ๕ อย่างนี้ แต่ละอย่างเรียกว่า อินทรีย์. คำว่า อินทรีย์ แปลว่า สำคัญ ตัวการสำคัญ หลักการสำคัญ, ธรรมะทั้ง ๕ ข้อนี้ จะมีอยู่ในการปฏิบัติทั่วไป, จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕.

            ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าวแล้ว.

            ๑. มีสัทธา-เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์. ข้อแรก คือ สัทธา แปลว่า ความเชื่อ บวชอยู่ที่บ้านก็มีความเชื่อในธรรมะนั้นๆ ถึงที่สุด. เชื่อในอะไร? ถ้าถามว่า เชื่อในอะไร? ก็คือ เชื่อในธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์ ที่รู้กันทั่วไป ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อริยอัฏฐังคิกมรรค มีองค์ ๘ นี้ เป็นธรรมที่ดับทุกข์. เราได้ศึกษาแล้ว เห็นแล้ว มีความเชื่อว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง หรือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นที่พึ่งได้จริง, เชื่อลงไปเสียทีหนึ่งก่อน.

            แล้วก็เชื่ออีกทีหนึ่ง คือ เชื่อตัวเอง ว่า ตัวเองนี่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น ในเนื้อในตัวของตน มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น, นี่ก็เป็นอีกเชื่อหนึ่ง รวมกันเป็น ๒ เชื่อ: เชื่อในสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติว่าดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ.

            นี่ มีศรัทธา อย่างนี้ แล้วก็อยู่ที่บ้าน บวชอยู่ที่บ้าน มันก็พอที่จะทำให้เกิดอำนาจ เกิดกำลัง กำลังภายในก็ได้, ใช้คำอย่างนี้กับเขาบ้าง. เกิดอำนาจเกิดกำลังในการที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหลักทั่วไป; เช่นว่า รับศีล เอาไป ไปถือที่บ้าน ก็ต้องทำให้เป็นศีลของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น แน่วแน่ โดยเชื่อว่า ศีลนั้นเป็นเครื่องดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองสามารถรักษาศีลได้ ให้มีความเชื่ออย่างนี้เถิด ก็จะเป็นผู้มีศรัทธา, แล้วก็มีอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง มีความหนักแน่น จริงจัง เคร่งครัดในการปฏิบัตินั้นๆ.

            ทีนี้ก็ปล่อยให้ศรัทธานั้นแหละ ดำเนินไปตามที่ควรจะมีในแต่ละวันๆ อำนาจของศรัทธา ทำให้มีการประพฤติจริง ทำจริง ถึงที่สุดแล้วก็มีกำลังใจที่เกิดมาแต่ศรัทธานั้นมากมาย ประพฤติปฏิบัติได้เต็มที่.

            เดี๋ยวนี้ คนมีศรัทธากันแต่ปาก มีศรัทธากันแต่ผิวๆ ว่ามีศรัทธา มีศรัทธา แต่หาได้มีศรัทธาตัวจริงแท้ แท้จริงตามที่กล่าวมานี้ไม่, คือไม่ได้เชื่อแม้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริง, แล้วก็ไม่ได้เชื่อว่า ตัวเองจะสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ตามคำสอนเหล่านั้น. มาจัดการกันเสียใหม่ มาชำระสะสางกันเสียใหม่: อยู่ที่บ้าน แต่ให้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมทั้ง ๒ ประการ คือมีศรัทธาในธรรมะ ที่จะประพฤติว่าดับทุกข์ได้จริง แล้วมีศรัทธาในตัวเอง, ตัวเองนั่นแหละ ว่าสามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้นได้, รวมกำลังกันเป็น ๒ ฝ่ายอย่างนี้แล้ว ก็เป็นศรัทธาที่สมบูรณ์อยู่ที่บ้าน ก็มีลักษณะอาการเหมือนบวชอยู่ที่บ้าน.


ที่มา
http://www.songpak16.com/Budhatas/kanbuad.html

1186
3. นิโรธ คือการดับทุกข์ จะกำจัดทุกข์ออกไปจากจิตก็ต้องดับ หรือ กำจัดเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ คือร่างกาย ขันธ์ 5 นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ร่างกายขันธ์ 5 นี้เป็นสาเหตุที่มาของตัณหา กิเลส อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรมต่าง ๆ การดับทุกข์ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่ยาก คือจิตเราไม่สนใจ อาลัยใยดีร่างกายขันธ์ 5 อีกต่อไป เลิกคบ ไม่เอา แต่จิตก็ต้องดูแลร่างกายตามหน้าที่ให้กายกินนอนอยู่สบาย แต่จิตไม่ยึดมั่น คิดว่าร่างกายขันธ์ เป็นของเราอีก ต่อไปคิดเพียงว่าเราคือ จิต กายในกาย หรือ อาทิสมานกาย มาอาศัยบ้านเช่าที่แสนสกปรก เหม็นเบื่อนี้ชั่วคราว ร่างกายนี้แตกทำลายเมื่อไร เราจิตเราจะดีใจมาก เราจะทำความดีเพื่อไปเสวยสุขแดนที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางให้ไป คืออมตะนิพพาน


4. มรรค คือทางเดินเข้าสู่ความบริสุทธิ์ สะอาดสว่างของจิตอาทิสมานกาย กายภายใน มรรค 8 ประการนี้ พระองค์ทรงชี้ทางปฏิบัติ แบบสบาย ๆ สายกลาง ไม่ขี้เกียจจนเกินไป ไม่ขยันจนเกินไป ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป คือ
1) สัมมาวาจา พูดจริง พูดไพเราะ พูดเป็นประโยชน์
2) สัมมาวาชีโว ทำงานหาเลี้ยงชีวิตที่สุจริต
3) สัมมากัมมันตะ ทำงานที่ดี คือ งานกำหนดลมหายใจเข้าออก ดูว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันเป็นของธรรมชาติ เช่น ลมหายใจมันเป็นของมันโดยอัตโนมัติ ห้ามไม่ให้หัวใจหยุดเต้นไม่ได้ต้องตายตามเวลา
(ปฏิบัติในขั้นสมาธิ มี 3)
4) สัมมาวายาโม ความเพียรที่จะกำจัดกิเลสตัณหา ให้หมดไปจากจิตให้ได้
5) สัมมาสติ ระลึกถึงความดี เห็นว่าร่างกายเป็นเพียงของปลอม ไม่ใช่ของเรา เป็นที่อาศัยชั่วคราว ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมคือทุกอย่างในโลกเป็นไตรลักษณะ ไม่ทนทาน เป็นปัญหายุ่งยากเมื่อสลายไป และอนัตตา ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครควบคุมให้อยู่ตลอดไปได้
6) สัมมาสมาธิ มีจิตตั้งมั่นอยู่ในที่ระลึกถึงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออก ก็ทำได้ตลอด จิตไม่วุ่นวาย ผู้ที่มีสติระลึกได้ในความดีของจิต สะอาด ปราศจากความโกรธ ความโลภ ความหลง เรียกว่า ผู้ทรงฌาน คือ ผู้มีสมาธิ ตั้งแต่ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 จนถึงฌาน 4 จะมีความฉลาดเฉลียว ทั้งทางโลกทางธรรมิ
(ปฏิบัติในขั้นปัญญา)
7) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกาย โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสุขจริง ความเห็นว่า มีการเกิด การตาย มีชีวิตอยู่เพราะกรรม จะหมดกรรมได้ต้องหมดกิเลส ความเห็นว่าตายแล้วไม่สูญดังที่คิด บาป กรรม บุญ มีจริง สิ่งที่สูญจริง คือขันธ์ จิตที่สะอาดแจ่มใสไปสุคติ จิตที่ชั่ว มัวหมอง ผิดศีลธรรม ไปทางนรก สัตว์ เปรต อสุรกาย มีความเห็นตรงตามพระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
8) สัมมาสังกัปปะ ระลึกถึงพระนิพพาน พระรัตนตรัย ระลึกไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ร่างกายเป็นทุกข์ โทษ ระลึกว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ไม่น่ารักใคร่ ยินดี จิตไม่อาลัยทุกสิ่งในโลก


ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html

1187
เราก็คือจิตหรืออาทิสมานกายมาอาศัยอยู่ในขันธ์ 5 หรือกายเนื้อชั่วคราว เพื่อ

1. รับผลบุญ ผลบาป ผลกรรมจากอดีตชาติ
2. เพื่อตอบแทนท่านผู้มีพระคุณที่เลี้ยงเรามา ได้แก่ คุณพ่อคุณแม่
3. เพื่อปฏิบัติ จิตให้สะอาดบริสุทธิ์ พ้นจากวงกลมเวียนว่ายตายเกิด ไปเสวยสุขแดนทิพย์ อมตะ นิพพาน ตราบใดที่จิตยังไม่เข้าถึงแดนทิพย์นิพพาน จิตก็แสวงหาที่เกิดใหม่ เป็นเทพเทวดา นางฟ้า เป็นคน เป็นสัตว์นรก เป็นผีสลับกันไป เนื่องจากผลกรรมดี กรรมชั่ว เราเองเป็นผู้สร้าง

      ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงกายในกายไว้ สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้น ก็ถือเอาอวัยวะภายในเป็นกายในกาย ส่วนท่านที่มีจิตเป็นทิพย์ มีสมาธิสูง มีความรู้พิเศษ คือ ทิพจักขุญาณ มีญาณความรู้วิเศษจากผลของสมถะ มีประโยชน์มากในวิปัสสนาญาณ เป็นนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายในการเกิด รู้ใจผู้อื่น อารมณ์ดี จิตดีหรือชั่ว จะเห็นกายในกายของตนเองและผู้อื่นได้ดี เป็นเจโตปริยญาณ จะช่วยแก้ไขตัดกิเลสได้ง่าย

กายในกาย(อทิสมานกาย เรียก สั้น ๆ ว่า จิต) แบ่งเป็น ๕ ขั้น

1. กายอบายภูมิ รูปกายในกายซูบซีด ไม่ผ่องใส เศร้าหมอง อิดโรย ได้แก่ กายของผู้ที่อยู่ในอบายภูมิ เช่นสัตว์นรก เปรต สัตว์เดรัจฉาน
2. กายมนุษย์ เป็นคนแตกต่าง สวยสดงดงามไม่เท่ากัน ร่างกายเป็นมนุษย์ชัดเจนเต็มตัว
3. กายทิพย์ กายในกาย ผ่องใส ละเอียดอ่อน เป็นเทพ รุกขเทวดา อากาศเทวดา มีเครื่องประดับมงกุฏแพรวพราว ได้แก่กายของเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์
4. กายพรหม ลักษณะกายในกายคล้ายเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่าใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับสีทองดูเหลืองแพรวพราวไปหมด ได้แก่ กายของพรหม ท่านมีฌานอย่างต่ำปฐมฌานสูงถึงฌาน 4 สมาบัติ 8 มีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ
5. กายแก้วหรือกายธรรมหรือพระธรรมกาย แบบที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำท่านสอนไว้ กายในกายของท่านที่เป็นมนุษย์แต่จิตสะอาด ปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดอวิชชา ฉลาดสว่างไสว เป็นกายของพระอรหันต์จะเป็นกายในกายของท่าน เป็นประกายพรึก ใสสะอาด สว่างยิ่งกว่ากายพรหมเป็นแก้วใส

      การรู้อารมณ์จิตตนเองมีประโยชน์มาก ในการคอยสกัดกั้นอารมณ์ชั่วร้าย กิเลสและอุปกิเลสของเราไม่ให้มาพัวพันกับจิต ยิ่งฌานสูง จิตก็ยิ่งสะอาดสามารถตัดกิเลสได้ง่าย อย่าคิดว่าสมถะไม่สำคัญ แม้พระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นผู้เลิศด้วยอานาปานุสสติ เพื่อระงับทุกข์ของร่างกาย เพื่อความเป็นอยู่สุข แม้ท่านปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็เข้าฌาน 4 และจิตออกจากกายด้วยฌาน 4 เคลื่อนจิตบริสุทธิ์ของพระองค์ท่านเสวยสุข อมตะ พระนิพพาน ผู้ที่มีสมาธิจิตถึงฌาน 4 ก็สามารถสัมผัสถึงพระองค์ได้ ปัจจุบันนี้ท่านไม่สูญสลายหายไปไหน แม้ปรินิพพาน นาน 2542 ปีล่วงมาแล้ว พระองค์ยังส่งกระแสจิตที่เป็นอภิญญาช่วยโลกตลอดเวลาด้วยพระเมตตาคุณ หาที่สุดมิได้ กลับมาคุยเรื่อง อริยสัจ 4 ต่อ ข้อ 3 ด้วย


ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html

1188
3. วิปัสสนาแบบที่ 3 คือ พิจารณาตามแบบอริยสัจ 4

อริยสัจคือความจริงทำให้บุคคลเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าหรือความจริงที่ทำให้ใจเราสะอาดบริสุทธิ์ กายก็ยังสกปรกเช่นเดิม เราปฏิบัติทางจิต ทางกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเน่าเหม็นของโลก

3.1 ทุกข์ ความทุกข์มีจริงตลอดเวลา แต่คนเห็นทุกข์ไม่ค่อยมี ข้าวคำเดียวจะใส่ในปากก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานเรา ทำงานหาเงิน ไปตลาด ทำอาหารหุงต้มจึงจะได้กิน เป็นไปโดยความเหนื่อยยาก ไม่ได้มาง่าย ๆ ต้องใช้สติปัญญาต่อสู้เพื่อหาวิชชา หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว อยู่คนเดียวก็หนัก ดูแลตัวเราเอง มีครอบครัว ก็ดูแลร่างกายหลายคน หนักเพิ่มขึ้น ความเจ็บป่วยกายมีตลอด คือ ความหิวต้องหาอาหาร เติมไว้ในกระเพาะ ไม่มีอาหารก็หิวทุกข์ทรมาน พระพุทธองค์ตรัสว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ความทุกข์ จริง ๆ มันอยู่ที่ใจ เข้าไปยึดมั่นในร่างกายว่าเป็นตัวตน ตัวเขาตัวเรา ถ้าทำจิตแยกจากกายได้ ตอนที่ได้มโนมยิทธิแยกจิตออกจากกาย ไปอยู่บนพระนิพพานหรือว่าเข้าฌาน 4 ขณะนั้น จิตแยกจากกายเด็ดขาด จิตจะไม่ยอมรับรู้เรื่องประสาท ความทุกข์ของร่างกาย จิตจะเป็นสุขอย่างยิ่ง แสดงว่าร่างกายมันไม่รู้เรื่องจริง ๆ มันไม่ทุกข์ด้วย แต่อาการที่ทุกข์ คือเอาจิตไปจับไว้ในร่างกาย จึงทุกข์ทรมานเวลาเจ็บป่วย ไม่สบายกาย ทำจิตเฉยไว้ ปล่อยให้กายเจ็บ จิตไม่เจ็บด้วย ถ้าทำสมาธิถึงฌาน 4 ไม่ได้ ก็ใช้จิตดูความเจ็บปวดของร่างกายไว้ ใจจะไม่เป็นทุกข์ ปวดตามกาย

3.2 สมุทัย คือ สาเหตุของความทุกข์ หรือเหตุให้เกิดทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตัณหา ความทะเยอทะยานอยากหรือความดิ้นรนอยากได้ตามความต้องการ ทำให้กระวนกระวาย เดือดร้อนใจ มีกาม ตัณหา ความใคร่ อยากได้ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เกินพอดี ความจำเป็นของร่างกายมีอยู่เป็นธรรมดา เช่น หิวก็ต้องหาอาหารกิน พระท่านไม่เรียกว่าตัณหา การแสวงหาทรัพย์สินมาได้โดยชอบธรรม ท่านเรียกว่า สัมมาอาชีวะ พระองค์สนับสนุนให้มีความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน เลี้ยงชีวิต เพื่อความเจริญทางโลก เพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ผู้ยากจน คำว่า ตัณหานี้ คืออยากได้เกินพอดี อยากลักขโมยเขา อยากโกงเขา เป็นคนจนทำมาหากินจนรวยท่านไม่เรียกว่าตัณหา เป็นสัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพถูกต้องไม่ผิดศีล

ภวตัณหา มีอยู่แล้วอยากให้ทรงตัวอยู่ เช่น อยากหนุ่มสาว อยากแข็งแรงตลอดไป เป็นการฝืนธรรมชาติ ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
วิภวตัณหา มีอยู่แล้วเช่นคนรักจะต้องแตกสลายตายไป ก็หาทางทุกอย่าง ปกป้องกันไม่ให้มันพัง คือ พวกที่ทำผ่าตัดตกแต่งความแก่เฒ่าให้ดูอ่อนวัย ผลที่สุดก็คือฝืนธรรมชาติไม่ได้

       พระพุทธองค์สอนว่า ให้เอาจิต ยอมรับนับถือกฎธรรมดาของร่างเราเอง อะไรจะเกิดขึ้น เจ็บป่วยใกล้ตายก็ยิ้มรับเพราะรู้แล้วว่า เป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ความจริงนั้นร่างกายตายแต่ตัวนอก ตัวในคือ กายในกาย พระท่านเรียกว่า อทิสมานกาย อทิสมานากาย คือ กายที่มองไม่เห็นโดยตาเนื้อ จะเห็นได้ด้วยจิตที่สะอาด ปราศจากกิเลส เศร้าหมอง กายนอกคือขันธ์ 5 พระท่านสอนไว้ว่าอย่าสนใจกายนอก คือ กายเนื้อ กระดูก เลือด ที่เหม็นสกปรกทุกวัน เหมือนซากศพเคลื่อนที่ พระท่านว่าอย่าสนใจกายเนื้อ สนใจกับมันมากก็ทุกข์ใจมาก สิ่งที่ท่านให้เราสนใจพิจารณาดูมาก ๆ คือ กายในกาย เรียกว่า อทิสมานกาย หรือจิตอันเดียวกันนั้นจริง ๆ


ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html

1189
2. วิปัสสนาโดยการตั้งจิตให้ระลึกถึง มหาสติปัฏฐานสูตร

วิปัสสนา โดยการตั้งสติให้ระลึกถึง มหาสติปัฏฐานสูตร เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา แปลว่า ทางนี้เป็นทางเอก เป็นทางของบุคคลคือเราผู้เดียวเท่านั้นที่รับ สุข รับทุกข์ เราผู้เดียวเท่านั้นปฏิบัติตนพ้นทุกข์ ถึงระนิพพานได้ ไม่มีใครมาช่วยเราได้ นอกจากเราผู้เดียว พิจารณาตนเองเป็นเพียงธาตุ 4 ดินน้ำ ลม ไฟ ประกอบกันชั่วคราว แล้วสลายตัว เปื่อยเน่า เมื่อยังไม่ตาย ก็มีแต่โรคภัยรบกวน เร่าร้อน ทุกข์สาระพัด ต้องดูแลร่างกาย เพื่อความสะอาดของจิต ให้มีสติ รู้ตัวพิจารณา

1) กาย คือ กายในที่อาศัยกายเนื้ออยู่ ดูลมหายใจ ดูความน่าเกลียด ดูเหมือนศพเน่า
2) เวทนา พิจารณาอารมณ์เป็นสุข ทุกข์ เฉย ของตนเองอยู่เสมอว่าว่า ไม่คง
3) จิต สติพิจารณาจิต มีนิวรณ์5 รบกวน พิจารณาขันธ์ 5 อายตนะ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) โพชฌงค์ 7 ธรรมที่เป็นปัญญาช่วยให้ตรัสรู้ คือ หนึ่ง สติ สองธัมมวิจยะ สามวิริยะ มีความเพียร สี่ปิติ อิ่มใจ สี่วิปัสสัทธิ ความสงบใจ หกสมาธิ ความตั้งใจมั่น เจ็ดอุเบกขา การวางเฉย
4) ธรรม คือ การพิจารณาให้เห็นว่ารูป ร่างกาย นาม คือ ความรู้สึก ความจำ ความคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นทุกข์ แปรปรวน และเสื่อมสลายตลอดเวลา มีวิญญาณคือประสาททั้ง 6 (อายตนะ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของจิต ไม่ควรเอาจิตสนใจกับอายตนะทั้ง 6 นั้น ถ้าจิตไปสนใจกายหรือวิญญาณ (อายตนะทั้ง 6) ก็มีแต่ความทุกข์ใจ ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด

วิปัสสนาแบบในพระไตรปิฏก ที่มีมาในขันธวรรค

          พิจารณาขันธ์ 5 คือร่างกาย ความคิด ความจำ เวทนา ความรู้สึกทุกข์หรือเฉย ๆ วิญญาณในขันธ์ 5 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น ไม่ใช่จิตใจตามแบบที่คนทั่วไปคิด วิญญาณไม่ใช่จิต คนละอย่างกัน จิตคือผู้รู้ ผู้มีความนึกคิด จิตเป็นนาย จิตเป็นนายของวิญญาณ คือความรู้หนาวรู้ร้อนหิว กระหาย เผ็ดเปรี้ยว นุ่มนิ่ม แข็งกระด้างเป็นวิญญาณ ใจคืออารมณ์ พระองค์สอนว่าทั้ง 5 อย่างนี้ ไม่ใช่ตัวเราเป็นของปลอม เป็นสมบัติของโลก ของธรรมชาติ เกิดขึ้นจากพ่อแม่ อาหาร ธาตุดินน้ำลมไฟ ประชุมกันชั่วคราว ตัวเราจริงๆคือจิตแรกเริ่มประภัสสร สะอาด แต่มามัวหมอง สกปรก เพราะมีความอยาก ความรัก ความหลง ความโกรธ ความไม่รู้ความจริงของโลก มาครอบงำจิต จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป นึกว่าจิตกับขันธ์ 5 เป็นอันเดียวกันแบบนี้ เป็นการเห็นผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ต้องเดินหลงทางผิด ก็เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ให้ดูร่างกายว่าไม่ใช่ของเรา จิตไม่ควรไปยึดถือจริงจังกับขันธ์ 5 อาศัยร่างกาย ทำความดี เพื่อจิตจะได้สะอาด ปราศจากกิเลส ไปอยู่พระนิพพาน หรือยังไม่ตาย จิตก็เป็นสุขยิ่งคือพระนิพพาน

จิตมาอาศัยขันธ์ 5 อยู่ชั่วคราว ขันธ์ 5 ตาย ร่างกายตายพร้อมกับวิญญาณ ความรู้สึกประสาท สมอง ความคิดดีชั่ว ความจำ ความรู้สึกสุขทุกข์ ตายร่วมกับร่างกาย จิตก็ท่องเที่ยวไปแสวงหาที่อยู่อาศัยใหม่ ตามบุญ บาป ผลกรรมส่งจิตไปที่สุข ที่ทุกข์ แล้วแต่ความดี ทำดีก็ไปสวรรค์ ทำชั่วก็ไปนรก ไปเกิดเป็นสัตว์หรือเป็นคนที่มีทุกข์ต่อไป จิตสะอาดไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย รูป นาม ขันธ์ 5 ก็ไปเสวยสุขแดนอมตะนิพพาน ไม่ต้องเกิดตายเป็นทุกข์อีก เคล็ดลับจริงของการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์คือจิตเราไม่อาลัย ยินดี ติดอยู่ในร่างกายเรา ร่างกายบุคคลอื่น โดยมีจิตฉลาด จิตรู้ จิตมีวิชชา รู้ความจริงของร่างกาย(ขันธ์ 5) ว่าเป็นสาเหตุแห่งการทุกข์ยากลำบากกายใจ เพราะร่างกายคือของชำรุดทรุดโทรม ต้องดูแลชำระล้าง ต้องหาอาหารเติมให้ร่างกายวันละ 3 มื้อ เป็นของที่ดองไว้ด้วยกิเลสร้อยแปดประการ เป็นของว่างเปล่า สูญสลาย เป็นอนัตตาในที่สุด ก่อนตายจิตก็จะต้องเจ็บปวด ทรมานกับกายจนทนไม่ไหว ร้องครวญคราง ร่างกายตาย จิตก็แสวงหาที่อยู่ใหม่ จิตฉลาดก็ไม่ต้องการกาย หมดตัณหามุ่งพระนิพพาน

ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html

1190
บรรลุธรรมได้ไหม...ถ้าไม่บวช (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 4/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=feaq03egg54pcuml0pgtmb5ps5&topic=5803.0

1191
วิปัสสนาพระท่านสอนไว้มี 3 แบบ คือ

1. พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ 9 ตามหนังสือวิสุทธิมรรคที่ท่านพระ พุทธโฆษาจารย์แปลไว้จากพระไตรปิฎก คือ

1.1 อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ดับไป ตายไปของขันธ์ 5 ร่างกาย ความคิด ความเจ็บปวด เกิด ๆ ตาย ๆ ตลอดเวลา

1.2 ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความสูญสลาย ดับไปของร่างกาย ความคิด ความจำ ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรัก ความเจ็บปวด (วิญญาณ) ความรู้สึกประสาททั้ง 6 เป็นของร่างกาย ไม่ใช่จิตดับ เป็นเพียงวิญญาณระบบประสาทตาย

1.3 ภยตูปัฏฐานญาณ สังเกตวิจัยรูป กายเขากายเรา เป็นของน่ากลัว มีภัย อันตรายรอบด้าน ให้จิตต้องแก้ไขตลอดเวลา เป็นปัญหา เป็นทุกข์ เป็นของน่ากลัวตั้งแต่เกิดจนแก่ เป็นภาระหนัก

1.4 อาทีนวานุปัสสนาญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ สังเกต วิจัย หรือเฝ้าดูว่าร่างกาย รูป นาม ความคิด ความรู้สึก ความจำ ประสาท ความรู้สึกทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของยุ่งยาก เป็นโทษ เป็นทุกข์ มีภาระปรับปรุง ต้องแก้ไขตลอดเวลา เพราะมีการเปลี่ยนแปลงมิได้หยุดยั้ง ต้องเหน็ดเหนื่อย คอยเอาใจใส่ดูแลใจใส่ดูแลให้ดี

1.5 นิพพิทานุปัสสนาญาณ คิดพิจารณาดูว่าร่างกาย ( รูป นาม ) หรือขันธ์ 5 เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นภาระ เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นของหน้ากลัวมีแต่สลายตัว ทำให้เจ็บปวดกายปวดใจตลอดเวลา ที่ยังไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเพราะเรามัวแต่วิ่งเอาความสุขทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาปกปิดไว้ จึงมองไม่เห็น เรียกว่า อวิชชา ไม่มีปัญญาเห็นความเป็นจริงของรูปร่างกาย เป็นความหลง หรือ มีอุปาทาน คิดว่าเกิดเป็นคนมีความสุข

1.6 มุญจิตุกามยตาญาณ คิดพิจารณาเพื่อให้จิตที่อาศัยอยู่ชั่วคราวในขันธ์ 5 (รูป นาม) นี้ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเสีย โดยตั้งใจจะทำความด้วย ศีล สมาธิ วิปัสสนาภาวนา เพื่อให้มีปัญญา กำจัดอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม ให้หมดไปในชาตินี้ (ภพ นาม รูป วิญญาณ สังขาร)

1.7 ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คิดพิจารณาปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากสังขารคือ ขันธ์ 5 (รูป นาม)นี้ โดยเดินทางสายกลาง มรรค 8 ตามพระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เพื่ออริยมรรคผลมีพระนิพพานเป็นที่อยู่เป็นสุข
1.8 สังขารุเปกขาญาณ คิดพิจารณาใคร่ครวญ เห็นว่าควรจะทำให้จิตวางเฉยในความทุกข์ ความสุขของร่างกาย (รูป นาม ขันธ์ 5 ) ตลอดจนทรัพย์สมบัติที่เสียไปก็ปลงใจตัดได้ว่าเป็นธรรมดาของโลกจะต้องสูญสลายไปแบบนี้ มีจิตสบายไม่มีความหวั่นไหว เสียใจน้อยใจเกิดขึ้น ร่างกายเจ็บป่วยตาย ก็เป็นเรื่องของร่างกาย รู้แล้วว่าจิตไม่ตายตามร่างกาย จิตเป็นคนละส่วนกับกาย จิตเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ไม่สูญสลาย กายขันธ์ 5 เป็นธรรมชาติของโลกมีสูญสลายเป็นปกติ เป็นของโลก เป็นของหลอกลวง

1.9 สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาใคร่ครวญ ย้อนไปย้อนมา ให้เห็นความจริงของชีวิตว่า ร่างกายเป็นแดนของความทุกข์ทั้งปวง เพราะร่างกายเป็นสมบัติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ถ้าเอาจิตไปยึดติดกับร่างกาย ก็มีแต่ปัญหา วุ่นวายใจ ไม่จบสิ้น
จุดที่จะดับความทุกข์ให้หมดสิ้นไป ก็เดินตามสายกลาง ไม่ง่ายไม่ยาก ไม่ขี้เกียจ ไม่ขยัน ไม่เคร่งเครียดเกินไป ในทางปฏิบัติ มรรค 8 ย่อลงมาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีศีล 5 ครบ จึงมีสมาธิ เป็น(ฌาน คือความชิน เมื่อมีสมาธิเป็นความชิน ก็มีปัญญาความฉลาด หรือ วิชชา รู้เท่าทันสภาวะ ความเป็นจริงของชีวิตของโลก หมดความมัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ได้ชื่อว่ามีความเห็นจริง ในอริยสัจ 4 ทำให้คล่องแคล่วจนจิตหมดความโลภ ความโกรธ ความหลง มัวเมาในชีวิต จนหมดกิเลสในสังโยชน์ 10 ประการ



ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html

1192
เนื่องจากเป็นผู้ศึกษามือใหม่ เป็นต้องคัดลอกบทความของท่านอื่นมาศึกษาและแบ่งปัน แต่เข้าใจว่าเป็นธรรมะที่แสดงโดยองค์พระปฐมบรมศาสดา
หากพบว่าผิดเพี้ยน บิดเบียนไป โดยได้ชี้แนะด้วยเทอญ :054:
===========================
การเจริญพระกรรมฐาน: สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา

1. สมถภานา

สมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา แท้ที่จริงอยู่ควบคู่กันไป จะแยกทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนแยกตามความหมายตามตัวอักษรเพื่อความเข้าใจเท่านั้น ในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปด้วยกัน ถ้าเอาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่สำเร็จมรรคผล แม้ผู้ที่คิดว่าเจริญวิปัสสนาญาณอย่างเดียวนั้น ท่านที่เจริญวิปัสสนาญาณได้ ก็ต้องมีจิตเป็นสมาธิเสียก่อน จึงพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ เห็นทุกข์โทษของขันธ์ 5 ได้ ถ้าไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถคิดวิปัสสนาตามความต้องการได้ เพราะจิตคิดฟุ้งซ่าน ไปเรื่องทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ชอบใจ หรือวิตกกังวล ตามประสาปุถุชน

สมถะพระกรรมฐานมี 40 กอง ทุกกองทำเป็นวิปัสสนาได้ทุกรูปแบบ ถ้าฉลาดทำเป็นไตรลักษณ์ เป็นอุบายเพื่อรักษากำลังใจให้สงบจากอารมณ์ชั่วคือนิวรณ์ นิวรณ์มี 5 ประการดัง

1) มัวเมาในสมบัติโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พอใจในคน สิ่งของที่หลงรัก
2) ความโกรธ ความไม่พอใจ รำคาญ พยาบาท
3) ความง่วงเหงา หาวนอน ในขณะที่ทำสมาธิภาวนา
4) จิตความฟุ้งซ่าน วิตกกังวล ก็ระงับโดยตั้งอารมณ์จิตไว้เฉพาะลมหายใจเข้าออกหรือพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้เป็นอารมณ์เดียว
5) สงสัยในผลของการปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา ว่าจะมีผลดี หรือไม่มีผล เป็นวิจิกิจฉาลังเลใจอยู่ในสังโยชน์ กิเลสเครื่องร้อยรัดในข้อ 2 ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ไม่มีที่จบสิ้น


2. วิปัสสนาภาวนา

คือการค้นคว้าหาความจริงของร่างกาย ว่าการเกิดเป็นคนนั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เกิดมาแล้ว แก่ ทรุดโทรม ต้องเหนื่อยยากลำบากกายใจ หาเลี้ยงชีวิตครอบครัว มีป่วยไข้ ไม่สบาย ต้องต่อสู้กับอารมณ์ของคน ภัยธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พอจะสบายหน่อยก็หูตาฝ้าฟาง ฟันร่วง กระดูกกรอบ เจ็บป่วย ตายในที่สุด ถ้าร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ ก็ดูคนป่วยคนตาย เราจะหนีไม่พ้นภาวะแบบนี้


ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html


1193
บรรลุธรรมได้ไหม...ถ้าไม่บวช (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 3/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=feaq03egg54pcuml0pgtmb5ps5&topic=5803.0

1194
บรรลุธรรมได้ไหม...ถ้าไม่บวช (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 2/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=feaq03egg54pcuml0pgtmb5ps5&topic=5803.0

1195
บรรลุธรรมได้ไหม...ถ้าไม่บวช (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 1/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=feaq03egg54pcuml0pgtmb5ps5&topic=5803.0

1196
เพิ่มเติม....สำหรับคุณที หรือ ท่านที่จะไปพักที่นั่น
กิจตอนเช้า ที่ควรทำ คือ ขับรถพาพระไปบิณฑบาต
เนื่องจาก ตถตาอาศรม อยู่บนเขาห่างไกลจากชุมชน
การเดินทางไปบิณฑบาตโปรดสัตว์ค่อนข้างลำบาก
การเดินทางที่สะดวกคือขับรถไปและกลับ
เมื่อไปถึงชุมชนท่านก็เป็นศิษย์พระ เดินตามพระอาจารย์บิณฑบาต :015:
แต่งานนี้ผมพลาด เพราะมัวแต่เผาขยะ ไม่ได้เตรียมตัวอาบน้ำแปรงฟัน
คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะขอแก้ตัวใหม่

ควรมิควรโปรดอภัย :054:

ปล..อาหารก้นบาตร ทานแล้วอิ่มใจดีแท้ครับ  :090:

1197
คราวหน้ามา โทรนัดกันบ้างนะครับพี่ ไปนอนค้างด้วยกันครับ
คุณที ได้ขึ้นไปดูบนศาลาหรือยัง
มี 3 ห้องนอนเล็ก 1 ห้องนอนใหญ่(พระอาจารย์จะทำเป็นห้องพระ)
เมื่อคืนเปิด หน้าต่างนอน อากาศเย็นสบายเหมือนติดแอร์
มียุงแต่ตัวเดียวเอง :002:


1198


วันนี้ไป ก็เจอพี่ ทรงกลด พี่สมบัติ กับพี่อีกท่าน ไม่ทราบชื่อ กำลัง ช่วยกัน กวาด พื้นที่กันอยู่

เสียดายที่ผม ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะ มัวตั้งใจฟัง ดำริจากพระอาจารย์ ประกอบกับ ฝนตกพรำๆ

และก็รีบรับงานที่จอดรถมา ก็ถือเป็น บุญของลูกศิษย์ ฝั่งภาคตะวันออก ชลบุรี ที่มีโอกาส ได้ใกล้ชิด ได้ร่วมบุญ ร่วมสร้าง

กราบนมัสการพระอาจารย์ด้วยครับ ท่านยังใจดีที่ให้วัตถุมงคล กับศิษย์ กลับมาด้วยครับ :002:
อ.ไซ รับอาสาออกแรง 25; ปรับภูมิทัศน์ ปรับเนินลาดชัน ให้เป็นขั้นบันได ปลูกพืชไม้ดอก ไม้สวนครัวและอื่นๆ
แล้วก็จะลงแรงทำบันไดให้ดีกว่าเดิมด้วยครับ นัยว่า งานนี้ จะเอาน้ำหนักตัวไปทิ้งบนเขาสัก 20 กก. :003:
หลังออกพรรษาค่อยมาชั่ง นน.กันนะครับ 36;

1199
ยินดีครับ ที่ได้รู้จักคุณที :002: และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

เมื่อวานได้นำรถไปส่งให้พระอาจารย์ ท่านใช้บิณฑบาต
เนื่องจากลูกศิษย์ที่ชลบุรี ต่างติดงานภาระกิจงานประจำ ด้วยจิตอาสากุศลของลูกศิษย์ฯ
ภาระกิจตอนเช้า  ขับรถไปรับพระอาจารย์และพระที่สำนักข้างล่างอีก 2 รูป ที่คุณทีจอดรถ ไปบิณฑบาต แล้วกลับมาส่งพระ
จึงได้ไปทำงานปรากฏว่า ทำงานสายมาสองสัปดาห์แล้ว เนื่องจากที่ทำงานมี daily meeting ทุกเช้า
งานนี้ได้ อ.ไซ เถ้าแก่ ผู้มีใจใฝ่ธรรม รับอาสาแทน อยู่ช่วยงานพระอาจารย์ตลอดช่วงพรรษานี้ หรือตลอดไปมิทราบได้
นำรถมาแลกกับรถผม ซึ่งเป็นกะบะมีแคป ไว้ใช้งานรับส่งพระ แทน
ผมเลยขอติดไปเยี่ยมพระอาจารย์ด้วย ไปถึงตอนเย็นเก็บกวาดใบไม้บนลาน เผาขยะ ปลูกต้นไม้ ต้มน้ำร้อนดื่มกาแฟ พอดีค่ำ...........
แล้วรู้สึกไม่อยากกลับบ้าน เลยนอนพักที่นั่นซะเลย เหตุด้วยเพราะติดใจบรรยากาศ เสื้อผ้าข้าวของต่างๆก็ยืมจาก อ.ไซ และพระอาจารย์(มีถุงนอน เสื้อและหมอนพร้อม)
ส่วนสถานที่อาบน้ำเมื่อคืน ต้องลงจากเขาไปอาบน้ำที่สำนักด้านล่าง เลยที่จอดรถคุณทีไปอีก 100 เมตรเศษ
อาบเสร็จไม่ต้องสวมเสื้อ เพราะต้องเดินขึ้นมาหอบแฮ่กๆ เหงื่อซึมอีก ได้นั่งผึ่งลมเย็นๆที่นั่นก็ชื่นใจครับ ลมชายเขาพัดเย็นสบายดีจริงๆครับ :015:
ส่วนวันนี้ เพื่อนสมบัติ นำอาหารมาถวายเพล เสร็จแล้ว ก็มารับผมกลับไปด้วย
วันนี้สบายครับไม่ต้องขับรถเอง เพื่อนขับตัวเองนั่งหลับ เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นมาตีสี่ก็ออกมานั่งเล่นแล้วครับ

ปล...กลับมาถึงกรุงเทพแล้ว และเมื่อคืนไม่มีสิ่งปกติอะไรมาหลอกหลอนนะครับ เงียบสงบดีมาก :002:



น้ำต้มจากกานี้ ใช้ชงกาแฟดีนักแล :015:

1200
หลักการหรือคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา

ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายที่ได้ทรงตรัสรู้ไว้ ถ้านับเป็นธรรมขันธ์ (หัวข้อ)แล้วมีจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมแก่อุปนิสัยใจคอ จริต ฐานะ หรือ ระดับสติปัญญาของผู้ฟัง ของผู้ประพฤติในรายละเอียดอาจมีต่างๆกันไป แต่ในหลักการใหญ่หัวข้อธรรมเหล่านั้นทั้งหมดแม้จะมีมากมายเท่าไหร่ก็พอรวมลงได้ในหลักทั่วๆไป ๓ ประการ คือ

๑. ละเว้นความชั่ว อะไรก็ตามที่ทำไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล้วจะยังผล
                (๑) ทำให้ตนเองเดือดร้อน
                (๒) ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
                (๓) ทำให้ทั้งตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
                (๔) ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและคนอื่น
สิ่งเหล่านั้นจัดว่าเป็นความชั่ว จะต้องงด ลด ละ สละ เว้น หลีกเลี่ยง ห่างไกลให้ได้

๒. หลักประพฤติความดี อะไรก็ตามที่ทำไปทางกาย พูดทางวาจา หรือคิดทางใจแล้วจะยังผลดี
               (๑) ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน
               (๒) ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
               (๓) ไม่ทำให้ตนเองและทั้งผู้อื่นเดือดร้อน
               (๔) เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น
สิ่งเหล่านั้นจัดว่า เป็นความดี ใครประพฤติปฏิบัติเข้าก็เรียกว่า ประพฤติดี ทุกคนควรประพฤติแต่ความดี

๓. หลักชำระใจให้สะอาด อะไรก็ตามที่ทำให้สิ่งที่ทำ คำที่พูด อารมณ์ที่คิด แล้วทำให้จิตใจสะอาด ประณีตสูงส่ง ด้วยคุณธรรม มโนธรรม
เช่น ทาน สันโดษ เมตตากรุณา ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจให้บรรเทาเบาบาง จางหาย สูญสิ้นไปจากจิตใจ วิธีการมีหลายวิธ๊ เช่น ด้วยการรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ฝึกสมาธิ และวิปัสสนาภาวนา เป็นต้น อย่าลืมว่า จิตใจเป็นใหญ่เป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น หลักการชำระจิตใจให้สะอาดประณีตจึงเป็นหลักการที่สำคัญที่สุด เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะสามารถชำระจิตใจให้สะอาดประณีตถึงขั้นสูงสุด คือ หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งมวล เป็นผู้มีภาวะจิตบริสุทธิ์โดยแท้ เรียกว่า พระวิสุทธิคุณ แม้คนธรรมดาสามัญจะได้นามว่าเป็นพระอริยะสงฆ์ จบกิจพระศาสนาก็เพราะเข้าถึงหลักทั่วไปที่ ๓ คือ สามารถทำตนให้บรรลุภาวะจิตบริสุทธิ์นี้เอง

หลักทั่วไปทั้ง ๓ ดังกล่าว เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังพระบาลีที่ว่า

                               บาลี:                             สพฺพปาปสฺส อกรณํ                     กุสลสฺสูปสมฺปทา
                                                                 สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ                    พุทฺธาน ศาสนํฯ

                             คำแปล:                        การไม่ทำความชั่วทั้งปวง            การบำเพ็ญความดีให้เกิดขึ้น
                                                           การชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส        นี้เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

                              english:                      Never do any evil.                 Always do good.
                                                                   Purify your minds.                   These are the Buddhas’s instructions.

                        ลักษณะธรรมในพระพุทธศาสนา
                        พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงลักษณะธรรมไว้ ๘ อย่าง ดังนี้ คือ


                                                     ๑.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อกำหนัดย้อมใจ
                                                     ๒.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์
                                                     ๓.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส
                                                     ๔.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อปรารถนาใหญ่
                                                     ๕.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ(คือมีแล้วอย่างนี้ อยากได้อย่างนั้น)
                                                     ๖.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
                                                     ๗.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
                                                     ๘.ธรรมนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก


ขอบคุณที่มา
http://snr.ac.th/sakyaputto/dhamma.htm

1201
คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
(ในหนังสือ พรสวรรค์หน้า 466 ๙ ธค. ๒๕๒๔ เพื่อย้ำว่า คนตายแล้ว ไม่สูญ แม้กระทั่งองค์สมเด็จปฐมก็ยังอยู่)

"จงตั้งใจไว้ให้แน่ว่า เราไม่ต้องการ ชาติ ภพ หรือภูมิใดๆในสัมปนายภพ ให้ตั้งใจในพระนิพพานเป็นที่สุด แล้วจงปฏิบัติจิต ให้ดีที่สุด โดยรักษาอารมณ์จิตให้ผ่องใสเป็นประจำ ให้สำนึกอยู่เสมอว่า

ตนคือ ทุกข์ ทุกข์ที่ต้อง เกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่รู้ที่สิ้นสุด เกิดจาก ทุกข์ของคนไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักตนเอง
ทุกข์คนหลงทรัพย์ หลงรูป หลงปัญญา หลงวิเศษ เหล่านี้เป็นตัวให้คนมีทุกข์อยู่ทุกขณะจิต
โดยยังยึด ยังถือว่า สิ่งเหล่านี้คือฉัน คือเรา มันพันกันเองจนตัวเราหลง หมดความพอ

ความเป็นทุกข์ของคน ทุกคนทราบแน่
แต่ทุกข์ของความเป็นอนิจจัง ทุกคนแกล้งไม่ทราบในใจ
คือ ความสูญ ความสลาย ความเสื่อม ความพลัดพราก การจากไป
เหล่านี้คือความจริง ที่ต้องเป็น ต้องเกิด ทุกคนรู้ที่หู แต่ไม่รู้ที่ใจ
จงพยายามให้รู้ที่หู เข้าไปถึงใจ การฟังธรรมต้องใช้ใจฟัง คล้อยตาม
อย่าสักแต่ว่าฟัง ธรรมที่ผ่านหู ผ่านใจ ไปรวบรวมซิว่ากี่ปีแล้ว ทำได้แค่ไหน ก้าวช้าหรือเร็ว
จงตรวจดูตัวเอง อย่าได้ตรวจผู้อื่น

ทุกคนควรวิตกว่า ความดีที่มีอยู่ มีถึงไหนแล้ว แต่ปรากฏว่า ทุกคนวิตกในเรื่องของคนอื่น วิตกในเรื่องของอริยสัจ คือกลัวความเป็นจริงจะปรากฏกับตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรวิตกอย่างยิ่ง
ทุกข์สุดท้ายคือ กลัวโรค กลัวภัย รู้อยู่แล้วว่าคนเรา เป็นรังของเชื้อโรค รู้อยู่แล้วว่า คนเรา จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นของปกติ แล้วยังกลัวให้เป็นทุกข์อีก

นี่แหละหนอ คนสองจิต จับอะไรไม่มั่น จำเอาไว้ทุกคน เคยพบองค์พระพุทธเจ้ามาแล้ว โดยเฉลี่ยคนละ ๑๐ องค์ แต่เหตุไฉนจึงจะขอพบท่านใหม่ หรือไง?

สอนมาถึงแค่นี้ ขอให้พิจารณาดู ตัวของตัวให้มากๆ ใครไม่กล้าดูตัวเอง ก็ให้รู้ไว้ว่า ยังมีทิฐิมานะอยู่พรั่งพร้อม ตัวนี้แหละที่ทำให้หลายคนไปไม่รอด ขอเพียงเงียบหนึ่ง
อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมอีกต่อไป สิ่งที่ควรละเอียดอย่าชุ่ย สิ่งที่ควรชุ่ยอย่าละเอียด
ส่วนโลกีย์ มักจะกลับกับธรรม

สุดท้ายของการสอน ขอให้เธอทั้งปวงจงตั้งใจจริง อย่าได้รวนเร ให้ความ อยาก หมดเป็นชาติสุดท้าย ถ้าคนใดคิดผัดผ่อนก็ไม่ว่ากัน เพราะถือว่าแต่ละคน เป็นผู้เลือกทางเดินของตัวเอง แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ จะไป ตามวาสนา ตามกุศล ตามบุญของจิตของแต่ละคน"


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/opapatika/2009/03/16/entry-1

1202
ผมได้บอกบุญไป...วันนี้ เพื่อนที่ ตจว.(ไม่ประสงค์ออกนาม)โอนเงินฝากทำบุญเข้าบัญชีผม จำนวน 2,000 บาท(สองพันบาทถ้วน) ผมจะฝากกับ อ.ไซ ซึ่งกำลังจะเดินทางไปมอบให้ท่านอาจารย์เลยทีเดียว
ขณะนี้ รอเค้ามาเอารถมาแลกกับรถผมอยู่ครับ

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

1203
ธรรมะ...เรียนลัดไม่ได้ (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 4/4






ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=gfii95qqhc0900v2qp5bpqa417&topic=5798.0

1204
ธรรมะ...เรียนลัดไม่ได้ (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 3/4






ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=gfii95qqhc0900v2qp5bpqa417&topic=5798.0

1205
ธรรมะ...เรียนลัดไม่ได้ (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 2/4






ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=gfii95qqhc0900v2qp5bpqa417&topic=5798.0

1206
ธรรมะ...เรียนลัดไม่ได้ (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 1/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=gfii95qqhc0900v2qp5bpqa417&topic=5798.0

1207
การอุทิศบุญที่ถูกต้องและได้ผล
โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน)

การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย
 
“..การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องใช้นํ้าการที่พระเจ้าพิมพิสาร เป็นองค์แรกที่อุทิศส่วนกุศลโดยใช้นํ้า ก็เพราะท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอานํ้าราดลงไป ท่านยังชินอยู่กับประเพณีของพราหมณ์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม เพราะเห็นว่าใจท่านตั้งตรงเวลาอุทิศส่วนกุศล
 
เรื่องการกรวดนํ้านี้ สมัยเมื่ออาตมาบวชได้วันที่สอง ขณะเจริญพระกรรมฐานได้มีผีตัวผอมก๋องเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า อาตมาก็สวด “อิมินา ปุญญกัมเมนะ อุปัชฌายา” หมายถึงอุปัชฌาย์ แต่อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย “คุณุตตรา อาจาริยู” ให้ คู่สวดอีก คู่สวดก็ยังไม่ตาย ว่าเรื่อยไปยังไม่ทันจะจบเหลืออีกตั้งครึ่งบท เห็นเดินมา ๒ คนเอาโซ่คล้องคอลากผีที่นั่งอยู่ข้างหน้าไปเลย ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ให้ผีเลย
 
พอตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันข้าว พอฉันเสร็จล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย ปกติฉันเสร็จหลวงพ่อปานท่านจะยถาฯ แต่วันนี้ท่านไม่ยถาฯ ท่านนั่งเฉยมองหน้าถามว่า
 
“ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ”
ท่านให้แปลอิมินาแปลว่าอย่างไรบ้าง อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดญัตติคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่าน ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้
ท่านก็บอกว่า “ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด”

ให้บอกว่า “บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
วันหลังผีตัวใหม่มา ตัวก่อนที่ถูกลากคอไปมาไม่ได้แล้ว ผีตัวใหม่ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังนางฟ้าที่มีทรวดทรงสวย เป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า
“ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ”
ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิดปาก อาตมานึกขึ้นมาได้ ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน จึงบอกว่า
“ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้วข้าให้เลย”
พอว่าจบผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย
การได้รับส่วนกุศลนี้ ขึ้นอยู่กับท่านนั้นมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้รับ เปรียบเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาก็จะไม่ได้ของ ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้กินขนม ปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตระดับที่ ๑๒ แบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่มีกรรมบางอยู่ข้างหน้า เราอุทิศให้แผ่กระจายเขาโมทนาได้ แต่พวกที่มีกรรมหนาอยู่ข้างหลัง ให้แผ่กระจายนี่เขาโมทนาไม่ได้ ถึงแม้จะมีสิทธิ์โมทนาก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาส พวกปรทัตตูปชีวีเปรตมายืนอยู่นานไม่ได้ ส่วนสัมภเวสีก็มีความหิวแต่อยู่นานได้ จึงต้องให้เจาะจงเฉพาะตรง ถ้าไม่ให้ตรงเฉพาะก็รับไม่ได้เพราะกรรมหนัก ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล เวลาจะให้ ให้ว่าเป็นภาษาไทยให้เรารู้เรื่องและให้สั้นที่สุด

อ่านต่อ จากที่มา
http://firstini.diaryclub.com/20110527/

1208
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:
ขออนุญาตนำภาพมาประกอบเรื่องครับ

1209
"ตื่นอาจารย์"

นักปฏิบัติธรรมสมัยนี้มีสองประเภท ประเภทหนึ่ง เมื่อได้รับข้อปฏิบัติ หรือข้อแนะนำจาก
อาจารย์ พอเข้าใจแนวทางแล้ว ก็ตั้งใจเพียรพยามยามปฏิบัติไปจนสุดความสามารถ อีกประเภทหนึ่ง ทั้งที่มีอาจารย์แนะนำดีแล้ว ได้ข้อปฏิบัติถูกต้องดีแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง มีความเพียรต่ำ ขณะเดียวกันก็ขอบเที่ยวแสวงหาอาจารย์ไปในสำนักต่างๆ  ได้ยินว่าสำนักไหนดีก็ไปทุกแห่ง ซึ่งลักษณะนี้มีอยู่อย่างมากฯ

หลวงปู่แนะนำลูกศิษย์ว่า

“การไปหลายสำนักหลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผลเพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อย เราก็ไม่ได้หลักธรรมที่แน่นอน บางทีก็เกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป”

ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index46.htm

1210
วิธีอบรมจิต
 
                           หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร  ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฏิบัติกรรมฐานอันเป็นเครื่องชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองอยู่เสมอ  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม
 
                           ในขบวนการใช้อุบายแยบคายอบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบ  จนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน  กับอาการอบรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า  วิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี  หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่าอสุภะมากกว่าวิธีอื่น
 
                           อสุภะ  ตามความหมายก็คือ  หมายความถึงสิ่งอันเป็นซากของวัตถุ หรือซากร่างปราศจากชีวิตอันไร้ความน่าดู  ปราศจากความสวยงาม  ตรงข้ามน่าพึงชังรังเกียจ น่าพึงเบื่อหน่าย  ขยะแขยงสะอิดสะเอียน  หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการเพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต  ก็เพราะได้คิดว่า  มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตาและบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่า  ตนและสรรพสัตว์  เมื่อต้องมีอันเป็นไปบังเกิดเป็นความตายแล้ว  ก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถ ไม่น่าดู ไม่น่ารัก  แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศอุจาดตา  ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้น  และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น
 
                           ซึ่งจากข้อคิดนี้  จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่  ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  ปราศจากความหลงงมงายคิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม  จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ  คือความสำคัญผิดเพ้อเห็นไปว่า  ร่างกายนั้นหนอ  มันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้  ซึ่งความจริงมันมิใช่
 
                           ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะ ปราศจากตัวตน  เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้า ชั่วครั้งคราวโดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม  ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา  ดังนั้นจึงไม่บังควรไปหลงคิดรัก หลงหวงแหน หลงป้อยอ หลงรับ ใช้หาของกินรสโอชะ  หรือหลงไหลกดขี่ขูดรีดคนโกงแย่งชิงสรรพสิ่งจากที่อื่นสิ่งอื่นไปบำรุงบำเรอมัน  เพราะอย่งไรในที่สุดก็ไม่พ้นเสียเปล่าและสูญสิ้นเปล่า  เหมือนชีวิตไม่เคยมีใครรักษามันไว้ได้
 
                           หลวงพ่อจงชอบเพ่งมองอสุภะ  คือรูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่อนเร้นมิให้ประเจิดประเจ้อต่อความรู้เห็นของผู้อื่น
 
                           ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดผู้คนเข้าห้องพิเศษ  พร้อมด้วยดวงเทียนหรุบหรู่  เข้าไปนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย  ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด  จะมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวย่น  หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด  ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง  เพ่งมองให้เป็นภาพติดตาจนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่งนี้  แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้  หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้
 
                           พร้อมกันนั้น  ก็กระทำจิตให้บังเกิดอารมณ์สังเวชว่า รูปกายเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นเบียดเบียนให้เจ็บป่วย  ถูกทำร้ายหรือบังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย  ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา  เป็นเช่นนี้เสมอไป
                           ร่างกายหนอ...ชีวิตหนอ...ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล
 
                           เกี่ยวกับการพิจารณาซากอสุภะของหลวงพ่อจงนี้เคยมีผู้สงสัยถามว่า  เมื่อทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว  จะบังเกิดประโยชน์อะไร
 
                           หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ  ทำให้ไม่หลงไหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา  มันเป็นแค่ชีวิตกายที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ารวมตัวกัน  ความคิดเห็นแก่ตนเองเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นจะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจให้ผ่องใสสะอาด
 
                           หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมุติของกายเกิด ไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิดว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา  ดังนี้แล้ว  การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกัน  นั่นคือคำตอบอันเป็นการไขข้อสงสัยในกรรมฐานที่ท่านพิจารณาอยู่ทุกเมื่อของหลวงพ่อจง

ที่มา
http://www.kaskaew.com/

จบ........ประวัติของท่านมีเรื่องที่สนใจมากมาย หากสนใจลองค้นคว้าค้นหาอ่านศึกษากันนะครับ :054:

1211
มักน้อยสันโดษ
 
                           หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มักน้อยสันโดษอย่างมาก  ใครมาหาท่าน ท่านก็ต้อนรับขับสู้ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใสมีเมตตา  ใครจะนั่งอยู่ดึกดื่นค่อนคืนอย่างไร ท่านก็ยังคงต้อนรับอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งแขกเหรื่อหมดแล้ว ท่านจึงจะเข้ากุฏิ
 
                           หลวงพ่อจงเป็นพระที่เสียสละอย่างสูง  เมตตาของท่านท่วมท้นทั้งในอาณาจักรและศาสนจักร  ในประการหลังนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านรื้อกุฏิในวัดของท่านถวายแก่วัดที่ยากจน  ซึ่งท่านทำเช่นนี้เสมอมา  นี่คือเหตุผลที่ว่า  ทำไมวัดหน้าต่างนอกที่มีพระอาจารย์ชั้นเยี่ยมอย่างหลวงพ่อจงเป็นเจ้าอาวาส  จึงไม่ค่อยเจริญในด้านวัตถุมากนัก  ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า  พระสุปฏิปันโนเฉกเช่นหลวงพ่อจงนี้  ท่านมีแต่ขนออกแจกเขาอย่างเดียว  ไม่มีการนำเข้า มีแต่แจกออกไป  ใครถวายสิ่งใดแก่ท่าน ท่านก็นำออกมาถวายให้พระลูกวัดเป็นสังฆปัจจัยจนหมด
 
                           ในด้านสมณศักดิ์นั้นท่านก็วางเฉย  มีลูกศิษย์ที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาปรารภกับท่านบ่อย ๆ ทำนองใคร่สนับสนุน  แต่ท่านปฏิเสธไปอย่างสุภาพและนุ่มนวลอีกว่า  “อาตมาแก่แล้ว  สังขารไม่เอื้ออำนวย  มันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ไปบังคับมันไม่ได้ สังขารของอาตมาจึงไม่เหลือที่จะเป็นประโยชน์แก่กิจของสงฆ์อีกแล้ว”
 
                           แม้แต่ตอนที่ท่านมรณภาพ  เงินสักเฟื้องสักสลึงก็ไม่มีติดย่าม  ย่ามของท่านนั้นเล่าก็เก่าคร่ำคร่า  ย่ามดี ๆ ท่านก็ให้แก่พระลูกวัดใช้จนหมดสิ้น  สมบัติของท่านที่เหลืออยู่ให้เราเห็นในทุกวันนี้  มีเพียงเก้าอี้โยกเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  รูปปั้นฤาษี “พ่อแก่”  และพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็กที่ท่านบูชาประจำองค์เดียวเท่านั้น
 
สร้างเพื่อรื้อถอน
 
                           กุฏิที่ท่านจำวัดก็เป็นไม้เก่า ๆ  ผุพังไปบางส่วน  เวลานี้เขาย้ายที่ไปสร้างใหม่  โดยรื้อมาประกอบทั้งหลัง  ไปดูที่วัดก็ยังได้ ถ้าใครไม่เชื่อ สมัยที่ท่านมีกิตติคุณเกรียงไกร  สามารถเอื้ออำนวยให้วัดมีสิ่งก่อสร้างถาวรวัตถุเป็นปูนเป็นอิฐ ขนาดใหญ่เท่าใดก็สามารถทำได้  แต่ท่านกลับมีอุบายอันแยบยลด้วยการรื้อถอนกุฏิบริจาคให้วัดอื่น  เพื่อสร้างนิสัยสั่งสมบุญกุศลแก่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย
 
                           ลูกศิษย์ที่เคารพนับถือท่าน เขามีเงินเป็นเศรษฐี  ได้มาสร้างเสนาสนะและสิ่งอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ  แต่ท่านขอให้ลูกศิษย์ทุกคนก่อสร้างให้รื้อถอนได้  กล่าวคือ  สร้างสำหรับแบบรื้อได้นั่นเอง  ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมท่านจึงสั่งเช่นนั้น  แต่บรรดาลูกศิษยก็ไม่อาจขัดท่าน  เพราะศรัทธาในตัวท่าน  สั่งเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้นไม่มีบิดพลิ้ว
 
                           เมื่อสร้างเสร็จและฉลองศรัทธาของญาติโยมโดยใช้อาศัยอยู่พักหนึ่ง หากมีวัดใดขัดสนท่านก็บอกให้ถอนไปตั้งที่วัดนั้นวัดนี้  เคยมีลูกศิษย์น้อยอกน้อยใจไปต่อว่าท่าน  ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า  “เธอสร้างให้หลวงพ่อเป็นศรัทธาของเธอ  กุศลมีแก่เธอแล้วทุกประการ  พระสงฆ์และวัดเป็นเนื้อนาบุญ วัดไหนก็เหมือนกัน  ถ้าหลวงพ่อบอกให้เธอไปสร้างให้วัดอื่น  เธอคงไม่ยอมไป เพราะศรัทธายังไม่มี   เมื่อสร้างแล้วหลวงพ่อไปถวายวัดอื่น  บุญกุศลนั้นก็ยังเป็นของเธออย่างเต็มเปี่ยม  ขอเธอจงโมทนาเถิด”
                          
                           คำกล่าวของหลวงพ่อ  พระเถราจาย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาครั้งกระนั้น  ประดุจโอวาทที่ศิษย์รับใส่เกล้าทุกคน
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/

1212
เป็นผู้รักความสะอาด
 
                           หลังเวลาทำวัตรเช้ามืดเสร็จแล้ว  และเวลาเย็นหลวงพ่อจะถือไม้กวาดฟั่นด้วยปอยาว ๆ เดินกวาดสถานที่ต่าง ๆ เช่น ถนนหนทาง กุฏิ ศาลา เป็นต้น ไม่ว่างเว้น  ท่านมีสุขนิสัยรักความสะอาดอย่างยากที่จะหาผู้ใดมาเปรียบได้
 
                           ท่านไม่รังเกียจว่า สถานที่ท่านกวาดนั้นเป็นกุฏิของผู้ใด  ถ้าหลวงพ่อพบฝุ่นละอองที่ไหน  ท่านจะปัดกวาดให้จนสะอาดเรียบร้อยไม่เคยว่ากล่าวผู้ใดทั้งสิ้น  ใบหน้าหลวงพ่อยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
 
                           ในระยะหลัง พระอุปัฏฐากและศิษย์รับใช้ เมื่อเห็นท่านปัดกวาด ต้องรีบมาทำแทนท่าน เพราะเห็นว่าท่านชราภาพมากแล้ว  ท่านหมั่นทำความสะอาดอยู่กระทั่งถึงวาระสุดท้าย  ลุกจากที่จำวัดไม่ได้
 
                           กิจกรรมเช่นนี้ เป็นที่ควรปฏิบัติตามสำหรับอนุชนเป็นอย่างยิ่ง  เพราะสิ่งเหล่านี้มีพระพุทธภาษิตรับรองอยู่ว่า
                อสชฺฌายมลา  อนุตา  อนุฏฐานมลา  ฆรามลํ  วณฺณสฺสโกสชฺชํ ปมาโท รกฺขโต  มลํ
          ซึ่งแปลว่า เวทมนต์ที่ไม่ท่องบ่นย่อมเสื่อมคลาย เรือนทั้งหลายที่ไม่ปัดกวาดย่อมเสื่อมโทรม  ความเกียจคร้านเป็นความเศร้าหมองของผิวพรรณ  ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา

 
ปฏิปทาน่าฉงน
 
                           การปฏิบัติอันเป็นกิจวัตรของหลวงพ่อจง  บางอย่างก็แปลก ๆ เป็นปริศนาให้ผู้พบเห็นคิดอยู่นาน  เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา  อำเภอบ้านหมี่  จังหวัดลพบุรี  กล่าวคือ  พอตกกลางคืนท่านจะออกมาจากกุฏิ  โดยถือไม้กวาดแล้วกวาดลานวัดไปเรื่อย ๆ  กวาดจนรอบวัดแล้วยังกวาดใหม่อยู่อย่างนี้จนดึก
 
                           หลังจากนั้นก็เดินขึ้นกุฏิไปเข้ามุ้ง  แต่ไม่ดับตะเกียง  ท่านจะนั่งสมาธิอยู่เป็นครู่ใหญ่  แล้วออกจากมุ้งมากวาดลานวัดอีก  เมื่อกวาดรอบวัดเสร็จก็จะกลับขึ้นไปเข้ามุ้งในกุฎิ  ทำสมาธิ  หลังจากนั้นก็จะออกมากวาดลานวัดเป็นคำรบสาม  เสร็จแล้วก็เข้ามุ้ง  นั่งสมาธิ เป็นครั้งสุดท้าย  จากนั้นจึงดับตะเกียงจำวัด  หลวงพ่อจงปฏิบัติธรรมของท่านเช่นนี้ตลอดมา
 
                           ก่อนที่จะมรณภาพไม่นาน  ลูกศิษย์ใกล้ชิดเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่  ได้ถามท่านว่า  ทำไมถึงชอบกวาดลานวัดตอนดึก ๆ ขณะพระลูกวัดจำวัดหมดแล้ว  ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “วัดสะอาด  ใจก็สะอาด  กวาดวัด แล้วกวาดใจ  ตายแล้วไม่ไปอบายภูมิ” :054:
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/

1213
เป็นพระทองคำ
 
                           หลวงพ่อจง เป็นพระเถราจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจาก หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล และหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อยุธยา พระอาจารย์ทั้งสองท่านนี้  ก็เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เช่นกัน
 
                           หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นสหายธรรมสนิทสนมกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นอันมาก  เนื่องจากมีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน  นัยว่าสองหลวงพ่อนี้เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน  จึงมีความสนิทสนมและต่างฝ่ายต่างเคารพนับถือธรรมปฏิบัติของกันและกันมากเป็นพิเศษ
 
                           หลวงพ่อปานมีสังฆกิจอย่างไร  ต้องนิมนต์หลวงพ่อจงไปในพิธีเสมอ  หลวงพ่อจงมีสังฆกิจเช่นไรก็จะต้องนิมนต์หลวงพ่อปานไปร่วมพิธีทุกครั้ง  หลวงพ่อปานท่านมักพูดแก่ศิษย์ของท่านเองว่า  พระอย่างหลวงพ่อจงนั้นเป็นทองคำทั้งองค์  พระขนาดนี้อย่าไปขออะไรท่านนะ   จะเป็นบาปหนัก  เพราะแม้เทพยดาชั้นสูง ๆ ยังต้องขอเป็นโยมอุปัฎฐากเลย
 
                           ด้วยเหตุนี้  ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปานจึงเคารพนับถือหลวงพ่อจงมาก  และท่านยังสั่งว่า  “ถ้าฉันไม่อยู่ติดขัดเรื่องธรรมะ ให้ไปถามท่านจงนะ  ท่านจงนี้น่ะ ท่านสอนเทวดามาแล้ว  ถ้าเธอไปเรียนกับท่านจงได้  ก็นับว่าเป็นบุญของเธอ”
 
ปฏิบัติเป็นกิจ
 
                           กิจวัตรประจำวันอันสำคัญที่หลวงพ่อจงนิยมปฏิบัติอยู่เสมอ คือ การทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้า  เวลาใกล้รุ่งระหว่างเวลา 04.00 น. ถึง 05.00 น. และเวลาเย็นประมาณ 18.00 น. (ถ้าไม่มีแขกมาหา)  หลวงพ่อจะต้องทำวัตรสวดมนต์เป็นประจำไม่ขาด  เว้นแต่อาพาธหรือติดกิจนิมนต์ไม่ได้อยู่วัดเท่านั้น
 
                           หลังจากสวดมนต์จบแล้ว  หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน อันเป็นธุระเอกของท่านอย่างสงบนิ่ง ประมาณวันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า  ฉะนั้น ผู้ที่เคยมาหาหลวงพ่อและรู้เวลาของท่านแล้ว เขาจะไม่รบกวนท่าน  รอจนกว่าท่านจะทำกิจเสร็จเรียบร้อย  เพราะถ้าใครไปปรากฎตัวหรือด้อม ๆ มอง ๆ ให้ท่านเห็น  หลวงพ่อจะรีบกราบพระลุกจากที่มาทันที  ด้วยความที่ท่านมีเมตตาเป็นปุเรจาริก  ปรารถนาจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้สำเร็จประโยชน์ที่เขาต้องการ
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/

1214

เมื่อได้รำลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเสร็จแล้ว คุณแก้วและภรรยาจึงรีบลงมาจากห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน ขณะนั้นเองเปลวไฟก็ลามเลียเข้ามาทางหน้าต่างชั้นบนด้านหลังบ้าน ความรุนแรงของไฟลุกลามมาถึงบันไดที่จะลงสู่ชั้นล่าง ทั้งคุณแก้วและภรรยาจึงรีบวิ่งฝ่าเปลวไฟลงสู่ชั้นล่าง พอลงมาถึงชั้นล่างได้ คุณแก้วจึงรีบเปิดประตูเหล็กหน้าร้านให้ภรรยาซึ่งถือห่อของมีค่าอยู่หลบออกไปก่อนเพื่อนำสิ่งของเหล่านั้นไปฝากบ้านญาติ ส่วนคุณแก้วก็ตามออกมาภายหลัง

ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกนั้นเองทั้งคุณแก้วและภรรยาก็มิได้คำนึงถึงทรัพย์สินและสินค้าที่อยู่ในร้านปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ขอเพียงแต่ตนเองรอดชีวิตออกไปได้ก็พอแล้ว เมื่อทั้งคู่ออกมาพ้นบ้านแล้ว คุณแก้วก็จัดการปิดประตูเหล็กทันที เพื่อป้องกันบรรดานักฉวยโอกาสทั้งหลาย ในขณะที่ปิดประตูเหล็กลงนั้น คุณแก้วก็ได้พบว่ามีกระแสลมโชยมาเป็นระลอกใหญ่ กระแสลมนั้นพัดมาจากทางด้านหลังของคุณแก้ว และความแรงของลมได้พัดพาเอากระแสเปลวไฟย้อนกลับไปยังทิศทางตรงข้าม

เหตุการณ์ดังว่านั้นคุณแก้วก็ยังมิได้สนใจมากนัก เร่งให้ภรรยารีบหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะได้คอยดูแลร้านและช่วยเหลือกันดับไฟเท่าที่จะทำได้จากนั้นคุณแก้วก็ไปช่วยเขาถือสายดับเพลิงจากรถดับเพลิงของเทศบาลที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น

ในขณะที่ช่วยเขาดับเพลิงอยู่นั้น คุณแก้วก็ได้สังเกตเห็นว่ารังสีของเปลวไฟได้ผ่านพ้นบ้านตนเองไปแล้ว จึงได้แต่ช่วยกันดับไฟอยู่จนกระทั่งไฟสงบเอาเมื่อตอนใกล้สาง

หลังจากนั้นคุณแก้วก็เข้าไปสำรวจความเสียหายในบ้านของตนเอง ก็ปรากฎว่าฝาบ้านด้านข้างถูกไฟลามเลียจนดำไปหมด ส่วนด้านหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับบ้านต้นเพลิงถูกเปลวไฟเผาเสียหายเล็กน้อย ทั้งทรัพย์สินและสินค้ามิได้เสียหายเลย ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม แม้แต่น้ำจากท่อดับเพลิงก็มิได้เข้ามาทำให้สิ่งใดในบ้านเปียกชื้นเลย ครั้งเมื่อทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม

คุณแก้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนอนได้ถอดสร้อยคอทองคำซึ่งห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถมวางไว้ที่หัวนอน แต่ในขณะนั้นไม่มีเสียแล้ว ทำให้เกิดใจเสียขึ้นมาทันที เพราะเป็นวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียวที่ตนเองห้อยติดตัวเป็นประจำ ยังไม่รู้ว่าถูกผู้คนหยิบฉวยหรือตกหายในระหว่างฉุกละหุกเสียที่ไหน จึงได้แต่อธิษฐานในว่า "ถ้าบารมีของหลวงพ่อจงคุ้มครองลูกอยู่ก็ขออย่าให้ของนั้นสูญหายไปไหน จงได้คุ้มครองลูกตลอดไปด้วยเถิด"

เมื่อคุณแก้วได้พบกับภรรยาหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงสอบถามเรื่องสร้อยคอที่แขวนเหรียญหลวงพ่อจงอยู่ซึ่งภรรยาของคุณแก้วก็ไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างได้ เพราะความสับสนในคืนนั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมา คุณแก้วและภรรยาก็ช่วยกันจัดข้าวของต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ให้เข้าที่ และเมื่อแก้ห่อผ้าที่ห่อข้าวของต่าง ๆ หนีไฟนั้นออก ก็ได้พบสร้อยคอเส้นนั้นซุกอยู่ในหอผ้านั้นเอง ทำให้คุณแก้วมีความปีติเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-09.htm

จบ........ที่มาจากเวปข้างต้น แต่ยังมีเกร็ดประวัติอื่นๆของท่านอีกมากมาย

1215
ต่อจากตอนที่4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23172
======================
<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>5/5(จบ)

เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงได้เกิดประสบการณ์ให้เห็นเมื่อคราวที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529

หลังจากยามท้องถิ่นของตลาดบ้านแพนเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา 24.00 น. ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็มีเสียงตะโกนขึ้นจากผู้คนที่มีบ้านเรือนอยู่ในซอยบางปูว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" จากเสียงตะโกนนั้นเองได้สร้างความโกลาหลขึ้นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันที่เปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วงนั้น เสียงปะทุจากเชื้อเพลิงก็ดังเปรี๊ยะ ๆ ติดต่อกันมิได้ขาดระยะ เพราะย่านนั้นเป็นเรือนไม้เก่า ๆ ย่อมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กว่าจะสกัดให้เปลวไฟสงบลงได้ก็เมื่อเวลาใกล้ฟ้าสางแล้ว จากการสำรวจความเสียหายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ปรากฏว่ามีบ้านเรือนเสียหายทั้งสิ้น 46 หลัง ค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านแพน

เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีบ้านเรือนจำนวนหนึ่งรอดพ้นจากความพินาศไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเหล่านั้นอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญไปหมดแล้ว

คุณแก้ว ขมคิ้ว เจ้าของร้านขายของชำและอาหารกระป๋องที่ชื่อร้าน "แก้ว" ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ก. 437/2 ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลเมืองเสนา ในบ้านของคุณแก้วนอกจากจะมีภาพแววหางกระยางของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์แล้ว คุณแก้วยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อจงยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากการที่คุณแก้วห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถม อยู่ที่คอเป็นประจำเพียงเหรียญเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณแก้วก็เป็นนักนิยมพระ และมีพระเครื่องอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย แต่คุณแก้วก็ห้อยเหรียญหลวงพ่อจงเพียงเหรียญเดียว

"เหรียญหลวงพ่อจงนั้นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดดีนัก ห้อยเพียงเหรียญเดียวก็พอ"

และความเชื่อในเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ดังรายละเอียดที่คุณแก้วได้เล่าให้ฟัง คือ...

หลังจากที่คุณแก้วเข้านอนได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกที่ข้างบ้านพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" คุณแก้วจึงรีบถลันออกไปดูที่หน้าต่างด้านหลังบ้าน ก็ได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกฮือขึ้นที่บ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว คุณแก้วจึงรีบเก็บข้าวของสำคัญที่มีค่าเพื่อหนีไฟเสียก่อน ด้วยอารามตกใจภรรยาของคุณแก้วจึงหยิบโน่นคว้านี่ที่เป็นของจำเป็นและมีค่าพอที่จะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้าเพื่อจำได้นำติดตัวหนีไฟไปด้วย

ส่วนคุณแก้วนั้นก็ย้อนกลับไปดูทิศทางของไฟอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าในช่วงเวลา 2 - 3 นาทีนั่นเอง บ้านไม้หลังที่เป็นต้นเพลิงก็ถูกไฟไหม้จนท่วมหลังคา

คุณแก้วคิดว่าคราวนี้บ้านของเขาคงไม่อาจพ้นภัยได้แน่ จึงย้อนกลับเข้าไปในห้องช่วยภรรยาเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ทันใส่ห่อผ้า เพื่อรีบพากันหนีไฟออกจากบ้าน แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนไทย เมื่อมีภัยถึงตัวก็ย่อมจะต้องระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเป็นที่พึ่ง คุณแก้วจึงหันหน้ากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นพนมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันมีหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานเป็นที่สุด ตลอดจนบุพการีทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้คุ้มครองตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งทรัพย์สินให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยเถิด

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-09.htm

1216
นิทานสอนใจ : อุทิศส่วนกุศลให้แก่ "ความดี"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   24 เมษายน 2554 11:23 น.

       เรื่องนี้มาแปลกมาก มีด้วยหรือที่ไปอุทิศส่วนกุศลให้แก่ความดี เท่าที่เคยรู้ ๆ กันนั้น คงทั้งหลายมีแต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนที่ตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าความดีได้ตายจากโลกนี้แล้วกระมัง จึงต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
      
       อ่านเรื่องกันก่อนดีกว่าครับ...
      
       คนที่ทำบุญอุทิศให้แก่ความดีนั้น เป็นพราหมณ์หญิงแห่งเมืองสาวัตถี เมื่อหลายพันปีมาแล้วเชื่อว่า "กัจจานี" นางมีบุตรชายโตเป็นหนุ่มแล้วอยู่คนหนึ่ง บุตรชายคนนี้ดีต่อมารดามาก เขาดูแลนางพราหมณีให้มีความสุขสบายโดยไม่ให้เหน็ดเหนื่อย จนนางกัจจานีสงสารอยากให้ลูกมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ โดยการหาหญิงสาวที่คู่ควรมาเป็นภรรยา
      
       ในครั้งแรกชายหนุ่มก็ปฏิเสธ ด้วยคิดว่าไม่ได้เหน็ดเหนื่อยยากอันใดนักหนา มีความเต็มใจที่มีโอกาสได้ปรนนิบัติมารดาเช่นนี้ แต่ในที่สุดทนการรบเร้าจากมารดาไม่ไหวจึงต้องรับหญิงคนหนึ่งมาเป็นภรรยา
      
       แม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังดูแลยกย่องมารดาดังเดิม เป็นเหตุให้ผู้เป็นภรรยาเกิดความอิจฉา ริษยา อยากได้รับการเอาอกเอาใจ และเป็นใหญ่ในบ้านบ้าง จึงเห็นว่านางพราหมณีเป็นเสี้ยนหนามที่ต้องกำจัดเสียให้พ้นทาง
      
       เมื่อสามีไม่อยู่เมื่อใด ผู้เป็นภรรยาก็แกล้งนางกัจจานีต่าง ๆ นานา เช่น หุงข้าวดิบให้กินบ้าง ผสมน้ำเย็นจัด หรือร้อนจัดให้อาบบ้าง ปล่อยให้ยุงเข้ามุ้งบ้าง ทำดังนี้แล้วก็ยังฟ้องสามีว่า แม่นั้นเอาใจยาก บ่นจู้จี้จุกจิก ทำอะไรก็มีแต่ติ กระทำเช่นนี้บ่อย ๆ เข้า สามีก็ชักจะเอนเอียง เชื่อภรรยา จนถูกนางใช้มารยาหญิงยุยุงให้เขาไล่มารดาออกไป
      
       นางกัจจาณีต้องเรร่อนอาศัยเขาบ้าง ขอทานบ้าง รับจ้างบ้าง ยังชีพไปวัน ๆ หนึ่งด้วยความลำบาก แต่ก็มิได้กล่าวโทษลูกแต่อย่างใด บุตรสะใภ้ของนางก็ไม่ได้หยุดความร้ายกาจ เมื่อนางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายออกมา นางก็ประโคมข่าวว่านางมีโชคดี เพราะได้ขับคนอัปมงคลออกไปจากบ้าน
      
       ฝ่ายนางพราหมณีมีความโทมนัสเศร้าเสียใจมากว่า "ธรรมะอันเป็นความดีงาม" ได้ตายไปจากโลกแล้วหรือ คนทำชั่วถึงได้ดี นางจึงตัดสินใจนำอาหารเข้าไปในป่าช้า ใช้หัวกระโหลก 3 หัวเป็นที่ตั้งหม้อและกระทะจุดเชื้อเพลิงหุมต้มอาหารเตรียมอุทิศให้แก่ธรรมะ
      
       เรื่องแบบนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นในโลก จึงร้อนถึงพระอินทร์ต้องปลอมเป็นพารหมณ์แก่มาสงเคราะห์นางพราหมณี โดยการรับอาสาไปลงโทษลูก และหลานของนางให้ถึงแก่ความตาย หรือทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือให้ยากจนลง แต่ไม่ว่าจะเสนอโทษอย่างใด ๆ นางพราหมณีก็ไม่อาจเห็นความวิบัติที่จะเกิดกับบุตรชาย สะใภ้ และหลานของนางได้ พระอินทร์แปลงจึงชี้ให้เห็นว่า
      
       "ธรรมะยังไม่ได้ตายไปจากโลกนี้ ด้วยเห็นชัด ๆ ว่า ยังมีอยู่แม้ในตัวของนางเองที่มีความรัก และความเมตตาต่อลูก ไม่ได้อาฆาตพยาบาทจองเวร หรือคิดอยากให้ลูกมีอันตรายใด ๆ เลย ส่วนกรรมดีกรรมชั่วนั้นย่อมมีจริง เพียงแต่ไม่ส่งผลทันตาเห็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป"
      
       ซึ่งนางกัจจานีก็เห็นจริง พราหมณ์เฒ่าจึงเรียกบุตรชาย และสะใภ้มาอบรมสั่งสอนให้ทราบถึงความรักอันสูงส่งของนางกัจจานี จนทั้งสองสำนึก และรับนางกัจจานีเข้าไปอยู่ในบ้าน คอยดูแลให้ความสุขจนสิ้นอายุขัย
      
       เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ที่แสนจะบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีความรักชนิดใด ๆ ในโลกมาเทียบเทียมได้
      
       ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านทุกท่านทบทวนดูความรักของแม่ในทุก ๆ วัน แล้วแสดงน้ำใจตอบด้วยวิธีการที่เหมาะสมของแต่ละคน ให้เลื่องลือกระฉ่อนเทียบเคียงกับความรักของแม่ในเรื่องนี้
      

       //////////////
      
       ขอขอบคุณนิทานเรื่องสั้น "ธรรมะบันดาลใจ นิทานต้นแบบแห่งความดี" สำนักพิมพ์ในเครือสถาพรบุ๊คส์

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000050152

บิดามารดา คือ พระพรหม เปี่ยมด้วย พรหมวิหาร4 เต็มเปี่ยม<<<ผู้ปฏิบัติธรรมควรศึกษาอย่างยิ่ง
    
ความหมายของพรหมวิหาร 4
- พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่

เมตตา   ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา   ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา   ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา   การรู้จักวางเฉย
อ่านต่อ
http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html

1217
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 11:54:25 »
มิลินทปัญหา (จบ)
โดย ชัยสิริ สมุทวณิช   31 มีนาคม 2553 12:38 น.

       สติย่อมคอยกีดกัน สิ่งที่ชั่วมิให้เข้ามาประจำใจ เลือกเฟ้นไว้เฉพาะสิ่งที่ดีกระทำไว้ในใจ สติเป็นอย่างนี้แหละ
       
       ทั้งหมดคือสติและลักษณะแห่งสติ เวลานี้เราเข้าใจและใช้คำว่าสติกันผิดทิศทางไปมากแล้ว เช่น การที่เรากล่าวถึงบุคคลอื่นว่า สติแตก จึงหมายความว่า สติไม่ยึดถือ ละวางทุกอย่างซึ่งน่าจะเป็นผลดี ไม่ใช่การเพี้ยน เพียงแต่เลือกถือคุณธรรม จริยธรรมความดีต่างกันก็กลายเป็นว่าสติไม่ดี การมีสติครองอยู่ก็ให้รู้ว่าเราถือครองครรลองอารมณ์ที่กำกับไว้ได้
       
       คนกล่าวหาหรือคนถูกกล่าวหา เรื่องสติแตกนั้นเป็นคนถือครองลักษณะของระเบียบความคิดต่างกัน ตามลำดับของจิตเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
       
       ส่วนเรื่องการสมาธินั้น ปัญหาพระยามิลินท์ ตรัสถามพระนาคเสนว่า สมาธิ (ความตั้งใจมั่น) มีลักษณะอย่างไร?
       
       การไขความในเรื่องสมาธินี้ พระนาคเสนทรงเปรียบเปรยว่า เหมือนพระมหากษัตริย์เสด็จฯ งานพระราชสงครามพร้อมด้วยจตุรงคเสนา ก็บรรดาเสนา 4 เหล่า ซึ่งจัดเป็นหมวดหมู่นั้น ต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้บัญชากิจการเป็นประธาน กิจการนั้นๆ จึงจะดำเนินลุล่วงไปได้
       
       ตัวอย่างนี้ฉันใด แม้เทียบกับสมาธิก็ฉันนั้น สมาธิย่อมเป็นหลัก เป็นประธานของความดีทั้งหลาย จริงอยู่ความดีต้องอาศัยใจที่มั่นคง ใจที่แน่วแน่เป็นหลักจึงจะอยู่คงที่หรือจะก้าวหน้าไปถึงที่สุดแห่งความดีได้ นัยแห่งพระพุทธภาษิตก็มีรองรับอยู่ว่า จงทำสมาธิให้เกิด เหตุว่าผู้มีจิตเป็นสมาธิย่อมรู้แจ้งตามความจริง
       
       อาจกล่าวได้ว่า คัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในบวรพุทธศาสนา Tarn เองมีความเห็นว่า น่าจะเก่าไป ถึงก่อนคริสต์ศตวรรษนับร้อยปีทีเดียว ในการสนทนาธรรมนั้นพระยามิลินท์สามารถวิภาษวิธีเพื่อเอาชนะทางรูปธรรมของปัญหาได้ดี ตามหลักวิธีการแสวงหาความรู้แบบวิภาษวิธี
       
       แต่ในปัญหาในส่วนที่สอง พระยามิลินท์สร้างสมการเป็นปริศนาธรรม เพื่อให้พระนาคเสนประสิทธิสัจธรรมต่อความเลื่อมใสในศาสนาพุทธ และในส่วนที่สองนี้กล่าวว่าพระยามิลินท์ทรงถือหนทางแสวงหาความรู้โดยทรงสละราชสมบัติและบวชเป็นพระโดยไม่สึก
       
       Tarn กล่าวว่า วิภาษวิธีนั้นเป็นขนบของกรีก แต่เนื้อหาที่เป็นประวัติศาสตร์ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่เกี่ยวกับกรีกได้อีกเลย
       
       เฉพาะส่วนที่หนึ่งไม่ใช่ส่วนที่สอง Tarn ว่า บ่งบอกถึงทางศึกษา อิทธิพลของกรีกในอินเดียเวลานั้น
       
       เขาชี้ว่า จริงๆ แล้ว พระมหากษัตริย์อินเดียในห้วงเวลานั้นชอบสนทนาธรรมะในเชิงวิภาษวิธีอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับชาวตะวันตกจะเข้าใจได้ทันทีว่า นี่เป็นวิภาษวิธี เพื่อโต้ตอบข้อสงสัยในแนวทางของเพลโตและโสเกรตีส
       
       Tarn ยังระบุด้วยว่า คำว่า ยาวะนะ หรือ โยนกนั้นไม่น่าจะมีที่มาจากเปอร์เซีย และยิวเรียกพวกกรีกว่า ยาวันหรือ (Yawan) และเรียกพวกฮิตไตท์ว่า พวกเยวานะ ในสมัยพระเจ้าอโศก ทรงเรียกพวกกรีกว่า โยนะ (Yona) และคำว่า โยนก มักเรียกพวกต่างชาติกรีก ว่าเป็นพวกโยนกและโยนกนคร
       
       สำหรับปริมาณพลพรรคของโยนก 500 Tarn กล่าวว่าพวกตัวเลข 500 นี้ในมิลินทปัญหา ไม่ได้บอกว่าเป็นชนเผ่าและมีที่มาจากพวกไหนกันบ้าง แต่ทว่าในส่วนที่สองของมิลินทปัญหากลับเปลี่ยน 500 เป็นสภาอภิรัฐมนตรี 500 คนแทน
       
       ส่วนชื่อนายทหารที่ไปกับพระยามิลินท์ 5 คน ตอนสอบไล่ธรรมะกับพระนาคเสนนั้น
       
       ในทางประวัติศาสตร์ คนแรกและคนที่สองคือ Demitrius (ดริมิตติอุส) และอันติโอคุส (Antiochus) โดยมิต้องสงสัย ในภาษาบาลีเรียกนามว่า เทวมันติยอำมาตย์ อนันตกายอำมาตย์ เนมิตติยอำมาตย์ มังกุรอำมาตย์ และสัพพทินนอำมาตย์ มังกุรนั้น Tarn ระบุว่า คือ Pacorus (จีนเรียกมังกุร จากคำว่า Pagor)
       
       ส่วนที่สี่มีปัญหาว่า สัพพทินนะ นั้นหมายถึง Sabba ก็คือ Sabadios หรือในภาษายิว Sabbataios ส่วนทินนะ นั้นน่าจะเป็นการแปลงจากภาษาบาลีให้เข้ากัน Tarn ยังมีความเห็นเป็นอัศจรรย์ว่า น่าจะเป็นชาวยิวแห่งอนาโตเลีย ซึ่งต่อมางานและถ้อยคำถามตอบแบบปัญหาและพระยามิลินท์นี้ไปปรากฏในบันทึกศาสนายิวในพระคัมภีร์ โดยนิพนธ์เมื่อมีการประชุมเขียนคัมภีร์ยิวที่ถูกต้อนไปอเล็กซานเดรีย
       
       ความสำคัญของปัญหาพระยามิลินท์จึงเป็นพิสดารอย่างยิ่ง เป็นคัมภีร์นอกพระไตรปิฎก แต่ก็เก่าแก่กว่า และเป็นบันทึกเป็นรูปธรรม
       
       การที่ในหลวงของเราได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย จัดพิมพ์มิลินทปัญหานี้ จึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณทางวิชาการแก่พุทธศึกษาอีกทางหนึ่งโดยแท้ สำหรับปวงชนชาวไทยจะได้นำมาศึกษาเพื่อหาแก่นความรู้อื่นๆ ต่อไป :054:

ที่มา
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000044601

นำมาให้อ่านเพื่อศึกษาเพิ่มเติมประกอบกัน ไม่จำเป็นต้องเชื่อครับ :027:

1218
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 11:51:07 »
มิลินทปัญหา (1)
โดย ชัยสิริ สมุทวณิช   24 มีนาคม 2553 15:36 น.

       เมื่อครั้งมีงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยในหลวงทรงให้จัดพิมพ์หนังสือมิลินทปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์ที่ได้รับการบันทึกเก่าแก่ที่สุด แต่งเมื่อพระพุทธศาสนา ลุกาลประมาณ 500 พรรษา หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
      
       มิลินทปัญหาเป็นงานเก่าแก่ พระปิฎกจุฬาภัยนิพนธ์ขึ้นมาเพื่อทบทวน ตอบคำถามทหารเอกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) ก็คือพระยามิลินท์ (Menander King) ซึ่งครองดินแดนมีเมืองใหญ่จากนครกาบูล (เมืองหลวงของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน) เป็นเมืองหลวงตะวันตก และพระราชอำนาจแผ่ขยายจนจดนครมคธเป็นเมืองเอกทางตะวันออก
      
       ตามหลักฐานพระยามิลินท์ ได้ตั้งเมืองศูนย์กลางที่สังฆละ ในการสนทนาธรรม เฉพาะอย่างยิ่งตามคัมภีร์ของไทยเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์เอกพระองค์นี้ ทรงฟังธรรมแล้วไปเกิดเลื่อมใสและได้ถึงแก่การตรัสรู้ด้วยซ้ำไปบรรลุธรรมขั้นสูง(...ทรงกลด)
      
       ต้นฉบับมิลินทปัญหาซึ่งแต่งแต่เดิม ขณะนั้นยังไม่มีการแตกนิกายเป็นมหายานฝ่ายเหนือและหินยานฝ่ายใต้แต่ประการใด
      
       ความเก่าแก่ของคัมภีร์นี้ปรากฏว่าอยู่ในบ้านแพรกของไตรภูมิคถา แสดงถึงความเก่าแก่แต่ครั้งสุโขทัยธานี
      
       ต้นฉบับจีนและพม่านั้นยังไม่สมบูรณ์ ฉบับภาษาไทยได้คงรูปสมบูรณ์ที่สุด และบรรดาหนังสือที่พุทธศาสนิกชนสมควรมีไว้ก็คือ พระธรรมแสดงโดยพิสดารในมิลินทปัญหา ซึ่งบางส่วนของปัญหาไปปรากฏในโลกตะวันตก เช่น เหมือนในบันทึกของพลูตาร์ค (Plutarch) ซึ่งวิธีการบันทึกการสนทนาธรรม ระหว่างพระเจ้าอลิกกะสุนทระ หรือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) กับผู้รู้ บางส่วนของปริศนาธรรมนี้ ยังปรากฏในคัมภีร์ยิวโบราณ
      
       เฉพาะอย่างยิ่งใน Ecclesiates (Qoheleth) ซึ่งเราจะละเลยไม่ได้ว่า อาณาจักรของพระยามิลินท์นั้น ความสัมพันธ์ของพระในยุคโบราณ มีความสัมพันธ์กันบริเวณข้ามช่องเขาไคเบอร์ เช่น ที่เมืองมาเซสดา (Maseda) ก็ปรากฏว่ามีบันทึกของโยเซฟพัส (Josephus) ระบุว่า มีพระที่เรียกว่า Indian Wiseman จากเอเชียอยู่ในเมืองเป็นผู้วินิจฉัยถึงชีวิตว่าเป็นทุกข์ ชาวยิวจึงพร้อมกันสละชีพ กระโดดหน้าผาโดยมิยอมตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิโรมัน
      
       ยุคพุทธกาล ศาสนาพุทธไปไกลมาก และเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการที่เส้นทางการค้าเปิดโล่งระหว่างคาบสมุทรอินเดียกับเมดิเตอร์เรเนียน ไปจนถึงจดดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาแต่ยุคพุทธกาลแล้ว
      
       เราพบเหรียญในยุคร่วมสมัยมากมาย เช่น บริเวณควนลูกปัด พบหัวแหวนกรีก และลูกปัดแก้วชั้นดีจำนวนมาก จนถือว่ากระบี่เป็นแหล่งผลิตเครื่องประดับแก่ชาวกรีกและโรมัน ที่สำคัญแห่งหนึ่งที่อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
      
       ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกรีก-อินเดียศึกษา คือ ศาสตราจารย์ W.W.Tarn ได้วิเคราะห์ว่าบันทึกมิลินทปัญหาคงจะแต่งขึ้นไม่นานหลังยุคพระยามิลินท์ โดย Tarn เชื่อว่าการแต่งมีสองส่วนคือ ส่วนหน้ากับส่วนหลัง ฉบับที่ Tarn ใช้เพื่อประกอบวินิจฉัยคือ ฉบับที่ นางรีดส์ เดวิดส์ (Rhys Davids) นำไปแปลเผยแพร่ในต่างประเทศ
      
       ปรัชญามหายานนั้นมีระบบวิภาษวิธี (Dialectical method) เป็นแกนกลาง พร้อมกับมีคำอรรถาธิบายทฤษฎีความสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท (Relativity Theory) ก่อนคาร์ล มาร์กซ์
      
       ต่างกันตรงที่การผันกลับของพุทธศาสนานั้นกลับเข้าภายในเป็นสูญวาท
      
       สำหรับนิกายมหายานของคุรุอสังคะและวสุพันธ์ ให้กำเนิดปรัชญามหายานนิกายวิชญานวาท โดยถือสรรพสิ่งเป็นเพียงภาพลักษณ์มายาทั้งสิ้น ซึ่งสะท้อนเงา (Miror image) ส่วนนิกายโลกานุวัตรอีกนิกายหนึ่ง คือ ภูตถตา หรือความเป็นสากล Universality จิตของมนุษยชาติทั้งมวล มีรูปการจิตสากลเป็น universal mind (รายละเอียดเพิ่มเติมจากนี้ พุทธศาสนิกชนควรดูในหนังสือคดีธรรม คดีโลก ของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ)
      
       ผู้เขียนใช้ตำรามิลินทปัญหาฉบับกรมศิลปากร พิมพ์ขึ้นเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2483 เป็นหลักในการค้นคว้า
      
       ในปัญหาที่ 12 พระยามิลินท์ ซึ่งเป็นชนชาติกรีก ครองราชอาณาจักร มีดินแดนอินเดียทางตอนเหนือทั้งหมด พระยามิลินท์ ถามว่า สติมีลักษณะอย่างไร? พระนาคเสนทูลกล่าวตอบว่า มีลักษณะให้นึกได้และถือไว้
      
       ประโยคนี้ กล่าวไว้ว่า เมื่อมีหรือเกิดสติ การนึกได้ ได้ถือไว้ หมายความว่า นึกถึงบุญถึงบาปทั้งหลาย เช่น ลักษณะของศีลคืออย่างนั้น และศรัทธามีลักษณะอย่างนั้น
      
       การครองสติเมื่อเกิดขึ้น พระนาคเสนอธิบายว่า สติเมื่อเกิดขึ้น ย่อมให้เลือกถือเอาว่านี่ดีมีคุณควรปฏิบัติ นี่ชั่วให้โทษควรละเว้น
      
       และพระนาคเสนได้อรรถาธิบาย โดยเทียบเคียงเป็นอุปมาอุปไมยว่า เหมือนนายทวารย่อมมีหน้าที่ตรวจตราดูผู้ที่เข้าออก ถ้าเห็นสมควรจึงอนุญาตให้เข้า ถ้าเห็นพิรุธเกรงว่าเป็นคนทุจริตก็ห้ามไม่ให้เข้า

ที่มา
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000041156

1219
เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา หลวงพ่อเมี้ยนก็กระทำกิจต่าง ๆ ตามปกติ แล้วก็ลืมเรื่องราวที่ไปขอหวยมาจากหลวงพ่อจงเสียสิ้น จนหลังจากวันหวยออกจึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ซึ่งท่านได้เอาใส่ย่ามไว้ หลวงพ่อเมี้ยนได้รีบขึ้นไปบนกุฏิและค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม ซึ่งปรากฏว่ายังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ หลวงพ่อเมี้ยนจึงรีบคลี่ออกดูก็พบว่าในกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือของหลวงพ่อจงเขียนตัวเลขเรียงกันไว้หกตัว และสิ่งที่ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนบังเกิดความศรัทธาในหลวงพ่อจงทวีคูณก็คือ ตัวเลขทั้งหกตัวในกระดาษแผ่นนั้น ตรงกับเลขสลากรางวัลที่ 1 ในงวดนั้นทุกตัวเรียงกันไปตั้งแต่ต้นจนตัวสุดท้าย (สมัยนั้นสลากกินแบ่งรัฐบาลก็มีเลขหกตัว)

สิ่งที่ประจักษ์อยู่กับตาในเวลานั้น ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อมั่นยิ่งนัก ว่าวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าของหลวงพ่อจงนั้นล้ำเลิศนัก เพราะท่านได้เห็นแจ้งมากับตาถึงสามครั้งสามหน ครั้นวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินทางไปที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านก็ถามขึ้นเหมือนดั่งรู้ความในใจของหลวงพ่อเมี้ยนว่า

"อยากจะลองเรียนดูหรือ"

"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบรับ แต่ในใจนึกก็เกิดความปิติที่หลวงพ่อจงได้ล่วงรู้ความตั้งใจที่ท่านเองมิได้บอกกล่าว

"รอเย็น ๆ นะ" หลวงพ่อจงพูด เพราะขณะนั้นมีผู้คนอีกมากมายที่รอพบท่านอยู่

เมื่อหลวงพ่อจงว่างจากการรับแขก ในตอนพลบค่ำ หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เข้าพบ หลวงพ่อจงได้พาหลวงพ่อเมี้ยนเข้าไปในกุฏิใหญ่ แล้วให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งลงตรงหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม ณ ที่นั้นเองหลวงพ่อจงก็เริ่มสอนให้หลวงพ่อเมี้ยนเรียนวิชาให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้า

หลวงพ่อจงเริ่มสอนด้วยการให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งสมาธินำจิตเข้าอสุภกัมมัฏฐาน เพ่งจิตเข้าสู่โครงกระดูกตาเอี่ยมแล้วภาวนา "อะระหัง" ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนนั่งกัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"ติดตาไหม"

"ไม่ติดขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นลองใหม่" หลวงพ่อจงพูดต่อไป เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานสักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามอีกว่า

"ติดตาหรือยัง"

"ยังขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นตามมานี่" หลวงพ่อจงบอกให้หลวงพ่อเมี้ยนลุกออกมาจากหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม เดินตาม่านเข้าไปยังหน้าพระพุทธรูปซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในกุฏิใหญ่ แล้วก็ให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งเข้ากัมมัฏฐานที่หน้าพระพุทธรูปนั้น เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามว่า "คราวนี้ติดตาไหม"

"ติดตาแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นเริ่มต้นใหม่นะ" หลวงพ่อจงบอกต่อไป "เมื่อติดตาแล้วก็ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับเราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั่นแหละ"

นับตั้งแต่ที่หลวงพ่อจงพูดว่า "ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับที่เราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั้น" หลวงพ่อเมี้ยนก็เริ่มฝึกปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งนิมิตเห็นตัวเลขลอยขึ้นทีละตัว ๆ จนกระทั่งครบหกตัว แล้วตัวเลขทั้งหกนั้นจากเดิมที่เป็นสีขาวก็จะกลับกลายเป็นสีทองสุกสกาว ในขณะนั้นเองหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"เห็นแล้วใช่ไหม"

"เห็นแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"นั่นแหละเป็นของที่เราเห็นได้ แต่มันเป็นกิเลส เป็นลาภจร ไม่ควรนำไปบอกใคร" หลวงพ่อจงสอนเป็นอนุสติ

"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนรับคำ

พอรุ่งเช้า หลวงพ่อเมี้ยนก็เข้าไปลาหลวงพ่อจงแต่เช้าตรู่ เมื่อตอนที่ลานั้นหลวงพ่อจงก็สั่งกำชับอีกว่า "พูดไม่รู้ รู้ไม่พูด"

เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา แล้ว หลวงพ่อเมี้ยนก็ฝึกปฏิบัติตลอดมา จนกระทั่งจิตเข้าสมาธิได้รวดเร็ว เห็นตัวเลขได้ในเวลาไม่นานนักและปรากฏว่าตัวเลขที่เห็นนั้นตรงกับเลขรางวัลที่ 1 ทุกครั้ง

หลวงพ่อจงนั้นท่านมีอุบายในการทดสอบจิตใจคนแยบยลนัก ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อบอกตัวเลขให้ทีไร พอหวยออกแล้วก็ต้องถามทุกทีไปว่า "รวยไหม" เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง และท่านยังได้ทดสอบคนเป็นขั้นเป็นตอน คือครั้งแรกให้ไปเพียงสามตัวก่อน ซึ่งเป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 พอหลวงพ่อเมี้ยนสงบจิตใจได้ไม่เกิดความโลภ มิได้นำเลขนั้นไปแทงหวย ท่านก็ให้ครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเลขท้ายรางวัลที่ 1 และเลขท้ายสองตัว ซึ่งถ้านำไปแทงหวยก็จะได้เงินมากขึ้น แต่เมื่อให้ไปสองครั้งแล้วหลวงพ่อเมี้ยนก็ยังไม่บังเกิดความโลภในจิต ท่านจึงได้ให้ครั้งที่สาม ซึ่งเป็นเลขรางวัลที่ 1 ถ้านำไปแทงถูกก็จะได้รางวัลเป็นเงินหลายแสนบาท (ในสมัยนั้น) ซึ่งหลวงพ่อเมี้ยนก็ผ่านการทดสอบจิตใจที่เกี่ยวกับความอยากหรือกิเลสไปได้ ถ้าหากในครั้งนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้ตัวเลขแล้วเอาไปแทงหวย หลวงพ่อจงก็คงไม่บอกในครั้งต่อ ๆ มา และในครั้งที่สามหรือครั้งสุดท้ายนั้น หลวงพ่อจงได้บอกว่า "คราวนี้ยากหน่อยนะ" แล้วเอากระดาษไปสอดไว้ที่โครงกระดูกตาเอี่ยม และให้หลวงพ่อเมี้ยนไปหยิบเอา ท่านก็คงจะหมายเอาว่า หลวงพ่อเมี้ยนมีจิตใจที่เข็มแข็งพอที่จะเรียนวิชาแขนงนี้ได้หรือไม่ เพราะการฝึกฝนวิชานี้ต้องเริ่มต้นที่การพิจารณาโครงกระดูกก่อน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนผ่านการทดสอบจิตใจในเบื้องต้นแล้ว จึงได้รับการสอนวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-08.htm

1220
ภาคผนวก

บารมีทางวิทยาคมหลวงพ่อจงให้หวยแม่นได้มีการเล่าบอกกล่าวกันว่า...

หลวงพ่อเมี้ยน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา (ได้มรณภาพไปแล้ว) ท่านได้ศึกษาวิชาการประสานกระดูกและการรักษาโรคภัยต่าง ๆ มาจากหลวงพ่อเมี้ยน วัดพระเชตุพน ฯ หรือ วัดโพธิ์ ท่าเตียน จนสามารถใช้วิชานี้สงเคราะห์ผู้คนทั่วไปได้ แต่เมื่อท่านได้ครองเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ กบเจา ก็มีความเลื่อมใสในวิชากัมมัฏฐานตามแนวทางของหลวงพ่อจง และเมื่อได้ศึกษาต่อไปจึงได้ทราบว่าหลวงพ่อจงนั้นมีฌานพิเศษที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้าได้ ก็เลยอยากลองเรียนวิชานี้ จึงได้ตัดสินใจที่จะไปลองสอบถามดู แต่การถามเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนเท่ากับการขอหวย เพราะการให้หวยนั้นจะเท็จจริงประการใดก็รู้กันได้ในไม่กี่วัน

เมื่อตกลงใจดังนั้นในวันต่อมาหลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางไปพบหลวงพ่อจงที่วัดหน้าต่างนอก เมื่อได้พบหลวงพ่อจง จึงได้เข้าไปนมัสการและสนทนาสอบถามท่านถึงเรื่องต่าง ๆ แล้วจึงวกเข้าสู่เรื่องที่ท่านต้องการทราบ

"หลวงพ่อ เรื่องการให้หวยนั้นทำได้จริง ๆ หรือขอรับ"

หลวงพ่อเมี้ยนถามขึ้น

"จ้ะ เขามีจริง ๆ" หลวงพ่อจงตอบสั้น ๆ

"ผมอยากจะขอลองดู" หลวงพ่อเมี้ยนกล่าวต่อ

"จะลองดูก็ได้ รอเดี๋ยวนะ" หลวงพ่อจงตอบ แล้วท่านก็ลุกออกจากอาสนะที่รับแขก เดินหายเข้าไปในกุฎิใหม่เพียงชั่วครู่ แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ท่านส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับหลวงพ่อเมี้ยน หลวงพ่อเมี้ยนรับกระดาษแผ่นนั้นไว้แล้วก็มิได้เปิดดูเพียงแต่ยัดลงไว้ในย่ามและอยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกสักครู่หนึ่งก็ลากลับ

หลังจากที่หลวงพ่อเมี้ยนเอากระดาษแผ่นนั้นใส่ย่ามและเดินกลับวัดแล้วก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้ท่านมิได้นึกถึงกระดาษแผ่นนี้อีกเลย เมื่อกลับมาถึงวัดโพธิ์ กบเจา ท่านก็ได้แต่ทำกิจอื่น ๆ มิได้นึกถึงเรื่องราวที่ไปขอหวยหลวงพ่อจงมา จนกระทั่งเย็นวันหวยออก (ในสมัยนั้นหวยออกตอนเย็น) พอท่านได้ทราบว่าหวยออกเลขอะไรแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงได้ให้กระดาษมาแผ่นหนึ่งในวันที่ท่านไปขอหวย จึงไปค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม เมื่อพบและคลี่กระดาษนั้นออกดูก็ปรากฏว่ามีเลขสามตัวเขียนเรียงกันอยู่ และที่น่าประหลาดยิ่งนักก็คือเลขทั้งสามตัวนั้นตรงกับเลขท้ายรางวัลที่หนึ่งมิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็แน่ใจว่าหลวงพ่อจงมีญาณพิเศษในการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่จริง แต่ก็ยังอยากจะลองให้หายสงสัย ในวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปหาหลวงพ่อจงแต่เช้า เพื่อจะทดลองท่านอีก เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"รวยไหม"

"ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะพอได้ไปแล้วก็ลืม" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"จะขอใหม่ใช่ไหม" ท่านหยั่งรู้ใจหลวงพ่อเมี้ยนโดยที่หลวงพ่อเมี้ยนยังไม่ทันบอก

"อยากลองใหม่ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"รอเดี๋ยว จะไปเอามาให้" หลวงพ่อจงตอบพร้อมกับลุกเข้าไปในกุฎิใหญ่เหมือนครั้งที่แล้ว เพียงชั่วครูก็ออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งและส่งให้หลวงพ่อเมี้ยน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนได้รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ขอลากลับ และนับตั้งแต่วันนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็มิได้ใส่ใจกับเรื่องกระดาษที่หลวงพ่อจงให้มาอีกเลย จนกระทั่งหวยออกไปแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง จึงไปค้นในย่ามก็พบกระดาษแผ่นนั้น พอเปิดออกมาดู หลวงพ่อเมี้ยนกลับมีความประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อน เพราะครั้งนี้หลวงพ่อจงเขียนเลขมาให้สองแถว แถวแรกเป็นเลขสามตัว แถวที่สองเป็นเลขสองตัว และปรากฏว่าเลขสามตัวนั้นก็ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 ส่วนเลขสองตัวของหวยงวดนั้นมิได้ผิดเพี้ยนเลย คือเลขรางวัลออกอย่างไร ตัวเลขที่หลวงพ่อจงให้มาก็เป็นอย่างนั้น

เมื่อผลออกมาว่าหวยที่หลวงพ่อจงเขียนใส่กระดาษให้หลวงพ่อเมี้ยนมานั้น เป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่ 1 และตรงกับรางวัลเลขท้ายสองตัว โดยมิได้ผิดเพี้ยน ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อแน่ว่า วิชาการให้หวยของหลวงพ่อจงนั้นเป็นของแท้จริงยิ่งนัก แต่ก็อยากจะลองอีกเป็นครั้งที่สามเพื่อให้แน่แก่ใจ ดังนั้นในตอนเช้ามืดของวันต่อมา หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางมาที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงและได้พบหลวงพ่อจงแล้วนั้น ท่านก็ได้ถามหลวงพ่อเมี้ยนเหมือนครั้งก่อนว่า

"รวยไหมล่ะ"

"ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะลืมเสียสนิท" หลวงพ่อเมี้ยนตอบท่านไปอย่างนั้น แล้วก็พูดกับหลวงพ่อจงต่อไปว่า

"อยากจะลองอีกครั้ง"

"ได้จ้ะ คราวนี้ยากหน่อยนะ" หลวงพ่อจงพูดกับหลวงพ่อเมี้ยนอย่างนั้น เมื่อพูดจบหลวงพ่อจงก็เดินหายเข้าไปในกุฏิใหญ่เหมือนครั้งก่อน ๆ แต่คราวนี้ท่านหายเข้าไปในนั้นนานพอสมควร จึงได้ออกมาจากกุฏิใหญ่ แล้วก็บอกกับหลวงพ่อเมี้ยนว่า "หยิบเอาเองอยู่ที่นั่น" ท่านพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ศีรษะของโครงกระดูกตาเอี่ยม ซึ่งแขวนติดอยู่กับฝากุฏิ หลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินไปที่โครงกระดูกนั้น ก็เห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ พับสอดไว้ตรงด้านหลังกะโหลกศีรษะ หลวงพ่อเมี้ยนหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วก็เอาใส่ไว้ในย่าม โดยมิได้เปิดดูว่าในกระดาษแผ่นนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง จากนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้อยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกครู่หนึ่งจึงได้ลากลับ.........

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-08.htm

1221
อาพาธ....มรณะภาพ

เมื่ออรุณทอแสงจับขอบฟ้าวันที่ 24 มกราคม 2508 ทุกคนผู้เป็นศิษย์ใครบ้างจะรู้ว่า วันนี้แล้วสัญญาณแห่งความวิปโยคจะเริ่มขึ้น ตอนสายมีข่าวว่าหลวงพ่ออาพาธด้วยโรคอัมพาตหมดความรู้สึกทางซีกขวาไปแถบหนึ่ง ได้แพร่สะพัดไปสู่บรรดาศิษย์ทั้งหลายและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วปานกระแสลมกล้า ตอนสายวันนั้นที่กุฎีหลวงพ่อคราคร่ำไปด้วยผู้มาเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตสาเหตุของการอาพาธครั้งนี้มีอยู่ว่า

เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. เช้าวันที่ 24 มกราคม หลวงพ่อเข้าสุขาตามเวลาปกติ ขณะเสร็จกิจแล้วท่านลุกขึ้นมากุฎีไม่ได้ เพราะซีกกายข้างขวาของท่านหมดความรู้สึก นายขัน และพระเพ็ง ขนติโก ผู้ปฏิบัติหลวงพ่อเห็นว่า ท่านสุขานานเกินควร จึงตามเข้าไปเปิดประตูสุขาพบว่าหลวงพ่อกำลังพยายามจะทรงกายลุกขึ้น จึงช่วยพยุงท่านมายังเตียงนอน สังเกตเห็นว่าปากข้างขวาของท่านเบี้ยวผิดปกติ ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุทานว่า

"เขาเอาเราแน่ละคราวนี้ เขายึดเราหมดแล้ว"

เสมือนหนึ่งหลวงพ่อทราบว่า กายนครของท่านจะต้องประสบภาวะขั้นสุดยอดของกฏธรรมดาในอนาคตอันใกล้นี้ ปัจฉิมอุทานของหลวงพ่อคราวนี้ ทำให้ทุกคนใจหายวาบหนักใจในอาพาธของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลวงพ่อไม่เคยอุทานเช่นนี้เลย ทุกคนซ่อนความทุกข์ใจไว้ภายใน เฝ้าปรนนิบัติพยาบาลท่านเป็นอย่างดี ระยะ 7 วันแรก หลวงพ่อพูดได้เกือบปกติ ฟังชัด เมื่อล่วง 7 วันแล้วเสียงของท่านเริ่มน้อยลง แหบเครือลงโดยลำดับ เพราะความชราแห่งสังขารอันเก่าแก่ยาวนานถึง 93 ปี ประกอบกับฉันอาหารได้น้อยด้วย

ต่อมาคณะศิษย์มีหลวงพ่อนิลเป็นประธาน ได้พร้อมใจกันมอบให้นายแพทย์สถานีอนามัยชั้นหนึ่งวัดโพธิ อำเภอบางบาล ร่วมด้วย นายประทิน อัมพานนท์ สถานีอนามัยพระขาว เป็นผู้ถวายการรักษาท่าน ในระยะนี้อาการของท่านทรงอยู่และดีขึ้นเล็กน้อย ด้วยความเอาใจใส่และความสามารถของแพทย์ ทุกคนภาวนาว่าแม้หลวงพ่อจะไม่หายขาดก็ขอให้พอทุเลาพอนั่งได้ก็ยังดี เพราะโรคนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่า เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ยาก

วันแล้ววันเล่าผ่านไป อาการของหลวงพ่อเริ่มทรุดลง พูดไม่ได้ยินเสียง หายใจไม่สะดวก มีเสมหะมาก สังเกตว่าหลวงพ่อมีทุกขเวทนาอย่างหนัก แต่เสียงครวญครางอย่างสามัญชนมิได้มีรอดจากปากให้ใครได้ยินเลย เมื่อท่านเจ็บปวดก็เป็นเพียงแสดงอาการส่ายหน้าไปมาให้เป็นที่สังเกตว่าท่านไม่สบายเท่านั้น หลวงพ่อมีใจแท้อยู่เหนือเวทนาทั้งปวง ไม่หวั่นไหว ใช้อธิวาสขันตีที่ท่านมีอยู่เป็นปกตินิสัย ข่มความทุกข์ทรมานอันเกิดจากอาพาธกล้าได้อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

หลวงพ่อใช้ธรรมโอสถรักษาใจของท่านเองให้มั่นคงแจ่มใส ในยามที่ร่างกายเจ็บไข้ ได้นิมนต์พระมหาแสวง ฐิติสมฺปนฺโน ป.ธ. 5 วัดสันติการาม มาสวดสาธยาย ทวัตติงสาการ โพชฌงคปริตร อุณหิสวิชัย คาถาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ อยู่เป็นนิจ แสดงว่า อาพาธนั้นจะชนะท่านได้ก็เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในอาพาธจะกล้ำกลายท่านไม่ได้เลย

ระยะที่หลวงพ่ออาพาธหนัก บรรดาศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือทั้งใกล้และไกลไปมาเยี่ยมเยือน สดับตรับฟังอาการอยู่ทุกวันอย่างแน่นขนัดทุกคนมีใจตรงกันอยู่จุดเดียว คือ สนองพระคุณหลวงพ่อให้สมกับที่ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นบุรพการีแก่ทุกคนมานานแสนนาน บางท่านแนะนำให้นำพาหลวงพ่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์บ้าง โรงพยาบาลอื่น ๆ บ้าง บรรดาศิษย์ขอขอบพระคุณในความปรารถนาดีของท่านเหล่านั้น แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า หลวงพ่อชราภาพมากแล้วและอาการอาพาธก็หนัก ถ้าพาท่านเดินทางไปอาจเป็นการกระทบกระเทือนบอบช้ำ จนเป็นเหตุให้ท่านถึงมรณภาพเสียกลางทางก็อาจเป็นได้ จึงตกลงกันว่าขอให้หลวงพ่อได้หลับตาจากไปในท่ามกลางการสนองพระคุณของญาติและศิษย์ บนสยนาสนะที่หลวงพ่อเคยอาศัย ในท่ามกลางสถานวิเวกอันน่าอภิรมย์ด้วยดวงจิตอันสงบเถิด

แล้ววาระแห่งความโศกสลดก็มาถึง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2508 ค่ำลงแล้ว ดวงจันทร์ใกล้วันมาฆะปุรณมีทอแสงจ้าแจ่มใส คล้ายเป็นประทีปส่องทางให้ท่านได้เดินทางไกลไปสู่สุคติภพอันสงบ ตอนหัวค่ำดูเหมือนหลวงพ่อจะมีอาการทุเลากว่าเวลาอื่นที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววว่าอาการจะทรุดหนักลงเลย บรรดาผู้ที่นั่งเฝ้าอาการอยู่ดูอุ่นใจขึ้น ถวายยาประจำตามปกติแล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้าประคองท่าน พัดวีถวายเท่าที่สามารถจะทำได้ แม้ว่าหลวงพ่อจะผ่ายผอมจนผิดตา แต่ก็มีรัศมีอิ่มเอิบใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงถึงความเมตตาอยู่เป็นนิจ

เวลาล่วงไป เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน พระจันทร์โคจรขึ้นสู่วันใหม่ ดิถีแห่งวันมาฆปุรณมี วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มขึ้นแล้ว หลวงพ่อหลับตานิ่งสนิท นาน ๆ จึงจะหายใจยาวสักครั้งเงียบสงัด ทุกคนเฝ้าอาการอยู่ด้วยหัวใจอันหดหู่ แสนห่วง ไม่มีใครปริปากหนึ่งนาฬิกาผ่านไป หลวงพ่อสงบไม่ไหวติง จับชีพจรดูยังเต้นอยู่แต่ช้าและลึกลงทุกขณะ เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลา 01.55 น. ของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2508 หลวงพ่อก็จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ ปราศจากอาการกระวนกระวายโดยสิ้นเชิง ท่ามกลางความโศกเศร้าอาดูร พิลาปรำพันของญาติและศิษย์ทั้งหลาย สิริประมวลอายุได้ 93 ปี 10 เดือน กับ 17 วัน ครองสมณเพศมาโดยตลอด 72 พรรษานับแต่เริ่มอาพาธมาจนถึงวาระสุดท้ายรวม 24 วัน

หลวงพ่อถึงมรณภาพในวันมาฆะปุรณมี มาฆฤกษ์ วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์ว่า หลวงพ่อจากไปดีแล้ว ไปประเสริฐแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณอันเปี่ยมไปด้วยความดีงาม สงบบริสุทธิ์ด้วยสีลาทิคุณในพระพุทธศาสนายาวนานถึง 72 พรรษาของหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงสุด จงไปสู่สัคคาลัย ได้สถิติอยู่ด้วยปรมสันติสุขในวิสุทธิวิมานเถิด

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-08.htm

1222
อุทิศส่วนบุญให้คนตาย...จะได้รับหรือไม่?
มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน




ที่มา
http://www.palungdham.com/

1223
อุทิศส่วนบุญให้คนตาย...จะได้รับหรือไม่?
มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน






ที่มา
http://mblog.manager.co.th/intellect/th-42066/

1224
อุทิศส่วนบุญให้คนตาย...จะได้รับหรือไม่?
มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน






ที่มา
http://mblog.manager.co.th/intellect/th-42066/

1225
อุทิศส่วนบุญให้คนตาย...จะได้รับหรือไม่?
มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน






ที่มา
http://mblog.manager.co.th/intellect/th-42066/

1226
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 09:44:49 »
แสดงความชื่นชมต่อกัน

ครั้งพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์เสร็จแล้ว จึงกลับไปสู่สังฆาราม เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้วไม่ช้า พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงคิดดูว่า
     เราได้ถามเป็นอย่างไร พระผู้เป็นเจ้าแก้เป็นอย่างไร จึงทรงนึกได้ว่า สิ่งทั้งปวงเราก็ได้ถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ได้แก้ดีแล้ว

ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอย่างเดียวกันกับพระเจ้ามิลินท์ เช้าขึ้นจึงได้ครองจีวรสะพายบาตรเข้าไปที่พระราชนิเวศน์ แล้วนั่งลงบนอาสนะ
     พระเจ้ามิลินท์กราบไหว้แล้ว จึงตรัสขึ้นว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าคิดว่า โยมได้ถามปัญหาพระนาคเสนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้ราตรีที่ยังเหลืออยู่ สิ้นไปด้วยความยินดีนั้น ขออย่าเห็นอย่างนี้ ”
โยมได้นึกอยู่ตลอดราตรีว่า การถามของเราเป็นอย่างไร การแก้ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร ก็นึกได้ว่า เราถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าแก้ดีแล้ว

พระเถระก็ตอบว่า
“ ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรอย่าคิดว่า อาตมภาพได้แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว มหาบพิตรย่อมทรงบรรทมหลับตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ด้วยความยินดีนั้น ขออย่าทรงเห็นอย่างนี้
อาตมภาพได้คิดอยู่ตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ว่า พระเจ้ามิลินท์ถามอะไรแล้ว เราได้แก้อะไรแล้ว ก็นึกได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ได้ถามสิ่งทั้งปวงแล้ว เราก็ได้แก้สิ่งทั้งปวงแล้ว ”

เป็นอันว่า ปราชญ์ทั้งสองนั้น ได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อกันและกันอย่างนี้ :054:

 จบวรรคที่ ๗

จบมิลินทปัญหา

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

กราบอนุโมทนาบุญกุศล :054:แก่ทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านและศึกษาธรรมด้วยกันตลอดมาจนจบ หากท่านมีคำถามดั่งพระเจ้ามิลินท์ ก็ลองอ่านทบทวนดู หากคำถามแตกต่างกันไป ก็ต้องศึกษาพระธรรม โดยอาจจะสอบถามพระอาจารย์ ถามผู้รู้หรือศึกษาค้นคว้าดั่ง พหูสูตร :015: ด้วยเทอญ บุญบารมีจงมีแก่ทั้งหลาย :054:

1227
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 09:37:45 »
ปัญหาที่ ๑๙ พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
“ มหาบพิตรทรงทราบว่า เวลานี้เป็นเวลาอะไรแล้ว ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมทราบว่าเวลานี้เป็นเวลามัชฌิมยามแล้ว เพราะคบเพลิงสว่างไสว ”
ขณะนั้นพวกเจ้าพนักงานก็นำผ้า ๕ พับมาถวาย ข้าราชการโยนกทั้งหลายก็ทูลขึ้นว่า
“ พระภิกษุองค์นี้ฉลาดมาก เป็นบัณฑิตแท้ พระเจ้าข้า”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
“ ถูกแล้ว...เธอทั้งหลาย ถ้ามีอาจารย์อย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้ ไม่ช้าก็ต้องรู้ธรรมะได้ดี ”
พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีด้วยการแก้ปัญหาของพระนาคเสน จึงถวายผ้ากัมพลราคาแสนตำลึงแด่พระนาคเสนแล้วตรัสว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะให้จัดอาหารไว้วันละ ๑๐๘ สำรับ สิ่งใดที่สมควรอันมีในพระราชวังนี้ โยมขอปวารณาพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น”
“ อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพพอมีชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน โยมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพอมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรักษาตัวของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาตัวของโยมไว้

ข้อที่ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้ารักษาตัวพระผู้เป็นเจ้าไว้นั้น คืออย่าให้มีผู้ติเตียนได้ว่าพระนาคเสนทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ก็ไม่ได้อะไร

ข้อที่ว่า ขอให้รักษาตัวโยมไว้นั้น คืออย่างไร...คืออย่าให้มีผู้กล่าวได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ไม่ได้ทรงแสดงอาการเลื่อมใสแต่อย่างใด”

พระเถระจึงตอบว่า
“ แล้วแต่พระราชประสงค์ ”
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พญาราชสีห์อันบุคคลขังไว้ในกรงทองย่อมหันหน้าไปภายนอก ฉันใด ถึงโยมจะอยู่ครองบ้านครองเมือง ก็หันหน้าไปภายนอก ฉันนั้น ถ้าโยมออกไปบรรพชา ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพราะศัตรูโยมมีมาก ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1228
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 09:33:51 »
ปัญหาที่ ๑๔ ถามว่าอะไรเป็นสมุทร

“ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวกันอยู่ว่า “ สมุทร ๆ ” น้ำหรือชื่อว่าสมุทร ? ”
“ ขอถวายพระพร น้ำเค็มมีอยู่ในที่เท่าใดที่เท่านั้นแหละ เรียกว่าสมุทร ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดสมุทรจึงมีรสเดียว คือรสเค็ม? ”
“ ขอถวายพระพร เพราะมีน้ำขังอยู่นานจึงเค็ม ”
“ สมควรแล้ว พระนาคเสน ”

ปัญหาที่ ๑๕ ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจตัดสิ่งที่สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลายได้หรือ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อะไรชื่อว่าเป็นสิ่งสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย”
“ ขอถวายพระพร พระธรรม ชื่อว่าสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่ธรรมะไม่ใช่สุขุมไปทั้งหมด คือ สุขุมก็มี หยาบก็มี แต่ว่าสิ่งที่ควรตัดด้วยปัญญามีอย่างเดียว คือ ธรรมะ นอกจากนั้นไม่มี ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”


  ปัญหาที่ ๑๖ ถามความวิเศษแห่งปัญญา

“ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา อยู่ที่ไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
“ ถ้าอย่างนั้น ปัญญาก็ไม่มีน่ะซิ ”
“ ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ? ”
“ ลมไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
“ ถ้าอย่างนั้น ลมก็ไม่มีน่ะซิ ”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1229
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 09:25:43 »
ปัญหาที่ ๑๗ ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา วิญญาณ ชีพในภูต เหล่านี้ มีอรรถะ พยัญชนะต่างกันหรือว่ามีอรรถะอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะต่างกัน ? ”
“ ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้สึก เป็นลักษณะ ปัญญา มีการ รู้ทั่ว เป็นลักษณะ ชีพในภูต คือในผู้ที่เกิดแล้วไม่มี”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่มีชีพเป็นตัวเป็นตน ก็ใครเล่าเห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้มสัมผัสด้วยกาย รู้จักอารมณ์ด้วยใจ ?”
“ ขอถวายพระพร ถ้าชีพเห็นรูปด้วยตาตลอดถึงรู้จักอารมณ์ด้วยใจแล้วเมื่อเปิดตาขึ้น ชีพนั้นก็ต้องมีหน้าไปข้างนอก ต้องได้เห็นรูปดาวได้ดีเมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีพนั้นก็ต้องหันหน้าไปภายนอก รู้จักอารมณ์ได้ดีอย่างนั้นหรือ ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ชีพก็ไม่มีในภูต ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

      อธิบาย   
      
คำว่า “ อรรถะ ” คือแปลมีความหมาย ส่วน “ พยัญชนะ” คือแปลตามศัพท์ หรือที่เรียกกันว่า “ แปลยกศัพท์” นั่นเอง

  ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิกอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?”
“ เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น ”
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1230
วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง(ต่อ)

โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า

เสกขาธัมมา อเสกขาธัมมา เนวเสกขาธัมมา ธัมมาเสกขาธัมมา จากนี้เอามือลูบแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์และท่านอริยสงฆ์หลวงพ่อจงท่านดลใจประสิทธิพรประเสริฐป้องกันแก่ตัวเราได้แล้ว จึงกราบสามครั้งบนพื้นธรณีลงไป

สำหรับการปลุกเสกเครื่องรางของขลังทุกชนิด ควรกระทำทุกเช้าค่ำ โดยวิธีตั้งบทสวด ดังนี้

คือจุด ธูป เทียน บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงพ่อจง (พุทธสโร) เสียก่อน

จากนั้น ตั้งนะโม สามจบ (กราบ) จึงปลุกเสกด้วยพระคาถาว่า

พุทโธ พุทธัสสะ อิทธิฤทธิ์

พุทธะ นิมิตตัง

การปลุกเสกนี้ จะทำให้บังเกิดอิทธิบารมีเข้มขลังเพิ่มขึ้นทับทวีทั้งจะดลบันดาลสุขแก่ผู้เป็นเจ้าของ กระทำการบูชาตลอดนิจกาล มิว่าจะมีประสงค์ปรารถนาสิ่งใด ก็จะมักได้สมปรารถนาไม่เคลื่อนคลายไม่หลุดจากมือ

เห็นสมควรแจ้งรายนามพระมหาตะกรุดชุด 16 ดอกไว้แต่ละดอกเพื่อความรู้อันสมบูรณ์ของท่านผู้ศรัทธา ดังนี้

1. เกราะเพชร

2. พรหมสี่หน้า

3. มหานิยม

4. คงกระพัน

5. ป้องกันเขี้ยวงา

6. เมตตา

7. แคล้วคลาด

8. ปกป้องภัยจากผี "คุณ"

9. ปกป้องปัด "สะบัด" อัคคีพ่าย

10. มหาอุด (สรรพอาวุธไม่ระคายผิว)

11. ป้องกันภัย ขีปณาวุธนานา

12. เดินทางไกลไม่เหนื่อยไม่เมื่อย

13. กระทู้เจ็ดแบก

14. ปกป้องภัยจากฟ้าผ่า

15. นะจังงัง บังตาผู้อื่น

16. มหารูดวาระสุดท้าย

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-07.htm

1231
วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง(ต่อ)

หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจัญบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน

แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูดตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย

ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดตะกรุดไว้ใต้สะดือ และเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน

ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่

เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี

พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)

พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)

พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)

ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)

พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอกแต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)

รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง

พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว

เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)

รักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)

ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-07.htm

1232
วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง(ต่อ)

สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก

บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป

ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้

ตั้ง นะโมสามจบ

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า

พุทธัง อาราธนานัง

ธรรมมัง อาราธนานัง

สังฆัง อาราธนานัง

จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป

ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้

จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที

หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้

พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ

แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้

อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ

(ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)

การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตั้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-07.htm

1233
วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง

บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา

เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้ายของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตอยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล

เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย

สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง

หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...

จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ

เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด

สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-07.htm

1234
"อุทานธรรม"

หลวงปู่ยังกล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า สมบัติพัสถานทั้งหลายมันมีประจำอยู่ในโลกนี้
มาแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ ก็ไม่อาจแสวงหาเพื่อยึดครอง
สมบัติเหล่านั้นได้ ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝืดเคืองและลำบากขันธ์ ส่วนผู้ที่มีปัญญา
มีความสามารถ ย่อมแสวงหายึดสมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมาย อำนวยความสะดวก
แก่ตนได้ทุกกรณีฯ ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่า
นั้นทั้งหมด ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย เพราะว่า

"ในทางโลก มีสิ่งที่มี ส่วนในทางธรรม มีสิ่งที่ไม่มี"

"อุทานธรรมต่อมา"

เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว จิตก็หมดพันธะกับเรื่อง
โศก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น แล้วจิตที่
ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกาย
และทางใจ อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง ส่วนโทษทางใจ
มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเองฯ


"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"

"อุทานธรรมข้อต่อมา"

เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว
ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้ แต่ยังเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น ต่อเมื่อเขา
สามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกต่ำทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุภาย
ในได้ฯ

"ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อยเช่นเหาย่อมอาศัย อยู่ไม่ได้ฉันใด จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยไม่ได้อยู่ฉันนั้น ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ ควรเรียกเอาว่า เป็นภิกษุแท้"

ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index16.htm

1235
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23155

<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>4/5

สุขภาพ

กล่าวกันทางด้านสุขภาพ หลวงพ่อจงมีสุขภาพอนามัยดีเลิศ โรคที่มีบ้างก็แค่หวัดธรรมดา กิจวัตรการฉันของท่านก็เช่นเดียวกับสงฆ์อื่นเปลี่ยนแต่เป็นว่าตอนเช้าหกโมง ท่านฉันข้าวต้มหมูชามขนาดกลางชามหนึ่ง น้ำชากาแฟไม่ฉันเลย ส่วนน้ำดื่มชอบน้ำต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย เคยติดยานัตถุ์และบุหรี่อยู่ 4 - 5 ปี แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้รำคาญรุงรัง เพราะต้องเอาติดย่ามไปด้วย ทำให้มีห่วง ท่านเลยตัดสินใจเลิก เป็นการตัดกังวล มีผู้ถามว่า ของสองสิ่งเป็นยาเสพติดมีฤทธิ์ชะงัด เลิกกับมันยากนัก มีคนอยากเลิก เลิกไม่ได้ ท่านมีวิธีขมังอย่างไร หลวงพ่อเพียงตอบยิ้ม ๆ

"...ตั้งใจอดจริง ก็ต้องทิ้งมันได้... ไม่มีอะไรในโลก ซึ่งเราตั้งใจทำและทำจริงแล้วจะทำไม่ได้ ทำได้ดีหรือไม่ สุดแต่กรรมและวาสนา หรือที่เรียกว่า แล้วแต่พระพรหมลิขิตไว้ประจวบเหมาะอย่างไรนั่นเอง..."

อย่างไรก็ดี เวลาเข้านอนของท่าน กลับไม่เป็นเวลาแน่นอนเสมอไป เว้นแต่อยู่ที่วัดของท่าน แต่ก็อีกนั่นแหละ หากมีผู้ไปเยี่ยมนมัสการ ท่านก็มักไม่ชอบที่จะจะหนีเข้านอนในเวลาราวสี่ทุ่มอันเป็นเวลาปกติ เพราะท่านชอบรับแขก และเกรงใจว่าเขาอุตส่าห์ไปหา ก็ควรต้อนรับคุยกันให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการสมปรารถนา จวบจนวัยย่าง 90 เป็นต้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเกรงกันว่าสุขภาพของท่านจะร่วงโรยเกินไป จึงมักจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนท่านเกินเวลากำหนดเข้าจำวัด

ก่อนนอน หลวงพ่อจงมักชอบเล่นกับแมว อุ้มมันตบหัวลูบหลังมันอยู่ราวสิบนาที จากนั้นศิษย์ทุบน่องทุบหลังอีกราวสิบถึงสิบห้านาทีเป็นอย่างมากจึงนอนหลับไปเลย วิธีนอนของท่านก็แปลก ตอนแรกจะนอนแบบก้มหลังโก้งโค้งพร้อมด้วยมีผ้าคลุมตลอดองค์ เป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่ในลักษณะนี้ จนถึงเวลาตื่นราวตีสี่ จากนั้นก็กระทำกิจวัตร คือปัดกวาดทั่วตลอดวัดด้วยตนเอง เสร็จก็พอดีได้เวลาเคาะระฆัง เรียกเป็นสัญญาณทำวัตรสงฆ์ร่วมด้วยภิกษุลูกวัด อย่างนี้เป็นนิจ


ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23155

1236
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 08:06:56 »
ปัญหาที่ ๑๒ ถามเรื่องกระดูกยาว

“ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า มีกระดูกยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์ โยมไม่เชื่อเพราะต้นไม้ที่สูงตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็ยังไม่มี กระดูกที่ไหนจักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ทรงสดับหรือไม่ว่า ปลาในมหาสมุทรตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ มีอยู่?”
“ เคยฟัง พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ถ้าอย่างนั้น กระดูกของปลาที่มีตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ จักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ ? ”
“ ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ปัญหาที่ ๑๓ ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจทำลมหายใจให้ดับได้หรือ? ”
“ ขอถวายพระพร ได้ ”
“ ได้อย่างไร...พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ยินเสียงคนนอนกรนบ้างหรือ? ”
“ อ๋อ..เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า”
“ ขอถวายพระพร เวลาเขาพลิกกายเสียงกรนเงียบไปไหม ?”
“ เงียบไป พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร เสียงกรนนั้นเป็นเสียงของผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต แต่เมื่อพลิกตัวก็ยังหายไป ส่วนลมหายใจของผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต เข้าจตุตถฌาน จะไม่ดับหรือ...มหาบพิตร ? ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”


      อธิบาย   
      
คำว่า “ จตุตถฌาน ” ได้แก่ ฌาน ๔ ที่มีลักษณะดับความรู้สึกจากลมหายใจในขณะนั้น ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของผู้ที่เข้าฌาณ ๔ มิใช่ว่าลมหายใจจะดับสิ้นไป ดังนี้

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1237
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 11:46:42 »
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? ”
“ ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? ”
“ ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร”
“ ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้

“ ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? ”
“ ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไปโยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์

“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไปสู่อุตตรกุรุทวีปหรือพรหมโลก หรือไม่ทวีปอื่นด้วยกายนี้มีอยู่หรือ ? ”
“ ขอถวายพระพร มีอยู่ ”
“ ข้อนี้คืออย่างไร พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระโดดที่แผ่นดินนี้ได้คืบหรือศอก? ”
“ อ๋อ...โยมเคยกระโดดได้ ๘ ศอก ? ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรกระโดดอย่างไร...จึงได้ถึง ๘ ศอก ? ”
“ พอโยมคิดว่าจะกระโดด กายของโยมก็เบา โยมจึงกระโดดได้ถึง ๘ ศอก ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิตภาวนา อธิษฐานจิตแล้ว ก็เหาะไปสู่เวหาสได้”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1238
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 10:36:38 »
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องถือกำเนิดในครรภ์มารดา

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อสัตว์จะเข้าถือกำเนิดในท้องมารดา เข้าไปทางทวารไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางทวารไหน ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร หีบแก้วของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? ”
“ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ขอจงนึกเข้าไปในหีบแก้วดูซิ ”
" โยมนึกเข้าไปแล้ว ”
“ ขอถวายพระพร จิตของมหาบพิตรที่นึกเข้าไปในหีบแก้วนั้น เข้าไปทางไหน ? ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน จิตของโยมไม่ปรากฏว่านึกเข้าไปทางไหน”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สัตว์ที่เข้าไปถือกำเนิดในท้องมารดา ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางไหนฉะนั้น ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งนี้ได้เป็นอัศจรรย์นักหนา ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่คงจะประทานอนุโมทนาสาธุการเป็นแน่แท้”
 
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗

“ ข้าแต่พระนาคเสน โพชฌงค์ มีเท่าไร ? ”
“ ขอถวายพระพร มี ๗ ประการ ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร? ”
“ ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว ”
“ คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ขอถวายพระพร คือข้อ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ” ( ใคร่ครวญธรรมะ)
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ไว้ทำไม ? ”
“ ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ ? ”
“ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ แล้วาตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๖ ไม่ได้”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

      อธิบาย   
      
โพชฌงค์ คือองค์เป็นเครื่องตรัสรู้มี ๗ ประการ ดังนี้
   ๑. สติ ระลึกนึกไว้เสมอ
   ๒. ธัมมวิจยะ ใคร่ครวญธรรมะที่เราจะปฏิบัติ
   ๓. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้กับอุปสรรค
   ๔. ปีติ สร้างความอิ่มเอิบใจให้ปรากฏกับจิต
   ๕. ปัสสัทธิ ความสงบ คือสงบจากนิวรณ์ หรือสงบจากกิเลส
   ๖. สมาธิ มีความตั้งใจมั่น
   ๗. อุเบกขา ทรงอารมณ์เดียวเข้าไว้ ไม่ยอมรับทราบอารมณ์อื่นเข้ามาสนใจ


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1240
ขอบพระคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่ต่อยอดความรู้ธรรมะ ขอบคุณท่าน saken6009 ที่ตั้งคำถามปุจฉาวิสัชนา :015:

1241
อ้างถึง
ก็หาทางออกทางระบายไปกับอบายมุขทั้งหลาย เสพสุขชั่วขณะ
เพื่อให้ลืมภาระและความกดดัน
เคยเป็นบ่อยๆครับ ตอนหลังมา ลด ละ เลิก ครับท่านอาจารย์ฯ :054:

1242
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 08:07:10 »
อุปมาด้วยกระจก

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกส่องพระพักตร์หรือไม่? ”
     “ มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกมาวางไว้ตรงพระพักตร์มหาบพิตร”
     “ โยมหยิบมาตั้งไว้แล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร ดวงพระเนตร พระกรรณ พระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตรปรากฏอยู่ในกระจกนี้เอง หรือว่ามหาบพิตรทรงกระทำให้ปรากฏ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดวงตา หู จมูก ฟัน ของโยมปรากฏอยู่ในวงกระจกนี้ ด้วยโยมกระทำขึ้น ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่ามหาบพิตรได้ควักเอาพระเนตร ตัดเอาพระกรรณ พระนาสิก และถอนเอาพระทนต์ของมหาบพิตร เข้าไปไว้ในกระจกแล้ว มหาบพิตรก็เป็นคนตาบอด ไม่มีพระนาสิกและพระทนต์อย่างนั้นซิ? ”
     “ ไมใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า เงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยโยมกระทำขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะโยมไม่ได้กระทำขึ้น”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไปสู่โลกอื่น ทั้งไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งกระทำ เป็นของเกิดขึ้นเอง สัตว์ถือกำเนิดในครรภ์มารดาด้วยกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่ตนกระทำไว้ เพราะอาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ จึงเหมือนเงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยการกระทำของมหาบพิตรฉะนั้น ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1243


"พุทโธเป็นอย่างไร"

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ในช่วงสนทนา
ธรรม ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวง อย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียน
กับตำหรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็
เวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบเราก็จะรู้เอง ต้องภาวนาให้
มากๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไรๆ ให้มันออกมาจิตของเรา


ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกจากจิตเอง
นั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย.

ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index19.htm

1244
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 07:58:12 »
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร...หรือ ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏกพุทธวจนะ”
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระสมณโคดมไม่บัญญัติไว้ว่า ผู้ไปเกิดในโลกอี่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ...
     คำของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ”
     พระนาคเสนตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้งพระทัยฟังถ้อยคำของอาตมภาพ”
     “ โยมตั้งใจฟังผู้แล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้อยคำของอาตมภาพที่พ้นออกไปจากปาก ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้นเสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร มีทรวดทรงอย่างไร ? ”
     “ เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้ เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร มหาบพิตรก็ตรัสคำเหลาะแหละน่ะซิ ”
     “ โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ ถึงถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยมจริง”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น จะไม่ปรากฏสีเขียวหรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่ เหมือนกับถ้อยคำของอาตมา ”
     “ น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี ”อุปมาด้วยการทำนา
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยโปรดให้ทำนาหรือไม่ ? ”
     “ อ๋อ...เคยให้ทำ ”
     “ ขอถวายพระพร ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร? ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทำไม่ได้ ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่? ”
     “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง ขันธ์ ๕ ก็จะต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น ”อุปมาด้วยการจุดประทีป
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีผู้เอาประทีปมาจุดต่อกัน เปลวประทีปดวงเก่าก้าวไปสู่ประทีปดวงใหม่หรืออย่างไร ประทีปทั้งสองนั้น มีขึ้นเองไม่มีผู้กระทำอย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดขึ้น”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เวทนาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ ?”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าเวทนาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้ที่ไปเกิดในโลกอื่น ก็คือเวทนาขันธ์อย่างนั้นซิ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้นแหละมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า เวทนาขันธ์ในอัตภาพนี้ไม่ได้ ไปสู่โลกอื่น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สัญญาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ? ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าสัญญาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่นแล้ว ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกหรืออย่างไร ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะเหตุนั้นแหละ มหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้ ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1245
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2554, 07:52:59 »
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคน ๒ คนตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งเกิดในเมืองกัสมิระ คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน ? ”
     “ ขอถวายพระพร เท่ากัน ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร ชาติภูมิของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ? ”
     “ อยู่กาลสิรคาม ”
     “ ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร? ”
     “ ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร ? ”
     “ ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ ”
     “ โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ ”
     “ โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็วกว่ากันอย่างไร ?”
     “ เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน ไปถึงพร้อมกัน”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”


      อุปมาด้วยเงาของนก

     “ ขอถวายพระพร ถ้ามีนก ๒ ตัวบินมาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ ตัวหนึ่งจับสูง เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน”
     “ ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”

     อุปมาด้วยการแลดู

     “ ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา ”
     “ โยมแลดูแล้ว ”
     “ ขอได้โปรดแหงนดู ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ”
     “ โยมแหงนดูแล้ว ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมากับแลดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน? ”
     “ เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน ”
     “ แก้เก่งมาก พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1246
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2554, 11:47:38 »
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?”
     “ ขอถวายพระพร พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้วันละ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอำนาจทางจิต หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้นดังนี้ โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น”
     “ ขอถวายพระพร ชาติภูมิ ( ถิ่นกำเนิด ) ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน? ”
     “ อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?”
     “ ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงทีไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลันไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

      อธิบาย   
      
ในอรรถกถาสังยุตตนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า
   ก้อนศิลาขนาดใหญ่ถูกทิ้งให้ตกลงมาจากพรหมโลกชั้นต่ำ ก้อนศิลานั้นตกลงมาวันคืนหนึ่ง เป็นระยะ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ จึงจะถึงพื้นดินเป็นเวลา ๔ เดือน เพราะเหตุนั้น ระยะทางระหว่างพรหมโลกชั้น พรหมปาริสัชชา ถึงพื้นดิน บัณฑิตผู้ทราบนัย พึงทราบว่าเป็น ๕,๗๖๐,๐๐๐ โยชน์ ดังนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1 โยชน์ = 400 เส้น x 20 วา  x 2 เมตร / 1,000 เมตร = 16 กิโลเมตร
200 โยชน์ = 3,200 กม.

1247
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2554, 11:36:59 »
ปัญหาที่ ๓ ถามว่า จะเพียรดับทุกข์ที่ยังไม่มาถึงจะได้หรือไม่
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ดูก่อนพระนาคเสน เธอพยายามฝึกฝนตน ด้วยมีประสงค์จะละทุกข์ที่ล่วงมาแล้วกระนั้นหรือ? "
พระนาคเสนทูลตอบว่า
" ขอถวายพระพร หามิได้ "
" หรือจะละทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง "
" หามิได้ "
" ถ้าเช่นนั้น ก็จะละทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ "
" จะว่าเฉพาะทุกข์ในบัดนี้ก็ไม่ใช่ "
" ถ้าว่าอย่างนั้น เธอกระทำความพยายามทำไม "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพพยายามด้วยหวังว่า จะดับทุกข์ที่มีอยู่ และจะมิให้ทุกข์อื่นซึ่งยังมาไม่ถึงเกิดขึ้น "
" ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึงนั้น จะพยายามไม่ให้มีขึ้นได้หรือเธอ "
" ขอถวายพระพร ได้ "
" เธอฉลาดมาก พยายามจะละทุกข์ที่ยังมีมาไม่ถึงก็ได้ "
" ขอถวายพระพร พระองค์เคยถูกราชศัตรูยกพลมาเพื่อจะชิงเอาพระนครบ้างหรือไม่ "
" เคยถูกอยู่บ้าง "
" ในทันทีนั้น พระองค์ตรัสสั่งให้ลงมือขุดคู สร้างป้อมปราการ และฝึกหัดทหารซ้อมเพลงอาวุธ กระนั้นหรือ "
" หามิได้ กิจการเหล่านั้นต้องจัดทำเตรียมไว้ก่อน "
" นั่นพระองค์มีพระประสงค์อย่างไร จึงต้องทำเตรียมล่วงหน้าไว้เล่า "
" ประสงค์ว่า เมื่อเกิดสงครามขึ้น จะได้ทำการต่อสู้ข้าศึกได้ทันท่วงที มิฉะนั้น ถึงเวลาสงครามก็จะหาโอกาสจัดทำได้ยาก ที่สุดก็จะต้องพ่ายแพ้ข้าศึก และการที่เตรียมจัดทำไว้ในเวลาปกติย่อมทำได้ดี ทั้งเป็นที่เกรงขามของข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงได้ด้วย "
" ขอถวายพระพร ข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงก็มีด้วยหรือ "
" มีสิเธอ "
" เหตุผลที่พระองค์ตรัสถามเบื้องต้นก็มีเช่นนี้แล การที่อาตมภาพเพียรฝึกฝนกาย วาจา ใจ ไว้ให้อยู่ในความควบคุมของจิตที่อบรมดีแล้ว ก็เพื่อปราบทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ และเพื่อไว้ต่อสู้ หรือป้องกันทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง เช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะให้ความทุกข์เข้ามาผจญใจได้ เมื่อกำลังใจมีไม่พอที่จะต้านทาน ก็ต้องยอมเป็นเชลยแห่งความทุกข์เรื่อยไป เป็นอันหาโอกาสที่จะทำเช่นนี้ได้อีกยาก เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงต้องพยายามฝึกฝนตนไว้ก่อน "
" เธอว่านี้ชอบแล้ว "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1248
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2554, 11:31:45 »
ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     "ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"
     พระนาคเสนทูลตอบว่า
     "ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"
     " ไม่ได้ "
     " ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "
     " ก็ได้สิเธอ "
     " ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน " :015: :054:
     " สมเหตุสมผลละ "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1249
เนื้อวัวกระเบือ และ สัตว์ที่อยู่ในป่าไม่กินครับ 11; 11;
                       
ปรกติข้าพเจ้า ไปตลาดจะเลือกซื้อสัตว์ที่ตายแล้วครับ เช่น ปลา ไก่ หมู กุ้ง ไม่รู้บาปรึเปล่าครับ :075: :075:
                                                                                                                   
ขอบคุณท่าน sams ที่นำลิงค์เว็บมาให้พี่น้องวัดบางพระได้ชมครับ :053: :053:
                                                                                                                                                                 
(ขออนุญาตเข้ามาชมคลิป ขอบคุณมากครับ) :054: :054:

หลวงปู่บอกว่า..........

...แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา
และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว

1250
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2554, 11:23:34 »
ต่อจากตอนที่ 10
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23089
------------------------------------------------------
- ตอนที่ ๑๑ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗

 ปัญหาที่ ๑ ถาม สติเกิดแต่อาการเท่าไร
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ดูก่อนพระนาคเสน สติความระลึกหรือความจำ เกิดแต่อาการเท่าไร"
     พระนาคเสนทูลตอบว่า "ขอถวายพระพร เกิดแต่อาการ ๑๗ อย่างคือ

          (๑) เกิดแต่ความรู้ยิ่ง ดังผู้รู้ประวัติการณ์ที่ล่วง ๆ มาแล้ว ความรู้นั้นย่อมเป็นแนวให้ระลึกถึงเหตุการณ์แต่หลังได้

          (๒) เกิดแต่การที่ได้กระทำเครื่องหมายไว้

          (๓) เกิดแต่การได้ขยับฐานะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นึก ให้จำกิจการที่ตนได้กระทำมาแต่หลัง

          (๔) เกิดแต่การได้รับความสุข ซึ่งชวนให้สาวเอากิจการที่ล่วงแล้วมานึก มาคิด เพื่อไต่สวนหาเหตุ

          (๕) เกิดแต่การได้รับความทุกข์ ซึ่งชวนให้หวนไปนึกถึงเหตุแห่งความทุกข์นั้น ๆ

          (๖) เกิดแต่การได้รู้เห็นสิ่งที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นการเตือนให้จำอีกสิ่งหนึ่งได้

          (๗) เกิดแต่การรู้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น เห็นสีขาว ทำให้นึกถึงสีดำได้

          (๘) เกิดแต่การได้รับคำเตือน

          (๙) เกิดแต่รู้เห็นตำหนิ หรือลักษณะทรวดทรง

          (๑๐) เกิดแต่นึกขึ้นได้โดยลำพัง

          (๑๑) เกิดแต่การพินิจพิเคราะห์

          (๑๒) เกิดแต่การนับจำนวนไว้

          (๑๓) เกิดแต่การทรงจำไว้ได้ตามธรรมดา

          (๑๔) เกิดแต่การอบรม เช่นผู้ที่กระทำใจได้แน่วแน่ ในเมื่อกระทำกิจการ สามารถรวบรวมกำลังใจมาคิด มานึก เฉพาะในกิจการอย่างนั้น แม้ว่ากิจการนั้น จะได้ผ่านหูผ่านตามานานแล้ว เมื่อมานึกมาคิดขึ้นในภายหลัง ก็ยังคงจำได้ระลึกได้

          (๑๕) เกิดแต่การได้จดได้เขียนไว้

          (๑๖) เกิดแต่การเก็บไว้

          (๑๗) เกิดแต่การเคยพบ เคยเห็น"....... "มากอย่าง"


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

1251
ขอบพระคุณครับพี่ทรงกลด มีโอกาศไำปเพชรบุรีอีก ไม่ให้พลาดแน่นอนครับ  :016: :015:
น่าแวะชมศิลป์สมัยก่อนที่งดงามมากและ สักการะพระพุทธรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ :054:

1252
"มีแต่ไม่เอา"

ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ไปพักผ่อน และเยี่ยมพระอาจารย์สมชาย ที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือพระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม
เจ้าคณะภาคทางใต้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว เพราะมีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่
เพียงปีเดียว ฯ

เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว ท่านจึงสนใจและศึกษาถามถึงผล
ของการปฏิบัติ ทำนองสนทนาธรรมกันเป็นเวลานาน และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่
ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดวัยชรา แล้วก็สนทนาข้อกัมมัฏฐานกับหลวงปู่
เป็นเวลานาน ลงท้ายถามหลวงปู่สั้นๆ ว่า ท่านยังมีโกรธอยู่ไหมฯ

หลวงปู่ตอบเร็วว่า

"มี แต่ไม่เอา."  :054:


ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index21.htm

1253
"การค้ากับการปฏิบัติธรรม"

พวกกระผมมีภาระหน้าที่ในการค้าขาย ซึ่งบางครั้งจะต้องพูดอะไรออกไปเกินความจริงบ้าง ค้ากำไรเกินควรบ้าง
แต่กระผมก็มีความสนใจและเลื่อมใสในการปฏิบัติทางสมาธิภาวนาอย่างยิ่ง แล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติมาบ้างแล้วโดยลำดับ
แต่บางท่านบอกว่าภาระหน้าที่อย่างผมนี้มาปฏิบัติภาวนาไม่ได้ผลหรอก หลวงปู่เห็นว่าอย่างไร เพราะเขาว่าขายของเอา
กำไรก็เป็นบาปอยู่ฯ

หลวงปู่ว่า

"เพื่อดำรงชีพอยู่ได้ ทุกคนจึงต้องมีอาชีพการงาน และอาชีพการงานทุกสาขาย่อมมีความถูกต้อง ความ
เหมาะความควรอยู่ในตัวของมัน เมื่อทำให้ถูกต้องพอเหมาะพอควรแล้ว ก็เป็นอัพยากตธรรม ไม่เป็นบาป
ไม่เป็นบุญแต่ประการใด ส่วนการประพฤติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพราะผู้ประพฤติธรรมเท่านั้น
ย่อมสมควรแก่การงานทุกกรณี"


ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index66.htm

1254
งดงามดีครับ :015:

(ผู้รับเห็นแล้วต้องชอบ) :090:

1255
"เรื่องกิน"

กระผมได้ปฏิบัติทางจิตมานาน ก็พอมีความสงบอยู่บ้าง แต่มีปัญหาทางอาหารบริโภคเนื้อสัตว์ คือ เพียงแต่เห็นก็นึกเวทนา
ไปถึงเจ้าของเนื้อนั้น ว่าเขาต้องสูญเสียชีวิตเพื่อเราผู้บริโภคแท้ๆ คล้ายกับว่าเราผู้ปฏิบัติจะขาดเมตตาไปมาก เมื่อเกิดความ
กังวลใจเช่นนี้ ก็ทำความสงบใจได้ยากฯ

หลวงปู่ว่า

"ภิกษุจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์ คล้ายเป็นการเบียดเบียน
และขาดเมตตาต่อสัตว์ ก็ให้งดเว้นการฉันเนื้อเสีย พากันฉันอาหารเจต่อไป."

"เรื่องกินมีอีก"

สมัยต่อมาประมาณสี่เดือน ภิกษุกลุ่มนั้นมากราบเรียนหลวงปู่อีกหลังจากออกพรรษาแล้ว บอกว่าพวกกระผมฉันเจมาตลอด
พรรษาด้วยความยากลำบากยิ่ง เพราะญาติโยมแถวบ้านโคกกลางอำเภอปราสาทนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องอาหารเจเลย ลำบากด้วย
การแสวงหา และลำบากแก่ญาติโยมผู้อุปัฏฐาก บางรูปถึงสุขภาพไม่ดี บางรูปเกือบไม่พ้นพรรษา การทำความเพียรก็ไม่เต็มที่
เท่าที่ควรฯ

หลวงปู่ว่า

"ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าอาหารที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้านี้
แม้จะมีผักบ้างเนื้อบ้าง ปลาบ้าง ข้าวสุกบ้าง แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และเขา
ไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว ญาติโยมเขาก็ถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแล้ว
ก็พึงบริโภคอาหารนั้นไป ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน."


"เรื่องกินยังไม่จบ"

เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงปู่พักอยู่ที่วัดป่าประโคนชัย เวลา ๒ ทุ่มผ่านไปแล้ว มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชอบเดิน
ธุดงค์ไปตามที่ชุมนุมต่างๆ ได้แวะเข้าไปพักที่วัดป่านั้นด้วยฯ

หลังจากแสดงความคารวะตามสมณวิสัยแล้ว ก็กล่าวถึงจุดเด่นที่เขายึดถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ผู้บริโภคเนื้อสัตว์คือผู้สนับสนุน
ให้คนฆ่าสัตว์ ผู้บริโภคผักมีจิตเมตตาสูง สามารถพิสูจน์ได้ว่าเมื่อหันไปบริโภคผักแล้ว จิตใจก็สงบเย็นดีขึ้นฯ

หลวงปู่ว่า

"ดีทีเดียวแหละ ท่านผู้ใดสามารถฉันมังสวิรัติได้ก็เป็นการดีมาก ขออนุโมทนาสาธุด้วย ส่วนท่านที่ยังฉันมังสะ
อยู่ หากมังสะเหล่านั้นเป็นของบริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาเจาะจง ได้มาด้วย
ความบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่ผิดธรรมวินัยแต่ประการใด อนึ่ง ที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดขึ้นจาก
พลังของการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่ อาหารเก่าที่อยู่ในท้องเลย."


ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index63.htm

1256
ไม่มีคำว่าผิดหวังเลยค่ะ~ถึงแม้จะเคยได้อ่านแล้วแต่ท่านทรงกลดนำมาลงให้ข้าพเจ้าได้ซึ้งถึงข้อธรรมที่ได้จากหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง~ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนะคะ~ผลงานเก่าๆของท่านทรงกลดตอนนี้พยายามย้อนไปหาอ่านอยู่ค่ะ~เพราะไม่อยากพลาดสาระและธรรมมะดีๆที่ศิษย์หลวงพ่อเปิ่นหลายๆท่านคงได้อ่านกันแล้ว~ขอบคุณนะคะ^^
ยินดีครับที่ชอบอ่าน
ผมก็พยายามอ่าน ศึกษาและนำมาแบ่งปันกัน
แต่จะเลือกอ่านที่ตนเองชอบก่อน จะได้ไม่เบื่อ ตรงข้ามกลับได้ความบันเทิงธรรมมาแทน
====================
"เป็นการดัดนิสัยหรือเปล่า"

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลา ๖ ปี ผลได้ที่สงครามฝากไว้ให้ก็คือ
ความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญด้วยขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ได้แผ่ปกคลุมไปแล้ว
ทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่ม ขาดแคลนอย่างยิ่ง พระเณรในวัดต่างๆ มีสบงจีวร
ชุดเดียวก็บุญนักหนาแล้ว พวกเราเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่หลายรูปฯ

วันหนึ่งสามเณรพรม ซึ่งเป็นหลานของหลวงปู่รูปหนึ่งด้วยเขาเห็นสามเณรชุมพลห่มจีวร
ใหม่และสวย จึงถามว่า จีวรนี้ท่านได้แต่ไหนมา เณรชุมพลตอบว่า เราเข้าไปทำวาระถวาย
หลวงปู่ หลวงปู่เห็นของเราขาด ท่านจึงประทานมาให้ผืนหนึ่งฯ

เมื่อถึงวาระเณรพรม จึงห่มจีวรขาดไปนวดเท้าหลวงปู่ ด้วยคิดว่าจะได้อย่างเขาบ้าง
พอเสร็จวาระกำลังจะออกมา หลวงปู่เห็นจีวรขาด คงสงสารหลานอย่างจับใจ จึงลุกไปเปิด
ตู้หยิบเอาของยื่นมาให้ พร้อมกับสั่งว่า

"นี่เอาไปเย็บให้ดี อย่าห่มทั้งที่ขาดอย่างนี้"

สามเณรพรมต้องจำใจรับด้ายกับเข็มจากหลวงปู่อย่างรวดเร็ว ด้วยความผิดหวัง

คนตายแล้วเดินได้ พูดได้ หายใจได้ ใครเคยเห็นไหม ใครเคยคิดไหม
<<<คงหมายถึงเณร :004:

ที่มา
http://kradandum.com/luangpu_dul/index14.htm

1257


ในชีวิตของท่าน ท่านต้องปฏิบัติกิจโดยพิถีพิถันและต้องไปร่วมพิธีใหญ่ ๆ ของทางราชการ และของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในการปลุกเสกอาคมสร้างของขลังในชมรมบรรดาเกจิอาจารย์หรืองานหลวง เช่น พิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูป อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนถึงพิธีพุทธาภิเษกครั้งหลังสุดในชีวิต 94 ปีของท่าน คือพิธีพุทธาภิเษกสร้างเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกับร่วมในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบสามรอบ ณ วัดราชบพิธ นี่ย่อมเป็นเครื่องสำแดงว่า มิว่าในสังคมชั้นใดเอกชน หรือว่าวงราชการชั้นสูงสุดแค่ไหน หลวงพ่อจงถูกยอมรับนับถือเป็นยอดอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมสูงสุดผู้หนึ่ง

ประการสำคัญ ในชีวิตท่าน หลวงพ่อจงมิเคยมีอารมณ์หลง อยากได้นั่นได้นี่เป็นสมบัติ นอกจากกระทำไปตามหน้าที่ เช่น สร้างกุฏิซึ่งเก่าคับแคบ มีน้อยให้มากขึ้นที่วัดหน้าต่างนอกตามอัตภาพ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียนตามที่ทางราชการ อำเภอ จังหวัดนิมนต์พึ่งขอความร่วมมือจากบารมีของท่าน แต่อย่างไรก็ดี สิ่งของของวัดท่าน เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีผู้ถวายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแก่วัด) หากวัดอื่นยากจนกว่าไปขอใช้ ท่านก็ให้ไป ศาลาวัดบางหลังที่ควรเอาไว้ใช้ แต่มีผู้มาบอกว่าจะขอรื้อเอาไม้ไปทำโรงเรียน ช่วยเด็กไม่มีโรงเรียนจะนั่งเรียน ท่านก็อุทิศให้ไปอย่างยิ้มแย้มเต็มใจ ท่านได้พัดวิเศษอันสูงค่ายิ่ง เพราะเป็นของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อมีผู้มาขอยืมไปใช้เพราะเห็นว่าสวยสุดสง่า แต่แล้วไม่เอาคืนให้ มีผู้อาสาไปเอาคืน ท่านก็เพียงครางหึหึในลำคอ พลางก็ห้ามว่า เมื่อคนอื่นเขาพอใจจะเป็นเจ้าของเอาไว้ครองเป็นสมบัติของเขายิ่งกว่าเรา เราอุทิศให้เขาไปเสียให้สมใจ ก็มิเห็นจะเป็นไรไป

พฤติการณ์กรณีวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อจงมีผู้พูดถึงกันมาก และ ปรากฏมีผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า ท่านมีวาจาดุจดังพระร่วงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวใครสักกี่ราย แม้แต่การให้พรท่านก็มักให้แต่ในแนวทางสงฆ์ มีการสวดมนต์ภาวนาประพรมน้ำมนต์ ไม่เคยกล่าวคำอวยพรให้ใครอย่างใดในแบบสังคม


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-06.htm

-------จบตอนที่3 ต่อด้วยตอนที่ 4----------

1258
ถือสันโดษเป็นอาจิณ

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีอัธยาศัยปกติไม่ชอบรบกวนจุกจิกต่อน้ำใจใคร ไม่เคยบิณฑบาตขอร้องอะไรต่ออะไรจากใคร โดยมากมักมีผู้ไปนมัสการท่าน แล้วมองตรวจหรือสอบถามเพื่อช่วยเหลือทำบุญแก่ท่านเอง เช่น รู้ว่าท่านขาดเหลืออะไร มีอันใด ทำให้ท่านมีความไม่สะดวกเป็นความอึดอัดต่างก็จัดหาถวาย แต่ถ้าหากจะถามท่านว่า ท่านจะต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นไหม ท่านจะปฏิเสธทันทีว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือ รอไปก่อนดีกว่า หรือ ไม่เป็นไรหรอก อาตมายังไม่ปรารถนา

บรรดาพระราชวงศ์ พ่อค้าเศรษฐี ข้าราชการทุกประเภทโดยทั่วไปส่วนมากที่เคารพสักการะศรัทธาต่อท่าน ต่างมักพากันไปมาหานมัสการและคอยสอดส่องอุปการะท่านเสมอ อาทิ พระองค์ชายอนุสรณ์ พระองค์ใหญ่เฉลิมเขตต์ พระองค์เจ้าเฉลิมพล พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ น.อ.ประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ

หลวงพ่อจงเป็นผู้มักน้อยมีสันโดษมาแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อดำเนินตามแนวพุทธวิธีตามพระธรรมคำสอน ท่านจึงสามารถสำเร็จในฌานสมาบัติได้โดยมิยาก

ชีวิตวัยเด็ก นอกจากช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ดูแลบ้านและน้องแล้ว หลวงพ่อจงมิเคยทำงานหนักเบาสิ่งใด เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นคนพิการ ตาก็ฝ้าฟาง หูก็ตึง แต่เป็นการอัศจรรย์ นับแต่เข้าเป็นพระภิกษุแล้ว ความพิการต่าง ๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง อวัยวะทุกสิ่งแจ่มใส อายุ 92 ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยมิต้องใช้แว่น และยังสามารถสนเข็มได้ด้วยตนเอง ยกเว้นหูซึ่งมีประสาทชา ต้องพูดกับท่านดังหน่อย



หลวงพ่อจงเป็นผู้เคร่งครัดต่อการรักษาความสะอาด มีจิตใจเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ บริเวณในวัดนอกวัด หากท่านอยู่ไม่ไปไหนจะต้องทำการปัดกวาดขัดเกลาด้วยตนเองเสมอ และไม่ชอบใช้ใครทำ หากใครจะช่วยทำก็ให้มาทำเองด้วยความสมัครใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ท่านมีศิษย์ไม่ต่ำกว่าห้าคนอยู่ประจำเสมอ

วาจาสิทธิ์หรือรู้เหตุล่วงหน้า

ตั้งแต่วัดหน้าต่างนอกเคยมีงานพิธีใด ๆ มา มีผู้มาร่วมชุมนุมสมทบการกุศล ชมงานวัด ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้มีทหารยศนายสิบผู้หนึ่ง เกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ได้อาละวาดไล่ตีผู้คนและชักปืนยิงวุ่นวาย มีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อจงขอให้ไปห้ามระงับเหตุ ท่านหัวร่อ พลางบอกว่าไม่ต้องห้ามเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากอาละวาดจนหยุดไม่ได้ ก็เห็นจะต้องตาย

มันช่างเป็นความอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น หลวงพ่อจงพูดขาดคำไปไม่ถึงสิบนาที มีคนวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งท่านว่า นายสิบทหารผู้นั้นตายเสียแล้ว โดยอยู่อยู่ก็อวดศักดาเอาปืนจ่อขมับตนเอง อวดใครต่อใครว่าเป็นผู้ศักดาอาคมขลัง ปืนยิงไม่เข้า

อมเงินวัดจนบ้าตาย

และอีกครั้งหนึ่ง มีนายทหารชั้นร้อยโทผ่านศึกอินโดจีน เป็นคนพิการขาขาด ได้ไปขออาศัยอยู่ด้วย หลวงพ่อจงก็ไว้วางใจ มอบให้เป็นผู้เก็บรักษาเงินของวัด อยู่มาสองปีเศษ เงินของวัดก็สูญหายไปเรื่อย ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลวงพ่อจงก็ไม่เคยเป็นห่วงเอาธุระซักไซ้ดูว่าอย่างไร สืบมาไม่นาน หลวงพ่อจงได้เงินมาหมื่นเศษก็มอบให้ไว้อีก โดยบอกว่าเงินนี่จะเอาไว้ทำโบสถ์ให้รักษาไว้ให้ดีหน่อย

ต่อมาถึงเวลาต้องการใช้เงิน คนผู้นั้น กลับตอบปฏิเสธว่าเงินไม่มีเสียแล้ว หลวงพ่อจงกล่าวซักว่า ...ก็ให้เก็บไว้บอกว่าจะเอาทำโบสถ์ ทำไมว่าเงินไม่มี พูดเป็นคนเสียสตินี่...

อีกสี่วันต่อมา บุรุษพิการขาขาดผู้นั้นได้กลายเป็นคนบ้า บ้าขนาดหนัก และมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็เกิดมีอาการคลุ้มคลั่งขนาดตรีทูตจนป่วยเป็นไข้อย่างแรงถึงเสียชีวิต

หลวงพ่อจงมีกิตติคุณอีกทางหนึ่งในการใช้น้ำมนต์ น้ำมันมนต์ของท่าน ท่านสร้างเองโดยหุงเดือดแล้วบริกรรมด้วยอาคมขลัง แล้วเอามือคนไปจนได้ที่ น้ำมันนี้มีสรรพคุณกินแก้ปวดท้อง หยอดยาแก้เจ็บ ตาแดง ตาต้อ ทานวดแก้เมื่อยขบ



ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-06.htm

1259
หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล

นอกจากพลังจิตของท่านเหี้ยมฮึกต่อ ทมะ คือ สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทาง ที่เคร่งมากที่สุด คือ มั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ และใช้มากหนักไปในทางเมตตาแต่กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มีครบครัน นอกจากนี้ ท่านยึดมั่นในหลักจาคะ สมัครใจเสียสละเพื่อผู้อื่นเท่าที่สามารถทำได้ตามที่กล่าวถึงมาตอนต้น ๆ แล้วประการสำคัญก็คือ เป็นผู้ดำรงสัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ

ดังนั้น ทั้งที่ท่านโกรธใครยากที่สุด ทว่าหากเป็นในเรื่องการกล่าวคำเท็จ ท่านมักมีอามรณ์เผลอโกรธเหมือนกัน เป็นแต่สามารถระงับได้รวดเร็ว มิปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำอารมณ์เป็นนายเหนือการบังคับพลังจิตของท่าน จนต้องตกเป็นทาสของมันให้กระทำการก่อเหตุเภทภัยขึ้น

หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับแรก ต่อไปก็เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านขึ้นชื่อลือชาว่า สามารถสะเดาะเคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิมาก ด้วยประการฉะนี้ วัดหน้าต่างนอกจึงปรากฏมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนแทบทุกจังหวัดเดินทางไปมานมัสการขอรดน้ำมนต์จากท่านไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีงานฉลององค์พระประธานในโบสถ์ ปรากฏว่าได้มีประชาชนจากทั่วทุกทิศเป็นจำนวนร่วมแสนคน ไปร่วมพิธี ณ วัดหน้าต่างนอกตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน และได้ร่วมบริจาคเงินอย่างมากมาย ซึ่งต่อมา พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าต่างนอก ที่หลวงพ่อจงเป็นประธานสร้างนั้น ก็ได้รับพระราชทานพระราชลัญจกรนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถว่า "พระสัพพัญญู" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 อันเป็นวันหลังจากที่หลวงพ่อจงได้ถูกคัดเลือกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าย่า ของสมเด็จพระบรมราชินี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ สำคัญและล้วนมีเกียรติคุณสูง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชอัธยาศัยโปรดในความมีบุคลิกพิเศษ เต็มไปด้วยสง่าราศีของหลวงพ่อจงไม่น้อย และได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยพระราชอัธยาศัยเป็นอันดีบ่อยครั้ง ในที่สุดทรงมีพระราชเสาวนีย์ขอรับเป็นองค์โยมอุปัฏฐานของวัดหน้าต่างนอก แต่ตราบกระทั่งหลวงพ่อจงมรณภาพ ไม่เคยทำเรื่องรบกวนพระราชหฤทัยเลย เคยมีผู้แนะให้ขอพระราชทานเงินสร้างเขื่อนกั้นน้ำและหอระฆัง กับปฏิสังขรณ์โบสถ์ของวัดหน้าต่างในซึ่งชำรุดมาก จนทำสังฆกิจมิได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สะดวกแก่การสัญจรทั้งของวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน หลวงพ่อจงได้ปฏิเสธว่า ไม่ควรรบกวนพระราชอัธยาศัยในการนั้น เพราะท่านที่ทรงสำแดงพระเมตตารับเป็นองค์อุปัฏฐาก ก็นับว่าเป็นนิมิตมงคลแก่ท่านและวัดมากอยู่แล้ว เรื่องของวัด วัดก็ควรทำเอง เพราะเรื่องสร้างเขื่อนนี้ต้องค่อยทำค่อยไป ประชาชนทั่วไปก็ร่วมมืออยู่แล้ว คงทำสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-06.htm

1260

สยบคนลบหลู่

เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้ ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมากหลายกระทงความ อย่างกับอีกครั้งหนึ่งท่านไปปัตตานี และสงขลาตามคำอาราธนานิมนต์ให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา ได้มีคนนอกศาสนา สติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตลบตะแลงลิ้น พ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง กล่าวท้าทายกระทำวุ่นวายหลายครั้งหลายคราต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ และวันที่เขาจะเจอดีก็มาถึงเมื่อหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป เห็นมีไฟป่าลุกไม้อย่างรุนแรงแล้วลามเข้าหาสวนยางของเขา เขาผู้นั้นได้ร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานาว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่. หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดขึ้นว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปบนยอดกอไผ่จีนที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ...ดับ...ดับ...ดับ...ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำคนนอกศาสนาคนนั้นเกิดอาการตะลึงจังงัง และแต่นั้นมาก็ไม่กล้ากระทำวุ่นวายท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต

เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่า เรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด

หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ



สมควรกล่าวขวัญถึงอัธยาศัยและอารมณ์กับการปฏิบัติตามความรู้สึกนึกคิดของหลวงพ่อจงอีกสักหน่อย เพราะท่านเป็นสงฆ์ประเภทที่มีผู้กล่าวขนานสัญลักษณ์เป็นวลีได้เต็มภาคภูมิว่า ท่านคืออริยสงฆ์จริงแท้แห่งพุทธสาวกในพระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวความเป็นมาเมื่ออดีตของท่านเต็มไปด้วยเรื่องราวขานไขมากเรื่อง ส่วนมากก็เป็นกรณียกย่องเชิดชูว่า ท่านทรงอิทธิบารมีแก่กล้าไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น จริงหรือเท็จยากจะพิสูจน์ เพราะตามความเป็นจริงของข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่า มีเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้ใดเอาไปซักไซ้หาคำตอบจากท่าน ท่านไม่ใช่นักพูดและไม่มีนิสัยเป็นผู้ชอบโอ้อวด ทั้งไม่ชอบข่มขู่ใครทั้งทางกาย วาจา ใจ ท่านก็มักตอบปฏิเสธในท่วงท่าแบบเดียวกับเรื่องหลวงพ่อเดิมดังกล่าวเป็นนิจ

อนึ่งในประการสำคัญก็คือ ระหว่างอายุ 30 ถึง 70 เศษ ท่านไปไหนมาไหนก็มักมีแต่ศิษย์เล็ก ๆ ไม่ใคร่สนใจอะไรติดตามรับใช้ปรนนิบัติ จวบจนอายุ 80 เศษ จึงมีชนชั้นมีอายุติดตามเพราะเห็นกันว่ามีวัยชรามาก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุบังเอิญขึ้น ด้วยประการฉะนี้ นอกจากมีผู้รู้เห็นเองบ้าง ฟังจากคำเลื่องลือบ้าง กล่าวขวัญถึงท่านในทางที่เป็นความอัศจรรย์ของสมรรถภาพ หรือ อิทธิบารมีจึงเป็นเรื่องค้นหาประจักษ์หลักฐานยาก ผู้ได้ยินได้ฟังมาพูดมาร่ำลือกันนั่นแหละ หนทางที่ดี จะต้องวินิจฉัยรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่นำเอามาพูดสู่กันฟัง... แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อรับรองซึ่งสาธุชนพึงเชื่อมั่นได้แน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ ในชีวิตของหลวงพ่อจง หากสิ่งใดเป็นความประพฤตินอกรีดนอกรอย ไร้ศีลสัจธรรม หลวงพ่อจงท่านจะต้องนำตนพ้นหนี มิยินยอมนำพาข้องแวะด้วยอย่างเด็ดขาด ในชีวิตของท่าน น้อยหนหรือพูดได้ว่า ...ไม่มีเสียเลย... คือไม่มีใครผู้ใดจะสามารถย้อมอารมณ์ให้บังเกิดอาการรังเกียจหรือโกรธเคืองท่าน จากพฤติการณ์ทั้งทาง กาย วาจา ใจของท่าน

แต่มันก็แปลก ความเชื่อและความตื่นของคนเรานี้ช่างมีอานุภาพกังวานก้องไกล กรณีร่ำลือเกี่ยวกับหลวงพ่อจง แม้ท่านจะยิ่งปฏิเสธในปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้คนก็ยิ่งเอาไปร่ำลือกันหนักเข้า มีสภาพดุจดั่งเอาน้ำมันราดบนกองไฟปานนั้นอุดมทัศนะและสัจธรรม


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-05.htm

1261
คำสอนสำหรับผู้ของปลุกเสก

เกี่ยวกับเรื่องรางของขลัง ซึ่งท่านปลุกเสกเวทย์วิทยาคม กระทำภาวนาด้วยบุญฤทธิ์อธิษฐานอันเป็นพลังจิตแกร่งกล้าในแนวที่ให้ความนิยมกันมากนั้น ส่วนมาก แรก ๆ ท่านก็ใช้แนวทางความรู้อันดีที่เรียนมาจากท่านพระครูโพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในผู้เป็นปรมาจารย์องค์แรกของท่าน แต่ต่อมาเมื่อท่านได้ศึกษารอบรู้ในหลักการอันเป็นกฎเกณฑ์ของผู้จะไต่เต้าเข้าหาความสำเร็จในอภิญญาอันเป็นพุทธวิธีชั้นสูงสุด จากนั้นมาท่านก็ใช้ความรอบรู้อันเกิดจากภูมิปฏิภาณของผู้ใกล้เป็นสัพพัญญูเยี่ยงท่านผู้เป็นองค์อรหันต์แต่โบราณกาลมานั้น เข้าบำเพ็ญธรรมกิจเพื่อให้บรรลุผลในทางอิทธิบารมีจนสามารถอาจดลบันดาลให้ผลดีตามความต้องการของบุคคลที่เป็นคนดีสมมโนรสปรารถนา และดังนั้นก็พูดได้ว่าวิทยาอาคมของท่านมิใช่ในแนวทางไสยศาสตร์

หลวงพ่อจงเมื่อให้สิ่งของปลุกเสกของท่านแก่ผู้ใด ท่านจะต้องบอกเตือนสติด้วยการให้คติเสมอว่า ขอให้รักษาตัวรักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระและหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจแล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวี ขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้นจะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง... คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่าต้องมีมีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตาอย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก


ยืนบนยอดฉัตรไม้ไผ่สาน

มีเรื่องเล่าลือกันมากเรื่องหนึ่งว่า

ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง ได้มีพระเกจิอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจีม ท่านพระอาจารย์ฟ้อน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ร่วมกันในงานพิธีนั้นเจ้าของบ้านเขาได้เอาไม้ไผ่มาจักตอกสลับเป็นฉัตรเจ็ดชั้นรูปลักษณะคล้ายเจดีย์ยอดสูงมีความสูงราวสักสองวาเห็นจะได้ และเจ้าของผู้เป็นเข้าพิธีได้อาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร โดยถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพรให้กับเจ้าของบ้าน อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร เมื่อเขาอาราธนานิมนต์พระเกจิเหล่านั้นท่านก็มีอาการอีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้เพราะไม้ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้น และมีลักษณะแบบบาง ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบก็ไม่มั่นคง อาจงอหักหรือล้มลงมามีอันตรายได้โดยง่าย พระหลายรูปจึงปฏิเสธ

จะมีก็หลวงพ่อเดิม เห็นว่าควรรับนิมนต์ไม่ควรขัดอัธยาศัยเจ้าของบ้าน ซึ่งขณะนั้นทั้งหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อจงต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน หลวงพ่อเดิมได้ปรึกษาหลวงพ่อจงว่า หากท่านเห็นด้วย เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้เทนพระรูปอื่นเสียด้วยก็จะดี จะได้เสร็จกิจไป เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเป็นเยี่ยม... พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญาณว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น ส่วนหลวงพ่อเดิมเองยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้า ตั้งท่าป่ายปืนขึ้นไป อันฉัตรที่สร้างด้วยไผ่สานนี้ ไม่มีที่เกาะจับ แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น

ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่ากระไร ท่านหัวร่อหึหึ แล้วออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันทีหลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้าไปที่รูสำหรับเหยียบ มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไป ท่ามกลางสายตาผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึงเพราะพอหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก หลวงพ่อจงก็ขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-05.htm

1262
<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>3/5
ต่อจากตอนที่2/5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23143
===========================
พระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย

ในยุคสมัยไล่ไล่กัน มีพระเกจิที่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในอิทธิบารมีของท่าน ยุคเดียวกับหลวงพ่อจงรุ่นราวคราวเดียวกันหลายองค์และแต่ละองค์มักได้รับนิมนต์ไปกระทำพิธีสงฆ์ เผยแพร่ธรรมบรรณาการในสถานที่ต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ มีหลวงโอภาสี (มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเดิม วัดหนองบัว พิจิตร หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง สมุทรปราการ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย สมุทรปราการ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อฟ้อน ลพบุรี ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้มีสมญาเป็นวลียกย่องจากบุคคลทั่วประเทศว่าเป็นเกจิอาจารย์ชั้นบรมครู

แต่ในกลุ่มนี้ ดูเหมือนหลวงพ่อจงจะเป็นผู้ได้จาริกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปตะวันตกตะวันออกถี่และบ่อยหนยิ่งกว่าองค์อื่น เพราะท่านมีปณิธานแน่วแน่อยู่ว่า ได้รับนิมนต์มาเป็นต้องไป ไม่ว่าใกล้หรือไกล ท่านไม่เคยบ่นเบื่อหน่าย หรือบ่นว่าด้วยความรำคาญใจว่าถูกรบกวน ทั้งไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขบในการเดินทาง และต้องไปกระทำพิธีใดตามคำอาราธนาที่เขามีปรารถนานิมนต์ท่านไป

เปี่ยมเมตตาและญานหยั่งรู้

หลวงพ่อจงขึ้นชื่อว่า เป็นอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยสง่าราศีมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านผ่องใส ดวงหน้าผุดผ่องด้วยละอองเลือด และเมลืองเรื่อไปด้วยรัศมีแห่งพระ แห่งความเมตตาฉายกราดอยู่ตลอดเวลา สายตาของท่านมองทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ผู้องอาจมีสง่าหรือผู้อาภัพหม่นหมอง ท่านมองทุกคนด้วยสายตาของมิตรผู้พร้อมจะเข้าช่วย และโดยมากผู้ที่วิงวอนขอให้ท่านช่วยปลดเปลื้องทุกข์ แม้ท่านเองต้องเสียสละเพียงไร ท่านก็ไม่เคยทำให้ผู้ขอผิดหวัง นอกจากสิ่งที่ท่านไม่มีและไม่อาจแสวงหาให้ได้หรือหมดหนทางช่วยเพราะผิดศีลผิดธรรม

ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน พอใจในความอะลุ้มอล่วยไม่ต้องการให้ใครทะเลาะเบาะแว้งวิวาทแก่งแย่งชิงดีกันในทางผิดศีลธรรม หลวงพ่อจงถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งซึ่งท่านจะต้องแบกไว้เสมอ แม้ว่าบางครั้งท่านจะต้องลำบากยากกาย เพื่อเสียสละในการเข้าโอบอุ้มช่วยคนทำถูก สิ่งที่ท่านหมั่นกระทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือ พอใจเกลี้ยกล่อมให้โอวาทแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนด้วยการแนะแนวทางที่ชอบที่ควรให้เอาไปมั่นประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นผู้มีภูมิปฏิภาณสูงส่ง สามารถรอบรู้จิตใจผู้ที่เข้าหาท่าน และรู้ว่าท่านพูดอย่างไรจึงจะเป็นที่สบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาประกอบกับท่านมีความรู้ในการดูลักษณะคนเป็นอย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่เห็นดวงหน้า ท่าทางเดินเหินยืนนั่ง และพูดจาฟังน้ำเสียง ท่านก็จะหยั่งทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นั้นมีสภาพฐานะเป็นอย่างไร และควรจะยึดถืออาชีพเป็นหลักธำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีฐานะมั่นคงสถาวรตามสมควรแก่อัตภาพ บุคคลนับเรือนหมื่นแสนที่ได้รับคำชี้แจงแนะนำจากหลวงพ่อจง แล้วเชื่อถือเอาไปปฏิบัติตามไม่ทอดทิ้ง ปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีอาชีพหลักแหล่งเป็นหลักฐานทำมาหากินคล่อง มีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพอันสมควร


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-05.htm

1263
วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7488 ข่าวสดรายวัน

ความหมายของเบี้ยแก้
คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง
ราม วัชรประดิษฐ์

สวัสดีครับท่านผู้อ่านข่าวสดที่เคารพ วันนี้เราจะพูดถึงความหมายของ "เบี้ยแก้" กัน เบี้ย ก็คือ เปลือกหอยที่พ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียโบราณที่ค้าขายแถบชายฝั่งทะเล นำเข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ

เนื่องจากเปลือกหอยดังกล่าวมีความสวยงามและคงทน ในระยะแรกจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ โดยนำมาจากหมู่เกาะมัลดีฟ และมีบางส่วนมาจากฟิลิปปินส์ ด้วย "หอยเบี้ย" เป็นสิ่งหายากและสวยงามพ่อค้าชาวต่างชาติจึงหามาแลกข้าวของสินค้าจนนิยมใช้กันเป็น "เงินตรา"

ในคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่เจริญในยุคพระ เวทและยุคมหากาพย์เรื่อยมา นั้น ได้ให้ความสำคัญกับ "หอยทะเล" โดยกล่าวถึงสังข์อสูรที่ลักลอบกลืนคัมภีร์พระเวทของพระพรหมลงไป ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องตามมาล้วงคัมภีร์จากท้องหอยสังข์ จึงบังเกิดเป็นร่องพระดัชนีจากพระหัตถ์ขององค์นารายณ์บริเวณร่องส่วนท้อง

พราหมณ์อินเดียจึงเคารพและนำ "หอยสังข์" ที่มีต้นกำเนิดอยู่ในมหาสมุทรอินเดียมาประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยนับถือว่าเคยเป็นที่สถิตแห่งคัมภีร์พระเวท และมีรอยพระ หัตถ์พระนารายณ์ปรากฏอยู่

นอกจากนี้ หอยทะเลที่เรียกว่า "เบี้ย" ยังได้รับความเคารพจากพวกพราหมณ์ในฐานะสัญลักษณ์แห่ง "ศักติ" อันเป็นลัทธิที่บูชาเทวสตรี เช่น พระลักษมี พระอุมา พระสรัสวตี เรียกกันว่า "ภควจั่น" ซึ่งมาจาก ภควดี หมายถึง อิตถีเพศที่ควรเคารพบูชา ลักษณะของหอยเบี้ยนั้นพจนานุกรมของมติชนกล่าวถึงว่า เป็นหอยทะเลกาบเดี่ยว เปลือกแข็ง หลังอูมนูน ส่วนท้องแบนเป็นช่อง ปรากฏรอยขยักคล้ายฟันเล็กๆ บ้างรู้จักกันในชื่อ หอยจั่นหรือหอยจักจั่น และหอยพลู

สมัยก่อนเมื่อเบี้ยถูกนำมาใช้เป็นเงินตรา "เบี้ย" จึงมีความสำคัญและผูกพันกับคติความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถใช้แก้บนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวาอารักษ์ ตลอดจนผีสางนางไม้ได้ เช่น ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงตอนนาง เทพทองจะคลอดขุนช้างว่า "บ้างก็เสกมงคลปลายข้าวสาร เอาเบี้ยบนลนลานเหน็บฝาเกลื่อน" ดังนั้น คำว่า "เบี้ยแก้" เดิมจึงมาจากคำว่า "เบี้ยแก้บน" เนื่องจากใช้เป็นเงินบนบานศาลกล่าวและเกิดสัมฤทธิผลความหมายจึงพ่วงการแก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดี จึงมีอานุภาพทางแก้กันสิ่งอาถรรพ์ที่จะให้โทษ และทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตน

โบราณาจารย์จะทำเบี้ยแก้โดยนำหอยเบี้ยมาบรรจุปรอท แล้วอุดด้วยชันโรง หุ้มด้วยแผ่นตะกั่วหรือผ้า แล้วนำมาถักด้วยเชือกทารักหรือยางมะขวิด ผ่านการปลุกเสกกำกับ ใช้ผูกเอวหรือห้อยคอ แก้คุณไสยโดยการแช่น้ำมนต์ดื่ม อาบ

"ปรอท" คือ แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมีความหนักแต่เป็นของเหลว มวลของปรอทจะแน่นหนามากถึงขนาดลอยธาตุอย่างอื่นบนปรอทได้ และเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ แต่ก่อนจะใช้ปรอทในการแยกธาตุให้บริสุทธิ์ ดังนั้นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของปรอทก็คือ การแยกสิ่งที่แปลกปลอมให้ออกไปให้พ้นไป และยังใช้ในการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย คนโบราณจะโปรยปรอทไว้รอบๆ บ้าน เพื่อไล่ธาตุที่แปลกปลอม และเสนียดจัญไร

ส่วน "ชันโรง" นั้น คือรังของสัตว์มีปีกอยู่ในตระกูลผึ้งแต่ตัวมีขนาดเล็ก จะถ่ายมูลทำรังตามต้นไม้ กิ่งไม้ และใต้ดินทำนองปลวก มีลักษณะเหนียวคล้ายชัน สีน้ำตาลเข้ม นับเป็นวัสดุอาถรรพ์ที่นำมาใช้อุดไม่ให้ปรอทหนีออกจากตัวเบี้ย บางสำนักก็ใช้อุดใต้ฐานพระเมื่อบรรจุเม็ดกริ่ง แผ่นยันต์ หรือ พุทธาคมต่างๆ

เบี้ยแก้ เมื่อเขย่าจะดังขลุกๆ อันเป็นเสียงปรอทที่กรอกเข้าไปในตัวเบี้ยกลิ้งไปกลิ้งมา เนื่องจากสามารถหดและขยายตัวตามอุณหภูมิ หากเขย่าเบี้ยแก้ตอนอากาศร้อนจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเพราะปรอทจะขยายตัว แต่ถ้าอากาศเย็นจะมีพื้นที่ว่างในตัวเบี้ยมากกว่า เสียงจะดังฟังชัด

เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทางด้านการทำ "เบี้ยแก้" ได้แก่ หลวงปู่รอด วัดนายโรง บางกอกน้อย กทม., พระพุทธวิถีนายก(บุญ ขันธโชติ) หรือหลวงปู่บุญ หลวงปู่ทอง หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว นครชัยศรี นครปฐม, หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ กทม., หลวงพ่อซำ อินทสุวัณโณ วัดตลาดใหม่ ฯลฯ

แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีกรรมวิธีการจัดสร้างเบี้ยแก้ตามสูตรโบราณ และมีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์แก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดีสมดังชื่อจริงๆ ครับผม

ที่มา...ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOak14TURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB6TVE9PQ==

1264
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:

อ้างถึง
.....เพียงคุณเปลี่ยน   ความคิด   ชีวิตเปลี่ยน
ไม่วนเวียน    อยู่ใน     ห้วงตัณหา
มีสติ     คุณธรรม      นำปัญญา
ก็จะพา   สู่ชีวิต       นิมิตดี

กราบขอบพระคุณสำหรับคำสอนที่ 1001



1265
ขอแสดงความนับถือ  :054:

ทั่วทั้งกายและใจท่าน saken6009 เต็มไปด้วยพุทธานุคุณของหลวงพ่อเปิ่น ทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จ เจริญรุ่งเรืองด้วยเทอญ

1266
สอนเณร

ตอนนั้นวัดบูรพาราม  เมื่องสุรินทร์เพิ่งเริ่มบุกเบิกสร้างขึ้นมาใหม่ๆก่อนสงครามโลกหลายปี บ้านเมืองยังไม่เจริญขนาดนี้ มีนั้นมีเณรน้อยมา
จำพรรษากับหลวงปู่ดูลย์ 3 รูป คือ

สามเณร โชติ----> หลวงปู่โชติ
สามเณร อ่อน----> หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
สามเณร ปิ่น----> อธิบดี ปิ่น มุทุกัณฑ์

หลวงปู่ท่านก็สอนให้เณรน้อยทั้ง3 หัดทำกลดและขาตั้งบาตรด้วยไม้ไผ่
แล้วท่านก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง  ทุกขั้นทุกตอนอย่างละเอียด
หลังจากนั้น ท่านจะอยู่ในอาการเงียบฉี่……!  หลวงปู่ท่านเงียบจริงๆ  และนิ่งเงียบตลอดไป

หลังจากเสร็จกิจวัตรเช้านั้นแล้ว สามเณรทั้ง3ก็ฝึกหัดทำขาตั้งบาตรต่อ
เพราะยังทำไม่เสร็จ  แล้วก็มานั่งทำต่อหน้าหลวงปู่  แล้วทั้ง3ก็ได้ทุ่มเถียง ไต่ถามกัน
แล้วก็ในที่สุดก็ทำไม่ได้เลยถามหลวงปู่ว่า
หลวงปู่ครับ  ทำไงครับ?
"………………………............................  "
หลวงปู่นั่งดูเฉย เงียบฉี่! แล้วเณรทั้ง3ก็ต้มหน้าก้มตาทำต่อไป แต่ก็ยังเถียงกันอีกเช่นเคยเถียงไปเถียงมาก็ถามอีก
หลวงปู่ครับ...  ทำไงครับ?
"………………………...........................  "
หลวงปู่ครับ....  ทำไง
"………………………............................"
หลวงปู่ครับ.....  ทำไง
"….............................
หลวงปู่.....  .นิ่งเฉย......
เณรทั้ง3คนเลยโกรธหลวงปู่พากันงอนตุ๊บป่องเดินลงส้น พรวดพราดจากศาลา หายเงียบไป
วันนั้นทั้งวัน3เณรน้อย หน้างอนเป็นม้าหมากรุกไปทั้งวัน

รุ่งเช้า3เณรน้อยก็ยังไม่หายงอนอีก แต่ก็เดินอุ้มบาตรตามหลวงปู่ ทำหน้าม้าหมากรุกไปตลอดทาง
จนถึงหน้าบ้านหลังนึงซึ่งใส่บาตรเป็นประจำทุกเช้า บ้านหลังนี้มีลูกสาวอยู่คนนึง กำลังนั่งโขลกน้ำพริกดังโป๊กๆๆอยู่
ขณะที่แม่กำลังเดินออกมาครึ่งทางก็หยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงลูกตกโกนลั่นโหวกเหวก

แม่....  แม้....  แม๊.... แกงส้มใสกะปิมั๊ย
แม่ก็ตะโกนด่าตอบกลับไปว่า
อีห่...กินมึง... แม่ตายแล้ว....  มึงจะถามใคร?
 
       พลันนั้น....หลวงปู่ที่อยู่หัวแถว ได้ค่อยๆปรายหางตาเหลียวมอง หมู่สามเณร
สามเณร3 รูป  พากันสะดุ้งโหยง.!
      สามเณรน้อยพากันอุ้มบาตรเดินตามหลังหลวงปุ่ต้อยๆ
ด้วยอาการเขินจึงเดินทำกระมิกระเมี้ยน  ก้มหน้าแกล้งดู มดดำมดแดงที่ไต่อยู่ตามพี้นดิน..
  โดยมีหลวงปู่พระป่าผู้เฒ่าเดินอมยิ้มซ่อนอยู่บนใบหน้า
         ไปตลอดทาง  จนถึงวัด...!


ขอบคุณ คุณ  tan~
ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000836.htm

1267
พอดีว่าได้เห็นชื่อ "บัว ปากช่อง"
ในกระทู้
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23128
เลยลองค้นดู ก็พบสิ่งที่สนใจจากท่าน เลยนำมาเสนอมาให้พี่น้องได้อ่านกัน
=====================
"พึ่งตัวเอง" จาก เสียงธรรมจากพระป่า"

หลวงปูดูลย์  ท่าน"สร้าง"คนด้วยการสอน และท่านได้สอน.  ไม่เหมือนใคร.!
หลวงปู่ดูลย์ท่านจะสอนในเฉพาะเบื้องต้น แล้วต่อจากนั้น ท่านจะสอนในแบบฉบับของท่าน 

คือ. นิ่งเฉย..!

ความรู้เบื้องต้น  คือหน้าที่ของผู้เป็นพระอาจารย์ หลวงปู่พระป่าผู้เฒ่าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้
ไม่ได้พร่องและตกหล่น

    แต่ต่อไปนั้น ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้เป็นศิษย์  ที่พึงจักต้องแสวงหาไขว่คว้า
ดิ้นรนความรู้นั้นมา นึกคิดไตรตรองด้วยการช่วยตัวเอง. พึ่งตนเอง โดยมีหลวงปู่พระป่าผู้เป็นพระอาจารย์  คอยประคับประคอง 
เฝ้าจับตามองอยู่ทางเบื้องหลัง  นี่คือการสอยตามแบบฉบับของพระป่า

หลวงปู่พระป่า  ได้สอนแนะแนวทางการดำรงตนที่จะดำเนินชีวิตด้วย
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน   อันถือเป็นหน้าที่จักต้องปฏิบัติที่ ี่ธรรมชาติได้กำหนดสอนหมู่สัตว์

     หมู่สัตว์ย่อมดำเนินชีวิตโดยพึ่งตนเอง นับแต่ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ว่าจะจากครรภ์มารดาหรือถือกำเนิดออกพ้นมาจากเปลือกไข่
ไม่ว่าจะเป็นเต่า ปลา  จิ้งจก  ตุ๊กแก  และแม้แต่มดตัวเล็กๆ ที่ไต่อยู่ตามพื้นดินล้วนแต่ดำรงเลี้ยงชีพดำรงชีวิตพิ่งตนเอง
   โดยหลวงปู่พระป่าท่านได้ยกสัตว์ตัวเล็กกระจิ๊ดริ๊ดเท่าขี้ตา มาเป็นตัวอย่างสอนหมู่ผู้เป็นศิษย์

แมงมุม. สัตว์ตัวเล็กๆกระจิ๊ดริ๊ดเท่าขี้ตา แต่ทว่าเป็นสัตว์ที่มีอุสาหะ  อดทน  และพึ่งตนเองยามใดที่มนุษย์ได้พบเห็น
พึงควรนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนตน

   หลวงปู่ดูลย์เล่าว่า  เมื่อครั้งที่ท่านจาริกปฏิบัติธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร
ในสมัยเป็นหนุ่มท่านได้เห็นแมงมุมอยู่ระหว่างการชักใยสร้างรังเพื่อดักแมลง ดูดกินเลือดเป็นอาหาร  ณ  ปากถ้ำแห่งหนึ่ง
    พอตะวันคล้อยบ่าย   เจ้าแมงมุมตัวน้อยๆก็ได้เริ่มต้นชักใยปิดปากถ้ำ
ซึ่งเป็นช่องขนาดไม่ใหญ่  เป็นรูอยู่ในผนังหลืบหินข้างๆถ้ำ 

       เจ้าแมงมุม  ดีดตัวชักใยขวางปากถ้ำเป็นเส้นกากบาท  เป็นจุดเริ่มต้นเสร็จแล้วก็ดีดตัวปล่อยใยเป้นเส้นทะแยงเป็นมุมขวางไปมาระยะห่างๆ
ต่อจากนั้นตรงจุดศูนย์กลางเจ้าแมงมุมจะปล่อยเส้นใยเป็นตาข่าย   ค่อยๆขยายเป็นวงกว้างขึ้นไปเรื่อยๆจนถี่ยิบ ปิดปากถ้ำ

       ตั้งแต่ตะวันเริ่มบ่ายคล้อย  ไปจนถึงโพล้เพล้เวลาเริ่มใกล้ค่ำ  เจ้าแมงมุมตัวน้อยชักใยเสร็จ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยหอบ
ได้เข้าไปหยุดพักคลายเหนื่อยพรางตัวสงบนิ่งอยู่จุดศูนย์กลาง  เพื่อรอคอยอาหาร
      ตะวันโพล้เพล้  เป็นเวลาออกหาอาหารของฝูงค้างคาวที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำ

       ค้างคาวบินปร๋อออกมาจากถ้ำผ่านใยแมงมุม  ขาดเป็นรูโบ๋!!!!!
ทันทีนั้น  เจ้าแมงมุมตัวน้อยที่หมอบอยู่ได้พุ่งตัววิ่งจู๊ด ตรงเข้าไปชักใยซ่อมแซมรังที่ขาดเป็นรูโบ๋จนเสร็จแล้ววิ่งกลับมาหมอบ
ที่จุดศูนย์กลางตามเดิม

       ค้างคาวบินปร๋อรังขาดเป็นรูโบ๋ครั้งใด  เจ้าแมงมุมน้อย เป็นได้รีบพุ่งตัวจู๊ด  ตรงไปซ่อมแซมตรงที่ขาดนั้นอย่างขะมักเขม้น
เป็นพัลวันอย่างไม่ย่อท้อ  ทุกครั้งไป
   ค้างคาวบินปร๋อ        แมงมุมวิ่งจู๊ด
            ค้างคาวบินพรู... พรู... พรู...! ! !
            แมงมุมวิ่งจู๊ด... จู๊ด...   จู๊ด...! ! !

     การพึ่งตัวเองนั้น เป็นแบบฉบับในการสอนของหลวงปู่ดูลย์ พระป่าผู้เฒ่าแห่งกองทัพธรรมดินแดนอีสานผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ของผู้เป็นศิษย์ทุกยุคทุกสมัย ที่ปรากฏให้เห็นอย่างมากมาย


ขอบคุณ คุณ  tan~
ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000836.htm

1268
ทันทีทันใดนั้น เครื่องบินลำของข้าศึกถลาหัวฉกจิกลงมาจากเบื้องสูง สาดกระสุนกึกก้องเข้าใส่เครื่องบินของจอมพลฟื้นอย่างเหี้ยมเกรียม แต่เปล่า...เครื่องบินของเสืออากาศไทยไม่ยักมีอันเป็นไปเพราะห่ากระสุนสองสามชุดที่ข้าศึกรัวเข้าใส่ จอมพลฟื้นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม นึกในใจว่าดีละ เดี๋ยวรู้กัน

ทว่า เมื่อสายตามัจจุราชของจอมเสืออากาศไทยเหลือบแลที่เครื่องวัดน้ำมัน อัตราน้ำมันที่มีอยู่จะไม่พอพาเครื่องบินกลับฐานทัพ ถ้ายังจะบินอยู่อีก

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนตีจาก ก็ควรจะมีการอำลากันอย่างไว้ลายเสือจอมพลฟื้นลูบหมับไปที่พระยันต์แดงราชสีห์ พลางดึงตะกรุดมหารูดมงคลชาตรี (โทน) ของหลวงพ่อจง อาราธนาขอความคุ้มครองแคล้วคลาดตามพิธี ด้วยพลังจิตอันมั่นคงแน่วแน่อบอุ่นใจเต็มที่ จากนั้นก็โยกคันบังคับผงกหัวเข้าใส่นกเหล็กของข้าศึกอย่างปราศจากพรั่นพรึงปืนกลหน้าถูกเร่งกระสุนกราดออกไปถี่ยิบ พร้อมกับฝ่ายข้าศึกก็ตอบโต้ด้วยปืนหลังแล้วทำมุมเลี้ยวขวาแสดงท่าจะปรี่เข้าโจมตีใหม่อย่างบ้าบิ่น แต่ทันทีนั้นเองกระสุนอีกชุดหนึ่งของเหยี่ยวฟ้าไทย ก็กระทบเข้าที่แพนหางนกเหล็กของข้าศึกเสียงกราวสนั่นเป็นระยะข้าศึกเปลี่ยนใจเป็นบินหนี ซึ่งเป็นการสมประสงค์ของเสืออากาศไทยยิ่งนัก เพราะหากมีภาวะต้องจำพัวพันกันไป ไม่ถูกยิงหกคะเมนก็ต้องดิ่งนรก เพราะไม่มีฐานทัพจะลงและไม่มีน้ำมันสำหรับเครื่องบินจะพากลับ

เหตุการณ์เหล่านี้ ภายหลังต่อมาเมื่อศึกสงบ ทหารนักบินข้าศึกชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักบินผู้ทำการรบกับเครื่องบินของจอมพลฟื้นได้เล่าให้เพื่อนฝูงทหารไทยหลายคนฟังในโอกาสที่นักบินไทยผู้หนึ่งได้ไปราชการที่ไซ่ง่อน โดยเขาบอกว่าการที่ทัพอากาศของเขาต้องพ่ายเสมือนไร้ฝีมือ เป็นเพราะเหตุสองประการ เครื่องบินฝ่ายเขาหย่อนสมรรถภาพและนักบินมีขวัญย่อหย่อน แต่ในประการสำคัญก็คือ มันคล้ายกับมีอุปาทานทำให้ฝ่ายเขามองเห็นเครื่องบินของฝ่ายไทย เป็นสีแดงฉานคล้ายกลุ่มควันแดง ทำให้นักบินพิศวงสงสัยและตกตื่นขวัญเสีย

อนึ่ง โดยเหตุนี้หลวงพ่อจงชอบขึ้นเครื่องบิน ท่านมักถูกนิมนต์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในบางโอกาสเสมอ ท่านเคยพูดว่า เมื่อได้เหาะขึ้นเบื้องสูงแล้วหายใจสบาย มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมชาติสวยงาม

และได้มีนักบินผู้หนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงได้ขึ้นเครื่องบินสองที่นั่งไปกับจ่าอากาศเอกผู้หนึ่ง ขณะเครื่องบินวนไปทางอยุธยา หลวงพ่ออยากดูวิววัดหน้าต่างนอกของท่านทางอากาศ จึงชี้ทิศทางบอกให้นักบินพาไป เมื่อถึงแล้วนักบินจึงแจ้งให้ทราบ ตอนนั้นเองหลวงพ่อจงนึกสนุกขึ้นมา เพราะมองเห็นวัดของท่านมีขนาดเล็กนิดเดียว จึงกล่าวแก่นักบินว่าจะหยุดสักครู่ได้ไหม นักบินตอบว่า หยุดนั้นเห็นจะไม่ได้เพราะไม่มีสนามลง นอกจากทำได้ก็เพียงแต่เบาเครื่องโฉบลงไปต่ำหน่อย

หลวงพ่อจงหัวเราะหึหึ พูดทำนองปรารภขึ้นว่า เอ๊ะน่าจะได้นะพลางชี้นิ้วไปที่คันบังคับและเครื่องบิน ทันใดนั้นเครื่องบินมีสภาพคล้ายตกหลุมอากาศมหึมา ไม่มีอาการพุ่งไปข้างหน้า แต่หล่นวูบลง นักบินตกใจเป็นอย่างมากและยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ด้วยไปคิดสงสัยในด้านว่าเครื่องบินอาจมีอุบัติเหตุเครื่องเสีย ในใจก็ให้นึกเป็นห่วงหลวงพ่อจง ครั้นเหลียวมามองดูก็เห็นท่านหลับตาเฉยราวเกือบสิบวินาที ท่านจึงลืมตาขึ้นในขณะที่นักบินก็ง่วนอยู่กับการตรวจดูนั่นนี่หาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ได้ยินหลวงพ่อจงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นว่า ลงมามากโขพอแล้วเครื่องบินบินต่ำแบบนี้หัวใจมันวูบวาบชอบกล

ท่านพูดสิ้นคำ เครื่องบินก็ครางกระหึ่ม ทรงตัวเคลื่อนลำพุ่งหน้าออกไป พ้นจากภาวะดั่งราวถูกดูดดึงอยู่กลางหลุมอากาศ

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-04.htm

1269


เรื่องความมีชื่อลือเลื่องโด่งดังในทางวิทยาคม ซึ่งลูกศิษย์เกือบทั่วประเทศมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแก่กล้า เพราะเชื่อหลวงพ่อจงท่านมีอาคมขลังในทางเมตตา คงกระพันแคล้วคลาด

หลวงพ่อจงได้อรรถาธิบายไขข้อเคลือบแคลงว่า การซึ่งผู้ใดจะยึดมั่นเชื่อถือต่อสิ่งใดเป็นสรณะหรือไม่ แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อของจิต จิตบางดวงมีพลังต่ำ บางดวงทรงพลัง จิตทั้งหลายปราศจากระดับอิทธิแห่งพลังเท่าเทียมกัน แต่ถึงกระนั้น จิตเป็นสิ่งที่อาจลดอัตราระดับหรือเพิ่มพูนอิทธิพลังให้สูงส่งมีอำนาจขึ้นได้ คนที่ไม่เชื่อว่ามีผีเพราะเห็นและคิดเห็นขึ้นว่าคนตายแล้วย่อมผุพังเน่าเปื่อยจะกลายเป็นผีไปไม่ได้ คนผู้นั้นไม่มีวันกลัวผี แต่บางคนเชื่อว่ามีผีจริง ผู้นั้นก็ย่อมจะมีพลังจิตอ่อนไหวกลัวผีเสมอไป ก่อนนี้เราไม่เชื่อกันว่ามนุษย์จะเหาะเหินเดินฟ้าได้ นอกจากในนิยาย แต่เราก็สามารถมีจรวดและอากาศยานเข้าไปนอนนั่งดั้นฟ้าได้... ความเชื่อของมนุษย์คือ ขุมกำเนิดซึ่งก่อให้เกิดสิ่งใดที่มนุษย์เชื่อว่ามีได้ให้บังเกิดได้มีได้อยู่เสมอ

มนต์ขลังทำให้เกิดกำลังใจเป็นขุมพลังของจิตไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ไม่เคยเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งไรได้สำเร็จ เขาก็ยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความเชื่อคือพลังของโลกและพลังของชีวิตเชื่อหรือไม่ จึงเป็นเรื่องของศรัทธาตัวเดียว หากเชื่อว่าอริยสัจสี่และทางของมรรคแปด เป็นทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์กำจัดต้นตอทุกข์ได้ ก็มีทางเดินไปสู่บั้นปลายของความเชื่อ ถ้าเริ่มขึ้นด้วยความไม่เชื่อ ก็ไม่มีทางพิสูจน์และไม่มีทางเดินไปสู่....


หลวงพ่อจงชอบขึ้นนั่งบนเครื่องบินมาก ในสงครามอินโดจีนจนถึงมหาสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อจงได้นั่งเครื่องบินนับเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพราะท่านถูกนิมนต์ไปกระทำพิธีรดน้ำมนต์ ปัดรังควานบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนทัพบก เรือ อากาศ ไปสู่สมรภูมิรบที่ใด ก่อนเดินทัพจะต้องมีพิธีทางศาสนาเป็นมิ่งมงคลบำรุงขวัญทหาร มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจิมอาวุธกับพาหนะและอุปกรณ์รบ บรรดาหลวงพ่อและเกจิอาจารย์อันเป็นที่เคารพศรัทธาในอัจฉริยะความเป็นอริยสงฆ์ต่างจะต้องถูกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีอยู่อย่างไม่ควรขาด

หลวงพ่อจงเป็นสงฆ์ผู้มีบุคลิกเด่นดวง ลักษณะใบหน้าของท่านอิ่มเอิบ ดวงตาวาววับด้วยแสงเมตตาจิต ใครเห็นท่านจะรู้สึกเคารพรักและบังเกิดศรัทธาในวูบแรก แม้ว่าดวงหน้าท่าทีของท่านจะเฉยเมย แต่ปมเด่นทางเมตตาของท่านโผล่ผลุดดุจเป็นรัศมี รอบกายปรากฏออกมาสะดุดความรู้สึกผู้พบเห็นเอง และยิ่งเมื่อผู้ใดได้เข้าใกล้ชิดด้วยพระคุณท่าน ก็จะประจักษ์ในอัธยาศัยและไมตรีที่ท่านหลั่งโอภาปราศรัยออกมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดลืมเลือน อัธยาศัยวิเศษของท่านจะเข้าซึมแทรกดวงจิตผู้ใกล้ชิดทันทีอย่างตราตรึงใจ

ทหารน้อยใหญ่ของสามกองทัพ ส่วนมากที่ได้เคยพบเห็นและเข้าหานมัสการหลวงพ่อจงในทุกหนที่ไปกระทำพิธีแจกเสื้อพระยันต์ราชสีห์ตะกรุดโทนจึงพากันเคารพสักการะศรัทธาในท่านมากที่สุด

เฉพาะกองพลทหารม้ายานเกราะสระบุรี ดูเหมือนจะศรัทธาแก่กล้าในอิทธิบารมีของหลวงพ่อจงมากที่สุด ถัดไปก็น่าจะเป็นในกองทัพอากาศ ซึ่งตั้งแต่นานมาแล้ว เริ่มแต่ปี 2475 สมัยปฏิวัติหนแรกบรรดาแม่ทัพนายกองต่างขึ้นชื่อเป็นศิษย์และเป็นผู้ศรัทธาเคารพขึ้นในหลวงพ่อจง อาทิ ท่านจอมพลฟื้นรนภากาศฤทธาคนี พลอากาศเอกนักรบ บิณฑศรี นาวาอากาศเอกประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ ท่านที่กล่าวนามเหล่านี้ ตลอดจนทหารเหล่าอื่น ต่างได้รับแจกเสื้อพระ ยันต์ราชสีห์และตะกรุดโทน จากหลวงพ่อจงด้วยมือท่านเองเป็นส่วนมาก

ท่านจอมพลฟื้นได้พบกับประสบการณ์ในสมัยศึกอินโดจีน เมื่อต้องคุมขบวนเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสะตรึงเต็งและอื่น ๆ อันเป็นฐานทัพสำคัญของฝรั่งเศสยุคนั้นจนไฟลุกไหม้แหลกลาญ ขณะกำลังจะคิดผละจากความเพลิดเพลินเข่นขยี้ข้าศึกจนไม่มีคู่ต่อสู้ และบรรดาเครื่องบินรบที่อยู่ในการดูแลกองนั้นต่างทยอยกลับฐานทัพดอนเมืองแล้วจนหมดสิ้น จู่จู่ก็มีเครื่องบินจากฐานทัพใหญ่ของข้าศึกอันเป็นกองหนุนสามเครื่องจิกหัวโฉบเข้าใส่ รุมกันทักทายเครื่องบินรบของจอมพลฟื้นด้วยกระสุนปืนกลประจำเครื่องอย่างเกรี้ยวกราด

แต่... ยอดเสืออากาศไม่สะดุ้ง คันบังคับถูกดึงเลี้ยวซ้ายกะทันหันดิ่งหัวหลบวูบลงไปราวห้าร้อยเมตร และครั้นแล้วก็ตั้งลำเชิดขึ้นมาใหม่พุ่งเข้าหาเครื่องบินข้าศึกด้านขวามือ ซึ่งเป็นเรือธงบังคับการดุจเหยี่ยวไล่เหยื่อ กระสุนนับร้อยหลายชุดถูกพ่นกรูเกรียวออกไป แค่นั้นเองเครื่องบินของศัตรูผู้ผยอง ก็ม้วนเอียงลำดิ่งพสุธาพร้อมควันดำโขมง

จากนั้นเหยี่ยวฟ้าไทย โผโผนลำขึ้นเบื้องสูงทำทีจะหนีจาก และเครื่องบินของข้าศึกกำลังจะเลี้ยวไล่นั่นเอง เสืออากาศไทยก็บังคับเครื่องบินพุ่งควับลงมาดุจสายฟ้าก็ปานกัน มีเสียงคำรามติดต่อกันอย่างดุดันกระสุนกลที่ยิงเหมือนจับวางเป็นร้อย ๆ พรูพรั่งเข้าตัดกลางลำ เครื่องบินของข้าศึกษาเป็นรูพรุนตลอดถึงแพนหาง ปรากฏเป็นควันดำแล้วก็ดิ่งสู่พสุธาไปอีกลำ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-04.htm

1270
ถือสันโดษ ไม่สนใจยศ ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์

ปกติหลวงพ่อจงไปไหนท่านชอบไปองค์เดียว จนตอนระยะวัยสูงมีสภาพของคนชรา ไม่น่าวางใจว่าอาจไปเกิดพลั้งเผลอมีอุบัติเหตุ ผู้เจตนาดีและศิษย์ผู้ภักดีจึงต้องติดตามท่านไปด้วยสองสามคน เพื่อคอยดูแลและรับใช้ถวายปรนนิบัติท่าน

หลวงพ่อจงเป็นภิกษุผู้ปราศจากละโมบในลาภสักการ ยศศักดิ์ทั้งปวง ท่านพอใจสภาพที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกเท่านั้น ต่อมามีผู้คิดสนับสนุนให้ท่านมียศทางสมณะศักดิ์ ท่านก็ห้ามปรามไม่ยินยอมให้ทำเรื่องราวเสนอขึ้นไปตามระเบียบ ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องเสนอตามแบบของทางราชการ ก็ไม่มีการให้สมณศักดิ์ แทนที่ท่านจะสนใจเพราะมีผู้หมั่นไปกระตุ้นและหว่านล้อม ท่านกลับหัวร่อแล้วพูดว่า

"ไม่น่าสนใจเรื่องนี้ เพราะยศ ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ เป็นเรื่องของโลก อาตมาไม่ใยดีในทางนี้ เมื่อเป็นภิกษุและได้ศึกษาพระธรรม มีความรู้ในธรรม หมั่นปฏิบัติธรรมได้เป็นนิจ ได้รับความสงบทางใจ ได้มีช่องทางให้ผู้อื่นมีโอกาสพิจารณาปฏิบัติได้ด้วยดี อย่างนี้ก็ควรเป็นสิ่งพึงใจของสมณะสงฆ์แล้ว เพราะพวกเรานี้ ที่มาบวชก็เพราะมุ่งเสียสละทางตัณหาโลกามิส ได้ตัดใจตัดโลกไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าแสวงหาวิถีทางให้รอดพ้นจากทุกข์ทรมาน ใครทั้งหลายเคารพกราบไหว้เรา เพราะรู้ว่าเราเป็นผู้พยายามสละกิเลสอันเป็นมารชั่วร้ายเจ้าของ โทสะ โลภะ โมหะ และ ราคะ ความทะยานอยากทั้งผอง ซึ่งแม้เราตัดไม่ออกหมด แต่กิเลสสงฆ์ถึงอย่างไรก็ต้องบางเบากว่าปุถุชนฆราวาส เราก็จึงต้องบำเพ็ญแนวทางตามความรู้ของพระธรรมให้เขาเห็น เช่น เรามุ่งมาเป็นนักเสียสละ เราก็ต้องเสียสละทุกสิ่ง เท่าที่จะพึงกระทำได้ หากเราไม่ประพฤติกระทำ คำว่าสงฆ์ หรืออริยสงฆ์ก็จะหมดความหมายลงทุกวัน... แต่นี่ก็มิจำเป็นต้องเป็นความคิดที่ถูกเสมอไป การกระทำตามระเบียบที่มีวางไว้เป็นปทัสถานนั้นเป็นไม่ผิด แต่การที่อาตมาไม่นิยมมีสมณะศักดิ์ประดับกาย ก็เป็นเอกสิทธิ์และความพอใจตามอัตภาพของอาตมา ไม่มีอะไรเป็นผิดดอก"

ความเป็นผู้ถือสันโดษ ถือความสงบทางโลกเป็นสรณะยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจง ท่านแสดงแน่วแน่มั่นคงไม่มีบิดเบือนทำบ้างไม่ทำบ้าง ท่านกระทำเป็นอาจิณ ในถุงย่ามของท่านนอกจากมีเหล็กจาน สำหรับประกอบกิจกรรมสุดแต่จะมีผู้นมัสการในด้านวิทยาคมแล้ว ก็ช้อนซ้อมสำหรับตักอาหารฉัน นอกนั้นไม่มีแม้แต่หมากยา ไฟขีด ยานัตถุ์ หมากพลูบุหรี่ เพราะท่านไม่เสพย์ติดมัน และไม่ต้องการมัน โรคภัยเจ็บป่วยนั้นก็ไม่มี ซึ่งท่านเคยกล่าวว่า ถ้ามีก็ต้องรู้อาการล่วงหน้า มีโรครักษาเองไม่ได้ ต้องหาหมอ เพราะยังงั้นหยูกยาในย่ามไม่ต้องเตรียมไป แต่เผอิญมีผู้ใจบุญเขาบริจาคถวายข้าวของเงินทองมีราคาติดมา หากใครเกิดโชคดีรู้วี่แววและอาราธนาขอ หลวงพ่อจงจะรีบหยิบยื่นให้ด้วยความยิ้มแย้ม โดยไม่ถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหน จะเอาไปทำไม เหตุไฉนต้องมาขอของมีราคาอย่างนี้ไปจากท่าน


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-04.htm

1271
ภูมิเวทย์ วิทยาคม

เมื่อเป็นบุคคลมีจิตแกล้วกล้าสามารถธำรงตนจนมีสมาธิศีลบริสุทธิ์ปราศจากว่อกแว่กหวั่นไหวในสรรพเหตุอันจักมาสั่นคลอนดวงใจให้ไหวหวาด ไม่ว่าจะเป็นต้นตอก่อภัยมืดสว่าง จากเวรกรรมเก่า หรือจากกรณีแวดล้อมซึ่งจะจู่โจมเข้ามาไม่ว่าในลักษณะการใด จวบแม้กระทั่งสามารถเดินทางโดดเดี่ยวกลับจากพม่าสู่ผืนแผ่นดินไทยด้วยตนเองตามลำพัง

แต่นั้นมาหลวงพ่อจง ก็ทวีความเชื่อมั่นในบำเพ็ญบารมีแสวงสำรวมหาอิทธิบารมีในทางปฏิบัติ กัมมัฏฐานตั้งในแนวทางของสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน กระทั่งอบรมบ่มฌานสมาบัติให้แก่กล้าทั้งทางกสิณและสมาธิ จนปรากฏว่า หลวงพ่อจงประสบความสำเร็จสมมโนหมายในวิถีซึ่งท่านต้องการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง

ภายหลังต่อมา หลวงพ่อจงได้ชื่อว่าเป็นอริยสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ มีพร้อมซึ่งอิทธิบาท แก่กล้าในแนวทางของวิชาแปดประการ อันเรียกขานกันว่า "อภิญญา"

ความเป็นผู้รู้ในธรรมแจ่มกระจ่างและปฏิบัติธรรมได้สม่ำเสมอเป็นนิจสิน มิเคยเบื่อหน่ายท้อถอยของหลวงพ่อจง ย่อมประจักษ์แก่ตาแก่ใจของบุคคลผู้ใกล้ชิดทั่วไปเป็นอย่างดี จนท่านถือเป็นคติพจน์ขึ้นว่า "การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นกิจวัตรอันมิควรขาดกระทำ"

หลวงพ่อจงขึ้นชื่อลือเลื่องว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางกสิณ สมาธิ ท่านสามารถหลับตานอนและตื่นเวลาใดก็ทำได้ดั่งใจหมาย ดวงจิตของท่านเปี่ยมด้วยความสันโดษและสงบอย่างแน่วแน่จริงแท้เปี่ยมด้วยความเมตตาพร้อมจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อส่ำสัตว์ทั้งผองให้ได้ผ่านพ้นทุกข์ภัยทั้งมวลและได้ประสบพบแต่ความสุขสำเร็จประสงค์ หลวงพ่อจงมีแต่ความมุ่งดี หวังดี ปรารถนาดี ต่อชีวิตกายเก่าสม่ำเสมอโดยปราศภยาคติ อันเป็นความลำเอียง ไม่เลือกหน้า ไม่มีจิตคิดเห็นแก่ฐานะความเป็นอยู่ หรือ อำนาจฐานันดรและภาวะสภาพของใครสิ่งใดมาเป็นน้ำหนักถ่วง หรือกดดันให้บังเกิดความโน้มน้าวโอนเอียง มิว่าใครผู้ใดไปหาสู่ ท่านโอภาปราศรัยต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มทันทีไม่ต้องให้มีการรีรอหรือผิดหวัง

ไม่มีใครเลยจะสามารถสร้างความรังเกียจความขึงขังให้บังเกิดในน้ำใจหลวงพ่อจงขึ้นได้ ท่านไม่เคยจะพูดจาว่ากล่าวว่าใครผู้ใดไม่ดีเลวร้าย บางครั้งแม้แต่มีใครไปเล่าเรื่องราวของคนไม่ดี กระทำทุราจาร ผิดศีล หรือประพฤติเลวร้ายแสนสาหัสในทางใจ พร้อมด้วยวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันตามสันดานอัธยาศัย หลวงพ่อจงก็ไม่ห้ามไม่ให้พูด ใครพูด ใครด่ากัน ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไปจนเขาพูดจบเรื่อง แต่ไม่เคยสนับสนุนซ้ำเติมว่าใครดีใครไม่ดี ท่านพูดเป็นกลาง ๆ ว่า

"เรารู้ว่าใครไม่ดีก็หลีกออกให้ห่าง ใครดีจึงคบหาไปมาสู่กัน ทุก ๆ คน ควรกระทำแต่ความดีมีศีลสัจจธรรม ส่วนคนประพฤติชั่วก็จะต้องได้รับกรรมตามสนอง และเขาเป็นคนน่าสงสาร หากช่วยกันได้ควรช่วยกัน ตามหลักพรหมวิหาร ทำบุญทุกอย่างย่อมได้กุศลสนอง แต่การช่วยผู้มีทุกข์ ช่วยคนคิดผิดให้คิดถูก กลับตนประพฤติชอบนั้นเป็นกุศลอย่างยิ่ง"

ครั้งหนึ่ง มีขโมยเข้าไปขโมยสมบัติของวัด ขโมยแม้กระทั่งโอ่งไหลายมังกร หลวงพ่อจงยังนอนไม่หลับในคืนหนึ่งนั้น ตื่นขึ้นมาเห็นหัวขโมยกำลังช่วยกันหามโอ่งชุลมุนวุ่นวาย ท่าทางเกะกะเก้งก้าง จะเอาไปได้ลำบากอยู่ ท่านเดินเข้าไปหาหัวขโมยพร้อมด้วยให้สติว่า

"ทำไมต้องรีบด่วนขนให้เป็นการยุ่งยากลำบาก การขนโอ่งคราวละหลายใบมันหนัก เอาไปก็เกะกะหาบหามไม่สะดวก ควรขนไปครั้งละใบดีกว่า มันจะไม่ตกแตกและเอาไปใช้ประโยชน์ตามต้องการได้"

พวกหัวขโมยมองหลวงพ่อ นึกว่าท่านจะเอาเรื่อง แต่เห็นท่านพูดยิ้ม ๆ อาวุธอะไรก็ไม่มีติดมือที่จะให้คิดว่าท่านคงจะเล่นงาน พวกหัวขโมยเลยวางโอ่งนั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ แล้วเดินหลบหลีกไปโดยพูดว่า

"ถึงท่านจะให้ พวกกระผมก็ไม่ขอเอาไปแล้ว"

อีกเรื่องหนึ่ง เด็กวัดร่วมใจกันขโมยเงินในถุงย่ามไปสามพันบาท เงินจำนวนนั้นมีผู้ศรัทธาถวายเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ยังไม่ทันมอบให้ผู้ดูแล ฝ่ายเด็กวัดครั้นเอาไปแล้วเกิดแบ่งไม่ถูกใจกัน เรื่องเลยไปถึงตำรวจ เมื่อตำรวจไปขอถ้อยคำทำคดีจากหลวงพ่อจง ท่านกลับว่าเป็นความบกพร่องของท่านที่เก็บไว้ไม่มิดชิด เด็ก ๆ มันอยากได้และสามารถหยิบฉวยง่าย มันจึงเอาไปตามประสาสันดาน แต่เป็นเรื่องในวัด ขอให้ทางวัดจัดการเองเถอะ ไม่อยากให้เรื่องไปถึงทางบ้านเมือง เพราะเด็กพวกนั้นมันยังอ่อนศึกษา ยังโง่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่งั้นคงไม่เอาของวัดพระดังนี้

พร้อมกันนั้น ท่านเรียกเด็กวัดสองสามคนมาสอนว่า

"ต่อไปการจะทำอะไรจงอย่าให้แตกสามัคคีกัน ร่วมมือกันทำงาน มีรายได้ก็ควรแบ่งสันปันส่วนให้มันยุติธรรม ถ้าแตกสามัคคีก็ต้องมีการอิจฉาแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน มีแต่ทำให้เสียพวกเสียประโยชน์ ดีไม่ดีจะต้องติดคุกตารางลำบากเสียชื่อตระกูลไม่ควรทำ"


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-03.htm

1272
ผู้ร่วมทางต่างมรณะ นมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง

ที่นครสวรรค์ ก็ได้มีพระภิกษุขอร่วมเดินทางไปด้วยอีกรูปหนึ่งรวมจำนวนเป็นห้ารูปเหมือนเดิม เส้นทางเดินระหว่างนครสวรรค์จนถึงพิษณุโลกเป็นพื้นที่ราบป่าโปร่ง ไม่เป็นป่าทึบเหมือนในดงพญาเย็น ดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งนองเป็นบริเวณกว้าง ท่วมตอนที่เป็นทางรถไฟอยู่นานหลายเดือนในปีหนึ่ง ๆ ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำซึ่งต้องเดินผ่าน มีจระเข้อยู่เต็มไปหมดทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งงูเห่าและงูจงอางเลื้อยเพ่นพ่านให้เห็นอยู่ตลอดระยะทางเดิน เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันอย่างแผ่วเบา แต่สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี เจ้างูจงอางตัวหนึ่งก็ได้ฉกกัดพระภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรีเข้าจนได้ และพิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ พระภิกษุองค์นั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ

เมื่อผ่านถึงจังหวัดพิจิตร ที่วัดตะพานหิน ก็ได้มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ฉะนั้นการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก ก็ยังคงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้ารูปตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างเข้าเขตพิษณุโลก พระภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพ เสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่งขณะเดินข้ามลำธารที่เป็นพงรก โดยถูกจระเข้คาบไปกัดกิน และทิ้งซากศพไว้เพียงครึ่งเดียว

หลวงพ่อจงกับพระภิกษุอีกสามรูปจากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเดินขึ้นไปเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าไปแม่ฮ่องสอน และจะเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งเจดีย์ชะเวดากอง พระภิกษุร่วมเดินทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละองค์ด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหาร เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) จึงคงเหลือเพียงหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว ที่ธุดงค์ไปถึงพม่าและได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

หลวงพ่อจงยอมรับว่าแรก ๆ เมื่อเห็นภิกษุผู้ร่วมเดินทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตายจากก็รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ที่ชีวิตกายเกิดทุกรูปนามยังต้องประสบ รูปกายใดมิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชผู้มีศักดินายิ่งใหญ่ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณะสัญญาเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้นหรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อนประกันวันตายยืดออกไป

เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวหวาดเสียวแห่งมรณะสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้มีเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น

ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในตอนแรก ๆ แต่เมื่ออยู่กันไปการใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธ และภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้หลวงพ่อจงรู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี

ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า

ทั้งขาไปและขากลับ หลวงพ่อจงได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 องค์ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น

หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางเสียงสายฝนที่สาดโกรกลอดใบไม้ทึบลงมา สายฟ้าได้ฟาดกราดเกรี้ยวลงมาถึงสองครั้ง กิ่งยางต้นใหญ่ขนาดสองสามคนโอบได้หลุดมาทั้งกิ่งไหม้ดำ แต่ในกรณีนั้น ไม่มีใครผู้ใดเป็นอันตราย กลับพากันหลุดรอดไปได้ จนต่อภายหลังจึงเสียชีพเพราะสัตว์ร้ายขบกัด และพิษไข้ป่า

ระหว่างทางเขตแม่ฮ่องสอน ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านกำลังจะกางกลดจำวัดอยู่ใต้เพิงผาหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็มีงูจงอางสีเหลือง แวววาวมะเมื่อม พุ่งปราดเข้ามาทางท่านอย่างว่องไว ท่านก็มองจ้องไปที่งูจงอางตัวนั้น รู้สึกระทึกใจอยู่ว่า นี่ถ้าจะตรงเข้าจู่โจมเล่นงานเราแน่ แต่เวรกรรมอย่างนี้เป็นกรรมเก่า หากเคยเป็นคู่ผลาญกันมาก็ยากจะหนีเขาไปรอดพ้น งูตัวนั้นใหญ่ยาวสักสองเมตรเห็นจะได้ มันชูคอพลิกเอียงไปเอียงมาอย่างผยองฤทธิ์ พุ่งปราดผ่านกองไม้ริมธารน้ำอีกสักห้าวาจะถึงตัวหลวงพ่อจง ท่านก็คงมองเพ่งอาการของมันด้วยความสงบ ในใจนึกภาวนาว่า หากไม่เคยมีเวรเก่าต้องชดใช้ ขออย่ามาก่อกรรมสร้างหนี้เวรใหม่ไว้ต่อกันเลย เจ้าจงไปตามทางของเสียเถิด

เมื่อหลวงพ่อจงนึกแผ่กระแสจิตอยู่นั้น งูจงอางได้พุ่งมุ่งสู่กองไม้ ข้ามเข้าหาท่านอย่างปราดเปรียว แต่ในทันทีทันใด ดุจดั่งราวกับถูกเบรกห้ามล้ออย่างแรง มันชะงักพรืดพลางบิดตัวอย่างรุนแรงพลิกคล่ำลงจากกองไม้ ปรากฏว่าตะขาบสีเขียวแก่จนเกือบดำตัวหนึ่งยาวราวสักสองคืบตัวใหญ่แบนสองนิ้วเศษ กำลังขบกัดติดอยู่ตรงสะดือใต้ท้องของมัน เมื่อตอนงูจงอางสะบัดโผนตัวโดยแรงนั้น ตะขาบได้กระเด็นหลุดออกไป ปรากฏว่าตรงสะดือขาดมีก้อนกลมเล็กไหลย้อยเป็นน้ำเขียวจาง ๆ ออกมาจุกอยู่ และการสะบัดอย่างแรงทำให้มันพลิกตัวหล่นลงไปน้ำนอนหงายท้องอยู่ และไม่นานนักก็สิ้นใจตาย ส่วนตะขาบตัวฮีโร่ก็คลานงุ่มง่ามออกจากกองไม้มุ่งเข้าราวป่าข้างหน้า โดยมิได้สนใจจะหันหลังมามองหลวงพ่อจงเป็นการอำลาหรือทวงคุณแม้แต่น้อยบารมี


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-03.htm

1273
ต่อจากตอนที่1/5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23129.new#new

ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ

และในราวกลางปีพุทธศก 2450 หลวงพ่อจงพร้อมด้วยย่ามสองย่ามยาวศอกเศษ มีเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นกับตัวยาประเภทแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ห้ามเลือด ไม้ขีดไฟ เทียนไข และกระป๋องตักน้ำเล็ก ๆ พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอน ในขณะธุดงค์ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังองค์เดียวจากวัดหน้าต่างนอกมุ่งหน้าไปสู่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และที่นี่ท่านก็ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาขอติดตามไปอีกสององค์ จากนั้นเมื่อเดินไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ก็ได้ภิกษุเพิ่มอีกสององค์ร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้าองค์ทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้าองค์ก็ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวที่จะติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินนั้นขวางกั้นไปด้วยอุปสรรค บางแห่งหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าและเถาวัลย์รกทึบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนก็ต้องเดินผ่านห้วยลึกและหุบเหว ซึ่งมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่ายว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมน้ำ ซึ่งมีทั้งรอยตีนเสือ ช้าง หมี ที่เป็นรอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหวได้ไม่น้อย แต่พระภิกษุทั้งห้าก็มิได้เกรงกลัว และบางครั้งก็เดินหลงทางบ่อย ๆ บางวันต้องหาทางเดินใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งห้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ก็เป็นอันว่าไม่ได้หยุดหุงหาฉันเพล เพราะบางที่กว่าจะรู้มันเลยเที่ยงไปนานแล้ว รู้จากแสงตะวันที่เผอิญทางเดินไปออกป่าโปร่ง ก็ได้แต่อาศัยฉันผลหมากรากไม้แก้หิวไปพลางบางวันที่ฉันเพลแทนเช้าไปเลยก็มี

และในตอนสายของวันที่สี่ ขณะที่อยู่กลางดงพญาไฟ ก่อนจะถึงจังหวัดนครราชสีมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อจงและพระภิกษุอีกสามองค์ก็ต้องผลัดกันเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยดันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งเป็นที่พำนัก พักรักษาภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสาย ภิกษุองค์นั้นมิอาจทนทานพิษไข้ได้ ก็ถึงกับมรณภาพ เมื่อช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้นจึงได้เดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรี ย่างเข้าเขตนครสวรรค์


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-03.htm

1274
ทิพยอำนาจ กับ ความขลัง

สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)

หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไมตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ

ต่อมาราวอายุได้ 30 เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย ละหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด

ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อนก็ร้อนจัด ยามเย็นก็เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-พญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น

ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล... หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย"

เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-02.htm

มี่ต่อตอนที่2..................

1275
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานันดร และตามความต้องการเรียนรู้ให้เข้าใจในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อใช้ปฏิบัติให้บังเกิดความสงบสุข และบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พร้อมด้วยใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป เหมาะสมตามกาลเทศะ...ตลอดจนได้เป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางวิทยาคม ซึ่งพระอาจารย์โพธิผู้เป็นพระอาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ให้และท่านก็สามารถนำไปใช้ช่วยปลดทุกข์ทางกายทางใจแก่ปวงชนมากหลาย แม้แต่ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง สมรภูมิอินโดจีน และสมรภูมิรบในเกาหลี อิทธิบารมีของหลวงพ่อจง ก็ได้สอดแทรกมีบทบาทช่วยให้เหล่าทหารหาญของชาติไทยทั้งสามกองทัพบังเกิดพลังใจใหญ่หลวง กระทำการรบได้อย่างห้าวหาญ มีชื่อเสียงเกรียงไกรไพศาล เป็นที่หวาดหวั่นยั่นระย่อต่อเหล่าข้าศึกไม่น้อย

เมื่อเผชิญกับการรับรุกบุกเข้าปะทะหมายกวาดล้างของทหารไทย ข้าศึกก็ล้มตายอย่างย่อยยับหรือถอยหนีโดยไม่คิดสู้บ่อยที่สุด...แม้แต่ในวงล้อมของฝูงข้าศึก ที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรคาดหมายว่าอย่างไรเสียกองร้อยทหารไทยคงไม่มีทางรอดเหลือกลับฐานทัพ เพราะคำนวณจากจำนวนทหารข้าศึกที่ล้อมทหารไทยไว้กว่าห้าชั้น ด้วยกำลังรบที่มากกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า ไม่มีทางที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งทัพไทยร่วมด้วยจะคาดคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ และไม่น่าจะเป็นการคาดคะเนที่ผิดไปเลย

แต่...ทหารไทยผู้ห้าวหาญก็สามารถต่อสู้กับข้าศึกทั้งทางพื้นดินและหลบระเบิดที่เครื่องบินข้าศึกทิ้งปูพรมลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับต้องบุกฝ่าพายุปืนกลหนักเบาจากวงล้อมห้าชั้นทั้งสี่ทิศ หลุดรอดออกมาได้เกือบครึ่งจำนวน... ทหารไทยเลยถูกลือว่าเป็นกองทัพมัจจุราช กองทัพมหากาฬ กองทัพผี สารพัดจะถูกขนานสมญานาม

มันเป็นการรบในยุทธวิธีตีฝ่าที่ใจห้าวกร้าวแกร่งอย่างอัศจรรย์เหมือนฝัน... จอมทัพพันธมิตรรับรู้ข่าวแสนจะพึงปิติปราโมทย์ด้วยอาการตกตะลึง ต้องสั่นหัวและถามซ้ำเป็นสองสามซ้ำว่า นั่นเป็นรายงานข่าวรับฟังเชื่อได้รึ ? แต่เมื่อเป็นข่าวชัดเจนมีการยืนยันเป็นหลักฐาน จอมทัพพันธมิตรภาคเอเซียก็ต้องเชื่อและอุทานชมลั่น

ถึงขนาดจอมทัพแม๊คอาเธอร์ ขอพบผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะอยากเห็นตัวเหล่ายอดทหารไทยผู้เกรียงไกร และจอมทัพแม๊คอาเธอร์ก็ได้รู้ว่าเลือดไทยทุกคนระอุอ้าวไปด้วยความห้าวเหี้ยมหาญ คิดเชื่อมั่นกันอยู่แต่ว่า ถ้ายิง ต้องยิงให้ถูกข้าศึก แต่ข้าศึกจะยิงไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แห่งบวรพุทธศาสนาท่านคุ้มครอง

ธรรมต้องชนะอธรรมไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ดี ทหารไทยที่รอดตายเกือบครึ่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่บ้างมีตะกรุดชุด 16 ดอก บ้างมีตะกรุดโทน บ้างก็ใช้เสื้อพระยันต์ราชสีห์สีแดงบ้างมีพระทุ่งเศรษฐีดำใหญ่ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และจำนวนทหารผู้รอดตายเหล่านั้นเชื่อว่าบรรดาเครื่องรางของขลังที่พวกตนมั่นใจในคุณขลังเหล่านี้มีส่วนช่วยชีวิตของตน

ทหารรุ่นศึกอินโดจีน และต่อมาในมหาสงครามโลก จนกระทั่งสงครามเกาหลี ส่วนมากมีความศรัทธานิยมบูชาสักการะต่อตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และเสื้อยันต์แดงราชสีห์ นำติดตัวเข้าสมรภูมิเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ

กองทัพไทยทั้งสามเหล่า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของกองทัพข้าศึก ไม่ว่าครั้งอินโดจีน มหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทำการรบเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด

มนต์ขลังและวิทยาคม เป็นเครื่องประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ศรัทธาสักการะ แคล้วคลาด ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก และบ้างเป็นมหาลาภ มหาเสน่ห์ มหานิยม ได้จริงจังแค่ไหนเพียงไรหรือไม่ หากจะพิสูจน์กันจริงจัง บางทีอาจจะกระทำได้ยาก เพราะอุปมาดุจดั่งเป็นอิทธิพลหรืออำนาจลึกลับอะไรทำนองนั้น จึงยากจะหาผู้ยืนยันท้าพิสูจน์เป็นผลแตกหัก..แต่อย่างไรก็ตาม ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในอิทธิพลบารมี ของความขลังศักดิ์สิทธิ์ในประการเหล่านี้ ก็มีอยู่ในความรู้สึกอย่างมั่นคงของชาวไทย ไม่เลือกชั้น วรรณะ มานานกว่าพัน ๆ ปี...ฉะนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จิตใจของคนนั้น


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-02.htm

1276
หลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ

เป็นผู้มีสัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง

เป็นผู้เปี่ยมด้วย ทมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด

เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

เป็นผู้มีภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย

เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี

เป็นผู้มีสมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง

เป็นผู้มีสุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า "คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด"... จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-02.htm

1277
ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการอบรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อสุภะ

อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตรงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อสุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อการรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ... ชีวิตหนอ... ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิด ว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ตลอดจนการท่องบ่นทบทวนวิทยาคมที่พระอาจารย์โพธิ์ประสิทธิ์ประสาทให้ไม่ย่อท้อ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า

ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่ง


คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-01.htm

1278
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

จวบจนกระทั่งอายุของหลวงพ่อจงอายุได้ 12 ปี บิดามารดาของท่านเห็นถึงอุปนิสัยของท่านว่ามีความชอบวัด ติดวัด จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณรซะเลย ณ วัดหน้าต่างใน และก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าเมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่รุมเร้ามานานแรมปี ไม่ว่าจะเป็นโรคพยาธิ ที่ทำให้เกิดอาการผอมโซ เซื่องซึม หูอื้อ นัยน์ตาฝ้าฟาง ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ท่านกลับกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพพลานามัยดีมาก และท่านก็มีความสุขในสมณเพศนั้น ดุจดั่งเป็นนิมิตหมายให้รู้ว่า หลวงพ่อจงจะต้องครองเพศอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปจนชีวิตจะหาไม่

ในปี พ.ศ. 2435 เมื่ออายุครบบวช โยมบิดามารดาจึงได้จัดพิธีอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมี หลวงพ่อสุ่น เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธสโรภิกขุ"

และหลวงพ่อจงก็ได้พนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดหน้าต่างใน ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา พร้อมด้วยฝึกฝนในอักษรสมัยทั้งขอมและไทย จากพระอาจารย์เจ้าอาวาสจนมีความรู้ปราดเปรื่องชำนาญ จนใคร ๆ ก็อดสงสัยมิได้ว่า เอ๊ะ ทำไมหลวงพ่อจง มิยังงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญาดุจดั่งที่มีบุคลิกอันอ่อนแอ ส่อสำแดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบ หรือ อับ

หลวงพ่อจง พลิกความเข้าใจของโยมและวงศ์ญาติให้เป็นการกลับตาลปัตรไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากศึกษารู้แจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือจนแตกฉานแล้ว มิช้ามินาน ยังสามารถรับการถ่ายทอดวิทยาการในแขนงว่าด้วยคุณเวทย์วิทยาคมขลัง จากพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสไพศาลในยุคนั้น มาได้ขนาดว่าหมดสิ้นพุงความรู้ของพระอาจารย์ และก็มิได้หยุดยั้งแค่นั้น หลวงพ่อจงยังได้พากเพียรแสวงหาความรู้ไม่ขาด รู้ว่าที่ไหนมีพระอาจารย์ดี มีผู้เคารพนับถือมาก ในวิชาหรือเจนจบในวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด ท่านเป็นเสาะแสวงหาหนทางนำตนไปนมัสการน้อมยอมเป็นสานุศิษย์ ศึกษาวิชาอย่างไม่มีท้อถอยไม่มีกลัวความลำบาก ในการต้องบุกป่าฝ่าหนามข้ามทุ่งไกล ๆ ซึ่งสมัยนั้นไปไหนต้องใช้พาหนะเท้าย่ำกันเป็นหลัก

ต่อมาจึงได้ไปศึกษาเรียนวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น เกจิอาจารย์ของวัดพิกุล ซึ่งท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์โด่งดังมากจนสมญาว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญญาวาสีผู้ยิ่งใหญ่รูปหนึ่งหมั่นศึกษาและพากเพียรด้วยอิทธิบาทอันแก่กล้าช้านาน

จนในที่สุด "ทั่ง" ถูกฝนลงเป็นเข็มสำเร็จ กาลต่อมา หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท อสุภปฏิกูล โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ

เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมสิกขา และปฏิบัติพระปริยัติธรรมศึกษาพระเวทย์และวิชาการคุณเวทย์วิทยาคม ซึ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีนิสัยส่วนตัวพอใจแล้ว ยังมีเหตุแวดล้อมจากความรู้สึกชมชื่นและศรัทธาของชาวบ้านชาวเมืองสมัยยุคนั้นให้ความนิยมต่อศาสตร์แขนงนี้ ดังจะเห็นจากมีผู้ถวายความเคารพศรัทธาต่อความเป็นพหูสูต ความยิ่งยงเกรียงไกรในอำนาจฤทธิ์มนต์ขลังของท่านพระครูโพธิ ท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งครั้งกระนั้นเป็นต้นสังกัดของหลวงพ่อจงจนล่วงผ่านวันเดือนไปหลายรอบปีนักษัตร ตราบจนพระอาจารย์โพธิได้ถึงมรณภาพไปเพราะโรคภัยเบียดเบียนตามอายุขัยของผู้ชราภาพ ประกอบด้วยหลวงพ่อจง เป็นผู้ขึ้นชื่ออยู่ในความรับรู้ของผู้ใกล้ชิด ทั้งใกล้ไกลตลอดมวลหมู่ผู้สนใจเฝ้าสังเกตว่า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการทางเวทย์วิทยาคมมาจากพระอาจารย์โพธิได้อย่างเต็มภาคภูมิ วุฒิที่พระอาจารย์โพธิมีอยู่ แต่นั้นมาบรรดาชาวบ้านก็ให้ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อหลวงพ่อจงอย่างท่วมท้น ทำให้ท่านต้องรับภาระหนักในการทำพิธีรดน้ำมนต์ ใช้เวทย์วิทยาคมกระทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้ฤกษ์งามยามดี บำบัดเหตุมิดีกาลีร้ายนานาประการ ตามแต่จะมีผู้มาอาราธนานิมนต์ให้โปรดจึงกระทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเงาตามตัว


คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-01.htm

1279
มีเรื่องที่เกี่ยวข้องในกระทู้เก่า
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=4041.0
================
เรื่องต่อไปนี้ค่อนข้างละเอียด(ยาว) อ่านสนุก ได้สาระ ความรู้เชิงธรรมะน่าติดตาม
คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-01.htm
และ
http://www.konmeungbua.com/teacher/teacher_jong/Lungpo_jong2.html

<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>

ชาติกำเนิด

หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415

นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรเดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"

ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจงท่านอยู่ในฐานะเฉกเช่นผู้อาภัพอับโชค อุดมไปด้วยทุกขโรคา มากกว่าความสุขร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป

หลวงพ่อจงท่านถูกโรคพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้มีรูปร่างค่อนข้างจะผอมโซ ไม่แข็งแรง หน้าตาซีดเซียว แถมยังมีอุปนิสัยค่อนข้างขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ถามมาคำก็ตอบกลับไปคำ และซ้ำร้ายไปกว่านั้นได้กลายเป็นที่น่าเวทนาสำหรับผู้พบเห็นและรู้จักมักคุ้นก็คือหลวงพ่อจงในวัยเยาว์ท่านมีอาการหูอื้อจนเกือบหนวกรับฟังเสียงต่าง ๆ ไม่ค่อยชัดเจน นัยน์ตาก็ฝ้าฟางมองอะไรแทบไม่เห็น

แต่ด้านของจิตใจท่านกลับเพียรใฝ่หารสพระธรรม ชอบทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะอยู่เป็นเนืองนิจ โดยให้บิดามารดาหรือญาติพี่น้องพอไปยังวัดหน้าต่างใน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก



1280
ห้ามร้าน”แทททู”ใช้สัญลักษณ์ศาสนาสัก
วันจันทร์ ที่ 30 พฤษภาคม 2554 เวลา 17:33 น  



วธ.สั่งผู้ว่าฯทั่วประเทศตรวจสอบร้าน”แทททู” ห้ามใช้สัญลักษณ์ศาสนาสักร่างกายนักท่องเที่ยว ชี้ทำลายศรัทธาปชช.

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ 1/2554 ว่า ที่ประชุม ได้หารือประเด็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการสักภาพ (Tattoo) พระพุทธรูปและรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอื่นๆ บนร่างกายที่จ.ภูเก็ต ซึ่งกระทรวงมอบหมายสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ตลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการ เบื้องต้นพบข้อมูลน่าตกใจว่าชาวต่างชาติสนใจสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป พระคเณศวร ไม้กางเขน  ไว้ตามร่างกาย เช่น แขน ขา ข้อเท้า หน้าอก ซึ่งไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงานในสังคมไทย และกระทบต่อความรู้สึก ความศรัทธาที่มีต่อศาสนา

นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อไปว่า  การให้บริการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากราคาแพงสูงสุด ถึง 20,000 บาทต่อภาพ  ทำให้ผู้ประกอบการนิยมให้บริการ ส่วนชาวต่างชาติเห็นว่าการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแฟชั่น ไม่ได้มองถึงความเคารพและอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ที่ประชุมมีมติให้แจ้งผวจ.ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ให้ตรวจสอบสถานประกอบการสักห้ามสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาบนร่างกาย รวมทั้งให้จัดประชุมชมรมผู้ประกอบการ ขอความร่วมมือโดยกระทรวงจะจัดทำข้อควรระวังการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ป้องกันปัญหาการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาที่ไม่เหมาะสมเชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ขอให้ผู้ใช้บริการใช้ภาพอื่นๆ สัก แทน

“ที่ประชุมเห็นว่า การสักประเภทนี้มีทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว อย่างถนนข้าวสาร ตะวันนา จตุจักร เชียงใหม่ ภูเก็ต  ดังนั้น ต้องช่วยกันควบคุม พบว่ากระทั่งสักบนศีรษะ ใบหน้า หรือขาก็ไม่ควร หากมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ไปนั่งกินเหล้า ทะเลาะวิวาท  ภาพนั้นก็จะติดบุคคลนั้นไปด้วย  ขณะเดียวกันบางศาสนา ก็ให้ความสำคัญของการสักภาพที่ไม่เหมาะสมมาก ถึงขั้นถ้าพบเห็นจะถูกประณาม  และเดินออกจากร้านไม่ได้ ขณะนี้ประมวลกฎหมายอาญาของไทยยังไม่บังคับ จึงต้องประสานความร่วมมือเพื่อหามาตรการควบคุม ผมจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ขอความเห็นชอบออกกฎหมายมาใช้บังคับโดยจะเอาผิดทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต่อไป ”รมว.วัฒนธรรม กล่าว

น.ส. ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวว่า  จากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ระบุว่ารูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของบบุคคล เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากนำไปสักบนเรือนร่างถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเรือนร่างของคนจะต้องนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ  ยิ่งพบเห็นการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มบุคคลที่ใช้เรือนร่างโชว์เป็นอาชีพเช่น อาชีพขายบริการ เต้นอะโกโก้ ยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อความรู้สึกต่อผู้ศรัทธา.


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=142051

1282
ขออนุญาตนำภาพที่เขาเรดาร์มาลงครับ


1283
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ ที่เมตตากรุณาสั่งสอน :054:

ขออนุญาตขยายความ โลกธรรม8
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โลกธรรม 8 (worldly conditions)

โลกธรรม คือ ธรรมดาของโลก, เรื่องของโลก, ธรรมที่ครอบงำโลก หรือธรรมที่มีประจำโลก หมายถึง ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมนี้ หรือทุกคนในโลกนี้ย่อมถูกโลกธรรมนี้กระทบทั้งนั้น ไม่มีใครพ้นไปได้เลย ยกเว้นพระอรหันต์ผู้อยู่เหนือโลกเท่านั้น โลกธรรมมี 8 ประการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกฝ่ายที่น่าปรารถนาและพึงพอใจ (อิฏฐารมณ์) และฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนาหรือไม่พึงพอใจ (อนิฏฐารมณ์)

ที่มา
http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/hungtoom/p3.php


1284
4/4

เมื่อได้ยินเสียงวิญญาณโต้ตอบกับท่านสมภารแล้ว รู้สึกวิญญาณที่ดุร้ายค่อยสงบลง และสุภาพมากขึ้น ไม่ดุดันเหมือนแรกๆ ที่พูดโต้ตอบกับฆราวาส ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นค่อยสบายใจขึ้น พวกข้าราชการผู้หญิงก็รีบจัดการตามที่วิญญาณต้องการ คือเลิกผ้าเหนือเข่าซ้าย ก็มองเห็นปานขาวอย่างที่ว่า และได้จัดการตามที่วิญญาณบอกทุกประการ

วิญญาณที่แฝงอยู่ในร่างของหญิงสาวก็ออกไปตามสัญญา ทำให้หญิงสาว กลับฟื้นคืนความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอย่างเดิม และตัวเองรู้สึกว่า วิญญาณในชาติก่อนตามพยาบาท ก็ไม่มีความสบายใจ เมื่อเข้าไปในโบสถ์ถวายผ้าองค์กฐินร่วมกับเพื่อนข้าราชการที่มาพร้อมกัน ก็ตั้งจิตแน่วแน่เพื่ออธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณอาฆาตผู้นั้น เพื่อไถ่ความผิดในครั้งอดีตชาติ

เมื่อการทอดกฐินได้สุดสิ้นแล้ว พวกข้าราชการทั้งหลายก็กลับพระนครร่วมกัน ด้วยจิตใจเศร้าหมอง เพราะต่างก็สงสารหญิงสาวที่ตกอยู่ในอำนาจพยาบาทของวิญญาณชั่วร้าย ก่อนกลับ ท่านสมภารให้ข้อคิดเตือนใจว่า

“จงสร้างความดีเพื่อชนะความชั่ว จะได้สิ้นสุดการจองเวร”

เมื่อสุภาพสตรีสาวสวยกลับมาถึงบ้านในพระนครเรียบร้อยแล้ว ก็รู้ตัวว่าวิญญาณอาฆาตได้ติดตามมาอยู่ในเขตบ้านตลอดเวลา บางครั้งเวลาดึกดื่นค่ำคืน จะได้ยินเสียงสุนัขพากันเห่าหอนอย่างโหยหวน เยือกเย็น น่าขนลุกขนพองอยู่เสมอมิได้เว้น บางครั้งพวกสุนัขก็พากันเห่าหอนเวลากลางวัน เป็นเสียงโหยหวนที่ชาวบ้านไม่อยากได้ยิน

ภายในบ้าน เหมือนจะปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความลี้ลับ บางครั้งจะเห็นภาพชายแขนด้วนเดินอยู่ในบริเวณบ้าน ทำให้ผู้รู้เรื่องและเคยเห็นเมื่อครั้งทอดกฐินที่วัดในจังหวัดสุพรรณบุรี ต่างก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า และหญิงสายแม้จะมีความหวาดกลัวเพียงใด แต่ก็ต้องพยายามทำตัวทำใจให้กล้า ชินต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีวิญญาณที่อาฆาตร้ายให้พ้นไปได้ แต่ก็พยายามทำบุญให้ทานสร้างความดี เพื่อจะอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำไปให้ทุกครั้ง เป็นทางเดียวที่จะให้วิญญาณคลายความพยาบาทลงได้

แม้ระยะหลังนี้วิญญาณอาฆาต จะมิได้แสดงกิริยาดุร้ายเหมือนเมื่อแรกๆ ที่แฝงอยู่ในตนก็ดี แต่หญิงสาวรู้สึกว่ามีสิ่งลี้ลับเป็นเงาที่คอยติดตามตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้หวาดกลัวและทรมานทางประสาท และจิตใจคอยผวาอยู่เสมอ แต่ก็คิดว่าจะอยู่ที่ไหนก็คงไม่พ้นวิญญาณอาฆาตติดตามไปได้ นึกว่าจะเชิญผู้มีอาคมขลังมาขับไล่ หรือจับใส่หม้อถ่วงน้ำ ก็จะเป็นเวรกรรมต่อไปไม่สิ้นสุด หญิงสาวคิดจะเอาความดี ชนะวิญญาณพยาบาทให้สุดสิ้นเวร สิ้นกรรม สุดสิ้นความพยาบาทต่อไป

คิดว่ามีทางเดียวเท่านั้นคือ สร้างบุญกุศล ทำความดีทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เช่น ทำสังฆทาน บวชคนให้เป็นพระ สร้างกุศลอื่นๆ และให้ทาน แล้วอุทิศกุศล และกรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้ มิได้คิดโกรธแค้น ตอบแทนวิญญาณอาฆาตด้วยความมุ่งทำลาย แม้จะมีอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลัง ขออาสาทำลายล้างวิญญาณอาฆาต หญิงสาวก็ไม่ยอมให้ทำ คิดว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดังที่ท่านสมภารเตือนไว้ ตั้งหน้าทำความดีชนะความชั่ว จงสร้างแต่กุศล เพื่อจะให้หลุดพ้นกรรมอันนี้ตลอดเวลา

ต่อมาคืนหนึ่ง หญิงสาวได้ฝันเมื่อจวนรุ่งแจ้งฟ้าสางว่า ชายแขนด้วนได้เดินเข้ามาหาหญิงสาวซึ่งนอนอยู่บนเตียง แต่คราวนี้ชายแขนด้วน มิได้แสดงกิริยาดุร้ายเหมือนอย่างคราวที่เคยเห็นที่แล้วๆ มา แต่กลับแสดงกิริยายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเอง แล้วพูดว่า

“เอาล่ะ คราวนี้ฉันเชื่อแล้วว่า เธอไม่ได้จงใจสั่งพวกบ่าวไพร่มาทำร้ายตัดแขนฉัน นับแต่ฉันได้กินเลือดจากใบลำใยแล้ว คำอธิษฐานจองร้ายฉันก็สุดสิ้นลง และทั้งเธอก็อดทนใจเย็น พยายามสร้างกุศลอุทิศให้ฉันมากมายแล้ว บัดนี้ แขนฉันได้ต่อติดอย่างเดิมแล้ว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เราสิ้นเวรหมดกรรมกันแล้ว ฉันขอขอบใจที่เธออดทนทำความดีชนะได้ ต่อไปนี้ขอให้เธอจงมีความสุข แขนฉันก็ติดต่อกันไปแล้ว ฉันจะมาขอลาเธอไปล่ะ เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดในโลกมนุษย์ต่อไป”

แต่แล้วหญิงสาวก็มองเห็นแขนทั้งสองข้างของชายผู้นั้น เกิดงอกขึ้นเป็นมือธรรมดาปกติอย่างน่าประหลาดอัศจรรย์ ทันใดนั้น ภาพชายผู้นั้นก็โปร่งแสงหายไปต่อหน้าทันที

เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นแต่เช้า เป็นวันแรกที่มีจิตใจผ่องใสสดชื่นกว่าทุกวัน เพราะรู้แน่ใจว่า ได้หลุดพ้นจากวิญญาณพยาบาทของชายแขนด้วน เพราะได้อโหสิกรรม ไม่ก่อเวรจองกรรมกันต่อไป

ภายในบ้านเข้าสู่ความเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่ต้องคอยหวาดกลัววิญญาณพยาบาท ซึ่งเป็นสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์อีกต่อไป นับแต่เริ่มสร้างความดีด้วยอำนาจกุศลกรรม และทานเป็นบารมี ที่หญิงสาวได้บำเพ็ญความดีตลอดมา ได้ทำให้ความแค้น ความพยาบาท ความอาฆาต ของวิญญาณชายแขนด้วน ได้ค่อยลดน้อยถอยและเบาบางลง

ทุกครั้งที่หญิงสาวได้แผ่ส่วนกุศล และเมตตาจิตไปให้ด้วยอำนาจของความดี มีศีลธรรม แผ่ไปถึงวิญญาณอาฆาตทุกคืนทุกวัน ที่สุดความดีก็ชนะความพยาบาทอาฆาต และก็จบลงด้วยการอโหสิกรรม เหตุการณ์ร้ายก็กลายเป็นดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย :015:


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188
....................................................................
คัดลอกมาจาก
http://www.lekpluto.com/winyan.html

1285
3/4

พูดแล้ววิญญาณก็หัวเราะอย่างแค้นๆ แม้จะมีข้าราชการผู้ใหญ่ได้ร้องขอให้พักการแก้แค้นไว้ก่อน ขอเวลาให้หญิงสาวได้มีโอกาสสร้างความดี ทอดกฐินให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ค่อยมาเจรจาใหม่ วิญญาณขายผู้แรงด้วยความพยาบาทอาฆาตก็ไม่ยอม แม้จะพูดจาอย่างไรก็ไม่เกิดผล และไม่ยอมออกจากร่างหญิงสาวที่วิญญาณของตนแฝงอยู่

เสียงโจษจันจากหมู่ชาวบ้านที่มาอนุโมทนา และมาดูงานกฐินวันนั้นมากมาย ต่างก็โจษกันต่อ ๆ ไปว่า ผู้หญิงสวยที่แสดงเป็นนางเอกลิเกเล่นเก่งเมื่อคืนนี้ ได้ถูกผีเข้าเสียแล้ว เวลานี้อาละวาดอยู่ใต้ต้นลำใย พวกที่มาด้วยกันหมดปัญญา กำลังจะเที่ยหาคนที่มีวิชาหรือพวกหมอผีมาจัดการ พวกที่ขวัญอ่อนเมื่อได้ยินว่าผีเข้าก็กลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ถอยห่างออกไปเพราะเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว

ส่วนพวกที่มีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญ ก็อยากรู้อยากเห็น และพวกที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง และคิดว่าผีไม่มีในโลก ก็ไปคอยจับผิดคิดว่าคงจะแกล้งทำ จึงเข้าไปมุงดูคอยซักถามร่างของหญิงสาว ต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันเป็นธรรมดา

เรื่องโจษขานนี้ได้ยินถึงท่านเจ้าอาวาสซึ่งกำลังครองผ้า จะเข้าโบสถ์รับผ้ากฐิน ท่านจึงรีบตรงไปที่ใต้ต้นลำใยข้างโบสถ์ เมื่อท่านเดินลงมาจากกุฏิ ก็มีโยมมานมัสการท่าน และขอร้องให้ท่านช่วยปราบ ช่วยขับวิญญาณร้ายที่สิงในร่างของหญิงสาว ท่านสมภารหัวเราะ พลางพูดว่า

“อาตมาเป็นสงฆ์ ไม่มีคาถาอาคมที่จะปราบผี ไล่ผี มีแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาจะลองขอร้องดู จะได้ผลเพียงไรก็ไม่แน่ใจ”

เมื่อท่านเดินมาใกล้ต้นลำใย พวกห้อมล้อมหญิงสาวที่ถูกวิญญาณแฝงร่าง เห็นท่านสมภารมาต่างก็ดีใจ พากันก้มลงนมัสการ แล้วต่างก็หลีกทางให้ท่านได้เข้าไปใกล้ พอที่จะโต้ตอบกับร่างของหญิงสาว สิ่งที่แปลก คือ ร่างที่วิญญาณเข้าแฝงนั้น ก้มลงกราบท่านสมภารด้วยความเคารพ แล้วถามว่า

“ท่านเป็นขีบานาสงฆ์ จะมาจับผมถ่วงน้ำหรือ”

ท่านสมภารยิ้มอย่างใจดีแล้วพูดว่า

“อาตมาเป็นสาวกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้าย ที่จะไปเที่ยวจับวิญญาณใดถ่วงน้ำหรอก อาตมามีศีล ทำเช่นนั้นไม่ได้ มีแต่ความเมตตา อยากให้สัตว์โลกทั้งหลายอยู่ด้วยความสงบสุข”

เสียงวิญญาณในร่างหญิงสาวหัวเราะแล้วก็พูดอีกว่า

“ผมเคารพนับถือท่านหลวงพ่อ แต่จะให้ผมอโหสิกรรมผู้หญิงคนนี้ ผมยอมไม่ได้ ผมได้พยายามเฝ้ารอคอยมาช้านานแล้ว จะต้องขอดื่มเลือดของเขาให้ได้ จึงจะหายแค้น ขอหลวงพ่ออย่าได้มายุ่ง ขออะไรจากผมในเรื่องผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะผู้หญิงคนนี้ ทำให้ผมแค้นพยาบาท เกินที่ผมจะอโหสิกรรมให้”

เมื่อได้ยินวิญญาณในร่างสาวสวยพูดเช่นนั้น ท่านสมภารก็มิได้โกรธ พูดอย่างผู้มีเมตตาจิต มิได้ใช้อำนาจข่มขู่ แล้วพูดว่า

“อาตมาเป็นสงฆ์ และปกครองวัดนี้ ก็อยากให้ทุกคนที่ตั้งใจมาทอดกฐินครั้งนี้อยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้ ชาวพระนครเขาจะมาทอดกฐินที่วัดอาตมาปกครอง แต่เกิดวิญญาณอาละวาดอาฆาตจองเวรขึ้น ซึ่งเป็นเวลาทีกำลังมีผู้มาประชุมกันหนาแน่น เพื่อจะสร้างความดีเป็นมหากุศล อาตมาอยากจะขอร้องให้พักการอาฆาตไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อให้สีกาผู้นี้ได้ทำบุญสร้างกุศลเสียก่อน ภายหลังจะตกลงกันอย่างไร ขอให้หลังงานกฐินเสร็จเรียบร้อย อาตมาขอเพียงแค่นี้ หวังว่าคงจะเห็นแก่อาตมาบ้าง อาตมาขอบิณฑบาตชั่วระยะที่ทอดกฐินให้เสร็จแล้ว ให้ชาวกรุงเทพฯ กลับเท่านั้น อาตมาขอบิณฑบาตแค่นี้”

วิญญาณที่แฝงอยู่ในร่างของหญิงสาวนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็พูดเสียงห้าวๆ ขึ้นว่า

“เมื่อท่านเป็นผู้ทรงศีลขอบิณฑบาตยืดเวลาออกไป ผมก็จะให้ แต่จะให้อโหสิกรรมนั้น ผมให้ไม่ได้ มันจะต้องจองเวรกันต่อไปอีกกี่ชาติผมก็ยอม เพราะผมมีความแค้นเกินที่จะนึกอะไรอีก แต่ถ้าหากท่านจะปฏิบัติตามที่ผมต้องการ โดยเอาเลือดผู้หญิงคนนี้ทาใบลำใยสามใบ แล้วเหน็บไว้ที่คบไม้บนต้นลำใยนี้”

ท่านสมภารสงสัย จึงถามวิญญาณในร่างหญิงสาวว่า

“ทำไม จะต้องให้อาตมาทำเช่นนั้นล่ะ ทางอื่นไม่มีหรือ อาตมาเป็นสงฆ์ เพียงแต่จะขอร้องให้ออกจากร่างของสีกาเท่านั้นก็ได้นี่นา”

เสียงวิญญาณพูดว่า “ถ้าท่านไม่จัดการตามข้อเรียกร้องของผมก็จนใจ ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้อีก”

ท่านสมภารนั่งนึกครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าการขอไม่เป็นอันตรายต่อสีกาผู้น่าสงสารนี้แล้ว อาตมาจะบอกเขาให้จัดการให้”

เสียงวิญญาณพูดอย่างสบายใจว่า “ถ้าท่านให้เขาทำตามผมได้ ขอสัญญาว่าผมจะออกจากร่าง และขอบอกให้ทราบว่า หญิงผู้นี้ที่เหนือเข่าซ้าย จะมีปานขาวเป็นรูปหัวใจ ถ้าได้เอาเข็มแทงลงกลางใจปานขาวรูปหัวใจ แล้วเอาเลือดทาที่ใบลำใย ๓ ใบ ตามที่ผมต้องการ แล้วผมจะออก แต่ผมไม่ยอมอโหสิกรรมให้”


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188

1286
2/4

รุ่งขึ้นเป็นวันทอดกฐิน ทางคณะกรรมการทอดกฐินได้ให้เกียรติแก่นางเอก ที่มีผู้ยกย่องกล่าวขวัญถึงว่า แสดงเป็นนางเอกลิเกได้ดีเยี่ยม โดยให้เป็นผู้อุ้มไตรครององค์กฐินเดินแห่รอบโบสถ์ แต่เมื่อขบวนยังเดินไม่ครบ ๓ รอบ หญิงสาวผู้นั้นก็รู้สึกมึนศีรษะและวิงเวียน อ่อนเพลียคล้ายจะเป็นลมเพราะเหน็ดเหนื่อย จึงรีบมอบไตรครององค์กฐินให้ผู้อื่นอุ้มแทน เพื่อแห่รอบโบสถ์ต่อไปให้ครบ ๓ รอบ ตามระเบียบ

ส่วนหญิงสาวผู้นั้นก็ออกมานั่งพักข้างนอก บริเวณใต้ต้นลำใยเพื่อพักให้หายความวิงเวียนคลื่นเหียน พวกเพื่อนที่ไปด้วยพากันคิดว่า อาจเป็นการกรำงานมากเกินไป ขาดการพักผ่อนนอนไม่พอ เพราะต้องแสดงเป็นตัวนางเอกลิเก และต้องนอนดึก เวลานอนน้อย จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยง่ายเป็นธรรมดา

เมื่อหญิงสาวเข้าไปพักผ่อนใต้ต้นลำใย ทันใดนั้นก็ร้องกรี๊ดดังลั่นสุดเสียง คล้ายกับตกใจกลัวอย่างหนัก และฟุบสลบลงที่ตรงนั้น พวกเพื่อนร่วมงานและที่ไปด้วยพากันตกใจ ต่างเข้าไปช่วยกันแก้ไขตามมีตามเกิด

แต่แล้วเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา กิริยาท่าทางก็เปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิม กลับแสดงกิริยาดุร้ายขึงขังทันที มีกำลังแรงเกินมนุษย์ธรรมดา ซึ่งผิดกับหญิงสาวเอวบางร่างน้อย ท่ามกลางผู้คนที่มาชุมนุมในงานมากมาย หญิงสาวได้แสดงกิริยาท่าทางอาละวาด มีข้าราชการชายเข้าไปช่วยจับ เพื่อให้อยู่ในความสงบ ไม่ให้แสดงกิริยาอาละวาด เพราะในเวลานั้น เป็นเวลางานบุญ แต่ก็ไม่สามารถจะทานแรงได้ ต้องช่วยกันจับหลายคนเพื่อให้อยู่ในอาการสงบ ไม่ให้ดิ้นรนแสดงกิริยาดุร้ายฮึดฮัด เพราะพิธีทอดกฐินยังไม่ได้เริ่มทอด และผู้คนต่างตกตะลึง หันมาสนใจกับหญิงสาวผู้นี้

ทันใดนั้นเอง เสียงห้าวๆ ก็พูดออกจากปากของหญิงสาว เป็นเสียงคำรามอย่างน่ากลัวว่า

“ข้าคอยเอ็งมานานตั้ง ๓๗ ปี แล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสวันนี้ ข้าจะได้แก้แค้นกินเลือดเอ็งให้ได้ ข้าแค้นใจนัก” และก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นในคนเดียวกันว่า

“อย่าตามมาจองเวรจองกรรมเลย ไปสู่ที่ชอบเถิด”

แล้วก็มีเสียงผู้ชายห้าวๆ กัดฟันอย่างโกรธแค้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอ็งทำกับข้า เอ็งไม่คิดเลย ขาดความเมตตาสงสาร ทำให้ข้ายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด เพราะยังไม่ได้แก้แค้น กินเลือดของเอ็ง”

แล้วเสียงผู้หญิงก็พูดอย่างเสียงสั่นเพราะความกลัว พูดว่า “อย่าเอาชีวิตฉันเลย ฉันกลัวแล้ว อโหสิกรรมให้ฉันเถิด ฉันกลัวแล้ว”

เสียงผู้หญิงอ้อนวอนสะอื้นไห้ต่อไปว่า “อโหสิกรรมให้ฉันเถิด ฉันกลัวแล้ว” เสียงผู้ชายพูดอย่างดุดันว่า “ไม่ได้ ข้าไม่ยอมอโหสิกรรมให้แก่เอ็งเป็นอันขาด ถึงเวลาของข้าแล้ว”

ทันใดนั้น มีข้าราชการผู้ใหญ่หลายท่านได้เข้าไปพูดขอร้องกับวิญญาณที่แฝงในร่างของหญิงสาวว่า “เจ้าเป็นใคร ทำไมจึงมาแฝงร่างของผู้ที่กำลังจะสร้างบุญสร้างกุศล งานทอดกฐินครั้งนี้”

เสียงผู้ชายในร่างหญิงสาวก็พูดขึ้นว่า

“ข้ามีความแค้น เพราะความอาฆาตผู้หญิงคนนี้มาแต่ชาติก่อน ผู้หญิงคนนี้ เมื่อชาติก่อน มันเกิดเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สินเงินทองไร่นาสาโทมากมาย เป็นคนมีอิทธิพลมาก ข้าทำผิดหนีมาถึงวัดนี้ แต่มันได้ให้คนติดตามมาตัดแขนของข้าทั้งสองข้างแค่ข้อศอก ทำให้ข้าแค้นใจ ก่อนข้าจะตาย จึงอธิษฐานว่า ข้าจะขอแก้แค้นดื่มเลิอดให้สมกับความแค้นให้จงได้”

แต่แล้วเสียงผู้หญิงก็พูดขึ้นว่า “ไม่จริง ฉันไม่ได้สั่งไปฆ่าไปแกงตัดตีนตัดมือ ฉันสั่งให้ไปจับตัวพามา อย่าให้หนีไป เพราะแกเป็นบ่าว มีความผิด”

เสียงวิญญาณนั้นหัวเราะก้อง แล้วคำรามออกมาอย่างน่ากลัวว่า

“ถ้าเอ็งไม่สั่ง อ้ายพวกไพร่ขี้ข้ามันจะมาทำข้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับตัดแขนทั้งสองข้าง เอ็งอย่ามาแก้ตัว ถึงอย่างไรเอ็งก็ไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปได้ ถึงเอ็งจะสั่งหรือไม่สั่ง เอ็งเป็นนาย อ้ายพวกนั้นเป็นบ่าวและเป็นขี้ข้า เอ็งก็ต้องรับผิดชอบวันยังค่ำ บัดนี้เอ็งจนมุมแล้วซิ ถึงพยายามแก้ตัว อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยเอ็งให้พ้นเงื้อมมือข้าได้”


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188

1287
1/4

วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ
โดย พ. สุธา
จากหนังสือ “ตายแล้วไปไหน” เล่มที่ ๔๑

เรื่องราวลี้ลับมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์ มีมากมายยิ่งนัก ยากที่จะหยิบยกมาให้ผู้อ่านได้อ่านทั้งหมด แต่ก็เพียงเสี้ยวหนึ่งของบางเหตุการณ์ มาเปิดเผยสู่สายตาของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ซึ่ง คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ผู้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ได้เหลือเพียงแค่ผลงาน และคุณความดีที่มีเจตนาจะให้ผู้อ่านละชั่ว ทำดี ดังเรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

เมื่อก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้า (หมายถึง คุณ ท.เลียงพิบูลย์) ได้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหาร จะเป็นด้วยมีผู้มาเล่าให้ฟังก็ดี หรือเป็นจดหมายฉบับบันทึกส่งมาก็ดี ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อพิจารณาว่าควรจะเขียนขึ้นหรือไม่ เมื่อเขียนขึ้นแล้ว ผู้อ่านจะมีความรู้สึกอย่างไร บางท่านอาจพูดไปในทางอกุศล แม้ข้าพเจ้าเอง รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกสิ่งที่ลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ได้ ยังมีอยู่ในโลกอีกมากมาย

บางเรื่องยังมีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วย้ำว่า ท่านได้ประสบด้วยตนเอง เมื่อได้ฟังจบแล้ว ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิด แล้วตอบท่านได้อย่างเต็มปากว่า “เรื่องนี้สำหรับผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้ต้องรอเอาไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แม้ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญ ฉะนั้น มนุษย์เราจึงมุ่งหน้าหันไปเอาใจใส่ ตื่นเต้นหลงใหลในความเจริญทางวัตถุใหม่ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

คนส่วนมากพากันคิดว่า ทุกอย่างต้องมีเหตุผล โลกเราอยู่ด้วยเหตุผล และไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ อย่างพิสูจน์ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อแน่ว่า วันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีผู้หันมาสนใจในเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับอภินิหารหรือตายแล้วเกิด เมื่อนั้นแหละ สิ่งลี้ลับอย่างนี้ คงจะค่อยๆ คลี่คลายเผยความจริงออกมา แต่เวลานั้น เห็นจะเป็นอนาคตอันใกล้นี้”

เรามาพิจารณาสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์กันดูว่า ในโลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย เพื่อจะชี้ให้เห็น “กรรม” ของมนุษย์ที่ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะยุคอดีตชาติ หรือในยุคปัจจุบัน ย่อมจะเกิดผลเมื่อได้ติดตามมาทัน

และเพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่า มนุษย์เมื่อตายแล้วเกิดนั้น เป็นสิ่งแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ให้สงสัย เราต้องได้กลับมาเกิดอีกแน่เพื่อใช้กรรม เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เพียง ๓ ปี ในเตือนตุลาคม ใน จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่เกิดวรรณคดีที่มีชื่อ นับแต่โบราณตลอดมา เป็นที่รู้จักของคนไทยทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คือเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน”

ในครั้งนั้นมีกรมหนึ่งของกระทรวงที่ใหญ่โต ไม่แพ้กระทรวงทั้งหลาย ได้มีการทอดกฐินวัดหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นกฐินพระราชทาน และทอดที่วัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนั้น (เข้าใจว่า เป็นวัดป่าเลไลยก์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นโท - อ.เล็ก พลูโต)

งานกฐินพระราชทานครั้งนั้น มีข้าราชการทั้งหญิงและชายในกรมนั้น นับแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนชั้นผู้น้อย และยังมีชาวต่างประเทศที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย นับว่าเป็นงานกฐินครั้งใหญ่ที่เด่นในสุพรรณบุรีในปีนั้น

ก่อนวันทอดกฐินในคืนหนึ่ง ทางคณะกรรมการกฐินของกรมได้จัดงานการละเล่น ฉลององค์กฐิน ท่านรองอธิบดีให้ชื่อการแสดงว่า “ว.ส.ม. บันเทิง” เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ดของข้าราชการหญิงชายร่วมกันสนุกสนาน มีประชาชนชาวบ้าน อุ้มลูกจูงหลานมาชมการแสดงมากมาย

การแสดงที่นับว่าแสดงได้ดีเด่นในคืนนั้น ก็ได้แก่ การแสดงลิเก ซึ่งเป็นที่ยกย่องชมเชยว่า แสดงได้ดีมาก ท่ามกลางสายตาของข้าราชการในกรม และญาติมิตรชาวพระนคร ที่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย พร้อมทั้งชาวสุพรรณฯ เป็นจำนวนมากมาย พูดต่อๆ กันออกไปว่า ลิเกชุดนี้เขาเล่นดีจริงๆ แสดงได้ถึงอกถึงใจ โดยเฉพาะนางเอกนั้นสวยมาก กิริยาวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งแสดงได้ดีเท่าหรือดีกว่าลิเกอาชีพบางคณะเสียอีก ทั้งที่เป็นลิเกบรรดาศักดิ์สมัครเล่น ร้องรำไม่เคอะเขิน

ต่างก็วิจารณ์กันตามความรู้สึกของตน และชาวชนบทที่ชอบดูลิเกอยู่เสมอ เลยเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเมือง กล่าวขวัญถึงแต่เรื่องลิเก ส่วนการแสดงเบ็ดเตล็ดอื่นๆ แม้จะแสดงได้ดี ก็ไม่ค่อยสนใจกันมากนัก


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188

1288

ปัจจุบัน ในพระอุโบสถวัดใหญ่ ด้านหน้าขวามือขององค์พระประธาน ยังมีรูปหล่อของสมเด็จฯ แตงโม ซึ่งเชื่อกันว่า น่าจะเป็นงานประติมากรรมตัวบุคคลแบบเหมือนจริงชิ้นแรกในประเทศไทย


เบื้องหน้าองค์พระประธานในพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม นอกจากมีรูปหล่อเหมือนท่านสมเด็จเจ้าแตงโมแล้ว ข้างเคียงถัดออกไปเลยหนึ่งช่วงแขนเล็กน้อย ยังปรากฎรูปหล่อลักษณะคล้ายคลึงกันอีกองค์

ขอบคุณที่มา และอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
http://www.thaitransport-photo.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5623

1289

บ้างก็เรียก....พระพุทธรูปมี 11 นิ้ว

ขอบคุณที่มา
http://anoppol.blogspot.com/


1290
เรื่องที่เกี่ยวข้อง


พระพุทธรูปมีพระบาทเพียง 9 นิ้ว

วัดเขายี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ มีพระบาท 9 นิ้ว (เล่ากันว่านิ้วที่ 10 อยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งอยู่ใน Unseen Thailand โครงการ 2 พระพุทธรูปมีนิ้วพระบาทจำนวน 11 นิ้ว) นอกจากนี้ พระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์นี้ ยังประดิษฐานอยู่บนยอดเขาเพียงลูกเดียวของจังหวัดอีกด้วย


การเดินทาง : ไปตามถนนพระราม 2 ประมาณกิโลเมตรที่ 72 จะเห็นปั๊มน้ำมัน ปตท. ซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายตามป้ายบอกทางเข้าวัดเขายี่สาร ตรงเข้าไปประมาณ 7 กิโลเมตร

ที่มา
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=free4u&month=12-03-2011&group=81&gblog=148

1291

ด้านหลังพระประธาน เป็นพระพุทธรูปที่มีนิ้วพระบาท ๖ นิ้ว
เรียกกันว่า "พระหกนิ้ว"




วัดใหญ่สุวรรณารามเป็นวัดเก่าแก่และสำคัญมากของจังหวัดเพชรบุรี สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นแหล่งรวมฝีมืองานช่างที่ปราณีต อ่อนช้อยและงดงามของชาวเพชรบุรีไว้มากมาย
ภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญหลายอย่าง ในภาพเป็นสระน้ำและมีหอไตรอยู่กลางน้ำ


หอไตรมีเสา 3 ต้น (อาจเห็นไม่ชัดนัก)
เสาเดิมเป็นไม้ แต่ผุพังลง ปัจจุบันเลยใช้เสาปูน
เสา 3 ต้นเป็นสัญญลักษณ์หมายถึง "พระอภิธรรม พระวินัย และพระสูตร"
ซึ่งรวมเรียกว่า "พระไตรปิฎก"

ขอบคุณที่มา
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tonight&id=5196&page=1&page_limit=50




1292

พระประธานภายในพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม อ.เมือง จ.เพชรบุรี 

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/phaen/2009/06/26/entry-1

1293
.พระพุทธรูปมหัศจรรย์

.........เป็นเรื่องราวที่เล่ากันมานาน หากจะนับระยะเวลากันแล้ว มันก็ไม่ต่ำว่าร้อยปีขึ้นไป ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระพุทธรูปองค์ดังกล่าว มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันมาก นามที่เรียกขานพระพุทธรูปองค์นั้นก็คือ หลวงพ่อหกนิ้ว
หลวงพ่อหกนิ้วแต่ชาวบ้านบางคนเรียกท่านว่า"พระหิ้วนก" ซึ่งเป็นคำผวนมาจากคำว่า "พระหกนิ้ว" นั่นเอง

ประวัติของวัดใหญ่สุวรรณาราม
.........วัดใหญ่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากทีเดียว จากพระราชหัตถ์เลขาในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้บันทึกเอาไว้ว่า…
"ผู้ใดออกมาเที่ยวเมืองเพชรบุรี มีน้ำใจที่จะดูการช่าง จะหาที่อื่นดูให้ดียิ่งกว่าวัดใหญ่เป็นไม่มี"
แสดงให้เห็นว่า ฝีมือช่างที่ปรากฏอยู่ ณ วัดใหญ่ จังหวัดเพชรบุรี มีความงดงามเป็นอันมาก
ชื่อเดิมของวัดใหญ่สุวรรณาราม
เดิมทีวัดใหญ่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่าวัดน้อย ต่อมาเมื่อพระสุวรรณมุนี หรือที่เรารู้จักท่านในนามของสมเด็จพระสังฆราชแตงโม ได้มาทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดน้อย ท่านมีความเห็นว่าควรที่จะเปลี่ยนชื่อวัดแห่งนี้เสียใหม่ จากชื่อเดิมมาเป็นชื่อ "วัดใหญ่สุวรรณาราม"
พระอุโบสถไม่มีช่องหน้าต่าง
พระอุโบสถของวัดใหญ่สุวรรณารามมีความโดดเด่นอยู่ตรงที่ ไม่มีการเจาะช่องหน้าต่าง

ตามความนิยมของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง แต่ที่น่าสังเกตก็ตรงบริเวณประตู ซึ่งมีทางเข้าอยู่ 3 ช่อง
 และประตูช่องกลางอยู่สูงกว่า โดยที่ไม่มีบันไดทางขึ้นจากด้านนอก
ทางสำหรับเทวดา
คนสมัยก่อนได้เล่าขานกันต่อๆ มาว่า การที่ประตูช่องกลางอยู่สูงกว่า และไม่มีบันไดสำหรับขึ้น เป็นเพราะว่าประตูช่องนั้นสร้างสำหรับเทวดาใช้เหาะเข้ามาเพื่อถวายมนัสการพระประธานที่อยู่ภายใน

พระประธานมีความงดงามที่สุด
.........ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งเป็นพระประธานปูนปั้นลงรักปิดทอง ที่มีความงดงามตามลักษณะของการสร้างพระพุทธรูป ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง และยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก

หลวงพ่อหกนิ้ว
หลวงพ่อหกนิ้วตามตำนานได้มีการบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ว่า แต่เดิมหลวงพ่อหกนิ้วได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดหัวสนาม ซึ่งมีสภาพเป็นวัดร้าง อยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดใหญ่สุวรรณาราม

ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหกนิ้ว
ชาวจังหวัดเพชรบุรีเป็นจำนวนมาก ต่างมีความเชื่อว่าหลวงพ่อหกนิ้ว มีอิทธิฤทธิ์สามารถช่วยดลบันดาลปัดเป่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับพวกชาวบ้าน อีกทั้งยังให้โชคลาภกับพวกชาวบ้านที่มากราบมนัสการท่านอยู่เนื่องๆ บางคนมีคดีความถูกคดโกงไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อมา กราบไหว้หลวงพ่อหกนิ้ว ท่านก็จะช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหนือคำบรรยายยิ่งนัก

ประสบการณ์เหลือเชื่อ
..........มีเรื่องเล่ากันว่าหลายปีมาแล้ว มีนักการเมืองคนหนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหกนิ้ว ทำให้นักการเมืองผู้นั้นต้องการมากราบมนัสการ เพื่อให้ชีวิตหน้าที่การงานมีความเจริญก้าวหน้า เมื่อมาถึงวัดใหญ่สุวรรณารามก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เจ้าหน้าที่ของวัดได้ปิดประตูพร้อมใส่กุญแจอย่างแน่นหนา นักการเมืองผู้นั้นจึงเข้าไปภายในวิหารไม่ได้
ด้วยจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธาในองค์ของหลวงพ่อหกนิ้ว นักการเมืองผู้นั้นจึงได้ก้มลงกราบที่หน้าประตูวิหาร พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ พระภิกษุรูปนั้นได้เอ่ยขึ้นว่า โยมมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใด นักการเมืองผู้นั้นตอบว่า กระผมต้องการมากราบหลวงพ่อหกนิ้วขอรับ แต่น่าเสียดายที่มาช้าไป จึงเข้าไปภายในวิหารไม่ได้

พระภิกษุรูปนั้นได้กล่าวตอบว่า ด้วยดวงจิตอันแน่วแน่ของโยมที่มีอยู่ เพียงโยมกราบไหว้ด้วยใจศรัทธา หลวงพ่อหกนิ้วท่านก็รับรู้การกระทำของโยมแล้ว พูดจบพระภิกษุรูปนั้นก็เดินจากไป นักการเมืองผู้นั้นสังเกตว่าที่เท้าด้านขวาของท่านมีนิ้วเท้า 6 นิ้ว
.........วันรุ่งขึ้นเขาจึงเดินทางกลับมาที่วัดใหญ่อีกครั้ง และได้สอบถามพระภิกษุภายในวัดว่า มีพระภิกษุที่มีนิ้วเท้าข้างขวา 6 นิ้วจำพรรษาอยู่ในวัดนี้บ้างหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีพระภิกษุดังกล่าวอยู่ในวัดใหญ่สุวรรณารามแม้แต่องค์เดียว
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะมีหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับลงข่าวนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า พระภิกษุหกนิ้วท่านมาจากไหน?

ปาฏิหาริย์รูปหล่อสมเด็จแตงโม
มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า การสร้างรูปหล่อของพระสังฆราชแตงโม หรือสมเด็จแตงโมเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้ว่าช่างจะเป็นผู้ที่มีความสามารถมาจากในวังก็ตาม ร้อนถึงเทวดาที่มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาอยู่ภายในพระวิหาร ได้ทำแปลงร่างเป็นแป๊ะแก่มาช่วยสร้าง รูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราชแตงโมจึงแล้วเสร็จ

.........ยามใดที่จังหวัดเพชรบุรีเกิดฝนแล้ง ชาวบ้านได้รับความทุกข์ ไม่มีน้ำท่ามาบริโภคใช้สอย พวกชาวบ้านจะทำการอัญเชิญ รูปหล่อของพระสังฆราชแตงโม แห่รอบตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ทันทีที่พิธีการแห่สิ้นสุดลง ฝนฟ้าก็จะตกกระหน่ำลงมาทันที
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปหกนิ้ว ความศักดิ์สิทธิ์ของรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชแตงโม ทำให้วัดใหญ่สุวรรณาราม มีผู้คนหลั่งไหลมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

ที่มา
http://www.oocities.org/tongdanl/T3.htm

1294
เรื่องจริงหรือสิ่งลวงโลก ???

.........ได้รับการติดต่อจากคุณปราณี ดวงรัตน์ เธอเขียนประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นมาให้ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ
เนื้อความในจดหมายเขียนมาเล่าให้ฟังว่าเธอเป็นคนจังหวัดอยุธยา มีพี่น้อง 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คน เธอเป็นคนสุดท้อง แต่ก่อนเธอเป็นคนไม่เชื่อเรื่องของไสยศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เวลาที่ได้ยินใครพูดเรื่องผีๆ สางๆ เธอก็มักจะมองคนที่เล่าด้วยสายตาและความรู้สึกที่ดูแคลน ทำนองว่าเป็นคนโง่เขลางมงาย

.........แต่เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา (ปี 2544) ครอบครัวของเธอได้เดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ คุณปราณีนั่งรถคันเดียวกับคุณพ่อและคุณแม่ ส่วนพี่ชายทั้งสองคนขับรถอีกคันไป จุดนัดพบก็คือโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว คุณปราณีได้บอกชื่อโรงแรมนั้นมาด้วย แต่ผมขอละเว้นที่จะกล่าวถึง

คุณปราณีได้พักห้องเดียวกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อและพวกพี่ๆ ของเธอพักอยู่อีกห้องหนึ่ง พอทำการเช็กอินเป็นที่เรียบร้อย คุณปราณีก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ของเธอนั่งรอพี่ชายอยู่ที่ล็อบบี้ของทางโรงแรม
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จสรรพ คุณปราณีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ในขณะนั้นเธอก็เห็นคุณแม่เดินเข้ามาในห้อง .........คุณปราณีได้ถามคุณแม่ว่าพวกพี่ๆ มาถึงแล้วรึ พอจบคำถามก็มีเสียงตอบกลับมาว่าพวกมันมาไม่ถึงหรอก คุณปราณีรู้สึกแปลกใจในคำพูดประโยคนั้นมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จากนั้นเธอก็ลงมาที่ห้องล็อบบี้  

คุณปราณีได้เล่าให้ฟังว่าใจของเธอหายวาบ เมื่อพบคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอนั่งอยู่ด้วยกัน คำถามที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงที่เข้าไปในห้องเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร ?
ความเข้าใจของเธอก็คือ เธออาจจะตาฟาดไปก็ได้ !!!
เวลาแห่งการรอคอยพี่ชายทั้งสองมันช่างเนินนานเหลือเกิน คุณพ่อพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับพี่ชายเธอแต่ติดต่อไม่ได้ สัญญาณเรียกแต่ไม่มีคนรับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ทุกคนเริ่มกระวนกระวายจนนั่งไม่ติด คุณพ่อตัดสินใจโทรไปเช็คกับตำรวจทางหลวง ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า
.........ตำรวจทางหลวงทำการตรวจเช็คอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบกลับมาว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 3 ราย แต่มีรายหนึ่งมีความรุนแรงมาก ผู้ขับขี่กับคนโดยสารเสียชีวิตทั้งสองคน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงก็ได้แจ้งชื่อผู้เสียชีวิตให้ทราบ คุณพ่อถึงกับโทรศัพท์ตกจากมือ ท่านช็อกแน่นิ่งไปนาน ส่วนคุณแม่เมื่อทราบเรื่องถึงกับเป็นลมล้มทั้งยืน
พี่ชายของคุณปราณีทั้ง 2 คนประสบอุบัติเหตุ ชนเก๋งที่ขับยางหน้าระเบิด ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ จากนั้นก็มีรถบรรทุกทรายวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วหยุดไม่ทัน จึงได้พุ่งเข้าชนอย่างแรง ทำให้รถกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร การชนในครั้งหลังนี้เอง ที่ทำให้พี่ชายทั้ง 2 คนเสียชีวิตเพราะแรงกระแทก

สงกรานต์สำหรับคนอื่นๆ อาจจะเป็นงานรื่นเริง แต่สำหรับครอบครัวของคุณปราณี ..........สงกรานต์ในปีนี้มันกลายเป็นสงกรานต์แห่งความสูญเสียที่ใหญ่หลวง คุณปราณีนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ เริ่มตั้งแต่เธอเห็นผู้หญิงเดินเข้ามาในห้อง เธอเข้าใจว่าเป็นคุณแม่ ต่อมาผู้หญิงคนนั้นได้พูดกับเธอว่า พี่ชายของเธอไม่มีทางมาถึงโรงแรม
ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่เธอคิดไปเอง แต่มันเป็นเรื่องของสัมผัสที่ 6 มีสื่อบางอย่างได้ผ่านเข้ามาติดต่อกับจิตของเธอ ซึ่งในขณะนั้นเธอกำลังคิดถึงพี่ชายของเธอ แต่ทว่าพญามัจจุราชได้คร่าชีวิตพวกเขาไปแล้ว

คุณปราณีเล่าว่าคุณพ่อสามารถปรับสภาพจิตใจได้เร็วมาก ท่านบอกคุณปราณีว่าอะไรที่มันเกิดไปแล้ว เราคงจะไปเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือ ดูแลอย่าให้คนที่ยังอยู่ต้องเป็นอะไรไปอีกเลย แต่คุณแม่ท่านกลับทรุดเพราะไม่อาจปรับสภาพจิตใจได้ ท่านยังคงคิดว่าพี่ชายทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งก็มีอาการเหม่อลอยไม่ยอมพูดกับใคร
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณปราณีในบางช่วงเวลาก็คือ เธอจะมีความรู้สึกเหมือนพี่ชายทั้งสองมาอยู่ข้างๆ เธอ ...........คุณปราณียืนยันมาในจดหมายว่าไม่ใช่เรื่องของอุปทานอย่างแน่นอน บางครั้งเธอก็ได้ยินเสียงคนเดิน คนลากเก้าอี้ดังมาจากในห้องของพี่ชายเธอ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก จนในที่สุดเธอได้ตัดสินใจพิสูจน์ที่มาของเสียง…
ทันทีที่เสียงลากโต๊ะลากเก้าอี้ดังขึ้น คุณปราณีได้ตัดสินใจเปิดประตูห้องของพี่ชายเธอทันที !!!
ภาพที่ปรากฎตรงเบื้องหน้า มันทำให้เธอถึงกับตะลึงทำอะไรไม่ถูก เธอเห็นพี่ชายของเธอกำลังลากเก้าอี้ลากโต๊ะ แต่ร่างกายที่ปรากฏให้เห็นมีเฉพาะส่วนเอวขึ้นไปเท่านั้น ส่วนล่างจากเอวไม่มี พี่ชายของเธอซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นผีไปแล้วมองหน้าและยิ้มให้เธอ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไป

คุณปราณีได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณพ่อของเธอฟัง ท่านได้ตัดสินใจนำข้าวของเครื่องใช้ของพี่ชายไปถวายวัด พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
...........จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มองเห็นเรื่องภูตผีปีศาจเป็นเรื่องความงมงาย ปรากฏว่าในเวลานี้คุณปราณีได้พยายามศึกษาและค้นคว้า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนเราได้ตายไปแล้ว บางคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า โลกหลังความตาย นั่นเอง

เรื่องของสัมผัสที่ 6 เป็นเรื่องที่น่าศึกษา แต่จะมีสักกี่คนที่เรียนแล้วพบกับความสำเร็จ ความแน่วแน่อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ สิ่งที่จะต้องมีควบคู่ไปด้วยก็คือ บุญบารมี สิ่งเหล่านี้เสาะแสวงหาไม่ได้ มันเป็นเรื่องของชาติภพก่อน


...........แม่ชีอ่อน ศีเพ็ง ได้พูดเรื่องของสัมผัสที่ 6 เอาไว้ว่า เรื่องนี้มีอยู่จริง ครั้งหนึ่งแม่ชีอ่อนไม่เชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับแม่ชีอ่อน จู่ๆ เธอก็สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
"วัดที่แม่ชีบวชอยู่นั้นยังไม่มีโบสถ์ หลวงพ่อท่านจะมีความคิดจะสร้างโบสถ์ขึ้นมา ท่านก็บอกบุญกับพวกญาติโยม จนกระทั่งรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง ท่านจึงได้เริ่มเลือกทำเลว่าจะสร้างโบสถ์ตรงไหนดี ท่านดูไปดูมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกด้านหลังขององค์พระนอน ตอนนั้นก็ไม่มีใครคัดค้านหลวงพ่อ แต่คืนนั้นแม่ชีฝันไปว่าหลวงพ่อพระนอนมาพูดกับแม่ชี บอกว่าโบสถ์จะสร้างหลังพระนอนไม่ได้ หากจะสร้างต้องสร้างหน้าพระนอน แม่ชีจึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง แทนที่ท่านจะเชื่อท่านกลับว่าเราเพี้ยน ไม่เชื่อที่แม่ชีบอก…"

...........การก่อสร้างโบสถ์ได้เริ่มดำเนินการ ลงเสาหลักปักเสาเข็ม ทุกขบวนการดูราบรื่นดี ไม่มีเค้าว่าจะเกิดอุปสรรค จนกระทั่งเสาเข็มลงครบหมดทุกต้น เหตุการณ์ที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น พื้นดินบริเวณรอบๆ ที่ได้ลงเสาเข็มเอาไว้ได้ทรุดตัวลง ส่งผลให้เสาเข็มทั้งหมดพลอยทรุดตัวตามไปด้วย
"มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ซึ่งแม่ชีก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น จากนั้นแม่ชีก็เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง บางทีก็เห็นภาพแปลกๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นอีกสองสามวัน เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นจริงๆ บางทีก็ได้ยินเสียประหลาดดังมาจากต้นโพธิ์ เหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่สิงสถิตย์อยู่ในต้นโพธิ์เขาอยากจะพูดกับเรา"

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S5.htm

1295
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ  :054:

ขออนุญาตขยายความเพื่อการศึกษาเพิ่มเติมครับ ผิดถูกประการใดโปรดชี้แนะสั่งสอนด้วยครับ :054:
======================
จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ทำหน้าที่ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ จิตนี้ไม่ว่าจะเกิดแก ่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ย่อมมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนกันทั้งสิ้น
         
          จิต เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะใด ๆ แต่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติฝ่ายนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกฎของธรรมชาติ
         
          อำนาจของจิตมีอยู่มากมาย เช่น มีอำนาจในการกระทำ การพูด การคิด การสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการสร้างฤทธิ์ ทำสมาธิ ทำฌาน ทำอภิญญา และอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์
         
          จิต จะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว จิตจะมีการเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง (หนึ่งล้านล้านครั้ง) จึงเป็นการยากที่บุคคลจะรู้เท่าทันได้

ที่มา
http://buddhism-online.org/Section02A_03.htm

1296
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 08:04:53 »
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสงสาร

     “ ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า สงสาร ได้แก่อะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร สัตว์โลกเกิดในโลกนี้ก็ตายในโลกนี้ ตายจากโลกนี้แล้วก็ไปเกิดในโลกอื่น เกิดในโลกนั้นก็ตายในโลกนั้น ตายจากโลกนั้นแล้วก็เกิดในโลกอื่น การเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้แหละ เรียกว่า สงสาร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งกินมะม่วงสุก แล้วปลูกเมล็ดไว้เมล็ดมะม่วงนั้น ก็เกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีผลมะม่วง บุรุษนั้นก็กินมะม่วงสุกจากมะม่วงต้นนั้น แล้วปลูกเมล็ดมะม่วงไว้อีก เมล็ดมะม่วงนั้นก็เกิดเป็นต้น มะม่วงใหญ่โตขึ้นจนมีผล ต้นแก่ก็ตายไป ที่สุดเบื้องต้นแห่งต้นมะม่วงเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏว่ามีมาเมื่อไร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การเวียนตายเวียนเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่ปรากฏเบื้องต้นฉะนั้น ”
     “ แก้ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้

     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปนานแล้วได้ด้วยอะไร? ”
     “ ได้ด้วย สติ ขอถวายพระพร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ล่วงไปนานแล้วสิ่งหนึ่ง บุคคลระลึกได้ด้วย จิต ต่างหาก ไม่ใช่ระลึกได้ด้วยสติ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้แล้ว ระลึกไม่ได้มีอยู่หรือไม่? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีจิตหรือ ? ”
     “ จิตมี แต่เวลานั้นสติไม่มี ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า บุคคลระลึกได้ด้วย สติ ไม่ใช่ระลึกได้ด้วย จิต ”
     “ ถูกดีแล้ว พระนาคเสน ”

===จบ....ตอนที่10===

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1297
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:46:04 »
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความต่างกันแห่งน้ำตา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษคนหนึ่งร้องไห้เพราะบิดามารดาตาย อีกคนหนึ่งน้ำตาไหลเพราะความชอบใจธรรมะ น้ำตาของคนทั้งสองนั้น น้ำตาของใครเป็นเภสัช น้ำตาของใครไม่เป็นเภสัช ? ”
     “ ขอถวายพระพร น้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยราคะ โทสะ โมหะ เป็นน้ำตาร้อน ส่วนน้ำตาของผู้ฟังธรรมนั้น มีน้ำตาไหลด้วยปีติยินดีเป็นน้ำตาเย็น เป็นอันว่า น้ำตาเย็นเป็นเภสัช น้ำตาร้อนไม่เป็นเภสัช”
     “ ถูกดีแล้ว พระนาคเสน ”

ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความต่างกันแห่งผู้เสวยรส

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ต่างกันอย่างไร ?”
     “ ขอถวายพระพร ผู้หนึ่งยังมีความยึดถือ อีกผู้หนึ่งไม่มีความยึดถือ”
     “ ยึดถืออะไร...ไม่ยึดถืออะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร คือผู้หนึ่งยังมีความต้องการ อีกผู้หนึ่งไม่มีความต้องการ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ก็ยังต้องการของเคี้ยวของกินที่ดีงามอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครต้องการสิ่งที่ไม่ดีงาม โยมเห็นมีแต่ต้องการสิ่งที่ดีงามเหมือนกันหมด”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ปราศจากราคะ ยังรับรสอาหาร ยังกินอาหารอยู่เหมือนกันก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ยินดีในรสอาหาร ส่วนผู้ไม่ปราศจากราคะ ยังยินดีในรสอาหารอยู่ ไม่ใช่ไม่ยินดีในรสอาหาร ”
     “ เข้าใจแก้ พระผู้เป็นเจ้า ”

 ปัญหาที่ ๘ ถามที่ตั้งแห่งปัญญา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญาอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน ”
     “ ถ้าอย่างนั้นปัญญาก็ไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่อยู่แห่งลมไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นลมก็ไม่มี ”
     “ ฉลาดแก้ พระผู้เป็นเจ้า ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1298
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:37:00 »

อุปมาช้างพระที่นั่ง

     “ ขอถวายพระพร เมื่อมหาบพิตรขึ้นประทับนั่งบนคอช้างพระที่นั่ง มีผู้ใดผู้หนึ่งนั่งบนคอของพระองค์บ้างหรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า หากใครขึ้นนั่งบนคอของโยม ผู้นั้นจะต้องหัวขาด ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่มีผู้อื่นจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ศีรษะของผู้นั้นต้องหลุดไปจากคอทันที
     เมื่อกี้นี้มหาบพิตรถามอาตมาภาพว่า พระพุทธเจ้าอุปสมบทด้วยสงฆ์นั่งหัตถบาสเท่าไรอย่างนั้นหรือ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่ได้อุปสมบทด้วยสงฆ์ มีแต่ มรรค กับ ผล เท่านั้นที่เป็นสงฆ์ ”
ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
     “ พระอริยบุคคล ๔ เหล่า คือ ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ ผู้มั่นอยู่ในปัญญาและศีลเป็นสงฆ์ผู้ตรงแท้ แต่บุคคลบางเหล่าต้องอุปสมบทด้วยสงฆ์ ”
     “ น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาอันละเอียดยิ่ง อันไม่มีส่วนเปรียบได้แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทเป็นของดีหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร อุปสมบทเป็นของดี ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือไม่มี? ”
     “ ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุปสมบทด้วยความเป็นพระสัพพัญญู ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิแล้ว ไม่มีผู้ให้อุปสมบทแก่พระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงให้อุปสมบทแก่สาวกเลย ”
     “ แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1299
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:30:09 »
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงการอุปสมบท ไม่อุปสมบท

     “ ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทดีหรือ...หรือว่าไม่อุปสมบทดี? ”
     “ ขอถวายพระพร อุปสมบทดี ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือ? ”
     “ ถวายพระพร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ได้อุปสมบทแล้ว ”
     เมื่อพระนาคเสนกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสประกาศขึ้นว่า
     “ ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ จงฟังถ้อยคำของเรา คือพระนาคเสนกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้ว เป็นอุปสันบัน คือเป็นผู้ที่บวชแล้ว
     ถ้าพระสมณโคดมเป็นอุปสัมบัน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ใครเป็นอาจารย์ มีสงฆ์มานั่งหัตถบาสเท่าใด ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ได้อุปสมบทเอง ตรัสรู้เอง ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ พระองค์ได้เป็นผู้อุปสัมบันพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระสมณโคดมไม่มี โยมก็เข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ที่ยังไม่ได้บวชเพราะเหตุไร...พระพุทธเจ้าจึงไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ? ”
     เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอย่างนี้พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาจึงย้อมถามไปว่า
     “ มหาบพิตร ทรงเสวยแล้วหรือ ? ”
     “ โยมกินแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ใครเป็นครูเป็นอาจารย์บอกให้เสวยล่ะ ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรก็เสวยไม่ได้ ? ”
     “ ได้...ไม่ใช่โยมกินไม่ได้ ถึงไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน โยมก็กินได้ ด้วยเคยกินมาในวัฏสงสารนับไม่ถ้วน ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอให้มหาบพิตรเข้าพระทัยเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว”
     พระองค์อุปสมบทเอง ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้อุปสมบทพร้อมกับได้พระสัพพัญญุตญาณ เหมือนกับมหาบพิตรผู้เสวยโดยไม่ต้องมีอาจารย์ เพราะเคยเสวยมาในวัฏสงสารอันไม่ปรากฏเบื้องต้นอัศจรรย์วันอุปสมบทในเวลาที่พระพุทธองค์ได้เป็นอุปสัมบันที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ ด้วยอำนาจพระบารมีนั้นอัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในโลก คือ
     คนตาบอดแต่กำเนิดก็กลับเป็นคนตาดี ๑ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียง ๑ คนง่อยเปลี้ยก็เดินได้ ๑ คนใบ้ก็พูดได้ ๑ คนหลังค่อมก็ยืดตรงเป็นปกติได้ ๑ คนกำลังหิวข้าวก้ได้กินข้าว ๑ คนกระหายน้ำก็ได้ดื่มน้ำ ๑
     ผู้ที่อาฆาตต่อกันก็ตึกเมตตากัน ๑ ทุกข์ในแดนเปรตก็หายไป ๑ ยาพิษก็กลับเป็นเหมือนยาทิพย์ ๑ หญิงมีครรภ์แก่ก็คลอดได้สบาย ๑ สำเภาที่ไปต่างไปต่างประเทศก็กลับมาถึงท่าของตน ๑ กลิ่นเหม็นก็กลายเป็นกลิ่นหอม ๑
     ไฟในอเวจีมหานรกก็ดับ ๑ น้ำเค็มในมหาสมุทรก็กลายเป็นน้ำหวาน ๑ ภูเขาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสะท้าน ๑ น้ำในมหานทีทั้งหลายก็หยุดไหล ๑ ผลจันทน์ทิพย์ดอกมณฑาทิพย์ก็ตกลงมาจากสวรรค์ ๑ เทพยดานางฟ้าทั้งหลาย ก็โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมา ๑ พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ ๑
     ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าผู้มีสีพระกายดังทองคำ ก็ได้อุปสมบทเองที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ อันเป็นเหมือนปราสาทแก้วจึงได้มีสิ่งอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอย่างนี้
     ด้วยอานุภาพแห่งการอุปสมบทของพระพุทธเจ้านั้น ได้บันดาลให้พระยาเขาสิเนรุราชหมุนครวญคราง เหมือนกับกงรถกงเกวียนฉะนั้น
     พวกเทวดาในอากาศพร้อมกับบริวารก็มีใจเบิกบานยินดี ได้โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมาบูชา จันทรเทพบุตรก็หยุดมณฑลรถไว้ที่อากาศ โปรยดอกไม้แก้วลงมาบูชาไม่ขาดสายเหมือนกับนมสดที่ไหลหลั่งลงมาจากอากาศ ฉะนั้น การอุปสมบทของพระตถาคตเจ้าย่อมปรากฏอย่างนี้
     “ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1300
"วิญญาณ"กับ"สัมผัสที่6"

.........เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งมันก็มีคำตอบ แต่บางเหตุการณ์ก็ไม่มีคำตอบ อย่างกับเรื่องที่คุณป้าของผม ท่านได้เล่าให้ฟังสมัยที่ท่านเป็นเด็ก
ป้าได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันว่าหากคุณตาเชื่อเรื่องที่แม่ชีบอก คุณตาผมท่านก็จะไม่ตาย !
"ทำไมคุณตาต้องตายด้วยล่ะค่ะ?"

ตอนนั้นคุณป้าท่านยังเป็นเด็ก คำถามของท่านจึงไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะทุกคนต่างก็สาละวนกับการจัดงานศพของคุณตา
ร่างของคุณตานอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ตอนนั้นคุณป้าคิดว่าคุณตานอนหลับ คุณยายจึงเข้าไปเขย่าเพื่อที่จะปลุกให้คุณตาตื่นขึ้นมา
"เล็ก อย่าไปกวนคุณตาซิลูก"
"ก็เล็กอยากจะให้คุณตาตื่นขึ้นมาเล่นกับเล็กนี่คะ"
"คุณตาท่านไปสบายแล้ว เราไม่มีคุณตาอีกแล้วลูก"
คราวนี้คุณป้ายิ่งสับสนในคำพูดของพวกญาติผู้ใหญ่ ในเมื่อคุณตาท่านก็นอนอยู่ บนเตียง ไม่มีอะไรที่จะเป็นความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
"ตอนนั้นป้ามีความรู้สึกปวดหัวมาก มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงแบบนั้น"
"คนอื่นๆ เขาไม่รู้หรือว่าคุณป้าไม่สบาย"

"ไม่มีใครเชื่อป้า ทุกคนคิดว่าป้างอแง หาเรื่องเรียกร้องความสนใจ แต่ความจริงเราปวดจนหัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พี่สาวของป้าคงรำคาญ ไม่อยากฟังเสียงร้องไห้ของป้า ก็เลยพาป้าเข้าไปในห้องเก็บของ แล้วปิดประตูขังเอาไว้ให้อยู่ในนั้นคนเดียว"
"ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"
"กลัวจนบอกไม่ถูก เด็กทุกคนจะต้องกลัวการถูกขังไว้ในห้อง ยิ่งเป็นห้องแคบๆ อย่างกับห้องส้วมก็ยิ่งกลัวมากขึ้น"

..........คุณป้าเล่าว่าเมื่อพี่สาวเอามาขังในห้อง ท่านก็ได้ยินเสียงข้างนอกใส่กลอนประตู ห้องเก็บของมีขนาดใหญ่ มีกลอนใส่ทั้งด้านในและด้านนอก หากว่าด้านหนึ่งด้านใดถูกใส่กลอน อีกด้านหนึ่งเป็นอันหมดสิทธิ์ที่จะออกไป
อยากให้ท่านผู้อ่านลองวาดภาพเหตุการณ์งานศพว่าจะมีความฉุกละหุกเพียงใด ไหนจะต้องนิมนต์พระมาสวด ไหนจะเรื่องทำกับข้าวเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน สมัยก่อนนั้นจะต้องทำกันเอง ไม่มีแม่ครัวรับเหมาเหมือนกับสมัยนี้ และสภาพของจิตใจที่ต้องเสียเสาหลักของบ้าน ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกลูกๆ มันเป็นสิ่งที่วุ่นวายมาก

ทุกคนลืมไปว่าได้ขังคุณป้าไว้ที่ห้องเก็บของ !!!
"ตอนนั้นป้าร้องไห้จนเจ็บคอไปหมด พยายามทุบประตูห้องก็ไม่มีใครได้ยิน ตอนนั้นหิวข้าวจนแสบท้อง ในใจก็นึกถึงคุณตา ป้าอยู่กับคุณตาไม่เคยร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว เพราะคุณตาท่านไม่เคยขัดใจป้าเลย มีขนมให้กินตลอดเวลา ป้าก็เลยตะโกนสุดเสียงขอให้คุณตาช่วยด้วย"
..........เมื่อสิ้นเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากคุณตา เสียงกลอนประตูห้องเก็บของก็ค่อยๆ ดังขึ้น แสดงว่าด้านนอกมีคนเปิดกลอนประตู
"ใครมาเปิดประตูครับ"
"คุณตา"
คำพูดของคุณป้าทำให้ผมถึงกับขนหัวลุกทันที
"คุณป้าแน่ใจหรือว่าเป็นคุณตา"
"ป้าเห็นเต็มตาเลยว่าคุณตายืนอยู่หน้าประตู ตอนนั้นดีใจมาก โผเข้าไปกอดคุณตาแล้วร้องไห้ บอกคุณตาว่าหิวข้าว คุณตาท่านบอกว่าหิวข้าวก็กินซิลูก ตาเอาข้าวเอาขนมมาให้กินแล้ว ตอนนั้นคุณตาถือถาดใส่อาหารมาด้วย ในถาดมีอาหารคาวหวานหลายอย่าง"

เมื่อทานอาหารเสร็จคุณป้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณตาตายไปแล้ว แต่คุณป้าท่านไม่เข้าใจว่าอะไรคือความตาย ท่านจึงถามคุณตาว่าคุณตาตายไปแล้วนี่คะ
"ตายังไม่ตายหรอกลูก หากว่าตาตายไปแล้วใครจะเอาข้าวเอาขนมมาให้กินล่ะลูก พวกนั้นมันบ้า ตาแค่นอนหลับไปเท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็เอาตาไปมัดตราสังข์ เอาร่างของตาใส่โลง ตาพยายามบอกกับทุกคนแต่ก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจตาเลย"
"ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปบอกให้พวกเขาเอาคุณตาออกจากโลงนะคะ"
"ดีมากลูก ช่วยไปบอกพวกมันด้วย ตาพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่รู้เป็นบ้าอะไรกันไปหมด ลูกไปบอกให้พวกมันเอาตาออกจากโลงทีเถอะนะ"

..........คุณป้ารีบวิ่งไปเรือนหลังใหญ่ทันที พอไปถึงก็พบว่าพระกำลังสวดศพคุณตา พี่สาวคนที่เอาคุณป้าไปขังถึงกับตกตลึง เขาลืมไปว่าได้เอาคุณป้าไปขังไว้ในห้องเก็บของแล้วลืมไปเลย พี่สาวถามว่าใครเป็นคนเปิดให้คุณป้าออกมาจากห้องเก็บของ
"พี่ลืมไปเลยว่าเอาเธอไปขังไว้ในห้องเก็บของ แล้วเธอออกมาได้ยังไง?"
"คุณตาเป็นคนเปิดประตูให้ออกมา"
"โกหก ไปเอานิสัยโกหกมาจากใคร"
บรรดาพวกญาติๆ ต่างก็ไม่พอใจในคำพูดของคุณป้า แต่คุณป้าก็ยังคงยืนยันว่าคนที่เปิดประตูห้องเก็บของให้คุณป้าออกมาคือคุณตาจริงๆ
"คุณตายังเอาข้าวกับขนมไปให้กินเลย มีข้าวคลุกกะปิ และต้มจืดเต้าหู้ขาวกับผัดถั่วงอก ขนมก็ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
คราวนี้ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน พี่ชายคนโตของคุณป้า ซึ่งนั่งอยู่ในเหตุการณ์ได้เดินไปที่ข้างๆ โลงศพของคุณตา ซึ่งมีสำรับกับข้าวสำหรับคนตายตั้งอยู่

"ป้าเห็นพี่ชายยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก คนอื่นๆ ก็เลยเดินตามไปดู จานใส่อาหารของคุณตาเหลือแต่จานเปล่าๆ ไม่มีกับข้าวหรือขนมเหลืออยู่เลย"
..........กับข้าวรวมทั้งขนมที่คุณป้าพูดมานั้น ตรงกับที่พี่ชายของคุณป้าจัดได้ไปให้คุณตาทุกอย่าง คราวนี้ทุกคนเริ่มมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว คุณป้าจึงเล่าเรื่องที่คุณตามาบอกว่าท่านยังไม่ตาย ให้เปิดฝาโลงเอาคุณตาออกมาด้วย
"ทีแรกก็ไม่มีใครกล้า เพราะกลัวว่าผีคุณตาจะไม่มีความสุข แต่พี่ชายของป้าเป็นคนห้าวๆ อยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจเปิดฝาโลงออก"
พอฝาโลงศพเปิดออก ทุกคนก็พากันไปดูร่างของคุณตา ปรากฏว่าคุณตานอนลืมตา พยายามดิ้นรนแก้สายสิญจน์ที่ผูกมือออก
ปรากฏว่าคุณตายังไม่ตาย !

.........คุณตาได้เล่าให้ฟังว่าตอนที่คุณตากำลังเดินอยู่ในคันนา จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดเป็นลมขึ้นมา หลังจากที่ท่านวูบไปพักหนึ่งท่านก็ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าท่านนอนอยู่ในโลงศพ มือของท่านถูกมัดตราสังข์อย่างแน่นหนา พยายามดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด
คุณตาท่านเป็นคนชอบนั่งสมาธิอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจึงพยายามถอดจิตของท่านให้ออกจากร่าง ..........ท่านเล่าว่าเมื่อท่านถอดจิตออกจากร่างได้แล้ว ท่านก็พยายามบอกกับใครต่อใครว่าท่านยังไม่ตาย ช่วยเอาท่านออกมาจากโลงด้วย แต่ไม่มีใครได้ยินที่คุณตาพูด จนกระทั่งคุณตาได้ยินเสียงคุณป้าร้องขอความช่วยเหลือและบอกว่าหิวข้าว ท่านจึงคว้าสำรับอาหารแล้วรีบไปที่ห้องเก็บของเพื่อช่วยคุณป้าทันที ท่านก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ที่คุณป้าสามารถสื่อสารทางโทรจิตกับคุณตาได้จริงๆ ทั้งที่คุณป้าไม่เคยนั่งวิปัสสนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สิ่งที่เป็น สัมผัสที่ 6 เราไม่จำเป็นต้องศึกษาหรอกครับ เพราะ "ญาณ" นี้มันเกิดขึ้นได้เอง !!!

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S4.htm

1301
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:15:48 »
ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความเป็นพรหมจารีของพระพุทธเจ้า

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพรหมจารี คือเป็นผู้ประพฤติเหมือนกับพรหมจริงหรือไม่? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นศิษย์ของพรหมน่ะซิ”
     “ ขอถวาวพระพร ช้างทรงของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ช้างทรงของมหาบพิตรนั้น มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียนในบางคราวหรือไม่? ”
     “ อ๋อ...บางคราวก็มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ช้างของมหาบพิตรก็เป็นศิษย์ของนกกระเรียนน่ะซี”
     “ ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าประพฤติเหมือนพรหมจริง แต่ไม่ได้เป็นศิษย์ของพรหม”
     “ ขอถวายพระพร พรหมนั้นได้ตรัสรู้ด้วยตนเองหรือไม่”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พรหมก็ต้องเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1302
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:09:51 »
ปัญหาที่ ๒ ถามถึงเหตุที่ไม่ทรงบัญญติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือทรงรู้ทุกสิ่ง เป็นสัพพทัสสาวีคือทรงเห็นทุกอย่างจริงหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าจริง...เหตุไฉนจึงทรงบัญญัติสิกขาบทไปตามลำดับเหตุการณ์แก่สาวกทั้งหลาย ทำไมจึงไม่ทรงบัญญัติไว้ก่อน ? ”
     “ ขอถวายพระพร แพทย์ที่รู้จักยาทั้งหมดในแผ่นดินนี้มีอยู่หรือ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก็แพทย์นั้นให้คนไข้กินยาแต่เมื่อยังไม่เป็นไข้ หรือเมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา เมื่อยังไม่เป็นไข้ก็ยังไม่ให้กินยา ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งเห็นทุกอย่างจริง แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่บัญญัติสิกขาบท ต่อเมื่อถึงเวลาจึงบัญญัติสิกขาบท สิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นพระสาวกไม่ควรล่วงละเมิดจนตลอดชีวิต”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

 ปัญหาที่ ๓ ถามถึงลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ของพระพุทธมารดาบิดา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ และประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ มีสีพระกายดังทองคำ มีพระรัศมีสว่างรอบพระองค์ด้านละ ๑ วาเป็นนิจจริงหรือ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระมาดารบิดาประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการกับประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระกายดังทองคำมีพระรัศมีข้างละ๑ วาหรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อพระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเจ้าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ เพราะธรรมดาบุตรย่อมคล้ายกับมารดาหรือคล้ายกับข้างบิดา? ”
     “ ขอถวายพระพร ดอกปทุม หรือดอกอุบล ดอกโกมุท ดอกปุณฑริก มีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า เพราะดอกบัวเหล่านั้นเกิดอยู่ในน้ำ เกิดอยู่ในดิน แช่อยู่ในน้ำ ”
     “ ขอถวายพระพร ดอกบัวเหล่านั้นมีสี กลิ่น รส เหมือนดินกับน้ำหรือไม่? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น ดอกบัวเหล่านั้น มีสี กลิ่น รส เหมือนกับโคลนกับตมหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าเข้าใจแก้ เป็นอันแก้ถูกต้องดีแล้ว”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php

1303
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 11:14:40 »
ต่อจากตอนที่ 9
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23056

- ตอนที่ ๑๐ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๖

  ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ร่างกายเป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลายหรือ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมบรรพชิตจึงยังอาบน้ำชำระกาย ถึอว่ากายของเราอยู่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้เข้าสู่สงครามเคยถูกบาดเจ็บบ้างหรือไม่? ”
     “ อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร แผลที่ถูกอาวุธนั้น ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา ทาด้วยน้ำมัน พันด้วยผ้าเนื้อละเอียดแลหรือ ? ”
     “ ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า ต้องทำอย่างนั้น ”
     “ ขอถวายพระพร บาดแผลนั้นเป็นที่รักของผู้นั้นหรือ? ”
     “ ไม่ได้เป็นที่รักของผู้นั้นเลย แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพื่อให้เนื้อตรงนั้นงอกขึ้นเป็นปกติ ”
     
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย แต่บรรพชิตทั้งหลายรักษาร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อันว่าร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับแผล บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เหมือนกับบุคคลรักษาแผล”

     ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า
     “ กายนี้มีทวาร ๙ เป็นแผลใหญ่ อันหนังสดปกปิดไว้ คายของโสโครกออกโดยรอบ ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ”
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

      อธิบาย   
      
คำว่า “ ทวาร ๙ ” ได้แก่ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php


1304
ขออนุโมทนาบุญกับท่าน saken6009 พร้อมทั้งภรรยาและครอบครัวด้วยครับ :054:

อานิสงส์การสร้างส้วม (หลวงพ่อจรัญ) อ่านแล้วสนุกดีครับ

ผู้ที่เคยไปวัดอัมพวันมาแล้ว จะต้องรู้สึกตรงกันว่าได้รับความประทับใจอันเกิดจากความสะดวกสบายเรื่องห้อง น้ำห้องส้วมเป็นพิเศษ เพราะความเมตตาของหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ มีผู้สำรวจแล้วพบว่าวัดอัมพวันในปัจจุบันมีห้องส้วมถึง ๒๐๐ ห้อง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ประเทศศรีลังกา อาตมาได้ร่วมไปกับคณะผู้แทนจากประเทศไทย องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกจัดการประชุมที่นั่น มีผู้แทนชาวพุทธมาประชุมจากทั่วโลกมากมาย เขาพาไปชมอุทยานของประเทศศรีลังกาให้ชมฟรี มีช้างเล่นกล มีช้างกินอาหาร กินโต๊ะ เหมือนคนร้องรำทำเพลงได้ และก็มีลิงค่างบ่างชะนี วิหก นกร้อง กึกก้องวนาไพร ในสวนอุทยานของประเทศศรีลังกา

อาตมาก่อนนี้ก็ตั้งมูลนิธิให้คณะสงฆ์ทั้ง สองนิกาย ทั้งธรรมยุตและมหานิกายช่วยในการศึกษา มีท่านเจ้าอาวาสปัจจุบัน วัดหัวลำโพงองค์หนึ่ง และวัดอัมพวัน ในกรุงเทพฯองค์หนึ่งอยู่ประเทศศรีลังกา ก็ตั้งมูลนิธิเอาดอกเบี้ยช่วยเหลือพระสงฆ์ทั้งสองนิกายในการศึกษาปริญญาโท เอก ที่มหาวิทยาลัยเมืองแคนดี แล้วแต่จะไปต่ออินเดีย ต่อศรีลังกาตามอัธยาศัย การไปชมอุทยานในนามของรัฐบาลศรีลังกาครั้งนี้ เอกอัครราชทูตพาไป ไม่ต้องเสียอะไร อาตมาก็ไปกับพระ ๔-๕ องค์ พระที่เป็นนักศึกษาอยู่ประเทศศรีลังกา และคณะของเราก็เดินเข้าไปถึงอุทยานแล้ว
ตอนเช้าอาจารย์ศรัทธาติสสะมหาเถระผู้มีฝีปากในการเทศน์ เยี่ยม เหมือนท่านปัญญานันทะแห่งประเทศไทย จบพระไตรปิฎกจบหลักสูตรในการปาฐกถาธรรมเทศนาพาทีในประเทศศรีลังกาเก่งมาก ตอนเช้าท่านก็เลี้ยงอาหารเราเสียอิ่มแปร้ ไม่มีข้าว มีแต่โรตีเนย เราไม่เคยฉันก็ฉันเสียเรียบเลยท้องเสีย

ท้องเสียนะ มันจะคลอดแล้ว ปวดอุจจาระ นี่เล่าตรงไปตรงมา ก็บอกกับพระที่ไปด้วยกัน บอก "หาส้วมให้ทีเถอะ"
"ไม่ได้หลวงพ่อ ผมจะต้องรีบพาโยมไป เดี๋ยวเขาจะเลิก"

ตายจริงแล้วเราจะไปเข้าที่ไหนล่ะ เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีส้วมเลย แหมประเทศศรีลังกาไม่สร้างส้วมที่อุทยาน และเราก็พูดภาษาไม่เก่ง จะไปถามใครเขาละ พระหนีเลย ๔ องค์หนีไปเลย "บอกไปละ เดี๋ยวพาโยมไป" เราจะไปหาที่ไหน โอยจะคลอดแล้วซิ หมอผดุงครรภ์ก็ไม่มี เอาอย่างไรดี พวกหนีไปเลย แล้วเราเคยไปเหรอ แวบเดียวไม่รู้ไปไหนแล้ว เราก็เดินไปเดินมาหาส้วมไม่เจอทำอย่างไร
เมื่อก่อนเป็นเด็กอยู่เรือข้าวอาแปะเขาบอก ไม่เป็นไรอาตี๋เอ๋ยกระบังไม่มีก็ไม่เป็นไร กระบุงมีสวมหัวเลย แล้วถ่ายข้างเรือได้เลย หากระบุงโกยก็ไม่มี จะได้สวมหัดหน่อย ไอ้พรรค์นี้มันอายหน้า กันไม่อายแน่ อันนี้เรื่องจริงนะ เดินไป ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ที่โคนต้นไม้นี่ โคนต้นไม่ก็ไม่ได้ทางเดินของเขา คนเป็นฝูงเลย คนไปเที่ยวสวนอุทยาน ญี่ปุ่น ฝรั่ง เยอะแยะ แล้วเราเป็นภิกษุไทย ทำอย่างนั้นเสี่ยชื่อประเทศไทยแย่ ในนามประเทศไทย เอายังไง แล้วก็ ๔ โมงกว่า จะใกล้เพลแล้ว เลยหมดโอกาส ยังมีปัญญาอยู่ อาตมาก็เอาเลย โยมฟังนะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เลยก็ร่ายเวทย์พระคาถา มีคาถาไหม คาถาหาส้วมมีไหม ไม่มี จำนะ เดี๋ยวจะบอกคาถาให้ อาตมาก็ร่ายเวทย์พระคาถา

นะโมตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส สคฺเคกาเมจรูเป.... ร้อนถึงสักกรินทร์เทวราช ขอให้พระอินทร์ส่งทิพยเนตรทิพยกรรณ ดูข้าพเจ้า ณ บัดนี้ นั่นแน่อภินิหารสำคัญไหม "ข้าพเจ้าสร้างส้วมสร้างห้องน้ำไว้มาก เท่าที่เป็นเจ้าภาพ มานี่สองพันกว่าส้วมแล้วนะ วัดอื่นด้วยนะ ไปเป็นประธานที่ไหน ต้องสร้างวัดละยี่สิบส้วม-อย่างน้อย อานิสงส์สร้างส้วมของข้าพเจ้ามีแล้ว หากว่าข้าพเจ้าจะคลอดบุตรครั้งนี้ ขอให้ร้อนถึงสักกรินทร์เทวราช จงส่งมาตุลีเทพบุตร ให้เทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย หย่อนส้วมมาให้ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ถ้าไม่หย่อนมา ข้าพเจ้าคลอดเปื้อนผ้าเมื่อใด ข้าพเจ้ากลับไปวัดอัมพวันจะทุบส้วมทิ้งให้หมด ไม่เอา ไม่ได้อานิสงส์เลยนี่ ทุบทิ้งหมดแน่นอน ถ้าหากว่าไม่หย่อนมาจริง ๆ นะ โยมมาวัดอัมพวันจะไม่เห็นส้วมเลย จะทุบทิ้งนะ"

แล้วโยมตอบปัญหาซิ เทวดาหย่อนส้วมมาจริงไหม ถ้าไม่หย่อนมา จะคลอดบุตรยังไง วิธีหย่อนของเทวดาหย่อนอย่างไร ฟังต่อไป ปวดจะตายแล้วอย่าเพิ่งออก ไอ้เนยมันทำพิษ โรตีมันทำพิษ อาจารย์ศรัทาติสสะมหาเถระฝากความรักไว้กับเรา แล้วองค์อื่นเขาเคยฉัน เขาเคยอยู่ศรีลังกา เขาท่านทุกวัน เราไม่เคย ตอนเช้าฉันข้าวต้ม วันนั้นไปฉันโรตี อาจารย์ศรัทธาติสสะมหาเถระบอกจะเลี้ยงเต็มที่เลย เนยมั่ง นมมั่ง เลยก็ท้องเสีย อันนี้เรื่องจริง

อาตมาก็ขออธิษฐานจิตว่าหมดปัญญาแล้ว เดินไปเดินมา อย่าลืมนะจ๊ะ พรรค์นี้หน้าแดงเชียวนะ เหงื่อกาฬแตกเลย จะตาย หิวข้าวยังทนได้ ไอ้พรรค์นี้ทนได้ไหม กินข้าวกลางถนนยังได้ ไอ้พรรค์นี้กลางถนนได้ไหม ไม่ได้แน่ อาตมาก็ขออธิษฐาน ร้อนถึงเทวดาสักกรินทร์เทวราชส่งทิพยเนตรดูเหตุการณ์ก็แจ้งใจว่า พระครูภาวนาจะคลอดบุตรแล้ว ว่าแล้วมิทันช้า ส่งมาตุลีเทพบุตร รีบเอาส้วมหย่อนไปเดี๋ยวนี้ ได้ยินก้องมาที่หูเรา สบายมากส้วมติดแอร์เสียด้วยนะ มีปูพรมเสียด้วย นี่อาตมาก็ตั้งใจจะติดแอร์ เดี๋ยวปีหน้าโยมมาใหม่ เห็นจะมีวัดเดียวในประเทศไทยที่ทำอย่างนี้น่ะ

ในที่สุดวิธีหย่อนส้วมของสักกรินทร์เท วราช ไม่ใช่หย่อนมาอย่างนี้ ถ้าหย่อนมาอย่างนี้ ประเทศศรีลังกาต้องแตกตื่น เดี๋ยวไม่มีใครดูช้างนะ แพ้เรา

กล่าวถึงบ้านเศรษฐีบ้านหนึ่งอยู่ที่หน้า อุทยาน สองสามีภรรยาคู่นี้ เป็นเศรษฐีมีตึก ๓ ชั้น แล้วบ้านเขาเป็นชาวพุทธ เราสังเกตได้ว่า มีธงไขว้ ธงอันหนึ่งคือ ฉัพพรรณรังสี ธงอันหนึ่งตราสิงห์ ถ้าบ้านนี้มีธงตราสิงห์อันเดียวไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่คริสต์ก็อิสลาม ไม่มีอย่างอื่น คริสต์หรือซิกซ์ ถ้าบ้านไหนมีธงฉัพพรรณรังสี จะบ่งบอกให้ทราบว่าบ้านนั้นเป็นชาวพุทธ สองสามีภรรยาเกิดสังหรณ์ในใจ เหลียวหน้าไปที่อุทยานอยากจะดูอุทยาน ก็มองไปพอดี เอ๊ะ พระองค์นั้นเดินไปเดินมาทำไม นี่มันสังหรณ์อย่างนี้ ไม่ใช่ทิ้งส้วมลงมาอย่างนี้ ก็แตกตื่นกันตาย

อาตมาอธิษฐานอย่างนี้ ขอให้ร้อนถึงเทวดา อาตมาได้สร้างส้วมขออานิสงส์ให้แก่อาตมาเถิดจะคลอดแล้วนี่จะทำอย่างไร เลยทำให้เศรษฐีมองมาที่อุทยาน มันมีถนนผ่านกั้นไว้เท่านั้น นอกจากนั้นบ้านเขาก็ไม่ไกลนัก เขาเห็นไม่ถนัด เขาก็เรียกภรรยา เขาเอากล้องมาซิ กล้องยาว ๆ ส่องเขาก็พูดกับภรรยาเขาว่า "เอ๊ะ พระองค์นี้เคยเห็น นั่งใกล้ ๆ กับเราที่ประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์ฯ ใช่แน่ ท่านเดินไปเดินมาทำไม" ส่องไปส่องมา "เอ๊ะ เหงื่อออกหน้าแดงนะ หน้าแดง เดินไปเดินมา ทำไมแล้วไม่อยู่ที่"


เขาก็ชวนกันสองสามีภรรยาข้ามถนนด่วนไปเลย ตรงไปหาอาตมา อาตมาก็กอดอกสะพายย่ามเสียด้วย เขาก็เดินตรงมาส่งภาษาทันที ส่งภาษาสิงหล เขาก็นึกว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างเถอะ และเขาให้ตามเขาไป สบายมากเลย เดินตามดิ่งไปเลย นี่ภาษาเดา ภาษาใบ้ เตรียมเรียนเข้าไว้บ้าง ตามดิ่งเข้าไปเลย พอไปถึงบนเรือนเขาก็ส่งภาษาเลย บอกให้เข้าห้องน้ำ เข้าท่าไหนนี่ รู้ในที เทวดาสังหรณ์สิงสถิตอยู่ในจิตใจเขาครบ ด้วยอำนาจบุญ กุศล แล้วส่งภาษาให้เข้าห้องน้ำ พออาตมาเปิดไฟปับ เขาส่งภาษาตามไปเลยให้สรงน้ำด้วย

อาตมาปิดกลอนปั๊บ โอโฮตายแล้ว ผ้าอาบก็มี ผ้าเช็ดตัวมีสบู่ ๑ ก้อน แปรงสีฟันพร้อม แหม! ทัศนาชมอยู่พัก เหลียวมาอีกที มีหนังสือพิมพ์เสียอีก มีอ่างอาบน้ำ แล้วอาตมาก็จับหนังสือดู แหมน่าอ่านจังเลย ก็วาง อ่านไม่ออก ภาษาศรีลังกา มีเก้าอี้นั่งอีกนะ เอ้ ห้องใหญ่ ติดแอร์ด้วย ปูพรม

เลยอาตมาก็ตั้งสติไว้ได้เรียบร้อย ก็คลอดลูกได้อย่างสบาย ส้วมโถเสียด้วยนะนั่งสบายเลย นึกถึงพระ ๔-๕ องค์ ป่านนี้จะไปอดเพลที่ไหนก็ไม่รู้ พอเห็นสบายเข้า นึกถึงพวกแล้ว แต่พวกไม่นึกถึงเราเลย จำไว้เชียวนะ เวลาทุกข์ไม่เคยทุกข์ด้วย หนีเราเสียได้ และทิ้งเราไป พวกนี้ไม่มีบุญ พอถ่ายเสร็จเรียบร้อย พอประทานโทษนะ สรงน้ำ มีผ้าอาบ เสร็จมีอ่างน้ำเสร็จ น้ำร้อน น้ำเย็นมีพร้อม อานิสงส์กุศลที่เราทำไว้ ดลบันดาลอย่างนี้ พอสรงน้ำเสร็จเรียบร้อย อาตมาก็ห่มผ้า เป็นปริมณฑล ออกมามีเตียงแล้ว ปูพรม หมอนขวาน นั่นแน่ นี่ผลบุญไปไหนไม่อดอยาก ปากก็ไม่แห้ง ฝนก็ไม่แล้งน้ำใจที่เราทำมา

ออกมานั่งปั๊บ เขาก็ส่งนาฬิกาข้อมือให้ดูเหลือ ๕ นาที บอก "ขออาราธนาพระคุณเจ้า รับภัตตาหารเพลที่บ้านข้าพเจ้า ณ บัดนี้" พวกนั้นอดเพลเลย สมน้ำหน้า อยากไม่คบคนดีอย่างเรา เดินตามคนดีก็ไม่อดเพล

ทีนี้อาตมาก็นั่ง ไม่รู้ภาษากันหรอก ใช้ภาษาเดา แต่รู้บ้างภาษาอังกฤษรู้บ้าง แต่ไม่มาก พอพูดกันรู้เรื่อง กิน-อยู่-ถ่าย พอรู้แต่ลึกซึ้งไม่รู้หรอก ถ้าเขาส่งภาษามากไป เราก็ทำสมาธิซะ และเดี๋ยวเขาพูดใหม่ก็รู้ต่อไป แหมต้องวิจัย ประเมินผล และเขาก็คุยอย่างดี

และเขาถามมาคำ ทำให้ตื้นตันในอุรา "ท่านเดินไป เดินมาทำไม ทำไมหน้าแดง" ก็เพราะเหตุนี้ ชี้ไปที่ห้องน้ำเขารู้เลย "อ้อ ปวดถ่ายเหรอ"เราชี้ไปที่ห้อง ภาษาใบ้เราเรียนมาแล้ว

เขาก็บอกว่า "เอาละท่านที่เคารพ นิมนต์พักผ่อนให้สบาย บ้านผมไม่มีใคร" เลยรู้จักกันมาจนบัดนี้ ชอบพอกันมาก "เย็น ๆ ๔ โมงครึ่ง รถมาผมจะขับรถไปส่งท่านที่พักที่วัดอาจารย์ศรัทธาติสสะมหาเถระครับ" เขารู้เพราะเขาประชุมกับอาตมาด้วย ไปนั่งใกล้ ๆ กัน เขาจำอาตมาได้ อาตมาจำเขาไม่ได้ พอคุยกับเขาเสร็จก็เอนหลังไปนิดนึง พอถึงสี่โมงครึ่งเขาขับรถไปส่ง ตอนหลังเหลืออีกสองวันจะกลับ เขาบริการไปโน่นไปนี่ให้รู้จักกันมาจนทุกวันนี้ นี่อำนาจบุญกุศลเป็นไปได้ดังที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่อาตมาจะอธิษฐานแล้ว ส้วมจะหล่นมาแบบนั้น แต่ขอให้ได้ความสะดวกในการบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ ขอให้ร้อนถึงสักรินทร์เทวราช ถ้าบุญกุศลมีจริงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้รับความสะดวกสบายด้วยเถิด อย่างนี้ก็ทำให้เกิดความสะดวก ทำให้เกิดสังหรณ์ใจ เทพสังหรณ์เศรษฐี ทำให้หันหน้ามาดูเรา และสนใจกับเราต่อไป นี่เรียกว่าเทพสังหรณ์ เรื่องบุญกุศลมีความจริงแน่นอน

ขออำนาจบุญกุศลดลบันดาลบรรดาญาติพี่น้อง ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน โปรดใส่ใจในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นบุญเขตอันสำคัญด้วย ทาน ศีล และภาวนา ทานสู้ ศีลไม่ได้ เพราะเราบริจาคทานเหมือนไปเรือถ่อ เรือพาย แต่หากว่ามีศีลด้วย เหมือนสินค้า เราไปรถไว้ขึ้นหน่อย ถ้าเร้ามีภาวนาแล้ว เหมือนสินค้าที่เราบรรทุกเครื่องบิน ด่วนจี๋ ทันท่วงทีถึงพระนิพพานโดยพลัน......


ที่มา: http://www.jarun.org/v5/th/lrule02p0501.html

1305
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ :054:
ขออนุญาตขยายความของคำว่า....โยนิโสมนสิการ...เพื่อการศึกษาเพิ่มเติมครับ :054:
ดังนี้

โยนิโสมนสิการ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โยนิโสมนสิการ (ปัญจาบ: yonisomanasikāra; คำอ่าน: โยนิโสมะนะสิกาน) หมายถึง การทำในใจให้แยบคาย กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒[1]
การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดย อุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย [2]เช่น

คิดจากเหตุไปหาผล
คิดจากผลไปหาเหตุ
คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่
คิดเน้นเฉพาะจุดที่ทำให้เกิด
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ส่งเสรีมให้เจริญ
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ทำให้เสื่อม
คิดเห็นสิ่งที่มา ตัดขาดให้ดับ
คิดแบบ แยกแยะองค์ประกอบ
คิดแบบ มองเป็นองค์รวม
คิดแบบ อะไรเป็นไปได้ หรึอเป็นไปไม่ได้


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3

1306
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ  :054:
ขออนุญาตนำภาพบนเขามาลงประกอบครับ

ช่วงฝนตกปรอยๆ

1307

ร่างหนึ่งนอนในห้องไอ.ซี.ยู...................แต่อีกร่างไปปรากฏให้แม่เห็น !!!]

.......คงจะต้องยอมรับว่าอาชีพของนักข่าว สิ่งที่จะต้องพบเห็นอยู่เป็นประจำได้แก่ อุบัติเหตุ ใครจะเชื่อบ้างว่าเพียงเศษเสี้ยวของวินาที หากว่าเรามีความประมาท ความหายนะจะเกิดขึ้นทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนึ่งในทีมงานของพวกผม มันทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงพิษสงของคำว่า อุบัติเหตุยิ่งขึ้น
คืนนั้นผมและพวกเพื่อนๆ กำลังนั่งจิบเบียร์อยู่ที่คาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งริมอยู่ริมถนนทางจะไปจังหวัดระยอง ขณะที่กำลังกินเหล้าออกรสอยู่นั้น ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมเตรียมฟิล์มมาแค่ 2 ม้วน แต่งานของผมมันจะต้องใช้ฟิล์มไม่ต่ำกว่า 4 ม้วน ผมจึงจะเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด แต่พวกเพื่อนๆ ไม่เชื่อ คิดว่าผมจะหนีไปเที่ยวคนเดียว น้องเล็กหนึ่งในทีมงานของพวกเราจึงขันอาสา จะขับรถเข้าไปซื้อฟิล์มตัวจังหวัดระยองเอง ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าน้องเล็กเป็นคนขับไม่ประมาท ฝีมือดีทีเดียว

...........ผมส่งกุญแจให้น้องเล็กขับเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด จากนั้นก็มานั่งกินเหล้าต่ออย่างมีความสุข เหล้าหมดไปกลมหนึ่งแต่น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มเป็นห่วงกลัวว่าน้องเล็กจะประสบอุบัติเหตุ แต่พวกเพื่อนๆ บอกว่าผมคิดมากไปแล้ว
2 ชั่วโมงผ่านไป น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มกระสับกระส่าย คราวนี้พวกเพื่อนๆ ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที

"ท่าทางไม่ชอบมากลเสียแล้วโว้ย สงสัยไอ้เล็ก…"
"เฮ้ย หยุดพูดเรื่องอัปมงคล"
ความรู้สึกของผมในขณะนั้นมันเหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ความรู้สึกเช่นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
"ลองโทรสอบถามตำรวจดีกว่า บางทีมันอาจจะได้เรื่อง"
ผมรีบโทรไปสอบถามเจ้าที่ตำรวจ สภอ.เมืองระยอง เพื่อสอบถามว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า คำตอบที่ผมได้รับ มันทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน
"มีรถชนกันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว"
"มีคนเสียชีวิตหรือเปล่าครับ?"
"ไม่มีหรอกครับ มีแต่คนเจ็บตอนนี้อยู่ในร.พ."
"ผมขอทราบทะเบียนรถครับ"
"รอสักครู่นะครับ ผมจะสอบถามร้อยเวรให้"

.........เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเงียบไป พวกเพื่อนๆ คงจะเดาออกว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดมาตามสาย บอกทะเบียนรถที่ประสบอุบัติเหตุ
"หมายเลขทะเบียน กต. 4500 ครับ"
ความรู้สึกของผมในเวลานั้นยากจะบรรยาย มันคล้ายกับตกอยู่ในความฝันมากกว่า ผมไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา ความเสียหายของรถยนต์ เราสามารถซ่อมได้ให้มีสภาพเหมือนเดิม มีบริษัทประกันรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราบอกไม่ได้ว่า เขาจะหายเป็นปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า
พวกเราไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานอีกต่อไปแล้ว ปัญหาต่อมาก็คือ เราจะบอกแม่ของน้องเล็กถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะแม่ของน้องเล็กเป็นโรคหัวใจ
"เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เราบอกแม่ของน้องเล็กตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด วันพรุ่งนี้ผมจะโทร.ไปบอกว่าน้องเล็กมีงานด่วน ต้องไปต่างจังหวัดหลายวัน แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงน้องเล็ก"
.........ตอนนั้นผมยอมรับว่าหนักใจมาก ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเริ่มเรื่องนี้อย่างไรดี และในที่สุดผมก็คิดว่า พยายามพูดกับแม่น้องเล็กด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ อย่าให้แม่จับได้ว่าผมกำลังเครียด พูดให้สั้นที่สุด แล้วก็รีบวางโทรศัพท์ทันที
เมื่อผมโทรไปที่บ้านของน้องเล็ก ปรากฏว่าพี่สาวของน้องเล็กเป็นคนรับสาย ผมโล่งใจขึ้นมาทันที บางครั้งผมอาจจะเล่าความจริงกับพี่สาวของน้องเล็กก็ได้ แต่เหตุการณ์มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด และผมก็ต้องถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
"จะพูดกับน้องเล็กหรือ ตอนนี้เขาไม่อยู่หรอกจ๊ะ?"
"ผมมีเรื่องจะบอกกับพี่ว่า น้องเล็ก…" ผมเริ่มกลายเป็นคนพูดติดอ่างขึ้นมาทันที
"น้องเล็กเพิ่งจะออกไปจากบ้านเมื่อ 2 นาทีนี้เอง ได้ยินพูดว่าที่ทำงานให้ไปทำงานต่างจังหวัดอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหละจึงจะกลับ โทรเข้ามือถือซิจ๊ะน้อง"
ผมถึงกับขนลุกซู่ เมื่อได้ยินพี่สาวของน้องเล็กพูดอย่างนั้น
"พี่แน่ใจนะครับว่าน้องเล็กเพิ่งจะออกมาจากบ้านเมื่อครู่นี้"
"แน่ใจซิจ๊ะ ก็แม่ของน้องเล็กยังบอกให้น้องเล็กระวังตัว ดูแลสุขภาพให้ดีเลย"

..........ผมเล่าสิ่งที่ได้ยินจากปากของพี่สาวของน้องเล็กๆ ผมได้เล่าให้พวกเพื่อนๆ ฟัง ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร???
อาการของน้องเล็กดีขึ้นเป็นลำดับ หมอบอกว่าน้องเล็กเป็นคนแข็งแรง และมีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก ทำให้อาการป่วยหายเร็วกว่าคนทั่วไป
น้องเล็กเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ตอนนั้นมันรวดเร็วจนทำอะไรไม่ถูก เพราะรถอีกฝ่ายหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว น้องเล็กพยายามหักหลบแต่ไม่พ้น ในที่สุดจึงชนแบบประสานงาเต็มๆ

"ตอนนั้นผมยังมีสติดี สิ่งที่นึกถึงคือแม่ของผม ผมเป็นห่วงกลัวว่าแม่จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้พยายามรวบรวมสมาธิ ข่มความเจ็บปวด จากนั้นก็ส่งกระแสจิตไปที่บ้านผม ผมต้องการให้พี่สาวให้แม่ผมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมมีงานจะต้องออกต่างจังหวัดหลายวัน ก็ไม่คิดว่าผมจะทำได้"
..........น้องเล็กนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเกือบครึ่งเดือน แต่เขาก็สามารถปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาแม่ของเขาทุกวัน จนแม่และพี่สาวไม่ได้ระแคะระคายเลยว่า น้องเล็กประสบอุบัติเหตุจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาน้องเล็กได้ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำ โดยให้เหตุผลว่ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของน้องเล็ก

ผมพยายามค้นหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับคุณลุงบุญเสริม นาคใหม่ เจ้าหน้าที่ดูแลวัดบางกร่าง จ.สุพรรณบุรี คุณลุงบุญเสริมท่านได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องของ "พลังจิต"
"หากว่าคนเราได้รับการฝึกฝนพลังจิตอยู่เป็นประจำ เราก็สามารถที่จะถ่ายทอดพลังจิตของเราไปยังบุคคลอื่นได้ เราสามารถกำหนดภาพที่ส่งไปได้ด้วย เราต้องการให้เขาเห็นภาพอะไร หากว่าเรามีความผูกพันต่อกันแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรับภาพที่เราส่งไปได้

..........กรณีเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเล็ก ขณะนั้นน้องเล็กจะต้องมีความแน่วแน่ ต้องการอยากจะให้แม่กับพี่สาวเห็นภาพของเขา เขาก็สร้างภาพตัวของเขาให้แม่กับพี่สาวเห็น แต่สิ่งนี้น้อยคนจะทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนได้ การส่งพลังจิตแบบนี้ สมัยลุงยังเป็นหนุ่มๆ ก็ยังเคยทดลองกันมาแล้ว"

หลวงปู่ไสว "อดีต" เจ้าอาวาสวัดบางกร่าง ผู้ที่มี "สัมผัสที่ 6"
..........ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่ไสว อดีตเจ้าอาวาสของวัดบางกร่าง ท่านเป็นพระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียง และมีวิชาอาคมแก่กล้ามาก ท่านสามารถมองเห็นอนาคตได้อย่างแม่นยำ
"หากหลวงปู่ทักว่าไอ้คนนี้มีเคราะห์ ต้องมานอนในวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ หากคนนั้นไม่เชื่อคำทำนายของหลวงปู่ ไม่เกิน 3 วัน รับประกันได้เลยว่าจะต้องตายจริงๆ หลวงปู่ปากพระร่วง พูดคำไหนเป็นคำนั้น ท่านมีญาณพิเศษ ใครจะมาหาท่าน ท่านจะรู้ล่วงหน้าทุกครั้ง ลูกศิษย์เคยพิสูจน์กันมาแล้ว ซึ่งก็พบว่าเป็นความจริง หลวงปู่ท่านมีสัมผัสที่ 6 เหนือคนทั่วไป"
คงจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสักหน่อย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีคนสักกี่คนที่มีความเชื่อว่า เรื่องนี้เป็นความจริง !!!

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S2.htm

1308
กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!

    สถาบันค้นคว้าเรื่องราวทางจิตและวิญญาณ ในเวลานี้หลายประเทศในแถบซีกโลกตะวันตก ได้เริ่มหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากการค้นคว้าเรื่องของจิตและวิญญาณ ซึ่งชนชาติในทวีปแอฟริกาค้นคว้าอยู่นั้น ได้มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า วิญญาณมีจริง และมนุษย์บางคนสามารถติดต่อกับวิญญาณของคนตายได้จริง

    เราคงจะต้องติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากผมมีความคิดว่า การศึกษาเรื่องราวของวิญญาณ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมเชื่อว่าคงจะมีท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก มีความคิดเช่นเดียวกับผม คือ ต้องการอยากที่จะรู้ว่า เราตายไปแล้ว วิญญาณของเราจะมีความรู้สึกเช่นไร จะหิวมั้ย จะมีความรู้สึกหนาวรู้สึกร้อนหรือเปล่า คือเราอยากจะหาตำแหน่งความแน่นอนของตัวเราตอนที่ตายไปแล้วนั่นเอง

...........มีอยู่วันหนึ่งผมไปงานศพของพี่ชาย ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ผมนั่งอยู่กับหลานชาย ตอนนั้นมีคำถามเกิดขึ้นในใจผม คือ ผมอยากจะรู้ว่าพี่ชายของผมตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แน่นอนร่างของเขาอยู่ในโลง แต่จิตสำนึกของความเป็นคน ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ดับไปพร้อมกับร่าง ผมจึงพูดกับหลานของผม หลานผมตอบว่าเขาก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เขาก็เดาไม่ออกว่าวิญญาณของพี่ผมในเวลานั้นอยู่ที่ไหน?
หลังจากนั้นไม่นาน หลานคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทุกคนในบ้านไม่มีใครคาดฝันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น งานศพของหลานผม ความรู้สึกเหมือนเดิม รวมทั้งคำถามเดิมๆ คือ วิญญาณของหลานผมตอนนี้อยู่ที่ไหน ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง

...........แน่นอนครับ ตอนนี้หลานผมเขาได้คำตอบแล้วว่า คนเราเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะอยู่ที่ไหน แต่สำหรับผมยังไม่ได้คำตอบนั้น !
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบอกเล่าให้คนทั่วไปได้เข้าใจ มันรู้สึกว่าหลานผมอยู่ใกล้ๆ ผม เหมือนว่าเขาพยายามที่จะติดต่อกับผม แต่เราสื่อสารกันไม่ได้ เขามองเห็นผม แต่ผมมองไม่เห็นเขา
ผมเชื่อว่าในบางครั้งท่านคงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม คือ อยู่คนเดียวในห้องแต่กลับมีความรู้สึกอึดอัด เหมือนว่าภายในห้องมีคนอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ คน ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เหตุใดจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น
การที่คนเราจะล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้นั้น มันจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ในตัวของบุคคลดังกล่าว ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะมี แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับคนบางคนเท่านั้น และเกิดขึ้นในบางเวลาไม่ใช่เกิดทุกเวลา

...........คุณเฉลียว วิบูลย์มงคล เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสว่างรุ่งเรืองธรรมสถาน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานทางวิทยุ คุณเฉลียวเป็นผู้ที่มีญาณพิเศษ ซึ่งสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน่าพิศวง
"ทีแรกก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า แต่มันเกิดขึ้นบ่อยมาก จึงทำให้เชื่อว่าเรามีสัมผัสที่ 6 สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้จริงๆ"
"ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังได้มั้ยครับ?"
"มันมีหลายเรื่องด้วยกัน อย่างเช่นเรื่องเพื่อนจะมาหา เป็นเพื่อนเก่าสมัยที่เรียนหนังสือตอนเด็กๆ เราไม่ได้เจอกันมานานร่วมสิบๆ ปีแล้ว จู่ๆ เราก็เห็นหน้าเพื่อนคนนี้ จำชื่อเขาไม่ได้หรอกว่าเขาชื่ออะไร เพราะว่ามันนานมากแล้ว ตอนนั้นยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้เลย ทำไมจึงต้องนึกถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา และในวันรุ่งขึ้นก็เห็นเพื่อนคนนี้จริงๆ เขาก็ยังแปลกใจที่มาเจอกับเรา

...........อีกเรื่องเป็นอุบัติเหตุ ตอนที่กำลังเข้าเวรอยู่นั้น เราแว่วได้ยินเสียงเหมือนคนขอความช่วยเหลือ เขากำลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติรถชนกัน แต่ตอนนั้นไม่มีข่าวแจ้งเข้ามา เราก็วิทยุถามสายตรวจไปว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาไม่มี"
"แต่เราก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ?"
"ค่ะ ก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่สายตรวจยังไม่ทราบจุดเกิดเหตุเท่านั้น ตอนนั้นลองพยายามทำจิตให้ว่าง พอจิตเราว่างก็ค่อยๆ ปล่อยให้จิตลอยไปเรื่อยๆ แล้วก็ถามไปด้วยว่า อยู่ที่ไหน ถ้าอยากจะให้ช่วยต้องบอกว่าคนเจ็บอยู่ที่ไหน แล้วเราก็ค่อยๆ เห็นภาพลางๆ ปรากฏ มันเหมือนภาพในความฝัน มีหมอกควันขาวเต็มไปหมด เรารู้แล้วว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ที่ใด เราก็วิทยุบอกสายตรวจไปว่า ลองไปขับรถไปดูบริเวณทางเข้าน้ำตกห้วยยาง สงสัยว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น สายตรวจก็ขับรถ พักใหญ่เขาก็วิทยุมาบอกว่า มีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ มีคนตาย 1 คน บาดเจ็บ 2 คน ตอนนี้กำลังนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล"

"แสดงว่าคุณสามารถส่งกระแสจิตของคุณไปตามที่ต่างๆ ได้?"
"ไม่ใช่เลย ที่เราเห็นภาพต่างๆ ได้นั้น เกิดจากวิญญาณของคนตายต่างหาก วิญญาณคนตายซึ่งเป็นพ่อ ได้พยายามติดต่อกับเรา เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่าลูกของเขาได้รับบาดเจ็บ ขอให้เราส่งคนไปช่วย วิญญาณของผู้เป็นพ่อสื่อสารเข้ามาหาเรา ไม่ใช่เราส่งจิตไปหาเขา"
"มีความรู้สึกแบบนี้บ่อยมั้ยครับ?"
"ไม่บ่อยนักหรอก นานๆ ครั้งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เรื่องของการติดต่อกันระหว่างจิตของคนกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ มันขึ้นอยู่กับดวงวิญญาณด้วยว่า ต้องการอยากจะติดต่อกับเราหรือเปล่า หากว่าเขาไม่อยากจะติดต่อกับเรา เราก็ไม่อาจจะสื่อสารกับเขาได้เลย เหมือนวิทยุนั่นแหละ มีสถานีส่งแต่ไม่มีเครื่องรับ วิทยุก็ฟังไม่ได้"
"เคยพบกับเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับผีหรือวิญญาณบ้างหรือเปล่า?"
"ในชีวิตยังไม่เคยเจอผีเลย แต่เชื่อว่าในโลกนี้มีผีอยู่จริง คนอื่นๆ เขามาเล่าให้ฟังว่าเห็นผี คิดว่าที่ผีไม่มาปรากฏตัวให้เราเห็น น่าจะมาจากส่วนของงานที่เราทำ เป็นงานสาธารณะกุศล เป็นงานบุญ พวกผีจึงไม่กล้ามาหลอก"
"เคยออกปฏิบัติงานเก็บศพบ้างหรือหรือเปล่า?"
"เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ทุกคน จะต้องเก็บศพได้ ไม่มีใครรังเกียจซากศพหรอกค่ะ เพราะว่าคนเราสักวันก็จะต้องเป็นเหมือนเขา เป็นซากศพที่อาจจะนอนอยู่กลางถนน งานล้างป่าช้าก็จะต้องออกนอกสถานที่ ไปขุดศพที่ไม่มีญาติมาบำเพ็ญกุศล"
"ถามจริงๆ ทำไมจึงเลือกงานแบบนี้?"
"งานด้านสาธารณะกุศล เป็นงานบุญที่คนส่วนมากไม่ค่อยจะเข้าใจ และมักจะมองข้ามความสำคัญของงานนี้กันหมด เราไม่มีค่าจ้างค่าตอบแทน เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่มูลนิธิ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการคือ การได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกำลังมีสภาพทุกขเวทนา คนที่ได้รับบาดเจ็บนอนเจ็บปวดกลางถนน มีเลือดเต็มตัวไปหมด คนทั่วไปได้มอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เขาเหมือนรอความตาย พวกเราจึงอาสามาช่วยคนเจ็บพวกนั้น ซึ่งสักวันอาจจะเป็นตัวท่าน ญาติพี่น้องของท่านก็ได้"
"ส่วนมากแล้วอุบัติเหตุเกิดจากสาเหตุอะไรมากที่สุด?"
"เมาแล้วขับรถ เจอเป็นประจำนับศพไม่ถ้วนแล้ว อีกพวกก็คือประมาท ขับรถด้วยความคึกคะนอง ชอบลองของ คนอื่นจึงเดือดร้อนไปด้วย"
"คิดว่าจะทำงานให้กับมูลนิธิ ฯ ไปอีกนานมั้ยครับ?"
"คงจะทำไปเรื่อยๆ เพราะทำแล้วมีความสบายใจ อีกทั้งยังได้บุญอีกด้วย"

..........ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ บางคนอาจจะมองพวกเขาในแง่ "ลบ" เพราะมีบางคนทำตัวเป็น "เหลือบ" ในวงการ  เราต้องแยกระหว่างคนดีกับคนเลว จะเอามาปะปนเหมารวมกันไม่ได้ จงให้ความเป็นธรรมกับคนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเถอะครับ !!!


ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S3.htm

1309
ผิดถูกประการใด โปรดอภัยและโปรดแก้ไขด้วย

พระพุทธเจ้ากับผลกรรมเก่า

ในพระไตรปิฏก มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว มีกรรม เป็นตัวให้กรรมเนิด มีกรรมเป็นตัวเกี่ยวข้อง

มีกรรมเป็น ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จักได้ผลกรรมนั้นแน่นอน...."

และว่า " ไม่ว่าจะไปอยู่กลางอากาศหรือหนีไปอยู่กลางทะเล จะช่วยให้คุ้มครองให้พ้นจากบาปกรรมได้ไม่มีเลย "

จากพุทธภาษิตนี้ พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาพระวินัย ได้นำมาเขียน สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า

"ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร สามารถห้ามได้ นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม

ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้"

ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน) ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ...

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์กรรม

เก่าที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน แล้วมาให้ผลใน ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่พ้นไป จากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้

กรรมเก่าอย่างแรก คือ แกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง

เกรงจะชักช้าจึงไล่แม่โคไม่ให้ดื่มน้ำ ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้ำให้ขุ่น บาปกรรมในชาตินั้นส่งผลมาถึงชาิตินี้

แม้จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ส่ง ผลให้พระองค์กระหายน้ำแล้วไม่ได้เสวยสมปรารถนาทันที เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธ ปรินิพพาน
กรรมเก่าอย่างที่สอง คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง

พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้ ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ"

ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย) พระัปัจเจกพระพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาิตินั้น บาปกรรมส่งผลให้

ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่

ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์ ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

พระองค์ได้ทรงกล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวกองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมา ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั้งครรภ์อีกเช่นกัน

กรรมเก่าอย่างที่สาม คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน

ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์เกรงว่าทรัพยสมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้นจึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขา

แล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาิตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ พระบาทจนห้อ พระโลหิต

กรรมเก่าอย่างที่สี่ คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแสนซน วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังเดินมา

จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้

แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยังหลงเหลืออยู่ก็ ส่งผลให้พระองค์ถูกไฟไหม้ที่พระบาท

กรรมเก่าอย่างที่ห้า คือ ไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาิติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มีพระปััจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง

วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้างให้จับ พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ

อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์

กรรมเก่าอย่างที่หก คือ นำทหารออกศึก

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาิติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า

เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า

กรรมเก่าอย่างที่เจ็ด คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลา

แล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระ

เศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร

กรรมอย่างที่แปด คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ
(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี)

และพูดแดกดันทำนองว่าให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆอย่างข้าวสาลีเลย

ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว

บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไปจำพรรษาในเมืองเวรัญชา

ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิดข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว(ข้าวแดง)อยู่นานถึง 3 เดือน

กรรมอย่างที่เก้า คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัดมวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วบาป

กรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)

กรรมอย่างที่สิบ คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย

ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยัง

หลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ(โรคท้องร่วง) หลัีงจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน

กรรมอย่างที่สิบเอ็ด คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ

(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี)

แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึงได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้

มาเกิดในชาตินี้ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผลกรรมนั้นจึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรม

จนต้องบำเพ็ญทุกขกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่าพระองค์ตรัสเล่า ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์

ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์ก็ทรง ตรัสถึงกรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วย

นั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์ตรัสเล่าว่าในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจนเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่าเป็นวัตรแล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่านพร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า

จากพระสาวกรูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนา แต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้

เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลา

ตราบที่ผู้ทำกรรมยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิตนี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้นยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี

พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะ

กรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้วแต่ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผลเต็มในชาตินี้

เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหนพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล.



ที่มา จากหนังสือ พ้นโลก ปีที่ 2 ฉบับที่ 12 เดือนมีนาคม พศ. 2535
เขียนโดย นายบรรจบ บรรณรุจิ
http://www.baanmaha.com/community/thread28111.html

1310
แม่ชีฉลอง มากทอง.........................กรรมเก่าแต่ปางก่อน

.......มีความเชื่อกันว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีกรรมติดตัว แต่จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง…หลวงพ่อชื่น หรือพระอธิการชื่น จิตวันโน เจ้าอาวาสวัดใหม่ประชาราษฎร์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ท่านเป็นพระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อชื่นมีคำสั่งสอนบรรดาศิษย์ของท่าน ด้วยคำพูดแบบชาวบ้านๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย ท่านเคยเทศน์เรื่อง กรรมเก่า ให้บรรดาญาติโยมของท่านฟังว่า เรื่องของกรรมเก่านั้นมีจริง กฏแห่งกรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เราหนีไม่พ้น..

กรรมเก่ามีจริง
"คนทั่วไปมักชอบพูดกันว่า กรรมตามสนอง ชดใช้เวรกรรม แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่ออย่างจริงๆ จังๆ ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกเชื่อแต่ปาก พูดตามความเคยชิน ที่พูดเช่นนี้เพราะสังเกตว่า คนที่พูดเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว เขาพูดโดยที่ตัวเขาไม่ได้เชื่อว่ามีจริง เพราะถ้าเชื่อว่ากรรมมีจริง ทำไมเขาจึงยังทำความชั่วอยู่อีก

...........คนที่ประพฤติแต่กรรมดีในชาติปางก่อน สิ่งที่ได้รับในชาตินี้คือสิ่งที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ เชื้อชาติ วงศ์ตระกูล รวมทั้งมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มีชีวิตตั้งอยู่บนความสุขสบาย แต่คนที่สร้างผลกรรมแต่ชาติปางก่อน สิ่งเป็นกรรมย้อนกลับคืนสนองในชาตินี้ คือความทุกข์ยากลำเข็ญ รูปร่างหน้าตาชั่วช้าอัปลักษณ์ มีวงศ์ตระกูลที่ต่ำต้อย คำเนินชีวิตอยู่บนความทุกข์ทรมาน"

...........แม้ว่าจะเชื่อเรื่องกรรมแห่งกรรม แต่คนเรามักจะมีความคิดว่า อีกนานกว่าที่กรรมจะตามทัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้ดูเหมือนว่าการเดินทางของ "กรรม" มันจะรวดเร็ว จนเราคาดไม่ถึง…หากสังเกตก็จะพบว่าเวลานี้คนที่สร้างเวรกรรมทำเข็ญกับคนอื่น ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ชาตินี้ผลกรรมก็ตามทันแล้ว คนร้ายที่ยิงคนตายตอนเช้า ปรากฏว่าตอนสายๆ ตำรวจก็ตามจับตัวมาลงโทษได้แล้ว การติดคุกติดตะราง เหมือนไม่ต่างกับการตกนรกทั้งเป็น บางคนทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาติดคุกติดตะราง ท้ายที่สุดก็ต้องตรอมใจตายในคุกนั่นเอง

ประสบการณ์จริง "กรรมเก่า"

..........แม่ชีฉลอง มากทอง ได้ถือศีลปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานร่วม 15 ปี ในเรื่องของกรรมเก่า แม่ชีฉลองได้เล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องจริง ซึ่งเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว แม้ว่ากาลเวลาจะเนินนานมากว่า 40 ปี แต่เหตุการณ์ทั้งหมด มันยังคงฝังตรึงอยู่ในความทรงจำ

"สมัยเมื่อตอนเด็กๆ ตัวของแม่ชีไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป คือชอบเก็บตัวเงียบ ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฐานะทางครอบครัวจัดว่ามีอันจะกินเลยทีเดียว คุณพ่อมีที่นาหลายร้อยไร่ มีข้าทาสบริวารหลายสิบคน ต่อมาคุณพ่อก็ล้มเจ็บ อาการของพ่อหนักมากทีเดียว พ่อเลยทำพินัยกรรมยกที่ดินให้พวกลูกๆ แม่ชีก็ได้ที่ดินมาพอสมควร

..........ตอนนั้นมีน้าชายเข้ามาอยู่ในบ้าน น้าของแม่ชีเป็นคนใจร้าย นิสัยดุดัน แม่ชีกลัวเขามาก ทุกครั้งที่ไม่มีคนอยู่ในบ้าน น้าจะต้องหาเรื่องทุบตีแม่ชีเป็นประจำ เขาอยากจะได้ที่ดินส่วนของแม่ชี แต่แม่ชีไม่ยกให้เขา เขาเลยโกรธมาก
เรื่องราวมันยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เมื่อน้าชายให้คนมาลอบฆ่าแม่ชี แต่เหมือนมีเสียงพรายกระซิบ เขามาเตือนให้แม่ชีรีบหนีไป อย่ากลับมาที่บ้านอีกเป็นอันขาด พวกพี่ๆ ของแม่ก็ถูกทำร้าย บางคนกลัวตายก็เลยต้องยกที่ดินให้ไป
หลังจากที่หนีออกจากบ้านแล้ว แม่ชีก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี เพราะไม่เคยมาไกลบ้าน เงินก็ไม่มีติดตัวเลย ต้องอาศัยนอนศาลาวัด มันลำบากมากทีเดียว พระท่านสงสารก็เอาข้าวมาให้กิน ประทังชีวิตรอดตายไปวันๆ ตอนนั้นรับจ้างทำงานสารพัด ได้เงินมานิดหน่อยๆ ก็เก็บเอาไว้ ในที่สุดก็เข้ากรุงเทพมาทำงานโรงงาน

..........ตอนที่มาทำงานในโรงงาน ความรู้สึกผิดปรกติเริ่มเกิดขึ้น มันเหมือนมีคนมากระซิบข้างหู บอกว่ากำลังจะมีเคราะห์ใหญ่ถึงกับเลือดตกยางออก แม่ชีก็ได้แต่ระวังตัวเรื่อยมา เคยเอาดวงไปให้หลวงพ่อท่านดู พอหลวงพ่อท่านเห็นดวงของแม่ชี ท่านถึงกับผงะตกใจ แล้วบอกว่าอาตมาดูดวงของแม่ชีไม่ได้หรอก แม่ชีไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีบารมีแต่ชาติก่อนย้อนกลับมาเกิด
ตอนที่ได้ยินก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าหลวงพ่อท่านล้อเล่น แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่ล้อเล่น นี่เป็นเรื่องจริง แล้วให้แม่ชีลองฝึกนั่งสมาธิดู แม่ชีบอกว่านั่งสมาธิไม่ได้หรอก เพราะเป็นคนไม่มีสมาธิ หลวงพ่อก็เลยสอนการนั่งสมาธิให้แม่ชี…

….......แม่ชีนั่งสมาธิในครั้งแรกเพียง 20 นาที ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นทันที เราสามารถเห็นภาพในอดีตแต่ชาติปางก่อน ตอนนั้นตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าชาติที่แล้วเราจะบุญวาสนาถึงเพียงนั้น พอนั่งไปเรื่อยๆ เราก็เห็นว่า ชาติที่แล้วเราทำกรรมอะไรไว้บ้าง เราชอบดุด่าบริวาร ชอบทำร้ายผู้อื่น ชอบทารุนสัตว์ เอามีดมาตัดนิ้วของเป็ดไก่ เห็นเลือดสดๆ ไหลนองพื้น มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก

แม่ชีได้ถามหลวงพ่อว่า ภาพที่เห็นทั้งหมดเป็นภาพลวงตาใช่หรือไม่ หลวงพ่อท่านบอกไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นภาพจริงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว ผลกรรมต่างๆ ที่แม่ชีได้ก่อเอาไว้ มันจะย้อนกลับมาในชาตินี้ ไม่มีทางจะหนีพ้น แม้ว่าจะสร้างกุศลผลบุญสักเท่าใด ก็ไม่อาจจะล้างหนี้กรรมได้เลย
........จากนั้นแม่ชีก็สมัครเข้าทำงานโรงงาน ตลอดเวลาก็ระวังตัว กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นกับตัวเอง วันหนึ่งกรรมเก่ามันก็ตามมาทัน แม่ชีกำลังป้อนชิ้นงานเข้าเครื่องตัด ปรากฏว่านิ้วกลางของแม่ชียื่นเข้าเครื่องมากไป คมของใบมีดเลยตัดนิ้วกลางขาดกระเด็น ตอนนั้นมันเจ็บปวดมาก เลือดแดงฉานไหลนองพื้น มันเหมือนภาพตอนที่เราตัดนิ้วเป็ดไก่ไม่มีผิด ในใจก็คิดว่าเราได้ชดใช้เวรกรรมไปแล้ว"
เมื่อต้องสูญเสียอวัยวะคือนิ้วกลางไปแล้ว แม่ชีก็ได้นั่งสมาธิเพื่อที่จะได้ล่วงรู้ถึงอนาคตว่า จะมีผลกรรมใดบังเกิดขึ้นกับตัวเองอีก

"ภาพที่ปรากฏในมิติเป็นภาพแม่ชีกำลังใช้เหล็กแหลม ทิ่มที่เท้าของทาสคนหนึ่ง มีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา ทาสคนนั้นแสดงความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่แม่ชีกลับไม่นึกอะไร เห็นความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นคิดว่าผลกรรมเรื่องนี้ จะต้องเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้
........วันหนึ่งแม่ชีกำลังรื้อกองไม้ ซึ่งไม้กองนั้นสูงมาก ขณะที่กำลังรื้ออยู่นั้น ไม้ท่อนหนึ่งมีตะปูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา ไม้ท่อนนั้นได้ตกลงมาที่เท้าของแม่ชี ตะปูได้กระแทกที่หลังเท้าของแม่ชี จนทะลุไปใต้ฝ่าเท้า ตอนนั้นมีความเจ็บปวดมาก แม่ชีเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนมอง เขาไม่ช่วยแถมยังหัวเราะชอบใจ แม่ชีนึกขึ้นมาได้ว่า มันเหมือนคนที่แม่ชีใช้เหล็กแหลมทิ่มนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรจะคอยติดตาม จองล้างจองผลาญเราถึงขนาดนี้"

.........ขอฝากเป็นข้อคิดมายังท่านผู้อ่าน เรื่องของกฎแห่งกรรม เรื่องของกรรมเก่า เป็นเรื่องที่เชื่อกันมานานแล้วว่า มีอยู่จริง !!!


ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S6.htm

1311

      มีผูสงหนังสือเรื่อง “กฎแหงกรรม”  มาใหผูเขียน  โดยมิไดแจงชื่อวาเปนผูใด  ก็ตองกราบขอบพระคุณไวณ ที่นี้    แตละเรื่องผูเลาเรื่องราวที่เกิดขึ้นลวนปจจุบันยังมีตัวตนและมีีชีวิตอยู    ใชชื่อจริงและนามสกุลจริง    โดยเลาเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแกตนเองและบุคคลใกลชิดในครอบครัวของตน    โดยมีหลวงพอองคหนึ่งชวยชี้แจงแถลงไขขอของใจในเหตุและผลที่ปรากฏอันสืบเนื่องมาจากกรรมเกาของตนที่ตามมา   ซึ่งกฎแหงกรรมนั้น ผูเขียนเชื่อวา  “เปนกฎแหงจักรวาล”  เปนกฎที่ดํารงความเปนจริง   เพียงแตผลที่จะติดตามมานั้น อาจเร็วชาไมอาจประมาณไดเทานั้น  เพราะมีปจจัยเสริมและปจจัยตัดรอนหลายประการ

   คุณพิทยาธร   จําปาเลิศ   ไดเลาเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของตน   โดยคุณพิทยาธรฯ เลาวา
มีอยูเหตุการณหนึ่งที่ทําใหขาพเจาเชื่อวากฎแหงกรรมมีจริง และตามสงผลเหมือนเงาตามตัว    ครั้งนั้นพี่เขยไปซื้อวัวมา เขาเลือกตัวที่ใหญที่สุดเพราะหวังวาจะมีนํ้าหนักมาก  จะไดขายไดกําไรมาก    แตปรากฏวาเมื่อผาทองของวัวออก    สิ่งที่ทุกคนเห็นก็ คือลูกวัวตัวออนๆ กระพริบตาปริบๆ หลุดออกมา ทันใดน้ันพี่เขยก็ไปความีด  แลวเอามีดแทงไปที่ลูกตาของลูกวัว ดวยความโกรธที่ไดวัวที่หนักเพราะมันมีทอง   ลูกวัวก็รองเหมือนเสียงรองของเด็กออน  แลวก็จับเอาลูกวัวตัวนั้นไปไวบนเขียงทั้งที่มันยังหายใจอยู  สับมันเปนชิ้นๆ อยางทารุณ  โยนลงหมอตม  แลวก็กินดวยความโกรธ

    กฎแหงกรรมไมเคยยกเวนใคร   วันหนึ่งขณะที่พี่เขยกําลังแลเนื้อ  หั่นเปนชิ้นๆ อยูนั้น  ขาพเจาก็เห็นพี่เขยเอามือที่ถือมีดปลายแหลมจิ้มไปในลูกตาของตัวเอง    ทําใหพี่เขยตาบอดไปขางหนึ่ง   นี่คงเปนกรรมที่พี่เขยเคยทําไวกับลูกวัว ตอมาอีกไมนาน  วันนั้นเปนวันพระ  ไมมีการลมวัว ขาพเจากําลังบดลูกชิ้นเนื้อดวยเครื่องปนอยู    พี่เขยเขามาชวยไดประมาณครึ่งชั่วโมง    ก็ไดยินเสียงพี่เขยรองเสียงดัง    ภาพที่เห็นก็ คือ เครื่องหั่นกําลังบดนิ้วทั้ง 5 นิ้วของพี่เขย  พอดึงมือออกมา  เหลือแตเอ็นสีขาวหอยรองแรง ทําใหพี่เขยคนนี้มือกุดในที่สุด

   ตอมาอีกไมนานพี่เขยของขาพเจา    ก็แขนขาดไป 1  ขาง  (ทอนแขนที่ขาดไปขนาดเทาๆ กับขาหนาลูกวัวที่พี่เขยสับขณะลูกวัวยังมีชีวิตอยู)   ตอมาพี่เขยกลายเปนคนสติไมดี  เพี้ยนๆ ไมเอาใครเลย ทิ้งลูกทิ้งครอบครัว  เอาแตกินเหลา จนเปนแอลกอฮอลลิสซึ่ม  หลังจากนั้นไมนานพี่เขยก็เสียชีวิต

    จากปญหาตางๆ ในครอบครัวของคุณพิทยาธรฯ   ทําใหคุณพิทยาธรฯตองการทราบถึงเรื่องราวของคุณพอ  คุณแมและตนเองเพิ่มเติม  ซึ่งหลวงพอไดตรวจดวงชะตาแลว  ใหฟงสรุปสาระสําคัญไดวา คุณพอ   เปนคนชอบดื่มเหลา   เจาชู   เมื่อตายไปแลวตองไปรับทุกขทรมานในยมโลก  แตเมื่อคุณพิทยาธรฯ ทําบุญอุทิศให  ทานสามารถรับบุญที่อุทิศไปใหได  สวนคุณแมซึ่งอยูกับคุณพอไมเคยกินเหลา   แตพอแยกทางกัน คุณแมก็ติดเหลา  เปนเพราะคุณแมทานประชดชีวิตที่ ผิดหวังเรื่องความรักในปจจุบัน    จึงไปดื่มเหลาและมีเรื่องชูสาวบอยๆ ประกอบกับกรรมในอดีตคุณแมเคยเกิดเปนผูชายเจาชู    ชาตินี้จึงไดผูชายเจาชูเปนสามี

     คุณแมตายแลวก็ไปยมโลกเชนกัน   กําลังถูกเจาหนาที่กรอกน้ําทองแดงรอนอยู  ทุกขทรมานมาก  เมื่อไดรับผลบุญที่อุทิศไปให  ทําใหไดรับลดหยอนผอนโทษลงมาแตยังไมหมดกรรม

    กรรมของพี่เขยที่เอามีดแทงลูกวัวจนบอด  แลวสับขาหนาลูกวัวขณะที่ลูกวัวขณะที่ลูกวัวยังมีชีวิตอยู    ทําใหพี่เขยเอามีดมาจิ้มตาตัวเองบอด    อีกทั้งเกิดอุบัติเหตุ    จนทําใหแขนขาดไปขนาดเทาขาหนาลูกวัวและที่ขาพเจาเกิดมามีชีวิตลําบากในวัยเด็ก    เพราะชาติที่ผานมาไปคบคนพาล  
ึจงทําใหมาเติบโตอยูในหมูคนที่ผิดศีลขอ 1 , 3, 5  ขาพเจาจะตองทําบุญ   ทําทาน   รักษาศีล  ปฏิบัติภาวนา    ทั้งดวยตนเองและชวนคนอื่นดวย    กรรมนี้จึงจะเบาบางและหมดไปได    และหลวงพอทานสรุปตอนทายวา    สาเหตุที่ขาพเจาเปนไทรอยด  ก็เพราะในอดีตชาติมีนิสัยใจรอน  โมโหงาย  พอโมโหแลวจะพูดคําที่ไมดีออกไป

     เมื่อรับฟงเรื่องราวของตนเองจบลงน้ําตาก็ไหลรินทันที    รูสึกใจหายและตกใจมากที่รูวาทั้งคุณพอ และคุณแมกําลังรับกรรมถูกทัณฑทรมานอยูในนรก    คุณแมกําลังไดรับความทุกขทรมานอยางมาก    แมจะทําใจอยูแลวแตก็ตกใจมาก    ที่ไดรับทราบวาคุณพอกับคุณแม   กําลังประสบกับความทุกขทรมานขนาดนั้น   รูสึกสงสารทานอยางจับใจ   แตก็ดีใจที่รูวาทานอยูในที่ที่ยังสามารถรับบุญที่เราอุทิศไปใหได  (ยมโลก)  คิดในใจทันทีวา    เราจะตองชวยทานใหพนจากความทุกขทรมานนั้นใหได   ดวยการตั้งใจทําความดีอยางสุดชีวิตมากกวาที่ผานมาทั้งหมด   ทั้งทําทานใหทาน   ทําทุกๆ บุญ ในชื่อของทาน   รักษาศีลดวยตนเอง   และนั่งสมาธิอยางเต็มที่    อีกทั้งยิ่งทําใหขาพเจาเกิดกําลังใจอยางมหาศาลในการที่จะอุทิศตน
เพื่อพระพุทธศาสนา    ใชเสียงและสติปญญาที่มีทั้งหมดนี้เพื่อขยายคําสอนอันมีคาขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาใหคนทั้งหลายมีโอกาสไดศึกษาและปฏิบัติตาม   เพราะประจักษกับตนเองแลววา  บุญบาปมีจริง  นรกสวรรคมีจริง  กฎแหงกรรมมีจริง  สักวันหนึ่งเราเองก็ตองตาย  ดังนั้นไมมีสิ่งใดที่จะมีคาและนําติดตัวเราไปไดนอกจาก “บุญ”

     ในสวนเรื่องของตัวเอง    ยอมรับวาหลังจากที่รู้ว่าไทรอยดเกิดจากบุพกรรมของ   เราเองที่เคยทําไวในอดีตชาติ    ทําใหคิดที่จะเลิกนิสัยที่ไมดีๆ ทั้งหมด    เพราะมันไมคุมกันเลยกับอารมณเพียงชั่ววูบที่ใจรอน โมโหงาย    พอโมโหแลว ก็จะพูดจาไมดีใหผูอื่นเจ็บช้ําน้ําใจ    แตวิบากกรรมไดเกิดขึ้นกับเราแลว    เดี๋ยวนี้ใจเย็นขึ้น    เวลาจะโมโหก็พยายามเตือนตัวเองเสมอวาที่เปนโรคอยูนี้    เพราะทํานิสัยไมดีพูดไมดีอยางนี้นะ   ก็จะสามารถระงับอารมณและคําพูดที่ไมดีไวได
 
    เมื่อขาพเจารูวาวิธีการที่จะสรางความดีใหยิ่งๆ ขึ้นไปจะตองทําอยางไร    เพื่อใหเราไมประสบเหตุการณเหมือนอยางในชาตินี้    ขาพเจายิ่งไปวัด    ปฏิบัติธรรม และสรางบุญไวมากๆ เพื่อจะไดเปนเสบียง และการเกิดใหมที่ดีในภพชาติตอไป ขาพเจาเชื่อวา นรกสวรรค  นั้นมีจริง ชาตินี้    ชาติหนา มีจริง    มีผูสามารถไปรูไปเห็นไดจริง    ไมใชมีเพียงแคในพระไตรปฎกกลาวไวเทานั้น    เหตุการณที่เกิดขึ้นกับตัวเอง   ยิ่งทําใหขาพเจาซาบซึ้งใน
พระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นวา    เปนศาสนาแหงการดําเนินชีวิตทั้งในปจจุบัน    และอนาคตจริงๆ

  การศึกษาเรื่องกฎแหงกรรมจากเรื่องราวชีวิตจริงของคนในปจจุบัน    ซึ่งมีตัวตนจริงทําใหเราศึกษาวิบากกรรมตางๆ ไดอยางชัดเจน และทําใหเรามีความคิดที่ถูกตองตามทํานองคลองธรรมในการดําเนินชีวิตอยางมีความสุขดวย
Y Y Y Y Y Y Y           Z Z Z Z Z Z

ที่มา
http://www.mongkoldham.com/text/sanRMC_206.pdf

1312
ธรรมะ / ตอบ: **สภาวธรรม**
« เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 01:21:53 »
สภาวธรรมทั้งปวง ..ล้วนไม่ควรยึดมั่น
    
บางท่าน ที่จดจ่ออยู่กับการทำงานนานๆ  สวดมนต์  ฝึกสมาธิ  รู้สึกตัวตลอด  เท่าทันความคิดและอารมณ์  เมื่อปล่อยวางภายในมากเข้า  เกิดมีอาการเหมือนหัวใจสั่น .. เต้นแรงขึ้นบางเวลา มีอาการวูบวาบทั่วร่างกายตลอด  หรือมีอาการเจ็บตรงกลางหน้าอกทั้งที่ภายในของตนเอง ก็ยังนิ่งๆอยู่ ไม่ได้ตึงเครียดอะไร  แต่สภาวะนี้ก็ไม่หายไป  บางท่านไปหาคุณหมอเพราะนึกว่า ตนเองเป็นโรคหัวใจ  ทานยาแล้ว สภาวะนี้ก็ไม่หาย

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสภาวธรรมที่เกิดจากการที่เรารู้สึกตัวมากขึ้น  ความรู้สึกจากภายนอกจะเข้าถึงภายใน จิตภายใน  ซึ่งเป็นสภาวะจิตปรมัตถ์ มีการเกิด-ดับตลอดเวลา จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น  เข้าสู่เส้นทางที่สมาธิ-ปัญญา เดินไปพร้อมกัน

บางครั้ง ประคองจิตไป จิตจะเริ่มนิ่ง ดิ่งลงภวังค์ เหมือนเคลิ้ม หรือเวลานอน อาจจะรู้สึกเหมือนนอนไม่หลับ เพราะจิตตื่นอยู่  ให้รู้สึกไว้ ... ความรู้สึกจะผสานกับความนิ่ง  จิตดิ่ง แต่รู้สึกตัวตื่นอยู่ในภวังค์

จิตที่อยู่ในเส้นทางมหาสติปัฏฐานสี่  อริยมรรคมีองค์แปด ... อาตาปี คือ ความเพียรเผากิเลส  สัญญากรรมในอดีตจะถูกคุ้ยขึ้นมา  ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดที่จิต  มีสัมปชัญญะ  คือ ความรู้สึก เห็นการเกิด-ดับไปตลอด  เป็นการทำลายความยึดมั่นในสัญญา

อาการต่างๆ เช่น แน่น อึดอัดหน้าอก  มึนศีรษะ  คล้ายจะอาเจียน  บางครั้งมีอาการหนาวๆร้อนๆ  ปวดเมื่อยถึงกระดูกข้างใน  มีสภาวะเหมือนลูกศรเสียบอก  เจ็บแปล๊บเข้าถึงหัวใจ  ถูกกระชาก ... ให้นิ่ง  รู้สึกที่จิต แล้วน้อมแผ่เมตตาไป ให้มีความสุข  สภาวธรรมเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้น  เป็นความก้าวหน้าทางการปฏิบัติ  และเป็นการชดใช้บาปกรรมทั้งหลาย ด้วยสภาวธรรม ภายใน  แต่สภาวธรรมทั้งหลาย ก็ไม่ควรยึดมั่น

เรือที่ตรงไปตามเข็มทิศ .. เมื่อเจอพายุหรือสิ่งรบกวน

ไม่หวั่นไหวออกไปนอกเส้นทาง  ย่อมถึงจุดหมายได้ฉันใด

จิตที่รู้สึกตัว .. ไม่ว่าสภาวธรรมใดเกิดขึ้น

ไม่ยึดมั่น จึงไม่หวั่นไหว ย่อมถึงจุดหมาย

คือ ความเป็นอิสระจากความทุกข์

พบความสุขที่แท้จริงได้ฉันนั้น


ที่มา
http://www.vipassanacm.com/th/view_story.aspx?id=23

1313
ธรรมะ / ตอบ: **สภาวธรรม**
« เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 01:11:55 »
ตอนที่ 2/2

องค์ธรรมได้แก่ การเจริญธรรมหมวด สติปัฏฐานสี่ อิทธิบาทสี่และสัมมัปปธานสี่

        หรือในขณะที่จิตเกิดสมาธิขึ้น ทางกายจะเกิดอาการสั่นไหว โยกเยก หมุน กระเพื่อม ร้อน หนาว หนัก เบา ตึง หย่อน อันเป็นสภาวธรรมของธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลมไฟ ปรากฏขึ้นมาแสดงความจริงของกาย เรียกว่าธรรมปีติ

        ในบางครั้งอาจเกิดนิมิต แสงสี ภาพ เกิดขึ้นทางจิต ซึ่งผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ในความเป็นจริงโดยกำหนดรู้และปล่อยวางไม่ยึดติดว่าเป็นสภาวธรรมขั้นสูง

         ตรงนี้แหละ เป็นช่วงการปรับอินทรีย์ คือ การเจริญอินทรีย์ ๕ พละ ๕  ได้แก่ การปรับศรัทธาและปัญญา วิริยะและสมาธิ ให้เสมอกัน โดยมีสติเป็นผู้เฝ้าดูและกำกับ จัดเป็นการเจริญธรรมหมวด อินทรีย์ ๕ พละ ๕

        จนกระทั่ง ผู้ปฏิบัติเริ่มเรียนรู้และเข้าใจในหลักการเจริญสติ ละทิ้งความยินดีติดใจในธรรมปีติทั้งปวง โดยหันมากำหนดรู้ในรูปนามอย่างจริงจัง ผู้ปฏิบัติจะเกิดสติและสมาธิ ว่องไวคมกล้า มีกำลังยิ่งขึ้น จนเห็นธรรมชาติของรูปและนามตามความเป็นจริง

        คือเห็นสามัญลักษณะของรูปและนาม ได้แก่ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา เรียกว่าเข้าสู่ สภาวธรรมจริงแท้ (ปรมัตถธรรม)

        ตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นสภาวธรรมขั้นวิปัสสนาญาณ(ปัญญารู้แจ้งในรูปและนามตามความเป็นจริง)

        ลำดับต่อไปเป็นการปฏิบัติอย่างเข้มข้นเพื่อเข้าสู่สภาวธรรมเบื้องสูง ที่เป็นลำดับของ ญาณ๑๖ (โสฬสญาณ) ดังที่กล่าวมา ซึ่งผมขออนุญาตละเว้นจะกล่าวถึงรายละเอียด เพราะเป็นเรื่องยากและไม่สมควรเล่า(เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมตรวจสอบกับอาจารย์ผู้สอนเท่านั้น)

        ซึ่งกล่าวได้โดยย่อว่า เป็นการเจริญสติ วิริยะ สมาธิ ศรัทธาและปัญญา ทั้งในแง่ความเป็นใหญ่และกำลัง ให้เกิดดุลยภาพในจิตแต่ละขณะ เป็นจิตที่สะอาดเต็มไปด้วยสภาพกุศลชั้นสูง ปราศจากนิวรณ์และเกิดปัญญาเห็นคล้อยตามความเป็นจริงของรูปและนามที่กำหนดรู้อยู่

       คือ รู้อนิจจัง หรือ รู้ทุกขัง หรือ รู้อนัตตา ทุกขณะจิต กล่าวได้ว่ามีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์

       กุศลธรรมขั้นสูงเกิดขึ้น ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจะยะสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์

       ต่อจากนี้ เมื่อจิตเต็มไปด้วยพลังสภาพกุศลของธรรมในหมวดต่างๆที่เกิดขึ้นหนุนเนื่องจิตในแต่ละขณะ เมื่อพร้อมเต็มที่ จิตจะแล่นเข้าสู่มรรคจิต ผลจิต ทันที
             
       เรียกว่าเกิด มรรค ๘ ในจิตขณะเดียว เป็น มรรคสมังคี (กุศลเจตสิก ๘ เกิดพร้อมกันในจิตดวงเดียว)
             
      การรู้ธรรมนี้เกิดขึ้นฉับไวเหมือน ช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น(สำนวนอุปมาของโบราณาจารย์)

      หากพิจารณาจากองค์ธรรม ได้แก่การเจริญ โพธิปักขิยธรรมทั้ง  ๓๗ ประการ ได้แก่
             
     สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔  สัมมัปปธาน ๔ (๑๒)

     อินทรีย์ ๕ พละ ๕ (๑๐)

     โพชฌงค์ ๗ (๗)

     มรรค ๘ (๘)

     รวมเป็นองค์ธรรมทั้ง ๓๗ ประการ ให้เกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์นั่นเอง

     พอเท่านี้ก่อนนะครับ นี่ขนาดว่าย่อๆแล้วนา หากจะเอาละเอียดกว่านี้ มีทางให้เลือกสองทางครับ

     คือ เชิญมาปฏิบัติธรรมจนรู้แจ้งเอง หรือไปสมัครเรียนพระอภิธรรมครับ


ที่มา
http://www.vipassanacm.com/th/view_story.aspx?id=23

1314
ธรรมะ / **สภาวธรรม**
« เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 01:07:54 »
สภาวธรรม

คำว่าสภาวธรรมมีความหมายลึกซึ้งทั้งทางกว้างและเจาะจงหลายระดับขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัตินั้นๆกำลังปฏิบัติอยู่ในระดับใด
 
       สภาวธรรม หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ในขณะปฏิบัติธรรมให้ผู้ปฏิบัติธรรมรับรู้ได้ บางครั้งก็เรียกว่าอารมณ์ของกรรมฐาน หรือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงของรูปนาม

        สภาวธรรม ในระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติธรรม ได้แก่สิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและทางใจ เมื่อผู้ปฏิบัติเจริญสติทางกาย ที่เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการเฝ้าดูกายในกาย เช่น การกำหนดอานาปานสติ หรือลมหายใจ การกำหนดพองยุบ เป็นการดูอาการของกายที่เคลื่อนไหว ในอิริยาบถใหญ่ต่างๆ การยืน เดิน นั่ง นอน และการเคลื่อนไหวทางกายในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด กระพริบตา กลืนน้ำลาย เหล่านี้เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ผู้เจริญสติเฝ้าติดตามดูและติดตามรู้ เป็นการสังเกตุพฤติกรรมทางกาย

       เรียกง่ายๆ ว่า การเฝ้ากำหนดดูอาการเคลื่อนไหวทางกายอยู่เนืองๆ

        เมื่อเฝ้าดูกายอยู่เสมอ ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นสภาพทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย เช่น อาการปวด เมื่อย เหน็บชา เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นติดตามมา เรียกว่าการกำหนด เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการเฝ้าดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของเวทนาทางกายและเวทนาทางใจต่อเนื่องกัน

         เมื่อจิตเกิดการรับรู้เวทนาทางกายและทางใจ จิตก็จะเกิดจิตที่ขุ่นมัว หงุดหงิด โกรธ เรียกว่าจิตโทสะ หรือเมื่อจิตยินดีในอารมณ์ ติดใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความสุขทางกายหรือทางใจ เรียกว่าจิตโลภะ เป็นการกำหนด จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้รู้เท่าทันจิตที่เสวยอารมณ์ต่างๆ

        ในขณะที่เจริญสติอยู่นั้น โดยเฉพาะในการนั่งสมาธิ จะเกิดสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องฝึกเรียนรู้ สภาวธรรมของจิต คือ นิวรณ์ธรรม ที่จะเกิดขึ้นทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น ฟุ้งคิด ง่วงเซาซึม ความคิดประหวัดถึงสิ่งที่ยึดติดชอบใจในกาม หงุดหงิด โกรธ พยาบาท จิตที่ลังเลสงสัย

         เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจในความเป็นจริงของจิตที่เป็นไปกับอารมณ์ต่างๆ เรียกว่า การเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน นี้ก็เรียกว่าอารมณ์กรรมฐานหรือสภาวธรรมได้เช่นกัน

       สิ่งที่ผู้ปฏิบัติเฝ้าเพียรกำหนดดูรู้อยู่อย่างนั้น ก็จะเกิดสภาวธรรม คือสภาพกุศลขึ้นในจิต เช่น ความอดทน ความพากเพียร ขันติ ที่อดทนสู้กับอารมณ์ต่างๆที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจในเรื่องของการสำรวมระวังในการรับและรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบอยู่เนืองๆ เป็นการระวังอกุศลมิให้เกิดขึ้นแก่จิต และเฝ้าระวังรักษาทวารต่างๆในการรับอารมณ์อยู่เสมอ

         เรียกว่า เกิดอินทรียสังวรศีล อันเป็นศีลของผู้ปฏิบัติธรรม


ที่มา
http://www.vipassanacm.com/th/view_story.aspx?id=23

1315
สภาพถาน(ส้วม)ในปัจจุบัน ไม่มีห้อง(อาบ)น้ำ
เป็นแบบชนิดชั่วคราว



1316
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ :054:
ขออนุญาตขยายความเกี่ยวกับพระไตรลักษณ์

สรุปลงในพระไตรลักษณ์
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14939.msg133816#msg133816
ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว (เพราะไม่กล้าที่จะลงมาต่ำ)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22156.msg181767#msg181767
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวขอให้ใจของเราสงบ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21847.msg179637#msg179637

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยะ (อริยกรธรรม) แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึงสามัญลักษณะ คือ กฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจลักษณะ ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งในโลกย่อมมีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ความเป็นทุกข์ คือ มีความบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ความที่ทุกสิ่งไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตามปรารถนา เป็นต้น
อ่านต่อ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23072.msg187407#msg187407

1317

    เลาโดยคุณจันทรา จันทรสุขสวัสดิ์  ซึ่งในวัยเด็ก ถูกพอเลี้ยงตบตีทารุณ   อีกทั้งตองกินขาวกับน้ำปลา ทุกมื้อ เปนเวลา 4-5 ปี   
เริ่มตนชีิิวิตการทํางานดวยวุฒิเพียง ม.3  เปนครูสอนหนังสือโรงเรียนเอกชนแหงหนึ่ง   ในจังหวัดสมุทรปราการ   ปจจุบันจบระดับปริญญาโท   ดานบริหารการศึกษา   เปนครูใหญและเปนเจาของโรงเรียนอนุบาล 2 แหง  ในป 2544  ไดรับรางวัลสตรีตัวอยาง  จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย  และในป 2548  ไดรับรางวัลบุคคลตัวอยางแหงป    จากมูลนิธิเดียวกันนี้    และยังมีรางวัลดีเดนดานอื่นๆ อีกหลายดาน   ที่ไดรับมาในชวงหลัง ไดเลาเรื่องจริงของตนที่คางคาใจมานานใหหลวงพอทานฟงวาในวัยเด็กดิฉันมีกรรมอะไรจึงถูกพอเลี้ยงตบตีทารุณตลอดเวลา  และมีกรรมอะไร จึงทําใหตนเองตองกินขาวกับน้ําปลาเปนเวลา 4-5  ปี จนทําใหชอบกินอาหารรสเค็มจัดจนถึงทุกวันนี้ 

    ทําไมชีวิตตองระเหเรรอนตั้งแตยังเด็ก บุญอะไรทําใหมีคุณนายมารับตัวไปเลี้ยงอยางดี    แตทําไมตอนเปนนักเรียนจึงมีนิสัยชอบขโมย    ไมวาเปนการขโมยเงิน หรือของกินถึงแมจะเรียนมัธยมแลวก็ตาม เมื่อกลับมาถึงบานจะเปลี่ยนเสื้อผาเปนชุดหลวมๆ แลวออกไปขโมยขนมใสพุงมาจนเต็ม

    ทําไมแมถึงไมรักตัวดิฉันเทากับนองๆ ทั้ง 3  คน เพราะอะไร และแมมักจะพูดใหเสียใจนอยใจเสมอ ถึงแมดิฉันจะเปนเจาของโรงเรียนแลว แมก็ยังพูดใหเสียใจอยูเสมอๆ แมเสียชีวิตดวยโรคมะเร็งที่โพรงจมูก   กอนแมเสียชีวิต   ดิฉันตั้งใจดูแลรักษาแมดวยเงินของตนเองคนเดียว ใกลสิ้นใจแมก็ยังไมเรียกหา   กลับเรียกหานองๆ แมพูดวาแมอยากกอดนองๆ ทําไมเปนเชนนั้น   เวลาทําบุญทุกบุญดิฉันจะอุทิศใหแมทั้งหมด   แมไดรับบุญที่อุทิศใหหรือไม ตอนนี้แมอยูที่ไหน

    หลวงพอทานพูดใหฟงวา   กฎแหงกรรมเปนเรื่องมีจริง   คนทั่วไปจะมีความเชื่อกฎแหงกรรมในสวนเฉพาะที่รับรูในขณะที่ไดกระทําไวในชาตินี้ แตมีกฎแหงกรรมที่เปนกรรมที่เคยทํากันไวในอดีต เมื่อชาติกอนๆ และมาสงผลในชาติปจจุบัน  ซึ่งนอยคนนักจะรูความจริงในขอนี้  โดยหลวงพอทานใหคําตอบ ดังนี้
   
     ดวยผลของกรรมที่จันทราเคยทําไวจึงไดมาเจอพอเลี้ยงทุบตีในชาตินี้    เนื่องจากในอดีตนั้น   เนื่องจากเคยเกิดเปนชาย   เปนพอคาฐานะมั่งคั่ง   แตมีนิสัยดุราย   ตระหนี่  ชอบตบตีขาทาสบริวารในเรือน    เมื่อไมพอใจขาทาสก็ใหอดขาว และมักจะกลาววา “ทํางานไมคุมขาวสุก”  ดวยกรรมนี้ทําใหมาเจอพอเลี้ยงที่ชอบตบตีทารุณกรรม  และ พอเลี้ยงชอบดาวาดวยถอยคําประโยคดังกลาวเปนประจํา
     
     ดวยเหตุของความตระหนี่ในชาติกอน   เชน   หวงขาวปลาอาหาร   ไมใหขาทาสบริวารอยูดีกินดี    ใหอดๆ อยากๆ ลงโทษใหอดอาหาร   ดวยเหตุนั้น    จึงทําใหชาตินี้ตองระเหเรรอนตองอดๆ อยากๆ ตองกินขาวกับน้ําปลาอยูหลายปและเนื่องจากวจีกรรมในอดีตชาติที่พูดไมดีกับขาทาสบริวาร    ทําใหกลับมาเปนกลากเกลื้อน   ทําใหใครเห็นจะรังเกียจ   

     แตเมื่อเลิกตระหนี่จึงเลี้ยงดูบริวารดีขึ้น   ใหการศึกษาแกขาทาสบริวาร    และสนับสนุนใหพระเณรเรียนหนังสือ    ดวยเหตุของการสนับสนุนผูอื่นใหไดรับการศึกษามาในอดีต    ทําใหมีคุณนายมารับไปเลี้ยงดูและใหการศึกษาในชาตินี้    สวนนิสัยที่ขโมยตอนเปนนักเรียน    เพราะในอดีตนั้นชอบรับซื้อของโจร    ชอบประกอบการคาดวยความคดโกง  มีกลโกงในการคา

     ผลของกรรมที่เกิดเปนผูหญิง   และไดรับคําพูดที่ทําใหเสียใจ   นอยใจ   เจ็บใจ ทําใหรูสึกวา  แมไมรัก ทั้งๆ ที่แมก็รักลูก

     แมตายแลวไปเกิดเปนบริวารของภุมมเทวดา  สายยักษ เพราะมักโกรธ ไดรับบุญที่จันทราอุทิศไปให   มีชีวิตที่ดีขึ้นกวาเดิม   มีอาหารทิพย   มีเสื้อผาดีขึ้น   แตยังเปนบริวารรับใชเขาอยู
   วันที่ดิฉันไดฟงเรื่องราวของตนเองจบลง ทําใหดิฉันเขาใจชัดเจนวาที่ตนเองมาเปนเชนนี้    มาเจอวิบากกรรมอยางนี้    เพราะเปนผลที่ดิฉันเคยทําไวในอดีตนั่นเอง  สิ่งที่เคยไดรับการทารุณตางๆ คิดวาเปนกรรมของดิฉัน ซึ่งดิฉันจําไมไดวาชาติกอนเคยทําอะไรไว   แตดิฉันก็เคยทํากรรมไว   เมื่อทราบวาเปนเพราะวิบากกรรมของตัวเองที่ทําไวในอดีต  จึงไมไดคิดแคนพอเลี้ยง    ความโกรธ    เกลียดนอยใจแม    ก็มลายหายสิ้น    ที่จริงแมรักดิฉันเหมือนลูกคนอื่นๆ แตเพราะวิบากกรรมของดิฉันมาบีบคั้นใหทานแสดงออกอยางนั้น  ตอนนี้จึงพยายามทําบุญอุทิศใหมากขึ้น

    ดิฉันอยากฝากกับทานผูอานทุกทานวา    ไมวาจะมีอดีตที่ดีหรือไมดี    ขอใหเชื่อวา  มาจากการกระทําของตนเอง  และตั้งใจ  สรางความดีใหยิ่งขึ้นไป  สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นกับตัวเองทั้งภพนี้และภพหนาคะนั่นคือ   
   
   สิ่งที่คุณจันทราฯ ได้เลาใหฟงในหนังสือกรณีศึกษาจริง  เกี่ยวกับกฎแหงกรรม

ที่มา
http://www.mongkoldham.com/text%5CsanRMC_208.pdf

1318
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง"กรรมทั้งสามทวาร"กรรมอันไหนที่ให้ผลร้ายแรงกว่ากัน

"การเข้าสู่ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ต้องยืมสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า มีพระสูตรพูดถึงฐานะและอฐานะ ความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้
ในหมวดธรรมที่ว่าด้วยความเป็นไปได้นั้น ท่านอธิบายว่า มนุษย์ปุถุชนทุกคนเป็นไปได้ที่จะปลงชีวิตพ่อแม่หรือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ได้
คือคนธรรมดาทุกคน โอกาสที่จะทำอย่างนั้นมี แต่สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพระโสดาบันผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว
ข้อนี้ผมเข้าใจว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจและเห็นใจบุคคลที่เรามักจะมองหรือตัดสินเขาเป็นฆาตกรโดยกำเนิดหรือมีสันดานเป็นฆาตกร
คนธรรมดาทั่วไปที่เรียกว่ากัลยาณชนหรือคนดีนั้น โอกาสที่ฆ่าพ่อแม่ก็มี ถ้ามีความบีบคั้นหรือลืมสติอย่างรุนแรง
แม้พระโพธิสัตว์ในเรื่องชาดก เมื่อแม่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมถึงกับทำร้ายร่างการแม่"

"คนร้ายหรือฆาตกรน่าจะไดัรับการดูแลเพื่อปรับกระบวนทัศน์ด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด มีสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือการเคารพชีวิต ไม่ได้หมายถึงการเคารพชีวิตของคนดี คนที่ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น"

"ดูตัวอย่างจากพระไตรปิฎกบ้าง เรื่องของการลงทัณฑ์
คราวหนึ่งมีการถกประเด็นในเรื่องของทัณฑะสาม คือการลงทัณฑ์ในสามทวาร กายทัณฑะ วจีทัณฑะ มโนทัณฑะ
ถกกันว่าอันไหนมีผลร้ายแรงกว่ากัน ระหว่างกายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม คือเรื่องหลักกรรมในพุทธศาสนานั่นเอง ศาสดาฝ่ายลัทธิหนึ่ง ก็บอกว่ากายทัณฑะแรงกว่า อย่างเราคิดจะฆ่าเขา เป็นมโนกรรม แต่เราก็ไม่ได้ฆ่าเขาสักหน่อย เราด่าเขาเป็นวจีกรรม ก็ยังน้อยกว่าตี ดังนั้นการทัณฑะคือการลงทัณฑ์ทางกายซึ่งแรงกว่า ดังนั้นโทษย่อมแรงตาม ก็ดูจะเข้ากับสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มโนกรรมแรงกว่า การคิดร้ายส่งผลรุนแรงต่อชีวิตมากกว่า ฟังดูอาจไม่ค่อยเข้าเหตุเข้าผลสักเท่าไร
เพราะน้ำหนักดูน้อยมาก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านต้องยกอุปมา อุปมัยว่า สมมุติมีชายคนหนึ่งเป็นนักโทษฆ่าคน
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามจับไปลงโทษแต่นักโทษคนนั้นไปล้มตายเอง พระพุทธเจ้าทรงถามว่า
แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องตามจับร่างกายของเขาที่ตายแล้วไปขังหรือปล่าว ถ้ายืนยันว่ากายทัณฑะสำคัญกว่าก็ต้องจับไปขังอีก
แต่ในความเป็นจริงคือเราไม่ขังคนที่ตายแล้วอีก ท่านก็สรุปว่า ในบรรดากรรมทั้งสามทวารนั้น มโนกรรมแรงกว่า
หากปราศการการดำริร้ายแล้ว การทำร้ายจะไม่มี การด่าว่าจะไม่มี การฆ่ากันทำร้ายกันจะไม่มี ทุกอย่างมันเริ่มที่จิตก่อน"

"ถ้าเรามองในแง่นี้ เรามาสู่บทสรุปที่ว่า จิตฝึกให้เข้าสู่ขบวนการอหิงสาได้ ผู้ที่เข้าใจว่าจิตฝึกไม่ได้ เนื่องจากยึดถือเรื่องกรรมเก่าผิดๆว่า
คนอย่างนี้หรือคนคนนี่ไม่มีทางสั่งสอนได้ เป็นความยึดติดในความรู้สึกส่วนตัวเกินไป การให้อภัยคนนี่เราสามารถทำได้อย่างถึงที่
แต่สำหรับบางคนอาจไม่ยอมให้อภัย ที่จริงสังคมไทยเรามีประสบการณ์ในเรื่องการกล่อมเกลาชีวิตของนักโทษ การให้บทเรียน ข้อคิด เช่น
นิมนต์พระไปเทศนาก่อนการประหาร เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่การเทศนานั้นมักเป็นเรื่องปลอบใจมากกว่า"

"ที่จริงการฆ่าคน ในขณะที่ฆ่า จิตหวั่นไหวทั้งนั้น สำหรับชาวพุทธแล้ว การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น นอกเหนือจากไม่ฆ่าแล้ว เรายังต้องเมตตาต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ ต่อสัตว์ด้วย นอกจากไม่ขโมยแล้ว เรายังต้องบริจาคทาน นอกจากไม่ผิดลูกเมียเขาอื่นแล้ว สำหรับคนที่เคร่งครัดยังต้องรักษาพรหมจรรย์ นอกจากไม่พูดเท็จต้องกล่าวคำสัตย์จริงด้วย นอกจากไม่เสพของมึนเมาพร่าสติตนเองแล้ว เรายังต้องเจริญสติแล้ว มองในแง่ทฤษฎี เรามีหลัก ทีนี้ในแง่ปฏิบัติ ภาวะจำยอม ภาวะจำเป็นมันมี ดังนั้นจะหาคนดีที่ปฏิบัติศีลทุกข้อ หายาก พระวินัยไม่ใช่กรอบหรือคอก แต่พระวินัยหรือระเบียบเหล่านั้นเป็นเหมือนรั้วสะพาน ถ้าคนแข็งแรงจริงๆ ไม่ต้องพึ่งสะพานก็ได้ เขาเดินข้ามแผ่นไม้แผ่นเดียวก็ได้ แต่คนทั่วไปอ่อนแอ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งราวสะพาน เพื่อเกาะเพื่อไต่ต่อไป แต่ถ้าใครเข้าใจผิดต่อราวสะพาน ยึดราวสะพานแล้วไม่เดินก็เป็นปัญหาอันใหม่ คือพวกยึดมั่นถือมั่นพระวินัย ก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาปัญญาได้"

"การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ถือเป็นบาปทั้งสิ้น ส่วนการปฏิบัติผมได้บอกแล้วว่ามนุษย์มีข้อปฏิบัติอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านเขาฆ่าปลาก็จริงแต่ฆ่าเพื่อกิน เพื่อให้อยู่รอด ไม่ได้มีจิตจะฆ่าเพื่อเบียดเบียนสัตว์ ดังนั้น สิ่งที่เขาตอบแทนสิ่งที่ล่วงลับไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่ คือการนับถือหรือบูชา เช่น ชาวอินเดียนแดงเชาฆ่าฝูงไบซัน เพราะฝูงไบซันคือผ้าห่มของเขา เขาก็บวงสรวงวิญญานให้ ถือว่าวิญญาณของสัตว์สูงกว่าวิญญานของมนุษย์ วิญญานมนุษย์อยู่ได้เพราะวิญญานสัตว์ แต่การที่คนหนึ่งทำบาป จ้างวานฆ่า ฆ่า หรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แล้วไปทำบุญชดเชย เราต้องแยกส่วน คือบาปต้องมีผลเป็นบาป ทำบาปก็ย่อมได้รับผลบาป ทำบุญได้รับผลบุญ เอามาชดเชยกันไม่ได้ แต่ว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่ควรทำ แทนที่จะทำบาปถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า บาปนั้นไม่ควรทำบ่อยๆ คือ ถ้าทำแล้วรู้ตัวว่ามันส่งผลไม่ดี มันเกิดผลสะเทือนจริงๆ แล้วไม่ต้องถามใครหรอกครับ จิตเราทำงานอยู่ พอเราไปทำอะไรจิตมันก็รู้อยู่ เรารู้ก่อนเพื่อน"

"การที่มือปืนทำบาปแล้วไปทำบุญ เขาจะได้ผลหรือไม่ การที่เขาทำบาป เขาได้รับบาปทั้งในขณะนั้นและในขณะอื่นถัดมา เช่น ญาติพี่น้องของคนที่เราทำกรรมเขาก็โกรธแค้นให้ หรือประชาชนหมิ่นน้ำใจหรือหลู่เกียรติ ไม่คบหา ทุรนทุรายในใจนั้นเป็นวิบากโดยตรงเลย จิตกระสับกระส่าย ไม่ตั้งมั่น หวั่นไหวง่าย เช่นเราทำบาปหรือทำผิดหรือแม้แต่คิดว่าผิด เราหวั่นไหว ขึ้นชื่อว่าปุถุชนมีเครื่องวัดอันหนึ่งคือสงสัยในการกระทำของตน ต่างว่าคนนั้นหลังจากทำบาป รู้สึกได้แล้วต่อทุกข์โทษของมัน แต่ที่จริงก็รู้สึกยังไม่ครบถ้วนหรอกครับ เพราะยังทำได้อีก เช่น บางคนฆ่าคนแล้วสำนึก แต่รุ่งขึ้นก็พร้อมจะฆ่าอีก เพราะเอาชนะจิตสำนึกไม่ได้ แสดงว่าจิตของเขายังสมาทานมิจฉาทิฐิ"

"เราจะอ้างว่าเราทำดีชดเชยความชั่วไม่ได้หรอกครับ เพราะต่างกรรมต่างวาระ หมายความว่าชั่วก็ต้องรับผลชั่ว แต่ถ้ารีบทำความดีเผื่อไว้บ้าง ก็พอจะได้รับผลดี ผลชั่วก็จะกินเวลาสั้นหน่อย แต่ชดเชยกันไม่ได้ แต่สามารถแทนที่ได้
แทนที่หมายความว่า ถ้าทำดีเรื่อย ๆ โอกาสทำชั่วก็จะน้อยลง แต่ถ้าทำชั่วมาก ๆ โอกาสทำดีก็น้อยลง"

"พระพุทธเจ้าให้คำนิยามของอกุศลกรรมและกุศลกรรมไว้ว่า กรรมใดทำแล้วเดือดร้อยภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี เดือดร้อนนี้หมายถึงเดือดร้อนตนเอง เดือดร้อนคนอื่นในขณะที่ทำ ภายหลังก็ต้องเดือดร้อนอีก ในทางกลับกัน กรรมใดทำแล้วตัวเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน ต่อมาภายหลังก็ไม่เดือดร้อน กรรมนั้นพึงทำ คือกุศลกรรม แต่ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นธรรมชาติธรรมดา คนทำบาปเขาก็สับสน เขาคิดผิดไม่ใช่เพราะเขาชั่วแต่กำเนิดหรอก"

"ปัญหาด้านหนึ่งต้องแก้โดยระบบ ต้องยืนพื้นอยู่บนระบบคิด เคารพต่อมนุษย์ มนุษยธรรม ความเคารพมนุษย์เกิดไม่ได้ด้วยทฤษฎีหรอกครับ ดูวันพระพุทธเจ้าออกบวชนะครับ การที่ท่านออกบวชนั้นคือการที่ท่านเบื่อและค้นพบความเหลวแหลกของอำนาจราชศักดิ์ต่างๆ ตัดสินใจไปเดินดิน ออกมาเป็นนักพรตเร่ร่อน แสดงว่าท่านยอมรับคนธรรมดาว่าทัดเทียมกับท่านแล้ว การออกมหาภิเนษกรมณ์นั้นคือการกลับเข้าสู่ฐานของความเป็นมนุษย์จริงๆเลย อำนาจราชศักดิ์เป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องอุปโลกน์กันขึ้น"
"ถ้าระบบมีความเป็นธรรมหรือเอื้ออาทร คงไม่มีใครอยากเป็นฆาตกร เป็นมือปืน"

"ทีนี้ถ้าพูดถึงผลสืบเนื่องมาจากเหตุ เช่นมือปืนที่ฆ่าคนแล้วต้องรับโทษ เราจะมีบทปลอบใจให้กำลังใจให้เขากลับตัวได้อย่างไร ผมอยากบอกว่าออกมาจากคุกแล้วก็อย่าคิดรวยเลย ผมนึกถึงคำของมหาตมะคานธีที่ว่า ยากจนโดยสมัครใจ ถ้ายากจนโดยไม่สมัครใจนี่ทุกข์ทรมานนะ ผมอยากจะพูดว่า ชีวิตไม่ได้สำเร็จเพราะเงินทอง จริงๆ แล้วชีวิตเราสำเร็จเพราะข้าวน้ำ เราไม่ได้ต้องการข้าวน้ำ อาหารมากเลย เพียงเราเห็นความจริงอันนี้ตรงๆ เรานุ่งกางเกงวันละตัว ใส่เสื้อวันละตัว เรากินข้าววันละสองสามมื้อ แล้วเรากินทีละคำ ไม่ได้กินทีละห้าคำสิบคำ ชีวิตดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องภายใต้กระแสกระบวนการธรรมชาติ การหายใจเข้า หายใจออก และเรามีโชคชะตาร่วมกันด้วย แล้วช่วงชีวิตที่เนิบช้า สอดคล้องเป็นจังหวะจะโคนนี่เอง คือความหมายของมัน การที่เราวิ่งเริดตลอดเวลานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรครับ การที่เราหวังจะมีเงินทองมากนั้นเป็นการวิ่งเริ่ดเตลิดเปิดเปิงไปตามความทะเยอทะยาน ขึ้นชื่อว่าความทะเยอทะยานแล้วจะสร้างขั้วต่างและแรงเหวี่ยง ความขัดแย้งในใจเรา แรงทะยานในภพชาติที่ทำให้เราเป็นทุกข์ พุทธศาสนามองว่ามีแรงชนิดหนึ่งในตัวมนุษย์ ทะเยอทะยานที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ ที่จะเสวยนั่นเสวยนี่ นี่คือแรงทะยานในภพชาติซึ่งทำให้เกิดแล้วเกิดอีก ถ้ามองไปสู่หลายวงจรชีวิตก็เรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้ามองในแง่ของการเกิดชั่วขณะ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูด เดี๋ยวเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เดี๋ยวเกิดเป็นเปรตบ้าง เดี๋ยวเกิดเป็นอสุรกายบ้าง ในชั่วขณะจิต จิตเราจะเข้าสู่อันใดอันหนึ่งเสมอไป มันเหนื่อยครับ "

"ผมคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ประเสริฐสุดแล้ว คือความสันโดษเป็นสุข แต่เราฟังไม่เข้าหูเอง เรากลับคิดกันว่าเงินคือความสุข เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ผมจำได้ว่าผู้ใหญ่สมัยก่อนมักให้พรว่า อยู่เย็นเป็นสุขนะลูกนะ เดี๋ยวนี้เขาให้พรกันว่าขอให้รวยๆนะ เราสูญเสียหลักในการดำเนินชีวิตที่แสนประเสริฐ ชีวิตไม่ได้ประเสริฐเพราะร่ำรวย ชีวิตที่ประเสริฐต้องมีความอิ่มในตัว ไม่อาจไปประกวดประชันกับใครได้"


ทัศนะจาก อาจารย์โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ)
จาก หนังสือเรื่อง ชีวิตจริงของคนรับจ้างฆ่า (มือปืน) โดย อรสม สุทธิสาคร
ที่มา
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=4472

1319
"เวรกรรมตามทันเห็นๆ" โจรปล้น-ฆ่าแท็กซี่ ขับรถหนี "ไปตกถนน"   



แล้วเวรกรรมก็ตามสนองนายทองคำ หรือเอก จันทรโชติ อายุ 28 ปี กับนายอาทิตย์ น้อยจันทรวงษ์ อายุ 18 ปี 2 โจรปล้นฆ่าแท็กซี่อย่างรวดเร็วทันควัน

หลังจากที่ร่วมกันฆ่านายกฤษณพัฒน์ เรืองสมบัติ อายุ 37 ปี คนขับแท็กซี่ที่ว่าจ้างมาจากอ.บางใหญ่ จ.นนทบุรีให้ไปส่งที่อยุธยาแล้วฉวยโอกาสลงมือสังหารเพื่อชิงรถหลบหนี

แต่สุดท้ายหนีไปได้ไม่ไกลรถเกิดเสียหลักตกลงไปข้างทางเลยจนมุมตำรวจจนได้


กรรมติดจรวดจริงๆ!!!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีแต่คนเห็นใจและสงสารนายกฤษณพัฒน์ โชเฟอร์แท็กซี่ที่ต้องมาจากไปเพราะคนใจบาปแท้ๆ ที่สำคัญ ครอบครัว "เรืองสมบัติ" ต้องมาสูญเสียหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงชีพไปอย่างไม่มีวันกลับ



ทิ้งลูกเมียให้เผชิญชีวิตกันตามลำพัง!!!

เหตุร้ายเกิดกับนายกฤษณพัฒน์ เปิดเผยขึ้นในตอนเช้าตรู่วันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.สมศักดิ์ ดาวสุข สารวัตรเวรสภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุพบศพคนถูกฆ่าทิ้งศพในแปลงนา บริเวณม.6 ต.ตลาดเกรียบ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาพร้อมด้วยพล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.พิชา รุจินาม รองผกก.(ป) พ.ต.ท.เกรียงไกรภพ อัธิปฎิเวชช รองผกก.สส. พ.ต.ท.เสริมศักดิ์ รุ่งเรือง รองผกก. กลุ่มงานสืบสวน ภ.พระนครศรีอยุธยา นำกำลังพร้อมหน่วยกู้ภัยเดินทางไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบว่าที่เกิดเหตุเป็นทางเปลี่ยวอยู่ห่างจากถนนลูกรังประมาณ 20 เมตร ภายในแปลงนาที่มีน้ำท่วมขังพบศพนายกฤษณพัฒน์ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 272/1 ซอยนพเก้า เขตบางซื่อ กทม. ถูกฆ่าตายในสภาพนอนหงาย ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า ตายคาเครื่องแบบคนขับรถแท็กซี่ สวมกางเกงขายาว ลำคอมีรอยถูกบีบเขียวช้ำ คาดว่าตายมาแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง ใกล้จุดพบศพพบโป๊ะไฟหลังคารถแท็กซี่มิเตอร์สีชมพู ถูกโยนทิ้งไว้บนกอผักตบชวาในแปลงนา บนถนนมีร่องรอยการต่อสู้เป็นทางยาว พบเข็มขัด มีดคัตเตอร์ พระเครื่อง สร้อยคอสแตนเลส ตะกรุดลูกปืน ตกกระจายเกลื่อนจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
คุมคนร้ายทำแผน




ตำรวจอยุธยารีบสืบหารถแท็กซี่ของผู้ตายทันที เพราะคาดว่าคนร้ายน่าจะหลบหนีไปไม่ไกล หรือไม่ก็อาจจะนำไปซ่อนไว้แถวนี้ แต่ยังไม่ทันขยับอะไร ตำรวจบางปะอินก็ได้รับการประสานจากพ.ต.อ.มนตรี จินดา ผกก.สภ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ว่าสามารถจับกุมคนร้ายที่ลงมือฆ่านายกฤษณพัฒน์เอาไว้ได้แล้ว พร้อมกับรถแท็กซี่มิเตอร์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทร 9540 กรุงเทพมหานคร ของสหกรณ์แท็กซี่ไทย จำกัด ที่คนร้ายขับมาประสบอุบัติเหตุในท้องที่สภ.ท่าตะโก โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเพิ่งก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ผู้ตายในท้องที่อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยามาหมาดๆ

สารวัตรสมศักดิ์รีบเดินทางไปโรงพักท่าตะโกทันที!!!

พอไปถึงจึงพบนายทองคำ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 19/3 ม.9 ต.ท่าขุนหลวง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร กับนายอาทิตย์ อยู่บ้านเลขที่ 114 ม.5 ต.นิคมคำสร้อย อ.เมือง จ.มุกดาหาร 2 โจรปล้นฆ่านายกฤษณพัฒน์ถูกจับกุมไว้ได้ในสภาพเมาแอ๋ โดยเบื้องหลังการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตอนตี 4 ของวันเดียวกัน 2 คนร้ายได้ขับรถแท็กซี่ที่ปล้นมาได้เข้ามายังท้องที่สภ.ท่าตะโก เพื่อจะมาหาแฟนสาวของนายทองคำที่มีบ้านอยู่ที่นี่

แต่พอรถแล่นมาถึงบริเวณทางเข้าวัดลาดเขาดิน หมู่ 2 ต.หนองหลวง อ.ท่าตะโก ได้เกิดเสียหลักพลิกคว่ำทันที ทำให้ 2 คนร้ายไปไหนไม่ได้ เมื่อตำรวจมาถึงจึงเข้าจับกุมนายทองคำเอาไว้ได้ในทันที ส่วนนายอาทิตย์เดินฝ่าความมืดหลบหนีไปไกลจากจุดเกิดเหตุประมาณ 7 ก.ม. แต่ผลสุดท้ายก็ต้องจนมุมตำรวจในภายหลัง

2 โจรสิ้นอิสรภาพทันที!!!

คนร้ายให้การรับสารภาพ ว่า วางแผนปล้นฆ่าแท็กซี่เพื่อเอารถไปขายหาเงินใช้ ก่อนเกิดเหตุนั่งกินเหล้าย้อมใจอยู่แถวอ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พอเมาได้ที่ตอนประมาณเที่ยงคืน ได้เรียกรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทร 9540 กรุงเทพมหานคร ของผู้ตายมาจากย่านบางใหญ่ให้มาส่งที่จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อมาถึงมุมเปลี่ยวในอ.บางปะอิน ได้ใช้มีดคัตเตอร์จี้บังคับให้นายกฤษณพัฒน์ ขับรถเข้ามายังจุดเกิดเหตุแล้วบังคับให้ลงจากรถ แต่นายกฤษณพัฒน์ต่อสู้จนถูกมีดบาดก่อนที่จะเปิดประตูวิ่งหนีลงไปทุ่งนา แล้วไปสะดุดกับข่ายที่วางดักปลาเอาไว้ พวกตนจึงตามไปทันแล้วบีบคอจับกดน้ำจนสิ้นใจตาย ก่อนที่จะค้นเอาเงินสดในตัวผู้ตายจำนวน 1 พันบาท แล้วช่วยกันถอดโป๊ะไฟบนหลังคาออกก่อนจะขับรถมาจ.นครสวรรค์เพื่อหาแฟนสาวของนายทองคำ แต่ก่อนจะถึงบ้านแฟนนายทองคำประมาณ 500 เมตร รถเกิดเสียหลักตกลงไปข้างทาง ไม่สามารถขับต่อไปได้จึงถูกตำรวจจับกุมได้ในที่สุด

เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบประวัติคนร้ายพบว่าทั้งสองคนมีคดีติดตัวทั้งคู่ โดยนายอาทิตย์มีคดีลักทรัพย์อาวุธปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจจ.ปทุมธานีมีการแจ้งความเอาไว้ ส่วนนายทองดำมีคดีฆ่าคนตายในท้องที่อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ อยู่ระหว่างการประกันตัวแต่ก็มาก่อเหตุซ้ำอีกจนได้

ที่สำคัญ จุดที่นายทองคำฆ่าคนตายก็อยู่ใกล้ๆ จุดที่รถคนร้ายประสบอุบัติเหตุซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 50 เมตร งานนี้จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเวรกรรมตามทันคนร้าย

ตำรวจอยุธยานำตัวกลับมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันที!!!

การจากไปของนายกฤษณพัฒน์สร้างความเศร้าใจให้กับครอบครัว "เรืองสมบัติ" ยิ่งนัก นางนิภาภรณ์ เรืองสมบัติ อายุ 30 ปี ภรรยานายกฤษณพัฒน์ เดินทางมารับศพสามีด้วยความเศร้าใจ ละล่ำละลักเปิดใจว่า สามีเป็นคนดี ทำมาหากินเลี้ยงลูกเมียเสมอมา ที่ผ่านมา จะกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน แต่คืนเกิดเหตุไม่กลับบ้าน เมื่อรู้อีกทีก็ได้ข่าวสามีถูกฆ่าตายแล้ว

"ไม่น่าทำกันเลย ทำไมต้องทำกับคนหาเช้ากินค่ำแบบนี้ ต่อไปชีวิตคงจะลำบากเพราะฉันไม่ได้ทำงานอะไร และยังต้องเลี้ยงดูลูกอีก อยากถามใจจริงๆ ว่าทำได้อย่างไร เราไม่เคยทำอะไรให้ ทำไมต้องมาทำกับเราแบบนี้" นางนิภาภรณ์กล่าวทั้งน้ำตา


กฎหมายจะเป็นผู้ลงโทษมันเอง

** สัตย์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มั่นทำความดี ละเว้นความชั่วนะเจ้าค่ะ

ที่มาจากหนังสือพิมพ์
คัดลอกจาก
http://www.yenta4.com/webboard/2/1182006.html

1320
เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย



สลดชีวิตสองผัวเมีย เคยร่ำรวยมีกิจการรถบรรทุก แต่ทั้งคู่ไม่เคยหันกลับไปดูแลพ่อ-แม่จนล้มป่วยและเสียชีวิต ทั้งฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ หลังพ่อ-แม่ป่วยตายชีวิตเริ่มตกต่ำ สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนฝ่ายเมียเป็นโรคเบาหวานจนต้องตัดขา ส่วนลูก 3 คนก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแล ยอมรับสำนึกและเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่เกิดผลในชาตินี้ วอนเป็นอุทาหรณ์ให้คนรุ่นหลังอย่าละเลยผู้ให้กำเนิด

          เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา นายณรงค์ ธีรจันทรางกูร นอภ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี รับการร้องเรียนจากนางประโลม ปราบศัตรู อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/5 หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตบ ว่ามีนายไพเราะ ทิมทอง อายุ 71 ปี และนางสะอาด ทิมทอง อายุ 65 ปี สองสามีภรรยาสภาพร่างกายพิการทั้งคู่ ดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือ โดยอาศัยอยู่ในกระต๊อบยกพื้นสูง ปูด้วยไม้อัดและปิดฝาผนังด้านหลังด้วยแผ่นสังกะสีเก่าๆ อยู่ในป่าละเมาะ ซอยเขาหมอน หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าสองสามีภรรยาเดือดร้อนหนัก หากปล่อยไว้โดยไม่มีใครดูแลอาจต้องเสียชีวิต

          ต่อมาผู้สื่อข่าวรุดไปตรวจสอบพบนางสะอาดสภาพขาซ้ายท่อนล่างขาด เหลือเพียง 3 ส่วน ส่วนนิ้วหัวแม่เท้าขวาถูกตัดขาด ขาลีบ ไม่มีแรง นั่งอยู่เคียงข้างกายนายไพเราะผู้เป็นสามีที่เป็นอัมพาต เดินไม่ได้ นอนทอดกายบนที่นอนบนแคร่ไม้อัดที่ยกพื้นสูง ภายในที่พักมีเพียงของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น เตาแก๊ส หม้อหุงข้าว ถ้วย ชาม ช้อน ส่วนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนสวมใส่แทบจะไม่มี 


          นางสะอาด เปิดเผยว่า ปรับทุกข์กับสามีเป็นประจำ เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่น่าจะมาลำบาก เคยเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุก มีที่ดิน มีฐานะดี แต่จู่ๆ ชีวิตก็เริ่มเลวร้าย ทรัพย์สมบัติต้องหมดไป มีความเห็นตรงกันว่าคงเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราทั้ง 2 คนทำไว้กับพ่อแม่บังเกิดเกล้าทั้ง 2 ฝ่าย คือตั้งแต่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านไม่เคยหวนกลับไปดูแลพ่อ แม่ แม้แต่ขณะเจ็บป่วย จนท่านเสียชีวิตไปก็ไม่มีโอกาสไปดูใจแต่อย่างใด หลังจากนั้นชีวิตเริ่มตกต่ำ โรคร้ายเข้ามาเยือน สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนตัวเองเป็นเบาหวานต้องตัดขามาหลายปี ลูก 3 คนก็ไม่เคยมาดูแล จึงเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่ตามมาลงโทษในชาตินี้ 

          ด้านนายไพเราะ กล่าวว่า ยอมรับว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ตอนนี้ต้องมาชดใช้ ตอนดีๆ เอาแต่หลงระเริงเป็นนายพรานฆ่าสัตว์ป่า ยิงเก้ง กวาง กระจง มาเป็นอาหาร ไม่เกรงต่อบาป ที่สำคัญไม่เคยกลับบ้านไปดูแลพ่อ แม่ พี่น้อง และผู้มีพระคุณเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ทำให้สำนึกได้ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะแก้ไข เพราะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตก็คือรอวันตายที่เข้ามาเยือนเท่านั้น จะสร้างบุญกุศลก็ไม่มีโอกาส ไม่มีเงิน เพียงขอฝากคนรุ่นหลังอย่าได้ละเลยต่อพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเรามา ถ้าผู้ใดปฏิบัติดีกับพ่อ แม่ จะไม่พบกับความลำบากอย่างนี้ และขอให้เชื่อเถิดว่ากรรมมีจริง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คัดลอกจาก
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1156176

1321
นับถือคนถ่ายภาพจริงๆ ถ่ายภาพนก ได้สวยงามมากๆครับ 25; 25;   
                                                                                                                                                       
(ขออนุญาตเข้ามาชมภาพ ขอบคุณมากครับ) :054: :054:

ตอนที่ผมเห็นภาพใหญ่ ก่อนย่อ
ภาพมันจะค่อยๆคลี่ลงด้านล่าง
ผมสังเกตุเห็นภาพคล้ายหน้าคนที่ต้นไม้(เปลือกไม้) :074: ลองสังเกตุดูครับ..... :075:
ภาพต้นฉบับ :073:
http://img37.imageshack.us/img37/9954/64852213.jpg

1322
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 08:41:17 »
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงที่อยู่แห่งผลกรรม

     “ ข้าแต่พระนาคเสน กรรมดีและกรรมชั่ว ที่บุคคลทำด้วยนามรูปนี้ไปอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ติดตามผู้ทำไปเหมือนกับเงาตามตัว ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า กรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่อาจชี้ได้ ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ยังไม่มีผล มหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่าผลอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ไม่อาจชี้ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อการสืบต่อยังไม่ขาด ก็ไม่อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้ว่ากรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ”
     พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความรู้สึกของผู้จะเกิดอีก

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นรู้หรือว่า เราจะเกิด ? ”
     “ ขอถวายพระพรรู้ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างชาวนาหว่านพืชลงที่แผ่นดินแล้ว เมื่อฝนตกดีเขารู้หรือว่า พืชจักงอกงามขึ้น ? ”
     “ รู้พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นก็รู้ว่า เราจักเกิด ”
     “ ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


 ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องที่อยู่ของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร มีจริง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้ได้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยการดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปลวไฟที่ดับไปแล้วมหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่า เปลวไฟนั้นไปอยู่ที่ไหน ? ”
     “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะเปลวไฟนั้นถึงซึ่งความไม่มีบัญญติแล้ว ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครอาจชี้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว ”


 จบวรรคที่ ๕


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1323
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 08:38:40 »
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไม่ก้าวย่างไปแห่งผู้จะเกิด

     “ ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปด้วย แต่ถือกำเนิดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร”
     “ ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์อุปมา ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่าบุรุษผู้หนึ่งเอาประทีปมาต่อประทีป ประทีปจะก้าวไปจากประทีปเก่าหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ก้าวไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรคงจำได้ว่าในเวลาที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ มีพระชันษาได้ ๑๐ ได้รับวิชาเลขและวิชากการต่าง ๆ ในสำนักอาจารย์หรือ ? ”
     “ ได้รับ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร วิชาเลขและศิลปะต่าง ๆ นั้น ก้าวย่างไปจากอาจารย์หรือไม่ ? ”
     “ ไม่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปเลย แต่ถือกำเนิดได้ ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ปัญหาที่ ๖ ถามถึงผู้สำเร็จเวทย์

     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อว่าตามปรมัตถ์แล้ว...ไม่มี ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ปัญหาที่ ๗ ถามถึงการก้าวไปแห่งสภาพ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน สภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวไปจากกายนี้สู่กายอื่นมีอยู่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่มีเลย ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวจากกายนี้ไปสู่กายอื่นไม่มี บุคคลก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายมิใช่หรือ ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าเขาไม่เกิดอีก ก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่เพราะเขายังเกิดอยู่ เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเช่นเดียวกับบุรุษคนหนึ่ง ขโมยมะม่วงที่ผู้อื่นปลูกไว้ เขาควรจักต้องได้รับโทษหรือไม่ ? ”
     “ ควรได้รับโทษ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร มะม่วงที่บุรุษนั้นขโมยไป ไม่ใช่มะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้เหตุใดผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มะม่วงเหล่านั้นอาศัยมะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้ จึงเกิดเป็นลำดับขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลย่อมทำกรรมดีหรือชั่วไว้ด้วย นามรูปนี้ แล้ว นามรูปอื่น ก็เกิดขึ้นด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
     “ แก้ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”



ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1324
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 08:36:38 »
ยังไม่จบตอนนะครับ ขออนุญาตต่อ....อ่านเพื่อศึกษาประเทืองปัญญากันครับ

ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธเจ้า

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร จริง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็น ?”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือพวกที่ไม่ได้เห็นมหาสมุทร รู้หรือไม่ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีน้ำลึกประมาณไม่ได้ หยั่งถึงพื้นได้ยาก เป็นที่ไหลไปรวมอยู่แห่งแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ความพร่องหรือความเต็มแห่งมหาสมุทรนั้นไม่ปรากฏแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ ก็ไหลไปสู่มหาสมุทรเนือง ๆ ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ อาตมภาพได้เห็นพระสาวกทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้สำเร็จนิพพานมีอยู่ จึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครเทียมถึง ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


  ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการรู้ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครยิ่งกว่า ? ”
     “ อาจรู้ ขอถวายพระพร ”
     “ อาจรู้ได้อย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อก่อนมีอาจารย์เลของค์หนึ่ง ชื่อว่า พระติสสเถระ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายปี แต่ถึงมรณภาพไปแล้วอาจารย์เลของค์นั้น ทำไมชื่อจึงยังปรากฏอยู่ ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจารย์เลของค์นั้นยังปรากฏอยู่ เป็นด้วยเลขที่ท่านบอกไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า เพราะธรรมเป็นของที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ”
     “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องการเห็นธรรม

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นธรรมะแล้วหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ธรรมะอันพระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนสาวก อันพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว พระสาวกควรปฏิบัติตามจนตลอดชีวิต ”
     “ แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


      ฏีกามิลินท์   
      
เพราะเหตุไร...พระนาคเสนจึงไม่ตอบว่าอาตมภาพได้เห็นธรรมะแล้ว ?
แก้ว่า...เพราะเหตุว่าพระเจ้ามิลินท์รู้แน่แล้วว่า พระเถระได้เห็นธรรมะแล้ว แต่อยากจะฟังคำตอบอันวิจิตร จึงตรัสถามเพื่อผู้ที่ยังไม่รู้ พระเถระทราบพระอัธยาศัยของพระเจ้ามิลินท์แล้ว จึงได้ตอบอย่างนั้น



ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1325
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ  :054:

ขออนุญาตขยายความจากบมกวีของท่าน เพื่อท่านอื่นได้อ่านเพิ่มเติมครับ
=========

   
เรียงร้อยเรื่องราวตามรายทาง...โลกทัศน์ ชีวทัศน์ วิศัยทัศน์
« เมื่อ: ๑๘ ก.ค. ๕๓, ๑๑:๓๗:๔๗ »
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17726.msg155178#msg155178
ภาพนกในกระทู้ที่ย่อแล้ว


1326
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 08:05:35 »
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานรู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
     “ ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
     “ ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือ ตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้าเป็นทุกข์ ? ”
     “ อ๋อ..รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ ? ”
     “ รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้าร้องไห้ครวญคราง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน ”
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

จบวรรคที่ ๔

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๕

  ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องความมีและความไม่มีแห่งพระพุทธเจ้า

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือ ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ไม่ได้เห็น ขอถวายพระพร ”
     “ ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าได้เห็นหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร อาจารย์ก็ไม่ได้เห็น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มี ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เห็นโอหานที คือ สะดือทะเลหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น พระราชบิดาของพระองค์ได้เห็นหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้นสะดือทะเลก็ไม่มี ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงโยมและพระราชบิดาของโยม ไม่ได้เห็นสะดือทะเลก็จริงแหล่ แต่ทว่าสะดือทะเลมีอยู่เป็นแน่ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงอาตมาและอาจารย์ของอาตมา ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าก็จริง แต่พระพุทธเจ้ามีอยู่แน่ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1327
ด้วยความยินดีครับ
และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ :054:

1328
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 07:38:37 »
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ ดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อ ”
     พระเถระเมื่อจะวิสัชนาแก้ไข จึงได้เอาธันกรก คือ กระบอกกรองน้ำ ตักน้ำขึ้นมาแล้วก็เอามือปิดปากธัมกรกไว้ เพื่อมิให้น้ำไหลลงไปได้ ถือไว้ให้พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรแล้ว พร้อมกับถวายพระพรว่า
     “ มหาบพิตรจงทรงสังเกตดูธัมกรกนี้เถิดลมทรงไว้ซึ่งน้ำในกระบอกนี้ฉันใด ถึงน้ำที่รองแผ่นดิน ลมก็รับไว้ฉันนั้น ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


  ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน นิโรธ คือ นิพพาน หรือ ? ”
     “ ถูกแล้ว มหาบพิตร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรจึงว่านิโรธคือนิพพาน ? ”
     “ ขอถวายพระพร อันว่าพาลปุถุชนทั้งหลาย ย่อมเพลิดเพลิดยินดีใน อายตนะภายในภายนอก ( ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) จึงถูกกระแสตัณหาพัดไป จึงไม่พ้นจากการเกิด แก่ ตาย โศกร่ำไร ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และคับแค้นใจ
     ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินยินดีในอายตนะภายในภายนอก เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดี ตัณหาก็ดับไป เมื่อตัณหาดับ อุปทานก็ดับ เมื่ออุปทานดับ ภพก็ดับ เมื่อภพดับ ชาติก็ดับ เมื่อชาติ คือ การเกิดดับ ความโศก ความร่ำไร ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และความคบแค้นใจก็ดับ เป็นอันว่า ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ อย่างนี้แหละมหาบพิตร จึงว่า นิโรธ คือ นิพพาน ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลทั้งหลายได้นิพพานเหมือนกันหมดหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่ได้นิพพานเหมือนกันหมด ”
     “ เหตุไฉนจึงไม่ได้ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติดี รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ รอบรู้ธรรมที่ควรรอบรู้ละธรรมที่ควรละ อบรมธรรมที่ควรอบรมกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ผู้นั้นก็ได้นิพพาน ”
     “ ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้า ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1329
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 07:25:37 »
อุปมาด้วยนกหัวขวาน

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นกหัวขวาน นกยูง ย่อมเคี้ยวกินไม้อันแข็งมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ไม้อันแข็งเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในท้องของนกหัวขวาน นกยูงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ลูกนกหัวขวานที่อยู่ในท้อง ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจ เพราะกรรมรักษาไว้ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

     อุปมาด้วยสตรี

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นางโยนก นางกษัตริย์ นางพราหมณ์ นางคฤหบดี ที่มีความสุขมาแต่กำเนิด ได้เคี้ยวกินของแข็ง ขนม ผลไม้ เนื้อ ปลาต่าง ๆ หรือไม่ ? ”
     “ เคี้ยวกิน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ของเหล่านั้นตกเข้าไปอยู่ในท้องของหญิงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ก็ลูกในท้องของหญิงเหล่านั้น ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้ในนรกตั้งหลายพันปี ก็ไม่ย่อยยับไป สัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า ”
      “ บาปกรรมที่เขาทำไว้ยังไม่สิ้นตราบใดเขาก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
     “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1330
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 07:23:46 »
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ไฟนรกร้อนมากว่าไฟปกติ ก้อนหินน้อย ๆ ทิ้งลงไปในไฟปกติ ไฟเผาอยู่ตลอดวันก็ไม่ย่อยยับ ส่วนก้อนหินโตเท่าปราสาททิ้งลงไปในไฟนรก ก็ย่อยยับไปในขณะเดียวดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อถึงคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกสัตว์นรกอยู่ในนรกได้ตั้งพัน ๆ ปีก็ไม่ย่อยยับไป ดังนี้ คำนี้โยมก็ไม่เชื่อ ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยอย่างไร…คือ พวกนกยูง ไก่ป่า มังกร จระเข้ เต่า ย่อมกินก้อนหินแข็ง ๆ ก้อนกรวดแข็ง ๆ จริงหรือ ? ”
     “ เออ…โยมได้ยินว่าจริงนะ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก้อนหินก้อนกรวดเหล่านั้น เข้าไปอยู่ภายในท้องของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แหลกย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
     “ แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก็สัตว์ที่อยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้น แหลกย่อยยับไปไหน ? ”
     “ ไม่แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้อยู่ในนรกตั้งหลายพันปีก็ไม่ย่อยยับไป เพราะกรรมคุ้มครองไว้ พวกสัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ”
     ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า
     “ บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นตราบใด สัตว์นรกก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”

    อุปมาด้วยราชสีห์

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลืองตัวเมีย ย่อมเคี้ยวกินของแข็ง ๆ เคี้ยวกินกระดูก เคี้ยวกินเนื้อมีอยู่หรือ ? ”
     “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร กระดูกที่เข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยไปไหม ? ”
     “ แหลกย่อยไป พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ลูกในท้องสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยยับไปไหม ? ”
     “ ไม่แหลก พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมรักษาไว้ แต่ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1331
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 25 พ.ค. 2554, 10:08:34 »
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทำเสียก่อน

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้แก่โยมว่า ทำอย่างไรทุกข์นี้จึงจะดับไปและทุกข์อื่นจึงจะไม่เกิดขึ้น ก็ควรรีบทำอย่างนั้น แต่โยมเห็นว่า ประโยชน์อะไรกับการรีบพยายามทำอย่างนั้น ต่อเมื่อถึงเวลา จึงควรทำไม่ใช่หรือ ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามก็จะไม่ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไปความรีบพยายามนั้นแหละ จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไป ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”

     อุปมาการขุดน้ำ

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าใจความข้อนี้อย่างไร…คือ เมื่อใดมหาบพิตรอยากเสวยน้ำ เมื่อนั้นมหาบพิตรจึงจะให้ขุดที่มีน้ำให้ขุดสระโบกขรณี ให้ขุดเหมืองน้ำว่า เราจักดื่มน้ำอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

     อุปมาการไถนา

     “ ขอถวายพระพร เมื่อใดมหาบพิตรหิว เมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจักให้ไถนา ปลูกข้าวสาลี หว่านพืช ขนข้าวมา หรือปลูกข้าวเหนียว ด้วยรับสั่งว่า เราจักกินข้าว ? ”
     “ ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

     อุปมาการทำสงคราม

     “ ขอถวายพระพร เมื่อใดสงครามมาติดบ้านเมือง เมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจะให้ขุดคู สร้างกำแพง สร้างเขื่อน สร้างป้อม ขนเสบียงอาหารมาไว้ ให้ฝึกหัดช้าง ม้า รถ ธนู ดาบ ? ”
     “ ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ตรัสประทานไว้ว่า ”
     “ บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตนควรรีบทำสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้ มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างพ่อค้าเกวียน คือ พ่อค้าเกวียนทิ้งทางเก่า อันเป็นทางเสมอ กว้างใหญ่ดี แล้วขับเกวียนไปในทางใหม่ ที่เป็นทางไม่เสมอดี เวลาเพลาเกวียนหักแล้วก็ซบเซาฉันใด
บุคคลผู้โง่เขลาหลีกออกจากธรรมะไม่ประพฤติตามธรรม จวนจะใกล้ตายก็จะต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียนที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น ”
     “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสมควรแล้ว ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1332

***  มีนิทานในธรรมบทหลายเรื่อง  ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นสามเณรเรียนบาลีอยู่สำนักเรียนวัดป่าแสงอรุณ  จังหวัดขอนแก่น  จำได้ขึ้นใจหลายเรื่อง   มีเรื่องหนึ่งโดนใจมากคือเรื่องพระภิกษุบำรุงเลี้ยงมารดาบิดา   ในสมัยพุทธกาลภิกษุรูปหนึ่งบิณฑบาตได้อาหารมาก็เอาให้ผู้บังเกิดเกล้ากินก่อน   ตนเองได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง    พระภิกษุเหล่าอื่นทราบเรื่อง   พากันติเตียนท่านว่า  เธอทำไม่ถูกไม่เหมาะที่นำอาหารบิณฑบาตไปให้คฤหัสถ์กินก่อน
พระพุทธเจ้าทรงทราบกลับสรรเสริญภิกษุรูปนั้นว่าทำถูกแล้ว  แม้จะบวชเป็นพระแล้วก็สามารถเลี้ยงบิดามารดาได้  และอาหารที่บิณฑบาตมาได้  ตถาคตอนุญาตให้เอาให้บิดามารดากินก่อนได้   คนรู้คุณคนและตอบแทนคุณคนอยู่ไหนก็ได้รับการสรรเสริญและประสบความเจริญ  ตรงกันข้ามกับคนอกตัญญูและคนเนรคุณ  ย่อมจะมีแต่ทางหายนะ  ดังเรื่องดังต่อไปนี้

                     บุรุษคนหนึ่งเรียนมนต์เสกมะม่วงมาจากคนจัณฑาลคนหนึ่ง  มนต์นี้สามารถเสกให้ต้นมะม่วงที่เพาะลงดินใหม่ ๆ  เติบโต  และมีดอกมีผลสุกงอมกินได้ในชั่วไม่กี่วินาที  (ถ้าเป็นปัจจุบัน๘๔  เรียงถ้อยร้อยเรื่องราวนี้รวยไม่รู้เรื่อง)อาจารย์ที่เป็นคนจัณฑาล  บอกเขาว่า  ถ้ามีใครถามว่า  ท่านเรียนมนต์มาจากใคร   จงบอกเขาไปตามความเป็นจริง  หาไม่มนต์จะคลายความขลัง  เขาก็รับปากรับคำอาจารย์เป็นอย่างดี   วันหนึ่งกิตติศัพท์ความเก่งกาจของเขาก็ล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์รับสั่งให้ตามเขาเข้าไปเฝ้า  แต่งตั้งให้เขาดูแลสวนมะม่วง   ในเวลาใดที่พระราชามีพระประสงค์จะเสวยมะม่วง   ก็รับสั่งให้เขาเสกถวาย  เขาไปยืนใกล้ต้นมะม่วงร่ายมนต์  พักเดียวก็ได้มะม่วงสุกอร่ามหอมหวานน่ากิน  เป็นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้ตรัสถามเขาว่า   เขาได้ไปเรียนมนต์นี้มาจากไหนกับใคร   ครั้นจะกราบทูลว่าเรียนมาจากคนจัณฑาล  ก็รู้สึกละอาย(กลัวคนอื่นรู้กำพืดตนเอง  เหมือนคนใหญ่คนโตในปัจจุบันนี้พอได้ดีแล้วได้เป็นใหญ่แล้วลืมกำพืดของตนเอง)  เขาจึงได้กราบทูลพระราชาว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเรียนมาจากอาจารย์ทิศาปาโมกข์  เมืองตักกสิลา  พ่ะย่ะคะ”   โกหกทั้งเพ
ในทันใดนั้นมนต์ที่เขาจำได้คล่องปากขึ้นใจ  ก็มีอันตรธานหายหมดไปสิ้น  นึกเท่าใดก็นึกไม่ออก  วันต่อมาเมื่อพระราชาให้เขาเสกมะม่วงให้เสวยอีก  เขาก็ทำไม่ได้  เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความจริงภายหลัง  จึงรับสั่งให้ราชบุรุษลงอาญาแก่เขาอย่างหนัก  และให้เนรเทศออกจากพระนคร   พร้อมรับสั่งว่า “คนอกตัญญูเลี้ยงไว้ได้”
 

ท่านทั้งหลาย  เลี้ยงอสรพิษไว้ในบ้าน  ยังไม่อันตรายเท่าเลี้ยงดูคนไม่รู้คุณคน  โบราณท่านว่าเอาไว้อย่างนั้นก็น่าจะเป็นความจริงในยุคปัจจุบันนี้  เราท่านทั้งหลายก็ทราบดี  เห็นได้ตามสื่อสารมวลชนต่าง  ๆ  ไม่เว้นในแต่ละวัน   สุนทรภู่  รัตนกวีเอกของชาติและของโลก  ได้กล่าวไว้ว่า

                                    ทรลักษณ์อักกตัญญุตาเขา                    เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน
                                    ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล                 พระเวทย์มนต์เสื่อมคลายทำลายยศ.
                                                                 และนักปราชญ์อีกท่านหนึ่งไว้ว่า
                                    ขึ้นชื่อว่าอกตัญญูคืองูพิษ                    มักแผลงฤทธิ์ทำร้ายเมื่อภายหลัง
                                    เลี้ยงไม่เชื่องเรื่องรักไม่พักฟัง               ใครจะยั้งก็ไม่อยู่เรื่องรู้คุณ
                                    ถึงเปรอปรนขนสมบัติพัสถาน                        เป็นธรรมทานเงินทองมากองขุน
                                    ทั้งแผ่นดินสิ้นแผ่นฟ้าด้วยการุณ         ชาติสกุลแล้วไม่มีภักดีใคร....
        
                   ***คนที่ชอบนินทาชาวบ้าน     อยู่ที่ไหนก็เสื่อมที่นั่น***


ขอบคุณที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1333
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 25 พ.ค. 2554, 09:48:00 »
ต่อจากตอนที่ 8
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22996#msg186894
============

- ตอนที่ ๙ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕


     “ ข้าแต่พระนาคเสน อายตนะ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กันหรือเกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกัน ? ”
     “ ขอถวายพระพร อายตนะ ๕ นั้น เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กัน ที่เกิดด้วยกรรมอันเดียวกันไม่มี ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร พืชต่าง ๆ ๕ ชนิดที่บุคคลหว่านลงไปในนาแห่งเดียวกัน ผลแห่งพืช ๕ ชนิดนั้น ก็เกิดต่าง ๆ กัน ฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้ ก็เกิดด้วยกรรมต่างกัน ฉันนั้น ที่เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกันไม่มี ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

  ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่เสมอกัน คือมนุษย์ทั้งหลายมีอายุน้อยก็มี มีอายุยืนยาวก็มี อาพาธมากก็มี อาพาธน้อยก็มี ผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีศักดิ์น้อยก็มี มีศักดิ์ใหญ่ก็มี มีโภคทรัพย์น้อยก็มี มีโภคทรัพย์มากก็มี มีตระกลูต่ำก็มี มีตระกลูสูงก็มี ไม่มีปัญญาก็มี มีปัญญาก็มี ? ”

     พระเถระจึงย้อนถามว่า
     “ ขอถวายพระพร เหตุใดต้นไม้ทั้งหลายจึงไม่เสมอกันสิ้น ต้นที่มีรสเปรี้ยวก็มี มีรสขมก็มี มีรสเผ็ดก็มี มีรสฝาดก็มี มีรสหวานก็มี ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะความต่างกันแห่งพืช ”
     “ ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือ มนุษย์ทั้งหลายไม่เสมอกันหมด เพราะกรรมต่างกัน ข้อนี้สมด้วยพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ”
     “ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมต่างกัน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมทำให้เกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่อาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวดีต่างกัน ”
     “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

1334
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7054 ข่าวสดรายวัน
มนุษย์ที่นรกถามหา

พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์
ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก/ราชบัณฑิต


         เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 ได้เกิดนิกายหนึ่งขึ้นในประเทศอินเดีย ดินแดนพระพุทธศาสนาชื่อ "มันตรยาน" นิกายนี้ถือพิธีกรรมเป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เน้นการท่องมนต์เพื่อป้องกันภัยและสร้างอำนาจแก่ตน

เวทมนตร์สำหรับท่องให้ขึ้นใจเรียกว่า "ธารณี" มีมากมายหลายบท แต่ละบทมีฝอย หรือการบรรยายสรรพคุณไว้เสร็จ เช่น มีอานุภาพในทางไหน ป้องกันเภทภัยอะไรบ้าง จะต้องมีกรรมวิธีในการทำซึ่งศัพท์เทคนิคเรียกว่า "มัณฑละ" อย่างไร เป็นต้น

          ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 13 มันตรยาน ได้เผยแผ่ไปยังเกาะลังกา โดยพระเถระชื่อนาคโพธิ หรือสมันตภัทระเป็นผู้นำไปเผยแผ่ ท่านรูปนี้เป็นพระขลัง ไปสำแดงอภินิหารให้ประชาชนเลื่อมใส่ เรื่องทำนองนี้ประชาชนส่วนใหญ่ชอบอยู่แล้ว จึงปรากฏว่าชั่วระยะไม่นาน นิกายมันตรยานก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พระสูตรสำคัญที่นิกายนี้นับถือชื่อ "วัชรเสขรสูตร" และผู้ที่อาคมกล้าขลังเรียกว่า "วัชราจารย์" เพราะฉะนั้น ชาวลังกาจึงเรียก มันตรยาน ว่า นิกาย "วัชรบรรพต" หรือ "วัชรยาน"

         ในสมัยที่มันตรยานแพร่หลายอยู่ที่ลังกา ทางประเทศคาบสมุทรมลายู ซึ่งมีอาณาจักรศรีวิชัยเป็นใหญ่อยู่ก็ได้รับเอาลัทธินี้โดยตรงจากอินเดีย แล้วแพร่เข้าไปยังอาณาจักรลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาจักรขอมโบราณ และอาณาจักรจัมปา

เราจะเห็นว่า แม้นิกายมันตรยานจะเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะหนึ่ง และบัดนี้แม้จะเสื่อมสูญไปแล้วก็ตาม แต่อิทธิพลของนิกายนี้ยังคงมีอยู่ และได้สำแดงออกมาในรูปพุทธาคม การปลุกเสกเครื่องรางของขลังลงเลขยันต์ต่างๆ

เหรียญหลวงปู่หลวงตาต่างๆ หรือพระพิมพ์ปางเล็กปางน้อยที่หล่อ หรือปั้นขึ้นมาแล้ว นิมนต์พระคุณเจ้าผู้ทรงวิทยาคุณจากสำนักต่างๆ มานั่งปลุกนั่งเสก อย่างที่เรียกในภาษายุทธจักรเครื่องรางของขลังว่า "นั่งปรก" นั้น ก็ล้วนได้อิทธิพลมาจากลัทธิมันตรยานนี้เอง

อย่าได้ไปโทษพราหมณ์กันนักเลย พราหมณ์เขาไม่มีพิธีปลุกเสกหรอกจะบอกให้

เมื่อผ่านกรรมวิธีขั้นปลุกเสกแล้ว ก็จะสร้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมากำกับอีกชั้นหนึ่ง พระหรือเหรียญแต่ละรุ่นแต่ละประเภท จะมี "ฝอย" หรือสรรพคุณเป็นของเฉพาะตน เช่น

เหรียญหลวงปู่สร้อย รุ่นเราชนะ มีสรรพคุณทางด้านป้องกันภยันตราย รบทันจับศึกที่ไหนชนะที่นั่น เหรียญรุ่นนี้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กลัวกันนักหนา

เหรียญหลวงพ่อโกย วัดป่าราบ มีสรรพคุณในทางแคล้วคลาด ศัตรูมุ่งร้ายทำอะไรไม่ได้ (ก็วิ่งหนีซะป่าราบ ไม่แคล้วคลาดได้ยังไง)

เหรียญแต่ละรุ่นแต่ละชนิด ต่างมีความศักดิ์สิทธิ์ไปองค์อย่างสองอย่าง ดังนั้น ชาวพุทธ (นิกายมันตรยาน) จึงต้องมีพระหรือเหรียญคนละหลายๆ องค์ เพื่อให้มีสรรพคุณครบทุกด้าน ไปไหนมาไหนก็ต้องนิมนต์ท่านตามไปคุ้มครองด้วย

เพียงองค์สององค์ก็ใส่กระเป๋าเสื้อได้ ไม่ลำบาก แต่เมื่อมากองค์เข้าก็ต้องหาสร้อยมาร้อยเป็นพวงไว้สวมคอ

บางคนสวมตั้งยี่สิบสามสิบองค์ เดินตัวโก่ง เพราะหนักหลวงพ่อ จนเพื่อนฝูงล้อว่า สวมหลวงพ่อหลายองค์ยังงี้ ไม่กลัวท่านเกี่ยงกันหรืออย่างไร

อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเลื่อมใส่ศรัทธาของคน มันพูดยาก คนที่เขานับถือหรือมีความเชื่อหนักแน่นเขาก็ย่อมมั่นใจในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่เขาพกเขาแขวนเป็นธรรมดา แม้จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างจนเขาประสบเภทภัย เขาก็จะไม่โทษหลวงพ่อว่าไม่ช่วย หรือช่วยเขาไม่ได้ แต่จะโทษตัวเองว่า "เราลืมอาราธนาท่าน ท่านจึงไม่ช่วย" อะไรทำนองนี้

ผมเองแม้จะไม่เชื่อในด้านความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คนอื่นเขาเชื่อกัน ผมก็มิได้ตำหนิคนที่แขวนพระ ไม่ว่าจะแขวนองค์เดียว หรือพวงโตจนเดินตัวโก่ง

เพราะนั่นเป็นความเชื่อความเลื่อมใสจากใจจริงของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังนับถือพระ มีพระอยู่ในใจ แม้ว่าพระที่เขานับถือจะเป็นเพียง "พระภายนอก" หรือวัตถุมงคลก็ตาม

ที่น่าตำหนิคือ พวกที่เห็นพระเป็นสินค้าสำหรับซื้อขาย พวกที่ตั้งอุตสาหกรรมโรงงานผลิตสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาขายเอาเงินบำรุงกระเพาะตัวเองจนร่ำรวย คนพวกนี้มีทั้งชาวบ้านอย่างเราๆ และผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง

พวกนี้ไม่ได้นับถือพระ แต่เป็นพวกเล่นพระ ถือพระเป็นของเล่นเหมือนกับนักเลงเล่นของเก่ายังไงยังงั้น ตั้งราคาซื้อขายหากำไรกันจนร่ำรวย

อยู่กับพระทั้งวัน จิตใจไม่เข้าถึงพระหรอก เผลอๆอาจลงนรกเช้า บ่าย เย็น สามเวลาหลังอาหารก็ได้

พระองค์หนึ่งลงทุนทำไมถึงยี่สิบบาท หลอกขายชาวบ้านองค์ละห้าร้อยหกร้อย หรือไม่ก็ปั๊มออกจากแม่พิมพ์เมื่อวานนี้ วันนี้นำมาหลอกขายเขาสามหมื่น อ้างว่าเป็นพระสมเด็จรุ่นแรก

มนุษย์ประเภทนี้ ยังจะมีนรกขุมไหนที่เขาไม่มีสิทธิจะตกบ้าง


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl6TURNMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB5TXc9PQ==

1335
***    พ่อแม่คู่หนึ่ง  บ้านอยู่ที่สุพรรณบุรี   มีลูกชายคนหนึ่งพออายุครบบวช  พ่อแม่และญาติพี่น้องจึงจัดบวชให้   พอถึงวันสุกดิบ  ได้ฆ่าวัวแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง   ทำเป็นอาหารเลี้ยงในงาน  พอวันรุ่งขึ้นแห่นาคไปวัด   ลูกวัวก็ได้เดินตามไปด้วย  คนจะไล่กลับอย่างไรก็ไม่กลับ  พอนาคเข้าในโบสถ์ลูกวัวนั้นก็ตามเข้าไปในโบสถ์ด้วยถึงกับต้องต้อนเอาวัวออกมาจากโบสถ์เป็นโกลาหล  พอหลังจากบวชได้  ๒  เดือน  พ่อแม่และญาติพี่น้องที่อยู่ในบ้านนี้  ก็เจ็บไข้ได้ป่วยถึงแก่ความตายกันหมดทั้งบ้าน   อนิจจา  ?


*** ชายคนหนึ่งบ้านอยู่ระหว่างวัดจักรวรรดิ์กับวัดบพิตรพิมุข  ได้ตะพาบน้ำขนาดใหญ่  หลังกว้างถึงศอกเศษมาตัวหนึ่ง  เขาก็เชือดขาและเชิงใกล้ขา  เอามาแกงเลี้ยงเพื่อนข้างหนึ่ง  ตะพาบถูกทรมานขนาดนี้ยังไม่ตาย  ต่อมาอีก  ๒-๓  วัน  เขาก็ฆ่าตะพาบตัวนั้นเอามากิน  ปีนั้นเขาก็เป็นอัมพาตที่มือทั้งสองข้าง   และเท้าข้างหนึ่งก็เดินไม่ได้   ไม่มีความรู้สึกเลย  แต่เท้าข้างหนึ่งกระดิกได้  ก็ได้แต่เสือกไปมา   เขาเป็นอยู่ประมาณ  ๑๐  วันก็ถึงแก่ความตาย


*** ชายคนหนึ่ง  บ้านอยู่ตำบลคลอง  ซอยที่๗  ตำบลหนองเสือ  จังหวัดนนทบุรี  (ปัจจุบันเป็นอำเภอธัญบุรี  จังหวัดปทุมธานี)   มีอาชีพทำนา   วันหนึ่งเขาเกิดบันดาลโทสะ  ได้เอาไม้กระบองตีควายเข้าที่หน้า   เผอิญไปถูกที่ตา  ทำให้ตาบอดมองไม่เห็นทั้ง  ๒  ข้าง  ต่อมาตาเขาเป็นต้อทั้ง  ๒  ข้าง     เหมือนตาควายที่เขาตี    นี้ก็เป็นกรรรมสนองกรรมทันตาเห็นอีกรายหนึ่งในชาติปัจจุบัน


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1336
คืนนี้ฝนตกฟ้า...ก่อนไฟดับ...มาต่อกันครับ........


*** ชายคนหนึ่งชื่อนายน้อย   อยู่บ้านน้ำคม   อำเภอพรหมพิราม   จังหวัดพิษณุโลก   มีอาชีพเป็นนายพรานป่า  หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ป่าขาย   ต่อมาเขาได้ป่วยอาการหนัก   อยากกินแต่น้ำตามหนอง  ไม่ยอมกินน้ำบ้าน    ลูกเมียต้องออกไปหา ไปตักน้ำมาให้กิน  เมื่อเขากินน้ำตามป่าตามหนองแล้วก็มีอาการประปรี้กระเปร่ากระเตื้องขึ้น  เหมือนกับว่าได้กินยาถูกกับโรค  ครั้นเมื่อจะตาย  ได้สั่งเมียไว้ว่า  ขอให้เอาปืนกระบอกที่ใช้ยิงสัตว์ใส่ในโลงเผาไปด้วย   เมียก็ทำตามที่เขาสั่ง  ครั้นเมื่อถึงเวลาเผาศพ  พอไฟที่เผาติดฟืนดีแล้ว  ก็มีเสียงประหลาดคล้ายเสียงปืน
ดังอยู่บนอากาศตรงกับเปลวไฟที่เผาศพ  ซึ่งนับว่าประหลาดมาก



*** ชายคนหนึ่งบ้านอยู่นครราชสีมา     มีอาชีพรับราชการวันหนึ่งชายคนนั้นกับลูกหลาน  ๒-๓  คน  พากันไปเที่ยวไป  พบค่างตัวหนึ่ง  ชายคนนั้นจึงเอาปืนยิงค่าง  กระสุนปืนไปถูกหัว  ทะลุออกทางลูกตาข้างขวา    ตกลงมาตาย  ขณะที่เขายิงค่างตายนั้น   ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ได้ประมาณ  ๔  เดือน  ครั้นเมื่อครบกำหนดคลอด  ได้บุตรเป็นชาย  นับตั้งแต่คลอดออกมา  เด็กก็เจ็บออด ๆ  แอด ๆ พออายุครบ  ๗  วัน  ตาเด็กข้างขวาก็เกิดบวม  ร้องอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด  จนกระทั่งขาดใจตายไป


*** หญิงคนหนึ่ง  บ้านอยู่อำเภอเมือง  จังหวัดนครราชสีมา  หญิงคนนี้ท้องได้  ๔  เดือน  วันหนึ่งหญิงคนนี้ได้ช่วยสามีและญาติฟาดข้าวในลาน  (นวดข้าว) และเมื่อฟาดแล้ว  ก็แยกข้าวมากองไว้ต่างหากปรากฏว่ามีไก่หลายตัวที่เลี้ยงไว้  มาจิกกินข้าวเปลือกที่กองไว้  หญิงคนนี้ได้ไล่ไก่อยู่หลายครั้ง  แต่ไก่ก็ยังมาจิกกินอีก  หญิงคนนี้โกรธได้ใช้สวิงขนาดใหญ่เหวี่ยงจับไก่ได้ตัวหนึ่ง    จึงมัดขาไก่ทั้ง  ๒  ข้าง  ไก่ตัวนั้นอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตาย  ครั้นเมื่อหญิงคนนั้นถึงกำหนดคลอดลูก  ได้คลอดลูกออกมาเป็นหญิงมีรูปร่างหน้าตาดี   แต่ที่นิ้วเท้าทั้ง ๒  ขาดหายไป  มีเพียงปุ่ม  ๆ  ยื่นออกมาเท่านั้น  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกเรื่องหนึ่ง.....


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1337
ขอบพระคุณครับ..........  :114: :114: :114: ........... เดี๋ยวช่วงดึุกๆจะมาอ่านให้จบครับ
ขอบคุณครับ ช่วงดึกๆ จะอัพเพิ่ม เป็นตอนสั้นๆครับ

1338
ขอบคุณทุกข้อความและคำชมครับ
เข้ามาชมซ้ำ ก็ยังดูดีมากเลยครับ....ขลัง :015:

1339
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ :054:

อ้างถึง
ใบไม้ที่หล่นลงมาก็เปรียบเหมือนกิเลสที่จรมา
ถ้าเราไม่เฝ้าระวังรักษา มันก็จะทับทม ทำให้ยากยิ่งขึ้นในการที่จะจัดการ

ขออนุญาตลงภาพต้นไทรใหญ่ที่ ตถตาอาศรม



อ้างถึง
ชีวิตที่เหลืออยู่            จงเรียนรู้และศึกษา
เสริมสร้างทางปัญญา    และรักษาคุณธรรม

ความรู้ ปัญญา เปรียบดังไม้กวาด ใช่หรือไม่ครับ :054:

1340
กรรมที่ให้ผลปรากฏในปัจจุบัน   ใครก็ตามกระทำกรรมใดไว้   กรรมนั้นย่อมส่งผลให้แน่นอน    ส่วนเรื่องจะช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง   เรื่องกรรมนี้ตรงกับวิทยาศาสตร์  คือเมื่อมี Action  คือการกระทำ    ก็ย่อมมีการตอบสนองคือ  Reaction  เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่นายพันโทพระยาพินิจสารา(ทับทิม  บุญยรัตน์พันธ์)ได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้เมื่อเกือบ  ๕๐  ปีมาแล้ว   เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว  ผู้เขียนจะขอนำมาเขียนให้ท่านอ่านเพียง   ๙  เรื่องเท่านั้น  ดังต่อไปนี้คือ.-

            ***  ญวนคนหนึ่ง  ชื่อนายอุ่น  อายุ  ๕๐  ปีเศษ  ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลคู้บอน  อำเภอเมือง  จังหวัดมีนบุรี   (ปัจจุบันเป็นเขตคลองสามวา  กรุงเทพ ฯ) มีอาชีพทำนา   แต่พอถึงเดือน  ๓,๔,๕,๘  ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ข้าวในนาสุก  มีนกกระจาบมา   เขาก็ใช้ข่ายจับนกกระจาบได้เป็นฝูง  ๆ  เมื่อได้นกกระจาบมาแล้ว  เขาก็ทุบนกกระจาบให้ตาย  เอามาทำอาหารแกล้มกินกับเหล้าบ้าง  ขายบ้าง  ทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำทุกปี    ต่อมาเขาไม่สบาย  มีอาการชักหลังงอคล้ายคนเตี้ยค่อม  และมือเท้าเป็นเหน็บชาเดินไม่ได้  ได้รับความทุกขเวทนามาก   จนได้สลบแน่นิ่งไปครั้งหนึ่ง  ลูกเมีย  ญาติพี่น้องนึกว่าเขาตายแล้ว   แต่แล้วเขาก็ไม่ตาย  ต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้มาจนกระทั้งอายุ  ๗๐  ปีเศษ  คือใน พ.ศ.  ๒๔๘๕  เขาจึงมีอาการหนักได้ดิ้นรนกระวนกระวายและร้องเจี๊ยบจ๊าบ  ๆ  เหมือนนกกระจาบ

***  ชายคนหนึ่ง  ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลโคกขาม  จังหวัดสมุทรสาคร  เป็นคนแปลกที่ชอบฆ่าสุนัข  คือเห็นสุนัขไม่ได้เป็นต้องฆ่าให้ตาย      จนสุนัขเห็นเขาเป็นต้องหนีเหมือนมันรู้ว่า ถ้ามันอยู่เขาต้องจับมันฆ่าแน่  ๆ  ครั้นพอเขาป่วยหนักใกล้ตาย   กรรมที่เขาทำกับสุนัขก็ตามมา    สนอง  กล่าวคือเขาร้องเสียงเหมือนสุนัขร้องตอนถูกตี

            ***  ผู้คุมคนหนึ่ง  ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดพนมสารคาม   (ปัจจุบันอำเภอพนมสารคาม   จังหวัดฉะเชิงเทรา) ได้ฆ่าวัวกินโดยใช้มีดเชือดก้านคอ  แต่วัวก็ไม่ตาย   เขาจึงจับวัวให้แหงนหน้าแล้วใช้ไม้ตีที่หัวจนวัวตาย  ต่อมาไม่ช้าอยู่  ๆ เขาก็ใช้มีดแทงคอตนเอง   เช่นเดียวกันที่เขาทำกับวัว   แต่ก็ไม่ตาย  รักษาเท่าใดก็ไม่หาย  ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส  ในที่สุดแผลก็เป็นบาดทะยัก  เขาถึงได้ตาย


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1341
3.หมาสอนคน

        ผู้เขียนได้รู้จักกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งทำธุรกิจเปิดบริษัทรับทำประตูเหล็กดัด   งานอลูมิเนียม และงานสแตนเลสระดับเกรดเอทุกประเภท    รับงานทั่วประเทศ      เมื่อสมัยเปิดบริษัทรับงานมาใหม่ ๆ   รับงานจากลูกค้ามาก็โดนโกงบ้าง    โดนหลอกบ้าง   ธุรกิจแทบล้ม  เกือบจะเอาตัวไม่รอด    วันหนึ่งเกิดกลุ้มใจอย่างหนัก  อยากจะฆ่าตัวเองตาย  จะได้หนีความยุ่งยากต่าง  ๆ  เสียที  หนี้สินก็เพิ่มมากขึ้น  บริวารก็ลาออกจากงานแทบทุกวัน   หาทางออกไม่ได้  มองไปทางไหนมันมืดมนหมด  เหมือนคนอยู่ในถ้ำตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงไฟ  คงจะเหมือนคำที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า   คนเราเวลาดวงตก(บุญเหลือน้อย) จะทำอะไรก็ไม่ดี   จะเข้าหุ้นๆ  ก็ตก    จะเลี้ยงหมูๆก็ไม่อ้วน    ค้าขายก็ถูกโกง  มีลูกก็ไม่ได้ดั่งตัว     มีเพื่อนก็เห็นแก่ตัว    มีผัวก็ไม่ได้ดั่งใจ   มีญาติผู้ใหญ่ก็พึ่งไม่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งเขาก็ว่า  ยามบุญพาวาสนาไม่ส่ง   ที่ป่วยก็หนัก   ที่รักก็หน่าย  มีญาติผู้ใหญ่ก็พึ่งพิงพึ่งพาไม่ได้  ก็ไม่ทราบจะไประบายความเครียดความอัดอั้นตันใจที่ไหน  เรียกว่าเจอความจนหลายรูปแบบมาทับถม   ทั้งจนมุม  จนตรอก  จนแต้ม   จนปัญญา   รวมอยู่ในตัวหมด    เลยตัดสินใจฆ่าตัวเองตาย  

ยังไงก่อนที่จะตายก็ ขอไปวัดใกล้บ้านไปทำบุญถวายสังฆทานเป็นครั้งสุดท้ายดีกว่า   เสร็จแล้วก็ไปนั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในวัดต้นหนึ่ง   ในขณะที่นั่งเพลิน ๆ อยู่ทันใดนั้นเองตาก็เลือบไปเห็น  สุนัขขี้เรื้อนแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังนอนให้ลูกเล็ก  ๆ  ๔-๕  ตัว   ดื่มน้ำนมอยู่อย่างมีความสุขใจ   ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า   สุนัขแม่ลูกอ่อนผอม  ๆ  ตัวนี้   มันเป็นสัตว์แท้ ๆ  มันยังไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายเลย   ยิ่งเพ่งดูมันยิ่งน่าสงสาร    น่าเวทนา   ขาด้านหน้าข้างหนึ่งก็กำลังเกาขี้เรื้อนที่สร้างความรำคาญให้มัน    ประเดี๋ยวมันก็เอาลิ้นเลียบนตัวลูกน้อยด้วยความรักความทนุถนอมโดยที่มันยังไม่รู้เลยว่า   หลังจากที่ให้นมลูกแล้วจะไปหาเศษอาหารที่ไหนดี    ค่ำคืนนี้จะนอนที่ตรงไหน  ? ลูกทุกตัวจะได้กินอิ่มหรือเปล่า...แล้วเราหล่ะเราเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าผู้มีจิตใจสูงมีจิตประเสริฐ   ถ้าจะมาคิดฆ่าตัวตายเราจะไม่อายหมาหรือ   เธอคิดอย่างนี้   พอมาวันหลังเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่     เธอก็เอาไปซื้ออาหารสุนัขให้หมดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัขที่วัดจนหมดทุกตัว  

      อีกสองวันต่อมาลูกค้าที่เคยโกงเงินเธอไปเกือบสามแสนบาท     เกิดสำนึกผิดโทรมาหาบอกว่าจะเอาเงินมาคืนวันพรุ่งนี้ทั้งหมด     เธอพอวางสายโทรศัพท์เสร็จดีใจจนน้ำตาไหลเองโดยอัตโนมัติ  เรียกว่า  น้ำตาเย็น   ไม่ใช่น้ำตาร้อน    อยู่ต่อมาไม่นานลูกค้าที่เคยโกงเงินไปพอโทรไปทวงก็บอกว่าจะทยอยเอามาคืนให้    เขาเหล่านั้นบอกว่าช่วงเวลาที่โกงเงินเธอไป  ทำอะไรก็ไม่เจริญรู้สึกร้อนตัวร้อนใจยังไงบอกไม่ถูก     ขอคืนเงินให้ทั้งหมด    

ทุกวันนี้  สุภาพสตรีท่านนี้ประกอบธุรกิจด้านรับทำประตูหน้าต่างทุกชนิด    การงานก็เจริญก้าวหน้า   ไม่มีลูกค้าคนใดคดโกงอีกเลย    แต่สิ่งที่สุภาพสตรีท่านนี้ยังคงทำอยู่เป็นกิจวัตรประจำวันก็คือนำอาหารสำเร็จรูปไปเลี้ยงสุนัขทุกตัวที่วัดด้วยความรักและสงสาร     คงเป็นเพราะอานิสงส์ที่ได้บำรุงเลี้ยงสุนัขด้วยใจบริสุทธิ์ด้วยใจเป็นธรรม    ด้วยความกตัญญูรู้คุณว่าเธอรอดชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบันนี้เพราะมีแม่สุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจ.......ไม่เหมือนกับคนบางคนชอบเลี้ยงสุนัขแต่ไม่รับผิดชอบ   เมื่อตอนสุนัขเป็นตัวเล็ก ๆก็รักมันดีอยู่หรอก   แต่พอมันแก่ตัวลงนี้ซิ ? อนิจจา ๆ  สุนัขโปรดก็สุนัขโปรดเถอะ ไม่สนใจแล้ว   แม้แต่สามีแม่ยังไปปล่อยวัดมาแล้ว อนิจจา  ๆ  ชอบเอาสุนัขไปทิ้งให้วัด   พระเณรในวัดก็ต้องรับผิดชอบเดินเก็บขี้หมาทุกวัน    เก็บขี้หมาจรจัดไม่เท่าไร   แต่เก็บขี้หมาที่คนเอามาปล่อยนี่สิ   มันน่าน้อยใจ น่าเจ็บใจ  (สามเณรน้อยในวัดบ่นให้ฟัง)  ขอโทษที่เถอะ  ?  ขี้หมากับขี้คนมันต่างกันตรงไหน   บางกองเหมือนขี้คนดี ๆนี้เอง   ลองคิดดูให้ดี  ๆ  เวลาพระเณรไปเก็บขี้หมา   เหมือนพระต้องไปเก็บขี้ของคนซึ่งเป็นเจ้าของหมานั่นเอง      บาปแค่ไหน ?  

มีลูกก็เป็นคนเหม็น  มีนิสัยเหม็นเน่า   มีสามีภรรยา    ก็จะมีนิสัยเหม็นเน่า   คบกับใครก็มีนิสัยเหม็นเน่า   ไม่มีความจริงใจ  ทำตัวเป็นรถไฟ  คือมีสองหัว   ต่อหน้ามะพลับ   ลับหลังมะไฟ  ต่อหน้าแตงไทย   ลับหลังแตงโม  ต่อหน้าส้มโอ  หลับหลังส้มตำ..     เวรกรรมขนาดไหน  ?   นรกขนาดไหนลองคิดดูให้ดี   ท่านที่เป็นปัญญาชนคนเดินดินทั้งหลาย   ปกติผู้เขียนเป็นคนชอบสัตว์ทุกประเภทไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก  แต่ที่ไม่ชอบก็คือคนที่ชอบเอาสุนัขและแมวมาปล่อยวัด   จึงได้เขียนเป็นคติสอนใจว่า

                        ด้วยวัดนี้ไม่ต้องการหมาและแมว                    โยมไม่ต้องรีบแจวเอามาถวาย
                        พระต้องการดินกับหญ้าหินและทราย              เงินก็ดีสิ่งของก็ได้พระต้องการ....


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1342
2.(ตั้งใจ)ไถ่ชีวิตโค

เมื่อปี  ๒๕๔๗   ช่วงต้นปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้จัดงานทำบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือขึ้นที่วัด   ได้มีผู้มีจิตศรัทธาทำบุญใหญ่ครั้งนี้ด้วยพอสมควร   หนึ่งในจำนวนผู้มีกุศลจิตศรัทธานั้น   มีผู้หญิงท่านหนึ่งอายุประมาณ  ๕๐  ปี   เป็นคนค่อนข้างมีฐานะ   ได้โทร ฯมาหาผู้เขียน ประมาณ  ๓  ทุ่มตรง     บอกว่า  “หลวงพ่อเจ้าค่ะ  โยมจะนำวัวตัวผู้มาถวายหลวงพ่อ  ๑  ตัว  เวลาตี  ๑  นะเจ้าค่ะ   เพราะโยมจะเอาเงินไปซื้อวัวที่กำลังจะโดนฆ่าแบบเรียงคิวจริง ๆ จะโดนเชือดจริง ๆ เอาไปถวายอย่าเพิ่งจำวัดนะเจ้าค่ะ”  ก็รับปากโยมไปว่า   ได้โยม...   วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสมาก   ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกหนัก    พอโยมผู้หญิงคนนั้นกำลังนำวัวตัวนั้นลงจากรถเท่านั้น    ฝนก็ตกเทลงมายังกับคลื่นสึนามิถล่มยังไงยังงั้น  ได้แต่ปลอบใจโยมว่า   โยม...คนมีบุญทำอะไรฝนก็ตก  ส่วนยาจกทำอะไรแดดออกนะ   ส่วนโยมก็ได้แต่ยิ้ม  และได้ถามโยมไปว่า   “คุณโยมได้ทำบุญไถ่ชีวิตวัวจากโรงฆ่ามีจุดมุ่งหมายอะไรหละ” โยมก็กึ่งตอบกึ่งถามว่า “โยมจะทำบุญไถ่ชีวิตวัวตัวนี้ให้กับคุณแม่ที่กำลังป่วยหนัก   ตอนนี้กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้อง  ICU  ที่โรงพยาบาลสุราษฏร์ ฯ  อุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่กำลังเป็น  ๆ  ได้ไหมคะ  หลวงพ่อ  คุณหมอบอกว่า   ถ้าไม่ตายวันนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว  (แก่พูดไปด้วยสะอื้นไปด้วย)  นี่น้องสาวของโยมกำลังดูแลแม่อยู่อย่างใกล้ชิดอยากจะทำบุญใหญ่ให้แม่เป็นครั้งสุดท้าย   ..ช่วยโยมทำพิธีหน่อย ” จากนั้น  ก็สั่งให้จุดธูปเทียน  แล้วรับศีล   เสร็จแล้วก็ให้ว่า
  
     นะโม..๓ จบ  และให้ว่าภาษาบาลีตาม  (ภาษาบาลีท่านเจ้าคุณอาจารย์  พระเทพวรคุณ  (สมาน  สุเมโธ  ป.ธ. ๙) ท่านได้เรียบเรียงเอาไว้) เป็นต้นว่า   ปณิธานโต  ปฏฺฐาย   ตถาคตสฺส  ทสปารมิโย  
ทส   อุปปารมิโย..........อิมินา  ชีวิตทานานิสํเสน,  อหํ  สุขิโต  โหมิ,อเวโร  โหมิ.......ยถา  จ  มยฺหํ  ตเถว  เนสํ,ชีวิตํ  ปิยํ,อิมินา  ชีวิตทานานิสํเสน, โสตฺถิ  เม โหตุ  สพฺพทา ฯ.....อโห  ทานํ  เม  ปรมทานํ  ชีวิตทานํ ,.....สพฺเพ  เต  อนฺตรายา,...  เป็นต้น  (บทอธิษฐานการให้ชีวิตเป็นทานผู้เขียนได้รวบรวมเอาไว้ในท้ายหนังสือเล่มนี้แล้ว)    หลังจากนั้นก็ให้พร    ให้พรยังไม่ทันจะเสร็จดี  ทันใดนั้นผู้เขียนก็ต้องสะดุ้งสุดตัว..?     จริงเหรอ  อย่าโกหกนะ  (พูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย)  หายจริง  ๆ  หรือ อย่าล้อเล่นนะเจ้าค่ะ   พูดอยู่อย่างนั้นแหละ  ซ้ำ  ๆ   ซาก  ๆ     เพิ่งสังเกตได้ว่า  เริ่มตั้งแต่รับศีล  ว่ากล่าวคำถวายปล่อยชีวิตวัว   จนรับพรเสร็จ  ผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาดพอควร   เปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาเอาโทรศัพท์เป็นไมค์  พูดให้คนทางบ้านได้ยินด้วย     อานิสงส์มีจริง  ปาฏิหาริย์มีจริง    ยังไม่ทันข้ามวันข้ามเดือนข้ามปี    แค่ข้ามนาทีเท่านั้น   อาการป่วยหนักของแม่เริ่มดีขึ้น    หมอบอกว่าคลื่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น  ๆ    ทุกวันนี้คุณแม่ของโยมผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นร่มโพธิ์ใบหนา   เป็นร่มไทรใบใหญ่ให้ลูกหลานได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป    นี้คืออานิสงส์ของความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอีกตัวอย่างหนึ่ง


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1343
1.รับจ้างฆ่าสุนัข

 หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  ได้พูดเกี่ยวกับประวัติพ่อให้ผู้เขียนฟังโดยสังเขปว่า  พ่อมีอาชีพรับจ้างฆ่าสุนัข  บ้านหลังไหนไม่ต้องการสุนัข   นึกอยากจะกำจัดสุนัขเจ้าของจะจ้างเขาไปจับ  เมื่อเขาจับได้แล้วก็จะเอาเชือกผูกคอสุนัขแขวนไว้กับต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน   จนสุนัขมันทุรนทุรายดิ้นตายไปเอง  เสร็จแล้วเขาจะฝังสุนัขเอาไว้ที่สวนหลังบ้าน     ได้ค่าจ้างกำจัดสุนัขตัวละ  ๓๐๐ เป็นอย่างต่ำ    นับว่าเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้ให้กับพ่อสมควร    เขาทำอย่างนี้มาเกือบ  ๑๐  ปี อยู่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ   เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  บ้างครั้งก็ทำท่าทางเหมือนสุนัขกำลังถูกแขวนคอ  มือหงิก  มืองอ  ตาเหลือก  ตาค้าง   ร้องเหมือนสุนัข     วันหนึ่งเมื่อลูกสาวไม่อยู่บ้าน    พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น   อนิจจา  ?  ก็เห็นพอแขวนคอตายที่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับต้นที่เขาเคยฆ่าสุนัขนั่นเอง   ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อเพราะพ่อเพิ่งตายไปได้   ๗   วันพอดี


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

1344
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ++ กรรมกำหนดคู่ ++
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:28:19 »
ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน

เมื่อความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร



การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน

หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข



คู่บารมี

สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบารมีกว่าที่จะสามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว

คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้


ที่มา
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara89.htm

1345
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ++ กรรมกำหนดคู่ ++
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:25:34 »
เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน

ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ

•  การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน

•  การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน

เนื่องจากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อไป


 
ลำดับของเนื้อคู่

เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกันทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป


 
เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก

นอกจากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น

 


ที่มา
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara89.htm

1346
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ++ กรรมกำหนดคู่ ++
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:22:42 »

เหตุแห่งความรัก (โดยคุณอังคาร)

ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน สาเกตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้

“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉย ๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส ”

“ ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ ”

เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น ”

จึงจะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุให้รู้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ ฯลฯ อีกมากมาย


คู่

บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข

เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ

คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน

คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข

เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น

คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย

ที่มา
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara89.htm

1347
ตอนจบ

ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

พระเถระผู้ใหญ่เริ่มพิธีทางศาสนาตามประเพณี  และทันใดนั้น  ไฟก็ถูกจุดขึ้นที่จุดซึ่งทำเตรียมไว้  เพื่อให้ความร้อนละลายไหม้ทองในบ่อนั้น  ผู้แทนของสงฆ์และวัด  อันมีพระสงฆ์บ้าง  ฆราวาสบ้าง  พากันไปยืนเหยียบไม้กระดาน  ทำหน้าที่คนทองให้เข้ากันตามธรรมเนียม

ท่ามกลางไฟร้อนแรง  เปลวไฟควันลุกโขมงโชติช่วงจับท้องฟ้า  ทองละลายกลายเป็นน้ำในบัดดล  หมุนเร็วจี๋ทั่วบ่อ   และท่ามกลางสายตาของทุกคน  ที่จ้องมองชนิดไม่กระพริบตาคนแล้วคนเล่า  ผ่านไปสำหรับตัวแทนของวัด

                จนมาถึงเวร  หรือคิวของผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑  มรรคทายกของวัดเรานั่นแหละ  ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแย้มแจ่มใส  ไม่แสดงกิริยาอาการสะทกสะท้านใด ๆ หยิบเหล็กแหลมยาว  ไม้ถือคนทอง  ซึ่งเป็นเครื่องมือในพิธีตอนนี้มาจากโต๊ะตัวหนึ่งข้างบ่อ  และก้าวเท้าออกเดินอย่างช้า ๆ  ก้าวขึ้นเหยียบบนไม้กระดานแผ่นนั้น  ซึ่งปลายของมันยื่นลงไปในบ่อ  ที่ขณะนั้นทองนานาชนิดแปรสภาพกลายเป็นวัตถุเหลวร้อน ควันลุกโขมงไปทั่วบริเวณ  มันกำลังเดือดปุด ๆ เป็นฟองไอน้ำทั่วบริเวณ

ทันใดนั้นเอง    ตายแล้ว !  ช่วยด้วย !    อุบัติเหตุสยองเกิดขึ้นในวินาทีนั้นเอง  ปาฏิหาริย์หรืออะไรก็เหลือเดา  ผู้ใหญ่บานเสียหลัก  เดินไม่ระวัง  เท้าข้างหนึ่งไปสะดุดหัวเสาด้านขวา  ซึ่งมีเชือกผูกไม้กระดานเป็นเงื่อนชนิดไม่แน่นหนา  ตัวผู้ใหญ่บ้านเซแซ่ด ๆ  เอียงกระเท่เร่ไม่เป็นท่า  หัวทิ่มคะมำไปข้างหน้า  ทันใดนั้นเงื่อนที่ผูก หลุดราวกับปาฏิหาริย์  ไม้กระดานแผ่นนั้นเลยกระดกกลับ  ยกปลายด้านในที่อยู่นอกบ่อขึ้นสูงไปบนอากาศ
....ร่างของผู้ใหญ่บ้านที่ทรงตัวไว้ไม่อยู่เลยเสียหลัก   หัวทิ่มพุ่งลงไปในบ่อทองซึ่งกำลังร้อนจัดเดือดพล่าน  ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดเสียวตกใจสุดขีดของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์

.....ตูม !  วูบเดียว   ร่างของคนบาปผู้ทำลายศาสนาจมดิ่งหายไปในทองเหลวที่ร้อนข้นคลั่กไอขึ้นในบ่อ.. ไม่มี อะไรเหลืออีกต่อไป   ทั้งชีวิต  วิญญาณ  กระดูก  เนื้อหนัง   เหลือแต่ชื่อของผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น  ให้คนกล่าวขวัญถึงกัน ในฐานที่คนทำกรรมชั่วเอาไว้มาก และกรรมนั้นก็ตอบสนองทันตาเห็น  มาจนทุกวันนี้ นั่นเอง

...จบ...


ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

1348
4............
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

และหลังจากแตกหักระหว่างพระกับมรรคทายก  ซึ่งต้องกล้ำกลืนไว้ในใจ  สงวนท่าทีชนิดหวานอมขมกลืน  อึดอัดใจแทบจะเป็นบ้าตาย  มาจนถึงวันสำคัญมาถึง นั่นคือ  พิธีเททองหล่อพระพุทธาภิเษกเบิกพระเนตรพระพุทธรูปที่วัดหลวงในเมือง  เจ้าอาวาส  และพระลูกวัดทั้งหมด  รวมทั้งผม  และเหล่าศิษย์วัดและญาติโยม  ผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา  เดินทางออกจากหมู่บ้านไปร่วมงานมหามงคลยิ่งใหญ่นี้  ถ้วนทั่วพร้อมหน้าด้วยจิตผ่องแผ้วอนุโมทนาจิต

ที่ขาดไม่ได้คือ  หัวหน้ากลจักรสำคัญของงานนี้  ผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีหลังฉากอันแสนจะโสมม  แต่หน้าฉากมรรคทายกผู้เคร่งน่าเลื่อมใสนิยมนับถือ เป็นเครื่องบังหน้า ปกปิดความชั่วไว้เท่านั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านกระหยิ่มยิ้มย่อง  อารมณ์ดี  ท่าทางไม่ยี่หระสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น  คงจะภาคภูมิใจกับงานที่ไม่ต้องลงทุน  แต่กลับได้กำไรตอบแทนของแกนั่นเอง  เดินทางไปสู่บริเวณปะรำงานพิธี  พร้อมด้วยลูกสมุนกระเรกะราด  ล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมพรั่ง
เมื่อไปถึงบริเวณงาน  ทุกคนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจจนสุดระงับ  งานพุทธาภิเษกวันนี้เป็นงานใหญ่โตมโหฬารจริง ๆ  ชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนหลายปีดีดักแล้ว  ทั้งพระและฆราวาส  มากมายชนิดมืดฟ้ามัวดิน  บรรดาเกจิอาจารย์  พระเถรานุเถระผู้ใหญ่  นั่งสวดมนต์ปลุกเสกทำพิธีกันในปะรำ  เสนาสนะที่สมควร  พุทธมามกะผู้มาร่วมงานด้วยใจอันอิ่มเอิบ นั่งอยู่ในเต๊นท์รับรอง  ซึ่งมี  ๓ – ๔ เต๊นท์ เต็มไปหมดทั่วลานพิธีวัด ซึ่งเคยกว้างขวางมาก่อน บัดนี้คับแคบไปถนัดใจ เพราะคลื่นมหาชนหลั่งไหลมาร่วมพิธีนั่นเอง วัดทุกวัดในจังหวัด จากทุกหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ มาร่วมงานหล่อพระพุทธรูปกันพร้อมหน้า รวมทั้งวัดของเจ้าอาวาสที่ผมเป็นเด็กวัดอยู่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

จุดสำคัญหรือหัวใจของพิธีคือ  บ่อโบกปูนซิเม็นต์ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมจตุรัส   ขนาดกว้าง  คาดคะเนด้วยสายตา  ประมาณ  ๓ เมตร ยาว  ๓ เมตร  และลึกเกือบสองฟุต   ในบ่อปูนนี้ผู้ทำพิธีจะเอาทองคำเปลว และสัมฤทธิ์ทั้งท่อน  หรือแผ่น มาบรรจุภายใน  อาจจะเป็นโลหะซื้อมา  หรือผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อบุญกุศลในชาติหน้า  ในเวลาเริ่มพิธีเททอง  จะมีผู้จุดไฟให้ความร้อน  ทำให้ทองหรือโลหะต่าง ๆ  ละลายเหลวเป็นน้ำ  หรือของเหลว  ใช้ไม้กวน หรือไม้ถือ กวนให้ทองคละเคล้าเข้ากัน  ก่อนนำไปเทลงในแบบพิมพ์ขี้ผึ้ง  ปั้นหล่อพระพุทธรูปต่อไป  ตามประเพณีนั่นเอง

ที่ด้านหนึ่งของบ่อซีเมนต์   มีไม้กระดานแผ่นยาวสัก  ๓ – ๔ เมตร วางพาดขอบบ่อ ผูกติดกับเสา ๒ ต้น คล้ายไม้กระดกที่เด็กเล่นตามสนามเด็กเล่นทั่วไป ปลายข้างหนึ่งของไม้กระดานนี้ ยื่นลงไปในบ่อราวสัก ๒ ฟุต จุดนี้เป็นสถานที่ ที่ตัวแทนหรือหัวหน้าของวัดทุกแห่งที่มาร่วมพิธีเททองหล่อพระในวันนี้ จะมายืนถือไม้ถือ หรือเหล็กคน หรือตีทองให้เข้ากัน ในระหว่างไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่งของบ่อ นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง สำหรับตัวแทนของวัดนั้น ๆ ที่จะทำหน้าที่แทนคนในหมู่บ้านของตน

และขณะนี้วินาทีระทึกใจเริ่มขึ้นแล้ว  ในตอนบ่ายราว ๒ โมงครึ่ง  มีคนลำเลียงทองแผ่น  ทองเปลว  ทองจังโก้  ทองสัมฤทธิ์  ต่างขนาดมาใส่ลงในก้นบ่อปูนซีเมนต์  ชุลมุนสับสนวุ่นวายพอควร  โดยมีพุทธศาสนิกชนต่างมายืน หรือนั่งล้อมรอบบ่อ  เพื่อดูการเททองหล่อพระ

มีต่อ....


ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

1349
3..............
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

เพื่อนของผมตัวสั่นเทาใบหน้าซีดเผือด  ริมฝีปากสั่นระริก  พูดกับคนอื่น ๆ ซึ่งยืนปิดหน้าด้วยความสะเทือนอารมณ์ที่สุดในชีวิต  ผู้ใหญ่บ้านกับลูกน้อง ๒ – ๓ คน ที่เห็นวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมานี้แหละ คือ ตัวการ โจรทำลายศาสนา ขโมยเอาพระพุทธรูปประติมากรรมบางชิ้นส่วนไป มาตัดทุบพระพุทธรูปก่อนหน้าที่พวกเราจะมาเห็นไม่นานนัก จำได้ว่าคนที่วิ่งหนีพวกเราไปนั้น ไม่ได้วิ่งไปตัวเปล่า อุ้มหรือแบกวัตถุอะไรอย่างหนึ่งซึ่งคงจะบรรจุอยู่ในผ้าไปกับตัวด้วย เห็นทนโท่ วัตถุนั้นไม่ผิดหรอกที่จะเป็นเศษชิ้นส่วนของพระพุทธรูป   ซึ่งคนบาปหนาทั้งหลายเหล่านั้น   ตัดทุบเอาตัดออกจากองค์จริงในนี้ไป  เขาเอาไปทำไมกัน ใครบ้างที่ให้คำตอบได้

ผมมีใบหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วย่น  กรามขบกันเป็นสันนูน  แช่งด่าสาปพวกทำลายศาสนาไม่หยุดปาก และคิดพิจารณาเดาเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้  โอ๊ย..ตายแล้ว  มันเลวกันถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่  ผู้ใหญ่บ้านทำความผิดขั้นอุกฤษณฎ์ที่อภัยไม่ได้จริง ๆ  ยักยอกเงินทอดกฐินห้าหมื่นกว่าบาทที่เจ้าอาวาสมอบให้ไปซื้อทองสัมฤทธิ์  และทองคำเปลว รวมทั้งค่าจ้างช่างหล่อพระ  ไปใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างน่าละอายอดสูใจที่สุด  และ หาทางออกโดยมาตัดทุบสัมฤทธิ์องค์พระในมณฑปเหล่านี้เอาไปหลอม   ใช้ไฟความร้อน รวบรวมเป็นโลหะใหม่ เพื่อเอาไปใช้ในวันหล่อพระนะซิ   โกงชนิดแสนชั่วโดยไม่คำนึงถึงกรรมบาปบุญคุณโทษ  เพราะความโลภเข้าครอบคลุมจิตใจ  ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าใช้จ่ายซื้อทองใหม่เลยแม้แต่บาทเดียว  ทุบพระพุทธรูปเก่าทิ้ง  เอาไปหลอมใหม่  ย้อมแมวขายใครจะรู้เล่า

งานที่น่ารังเกียจชิ้นนี้คงทำกันเป็นทีม  ร่วมมือกันทุกฝ่ายโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้า  ตกลงแผนการกับนายช่างปั้นหรือหล่อ  ซึ่งเป็นพรรคพวกของตนดิบดีจนเป็นที่เข้าใจแล้ว  จึงมาตัดเศียรพระและองค์พระในมณฑปนี้ไปหลอกลวงแหกตาคนอื่น ๆ  ช่างเมื่อได้ชิ้นส่วนพระแล้ว ก็จะใช้ขี้ผึ้งเป็นหุ่นหล่อทับแกนที่สุกด้วยการเผา  เดิมสัมฤทธิ์ที่เผาด้วยความร้อน ลอกออกจากผิวนอกของพระพุทธรูปในมณฑป เป็นการตบตาหลอกลวงคนทั่วไปในวันพุทธาภิเษกเททองหล่อพระวันนั้นแหละ  หล่อพระมาเสร็จแล้ว  โดยใช้ของเก่า เสียค่าใช้จ่ายไม่มากเสียด้วย ได้กำไรหลายเท่าตัว พอไปแบ่งสรรปันส่วนกันถ้วนหน้า  ใครจะมายอมโง่ซื้อทองสัมฤทธิ์  ทองคำเปลว หรือเสียค่าแรง เสียเวลา อะไรจิปาถะหล่อใหม่ทั้งองค์เล่า

ผมพูดสิ่งที่สงสัยวิเคราะห์นี้กับเพื่อน ๆ  ซึ่งทุกคนก็ตาสว่าง มันสมเหตุสมผล  ทำให้เห็นพ้องตามแนวความคิดของผม  มันเป็นเรื่องเลวร้ายจริง ๆ  จนเก็บไว้ไม่ได้แล้ว  เราทั้งหมดวิ่งออกจากมณฑปเกือบจะพร้อมกันราวกับนัดกันไว้  นำเรื่องสลดใจนี้ไปนมัสการกราบเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสฟังทันที  เพื่อรู้ตัวหาทางระงับยับยั้งมารศาสนากลุ่มนี้  แต่อนิจจาเอ๋ย...  ท่านเจ้าอาวาสได้แต่นั่งน้ำตาไหลพราก   ด้วยความเสียใจสะเทือนใจ  ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ  เพราะเกรงอิทธิพลมืด   การรุกรานของผู้ใหญ่บ้าน  ซึ่งมีอำนาจ และความกักขฬะสามานย์  หมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ้นเชิง  ถ้าทำอะไรรุนแรงลงไปก็คงต้องย้ายวัด  ตัวท่านเองพร้อมทั้งพระลูกวัดทั้งหมด  ต้องเดือดร้อนอยู่โปรดสัตว์ไม่ได้ในตำบลนี้  เพราะการรังควานย่ำยีของจ่าบ้าน  ซึ่งต้องตอบแทนแก้แค้นพระ ในฐานะที่ไปรู้ความลับความชั่วชนิดนรกานต์ นรกอเวจีถามหา ?  และอ้าแขนรับ ของเขาเข้านะซี

เจ้าอาวาสหันมาถามผมว่า  ก็เมื่อจะปั้นพระขึ้นใหม่  หยาบและเล็กกว่าของจริงที่เป็นแบบ   แล้วเผาเอาขี้ผึ้งหุ้ม  ทำไมต้องตัดทุบกระเทาะชิ้นส่วนไป  ทำไมไม่ยกเอาไปทั้งองค์เลยรู้แล้วรู้รอดไปเล่า  ผู้ใหญ่เขามีอำนาจสิทธิขาดทำได้อยู่แล้วนี่  มันสะดวกดีด้วยประการทั้งปวง  ดีกว่าตัดของเดิมจนชำรุดเสียหายอย่างนั้น  ผมนมัสการตอบท่านไปว่า  อาจจะทำอย่างที่ท่านพูดก็ได้  แต่ทำไม่ทันน่ะซิ  เพราะพวกเราเด็กวัดเกิดมาพบเห็นเหตุการณ์เข้าเสียก่อน  จึงทำไม่เสร็จหรือไม่ก็เอาชิ้นส่วนบางชิ้น  เช่น  เศียร แขน พระวรกายไปให้เป็นแบบหรือตัวอย่างสำหรับช่างหล่อ   ที่ชำนาญฝีมือช่ำชองจะหล่อได้ตามความเข้าใจเคยชิน  โดยไม่จำเป็นต้องดูทั้งองค์ก็ได้นี่นา  หรือไม่ก็ย้อนมายกหรือขนไปเรียบวุธ  หมดทั้งมณฑปได้เมื่อไรเมื่อนั้นเช่นกัน  เพราะผู้ใหญ่เองก็มีกุญแจสำรอง  เข้านอกออกในได้สะดวกสบาย  ไม่ยากหรอกปัญหาแค่นี้น่ะ...ท่านเจ้าอาวาสถึงกับสะอึก ใบหน้าเศร้าหมองร่วงโรย  พร้อมกับพูดพึมพำออกมาแผ่ว ๆ ว่า   อย่าทำจิตใจให้เศร้าหมองเลย   อโหสิกรรมให้เขาเถิด  กรรมเป็นเครื่องกำหนด  จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  และคนที่สร้างกรรมนั้น  ไม่เคยอยู่ค้ำฟ้าได้เลยสักคน ?

มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

1350
2............

ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง
แต่ไม่สามารถทำอะไรได้  คงได้แต่วิงวอนเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้สั่งสอนลงโทษ คนสร้างกรรมทำลายศาสนาคนนี้ให้รู้สำนึกเสียบ้าง   และกาลเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ ใกล้กำหนดงานเททองหล่อพระพุทธรูปประจำปีของวัดใหญ่ในเมืองเข้ามาทุกทีแล้ว  เหตุการณ์แทรกซ้อนก็อุบัติขึ้นจนได้

ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง   คืนนั้นใกล้ห้าทุ่มแล้ว  อากาศร้อนอบอ้าวจนทนแทบไม่ไหว  ผมและเพื่อน ๆ  ศิษย์วัดคนอื่น ๆ ราว ๓ – ๔ คน นอนอยู่บนระเบียงหน้ากุฏิพระไม่ไหว ร้อนจนนอนไม่หลับ ไม่ง่วง เลยชักชวนกันลงมาเดินเล่นที่ลานกว้างข้างหน้ามณฑปเก่าแก่ของวัด เพื่อรับลมเย็น ๆ กลางแจ้ง

ทันใดนั้นเอง  สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ที่ด้านหน้าของมณฑป  ซึ่งเป็นศาสนสถานเก่าแก่คู่กับวัดมานานแล้ว  ร่างของคนสองสามคนเคลื่อนไหวอยู่ในแสงสลัว ๆ  ของไฟฟ้าน้อยแรงเทียนที่ติดอยู่ที่เสาไฟ  ทุกคนวิ่งกันสับสนวุ่นวายเหมือนกับมีอะไรพิรุธเสียอย่างหนึ่ง  เพื่อนเด็กวัดคนหนึ่งไม่ฟังอีร้าค่าอีรม  ปากไวพูดตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า “ขโมย...ขโมย...ขโมย....มาขโมยพระพุทธรูป เร็ว ๆ ....มาช่วยกันจับขโมย...”

เท่านั้นเอง  เหมือนลูกระเบิดหล่นกลางลานวัด  ในขณะที่พวกเราวิ่งโครมๆ   เข้าไปที่มณฑป  ร่างของบุรุษยามวิกาลพวกนั้น  ก็หันรีหันขวางหมุนตัวไปมา และไม่รอช้า กระโจนแบบใส่ตีนสุนัขโกยแน่บออกไปจากที่นั้นทันที   จากแสงไฟสลัว ๆ  ทำให้ผมมองเห็นคนที่วิ่งนำหน้าได้  และจำได้ถนัดติดหูติดตา  อนิจจา   ผู้ใหญ่บ้าน มรรคทายกของวัดนี้นั่นเอง !!!!

เขามาทำอะไรที่มณฑปนี้   และมาอย่างน่าสงสัยในพฤติการณ์ที่ลับๆ ล่อๆ หลบๆ ซ่อนๆ  จิตสังหรณ์ลางบอกเหตุวูบหนึ่งเกิดขึ้นมากับตัวผมในทันที  โอ๊ย..มันเลวร้ายถึงขนาดนี้หรือนี่ ?  ภายในมณฑปหลังนี้ มีพระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับร้อยๆ ปี ขึ้นไปอยู่หลายองค์  ซึ่งเป็นสมบัติดั้งเดิมของวัด  พระพุทธรูปเท่าที่ผมเคยเห็นมา  ที่ประดิษฐานอยู่เรียงรายรอบมณฑปด้านในที่ผนังปูน  มีทั้งพระพุทธรูปหินทราย และหล่อด้วยสัมฤทธิ์  บางองค์ก็มีทองคำเปลวฉาบที่ผิวภายนอก

ที่จำได้พระพุทธรูปมีหลายสมัยหลายศิลปกรรม  ทั้งพระนาคปรก ปางสมาธิ สมัยลพบุรี  พระปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ  รัศมีเปลวเพลิง สมัยศิลปะสุโขทัย  และพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนต้น  ที่มีรูปประกอบที่ฐานเป็นรูปสาวก  ๒ องค์  หรืออัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นามพระโมคคัลลาน์ สารีบุตร  รวมทั้งพระทรงเครื่องใหญ่และน้อย  ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นต้น  มาจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่า  ประติมากรรมลอยตัวพระพุทธรูปเหล่านี้  มีทั้งพระพุทธลักษณะกิริยาประทับนั่งและยืน  ส่วนกิริยาของหัตถ์หรือเรียกว่า ปาง หรือ มุทรา  มีทั้งปางประทานพร หรือ ห้ามญาติ  ทุกองค์เป็นของเก่าของแท้ งดงามหาที่ติไม่ได้  เป็นโบราณวัตถุที่ควรเคารพ ประมาณค่ามิได้เลย
เด็กวัดทั้งหมดรวมทั้งผมด้วย รีบตาลีตาลานกระโจนขึ้นบันไดมณฑปด้วยความสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง  และก็ตกตะลึงจังงัง  เพราะประตูไม้ด้านหน้าของปูชนียสถานหลังนี้  ซึ่งแผ่นประตูทั้งสองที่มีศิลปะการแกะสลักลายรดน้ำดอกไม้พันธุ์พฤกษา ของเก่าแก่เปิดอ้าซ่าเต็มที่...เดาเหตุการณ์ได้ถูกในบัดดล  ผู้ใหญ่บ้านเป็นขโมยเสียเอง  น่าสลดหดหู่ใจเป็นที่ยิ่ง  ทางเจ้าอาวาสไว้วางใจในตำแหน่งมรรคทายก  ผู้รักษาดูแลผลประโยชน์ของวัด  ทำกุญแจชุดสำรองมอบให้ผู้ใหญ่บ้านไว้ชุดหนึ่ง  ปิดเปิดเข้านอกออกในได้ทุกแห่งในวัด  ขณะนี้หอกกลับมาแทงตัวเองเข้าให้แล้ว

ผู้รักษากุญแจ  เอาลูกกุญแจเปิดมณฑปเข้าไปขโมย  หรือทำลาย มิดีมิร้ายพระพุทธรูปภายในน่ะซิ  พอได้สติ พวกเราทั้งหมดเฮโลพรวดพราดเข้าไปภายในมณฑปทันที  คนหนึ่งเอื้อมมืออันสั่นระรัวขยุ้มไหล่ของผมอย่างลืมตัว  เมื่อเห็นภาพที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง  ซึ่งปรากฎต่อหน้าท่ามกลางแสงไฟฟ้า  ซึ่งเปิดทิ้งค้างไว้ในมณฑป  ทั้งไฟนีออน และหลอดไฟข้างผนัง

พระพุทธรูปของเก่าแก่ดั้งเดิมสมบูรณ์แบบทุกองค์   ถูกทำลายยับเยินพินาศแทบไม่มีชิ้นดี  บางองค์เศียรขาดหลุดหายไป  อีก ๒-๓ องค์ ถูกทุบที่พระอุระเป็นรูกลวงขนาดใหญ่  เศษทองสัมฤทธิ์บริเวณนั้น  ถูกลักลอบขโมยไป   องค์อื่น ๆ โดยเฉพาะพระทรงเครื่องใหญ่สมัยอยุธยา และพระสมัยสุโขทัย  พระวรกายท่อนบน  คือตั้งแต่พระเศียรลงมาถึงบั้นพระองค์หายไปทั้งหมด  เหลือเพียงส่วนหน้าตัก หรือทับเกษตรเหนือฐานปัทมี และฐานหน้ากระดานเท่านั้นเอง เศษชิ้นส่วนสัมฤทธิ์และทองคำเปลวภายนอก หลุดกระเด็นกระจัดกระจายที่พื้นห้องด้านในของมณฑประเกะระกะไปหมด  มันเป็นภาพที่ทำลายจิตใจของพุทธมามกะอย่างพวกผมเด็กวัดเป็นยิ่งนัก  ๒  องค์ มุมขวาสุดด้านใน เหลือเพียงแต่พระวรกาย   พระพาหาหรือแขนทั้งสองข้างหายหลุดไปทั้งกะบิ  ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาด้วยความรันทดใจในบัดดล  ที่พบว่ามีคนมาเหยียบย่ำทำลายงานศิลปทางพระพุทธศาสนา  มรดกวัฒนธรรมของชาติถึงขนาดนี้  ในขณะที่เด็กวัดคนอื่น ๆ ยกฝ่ามือปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นทิวแถว


มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

1351
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

โดย..วารี  จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑
************************

                “ โยมผู้ใหญ่ .... อาตมาขอปรึกษาโยมสักหน่อย   และจะมอบหมายให้โยมรับไปดำเนินการด้วย  เพราะอาตมาเอง ก็ไม่สู้จะเข้าอกเข้าใจอะไรนัก คือ ทางวัดเราจะหล่อพระพุทธรูปไว้ให้ญาติโยมสักการะบูชา  ตั้งใจจะหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และปิดทองคำเปลวภายนอกตามกำลังปัจจัย และศรัทธาตามประสาวัดบ้านนอก  ปัจจัยนั้นอาตมามีเตรียมไว้แล้วจากเงินทอดกฐินเมื่อปีที่แล้ว  พอได้สักก้อนนึงไม่มากหรอก  โยมช่วยเป็นธุระด้วยนะ ในฐานะเป็นมรรคทายกอาวุโสของวัดมานาน  ในเดือนหน้าเขาจะมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษก  เททองหล่อพระพุทธรูป  เบิกพระเนตร ที่วัดใหญ่ในเมือง  อยากให้โยมผู้ใหญ่หาทองสัมฤทธิ์และทองคำเปลว ไปร่วมพิธีหล่อพระกับเขาด้วย  โยมจะเห็นเป็นการใด ที่อาตมาขอร้องล่ะ...”

                เจ้าอาวาสวัดหนองซาก   อำเภอประลอง  พูดปรึกษาเรื่องบุญกุศลนี้กับผู้ใหญ่บ้านหมู่  ๑  ประจำท้องถิ่นนั้น   ในวันพระหรือวันธรรมสวนะ  บนศาลาการเปรียญของวัดดังกล่าว  ในขณะที่พระสงฆ์กำลังฉันเช้า  โดยมีญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา นำอาหารคาวหวาน เครื่องไทยทาน มาทำบุญในวันพระตามปกติ

                ผมเองอยู่ในวงสนทนานั้นด้วย  ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าอาวาส  หลังจากท่านเจ้าอาวาสพูดจบ  โดยไม่ต้องตริตรองตัดสินใจอะไรให้มากเรื่องมากความ  ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอบรับปากตกลงพระไปในทันที  โดยจะรับเป็นธุระจัดซื้อหาทองสัมฤทธิ์  ทองคำเปลว  และตัวเองจะไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้า  ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี  เกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่  และ ช่างฝีมือหล่อ และปั้นพระพุทธรูป จะมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียงกัน..

                เจ้าอาวาสถึงกับยิ้มออกมาได้ และทันใดนั้นโดยที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง  ท่านกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ ๆ  ใช้ให้ไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งในย่าม ซึ่งวางอยู่ข้างๆตัว ขึ้นมา  และสั่งให้มอบแก่ผู้ใหญ่บ้าน  พร้อมกับพูดว่า  ในซองนี้คือเงินสด ๕๓ ,๐๐๐ บาท   ซึ่งเป็นเงินบุญทอดกฐินสามัคคีในปีที่แล้ว  ขอให้ผู้ใหญ่บ้านนำไปดำเนินการตามที่เห็นสมควร  แล้วแต่ดุลยพินิจเห็นชอบ

                ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นระบายยิ้มบนใบหน้า  ดวงตาคมวาวล่อกแล่กแบบตาเหยี่ยวลุกโพลง  ความจริงผมเองนั้นไม่ชอบหน้ามรรคทายกคนนี้มานานแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก  ไม่มีอำนาจอะไรไปคัดค้านหรือยุ่มย่าม เพราะตัวเองก็ต้อยต่ำมีฐานะเพียงเด็กวัด กินข้าวก้นบาตรเลี้ยงตัวรอดไปวัน ๆ

                นิสัยของผู้ใหญ่บ้านคนนี้  คดในข้องดในกระดูก   โลภโมโทสัน และไม่รู้จักกรรมเวรบาปบุญคุณโทษ  เบียดบังโกงเงินทอง ข้าวของ ของวัดสารพัดสาระเพ   แม้ทางวัดรู้อยู่แต่ใจ ก็เข้าทำนองน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก  ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาจนทุกวันนี้  เพราะความมีหน้ามีตา อำนาจอิทธิพลท้องถิ่นในหมู่บ้านนั่นเอง

ผมและเด็กวัดคนอื่น ๆ รู้อยู่แก่ใจ  และเห็นตำตามานานว่า  มรรคทายกคอรัปชั่น โกงเงินเอาผลประโยชน์ของวัดที่ญาติโยมเขาศรัทธาบริจาค เพื่ออานิสงส์ไปใช้ส่วนตัว  สร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตนอย่างไม่ละอายต่อบาป  สมบัติส่วนกลางเครื่องใช้ในวัดก็เอามาไว้บ้าน  แม้ต้นไม้ใหญ่ ในวัด ก็ยังสั่งให้ลูกน้องโค่นมาทำฟืนขาย หารายได้เข้าพกเข้าห่อตัวเองเลย  เรียกว่า  กินเล็กกินใหญ่ ทำตัวเป็นมารศาสนา   โดยที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสอบสวนจับผิด  แบบทำนองเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมวนั่นแหละ

ผู้ใหญ่บ้านคนนี้จึงรอดตัวลอยนวล  ตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วยักยอกผลประโยชน์รายได้ของวัดอย่างคล่องคอ  ไม่ติดขัดอะไร จนมาถึงกรณีเงินค่าหาทองสัมฤทธิ์ และทองคำเปลวไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในงานพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้านั้น  ผมวิตกและใจหายวูบขึ้นมาว่า  มันจะสูญไปอีก  เพราะกิตติศัพท์การคดโกงคอรัปชั่นของมรรคทายกคนนี้มีอย่างไร  ชาวบ้านและพระเองก็ซึมซาบอยู่แก่ใจดี..ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง

มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

1352
กฎแห่งกรรม / ++ กรรมกำหนดคู่ ++
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 09:34:16 »
กรรมกำหนดคู่ :026:

อ่านแล้วเผื่อทำให้เพื่อนๆ เข้าใจเรื่องที่ทำไมต้องพบต้องจากมากขึ้น ลองดูๆ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด



^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า

ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ ^_^

ที่มา
http://board.upmaxclub.com/index.php?topic=33069.0

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่....ผลกรรมกำหนดโชคชะตา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=13660.msg125034#msg125034

1353
อานิสงส์การรักษาศีล

"สีเลนะโภคะสัมปะทา" แปลว่า ศีลเป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์

                               :114: :114: :114:
!!!พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ!!!


Thai-English: NECTEC's Lexitron Dictionary

โภคทรัพย์ n. consuming property Syn. ทรัพย์สมบัติ Sample: คำว่า “ทรัพย์” ตามที่กล่าวถึงนี้มิได้หมายความว่า “โภคทรัพย์” ซึ่งได้แก่ ทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง แต่หมายถึง “อริยทรัพย์” ตามหลักพระพุทธศาสนา

โภคทรัพย์ n. wealth Related. property,resource Def. ทรัพย์สิ่งของที่ใช้อุปโภคบริโภค Sample: ความเป็นอยู่ที่ดีงามจักต้องเป็นสังคมที่สงบสุข มั่นคง มีโภคทรัพย์ ปราศจากความยากจน และสามารถพึ่งตนเองได้


http://dictionary.kapook.com/

1354
สำหรับท่านเผ่าพงษ์ :054: แถมอีกภาพนึงครับ


1355
คำสอนของท่านพระอาจารย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้เลยครับ

กราบนมัสการพระคุณเจ้า :054:

ปล...คาดว่าจะไปกราบท่านใน 7 วันนี้ครับ


ท่านสอนแม้กระทั่งการวางเก้าอี้ :054:



1356
กราบเรียนท่านพระอาจารย์  :054:

เมื่อวานนี้ เพื่อน...ตูน รับอาสาไปจัดพิมพ์บทกวีธรรมชุดเก่า เพื่อนำไปให้ท่านตรวจสอบแก้ไขอีกครั้งหนึ่งเร็วๆนี้ครับ :054:

1357
โค้งร้อยศพ ศาลอาญา ถนนรัชโยธิน


ตามฉายาที่ชาวบ้านละแวกนั้นตั้งขึ้นมา "ทำไม" อะไร เป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดอุบัติเหตุ ที่นี่บ่อยครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมคนขับจึงต้องมาสังเวยชีวิต ณ.จุด ๆ นี้ที่เดียว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อ ถนนรัชโยธิน ก็มีตั้ง 3 โค้ง คล้าย ๆ กัน และทำไม ถ้าหากคุณเป็นคนช่างสังเกตุ สักหน่อย จะเห็นว่าเกาะกลางถนนนั้น ต้นไม้ก็มีให้เห็น ทั่วไป หลายหลาก แต่ไม่เคยเห็นมีปรากฎการณ์ มีต้นโพธิ์ ขนาดไม่เล็ก มาผุดอยู่ตรงทางโค้งนี้

ซากรถที่พังยับเยินจนแทบไม่รู้ว่านี่คือ รถยี่ห้อไหน
เหล็กก็ไม่ใช่บาง ๆ รถเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะไม่มีใครรอด ล้วนแล้วแต่ เป็นคันที่มีคนเสียชีวิตในรถทั้งหมด ขณะที่เราไปยืนถ่ายทำนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ๆ ซึ่งไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องภูติผีปีศาจ เพราะเวลาขณะนั้น เมื่อทีมงานหันหน้ามามองกัน แล้วดูนาฬิกาก็เป็นเวลา ตีสองกว่า ๆ ขณะถ่ายอยู่นั้น ก็มีเสียง และกลิ่นประหลาด ๆ พัดผ่านวูบ ๆ แต่ก็มิได้ตระหนกตกใจมากเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ รู้สึกได้เลยว่า ขนลุกได้เป็นอย่างดี และหลังจากนั้นทีมงานเราได้เดินออกจากป่าช้ารถยนต์นี้ มุ่งหน้าไปหาข้อมูล จาก สน.พหลโยธิน ซึ่งเป็นผู้ดูแลท้องที่ และรวมถึงถนนสายมรณะนี้ด้วย จากการสอบถามจากตำรวจหลาย ๆ ท่าน ใน สน.พหลโยธิน ทั้งลุงจ่า และท่านสารวัตรที่เข้าเวรอยู่คืนนั้น ได้ทราบถึงข้อมูลจริงว่า รถแต่ละคันที่ประสพอุบัติเหตุที่จุดนี้นั้น มีน้อยรายที่รอดส่วนใหญ่จะเสียชีวิต ไม่คาที่ ก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล หรือกลางทางขณะส่งตัวเข้าโรงพยาบาล

บรรดาเหล่ารถซิ่งทั้งหลายก็พบจุดจบที่นี่ หลายชีวิตเช่นกัน
ท่านสารวัตรบอกว่า ส่วนใหญ่แข่งกันแล้ววิ่งแหกโค้ง กระเด็นข้ามเกาะ มาอีกฝั่งเป็นประจำท่านสารวัตรมีความเห็นว่า เนื่องจากถนนช่วงนี้เป็นถนน ลาดยาง 3 เลน ช่วงดึกจะมีรถน้อย และผนวกกับทางโค้งช่วงนี้เป็นทางโค้งที่ค่อนข้างยาว แต่ไม่มีส่วนเอียง ที่เค้าเรียกว่า สโล๊ป ทำให้ในบางครั้งเกิดการเสียหลัก และการทรงตัวของรถ ก็จึงเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวได้ และถนนสายนี้ก็ยังเป็นถนนสายที่ออกมาจากแหล่งบันเทิงมากมาย ซึ่งบางครั้งผู้ขับขี่อาจจะเมา หรือประมาท ก็เป็นได้แต่ที่มาของต้นโพธิ์นี้ ไม่ทราบว่าขึ้นมาได้อย่างไรเช่นกัน เพราะคงไม่มีคนมาปลูก


จากจุดนี้เอง ดังในภาพถ่ายที่เราได้ไปถ่ายมา
ในความคิดเห็นของ ลุงจ่าเล่าให้เราฟังว่า เคยมีคนที่รอดบอกว่า ขณะขับรถอยู่นั้น เมื่อผ่านมาที่ช่วงนี้ เค้าเห็นคนกำลังเดินตัดหน้ารถไป ทำให้เบรคกระทันหันและทำให้รถเสียหลัก บ้างก็บอกว่า เห็นมีเงาดำ ๆ ยาวมาก เหมือนมีคนยืนอยู่ พาดผ่านช่วงถนนนี้ทำให้เกิดการตกใจ และควบคุมสติไม่อยู่ ลุงจ่ายังบอกอีกว่า ช่วงดึก ๆ บางคืน หากลองสังเกตุดี ๆ จะเห็นมีคนมาจุดธูปสักการะ แล้วมาขูด เพื่อขอเลขเด็ดบ้าง มาบูชา บนบานศาลกล่าว บ้างก็มีให้เห็นเหมือนกันตามความเชื่อของชาวบ้านแถบ นั้น

มีพี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เล่าให้ฟังว่า
ขณะเค้ากำลังรอผู้โดยสารที่จะเข้าซอย ในตอนช่วงเลยสองยามไปแล้ว เคยเห็นคนมานั่งก้มหน้า ผมยาวมาก อยู่ที่ ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเหมือนกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีเพื่อน ๆ คนอื่นก็เคยเห็น แต่ไม่อยากคิดว่าเป็นผีสางอะไรเพราะถ้าคิดแล้วก็ต้องกลัว แล้วพาลจะทำงานไม่ได้

"ทำไม? จึงมีผู้ขับขี่ยวดยาน ต้องมาประสบอุบัติเหตุที่จุดนี้จุดเดียว
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องชวนพิศวง อยู่เหมือนกันว่า อาจจะเป็นไปได้หรือปล่าว กับคำว่า "ตัวตายตัวแทน" และยังเป็นคำถามให้ชวนคิดอยู่ต่อไปว่า

"ทำไม? จึงมีต้นโพธิ์ ต้นนี้ ขึ้นเด่นสง่าอยู่กลาง เกาะกลางถนน ในเมื่อไม่มีใครมาปลูก"
"ทำไม? ต้นโพธิ์ต้นนี้ ต้องมาขึ้นอยู่ตรงจุดนี้" ในเมื่อ ถนนนี้ก็มีอีก 2 โค้ง"
"ทำไม? ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่ต้องมาพบจุดจบที่จุดนี้"

คำถามเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องน่าคิด ของพวกเรา และทีมงาน และคุณ ๆ ที่อ่านเรื่องนี้เช่นกัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ทีมงานจึงขอเตือนว่า หากขับรถ โปรดใช้ความระมัดระวัง และอย่าขับขี่ในขณะมึนเมา อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ อาจจะเป็นตัวอย่างสอนผู้ขับขี่ได้ถึงการระมัดระวังอุบัติเหตุที่ อาจจะเกิดกับท่านได้ หากขาดความระมัดระวัง หรือขับรถแบบขาดสติ



ที่มา
http://www.ghostthai.studiad.com/Scary%2006.html

1358
บ้านร้างหนองจอก!!!


สถานที่เกิดเหตุ ฆาตกรรมจริง อยู่ในหมู่บ้านร้างที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ สภาพบ้าน ก่อสร้างไปได้ประมาณ 70 % เพราะตกเย็นหลังเลิกงาน คนงานก่อสร้างชายมักตั้งวง กินเหล้ากันในบริเวณตัวบ้านหลังนี้ และด้วยฤทธิ์ของสุราจึงเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น และฆ่ากันตายในที่สุด...



หลังจากที่มีคดีฆ่ากันตาย คนงานก็เริ่มไม่กล้าทำงานกันต่อ เนื่องจากว่าตกดึกทีไร มักจะได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทกันมาจากบ้านหลังนี้ เป็นประจำ...


และด้วยเสียงลือเสียงอ้างต่างๆ นานาทำให้โครงการหมู่บ้านจัดสรรนี้ได้ยุติลง กลายเป็น หมู่บ้านร้างไปโดยพนักงานก่อสร้างกินเหล้า และฆ่ากันตายในบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เป็นซ้ำสอง...



ทุกๆ คนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านหลังนี้เฮี้ยนสุดๆ ใครเข้าใกล้อาจจะถูกผีเข้า หมู่บ้านนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างจวบจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นมาอีกไม่กี่ปี ก็มีคนพบศพ หญิงสาวมาผูกคอตายที่บ้านหลังนี้...

โดยไม่มีใครทราบประวัติของผู้หญิงคนนี้มาก่อนว่าทำไมเธอถึงได้เลือกบ้านหลังนี้เป็นที่ จบชีวิต...


แต่ด้วยความเฮี้ยนที่คนบอกกันปากต่อปาก ใครที่กล้าแวะเข้าไปแถวนั้นก็จะได้ยินเสียง คนทะเลาะกัน ได้เห็นภาพคนทะเลาะกัน แทงกันตายต่อหน้าต่อตา เหมือนเป็นการฆ่าซ้ำๆ โชว์ให้คนดูต่อมาทุกยุคทุกสมัย ทำให้บริเวณนั้นยากที่จะมีใครกล้าย่างกรายเข้าไป นอกจากมิจฉาชีพ ที่อาศัยความกลัวของผู้คนใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทิ้งศพ ซึ่งถูกฆาตกรรม มาจาก ที่อื่น ๆ...

โดยทางตำรวจได้พบศพชายหนุ่มถูกของแข็งทุบบริเวณศีรษะจนกระทั่งเสียชีวิต และ นำศพมายัดไว้ใต้บันไดที่บ้านร้างแห่งนี้...

ปัจจุบัน บ้านร้างหลังนี้จึงกลายเป็นสถานที่รำลือกันในอินเตอร์เน็ต เรียกขานกันในชื่อ บ้านผีตายโหง หนองจอก...

ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=46723

1359
บ้านร้างบางเลน


สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมจริงในอดีต เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นของคนมีฐานะ คดีเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปี ก่อน เมื่อลูกสาวของเจ้าของบ้านเกิดไปหลงรักอยู่กับแฟนหนุ่มซึ่งฐานะไม่ร่ำรวยนัก...


แต่หนุ่มคนนี้มีความขยันขันแข็ง ทำงานหาทุนส่งตัวเองเรียนต่อยังต่างประเทศ แต่ฝ่ายพ่อ ของผู้หญิงไม่ชอบว่าที่ลูกเขยคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะอยากให้ลูกสาว แต่งงานกับผู้ชาย ที่ฐานะร่ำรวยกว่า...

ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรลูกสาวก็ไม่ยอมตัดใจจากแฟนหนุ่ม พ่อฝ่ายหญิง จึงออกอุบาย เรียกให้แฟนหนุ่มของลูกสาวกลับมาเมืองไทย เมื่อฝ่ายชายกลับมาถึง พ่อของฝ่ายหญิง ก็สั่งให้ลูกน้องยิงตายคาบ้าน และนำศพไปอำพรางคดีไว้บริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน... ที่เคยเป็นคดีเขย่าขวัญพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับมาแล้ว ซึ่งคราบเลือด จากเหตุการณ์ครั้งนั้นกระเซ็นเลอะข้างฝาบ้านจวบจนทุกวันนี้...


ต่อมาพ่อแม่ฝ่ายชายทราบเรื่อง จึงว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าพ่อของฝ่ายหญิง ให้ตายตกตาม กันไป...



บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยให้รกร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และไม่มีใครกล่าวถึงฝ่ายหญิง ว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ยามดึกมักมีคนเห็นชายหนุ่มผมเปียกน้ำมายืนรอแฟนสาวอยู่เสมอ จนกระทั่งมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่นี่เป็นคดีรายล่าสุด...



ที่มา
http://www.ghostthai.studiad.com/Scary%2003.html

1360
โลงศพผีตายโหง



สมัยเด็กผมอยู่ ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เชื่อว่ามีชาวพวนอยู่มากที่สุด ชาวบ้านแทบทุกตำบล 10 คนเป็นพวน 8 คน ไทยเวียงกับเชื้อสายจีนอีกอย่างละ 1 คน

"พวน" นะครับ ไม่ใช่ "ลาวพวน" อย่างที่ชอบเรียกกันผิดๆ มาถึงเดี๋ยวนี้

ชาวพวนนับถือทั้งพุทธศาสนากับผีปู่ตา ผีบรรพบุรุษ โดยแยกหิ้งพระต่างหาก ในหมู่บ้านยังมีศาลผีปู่ตา คล้ายๆ ศาลผีตาแฮกในภาคอีสาน ส่วนมากมักจะสร้างไว้ตามเนินโคกหรือจอมปลวกใหญ่ๆ บ้างเรียกว่า "หอบ้าน" ก็มี

ที่ตำบลหินปักจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปีละครั้ง มีคนสูงอายุทำพิธีเรียกว่า "เจ้าจ้ำ" เชื่อว่าถ้าเซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้องครบถ้วน ผีปู่ตาจะมาคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป

ปกติจะมีการเซ่นในวันสิ้นเดือนที่ตรงกับวันพระ โดยจัดอาหารคาวหวานและหมากพลู บุหรี่ แล้วใช้ใบตองห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม นำไปวางไว้ตามทางสามแพร่ง ที่เชื่อตรงกันไม่ว่าไทยหรือพวน คือเป็นทางผีผ่าน บ้างนิยมไปวางไว้ข้างโบสถ์ก็มี...ถือเป็นการแจกอาหารทำทานให้ผีเปรตและผีไม่มีญาติด้วย

พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพก็น่าสนใจนะครับ

เมื่อมีการตายผิดธรรมชาติ เช่น ตายโหง พวกเราต้องฝังศพไว้ก่อน 3 ปีแล้วจึงขุดขึ้นมาเผา เพื่อรอให้วิญญาณไปผุดไปเกิดเสียก่อน ไม่งั้นอาจจะมาเอาชีวิตญาติสนิทมิตรสหายไปอยู่ด้วยก็ได้ อย่าล้อเล่นไปเชียว

ตอนที่หามศพลงจากบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะต้องรีบชักบันไดขึ้นทันที เพราะบ้านส่วนมากปลูกใต้ถุนสูง มีบันไดพาด จะเข้านอนก็ชักบันไดขึ้นเก็บ ไม่ให้พวกขโมยขโจรแอบย่องขึ้นมาได้ง่ายๆ

ถ้าเกี่ยวกับคนตายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผีกลับขึ้นได้อีก...ไปแล้วไปเลย ว่างั้น!

ขนาดนั้นยังไม่ค่อยวางใจ เมื่อเผาศพเสร็จแล้วก็จะนำน้ำส้มป่อยมาสาดบ้าน สาเหตุเพราะต้นส้มป่อยมีหนามมาก ถึงผีจะหาทางขึ้นบ้านได้ก็ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปในห้องในหับ เพราะกลัวหนามตำเอานั่นละน่า

ตอนหามศพออกจากบ้านก็ต้องใจหายใจคว่ำอีกแล้วครับ

มีกฎเกณฑ์ที่ทุกคนล้วนรู้ๆ กันอยู่แก่ใจว่า ตอนหามศพไปป่าช้าน่ะ ห้ามวางโลงบนพื้นดินเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือหิวน้ำหิวกะแช่แทบจะขาดใจก็เถอะเอ้า!

ถ้าทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนคนหามโลงจริงๆ ก็ต้องไม่วางโลงลงพื้นดิน เพราะเชื่อถือกันฝังหัวว่าจะทำให้ผีมีอิทธิฤทธิ์ เฮี้ยนจัดระดับป่าช้าแตกได้ง่ายๆ

"อย่าพาผีหยุด-อย่าพาผีเซา" นั่นคือความเชื่อกันมาหลายชั่วคนแล้ว!

แต่อุบัติเหตุ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยนึกไม่ถึงก็ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญได้ง่ายๆ

ลุงพื้นผัวป้าแย้มเป็นนักขึ้นตาลตัวยงประจำหมู่บ้าน แกทำทั้งน้ำตาลสดและน้ำตาลเมา แถมตัดตาลอ่อนๆ มาเฉาะเปลือกเอาลูกตาลหวานฉ่ำมาแจกเด็กๆ กินเสมอ

กรรมวิธีบนยอดตาลน่ะผมไม่รู้หรอกครับ นอกจากตอนที่แกนั่งขัดสมาธิอยู่โคนต้น ใช้มีดเฉาะลูกตาลมาร้อยเส้นตอก แล้ววางบนใบตอง พวกเด็กๆ ที่รวมทั้งผมชอบล้อมวงกินลูกตาลเฉาะแสนอร่อยปากลิ้น แถมชุ่มชื่นใจอย่าบอกใครเชียว

วันหนึ่งลุงพื้นก็ตกตาลลงมาแหลกเหลว...ผู้คนมาช่วยอุ้มไปสิ้นใจที่บ้านพอดี!

เหตุสยองเกิดซ้ำตอนช่วยกันหามโลงศพลงจากบ้าน ชักบันไดขึ้นเรียบร้อย แต่ก่อนจะถึงวัดก็เกิดเรื่องไม่นึกไม่ฝัน...

นั่นคือ น้าปั่นคนหามโลงด้านหัวเกิดเดินสะดุดท่าไหนไม่รู้ล้มลงไปนั่งหน้าซีดเซียว โลงผีหล่นโครมลงมาท่ามกลาง ความตะลึงพรึงเพริดของทุกคน เดชะบุญที่โลงไม่แตกจนเห็นภาพอุจาดตาของศพในโลง...แต่คนอื่นๆ ล้วนแต่หน้าตาซีดเผือดเป็นไก่ต้มไปตามๆ กัน

น้าลือเป็นคนหามโลงแทนน้าปั่น...ตกค่ำก็ฟังสวด นั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนผีหรือ "เฝ้าผี" กันตลอดเวลา...สะดุ้งผวากันทุกคนเพราะได้ยินเสียงเคาะโลงโดยทั่วหน้า

คืนแรกนึกว่าลุงพื้นจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็พบร่างศพสงบนิ่งในท่าเดิม ปิดโลงได้ไม่นานก็เกิดเสียงกุกกัก ตามด้วยเสียงเคาะโลงอีกแล้ว ได้ยินถนัดทุกคนจนนั่งสะดุ้งเป็นกุ้งเต้นไปตามๆ กัน...จนกระทั่งฝังศพลุงพื้นแล้วเรื่องสยดสยองจึงเงียบไป!


ที่มา
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=68&post_id=104592

1361
เรื่องผีๆ ผีโทรมาเล่าเรื่อง ที่ตัวเองโดนฆ่า
ก็ได้ยินตอนฟังของวันที่ 20 มิ.ย. ช่วง the shock ย้อนยุค.... ได้ยินพี่ป๋องพูดถึงเรื่องผีที่มาเล่าในรายการแบบ the shock ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ..... เรื่องนี้เกิดปี 2538 ช่วงประมาณ พ.ย. - ธ.ค.

ตอนนั้นกำลังเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ก็ช่วงเวลาที่รายการนี้ก็ประมาณ the shock นี่ล่ะ ผมก็นั่งฟังไปด้วยอ่านหนังสือไปช่วงนึงมีผู้หญิงโทรมา....

น้ำเสียงที่เธอพูด ช้า และเย็นๆ มาก ... ก็ไม่ได้คิดอะไรกัน เธอเล่าว่า "มีผู้หญิงคนนึงจะกลับบ้าน ทางเดินเข้าบ้านเธอมันเปลี่ยว พอเดินได้สักพักก็มี คนขับมอไซด์ มาฉุดผู้หญิงคนนั้น ไปข่มขืนในป่าข้างทาง

แล้วมันก็ฆ่าเธอ มันฆ่าหนู ๆ ฮือๆๆๆๆๆๆ " แล้วสายก็หลุดไปเฉยๆ พร้อมกับความงวยงงขอดีเจและคนฟังทั้งเชียงใหม่ หลังจากนั้นรายการก็พยายามติดต่อสายเดิมแต่โทรไม่ติด ก็มีแต่คนโทรมาบอกถึงความสงสัยของคนเล่าว่าเสียงทำไมพูดยาน จัง

หรือเสียงเหมือนผีเลย .... น่ากลัวมากเลย .... แล้วพอสักพักดีเจก็ให้ร่วมกันโหวตเรื่องเล่าที่น่ากลัวประจำคืนนั้น ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้รางวัล ทางทีมงานเข้าใจว่าโทรไปอีกก็ไม่ติดก็พูดว่าให้น้องคนนั้นติดต่อกลับมา

แต่ก็ทางายการพยายามพูดถึงทั้งเดือน ก็ไม่มีคนมารับ ผมก็ได้เล่าเรื่องนี้กับเพื่อนให้ฟังว่ารู้สึกว่าเหมือนผีเนอะ เพื่อนผมก็บอกว่าคิดว่าหมือนกันเพราะมีข่าวว่ามีผู้หญิงถูกข่มขืนแล้วฆ่า เหมือนกันตอนช่วงนั้น แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่า คนที่เล่าเป็นผี หรือคนมาเล่า


ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

1362
"หนูสดใส" เล่าเรื่องสยองขวัญจากหอพักที่เกย์โดนฆ่าหมกห้อง

    หนูเป็นคนเมืองชลบุรีค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 แม่ไปทำงานเป็นแม่ครัวโรงแรมที่สัตหีบ ต้องเข้าทำงานแต่เช้า กว่าจะเสร็จภาระหน้าที่บางทีล่วงเข้าสองยามกว่าๆ ฉะนั้น แม่จึงเช่าห้องพักของหอที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานนั่นเอง

เวลาวันหยุดศุกร์เสาร์หรือปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่กับแม่เพราะรักและคิดถึงมากๆ เห็นห่วงด้วยค่ะ

พอพักที่แม่อยู่ดูกว้างขวาง สะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่แพ้รีสอร์ต มันเป็นตึกสามชั้นมีดาดฟ้า มีระเบียงด้านหน้าเป็นทางเดินตลอดอาคาร ทุกๆ ห้องจะเรียงรายกันไป เปิดหน้าต่างด้านหน้ากับด้านหลังให้ลมพัดได้ตลอด ไม่อึดอัด หลังห้องมีราวตากผ้าด้วย

ห้องทั้งหมดมี 30 ห้อง คนที่มาเช่ามีทั้งฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ แม่อยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์ เราขึ้น-ลงบันไดได้สบายมาก ได้ออกกำลังดีค่ะ

ถัดจากแม่ไปสี่ห้อง บนชั้นสามนี้มีเกย์มาเช่าอยู่ ชื่อพี่หมู เขาสนิมสนมกับเราพอควร พี่หมูเป็นเกย์ที่ดูมีมาดแมน ทำงานธนาคาร ใส่เชิ้ต ผูกไท ร่างสูงใหญ่ ท้วมนิดๆ หน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ตาโต จมูกโด่ง ผมหยักศก จัดว่าหล่อเหลาเอาการ

แต่ถ้ามองนานๆ เขาเป็นคนหน้าหวาน ปากหวาน อารมณ์ขัน น่ารักน่าคบมากเชียวค่ะ

แม่บอกว่าเสียอย่างเดียวที่พี่หมูเป็นนักเที่ยวกลางคืน และมักมีผู้ชายติดไม้ติดมือมาค้างด้วย แม่เคยเตือนให้ระวังพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าไว้หน่อย ไม่ใช่เห็นหน้าตาดีๆ คุยสนุกก็ถูกใจไว้ใจ พามาห้อง มันอันตรายรู้ไหม? พี่หมูฟังยิ้มๆ เพราะรู้ว่าแม่หวังดี แต่เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ กระทั่งเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาจนได้!

พี่หมูหายหน้าไปสามสี่วัน ครั้งสุดท้าย แม่เห็นเขาตอนแม่กลับจากทำงานราวตีหนึ่ง พี่หมูพาผู้ชายหน้าตาตี๋ๆ ผอมๆ หน้าเสี้ยมมาด้วย แม่ยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็ต่างคนต่างเข้าห้องของตัวไป

สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร เพราะคิดว่าพี่หมูไป-กลับไม่ตรงกับเวลาของแม่ ซึ่งก็เป็นปกตินะคะ..แต่คนทั้งหอได้กลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าโชยออกมา

เมื่อช่วยกันค้นหาก็มาเจอว่า ต้นตออยู่ที่ห้องพี่หมูนี่เอง พองัดเข้าไปนะคะปรากฏว่าเห็นภาพสยดสยองมากเลย

แม่ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะไปทำงาน แต่เพื่อนๆ ชาวหอเล่าว่าพี่หมูถูกแทงจนพรุน ขึ้นอืดตัวพอง ตาถลนเหมือนลูกปิงปองเละๆ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือดกลายเป็นน้ำเน่าสีดำๆ ปนกับน้ำเหลืองไหลออกมาเต็มห้อง ที่นอนงี้เปียกชุ่มและกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจที่สุด

วันรุ่งขึ้น ผู้เช่ากว่าครึ่งบอกอำลาเพราะกลัวผีค่ะ!

ชั้นสามแทบไม่มีคนอยู่ ห้องสิบห้องเปิดแน่บไปซะหก เหลือแม่กับฝรั่งและครูสอนเต้นรำ รวมสามห้องเท่านั้นเอง หนูกลัวบอกให้แม่ย้าย แม่ก็ทนอยู่เกือบเดือนจึงย้ายมาอยู่ห้องชั้นล่างสุด

หนูถามแม่ว่าเจอผีไหม? แม่บอกว่ามีอะไรแปลกๆ เหมือนกัน เช่น เสียงคนเดิน เสียงเปิดปิดประตูเหมือนพี่หมูยังอยู่ที่นี่ มีคนบอกว่าเห็นเขายืนเกาะระเบียง แต่แม่ไม่ค่อยกลัว..ความเวทนามีมากกว่าค่ะ

คนตายที่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มท่วมห้องนี่ทำความสะอาดยากมากเลย

แม่เล่าว่า เขาขนพรม ที่นอนและทุกอย่างออกไป เหม็นมากๆ ส่วนคราบเลือดกับน้ำเหลืองบนพื้นห้อง เขาต้องเอาชะแลงมาแซะ มันหลุดออกเป็นแผ่นๆ กรอบๆ บางๆ น่ากลัวจัง แต่น้ำเหลืองก็ซึมลงไปในเนื้อปูนใต้พรม เปิดเครื่องปรับอากาศมีแต่กลิ่นเน่ากระจายคลุ้งไปหมด

ยิ่งเจ้าของปิดห้องมันยิ่งเหม็น พอเปิดก็เหม็นอีก ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ พวกญาติๆ มาขนของพี่หมู ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กลิ่นศพ ทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ข้อสำคัญคือน่าขนหัวลุก

คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าของหอพัก เป็นใครก็แทบร้องไห้ทั้งนั้นแหละ

ทุกวันนี้ เวลาหยุดเรียนสุดสัปดาห์หนูยังไปอยู่กับแม่ บอกตรงๆ ว่าหนูกลัวมากค่ะ

กลัวจะเห็นพี่หมูเดินผ่านไปขึ้นบันได กลัวเงยหน้าขึ้นไปเห็นพี่หมูเกาะระเบียง หนูไม่กล้านั่งเล่นนอนเล่นดูทีวีรอแม่อยู่คนเดียวในห้องหรอกค่ะ ติดแม่ไปทำงานไป-กลับด้วย ถ้าง่วงๆ มาต้องนอนรอ

หนูอยากให้แม่ย้ายห้องพักไปอยู่ที่อื่นจังเลย แต่แม่บอกว่าสงสารเจ้าของหอ ที่สำคัญ แม่สงสารพี่หมูอยู่เสมอ

แปลกนะคะ ที่คนอื่นๆ เขายังได้กลิ่นเน่านั้นอยู่ บางคนถึงกับย้ายหนีเพราะทนไม่ได้ คนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่ๆ ยังไม่เคยรู้เรื่องน่ากลัวมาก่อน ก็เคยบ่นกับใครๆ เหมือนกันว่าที่นี่มีกลิ่นเหม็นแปลกๆ น่าขนลุก คนที่อยู่มาก่อนก็อดเล่าไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องสยองขวัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

น่าแปลกใจอยู่อย่าง ตรงที่ใครๆ ก็ได้กลิ่นน้ำเลือดน้ำเหลืองน่ากลัวกันทุกคน แต่หนูกับแม่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมารบกวนเลยค่ะ

เพราะพี่หมูรักเราหรือเปล่าคะเนี่ย?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด
- ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2547

1363
เรื่อง รถฉันคว่ำ

       ฝน กับ ต้น เป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกันมาหลายปี แต่ก็ไม่ได้สนอกสนใจกันมากนัก จนมาถึงปีสุดท้ายที่ทั้งคู่อยู่ ม.6 จึงได้มาสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน พอถึงวันจบการศึกษา ที่โรงเรียนก็จัดงานจบการศึกษาให้ งานถูกกำหนดให้จัดขึ้น 10 วัน หลังวันสอบวันสุดท้าย พอถึงวันงาน ฝน ก็มาที่งานและก็มาเจอกับ ต้น งานใกล้เลิกและเริ่มดึกแล้ว ต้น จึงถาม ฝน ว่า

"วันนี้กลับบ้านยังไงเหรอ?"
"ไม่รู้เหมือนกัน คงนั่งแท็กซี่มั้ง ไม่ได้เอารถมา" ฝน ตอบ
"ไม่ดีหรอก ประเดี๋ยวเราไปส่ง มีหลายคนไปด้วยกัน เราส่งฝนคนสุดท้ายละกันนะ" ต้น บอก
"ได้จ๊ะ ไม่มีปัญหา"

หลังจากที่ส่งเพื่อนทุกคนหมดแล้ว ก็เหลือ ฝน กับ ต้น อยู่ 2 คน ต้น เองก็ไม่เคยมาส่ง ฝน ที่บ้านมาก่อน เพราะปกติ ฝน จะมีคนมารับ หรือไม่ก็ ขับรถมาเอง ฝน เป็นคนบอกทางให้ตลอด พอมาถึงทางแยก ฝน ก็ชี้ให้ดูรถคันหนึ่งที่หงายท้องอยู่ข้างทาง

"โน่นไงรถเรา หงายอยู่โน่นแน่ะ เมื่อวานขับรถคว่ำ ดูสิยังไม่มีใครสนใจเลย" ฝน บอก
"โชคดีมากเลยนะที่เธอไม่เป็นอะไร" ต้น พูดอย่างแปลกใจ
"อื่ม...เดี๋ยว ต้น จอดตรงนี้แหละ ทางข้างหน้าไม่ค่อยดี เดี๋ยวเราเดินเข้าไปดีกว่า อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว" ฝน บอก
"ก็ได้" ต้น จอดรถข้างทาง

        ฝน ลงจากรถแล้วเดินหายไปในความมืด ต้น นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เบอร์โทรศัพท์ของ ฝน เลย จะได้โทรฯไปเช็คว่าถึงบ้านดีหรือเปล่า ต้น จึงขับรถตามไป แต่ก็ไม่เห็นฝน และก็ไม่เห็นบ้านคนด้วย ต้น ขับรถกลับมาทางเดิม และผ่านรถของ ฝน ที่หงายอยู่ข้างทาง ต้น จอดรถและลงไปดู จึงได้เห็นว่า

ฝน นอนตายติดอยู่ในซากรถนั่นเอง

ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

1364
เรื่องผีๆ ผีเฮี้ยนในห้างดัง

ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม

……ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…

หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ๊ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องไห้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ

……………พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทานข้าวอยู่…

หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า เรา ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า

….แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…

เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้างแห่งนี้ ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร …สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรพ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ๊งแล้ว เจ๊งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ

……ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

1365
อนุญาตนำภาพหลวงพ่อเปิ่นมาให้ชมกันครับ...ผมถ่ายเอง


1366
กราบนมัสการพระอาจารย์
ขออนุญาตนำภาพมาให้ชมกันครับ
ศาลาพัก

กุฏิหลังที่2



1367
ภาพที่ศาลาเรือนพักสำหรับลูกศิษย์น่าอยู่มากๆ
มี 1 ห้องนอนใหญ่ 3 ห้องนอนเล็ก
และลานเสวนาตรงกลาง


1368
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2554, 07:10:27 »
สรุปความ   
      
วิญญาณทั้ง ๕ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ คือ ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะต้องมี มโนวิญญาณ คือ ความรู้สึกทางใจ เข้าร่วมด้วย จึงจะสำเร็จประโยชน์ในการเห็น การฟัง การดม การลิ้นรส และการสัมผัส เป็นต้น

เมื่อวิญญาณทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นก่อน เช่น จักขุวิญญาณ เกิดขึ้นในที่ใด มโนวิญญาณ ก็เกิดในที่นั้น เพราะอาศัย จักขุ กับ รูป ธรรมทั้งหลายมี ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ วิตก วิจาร มนสิการ ได้เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกัน แต่มีลักษณะต่างกัน ดังนี้

ผัสสะ มีลักษณะ กระทบกัน เช่น จักขุ กับ รูป เรียกว่า จักขุวิญญาณ เป็นต้น

เวทนา มีลักษณะ เสวยอารมณ์ คือทำให้รู้สึกมีความสุข มีความทุกข์ หรือ รู้สึกเฉย ๆ เป็นต้น สัญญา มีลักษณะ จำ เช่นเมื่อตาเห็นรูปก็จำได้ว่า มีสีสันวรรณะเป็นประการใด

เจตนา มีลักษณะ จงใจ หรือ ประชุมแห่งการตกแต่ง หมายถึงมุ่งกระทำความดีหรือความชั่วด้วยความจงใจ

วิญญาณ อันนี้ไม่ใช่วิญญาณที่มาถือกำเนิดในครรภ์ แต่ในที่นี้ท่านหมายถึง รู้ ในฎีกามิลินท์ท่านหมายถึง ประสาท เหมือนกัน

วิตก มีลักษณะ ประกบแน่น หมายถึงการที่จิตตรึกอารมณ์

วิจาร มีลักษณะ ลูบคลำไปตามวิตก คือจิตเคล้าอารมณ์ หรือจิตตรอง หรือพิจารณาอารมณ์ที่ตรึกนั้น

วิตก กับ วิจาร ท่านอธิบายมีความหมายคล้ายกัน คือ วิตก เหมือนกับคนเคาะระฆัง เมื่อมีเสียงดังกังวานครวญครางขึ้นท่านเรียกว่า วิจาร ได้แก่อารมณ์คิดพิจารณานั้นเอง

มนสิการ มีลักษณะ นึก ในข้อนี้ท่านไม่ได้ยกอุปมา เพราะได้เคยอุปมาให้พระเจ้ามิลินท์ได้ทราบไว้แล้ว

   รวมความว่า การที่จะเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสได้นั้น ไม่ใช่ อัพภันตรชีพ ( สิ่งที่เป็นอยู่ในภายในกายนี้) เป็น “ เวทคู ” คือเป็นผู้รับรู้ แต่การที่จะมีความรู้สึกได้เพราะอาศัย วิญญาณ ต่างหาก และวิญญาณทั้ง ๕ นี้ย่อมไหลไปสู่ มโนวิญญาณ เหมือนกับน้ำไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉะนั้น
   แต่ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วยกัน อันมี ผัสสะ เป็นต้นนั้น ท่านไม่สามารถจะแยกออกมาได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนาหรือ อันนี้เป็นสัญญา เปรียบเหมือนเครื่องแกงที่ผสมกันหมดแล้ว รสชาติของมันปรากฏอยู่ตามลักษณะของมัน แต่จะแยกออกมาไม่ได้

   คำเปรียบเทียบของพระนาคเสนเรื่องนี้เหมาะสมมาก คือเมื่อเครื่องแกงผสมเป็นน้ำแกงแล้ว เมื่อเราตักออกมาช้อนหนึ่งชิมดูย่อมมีรสเครื่องแกงทุกอย่างผสมอยู่ แต่จะแยกออกมาหาได้ไม่
   แต่เราพอบอกได้ว่า ความเผ็ดเป็นรสของพริก ความเค็มเป็นรสของเกลือ ความเปรี้ยวเป็นรสของน้ำส้มหรือมะนาว และความหวานเป็นรสของน้ำตาล เป็นต้น

   อนึ่ง เหมือนกับการบรรทุกเกลือ แต่จะไม่บรรทุกความเค็มมาด้วย หรือจะชั่งเฉพาะเกลือ แต่ไม่ชั่งความเค็มด้วยนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ เพราะของเหล่านี้เป็นของรวมกัน ฉันใด
   ธรรมทั้งหลายอันมี ผัสสะ เป็นต้น ได้ปรากฏชัดตามลักษณะของตน แต่จะแยกออกมาแต่ละอย่าง ๆ มิได้เช่นกัน ฉันนั้น

==จบตอนที่ 8==
ต่อด้วยตอนที่9
ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1369
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2554, 07:06:05 »
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔

  ปัญหาที่ ๑ ถามลักษณะมนสิการ


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร มนสิการ มีการ นึก เป็นลักษณะ ”
     “ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

  ปัญหาที่ ๒ ถามลักษณะสิ่งที่มีภาวะอย่างเดียวกัน

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจแยกธรรมที่รวมเป็นอันเดียวกันเหล่านี้ ให้รู้ว่าต่างกันว่า อันนี้เป็น ผัสสะ อันนี้เป็น เวทนา อันนี้เป็น สัญญา อันนี้เป็น เจตนา อันนี้เป็น วิตก อันนี้เป็น วิจาร ได้หรือไม่?”
     “ ไม่อาจ ขอถวายพระพร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนพ่อครัวของพระราชา เมื่อจะตกแต่งเครื่องเสวยก็ใส่เครื่องปรุงต่างๆ คือ นมส้ม เกลือ ขิง ผักชี พริก และสิ่งอื่น ๆ ลงไป ถ้าพระราชาตรัสสั่งว่า
     “ เจ้าจงแยกเอารสนมส้มมาให้เรา จงแยกเอารสเกลือ รสขิง รสหวาน รสเปรี้ยว มาให้เราทีละอย่าง ๆ ”
     พ่อครัวนั้นอาจแยกเอารสที่รวมกันอยู่เหล่านั้นมาถวายพระราชาว่า นี้เป็นรสเปรี้ยว นี้เป็นรสเค็ม นี้เป็นรสขม นี้เป็นรสเผ็ด นี้เป็นรสฝาด ได้หรือไม่ ? ”
     “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ก็แต่ว่าเขาอาจรู้ได้ตามลักษณะของรสแต่ละรส”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ วิตก วิจาร รวมกันเข้าแล้ว อาตมภาพก็ไม่อาจแยกออกให้รู้ได้แต่ละอย่าง ก็แต่ว่าอาจให้เข้าใจได้ตามลักษณะแห่งธรรมเป็นอย่าง ๆ ”
     “ ขอถวายพระพร เกลือ เป็นของจะต้องรู้ด้วย ตา ใช่ไหม? ”
     “ ใช่ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอมหาบพิตรจงจำคำนี้ไว้ให้ดีนะ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น เกลือ เป็นของรู้ด้วย ลิ้น อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร ”
     “ ถ้าบุคคลรู้จักเกลือทั้งหมดด้วยลิ้น เหตุไฉนจึงบรรทุกเกลือมาด้วยเกวียน ควรบรรทุกมาเฉพาะความเค็มเท่านั้นไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ไม่อาจบรรทุกมาแต่ความเค็มเท่านั้นได้ เพราะว่าของเหล่านี้เป็นของรวมกัน ส่วนความเค็มบุคคลอาจชั่งได้ด้วยตาชั่งหรือไม่มหาบพิตร? ”
     “ อาจชั่งได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ มหาบพิตร จงจำคำนี้ไว้ให้ดีว่า บุคคลอาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่ง”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าว่าบุคคลไม่อาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่งอย่างนั้นหรือ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1370
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2554, 07:04:13 »
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะวิญญาณ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน วิญญาณ มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้ เป็นลักษณะ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบประดุจบุรุษผู้รักษาพระนคร นั่งอยู่ที่ถนน ๔ แพร่งกลางพระนคร ต้องได้เห็นบุรุษผู้มาจากทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ฉันใด บุคคลเห็นรูป หรือฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส นึกถึงสิ่งใดด้วยใจ ก็รู้จักสิ่งนั้นได้ด้วย วิญญาณ ฉันนั้น วิญญาณมีการ รู้ เป็นลักษณะอย่างนี้แหละ มหาบพิตร ”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”

  ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะวิตก

     “ ข้าแต่พระนาคเสน วิตก มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร วิตก มีการ ประกบแน่น เป็นลักษณะ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร ช่างไม้่ย่อมเข้าไม้ในที่ต่อ แล้วโบกด้วยปูนหรือทาด้วยสีให้สนิทฉันใด วิตก ก็มีการประกบแน่น มีการแนบแน่นเป็นลักษณะฉันนั้น”
     “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”

  ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะวิจาร

     “ ข้าแต่พระนาคเสน วิจาร มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร วิจาร มีการ ลูบคลำไปตามวิตก เป็นลักษณะ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ากังสดาล อันบุคคลเคาะด้วยสันดาบ ก็มีเสียงดังเป็นกังวานต่อ ๆ กันไป ฉันใด วิตก ก็เหมือนกับการเคาะ ฉันนั้น ส่วน วิจาร เหมือนกับเสียงดังครวญครางไป ”
     “ สมควรแล้ว พระนาคเสน ”

 จบวรรคที่ ๓

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1371
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2554, 07:01:29 »
ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะสัญญา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน สัญญา มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร สัญญา มีการ จำ เป็นลักษณะ ”
     “ จำอะไร ? ”
     “ จำสีเขียว สีแดง สีขาว ขอถวายพระพร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างเจ้าพนักงานคลังของพระราชา ได้เข้าไปที่คลังแล้ว เห็นเครื่องใช้ต่าง ๆ ของพระราชา อันมีสีสันต่าง ๆ กัน คือ สีเขียวก็มี เหลืองก็มี แดงก็มี ขาวก็มี เลื่อมก็มี ก็จำไว้ได้เป็นอย่าง ๆ ไป ฉันใด สัญญา ก็มีการ จำ เป็นลักษณะฉันนั้น”
     “ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

  ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะเจตนา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน เจตนา มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เจตนา มีความ จงใจ เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่งว่า เจตนา มีการ ประชุมแห่งการตกแต่ง เป็นลักษณะ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้หนึ่งตกแต่งยาพิษขึ้นแล้ว ก็ดื่มเองด้วย ให้ผู้อื่นดื่มด้วย เขาก็เป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ ฉันใด บางคนจงใจทำความชั่วแล้วก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พวกใดทำตามบุรุษนั้น พวกนั้นก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ฉันนั้น
     อีกประการหนึ่ง บุรุษผู้นั้นตกแต่งเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ให้มีรสอันเดียวกัน แล้วก็ดื่มเองบ้าง ให้ผู้อื่นดื่มบ้าง เขาก็เป็นสุข ผู้อื่นก็เป็นสุข ฉันใด
     บางคนจงใจทำความดีแล้วได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์ พวกใดทำตามบุรุษนั้น พวกนั้นก็ได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์เหมือนกัน ฉันนั้น
     อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า เจตนา มีการ จงใจ เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่งว่า มีการ ปรุงแต่ง เป็นลักษณะ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1372
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2554, 06:47:02 »
ยังมีต่อครับ
ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะผัสสะ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด เวทนา ก็เกิดในที่นั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร คือ จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด เวทนา ก็เกิดในที่นั้น ถึง สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ วิตก วิจาร ก็เกิดใน ในที่นั้น ธรรมทั้งหลายมี ผัสสะ เป็นต้น ก็เกิดในที่นั้น ขอถวายพระพร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผัสสะ มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผัสสะ มีการ กระทบกัน เป็นลักษณะ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับแพะ ๒ ตัวชนกันอยู่ จักขุ เหมือนกับแพะตัวหนึ่ง รูป เหมือนกับแพะอีกตัวหนึ่ง ผัสสะ เหมือนกับการชนกันแห่งแพะทั้งสอง ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งไป ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า มือทั้งสองที่ตบกัน จักขุ เหมือนมือข้างหนึ่ง รูป เหมือนมืออีกข้างหนึ่ง ผัสสะ เหมือนการกระทบกันแห่งมือทั้งสอง ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบประดุจบุรุษเป่าปี่ ๒ เลาขึ้นพร้อมกัน จักขุ เหมือนปี่เลาหนึ่ง รูป เหมือนปี่อีกเลาหนึ่ง ผัสสะ เหมือนการรวมกันแห่งเสียงปี่ทั้งสองเลานั้น ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

  ปัญหาที่ ๙ ถามถึงลักษณะเวทนา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน เวทนา มีลักษณะอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เวทนา มีการ ทำให้รู้สึก เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่ง มีการ เสวย เป็นลักษณะ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษผู้หนึ่ง ทำความดีความชอบต่อพระราชา เมื่อพระราชาทรงพอพระทัยแล้ว ก็ทรงพระราชทานทรัพย์ ยศ บริวาร ให้แก่บุรุษนั้น บุรุษนั้น ก็เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ แล้ว เขาก็คิดว่าเราได้ทำความดีต่อพระราชาไว้แล้ว เราจึงได้เสวยความสุขอย่างนี้
     อีกนัยหนึ่ง เหมือนกับบุรุษคนหนึ่งทำบุญกุศลไว้แล้ว ได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์ เขาก็มีความสุขด้วยทิพย์สมบัติ แล้วเขาก็นึกได้ว่า เพราะเราได้ทำบุญกุศลไว้ในกาลก่อน เราจึงได้เสวยความสุขอย่างนี้
     อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า เวทนา มีการ ทำให้รู้สึก เป็นลักษณะ หรือมีการ เสวย เป็นลักษณะ ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาสมควรแล้ว ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1373
เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป
เรื่องผีหลอกที่โรงพยาบาล

โรงพยาบาลเอกชน อ.เมือง จ.ระยอง
ลือ "รพ.ผีสิง" หลอก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา

ลือผีดุ -โรงพยาบาลเอกชน อ.เมือง จ.ระยอง ถูกทิ้งรกร้างหลังโดนสั่งปิดไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน ชาวบ้านร่ำลือกันว่าผีดุ และเคยเห็นอะไรแปลกๆ ทำให้มีวัยรุ่นแอบเข้าไปลองของ บางรายเจอของจริงวิ่งหน้าตั้งหนีแทบไม่ทัน ตามข่าว
ขนลุกกันทั้งเมือง "โรงพยาบาลผีสิง" หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง เป็นโรงพยาบาลเก่าที่หยุดกิจการปล่อยให้ร้างมา 3-4 ปี ทิ้งตู้ยาเตียงคนไข้ไว้เกลื่อน ประตูหน้าต่างกระจกแตก ผู้คนที่ผ่านไป มาบางคนเห็นรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา ได้ยินเสียงคนไข้ร้องโหยหวน ทั้งๆ ที่ตึกทั้งตึกไม่มีใครอยู่ รกร้างมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด จนไม่มีใครกล้าผ่าน ขณะเดียวกันก็มีคนเข้าไปพิสูจน์เป็นระยะๆ แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาแทบทุกคน หลายคนบอกถูกตบหัว

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านร่ำลือกันไปทั่วเมืองระยองว่า มีผีอาละวาดเที่ยวตามหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาจนหวาดผวาไปตามๆ กัน ที่โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ริมถนนสาย 36 โดยเสียงร่ำลือของชาวบ้านบอกว่าเห็นผีเข็นรถคนไข้เดินไปมาภายในโรงพยาบาล และมีเสียงร้องโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน  รายการวิทยุบุกพิสูจน์ ร.พ.ระยอง ล่าสุดรายการเดอะช็อกบุกพิสูจน์ ถ่ายทำแบบปูพรมทุกห้อง ไปเจอเรื่องผิดปกติที่ห้องเก็บศพ ขณะจะเข้าไป
มีเสียงเหมือนลูกบิดเปิดจากข้างในห้อง แต่พอเปิดออกดูกลับไม่พบใคร

ส่วนโจ๋ที่เข้าไปพิสูจน์เผ่นแน่บออกมา 2 ราย รายแรกเพื่อนๆ อ้างไปเจอ มือขนาดใหญ่โผล่มาระหว่างเข้าไป ส่วนอีกรายอ้างเจอมือผีบีบศีรษะ
จากกรณีที่ข่าวสดเสนอข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนจัง หวัดระยอง มีชาวบ้านพบเห็นความเฮี้ยนตลอดเวลา ล่าสุดทีมงานรายการ "เรื่องจริงผ่านจอ"
นำอาจารย์ชื่อดังมาถ่ายภาพด้วยกล้องไฮเทค ปรากฏว่าพบพลังงานลึกลับถึง 11 จุดตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 12 ก.ค.นายโก้ พลิ้ว ทีมงานรายการเดอะช็อก ที่ออกอากาศทางคลื่น ขส.ทบ.กรุงเทพเดินทาง
มาพิสูจน์ความเฮี้ยนอีกครั้งและรายงานสดออกอากาศขณะถ่ายทำด้วย
การเดินทางมาครั้งนี้ทีมงานได้นำคณะมาจำนวน 7 คน มีนายสุชาติ พฤษศานิตย์ เป็นผู้ดูแล คอยพาเข้าตามจุดต่าง ๆ จนครบทุกห้อง ซึ่งการมาทำรายการครั้งนี้ ทางผู้จัดทำรายการ คือนายต๋องสั่งทีมงานเดินทางมาถ่ายภาพทุกห้อง
แบบปูพรมเพื่อจะนำมาล้างและดูสิ่งที่พบว่ามีดวงวิญญาณติดมาหรือไม่

โดยทีมงานกล่าวว่าการเดินทาง มาถ่ายครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการถ่าย แบบปูพรมเพราะไม่เคยทำที่ไหนมาก่อนแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นต่อหน้าทีมงาน โดยมีกลุ่มวัยรุ่นจำนวน 5 คนได้หามเพื่อนและวิ่งออกมาจากประตูด้านหลัง
ก่อนที่จะวางลงกับพื้น และรีบให้เพื่อนอีกคนนำรถยนต์ที่มาขับออกไปส่ง ร.พ.ระยอง โดยมีน้ำลายฟูมปากและชักเป็นระยะๆ หลังจากได้มีการ
ปฐมพยาบาลและฟื้นขึ้นมายังมีอาการหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา และยกมือไหว้ท่วมหัวตะโกนว่ากลัวแล้วอย่าทำผมเลย โดยได้สอบถามเพื่อนๆที่มาด้วยกันทราบชื่อว่านาย ไก่ ไม่ยอมบอกนามสกุล ทำงานอยู่โรงงานแห่งหนึ่งในตัวเมือง จ.ระยอง

โดยเพื่อนๆ นายไก่เล่าว่าพวกตนเองมาพิสูจน์ผีหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอเสียที ครั้งนี้นายไก่ได้ชวนมาอีก และบอกว่าตนเองมีวิชาปราบผี
ให้ทุกคนทำตาม ก่อนที่จะเดินทางมาถึง พอเดินทางถึงนายไก่ ก็ได้ลงรถ
ซื้อเทียนจำนวน 9 เล่ม ธูป อีก 1 กำ และแลกเหรียญบาทอีกจำนวนหนึ่ง
พร้อมกับเตรียมด้ายสายสิญจน์มาหนึ่งขด ก่อนที่พวกตนเองทั้งหมดจะเข้าไปในห้องเก็บศพด้านหลัง ซึ่งมีต้นโพธิ์ นายไก่ได้ทำพิธีโรยสายสิญจน์เป็น
ทางยาวจากหน้าประตูเข้าไปได้บอกว่าจะให้ผีเดินตามเส้ นด้ายสายสิญจน์
หลังจากนั้นทุกคนก็หยุดนั่งล้อมวงกันที่ในห้องล้างศพ ทำการจุดเทียนจุดธูปและยกมือไหว้
เพื่อนๆ นายไก่เล่าต่อไปว่า เมื่อพร้อมแล้ว นายไก่ก็ลงมือสวดมนต์ แต่ยังไม่ทันถึงสิบคำ นายไก่ก็ร้องโอยออกมาอย่างแรง แล้วก็สลบไป

เมื่อหันไปดูก็เห็นมือคนขนาดใหญ่ทุกคนตกตะลึงพอตั้งสติได้ก็ช่วยกันนำร่างนายไก่ออกมา ปฐมพยาบาลที่โรงพยาบาลระยองจนอาการดีขึ้น แต่ก็ยังเพ้อไปต่างๆนานา พวกตนเองจะไม่เข้ามาอีกแล้วน่ากลัวมาก ไม่ลบหลู่อีกแล้ว
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวและทีมงานรายการเดอะช็อก ได้เข้าไปสำรวจจุดที่เกิดเหตุได้พบว่ามีสายสิญจน์โรย ยาวจากประตูทางเข้าด้านหลังไปจนถึงห้องดับพักจิต ปลายสายสิญจน์มีธูปที่จุดไฟแล้วตกอยู่กระจายและมีรอย เทียนหักเกลื่อนด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นจุดที่กลุ่มดังกล่าวเข้ามาลองของจน เจอดี
เวลาไล่เลี่ยกัน กลุ่มวัยรุ่นได้ช่วยกันหิ้ววัยรุ่นคนหนึ่งลงมาจากทาง หน้าโรงพยาบาลผีสิง โดยวัยรุ่นคนดังกล่าวร้องโอดโอยและเอามือกดหัวตัวเอง ไว้ และรีบไปส่งโรงพยาบาลระยอง เป็นรายที่สอง ซึ่งเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า ก่อนที่เพื่อนจะโดนผีหลอกจนเสียสตินั้น พวกตนได้ใช้ไฟฉายส่องไปตามจุดต่างๆ ของตัวโรงพยาบาลร้าง เห็นแต่คนเต็มไปหมด

จึงคิดว่าอย่างนี้ไม่มีผีแน่ๆ เพราะมีแต่คนเดินมาเที่ยวแน่นขนัด จึงตะโกนออกไปว่าแน่จริงออกมาสิโว้ย ก่อนที่จะหยิบไฟฉายเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
พร้อมกัน 3 คน หลังจากเดินเข้าไปชั้น 3 ข้างหลังเพื่อนตนเองที่ช็อกนั้น ได้ยินเสียงเหมือนมีแผ่นฝ้าเพดานหล่นลงมาจึงหันไปดูเพื่อนตนเองก็ร้อง
ออกมาเสียงดังว่า โอ๊ย ช่วยด้วยมือใหญ่บีบหัว จากนั้นก็วิ่งเอามือกุมหัวไปอย่างเร็ว ต่อหน้าชาวบ้านที่เดินทางมาดูกันหลายร้อยคนทำเอาวิ่ง หนีกัน
แตกตื่นออกมาจากโรงพยาบาลอย่างอลหม่าน

ขณะเดียวกันทีมงาน รายการเดอะช็อกเจอดีอีก โดยขณะที่สายตาทุกคนของทีมงาน 7 คน กำลังจะเปิดห้องพักศพชั้นล่าง เพื่อถ่ายภาพ ทุกคนฉายไฟไปที่ลูกบิดกุญแจ ปรากฏว่ามีเสียงดังของลูกบิดคล้ายกับมีคนเปิดออกให้ ได้ยินอย่างแรงทีมงานทุกคนจึงวิ่งล้อมห้องดังกล่าวไว ้ เพื่อจะได้ดูว่ามีคนอยู่ข้างในหรือไม่ แต่เมื่อเปิดออกดูพบว่าเป็นห้องทึบ ไม่มีคนอยู่ข้างในทำให้ขนหัวลุกไปตามๆกัน

ด้านนายประวิน ชุติมาวรพันธ์ อดีต ผอ.โรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลผีสิงที่เป็นข่าวเกรียวกราวอยู่ขณะนี้บอกว่า ตนเองเป็นเจ้าของโรงพยาบาลดังกล่าว แต่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน จึงอยู่ต่อไปไม่ได้ ส่วนเรื่องผีที่ชาวบ้านร่ำลือกันนั้นตนเองขอยืนยันว่าเป็นความจริงเพราะสมัยที่ตนเองเป็นผู้อำนวยการอยู่นั้นก็เฮี้ยนอยู่แล้ว

เคยมีนายแพทย์คนหนึ่ง เดินมาถามผมว่าวันนี้มีรายการอะไร เพราะเห็นแต่คนแต่งชุดไทยสไบเฉียงกันหมด แต่ก็ไม่ได้มีงานอะไร ส่วนเรื่องยาม
นั้นมีมาเล่าให้ตนเองฟัง ยามที่มาเฝ้าเจอกันทุกราย มีมือขนาดใหญ่ออกมาให้เห็นบ้าง มีเด็กร้องไห้บ้าง เห็นรถเข็นคนไข้เข็นเองบ้าง ผวาจนอยู่ไม่ได้ สำหรับตนเองนั้น ก็ยังมีกิจการบริเวณดังกล่าวอยู่ด้วย และขอยืนยันว่าไม่เคยคิดแม้แต่น้อยที่จะเก็บค่าเข้าดู เพราะตนเองรักคนระยองให้ชาวบ้านเข้าไปเที่ยว และศึกษาเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับโรงพยาบาล แต่ขอร้องว่าอย่าไปท้าทาย ตนเองนั้นเจอกับตัวแล้ว อย่าไปลบหลู่เขา


ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

1374
เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป
เรื่องผีทารกในหอพัก

      ผมเป็นเด็ก ตจว. ที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ แถวรังสิต ค่าเช่าไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็แสนสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม นักศึกษาที่มาเช่าส่วนมากเป็นลูกคนมีกะตังค์ทั้งนั้น หอพักนี้ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยนะครับ เป็นของเอกชน จึงหรูหราและสะดวกเกือบไม่ต่างจากรีสอร์ตระดับ 5 ดาว! ต้องพูดอย่างนั้นเลยล่ะ คนที่มาเช่าเป็นนักศึกษาก็จริงครับ แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีระเบียบบังคับของหอพักว่าจะต้องกลับหอกี่โมงกี่ยาม เรามีอิสระเต็มที่ ขอแต่เพียงมียามและมาตรการรักษาความปลอดภัยเท่านั้นเอง ดูๆ ไปเหมือนชีวิตในคอนโดฯ หรืออพาร์ตเม้นต์มากกว่าหอพักนักศึกษาทั่วๆ ไป ความที่ชอบทำให้ผมไม่คิดย้ายไปไหน ยังปักฐานอยู่จนปีนี้เรียนปีสุดท้ายแล้วครับ เมื่ออยู่นานก็ย่อมมีความสนิทสนามกับเพื่อนข้างห้อง เขาเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี อยู่คนละคณะ แต่เพราะความที่เป็นเพื่อนข้างห้องเราจึงรู้จักและชอบพออัธยาศัยกันมากว่าสองปีแล้ว บางทีก็มาดูซีดีกัน เล่นกีตาร์กัน จัดปาร์ตี้เล็กๆ กันก็เคย เขาชื่อธเนศครับ หล่อเหลาและไฮโซฯไม่ใช่เบา วันหนึ่ง ธเนศก็มาปรึกษาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ว่าไปทำผู้หญิงคนหนึ่งท้องป่องขึ้น! ผมขอเล่าอย่างรวบรัดเลยดีกว่านะครับ ว่าถ้าพ่อแม่ทั้งฝ่ายรู้ต้องตายแน่ๆ สรุปแล้ว ธเนศแอบพาแฟนมาที่ห้อง แล้วจ้างผู้หญิงวัยกลางคนร่างอ้วน ผิวดำ อ้างว่าเป็นพยาบาลมาจัดการรีดลูกให้ถึงในห้อง ส่วนผมช่วยดูต้นทาง ไม่ให้ใครมาระแคะระคายเป็นอันขาด เหตุการณ์ที่ว่ามันสุดบรรยายจริงๆ แฟนของธเนศท้อง 4 เดือน ทุลักทุเลและนองเลือดน่าดู ไม่รู้เขาทำยังไง ในที่สุดก็ดึงเอาเด็กและรกออกมาจนได้ แฟนธเนศตัวซีดจนผมกลัวว่าเธอจะตายแต่ก็รอด ไม่รู้ว่าบุญหรือกรรมแน่ ที่น่าสยองที่สุดคือวิธีกำจัดซากทารก! ผมว่าถ้าเป็นผม ก็แค่ห่อใส่กล่องหรือถุงขยะเอาไปทิ้งซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแค่นั้นเอง เพราะแม่ทารกก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย รับรองว่าต้องไม่มีใครมารู้เห็น หรือยืนยันได้ว่ามาจากห้องพวกเราแน่ๆ แต่นี่สงสัยยัยพยาบาลเถื่อนคนนี้คงจะมาจากนรก! หรือไม่ก็เป็นประเภทน้องๆ ฆาตกรโรคจิต เพราะแกเล่นเอามีดแล่เนื้อเล่มใหญ่ที่พกมาด้วย ตัด หั่น และสับทั้งรกทั้งเด็กเสียละเอียดคล้ายหมูบะฉ่อ ก่อนจะทิ้งชักโครกไปทีละน้อย กดน้ำหลายๆ ครั้งจนไม่เหลือร่องรอย ***มเหลือเกิน ไม่อยากจะเชื่อเลย! ไอ้ผมมันเด็กอยากรู้อยากเห็นก็เลยยืนดูไปสยองไป เล่นเอากินข้าวไม่ลงไปหลายวัน กลิ่นคาวเลือดและภาพที่น่าคลื่นไส้ ระคนกับน่าเวทนา มันติดหูติดตามจนพาลเก็บเอาไปฝันร้ายแน่ะ และก็นี่ล่ะครับ ที่ผมไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เคยได้ยินเสียงทารกร้องแง้วๆ อยู่ข้างหูน่ะ หูฝาดหรือผีหลอกกันแน่!? สงสัยต้องไปหาจิตแพทย์ แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ธเนศก็ต้องไปด้วย เพราะที่ห้องเขาเริ่มมีอะไรแปลกๆ เช่นเสียงเหมือนลูกแมวร้องแผ่วๆ โหยๆ แบบใกล้ตาย หรือมีเงาอะไรบางอย่างตัวเล็กๆ วูบๆ วาบๆ บ่อยครั้ง ในห้องนั้นก็มีแต่กลิ่นคาวเลือด บางคืนก็เหม็นเหมือนปลาเค็มเน่า แต่หาเท่าไหร่ก็หาที่มาของกลิ่นนั้นไม่พบ น่ากลัวกว่านั้น เมื่อเพื่อนร่วมหอบางคนชมว่าหลานสาวของธเนศน่ารัก...ตอนแรกเราเป็นงง ตอนหลังก็ขนลุก เพราะคนที่ชมเขาว่า เห็นเด็กผู้หญิง 3-4 ขวบ นุ่งกระโปรงสีแดง เดินตามธเนศเข้าลิฟต์ต้อยๆ อยู่เป็นประจำ! หอพักที่เคยเป็นสวรรค์ กลับกลายเป็นนรกที่เราก่อกรรมทำเข็ญขึ้นมาเอง! ถึงผมจะไม่ใช่ผู้กระทำ แต่ก็มีส่วนร่วมรู้เห็น ผมเลยชวนกึ่งบังคับให้ธเนศไปทำบุญด้วยกัน...อย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจขึ้น ธเนศขนพระมาตั้งไว้ แถมมียันต์สารพัดชนิดมาปิดไว้ทุกฝาผนัง...เกือบทุกซอกทุกมุมของห้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ไม่ได้ ต้องมานอนกับผม ส่วนห้องเขาใช้เป็นที่เก็บของไป...เวลาจะไปเอาของก็ต้องชวนกันไป สมน้ำหน้า! ทุกวันนี้เรายังได้ยินเสียงเหมือนแมวไม่สบายดังแผ่วๆ อยู่ตลอด บางคืนก็ถูกผีอำและฝันร้าย เห็นแต่ทารกผีมายืนหัวเราะ อ้าปากแดงๆ มีเลือดสดๆ ไหลย้อย นัยน์ตาดำโตลุกวาวจ้องมอง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือของจริง? อีกไม่นานเราคงต้องย้ายออกจากหอพักเมื่อเรียนจบ แยกย้ายกันไปตามวิถีทางของใครของมันแล้ว ผมเขียนมาเล่าเพื่อเป็นตัวอย่าง อย่าทำอย่างพวกผมเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวรกรรมจะตามจิกเจ้าธเนศต่อไปในรูปแบบไหน? ผมเองก็ยอมรับว่ายังเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันครับ


ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

1375
เรื่อง นอนกับศพ ที่ลืมไม่ลง

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด

"เสมอแข" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสยองขวัญ

ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผี แต่กลัวซากศพอย่างแรง!ฟังดูแปลกๆ ใช่ไหมคะ เวลาไปบอกกับใครแบบนี้เขาก็ขำกลิ้งกันทุกราย...เขาว่านี่แหละ กลัวผี! แหม...ไม่มีใครเชื่อซะเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าปุ๋ม-เพื่อนรักของดิฉัน

และในที่สุด เจ้าปุ๋มนี่ล่ะค่ะที่ทำให้โรคนี้ของดิฉันกำเริบ ถึงขนาดสติแตกไปเป็นเดือนๆ

ก่อนอื่น ให้โอกาสดิฉันอธิบายสักหน่อยนะคะ...เมื่อมีคนรู้จักล้มหายตายจาก ดิฉันจะเศร้าโศกอาลัย อันเป็นความรู้สึกธรรมดา แต่ว่าดิฉันจะอึดอัด กระอักกระอ่วนอย่างยิ่งเมื่อต้องไปงานศพเขา...ดังนั้น จึงต้องหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็นึกโมโหตัวเองเหลือเกิน เพราะตระหนักดีว่าที่จริงเราควรไป...นี่คือการให้เกียรติ และแสดงน้ำใจต่อผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย

ดิฉันเสียมารยาทจริงๆ เนื่องด้วยสาเหตุเดียวคือความกลัวศพ!

โธ่! อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย กะอีแค่ซากจิ้งจกตายดิฉันก็ไม่กล้าหยิบหรือเขี่ยมันทิ้ง ไม่กล้าเหลือบตามองมันด้วยซ้ำ! ดิฉันเป็นโรคกลัวสัตว์ที่ตายแล้วค่ะ ถ้ามันเป็นจิ้งจกดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก ดิฉันจับได้ แต่ถ้ามันตายแล้วดิฉันจะหนีเลย...กลัวมากๆ

เพื่อนๆ และญาติๆ ของดิฉันที่เสียชีวิตแล้วนั้น หากไม่เห็นร่างไร้วิญญาณของเขา ดิฉันจะไม่กลัวผีพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดิฉันสามารถนอนปิดไฟ แล้วนึกถึงพวกเขาได้อย่างสบาย แต่ถ้าจำเป็นต้องไปงานศพล่ะก็ดิฉันจะกลัวไปหมด

มันจะกังวล ไม่สบายใจ และหลอนตัวเอง! หลับตาทีไร ภาพร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมนั้นจะผุดฉายขึ้นมาเต็มๆ ทุกที!

ถ้าเป็นไปได้ดิฉันจะไม่ดูคนตายเลย จะจดจำเขายามมีชีวิตอยู่เท่านั้น และถ้าดิฉันไม่ไปงานศพใครก็อย่าโกรธกันเลย ดิฉันกลัวจริงๆ...กลัวจนเป็นทุกข์ กลัวจนอยากไปปรึกษาจิตแพทย์แน่ะค่ะ ทรมานมาก

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ทุกข์ก็คือ ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ของดิฉันเลย

ครั้งหนึ่ง เคยหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายไม่ยอมไปงานศพแม่ของปุ๋ม เพื่อนสนิท...หล่อนโกรธและน้อยใจหาว่าดิฉันรังเกียจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า หล่อนก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เรากลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม ...และปุ๋มก็เริ่มสังเกตว่าดิฉันไม่ไปงานศพใครทั้งนั้นเว้นแต่จำเป็นจริงๆ

เรื่องราวร้ายกาจที่ทำให้ดิฉันกลัวแทบขาดใจ เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน!

ตอนนั้นดิฉันกับปุ้มจบปริญญาตรีพร้อมกัน คุณพ่อของปุ๋มฝากเราเข้าทำงานในบริษัทเงินทุนแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ เราเป็นคนเมืองปราณฯ แต่งานดีๆ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะคะ เราจำเป็นต้องเช่าหอพักอยู่ด้วยกันแถวสุทธิสาร เป็นหอพักที่สะอาดสะอ้านน่าอยู่ ราคาไม่แพง เราแชร์กันค่ะ

พ่อแม่สบายใจ เราสองคนก็ชอบเพราะจะได้อยู่เป็นเพื่อนกันในเมืองหลวงที่สำหรับเราแล้ว รู้สึกว่ามีบางมุมที่น่ากลัวและไม่ปลอดภัย เรากลัวถูกหลอก กลัวถูกมิจฉาชีพปล้น จี้ ทำร้าย...กลัวแบบนี้ไม่น่าเกลียดนะคะ ในเมื่อเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ขี้ขลาด หวาดระแวงที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด

การที่เราอยู่ดูแลกันและกัน ทำให้พ่อและคุณย่าของปุ๋มคลายกังวล เพราะปุ๋มมีโรคประจำตัว เธอมีลิ้นหัวใจรั่ว แถมเป็นหอบหืดด้วย...อาการหอบหืดน่ะที่จริงหายไปตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยแน่ะ จนเราคิดว่าหายขาด แต่เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ อากาศไม่ดี ปุ๋มก็เริ่มมีอาการขึ้นมาอีก ไม่มากนักแต่ก็ต้องพกยาพ่น ขยายหลอดลม ติดกระเป๋าไว้เสมอ

ยังดีที่หอพักเราอยู่ใกล้โรงพยาบาล หากฉุกเฉินก็ไปหาหมอได้ทัน!

เราสนุกกับงานที่ทำ แต่ก็มีบางช่วงที่เครียดเอาจริงๆ จังๆ บางวันที่ดิฉันต้องกลับหอพักสามสี่ทุ่มแน่ะค่ะ

วันหนึ่งปุ๋มไม่สบาย หล่อนไอมาหลายวันแล้วล่ะ การไอนี่ทำให้ดิฉันเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าไอมากปุ๋มจะหอบ แต่วันนั้นปุ๋มบอกว่าไม่เป็นไร ขอลาป่วยสักวันเพราะมีไข้ ปวดศีรษะและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ดิฉันทิ้งปุ๋มให้พักผ่อนอยู่คนเดียวทั้งวัน อาการหล่อนไม่ได้หนักหนาสาหัสขนาดต้องเฝ้าไข้นี่คะ

คืนนั้นดิฉันกลับเกือบห้าทุ่ม เหนื่อยมาก...เหนื่อยจนไม่อยากกินอะไร มันง่วงมากเลย ความจริงดิฉันง่วงงุนมาตั้งแต่เช้า! เอ...หรือจะติดหวัดจากปุ๋มนะ?

พอถึงห้องพักเปิดประตูเข้าไป ไฟปิดมืดเชียว ดิฉันกดสวิตช์เปิดไฟเห็นปุ๋มนอนตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียง ในห้องนอนที่ประตูยังเปิดอ้า เรานอนเตียงเดียวกันค่ะ...ดิฉันเห็นเพื่อนหลับก็ไม่ได้ปลุก เพียงแต่ชะโงกดูนิดหน่อยแล้วก็รีบอาบน้ำ เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับสนิทไปเลย ดับไฟมืดสนิท ไฟหัวเตียงก็ไม่ได้เปิดทิ้งไว้

รุ่งเช้า ดิฉันผุดลุกขึ้นเพราะนึกว่าสายแล้ว รีบเข้าห้องน้ำแปรงฟัน พอออกจากห้องก็เห็นปุ๋มนอนท่าเดิม เลยเรียกเบาๆ แล้วจับร่างของหล่อน

คุณพ่อคุณเจ้าช่วย! ร่างปุ๋มเย็นเฉียบ แข็งทื่อ ดวงตาเธอดำปี๋เบิกโพลง มันยุบแฟบไม่เป็นลูกตากลมๆ ของคนเป็นๆ อย่างเรา ทั้งที่ดูมันถลนออกมานอกเบ้า มุมปากที่ดำคล้ำมีฟองขาวปนเลือด

ปุ๋มเสียชีวิตเพราะโรคหอบหืดมาหลายชั่วโมง บางทีอาจก่อนสามทุ่มเมื่อคืนด้วยซ้ำ...นี่ดิฉันนอนกับศพทั้งคืนหรือค่ะ?!

ดิฉันไม่ได้กรี๊ดกร๊าดแบบนางเอกหนัง ยังจัดการธุระเรื่องความตายของปุ๋มจนเรียบร้อย...แต่ทุกวันนี้ดิฉันนอนไม่หลับ ฝันร้าย เดือนแรกๆ น่ะกลัวแทบขาดใจ ร้องไห้ทุกวัน ตอนนี้ค่อยยังชั่วแต่ก็ยังกลัวไม่หาย

ดิฉันนี่เวรกรรมแท้ๆอยากหายจากอาการนี้จริงๆ ค่ะ!

ที่มา
www.khaosod.co.th

1376
เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป
เรื่อง ผีที่หอพยาบาล


2545 ที่หอพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจอกับตัวเอง ตอนนั้นเป็นการเรียนภาคฤดูร้อนจะมีนักศึกษาเรียนไม่ค่อยมาก หอพักนี้มี ทั้งหมด 4 ชั้น ตอนนั้นพักอยู่ชั้นที่ 4 ชั้น 4 จะมีคนอยู่ 2 ห้อง แต่อยู่คนละฝั่งเลยคือว่าไกลกันมากๆ คืนนั้นพักอยู่กับเพื่อน 2 คนในห้อง ตอนนั้นเป็นเวลา ตี 3 นิดๆ ตื่นขึ้นมาเพราะว่าปวดฉี่ ก็เลยปลุกเพื่อนให้ไปเป็นเพื่อนเลยชวนเพื่อนไปเข้าห้องน้ำชั้น 3 เพราะว่าตอนนั้นได้ยินเสียงคนเยอะเสียงดังเลยพูดกับเพื่อนว่าไปเข้าที่ชั้น 3 ดีกว่าเพราะว่าคนเยอะดีจะได้ไม่น่ากลัวก็เลยเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเพื่อนยิ่งเดินใกล้ห้องน้ำเท่าไหร่เสีงคนคุยกันก็ยิ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆๆ ก็เลยหยุดยืนคุยกันกับเพื่อนว่าวันนี้ดีจังคนอาบน้ำกันดึกจะได้ไม่น่ากลัวพอคุยกันกับเพื่อนเสร็จก็เดินมาถึงทางลงซึ่งเป็นบันไดเวียน สักพักเราสองคนก็มองหน้ากันแต่ก็ไม่พูดอะไรสงสัยว่าตอนนั้นเราสองคนกำลังตกใจกลัวอย่างแรง ในใจตอนนั้นคิดว่าเพื่อนจะได้ยินเหมือนเราได้ยินไหมนะ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยก็เลยเดินลงมาเข้าห้องน้ำเพราะตอนนั้นปวดฉี่อย่างแรงพอลงมาถึงชั้น 3 ก็ต้องอึ้งอีกครั้งเพราะชั้น 3 ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลย โอ้เมืองพุทธแล้วเสียงคุยกันอย่างดังนั้นมันดังมาจากไหนกัน เรารีบเข้าห้องนำแล้วก็ วิ่งๆๆๆขึ้นบันไดอย่างไม่คิดชีวิต พอขึ้นมาถึงห้องนอนคลุมโปงแล้วก็ถามเพื่อนว่าตอนที่ลงไปเข้าห้องน้ำได้ยินอะไรแปลกๆมั้ย พระเจ้าเพื่อนบอกว่าได้ยินเหมือนกันเลย คือว่า พอเราสองคนหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเวียนก็มีเสียงฝีเท้าของใครก็ไม่รู้ วิ่งตามมาด้านหล้ง ได้ยินเสียงวิ่ง ตับ ๆ ๆ ๆ และมาหยุดที่ข้างหลังเราสองคน แล้วก็มีเสียงเหนื่อยและก็หอบ แฮกๆ อยู่ด้านหลังนี่ถ้าเป็นคนมีลมหายใจก็คงหายใจรดต้นคอกันแล้วแต่นี่เค้าเป็นแค่สิ่งที่เคยมีลมหายใจเท่านั้น.........????????!!!!!!!!

ที่มา
http://www.facebook.com/pages/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B/167065519978222

1377
วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7434 ข่าวสดรายวัน


คนส่งของ

ขนหัวลุก
ใบหนาด


"บุษบา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนไม่เชื่อเรื่องผีดิฉันเชื่อมั่นว่าตัวเองมีการศึกษาพอสมควร จบบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังไม่เชื่อถือในสิ่งที่ไร้เหตุผลรองรับหรือพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยแล้วคิดว่าเป็นเรื่องตลกมากกว่า

ไม่ว่าเรื่องผีๆ สางๆ หรือการทรงเจ้าเข้าผี ถือว่าไร้สาระเต็มทีทั้งนั้นแหละค่ะ

วันหนึ่ง ดิฉันก็พบกับเรื่องแปลกประหลาดเข้าที่บ้านตัวเอง!

ลืมบอกไปว่าที่อยู่คือวิภาวดีฯ 5 ชื่อดั้งเดิมคือซอยอายุสูบ 1 เป็นบ้านจัดสรรของโรงงานยาสูบมาราว 40 ปีแล้ว ต่อมาเจริญขึ้นบ้านเหล่านั้นก็มีการซื้อขายต่อๆ กันมา จากบ้านไม้สองชั้นกลายเป็นบ้านตึกใหญ่โตก็มี เป็นอพาร์ตเมนต์ก็มี ดูเหมือนจะเหลือแต่บ้านดิฉันหลังเดียวที่ยังสภาพเดิม

บุพการีล่วงลับไปตามอายุขัย แต่ก็มีลูกๆ หลานๆ อยู่อาศัย ถึงกับสร้างเรือนหลังเล็กๆ เพิ่มข้างรั้วในเนื้อที่ 100 ตร.ว. ก็อยู่กันอบอุ่นตลอดมาค่ะ

ดิฉันเกษียณอายุราชการเมื่อ 2-3 ปีก่อน ตอนแรกก็ได้โอกาสเที่ยวทั้งในเมืองไทยและต่างแดน ไปกับทัวร์สะดวกสบายที่สุด แต่ตอนหลังมานึกว่าตัวเองมีวุฒิบัตร "ผู้สอบบัญชีรับใบอนุญาต" ก็น่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในการหารายได้เพิ่มกับแก้เหงาดีกว่า

ไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีลูกหลานกับอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทำงานด้วย

การทำบัญชี, ตรวจบัญชี เกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของบริษัทห้างร้านต่างๆ อาจจะปกปิดซ่อนเร้น หรือไม่ผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่ง กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องผ่านการตรวจตราจาก "ผู้สอบบัญชีรับใบอนุญาต" เสียก่อน ซึ่งมีทั่วประเทศราว 5,000 ราย แต่ที่มารับจ้างเป็นผู้สอบฯ จริงๆ จังๆ คิดว่าไม่น่าจะเกิด 2,000 ราย

ทางการที่ต้องนำเสนอมีอยู่สองแห่ง คือกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง กับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีวิธีกำหนดเวลาแตกต่างกันเล็กน้อยค่ะ

กรมสรรพากรนับจากวันต้นปีไป 5 เดือน กระทรวงพาณิชย์นับ 150 วัน

คิดง่ายๆ ว่าจากวันแรกของปีไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมก็แล้วกัน

มีผู้ใฝ่ฝันจะเป็น "ผู้สอบฯ" มากมาย แต่ค่อนข้างแสนเข็ญเอาการ เช่น สมมติว่ามี 8 วิชา สอบวิชาไหนได้ก็เก็บไว้ให้ ต่อมาเข้าสอบวิชาอื่นอีก ถ้าได้ก็แล้วไป แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน 3 ปีติดกัน วิชาที่สอบได้นั้นจะสูญทันที เรียกว่าหมดอายุความ ต้องสอบกันใหม่

หลายคนพากเพียรมา 10-20 ปีก็มี...แถมมีประวัติบอกกล่าวด้วยว่าสอบปีใด

เพราะการเป็นนักสอบบัญชีเล็กๆ อยู่กับบ้าน แต่มีงานจากบริษัทห้างร้านซึ่งส่วนมากเป็นเจ้าประจำ ทั้งทำบัญชี สอบบัญชี หลั่งไหลเข้ามาเต็มบ้าน ยิ่งในเดือนเมษายนกับพฤษภาคมด้วยแล้ว ต้องบอกว่าทุกๆ คนล้วนเร่งรีบจนพวกเราแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้นทั้งนั้น

ลูกค้าที่คุ้นเคยกันก็มีทั้งมาส่งและมารับงานเอง ที่ขาดไม่ได้ก็คือของฝากจากต่างจังหวัด หรือบางทีก็ในกรุงเทพฯ นี่แหละค่ะ ไม่ว่าขนม, ผลไม้, อาหารทะเลจากเหนือจากอีสานมีหมด...แม้แต่ใครไม่ว่าง ให้เมสเซ็นเจอร์มาส่งมารับก็มีของฝากติดมาด้วยค่ะ

"คุณปิ่น" สาวใหญ่เป็นลูกค้าที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ ว่างก็โทร.มาคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ดีอย่างที่ไม่เอ่ยปากเร่งงานแต่เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ในที บางทีก็ขับรถพาลูกสาวสิบกว่าขวบชื่อน้องแป้น กำลังน่ารักมากมาด้วย...ทุกครั้งไม่เคยขาดของฝาก ไม่ว่ามะพร้าวน้ำหอม แตงโม แก้วมังกร ส้มจากเมืองจีนลูกเล็กๆ อร่อยมาก ทุเรียนกับลิ้นจี่หอบหิ้วมาฝากทุกครั้ง

รายนี้รับจ้างทำบัญชีด้วยค่ะ แต่ก็ต้องส่งมาถึงมือ "ผู้สอบฯ" ตามกฎหมาย

เย็นหนึ่งคุณปิ่นก็โทร.มาบอกว่าเพิ่งกลับจากเหนือ ได้แหนมหม้อ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู กับเนื้อเค็มมาฝาก แต่ยังล้าเต็มทีเลยให้เด็กขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านที่ลาดพร้าวมา

...แทบจะไม่ขาดเสียงด้วยซ้ำ มอเตอร์ไซค์ก็ดังกระหึ่มที่หน้าประตูรั้ว หลานสาวที่ช่วยงานบัญชีอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ก็ลุกไปเปิดประตู ทักทายกันสองสามคำเพราะคุ้นหน้ากันดี เขาส่งของพะรุงพะรังให้แล้วลากลับ เพราะฟ้ามืดครึ้มราวกับจวนค่ำ แถมส่งเสียงคำรามครืนๆ น่ากลัวอีกด้วย หลานก็รับมาวางที่โต๊ะกินข้าวติดๆ กันแล้วทำงานต่อ

ดิฉันเปลี่ยนอิริยาบถลุกจากห้องออกมาเดินเหินข้างนอก เอะใจที่อากาศเย็นเยือกชอบกล...พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังจากโต๊ะที่เพิ่งลุกมาหยกๆ ก็ย้อนกลับไปรับ

คุณปิ่นโทร.บอกข่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า หลานชายที่ให้ไปส่งของน่ะถูกรถกระบะชนตายที่ปากซอย...ตอนนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ต้องขอโทษพี่ด้วยที่ของไปไม่ถึง! เล่นเอาโทรศัพท์แทบร่วงจากมือ แข็งใจเดินไปถามหลานสาวเสียงสั่นเครือว่าเอาของฝากไว้ที่ไหน

คำตอบก็คือบนโต๊ะนี่เองค่ะ...ตามด้วยเสียงร้องวี้ดว้าย...เอ๊ะ! หายไปไหนหมด? หนูเพิ่งวางหยกๆ เมื่อกี้เอง...เดี๋ยวนี้ดิฉันเชื่อเรื่องผี ยอมรับว่าผีมีจริงแล้วค่ะ!


ข้อมูลจาก ข่าวสด
ที่มา
www.khaosod.co.th

1378
ประสบการณ์วิญญาณ / .::: แท็กซี่ผี :::.
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 09:36:12 »
.::: แท็กซี่ผี :::.

ผมอยู่แถวซอยร่วมจิตต์ใกล้ๆ ศรีย่านนี่เองครับ วันดีคืนร้ายก็ไปเที่ยวถนนข้าวสารกับเพื่อนเกลอคือเจ้าอู๋ อยู่บ้านติดๆ กัน โดยขึ้นรถเมล์สาย 9 ไปลงบางลำพูพอดี

วันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถนนข้าวสารคึ่กๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ล้วนแต่ได้ยินชื่อถนนข้าวสารอันโด่งดังระดับโลกมาหลายปีแล้ว เลยแห่มาเที่ยวกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะพวกฝรั่งนี่หลายรายถึงกับหอบลูกจูงหลานมาเที่ยว ขนาดลูกเล็กๆ ใส่รถเข็นยังมีนี่นา

ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตาของพวกเราก็คือฝรั่ง แก่ๆ ขนาด 60-70 ปีขึ้นไปยังอุตส่าห์หอบสังขารมาเที่ยวถนนชื่อกระฉ่อนกับเขาเหมือนกัน เหลือเชื่อจริงๆ เอ้า!

คนพวกนี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักมาตั้งแต่ หนุ่มยังสาว เพื่อเก็บเงินเก็บทองเอาไว้เดินทางไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาต่างแดน ตรงข้ามกับพวกเราที่แก่ตัวเข้าก็มักอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เข้าวัดเข้าวาไปเลย

โธ่! แก่ตัวเข้าเรี่ยวแรงก็ถดถอย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หอบแฮกแล้ว ผมว่าสู้ไปเที่ยวตอนที่ยังสาวหนุ่มกระชุ่ม กระชวย เรี่ยวแรงแข็งขันยังจะเข้าท่ากว่าเป็นกอง

อย่างว่าละครับ วัฒนธรรมของใครของมัน ไม่ว่ากันอยู่แล้วงานนี้จะหนุ่มสาวหรือเฒ่าแก่ก็ขอให้มาเที่ยวสยามเมืองยิ้ม กันเยอะๆ ก็แล้วกัน เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ผู้คนจะได้มีงานบริการทำเยอะๆ พ่อค้าแม่ขายก็จะได้ซื้อง่ายขายคล่อง คนยากคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากซะที...เศรษฐกิจตกสะเก็ดมาหลายปีแล้วครับ

การ ท่องเที่ยวถือว่าไม่ต้องลงทุนลงรอนอันใด รับเนื้อๆ ลูกเดียวเท่านั้น!

อ้าว? ผมก็เผลอไผลติดลมบนไปหน่อย เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกจนได้

บรรยากาศ ที่ถนนข้าวสารจะสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลาก็ได้นะครับ...เรื่องมา เกิดเอาอีตอนที่ผมกับเจ้าอู๋ออกจากร้านเบียร์ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตปาธตอนห้าทุ่ม กว่า...เลยไปออกทางด้านใกล้ๆ สี่แยกคอกวัวเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้าน เพราะเรากำลังเมาฉ่ำๆ กันทั้งคู่

เชื่อไหมครับว่าแท็กซี่ 5-6 คันที่เปิดไฟสว่าง เลี้ยวจากถนนราชดำเนินมาจอดน่ะ ไม่มีใครยอมรับเราซักคัน!

...พอ เปิดประตูหลังเท่านั้น คนขับก็หันมาถามทันทีว่าจะไปไหน? พอบอกจุดหมายก็ส่ายหน้า ออกรถไปทันที! บางคันที่เราเปิดประตูหน้าถามว่าจะไปมั้ย? ก็หันมองด้วยสายตารำคาญ บอกว่าไม่ไป! เจ้าอู๋ชักยัวะเลยถามว่าพี่จะไปทางไหนล่ะ? คนขับก็ยืนยันว่าไม่ไป...ก่อนจะแล่นพรวดออกไปเลย

"มึงจะรับแต่ฝรั่ง หรือไงวะ?" เจ้าอู๋ตะโกนตามหลัง... แท็กซี่ที่ขับเลยไปก็คงผ่านถนนสิบสามห้างที่ไม่มีฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวอะไร...คงจะหาทางวกมาล่าเหยื่อรอบ ใหม่

ได้ข่าวว่า ตำรวจสน.ชนะสงคราม งานหนักจนประสาทกินไปหลายนายแล้ว ไม่ลองแต่งนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์มั่งนี่ครับ...อย่าลืมว่าที่แท็กซี่ ไม่อยากรับคนไทยก็มีสาเหตุเดียวคือ...ไม่ได้โขกเงินชนิดขูดรีดเหมือนผู้ โดยสารฝรั่ง

ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวก็อย่าทำลายเลยครับ!

ใน ที่สุดก็มีแท็กซี่เปิดไฟว่างแล่นเข้ามา เจ้าอู๋โบกมือให้จอดก่อนจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งทันทีพร้อมกับบอกจุดหมาย ผมก้าวตามเพื่อนไปติดๆ นั่งรอจะว่าโดนบอกปัดท่าไหน? ยอมรับว่ากำลังเดือดปุดๆ จนแทบหายมึนเบียร์ละครับ แต่ผิดหวังแฮะ...แท็กซี่รับคำแล้วออกรถไปเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ เจ้าอู๋บ่นดังๆ ว่าแท็กซี่คันอื่นไม่รู้เป็นไง ไม่ยอมรับเราซักคัน

เสียงหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดีดังขึ้น ผมเหลือบดูก็เห็นคนขับเป็นชายชราผมขาวค่อนข้างยาว มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ ขณะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกวันชาติ แล่นไปตามถนนประชาธิป ไตยที่รถราค่อนข้างโล่งว่าง...ไม่ช้าก็เข้าสู่ถนนนครราชสีมาอย่างรวดเร็ว...

จน กระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผมเห็นมิเตอร์ขึ้นเกือบ 70 บาท แต่นึกถึงน้ำใจแกที่ไม่เห็นแก่ตัว บอกปัดผู้โดยสารคนไทยด้วยกัน เลยส่งแบงก์ร้อยให้...บอกไม่ต้องทอน ได้ยินเสียงขอบคุณครับเบาๆ ก่อนที่เราจะลงจากรถ...แล้วต้องยืนตะลึงงันกันทั้งคู่

ท่ามกลาง แสงไฟถนนเยือกเย็น แท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางสี่แยกพิชัย...แล้วเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเรา นั่นเอง...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมกับเจ้าอู๋ขนหัวลุกทุกทีไป!

ข้อมูลจาก ข่าวสด

ที่มา
www.khaosod.co.th


1379
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 09:11:49 »
เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา นั้นคืออย่างไร ขอจงอุปมาให้ทราบด้วย? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ที่เริ่มเรียนศิลปะในการนับด้วยนิ้วมือ หรือนับตามลำดับ หรือขีดเป็นรอยขีด หรือหัดยิงธนู ทีแรกก็ช้าก่อนต่อมาภายหลังก็ไวขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติแล้ว คือได้กระทำมาเสมอ ฉันใด
     จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น จักขุวิญญาณไม่ได้สั่งมโนวิญญาณไว้เลยว่า เราเกิดในที่ใด เจ้าจงเกิดในที่นั้น มโนวิญญาณก็ไม่ได้สั่งจักขุวิญญาณไว้เลยว่า เจ้าจะเกิดในที่ใด เราก็จะเกิดในที่นั้นเพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมาแล้ว ฉันนั้น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากันเลย แต่เกิดในที่แห่งเดียวกันเพราะได้เคยประพฤติมา ถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ก็เหมือนกัน อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร เป็นอันเหมือนกันหมด ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

      อธิบาย   
      
ข้อนี้ได้ใจความว่า วิญญาณทั้ง ๕ คือ ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ย่อมเกิดในที่แห่งเดียวกับ มโนวิญญาณ คือความรู้สึกทางใจด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ตาเห็นรูปได้ชื่อว่า จักขุวิญญาณ เกิดขึ้นก่อนแล้ว มโนวิญญาณ จึงเกิดทีหลัง ทำให้รู้และเข้าใจได้ว่า รูปที่เห็นนั้นเป็นคน สัตว์ วัตถุสิ่งของ มีลักษณะเป็นประการใด เพราะถ้าไม่มี มโนวิญญาณ เข้าร่วมด้วย ก็เหมือนกับคนนั่งใจลอยเหม่อมองไปข้างหน้า เมื่อไปถามว่าเห็นอะไรไหม…เขาก็ตอบว่าเห็นแต่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด เพราะไม่ได้ตั้งใจดู อย่างนี้เป็นต้น ถึงจะเป็นการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้นรส สัมผัสถูกต้อง ก็มีสภาพเช่นดียวกัน

ฉะนั้น เพราะอาศัย จักขุวิญญาณ หรือ โสตวิญญาณ หรือ ฆานวิญญาณ หรือ ชิวหาวิญญาณ หรือ กายวิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามเกิดขึ้นก่อนแล้ว มโนวิญญาณ จึงจะเกิดทีหลัง ดังนี้

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1380
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 09:08:38 »
เพราะเป็นประตู

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นประตู นั้นอย่างไร ขอได้โปรดอุปมาด้วย ? ”
     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าหัวเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมค่ายประตูหอรบแน่นหนาแข็งแรง แต่มีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว มีผู้อยากจะออกไปจากพระนครนั้น จะออกไปทางไหน ? ”
     “ ออกไปทางประตูซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งอยากจะออกไป เขาจะออกไปทางไหน? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษคนก่อนออกไปทางประตูใด บุรุษคนหลังก็ต้องออกไปทางประตูนั้นแหละ”
     “ ขอถวายพระพร บุรุษคนก่อนสั่งบุรุษคนหลังไว้หรือว่า เราออกทางประตูใด เจ้าจงออกทางประตูนั้น หรือบุรุษคนหลังสั่งบุรุษคนก่อนไว้ว่า เจ้าออกทางประตูใด เราก็จักออกทางประตูนั้น ? ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษทั้งสองนั้นไม่ได้บอกกันไว้เลย แต่เขาออกไปทางเดียวกัน เพราะทางนั้นเป็นประตู ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะที่นั้นเป็นประตู ไม่ใช่จักขุวิญญาณสั่งที่มโนวิญญาณไว้ หรือมโนวิญญาณสั่งจักขุวิญญาณไว้ ทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากัน แต่เกิดขึ้นในที่แห่งเดียวกัน เพราะที่นั้นเป็นประตู”

     เพราะเป็นที่สะสมมา

     “ ข้าแต่พระเป้นเจ้า ข้อว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นที่สะสมมา นั้นคืออย่างไรขออุปมาให้แจ้งด้วย ? ”
     “ ขอถวายพระพร เกวียนเล่มแรกไปก่อนแล้ว มหาบพิตรจะเข้าพระทัยว่า เกวียนเล่มที่ ๒ จะไปทางไหน ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มแรกไปทางใด เกวียนเล่มหลังก็ต้องไปทางนั้น”
     “ ขอถวายพระพร เกวียนเล่มก่อนสั่งเกวียนเล่มหลังไว้หรือว่า เราไปทางใดเจ้าจงไปทางนั้น หรือว่าเกวียนเล่มหลังสั่งเกวียนเล่มก่อนไว้ว่า เจ้าจักไปทางใด เราก็จักไปทางนั้น ? ”
     “ ไม่ได้สั่งไว้เลย ผู้เป็นเจ้า เพราะเกวียนทั้งสองนั้นไม่มีการพูดกัน แต่ไปทางเดียวกันเพราะทางนั้นเป็นทางที่สะสมมาแล้ว ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จักขุวิญญาณกับมโนวิญญาณไม่ได้สั่งกันไว้เลย แต่เกิดในที่แห่งเดียวกันเพราะเป็นที่สะสมมาแล้ว”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1381
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 08:54:12 »
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเกี่ยวกับแห่งจักขุวิญญาณกับมโนวิญญาณ

     “ ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด มโนวิญญาณ ก็ตามไปเกิดในที่นั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น มหาบพิตร ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จักขุวิญญาณเกิดก่อน มโนวิญญาณเกิดทีหลัง หรืออย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณเกิดก่อน มโนวิญญาณเกิดทีหลัง”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ก็จักขุวิญญาณบังคับมโนวิญญาณไว้หรือว่า เราจักเกิดในที่ใดเจ้าจงเกิดในที่นั้น หรือมโนวิญญาณสั่งจักขุวิญญาณไว้ว่า เจ้าจักเกิดในที่ใด เราก็จักเกิดในที่นั้น อย่างนั้นหรือ ?”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น มหาบพิตร วิญญาณทั้งสองนั้นพูดจากันไม่ได้”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ไฉนจึงว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น ”
     “ ขอถวายพระพร ที่ว่าอย่างนั้น เพราะเป็นของลุ่ม ๑ เป็นประตู ๑ เป็นที่สะสมมา ๑ เป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา ๑ ”

     เพราะเป็นของลุ่ม

     “ ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นของลุ่ม นั้นคืออย่างไร ขอนิมนต์อุปมาด้วย? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อฝนตกลงมามหาบพิตรทรงเข้าพระทัยว่า น้ำจะไปทางไหน ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ลุ่มมีอยู่ทางใดน้ำก็ต้องไปทางนั้น”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อฝนตกลงมาอีกน้ำจะไหลไปทางไหน ?”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน น้ำก่อนไปทางใด น้ำใหม่ก็ต้องไปทางนั้น”
     “ ขอถวายพระพร น้ำก่อนสั่งน้ำหลังไว้หรือว่า เราไปทางใด เจ้าจงไปทางนั้น หรือว่าน้ำหลังสั่งน้ำก่อนไว้ว่า เจ้าจักไปทางใด เราก็จักไปทางนั้น ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า น้ำทั้งสองนั้นพูดจากันไม่ได้ แต่น้ำนั้นไหลไปได้ เพราะทางนั้นเป็นทางลุ่ม เป็นทางต่ำต่างหาก”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะที่นั้นเป็นที่ลุ่ม เป็นที่ต่ำจักขุวิญญาณไม่ได้สั่งมโนวิญญาณไว้ว่า เราเกิดในที่ใด เจ้าจงเกิดในที่นั้น มโนวิญญาณก็ไม่ได้สั่งจักขุวิญญาณไว้เหมือนกัน วิญญาณทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากันแต่ว่าเกิดในที่นั้นในสิ่งนั้น เพราะที่นั้นสิ่งนั้นเป็นเหมือนที่ลุ่มที่ต่ำ ฉะนั้น”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1382
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 08:40:16 »
ต่อจากตอนที่ 7
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22956
============
- ตอนที่ ๘ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๓ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องผู้ถึงเวทย์

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เวทคู คือผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือ? ”
     พระเถระจึงย้อนถามว่า
     “ มหาบพิตร ในข้อนี้ใครชื่อว่าเวทคู ? ”
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในนี้ ย่อมเห็นรูปด้วยตาได้ยินเสียงด้วยหู สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ นี้แหละชื่อว่า “ เวทคู ” โยมจะเปรียบให้พระผู้เป็นเจ้าฟัง เหมือนหนึ่งว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ปรารถนาจะแลดูออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ ก็แลดูออกไปทางช่องหน้าต่างนั้น ๆ จะเป็นทางตะวันออก หรือทางตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้ตามประสงค์ฉันใด อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในร่างกายนี้ ต้องการจะดูออกไปทางทวารใด ๆ ก็ดูออกไปทางทวารนั้น ๆ แล้วก็ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ได้รู้รสด้วยลิ้น ได้ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย ได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ฉันนั้น ”
     พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
     “ อาตมภาพจะกล่าวให้ยิ่งขึ้นไป คือเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ ต้องการจะแลออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ จะเป็นทางตะวันออกหรือตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้เห็นรูปต่าง ๆ ฉันใด
     บุคคลต้องได้เห็นรูปด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อันเป็น อัพภันตรชีพ อย่างนั้นหรือ ?
     ต้องได้ฟังเสียงด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องได้สูดกลิ่นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องได้รู้รสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องถูกต้องสัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ ?
     ต้องรู้ธรรมารมณ์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่ฉันนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กัน เหมือนอย่างว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ เมื่อเปิดช่องหน้าต่างเหล่านี้ไว้ แล้วแลออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ก็ต้องเห็นรูปได้ดี ฉันใด อัพภันตรชีพ นั้น เมื่อเปิดจักขุทวารหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ก็เห็นรูปได้ดี เมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้แล้วหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ต้องเห็นรูปได้ดีฉันนั้น อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อนหรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กัน เหมือนอย่างว่า มียาจกเข้ามารับพระราชทานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากมหาบพิตร แล้วออกไปยืนอยู่ที่ซุ้มประตูภายนอก มหาบพิตรทรงรู้หรือไม่? ”
     “ อ๋อ…รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ที่ได้รับพระราชทานแล้วเข้าไปภายใน ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของมหาบพิตร พระองค์รู้หรือว่าผู้นี้เข้ามาในภายใน มายืนอยู่ข้างหน้าเรา ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ อัพภันตรชีพ นั้น เมื่อวางรสไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่าเป็นรสเปรี้ยว หรือรสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวานหรือไม่ ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เมื่อรสเหล่านั้นไม่เข้าไปภายใน อัพภันตรชีพ นั้น รู้หรือไม่ว่าเป็นรสเปรี้ยว รสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวาน ? ”
     “ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ นี่แหละ มหาบพิตร จึงว่าคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตรไม่สมควรแก่กัน ไม่สมกัน
     เหมือนกับมีบุรุษผู้หนึ่งให้บรรทุกน้ำผึ้งตั้ง ๑๐๐ หม้อ มาเทลงในรางน้ำผึ้ง แล้วมัดปากบุรุษนั้นไว้ จึงเอาทิ้งลงไปในรางน้ำผึ้งบุรุษนั้นจะรู้จักรสน้ำผึ้งหรือไม่? ”
     “ ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะน้ำผึ้ง ไม่เข้าไปในปากของเขา ”
     “ ขอถวายพระพร ด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าคำหลังกับคำต้น หรือคำต้นกับคำหลังของมหาบพิตร ไม่สมควรแก่กัน เข้ากันไม่ได้”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าในข้อนี้ได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงข้อนึ้ให้โยมเข้าใจเถิด ”
     ลำดับนั้น พระเถระจึงแสดงให้พระเจ้ามิลินท์เข้าพระทัย ด้วยถ้อยคำอันเกี่ยวกับ อภิธรรม ว่า
     “ ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย ตา กับ รูป แล้วจึงมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อันเกี่ยวข้องกับจักขุวิญญาณนั้น เกิดขึ้นตามปัจจัยถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็เกิดขึ้นได้เพราะอาศัย หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์แล้วจึงเกิด เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เหมือนกัน เป็นอันว่าผู้ชื่อว่า “ เวทคู ” ไม่มีในข้อนี้ ขอถวายพระพร”
     พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ ได้ฟังชัดก็โสมนัสปรีดา มีพระราชดำรัสตรัสสรรเสริญว่า
     “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้ สมควรแล้ว ”


      อธิบาย   
      
คำว่า “ เวทคู ” แปลว่า ผู้ถึงเวทย์ ท่านหมายความว่า เป็นผู้ถึงชึ่งความรู้ คือผู้รับรู้สิ่งต่าง ๆ พระเจ้ามิลินทร์เข้าใจว่า เวทคู นั้นเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นของมีชีวิตอยู่ภายใน อันเรียกว่า อัพภันตรชีพ ว่าเป็นผู้เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู หรือดมกลิ่นด้วยจมูก เป็นต้น ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด

ส่วนที่ถูกนั้น พระนาคเสนท่านกล่าวว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายใยเป็นเวทคูเลย การที่รู้อารมณ์ต่าง ๆ นั้น ได้แก่ วิญญาณ อันเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต่างหากดังนี้ คือข้อนี้ท่านมุ่งแสดงเป็นปรมัตถ์ ( คือเรื่องของจิตและเจตสิก) ไม่ได้มุ่งแสดงเป็นสมมุติ ( คือธรรมะทั่วไป ) ถ้าว่าเป็นสมมุติ เวทคู นั้นก็มีตัวตน ดังนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

1383
ธรรมะของพระพุทธเจ้าฯมีให้ศึกษามากมาย เหลือแค่ศึกษาและปฏิบัติให้ได้ผลครับ  :054:

1384
วันนี้ได้ ถวายเพลพระฯ :054:
และปลูกต้นไม้อีกมากมายครับ

1385
ถ้าว่างไปแน่นอนครับผม สาธุ อนุโมทนาบุญก่อนเลยครับ

เช่นกันครับ

1386
กราบนมัสการ ท่านพระอาจารย์ :054:

อ้างถึง
...ทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากต้นเหตุ
ควรสังเกตุวิเคราะห์และศึกษา
ทุกอย่างนั้นมีเหตุให้เกิดมา
จงมองหาให้เห็นความเป็นจริง..

ศิษย์ศึกษา "อริยสัจสี่" ของพระพุทธองค์ฯอยู่ครับ :054:

1388
ช่วยกันเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีดีกันครับ

1389
วันนี้จะไปกราบพระอาจารย์และไปปลูกต้นไม้ที่ "ตถตา อาศรม"

ถ้าท่านใดไปก็ได้เจอกันครับ

1390
ขอบคุณครับ
มาอ่าน+ดู เพื่อเป็นความรู้ครับ

1391
อ้างถึง
หลวงปู่ว่า

"สิ่งอันประเสริฐที่มีอยู่เฉพาะหน้าแล้วไม่สนใจ กลับไปหวังไกลถึงสิ่งที่เป็นแต่เพียงการกล่าวถึง เป็นลักษณะของคนไม่เอาไหนเลย ก็ในเมื่อมรรคผลนิพพานในศาสนาสมณโคดมในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก"
:016:ขอบคุณครับ ตรงใจจริงๆ :015:

1392
ขอบคุณท่านเอสำหรับธรรมะจากหลวงปู่ดู่ครับ :054:

1393
ฝีมือก่อไฟของผมเอง


บรรยากาศสุดน่ารื่นรมณ์

1394
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์
ขออนุญาตนำภาพที่ถ่ายเมื่อวานนี้ 20/5/54 มีให้ศิษย์วัดบางพระชมกันครับ



1395
ท่านทั้งหลาย เพิ่งเริ่มเข้ามาปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง จึงอาจจะไม่ลึกซึ้งถึงขึ้นที่ดูหน้าดูตาก็จะรู้ได้ ดูคนให้ดูหน้า ดูโหงวเฮ้ง การแนะแนวไม่ใช่มาถึงวัดสอนบุญ บาป ทำบุญไปสวรรค์ ทำบาปไปนรกเท่านั้น ต้องสอนแนะแนวถึงกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ใครเอาไปใช้ปฏิบัติเป็นประจำ จะแก้กรรมได้จริงๆ ถ้าใช้ไม่จริงก็เหมือนถ้วยชา เขาให้มาแล้วเอาไปใส่ตู้ไว้ ไม่ค่อยใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ตัวเรานี้มีประโยชน์มาก แต่ใช้ตัวไม่เป็น ไปใช้ในเรื่องไร้สาระเสียมาก ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ประเสริฐล้ำเลิศ ไหนๆ จะตายจากโลกไปก็จะต้องมีความดีติดตัวไปด้วย และทิ้งความดีไว้ในโลกมนุษย์ คือความดีเป็นตรา ถ้าใครทำกรรมฐานได้ลึกซึ้ง จะรู้เหตุผลของชีวิตได้อย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน แก้ไขปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยกรรมฐาน

บางคนชอบไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า สอบตก หมอดูว่า สอบตกกลับสอบได้เพราะเราขยัน เราต้องสร้างความดีให้กับดวง หาใช่ดวงทำให้เราดีไม่ ต้องสร้าง อยู่เฉยๆ ดีได้อย่างไร มันต้องเกิดจากการกระทำ คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง

การสร้างความดีให้กับดวง ก็คือสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา แล้วเราจะอบอวล ทวนลม ผู้ที่มีสมาธิจะเป็นคนขยันหมั่นเพียร และเป็นผู้มีปัญญา คนที่มีปัญญาแหลมลึก แหลมหลักต้องมีสามคม

คมกริบ ไว้ภายในจิต ไม่บอกใคร แสดงออกในเมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้

คมคาย มันยังเป็นหลุม เป็นบ่อ ไม่เสมอ ก็เอาบุ้งมาแทง อย่างนี้เป็นต้น

คมสัน มันต้องใช้ขวานตอกย้ำลงไป จึงจะเข้าเรียบร้อยดี นี่มันมีในลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ครบ ศีล คือ สถาปนิก ออกรูปแบบพื้นฐานให้คนชอบ

สมาธิ คือ วิศวกร รู้วาระจิต รู้จักน้ำหนัก รู้จักชั่งตวงวัด รู้จักวาระจิตของคนในฐานะเช่นไร ควรทำกับเขาอย่างไร รู้จักกาลเทศะ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ที่วิศวกร

ปัญญา คือ นายช่าง ลงมือทำทันที มิได้รอรีแต่ประการใด

ถ้าใครเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและนายช่างแล้ว รับรองคนนั้นเอาตัวรอดปลอดภัยในอนาคต บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อน นิสัยดีมีปัญญาในโลกมนุษย์นี้ เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน คนเราก็มีทั้งถูกและแพง มีทั้งเก๊และดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊เยอะ มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายาก ต้องอดทน ต้องฝึกฝนท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกได้ขยันก็ได้ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้

การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะรำลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมที่ผ่านมา จะแก้ปัญหากรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในกิจประจำวันของเราได้ ถ้าใครเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยต่อเนื่อง สร้างความดีให้ติดต่อกัน สร้างความดี ถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลายแล้ว คนนั้นจะได้รับผลดี ๑๐๐% และจะเอาดีในชาตินี้ได้แน่นอน ไม่ต้องรอดีถึงชาติหน้า......................


สนใจ เชิญอ่านต่อทั้งหมด จากที่มา.....
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2732

1396
เพิ่มเติม
น่ากลัวไม่น้อยนะครับ

Haunted [VERY SCARY] Little Ghost Girl!
[youtube=425,350]fPfk71CXolk[/youtube]

ที่มา

1397
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2554, 06:41:00 »
อุปมาด้วยไฟ

     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าแม่ไม้สีไฟไม่มี ลูกไม้สีไฟก็ไม่มี เชือกที่ผูกไม้สีไฟก็ไม่มี ไม้ที่จะหนุนขึ้นไว้ก็ไม่มี ปุ๋ยหรือฝอยในแม่ไม้สีไฟก็ไม่มี ความพยายามอันเกิดจากกการกระทำของบุรุษก็ไม่มี แต่มีไฟขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่แม่ไม้สีไฟก็มี ลูกไม้สีไปก็มี เชือกรัดแม่ไม้สีไฟก็มี ไม้สำหรับหนุนแม่ไม้สีไฟให้สูงขึ้นก็มี ปุ๋ยหรือฝอยในแม่ไม้สีไฟก็มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็มี ไฟนั้นจึงมีขึ้นได้อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือสังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น…เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น”
     “ ขอให้อุปมายิ่งขึ้นไปกว่านี้ ”

อุปมาด้วยแก้วมณี

     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนแก้วมณีไม่มี แสงแดดก็ไม่มี ขี้โคแห้งก็ไม่มี แต่ไฟเกิดขึ้นได้อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ก็เหตุที่แก้วมณีก็มี แสงแดดก็มี ขี้โคแห้งก็มี ไฟจึงมีขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างที่ไม่เคยมี แต่มีขึ้น..ย่อมไม่มีมีขึ้นแต่เฉพาะที่มีอยู่แล้วเท่านั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งไปกว่านี้อีก ”

อุปมาด้วยกระจกเงา

     “ ขอถวายพระพร เปรียบเช่นกับกระจกเงาไม่มี แสงสว่างก็ไม่มี หน้าคนที่จะส่องก็ไม่มีแต่มีหน้าคนเกิดขึ้นที่กระจกเงานั้นอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่กระจกเงาก็มีอยู่ แสงสว่างก็มีอยู่ หน้าคนที่ส่องกระจกนั้นก็มีอยู่ เงาหน้าคนจึงปรากฏที่กระจกอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างที่ยังไม่เคยมี แต่มีขึ้น…ย่อมไม่มีมีขึ้นเฉพาะที่เคยมีอยู่แล้วเท่านั้น ขอถวายพระพร ”
     “ ผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

( ฎีกามิลินท์ อธิบายคำว่า “ มีอยู่ ” หมายถึงมีอยู่แล้วในอดีตกาล )

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1398
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2554, 06:38:27 »
ส่วนปัญหาที่ ๕ เป็นข้อต่อไป จะเป็นคำถามที่ตรงกับข้ามกับข้อที่ ๔ มีว่าอย่างนี้

 ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความมีขึ้นแห่งสังขารที่ไม่มี

     “ ข้าแต่พระนาคเสน สังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น มีบ้างหรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ไม่มี สังขารที่มีอยู่เท่านั้นมีขึ้น เช่น พระราชมณเฑียรที่มหาบพิตรประทับนั่งอยู่นี้ เมื่อก่อนไม่มี แต่มีขึ้น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ในข้อนี้ได้ความว่าสังขารทุกอย่างที่ไม่มี แต่มีขึ้น….ไม่มี มีขึ้นเฉพาะที่มีอยู่เท่านั้น ”

อุปมาพระราชมณเฑียร

     “ ขอถวายพระพร ไม้ที่นำมาทำพระราชมณเฑียรนี้ ได้เกิดอยู่แล้วในป่า ดินเหนียวนี้ได้มีที่แผ่นดิน แต่มามีขึ้นในที่นี้ด้วยความพยายามของสตรีและบุรุษทั้งหลาย เป็นอันว่า พระราชมณเฑียรนี้มีขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ ฉันใด สังขารบางอย่างที่ไม่มีแล้วมีขึ้น…ไม่มี มีขึ้นเฉพาะสังขารที่มีอยู่เท่านั้น ฉันนั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาอีก ”

อุปมาด้วยต้นไม้่

     “ ขอถวายพระพร พืชเล็ก ๆ เกิดอยู่ในแผ่นดิน พืชเหล่านั้นย่อมมีใบ ดอก ผล ตามลำดับ พืชที่เกิดเป็นลำต้นเหล่านั้นไม่มีอยู่ แต่มีขึ้นหามิได้ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เป็นอันว่าต้นไม้เหล่านั้นเป็นของมีอยู่แล้ว จึงมีขึ้นได้อย่างนั้นนะ”
     “ ขอถวายพระพร อย่างนั้นแหละ คือสังขารบางอย่างที่ไม่เคยมี แต่มีขึ้น..เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น ”
     “ ขอนิมต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น ”

อุปมาด้วยช่างหม้อ

     “ ขอถวายพระพร ช่างหม้อขุดเอาดินจากแผ่นดิน แล้วมาทำเป็นภาชนะต่าง ๆ ขึ้นภาชนะเหล่านั้นยังไม่เคยมี แต่มีขึ้น จึงว่ามีขึ้นเฉพาะของที่มีอยู่เท่านั้น ฉันใด สังขารบางอย่างที่ไม่มี แต่มีขึ้น..เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น ฉันนั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

อุปมาด้วยพิณ

     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า เมื่อก่อนใบพิณไม่มี หนังขึ้นพิณก็ไม่มี รางพิณก็ไม่มี คันพิณก็ไม่มี ลูกบิดก็ไม่มี สายพิณก็ไม่มี นมพิณก็ไม่มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็ไม่มี แต่มีเสียงขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร เพราะใบพิณมี หนังขึ้นพิณก็มี รางพิณก็มี คันพิณก็มี ที่รองพิณก็มี สายพิณก็มี นมพิณก็มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็มี จึงมีเสียงขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น…เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมายิ่งขึ้นไปอีก ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1399
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2554, 06:35:55 »
ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความเกิดขึ้นแห่งสังขาร

     “ ข้าแต่พระนาคเสน สังขารบางอย่างเกิดขึ้นมีอยู่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร มีอยู่ ”
     “ ได้แก่สังขารเหล่าไหน ? ”
     “ มหาราชะเมื่อ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน มีอยู่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็มีอยู่ เวทนาอันเกิดเพราะ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส ก็มีอยู่ เมื่อมีเวทนา ก็มีตัณหา อุปาทาน ภพชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสขึ้น เป็นอันว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นมีขึ้นอย่างนี้ เมื่อจักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโนไม่มี วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนา ๖ นั้นก็ไม่มี เมื่อไม่มีเวทนา ก็ไม่มีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นอันว่า ความดับไปแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นมีขึ้นอย่างนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

      สรุปความ   
      
ปัญหานี้ท่านถามต่อเนื่องมาจากปัญหาที่แล้ว คือ วงรถ ที่เป็นวงกลม หรือเรียกว่า กงจักร นั่นเอง ได้แก่
     ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวม เรียกว่า อายตนะภายใน ๖ ส่วน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รวมเรียกว่า อายตนะภายนอก ๖ ทั้งหมดรวมเรียกว่า สัฬายตนะ หรือที่เรียกกันว่า ทวาร อันเป็นทางเข้าของอารมณ์ต่าง ๆ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า จักขุวิญญาณ ( ประสาทรับรู้ทางตา ) ส่วนอัวยวะอื่นก็ทำหน้าที่กันเป็นคู่ ๆ จะไม่นำมากล่าวย้อนอีก รวมความว่า เมื่อ ๓ อย่างคือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ มากระทบกันจึงเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยคือเป็นเหตุให้เกิด เวทนา ได้แก่อารมณ์ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง เป็นต้น

เวทนา ทำให้เกิด ตัณหา อุปาทาน กรรม กล่าวรวม ๆ คือกระทำไปด้วยความหลงผิด ส่งผลให้เกิด สฬายตนะ อีกให้สืบต่อหมุนเวียนอย่างนี้เป็นวัฏจักร เรียกว่า ปุริมโกฏิ คือหาเบื้องต้นไม่ได้ หาเบื้องปลายไม่พบ สิ้นกาลนานนักหนา อันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะมี อวิชชา เป็นมูลเหตุ

อุปมาเหมือนกับเมล็ดพืชกับต้นไม่เหมือนไข่กับแม่ไก่ และ เหมือนกงรถนี้ เป็นอันว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์มีขึ้นอย่างนี้ซึ่งเป็นการตอบคำถาม ของพระเจ้ามิลินท์ที่ถามว่า “ สังขารเหล่าไหนที่เกิดมีขึ้น ? ”
แล้วพระนาคเสนท่านก็แก้ต่อไปว่า

สฬายตนะ ไม่มี วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ก็ไม่มี ตัณหา อุปาทาน กรรม ทุกข์ต่าง ๆ ก็ไม่มี รวมความว่า ความดับไปแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นมีขึ้นอย่างนี้ ดังที่ได้สรุปให้เชื่อมโยงกันทั้งหมดนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1401
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2554, 06:30:44 »
อุปมาด้วยกงรถ

     “ พระนาคเสนจึงขีดเป็นกงรถลงที่พื้นดินแล้วถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ที่สุดแห่งกงรถนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสรตรัสไว้ว่า “ กงจักรเหล่านี้ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ” ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดพราะอาศัย จักขุ กับ รูป เมื่อสิ่งทั้ง ๓ นั้นรวมกันก็เป็น ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา”
     เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
     ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
     อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด กรรม
     จักขุ ก็เกิดจาก กรรม อีก ที่สุดแห่งการสืบต่ออันนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเสียงกับหู จมูกกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ มโนกับธรรมะ เมื่อสิ่งทั้ง ๓ รวมกันเข้าก็เป็น ผัสสะ แล้วทำให้เกิด เวทนา ตัณหา อุปทาน กรรม แล้ว โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เกิดจากกรรมนั้นอีก ที่สุดแห่งการสืบต่อนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เจ้าเป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร ”
     “ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

      อธิบาย   
      
ฏีกามิลินท์ อธิบายคำว่า “ เขียนกงรถลงที่พิ้นดิน ” ได้แก่เขียนกงรถลงไปที่พื้นดิน เวียนรอบแล้วรอบเล่า ๆ แล้วจึงได้ถามปัญหาขึ้นอย่างนั้น


ปัญหาที่ ๓ ถามความปรากฏแห่งที่สุดเบื้องต้น

     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ที่สุดเบื้องต้นบางอย่างปรากฏ บางอย่างไม่ปรากฏ จึงขอถามว่า อย่างไหนปรากฏ อย่างไหนไม่ปรากฏ ? ”
     “ ขอถวายพระพร สิ่งทั้งปวงที่ไม่เคยมีเบื้องต้นปรากฏมาเมื่อก่อนนั้นแหละ เรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ สิ่งใดไม่เคยมีแต่มีขึ้น ครั้งมีขึ้นแล้วก็หายไป อันนี้แหละ เรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นปรากฏ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งใดไม่เคยมีมามีขึ้น มีขึ้นแล้วหายไป ที่สุดเบื้องต้นอันขาดไปเป็น ๒ ฝ่าย ก็ได้ความแล้วไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าที่สุดเบื้องต้นตัดออกไปเป็น ๒ ฝ่ายแล้วก็ได้ความ ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าอาจให้โยมเข้าได้เป็น ๒ ฝ่ายหรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร อาจให้เข้าพระทัยได้ ”
     “ โยมไม่ได้ถามข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าอาจให้โยมเข้าใจได้โดยที่สุดหรือไม่ ? ”
     “ อาจ ขอถวายพระพร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     พระเถระก็ได้ยกเอาต้นไม้ขึ้นอุปมาดังที่ว่ามาแล้วนั้น
     พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ดีแล้ว ”

      อธิบาย   
      
ฏีกามิลินท์
   พืชย่อมเกิดเป็นต้นไม้่แล้วมีใบ ดอก ผล เป็นลำดับไป ฉันใด กองแห่งทุกข์ทั้งสิ้นก็เกิดต่อกัน ไม่ปรากฏเบื้องต้นว่า เกิดมาแต่ครั้งไหน ฉันนั้น
   ได้ใจความว่า รูปนามของสรรพสัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่ปรากฏว่าเบื้องต้นเกิดมาแต่เมื่อไรเพราะเกิดต่อ ๆ กันมาเป็นลำดับ


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1402
ขอบคุณมากคะ สำหรับภาพบรรยากาศวัดดอนยายหอม บรรยากาศดีมากคะ :090: :050: :090:
ขอบคุณเช่นกันครับ :054:

1403
กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

ขอเจริญพร บรรดาญาติพี่น้องและคณะอาจารย์วิทยาลัยครูธนบุรีและผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอเจริญสุขนักศึกษาที่มาปฏิบัติธรรมทุกคน วันนี้จะแสดงธรรมะในเรื่องกฎแห่งกรรมและกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจฟังธรรมสืบไป

คำว่า กฎแห่งกรรม แปลว่าอะไร กฎ แปลว่า ดัน และผลัก กรรม แปลว่า การกระทำ แต่ละราย แต่ละรูปไม่เหมือนกัน ทำดีก็ดันไปทางดี ทำชั่วก็ดันไปทางชั่ว กฎ ตัวนี้คือ กฎแห่งธรรมชาติ กฎ แปลว่า กดลงไปและดันขึ้นมา ถ้าหากเรามีคุณธรรมได้อบรมมาดีแล้ว มันจะดันและผลักไปในทางดีให้มีปัญญาถ้าการกระทำของเราไม่สมส่วนควรกันไม่สมเนื้อสมน้ำ เพราะจิตใจที่อบรมมาไม่ดี มันจะดันไปในทางที่ไม่ดีและกดให้จมลง ให้ต่ำลงไปโผล่ไม่ขึ้น

อาตมาประสบมามากหลาย บางคนไม่สนใจในเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ต้องการอายุมั่นขวัญยืน ต้องการให้มีความสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส ต้องการให้สุขภาพอนามัยดี และต้องการให้กิจการสำเร็จตามเป้าหมาย แต่เขาไม่ได้สร้างเหตุผลที่จะส่งผลให้อายุยืน กลับไปทำให้อายุสั้น ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนชีวิตเขา อาฆาต เคียดแค้นผูกพยาบาท ริษยา รับรองผู้นั้นจะอายุสั้น พลันตายตั้งแต่อายุยังน้อย

พระท่านสอนไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมาโสภาภาคย์ มีน้าตาดียิ่งหายากที่สุด ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือมีคุณสมบัติมนุษย์ครบ คือคุณธรรม มีศีล ๕ ครบ จึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนเฒ่าแก่ชราเป็นอัมพาต

บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็เกิดมาเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้ บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ชื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ

บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน ท่านทั้งหลายโปรดทราบ เรื่องสังข์ทองเป็นปริศนาธรรม หกเขยคือหน้าโง่ โง่ทางอายตนะ ตาโง่ ไม่มีกำหนดเห็นหนอ เห็นด้วยโง่ๆ ไม่เห็นลึกซึ้ง ไม่เห็นนิสัยใจคอคน ดูคนไม่เป็น ดูคนให้ดูหน้า ดูผ้าให้ดูเนื้อ ดูเสื่อให้ดูลาย ดูชายให้ดูพ่อ จะได้ไม่ย่อท้อใจ !


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2732

1404
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 11:18:41 »
ปัญหาที่ ๒ ถามที่สุดเบื้องต้นแห่งสงสาร

     “ คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ ปุริมโกฏิไม่ปรากฏนั้น ” โยมยังสงสัยอยู่ อะไรเป็นปุริมโกฏิ กาลนานอันอันเป็นอดีตนั้นหรือเป็นปุริมโกฏิ ? ”
     “ มหาราชะ ปุริมโกฏินั้นแหละ เป็นกาลนานอันเป็นอดีต ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุไรปุริมโกฏิจึงไม่ปรากฏ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ปุริมโกฏิบางอย่างก็ปรากฏ บางอย่างก็ไม่ปรากฏ ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไหนปรากฏอย่างไหนไม่ปรากฏ ? ”
     “ ขอถวายพระพร สิ่งทั้งปวงที่ไม่เคยมีเบื้องต้นปรากฏเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อันนี้แหละ เรียกว่า ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ไม่เคยมีมามีขึ้นมีขึ้นแล้วกลับหายไป อันนี้แหละเรียกว่า ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นปรากฏ ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏนั้น จะเปรียบเหมือนด้วยสิ่งใด ขอนิมนต์อุปมา”

อุปมาด้วยพืช

     “ ขอถวายพระพร พืชเล็ก ๆ ที่อาศัยแผ่นดินแล้วเกิดมีใบ มีดอก มีผล ถึงซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ ผลก็เกิดจากพืชนั้น ลำดับนั้น ต้นของพืชนั้นก็มีใบ ดอกผล ถึงซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ ที่สุดแห่งการสืบต่อแห่งพืชนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานไม่ปรากฏ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

อุปมาด้วยแม่ไก่

     “ มหาราชะ ไข่ออกจากแม่ไก่ แม่ไก่ออกมาจากไข่ ไข่ก็ออกมาจากไก่อีก ที่สุดแห่งการสืบต่อแห่งไก่นี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
     “ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานไม่ปรากฏ ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1405
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ :054:

1406
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:41:33 »
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องกาลนานยืดยาว

     “ ข้าแต่พระนาคเสน คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ สิ้นกาลนานนักหนาแล้วนั้น ” คำว่า “ นาน ” นั้น หมายถืงอะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร หมายถึง กาล อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สังขารทั้งหลายมีอยู่นานทั้งนั้นหรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร บางอย่างก็มี บางอย่างก็ไม่มี ”
     “ อะไรมี…อะไรไม่มี ? ”
     “ ขอถวายพระพร สังขารที่ล่วงลับดับสลายไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ไม่มีส่วนสิ่งที่เป็นผลกรรม และสิ่งที่เป็นผลกรรมให้เกิดต่อไปนั้นยังมีอยู่นาน สัตว์เหล่าใดตายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นไปเกิดในที่อื่น สัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่นาน ส่วนพระอริยบุคคลที่ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ไม่มีอยู่อีก เพราะปรินิพพานแล้วขอถวายพระพร ”
      “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

จบวรรคที่ ๒

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๓


  ปัญหาที่ ๑ ถามมูลเหตุแห่งกาลทั้ง ๓

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน อะไรเป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร อวิชชา เป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เพราะว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ( ตั้งแต่ อวิชชา มาถึง อุปายาส รวมเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ) เป็นอันว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ปุริมโกฏิ คือ ที่สุดเบี้องต้นแห่งกาลนานย่อมไม่ปรากฏ ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1407

ประวัติย่อเสฐียรพงษ์ วรรณปก



- เปรียญธรรม ๙ ประโยค (ขณะเป็นสามเณร) อุปสมบทในพระบรมราชูปถัมภ์ ปริญญาตรี (เกียรตินิยม) และปริญญาโท สาขาภาษาตะวันออกโบราณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

- เคยรับราชการเป็นรองศาสตราจารย์ระดับ ๙ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

- ปัจจุบันเป็นราชบัณฑิต สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ประเภทปรัชญา สาขาศาสนศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน

- เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน และเป็นอาจารย์บรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และจริยธรรมตามสถาบันต่างๆ

- กรรมการร่างหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย

- เป็นผู้แต่งตำราเรียน วิชาพระพุทธศาสนา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย

- เป็นประธานกรรมการจัดทำคู่มือการสอนพระพุทธศาสนา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

- เป็นประธานกรรมการผลิตตำราระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของกรมการศึกษานอกโรงเรียน

- เป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายเดือนหลายฉบับ

- เป็นนักเขียน มีงานเขียนทั้งทางวิชาการและกึ่งวิชาการพิมพ์เผยแพร่ไม่ต่ำกว่า ๖๐ เล่ม อาทิ พุทธวจนะในธรรมบท, พุทธศาสนาทัศนะและวิจารณ์, พุทธจริยาวัตรพากย์ไทย - อังกฤษ, บทเพลงแห่งพระอรหันต์, เพลงรักจากพระไตรปิฎก, พระไตรปิฎกวิเคราะห์, สองทศวรรษในดงขมิ้น, สูตรสำเร็จแห่งชีวิต, สู่แดนพุทธภูมิ, ไปไหว้พระบาทพระพุทธองค์, เนื้อติดกระดูก, นิทานปรัชญาเต๋า, พุทธวิธีแก้ทุกข์, สัมผัสพระพุทธเจ้าด้วยใจ, ยุทธจักรดงขมิ้น, ใต้ร่มใบบุญ, สวนทางนิพพาน, พุทธศาสนสุภาษิต, พจนานุกรมไทย - อังกฤษ ฯลฯ

คัดลอกจาก...คุณ Alexalek
http://larndham.net/index.php?showtopic=20070

1408
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:36:09 »
ปัญหาที่ ๗ ถามการเกิดอีกแห่งพระนาคเสน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ก็พระผู้เป็นเจ้าล่ะจะเกิดอีกหรือไม่ ? ”
     “ อย่าเลยมหาบพิตร พระองค์จะต้องพระประสงค์อันใดด้วยคำถามนี้ เพราะอาตมภาพได้กล่าวไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าอาตมาภาพยังมีอุปาทานก็จักเกิดอีก ถ้าไม่มีความยึดถือแล้ว ก็จักไม่เกิดอีก ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษผู้หนึ่ง ได้กระทำความดีไว้ต่อพระราชา พระราชาก็ทรงโปรดปรานเขา ได้พระราชาทรัพย์และยศแก่เขา เขาก็ได้รับความสุขในทางกามคุณ ๕ ด้วยได้พระราชาทรัพย์และยศนั้น ถ้าบุรุษนั้นบอกแก่มหาชนว่า พระราชาไม่ได้พระราชทานสิ่งใดแก่เรา มหาบพิตรจะทรงวินิจฉัยว่า บุรุษนั้นพูดถูกหรือไม่ ? ”
     “ ไม่ถูก พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จะประโยชน์อันใดด้วยคำถามนี้ เพราะอาตมภาพได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าอาตมภาพยังมีความยึดมั่นอยู่ ก็จักเกิดอีก ถ้าไม่มีความยึดมั่นแล้ว ก็จักไม่เกิดอีก ขอถวายพระพร ”
     “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

      อธิบาย   
      
ฏีกามิลินท์ กล่าวว่า ปัญหาข้อที่ ๗ นี้เคยถามมาก่อนแล้วข้างต้นโน้น แต่ที่ถามอีกก็เพราะอยากจะฟังคำอุปมา


 ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องนามรูป

     “ ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า นามรูป ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วนั้นอะไรเป็นนามรูป ? ”
     “ รูปใดเป็นรูปหยาบ รูปนั้นแหละเป็น “ รูป ” ส่วนสิ่งใดเป็นของละเอียด คือ จิตและเจนสิก สิ่งนั้นเรียกว่า “ นาม ” ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดจึงถือกำเนิดแต่นาม ส่วนรูปไม่ถือกำเนิดล่ะ ? ”
     “ ขอถวายพระพร สิ่งเหล่านั้นอาศัยกันและกัน ย่อมเกิดด้วยกัน ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าแม่ไก่ไม่มีกลละ ( น้ำใส ๆ เล็ก ๆ ) ไข่ก็ไม่มี กลละกับไข่ทั้งสองนี้อาศัยกัน เกิดร่วมกันไปฉันใด ข้อนี้ก็มีอุปมาฉันนั้นแหละ มหาบพิตรคือถ้านามไม่มี รูปก็เกิดไม่ได้ นามกับรูปทั้งสองนี้อาศัยกัน เกิดด้วยกัน “ นาม ” กับ “ รูป ” ทั้งสองนี้ เวียนวนมาในวัฏสงสารสิ้นกาลนานนักหนาแล้ว ”
     “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1409
น่ายินดีครับ
ขอบคุณครับ

1410
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:30:35 »
อุปมาเรื่องหมั้นเด็กหญิง

     “ ขอถวายพระพร เปรียบปานบุรุษผู้หนึ่งหมั้นเด็กหญิงที่ยังเล็ก ๆ เอาไว้ ให้ของหมั้นแล้วกลับไป ต่อมาภายหลังเด็กหญิงคนนั้นก็เติบโตขึ้น มีบุรุษอีกคนหนึ่งมาให้ของหมั้นแล้วแต่งงาน บุรุษที่หมั้นไว้ก่อนจึงมาต่อว่าบุรุษนั้นว่า เหตุใดเจ้าจึงนำภรรยาของเราไป บุรุษนั้นก็ตอบว่า เราไม่ได้นำภรรยาของเจ้าไป เด็กหญิงเล็ก ๆ คนนั้น ที่เจ้าขอไว้แล้วให้ของหมั้นไว้นั้น เป็นคนหนึ่งต่างหาก เด็กหญิงที่เติบโตแล้ว ที่เราสู่ขอแล้วนี้ เป็นคนหนึ่งอีกต่างหาก เมื่อบุรุษทั้งสองนั้นโต้เถียงกันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้หญิงนั้นแก่ใคร ? ”
     “ อ๋อ…ต้องให้แก่บุรุษคนก่อนนะซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะเหตุใด มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่เด็กสาวคนนั้นก็เติบโตต่อมาจากเด็กหญิงเล็ก ๆ นั้นเอง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีต่อไปจนกระทั่งตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่นามรูปนั้นก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นเอง เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก ”

อุปมาด้วยนมสด

     “ ขอถวายพระพร เช่นเดียวกับบุรุษผู้หนึ่ง ไปซื้อนมสดจากมือนายโคบาล แล้วฝากนายโคบาลนั้นไว้ ด้วยคิดว่า พรุ่งนี้เช้าจึงจะมารับเอาไป ต่อมานมสดนั้นก็กลายเป็นนมส้ม เมื่อบุรุษนั้นมาก็บอกนายโคบาลว่า จงให้หม้อนมสดนั้นแก่เรา นายโคบาลนั้นก็ส่งหม้อนมส้มให้ ฝ่ายผู้ซื้อก็กล่าวว่า เราไม่ได้ซื้อนมส้มจากเจ้า เจ้าจงให้นมสดแก่เรา นายโคบาลก็ตอบว่า นมสดนั้นแหละกลายเป็นนมส้ม ลำดับนั้น คนทั้งสองได้โต้เถียงกันไม่ตกลง จึงพากันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้คนไหนละ ? ”
     “ โยมต้องวินิจฉัยให้นายโคบาลชนะ ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะถึงบุรุษนั้นกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่นมส้มนั้นก็เกิดมาจากนมสดนั่นเอง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงนามรูปที่มีต่อมาจนกระทั่งเวลาตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตามแต่ก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


      อธิบาย   
      
คำว่า “ นามรูป ” ในที่นี้ท่านหมายถึง “ จิต ” และ “ กาย ” ส่วนคำว่า “ นามรูปนี้ ” เป็น “นามรูปอื่น ” ท่านหมายความว่า
     บุคคลที่ยังเกิดอยู่นั้น เพราะผลกรรมของตน (นามรูปนี้) ที่กระทำไว้แต่ชาติก่อนถ้าเป็นกรรมชั่วให้ผล ถึงจะเกิดอีกกี่ชาติ (นามรูปอื่น) ก็หาพ้นจากบาปกรรมที่ตนทำไว้แต่เดิมไม่ จนกว่าจะไม่เกิดอีกถึงจะพ้นจากผลกรรมเหล่านั้น

ฏีกามิลินท์ อธิบายคำว่า “ นามรูปอื่น ” หมายถึงนามรูปในอนาคต ที่มีอยู่ในสุคติและทุคติ ที่เกิดสืบต่อไปด้วยนามรูปปัจจุบันนี้ แล้วท่านกล่าวอีกว่า
     “ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาลึก ผู้ศึกษาควรใคร่ครวญด้วยปัญญาของตนเองด้วย เนื้อความอันใดดีกว่าเนื้อความที่เรากล่าวแล้วก็ควรถือเอาเนื้อความอันนั้น ”

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1411
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:28:07 »
อุปมาด้วยไฟไหม้

     “ ขอถวายพระพร มีบุรุษคนหนึ่งก่อไฟไว้ในฤดูหนาว แล้วทิ้งไว้มิได้ดับไฟ ได้ไปเสียที่อื่น ไฟนั้นได้ไหม้นาของผู้อื่น เจ้าของนาจึงจับบุรุษนั้นไปถวายพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ บุรุษนี้เผานาของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องทูลให้การว่า ข้าพระองค์ไม่ได้เผานาของผู้นี้ ไฟนั้นถึงข้าพระองค์ไม่ได้ดับ แต่ไฟที่ไหม้นาของผู้นี้ ก็เป็นไฟอื่นต่างหากข้าพระองค์ืไม่มีโทษ ดังนี้ อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษนั้นจะมีโทษหรือไม่ ? ”
     “ ต้องมีโทษซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? ”
     “ อ๋อ…เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะหมายเอาไฟก่อนก็ตาม แต่ก็ควรได้รับโทษด้วยไฟหลัง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

อุปมาด้วยประทีป

     “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษคนหนึ่ง ถือเอาประทีปเข้าไปที่เรือนโรงแล้วกินข้าว ประทีปก็ลุกลามไปไหม้หญ้า หญ้าก็ลุกลามไปไหม้เรือน เรือนก็ลุกลามไปไหม้หมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพากันจับบุรุษนั้น แล้วถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงเผาบ้าน บุรุษนั้นจึงตอบว่า เรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยประทีปอื่นต่างหาก ส่วนไฟที่ไหม้บ้านเป็นไฟอื่นอีกต่างหาก เมื่อโต้เถียงกันอย่างนี้ เขาพากันมาเฝ้ามหาบพิตร กราบทูลว่า มหาราชเจ้าจะรักษาประโยชน์ของใครไว้ พระเจ้าข้า มหาบพิตรจะตรัสตอบว่าอย่างไร ? ”
     “ โยมจะตอบว่า จะรักษาประโยชน์ของชาวบ้านไว้ ”
     “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าไฟนั้นเกิดมาจากประทีปดวงก่อนนั้นเอง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีในที่สุดแห่งความตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่ว่านามรูปนั้นเกิดจากนามรูปเดิม เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1412
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:26:28 »
ต่อจากตอนที่่ 6
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22922

- ตอนที่ ๗ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๒ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๖ ถามการถือกำเนิดแห่งนามรูป


     “ ข้าแต่พระนาคเสน อะไรปฏิสนธิ คือถือกำเนิด ? ”
     “ มหาราชะ นามรูป ถือกำเนิด ”
     “ นามรูปนี้หรือ…ถือกำเนิด ? ”
     “ มหาราชะ นามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด แต่ว่าบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้านามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็จักพ้นบาปกรรมทั้งหลายไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าผู้นั้นไม่เกิดแล้วก็พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่ถ้ายังเกิดอยู่ก็หาพ้นไม่ ”
     “ ขอนิมนต์ได้โปรดอุปมาด้วย ”

อุปมาด้วยผลมะม่วง

     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปขโมยผลมะม่วงของเขามา แต่เจ้าของมะม่วงนั้นจับได้ จึงนำไปถวายพระราชา กราบทูลว่า บุรุษผู้นี้ขโมยมะม่วงของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของบุรุษนี้ มะม่วงที่บุรุษนี้ปลูกไว้เป็นมะม่วงอื่น ส่วนมะม่วงที่ข้าพระองค์นำไปนั้น เป็นมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่ควรได้รับโทษ ดังนี้ อาตมภาพจึงขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษผู้นั้นควรจะได้รับโทษหรืออย่างไร ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษนั้นควรได้รับโทษ ”
     “ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะว่า บุรุษนั้นรับว่าไปเอาผลมะม่วงมาแล้ว แต่บอกว่าเอาผลมะม่วงลูกก่อนไปถึงกระนั้นก็ควรได้รับโทษด้วยผลมะม่วงลูกหลัง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นไปจากบาปกรรมขอถวายพระพร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

1413
ขออนุญาตลงคลิป Paranormal State: Scary Moments
จากเวป Youtube
[youtube=425,350]hiGASUd1Zjw[/youtube]

ที่มา

1414
พี่ๆทุกท่านครับผมอยากได้หนังสือการอ่านภาษาขอมครับผมอยากอ่านได้ครับไม่ทราบว่าที่ไหนพอจะมีขายบ้างครับผมอยู่เเถวปิ่นเกล้าครับ  ขอบพระคุณล่วงหน้าเลยนะครับ ขอบพระคุณครับ
ยินดีด้วยครับท่านที่ใฝ่ศึกษา
หาหากซื้อยาก ก็ศึกษาผ่านเวปบางพระเลยครับ ประหยัดด้วยครับ :002:

1415
กราบนมัสการ :054:ท่านพระอาจารย์ที่เมตตากรุณามาสอนอยู่เสมอครับ :054:

1416
ท่านที่พลาดงานไหว้ครู ควรไปให้ได้นะครับ

1417
แปลกดีครับ
ขอบคุณครับ

1418
๑๒. เหตุการณ์ระทึกใจในสวนมะม่วง

คราวหนึ่งเหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝัน ก็อุบัติขึ้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกลอบทำร้าย โดยคนใจบาป เจ้าวายร้าย นั้นปีนขึ้นเขาคิชฌกูฏ กลิ้งก้อนหินลงมา หมายใจจักให้หินทับพระพุทธองค์ ขณะที่กำลังนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่ที่ถ้ำมัททกุจฉิ เชิงเขาคิชฌกูฏ แต่เดชะพระบารมีของพระพุทธองค์ ก้อนหินนั้นกลิ้งลงมาปะทะง่อนผา เบื้องบนพระเศียร กระเด็นไปทางอื่น แต่กระนั้น สะเก็ดหินก็กระเด็นไปต้องพระบาททำให้ห้อพระโลหิต ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก พระสงฆ์สาวกช่วยกันหามพระพุทธองค์หนีออกมายังสวนมะม่วงของหมอชีวก

หมอชีวกกำลังตรวจคนไข้อยู่ในเมือง พอได้ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์ถูกลอบทำร้ายอาการสาหัส วิ่งแจ้นไปสวนมะม่วงทันที ได้ถวายการรักษา โดยชะล้าง และพันแผลให้พระพุทธองค์แล้ว ทูลลาไปดูคนไข้ในเมืองต่อ

ขอย้อนกล่าวถึงสาเหตุที่พระพุทธองค์ถูกลอบทำร้ายตัวการผู้ก่อมหันตกรรมครั้งนี้คือ พระเทวทัต

พระเทวทัตคือใคร ?

พระเทวทัต โดยเชื้อสายดั้งเดิมเป็นเจ้าชายในโกลิยวงศ์ลูกพี่ลูกน้อง (บางแห่งว่าเป็นพี่) ของพระนางยโสธราหรือพิมพาเมื่อสิทธัตถราชกุมาร ออกผนวชสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระราชบิดา และพระประยูรญาติที่ กรุงกบิลพัสดุ์ พวกเจ้าชายในตระกูลศากยะเป็นจำนวนมาก ได้ออกผนวชเป็นพุทธสาวก เทวทัตกุมารได้ถือโอกาสออกผนวชตามในคราวนั้นด้วย แรกๆ ก็ คงด้วยเจตนาดีคือหวังทางสิ้นทุกข์จึงปรากฏว่าได้บำเพ็ญสมณธรรมจนได้ฌานขั้นโลกีย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ครั้นต่อมาเกิดขัดพระทัย เพราะเรื่องลาภสักการะเป็นเหตุ

เรื่องก็มีอยู่ว่า ชาวบ้านนำภัตตาหารบ้าง ของถวายอย่างอื่นบ้าง ไปถวายพระ ต่างก็ถามหาพระองค์อื่นๆ ไม่มีใครถามหาพระเทวทัตเลย จึงเกิดมานะขึ้นในใจว่า พระเหล่านั้นก็เป็นกษัตริย์ออกบวช เราก็เป็นกษัตริย์เหมือนกันทำไมจึงไม่เห็นความสำคัญของเรา พวกนี้มันรู้จักเทวทัตน้อยเสียแล้ว คิดดังนี้จึงวางแผนเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับพระเจ้าอชาตศัตรูสมัยยังเป็นพระราชกุมาร แสดงฤทธิ์เดชให้ดู จนเจ้าชายเลื่อมใส มอบตนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ แต่นั้นมาลาภสักการะก็ไหลมาเทมาสมเจตนานึกเพราะบารมีของศิษย์ก้นกุฏิ

เมื่อคนขนาดมกุฎราชกุมารยกย่องนับถือเป็นพระอาจารย์ เทวทัตก็ลู่ทางไปสู่ความยิ่งใหญ่ กำเริบเสิบสานถึงขั้นคิดจะกุมอำนาจการปกครองคณะสงฆ์แทนพระบรมศาสดา ทูลขอให้พระองค์มอบอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ให้ตน โดยอ้างว่าตนเองมีความปรารถนาดีต่อพระธรรมวินัย ใคร่จะจัดการให้พระศาสนาเจริญก้าวหน้า พระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้ว ซ้ำยังมีพระภารกิจอย่างอื่นที่จะทรงกระทำเป็นอันมากขอให้ประทานอำนาจการปกครองให้ตนเถิด จะได้ช่วยแบ่งเบาพระภาระ พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นเจตนาอันลามกของพระเทวทัต จึงไม่ประทานอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ให้ ทั้งยังทรงตักเตือนสั่งสอนด้วยคำแรงๆ เพื่อให้สำนึก แต่แทนที่พระเทวทัตจะสำนึก กลับผูกใจเจ็บพระพุทธองค์หนักขึ้น หาว่าพระพุทธองค์ทำให้อับอายต่อหน้าธารกำนัล

ด้วยเจตนาหยาบช้า อยากใหญ่ ของพระเทวทัต ฤทธิ์โลกีย์ที่เคยมีเคยได้ก็เสื่อมหมด เมื่อแผนการขั้นแรกล้มเหลว จึงหันไปเดินวิธีใหม่ โดยยุให้อชาตศัตรูกุมาร หาอุบายกำจัดพระราชบิดาเสีย แล้วตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง ส่วนตนเองก็จะฆ่าพระพุทธเจ้า ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าแทน อชาตศัตรูกุมารตกหลุมพรางพระเทวทัต เห็นผิดเป็นชอบ จับพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ขังคุกทรมานได้อดพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์ แล้วได้ตั้งตนเป็นพระราชาสำเร็จ ฝ่ายพระเทวทัตก็พยายามหาทางกำจัดพระพุทธองค์ให้ได้ ครั้งแรกไปขอแรงพระเจ้าอชาตศัตรูให้ส่งนายขมังธนูไปยิงพระศาสดา แต่แผนการณ์ล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง

“เมื่อแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมเช่นนี้ ยังล้มเหลวคราวนี้เห็นจะต้องแสดงเอง”

เจ้าใจบาปคิด จึงค่อยด้อมๆ มองๆ หาโอกาสเหมาะพอดีวันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จไปประทับอยู่ที่ถ้ำมัททกุจฉิเชิงเขาคิชฌกูฏ พระเทวทัตจึงแอบปีนเขาขึ้นไป ผลัก ก้อนหินลงมาเพื่อให้ทับพระศาสดาให้สิ้นพระชนม์ แต่บังเอิญก้อนหินกลิ้งลงมาปะทะง่อนผาเหนือพระเศียร กระเด็นห่างออกไป สะเก็ดหินกระเด็นไปกระทบพระบาท ยังผลให้ห้อพระโลหิต ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

หมอชีวกมัววุ่นอยู่กับการดูแลคนไข้ในเมือง จนถึงเย็นพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ถึงเวลาแก้ผ้าพันแผลพระพุทธองค์แล้ว จึงรีบมุ่งหน้าไปยังสวนมะม่วง พอดีได้เวลาประตูเมืองปิดเขาจึงไม่สามารถออกไปเฝ้าพระพุทธองค์

“ตายละซิ ถึงเวลาแก้ผ้าพันแผลที่พระบาทแล้วด้วย ถ้าไม่แก้คืนนี้ทั้งคืน พระองค์จักมีอาการร้อนใน”

เขาคิดเสียใจ ที่ปฏิบัติต่อองค์พระศาสดาเอกแห่งโลกเหมือนกับคนไข้ธรรมดาคนหนึ่ง

ขณะที่หมอชีวกคิดกลุ้มใจอยู่นั้น พระบรมศาสดาทรงทราบกระแสความคิดของเขา จึงตรัสเรียกพระอานนท์มาแก้ผ้าพันแผลออก

ตื่นเช้าขึ้น หมอชีวกได้รีบเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ทูลถามละล่ำละสักว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้พระองค์ทรงมีพระอาการร้อนในหรือเปล่า ?”

ทรงทราบดีว่าเขาหมายถึงอะไร แต่พระพุทธองค์ตรัสยิ้มว่าๆ ว่า

“ตถาคตดับความร้อนทุกชนิดได้สนิทแล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้สัมมาสัมโพธิฌาณ ณ โคนต้นโพธิ์ ผู้ที่เดินมาจนสุดทางแห่งสงสารวัฏ หมดความโศก หลุดพ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆ แล้วไม่มีความร้อนหรอก ชีวก ไม่ว่าร้อนนอกหรือร้อนใน” (๑๓)

ตรัสจบ ก็ทรงยื่นพระบาทข้างที่บาดเจ็บให้หมอชีวกดูพร้อมทั้งตรัสบอกเขาว่า พระองค์ได้รับสั่งให้พระอานนท์แก้ผ้าพันแผลให้ตั้งแต่เย็นวานนี้ ตรงกับเวลาที่เขานั่งคิดกลุ้มใจอยู่ข้างประตูเมืองนั่นแหละ

หมอชีวกมองดูพระบาท เห็นแผลหายสนิทดีแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้ถวายการรักษาพระบรมศาสดาจนหายประชวร

เรื่องราวหมอชีวกโกมารภัจจ์ เท่าที่เก็บปะติดปะต่อจากพระไตรปิฎก และอรรกถามีเท่านี้ สังเกตดูตามประวัติจะเห็นได้ว่า ตลอดชีวิตเขายุ่งอยู่แต่กับการรักษาโรคคนทั้งเมืองจนแทบหาเวลาปฏิบัติธรรมไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่เขาไม่ได้ออกบวช หรือบรรลุคุณธรรมแม้เพียงขั้นโสดาปัตติผล แต่เขาได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา บำเพ็ญประโยชน์แก่ชนหมู่มาก นับว่าเป็น “อุบาสกผู้ช่วยตัวเองด้วยช่วยผู้อื่นด้วย” ต้องตามพระพุทธพจน์ทุกประการ คนเช่นนี้ชื่อว่าไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ และคนเช่นนี้เราควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง มิใช่หรือ ?



>>>>> จบบริบรูณ์ >>>>>

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1419

๑๑. ปัญหาของหมอชีวก

หมอชีวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้ามาก มีเวลาว่างจากดูแลคนไข้เมื่อไร เป็นถือโอกาสไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทันทีเขาจึงมักจะเทียวไปเทียวมาระหว่างตัวเมืองกับสวนมะม่วงของเขาเสมอ สวนมะม่วงที่ว่า นี้เป็นสมบัติส่วนตัวของเขาเป็นสถานที่สงบสงัด เหมาะแก่ผู้ใคร่วิเวกเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังหมอชีวกได้มอบถวายให้เป็นวัดที่ประทับของพระพุทธเจ้า เมื่อว่างจากภารกิจเมื่อใด เขาก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามข้อข้องใจในธรรมอยู่เสมอ ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรบันทึกบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับหมอชีวกอยู่หลายแห่ง เป็นเรื่องมีสาระน่ารู้ทั้งสิ้น จึงขอถือโอกาสถ่ายทอดให้ทราบเพียงสองแห่ง ดังต่อไปนี้ (๑๒)

๑. วันหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของหมอชีวก หมอชีวกเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตามปกติแล้ว ได้กราบทูลถามปัญหาพระพุทธองค์ ดังต่อไปนี้

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนปฏิบัติตัวได้แค่ไหน ถึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสก”

“ผู้ที่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะจึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสก”

“อุบาสกชนิดไหน เรียกว่าอุบาสกมีศีล”

“อุบาสกที่งดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มสุราเมรัย เรียกว่าอุบาสกมีศีล”

“อุบาสกชนิดไหน เรียกว่าเอาตัวรอดคนเดียว”

“อุบาสกที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีทัศนะ (ความเห็นถูกต้อง) ใคร่เห็นพระสงฆ์ ใคร่สดับธรรม ฟังธรรมแล้วจดจำได้จดจำได้แล้วพิจารณาไตร่ตรอง รู้ข้อธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติตามถูกต้อง อุบาสกชนิดนี้เรียกว่าเอาตัวรอดคนเดียว”

“แล้วอย่างไหน ชื่อว่าเอาตัวรอดด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”

“คนที่ประกอบด้วยคุณธรรมดังกล่าวข้างต้น แล้วชักชวนให้คนอื่นทำตาม ชื่อว่าช่วยตัวด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”

๒. คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงเช่นเดียวกัน หมอชีวกเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามปัญหา ดังนี้

“ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินคนเขาตำหนิพระองค์ว่า พระองค์สอนให้คนอื่นงดฆ่าสัตว์ แต่เสวยอาหารที่เขาฆ่าถวาย เป็นความจริงเพียงไร ?”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าได้เห็น, ได้ยิน, และสงลัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวาย พระองค์ไม่เสวยเนื้อนั้น แต่ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวายพระองค์เสวยเนื้อนั้น

พระองค์ตรัสอธิบายต่อไปว่า ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และแผ่คุณธรรมเหล่านี้ ไปยังสรรพสัตว์ทั่วโลก อยู่ด้วยจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทต่อใครเลี้ยงชีพด้วยอาหารบิณฑบาตที่ชาวบ้านเขาถวายเมื่อมีคนเขานิมนต์ไปฉันอาหาร ท่านก็ไป เขาถวายอาหารชนิดใด จะเลว หรือประณีต ท่านก็ฉันพอดำรงอัตภาพ ไม่ติด หรือยึดมั่นในอาหารที่ฉันนั้น

เสร็จแล้วพระองค์ย้อนถามหมอชีวกว่า

“พระภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนี้ จะเรียกว่าเบียดเบียนคนอื่นหรือไม่”

“ไม่ พระเจ้าข้า” หมอชีวกกราบทูล

“อาหารอย่างนี้ไม่มีโทษ (คือกินได้ ไม่เรียกว่าเป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าสัตว์) มิใช่หรือ”
“เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

พระองค์ตรัสต่อไปว่า ใครก็ตามถ้าฆ่าสัตว์เจาะจงถวายพระตถาคต หรือพระภิกษุสงฆ์สาวก ย่อมก่อลาปกรรมทั้งแก่ตนเองและแก่คนอื่น ด้วยสถานะ ๕ ประการคือ

๑) สั่งให้คนอื่นนำสัตว์ตัวโน้นตัวนี้มา (เท่ากับชักนำเอาคนอื่นมาร่วมทำบาปด้วย)

๒) สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่า ถูกลากถูกลู่ถูกังมา ได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก

๓) ออกคำสั่งให้เขาฆ่าสัตว์นั้น (ตัวเองก็บาป คนฆ่าก็บาป)

๔) สัตว์ที่ถูกฆ่าได้รับทุกขเวทนาจนสิ้นชีพ

๕) ทำให้คนอื่นเขาหาช่องว่าพระตถาคตและพระสงฆ์สาวก ด้วยเรื่องเนื้ออันไม่ควร (จริงอยู่ ถ้าพระไม่รู้ไม่เห็น ไม่สงสัยว่าเขาเจาะจงฆ่าถวาย ไม่ต้องอาบัติ แต่คนภายนอกอาจหาว่าพระรู้แต่แกล้งทำไม่รู้ หรือปากว่าตาขยิบ ก็ได้)

หมอชีวกได้สดับวิสัชนาจากพระพุทธองค์จนแจ่มแจ้งหายสงสัยแล้ว ในที่สุดได้กล่าวขึ้นว่า ตนเคยแต่ได้ยินได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล่าว่า “พระพรหม” นั้นมีจิตประกอบด้วย พรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ไม่เคยเห็น “พระพรหม” ตัวจริงสักที ที่แท้ “พระพรหม” ก็คือพระพุทธองค์นั่นเอง เพราะพระองค์ทรงมีคุณธรรมเหล่านี้ในพระทัย เป็นพยานที่เห็นได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“พรหมที่ว่านี้ ถ้าชีวกหมายถึงผู้ที่ไม่มีความพยาบาท ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ตถาคตละกิเลสเหล่านี้ได้เด็ดขาดแล้ว”

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1420
๑๐. หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า

หมอชีวก ได้ผ้าเนื้อสีทองอย่างดีสองผืนแล้ว นึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นมาทันที เห็นว่าผ้านี้เป็นผ้าเนื้อดีหาได้ยาก ควรจักนำไปถวายพระพุทธเจ้า จึงนำไปยังเวฬุวนารามตั้งใจจะถวายแด่พระพุทธองค์

แต่สมัยนั้น พระภิกษุสงฆ์ถือผ้าบังสุกุลอย่างเดียวคือ ท่านแสวงหาเศษผ้าที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ (๑๐) มาเย็บทำจีวรเอง และให้สอยเพียงสามผืนเท่านั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้รับผ้าจีวรที่คฤหัสถ์ทำถวาย หมอชีวกจึงขอพรพระพุทธเจ้าให้ทรงรับผ้าเนื้อสีทองที่เขาน้อมถวาย และให้ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าหรือจีวรที่ชาวบ้านผู้มีศรัทธาจัดถวายด้วย พระพุทธองค์ทรงรับจีวรของหมอชีวก และอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์รับคฤหบดีจีวรได้ตามคำขอของหมอชีวก แต่บัดนั้นมา

ชาวบ้านได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าหรือจีวรที่ชาวบ้านถวายได้ ต่างก็ดีใจ พากันนำจีวรมาถวายพระเป็นจำนวนมาก เนื้อดีบ้าง เนื้อหยาบบ้าง ทอด้วยวัตถุดิบต่างๆ กัน พระสงฆ์เลยเกิดความสงสัยว่าจีวรชนิดไหนควรจักรับ ชนิดไหนไม่ควรรับ จึงนำความเข้าทูลถามพระพุทธองค์ๆ จึงตรัสอนุญาตไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร ๖ ชนิด คือ จีวรทำด้วยเปลือกไม้ ๑ ทำด้วยฝ้าย ๑ ทำด้วยไหม ๑ ทำด้วยขนสัตว์ ๑ ทำด้วยป่าน ๑ ทำด้วยของ (ทั้งห้าอย่างนั้น) เจือกัน ๑” (๑๑)

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1421
๙. พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงพระประชวร

คราวนี้ขอเชิญท่านผู้อ่าน นึกไปถึงเมืองอีกเมืองหนึ่งอยู่ห่างเมืองราชคฤห์ ด้านทิศตะวันตกไปอีกไกลมาก เมืองนี้มีชื่อว่าอุชเชนี หรืออุชเชน มีพระราชาทรงพระนามว่า ปัชโชต ครองราชสมบัติ ปัชโชต เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นกษัตริย์ที่ดุร้ายมาก ใครทำอะไรขัดพระทัยแม้นิดหน่อยก็จับตัดคอทันทีจนได้สมญานามว่า “จัณฑปัชโชต” แปลว่า “ปัชโชตผู้โหดร้าย”

ปัชโชตมีโรคร้ายประจำอยู่อย่างหนึ่งคือ “ปัณฑุโรค” (โรคดีซ่าน) (๙) ได้ทราบว่าที่เมืองราชคฤห์มีหมอวิเศษอยู่คนหนึ่ง จึงทรงส่งพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าพิมพิสาร ขอนายแพทย์มารักษาพระโรค พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงส่งหมอชีวกไปถวายการรักษา พร้อมทั้งรับสั่งให้หมอระมัดระวังตัวให้ดีด้วยเพราะทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ดุนักพลาดท่าพลาดทางอาจโดนตัดหัวก็ได้

หมอชีวกเดินทางไปถึงเมืองอุชเชนี เข้าเฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชต ก็แจ้งประจักษ์แก่ใจว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ มีพระนิสัยหงุดหงิด ดุร้ายจริงตามคำเล่าลือ เขาลงมือตรวจพระอาการเสร็จแล้ว กราบทูลในหลวงว่าก่อนจะรักษาโรคให้หายได้ต้องขอให้ทรงให้สัญญาก่อน

“สัญญาอะไรวะ ข้าเอาแกมารักษาโรค มิใช่ให้มาสัญญา” ปัชโชตตวาด พระเนตรเขียวปัด

“ขอเดชะฯ พระอาการค่อนข้างน่าวิตก ข้าพระพุทธเจ้าจึงอยากจะกราบทูลพระกรุณา ขอพระราชทานสัญญาว่าจะทรงเสวยพระโอสถที่ข้าพระพุทธเจ้าประกอบถวายพ่ะย่ะค่ะ” หมอหนุ่มกราบทูล พยายามทำเสียงให้เป็นปรกติ

“ยาอะไรแกให้ข้ากินได้ทั้งนั้นแหละ ขออย่างเดียวอย่าให้มีเนยใสไม่ได้ เข้าใจไหม”

หมอหนุ่มสะดุ้ง เพราะยาที่จะผสมให้เสวย จะต้องใช้เนยใสเสียด้วย ถ้าขาดเนยใสมาผสมเป็นกระสายโรคอย่างนี้จะไม่หาย จึงสู้สะกดใจไว้ กราบทูลอีกว่า

“ข้าพระพุทธเข้าขอกราบทูลพระกรุณาพระราชทานของสามสิ่งคือ

๑) ห้องพิเศษสำหรับปรุงยา
๒) ให้เปิดประตูวังให้ตลอดคืน
๓) ขอช้างทรงหรือม้าทรงที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดหนึ่งตัว”

“รักษาโรคสวรรค์วิมานอะไรของแกวะ ขอให้เปิดประตูวังตลอดคืน ขอช้างขอม้าฝีเท้าเร็ว ไอ้ข้อแรกก็พอมีเหตุผลอยู่หรอก แต่สองข้อหลังนี่จะเอาไปทำไม” ปัชโชตทรงซักถามด้วยขุ่นพระทัย

“ขอเดชะฯ เวลาต้องการเครื่องยาสมุนไพรที่จำเป็นบางอย่างกะทันหัน ข้าพระพุทธเจ้าจะได้รีบขึ้นช้างหรือม้าไปเอามาพ่ะย่ะค่ะ”

“เออ ตกลง รักษามากี่หมอแล้ว มีแกนี่แหละยุ่งที่สุด” ทรงบ่นอุบอิบ

เมื่อได้ของตามต้องการแล้ว หมอชีวกจึงเข้าห้องพิเศษปรุงยาตามที่เล่าเรียนมา ใส่เนยใสผสมเป็นกระสายก่อไฟตั้งเตาปิดประตูหน้าต่างห้องอย่างมิดชิด ป้องกันกลิ่นเนยระเหยออกไปข้างนอก ใส่สมุนไพร ดับกลิ่นเนยอย่างดี เคี่ยวยาอยู่เป็นเวลา ๗ วัน ได้ยาสกัดออกมาประมาณถ้วยขนาดใหญ่ ลองดมดูไม่มีกลิ่นเนยหลงเหลืออยู่แม้นิดเดียว เสร็จแล้วนำเข้าถวายในหลวงกราบทูลวิธีเสวยและอาการหลังจากเสวยว่า

“หลังจากเสวยแล้ววันแรกจะมีอาการแน่น ถ้ามีพระอาการอย่างไรก็ขอให้ทรงอดทน พอตกถึงวันที่สองจะทรงเรอออกมาแล้ว อาการของโรคจะค่อยหายไป”

เสร็จแล้ว หมอหนุ่มรีบเข้าไปโรงช้างขึ้นช้างพังชื่อภัททวดีซึ่งมีฝีเท้าเร็ววิ่งได้วันละ ๕๐ โยชน์ ออกไปจากพระนคร สั่งมหาดเล็กให้กราบทูลในหลวงว่าจะรีบไปเก็บสมุนไพรมาเพิ่มเติมออกจากวังไปก็รีบไสช้างวิ่งหนีมุ่งหน้าไปยังเมืองราชคฤห์ ไปได้หลายสิบโยชน์ เห็นว่ามาไกลพ้นเขตอันตรายแล้ว จึงหยุดช้างลงไปนั่งพักเหนื่อยใต้ต้นมะขามป้อมต้นหนึ่ง

กล่าวถึงพระเจ้าจัณฑปัชโชต พอเสวยยาเข้าไปวันแรกก็เกิดอาการแน่น อึดอัด ตามที่หมอบอก แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไรรุนแรงนัก พอรุ่งเช้าขึ้นวันที่สองทรงเรอออกมา เนยใสที่ผสมเป็นกระสายยาระเหยออกมาเตะนาสิก รู้สึกว่าโดนหมอหลอกให้เสวยเนยใสเข้าแล้วเท่านั้น ก็ทรงอาเจียนโอ้กอ้ากทันทีได้พระสติจึงแหวออกมาทั้งๆ ที่เกือบจะไม่มีพระกำลังอยู่แล้วรับสั่งให้ตามมหาดเล็กชื่อกากะ มาทันที

“มึงรีบตามไอ้หมอชีวกมาให้กูให้ได้ ไอ้หมอเจ้าเล่ห์กูจะตัดหัวมันให้สมที่มันโกหกกู” ทรงตะโกนก้องด้วยความพิโรธ

กากะ มหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์ซึ่งได้เร็ววันละ ๖๐ โยชน์ รีบวิ่งออกจากพระราชวังทันที

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน” ทรงรับสั่งไล่หลังมหาดเล็ก

“ไอ้หมอคนนี้มันเล่ห์เหลี่ยมมาก มึงอย่าเสือกกินอะไรที่มันให้เป็นอันขาดนะ”

กากะวิ่งบ้างเดินบ้าง ตามรอยชีวกไปจนทันที่ป่ามะขามป้อม เห็นหมอชีวกผูกช้างไว้ข้างต้นไม้ นั่งกินอาหารอยู่จึงจู่เข้าไปจับแขนจะลากกลับเมืองอุชเชนีทันที

“ตายละซิ นึกว่ามาพ้นแล้ว เจ้าบ้านี่ตามมาจนได้”

หมอชีวกคิด ฉับพลันนั้นไวเท่าคิด เขาจึงพูดขึ้นว่า

“เดี๋ยว ขออนุญาตผมกินข้าวอิ่มก่อนได้ไหม ข้าวยังมีอยู่แยะ เชิญกินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับไปในหลวง”

“ไม่” เขาสั่นศีรษะ

“ในหลวงรับสั่งว่าคุณมารยามากห้ามกินอะไรที่คุณเอาให้เด็ดขาด”

“ในหลวงคงทรงกลัวผมจะวางยาพิษกระมัง ก็เราไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกัน ผมจะวางยาคุณทำไม” หมอรบเร้าให้เขาร่วมวงให้ได้

“เชิญคุณตามสบายเถิด คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง ไม่งั้นหัวผมขาด” กากะกล่าวยืนยันความตั้งใจเดิม

เมื่อเห็นว่าจะเข้าตาจน เพราะเจ้าหมอนั่นรักษาคำสั่งของเจ้าเหนือหัวอย่างเคร่งครัด จึงคว้าผลมะขามป้อมที่หล่นอยู่ข้างๆ มาผลหนึ่ง กัดก่อนแล้วดื่มน้ำ พลางหยิบมะขามป้อมที่พึ่งหล่นจากต้นไม้ยื่นให้กากะ ชวนให้กินแก้กระหายน้ำบ้าง กากะเห็นว่ามะขามป้อมพึ่งหล่นจากต้นหยกๆ คงไม่เป็นไร จึงรับมากัดกินบ้างหารู้ไม่ว่า ก่อนส่งให้หมอหนุ่มได้เอาเล็บจิกผิวมะขามป้อมนิดหนึ่ง ปล่อยยาซึ่งซ่อนอยู่ปลายเล็บซึมเข้าไปในผลมะขามป้อม พักเดียวได้เรื่องเจ้าหมอนั่นรู้สึกปวดท้องกะทันหันไม่ทันกล่าวอะไรออกมา อุจจาระก็ไหลออกมาดังสายน้ำพุ่งออกจากท่อ

“โอย ได้โปรดไว้ชีวิตชีวิตผมด้วยเถิด คุณหมอ” มหาดเล็กผู้น่าสงสารอ้อนวอน

“ไม่เป็นไร เพื่อนยาก ขี้ออกหมดแล้วก็จะหายเองแหละไม่ใช่ยาพิษอะไรหรอก” หมอหนุ่มกล่าว พร้อมกับหัวเราะร่าเริง

“ฝากนำช้างไปถวายคืนเจ้านายด้วย ลาก่อนนะ”

เวลาผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที มหาดเล็กชื่อกากะจึงค่อยมีกำลังขึ้นบ้าง เดินโผเผไปแก้ช้างออกจากโคนต้นมะขามป้อมขี่ช้างกลับมายังพระราชวัง เข้าไปกราบทูลแด่ในหลวงด้วยตัวสั่นงันงก พระเจ้าจัณฑปัชโชต ทอดพระเนตรเห็นมหาดเล็ก รูปร่างอิดโรยผิดปรกติ ก็ทรงรู้ทันทีว่า คงเสียทีหมอหนุ่มเสียแล้ว จึงรับสั่งด้วยอารมณ์ดีว่า

“กูบอกแล้ว อย่ากินอะไรที่มันให้ มึงก็เสียทีมันจนได้ปล่อยมันเถอะวะ กูหายดีแล้ว ยามันวิเศษจริงๆ”

พอหายประชวรแล้ว พระเจ้าจัณฑปัชโชต ทรงนึกถึงบุญคุณของหมอชีวก คิดจะพระราชทานรางวัลให้สมใจ จึงทรงเลือกได้ผ้าเนื้อสีทองอย่างดีสองผืน ที่ทอที่เทศสีพี ซึ่งเป็นผ้าเนื้อละเอียดมาก คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ผ้าเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ทรงมอบผ้าสองผืนให้อำมาตย์นำไปให้หมอชีวกถึงกรุงราชคฤห์พร้อมกับมีพระราชสาส์นไปขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประทานหมอวิเศษไปรักษาโรคให้จนหายสนิท


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1422
๘. ถวายพระโอสถแด่พระผู้มีพระภาค

ในระยะเวลาดังกล่าวนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน วัดแห่งแรกที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย พระเจ้าพิมพิสารนั้น ได้พบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรก ตั้งแต่พระองค์เสด็จออกบรรพชาใหม่ๆ ได้ชักชวนพระพุทธองค์ลาพรตมาครองราชย์สมบัติด้วยกัน หากพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ และถวายพระพรว่า พระองค์ทรงมุ่งแสวงโมกขธรรม ทางหลุดพ้นจากสังสารทุกข์ พระเจ้าพิมพิสารทรงเสื่อมใสและขอพรว่า ค้นพบโมกขธรรมทางหลุดพ้น ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไร ก็ขอทรงพระกรุณาเสด็จมาโปรดให้ได้ลิ้มรสอมตธรรมบ้าง ครั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้วทรงรำลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แด่พระเจ้าพิมพิสาร จึงเสด็จมาแสดงธรรมโปรดจนพระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุโสดาปัตติผลภายหลังพระเจ้าพิมพิสารได้มอบถวายสวนไผ่ หรือเวฬุวันถวายเป็นวัดที่ประทับของพระพุทธองค์กับภิกษุสงฆ์ดังกล่าวแล้ว

เมื่อพระพุทธองค์ประทับประจำในวัดแห่งนี้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจต่างๆ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ มิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยาก จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน

พระพุทธกิจนั้นในตำราท่านกล่าวว่ามีอยู่ห้าประการคือ

๑. เวลาเช้ามืด ทรงเล็งญาณดูเวไนยสัตว์ที่ควรโปรด คือพิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใครบ้าง

๒. เช้าถึงเพล เสด็จออกบิณฑบาต หรือเรียกอย่างสามัญว่า เสด็จออกโปรดสัตว์คือ ไปรับอาหารบิณฑบาตจากชาวบ้าน และถือโอกาสแสดงธรรมไปในตัว

๓. เวลาเย็น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัท

๔. เวลาค่ำ ทรงให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์

๕. เวลาดึก ทรงแก้ปัญหาเทวดา

กล่าวกันว่าพวกเทวดามักมาทูลถามปัญหาเวลาดึกๆ (บางท่านกล่าวว่า พวกข้าราชการผู้ใหญ่ หรือพระราชามหากษัตริย์มักว่างรัฐกิจ และราชกิจตอนดึกๆ จึงหาโอกาสมาเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลานี้)

เมื่อพระพุทธองค์ทรงนำเพ็ญพุทธกิจเหล่านี้ตลอดทั้งวันทรงมีเวลาพักผ่อนน้อย “พระวรกายของพระองค์จึงเกิดหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ” (โทสาภิสนฺโน) (๘) เข้าใจว่าเป็นโรคถ่ายไม่ออก เพราะท้องผูกอย่างแรง เนื่องจากนั่งมาก พระอานนทเถระ พุทธอุปัฏฐาก จึงไปหาหมอชีวก แจ้งพระอาการของพระพุทธองค์ให้ทราบ แล้วขอร้องให้หมอชีวกไปถวายพระโอสถแด่พระพุทธองค์

ได้ฟังดังนั้น หมอหนุ่มรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นกำลัง ที่จะได้มีโอกาสถวายการบำรุงพระพุทธองค์ ที่เขารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่สบโอกาสสักที แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเขาต้องการให้พระพุทธองค์ทรงพระประชวร จะได้มีโอกาสไปรักษา

หากแต่จะหาโอกาสอื่นไปเฝ้าพระพุทธองค์ก็ไม่กล้าเพราะยังไม่รู้จักคุ้นเคยกับพระองค์ ครั้นท่านพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก มาเอ่ยปากขอร้องคราวนี้ จึงเป็นโอกาสอันเหมาะยิ่งนักที่จะได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด เขาจึงหาก้านอุบลมาสามก้านแล้วนำมาอบอย่างดีด้วยกรรมวิธีของแพทย์ นำไปถวายให้พระพุทธองค์ทรงสูดก้านละครั้ง เมื่อทรงสูดยาที่หมอชีวกอบก้านอุบลถวายแล้ว ก็ทรงถ่ายพระบังคนหนัก (อุจจาระ) ระบายสิ่งที่เป็นโทษออกจากพระวรกายหมดสิ้น ครบกำหนดแล้วทรง สนานด้วยน้ำอุ่น พระวรกายของพระพุทธองค์ได้กลับเป็นปรกติดังเดิม

ด้วยความใกล้ชิดต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งนี้หมอชีวกรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก จึงกราบทูลถวายตัวเป็นคิลานุปัฏฐากของพระองค์เป็นประจำ พระพุทธองค์ก็ทรงเมตตารับไว้ เป็นอันว่าแรงอธิษฐานแต่หนหลังของเขาสัมฤทธิ์ผลดังปรารถนาแล้ว ด้วยประการฉะนี้


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1423
๒. แรงอธิษฐาน

ย้อนหลังจากภัทรกัปนี้ไปแสนกัป สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตระ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ประสูติที่เมืองจัมปา เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอสมะ กับพระนางอสมา ก่อนเสด็จออกทรงผนวช ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางอุตรา มีพระโอรสพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า รัมมะ ภายหลังทรงรู้สึกเบื่อหน่ายในเพศผู้ครองเรือนจึงเสด็จออกทรงผนวชบำเพ็ญพรต จนสำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จไปประกาศพระศาสนา โดยได้แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกชื่อ ธนัญชุยยานสูตร ไม่นาน มีผู้เลื่อมใสมอบตนเป็นสาวกมากขึ้นตามลำดับ ในจำนวนนี้มีพระภราดาทั้งสองของพระองค์คือ เจ้าชายสาละ กับเจ้าชายอุปสาละ รวมอยู่ด้วยซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาในตำแหน่งเอตทัคะ เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา และฝ่ายซ้าย ตามลำดับ (๑)

สมัยนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ เกิดทันเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเห็นชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐาน เดินเข้าเดินออกพระอารามที่ประทับของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ อยากรู้ว่า ชายคนนี้ไปวัดทำไมบ่อยๆ วันหนึ่ง จึงได้ไปดักรออยู่นอกประตูวัด พอชายคนนั้นเดินออกนอกประตูมา เขาจึงกรากเข้าไปถามว่า

“นี่คุณ ผมเห็นคุณเดินเข้าเดินออกวัดทุกวัน ผมอยากทราบว่าคุณไปทำไม”

สุภาพบุรุษคนนั้น มองเขาแวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างสุภาพว่า

“ผมเป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ผมไปเฝ้าพระองค์ทุกวัน เพื่อรับพระโอวาท และถวายการรักษาในคราวที่ทรงพระประชวร”

“แหมคุณช่างมีตำแหน่งน่าสรรเสริญจริงๆ ทำอย่างไงผมจะได้เป็นอย่างคุณบ้างนะ”

“หน้าที่อย่างนี้ ชั่วพุทธกาลหนึ่งก็มีเพียงคนเดียว ถ้าคุณอยากเป็นอย่างผมก็ตั้งอธิษฐานไว้ชาติหน้าสิ ผมไปละจะรีบไปดูคนไข้ในเมือง”

แล้วหมอก็รีบผละไป ปล่อยให้เขายืนคิดอยู่คนเดียว “ถ้าคุณอยากเป็นอย่างผม ก็ตั้งอธิษฐานไว้ชาติหน้าสิ” คำพูดของหมอยังก้องอยู่ในใจ ชาติหน้ามีจริงหรือ ? อธิษฐานจิตมีผลถึงชาติหน้าจริงหรือ ? ฯลฯ คำถามเหล่านี้เรียงคิวเข้ามาสู่สมองของเขาเป็นทิวแถว แต่ก็ให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้ พลันนึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้จึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ยังพระอารามกราบทูลถามข้อข้องใจต่างๆ พระองค์ก็ทรงประทานวิสัชนาให้เป็นที่หายสงสัยหมดสิ้น เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาอย่างใกล้ชิดกับพระผู้เป็นศาสดาเอกในโลก ให้รู้สึกปีติดีใจเหลือพรรณนา หลังจากได้รับรสพระธรรมจากพระองค์เป็นที่ชุ่มชื่นใจแล้ว เขาได้กราบทูลอาราธนาพระองค์ไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของเขาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

หลังจากถวายภัตตาหาร แด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกแล้ว เขาเข้าไปกราบแทบพระยุคลบาท กล่าวคำอธิษฐาน ต่อพระพักตร์ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายภัตตาหารครั้งนี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงเป็นแพทย์ประจำพระพุทธเจ้าในอนาคต เช่นเดียวกับนายแพทย์ผู้อุปัฏฐากพระองค์เถิด”

“เอวํ โหตุ ขอให้สัมฤทธิ์ดังปรารถนาเถิด”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดำรัสตอบ ทรงประทานอนุโมทนากถา เสร็จแล้วเสด็จกลับไปยังพระอาราม (๒)

ดับขันธ์จากชาตินั้นแล้ว เขาได้เวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง ตามแรงกรรมที่ก่อสร้างไว้ กาลผ่านไปเป็นระยะเวลานานนับได้แสนกัป ในที่สุด “แรงอธิษฐาน” ของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อเขาได้มาถือกำเนิดเป็น ชีวกโกมารภัจจ์ โอรสบุญธรรมของเจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าแห่งมคธรัฐ โปรดติดตามเรื่องราวของเขาต่อไปเถิด


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1424
ชีวิตตัวอย่าง หมอชีวกโกมารภัจจ์
นายแพทย์ประจำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


คำนำ

ชีวิตตัวอย่าง : หมอชีวกโกมารภัจจ์ นี้ ผมเรียบเรียงขึ้นจากข้อมูลที่กระจัดกระจาย อยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งพระไตรปิฎก และอรรถกถา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ และได้นำลงตีพิมพ์ในนิตยสาร “พลังชีวิต” อีกครั้งหนึ่ง ติดต่อกันจนจบ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑ เห็นสมควรตีพิมพ์ซ้ำอีก
เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจ หวังว่าหนังสือเล่มเล็กๆ นี้ คงมีประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้าง ไม่มากก็น้อย

เสฐียรพงษ์ วรรณปก
๑๙ เมษายน ๒๕๔๐

ในที่นี้จะเสนอเพียงบางตอนเท่านั้น   

ธรรมสภาได้รับมอบหมายจาก ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ให้จัดพิมพ์ ‘ชีวิตตัวอย่าง : หมอชีวกโกมารภัจจ์’ ขึ้นในปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๘

สารบัญ

๑. ความนำ
๒. แรงอธิฐาน
๓. กำเนิดชีวกโกมารภัจจ์
๔. ศึกษาวิชาแพทย์ที่กรุงตักกศิลา
๕. รักษาภรรยาเศรษฐีเมืองสาเกต
๖. รักษาพระโรคพระเจ้าพิมพิสาร
๗. ผ่าตัดใหญ่สองรายซ้อน
๘. ถวายพระโอสถแด่พระผู้มีพระภาค
๙. พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงพระประชวร
๑๐. หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า
๑๑. ปัญหาของหมอชีวก
๑๒. เหตุการณ์ระทึกใจในสวนมะม่วง

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6286

1425
ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตน จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให้ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ยา ชีวกไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ๆ ว่าสำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์

       เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้า เดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และโปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์

       ต่อมาไม่นาน เจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

       หมอชีวกได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าในคราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ

       หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้วด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสร้างวัดถวายในอัมพวัน คือสวนมะม่วงของตน เรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก)

       เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
       ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติ ข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรคบางชนิด
       นอกจากนั้น หมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล
 

จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ที่มา
http://nkgen.com/218.htm

1426
ชีวกโกมารภัจจ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


ข้อมูลทั่วไป

ชื่อเดิม:    ชีวกโกมารภัจจ์
พระนามอื่น:    ชีวกโกมารภัจจ์
สถานที่ประสูติ:   กรุงราชคฤห์
ตำแหน่ง:   แพทย์ประจำพระพุทธเจ้า
เอตทัคคะ:   ผู้เป็นที่รักของปวงชน
อาจารย์:   พระอาจารย์แห่งกรุงตักสิลา
สถานะเดิม
ชาวเมือง:   ราชคฤห์
นามพระบิดา:   พระเจ้าอภัยราชกุมาร
นามพระมารดา:   นางสาลวดี
วรรณะเดิม:   กษัตริย์
ราชวงศ์:   หารยังกะ
การศึกษา:   วิชาแพทย์
อาชีพ:   แพทย์, หมอ

หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี นครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยนั้นตำแหน่งนี้มีเกียรติยศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ
เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้นำไปทิ้ง แต่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
ชื่อ ชีวก ตั้งขึ้นตามคำกราบทูลตอบคำถามของพระองค์ที่ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า มหาดเล็กกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่(ชีวโก)
ส่วนคำว่า โกมารภัจจ์ แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือ กุมารในราชสำนัก หมายถึง บุตรบุญธรรม นั่นเอง
เมื่อเติบโตขึ้นชีวกถูกพวกเด็ก ๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะ จึงหนีพระบิดาไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่น

วิชาที่เลือกเรียนคือวิชาแพทย์ แต่เนื่องจากไม่มีค่าเล่าเรียน จึงอาสารับใช้พระอาจารย์ เมื่อเรียนอยู่ถึง 7 ปี จึงลาอาจารย์กลับบ้าน ระหว่างทางอาจารย์ให้ไปหาต้นไม้ที่ทำยาไม่ได้
ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู ปรากฏว่ากลับมามือเปล่า เพราะต้นไม้ทุกต้นใช้ทำยาได้ อาจารย์บอกว่าเขาได้เรียนจบแล้ว จึงอนุญาตให้กลับได้
หลังจากกลับเมืองมาแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพ์พิสารให้หายขาดจากภคันทลาพาธ (โรคริดสีดวงทวาร)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง
แต่ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนนี้ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย และได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์อีกด้วย
ด้วยความที่เป็นคนบำเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือกฐานะ จึงได้รับการยกย่อจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ในด้าน เป็นที่รักของปวงชน
ในวงการแพทย์แผนโบราณในปัจจุบันนี้ ถือว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็น บรมครุแห่งการแพทย์แผนโบราณ เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1427
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 19 พ.ค. 2554, 07:21:37 »
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องสุขเวทนา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน สุขเวทนา เป็นกุศลหรืออกุศล หรืออัพยากฤต ? ”
     ( อัพยากฤต หมายถึง ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล คือเป็นนิพพาน)
     “ ขอถวายพระพร เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี อัพยากฤตก็มี”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นกุศลก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นกุศล คำกล่าวว่า “ สุขเป็นทั้งกุศล เป็นทั้งทุกข์ ” ก็ไม่ควร ”

     อุปมาก้อนเหล็กแดงและหิมะ

     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร… คือ ถ้ามีก้อนเหล็กแดงวางอยู่ที่มือข้างหนึ่งของบุรุษคนหนึ่ง และมีก้อนหิมะเย็นวางอยู่ที่มืออีกข้างหนึ่ง มือทั้งสองข้างจะถูกเผาเหมือนกันหรือ…มหาบพิตร? ”
     “ ถูกเผาเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะร้อนเหมือนกันหรือ? ”
     “ ไม่ร้อนเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะเย็นเหมือนกันหรือ? ”
     “ ไม่เย็นเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอมหาบพิตรจงทราบว่า มหาบพิตรถูกกล่าวข่มขี่แล้ว คือ ถ้าก้อนเหล็กแดง อันร้อนเป็นของเผา ก็จะต้องเผามือทั้งสองข้าง แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อน เพราะฉะนั้นถ้อยคำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้ ถ้าของที่เย็นเป็นของเผา มือทั้งสองข้างก็จะต้องถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างไม่เย็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้ ขอถวายพระพร เหตุไรจึงว่ามือทั้งสองข้างถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อนเหมือนกัน ไม่เย็นเหมือนกัน ข้างหนึ่งร้อน อีกข้างหนึ่งเย็น เพราะฉะนั้น คำที่มหาบพิตรตรัสว่า มือทั้งสองข้างถูกเผานั้นจึงใช้ไม่ได้”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจโต้ตอบกับพระผู้เป็นเจ้าได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขไปเถิด ”

     ลำดับนั้น พระเถระจึงทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเข้าพระทัยได้ด้วยคาถาอันประกอบด้วย อภิธรรม ว่า
     “ มหาราชะ โสมนัสเวทนา ( ความรู้สึกยินดี ) อันอาศัยการครองเรือน ( กามคุณ ๕ ) มีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖
     โทมนัสเวทนา ( ความรู้สึกยินร้าย ) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖
     อุเบกขาเวทนา ( ความรู้สึกวางเฉย ) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖
     เวทนาทั้ง ๓๖ อย่างนี้ แยกเป็นเวทนาที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน รวมเข้าด้วยกันเป็น เวทนา ๑๐๘ ขอถวายพระพร”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว ”

      สรุปความ   
      
พระเจ้ามิลินท์ไม่ทรงเห็นด้วยกับพระนาคเสนที่ว่า สุขเวทนาเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี แต่พระองค์ทรงเห็นว่า ถ้าสุขเวทนาเป็นกุศล ควรให้ผลแต่สุข ไม่ควรให้ทุกข์ด้วย

แต่พระนาคเสนยังคงยืนยันตามเดิม โดยยกตัวอย่างมาซักถาม เพื่อลวงให้พระราชาตอบผิด จะสังเกตได้ว่าการตอบคำถาม ท่านจะไม่ค้านหรือตำหนิโดยตรง เป็นแต่ใช้อุบายเพื่อรักษาน้ำใจเท่านั้น อันนี้เป็นหลักในการสนทนาธรรมของท่าน

ในฏีกามิลินท์ ท่านอธิบายว่า ความจริงนั้นมีอยู่ว่า ถึงสุขเวทนาที่เป็นกุศล ก็เป็นทุกข์ได้ เพราะเป็นทุกข์สังขาร และเป็นทุกข์แปรปรวน ถึงทุกข์อันได้แก่ โทมนัส คือความไม่ชอบใจ ที่อาศัยการถือบวชนั้น ก็เป็นกุศลได้ เพราะเป็นของไม่มีโทษ

แต่พระเถระคิดว่า เมื่อเราตั้งปัญหาว่าด้วย “ ก้อนเหล็กแดงกับก้อนหิมะ” ถามพระราชา พระราชาก็จะแก้ผิด เราจักชี้โทษว่าแก้ผิด เมื่อพระราชาไม่อาจแก้ได้ ก็จะขอให้เราแก้ เราจึงจะทำให้พระราชาเข้าใจตามความจริงได้

เมื่อพระเถระถามว่ามือทั้งสองข้างนั้น ถูกเผาเหมือนกันหรือ พระราชาก็จะต้องตอบผิดว่า ถูกเผาเหมือนกัน เพราะได้ทรงสดับมาว่าของเย็นของร้อนจัดเป็น “ เตโชธาตุ ”

ทั้งทรงเข้าพระทัยว่า ก้อนหิมะเย็นเป็นของกัดอย่างร้ายแรง เมื่อทรงเข้าพระทัยผิดอย่างนี้ ก็ตรัสตอบว่า มือทั้งสองข้างถูกเผาเหมือนกัน

เมื่อพระเถระซักถามต่อไปว่า ถ้ามือทั้งสองข้างถูกเผา ก็จะต้องร้อนเหมือนกัน หรือจะต้องเย็นเหมือนกันใช่ไหม พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า “ ไม่ใช่ ” ดังนี้แล้วพระนาคเสนจึงเอาประเด็นนี้เป็นความผิด เพื่อชี้โทษที่ทรงเห็นผิดในข้อนี้ เมื่อพระราชาอับจนต่อปัญหาที่ยกตัวอย่างมานี้จึงเปิดโอกาสให้ชี้แจงได้ เป็นการยอมรับฟังความเห็นของพระเถระว่า

“ บุรุษผู้หนึ่งจับก้อนเหล็กแดงด้วยมือข้างหนึ่ง และจับก้อนหิมะด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ซึ่งสิ่งของทั้งสองอย่างนี้ ถึงแม้จะมีสภาพตรงกันข้าม แต่ก็ให้ความรู้สึกทั้งร้อนและเย็นแก่ผู้จับเหมือนกัน ฉันใด สุขเวทนา อันมีใน เวทนา ๑๐๘ ก็ย่อมให้ความรู้สึกทั้งที่เป็น กุศล อกุศล และอัพยากฤต เช่นกัน ฉันนั้น ”


==จบ ตอนที่6==
ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php

1428
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 19 พ.ค. 2554, 07:19:09 »
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องปรินิพพาน

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะไม่เกิดอีก ผู้นั้นยังได้เสวยทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ได้เสวยก็มี ไม่ได้เสวยก็มี ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่าได้เสวยก็มีไม่ได้เสวยก็มีนั้น คือเสวยอะไร ไม่ได้เสวยอะไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร ได้เสวยเวทนาทางกาย ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่าได้เสวยเวทนาทางกาย แต่ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจนั้น คืออย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร คือเหตุปัจจัยอันใดที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางกายยังมีอยู่ ผู้นั้นก็ยังได้เสวยทุกขเวทนาทางกายอยู่ เหตุปัจจัยอันใดที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางใจดับไปแล้ว ผู้นั้นก็ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ    ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า”

     “ ผู้นั้นได้เสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ”

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาแล้วนั้น เหตุไรจึงยังไมปรินิพพาน ? ”
     “ ขอถวายพระพร ความยินดีหรือยินร้ายไม่มีแก่พระอรหันต์เลย พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมไม่ทำสิ่งที่ยังไม่แก่ไม่สุกให้ตกไป มีแต่รอการแก่การสุกอยู่เท่านั้น”

     ข้อนี้สมกับ พระสารีบุตรเถระ ผู้เป็นเสนาบดีในทางธรรมได้กล่าวไว้ว่า
     “ เราไม่ยินดีต่อมรณะ เราไม่ยินดีต่อชีวิต เรารอแต่เวลาอยู่ เหมือนกับลูกจ้างรอเวลารับค่าจ้างเท่านั้นเราไม่ยินดีต่อมรณะ ไม่ยินดีต่อชีวีต เราผู้มีสติสัมปชัญญะ รอแต่เวลาอยู่เท่านั้น ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

      สรุปความ   
      
ในข้อนี้มีความหมายว่า พระอรหันต์ยังต้องมีความทุกข์ทางกาย เช่น หนาวร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระปัสสาวะ การป่วยไข้ไม่สบาย ความแก่ และความตาย เป็นต้นแต่จิตใจของท่านไม่กระวนกระวายไม่เป็นทุกข์ไปด้วย ยอมรับนับถือกฏขอธรรมดาพระนาคเสนจึงตอบว่า “ ผู้ที่ไม่เกิดอีก จึงได้เสวยเวทนาแต่ทางกาย ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ” ดังนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php

1429
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 19 พ.ค. 2554, 07:16:44 »
ยังไม่จบตอนนะครับ.........มาอ่านต่อกันครับ
==============
อุปมาการเขียนเลข

     “ มหาราชะ เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้ใดรู้หนึ่ง อยากดูตัวเลขในกลางคืน จัดแจงให้จุดประทีปขึ้นเขียนเลข เมื่อประทีปดับแล้วเลขก็ยังไม่หายไป ข้อนี้มีอุปมา ฉันใด ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น มิได้ดับไป ฉันนั้น ”
     ” ขอพระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งขึ้น ”

     อุปมาโอ่งน้ำ

      “ ขอถวายพระพร เปรียบประดุจพวกมนุษย์ในชนบทตะวันออก จัดตั้งโอ่งน้ำไว้ ๕ โอ่งข้างประตู เพื่อดับไฟที่จะไหม้เรือน เมื่อไฟไหม้เรือนแล้ว โอ่งน้ำ ๕ โอ่งนั้นเขาก็นำไปเก็บไว้ในละแวกบ้าน ไฟก็ดับไป ชาวบ้านคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำสิ่งที่จำเป็นด้วยโอ่งน้ำเหล่านั้นอีก? ”
     “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นกับโอ่งน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว ด้วยว่าไฟก็ดับแล้วเขาจึงนำไปเก็บไว้อย่างนั้น ”
     “ มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นว่า เปรียบเหมือนกับโอ่งน้ำทั้ง ๕ พระโยคาวจรเปรียบเหมือนชาวบ้าน กิเลสเปรียบเหมือนไฟ กิเลสดับไปด้วยอินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนกับไฟดับไปด้วยน้ำทั้ง ๕ โอ่งนั้น กิเลสที่ดับไปแล้วย่อมไม่เกิดขึ้นอีก ฉันใด เมื่อปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งที่รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นมิได้ดับไป ฉันนั้น ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

     อุปมารากยา

      “ มหาราชะเปรียบปานประหนึ่งว่าแพทย์ผู้ถือเอารากยา ๕ รากไปหาคนไข้ บดรากยาทั้ง ๕ นั้น แล้วละลายน้ำให้คนไข้ดื่ม โรคนั้นก็หายไปด้วยรากยาทั้ง ๕ รากนั้น แพทย์นั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจที่ควรทำด้วยรากยาเหล่านั้นอีก ? ”
     “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ มหาราชะ รากยาทั้ง ๕ นั้น เหมือน อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น แพทย์นั้นเหมือนพระโยคาวจร ความเจ็บไข้เหมือนกิเลส บุรุษผู้เจ็บไข้เหมือนปุถุชน ไข้หายไปด้วยยาทั้ง ๕ รากนั้นแล้ว ผู้เจ็บไข้นั้น ก็หายโรค ฉันใด เมื่อกิเลสออกไปด้วยอินทรีย์ ๕ แล้วกิเลสก็ไม่เกิดอีก อย่างนี้แหละ มหาบพิตรชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งนั้นหามิได้ดับไป ฉันนั้น ”
     “ นิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก ”

     อุปมาผู้ถือลูกธนู

      “ มหาราชะ เหมือนกับบุรุษผู้จะเข้าสู่สงคราม ถือเอาลูกธนู ๕ ลูก แล้วเข้าสู่สงคราม เพื่อต่อสู้กับข้าศึก เขาเข้าสู่สงครามแล้วก็ยิงลูกธนูไป ข้าศึกก็แตกพ่ายไป บุรุษนั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจด้วยลูกธนูเหล่านั้นอีก ? ”
     “ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ เหมือนลูกธนูทั้ง ๕ พระโยคาวจรเหมือนกับผู้เข้าสู่สงคราม กิเลสเหมือนกับข้าศึก กิเลสแตกหักไปเหมือนกับข้าศึกพ่ายแพ้กิเลสดับไปแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นหามิได้ดับไป ขอถวายพระพร”
     “ แก้ดีแล้ว พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php

1430
ต้องการอะไร ให้ขอก่อนครับ
ส่วนจะได้หรือไม่ ก็แล้วท่านจะพิจารณาครับ

1432
อย่า :060:ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจที่รวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา"

พยายามละไว้ครับ โดยเฉพาะอาสวะ

1433
ไปพบเเพทย์เถอะครับ
เห็นด้วยครับ
ควรปรึกษาแพทย์ด้วยนะครับ

1434
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 19 พ.ค. 2554, 12:00:47 »
ขยายความ....วิชาไตรเพท

ไตรเพท

(N) Three Vedas of the Hindu religion
คำอธิบาย : ชื่อคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ในสมัยพระเวท มี 3 คัมภีร์ คือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท
ตัวอย่าง : ในเรื่องพระอภัยมณี นางวาลีได้ศึกษาความรู้จนจบไตรเพทและวิชาต่างๆ
source : Lexitron Dictionary

Lexitron-Thai : ไตรเพท 1 found, display 1-1
ไตรเพท(N) : Three Vedas of the Hindu religion ; Samp: ในเรื่องพระอภัยมณี นางวาลีได้ศึกษาความรู้จนจบไตรเพทและวิชาต่างๆ ; Def: ชื่อคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ในสมัยพระเวท มี 3 คัมภีร์ คือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท


ปารคู : น. ผู้ถึงฝั่ง คือผู้เรียนวิชาจบ ได้แก่ พราหมณ์ผู้เรียนจบ ไตรเพท หรือพระขีณาสพผู้อยู่จบพรหมจรรย์. (ป.).
เวท, เวท : [เวด, เวทะ] น. ความรู้, ความรู้ทางศาสนา; ถ้อยคําศักดิ์สิทธิ์ที่ผูก ขึ้นเป็นมนตร์หรือคาถาอาคมเมื่อนํามาเสกเป่าหรือบริกรรมตาม ลัทธิวิธีที่มีกําหนดไว้ สามารถให้ร้ายหรือดี หรือป้องกันอันตราย ต่าง ๆ ตามคติไสยศาสตร์ได้ เช่น ร่ายเวท, บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ มนตร์ เป็น เวทมนตร์; ชื่อคัมภีร์ภาษาสันสกฤตโบราณซึ่งเป็น พื้นฐานของศาสนาพราหมณ์ยุคแรก มี ๔ คัมภีร์ได้แก่ ๑. ฤคเวท ว่าด้วยบทสวดสรรเสริญเทพเจ้าทั้งหลาย ตอนท้ายกล่าวถึงการ สร้างโลกซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบความเชื่อของชาวอินเดีย ๒. ยชุรเวท ว่าด้วยรายละเอียดการประกอบยัญพิธีและลำดับมนตร์ ที่นำมาจากคัมภีร์ฤคเวทเพื่อสวดในขั้นตอนต่าง ๆ ของพิธี ๓. สามเวท ว่าด้วยบทขับที่คัดเลือกมาจากประมาณหนึ่งในหก ของฤคเวท และใช้เฉพาะในพิธีที่บูชาด้วยน้ำโสม ๔. อถรรพเวท หรือ อาถรรพเวท เป็นเวทมนตร์คาถาเพื่อให้เกิดผลดีแก่ฝ่ายตน หรือผลร้ายแก่ฝ่ายศัตรู ตลอดจนการบันดาลสิ่งที่เป็นมงคล หรืออัปมงคล การทำเสน่ห์ การรักษาโรค และอื่น ๆ สามคัมภีร์แรก เรียกว่า ไตรเวท หรือ ไตรเพท ต่อมารับอถรรพเวทหรืออาถรรพเวท เข้ามารวมเป็นสี่คัมภีร์เรียกว่า จตุรเวท หรือ จตุรเพท, เรียกยุคแรก ของศาสนาพราหมณ์จนถึงประมาณสมัยพุทธกาลว่า ยุคพระเวท มีวรรณกรรมหลักประกอบด้วยคัมภีร์พระเวท คัมภีร์พราหมณะ คัมภีร์อารัณยกะและคัมภีร์อุปนิษัทรุ่นแรก. (ป., ส.).

BudDict : ไตรเพท more than 5 found, display 1-5
ไตรเพท : พระเวท ๓ อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ ๑.ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า ๒.ยชุรเวท ประกอบด้วยบทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่างๆ ๓.สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ ต่อมาเพิ่มอถรรพเวท หรือ อาถรรพณเวท อันว่าด้วยคาถาอาคมทรงไสยศาสตร์เข้ามาอีกเป็น ๔
กุณฑธานะ : พระเถระผู้เป็นมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลิทธิพราหมณ์ ต่อมา เมื่อสูงอายุแล้ว ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมา ก็มีรูปหญิงคนหนึ่งติดตามตัวตลอดเวลาจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัต รูปนั้นจึงหายไป ท่านได้รับยกย่อง จากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในการถือเอาสลากเป็นปฐม
โคธาวรี : ชื่อแม่น้ำสายหนึ่ง ระหว่างเมืองอัสสกะ กับ เมืองอาฬกะ พราหมณ์พาวรี ตั้งอาศรมสอนไตรเพทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสายนี้ (มักเพี้ยนเป็นโคธาวารี)
ถึงที่สุดเพท : เรียนจบไตรเพท
ปิณโฑล ภารทวาชะ : พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลภารทวาชโคตร ในพระนครราชคฤห์ เรียนจบไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จพระอรหัต เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา มักเปล่งวาจาว่า “ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ผลก็ดี ขอผู้นั้นจงมาถามข้าพเจ้าเถิด” พระศาสดาทรงยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะในทางบันลือสีหนาท

ที่มา
http://www.online-english-thai-dictionary.com/

1435
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:54:29 »
ขยายความ

อ้างถึง
ศรัทธามีความผ่องใส

          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? ”
          “ มหาราชะ [shake]ศรัทธา เมื่อเกิดขึ้นก็ข่ม นิวรณ์ ไว้ ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ทำจิตให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า มีความผ่องใส[/shake] เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย พระผู้เป็นเจ้า ”

นิวรณ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นิวรณ์ (อ่านว่า นิ-วอน) แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป
นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ
กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่
พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปราถณาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่
ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ
วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้าๆกลัว ไม่เต็มร้อย ไม่มั่นใจ


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1436
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:49:36 »
ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา

     “ ข้าแต่พระนาคเสน ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา เกิดแก่ผู้นั้นหรือ ? ”
     “ เกิด…มหาราชะ คือ ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา ก็เกิดแก่ผู้นั้น”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดเป็นญาณสิ่งนั้นหรือเป็นปัญญา? ”
     “ ถูกแล้ว…มหาราชะ คือสิ่งใดเป็นญาณก็สิ่งนั้นแหละเป็นปัญญา”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ญาณได้เกิดแก่ผู้ใดปัญญานั้นได้เกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นหลงหรือไม่หลง ? ”
     “ มหาราชะ ผู้มีปัญญาหลงในบางสิ่งบางอย่าง ไม่หลงในบางสิ่งบางอย่าง”
     “ หลงในสิ่งไหน ไม่หลงในสิ่งไหน ? ”
     “ ขอถวายพระพร หลงในศิลปะที่ไม่ชำนาญก็มี ในทิศที่ไม่เคยไปก็มี ในชื่อหรือสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี ”
     “ อ๋อ…แล้วไม่หลงในอะไร พระผู้เป็นเจ้า ? ”
     “ ไม่หลงในสิ่งที่ตนรู้แล้วว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็โมหะ คือความหลงของผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”
     “ มหาราชะ พอ ญาณ เกิดแล้ว โมหะ คือความหลงก็ดับไปในญาณนั้นเอง”
     “ ขอนิมนต์อุปมาเถิด ”

     อุปมาผู้จุดประทีป

     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง จุดประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด ในขณะนั้นความมืดก็ดับไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้น ฉันใด เมื่อ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว โมหะ ก็ดับไปในที่นั้น ฉันนั้นแหละ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็ปัญญานั้นเล่า…ไปอยู่ที่ไหน? ”
     “ มหาราชะ ปัญญา ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปในที่นั้นเอง สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ”
     “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ดังนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php

1437

คาถาหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
 
คาถาหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี คาถาหลวงพ่อทวด ท่องในใจเสมอไม่ต้องมีพระเครื่องท่านก็ได้ ท่อง คาถาหลวงปู่ทวด เป็นประจำจะแคล้วคลาดอันตราย

ตั้งนะโม 3 จบ

นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ) แล้วระลึกถึงท่าน


1438
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:39:42 »
ปัญหาที่ ๒ ถามความรู้สึกของผู้ไม่เกิดอีก

     “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลใดไม่เกิดอีกบุคคลนั้นรู้หรือไม่ว่า เราจักไม่เกิดอีก ? ”
     “ มหาราชะ ผู้ใดจะไม่เกิดอีก ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิด”
     “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ผู้นั้นรู้ได้อย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจะไม่เกิด เพราะความดับไปแห่งเหตุปัจจัยอันนั้นแล้ว ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ มหาราชะ เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแล้ว หว่านข้าวแล้ว ได้ข้าวไว้เต็มยุ้งแล้ว ต่อมาภายหลังเขาก็ไม่ไถไม่หว่านอีก เขามีแต่บริโภคหรือขายซึ่งข้าวนั้น หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามเหตุปัจจัยที่มีมา ชาวนานั้นรู้หรือไม่ว่า ยุ้งข้าวของเราจักไม่เต็ม? ”
     “ รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ รู้อย่างไรล่ะ ? ”
     “ อ๋อ..รู้เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ยุ้งข้าวเต็ม ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิดอีก เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้ถือกำเนิดแล้ว ”
     “ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

      อธิบาย   
      
คำว่า “ หมดเหตุปัจจัย ” หมายความว่า เป็นผู้หมดกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่จะทำให้เกิดอีก

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php

1439
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:36:52 »
คืนนี้ นิวรณ์ยังไม่มา ขอต่อด้วย มิลินทปัญหา 6
ต่อจากตอนที่ 5 http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22918.msg186428#msg186428

- ตอนที่ ๖ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๒

  ปัญหาที่ ๑ ถามความสืบต่อแห่งธรรม


   สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ตรัสถามปัญหาต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดเกิดก็เป็นผู้นั้นหรือว่ากลายเป็นผู้อื่น? ”
     พระเถระถวายพระพรตอบว่า
     “ ไม่ใช่ผู้นั้น และไม่ใช่ผู้อื่น ”
     “ โยมยังสงสัยขอนิมนต์อุปมาก่อน ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเข้าพระทัยว่าอย่างไร…คือมหาบพิตรเข้าพระทัยว่า เมื่อมหาบพิตรยังเป็นเด็กอ่อน ยังนอนหงายอยู่ที่พระอู่นั้น บัดนี้ มหาบพิตรเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คือเด็กอ่อนนั้น…อย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า คือเด็กอ่อนนั้นเป็นผู้หนึ่งต่างหาก มาบัดนี้โยมซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก”
     “ มหาราชะ เมื่อเป็นอย่างนั้น มารดาก็จักนับว่าไม่มี บิดาก็จักนับว่าไม่มี อาจารย์ก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศีลก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศิลปะก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีปัญญาก็จักนับว่าไม่มีทั้งนี้เพราะอะไร…เพราะว่ามารดาของผู้ยังเป็น กลละ อยู่ เป็นผู้หนึ่งต่างหาก มารดาของผู้เป็น อัพพุทะ คือผู้กลายจากกลละ อันได้แก่กลายจากน้ำใส ๆ เล็กๆ มาเป็นน้ำคล้ายกับน้ำล้างเนื้อ ก็ผู้หนึ่งต่างหากเมื่อผู้นั้นกลายเป็นก้อนเนื้อ มารดาก็ผู้หนึ่งต่างหาก เมื่อผู้นั้นกลายเป็นแท่งเนื้อ มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่ง เมื่อผู้นั้นยังเล็กอยู่ มารดาก็เป็นผู้หนึ่งอีกต่างหาก เมื่อผู้นั้นโตขึ้น มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ…ผู้ศึกษาศิลปะ ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้สำเร็จการศึกษาแล้วก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้ทำบาปกรรมก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้มีมือด้วนเท้าด้วน ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า ในเมื่อโยมกล่าวอย่างนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้าจะกล่าวว่าอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อก่อนอาตมายังเป็นเด็กอ่อนอยู่ บัดนี้ ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะทั้งปวงนั้น รวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เพราะอาศัยกายอันนี้แหละ ”
     “ ขอได้โปรดอุปมาด้วย ”
     “ มหาราชะ เปรียบเสมือนว่า บุรุษคนหนึ่งจุดประทีปไว้ ประทีปนั้นจะสว่างอยู่ตลอดคือหรือไม่ ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ประทีปนั้นต้องสว่างอยู่ตลอดคืน”
     “ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็คือเปลวประทีปในยามกลางอย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เปลวประทีปในยามกลาง ก็คือเปลวประทีปในยามปลายอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามกลาง ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามปลาย ก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า คือเปลวประทีปนั้นได้สว่างอยู่ตลอดคืน ก็เพราะอาศัยประทีปดวงเดียวกันนั้นแหละ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ ธรรมสันตติ ความสืบต่อแห่งธรรม ย่อมสืบต่อกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ ย่อมติดต่อกันไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าผู้อื่นก็ไม่ใช่ ย่อมถึงซึ่งการจัดเข้าในวิญญาณดวงหลัง ขอถวายพระพร”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     “ มหาราชะ ในเวลาที่คนทั้งหลายรีดนม นมสดก็กลายเป็นนมส้ม เปลี่ยมจากนมส้มก็กลายเป็นนมข้ม เมื่อเปลี่ยนจากนมข้น ก็กลายเป็นเปรียง ผู้ใดกล่าวว่า นมสดนั้นแหละคือนมส้ม นมส้มนั้นแหละคือนมข้น นมข้นนั้นแหละคือเปรียง จะว่าผู้นั้นกล่าวถูกต้องดีหรืออย่างไร ? ”
     “ ไม่ถูก พระผู้เป็นเจ้า คือเปรียงนั้นก็อาศัยนมสดเดิมนั้นแหละ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ธรรมสันตติ คือความสืบต่อแห่งธรรม ก็ย่อมสืบต่อกันไป อย่างหนึ่งเกิด อย่างหนึ่งดับ สืบต่อกันไปไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่า ผู้อื่นก็ไม่ใช่ ว่าได้แต่เพียงว่า ถึงซึ่งการสงเคราะห์เข้าในวิญญาณดวงหลังเท่านั้น ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขนี้สมควรแล้ว ”


      สรุปความ   
      
ปัญหานี้พระเจ้ามิลินท์เข้าใจว่า คนที่เกิดมาแล้วจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ ท่านเข้าใจว่าเป็นคนละคนกัน
  พระนาคเสนจึงชี้แจงว่า ความจริงก็เป็นคนเดียวกัน แต่ที่ท่านตอบว่า จะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่นั้น ก็เพราะอาศัย สันตติ ความสืบต่อกัน เปรียบเหมือนเปลวไฟและนมสดที่เปลี่ยนไป
  เมื่อเปลี่ยนไปแล้ว จะว่าเป็นของเดิมก็ไม่ได้ จะว่าเป็นของอื่นก็ไม่ใช่ แต่ต้องอาศัยความสืบต่อกันไป เหมือนกับร่างกายที่เกิดมาก็อาศัยอวัยวะเดิมแลัวค่อยเปลี่ยนแปลง เติบโตขึ้นมาจนกว่าจะแก่เฒ่าไป ก็ชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกันนั่นเอง


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php


1440
ขอบคุณทุกอย่างครับ :015: พระคุ้มครองเหล่าท่านครับ :054:

1441
ในระหว่างวันนั้น ก็พยายามใช้........สัมมาสติ ในการนึกคิดไตร่

สัมมาสติ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัมมาสติ คือการมีสติระลึกอยู่เป็นนิจว่า เราจะกระทำอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ไม่เป็นคนเผลอ การไม่เผลอการรู้ตัวอยู่เป็นนิจเป็นทาง ให้หลีกได้จากการกระทำความชั่ว ตามความจำกัดความแบบพระสูตร คือหลักธรรมที่เรียกว่าสติปัฎฐาน แบ่งออกเป็น 4 คือ
ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบาย หรือ ไม่สบาย
ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉย ๆ
ระลึกได้ว่าจิตกำลังเศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว
ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในจิตใจ


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1442
คุณค่า

โยนิโสมนสิการนั้น ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒

นอกจากนี้ ยังมีคำพรรณนาคุณของโยนิโสมนสิการอีกมาก เช่น เป็นส่วนหนึ่งที่ให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง เป็นเครื่องขจัดความลังเลสงสัย เป็นองค์ประกอบของความเป็นพระอริยบุคคลชั้นแรกหรือ "โสตาปัตติยังคะ" อันแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาส่งเสริมโยนิโสมนสิการว่าจำเป็นสำหรับทุกคน


^ 1.0 1.1 1.2 ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๘ : ๕๘๗.
^ พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) : Yonisomanasikàra (S.V.2–30; A.I.11–31; It.9.)
^ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ๒๕๔๖ : ๖๖๙-๖๗๐.
^ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), ๒๕๔๘ : ...
^ reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection, พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546), หน้า 670-671

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1443
ศัพทมูลและนิยาม

คำ "โยนิโสมนสิการ" นั้นประกอบด้วยคำสองคำ คือ[3]
"โยนิโส" มาจาก "โยนิ" แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง
"มนสิการ" หมายถึง การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
ดังนั้น "โยนิโสมนสิการ" จึงหมายถึง การทำในใจให้แยบคาย หรือ การพิจารณาโดยแยบคาย กล่าวคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้านจนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสำหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าวหรือที่เรียก "ปรโตโฆสะ" อีกชั้นหนึ่ง กับทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดชอบหรือ "สัมมาทิฐิ" ทำให้มีเหตุผล และไม่งมงาย [4]
อนึ่ง คัมภีร์ในพระไตรปิฎก ชั้นอรรถกถาและฎีกาได้แสดงไวพจน์แจกแจงความหมายในแง่ต่าง ๆ ของโยนิโสมนสิการว่า
"อุบายมนสิการ" เป็น การคิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือ การคิดอย่างมีวิธีหรือถูกวิธี ซึ่งหมายถึง การเข้าถึงความจริง สอดคล้องกับแนวสัจจะ ซึ่งทำให้รู้สภาวลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย
"ปถมนสิการ" เป็น การคิดถูกทาง ต่อเนื่องเป็นลำดับ หมายถึง ความคิดที่เป็นระเบียบตามหลักเหตุผล ไม่ยุ่งเหยิงสับสน จิตไม่แว๊บติดพันในเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวกลับเตลิดไปคิดอีกเรื่องหนึ่ง จิตยุ่งเหยิงนี้กระโดดไปมา ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่รวมทั้งความสามารถในการชักความนึกคิดไปสู้แนวทางที่ถูกต้อง
"การณมนสิการ" เป็น การคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุ ให้เข้าใจถึงต้นเค้า หรือแหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องตามลำดับ
อุปปาทกมนสิการ การคิดการพิจารณาให้เกิดกุศลธรรม เช่น การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เป็นต้น
ไขความทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเพียงการแสดงลักษณะด้านต่างๆ ของความคิดแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งการเกิดในแต่ละครั้ง อาจมีลักษณะครบทั้ง 4 ข้อ หรือเกิดครบทั้งหมด หรือเขียนลักษณะทั้ง 4 ข้อนี้สั้นๆ ได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1444
โยนิโสมนสิการ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โยนิโสมนสิการ (ปัญจาบ: yonisomanasikāra; คำอ่าน: โยนิโสมะนะสิกาน) หมายถึง การทำในใจให้แยบคาย กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒[1]
การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดย อุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย [2]เช่น
คิดจากเหตุไปหาผล
คิดจากผลไปหาเหตุ
คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่
คิดเน้นเฉพาะจุดที่ทำให้เกิด
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ส่งเสรีมให้เจริญ
คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ทำให้เสื่อม
คิดเห็นสิ่งที่มา ตัดขาดให้ดับ
คิดแบบ แยกแยะองค์ประกอบ
คิดแบบ มองเป็นองค์รวม
คิดแบบ อะไรเป็นไปได้ หรึอเป็นไปไม่ได้

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1445
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:07:23 »
ปัญหาที่ ๑๕ ถามหน้าที่แห่งธรรมต่าง ๆ กัน

          “ ข้าแต่พระนาคเสน ธรรมเหล่านี้มีอยู่ต่าง ๆ กัน แต่ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันหรือ? ”
          “ อย่างนั้น มหาบพิตร ธรรมเหล่านี้มีอยู่ต่าง ๆ กัน แต่ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสเหมือนกัน ขอถวายพระพร ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”

    อุปมาเสนาต่าง ๆ

          “ มหาราชะ เสนามีหน้าที่ต่าง ๆ กันคือ เสนาช้าง เสนาม้า เสนารถ เสนาพลเดินเท้า เสนาเหล่านั้น ย่อมให้สำเร็จสงครามอย่างเดียวกัน ย่อมชนะเสนาฝ่ายอื่นในสงครามอย่างเดียวกัน ฉันใด ธรรมเหล่านี้ ถึงมีอยู่ต่าง ๆ กัน ก็ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสอย่างเดียวกัน ขอถวายพระพร”
          “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาสมควรแล้ว ”

จบวรรคที่ ๑

      สรุปความ   
      
คำว่า “ ธรรมเหล่านี้ ” หมายถึงธรรมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือ
          มนสิการ มีลักษณะ ถือไว้

กุศลธรรมอื่น ๆ ได้แก่ ศีล และ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีลักษณะดังนี้
          ศีล มีลักษณะ เป็นที่ตั้ง
          ศรัทธา มีลักษณะ ผ่องใส และ แล่นไป
          วิริยะ มีลักษณะ ค้ำจุนไว้
          สติ มีลักษณะ เตือน และ ถือไว้
          สมาธิ มีลักษณะเป็น หัวหน้า
          ปัญญา มัลักษณะ ตัด และ ทำให้สว่าง


จึงขอลำดับความสัมพันธ์ของธรรมเหล่านี้ว่า มีหน้าที่ต่างกันอย่างไรบ้าง

พระโยคาวจรหวังที่จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์นั้น จะต้องประกอบไปด้วยธรรมเหล่านี้ คือ
          ๑. มนสิการ คือคิดไว้เสมอว่า ชีวิตนี้จะต้องตายเป็นธรรมดา
          ๒. ศีล จะรักษาให้บริสุทธิ์ไว้เสมอ
          ๓. ศรัทธา มีความเลื่อมใสในคุณพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ หวังปฏับัติตนเพื่อความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพานต่อไป
          ๔. วิริยะ ทำความเพียรแต่พอดี
          ๕. สติ นึกเตือนตนเองไว้เสมอว่า เราจะต้องตาย จะมีศีลบริสุทธิ์ จะเคารพในพระรัตนตรัย และมีนิพพานเป็นอารมณ์
          ๖. สมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกหรือภาวนาตามอัธยาศัย
          ๗. ปัญญา พิจารณา สักกายทิฏฐิ ไม่ยึดถือว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แล้วตัด อวิชชา เราไม่มี ฉันทะ คือความพอใจ และ ราคะ คือความยินดีในมนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลก เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน


ธรรมเหล่านี้จึงมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน แต่มุ่งประโยชน์อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ตามที่ท่านได้อุปมาไว้ ฉันใด เสนาช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า เสนาเหล่านั้น ย่อมช่วยกันทำสงคราม เพื่อที่จะมีชัยชนะต่อข้าศึกศัตรู ก็มีอุปมา ฉันนั้น


รวมความว่า ปัญหาทั้งหมดที่ผ่านมานี้เป็นปัญหาที่พระเจ้ามิลินท์ถามพระนาคเสนถึง วิธีปฏิบัติที่จะไม่เกิดอีก ว่าจะต้องประกอบด้วยธรรมอะไรบ้าง หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจ ตามที่ได้สรุปความมาให้ทราบนี้

==จบตอนที่ 5==
ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1446
ถ้าตัวเย็นนะสิ แย่เลย  :004:
ขอบคุณครับ ชอบการมองต่างครับ :015:

1447
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:01:57 »
ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะปัญญา

          “ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา มีลักษณะอย่างไร ? ”
          “ มหาราชะ ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ ตามที่อาตมภาพได้ถวายวิสัชนาไว้แล้ว อีกประการหนึ่ง ปัญญา มีการ ทำให้สว่าง เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”
          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปัญญามีการทำให้สว่าง เป็นลักษณะอย่างไร? ”
          “ มหาราชะ ปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็กำจัดเครื่องทำให้มืด คือ อวิชชา ทำให้เกิดความสว่าง คือ วิชชา ทำให้เกิดความแจ่มแจ้ง คือ ญาณ ทำให้อริยสัจปรากฏ ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอถวายพระพร ”
          “ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดอุปมา ”

     อุปมาผู้ส่องประทีป

          “ มหาราชะ เปรียบปานบุรุษส่องประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด แสงประทีปย่อมกำจัดความมืด ทำให้เกิดแสงสว่าง ทำให้รูปทั้งหลายปรากฏ ฉันใด ปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็กำจัดความมืดคือ อวิชชา ทำให้เกิดแสงสว่างคือ วิชชา ทำให้เกิดความแจ่มแจ้งคือ ญาณ ทำให้อริยสัจทั้งหลายปรากฏ ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันนั้น อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า ปัญญา มีการ ทำให้สว่าง เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร”
          “ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

ฏีกามิลินท์
อธิบายคำว่า “ ปัญญาอันชอบ ” ได้แก่ปัญญาอันเกิดจากวิปัสสนาญาณ


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1448
กาลามสูตร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ระวังสับสนกับ กามคุณ หรือ กามสูตร

กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1449
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 10:38:35 »
ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะสมาธิ

          “ ข้าแต่พระนาคเสน สมาธิ มีลักษณะอย่างไร ? ”
          “ มหาราชะ สมาธิมีการเป็น หัวหน้า เป็นลักษณะ กุศลธรรมทั้งหลาย มีสมาธิเป็นหัวหน้าน้อมไปในสมาธิ โน้มไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธิ ขอถวายพระพร ”
          “ ขอนิมนต์อุปมา พระผู้เป็นเจ้า ”

     อุปมากลอนแห่งเรือนยอด

          “ ขอถวายพระพร เช่นเดียวกับกลอนแห่งเรือนยอดทั้งหลาย ย่อมไปรวมอยู่ที่ยอด น้อมไปที่ยอด โน้มไปที่ยอด เงื้อมไปที่ยอด ฉันใด กุศลธรรมทั้งหลาย ก็มีสมาธิเป็นหัวหน้า น้อมไปในสมาธิ โน้มไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธิ ฉันนั้น ”
          “ นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

    อุปมาพระราชา

          “ มหาราชะ เวลาพระราชาเสด็จออกสงคราม พร้อมด้วยจตุรงคเสนานั้น เสนาทั้งหลาย เสนาบดีทั้งหลาย ช้าง ม้า รถ พลเดินเท้าทั้งหลาย ก็มีพระราชาเป็นหัวหน้า น้อมไปในพระราชา โน้มไปในพระราชา เงื้อมไปในพระราชา ห้อมล้อมพระราชา ฉันใด กุศลธรรมทั้งหลาย ก็มีสมาธิเป็นหัวหน้า น้อมไปในสมาธิ โน้มไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธ ิฉันนั้น อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สมาธิ มีความเป็น หัวหน้า เป็นลักษณะ
          ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระมหามุนีตรัสไว้ว่า
          “ สมาธิ ภิกขเว ภาเวถะ สมาธิโก ภิกขุ ยถาภูตัง ปชานาติ… ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงอบรมสมาธิ ภิกษุผู้ได้สมาธิย่อมรู้ตามความเป็นจริง ” ดังนี้ ขอถวายพระพร”
          “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”



ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1450
ขอขอบคุณ คุณตั้นคนเมืองโอ่ง ที่นำเรื่องราวมาเล่าให้อ่านกันครับ

1451
ลืมไปครับ ก่อนนอนหลับตานึกถึง


1452
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 10:18:30 »
สติมีการถือไว้

          พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
          “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่า สติมีการถือไว้ เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? ”
          “ มหาราชะ สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวนให้ถือเอาซึ่งคติแห่งธรรมทั้งหลายว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็ละธรรมอันไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาธรรมที่มีประโยชน์ ละธรรมที่ไม่มีอุปการะเสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีอุปการะ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการถือเอาไว้ เป็นลักษณะ ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาให้ทราบด้วย ”

     อุปมานายประตูของพระราชา

          “มหาราชะ นายประตูของพระราชาย่อมต้องรู้จักผู้ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์แก่พระราชา ผู้ที่มีอุปการะ หรือไม่มีอุปการะแก่พระราชา เป็นต้น ลำดับนั้น นายประตูก็กำจัดพวกที่ไม่มีประโยชน์เสีย รับให้เข้าไปเฉพาะพวกที่มีประโยชน์ กำจัดพวกที่ไม่มีอุปการะเสีย ให้เข้าไปแต่พวกที่มีอุปการะ ฉันใด สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวนให้ถือเอาคติแห่งธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็กำจัดธรรมอันไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีประโยชน์ ละธรรมอันไม่มีอุปการะเสีย ถือเอาแต่ธรรมอันมีอุปการะ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการถือไว้ เป็นลักษณะ
          ข้อนี้สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
          “สติ จะ โข อะหัง ภิกขเว สัพพัตถิกัง วทามิ… ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติประกอบด้วยประโยชน์ทั้งปวง” ดังนี้ ขอถวายพระพร

ฏีกามิลินท์
อธิบายคำว่า ซึ่งคติแห่งธรรมทั้งหลาย ได้แก่ถึงซึ่งความสำเร็จผลที่ต้องการ และไม่ต้องการแห่งธรรมทั้งหลาย อันเป็นกุศลและอกุศล ส่วนคำว่า “ ดำขาว ” มีความหมายว่า ดำนั้นได้แก่สิ่งที่ไม่ดี ส่วนขาวนั้นได้แก่สิ่งที่ดี

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1453
ธรรมะ / ตอบ: การทำบุญให้สัมภเวสี
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 10:14:36 »
ขอบพระคุณครับ :054:

ติดตามอ่าน ได้ศึกษาธรรมะสาระความรู้ เสมอมาครับ

1455
วันวิสาขบูชา ตื่นนอนก่อนตี4
ศึกษาธรรมะ เรื่องมิลินทปัญหา(4) และโพสต์เผยแพร่ในเวปบางพระ

เดินทางไกลร้อยกว่ากิโลเมตรไปเพื่อ.......
7 โมงเช้าไปจองคิวลงทะเบียนรับบัตรคิวรักษาผู้ป่วยให้ผู้ใหญ่ คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง
รอคิว รอรับผู้ป่วยช่วงสาย
ระหว่างที่รอ อ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ ท่องคาถา ภาวนาทำสมาธิ

ก่อนนอนอ่านหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๒๔
และฟังธรรมะจาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระราชพรหมยาน :054:

1456
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 09:48:14 »
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะสติ

          “ ข้าแต่พระนาคเสน สติ มีลักษณะอย่างไร ? ”
          “ มหาราชะ สติ มีลักษณะ ๒ ประการ คือ ๑. มีการเตือน เป็นลักษณะ ๒. มีการถือไว้ เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”

     สติมีการเตือน

          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะนั้น คืออย่างไร ? ”
          “ ขอถวายพระพร สติเมื่อเกิดขึ้น ก็เตือนให้รู้จักสิ่งที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เลวดี ดำขาว ว่าเหล่านี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ เหล่านี้เป็นอิทธิบาท ๔ เหล่านี้เป็นอินทรีย์ ๕ เหล่านี้เป็นพละ ๕ เหล่านี้เป็นโพชฌงค์ ๗ เหล่านี้เป็นอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันนี้เป็นสมถะ อันนี้เป็นวิปัสสนา อันนี้เป็นวิชชา อันนี้เป็นวิมุตติ เหล่านี้เป็นเจตสิกธรรม ดังนี้
          ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้องธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องธรรมที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง คบหาธรรมที่ควรคบหา ไม่คบหาธรรมที่ไม่ควรคบหา อย่างนี้แหละมหาบพิตร เรียกว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะ”
          “ ขอได้โปรดอุปมาด้วย ”

     อุปมานายคลังของพระราชา

          “ มหาราชะ นายคลังของพระราชา ย่อมทูลเตือนพระเจ้าจักรพรรดิ ให้ทรงระลึกถึงราชสมบัติในเวลาเช้าเย็นว่า
          “ ข้าแต่สมมุติเทพ ช้างของพระองค์มีเท่านี้ ม้ามีเท่านี้ รถมีเท่านี้ พลเดินเท้ามีเท่านี้ เงินมีเท่านี้ ทองมีเท่านี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เจ้าของมีเท่านี้ ขอพระองค์จงทรงระลึกเถิด พระเจ้าข้า ”
          ข้อนี้มีอุปมาฉันใด สติเมื่อเกิดขึ้น ก็เตือนให้ระลึกถึงธรรมที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษไม่มีโทษ เลวดี ดำขาว ว่าเหล่านี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้องกับธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องกับธรรมที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง คบกับธรรมที่ควรคบ ไม่คบกับธรรมที่ไม่ควรคบ อย่างนี้แหละมหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะ ”
          “ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1457
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 09:38:07 »
ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะวิริยะ

          “ ข้าแต่พระนาคเสน วิริยะ คือความเพียร มีลักษณะอย่างไร? ”
          “ มหาราชะ ความเพียร มีการ ค้ำจุนไว้ เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรค้ำจุนไว้แล้วย่อมไม่เสื่อม”
          “ ขอนิมนต์อุปมาก่อน ”อุปมาเรือนที่จะล้ม
          “ ขอถวายพระพร เมื่อเรือนจะล้มบุคคลค้ำไว้ด้วยไม้อื่น เรือนที่ถูกค้ำไว้นั้น ก็ไม่ล้ม ฉันใด ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้นก็ไม่เสื่อม ฉันนั้น ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

     อุปมาพวกเสนา

          “ มหาราชะ พวกเสนาจำนวนน้อย ต้องพ่ายแพ้แก่เสนาหมู่มาก หากพระราชาทรงกำชับไปให้ดี ทั้งเพิ่มกองหนุนส่งไปให้เสนาจำนวนน้อยกับกองหนุนนั้น ต้องชนะเสนาหมู่มากได้ ฉันใด ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะกุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรอุดหนุนแล้ว ก็ไม่เสื่อม ฉันนั้น ”
          ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทรงธรรม์ตรัสไว้ว่า
          “ อริยสาวกผู้มีความเพียรเป็นกำลัง ย่อมละอกุศล เจริญกุศลได้ ละสิ่งที่มีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษได้ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม” ดังนี้ ขอถวายพระพร
          “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

      อธิบาย   
      
การทำความเพียรนั้น คือไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ถ้าหย่อนเกินไป ก็จะเอียงไปทางเกียจคร้าน ถ้าตึงเกินไปก็จะฟุ้งซ่านจึงควรทำความเพียรแต่พอดี

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1458
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 09:31:08 »
ศรัทธามีการแล่นไป

          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะนั้น คืออย่างไร ? ”
          “ ขอถวายพระพร พระโยคาวจรเลื่อมใสในปฏิปทาของพระอริยเจ้าแล้ว จิตของพระโยคาวจรเหล่านั้น ก็แล่นไปในโสดาปัตติผลสกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล เป็นลำดับไปแล้วพระโยคาวจรนั้นก็กระทำความเพียรเพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อให้บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง อย่างนี้แหละมหาบพิตร เรียกว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะ ”
          “ นิมนต์อุปมาให้แจ้งด้วย ”

     อุปมาบุรุษผู้ข้ามแม่น้ำ

           “ มหาราชะ เมฆใหญ่ตกลงบนภูเขาแล้วก็มีน้ำไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ทำซอกเขาระแหงห้วยให้เต็มแล้ว ก็ล้นไหลไปสู่แม่น้ำเซาะฝั่งทั้งสองไป เมื่อฝูงคนมาถึงไม่รู้ที่ตื้นที่ลึกแห่งแม่น้ำนั้นก็กลัว จึงยืนอยู่ริมฝั้งอันกว้าง ลำดับนั้น ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาถึง เขาเป็นผู้มีกำลังเรี่ยวแรงมาก ได้เหน็บชายผ้านุ่งให้แน่น แล้วกระโดดลงไปในน้ำว่ายข้ามน้ำไป มหาชนได้เห็นบุรุษนั้นข้ามน้ำไปได้ ก็พากันว่ายข้ามตาม ฉันใด ”
          พระโยคาวจรได้เห็นปฏิปทาของพระอริยะเหล่าอื่นแล้ว ก็มีจิตแล่นไปในโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล แล้วก็กระทำความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ไม่ยังถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ฉันนั้น อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะ
          ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า
          “ บุคคลย่อมข้ามห้วงน้ำได้ด้วยศรัทธา ย่อมข้ามมหาสมุทรได้ด้วยความไม่ประมาท ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา” ดังนี้ ขอถวายพระพร
          “ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

      อธิบาย   
      
บุคคลมีศรัทธาต่อสิ่งใด เมื่อระลึกถึงสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้น จิตใจย่อมผ่องใส และจิตใจของเขาย่อมแล่นไปยังสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้นเสมอ ๆ

ผู้ศรัทธาในพระนิพพาน หรือผู้ถึงนิพพานแล้ว จิตย่อมแล่นไปในนิพพานเนืองๆ มีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่เสมอ ย่อมทำความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานนั้น


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1459
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 09:27:53 »
ต่อจากตอนที่ 4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22889

- ตอนที่ ๕ -

 ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะศรัทธา


          “ ข้าแต่พระนาคเสน ศรัทธา เป็นลักษณะอย่างไร ? ”
          “ มหาราชะ ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ และ มีการแล่นไป เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”

     ศรัทธามีความผ่องใส

          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? ”
          “ มหาราชะ ศรัทธา เมื่อเกิดขึ้นก็ข่ม นิวรณ์ ไว้ ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ทำจิตให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า มีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย พระผู้เป็นเจ้า ”

    อุปมาพระเจ้าจักรพรรดิ

          “ มหาราชะ พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จพระราชดำเนินทางไกล พร้อมด้วยจตุรงคเสนาต้องข้ามแม่น้ำน้อยไป น้ำในแม่น้ำน้อยนั้น ย่อมขุ่นไปด้วยช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จข้ามไปแล้ว ได้ตรัสสั่งพวกอำมาตย์ว่า
          “ จงนำน้ำดื่มมาเราจะดื่มน้ำ ”
          แก้วมณีสำหรับทำน้ำให้ใส ของพระเจ้าจักรพรรดินั้นมีอยู่ พวกอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็นำแก้วมณีนั้นไปกดลงในน้ำ พอวางแก้วมณีนั้นลงไปในน้ำ สาหร่าย จอก แหนทั้งหลายก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว พวกอำมาตย์ก็ตักน้ำนั้นไปถวายพระเจ้าจักรพรรดิ กราบทูลว่า
          “ เชิญเสวยเถิด พระเจ้าข้า ”
          น้ำที่ไม่ขุ่นมัวฉันใด ก็ควรเห็นจิต ฉันนั้น พวกอำมาตย์ ฉันใด ก็ควรเห็นพระโยคาวจร ฉันนั้น สาหร่าย จอก แหน โคลนตมนั้น ฉันใด ก็ควรเห็นกิเลส ฉันนั้น แก้วมณีอันทำน้ำให้ใส ฉันใด ก็ควรเห็นศรัทธา ฉันนั้น
          ฉะนั้น พอวางแก้วมณีอันทำน้ำให้ใสลงไปในน้ำ สาหร่ายจอกแหนก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว ฉันใด เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นก็ข่มนิวรณ์ไว้ ทำให้จิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวจาก ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ การไม่ชอบใจ ฟุ้งซ่าน ง่วงและสงสัย ฉันนั้น อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

1460
ขอบคุณท่านsaken6009
ที่มาเล่าเรื่องประสบการณ์จริงได้อ่านกัน
ได้ทั้งความบันเทิงและความรู้ประกอบกัน

1461
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:46:16 »
ปัญหาที่ ๙ ถามลักษณะศีล

          พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ในข้อก่อน (ปัญหาที่ ๗) ว่า บุคคลไม่เกิดอีกด้วยได้กระทำ กุศลธรรมเหล่าอื่น ไว้ โยมยังไม่เข้าใจ จึงขอถามว่า ธรรมเหล่าไหน…เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น ? "
          พระเถระตอบว่า
          " มหาราชะ ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เหล่านี้แหละ เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ศีล มีลักษณะอย่างไร ? "
          " มหาราชะ ศีล มีการ เป็นที่ตั้ง เป็นลักษณะ คือ ศีล เป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งปวง อันได้แก่ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ กุศลธรรมทั้งปวงของผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วไม่เสื่อม "
          " ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดอุปมา "

     อุปมา ๕ อย่าง

          " มหาราชะ อันต้นไม้ใบหญ้าทั้งสิ้น ได้อาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดินแล้ว จึงเจริญงอกงามขึ้นฉันใด พระโยคาวจรได้อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิด อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ขึ้นได้ ฉันนั้น "
          " โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "
          " มหาราชะ การงานทั้งสิ้นที่ทำบนบกต้องอาศัยแผ่นดินตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงทำได้ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ ฉันนั้น "
          " โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "
          " มหาราชะ บุรุษที่เป็นนักกระโดดโลดเต้น ประสงค์จะแสดงศิลปะ ก็ให้คนถากพื้นดิน ให้ปราศจากก้อนหินก้อนกรวด ทำให้สม่ำเสมอดีแล้ว จึงแสดงศิลปะบนพื้นดินนั้นได้ ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ ฉันนั้น "
          " นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้ "
          " มหาราชนะ นายช่างประสงค์จะสร้างเมืองให้ปราบพื้นที่จนหมดเสี้ยนหนามหลักตอ ทำพื้นที่ให้สม่ำเสมอดีแล้ว จึงกะถนนต่าง ๆ มีถนน ๔ แพร่ง ๓ แพร่ง เป็นต้น ไว้ภายในกำแพง แล้วจึงสร้างเมืองลง ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ ฉันนั้น "
          " ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้อีก "
          " มหาราชะ พลรบผู้เข้าสู่สงคราม ตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่อันเสมอดี กระทำพื้นที่ให้เสมอดีแล้ว จึงกระทำสงคราม ก็จักได้ชัยชนะใหญ่ในไม่ช้าฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ให้เกิดได้ ฉันนั้น ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสไว้ว่า " ภิกษุผู้มีความเพียรรู้จักรักษาตัว มีปัญญาตั้งอยู่ในศีลแล้ว ทำจิตและปัญญาให้เกิดขึ้น ย่อมสะสางซึ่งความรุงรังอันนี้ได้ ศีลนี้เป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งหลายเหมือนกับพื้นธรณี อันเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลาย ศีลนี้เป็นรากเหง้าในการทำกุศลให้เจริญขึ้น ศีลนี้เป็นหัวหน้าในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทั้งปวง " กองศีลอันดี ได้แก่ พระปาฏิโมกข์ ขอถวายพระพร "
          " ชอบแล้ว พระนาคเสน "

==จบตอนที่4==


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1462
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:40:48 »
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องมนสิการ (การกำหนดจิต)

           พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดไม่เกิดอีกผู้นั้นย่อมไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ (คือการกำหนดจิตด้วยอุบายที่ชอบธรรม) ไม่ใช่หรือ ? "
          พระเถระตอบว่า
          " ขอถวายพระพร บุคคลไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ คือด้วย ปัญญา และด้วย กุศลธรรมอื่น ๆ "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยนิโสมนสิการ กับ ปัญญา เป็นอันเดียวกันหรืออย่างไร ? "
          " ไม่ใช่อย่างเดียวกัน คือ โยนิโสมนสิการ ก็อย่างหนึ่ง ปัญญา ก็อย่างหนึ่ง แพะ แกะ สัตว์เลี้ยง กระบือ อุฐ โค ลา เหล่าใดมีมนสิการ แต่ปัญญาย่อมไม่มีแก่สัตว์เหล่านั้นขอถวายพระพร "
          " ชอบแล้ว พระนาคเสน "

 ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะมนสิการ

          พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ปัญญา มีลักษณะอย่างไร ? "
          พระนาคเสนตอบว่า
          " มหาราชะ มนสิการ มีความ อุตสาหะ เป็นลักษณะ และมีการ ถือไว้ เป็นลักษณะ ส่วน ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มนสิการ มีการถือไว้เป็นลักษณะอย่างไร ปัญญา มีการตัดเป็นลักษณะอย่างไร ขอจงอุปมาให้แจ้งด้วย ? "

     อุปมาคนเกี่ยวข้าว

          " มหาบพิตรทรงรู้จักวิธีเกี่ยวข้าวบ้างไหม ? "
          " อ๋อ…รู้จัก พระผู้เป็นเจ้า "
          " วิธีเกี่ยวข้าวนั้นคืออย่างไร ? "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คือคนจับกอข้าวด้วยมือข้างซ้าย แล้วเอาเคียวตัดให้ขาดด้วยมือข้างขวา "
          " มหาราชะ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คือ พระโยคาวจรถือไว้ซึ่ง มนสิการ คือกิเลสอันมีในใจของตนแล้ว ก็ตัดด้วย ปัญญา ฉันนั้น มนสิการ มีลักษณะถือไว้ ปัญญา มีลักษณะตัด อย่างนั้นแหละขอถวายพระพร "
          " ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "


      อธิบาย   
      
คำว่า มนสิการ มีลักษณะ ถือไว้ หมายถึงการกำหนดจิตพิจารณา ขันธ์ ๕ คือร่างกายว่ามีสภาพเป็นอย่างไร

ส่วน ปัญญา มีลักษณะ ตัด หมายถึงยอมรับนับถือกฏธรรมดาว่า ร่างกายมีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดถือว่า " มันเป็นเราเป็นของเรา " ดังนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1463
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:38:48 »
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องบรรพชา

     ครั้งนั้น พระนาคเสนเถระก็ได้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้ามิลินท์ ขึ้นสู่ปราสาทแล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาจัดไว้ พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เสร็จแล้วจึงถวายผ้าไตรจีวร
     ครั้งพระนาคเสนครองไตรจีวรแล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
          " ขอให้พระผู้เป็นเจ้านาคเสน จงนั่งอยู่ที่นี้กับพระภิกษุ ๑๐ รูป พระภิกษุผู้เฒ่าผู้แก่นอกนั้น ขอนิมนต์กลับไปก่อน "
     เมื่อพระนาคเสนฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน เราจะสนทนากันด้วยสิ่งใดดี ? "
          " ขอถวายพระพร เราต้องการด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขอจงสนทนาด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์เถิด "
          " ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์สูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า ? "
          " ขอถวายพระพร บรรพชานี้เพื่อจะให้พ้นจากความทุกข์ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก การเข้าสู่พระนิพพานเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดของอาตมา "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลทั้งหลายบรรพชา เพื่อทำให้แจ้งชึ่งพระนิพพานทั้งนั้น ? " เหตุของผู้บวช
          " ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร คนทั้งหลายไม่ใช่บวชเพื่อพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น คือ บางพวกก็บวชหนีราชภัย (พระราชาเบียดเบียนใช้สอย) บางพวกก็บวชหนีโจรภัย บางพวกก็บวชเพื่อคล้อยตามพระราชา บางพวกก็บวชเพื่อหนีหนี้สิน บางพวกก็บวชเพื่อยศศักดิ์ บางพวกก็บวชเพื่อเลี้ยงชีวีต บางพวกก็บวชด้วยความกลัวภัย บุคคลเหล่าใดบวชโดยชอบ บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า บวชเพื่อพระนิพพาน ขอถวายพระพร " พระเจ้ามิลินท์ทรงซักถามต่อไปว่า " ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า บวชเพื่อพระนิพพานหรือ ? " พระเถระตอบว่า " อาตมภาพบวชแต่ยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ ก็แต่ว่าอาตมาคิดว่า พระสมณะที่เป็นศากบุตรพุทธชิโนรสเหล่านี้เป็นบัณฑิต จักต้องให้อาตมภาพศึกษา อาตมภาพได้รับการศึกษาแล้ว จึงรู้เห็นว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ "
           " พระผู้เป็นเจ้า แก้ถูกต้องดีแล้ว "

 ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องปฏิสนธิ (เกิด)

           พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ตายไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกมีหรือไม่ ? "
          พระนาคเสนตอบว่า
          " คนบางจำพวกก็กลับมาเกิดอีก บางจำพวกก็ไม่กลับมาเกิดอีก "
          " ใครกลับมาเกิดอีก ใครไม่กลับมาเกิดอีก ? "
          " ผู้มีกิเลส ยังกลับมาเกิดอีก ส่วนผู้ไม่มีกิเลศ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "
          " ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า จะกลับมาเกิดอีกหรือไม่ ? "
          " ถ้าอาตมภาพยังมีอุปาทาน คือการยึดถืออยู่ ก็จักกลับมาเกิด ถ้าอาตมภาพไม่มีการยึดถือแล้ว ก็จักไม่กลับมาเกิดอีก "
          " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "



ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1464
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:37:09 »
ปัญหาที่ ๔ ปัญหาของอันตกายอำมาตย์

     เช้าวันหนึ่ง พระนาคเสนก็นุ่งสบงทรงจีวรมือสะพายบาตร แล้วเข้าไปสู่สาครนครกับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ เวลาเดินมาตามทางนั้น อันตกายอำมาตย์ถามขึ้นว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน ท่านได้บอกไว้ว่าเราชื่อ " นาคเสน " ดังนี้ แต่กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดเป็นนาคเสน ข้อนี้ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ? "
          พระเถระจึงถามว่า
          " เธอเข้าใจว่า มีอะไรเป็นนาคเสน อยู่ในคำว่า " นาคเสน " อย่างนั้นหรือ ? "
          " ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ลมหายใจอันเข้าไปและออกมา นี้แหละ..เป็นนาคเสน "
          " ถ้าลมนั้นออกไปแล้วไม่กลับเข้ามา ผู้นั้นจะเป็นอยู่ได้หรือ ? "
          " เป็นอยู่ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า " อุปมาพวกเป่าสังข์
          " ถ้าอย่างนั้นเราขอถามว่า ธรรมดาพวกเป่าสังข์ ย่อมพากันเป่าสังข์ ลมของพวกเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "
          " ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "
          " ก็ถ้าอย่างนั้น เพราะเหตุไรพวกนั้นจึงไม่ตาย พวกช่างทองก็พากันเป่ากล้องประสานทอง ลมของเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "
          " ไม่กลับเข้าไปอีก พระผู้เป็นเจ้า "
          " พวกเป่าปี่ก็พากันเป่าปี่ ลมของพวกเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "
          " ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "
          " ถ้าอย่างนั้น เหตุไรพวกนั้นจึงไม่ตาย ? "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจสนทนากับท่านได้แล้ว ขอท่านจงไขข้อความนั้ให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วยเถิด "
          พระเถระจึงแก้ไขว่า
          " อันลมหายใจออกหายใจเข้านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีชีวิต (คือคนและสัตว์) แต่เป็น กายสังขาร (คือเป็นเครื่อช่วยให้ชีวิตทรงอยู่) ต่างหาก "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ในอะไร ? "
          " กายสังขารตั้งอยู่ใน " ขันธ์ " (คือร่างกาย) "

     ครั้งได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา อันตกายอำมาตย์จึงได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ขอนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ดังนี้

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1465
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:36:11 »
ปัญหาที่ ๓ ถามลองปัญญา

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอีกว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์ อย่างไร อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการบรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า ? "
          พระเถระตอบว่า " บรรพชาของอาตมภาพนั้น เป็นประโยชน์เพื่อการดับทุกข์ให้สิ้นไป แล้วมิให้ทุกข์อื่นบังเกิดขึ้นได้ อีกประการหนึ่ง บรรพชาย่อมให้สำเร็จประโยชน์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย "

สนทนาอย่างบัณฑิตหรืออย่างโจร

     พระเจ้ากรุงสาคลนครได้ทรงฟังพระนาคเสนเฉลยปัญหาได้กระจ่างแจ้ง ก็มิได้มีทางที่จะซักไซร้ จึงหันเหถามปัญหาอื่นอีกว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าจะสนทนากับโยมต่อไปได้หรือไม่ "
          พระนาคเสนตอบว่า
          " ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต อาตมภาพก็จะสนทนากับมหาบพิตรได้ ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา อาตมาก็จะสนทนาด้วยไม่ได้ "
          " บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "
          " อ๋อ…ธรรมดาว่าบัณฑิตที่สนทนากันย่อมเจรจาข่มขี่กันได้ แก้ตัวได้ รับได้ ปฏิเสธได้ ผูกได้ แก้ได้ บัณฑิตทั้งหลายไม่โกรธ บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละมหาบพิตร "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "
          " ขอถวายพระพร พระราชาทั้งหลายทรงรับสั่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว ผู้ใดไม่ทำตาม ก็ทรงรับสั่งให้ลงโทษผู้นั้นทันที พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต จักไม่สนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา ขอพระเป็นเจ้า จงเบาใจเถิด พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับภิกษณี หรือสามเณร อุบาสก คนรักษาอารามฉันใด ของจงสนทนากับโยมฉันนั้น อย่ากลัวเลย "
          " ดีแล้ว มหาบพิตร "
          พระเถระแสดงความยินดีอย่างนี้แล้วพระราชาจึงตรัสต่อไปว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามพระผู้เป็นเจ้า "
          " เชิญถามเถิด มหาบพิตร "
          " โยมถามแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
          " อาตมภาพแก้แล้ว มหาบพิตร "
          " พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
          " ก็มหบพิตรตรัสถามว่าอย่างไร ? "

     ( พระเจ้ามิลินท์ไต่ถามปัญหาเช่นนี้ หวังจะลองปัญญาพระนาคเสนว่า จะเขลาหรือฉลาด ยั่งยืนอยู่ไม่ครั่นคร้ามหรือประการใดเท่านั้น )

     ในวันแรกนี้ พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามปัญหา ๓ ข้อ คือ ถามชื่อ ๑ ถามพรรษา ๑ ถามเพื่อทดลองสติปัญญาของพระเถระ ๑

นิมนต์พระนาคเสนไปในวัง

     ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงดำริว่าพระภิกษุองค์นี้เป็นบัณฑิต สามารถสนทนากับเราได้ สิ่งที่เราควรถามมีอยู่มาก สิ่งที่เรายังไม่ได้ถามก็มีอยู่เป็นอันมาก แต่เวลานี้ดวงสุริยะกำลังจะสิ้นแสงแล้ว พรุ่งนี้เถิดเราจึงจะสนทนากันในวัง

     ครั้งทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งเทวมันติยอำมาตย์ว่า
          " นี่แน่ะ เทวมันติยะ จะอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนากันในวัง "

     ตรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง แล้วทรงพึมพำไปว่า " นาคเสน… นาคเสน…" ดังนี้

     ฝ่ายเทวมันติยอำมาตย์ก็อาราธนาพระนาคเสนว่า
          " ข้าแต้พระผู้เป็นเจ้า พระราชาตรัสสั่งว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนาในพระราชาวัง "
          พระเถระก็แสดงความยินดีตอบว่า
          " ดีแล้ว "

     พอล่วงราตรีวันนั้น เนมิตติยอำมาตย์ อันตกายอำมาตย์ มังกุรอำมาตย์ สัพพทินนอำมาตย์ ก็พร้อมกันเข้าทูลถามพระเจ้ามิลินท์ว่า
          " ข้าแต่มหาราชเจ้า จะโปรดให้พระนาคเสนเข้ามาได้หรือยัง พระเจ้าข้า ? "
          พระราชาตรัสตอบว่า
          " ให้เข้ามาได้แล้ว "
          " จะโปรดให้เข้ามากับพระภิกษุสักเท่าไรพระเจ้าข้า ? "
          " ต้องการมากับภิกษุเท่าใด ก็จงมากับภิกษุเท่านั้น "
          สัพพทินนอำมาตย์ได้กราบทูลขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
          " ข้าแต่มหาราชเจ้า จะโปรดให้พระนาคเสนมากับพระภิกษุสัก ๑๐ รูป จะได้หรือไม่ ? "
          พระองค์ตรัสตอบว่า
          " พระนาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุเท่าใด ก็จงมากับพระภิกษุเท่านั้นเถิด "
          จึงทูลถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
          " จะโปรดให้พระนาคเสนมากับพระภิกษุสัก ๑๐ รูป ได้หรือไม่ ? "
          พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
          " เราพูดอย่างไม่ให้สงสัยแล้วว่า พระนาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุเท่าใดจงมากับพระภิกษุเท่านั้น เราได้สั่งเป็นคำขาดลงไปแล้ว เราไม่มีอาหารพอจะถวายพระภิกษุทั้งหลายหรือ ? "

     เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว สัพพทินนอำมาตย์ก็เก้อ ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้ง ๔ จึงพากันออกไปหาพระนาคเสน กราบเรียนให้ทราบว่า
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้ามิลินท์ตรัสสั่งว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการจะเข้าไปในพระราชวังกับพระภิกษุเท่าใด ก็ขอให้เข้าไปได้เท่านั้นไม่มีกำหนด "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1466
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:33:04 »
ปัญหาที่ ๒ ถามพรรษา

     ครั้งนั้นพระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามอรรถปัญหาสืบไปว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ามีพรรษาเท่าไร ? " พระนาคเสนตอบว่า
          " อาตมภาพมีพรรษาได้ ๗ พรรษาแล้ว "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำว่า " ๗ พรรษา " นั้น นับตัวพระผู้เป็นเจ้าด้วยหรือ…หรือว่านับแต่ปีเท่านั้น?"

อุปมาเงาในแก้วน้ำ

     ก็ในคราวนั้น เงาของพระเจ้ามิลินท์ผู้ทรงประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวงนั้น ได้ปรากฏลงไปที่พระเต้าแก้ว อันเต็มไปด้วยน้ำ พระนาคเสนได้เห็นแล้ว จึงถามขึ้นว่า
          " มหาบพิตรเป็นพระราชา หรือว่าเงาที่ปรากฏอยู่ในพระเต้าแก้วนี้เป็นพระราชา ? "
          " ข้าแต่พระนาคเสน เงาไม่ใช่พระราชาโยมต่างหากเป็นพระราชา แต่เงาก็มีอยู่เพราะอาศัยโยม "
          " เงาที่มีขึ้นเพราะอาศัยพระองค์ฉันใดการนับพรรษาว่า ๗ เพราะอาศัยอาตมาก็มีขึ้นฉันนั้น ขอถวายพระพร "
          " น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งถูกต้องดีแล้ว "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1467
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:27:10 »
ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

           พระนาคเสนตอบว่า
          " ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "
          " ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "
          " ไม่มี มหาบพิตร "
          " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ "
          " เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ "
          " หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ "
          " เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ "
          " เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "
          " ไม่ใช่ มหาบพิตร "
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสนเป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท  "

พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ

           เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
          " มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิด มหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? "           พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "
          พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า
          " ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป " กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า
          " มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? " พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
          " เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง " พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า
          " ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้วขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
          " ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "
          " ไม่ใช่ "
          "ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "
          " ไม่ใช่ "
          "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "
          " ไม่ใช่ "
          " ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ ? "

     เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า
          " ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า "
          พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
          " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "
          พระเถระจึงกล่าวว่า
          " ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
          " อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
          พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลง น้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า
          " สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1468
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:23:40 »
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๑

 ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ


          ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสร็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
          ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า
          " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
          พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
          " เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
          " โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
          " อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "
          " พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร ? "
          " ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร ? "
          " โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
          " จงถามเถิด มหาบพิตร "
          " โยมถามแล้ว "
          " อาตมภาพก็แก้แล้ว "
          " พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
          " ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร ? "

     เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระนาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า
          " ข้าแต่มหาราชเจ้า คราวนี้ของพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า "

เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ

     ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
          " ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
          พระนาคเสนตอบว่า
          " ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
          ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
          " ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1469
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:22:36 »
- ตอนที่ ๔ -

สำหรับในตอนนี้จะเป็นตอนเริ่มเข้าเรื่องการถามปัญหากัน ก่อนที่จะเริ่มปัญหาแรกขอนำ " พระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์ " (เรียบเรียงโดย วศิน อินทสระ) มาให้ทราบไว้ดังนี้

พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย

พระพุทธศาสนาเจริญเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือ พระเจ้าเมนันเดอร์ ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีก ที่มาปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง ขอเล่าความย้อนต้นไปสักเล็กน้อยว่า

          เมื่อ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ยกทัพเข้ารุกรานอินเดีย และเลิกทัพกลับไปนั้นแคว้นที่ทรงตีได้แล้ว ก็โปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล ทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งเป็นอาณาจักรอิสระขึ้น
          เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว อาณาจักรที่มีกำลังมาก คือ อาณาจักซีเรีย และ อาณาจักรบากเตรีย (ปัจจุบันคือ เตอรกี และ อัฟกานิสถาน)
          ครั้งถึง พ.ศ. ๓๙๒ พระเจ้าเมนันเดอร์หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์ ยกกองทัพตีเมืองต่างๆ แผ่พระราชอำนาจลงมาถึงตอนเหนือ
          พระองค์เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย พระองค์จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลัทธิศาสนาต่าง ๆ ในเรื่องศาสนาและปรัชญาปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้

  พระเจ้ามิลินท์แห่งวงศ์โยนก

          ในเวลานั้น ชาวเมืองเรียกว่า " ชาวโยนก " แต่ชาวอินเดียเรียก "ยะวะนะ" หมายถึงพวกไอโอเนีย ( แคว้นไอโอเนียอยู่ทางตะวันตกของเอเชียไมเนอร์) เมืองสาคลนคร ตั้งอยู่ในแคว้นคันธาระ ( ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย) ดังนี้

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

1470
วันนี้ วันวิสาขบูชา วันพระ(ใหญ่) ชาวพุทธหยุดทำกิจการงาน
ตอนเช้าตักบาตร ตอนสายเข้าวัดฟังธรรม ถวายเพลพระ ทำปฏิบัติบูชา ตอนเย็นค่ำเวียนเทียน รำลึกถึงคุณพระรัตนไตร :054:
==========================
ปฏิบัติบูชา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปฏิบัติบูชา แปลว่า บูชาด้วยการปฏิบัติ เป็นคู่กับ อามิสบูชา คือบูชาด้วยสิ่งของ
ปฏิบัติบูชา หมายถึงการบูชาด้วยการปฏิบัติตามแบบที่ท่านทำ ปฏิบัติตามคำที่ท่านสอน ได้แก่ท่านปฏิบัติมาอย่างไรก็ปฏิบัติตาม ท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร ก็ทำตามด้วยความเต็มใจ ด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบ กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ เช่นปฏิบัติตามคำสั่งสอน คำเตือน คำแนะนำของพระพุทธเจ้า ของบิดามารดา ของครูอาจารย์ เป็นต้น
ปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาอย่างหนึ่งใน 2 อย่าง แต่ปฏิบัติบูชาเป้นการบูชาที่สำคัญยิ่ง ยอดเยี่ยมกว่าอามิสบูชา :015:

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

1471
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 10:28:59 »
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาพระนาคเสน

     ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ก็ห้อมล้อมด้วยข้าราชบริพารชาวโยนก ๕๐๐ เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง พรั่งพร้อมด้วยพลนิกายเป็นอันมาก เสด็จไปหาพระนาคเสนที่อสงไขยบริเวณ
     คราวนั้น พระนาคเสนกับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ ได้นั่งพักอยู่ที่โรงกลมกว้างใหญ่ พอพระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นแต่ไกล จึงตรัสถามขึ้นว่า
          “ บริวารเป็นอันมากนั้นของใคร ? ”
          เทวมัติยะทูลตอบว่า
          “ บริวารเป็นอันมากนั้น เป็นบริวารของพระนาคเสน พระเจ้าข้า”
          พอพระเจ้ามิลินท์ได้แลเห็นพระนาคเสนแต่ที่ไกลเท่านั้น ก็เกิดความสะดุ้งกลัว หวาดหวั่นในพระทัย มีพระโลมชาติชูชัน(ขนลุก) เสียแล้ว
          คราวนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงสะดุ้งตกพระทัยยิ่งนักหนา
          อุปมาดังพญาช้างถูกห้อมล้อมด้วยดาบและขอ และ
          เหมือนกับนาคถูกครุฑห้อมล้อมไว้
          เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่ถูกงูเหลือมล้อมไว้
          เหมือนกับหมีถูกฝูงกระบือป่าห้อมล้อม
          เหมือนกับคนถูกพญานาคไล่ติดตาม
          เหมือนกับหมู่เนื้อถูกเสือเหลืองไล่ติดตาม
          เหมือนกับงูมาพบหมองู
          เหมือนกับหนูมาพบแมว
          เหมือนกับปีศาจมาพบหมอผี
          เหมือนกับพระจันทรเทพบุตรตกอยู่ในปากราหู
          เหมือนกับนกอยู่ในกรง
          เหมือนกับปลาอยู่ในลอบในไซ
          เหมือนกับบุรุษที่ตกเข้าไปในป่าสัตว์ร้าย
          เหมือนกับยักษ์ทำผิดต่อท้าวเวสสุวัณ
          เหมือนกับเทพบุตรผู้จะสิ้นอายุรู้ว่าตัวจะจุติ สุดที่จะกลัวตัวสั่น ฉันใด พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรเห็นพระนาคเสนแต่ไกล ให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในพระทัย ฉันนั้น แต่พระบาทท้าวเธอทรงนึกว่า อย่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งดูถูกเราได้เลย จึงได้ทรงแข็งพระทัยตรัสขึ้นว่า
          “ นี่แน่ะ เทวมันติยะ เธออย่าได้บอกพระนาคเสนให้แก่เราเลยว่าเป็นองค์ใด เราจะให้รู้จักพระนาคเสนเอง ”
          เทวมันติยะอำมาตย์จึงกราบทูลว่า
          “ ขอให้โปรดทรงทราบเองเถิดพระเจ้าข้า ”

     ในคราวนั้น พระนาคเสนเถระได้นั่งอยู่ในท่ามกลางของพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ คือ นั่งอยู่ข้างหน้าของพระภิกษุ ๔ หมื่นองค์ที่มีพรรษาอ่อนกว่า แต่นั่งอยู่ข้างหลังของพระภิกษุผู้แก่กว่าอีก ๔ หมื่นองค์
     ฝ่ายพระเจ้ามิลินท์ก็ทอดพระเนตรดูไปทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ท่ามกลางของภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ก็ได้เห็นพระนาคเสนนั่งอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ มีกิริยาองอาจดังราชสีห์ จึงทรงทราบว่าองค์นั้นแหละเป็นพระนาคเสน จึงตรัสถามขึ้นว่า
          “ เทวมันติยะ องค์นั่งในท่ามกลางนั้น หรือ..เป็นพระนาคเสน? ”
          เทวมันติยะกราบทูลว่า
          “ ถูกแล้วพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบ พระนาคเสนได้ดีแล้ว”
          พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงดีพระทัยว่า เรารู้จักพระนาคเสนด้วยตนเอง แต่พอพระบาทท้าวเธอแลเห็นพระนาคเสนเท่านั้น ก็เกิดความกลัว ความหวาดหวั่น มีพระโลมชาติชูชัน

     เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า
     พระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนาคเสน ผู้สมบูรณ์ด้วยจรณธรรม ผู้ได้ฝึกฝนอบรมมาเป็นอันดีแล้ว จึงตรัสขึ้นว่า
          “ เราได้พบเห็นสมณพราหมณ์และบัณฑิตมาเป็นอันมาก ได้สนทนากับคนทั้งหลายมาเป็นอันมากแล้วไม่เคยมีความสะดุ้งกลัวเหมือนในวันนี้เลย วันนี้ความปราชัยพ่ายแพ้จักต้องมีแก่เราเป็นแน่ไม่สงสัย ชัยชนะจักมีแก่พระนาคเสนแน่ เพราะจิตใจของเราไม่ตั้งอยู่เป็นปกติเหมือนแต่ก่อนเลย” ดังนี้


==จบตอนที่ 3==
ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1472
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 10:20:37 »
กิตติศัพท์ของพระนาคเสน

     ในคราวนั้น พระนาคเสนผู้ห้อมล้อมด้วยหมู่สมณะ ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ มียศบริวารชำนาญในพระไตรปิฎก สำเร็จไตรเพท มีความรู้แตกฉาน มีอาคมพร้อม สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรมในศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา อันประกอบด้วยองค์ ๙ ถึงแล้วซึ่งบารมีญาณ
     เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ทั้งปวงเหมือนกับพญาเขาสิเนรุราช องอาจดั่งราชสีห์ มีใจสงบระงับเป็นอันดี มีปรีชาญาณล้ำเลิศ ย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคำอันเป็นปฏิปักษ์แก่พระพุทธศาสนาได้อย่างเด็ดขาด
     เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนำ ชำนาญในอรรถธรรมทั้ปวง ไม่มีผู้ต่อสู้ ไม่มีผู้กั้นกางได้ ไม่มีผู้ล่วงเกินได้ ละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งปวง กระทำซึ่งแสงสว่างให้เกิด กำจัดเสียซึ่งความมืด
     เป็นผู้มีถ้อยคำประเสริฐ แตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ ล่วงลุถึงซึ่งบารมีญาณ มีปรีชาญาณเปรียบดังลูกคลื่นในท้องมหาสมุทร เป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่คณะทั้งหลาย ล่วงรู้ลัทธิของหมู่คณะที่ไม่ดีทั้งหลาย ย่ำยี่เสียซึ่งลัทธิเดียร์ถีย์ทั้งปวง
     เป็นผู้ฉลาดเฉียงแหลมแกล้วกล้าสามารถ มากไปด้วยความสุขกายสบายใจเป็นผู้ทำสงฆ์ให้งดงาม
     เป็นพระอรหันต์ผู้ล้ำเลิศ เป็นที่สักการบูชาของพุทธบริษัทั้งสี่
     เป็นผู้ที่จะแสดงบาลี อรรถกถา อันทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้มีความรู้ ผู้ประกาศคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรเจ้า อันประกอบด้วยองค์ ๙ ผู้จะเชิดชูซึ่งแก้วอันประเสริฐในพระพุทธศาสนาให้ปรากฏ
     เป็นผู้จะยกขึ้นซึ่งเครื่องบูชาพระธรรมผู้จะตั้งขึ้นซึ่งยอดพระธรรม ผู้จะยกขึ้นซึ่งธงชัยคือพระธรรมผู้จะเป่าสังข์คือพระธรรม ผู้จะตีกลองคือพระธรรมให้นฤนาท ผู้จะดีดกระจับปี่สีซอ โทน รำมะนา ดนตรี อันได้แก่อริยสัจ ๔
     เป็นผู้ที่จะบันลือเสียงดังพญาช้าง พญาอุสุภราช พญาราชสีห์ ผู้จะทำให้โลกเอิบอิ่มด้วยห่าฝนอันใหญ่ คือพระธรรมให้พิลึกกึกก้อง เรืองรองดังสายฟ้าด้วยญาณปรีชาพระนาคเสนไปถึงอสงไขยบริเวณ

     เมื่อพระนาคเสนได้กราบลาพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิแล้ว ก็ได้จาริกไปตามคามนิคมชนบท เทศน์โปรดประชาชนทั้งหลายโดยลำดับ ก็บรรลุถึงซึ่งสาคลนครอันเป็นที่ประทับของพระเจ้ามิลินท์ ผู้เป็นปิ่นแห่งโยนก
     พระผู้เป็นเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในอสงไขยบริเวณ อันเป็นที่อยู่แห่งพระอายุบาลในกาลนั้น เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า
    พระนาคเสนเถระผู้เป็นพหูสูต มีการแสดงธรรมประเสริฐ มีสติปัญญาสุขุมคัมภีรภาพ แกล้วกล้าสามารถในที่ประชุมชน ฉลาดในเหตุผลทั้งปวง มีปฏิภาณว่องไวหาผู้เปรียบมิได้ ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฏกอันประเสริฐ มีหมู่พระภิกษุสงฆ์ล้วนแต่ทรงพระไตรปิฏกห้อมล้อมเป็นบริวาร ได้ไปถึงอสงไขยบริเวณ แล้วพักอยู่ในที่นั้น

     พระนาคเสนเถระนั้น ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม เที่ยงตรงดังตาชั่ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เหมือนกับพญาไกรสรราชสีห์ในป่าใหญ่ ฉะนั้น พระนาคเสนนั้นเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง มีความฉลาดรอบคอบในสิ่งที่ควรและไม่ควรทั้งปวง เป็นผู้ประกาศซึ่งอรรถธรรมอันล้ำเลิศ มีคุณธรรมปรากฏไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น เป็นพหูสูตทรงพระไตรปิฏก ไม่มีผู้เสมอเหมือนดังนี้

 พระเจ้ามิลินท์ได้ยินชื่อทรงตกพระทัยกลัว

     ในคราวนั้น เทวมันติอำมาตย์ก็ได้ฟังข่าวเล่าลือ ซึ่งเกียรติคุณของพระนาคเสนดังแสดงมา จึงกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า
          “ ขอได้โปรดก่อนเถิดมหาราชเจ้า บัดนี้มีข่าวเล่าลือว่า มีพระภิกษุองค์หนึ่งชื่อว่า นาคเสน เป็นผู้แสดงธรรมอันวิเศษ มีสติปัญญเฉียบแหลม แกล้วกล้าสามารถในที่ทั้งปวง เป็นผู้สดับเล่าเรียนมาก มีถ้อยคำไพเราะเสนาะโสต มีปฏิภาณดี แตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ ถึงซึ่งบารมีญาณ ไม่มีเทพยดาอินทร์พรหม ผู้ใดผู้หนึ่งจะสู้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนุษย์ พระเจ้าข้า ”
          เมื่อพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับคำว่า “ พระนาคเสน ” เท่านี้ก็ตกพระทัยกลัว มีพระโลมาลุกชันขึ้นทันที พระบาทท้าวเธอจึงตรัสถามเทวมันติยอำมาตย์ว่า
          “ เวลานี้พระนาคเสนอยู่ที่ไหน เราใคร่เห็น ขอให้พระนาคเสนทราบ? ”
          เทวมันติยอำมาตย์จึงใช้ให้ทูตไปแจ้งแก่พระนาคเสนว่า พระเจ้ามิลินท์มีพระราชประสงค์จะพบเห็น เมื่อทูตไปแจ้งแก่พระเถระแล้ว พระเถระจึงตอบว่า ถ้าอย่างนั้นขอจงเสด็จมาเถิด


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1473
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 10:13:51 »
จำนวนคฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผล

           “ ขอถวายพระพร คฤหัสถ์ที่ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยทรงศีล ๕ หรือศีล ๘ ไว้มั่นคง ให้ท่านและภาวนาอุตส่าห์ฟังธรรม ก็จัดว่าประพฤติให้เป็นประโยชน์เป็นผลแก่ตนเอง
          ดังตัวอย่าง เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระทศพรยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้เสด็จไปยังเมืองพาราณสี โปรดประทานธรรมเทศนา พระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ในป่าอิสิปตนมิคทายวัน
          ครั้งจบลงแล้วพรหมทั้ง ๑๘ โกฏิได้สำเร็จมรรคผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พรหมทั้งหลายล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น จะได้อุปสมบทบรรพชาหามิได้
          ในคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เวสสันดรชาดก ขทิรังคชาดกราหุโลวาทสูตร และทรงแสดงธรรมที่ประตูสังกัสสคร มีผู้สำเร็จมรรคผลประมาณ ๒๐ โกฏิ คนทั้งหลายนั้น กับเทพยดาและพรหมทุกชั้น ล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น ไม่ใช่บรรพชิตเลย”

     กรรมของพระที่ถือธุดงค์

          เมื่อพระอายุบาลแก้ไขดังนี้ พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
          “ ข้าแต่ท่านอายุบาล ถ้าอย่างนั้นบรรพชาก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกสมณะทั้งหลายที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ที่ได้บรรพชารักษาธุดงค์ต่างๆ ทำให้ลำบากกายใจนั้น ล้วนเป็นด้วยผลแห่งบาปกรรมในปางก่อนทั้งนั้น นี่แน่ะ ท่านอายุบาล พวกพระที่ถือ “ เอกา ” ฉันจังหันหนเดียว แต่ชาติก่อนเป็นโจรเที่ยวปล้นชาวบ้าน ไปแย่งชิงอาหารเขา ครั้งชาตินี้เล่า ผลกรรมนั้นดลจิตใจฉันหนเดียว ดูบรรพชานี้ไม่มีผล ถึงจะรักษาศีลรักษาตบะ รักษาพรหมจรรย์ ก็ไม่มีผลอันใดประการหนึ่งเล่า พวกที่ถือธุดงค์ “ อัพโพกาส ” คืออยู่ในกลางแจ้งนั้น เมื่อชาติก่อนต้องได้เป็นพวกปล้นบ้านเผาเรือนชาตินี้จึงไม่มีที่กินที่อยู่ ส่วนพวกถือ “ เนสัชชิกธุดงค์ ” คือถือไม่นอนเป็นกิจวัตร ได้แต่เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น พวกนั้นต้องเป็นโจรปล้นคนเดินทางไว้เมื่อชาติก่อน จับคนเดินทางได้แล้วก็ผูกมัดให้นั่งจับเจ่าอยู่ท่านั้น โยมคิดดูซึ่งธุงดค์นี้ไม่มีผล จะเป็นศีล จะเป็นตบะ จะเป็นพรหมจรรย์ก็หามิได้ ก็จะบรรพชารักษาธุดงค์ไปเพื่ออะไร ปฏิบัติในเพศคฤหัสถ์ก็ได้มรรคผลเหมือนกัน เป็นคฤหัสถ์อยู่มิดีกว่าหรือ พระผู้เป็นเจ้า ? ”
          เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้ พระอายุบาลก็ขี้คร้านที่จะตอบจึงนั่งนิ่งไป มิได้ถวายพระพรโต้ตอบต่อข้อปัญหานั้น พวกโยนก ๕๐๐ จึงกราบทูลขึ้นว่า
          “ ข้าแต่มหาราชเจ้า พระภิกษุองค์นี้เป็นักปราชญ์ ได้สดับเล่าเรียนมาก แต่ไม่แกล้วกล้าที่จะวิสัชนา จึงมิได้โต้ตอบต่อคำถามของพระองค์”
          พระเจ้ามิลินท์ได้ฟังคำข้าราชบิรพารทูลเฉลยก็หาสนใจไม่ ทอดพระเนตรดูแต่พระอายุบาล เห็นพระอายุบาลนิ่งอยู่ก็ทรงพระสรวล(หัวเราะ) พร้อมกับตบพระหัตถ์ตรัสเย้ยว่า
          “ ชมพูทวีปว่างเปล่าเสียแล้ว ไม่มีสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะ คณาจารย์ใด ๆ อาจสนทนากับเราได้ อาจแก้ความสงสัยของเราได้เลย เห็นทีจะสิ้นสุดครั้งนี้แล้วหนอ… ”
          ฝ่ายหมู่โยนกได้ฟังก็มิได้ตอบคำสนองพระราชโองการ ส่วนพระอายุบาลได้เห็นอาการของพระเจ้ามลินท์อย่างนั้น จึงคิดว่าเราเป็นสมณะไม่สมควรทะเลาะโต้เถียงกับใคร ที่จริงปัญหานี้จะวิสัชนาให้ฟังอีกก็ได้แต่เป็นเพราะพระราชาถามปัญหาที่ไม่ควรถาม คิดอย่างนี้แล้ว จึงเก็บอาสนะลุกไปเสีย

     หลังจากพระเจ้ามิลินท์เสด็จเข้าสู่พระนครแล้ว จึงทรงดำริว่า จะต้องมีภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งอาจสนทนากับเราได้อย่างไม่สงสัย จึงตรัสถามเนมิตติยอำมาตย์ขึ้นอีกว่า
          “ นี่แน่ะ เนมิตติยะ ภิกษุผู้จะโต้ตอบกับเราได้ ยังมีอยู่อีกหรือไม่? ”


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1474
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 10:09:49 »
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปถามปัญหาพระอายุบาล

     ในคราวนั้น ยังมีพระมหาเถระองค์หนึ่งมีชื่อว่า พระอายุบาล ท่านเป็นผู้ชำนาญในนิกายทั้ง ๕ (ฑีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตนิกาย ขุททกนิกาย) ได้อาศัยอยู่ที่อสงไขยบริเวณ
     ฝ่ายพระเจ้ามิลินทร์ทรงดำริว่า ราตรีนี้ดีมาก เราควรจะไปหาสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใดดีหนอ ใครหนอจะสามารถสนทนากับเราได้ ใครหนอจะสามารถตัดความสงสัยของเราได้ ทรงดำริแล้วก็โปรดมีพระราชโองการตรัสถาม พวกราชบริพารโยนกทั้ง ๕๐๐ ก็กราบทูลว่า
          “ มีพระเถระอยู่องค์หนึ่งชื่อว่าพระอายุบาล ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฏก ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีการแสดงธรรมวิจิตรมีปฏิภาณดี ชำนาญในนิกายทั้ง ๕ อยู่ที่อสงไขยบริเวณ ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปถามปัญหาต่อพระอายุบาลเถิด พระเจ้าข้า ”
          “ ถ้าอย่างนั้นขอจงไปแจ้งให้พระผู้เป็นเจ้าทราบก่อน”

     ลำดับนั้น เนมิตติยอำมาตย์จึงใช้ให้คนไปแจ้งแก่พระอายุบาลว่า พระเจ้ามิลินท์จะเสด็จมาหา พระอายุบาลตอบว่า เชิญเสด็จมาเถิด
     ต่อจากนั้นพระเจ้ามิลินท์พร้อมกับหมู่โยนกเสนา ๕๐๐ ก็เสด็จขึ้นรถไปที่อสงไขยบริเวณ เมื่อไปถึงจึงตรัสสั่งให้หยุดรถทรงไว้ เสด็จไปด้วยพระบาทเปล่าเข้าสู่สำนักพระอายุบาล นมัสการแล้วกระทำปฏิสันถารโอภาปราศรัยกันไปมา จึงมีพระราชดำรัสตรัสถามว่า
          “ ข้าแต่พระอายุบาล บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์เยี่ยมของท่าน? ”
          พระอายุบาลตอบว่า
          “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร การบรรพชามีประโยชน์เพื่อจะได้ประพฤติธรรม ประพฤติความสงบ อันจะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้หลาย”
          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คฤหัสถ์ผู้ประพฤติธรรม ประพฤติความสงบ จะมีคุณวิเศษบ้างหรือไม่ ? ”


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php


1475
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 09:55:09 »
พระนาคเสนสำเร็จพระอรหันต์

ฝ่ายพระธรรมรักขิตเห็นพระนาคเสนยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงมีเถรวาจาเป็นทางจะให้รู้โดยคำอุปมาว่า
          “ นี่แน่ะ นาคเสน ธรรมดาว่านายโคบาลได้แต่เลี้ยงโค ไม่ได้รู้รสแห่งนมโค มีแต่ผู้อื่นได้ดื่มรสแห่งนมโค ฉันใด ปุถุชนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก ก็มิได้รู้รสแห่งสามัญผล คือ มรรคผล อันควรแก่สมณะเปรียบเหมือนกับนายโคบาล ที่รับจ้างเลี้ยงโคและรีดนมโคขาย แต่มิได้เคยลิ้มชิมรสแห่งนมโค ฉันนั้น ”
           พระนาคเสนได้ฟังคำเช่นนั้นก็เข้าใจ จึงมีวาจาว่า “ คำสั่งสอนของท่านเท่านี้พอแล้วขอรับ ” ท่านกล่าวเพียงเท่านี้แล้วก็ลามาสู่อาวาส ต่อมาก็ได้พยายามเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ในเวลากลางคืนอันเป็นวันที่พระธรรมขิตให้นัยนั้นเอง ในขณะที่พระนาคเสนสำเร็จพระอรหันต์นั้น ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ แผ่นดินอันใหญ่นี้ก็บันลือลั่นหวั่นไหว ทั้งมหาสมุทรสาครก็ดีฟองนองละลอก ยอดภูเขาก็โอนอ่อนโยกคลอนไปมา เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ ห่าฝนทิพยจุณจันทน์และดอกไม้ทิพย์ ก็ตกลงมาบูชาในกาลนั้น

 พระอรหันต์ให้ทูตไปตามพระนาคเสน

     เมื่อพระนาคเสนได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ไปประชุมกันที่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาหิมพานต์ แล้วส่งฑูตไปตามพระนาคเสน
     เมื่อพระนาคเสนทราบแล้ว ก็หายวับจากอโศการาม มาปรากฏข้างหน้าพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ที่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาเขาหิมพานต์ กราบไหว้พระอรหันต์ทั้งหลายแล้วจึงถามว่า
          “ เพราะเหตุไรขอรับ จึงให้ฑูตไปตามกระผมมา ? ”
          พระอรหันต์ผู้เป็นหัวหน้าตอบว่า
          “ เป็นเพราะมิลินทราชาเบียดเบียนพวกเราด้วยการไต่ถามปัญหา เธอจงไปทรมานมิลินทราชานั้นเถิด ”
          พระนาคเสนจึงเรียกว่า
          “ อย่าว่าแต่มิลินทราชาเลยบรรดาพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น ที่มีปัญหาเหมือนมิลินทราชานี้ จะซักถามปัญหาตื้นลึกประการใด กระผมจะแก้ให้สิ้นสงสัย ให้มีพระทัยยินดีด้วยการแก้ปัญหา ขอพระเถรเจ้าทั้งหลายจงไปสู่สาคลนคร ด้วยความไม่สะดุ้งกลัวเถิด”


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1476
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 09:46:46 »
ศึกษาร่วมกับภิกษุชาวลังกา

ในคราวนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่าพระติสสทัตตะ ได้เรียนพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ในเมืองลังกาจบแล้วปรารถนาจะเรียนพระพุทธวจนะอันเป็นภาษามคธ จึงโดยสารสำเภามาสู่สำนักพระธรรมรักขิตนี้ เมื่อกราบไหว้แล้วจึงกล่าวว่า
          “ กระผมมาจากที่ไกล ขอท่านจงบอกพระพุทธวจนะให้แก่กระผมด้วยเถิด”
          “ เธอกับพระติสสทัตตะควรเรียนพระพุทธวจนะด้วยกัน จะได้เป็นเพื่อนสาธยายด้วยกัน อย่าร้อนใจไปเลย ”
          พระนาคเสนจึงกล่าวว่า
          “ กระผมมิอาจที่จะเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกันด้วยคำภาษาสิงหลได้ ด้วยพระติสสทัตตะนี้เจรจาเป็นภาษาสิงหล ”

     เป็นคำถามว่า เหตุไฉนเมื่อพระอาจารย์ว่าจะให้พระติสสทัตตะกับพระนาคเสนเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน พระนาคเสนนั้นว่าไม่เรียนพร้อมกัน ด้วยพระติสสทัตตะกล่าวคำภาษาสิงหล (อันเป็นภาษาชาวลังกา)
     แก้ความนั้นว่า พระนาคเสนเข้าใจว่าอาจารย์คงจะบอกพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ด้วยภาษาสิงหลนี้เป็นคำวิเศษกลัวว่าชาวประเทศสาคลราชธานีจะไม่เข้าใจ พระนาคเสนนั้นตั้งใจจะเรียนพระพุทธวจนะที่จะให้เข้าใจของชาวสาคลนคร มีพระเจ้ามิลินท์เป็นประธาน

          พระธรรมรักขิตจึงบอกขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
          “ เธอจงเรียนพร้อมกับพระติสสทัตตะเพราะพระติสสทัตตะเป็นบัณฑิต ไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักภาษา ”
          พระนาคเสนจึงคิดได้ว่าอาจารย์คงไม่บอกเป็นภาษาสิงหลดอก อาจจะบอกเป็นภาษามคธ เราผิดเสียแล้ว จะต้องขอโทษพระติสสทัตตะ
เมื่อพระนาคเสนคิดได้อย่างนั้น จึงกราบขอโทษแล้วเริ่มเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน โดยเรียนอยู่ ๓ เดือนก็จบพระไตรปิฏก ซักซ้อมอีก ๓ เดือนก็ชำนาญ


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1477
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 09:45:30 »
ต่อจาก ตอนที่2
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22848

- ตอนที่ ๓ -

 พระนาคเสนไปศึกษาพระไตรปิฏกกับพระธรรมรักขิต


ในคราวนั้นมีเศรษฐีชาวเมืองปาตลีบุตรคนหนึ่ง ได้เดินทางมาค้าขายตามชนบททั้งหลาย ครั้นขายของแล้วก็บรรทุกสินค้าใหญ่น้อยลงในเกวียน ๕๐๐ เล่ม ออกเดินทางกลับเมืองปาตลีบุตรได้เห็นพระนาคเสนออกเดินทางไป จึงให้หยุดเกวียนไว้ แล้วเข้าไปกราบนมัสการไต่ถามว่า
          “ พระคุณเจัาจะไปไหนขอรับ ? ”
          พระนาคเสนตอบว่า
          “ อาตมาจะไปเมืองปาตลีบุตร ”
          เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงกล่าวว่า
          “ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ไปกับโยมเถิดจะสะดวกดี “
          “ ดีแล้ว คหบดี ”
          ลำดับนั้น เศรษฐีจึงจัดอาหารถวายเวลาฉันเสร็จแล้ว เศรษฐีจึงถามว่า
          “ พระคุณเจ้าชื่ออะไรขอรับ ”
          “ อาตมาชื่อนาคเสน ”
          “ ท่านรู้พระพุทธวจนะหรือ ? ”
          “ อาตมารู้เฉพาะอภิธรรม ”
          “ เป็นลาภอันดีของโยมแล้ว โยมก็ได้เรียนอภิธรรม ท่านก็รู้อภิธรรม ขอท่านจงแสดงอภิธรรมให้โยมฟังสักหน่อย ”

เมื่อพระนาคเสนแสดงอภิธรรมจบลงเศรษฐีก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน แล้วพากันออกเดินทางต่อไป ครั้งไปถึงที่ใกล้เมืองปาตลีบุตร เศรษฐีจึงกล่าวว่า
          “ ข้าแต่พระนาคเสน ทางนั้นเป็นทางไปสู่อโศการาม พระผู้เป็นเจ้าจงไปทางนี้เถิด แต่ทว่าอย่าเพิ่งไปก่อน ขอนิมนต์ให้พรแก่โยมสักอย่างหนึ่งเถิด ”
          พระนาคเสนตอบว่า
          “ อาตมาเป็นบรรพชิต จักให้พรอะไรได้ ”
          “ พรใดที่สมควรแก่สมณะ ขอท่านจงให้พรนั้น ”
          “ ถ้ากระนั้นโยมจงรับเอาพร คือ การกุศล อย่าประมาทลืมตนในการกุศล พรอันนี้มีผลโดยสุจริต ”
          ขณะนั้นเศรษฐีจึงถวายผ้ากัมพลพร้อมกับบอกว่า
          “ ขอท่านจงกรุณารับกัมพลอันยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ของโยมนั้นไปนุ่งห่มเถิด ”
          พระนาคเสนจึงรับเอาผ้านั้นไว้ ส่วนว่าเศรษฐีถวายนมัสการแล้ว จึงกราบลามาสู่ปาตลีบุตรนคร

ส่วนพระนาคเสนก็ออกเดินทางไปสู่สำนักพระธรรมรักขิตที่อโศการาม กราบไหว้แล้วจึงเรียนว่า
          “ ขอท่านได้โปรดสอนพระพุทธวจนะให้กระผมด้วยเถิดครับ”


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

1478
คำนมัสการพระรัตนตรัยของพระติปิฎกจุฬาภัยเถระ

     พระจริยาอันเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง ของพระสัพพัญณูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณธรรมอันใหญ่พระองค์ใดมีอยู่ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้สมเด็จพระบรมครูพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีอานุภาพอันเป็นอจินไตย ผู้เป็นนายกอันเลิศของโลก

     สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์พระองค์ใด เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาจรณะ นำหมู่สัตว์ออกจากโลกด้วยธรรมะอันนั้น ซึ่งเป็นธรรมะอันสูงสุด เป็นธรรมะอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบูชา

     พระอริยสงฆ์ใดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลคุณเป็นต้น เป็นผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระอริยสงฆ์นั้น ผู้เป็นนาบุญอันเยี่ยมของโลก

     บุญอันใดที่ข้าพเจ้าทำให้เกิดขึ้นด้วยการนอบน้อมพระรัตนตรับอย่างนี้ ด้วยเดชแห่งบุญอันนั้น จงให้อันตรายหายไปจากข้าพเจ้าในที่ทั้งปวง จงให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ปราศจากอันตราย

มิลินทปกรณ์ คือคัมภีร์มิลินท์อันใดที่ประกอบด้วยปุจฉาพยากรณ์มีอยู่ ขอท่านทั้งหลายจงฟังปัญหาทั้งหลายอันละเอียดลึกซึ้ง ที่มีอยู่ในคัมภีร์มิลินทปัญหานั้น เพราะการฟังมิลินทปัญหานั้น จักทำให้เกิดประโยชน์สุข


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin01.php?#1

1479
น่าเสียดายนะครับ
เด็กๆที่เกิดมาล้วนแต่น่ารักน่าชังทั้งนั้นเลย
เกิดมาก็เลี้ยงให้เค้าเติบโตเป็นคนดี เป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่ได้อย่างดีเลยครับ :015:

1480
ขอบพระคุณ คุณsaken6009 ที่กรุณาถ่ายภาพและนำมาให้ชมกัน

หลวงพี่ท่าน ดูหน้าตาสดใส แข็งแรงดี หวังว่าท่านคงจะหายและสบายดีในเร็ววันนะครับ :054:

1481
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ฯ ผู้ทรงคุณเมตตา :054:
ขอพรจากพระรัตนตรัย จงอำนวยพรให้หายจากการอาพาธ และสามารถทำกิจฯได้ตามปกติด้วยเทอญ :054:

1482
บอกที่มาที่ไปอธิบายให้ท่านเข้าใจ ว่าทำไมต้องขอเพียง 2 ยันต์
พระอาจารย์ท่านคงจะเมตตา จัดให้ตามที่ขอ เพราะว่ามีเหตุจำเป็น
และไม่สะดวกต่อการที่จะเดินทางมาสัก พูดคุยอธิบายกันได้จ๊ะ
ใช้หลักผลเหตุผลคุยกันครับ :054:

1483
อ้างถึง
เอาธรรมนำชีวิต ปกป้องจิตมิให้ต่ำ
กุศลบุญหนุนนำ ประกอบกรรมในสิ่งดี

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่สั่งสอน :054:
 เรารักษาจิตมิให้ต่ำ แม้ใครจะต่ำ(ช้า) เราก็ไม่สนใจ


1484
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 15 พ.ค. 2554, 12:32:31 »

พระนาคเสนแสดงธรรมเป็นครั้งแรก

     พระอัสสคุตต์นั้นมีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็นผู้อุปัฏฐากมาประมาณ ๓๐ เดือนนั้นไปแล้ว อุบาสิกานั้นจึงออกไปถามพระเถระว่า
     “ ในพรรษานี้มีภิกษุอื่นมาอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบ้างหรือ ? ”
     พระเถระก็ตอบว่า
     “ มี คือพระนาคเสน ”
     อุบาสิกานั้นจึงกล่าวว่า
     “ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าขอพระผู้เป็นเจ้ากับพระนาคเสน จงเข้าไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านของโยมด้วย”
     พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่

      พระอัสสคุตตเถระมิได้สนทนากับพระนาคเสน จนตลอดถึงวันปวารณาออกพรรษา เช้าวันนั้นพระเถระจำต้องเจรจากับพระนาคเสน จึงกล่าวว่าอุบาสิกาเขามานิมนต์ให้ไปฉันภัตตาหารเช้าด้วยกัน แล้วจึงพาพระนาคเสนเข้าไปฉันที่บ้านของอุบาสิกานั้น

      ครั้งฉันแล้ว จึงบอกให้พระนาคเสนอนุโมทนา ส่วนตัวท่านเองขอกลับไปก่อน ฝ่ายอุบาสิกานั้นจึงกล่าวต่อพระนาคเสนว่า
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมแก่แล้ว ขอท่านจงอนุโมทนาด้วยคาถาที่ลึกซึ้งเถิด”
     พระนาคเสนก็อนุโมทนาด้วยคาถาอันลึกซึ้ง เมื่อจบคำอนุโมทนาลง อุบาสิกานั้นก็ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล

     ในขณะนั้น พระอัสสคุตตเถระกำลังนั่งอยู่ที่โรงกลมกว้่างใหญ่ในวิหาร ได้ทราบความเป็นไปด้วยทิพจักขุญาณ จึงให้สาธุการว่า

     “ สาธุ..สาธุ..นาคเสน! ในที่ประชุมชนทั้งสอง คือมนุษย์และเทวดา เธอได้ทำลายให้คลายจากความสงสัย ด้วยลูกศรเพียงลูกเดียว กล่าวคือได้แสดงธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้รับฟังบรรลุมรรคผลได้ สาธุ..เราขอชมสติปัญญาของเธอนี้ประเสริฐนักหนา ”

     ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าเทพยดานางฟ้าอีกหลายพัน ต่างก็ได้ตบมือสาธุการ ผงจันทน์ทิพย์ในสวรรค์ ก็โปรยปรายลงมาดังสายฝน ขณะเมื่อจบลงแห่งพระสัทธรรมเทศนานั้น

ฝ่ายพระนาคเสนก็กลับไปกราบพระอัสสคุตตเถระแล้วนั่งอยู่ พระอัสสคุตตเถระจึงกล่าวว่า

     “ ตัวเธอมาอยู่ที่นี่นานแล้ว จงไปขอเรียนพระพุทธวจนะจากพระธรรมรักขิต ผู้อยู่ในอโศการามด้านทิศอุดร แห่งเมืองปาตลีบุตรนครเถิด”

     พระนาคเสนจึงเรียนถามว่า
     “ ท่านขอรับ เมืองปาตลีบุตรอยู่ไกลจากนี้สักเท่าใด? ”
     “ ไกลจากนี้ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ”
     “ เมืองปาตลีบุตรอยู่ไกลมาก อาหารในระหว่างทางก็จะหาได้ยาก กระผมจะไปได้อย่างไรขอรับ ”
     “ เธอจงไปเถิด ในระหว่างทางเธอจะได้อาหารล้วนแต่ข้าวสาลีไม่มีเมล็ดหักพร้อมทั้งกับข้าวอีกเป็นอันมาก”
     พระนาคเสนจึงกราบลาพระอัสสคุตต์แล้วออกเดินทางไปตามลำดับ

...........จบ ตอนที่2............

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

1485
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 15 พ.ค. 2554, 12:28:51 »
นาคเสนกุมารบรรพชา

ในคราวนั้น พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ได้ให้นาคเสนกุมารบรรพชาอยู่ที่ถ้ำรักขิตเกณะ นาคเสนกุมารบรรพชาแล้ว จึงกล่าวต่อพระโรหนเถระว่า

     “ กระผมได้ถือเพศเหมือนท่านแล้ว ขอท่านจงสอนศิลปศาสตร์ที่ละเอียดยิ่งให้กระผมเถิด”

     พระโรหนเถระจึงคิดว่า เราจะสอนอะไรก่อนดีหนอ นาคเสนนี้มีปัญญาดี เราควรจะสอนอภิธรรมปิฏกก่อน ครั้งคิดแล้วจึงบอกว่า

     “ นาคเสน เธอจงตั้งใจเรียนศิลปศาสตร์ที่ละเอียดยิ่งของเรา”

     กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เริ่มแสดงอภิธรรมทั้ง ๗ พระคัมภีร์คือคัมภีร์อภิธรรมสังคิณี ว่า “ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ” เป็นต้น และ คัมภีร์วิภังค์ ธาตุกถาปุคคลบัญญติ กถาวัตถุ ยมกะ ปัฏฐาน เป็นลำดับไป

     นาคเสนสามเณรก็สามารถจำได้สิ้นเชิง มาถึงตอนนี้ ฉบับพิสดาร พรรณนาว่า

     ในขณะที่ฟังเพียงครั้งเดียว จึงได้กล่าวว่า ขอได้โปรดบอกเพียงเท่านี้ก่อนเถิด เมื่อกระผมท่องจำได้แม่นยำแล้ว จึงค่อยบอกให้มากกว่านี้อีก

     ต่อมานาคเสนสามเณรก็ได้นำความรู้ที่เรียนมาพิจารณา เช่นในบทว่า กุสลา ธัมมา ได้แก่อะไร อกุสลา ธัมมา ได้แก่อะไร อัพยากตา ธัมมา ได้แก่อะไร ดังนี้ เป็นต้น

     ท่านได้พิจารณาเพียงครั้งเดียวก็คิดเห็นเป็นกรรมฐานว่ามีความหมายอย่างนั้นๆ ด้วย ปัญญาบารมีที่ได้บำเพ็ญไว้มาแต่ชาติก่อนโน้น

     เมื่อคิดพิจารณาธรรมะอย่างถ้วนถี่แล้ว นาคเสนสามเณรจึงได้เข้าไปกราบนมัสการพระอรหันต์ทั้งหลาย พร้อมกับกล่าวว่า

     “ กระผมจะขอแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ตามที่ได้เรียนมาจากพระอุปัชฌาย์โดยขออธิบายความหมายให้ขยายออกไปขอรับ”

     พระอรหันต์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงอนุญาติให้สามเณรแสดงได้ตามความประสงค์ สามเณรได้วิสัชนาอยู่ประมาณ ๗ เดือนจึงจบ ในขณะนั้น เหตุอัศจรรย์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นคือ แผ่นดินใหญ่ก็เกิดหวั่นไหว เทพดานางฟ้าทั้งหลายก็แสดงความชื่นชมยินดี พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ

     ทุกท่านต่างก็ร้องซ้องสาธุการ สรรเสริญปัญญาบารมีของสามเณร ได้โปรยปรายผงจันทน์ทิพย์และดอกไม้ทิพย์ บ้างก็เลื่อนลอย บ้างก็ปรอย ๆ เป็นฝอยฝนตกลงมา หอมฟุ้งขจรขจายไปทั่วบริเวณนั้น

     พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ให้สาธุการแสดงความชื่นชมยินดีว่า แต่นี้ไปศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตร จะรุ่งเรืองวัฒนาถาวรตลอดไปนาคเสนอุปสมบท

     เมื่ออยู่นานมาจนกระทั่งนาคเสนสามเณรมีอายุครบอุปสมบทแล้ว พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ก็ให้อุปสมบทเป็น พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

     ในเวลาเช้า พระนาคเสนครองบาตรจีวร จะเข้าไปบิณฑบาตก็นึกขึ้นว่า พระอุปัชฌาย์ของเราเห็นจะเปล่าจากคุณธรรมอื่น ๆ คงรู้แต่อภิธรรมเท่านี้ อย่างอื่นคงไม่รู้

     ขณะนั้นพระโรหนเถระ จึงออกมากล่าวขึ้นว่า
     “ นี่แน่ะ นาคเสน การนึกของเธอไม่สมควรเลย เหตุไรเธอจึงนึกดูถูกเราอย่างนี้? ”
     ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอัศจรรย์ใจว่าพระอุปัชฌาย์ของเราเป็นบัณฑิตแท้ เพียงแต่เรานึกในใจก็รู้ เราจักต้องขอโทษ ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
     “ ขอจงอดโทษให้กระผมด้วยเถิด กระผมจะไม่นึกอย่างนี้อีก จะไม่ทำอย่างนี้อีก ”
     “ นาคเสน เรายังอดโทษให้ไม่ได้ ต่อเมื่อเธอทำให้พระเจ้ามิลินท์ ผู้เสวยราชย์อยู่ในสาคลนครเลื่อมใสได้ ด้วยการแก้ปัญหานั้นแหละ เราจึงจะอดโทษให้ ”
     “ ท่านขอรับ อย่าว่าแต่พระเจ้ามิลินท์เพียงองค์เดียวเลย ต่อให้พระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้นเรียงตัวกันมาถามปัญหา กระผมก็จะทำให้เลื่อมใสได้สิ้น ขอท่านจงได้อดโทษให้กระผมเถิด”
     เมื่ออ้อนวอนอย่างนี้ถึง ๓ ครั้งก็ไม่เป็นผล จึงถามว่า
     “ ในพรรษานี้ ท่านจะให้กระผมอยู่ที่สำนักนี้ หรือว่าจะให้กระผมไปอยู่ในสำนักผู้ใดขอรับ? ”
     พระโรหนเถระจึงบอกว่า
     “ เธอจงไปหา พระอัสสคุตตเถระ ถามถึงความสุขของท่าน และบอกความทุกข์สุขของเราแทนเรา แล้วอยู่ในสำนักของท่านเถิด”
ลำดับนั้น พระนาคเสนจึงอำลาพระอุปัชฌาย์ ออกเดินทางไปหาพระอัสสคุตตเถระ กราบไหว้แล้วก็ถามถึงทุกข์สุขตามคำสั่งของพระอุปัชฌาย์ แล้วขออาศัยอยู่

      พระอัสสคุตตเถระจึงถามว่า
     “ เธอชื่ออะไร ? ”
     “ กระผมชื่อนาคเสนขอรับ ”
     พระอัสสคุตต์ใคร่จะลองปัญญา จึงถามว่า
     “ ก็ตัวเราล่ะ ชื่ออะไร ”
     “ พระอุปัชฌาย์ของกระผม รู้จักชื่อของท่านแล้วขอรับ”
     “ อุปัชฌาย์ของเธอชื่ออะไร ? ”
     “ อุปัชฌาย์ของกระผมท่านรู้อยู่แล้ว ”
     “ ดีละ ๆ นาคเสน ” พระอัสสคุตต์จึงรู้ว่า พระภิกษุองค์นี้มีปัญญา จึงคิดว่า พระนาคเสนนี้ปรารถนาจะเรียนพระไตรปิฏก เราได้สำเร็จมรรคผลก็จริงแหล่ว่าแต่ทว่าฝ่ายพระไตรปิฏกรู้เป็นเพียงกลางๆ ก็อย่าเลยเราจะกระทำกิริยาไม่เจรจาด้วย ทำทีเหมือนจะลงพรหมทัณฑ์ด้วยภิกษุรูปนี้

     ครั้งคิดดังนี้แล้ว จึงได้ลงพรหมทัณฑ์คือไม่พูดกับพระนาคเสนถึง ๓ เดือน แต่พระนาคเสนก็ปรนนิบัติได้ปัดกวาดบริเวณและตักน้ำใช้น้ำฉันไว้ถวายตลอดทั้ง ๓ เดือน ส่วนพระอัสสคุตต์จึงกวาดบริเวณด้วยตนเอง และล้างหน้าด้วยน้ำอื่น


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

1486
ต้องท่องคาถาตอนไหนบ้างครับ
มีคำแปลคาถาไหมครับ

ขอบคุณครับ :054:

พอดีได้มาจากนิตยสารพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ครับท่องคาถาตอนที่จุดธูปไหว้กุมารทองก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ :054:
ผมได้มาจากวัดบางพระ แต่ไม่เคยท่องคาถาเลยครับ :008:

1487
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 11:40:01 »
พระโรหนะไปนำนาคเสนกุมารเพื่อจะให้บรรพชา

     ในคราวนั้น พระโรหนเถระ นั่งอยู่ที่วัตตนิยเสนาสนะวิหาร ได้ทราบความคิดของนาคเสนกุมาร จึงหายวับไปปรากฏขึ้นข้างหน้านาคเสนกุมารทันที พอนาคเสนกุมารได้แลเห็น ก็เกิดความร่าเริงดีใจว่าบรรพชิตองค์นี้คงรู้จักสิ่งที่เป็นสาระเป็นแน่จึงถามขึ้นว่า
     “ ผู้มีศีรษะโล้นนุ่งเหลืองเช่นนี้เป็นอะไร ? ”
     พระเถระตอบว่า “ เป็นบรรพชิต ”
     “ เหตุไรจึงได้ชื่อว่าบรรพชิต ”
     “ เหตุว่าเว้นเสียซึ่งบาป เว้นเสียซึ่งโทษจึงได้ชื่อว่าบรรพชิต”
     “ ท่านรู้จักศิลปศาสตร์บ้างหรือ ? ”
     “ รู้จัก ”
     “ ศิลปศาสตร์อันใดที่สูงสุดในโลกมีอยู่ ท่านจะบอกศิลปศาสตร์อันนั้นให้แก่กระผมได้หรือ? ”
    “ นี่แน่ะ พ่อหนู บรรพชิตทั้งหลายเห็นความกังวล ๑๖ ประการ จึงได้โกนผมโกนหนวดเสีย ความกังวล ๑๖ ประการนั้นคือ

          ๑. กังวลด้วยอาภรณ์ คือเครื่องประดับ
          ๒. กังวลด้วยช่างทอง
          ๓. กังวลด้วยการขัดสี
          ๔. กังวลด้วยการเก็บเครื่องประดับ
          ๕. กังวลด้วยการฟอกผมสระผม
          ๖. กังวลด้วยดอกไม้
          ๗. กังวลด้วยของหอม
          ๘. กังวลด้วยเครื่องอบ
          ๙. กังวลด้วยสมอ
          ๑๐. กังวลด้วยมะขามป้อม
          ๑๑. กังวลด้วยดินเหนียว ( สมอ มะขามป้อม ดิน ทั้ง ๓ ประการนี้ ทำเป็นยาสระผม )
          ๑๒. กังวลด้วยเข็มปักผม
          ๑๓. กังวลด้วยผ้าผูกผม
          ๑๔. กังวลด้วยหวี
          ๑๕. กังวลด้วยช่างตัดผม
          ๑๖. กังวลด้วยการอาบน้ำชำระผม รวมเป็น ๑๖ ประการด้วยกัน

      ในเส้นผมแต่ละเส้นย่อมมีหมู่หนอนอาศัยอยู่ที่รากผม ทำให้รากผมเศร้าหมองคนทั้งหลายได้เห็นผมเศร้าหมองก็เศร้าใจ เสียใจ ไม่สบายใจ เมื่อมังแต่ยุ่งอยู่กับผมด้วยเครื่องกังวล ๑๖ อย่างนี้ ศิลปศาสตร์ที่สุขุมยิ่งก็เสียไป เพราะฉะนั้นแหละ บรรพชิตทั้งหลายจึงต้องโกนผมโกนหนวดทิ้งเสีย ”

     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อนี้น่าอัศจรรย์เพราะเมื่อคนทั้งหลายกังวลอยู่กับเครื่องกังวล ๑๖ ประการอย่างนี้ ศิลปศาสตร์ที่สุขุมยิ่ง ตัองไม่ปรากฏเป็นแน่ ข้อนี้กระผมเชื่อ แต่ขอถามอีกทีว่า เหตุไรผ้านุ่งผ้าห่มขอท่านจึงไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ? ”

     “ อ๋อ..การที่ผ้านุ่งผ้าห่มของเราไม่เหมือนคนอื่น ๆ นั้น เพราะว่าผ้านุ่งผ้าห่มอย่างพวกคฤหัสถ์ทำให้เกิดความกำหนัด ยินดีในสังขารร่างกายได้ง่าย ทำให้มีภัยอันตรายบังเกิดขึ้น เครื่องนุ่งห่มของเราจึงไม่เหมือนของคนอื่นๆ ”

     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ท่านอาจสอนศิลปศาสตร์ที่ละเอียดยิ่ง ให้แก่กระผมได้หรือ ? ”
     “ ได้…พ่อหนู ! ”
     “ ถ้าได้ขอได้โปรดสอนให้เดี๋ยวนี้เถิด ”
     “ เออ…พ่อหนู เวลานี้เรายังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในละแวกบ้าน ยังสอนให้ไม่ได้หรอก ”

      ลำดับนั้น นาคเสนกุมารจึงรับเอาบาตรของพระโรหนเถระ แล้วนิมนต์ให้ขึ้นไปฉันที่เรือน เมื่อฉันแล้วจึงกล่าวว่า

     “ ขอท่านจงบอกศิลปศาสตร์ที่ละเอียดให้แก่กระผมเดี๋ยวนี้เถิด”
     “ โอ…พ่อหนู ! ตราบใดที่พ่อหนูยังมีกังวลอยู่ ตราบนั้นเรายังสอนให้ไม่ได้ ต่อเมื่อพ่อหนูขออนุญาตมารดาบิดาแล้ว ถือเพศอย่างเรา คือโกนผมนุ่งเหลืองห่มเหลืองเหมือนเรา เราจึงจะสอนให้ได้”

     นาคเสนกุมารจึงไปขออนุญาตต่อมารดาบิดา เมื่อมารดาบิดาไม่อนุญาต จึงนอนอดอาหาร ต่อเมื่อมารดาบิดาอนุญาต จึงบอกพระเถระว่า

     “ กระผมจักถือเพศอย่างท่าน ขอท่านจงสอนศิลปศาสตร์ที่ละเอียดให้แก่กระผม”

พระโรหนเถระจึงพานาคเสนกุมารกลับไปที่วัตตนิยเสนาสนะวิหาร ค้างอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงพาไปหาพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ที่อยู่ที่ถ้ำรักขิตเลณะ


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

1488
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 11:37:54 »
นาคเสนกุมารศึกษาไตรเพท

เมื่อนาคเสนกุมารเติบโตขึ้นอายุได้ ๗ ขวบ มารดาบิดาก็ให้ศึกษาไตรเพททั้ง ๓ กับศึลปศาสตร์อื่น ๆ สำหรับตระกลูพราหมณ์ร่ำเรียนสืบๆ กันมา นาคเสนกุมารรับว่าจะเรียนเอาให้ได้

ส่วนว่าโสนุตตรพราหมณ์ผู้เป็นบิดา จึงให้เชิญพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์มาที่เรือนแล้วก็ให้ทรัพย์ประมาณ ๑ พันกหาปณะเป็นค่าจ้าง ฝ่ายนาคเสนกุมารฟังพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์บอกวิชาเพียงครั้งเดียว ก็สามารถจำได้จบครบทุกประการ จึงได้มีวาจาถามว่า

     “ ข้าแต่บิดา คำสอนสำหรับสกุลพราหมณ์สิ้นสุดเท่านี้หรือ..หรือว่ายังมีอีกประการใดเล่า? ”

     พราหมณ์ผู้เป็นบิดาจึงตอบว่า

     “ นี่แน่ะนาคเสน คำสอนสำหรับพราหมณ์มาแต่ก่อนเก่านั้น ก็จบเพียงแค่นี้ ”

     เมื่อนาคเสนร่ำเรียนศึกษาจากสำนักพราหมณาจารย์แล้ว ก็ให้ทรัพย์ค่าจ้างบอกวิชาแล้ว ได้รับเอาซึ่งกำใบลานที่อาจารย์ให้เป็นกำใบลานหนังสือพราหมณ์ สำหรับที่จะได้ดูและอ่านการไตรเพท และศิลปศาสตร์ทุกสิ่งอัน
     อยู่มาวันหนึ่ง นาคเสนกุมารจึงลงจากปราสาท ไปยืนพิจารณาเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุด แห่งไตรเพททั้ง ๓ กับศิลปศาสตร์ทั้งปวง อยู่ที่ศาลาท้ายประตูทุกวันไป จนตลอดถึง ๓ วัน เมื่อไม่เห็นมีแก่นสารอันใด จึงเกิดความไม่สบายใจว่า สิ่งเหล่านี้เปล่าทั้งนั้นไม่มีสาระประโยชน์อันใดเลย


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

1489
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 11:28:23 »
ต่อจาก มิลินทปัญหา ตอนที่ 1
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22847


ภาพจาก http://www.kositt.com/product.detail_4536_th_1078747#

มหาเสนะเทพบุตรจุติจากเทวโลก

ฝ่ายมหาเสนะเทพบุตร ก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาถือกำเนิดในครรภ์ของนางพราหมณี ในขณะนั้นก็มีอัศจรรย์ ๓ ประการปรากฏขึ้น คือ
     ๑. บรรดาอาวุธทั้งหลาย ได้รุ่งเรืองเป็นแสงสว่าง
     ๒. ฝนตกใหญ่นอกฤดูกาล
     ๓. เมฆใหญ่ตั้งขึ้น

(ตอนนี้ใน ฉบับพิศดาร กล่าวว่าอัศจรรย์ทั้งนี้ด้วยบารมีของมหาเสนะเทพบุตรที่ได้กระทำมา บอกเหตุที่เกิดมานี้ว่า จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไปถ้วน ๕๐๐๐ พระวัสสา)

จาก ฉบับ ส.ธรรมภักดี ได้บรรยายต่อไปว่า ลำดับนั้น พระโรหนเถระก็ไปเที่ยวบิณฑบาตที่ตระกลูนั้น เริ่มแต่วันนั้นไปตลอด ๗ ปี กับ ๑๐ เดือน แต่ไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่การยกมือไหว้หรือการแสดงความเคารพก็ไม่ได้ ได้แต่การด่าว่าเท่านั้น

เมื่อล่วงมาจาก ๗ ปีนั้น จึงได้เพียงคำไต่ถามเท่านั้นคืออยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาจากดูการงานนอกบ้าน ก็ได้พบพระเถระเดินสวนมา จึงถามว่า
     “ นี่แน่ะ บรรพชิต ท่านได้ไปที่บ้านเรือนของเราหรือ? ”
     พระเถระตอบว่า “ ได้ไป ”
     พราหมณ์จึงถามต่อไปว่า
     “ ท่านได้อะไรบ้างหรือ ? ”
     ตอบว่า “ ได้ “
     พราหมณ์นั้นนึกโกรธ จึงรีบไปถามพวกบ้านว่า
     “ พวกท่านได้ให้อะไรแก่บรรพชิตนั้นหรือ ? ”
      เมื่อพวกบ้านตอบว่า ไม่ได้ให้อะไรเลย พราหมณ์ก็นิ่งอยู่ เวลารุ่งขึ้นวันที่สองพราหมณ์นั้นจึงไปยืนอยู่ที่ประตูบ้านด้วยคิดว่าวันนี้แหลพบรรพชิตนั้นมา เราจักปรับโทษมุสาวาทให้ได้ พอพระเถระไปถึง พราหมณ์นั้นก็กล่าวขึ้นว่า

     “ นี่แน่ะ บรรพชิต เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้วัตถุสิ่งใดไปจากบ้านเรือนของเราเลย ทำไมจึงบอกว่าได้ การกล่าวมุสาวาทเช่นนี้ สมควรแก่ท่านแล้วหรือ? ”

     พระโรหนะจึงตอบว่า

     “ นี่แน่ะ พราหมณ์ เราเข้าสู่บ้านเรือนของท่านตลอด ๗ ปีกับ ๑๐ เดือนแล้วยังไม่เคยได้อะไรเลย พึ่งได้คำถามของท่านเมื่อวานนี้เพียงคำเดียวเท่านั้น เราจึงตอบว่าได้”

     เมื่อพราหมณ์ได้ฟังดังนี้ก็ดีใจ จึงคิดว่า พระองค์นี้เพียงแต่ได้คำปราศัยคำเดียวเท่านั้น ก็ยังบอกในที่ประชุมชนว่าได้ ถ้าได้ลาภอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะไม่สรรเสริญหรือ นี่เพียงแต่ได้คำถามคำเดียวเท่านั้นก็ยังสรรเสริญ

     เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงสั่งพวกบ้านว่าพวกท่านจงเอาข้าวของเราถวายบรรพชิตนี้วันละ ๑ ทัพพีทุกวันไป ต่อนั้นพราหมณ์ก็เลื่อมใสต่ออิริยาบท และความสงบเสงี่ยมของพระเถระยิ่งขึ้นเป็นลำดับไป จึงขอนิมนต์ว่า

      “ ขอท่านจงมาฉันอาหารประจำ ที่บ้านเรือนของข้าพเจ้าทุกเช้าไป”

     พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่พราหมณ์ก็ได้ถวายอาหารคาวหวาน อันเป็นส่วนของตนแก่พระเถระทุกเช้าไป พระเถระฉันแล้วเวลาจะกลับ ก็กล่าวพระพุทธพจน์วันละเล็กน้อยทุกวันไป

     คราวนี้จะย้อนกล่าวถึงนางพราหมณีนั้นอีก กล่าวคือ นางพราหมณีนั้นล่วงมา ๑๐ เดือน ก็คลอดบุตรให้ชื่อว่า “นาคเสน”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

1490
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:53:34 »
พระโรหนเถระได้รับมอบธุระ เพื่อให้นาคเสนกุมารได้บรรพชา

     เมื่อมาถึงแล้วพระอัสสคุตตเถระจึงถามพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นว่า
          " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ภิกษุที่ไม่ได้มาในที่ประชุมสงฆ์นี้มีอยู่หรือ ?"
          มีพระภิกษุองค์หนึ่งตอบว่า " มีอยู่ขอรับ คือพระโรหนเถระท่านไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ได้ ๗ วันแล้ว พวกเราควรจะใช้ทูตไปหา "
         พอดีในขณะนั้นพระโรหนเถระ ก็ออกจากนิโรธสมาบัติ นึกรู้ความประสงค์พระอรหันต์ทั้งหลายว่าต้องการพบเรา จึงได้หายวับจากภูเขาหิมพานต์ มาปรากฏที่ถ้ำรักขิตเลณะ ต่อหน้าพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ จึงกล่าวขึ้นว่า
          " นี่แน่ะ ท่านโรหนะ เมื่อพระศาสนากำลังถูกกระทบกระเทือน เหตุไรท่านจึงไม่รู้จักช่วยเหลือไม่เหลียวแลกิจเหมือนสงฆ์ ? "
          พระโรหนะจึงตอบว่า " เป็นเพราะข้าพเจ้ามิได้กำหนดจิตไว้ "
          พระสงฆ์จึงบอกว่า " ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะลงทัณฑกรรมท่าน เพราะเหตุที่ท่านไม่ได้ใส่ใจในกิจของพระศาสนา "
          พระโรหนะจึงถามอีกว่า " จะลงทัณฑกรรมข้าพเจ้าอย่างไร ? "
          พระสงฆ์ตอบว่า " นี่แน่ะ ท่านโรหนะ มีบ้านพราหมณ์ตำบลหนึ่งชื่อว่า ชังคละ ข้างป่าหิมพานต์ มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า โสนุตตระ อยู่ในบ้านนั้น เขาจะมีบุตรชื่อว่า นาคเสนกุมาร ท่านจงพยายามไปบิณฑบาตที่ตระกูลนั้น ให้ตลอด ๗ ปีกับ ๑๐ เดือน นำเอานาคเสนกุมารออกบรรพชาให้ได้ เมื่อนาคเสนกุมารได้บรรพชาแล้วท่านจึงจะพ้นจากทัณฑกรรมนั้น"


............จบ ตอนที่1................
ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin01.php?#1

1491
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:51:23 »
พระอรหันต์ขึ้นไปเชิญ มหาเสนะเทพบุตร

     ในคราวนั้น มีพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ อาศัยอยู่ที่ ถ้ำรักขิตเลณะ ในภูเขาหิมพานต์ ได้ทราบประวัติการณ์ของพระเจ้ามิลินท์แล้วจึงได้ขึ้นไปประชุมกันที่ยอดภูเขายุคันธร ถามกันขึ้นว่า
         " มีพระภิกษุองค์ใด สามารถโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ ตัดความสงสัยของพระองค์ได้ ? " ถามกันอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง พระอรหันต์ทั้ง ๑๐๐ โกฏิก็นิ่งอยู่
     ลำดับนั้น พระอัสสคุตตะ ผู้เป็นหัวหน้า จึงกล่าวขึ้นว่า " ดูก่อนท่านทั้งหลาย มหาเสนะเทพบุตรที่อยู่ในเกตุมดีวิมาน ทางด้านตะวันออกแห่งเวชยันตวิมานของพระอินทร์มีอยู่ มหาเสนะเทพบุตรนั้นแหละ อาจโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ได้ อาจตัดความสงสัยของพระองค์ได้ "
     พระอรหันต์ทั้ง ๑๐๐ โกฏิ จึงได้พร้อมกันขึ้นไปหาพระอินทร์ที่ดาวดึงสเทวโลก พระอินทร์จึงเสด็จออกมาต้อนรับกราบไหว้แล้วถามว่า
     " ข้าแต่ท่านทั้งหลาย มีพระภิกษุสงฆ์มาเป็นอันมาก โยมนี้เป็นเหมือนกับคนวัดสำหรับรับใช้ พระภิกษุสงฆ์จะให้โยมทำอะไร ขอได้โปรดบอกเถิด"
     พระอัสสคุตต์จึงถวายพระพรว่า " เวลานี้มหาราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " มิลินท์ " อยู่ในชมพูทวีป เป็นผู้ได้เรียนศาสตร์ต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ฉลาดเจรจา ไม่มีใครสู้ได้ ได้เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์ ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์ ขอถวายพระพร"
     พระอินทร์จึงตรัสว่า " อ้อ…พระราชาองค์นั้น ได้จุติไปจากดาวดึงส์นี้เอง "
     " อย่างนั้นหรือ…มหาบพิตร "
     " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่จะโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ได้นั้น มีแต่มหาเสนะเทพบุตรเท่านั้น โยมจะไปอ้อนวอนเขาให้ลงไปเกิดในมนุษยโลก "
     ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็พาพระภิกษุสงฆ์เสด็จไปที่เกตุมดีวิมาน ทรงเข้าไปสวมกอดมหาเสนะเทพบุตรแล้ว จึงตรัสขึ้นว่า
     " นี่แน่ะ มหาเสนะผู้หาทุกข์มิได้ บัดนี้พระภิกษุสงฆ์ขอให้เจ้าลงไปเกิดในมนุษยโลก "
     มหาเสนะเทพบุตรจึงกราบทูลว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่้ต้องการลงไปเกิดในมนุษยโลก เพราะมนุษยโลกเดือดร้อนด้วยการงานมาก ข้าพระองค์จะไปเกิดในเทวโลกชั้นสูง ๆ ต่อขึ้นไป แล้วจะเข้านิพพานจากเทวโลกชั้นสูงนั้น พระเจ้าข้า "
     พระอัสสคุตตเถระจึงกล่าวขึ้นว่า " นี่แน่ะ ท่านผู้หาทุกข์มิได้ พวกเราได้พิจารณาดูตลอดมนุษยโลก เทวโลกแล้ว ไม่เห็นมีผู้อื่นนอกจากท่าน ที่จะสามารถทำลายถ้อยคำของพระเจ้ามิลินท์ได้ สามารถเชิดชูพุทธศาสนาไว้ได้ พระภิกษุสงฆ์จึงได้ขึ้นมาอ้อนวอนท่าน ขอท่านจงลงไปเกิดในมนุษยโลก ยกย่องพระพุทธศาสนาไว้เถิด "
     เมื่อพระภิกษุสงฆ์อ้อนวอนอย่างนี้แล้วมหาเสนะเทพบุตรจึงกราบทูลพระอินทร์ว่า " ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์จงประทานพรแก่ข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์ทำลายล้างถ้อยคำของพระเจ้ามิลินทร์ได้ สามารถเชิดชูพระพุทธศาสนาไว้ได้เถิด พระเจ้าข้า"

     ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ก็ร่าเริงดีใจ มีใจฟูขึ้น ถวายปฏิญญาแก่พระภิกษุสงฆ์ว่าข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในมนุษยโลก แล้วก็รับพรจากพระอินทร์ ลำดับนั้น พระภิกษุสงฆ์ก็ถวายพระพรลา กลับลงมาสู่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาหิมพานต์อีก


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin01.php?#1

1492
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:48:19 »
ท่านที่สนใจอ่านที่มาลองอ่านกระทู้เก่าประกอบได้

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6992.msg57210#msg57210
ประวัติ...บุพพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22837
พุทธพยากรณ์ในวันปรินิพพาน......ใน..วันวิสาขบูชา วันพระพุทธเจ้า(๑๗พ.ค.๕๔)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22776


ขอตัดตอนเข้าเรื่องเลย

พระเจ้ามิลินท์นั้ย มีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก ปรากฏยิ่งกว่าพวกเดียรถีย์ทั้งปวงไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา ทั้งประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ คือ ๑. มีเรี่ยงแรงมาก ๒. มีปัญญามาก ๓. มีพระราชทรัพย์มาก อยู่มาคราวหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จออกจากพระนคร ด้วยพลนิกรเป็นอันมากหยุดพักนอกพระนครแล้ว ตรัสแก่พวกอำมาตย์ว่า
     " เวลายังเหลืออยู่มาก เราจะทำอะไรดี เราจะกลับเข้าเมืองก็ยังวันอยู่ สมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ที่ยืนยันว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดหนออาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้ "

     เมื่อตรัสอย่างนี้ พวกโยนกข้าหลวงทั้ง ๕๐๐ ก็กราบทูลขึ้นว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า บัณฑิตที่จะพอสนทนากับพระองค์ได้นั้นมีอยู่ คือครูทั้ง ๖ อันได้แก่ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล นิคัณฐนาฏบุตร สญชัยเวฬฏฐบุตร อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ พระเจ้าข้า ครูทั้ง ๖ นั้น เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียงปรากฏ มียศบริวารมีผู้คนนับถือมาก ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปไต่ถามปัญหา ต่อคณาจารย์เหล่านั้นเถิดคณาจารย์เหล่านั้นจะตัดความสงสัยของพระองค์ได้ พระเจ้าข้า "

     พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาครูทั้ง ๖ ลำดับนั้นพระเจ้ามิลินท์ก็ห้อมล้อมด้วยข้าหลวงโยนกทั้ง ๕๐๐ ขึ้นทรงราชรถเสด็จไปหา ปูรณกัสสป ทรงปราศรัยแล้วประทับนั่งลงตรัสถามว่า
         " ท่านกัสสป อะไรรักษาโลกไว้ ? " ปูรณกัสสปตอบว่า
         " ขอถวายพระพร แผ่นดินรักษาโลกไว้ " พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
         "ถ้าแผ่นดินรักษาโลกไว้ เหตุไรผู้ทำบาปจึงล่วงเลยแผ่นดินลงไปถึงอเวจีนรกล่ะ ?"
     เมื่อตรัสอย่างนี้ ปูรณกัสสปก็ไม่อาจโต้ตอบได้ ได้แต่นั่งนิ่งกลืนน้ำลายอยู่เท่านั้น ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงทรงดำริว่าชมพูทวีปว่างเปล่าเสียแล้ว เพราะไม่มีสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะ คณาจารย์ ผู้อวดอ้างตนว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสามารถตัดความสงสัยของเราได้ ทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปหา มักขลิโคสาล ตรัสถามว่า
          " ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือเปล่า ?" มักขลิโคสาลตอบว่า
          " ขอถวายพระพร ไม่มี…คือพวกใดเคยเป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ เวศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออยู่ในโลกนี้ เวลาไปถึงโลกหน้าก็จะเกิดเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เวศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออีกการทำบุญไม่มีประโยชน์อะไร "
          พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสอีกว่า " ถ้าอย่างนี้ พวกใดที่มีมือด้วนเท้าด้วนในโลกนี้ พวกนั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วยอีกน่ะซี "
          มักขลิโคสาลตอบว่า " อย่างนั้น มหาบพิตร คือผู้ใดได้รับโทษถูกตัดมือเท้าในโลกนี้ เวลาผู้นั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะถูกตัดมือตัดเท้าอีก"
          พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า " โยมไม่เชื่อ " มักขลิโคสาลก็นิ่ง
          พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า " นี่แนะ มักขลิโคสาล ข้าพเจ้าถามท่านว่า ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือ ท่านก็แก้เสียอย่างนี้ ท่านเป็นคนโง่เขลา พวกใดทำกรรมที่จะให้เกิดไว้อย่างใด ๆ พวกนั้นก็ต้องไปเกิดด้วยกรรมอย่างนั้น ๆ "

     ครั้งตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสแก่พวกอำมาตย์ขึ้นว่า " นี่แน่ะ ท่านทั้งหลาย เวลานี้ก็ค่ำแล้วเราจะไปหาสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใด ๆ อีก ผู้ใดจะอาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้" ตรัสอย่างนี้หลายหน แต่พวกอำมาตย์ก็พากันนิ่งอยู่ ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไรท้าวเธอก็เสด็จกลับเข้าสู่พระนคร

     ต่อจากนั้นไป พระองค์ก็ได้ไปเที่ยวไต่ถามสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ ในที่นั้น ๆ ไม่เลือกหน้า พวกใดแก้ปัญหาของท้าวเธอไม่ได้ พวกนั้นก็หนีไป พวกที่ไม่หนีก็สู้ทนนิ่งอยู่ แต่โดยมากได้พากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์ เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนกับว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง ๑๒ ปี


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin01.php?#1

1493
ธรรมะ / ตอบ: มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:40:50 »
มิลินทปัญหา

เรื่องย่อ..

เมื่อประมาณราวปี พ.ศ. 500 คือหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 500 ปีแล้ว พระราชากรีกนาม "พระเจ้ามิลินท์" ผู้เกรียงไกรได้แผ่ขยายอำนาจมาถึงประเทศอินเดีย และเข้าปกครองเมืองสาคละ (ปัจจุบันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย คือ แคว้นแคชเมียร์) พระองค์ไม่เพียงแต่ปรีชาสามารถในการรบเท่านั้น แต่ยังมีสติปัญญาล้ำเลิศ ทรงโปรดศึกษาศาสนาปรัชญาต่างๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่ง ในการทำความเข้าใจ พระเจ้ามิลินท์จึงโปรดที่จะถกเถียง ซักถาม และโต้แย้งเพื่อความงอกงามทางปัญญา จึงได้เที่ยวป่าวประกาศโต้ปุจฉา-วิสัชนา กับเหล่าพระภิกษุและสมณพราหมณ์ต่างๆ แต่ก็หาผู้ตอบคำถามให้กระจ่างแจ้งแก่พระองค์ไม่ได้

จนกระทั่งได้มาพบกับพระหนุ่มนาม "พระนาคเสน" ผู้ซึ่งเจนจบและแตกฉานในพระไตรปิฎก อีกทั้งเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องหาภิกษุใดเทียบได้ พระเจ้ามิลินท์จึงได้คู่ปุจฉาวิสัชนาอย่างเข้มข้น พระนาคเสนสามารถตอบข้อสงสัยต่างๆ นานาในเรื่องราวชีวิตมนุษย์ของพระเจ้ามิลินท์ได้อย่างถ่องแท้

จนในที่สุดพระเจ้ามิลินท์ ผู้ซึ่งไม่ได้เลื่อมใสในพุทธศาสนามาก่อนก็ได้ยอมถวายตนเป็นพุทธ มามกะและได้บรรลุธรรมขั้นสูงอีกทั้งยังได้ทรงสร้างพระพุทธรูปอง ค์แรกในพุทธศาสนาขึ้นมาอีกด้วย

เรื่องราวที่ปุจฉา – วิสัชนา กันนั้นเปรียบเหมือนการจุดคบไฟขึ้นในความมืด เผยให้เห็นทางสว่างของชีวิต และได้ถูกรวบรวมขึ้นเป็นคัมภีร์สำคัญเรียกว่า "มิลินทปัญหา" เป็นเวลากว่า 2,000 ปี มาแล้ว ได้รับการยอมรับนับถืออย่างมากมายในหมู่ชนต่างๆ ทั่วโลกมาจนทุกวันนี้



แนะนำตัวละครหลัก

พระเจ้ามิลินท์ เป็นกษัตริย์ชาวกรีกที่ยิ่งใหญ่ รูปร่างสง่างามแข็งแรง ไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขาม มีนิสัยก้าวร้าวดุดันในการสงคราม แต่ทรงมีความลึกซึ้งในความคิด ความอ่าน รักในความยุติธรรม ใจกว้าง ยอมรับฟังในเหตุและผล รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งเป็นผู้ที่คอยถามปัญหากับพระนาคเสน

พระนาคเสน ท่านเป็นพระชาวสาคลนคร (แขกขาว) บุคลิกสุขุมสง่างาม มีความเฉียบแหลมทางปัญญา เข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนทั่วไป เป็นผู้ที่ตอบปัญหาต่างๆ และชี้นำทางสว่าง ทางธรรมะแก่พระเจ้ามิลินท์

พระมเหสี เป็นพระมเหสีของพระเจ้ามิลินท์ เป็นผู้หญิงสวยที่สุดในดินแดนโรมัน งดงาม ผมดำยาวสลวย ตาโต

อนันตกาย หนึ่งในสองอำมาตย์คู่พระทัยของพระเจ้ามิลินท์ รูปร่างอ้วนใหญ่ รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ ตลกเฮฮา

ธุลีกาย อีกหนึ่งในสองอำมาตย์คู่พระทัยของพระเจ้ามิลินท์ รูปร่างผอมกะหร่องเหมือนไม้เสียบผี บุคลิกเงียบเฉย มักพูดคนละเรื่องกัน กับเรื่องที่เขาพูดกันอยู่


ที่มา
การ์ตูน...มิลินทปัญหา ตอนที่ 1 - 8 จบบริบูรณ์(เครื่องผมไม่เห็นคลิปการ์ตูน)
http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=453

1494
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:37:03 »
มิลินทปัญหา มีในพระไตรปิฏก มีทั้งหมด 11 ตอน
แต่ละตอนก็มีตอนย่อยๆลงไปอีก
เป็นเรื่องที่น่าอ่าน น่าติดตาม น่าขบคิด ประเทืองปัญญาทั้งสิ้น



มิลินทปัญหา
   ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย

      มิลินทปัญหา  เป็นปกรณ์ที่มาเก่าแก่และสำคัญปกรณ์หนึ่งในพระพุทธศาสนา  ไม่ปรากฏว่าท่านผู้ใดเป็นผู้รจนา  เชื่อกันว่ารจนาขึ้นในราวพุทธศักราช 500 ปรากฏตาม  มธุรัตถปกาสินี ฏีกาแห่งมิลันทปัญหา  ซึ่งรจนาโดยพระมหาติปิฎกจุฬาภัย  ว่าพระพุทธโฆษาจารย์  เป็นผู้แต่งนิทานกถาและนิคมกถาประกอบเข้า  ส่วนตัวปัญหา  ท่านหาได้กล่าวว่าผู้ใดแต่งไม่

      มิลินทปัญหาแบ่งออกเป็น  หกส่วน  คือ  บุพพโยค  ว่าด้วยบุพพกรรมและประวัติของพระนาคเสนและพระเจ้ามิลินท์  มิลินทปัญหาว่าด้วยปัญหาเงื่อนเดียวเมณฑกปัญหา  ว่าด้วยปัญหาสองเงื่อน  อนุมานปัญหา  ว่าด้วยเรื่องที่รู้โดยอนุมานลักขณปัญหา  ว่าด้วยลักษณะแห่งธรรมต่างๆ อุปมากถาปัญหา   ว่าด้วยเรื่องที่จะพึงทราบด้วยอุปมาในหกส่วนนี้  บางส่วนยกเป็นมาติกา  บางส่วนไม่ยกเป็นมาติกา  จัดรวมไว้ในมาติกาอื่น  คือ  ลักขณปัญหารวมอยู่ในมิลินทปัญหา  อนุมานปัญหารวมอยู่ในเมณฑกปัญหา  เพราะฉะนั้น  เมื่อจะจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่สะดวกแก่การค้นดู  ต้องแบ่งเป็นสี่ส่วน  เรียงลำดับดังนี้  บุพพโยค  ซึ่งเรียกว่า  พาหิรกถา  หนึ่ง  มิลินทปัญหา  หนึ่ง  เมณฑกปัญหา  หนึ่ง  และอุปมากถาปัญหา  หนึ่ง

      เพื่อเทิดพระเกียรติคุณองค์พระบุรพาจารย์  บุรพาจารย์  ผู้สร้างสรรค์และเผยแพร่ปกรณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา

  
ที่มา
   http://www.mahamakuta.inet.co.th/T-BOOK/P-159.html
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=1895.0

1495
ต้องท่องคาถาตอนไหนบ้างครับ
มีคำแปลคาถาไหมครับ

ขอบคุณครับ :054:

1496

สนใจ....อ่านเพิ่มเติมในกระทู้เก่า โดยคุณNONGEAR44
ที่นี่
   
ลางบอกเหตุ (รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19511.msg166713#msg166713

1497
ขออนุญาตนำบทความที่ คุณNONGEAR44
นำมาลงในเวปบางพระ เพื่อขยายความเพิ่มเติม

จาก http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=20276
                                                   วิธีทดแทนคุณบุพการี จาก สมเด็จโต

"การให้ธรรมะพ่อแม่ เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด"

ลูกเอ๋ย....

ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น

ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน

ความแข็งแรงของร่างกายก็ลดลง ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม

ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น

...ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยจะคอยดูแลเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม
ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่
ต้องรับผิดชอบ

เจ้าช่วยให้ท่นได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอนอันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น
แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่
..........
เจ้าจงจำไว้ว่า

การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะด้วยการสอนหลักธรรมะ
อย่างง่ายๆให้กับพ่อแม่ของเจ้า

พาท่านไปทำบุญทำทาน

สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา

สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา

ธรรมะ จะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ

ถือว่า เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด

................................เจ้าจงจำไว้ นะลูกเอ๋ย...............................

 ขอบคุณที่มา เว็บบอร์ด พลังจิต

1498
ช่างบังเอิญ ประจวบเหมาะ กำลังสนใจเรื่องมิลินทปัญหา ก็สามารถเชื่อมโยงไปถึงวันวิสาขบูชาได้............
====================
พุทธพยากรณ์ในวันปรินิพพาน

     เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเหล่าพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จไปที่เมืองกุสินารามหานคร ในเวลาที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงบรรทมบนบัลลังก์ หันพระเศียรไปทางทิศอุดร ในระหว่างนางรังทั้งคู่อันมีอยู่ในพระราชอุทยานของพวกมัลลกษัตริย์ แห่งเมืองกุสินารา จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

     "ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารทั้งปวงมีความสิ้นความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำกิจทั้งปวงด้วยความไม่ประมาทเถิด

     ธรรมวินัยอันใด เราบัญญติไว้แล้ว เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมวินัยนั้นแหละ จะเป็นครูของพวกเธอ

     เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปจะระลึกถึงถ้อยคำที่ไม่ดีของ สุภัททภิกขุผู้บวชเมื่อแก่ แล้วจะกระทำสังคายนา เพื่อรักษาพระพุทธวจนะไว้มิให้คลาดเคลื่อน (  สังคายนา ครั้งที่ ๑)

     ต่อนั้นไปอีก ๑๐๐ ปี พระยสกากัณฑกบุตร ผู้จะย่ำยีซึ่งถ้อยคำของพวกภิกษุวัชชีบุตรติสสเถระ ผู้จะลบล้างลัทธิของพวกเดียรถีย์ภายนอก จักได้กระทำ  สังคายนาครั้งที่ ๒

     ต่อไปอีกได้ ๒๑๘ ปี พระโมคคลีบุตรติสสเถระ ผู้จะลบล้างลัทธิของพวกเดียรถีย์ภายนอก จักได้กระทำ  สังคายนาครั้งที่ ๓

     ต่อมาภายหลัง พระมหินทเถระจะไปประดิษฐานศาสนาของเรา ลงไว้ที่ตามพปัณณิทวีป (ลังกา)

     ต่อจากเราปรินิพพานไปล่วงได้ ๕๐๐ ปี จักมีพระราชาองค์หนึ่ง ชื่อว่า "มิลินท์" ผู้ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาอันละเอียดขึ้น ด้วยอานุภาพปัญญาของตน จะย่ำยีเสียซึ่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยปัญหาอันละเอียด

     จะมีภิกษุองค์หนึ่ง ชื่อว่า "นาคเสน" ไปทำลายถ้อยคำของ มิลินทราชา ทำให้มิลินทราชาเกิดความร่าเริงยินดีด้วยอุปมาเป็นเอนก จะทำศาสนาของเราให้หมดเสี้ยนหนามหลักตอ จะทำศาสนาของเราให้ตั้งอยู่ตลอด ๕๐๐๐ พรรษา" ดังนี้

    เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดเกิดในตระกูลในเวลาล่วงได้ ๕๐๐ ปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วนั้น ผู้นั้นจักได้ชื่อว่า "มิลินทราชา" เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนคร อันเป็นเมืองอุดม มิลินทราชานั้น จักได้ถามปัญหาต่อพระนาคเสน มีอุปมาเหมือนกับน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไปสู่มหาสมุทรสาครฉะนั้น พระองค์เป็นผู้มีถ้อยคำอันวิจิตร ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนในเวลาราตรี มีคบเพลิงจุดสว่างไสว แล้วถามปัญหาล้วนแต่ละเอียดลึกซึ้ง ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้ด้วยดี ฟังปัญหาอันละเอียดในคัมภีร์มิลินท์นั้นเถิด จะเกิดประโยชน์สุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน ดังนี้

     พระนครของพระเจ้ามิลินท์ มีคำเล่าลือปรากฏมาว่า "เมืองสาคลนครของชาวโยนก เป็นเมืองที่งดงามด้วยธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ อุทยานอันมีสระน้ำ สวนดอกไม้ผลไม้ ตกแต่งไว้อย่างดี มีหมู่นกมากมายอาศัยอยู่ ป้อมปราการก็แข็งแรง ปราศจากข้าศึกมารบกวน ถนนหนทางภายในพระนครเกลื่อนกล่นไปด้วยช้างม้ารถอันคล่องแคล่ว อีกทั้งหมู่สตรีล้วนมีรูปร่างสวยงาม ต่างเที่ยวสัญจรไปมา ทั้งเป็นที่พักพาอาศัยของ สมณพราหมณ์ พ่อค้าสามัญชนต่าง ๆ
     เมืองสาคลนครนั้น สมบูรณ์ด้วยผ้าแก้วแหวนเงินทอง ยุ้งฉาง ของกินของใช้มีตลาดร้านค้าเป็นที่ไปมาแห่งพ่อค้า ข้างนอกเมืองก็บริบูรณ์ด้วยพืชข้าวกล้า อุปมาเหมือนข้าวกล้าในอุตตรกุรุทวีป หรือไม่ก็เปรียบเหมือนกับ "อารกมัณฑาอุทยาน" อันสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชฉะนั้น"


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin01.php?#1

1499
ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมวินัย

ถาม การศึกษาพระธรรมวินัย เมื่อได้ศึกษาอยู่
เธอรู้สึกตัวดีอยู่หรือไม่ว่า
ได้รับประโยชน์อะไรบ้าง?

ตอบ ฉันรู้สึกตัวได้ดีว่า การศึกษาพระธรรมวินัย ได้ประโยชน์อย่างดี

คือกระทำใจให้สงบ ย่ิอมเป็นสุข

รู้คิดในสิ่งที่ไม่เคยคิด ได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง

สิ่งใดที่เคยสงสัย เคลือบแคลง

ก็รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น

และปราศจากความสงสัยเสียได้

และยังเป็นเหตุให้คิดอยู่เนืองๆว่า

วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ได้ทำอะไรอยู่?


ผู้ใดปฏิบัติดี

รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ รอบรู้ธรรมที่ควรรอบรู้

ละธรรมที่ควรละ อบรมธรรมที่ควรอบรม

กระทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง

ผู้นั้นก็ได้นิพพาน


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/boy-girl/2011/02/28/entry-1

1500
พุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์

   พระพุทธศาสนาเจริญเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้ามิลินท์   หรือ  พระเจ้าเมนันเดอร์ (Menander)   ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกที่ปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง

   ก่อนหน้านี้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับเข้ารุกรานอินเดีย   แคว้นที่ทรงตีได้แล้วโปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล   โดยทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน    ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งตนเป็นอนาจักรอิสระขึ้น   เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว   

   อาณาจักรที่มีกำลังมากคือ อาณาจักรซีเรีย และ อาณาจักรบากเตรีย  ปัจจุบันคือ เตอรกี และ อัฟกานิสถาน       ซีเรียเป็นสื่อเชื่อมอารยธรรมกรีกกับอินเดียเป็นเวลานานถึง 247 ปี จึงถูกโรมันตีแตก ส่วนบากเตรียเดิมก็อยู่ในอำนาจของซีเรีย   มาสถาปนาเป็นรัฐอิสระได้เมื่อ พ.ศ.287 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช   

   เหตุการทางประวัติศาสตร์ในแถบนี้ของโลกสับสนวุ่นวายด้วยการแย่งชิงอำนาจกันอยู่ประมาณร้อยปีเศษ   จนกระทั่งถึง พ.ศ. 392   พระราชาเชื้อสายกรีกพระองค์หนึ่ง พระนามว่า เมนันเดอร์   หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์   ได้แผ่อำนาจลงมาถึงตอนเหนือของลุ่มแม่นํ้าคงคา    เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา   ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซํ้าไป   เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่างๆ   รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย    จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลทธิศาสนาต่างๆในเรื่องศาสนาและปรัชญา    ปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้   

   จนกระทั่งคณะสงฆ์เลือกพระเถระผู้สามารถรูปหนึ่งมายังเมืองสาคละ เพื่อสนทนาเรื่องศาสนาและปรัชญากับพระเจ้ามิลินท์   พระเถระผู้นั้นคือพระนาคเสน    พระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นเสด็จไปสนทนาเป็นเชิงปุจฉาวิสัชนา    อภิปรายกันขึ้นเป็นเวลาหลายวัน    ผลปรากฏว่า   พระเจ้ามิลินท์ยอมแพ้พระนาคเสน    ข้อสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ เรียกว่า "มิลินทปัญหา"

   
   หมายเหตุ:
   ข้างต้นนี้คือความเป็นมาอย่างคร่าวๆ ของมิลินทปัญหา  ที่ได้ย่อ/คัดลอก มาจากหนังสือ 2 เล่ม คือ:
   1. อธิบายมิลินทปัญหา  โดย วศิน อินทสระ
   2. ธัมมวิโมกข์ฉบับรวมเล่ม มิลินทปัญหา โดย วัฒนไชย
   
   http://buddhiststudy.tripod.com/milin.htm

ที่มา
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=1895.0

1501
มาอ่านตอนต่ออีกครับ น่าสนใจมาก
ที่มาจาก
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=1895.0


เมื่อบุคคลทั้งสองนั้น  ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทพยาดาและมนุษย์  ก็ล่วงมาถึง 1 พุทธันดร  พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า "เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ 500 ปีแล้ว   บุคคลทั้งสองนั้นจะเกิดขึ้น   ธรรมวินัยอันใด อันเป็นของสุขุมที่เราได้แสดงไว้ ธรรมวินัยอันนั้น บุคคลทั้งสองนั้น จะแก้ไขให้หมดฟั่นเฟือน ด้วยการไต่ถามปัญหากัน ดังนี้ต่อมาสามเณรนั้น   ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนคร   เป็นผู้ฉลาด มีความคิดดี   มีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก   ไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา   เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์   ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์   จนพากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์   เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง 12 ปี

   ในคราวนั้นมีพระอรหันต์ 100 โกฏิ อาศัยอยู่ที่ถํ้า ในภูเขาหิมพานต์   ได้ทราบเรื่องดังกล่าว   จึงได้พากันไปอ้อนวอน มหาเสนะเทพบุตร ณ  เกตวิมาน   ให้ไปเกิดในมนุษยโลกเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้หนึ่ง   โดยมีชื่อว่า นาคเสนกุมาร

   นาคเสนกุมาร บวชเป็นสามเณรที่ถํ้ารักขิต   ท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมาก พระโรหณะ ผู้เป็นอุปัชฌาย์เห็นปัญญาอันแหลมคม ของสามเณรนาคเสนแล้ว   จึงให้เรียนพระอภิธรรมก่อน    สามเณรนาคเสนเรียนได้อย่างรวดเร็ว   พระอรหันต์ทั้งหลายจึงประชุมกันให้สามเณรนาคเสนบวชเป็นภิกษุ   โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชฌายะ

   วันรุ่งขึ้นพระนาคเสนออกบิณฑบาตกับพระอูปัชฌาย์   เดินตามหลังท่านและคิดในใจว่า   "พระอุปัชฌาย์ของเราโง่เขลาจริง ที่ให้เราเรียนพระอภิธรรมก่อนพระพุทธพจน์อื่นๆ"   พระโรหณะทราบความคิดพระนาคเสน   จึงกล่าวว่า  "นาคเสนคิดอย่างนั้นหาควรไม่"    พระนาคเสนจึงได้รู้ว่า   พระอุปัชฌาย์ของตนรู้วารจิต    จึงคิดใหม่ว่า   พระอุปัชฌาย์ของเรามีปัญญาดีแท้    จึงกล่าวขออภัยท่านในการคิดล่วงเกิน

   พระโรหณะกล่าวว่า  "จะอภัยโทษล่วงเกินด้วยเหตุเพียงเท่านี้   หาสมควรไม่   นาคเสนต้องไปทำกิจพระศาสนาอย่างหนึ่งให้สำเร็จ   เราจึงจะอภัยโทษให้  คือ มีพระราชานามว่า มิลินท์ ในสาคลราชธานี   ทรงโปรถถามปัญหาต่างๆ   ให้เธอไปทำพระราชาองค์นั้นให้เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว   นั่นคือการอภัยโทษของเรา"

   พระนาคเสนตอบว่า "อย่าว่าแต่เพียงพระเจ้ามิลินท์องค์เดียวเลย   แม้ร้อยแห่งพระเจ้ามิลินท์   ท่านก็สามารถให้เลื่อมใสได้"...........



1502
ขอบพระคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

1503
ขออนุญาตแจมด้วยครับ

บุญใดจะวิเศษยิ่งกว่าทำบุญกับพ่อแม่
คัดจากฐานิยปูชาปี ๒๕๔๑

ถ้าหากเราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เราไม่ดี เราไปตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่าเรายื่นอาหารให้คุณพ่อคุณแม่เรารับประทานเพียงครั้งเดียว คนเราในเมื่อเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ดี ไปเที่ยวหาเลี้ยงคนอื่นมันจะมีประโยชน์อะไร บางทีเราทำกับข้าวส่งกลิ่นหอมฉุย ยายแก่ได้กลิ่น เดินมือไพล่หลัง หลังค่อมๆ   ”อูย...น่ารับประทานจังเลย แม่ขอชิมหน่อยได้ไหม” “ไม่ได้ๆ ฉันจะไปทำบุญ อย่ามายุ่ง ยายแก่นี่” ตกนรกตายเลย นี่คือสูตรแห่งการทำบุญ มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เลี้ยงดูบิดามารดาให้ดี เอตัมมังคลมุตตมัง

 เป็นมงคลอันสูงสุด แม้แต่พวกภูติผีปีศาจยักโขอะไร เวลามันทะเลาะกันมันเถียงกัน คำว่าท่านต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ใช่ไหม มันจะต้องถามกันเสมอ

            พระปิตุลากับลักษมัณเถียงกัน ทีนี้พระปิตุลาหาว่าลักษมัณเด็กน้อยจองหอง ถ้าไม่นึกสงสารจะฆ่ามันเสียเดี๋ยวนี้ ลักษมัณก็คว้าลูกศร เราเป็นวรรณะกษัตริย์ ไม่เคยปฏิเสธคำท้าใคร แต่ว่าเราเป็นวรรณะกษัตริย์ ๑. ไม่ฆ่าสมณพราหมณ์ ๒. ไม่ฆ่าผู้หญิง ๓. ไม่ฆ่าโค นี่เพราะประเพณีอันนี้มันบังคับเราอยู่ ไม่งั้นพระปิตุลาแหลกไปตรงนี้ แล้วท่านบำเพ็ญตบะเดชะ มีอิทธิฤทธิ์ ทำไมมีแต่ความโหดร้าย ทำไมไม่มีความดีสักหน่อยหนึ่ง ท่านไม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของท่านหรืออย่างไร ลักษมัณต่อว่าคนแก่ เพราะฉะนั้น ทำบุญอันใดหนอจะไปวิเศษยิ่งกว่าทำบุญกับพ่อกับแม่.
[/color]

ขอบคุณที่มา
http://mahamakuta.inet.co.th/practice/mk732.html

พ่อแม่คือพระอรหันต์ในบ้านเราเอง เปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เสมอไม่มีเสื่อมคลาย ใครได้บูชาเลี้ยงดู ไม่มีตกไปอบายภูมิ :054:

1504
เพิ่มเติม
2/2   

เมื่อบุคคลทั้งสองนั้นท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทพยดาและมนุษย์ ก็ล่วงมาถึง ๑ พุทธันดรพระพุทธเจ้าเราทั้งหลายผู้เป็นที่พึ่งของโลกได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า
ความเกิดขึ้นแห่งพระเถระ มีพระโมคคลีบุตรติสสเถระและพระอุปคุตตเถระเป็นต้นจักปรากฎฉันใด ความเกิดขึ้นแห่งบุคคลทั้งสองนั้น ก็จะปรากฎฉันนั้น

เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ ๕๐๐ ปีแล้ว บุคคลทั้งสองนั้นจักเกิดขึ้นธรรมวินัยอันใด อันเป็นของสุขุมที่เราแสดงไว้ ธรรมวินัยอันนั้นบุคคลทั้งสองนั้นจักแก้ไขให้หมดฟั่นเฝื่อด้วยการไต่ถามปัญหากัน ดังนี้

ต่อมาสามเณรนั้น ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนครอันมีในชมพูทวีปพระเจ้ามิลินท์นั้นเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาดมีความคิดดีสามารถรู้เหตุการณ์อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันได้

เป็นผู้ใคร่ครวญในเหตุการณ์ถี่ถ้วนทุกประการ เป็นผู้ได้ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆไว้เป็นอันมาก ถึง ๑๘ ศาสตร์ด้วยกัน รวมเป็น ๑๙ กับทั้งพุทธศาสตร์

ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการคือ

๑. รู้จักภาษาสัตว์มีเสียงนกร้อง เป็นต้นว่าร้ายดีประการใดได้สิ้น
๒. รู้จักกำหนิดเขาและไม้ เป็นต้นว่า ชื่อนั้น ๆ
๓. คัมภีร์เลข
๔. คัมภีร์ช่าง
๕. คัมภีร์นิติศาสตร์รู้ที่จะเป็นครูสั่งสอนท้าวพระยาทั้งปวง
๖. คัมภีร์พาณิชยศาสตร์รู้ที่จะเลี้ยงฝูงชนให้เป็นสิริมงคล
๗. พลศาสตร์ รู้นับนักขัตฤกษ์รู้ตำราดวงดาว
๘. คันธัพพศาสตร์ รู้เพลงขับร้องและดนตรี
๙. เวชชศาสตร์รู้คัมภีร์แพทย์
๑๐. ธนูศาสตร์ รู้ศิลปะการยิงธนู
๑๑. ประวัติศาสตร์
๑๒. ดาราศาสตร์ รู้วิธีทำนายดวงชะตาของคน
๑๓. มายาศาสตร์ รู้ว่านี่เป็นแก้วนี่มิใช่แก้ว เป็นต้น
๑๔. เหตุศาสตร์ ผลศาสตร์ รู้จักเหตุรู้จักผลจะบังเกิด
๑๕. ภูมิศาสตร์รู้จักที่จะเลี้ยงโคกระบือรู้จักการที่จะจะหว่านพืชลงในนาไร่ให้เกิดผล
๑๖.ยุทธศาสตร์ รู้คัมภีร์พิชัยสงคราม
๑๗. ลัทธิศาสตร์ รู้คัมภีร์โลกโวหาร
๑๘.ฉันทศาสตร์ รู้จักคัมภีร์ผูกบทกลอนกาพย์โคลง

พระเจ้ามิลินท์นั้นมีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก ปรากฎยิ่งกว่าพวกเดียรถีทั้งปวงไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา ทั้งประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ คือ
๑. มีเรียวแรงมาก
๒. มีปัญญามาก
๓. มีพระราชทรัพย์มาก

อยู่มาคราวหนึ่งพระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จออกจากพระนครด้วยพลนิกรเป็นอันมากหยุดอยู่นอกพระนครแล้วตรัสแก่พวกอำมาตย์ว่า

"เวลายังเหลืออยู่มากเราจะทำอะไรดีเราจะกลับเข้าเมืองก็ยังวันอยู่สมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ที่ยืนยันว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ใดหนอ อาจสนทนากันเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้"

เมื่อตรัสอย่างนี้ พวกโยนกข้าหลวงทั้ง ๕๐๐ ก็กราบทูลขึ้นว่า

"ข้าแต่มหาราชาเจ้า บัณฑิตที่จะพอสนทนากับพระองค์ได้นั้นมีอยู่ คือครูทั้ง๖ อันได้แก่ปรูณกัสสป มักขลิโคลาส นิคัณฐนาฎบุตรสญชัยเวฬฎฐบุตร อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะพระเจ้าข้า ครูทั้ง ๗ นั้นเป็นเจ้าหมู่คณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียงปรากฎ มียศบริวารมีผู้คนนับถือมากขอมหาราชาเจ้าจงเสด็จไปไต่ถามปัญหา ต่อคณาจารย์เหล่านั้นเถิดคณาจารย์เหล่านั้นจะตัดความสงสัยของพระองค์ได้ พระเจ้าข้า

คัดลอกมาจาก  http://www.geocities.com/milintapanha/milinindex.html

1505
เพิ่มเติม
1/2

บุพพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสน

กล่าวคือ เมื่อครั้งศาสนาของสมเด็จพระพุทธกัสสปโน้น
มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าวิชิตาวีเสวยราชอยู่ในสาครนครราชธานี

พระองค์ทรงอนุเคราะห์มหาชนด้วยสัคหวัตถุ ๔สร้างมหาวิหารลงไว้แม่น้ำคงคา ถวายพระเถระทั้งหลายที่ทรงคุณธรรมต่าง ๆ กันมีทรงพระไตรปิฎก เป็นต้นทั้งบำรุงด้วยปัจจัย ๔

เมื่อพระองค์ทรงสิ้นแล้วก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเป็น พระอินทร์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์นั้นและมหาวิหารที่ท้าวเธอทรงสร้างไว้ ถึงพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ดีก็มีพระภิกษุอาศัยอยู่เป็นอันมาก

ในพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นพระภิกษุทั้งหลายผู้สมบูญด้วยข้อวัตรเป็นอันดี เช้าขึ้นก็ถือเอาไม้กวาดด้ามยาวแล้วนึกถึงพระพุทธคุณ แล้วจึงพากันกวาดบริเวณพระเจดีย์กวาดเอาหยากเยื่อไปรวมเป็นกองไว้

มีพระภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลองค์หนึ่งเรียกสามเณรองค์หนึ่งว่า

"จงมานี้...สามเณร ? จงหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งเสีย"

สามเณรนั้นก็เฉยอยู่ เหมือนไม่ได้ยินพระภิกษุองค์นั้นเรียกสามเณรนั้นถึง ๓ ครั้งเห็นสามเณรนั่งนิ่งเฉยอยู่เหมือนไม้ได้ยินก็คิดว่า สามเณรองค์นี้หัวดื้อจึงไปตีด้วยด้ามไม้กวาด สามเณรก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดแล้วหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งด้วยความกลัว

เมื่อหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งนั้นได้ปรารถนาว่า
“ ด้วยผลบุญที่เราได้หอบหยากเยื่อมาทิ้งนี่หากเรายังไม่ถึงนิพพานเพียงใดเราจะเกิดในภพใด ๆ ก็ตาม ขอให้เรามีเดชเหมือนกับดวงอาทิตย์เที่ยงวันฉะนั้นเถิด"

สามเณรตั้งความปรารถนาดังนี้แล้วก็เดินไปอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา ดำผุดดำว่ายเล่นตามสบายใจ

เมื่อสบายใจแล้วก็ได้เห็นละลอกคลื่นในแม่น้ำนี้มากมายนักหนาก็ยินดีปรีดาจะใคร่มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่รู้สุดรู้สิ้น ดุจลูกคลื่นในแม่น้ำนั้นและได้คิดว่าอาจารย์ได้ใช้ให้เราหอบเอาหยากเยื่อมาทิ้งนี้ ไม่ใช่เป็นกรรมของเราทั้งไม่ใช่เป็นกรรมของอาจารย์แต่เป็นการอนุเคราะห์เราให้ได้บุญเท่านั้น

ครั้นคิดดังนั้นแล้ว จึงปรารถนาขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
“ข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพานตราบใดไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไม่รู้สิ้นสุดเหมือนกับลูกคลึ่นในแม่น้ำคงคานี้เถิด”

ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์นั้นเมื่อเอาไม้กวาดไปเก็บไว้ที่โรงเก็บไม้กวาดแล้ว ก็ลงที่ท่าน้ำคงคาเพื่อจะอาบน้ำก็ได้ยินเสียงสามเณรตั้งความปรารถนา จึงคิดว่า
ความปรารถนาของสามเณรนี้เป็นความปรารถนาใหญ่ จะสำเร็จได้เพราะอาศัยพระพุทธคุณ

คิดดังนี้แล้วจึงหัวเราะขึ้นด้วยความดีใจว่า สามเณรนี้ถึงเป็นผู้ที่เราใช้ก็ยังปรารถนาอย่างนี้ความปรารถนาของสามเณรนี้ จักสำเร็จเป็นแน่แท้ คิดดังนี้แล้ว จึงตั้งความปรารถนาว่า
“ข้าพเจ้ายังไม่สำเร็จนิพพานตราบใดขอให้ข้าเจ้ามีปัญญาหาที่สุดมิได้เหมือนกับฝั่งแม่น้ำคงคานี้ ให้เป็นผู้สามารถแก้ไขปัญหาปฎิภาณทั้งปวงที่สามเณรนี้ไต่ถามได้สิ้น
ให้สามารถชี้แจงเหตุผลต้นปลายได้เหมือนกับบุรุษที่ม้วนกลุ่มด้ายสางด้ายอันยุ่งให้รู้ได้ว่า ข้างต้นข้างปลายฉะนั้นด้วยอำนาจบุญที่ข้าพเจ้าได้กวาดวัด และใช้สามเณรให้นำหยากเยื่อมาเททิ้งนี้เถิด"


คัดลอกมาจาก  http://www.geocities.com/milintapanha/milinindex.html

1506
3......จบ

อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่า น้ำร้อนแม้ว่าแสนจะ(ร้อนจน)เดือดก็ย่อมทำไฟกองใหญ่ที่กำลังลุกโพลงให้ดับได้ ฉันใด สมณะทุศีล แม้ว่าแสนวิบัติ ก็ยังชำระทักขิณาทานของทายกทั้งหลายให้หมดจดได้ ฉันนั้น

หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่าโภชนาหาร แม้ว่าหารสชาติมิได้ ก็ยังใช้กำจัดความหิว ความอ่อนเพลียได้ ฉันใด, สมณะทุศีล แม้ว่าแสนวิบัติ ก็ยังชำระทักขิณาทานของทายกทั้งหลายให้หมดจดได้ ฉันนั้น

ขอถวายพระพร พระตถาคตผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเหล่าเทพ ทรงภาษิตข้อความนี้ไว้ในทักขิณาวิภังคพยาการณ์(ทักขิณาวิภังคสูตร)ในปกรณ์มัชฌิมนิกายอันประเสริฐว่า..

โย  สีลวา  ทุสฺสีเลสุ  ททาติ  ทานํ,

ธมฺเมน  ลทฺธํ  สุปสนฺนจิตฺโต

อภิสทฺทหํ  กมฺมผลํ  อุฬารํ,

สา  ทกฺขิณา  ทายกโต  วิสุชฺฌติ.

บุคคลใดเป็นผู้มีศีล มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อมั่นอยู่

ให้ทานที่ได้มาโดยธรรม ในบุคคลผู้ทุศีลทั้งหลาย

บุคคลนั้นย่อมได้รับผลของกรรมมากมาย

ทักขิณานั้น ชื่อว่า หมดจดโดยทางทายก(ผู้ให้ทาน)

พระเจ้ามิลินท์ - น่าอัศจรรย์จริง พระคุณเจ้านาคเสน น่าแปลกจริง ข้าพเจ้าได้ถามปัญหาถึงเพียงนั้นแล้ว ท่านก็ได้เปิดเผยถึงปัญหานั้น ทำให้มีรสชาติอร่อย เป็นอมตะให้น่าฟังด้วยอุปมา ด้วยเหตุผลทั้งหลายมากมาย, ข้าแต่พระคุณเจ้า เปรียบเหมือนว่า พ่อครัวหรือลูกมือของพ่อครัว ได้เนื้อถึงเพียงนั้นแล้ว ก็ใช้เครื่องปรุงหลายอย่างต่างๆกัน มาปรุงให้สำเร็จเป็นเครื่องเสวยของพระราชา ฉันใด, พระคุณเจ้านาคเสน ข้าพเจ้าได้ถามปัญหาถึงเพียงนั้นแล้ว ท่านก็ได้เปิดเผยปัญหานั้น ทำให้มีรสชาติอร่อย เป็นอมตะ ให้น่าฟังด้วยอุปมา ด้วยเหตุผลทั้งหลายมากมาย ฉันนั้น.

(หนังสือมิลินทปัญหา มูลนิธิปราณี สำเริงราชย์ จัดพิมพ์เผยแพร่)


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/02/25/entry-1

1507
2.

ขอถวายพระพร สมณะทุศีลยังมีคุณธรรมยิ่งกว่าคฤหัสถ์ผู้ทุศีลโดยพิเศษอยู่ ๑๐ ประการเหล่านี้แล..

ยังชำระทักขิณาทานให้หมดจดยิ่งๆขึ้นไปได้ เพราะเหตุ ๑๐ ประการ อะไรบ้าง?


- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความที่ทรงเสื้อเกราะ(ผ้ากาสาวพัสตร์) อันหาโทษมิได้

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะการได้ทรงเพศคนหัวโล้น ผู้มีสมัญญาว่า ฤาษี (ภิกษุ)

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความที่เข้าถึงความเป็นตัวแทนสงฆ์ที่เขานิมนต์

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความเป็นผู้เข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความเป็นผู้อยู่อาศัยในบ้านพักอาศัย คือความเพียร

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะมีการแสวงหาทรัพย์ คือพระศาสนาของพระชินวรพุทธเจ้า

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะมีการแสดงธรรมที่ยอดเยี่ยม

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความที่มีพระธรรมเป็นประทีปส่องคติที่ไปเบื้องหน้า

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความที่มีความเห็นตรงแน่นอนว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นยอดบุคคล"

- ย่อมชำระทักขิณาทานให้หมดจดได้ แม้เพราะความที่การสมาทานอุโบสถ

ขอถวายพระพร สมณะทุศีลยังชำระทักขิณาทานให้หมดจดยิ่งๆขึ้นไปได้ เพราะเหตุ ๑๐ ประการเหล่านี้แล.

ขอถวายพระพร เป็นความจริงว่า สมณะทุศีลแม้ว่าแสนวิบัติ ก็ยังชำระทักขิณาทานของทายก(ผู้ให้ทาน)ทั้งหลายให้หมดจดได้. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า น้ำ แม้ว่าแสนจะขุ่นข้น ก็ยังใช้กำจัดโคลนตม เหงื่อไคล ขี้ฝุ่นได้ ฉันใด สมณะทุศีล แม้ว่าแสนวิบัติ ก็ยังชำระทักขิณาทานของทายกทั้งหลายให้หมดจดได้ ฉันนั้น


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/02/25/entry-1

1508
อะไรเป็นข้อแตกต่างกันระหว่างคฤหัสถ์ทุศีลกับสมณะทุศีล
(ทุสสีลปัญหา)


พระเจ้ามิลินท์ - พระคุณเจ้านาคเสน อะไรเป็นความแปลกกัน, อะไรเป็นข้อแตกต่างระหว่างคฤหัสถ์ทุศีลกับสมณะทุศีล บุคคลทั้งสองนี้ มีคติเสมอเหมือนกันหรือ ทานที่ให้แก่บุคคลทั้ง ๒ มีวิบากเสมอเหมือนกันหรือ หรือว่ายังมีอะไรที่เป็นข้อแตกต่างกันอยู่อีก?

พระนาคเสน - ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมณะทุศีลยังมีคุณธรรมยิ่งกว่าคุณธรรมของคฤหัสถ์ผู้ทุศีลโดยพิเศษอยู่ ๑๐ ประการเหล่านี้ และยังชำระทักขิณาทานให้หมดจดยิ่งๆขึ้นไป เพราะเหตุ ๑๐ ประการ คือ...

สมณะทุศีลในพระศาสนานี้...

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระพุทธเจ้า

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระธรรม

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระสงฆ์

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในเพื่อนพรหมจารี

- ยังพยายามในอุเทศ (การเรียนพระบาลี) และปริปุจฉา (การเรียนอรรถกถา)

- ยังเป็นผู้มากด้วยการสดับตรับฟัง

- ขอถวายพระพร ผู้เป็นสมณะแม้ว่าศีลขาด เป็นคนทุศีล เมื่อไปท่ามกลางบริษัทแล้ว ก็ยังรักษาอากัปกิริยาไว้ได้ รักษาความประพฤติทางกายไว้ได้ ความประพฤติทางวาจาไว้ได้ เพราะกลัวการติเตียน

- ยังมีจิตบ่ายหน้าตรงต่อความเพียร

- ยังเป็นผู้เข้าถึงสมัญญาว่า "ภิกษุ"

- ขอถวายพระพร สมณะทุศีล แม้เมื่อจะทำกรรมชั่ว ก็ย่อมประพฤติอย่างปิดบัง ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า หญิงมีสามีย่อมประพฤติชั่วช้าเฉพาะแต่ในที่ลับเท่านั้น ฉันใด, สมณะทุศีล แม้เมื่อจะทำกรรมชั่ว ก็ย่อมประพฤติอย่างปิดบัง ฉันนั้นเหมือนกันแล.


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/02/25/entry-1

1509
อ้างถึง
...ชีวิตนี้ไม่ยืนยาวอย่างที่คิด
ควรจะใช้ชีวิตให้ถูกที่
ทำชีวิตให้พอเพียงและพอดี
ทุกอย่างมีเหตุและผลค้นให้เจอ
:054:
ชีวิตคนเราแสนสั้น ถ้าจะรู้ตัวก็เกือบสาย เมื่อรู้แล้วก็ควรน้อมนำเร่งศึกษาพระธรรม  :054:

ปล..ผมชอบบรรยากาศที่ ตถตาอาศรม โดยเฉพาะช่วงฝนตก ไปถึงหลังฝนตก  :015:

1510
ขอบคุณท่านปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
==========
เหลืออีก 3 วัน จะถึงวันวิสาขบูชาแล้ว
==========
การประพฤติพรหมจรรย์เป็นมงคล

พรหมจรรย์ คือหลักการประพฤติธรรมอันประเสริฐ ในการสังวรสำรวมเพื่อละคลายความกำหนัด เพื่อดับทุกข์ อันเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน ความหมายของพรหมจรรย์มีหลายอย่าง ท่านกล่าวไว้ในที่ต่างๆว่า...

ทาน ก็ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะละคลายความตระหนี่

เบญจศีล ก็ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะไม่ทำให้ศีลขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่างพร้อย

ความเพียร ก็ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะเพียรเพื่อสำรวมระวังบาปอกุศล

อริยมรรค ก็ชื่อว่า พรหมจรรย์ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็น เบื้องต้นของพรหมจรรย์ ส่วนความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์.

การประพฤติพรหมจรรย์ ก็เพื่อจะละอนุสัย คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มีกามราคะ ความขัดเคืองใจ ความเห็นผิด ความลังเลสงสัย ความถือตัว ความใคร่ในภพ และความไม่รู้ในสิ่งที่ตามความเป็นจริง คืออวิชชา เพื่อความดับทุกข์ อันเป็นหนทางหยั่งลงสู่พระนิพพาน

ท่านกล่าวว่า การประพฤติพรหมจรรย์นี้ ไม่สามารถประพฤติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ต้องออกจากเรือนบวช เพราะมีเวลาที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติ ไม่มีกิจการงานคือกสิกรรม หรือพาณิชย์กรรมใด ส่วนชีวิตฆราวาสนั้นคับแคบ เพราะโอกาสที่จะได้ทำกุศลน้อยมาก เป็นที่รวมแห่งกิเลสดุจกองหยากเยื่อ เพราะฉะนั้น การประพฤติพรหมจรรย์ จึงไม่ใช่การอยู่ครองเรือน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การประพฤติพรหมจรรย์เป็นมงคล.

ตะโป จะ พฺรัหฺมจะริยัญจะ    อริยะสัจจานะทัสสะนัง

นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ     เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

เพียรเผากิเลส ประพฤติพรหมจรรย์     การเห็นอริยสัจ

การกระทำพระนิพพานให้แจ้ง     นี้เป็นมงคลอันอุดม


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/05/04/entry-1

1511
เพื่อเป็นการศึกษาหาความรู้ ผิดถูกประการใด ต้องขออภัย :054:
==========================

ไสยศาสตร ์คาถา และ เลขยันต์


ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้ ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ 1. ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า

2. ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า

3. สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม

4. อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย อาถรรพเวทย์

อาถไสยศาสตร์. อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ 1. นิกายขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย

2. นิกายดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์คาถา

มี 8 ประเภทคือ

1. พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ

2. พระเวทย์ประสาน

3. พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน

4. พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด

5. พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์

6. พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น

7. พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ

8. พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ


ที่มา
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thamgai&month=04-2008&date=07&group=4&gblog=1

1512
ความเชื่อเรื่องเคล็ดกับการแก้เคล็ด

ความเชื่อเรื่องเคล็ดและการแก้เคล็ดเป็นวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยและการขอให้สิ่งที่ต้องกระทำบางอย่าง แต่การกระทำเช่นนั้นถูกสั่งห้ามกระทำ เมื่อฝืนกระทำลงไปจึงต้องมีการแก้เคล็ด และการแก้เคล็ดนั้นมีหลายวิธีดังต่อไปนี้

1.ผู้หญิงมีครรภ์ห้ามดูจันทรคราสและสุริยคราส คนแก่มักห้ามผู้หญิงมีครรภ์ดูจันทรคราส เพราะมีความเชื่อว่าทารกในท้องจะเกิดมาพิการ หากหญิงมีครรภ์นั้นต้องการจะดูจันทรคราสจะต้องแก้เคล็ดด้วยการนำเข็มกลัดมากลัดไว้มี่ขอบชายผ้านุ่งหรือกางเกง

2.ผูกดวงการผูกดวงนั้นมีหลายวิธี เช่น บุตรไม่สบายรักษาอย่างไรก็ไม่หายบิดามารดามักทำพิธีผูกดวงของบุตรให้ไปเป็นบุตรของคนอื่น การผูกดวงนั้นทำได้โดยการให้ผู้มาขอผูกดวงเป็นบุตรนำสายสิญจน์ที่เสกด้วยคาถาแล้วมาผูกข้อมือและบอกกล่าวดังๆ ว่าขอรับเป็นบุตรตั้งแต่วันนี้ และพการเจ็บป่วยไม่สบายที่รักษาไม่หายก็ขอให้หายเถิด ซึ่งเป็นการบอกกล่าวให้ทราบเป็นเคล็ดว่าได้เป็นบุตรของคนอื่นแล้ว อาการเจ็บป่วยนั้นจะค่อยๆหายเป็นปกติ

3.เปลี่ยนชื่อ การเปลี่ยนชื่อเป็นอีกวิธีหนึ่งในการแก้เคล็ดการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายหรือการมีชีวิตที่ไม่ค่อยสมหวังทั้งในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ และการงานอาชีพเพราะพยัญชนะบางตัวที่ประกอบเป็นชื่อเรานั้นเป็นอักษรกาลกิณี บุคคลผู้นั้นจึงมักเจ็บป่วย รักษาไม่หาย หรือมีปัญหาในชีวิตอยู่ตลอด  จึงต้องดูว่าในชื่อของเรานั้นมีตัวอักษรกาลกิณีอยู่ไหม ถ้ามีก็ให้เปลี่ยนชื่อใหม่เสีย มีบุคคลจำนวนมากที่เปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตดีขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้น การเจ็บป่วยเรื้อรังที่รักษามานานปีก็หายเป็นปกตินับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเหมือนกัน

4.เปลี่ยนที่นอนผู้ใดต้องการมีบุตรชายหรือหญิงจะต้องเปลี่ยนที่นอนอย่านอนซ้ำที่เดิม หากบุตรคนแรกเป็นชาย คนที่สองต้องการให้เป็นผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนที่นอนโดยเชื่อกันว่าเป็นการแก้เคล็ดให้ได้บุตรหญิง

5.อมพระหรือแขวนพระ การอมพระหรือแขวนพระ ไว้ด้านหลังขณะที่กำลังถ่ายอุจจาระปัสสาวะนั้น มีความเชื่อว่าจะไม่ทำให้พระซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังเสื่อมถอยหรือหมดความขลังได้

6.สุนัขกัดสุนัขที่กัดตนนั้นถ้ารู้ว่าใครเป็นเจ้าของให้นำแผลที่สุนัขกัดนั้นไปให้เจ้าของสุนัขทาเกลือหรือทายาให้เพราะมีความเชื่อว่าแผลจะหายเร็วกว่าปกติ และสุนัขตัวนั้นจะไม่กัดคนนั้นอีกเลย


ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=24714

1513
     โชคลางสังหรณ์

ชาวชนบทมักเชื่อว่าสัตว์บางชนิดเป็นสื่อแห่งหายนะและจะนำหายนะมาสู่ตนและครอบครัว ตัวอย่างของสัตว์ต่างๆเหล่านั้นมีดังต่อไปนี้

1.จิ้งจก ผู้ที่กำลังจะออกจากบ้าน เพื่อไปทำธุระยังสถานที่ใดหากได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก นั่นแสดงว่าจิ้งจกได้บอกลางร้ายให้รับรู้ว่าถ้าผู้นั้นฝืนเดินทางต่อไปอีกจะต้องเกิดอันตรายต่อเขา บางคนที่มีความเชื่อเช่นนี้มักงดการเดินทาง

2.นกแสกบ้านใดที่มีนกแสกมาเกาะที่หลังคาบ้าน แล้วส่งเสียงร้องอยู่ตลอดเวลา นั่นแสดงว่านกแสกได้นำข่าวร้ายมาสู่บ้านนั้น ซึ่งอาจจะเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วยของญาติพี่น้องหรือสมาชิกในบ้านนั้น หรืออาจมีการตายเกิดขึ้นของญาติสนิท เชื่อกันว่านกแสกเป็นทูตแห่งยมบาล หากนกแสกบินมาจากทิศใดก็เชื่อว่าถ้าเป็นญาติกับคนที่บ้านนั้นจะต้องมีข่าวร้ายมาบอก

3.แมวดำหากแมวดำวิ่งผ่านตัดหน้าบุคคลใดในยามวิกาลจะต้องเป็นคืนที่เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ความตายของบุคคลนั้น แมวดำวิ่งผ่านตัดหน้าเป็นการเตือนล่วงหน้าว่า ถ้าผู้นั้นฝืนเดินทางต่อไปอีกจะต้องประสบอุบัติเหตุแน่นอนแมวดำเชื่อว่ามีวิญญาณสิงอยู่หากวิ่งข้ามศพใครศพนั้นจะต้องฟื้นคืนชีพเพราะวิญญาณที่มากับแมวดำเข้าสิงสู่

4.ผีเสื้อบินข้ามบ้านหากผีเสื้อเดินข้ามบ้านใด นั่นแสดงว่าผีเสื้อได้บอกลางดี จะมีคนมาเยี่ยมเยียนในเวลาไม่ช้าและนำข่าวดีมาสู่บ้านนั้น

5.สุนัขเห่าพร้อมหอนยามวิกาลหากสุนัขเห่าหอนในยามวิกาล นั่นแสดงว่ามีวิญญาณมาวนเวียนเพื่อขอส่วนบุญกุศล เจ้าของบ้านต้องบอกกล่าวให้ไปก่อนแล้วพรุ่งนี้จะทำบุญอุทิสไปให้ เชื่อกันว่าถ้าเจ้าของบ้านบอกกล่าวเช่นนี้แล้ววิญญาณนั้นจะจากไป สุนัขก็จะหยุดเห่าหอน

6.เรียงถ้วยแกงขณะกินข้าว หากเรียงถ้ายแกงหรือกับข้าวในเวลากินข้าวอยู่นั้นจะมีคนมาเยี่ยมเยียนและนำข่าวดีมาบอก

7.มดเข้าบ้านการที่มดเข้าบ้านคนนั้นแสดงให้รู้ว่าฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนอีกๆไม่กี่วันข้างหน้านี้ มดมักเข้ามาหลบภัยยามหน้าฝน หรือตอนที่กำลังจะมีอุทกภัย เมื่อหมดฤดูน้ำหลาก หรือหมดฝน มดก็จะอพยพออกจากบ้านไป

8.นิมิตฝันว่าฟันหักการฝันว่าฟันหักจะมีญาติตาย ถ้าเป็นฟันหน้าบนเชื่อว่าบิดามารดาจะตาย ถ้าเป็นฟันหน้าล่างเชื่อว่าญาติสนิทจะตาย


ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=24714

1514
ท่านใดมีข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นหรือประสบการณ์ ขอเรียนเชิญเลยนะครับ
===================

ข้อห้ามทางกาละ

1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่
2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน
3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม
4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ
5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม
6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ
7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ
8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง
9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ
10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก
11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู
12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)
13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด
14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น
15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม
16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม
17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม
18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว
19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที
20.ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว)
21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล


ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=24714

1515
วิธีแก้การผูกมัดจิตและแก้ของที่กระทำทุกอย่าง

ให้นำของที่เก็บไว้ทุกอย่างออกมาแล้วจุดธูป5ดอกแล้วประนมมือสวดพระคาถาแก้ว่า---สมุหะเนยยะ สะมุหะนะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง พัทธเสมายัง สะมุหะติตัพโพ เอวัง เอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทธคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดหาย นะเคลื่อน โมคลาย พุทธหาย ธาแก้สวาหะ สวาหาย

เมื่อท่องพระคาถาแก้ครบ3จบแล้วให้นำสิ่งของเหล่านั้นไปโยนทิ้งในแม่น้ำที่มีน้ำไหลขณะโยนทิ้งให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เป็นอันเสร็จพิธีการแก้เพียงเท่านี้


การบูชาพระราหู

เมื่อรู้สึกว่าดวงไม่ดีหรือพระราหูแทรกให้จุดธูปดำ12ดอกแล้วปักไว้สวดด้วยพระคาถาบูชาพระราหู12จบว่าดังนี้-

คาถาสุริยะบัพภา การบูชากลางวัน
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติฯ

คาถาจันทรบัพภา การบูชากลางคืน
ยัดถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ กาเสกัง
กาติยังมะมะ ยะติกาฯ



ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=24714

1516
ตอนนี้ บรรยากาศเป็นใจมากเลยครับ
มีฝนตกฟ้าร้องกลางดึก ผู้คนหลับใหล แสงไฟวอบแวบจากโคมตัวเดียว :048:

ปล...ทำไมเสียงตุ๊กแกหายไป มันไม่ร้อง ปกติหลังบ้านจะมีตุ๊กแกร้องให้ฟังทุกคืนเลยครับ :003:

1517
ผีรัสเซีย

ขนหัวลุก
ใบหนาด

อเล็กซ์ ณ บางใหญ่ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากดินแดนคอมมิว นิสต์ในอดีต

เป็น ที่รู้กันทั่วไปว่าคนเราส่วนมากมักจะกลัวผี ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ภาษาใดก็กลัวผีทั้งสิ้น จะมีแตกต่างกันก็ตรงที่กลัวน้อยกลัวมากเท่านั้น ว่ากันว่า คนที่ชอบประกาศว่าตนไม่กลัวผี มักจะเป็นคนกลัวผีมากที่สุด!

นอกจากผีใกล้ๆ ตัวอย่างผีจีน ผีญี่ปุ่น ก็มีผีของฝรั่งอั้งม้อเช่นอังกฤษและอเมริกา เป็นต้น

ผี สองแห่งหลังนี้ค่อนข้างจะเป็นที่คุ้นเคยกับไทยเราดี เพราะมีทั้งนิยายและภาพยนตร์เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เช่น เคานต์แดร๊กคูล่า, ผีดิบแฟรงเก้นสไตน์ จนถึงผีหมาป่า และผีที่สิงสู่ตามบ้านเรือนตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ เป็นต้น

แม้แต่ในทำเนียบขาวก็ถือว่าเป็นแหล่งผีดุแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีผู้พบวิญญาณประธานาธิบดีลินคอล์นผู้โดนลอบสังหาร ปรากฏกายอยู่ในห้องทำงานเป็นประจำ

ส่วนในอังกฤษที่ถือว่าเป็นประเทศเก่าแก่ยาวนานนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองหลวงแห่งเรื่องผีของโลกก็ว่าได้!

การ ชิงรักหักสวาทในราชสำนักทำให้เกิดการฆ่าฟัน ประหารชีวิต จนล้มตายเป็นเบือ วิญญาณอันเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานเหล่านั้นยังสิงสู่อยู่ วันดีคืนดีก็ออกมาหลอกหลอนผู้คนให้อกสั่นขวัญแขวนเสียทีหนึ่ง

ตรงกัน ข้ามกับประเทศขนาดใหญ่ในยุโรป คือ รัสเซีย กลับมีเรื่องผีๆ สางๆ ปรากฏขึ้นน้อยที่สุด ทั้งๆ ที่มีการปฏิวัติ เข่นฆ่าผู้คนจนล้มตายมากมาย แม้แต่กษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนคณะปฏิวัติบอลเชวิกล้างผลาญจนแทบไม่เหลือซาก ก็ว่าได้

อย่ากระนั้นเลย วันนี้นำเรื่องผีรัสเซียที่ได้รับการยืนยันว่ามีจริง มาเล่าสู่กันฟังดีกว่า

"เบ เรีย" คือหัวหน้าตำรวจลับของจอมพลสตาลิน ผู้นำแห่งดินแดนค้อน-เคียว มีอำนาจล้นฟ้าล้นดิน สั่งจับใครไปคุมขังหรือทรมาน แม้แต่ประหารชีวิตได้ตามใจชอบ คนรัสเซียทั้งเกลียดทั้งกลัวกันทั้งประเทศ แต่ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้อง หรือท้าทายอำนาจอันไร้ขอบเขตของนายเบเรียแม้แต่คนเดียว!

นายเบ เรียได้กระทำกรรมเวรเอาไว้เป็นอันมาก จนกระทั่งจอมพลสตาลินตายไปแล้ว นายเบเรียก็พลอยหมดบุญวาสนาไปตามเจ้านาย ต่อมานายครุสชอฟได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่นานก็สั่งให้จับนายเบเรียไปประหาร ชีวิต เรียกว่ากรรมสนองกรรม หรือ "กรรมติดจรวด"

แต่เมื่อนายเบเรียตายไปแล้ว ชาวรัสเซียก็ต้องกลัวผีนายเบเรียต่อไปอีก!

บ้าน นั้นกลายเป็นที่ชุมนุมของแมวดำนับร้อยๆ ตัว พวกฝรั่งถือว่าแมวดำเป็นสิ่งใกล้ชิดกับผี จึงทั้งเกลียดทั้งกลัวแมวดำ ชาวรัสเซียยิ่งหวาดกลัวและเชื่อแน่ว่าบ้านนี้มีผีสิงอยู่

ชาวรัสเซีย และชาวต่างชาติที่เคยเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น หรือใกล้บ้านนั้น แม้แต่ผ่านบ้านนั้น ล้วนแต่เล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าในบ้านนั้นมีปรากฏการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นทุกคืน

บางทีมีเสียงโหยหวนน่าขนลุกดังออกมาชัดเจน!

บางคืนก็มีแสงประหลาดลอยอยู่บนหลังคาบ้าน...วิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิงไป!

บ้าน นั้นเคยเป็นบ้านร้างพักหนึ่ง แล้วใช้เป็นโรงเรียนอนุบาล แต่พอเปิดเรียนได้ไม่นาน ผู้ปกครองก็เอาเด็กออกจากโรงเรียนให้ไปเรียนที่อื่น เมื่อนักข่าวไปสัมภาษณ์ก็ได้ความว่าเด็กของตนกลายเป็นโรคประสาท เป็นโรคขี้กลัว หวาดหวั่นไปต่างๆ นานา

อีกคนหนึ่งบอกว่าลูกสาวเล็กๆ ไปเรียนกลับมาถึงบ้าน กลางคืนนอนสะดุ้งขวัญผวา ละเมอทุกคืน จนในที่สุดเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน บอกว่าไปถึงแล้วหวาดกลัว คล้ายกับว่ามีผีสางคอยเล่นรังแกอยู่ที่โรงเรียนนั้น พ่อแม่ก็ต้องไปหาที่เรียนใหม่ให้ลูก

ในที่สุดก็ต้องปิดโรงเรียนอนุบาล ต่อมากลายเป็นสถานทูตตูนิเซียประจำมอสโก

ลือ กันว่าท่านทูตและภริยาโดนผีหลอกจนหวิดจับไข้หัวโกร๋นทั้งคู่ ภริยาท่านทูตตกใจกลัวจนถึงกับเจ็บไข้อาการหนักปิ่มว่าจะเอาชีวิตไม่รอด และเคยเล่าให้เพื่อนฝูงในกลุ่มภริยาทูตฟังว่า ในเวลากลางคืนไม่อาจจะนอนหลับได้เพราะมีเสียงแปลกๆ มาคอยรบกวนประสาทอยู่เสมอ ทำให้หวาดกลัวจนต้องนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่คืนยังรุ่ง

...เสียง สยองนั้นเป็นเสียงของคนร้องไห้คร่ำครวญ หรือบางทีมีเสียงฝีเท้าคนเดินโดยไม่มีคนจริงๆ ตลอดเวลา บางคืนก็มีเสียงเปิด-ปิดประตูดังปึงปังทั่วไปหมดทั้งบ้าน ใครไม่ประสาทกินก็ใจเย็นเต็มที

น่าแปลกตรงที่ เมื่อมีเอกอัครราชทูตคนใหม่ของตูนิเซียย้ายเข้ามาอยู่บ้านผีสิงหลังนี้ กลับไม่ปรากฏวี่แววของภูตผีมาหลอกหลอนใดๆ เลย หรือวิญญาณร้ายของนายเบเรียเพิ่งจะโดนยมบาลลากลงนรกไปเรียบร้อยแล้วก็เป็น ได้...ขนหัวลุกนะครับ!


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1518
สองวิญญาณ

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด

"นันทินุช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง

เช้า วันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง

อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!

"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"

ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!

"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."

"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ใน หู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1519
แก้วตาผี!

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"คนพิชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่โค้งผีสิง

ผมชอบอ่านหนังสือประเภทสยองขวัญ ดูหนังเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เพราะรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจดีครับ แต่ผมว่าเหตุการณ์น่าขนพองสยองเกล้าที่ผมเคยเจอะเจอมาน่ะ สุดสยองที่สุดยิ่งกว่าหนังสือและภาพยนตร์เขย่าขวัญด้วยซ้ำไป

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

สมัยหนุ่มๆ ผมร่อนเร่ขึ้นอีสานตามประสาคนที่ชีพจรลงเท้า ไปทำงานที่อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสาร คาม หรือ "ตักสิลานคร" โน่นแน่ะ ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะมีสถานศึกษามากมายที่สุดในอีสานน่ะซีครับ

อ้อ! ลืมบอกไปว่าผมเป็นช่างทำพลอย เมืองไทยเราโด่งดังไปทั่วโลกมานานแล้วในเรื่องอัญมณี ไม่ว่าการออกแบบหรือฝีมือล้วนยอดเยี่ยม กลายเป็นสินค้าออกที่ทำรายได้ปีละเป็นหมื่นๆ ล้าน แม้ว่าเราต้องสั่งวัตถุดิบมาจากต่างประเทศก็เถอะ แต่เรื่องฝีมือแล้วหาคนชาติอื่นมาทาบยาก...ขอคุยซะหน่อยแต่ไม่ได้โม้

เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี่งานพลอยรุ่งเรืองมาก พอๆ กับเป็นแหล่งชุมชนคนหนุ่มสาวทั้งหลาย น่าสังเกตว่าหนุ่มสาวที่นั่นชอบ "ขุนแผนญี่ปุ่น" (จักรยานยนต์) มากๆ ด้วย

ข้อสำคัญก็คือชอบซิ่งกันสุดๆ แบบว่าเด็กแว้นทุกวันนี้ต้องซ่อนหน้าอายละกัน!

เด็กแว้นในกรุงเทพฯ มีตำรวจเป็นที่ยึด แต่ที่ยางสีสุราชมีเสาทางโค้งเป็นที่ยึด...คือยึดแบบแตกกระจาย...คน รถ และเสา ไปคนละทิศละทาง ทุกรายรับประกันได้ว่าศพไม่สวย... เละเทะแทบดูไม่ได้ก็แล้วกัน

มีศพสวยอยู่รายนึงครับ แต่คอหัก นัยน์ตากระเด็นออกไป 1 ข้าง! บรื๋อออ...

รายนี้แหละครับคือต้นเหตุที่ทำให้ผมสยดสยองสุดขีดละคุณ

เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าหนุ่มศพสวยนั่นละครับ กลับจากเที่ยวงานวัดมาถึงทางโค้งพอดี...คนจะถึงคราวชะตาขาดก็บังเอิญเหลือบ ไปเห็นสาวๆ กลุ่มใหญ่ คงอยากจะอวดสาวตามประสาหนุ่มวัยซ่า ด้วยการบิดขุนแผนอย่างแรง ดังบรื้นๆๆ เล่นเอาสาวๆ หันขวับมามองด้วยความชื่นชมสมใจ

แต่ขุนแผนเสียหลักพุ่งเข้าใส่เสาตรงทางโค้งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางเสียงร้องกรี๊ดๆของบรรดาหญิงสาวที่นึกไม่ถึงว่าจะประสบพบเห็นภาพ สยองขวัญเข้าเต็มตาโดยไม่ได้คาดฝันมาก่อน

เสาเหล็กทางโค้งไม่เป็นไร แต่คนขับรถกระเด็นลงมาตายคาที่เพราะความซ่าแท้ๆ

คอหักพับ นัยน์ตาหลุดกระเด็นไปหนึ่งข้าง...สาวๆ ปิดหน้าปิดตากันเป็นแถว แต่พวกผู้ชายใจแข็งช่วยกันหาดวงตาผู้ชาย หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนอ่อนอกอ่อนใจไปตามๆ กัน

วันรุ่งขึ้น ญาติผู้ตายประกาศว่า ถ้าใครหาดวงตาข้างนั้นพบจะให้รางวัล 1 หมื่นบาท เพราะความเชื่อที่ว่าถ้าไม่มีดวงตามาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ผู้ตายจะไปเกิดใหม่เป็นคนตาบอด 1 ข้าง!

คราวนี้ช่วยกันค้นหาแทบป่าราบ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นนัยน์ตาข้างนั้นเลย

เวลาผ่านไปราว 6-7 วัน ผม (ขยันแต่จน) ปั่นจักรยานคู่ใจไปอาบน้ำที่อ่างเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน และบังเอิญไปเจอสาวจากหมู่บ้านใกล้ๆ เกิดถูกชะตากันก็เลยปักหลักคุยกันติดลมจนมืดค่ำกว่าจะปั่นรถกลับ...มาถึง "โค้งศพสวย" เข้าพอดี

ใกล้จะพ้นทางโค้งอยู่แล้ว แต่เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เหลือบไปดูข้างทาง...พบกับลูกแก้วขนาดลูกปิงปองแต่มีแสงสว่างเรืองออกมา...

ด้วย ความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยจอดรถลงไปหยิบขึ้นมาดู...เล่นผงะหน้า แทบจะช็อกคาที่อยู่นั่นเอง เพราะสิ่งนั้นคือแก้วตาผีชัดๆ แก้วตาที่เขาค้นหากันแทบลมประดาตายนั่นแหละครับ แต่ไม่มีใครพบ

ผมร้องเฮ้ย! โยนสิ่งสยองทิ้งแล้วกระโจนอ้าวเป็นลมพัด โดยลืมจักรยานคู่ยากเสียสนิท...วิ่งรวดเดียวมาถึงโรงงาน พวกเพื่อนๆ ถามกันว่ามึงไปเจออะไรมาเรอะ? ผมหอบฮั่กๆ บอกว่ากูเจอแล้ว แก้วตาผี! เพื่อนๆ บอกว่าดีละ! กูจะพาไปเอา 1 หมื่น เล่นเอาผมหายเหนื่อยร้องว่า...ต่อให้ 1 แสนกูก็ไม่เอา แต่ช่วยพากูไปที่วัดให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์หน่อยเถอะวะ

เช้าวัน รุ่งขึ้น ผมก็ทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลไปให้ "ศพสวย" แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า...เขาคิดว่าผมจน ปั่นแต่จักรยาน ไม่มีขุนแผนซิ่งอวดสาว เลยอยากให้ผมได้เงิน 1 หมื่นละมั้ง? ก็เลยเอานัยน์ตามาให้ไปแลกกับเงิน

ถึงจะจนยังไงก็เอาไม่ลงหรอก...ขอให้เจ้าของแก้วตานั้นจงไปที่ชอบๆ เถอะครับ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1520
ลางมรณะ

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"กชวรรณ" เล่า ประสบการณ์ขนหัวลุกของลางร้ายคนโบราณแทบทั้งโลกล้วนแต่เชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ โชคลางต่างๆ นานา เพราะเป็นที่พึ่งทางใจสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อโลกเจริญ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ผู้คนมีการศึกษามากขึ้น ความเชื่อเก่าๆ ก็ลดน้อยถอยลงไปทุกที

ความเชื่อเรื่องภูตผีกับโชคลาง ของคนสมัยก่อนค่อนข้างจะมากมายหลายประการ ตั้งแต่ธรรมชาติ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุที่ทำให้เกิดดินถล่ม ต้นไม้หักโค่น น้ำท่วม ก็มักจะเชื่อว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งลึกลับที่เรียกรวมๆ กันว่าผี! จนถึงเชื่อโชคลางต่างๆ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นต้น

แม้แต่สัตว์ก็นับว่าเป็นโชคลางด้วยเหมือนกัน แต่เป็นลางร้าย!

สัตว์ ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสื่อ หรือตัวแทนของภูตผี ได้แก่ งู แมวดำ นกที่หากินกลางคืน เช่น นกแสก นกเค้าแมว แม้แต่นกสีดำ เช่น กา ก็เชื่อว่าเป็นตัวแทนของลางร้ายเช่นกัน

พวกฝรั่งที่คนส่วนมากคิดว่าเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าคนเอเชีย กลับดูเหมือนจะเชื่อถือในโชคลางมากที่สุด

บ้าน ไหนมีคนเจ็บป่วยอยู่ ถ้ามีนกสีดำมาเกาะหน้าต่างก็เชื่อกันว่าคนป่วยนั้นจะต้องตายแน่นอน หรือถ้าตะเกียงเกิดดับแล้วติดเอง 3 ครั้ง เจ้าของบ้านมักจะเสียชีวิตในเร็ววัน

นอกจากนั้น ยังมีการเชื่อถือว่า ถ้าออกจากบ้านแล้วมีแมวดำวิ่งหรือเดินตัดหน้าจะเกิดเคราะห์ร้าย ต้องหันหลังกลับบ้านจะปลอดภัยที่สุด ไหนจะเรื่องการทำไวน์หกรดเพื่อน ทำมีดตก กระจกแตก...เหล่านี้ถือว่าเป็นลางที่บอกเหตุร้ายทั้งสิ้น

กระจกแตกเป็นลางร้ายที่เชื่อถือตรงกันไม่ว่าฝรั่งหรือไทย!

มี เหตุผลว่า กระจกเป็นสิ่งสะท้อนภาพเจ้าของ ในกรณีที่เป็นกระจกส่วนตัว เมื่อมีการส่องกระจกดูหน้าตาของตัวเองบ่อยๆ จิตวิญญาณก็จะเข้าไปสิงสู่อยู่ในกระจกนั้น ถ้ากระจกแตกก็เป็นสัญญาณว่าวิญญาณจะต้องออกจากร่างแน่นอน

ดิฉันได้ ประสบกับลางร้ายดังกล่าวจากเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานบริษัทเดียวกัน จะว่าเป็นเรื่องประหลาดก็ได้ค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นความประหลาดที่ทำให้เพื่อนฝูงต่างขนหัวลุกไปตามๆ กัน

"แต้ว" เป็นสาวสวยระดับดาราของพวกเรา ตอนที่เธอเรียนจบมาทำงานใหม่ๆ ยังมีคนทักว่าทำไมไม่ประกวดนางงาม หรือไม่ก็เป็นดาราหนังดาราละครเสียเลย? รับรองว่ารุ่งโรจน์สดใสในวงการบันเทิงแน่ๆ แต่แต้วตอบอย่างมั่นใจว่าไม่ชอบ ไม่อยากเป็นดารา แม้จะมีแมวมองมาทาบทาม 2-3 รายแล้วก็ตาม

"ใจมัน ไม่รักนี่นา หมอดูก็บอกว่าดวงไม่สมพงศ์กับอาชีพนักแสดง แต้วเองก็ไม่อยากดัง ไม่อยากเป็นจุดเด่น กลายเป็นเป้าสายตาใครๆ ชีวิตมันไม่อิสระยังไงก็ไม่รู้"

แต่ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่อยากเด่น แต้วกลับชอบแต่งตัวเก๋ไก๋ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แบรนด์เนม อินเทรนด์ตลอด แต่งหน้าตาสะสวยทุกวันก็ว่าได้ เล่นเอาพนักงานผู้ชายชอบแวะมาเจ๊าะแจ๊ะที่โต๊ะเธอเป็นประจำ

แต้วยัง ไม่มีแฟนจริงๆ จังๆ นอกจากคบกันแบบเพื่อนฝูง...การที่เธอมีรถยนต์ใช้ มีเสื้อผ้าและของใช้หรูหราก็ไม่น่าแปลกอะไร...พ่อแม่เธอมีฐานะระดับเศรษฐี ค่ะ

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องใหญ่...

หลังจากกลับจากกินอาหารกลาง วันใกล้ๆ บริษัทที่สุรวงศ์ แต้วเปิดกระเป๋าหยิบกระจกมาดูหน้าตาตามประสาคนรักสวยรักงาม แต่กระจกหลุดมือลงมาแตกออกเป็นสองเสี่ยง...แต้วหวีดร้องจนเพื่อนฝูงตกอกตกใจ ไปตามๆ กัน

พอรู้เรื่องเข้าก็ซุบซิบกันว่าเป็นลางร้าย แต่หลายๆ คนรวมทั้งดิฉันก็ปลอบว่าอย่าไปคิดอะไรมาก...อีกเดือนสองเดือนเราก็จะยุค จี 3 อยู่แล้ว ญี่ปุ่นเข้า จี 4 จี 5 โน่นแน่ะ...อย่ามัวแต่เชื่อถือโชคลางเป็นคนแก่ไปเลย

แต้วยังหน้า ตาซีดเซียว บ่นแต่ว่ากระจกตกเตี้ยๆ ไม่น่าจะแตกนี่นา! วันต่อมาก็ปรับทุกข์ว่าหมู่นี้ฝันร้าย...ฝันเห็นแต่คนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น เลย!

บางคนปลอบว่าการฝันเห็นคนตายหมายถึงผีมาให้พลัง อย่าคิดมากไปเลยเดี๋ยวจะหมดสวยเปล่าๆ แต้วได้แต่กลืนน้ำลาย พยักหน้า แววตาบอกว่ากำลังสับสนหรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...จนกระทั่งเวลาผ่านไป สิบห้าวัน ใครๆ ก็พากันลืมเรื่องลางร้ายของแต้วไปหมดแล้ว แม้แต่เธอเองก็ดูสะสวยสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

วันหนึ่งพวก เราก็ได้รับข่าวร้าย...แต้วตกบันไดบ้านลงมาคอหักตายคาที่ ขณะที่รีบร้อนจะมาทำงาน...ลางร้ายของเธอกลายเป็นความจริงแทบไม่น่าเชื่อ นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ!


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1521
วิญญาณยังอยู่

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด

"เก่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสวนเพชรบุรี ;;; ป้านิด ป้าสะใภ้ใจดีที่สุดในโลกของผมเป็นคนเพชรบุรีครับ เมื่อปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวที่นั่นตั้งอาทิตย์หนึ่งแน่ะ สนุกดี แถมไปเจอเรื่องขนหัวลุกที่นั่นด้วย

บ้านของป้าเป็นบ้านสวน มีทั้งมะนาว กระท้อน ชมพู่ มะพร้าว...ลุงผมปลูกไว้เอง แต่ลุงตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นผมยังเล็กมาก ราว 3-4 ขวบเท่านั้น เหมือนพี่จอยกับพี่โจ ลูกของลุงป้าที่แก่กว่าผมแค่ 2-3 ปี

พอลุงตาย ป้านิดก็เลี้ยงลูกๆ ตามลำพัง ซึ่งก็อยู่กันได้สบายมากเพราะป้านิดขยัน แกมีฝีมือด้านตัดเย็บเสื้อผ้าด้วย และมีจักรคู่ชีพอยู่หนึ่งหลัง บรรดาลูกค้าก็เป็นเครือญาติและคนในหมู่บ้าน นอกจากนั้น ยังเก็บผลไม้ต่างๆ ในสวนมาขายริมทางหลวงแทบทุกเสาร์-อาทิตย์

ป้านิดมีญาติชื่อป้าแขกกับ ลุงสิทธิ์ เป็นเจ้าของสวนตาล และมีรถกระบะขนลูกตาลสดๆ มานั่งปอกนั่งเฉาะกันริมทาง เวลารถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาก็จะแวะซื้อ บางรายสนิทสนมเป็นขาประจำกันเลยเชียว สินค้าที่ขายเป็นผลไม้ตามฤดูกาลและน้ำตาลสดที่ผมกับน้องแก้มชอบมากที่สุด

จริงๆ แล้วผมไม่เคยไปบ้านสวนของป้านิดหรอกครับ แต่ปีนี้ป้านิดมาเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พี่จอยพี่โจมาค้างบ้านผมตั้งหลายวัน แล้วก็เลยชวนผมไปเที่ยวทางโน้นบ้าง ผมกับน้องแก้มนึกสนุก น้องแก้มน่ะติดพี่จอยคนสวยมากๆ เลยด้วย

ผลก็ คือเราได้นั่งรถไฟไปบ้านสวนของป้านิดกัน ขากลับพ่อแม่จะไปรับ...เราจะเที่ยวหัวหินต่ออีกสองคืนแล้วค่อยกลับบ้าน นับเป็นปิดเทอมที่สนุกมากจริงๆ

บ้านป้านิดน่าอยู่ครับ อบอุ่นดี ชั้นล่างเปิดโล่งตลอด มีจักรเย็บผ้า ทีวี และโต๊ะกินข้าว มีครัวอยู่ด้านหลัง ป้านิดทำอาหารอร่อยมาก นอกจากป้านิดกับลูกๆ แล้วยังมีครอบครัวของน้ากุ้งอาศัยอยู่ด้วยที่ห้องชั้นล่างนี่ อยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก น้ากุ้งมีลูกสาวสามขวบน่ารักดี ชื่อน้องเมย์

ผม ได้นอนห้องพี่โจซึ่งเป็นห้องนอนเล็ก ส่วนน้องแก้มนอนกับพี่จอยและป้านิดที่ห้องนอนใหญ่ติดกัน บ้านนี้มีแอร์ด้วยครับ แต่ถ้าไม่ร้อนนักจะเปิดพัดลมกัน เปิดแอร์เฉพาะนอนตอนกลางคืน

วันแรกที่ไปถึง พอเอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บ ผมมองออกนอกหน้าต่างไปที่บ้านข้างๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นบ้านไม้สองชั้นไม่ได้ทาสี มีต้นไม้ร่มครึ้ม มะม่วงต้นใหญ่อยู่ถัดไปไม่ไกล ตอนแรกผมไม่เห็นอะไรผิดปกติหรอกครับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆ ก็เห็นเด็กผู้ชายนั่งห้อยขาอยู่ที่กิ่งใหญ่ของมะม่วงต้นนั้น

แดดตอน เที่ยงๆ สว่างจ้า แต่ในต้นมะม่วงดูมืดครึ้ม ท่าทางจะไม่ร้อนนัก เด็กคนนั้นนั่งอยู่อย่างน่าเสียวไส้ กิ่งมะม่วงนั่นสูงเอาการ...คือสูงกว่าหน้าต่างชั้นสองที่ผมยืนมองอยู่ซะอีก เด็กคนนี้อายุราวสิบขวบ ผมเกรียน ใส่เสื้อกล้ามสีขาวมอๆ นุ่งกางเกงนักเรียนสีกากี เขานั่งห้อยขาอย่างสบาย มือสองข้างถือมะม่วงกัดกินอย่างอร่อย

เฮ้อ! กินเข้าไปได้ยังไงทั้งเปลือก นั่งไม่นั่งเปล่า แกว่งขาซะด้วย เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก ท่าทางจะทั้งซนทั้งแก่นน่าดู!

ทัน ใดนั้น เขาหันมามองผม ฮู้! นัยน์ตาเขาแดงก่ำเห็นชัด...แดงเป็นเลือดเลย! สงสัยไม่สบายหรือไม่ก็เป็นตาแดง แต่แปลกนะ เขาทำให้ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว ขนหัวก็ลุกด้วยเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เขายิ้มให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ

เสียง ป้านิดเรียกผมลงไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นที่เป็นรถเข็นผ่านมาหน้าบ้าน...พวก เราสั่งก๋วยเตี๋ยวกินกัน ผมอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองมะม่วงต้นเดิม...เด็กคนนั้นก็มองเราอยู่ ป้านิดถามว่า ผมมองอะไร ผมก็ตอบตรงๆ ว่าเด็กบ้านนั้นไง! เก่งจัง นั่งกินมะม่วงอย่างสบาย...น่าจะเรียกลงมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน

พอผม พูดอย่างนั้นน้ากุ้งก็ทำช้อนตกจากมือ คนขายก๋วยเตี๋ยวสะดุ้งโหยง ร้องเฮ้ย! ไม่ใช่สะดุ้งน้ากุ้งนะครับ เขาสะดุ้งที่ผมพูด แล้วเหลียวไปมองอย่างหวาดกลัวเอาจริงๆ จังๆ

...เด็กที่ผมเห็นไม่ใช่ คนที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกครับ! ตายละ...ผมทำให้คนที่นี่ขวัญผวากันไปหมดเลย...เด็กข้างบ้านน่ะตายมาสามเดือน แล้ว ตกต้นมะม่วงลงมาตายคาที่! คนขายก๋วยเตี๋ยวบอกว่าคนที่ผ่านไปมาเห็นอยู่เป็นประจำ แสดงว่าวิญญาณของเด็กยังไม่ไปไหน

พี่โจปิดหน้าต่างที่เปิดออกไปข้าง บ้าน ไม่ยอมเปิด ไม่ยอมให้ผมพูดถึง ผมยอมรับว่าสยองตลอดเวลาที่อยู่บ้านป้านิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน...แต่อย่างน้อยผมก็มีเรื่องผีไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตอนเปิดเทอมละครับ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1522
วิญญาณมารับ

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"บุ๋ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลาดพร้าว

ใคร จะไม่เชื่อเรื่องผีก็ช่างเถอะค่ะ เรื่องแบบนี้ถือว่าต่างจิตต่างใจ ดิฉันเองก็เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กรุ่นใหม่ เรื่องผีๆ สางๆ ไร้สาระเต็มที! แต่เดี๋ยวนี้เหมือนหนังคนละม้วนแล้วค่ะ ดิฉันเชื่อว่าผีมีจริง เพราะได้เจอะเจอกับตัวเองเต็มรัก...ไม่ช็อกตายก็ถือว่าเป็นบุญเหลือหลายแล้ว

สาเหตุสำคัญที่โดนผีหลอกก็เพราะมีอาชีพสาวพริตตี้ น่ะซีคะ

ถูก แล้วค่ะ สาวสวยทั้งรูปร่างหน้าตา แต่งตัวเซ็กซี่ที่คุณเห็นโชว์โฉมอยู่ในงานแสดงรถยนต์หรูหรา ราคาคันละไม่กี่แสนจนถึงหลักล้านและ 20-30 ล้าน ปรากฏอีกทีในทีวีและหนังสือพิมพ์ เพิ่มเติมสีสันให้ชีวิต...โดยเฉพาะเป็นจุดสนใจของคุณผู้ชายทุกคน

มี ลีลาของนักแสดงที่โชว์ใบหน้าและเรือนร่างนัวเนียอยู่กับรถ ทั้งทำท่าเปิดประตูบ้าง อิงเอนอยู่ข้างรถบ้าง แต่ไฮไลต์มักจะอยู่ตรงการแนบกายกับบังโคลน ยิ้มหวานไม่แพ้พวกประกวดนางงามทั้งหลายแหล่

เนินอกอวบๆ กับท่อนขาขาวๆ เป็นโฟกัสสำหรับสายตาทุกคู่ก็ว่าได้

ทั้ง เชิญชวน อ้อล้อและท้าทายสายตาของคุณป๋าคุณเสี่ยให้เข้ามาจ้องมองแบบใกล้ชิดไงล่ะคะ! เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเราถูกกล่าวหาว่า "มีเสี่ยเลี้ยง"

สวยแต่ ไม่มีสมอง! เห็นแก่เงินมากกว่าศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง เห็นถือกระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าหรูๆ อินเทรนด์แทบทั้งเนื้อทั้งตัว ก็ถูกกล่าวหาว่ามีเสี่ยเลี้ยง มีป๋าดูแลแน่ๆ เลย

อาจจะมีจริงแต่ก็น้อยค่ะ!

อย่า ลืมว่าพวกเราแทบทุกคนเรียนระดับปริญญานะคะ บางคนกำลังทำโทอยู่ด้วยซ้ำ รายได้ก็ตกวันละพันถึงห้าพันบาท...สำหรับพริตตี้ยอดสวย มีความสามารถสูง คนจ้างเขาตาถึง ดูออกว่าใครเก่ง เสน่ห์แรงแค่ไหน...เราเลี้ยงตัวเองได้สบายอยู่แล้ว ไม่ต้องมีเสี่ยเลี้ยงก็ได้(ย่ะ)

อ้อ! โปรดทราบว่าพริตตี้ไม่ใช่งานเบาๆ แต่หนักหนาสาหัสเหลือเชื่อ

ขนาด เช่าห้องอยู่แถวลาดพร้าวนี่เอง ดิฉันยังต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ จัดการทำธุระส่วนตัวล่กๆ แล้วแล่นลงไปนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างขาประจำ บึ่งออกจากซอยไปยังจุดที่มีผู้คนพออุ่นใจเพื่อรอแท็กซี่...โชคดีที่ไม่ได้ อยู่แถวลาดพร้าวด้านลึกๆ เข้าไปที่ติดอันดับต้นๆ ของซอยอันตรายในกรุงเทพฯ

"พี่ วิน" คนขับแมงกะไซค์คุ้นเคยกันมาหลายเดือนแล้ว ตกลงว่าจะมารับทุกเช้ามืด หน้าตาคมสัน หุ่นบึกบึนสมชาย แต่สุภาพเรียบร้อย นัยน์ตาที่มองมาก็ดูใสๆ ซื่อๆ ดี ไม่มีอะไรน่าระแวง แต่นั่นแหละค่ะ ดิฉันถือคติว่า...รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ! เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

ในกระเป๋าติดสเปรย์พริกไทยเอาไว้ เผื่อฉุกเฉินอะไรขึ้นมาไงคะ!

เมื่อ ถึงจุดนัดหมายก็ต้องทำหน้าทำผม ไม่ใช่เยินเหมือนเพิ่งตื่นนอนหรอกค่ะ มีการอบรมแนะนำสำหรับวันนั้นๆ ว่าจะพูดอะไร? แนวไหน? เป้าหมายคือพรีเซ็นต์ให้ลูกค้าฟังแล้วน่าเชื่อถือมากที่สุด...ก่อนจะเยื้อง กรายในชุดเซ็กซี่ออกไปยิ้มหวานกับผู้คน เฮ้อ....ตั้งแต่เช้ายันเย็นน่ะ คิดดูเถอะว่าจะอ่อนล้าแค่ไหน?

จนกระทั่งวันเกิดเหตุ!

เช้ามืด วันนั้นไม่อยากจะลุกเลย ทั้งปวดเมื่อยและตะครั่นตะครอยังไงบอกไม่ถูก อาจจะเพราะอากาศเปลี่ยนกะทันหันก็ได้...แต่การงานต้องมาก่อน ยกเว้นแต่จะลุกไม่ไหวจริงๆ

ลงไปถึงหน้าหอพักช้าไปราว 15 นาทีได้ พี่วินก็น่ารักที่ไม่บ่นซักคำ...บางครั้งก็นึกสงสัยความหมายในแววตาของแก เหมือนกัน แต่คงคิดได้ว่าเพ้อเจ้อไปเองเปล่าๆ นึกแล้วก็น่าสงสารเหมือนกันค่ะ

"ไหนๆ บุ๋มก็ช้าแล้ว พี่จะไปส่งถึงที่เลยนะ...บอกมาเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้บุ๋มเป็นอะไรแน่ ตอนนี้ถนนโล่งๆ อยู่ด้วย"

พี่วินบอกตอนที่ออกรถเลี้ยวขวาเพื่อจะออกถนนใหญ่ อารามรีบร้อนไม่อยากโดนตำหนิหรือคิดว่าหาปมเด่นเลยบอกไปว่า...ตกลงค่ะ!

ไม่ รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่า เพราะพี่วินซิ่งรถเหมือนจะเหาะไปซะงั้น ดิฉันต้องกอดเอวแกไว้แน่น ซบหน้าบนหลังไหล่กำยำ...ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อาศัยร่างพี่วินนี่แหละเป็นเกราะ กันภัย

ไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย...ดิฉันยัดแบงก์ห้าร้อยใส่มือแกพร้อมกับขอบคุณเสียงหวาน แล้ววิ่งตื๋อโดยไม่หันไปมองอีกเลย

ดิฉัน ต้องหยุดงานไปสามวัน จนทำใจได้ว่าซื้อรถใช้เองดีกว่า...สาเหตุก็เพราะมารู้ข่าวค่ำนั้นเอง ว่าพี่วินได้เกิดอุบัติเหตุที่ถนนรัชดา...คอหักตายคาที่ตั้งแต่คืนวาน แต่วิญญาณอุตส่าห์มารับดิฉันตามสัญญาน่ะซีคะ! บรื๋อออ...

http://www.khaosod.co.th/

1523
คนเห็นผี!

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"บุญยัง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปราจีนบุรี

เพราะ ความซุกซนตามประสาเด็กๆ นั่นแหละครับ อยากรู้อยากเห็นอะไรไม่เข้าเรื่องแท้ๆ ที่ทำให้พวกเราต้องพบกับเรื่องน่าขนลุกขนพองสุดขีด จนถึงกับวิ่งหนีชนิดป่าราบเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน

ตอน นั้นผมยังตัวกะเปี๊ยกแค่ 11-12 ปี อยู่ในอำเภอเมือง ปราจีนบุรี มีเพื่อนจอมแก่นแสนซนทั้งในหมู่บ้านและลูกศิษย์วัดอีกหลายคน เช่น เจ้าตึ๋ง เจ้าเบี้ยว เจ้าเอี๋ยว เจ้ากิ่ง เป็นต้น

ตกเย็นถ้าไม่วิ่งเล่น กันโครมๆ ที่หน้าโบสถ์ ก็พกหนังสติ๊กเที่ยวยิงนกยิงหนูไปตามเรื่อง จนหลวงตาเยื้อนเห็นเข้าเลยโดนเทศนากัณฑ์ใหญ่ ว่าเป็นคนใจบาปหยาบช้า ชอบรังแกสัตว์ตายไปจะต้องตกนรกหมดทุกคน

พวกเราไม่ค่อยกลัวนรกเท่า ไหร่หรอกครับ แม้ว่าจะมีกระทะทองแดง อีกาปากเหล็ก ต้นงิ้วหนามแหลมๆ เพราะเรายังเด็กที่ห่างไกลกับความตายตั้งเกือบร้อยปีแน่ะ แต่กลัวไม้เรียวหลวงตาเยื้อนมากกว่า เจ้าเบี้ยวเป็นเด็กวัด บอกว่ากิ่งฝรั่งที่หลวงตาเอามาทำไม้เรียวน่ะ หวดก้นเจ็บอย่าบอกใคร

คราวนี้เราก็เลยไปเล่นที่หลังโบสถ์ จะได้ลับหูลับตาใครๆ หน่อย

ที่ นั่นค่อนข้างเงียบเชียบ มีทั้งต้นโพธิ์ ต้นมะเกลือ กับต้นไม้ใหญ่ๆ อีกมากมาย บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจบอกไม่ถูก เราก็เล่นซ่อนแอบกันบ้าง ไล่จับกันบ้าง บางวันก็เล่นหยอดหลุม ทอยกองจนใกล้จะมืดค่ำ...เสียงลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเล่นเอาสะดุ้งเฮือกไป เหมือนกัน

บางวันก็เป็นเสียงลมพัดเบาๆ ราวกับเสียงใครกำลังกระซิบกระซาบความลับต่อกัน แต่บางวันก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กๆ หัวเราะคิกคักดังมาจากเมรุปูนใกล้ๆ ครั้นหันขวับไปมองกลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว

"ผีมันแอบดูเราหรือเปล่าวะ?" เจ้าตึ๋งตั้งปัญหา เล่นเอาพวกเราชะงักกึก เจ้าเบี้ยวทำหน้าตาไม่ค่อยสเบย ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปด

"มึง อย่าพูดเรื่องผีได้มั้ย? ขอร้อง! เพราะมีกูเป็นเด็กวัดคนเดียว ตอนกลางคืนได้ยินเสียงหมาหอนมาจากป่าช้าทีไร กูต้องคลุมโปงสวดอิติปิโสทุกที"

"แล้วมึงเคยเห็นผีหรือเปล่าล่ะ?" เจ้าเอี๋ยวตั้งปัญหา "กูน่ะไม่เคยเห็นเลยว่ะ"

คราว นี้ทุกคนยอมรับว่าไม่เคยเห็นผี แต่ก็กลัวผีทุกคน เจ้ากิ่งลูกแม่ค้าขายขนมที่ตลาดเล่าว่า ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาคุยกันว่า ถ้าใครอยากเห็นผีน่ะง่ายนิดเดียว เอาเถ้ากระดูกที่กองฟอนมาทาเปลือกตาก็มองเห็นผีแล้ว อีกวิธีหนึ่งก็คือก้มลงมองลอดใต้หว่างขาของตัวเอง รับรองว่าได้เห็นผีแน่ๆ

ไม่มีใครเห็นด้วยกับวิธีแรก แต่สนใจวิธีหลังมากกว่า!

เพราะ ความซุกซน อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กน่ะเองที่ทำให้พวกเราอยากทดลองทำดูว่าจะจริง หรือเปล่า? แม้แต่เจ้าเบี้ยวที่บอกว่ากลัวผีหยกๆ ก็ทำท่าตื่นเต้นไปด้วย เราเลยตกลงกันว่าวันพระใหญ่ที่จะมาถึงอีก 3 วันข้างหน้า เราจะมาทดลองกันที่หลังโบสถ์นี่แหละ

แต่ผ่านไปแค่ 2 วัน ตาโหมดคนยามที่ตลาดก็หัวใจวายไปเฉยๆ ตกเย็นมีการแห่ศพมาตั้งที่ศาลาใกล้ป่าช้า...พวกเรายิ่งตื่นเต้นกันยกใหญ่ อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ

ครั้นถึงวันนัด เจ้าเบี้ยวมาช้ากว่าเพื่อนเพราะถูกหลวงตาเยื้อนเรียกใช้ไม่หยุด...เราก็เร่ง ร้อนพิสูจน์ว่าผีมีจริงไหม? เราจะได้เห็นผีจริงๆ หรือเปล่า? ก่อนที่จะมีการสวดศพตาโหมดตอนค่ำ...

ทุกคนตั้งท่าหันหลังให้เมรุแล้วย่อเข้า นับ 1-2-3 พร้อมกันแล้วก้มลงมองลอดใต้หว่างขาทันใด!

เมรุ เผาผีดูทึบทึมอยู่ในยามเย็นที่เริ่มจะมืดสลัว ด้านหลังคือต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นทะมึน เงียบงัน ไม่ปรากฏว่าจะมีภูตผีปีศาจตนใดในม่านตา... ยกเว้นแต่ร่างผอมกะหร่อง ผิวดำของชายแก่คนหนึ่งเดินย่องแย่งมาจากศาลาตั้งศพที่พวกเราเรียกว่าโรงทึบ

"ไม่เห็นมีผีนี่หว่า..." เจ้ากิ่งพึมพำก่อนจะร้องลั่น "ตาโหมด!!"

เท่า นั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเงยหัวพรวดพราดขึ้นมาตอนไหน เสียงร้องแต่ว่า...ตาโหมดๆๆ ดังลั่นอยู่ในแก้วหู ผมโจนพรึ่บ แต่ยังช้ากว่าเจ้ากิ่งกับเจ้าตึ๋งที่ออกหน้าไปแล้ว เจ้าเบี้ยวกับเจ้าเอี๋ยวรั้งท้าย แหกปากร้องเสียงหลง

"รอด้วย! รอกูด้วย..."

ไม่ มีใครรอใครให้โง่ นอกจากจะเผ่นกระเจิงเอาตัวรอดกันชนิดไม่คิดชีวิตทั้งนั้น กว่าจะกระเซอกระเซิงมาถึงหน้าวัดก็หอบแฮกๆ เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจตายไปตามๆ กัน...ใครไม่เชื่อเชิญพิสูจน์เอาเองครับ ส่วนผมน่ะเจอครั้งเดียวก็เข็ดไปจนตาย! บรื๋อออ...

http://www.khaosod.co.th/

1524
แรงอาฆาต

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ป๊อป" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณตามมาล้างแค้น

พ่อ ของผมเป็นทหารชั้นผู้น้อย มีหน้าที่เป็นคนขับรถให้ท่านนายพล นายของพ่อท่านใจดีมากครับ พ่อซึ่งพื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดก็ได้อาศัยอยู่กับท่านมาแต่ไหนแต่ไร จนแต่งงานและมีลูก ซึ่งก็คือผมนี่แหละ...เราอยู่บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ บริเวณหลังบ้านของท่าน

นอกจากเราแล้วยังมีบริวารคนอื่นๆ อีก เช่น ป้าแม้นคนครัว ลุงจ่อยคนสวนสามีของป้าแม้น กับแป๋วลูกสาวของแกซึ่งแก่กว่าผมหลายปี เรียนจบปริญญาและทำงานบริษัทแล้วด้วย ส่วนผมน่ะเรียนอยู่ ม.4 โดยท่านให้ความอุปการะ

อาจจะเพราะท่านอยากมีลูกชาย แต่มีลูกสาวตั้ง 3 คน แต่งงานหมดแล้วครับ เหลืออยู่แต่คุณกรองซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่กับท่านและคุณหญิง คุณกรองกับสามีมีลูกสาวอายุยังไม่ถึงขวบ ต้องมีคนเลี้ยง...และนี่คือที่มาของเรื่องราวที่น่ากลัวสุดขีด!

พี่เลี้ยงของคุณหนูลูกแก้วชื่อหวาน เป็นเด็กมาจากศูนย์ มาอยู่กับเราได้เกือบปีแล้ว...คือตั้งแต่คุณหนูเกิด...เธอสวยแบบน้องนางบ้าน นา เป็นดาวยั่วยังไงไม่รู้ ที่สำคัญเธอระริกระรี้กับผู้ชายมากมายหลายคน แถมมาป่วนให้เด็กรับใช้ของคุณหญิงเสียผู้เสียคนไปด้วย มีการติดต่อให้เบอร์โทรศัพท์และนัดกันไปเที่ยวประจำ

บางทีค่ำๆ มืดๆ หวานจะหายออกไปจากบ้าน กลับมาอีกทีตอนเช้ามืด บอกว่าไปค้างบ้านเพื่อนที่อยู่ซอยเดียวกันนี้ แต่เป็นอันรู้กันว่ามันคือผู้ชายนั่นแหละ แล้วยังมีหน้ามาคุยอวดว่าผู้ชายหลงใหลเธอมาก...หลงจนทิ้งแฟนที่รักกันมาตั้ง 7-8 ปี...

ผู้หญิงอกหักและขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งชนต้นไม้ เจ็บสาหัสอยู่หลายวันก็ตายจากไป!

หวาน ใจร้ายและนิสัยไม่ดีมากๆ เธอไม่ได้นึกสลดหรือเห็นเป็นเรื่องผิดบาปเลย เธอคิดว่านี่เป็นเกมบริหารเสน่ห์ และเธอคือผู้ชนะ! เมื่อเธอเบื่อผู้ชายคนนี้แล้วเพราะหมดเรื่องท้าทาย ต้องหารายใหม่มาเพิ่มรสชาติของความตื่นเต้น

ผมอยากให้กรรมสนองเธอจริงๆ แต่นึกไม่ถึงว่ากรรมจะติดจรวดรวดเร็วปานนี้!

วัน นั้นผมจำได้ ท่านอยากรับประทานข้าวต้ม หวานรีบประจบประแจง จัดการตัดหน้าป้าแม้น คว้าหม้อเบอร์ 24 และข้าวหอมมะลิใหม่ไปต้มข้าวที่โรงครัว โดยไม่ลืมตัดใบเตยไปต้มด้วย...ต้องยอมรับว่ากลิ่นข้าวต้มหม้อนี้หอมกรุ่นน่า กินจริงๆ

ตอนนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็น อากาศปลายเดือนพฤศจิกายนปีนี้กำลังสบาย แดดร่มลมตก ใกล้โพล้เพล้ ผมกำลังเร่งตัดแต่งต้นตะโกดัดอยู่ริมสนามหญ้าหน้าบ้าน

ทันใดนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าผมไป ผมเธอยาวเกือบถึงกลางหลัง แต่งตัวแบบสาวโรงงาน ผมเห็นหน้าเธอไม่ชัด แต่ท่าเดินของเธอทำให้ผมขนลุกพิลึก...มันแข็งๆ กระตุกๆ ยังไงชอบกล ผมรีบเรียกถามเธอว่ามาหาใคร เธอก็ไม่ตอบ แต่หายไปทางครัวเหมือนลอยเข้าไปเลยครับ...นาทีต่อมาก็มีเสียงโครม พวกผู้หญิงร้องกันวี้ดว้าย เสียงหวานร้องกรี๊ดๆ ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ผมทิ้งกรรไกรรีบวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น...

ภาพที่เห็นคือหวาน หงายหลังพิงโต๊ะที่ทำกับข้าว หม้อข้าวต้มกลิ้งโค่โล่ มีข้าวต้มเดือดๆ เป็นไอพลุ่งกองอยู่บนใบหน้าและทรวงอก...รดราดมาถึงท้องน้อยและหน้าตัก เธอนอนกางขา ควันขึ้นอย่างน่าสยดสยอง

ป้าแม้นร้องว่าน้ำๆๆ แกรีบเปิดก๊อกมือไม้สั่นเพื่อเอาน้ำมาราดให้หวาน แต่เหลือเชื่อ...น้ำไม่ไหลจากก๊อกแม้แต่หยดเดียว ก๊อกไหนก็ไม่มีทั้งนั้น!

เป็นไปได้ยังไง ที่อยู่ดีๆ น้ำเกิดไม่ไหลขึ้นมาเฉยๆ

หวาน ดิ้นพราด ร้องโอดโอยโหยหวน ตัวแดงพอง ท่าทางจะสุกเหมือนหมูต้ม ป้ากับสาวใช้คนอื่นพยายามช่วยกันถอดเสื้อถอดกางเกงที่ร้อนจัดออกจากตัวหวาน แต่นั่นทำให้เธอยิ่งกรีดร้องแผดลั่น เพราะเนื้อหนังของเธอถูกลอกติดผ้าออกมาด้วย

พ่อผมรีบเอาตัวเธอขึ้นรถ ไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ปรากฏว่าอาการของเธอสาหัสมาก ทั้งใบหน้า ทรวงอกและท้องน้อย หว่างขาไปถึงขาอ่อนถูกของร้อนจนเดือดลวกอย่างรุนแรง...เธอต้องนอนโรงพยาบาล นานเลยครับ ใส่ท่อปัสสาวะอย่างทรมานที่สุด และเวลาทำแผลน่ะนรกชัดๆ น่าแปลกใจที่บาดแผลของเธอเหมือนคนถูกน้ำกรดยังไงยังงั้น

เรียกว่าเกมบริหารเสน่ห์ของเธอปิดฉากสนิท เกมโอเวอร์เรียบร้อยไปตลอดกาล!

ผม เล่าถึงผู้หญิงแปลกหน้าที่เข้าไปในบ้านก่อนเกิดอุบัติเหตุ ป้าแม้นก็บอกว่าตอนนั้นกำลังทำปลาช่อนเตรียมจะผัดขึ้นฉ่าย เห็นผู้หญิงลักษณะเดียวกับที่ผมเล่าแว่บหนึ่ง...และทันใดนั้น หวานที่กำลังเอาสองมือจับหูหม้อข้าวต้มทำท่าจะยกก็เกิดลื่นอะไรไม่รู้ หงายหลัง...ข้าวต้มราดลงใบหน้าตลอดถึงขาอ่อนอย่างที่เห็น

เราคิดว่าผู้หญิงลึกลับที่เข้ามาและสลายตัวไปในอากาศดื้อๆ นั้นคือผู้หญิงที่ตายเพราะหวาน...เธอเข้ามาล้างแค้นอย่างสาสมที่สุดเลยครับ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1525
วิญญาณที่กลับมา

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ปวีร์" เล่าถึงภาพหลอนสุดสยองขวัญ

การเห็นภาพหลอนนี่เป็นประสบการณ์ที่น่าขนหัวลุกจริงๆ นะคะ บางคนจะเห็นสิ่งที่คนอื่นมอง ไม่เห็น เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่ง หรือเป็นภาพที่สมองอันผิดปกติของคนคนนั้นสร้างขึ้นมาเอง

จำหนังเรื่อง "อะ บิวตี้ฟูล มายด์" ได้ไหมคะ?

หนัง สร้างจากเรื่องจริงของจอห์น ฟอบส์ แนช (รับบทโดย รัสเซลล์ โครว์) เขาเป็นนักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ จากผลงานทฤษฎีเกม เขาเป็นคนเก่งมาก มีความมุ่งมั่น ค้นคว้า แต่ขณะเดียวกันก็มีความผิดปกติของสมอง

เขาเห็นและเป็นเพื่อนกับนัก สืบหน่วยราชการลับ และช่วยงานกันมานาน และยังเห็นเด็กผู้หญิงน่ารักเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าทุกคนคือภาพหลอน เขาบอกเด็กผู้หญิงคนนั้นว่าเธอไม่มีตัวตน เพราะเวลาผ่านไปเป็นสิบปีแต่เธอไม่เคยโตขึ้นเลย

แนชไม่ได้รักษาอาการนี้ เพราะมีผลต่อความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขา และเขาก็ยังเห็นเด็กผู้หญิงแสนเศร้าคนนั้นมาตลอด!

กลับมาเรื่องที่ดิฉันกำลังจะเล่าดีกว่านะคะ เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา

มัน เป็นประสบการณ์สยองของดิฉันเอง เกิดขึ้นใน รีสอร์ตที่เชียงรายเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว เราจองบ้าน หรือที่จริงคือกระท่อมเล็กๆ น่าอยู่ติดกันสองหลัง ไปกันสามครอบครัว คุณแม่กับครอบครัวน้องชายดิฉันอยู่หลังหนึ่ง ครอบครัวดิฉันกับพี่สาวอยู่อีกหลังหนึ่งซึ่งเล็กกว่าเป็นกระท่อมไม้กรุกระจก โดยรอบทำให้โปร่งตา มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

เรื่องเกิดขึ้นในเช้าของวันที่เรากำลังจะเดินทางกลับ...

ดิฉัน เก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางไม่เสร็จสิ้นสักที คนที่มีลูกเล็กๆ ตั้งสามคนก็แบบนี้ล่ะค่ะ วุ่นวายพิลึกละ ดิฉันให้สามีกับลูกไปกินอาหารมื้อเช้ากับคุณแม่และพี่สาวที่หลังโน้น จากนั้นดิฉันก็กลับมาที่บ้านพักตามลำพัง

พอเดินมาถึงดิฉันก็ต้องชะงักและแปลกใจมาก ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้าน เธอมาได้ยังไงไม่รู้ แต่ท่าทางเหมือนอยู่ที่นั่นมานานแล้ว!

ภาพ ของเธอติดตามาจนบัดนี้...เธอเป็นฝรั่งค่ะ ท่าทางเป็นชาวยุโรป อายุราวหกสิบ ตัวเล็ก บอบบาง สวมชุดกระโปรงติดกันสีขาวดอกน้ำเงิน คอเชิ้ตยาวเลยเข่า แขนสามส่วน มีเข็มขัดรอบเอวเล็กๆ นั่น และมีผ้าพันคอเป็นลายตารางสีเขียวแก่สลับขาว ผมเธอเป็นสีขาวดอกเลาทั้งศีรษะ หยิกสลวยขอดกอดกันเป็นกลุ่มก้อนยาวแค่บ่า ใบหน้าเป็นรูปไข่เรียวเล็ก

เธอกำลังทำงานบ้านค่ะ! จะว่าเข้าบ้านผิดน่ะไม่ใช่แน่ ดิฉันถึงว่าเธอมีท่าทางว่าได้อยู่ที่นั่นมานานแล้วไงคะ เธอเดินไปเดินมาอย่างแคล่วคล่องว่องไว และเพิ่งวางมือจากการจัดหนังสือ แล้วเดินไปเช็ดกระจกหน้าต่าง

ดิฉันตกใจจริงๆ ขนลุกด้วย แล้วรีบวิ่งกลับมาที่บ้านพักของพี่สาว บอกให้รีบมาดูอะไรด้วยกันหน่อย พี่กับคุณแม่และน้องชายกับภรรยากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามกันมา...พอมาถึงฉันยัง เห็นแหม่มคนนั้นตั้งหน้าตั้งตาเช็ดกระจกอย่างขยันขันแข็ง แต่คนอื่นๆ ไม่เห็นอะไรเลย

ดิฉันแทบร้องไห้ ความกลัวประดังประเดขึ้นมาอย่างสุดบรรยาย

กลัว ว่าสิ่งที่เห็นคือภาพหลอนอย่างในหนังบิวตี้ฟูล มายด์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าดิฉันสมองผิดปกติ หรือสมองเสื่อม! กลัวว่าตัวเองเป็นโรคประสาท กลัวว่านั่นคือผี!

เชื่อไหมคะ ดิฉันจะโล่งอกมากถ้านั่นคือผี เพราะแสดงว่าดิฉันปกติดีไงคะ

ทว่า ที่น่าขนลุกที่สุดก็คือ ถ้าเป็นผี เธอผู้นั้นน่าจะหายไปได้แล้ว แต่ดิฉันยังเห็นเธอทำอะไรต่อมิอะไรง่วนอยู่คนเดียว บอกตรงๆ ว่าดิฉันไม่กล้าไปจัดกระเป๋าต่อ มิไยที่แม่จะบอกว่าไม่มีอะไร และจะเข้าไปเป็นเพื่อน ดิฉันไม่ยอมเข้าไปและไม่ยอมให้ใครเข้าไปด้วย...ก็ดิฉันยังเห็นอยู่น่ะซีคะ!

ในที่สุด พวกเขาต้องพาดิฉันมาอยู่กับสามีและลูกๆ แล้วเข้าไปเก็บข้าวของ ขนกระเป๋าออกมาให้เรียบร้อย ดิฉันเสียขวัญมากๆ

เพิ่งมารู้ความจริงเมื่อหลายเดือนก่อน น้องชายไปสืบจากคนที่รู้จักกับเจ้าของรีสอร์ตแห่งนั้น

เรื่อง ของเรื่องคือ บ้านพักของดิฉันเคยมีฝรั่งมาเช่าอยู่กันสองสามีภรรยา เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ รักเมืองไทยมาก เช่าอยู่เป็นปีเลยค่ะ แล้วก็กลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ โดยเฉพาะภรรยาซึ่งมีลักษณะตรงกับที่ดิฉันเห็นทุกประการ...เธอไม่อยากกลับ เลย!

เป็นไปได้ใช่ไหมคะ ว่าบัดนี้เธอจากโลกนี้แล้ว วิญญาณได้กลับมายังที่ที่เธอรักและอยู่อย่างมีความสุขที่สุด? ถ้าเป็นเช่นนั้น ดิฉันขอทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และก็จะสบายใจว่าสมองดิฉันปกติดีทุกอย่าง

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1526
วิญญาณหลอน

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ณิษา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคอนโดฯ ผีสิง ดิฉัน ซื้อคอนโดมิเนียมอยู่ที่ลาดพร้าว และเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดมาตลอด พอสืบค้นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังแล้ว...หนาวเลยค่ะ!

คอนโดฯ แห่งนี้สร้างมาได้ไม่ถึงสองปี ทั้งใหม่และน่าอยู่มาก เจ้าของเดิมของห้องที่ดิฉันซื้อต่อนั่นเป็นครอบครัวนักธุรกิจ สามีญี่ปุ่นภรรยาไทย มีลูกสาวเล็กน่ารักสองคน ดูๆ แล้วเป็นห้องที่เรียกได้ว่าใสสะอาด ไม่มีเรื่องผีๆ สางๆ แน่...ดิฉันเป็นคนกลัวผีนะคะ

เราอยู่ที่นี่กันสามคน พ่อ แม่ และลูก กับคุณแม่สามีวัย 70 เศษ สุขภาพแข็งแรง ส่วนลูกสาวเพิ่งจะวัยรุ่นอายุ 13 เรียนโรงเรียนนานาชาติ สามีทำงานบริษัทระดับผู้บริหาร ส่วนดิฉันเป็นแม่บ้านเต็มตัว ทำงานบ้าน ทำกับข้าว รับส่งลูกสาวและคอยบริการคุณแม่สามี...ท่านไม่เคยอยู่เฉยๆ เลยค่ะ ถ้าไม่ไปค้างบ้านเพื่อนก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับกรุ๊ปทัวร์

ส่วนใหญ่เวลากลางวันดิฉันจึงมักจะอยู่บ้านตามลำพัง

ห้อง ของเราอยู่ที่ชั้น 21 สูงลิบลิ่ว วิวดี ไม่เหงา แต่ถ้าเปิดประตูออกมาจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างพิกล เพราะเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครสักคน ต่างก็อยู่ในห้องของตัวหรือไม่ก็ทิ้งห้องปิดไว้ไปทำงาน ถ้าอยากเจอมนุษย์มนาก็ต้องไปชั้น 15 ซึ่งจัดเป็นสวน มีต้นไม้ มีซุ้มเก้าอี้ชิงช้า และบริเวณให้ได้เดินเล่นหรือจ๊อกกิ้งก็ได้ หรือไม่ก็โน่น...ลงชั้นล่างเลย เพราะมีซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายของ ร้านทำผม คอฟฟี่ช็อป

พูดถึงเหตุการณ์ที่ดิฉันเจอ ทีแรกก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แต่รู้สึกได้ว่าสิ่งของต่างๆ มันเคลื่อนย้ายได้เอง...แบบที่เขาเรียกว่าโพลเตอร์ไกสต์ไงล่ะคะ!

ปรากฏการณ์แรกสุดที่ดิฉันสัมผัสได้เกิดขึ้นหลังจากเพิ่งเข้าอยู่ได้ 2-3 วัน

วัน นั้นเป็นตอนบ่าย ดิฉันอยู่คนเดียว กำลังปอกขิงอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเพื่อจะทำขิงดอง โต๊ะกินข้าวจัดเป็นโต๊ะยาว หัวโต๊ะสองด้านมีเก้าอี้ด้านละตัว ส่วนด้านข้างจะมีเก้าอี้ด้านละสามตัว ตอนนั้นดิฉันนั่งหัวโต๊ะ เก้าอี้ทุกตัวจัดวางอย่างเข้าที่เรียบร้อย

ดิฉัน ลุกไปปิดเตาแก๊สที่เคี่ยวน้ำตาลกับน้ำส้มสายชูแล้วเดินกลับเข้ามา แต่ก็ต้องงงงันที่เก้าอี้ทุกตัวถูกดึงออกจากที่ของมัน ดูระเกะระกะเหมือนมีใครมานั่งแล้วเพิ่งลุกออกไป! มันน่าขนลุกเอาการ และทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเมื่อตะกี้เราคิดไปเองรึเปล่าว่ามันเป็นระเบียบกว่า นี้?

อีกอย่างหนึ่งคือในห้องนอน เตียงที่ดิฉันปัดแล้ว เอาผ้าคลุมแล้วมักถูกเลิกออกจนยุ่งเหยิง หมอนมีรอยบุ๋มเหมือนมีใครมาหนุนนอน!

หนังสือ อ่านเล่นของลูกสาวมักจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย บางทีดิฉันก็ดุว่าแกสะเพร่าไปลืมไว้ที่อื่น หนังสือดีๆ แพงๆ ก็ทำหาย แต่ 2-3 วันต่อมามันกลับมาวางหราอยู่บนเตียงของลูกอย่างน่าอัศจรรย์

แว่นอ่านหนังสือของคุณย่าหายบ่อยที่สุด แล้วจะโผล่กลับคืนมาเอง

ม่านหน้าต่างที่เปิดไว้ชอบรูดปิดได้เองด้วย เมื่อดิฉันเดินออกจากห้อง จนบางทีก็ไม่แน่ใจว่าผีหลอก หรือตัวเองเป็น อัลไซเมอร์

วัน หนึ่งคุณแม่สามีเปรยว่าท่านไม่ชอบอยู่ที่นี่ เพราะตาฝาดเห็นคนเดินแว่บไปแว่บมาในห้องท่านอยู่เป็นประจำ แถมท่านรู้สึกคล้ายถูกแกล้ง เดี๋ยวแว่นหายเดี๋ยวกระเป๋าสตางค์หาย

ดิฉันเองเคยโกรธสามีเพราะได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงจากเขา เหมือนมันติดเสื้อผ้ามายังงั้นแหละ

ตอน ดึกๆ เรามักได้ยินเสียงแมวรึทารกก็ไม่รู้ร้องเบาๆ อย่างน่าสงสาร ออกมาดูก็ไม่เห็นมีอะไร นั่นไม่ร้ายเท่า กับยามดึกสงัดที่เราอยากเข้าห้องน้ำ แต่มันไม่ว่างสักที! ใครบางคนอยู่ในนั้น ทำอะไรกุกๆ กักๆ แต่เมื่อตรวจดูสมาชิกในบ้านก็พบว่ายังนอนหลับปุ๋ยกันทุกคน...แล้วใครล่ะคะ ในห้องน้ำนั่น?!

ในที่สุดคุณแม่สามีก็สืบจากเจ้าของร้านทำผมจนพบ ว่าห้องนี้มีคนอยู่มาสามเจ้าแล้วค่ะ ดิฉันเป็นรายที่สี่ ส่วนสองรายแรกอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเผ่น เพราะอะไรทราบไหมคะ?

เจ้า ของห้องเดิมคือรายแรกสุด มีลูกเล็กๆ สองคน อยู่อนุบาลกับยังแบเบาะ พวกเขาประสบอุบัติเหตุ รอดชีวิตมาคนเดียวคือเด็กผู้หญิงที่อยู่อนุบาล ทุกวันนี้เด็กไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ...นี่เองเป็นคำตอบของสิ่งที่รบกวน ดิฉันอยู่เป็นประจำ คือมักจะหูแว่วได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกหา "น้องแป้ง...น้องแป้งอยู่ไหนลูก..."

เฮ้อ! ตอนนี้พวกเรากำลังบอกขายที่นี่ไปซื้อที่ใหม่แล้วละค่ะ ใหม่จริงๆ เราเป็นเจ้าของรายแรกเลย อีกสองสัปดาห์เราก็จะย้ายไปแล้ว...

ว่า แต่...ในสองสัปดาห์ต่อจากนี้ดิฉันจะเจอกับอะไรก็ไม่รู้ มันหนาวๆ พิกล ได้แต่สวดมนต์และเปิดไฟสว่างจ้ากันทุกคืนเลย...ไม่อยากขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1527
เสียงร้องจากวิญญาณ

ขนหัวลุก
ใบหนาด


"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้อง เพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันไปแค่สองหลัง ตอน เช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของ พี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็จะยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบ ป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ละค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบ ครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้า ราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้า วันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ละค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้มมาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อ มอง...นั่นไง!

ชาว บ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊กที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนถอยอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉัน ไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉัน ยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ!

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกันทั้งนั้น

แม้ แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุก คนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุด ซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด

ครอบครัวของน้องเพียวนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใกล้ จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ใครชอบดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น! เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะคะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1528
ชีวิตยังไม่สิ้น

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ติชิลา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของความหวังที่เป็นจริง

"เปิ้ล" มาหาดิฉันทำไม? เธอต้องการความช่วยเหลือหรือมาร่ำลากันแน่? ถ้าเป็นอย่างแรก ดิฉันจะช่วยเธอได้ยังไงกัน?

"ปภาดา" คือชื่อจริงของเธอค่ะ แต่ทุกคนในบริษัทเราเรียกเธอว่า "เปิ้ล" ฟังแล้วก็สมชื่อที่สุด เพราะเปิ้ลสดสวย เปล่งปลั่ง สดใส เหมือนแอปเปิ้ลที่เพิ่งถูกเด็ดจากขั้ว...แทบจะส่งกลิ่นหอมละมุนด้วยซ้ำไป

เธอมาปรากฏกายให้ดิฉันเห็นได้ยังไงหนอ ทั้งๆ ที่...

ดิฉันขอเล่าตั้งแต่แรกก็แล้วกันค่ะ!

เราทำงานอยู่บริษัทหลักทรัพย์ด้วยกันแถวย่านดาวน�ทาวน์ของกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะเป็นคนที่ชอบไปถึงที่ทำงานเร็วกว่าเพื่อนกันทั้งคู่ ก่อนแปดโมงเช้ามักจะพบกันที่ลานจอดรถหรือไม่ก็หน้าประตูลิฟต์ นานๆ ถึงจะมีเพื่อนหรือพนักงานจากบริษัทอื่นๆ มาสมทบกันที่นั่น

เปิ้ลสวยเหมือนก้าวออกมาจากหนังสือแฟชั่น ใบหน้าติดยิ้ม เข้าใกล้จะได้กลิ่นหอมกรุ่นจนพวกผู้ชายที่ขึ้นลิฟต์พร้อมกันจะหันมอง บ้างก็ทำเป็นสูดลมหายใจแรงๆ

"ใครหนอ ทั้งสวยทั้งหอมจนไม่อยากให้ลิฟต์ถึงเร็วๆ เลยแฮะ! ชื่นใจ้ชื่นใจ"

เปิ้ลทำหน้าตาย ก่อนจะหันมายิ้มอารมณ์ดีกับดิฉัน...เราไม่ถึงกับสนิทสนมกันหรอกค่ะ เพราะดิฉันต้นสามสิบแล้ว แต่เธอเพิ่งจะเบญจเพส มีเพื่อนสนิทในวัยไล่เลี่ยกันทั้งนั้น

นอกจากสะสวย ดูหวานใสไปทั้งหน้าตาและเนื้อตัว เปิ้ลยังมนุษยสัมพันธ์ดีมาก พูดหวานขานเพราะ มีน้ำจิตน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานทุกคน แต่ก็เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ใจอ่อนหรืออ่อนแอจนถูกใครชักจูงได้ง่าย รู้จักปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แต่ตรงไปตรงมาน่านับถือ

วันหนึ่ง ดิฉันไปถึงลิฟต์ก่อนแปดโมงเกือบ 15 นาที คิดว่าเปิ้ลยังไม่มาเพราะไม่เห็นรถของเธอ แต่ที่ไหนได้ล่ะ เปิ้ลมายืนคอยลิฟต์อยู่ก่อนดิฉันแล้ว...ทักทายกันเสร็จก็พอดีประตูลิฟต์เปิด ออก ดิฉันก้าวเข้าไปก่อนตามความเคยชิน...ประตูลิฟต์ปิดสนิท ดิฉันหันมาหาเธอ แต่เปิ้ลไม่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ เหมือนเคย!

อะไรกันนี่? จะว่าเปิ้ลเข้าลิฟต์ไม่ทันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีเรารอกันอยู่สองคนเท่านั้น! ทำไมเธอไม่ตามเข้ามา...ดิฉันรู้สึกหนาวเยือก ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ปากคอแห้งผากบัดดล

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก คอยชะเง้อมองดูเปิ้ลแต่กลับเห็นแต่คนอื่นๆ เดินเข้ามาในห้องทำงาน...ปรากฏว่าเปิ้ลเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน อาการโคม่าอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อค่ำวาน!

จะว่าผีหลอกก็ไม่ใช่ เพราะเธอยังไม่ตายนี่นา

หรือจะเป็นเจตภูตที่ล่องลอยออกจากร่างมาที่บริษัทเพราะเป็นห่วงงาน?

เพื่อนๆ ของเปิ้ลไปเยี่ยมเธอทุกวัน ดิฉันคอยถามข่าวก็ได้ความว่าเธอยังไม่ได้สติ พ่อแม่แทบจะขาดใจตาย เพื่อนๆ ก็น้ำตาไหลกันทุกคน...เปิ้ลมีทีท่าว่าจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดกาลค่ะ!

"โธ่! เปิ้ล" ดิฉันสะท้อนใจเมื่อนึกถึงหน้าสวยๆ นัยน์ตากลมโตสุกใส เรือนร่างอรชรคล้ายนางแบบ...ต่อไปนี้จะไม่มีเปิ้ลในบริษัทของเราอีกแล้ว

เวลา ผ่านไปราว 7 วัน...ดิฉันก็เห็นเปิ้ลยืนตัวตรงอยู่หน้าลิฟต์ นัยน์ตาที่มองมาดูเศร้าโศก วิงวอน ดิฉันหลุดปากเรียกชื่อเธอด้วยความดีใจ...หายแล้วหรือเปิ้ล...

ประตูลิฟต์เปิดออก ดิฉันเอื้อมไปจับมือเธอเพื่อก้าวเข้าลิฟต์ด้วยกัน แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า...ประตูปิด มีดิฉันคนเดียวในลิฟต์อันเวิ้งว้าง และเยือกเย็นสิ้นดี!

ตอนแรกนึกว่าเปิ้ลตายแล้ว แต่เพื่อนที่แวะเยี่ยมตอนเช้ามาเล่าว่าอาการยังทรงอยู่ตามเดิม...ดิฉันไม่ กล้าเล่าให้ใครฟังหรอกค่ะ นอกจากจะรู้สึกสับสนวุ่นวายว่าเปิ้ลมาปรากฏตัวให้เห็นทำไม? เพื่ออะไร? ดิฉันไม่ได้ตาฝาดไปเองแน่นอน

เย็นนั้น ดิฉันตัดสินใจไปเยี่ยมเปิ้ลกับเพื่อนเธออีกสองคน

ภาพ ในห้องไอซียูน่าสลดหดหู่เหลือเกิน เล่นเอาดิฉันตาลายพร่าเมื่อเห็นร่างบอบบางนอนหงายแน่นิ่ง ผิวขาวซีด หลับตาพริ้ม มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ดิฉันแสบร้อนไปทั้งเบ้าตาขณะเอื้อมมือไปกุมมือเย็นซีดของเธอไว้ พลางกระซิบบอกใกล้หู

"อดทนหน่อยนะจ๊ะ เปิ้ลจ๋า ไม่ช้าเธอจะหายดีตามเดิม อย่าสิ้นหวังเป็นอันขาด เธอต้องต่อสู้เข้มแข็งเข้าไว้ ถึงแม้รอบๆ ตัวเธอจะหม่นหมองแค่ไหนก็ตาม...อย่าท้อ! อย่าหมดกำลังใจ วันหนึ่งเธอจะหายดี จะหัวเราะรื่นเริงได้ตามเดิม"

ทำนองนั้นแหละค่ะที่ดิฉันพร่ำบอก รู้สึกมือเธออบอุ่นขึ้นมาด้วยสายเลือด ขยับนิดหน่อย แต่ก็ทำให้ดิฉันขนลุกซู่...เปิ้ลคงรับรู้ และมุ่งมั่นจะยื้อชีวิตของตัวเองกลับคืนมาให้จงได้

ตั้งแต่วัน นั้นดิฉันก็ไม่เห็นเธอที่หน้าลิฟต์อีกเลย! อีกราวสองเดือนเปิ้ลก็ทุเลาจนกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ในที่สุดก็กลับมาเป็นเปิ้ลที่สดสวยและเข้มแข็งในบริษัทของเราตามเดิม!


http://www.khaosod.co.th/

1529

เฮี้ยนสุดใบหนาดขีด

ขนหัวลุก
ใบหนาด


"จอม วศิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีสาวตามมาถึงกรุงเทพฯ

ผมเพิ่งเล่าเรื่องไปเที่ยวหัวหินแล้วเจอผีมาหยกๆ ที่ไหนได้ล่ะ เรื่องที่ทำท่าว่าจะจบน่ะมันยังไม่จบ...ผีที่ผมเจอในโรงแรมนั้นตามมาถึง กรุงเทพฯ พวกเราเจอกันทุกคน!

ขอย้อนเหตุการณ์สักนิดว่าผมกับ เพื่อนๆ ทั้งชายและหญิงเก้าคน นึกสนุกนั่งรถไฟฟรีไปเที่ยวหัวหินเมื่อวันเสาร์ และได้เขาพักในโรงแรมที่มีราคาย่อมเยาแต่บรรยากาศแปลกๆ เราได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เปิดไปไม่มีใคร พอจะเข้านอนก็ปรากฏว่าน้ำหวานเพื่อนผมมองเห็นผีผู้หญิงผมยาวชุดขาว มานั่งอยู่ที่เตียงตรงข้ามที่เพื่อนๆ อีกสี่คนนอนอยู่

พวกเธอหวีดร้อง เพื่อนๆ กรูเข้ามาหา ผีก็ตามมาด้วย และเอาเล็บจิกแขนไว้ไม่ให้เธอบอกเพื่อนๆ ว่าเห็นผี!

เช้าวันรุ่งขึ้น เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ เหตุการณ์ดูเป็นปกติดี แต่พี่สาวกับแม่ของผมบ่นว่ารู้สึกพิกลๆ เหมือนมีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาอยู่ในบ้านด้วยทั้งคืน

คืนนั้นเองเจ้าต้น เพื่อนคนหนึ่งที่ไปด้วยกัน โทร.มาเล่าว่าตอนจะเข้าบ้านน่ะ คนข้างบ้านที่เขาเรียกว่า "ป้าแขก" แกเป็นคนทรง อยู่ดีๆ ก็ทักว่า ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย? เขาตามมาส่งน่ะ" ป้าแขกพูดลอยๆ ทำเอาต้นขนลุกซู่...ป้าแขกไม่รู้เรื่องผีที่เพิ่งเจอมาสักหน่อย!

ฝ่ายน้ำหวาน สาวผู้โชคดีที่เห็นผีแล้วยังโดนผีหยิกอีกนั้น นึกว่าเรื่องมันจะจบแล้ว แต่เธอเห็นผีผู้หญิงคนเดิมมายืนอยู่นอกประตูกระจก ที่จะเปิดออกสู่ระเบียง...น้ำหวานร้องไม่ออก แต่เข่าอ่อนยวบ ทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะคลานไปเคาะประตูห้องแม่ ขอนอนด้วย

ส้มโอ เพื่อนซี้ของน้ำหวานเล่าเสียงสั่นว่า เธออาบน้ำเตรียมตัวนอน พอออกจากห้องน้ำก็มานั่งหวีผมที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน...เธอเหลือบเห็น เงาสะท้อนในกระจกอย่างชัดเจนว่า มีผู้หญิงผมยาวมาก หน้าซีด แต่งชุดขาว มานั่งยิ้มอยู่บนเตียงของเธอ!

เจ้าปั๊มเพื่อนของผมนั่งดูทีวียาม ดึกอยู่กับแม่ ได้ยินเสียงกดออดหน้าประตูรั้ว มันก็เลยลุกขึ้นไปดูว่าใครมา และ...ใช่เลยครับ! ผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวยืนตัวตรงแหนว...ยิ้มให้อย่างสวยงามอยู่ที่หน้าประตู นั่น

แป้ง เพื่อนสาวร่วมทีมของเราบอกว่าเธอเข้านอน ปิดไฟ ห่มผ้า ตั้งท่าจะหลับอยู่แล้ว ก็พอดีได้ยินเสียงก๊อกแก๊กแบบคนมาค้นของในห้อง พอลืมตามองไปก็เห็นชัดเลยว่าผีผู้หญิง ผมยาวกำลังหยิบเครื่องสำอางของเธอมาดูเล่น...ไฟที่ถนนส่องผ่านหน้าต่างเข้า มา แป้งขยี้ตาแล้วก็ต้องแผดเสียงลั่น เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือฝันไป

เพื่อนอีกสามคนก็ได้กลิ่นธูปบ้าง กลิ่นศพและกลิ่นดอกไม้แห้งบ้าง ตามไปไหนต่อไหนด้วยตลอด!

เย็นวันจันทร์ เราได้ฟังเรื่องจากทุกคนแล้ว ก็เลยไปหาป้าแขกเพื่อนบ้านของต้น เพราะแกเป็นที่พึ่งเดียวของพวกเรา ป้าแขกบอกว่าผีผู้หญิงยังอยู่ในกลุ่มของเรานี่แหละ เพราะเธอชอบพวกเรามาก อีกอย่างเธอได้พลังความเป็นวัยรุ่นของเราไป ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

ผมกับเพื่อนๆ คุยกันว่า ใช่แล้ว! ผีได้ซึมซับเอาพลังชีวิตของพวกเราไป เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่น่ะครับ ก็เลยปรากฏตัวให้เราเห็นได้

ป้าแขกบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหลอน เธอเพียงแต่ติดใจพวกเราเท่านั้น...เนี่ย! ยังนั่งยิ้มอยู่เลย! ป้าแขกเห็นแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเป็นใคร? มาจากไหน? เรา่ขอให้ป้าแขกเจรจาให้หน่อย ให้เธอไปๆ ซะ ไม่งั้นพวกเราแย่แน่ กลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว

คำแนะนำจากป้าแขกคือ ทำสังฆทานและให้พระท่านสวดมนต์ รดน้ำมนต์ให้! เราก็ไปวัดราชาฯ ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ไปเล่าเรื่องนี้ให้พระท่านฟัง ท่านก็เมตตาช่วยสวดมนต์และพรมน้ำมนต์ให้เรา

ผมบอกจริงๆ ครับ ว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าผีสาวตนนั้นกลับไปหัวหินรึยัง? หรือว่าอยากเที่ยวกรุงเทพฯ ต่อ รู้แต่ว่าเสียวสยองกันสุดฤทธิ์ พวกเรากลายเป็นขวัญอ่อน สะดุ้งง่ายและกลายเป็นเด็กติดแม่ คือตามแม่แจกันทุกคน! แม่เราบางคนหาพระให้คล้องคอให้เรารู้สึกมั่นใจและปลอดภัย ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่งครับ

บอกตรงๆ ขณะเขียนถึงเขาอยู่นี่ผมยังหวาดๆ เสียวสันหลังชะมัด มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครมานั่งดูผมเขียนหนังสืออยู่ตรงนี้ อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ...ผมไม่อยากหันไปมองเลยครับ! บรื๋ออออ...


ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/

1530
วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7441 ข่าวสดรายวัน

ไม้ไล่ผี

ขนหัวลุก
ใบหนาด


"สิงห์น้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรื่องใบหนาดปราบผี

ผมขอเล่าเรื่องให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังอีกเรื่องนะครับ

น่าแปลกที่มนุษย์เราสมัยก่อนๆ ทำไมถึงมีความคิดริเริ่ม, ค้นคว้าว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ทำให้ชีวิตมีสุขขึ้นมาได้?

ความดีความชั่ว สิ่งเลวร้าย ภูตผีปีศาจ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราคิดขึ้น หรือจินตนาการขึ้นมาตามความคิด ความเชื่อของในแต่ละท้องถิ่น หรือว่าอะไรแน่ครับ?

ทำไมคิดว่าพืชชนิดนี้ควรทำอะไร ใช้ทำอะไรถึงจะได้ผล? พืช, ต้นไม้ใช้สกัดทำยาสารพัดชนิด แก้โรคต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ท้องเสีย แก้ลมวิงเวียน ฯลฯ ไปจนถึงยาเสพติดร้ายแรง ส่วนใหญ่สกัดมาจากพืชทั้งหลายทั้งปวง

ผมกำลังยกตัวอย่างให้เห็นพืชชนิดหนึ่ง มีใบหนาสีเขียวนวล ใหญ่พอสมควรเราเรียกกันว่า "ใบหนาด" ที่ผมกำลังเล่าเรื่องของมันให้ท่านผู้อ่าน แฟนคอลัมน์ขนหัวลุกได้ฟังดังต่อไปนี้ครับ

ใบหนาดเป็นใบไม้ชนิดหนึ่งที่ใช้ในทางไล่ภูตผีปีศาจ ใช้ปัดรังควานผู้คนที่โดนผีเข้าสิง

เคยได้ยินและได้สัมผัสมาแล้วจากชีวิตจริงของผม!

หมอผี หรือผู้มีคาถาอาคมในสมัยเมื่อกว่า 30 ปี เขาใช้ใบหนาดนี่แหละครับเป็นเครื่องรางของขลัง ร่วมกับการทำน้ำมนต์และการทำพิธีไล่สิ่งชั่วร้าย เมื่อครั้งผมเป็นเด็กวัดได้ไปกับหลวงตาห่อ ท่านเป็นพระลูกวัดของหลวงพ่อเริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ ในจังหวัดชลบุรี

จำได้ว่าบ้านโยมคนหนึ่งชื่อป้าตุ๊ อยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก ลูกสาวแกชื่อแจ๋วถูกผีเข้ามีอาการอาละวาด ส่งเสียงดัง ทำตาเหลือกหลอกคนในบ้านไปทั่ว ร้องเสียงแปลกๆ เด็กเล็กร้องไห้จ้า หวาดกลัวจนต้องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง

เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่จวนใกล้ค่ำ แจ๋วก็หมดฤทธิ์ เมื่อหลวงตาเดินทางมาถึงบ้านไม่นานท่านก็จัดทำพิธี ตั้งขันน้ำมนต์ จุดเทียน สักพักก็ใช้ใบมะยมที่เตรียมมาพรมน้ำมนต์ที่ตัวของแจ๋ว พรมแล้วพรมอีกแต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

นั่นคือเธอยังนอนคุดคู้ ส่งเสียงครางฮือๆ ทำตาเหลือกไปเหลือกมา เหมือนกับว่าน้ำมนต์ของหลวงตาไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย

ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จ้องมองด้วยความสนใจ หลวงตานั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากับตัวเองเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันมาสั่งผมด้วยเสียงเรียบๆ

"ไอ้เสริฐ เอ็งไปเก็บใบหนาดข้างป่าช้าเก่าหลังวัดมาให้ข้าหน่อย ข้าจะไล่ผีร้ายตนนี้...ให้มันรู้ไปว่าคาถาของข้าสู้มันไม่ได้"

เด็กวัดอย่างผม เมื่อหลวงตาใช้อย่างนั้นก็ไม่รอช้าเพราะใกล้จะมืดแล้ว วิ่งไป-กลับไม่ถึง 20 นาทีก็กลับมาพร้อมกับใบหนาด 2 กิ่ง มีใบติดมาด้วย 3-4 ใบ โชคดีที่ผมรู้จักใบหนาดนี้เป็นอย่างดี จากยายของผมที่เคยเล่าให้ฟังเรื่องสรรพคุณของใบหนาด และยังบอกให้รู้จักอีกด้วย

เมื่อมาถึง ผมก็ประเคนให้หลวงตา!

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ทันทีที่แจ๋วผู้ถูกผีเข้าอยู่นั้น เหลือบเห็นใบหนาด 2 กิ่งที่หลวงตายกขึ้นมาเท่านั้น แกก็ร้องเสียงหลง หวีดแหลม จนใครๆ ต่างตกใจ ถึงกับสะดุ้งผวาไปตามๆ กัน

คุณพระช่วย! เสียงนั้นไม่ต่างอะไรกับเสียงภูตผีที่มาจากอเวจี...เป็นเสียงยาว และแหลมเล็ก โหยหวน ...หมาใต้ถุนส่งเสียงเห่าหอนกันเกรียว รับกันเป็นทอดๆ ลมพัดแรงผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว...

ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังใกล้มืดค่ำ ตะวันตกดินไปแล้ว มีแต่แสงเหลืองๆ แดงๆ ที่ค้างอยู่ริมยอดไม้ท้ายหมู่บ้านเท่านั้น เสียงนั้นล่องลอยไปไกล ดูยาวนานเต็มทีเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดง่ายๆ

ในที่สุด แจ๋วก็สิ้นสติไป!

หลวงตาห่อนำใบหนาดประพรมน้ำมนต์ให้เธออีก 2-3 ครั้ง ไม่ช้าแจ๋วก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาตามเดิม

เมื่อซักถามหาสาเหตุ เธอก็เล่าว่าเมื่อตอนเช้ามืดใกล้สว่างแล้ว ขณะที่เดินเข้าครัวเพื่อหุงหาอาหารตามปกติ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพุ่งวืดเข้าใส่ ครั้นหันขวับไปดูก็เห็นเหมือนมีดวงไฟเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว...

จากนั้นก็หมดสติไป มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนนี้เอง!

เรื่องของภูตผี, เรื่องการเล่นของ, เสกของใส่กัน, ยาสั่งตาย และอวิชชาหรือไสยดำต่างๆ เมื่อสามสิบปีก่อนมีจริงๆ ครับ! บรื๋ออออ...


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1531
ประสบการณ์วิญญาณ / กอไผ่มรณะ
« เมื่อ: 13 พ.ค. 2554, 10:12:07 »
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7400 ข่าวสดรายวัน

กอไผ่มรณะ

ขนหัวลุก
ใบหนาด

สมัยเด็กผมเป็นเด็กลำน้ำชี มหาสารคาม มีเรื่องสนุกสนานเยอะแยะเลยครับ แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องผีหลอกวิญญาณสุดแสนจะน่าขนลุกขนพองสู่กันฟังแล้วกันครับ

ชีวิตเด็กท้องนาต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียว ไม่ใช่สุขสบายแบบเด็กในเมืองใหญ่ ยิ่งพ่อแม่ร่ำรวยยิ่งเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็เอาเงินซื้อมาพะนอลูกทุกอย่าง ส่วนเด็กลูกทุ่งต้องเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หาปูหาปลา ยิงนกยิงหนูมาผัดมาแกง ยิ่งหน้าแล้งแบบนี้ต้องออกหาไข่มดแดงมาให้พ่อแม่ขาย...โดนมดกัดเจ็บแทบตายก็ต้องทนเอา

ก่อนจะถึงหน้านาค่อนข้างสนุกกับการหาของกินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พวกผู้ใหญ่ก็เที่ยวหางูสิง นกคุ่ม สุ่มปลาในหนอง ส่วนเด็กๆ ก็ลงน้ำหาหอยหาปู หรือไม่ก็จับจิ้งหรีด กะปอม บางวันโชคดีได้แย้มาให้แม่แกง กินข้าวกันพุงกางไปทั้งบ้าน

เข้าป่าหาหน่อไม้ก็สนุกครับ!

ช่วงที่รอคอยให้ต้นกล้ามันโตจะได้ดำนาซะที ก็คือต้นหน้าฝนที่พระพิรุณเริ่มสาดซ่าลงมา บรรดาหน่อไม้สารพัดชนิดต่างแทงหน่อกันขึ้นมาล่อตาล่อใจชะมัด ไม่ว่าไผ่ตง ไผ่บง ไผ่สีสุก ไผ่รวก ไผ่ซาง...จะกินสดหรือดองใส่ไหไว้กินตอนหน้าแล้งได้ทั้งนั้น

หน่อไม้รวกกินสด...คือเอามาแกงกับใบหญ้านาง ใส่เห็ดหูหนูกับยอดชะอม น้ำแกงต้มน้ำปลาร้า ปรุงรสเผ็ดเค็มตามใจชอบ รับรองว่าอร่อยที่ซู้ดดด...

หน่อไม้ที่นิยมนำมาดองคือ ไผ่ตง ไผ่สีสุก ไผ่ซาง เป็นต้น

พ่อกับผมมักเข้าป่าหาหน่อไม้กันเป็นประจำ อุปกรณ์ก็มี มีดพร้า เสียม กระบุงใส่หน่อไม้ รวมทั้งหนังสติ๊กกับกระสุนดินเหนียวปั้น สำหรับยิงนกยิงหนูอีกด้วย

ไม่ว่ากอไผ่ชนิดไหนล้วนแต่รกไปด้วยใบแห้งๆ สุมกันเป็นกองพะเนิน พ่อจะคอยเตือนให้เอาเสียมเขี่ยดูก่อนให้แน่ใจ ว่าไม่มีงูหรือแมงป่องที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน เพราะอาจจะโดนมันขบกัดเอาได้ง่ายๆ

ต่อจากนั้นจึงเอามีลิดกิ่งหนามจนถึงโคนต้น แล้วค่อยมองหาหน่อโตๆ หน่อยก่อนจะใช้เสียมขุดเอา... เผลอๆ โชคดียังอาจเจอะเจอเห็ดหูหนูป่าตามขอนไม้ผุๆ ที่โดนฝนเข้าก็งามสะพรั่งขึ้นมา ถือว่าเป็นลาภปากวันนี้ก็แล้วกัน

จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!

วันนั้นไม่รู้ว่ามีมือดีที่ไหนดอดมาก่อนเรา ไม่ว่าไผ่รวกไผ่ตงกอไหนก็ล้วนแต่เพิ่งโดนขุดหน่องามๆ ไปกินหมดแล้ว แต่เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ พ่อออกเดิน ดุ่ยๆ นำหน้าผมก็ตามติดไม่ลดละ...

ให้มันรู้ไปซีน่าว่าไอ้พวกมือดีมันจะขุดหน่อไม้ไปกินจนหมดป่าน่ะ

นั่นไง! ผ่านกอไผˆตายซากนั่นไปหน่อยก็เห็นไผ่สีสุกกอใหญ่ กำลังไหวโอนเหมือนจะทักทายอยู่ในสายลมเต็มตา

พ่อปราดเข้าไปใช้เสียมเขี่ยใบไผ่ที่สุมกันอยู่เต็ม...ไม่มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรให้ต้องหวั่นกลัว... และแล้วเราก็มองเห็นหน่อไม้โตๆ งามๆ แทงหน่อขึ้นมาล่อใจ แต่พ่อออกจะขี้ระแวงไปหน่อยเลยหยุดชะงัก ขมวดคิ้วย่น เหลียวซ้ายแลขวาอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง ตามสัญชาตญาณของคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน

"ทำไมไอ้พวกนั้นไม่มาขุดหน่อไม้งามๆ นี่ไปกินวะ?"

"ช่างมันเป็นไร! เรารีบขุดกันก่อนเถอะพ่อ..."

ผมร้อง ก่อนที่เสียงจะขาดหายเมื่อมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นตรงหน้าเรานั่นเอง!

คุณพระช่วย! ไผ่สีสุกที่ดูขึ้นแน่นขนัดกลับไหวโอนไปมาเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดหู ทั้งๆ ที่ลมสงัด สรรพสิ่งเงียบเชียบ ทำให้ได้ยินเสียงกอไผ่เจ้ากรรมดังกระหึ่มขึ้นทุกที

นรกเป็นพยาน! พริบตานั้นเอง กอไผ่แน่นหนาก็แหวกออกจากกันเหมือนโดนมือยักษ์จับกระชาก มองเห็นร่างดำๆ ของหญิงชายคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเราเขม็ง...อ้าปากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่ มีเสียงใดๆ ดังออกมาเลย เล่นเอาเราผงะหน้ากันทั้งสองคน

อุปกรณ์หาหน่อไม้ ไม่ว่ามีด เสียม และกระบุงหล่นจากมือ พ่อคว้าแขนผมแล้วกระโจนอ้าวไปข้างหน้าเหมือนลมพัด...เหนื่อยแทบตายกว่าจะเจอพวกมือดีที่ขุดหน่อไม้ไปก่อนหน้าเรา

ปรากฏว่าเคยมีผัวฆ่าเมียด้วยมีดแล้วเชือดคอตายตามเพราะความหึง...ที่โคนกอไผ่ผีสิงนั่น พ่อผมรู้เรื่องนี้ดีแต่จำผิดกอจนไปขุดหน่อไม้ที่กอไผ่ผีสิงเข้าอย่างจัง...บรื๋อส์!


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

1532
อ้างถึง
ใจเย็น ใจนิ่ง ใจสุข
:054: :054:

1533
พุทธศาสนาได้รับรางวัลศาสนาที่ดีที่สุดในโลก
เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม คศ.๒๐๐๙

subject : Buddhism won the best religion in the world award 15 Jul 2009, Tribune de Geneve.

 หนังสือพิมพ์"ตรีบูน เดอ เจแนฟ" ได้ลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฏาคม คศ.๒๐๐๙(พศ.๒๕๕๒) ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก

 คณะกรรมการเพื่อความก้าวหน้าทางศาสนาและจิตวิญญาณ(Internation Coalition for the Advancement of Religious and Spirituality(ICARUS) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอแลนด์ ได้ลงมติให้รางวัล"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก" แก่สังคมชาวพุทธ.

ผู้นำศาสนากว่า ๒๐๐ คน จากทุกๆหน่วยงานที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ได้ลงมติให้รางวัลนี้ในที่ประชุมโต๊ะกลมแห่งหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้นำศาสนาจำนวนมากได้ลงมติให้แก่พุทธศาสนายิ่งกว่าศาสนาของตนเอง แม้ว่าจะมีชาวพุทธที่เป็นส่วนน้อยในคณะกรรมการนี้

ต่อไปนี้จะเป็นความเห็นจากคณะกรรมการบางท่าน

Johnne Hult ผู้อำนวยฝ่ายค้นคว้าของ ICARUS กล่าวว่า "ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ชาวพุทธได้รับรางวัลนี้ เพราะว่าชาวพุทธไม่เคยมีสงครามศาสนากับใครๆ ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนจะเก็บปืนไว้ในตู้เสื้อผ้า ในกรณีที่พระเจ้าทำผิดขึ้นมา เราไม่เคยเห็นชาวพุทธในกองทัพประชาชนเหล่านี้(ชาวพุทธ)ปฏิบัติธรรมเหมือนกับดังที่เขา(ศาสนาอื่น)สอน ซึ่งเราไม่เคยพบในศาสนาอื่นๆ

สาธุคุณ Ted O Shanghnessy บาทหลวงคาทอลิคผู้หนึ่ง ได้กล่าวที่เมือง Belfast ว่า "ถึงแม้ฉันจะรักและนับถือศาสนาคาทอลิก แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจที่เราพร่ำสอนให้คนรักกัน แต่เมื่อถึงคราวที่จะฆ่ามนุษย์ชาติด้วยกัน ก็อ้างว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงขอลงมติให้ชาวพุทธ."

พระมุสลิมจากปากีสถานชื่อ Tal Bin Wassad ได้กล่าวผ่านล่ามว่า "แม้ข้าพเจ้าจะเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมีการโกรธแค้นและหลั่งเลือดโดยศาสนา แทนที่จะมีการเจรจาตกลงกันในระดับบุคคลต่อบุคคล"

Bin Wassad ซึ่งเป็นสมาชิกจากปากีสถานของ ICARUS ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ความจริงเพื่อนที่ดีของข้าพเจ้าบางคนก็เป็นชาวพุทธ

Robbi Shmuel Wassestein ได้กล่าวที่เจรูซาเล็มว่า"แน่ละ ข้าพเจ้ารักศาสนายิว และคิดว่าเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในโลก แต่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าปฏิบัติวิปัสสนาทุกวันก่อนสวดมนต์ทางศาสนายิวของผม"

อย่างไรก็ดีมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งว่า ICARUS ไม่รู้ว่าจะมอบรางวัลนี้ให้แก่ผู้ใด เพราะชาวพุทธทั้งหมดตอบว่าไม่ต้องการรางวัลนั้น

เมื่อถามว่า ทำไมสังคมชาวพุทธในพม่าจึงไม่ยอมรับรางวัลนี้ พระBhante Ghurata Hanta จากพม่าได้กล่าวว่า "เราขอขอบคุณในรางวัลนี้ แต่เราถือว่ารางวัลนี้เป็นของมนุษย์ชาติทั้งมวล และพระพุทธคุณได้อยู่ในใจของเราชาวพุทธทุกคนแล้ว"

Grochlichen กล่าวต่อไปว่า เราจะพยายามติดต่อกับชาวพุทธต่อไป และจะแจ้งให้ท่านทราบ เมื่อได้พบชาวพุทธซึ่งยินดีรับรางวัลนี้.

ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2009/10/26/entry-1

1534
อ้างถึง
รู้อะไรก็ไม่สู้เท่ารู้จิต
รู้เท่าทันความคิดจิตแจ่มใส
รู้อะไรก็ไม่สู้เท่ารู้ใจ
ไม่มีใครรู้จักเราเท่าเราเอง

กราบนมัสการและกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ฯครับ :054:

1535
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ครับ :054:
อ้างถึง
คิดดีและทำดี...ในสิ่งที่มีเนื้อหา
เชื่อมั่นและศรัทธา...ความก้าวหน้าจะมาเอง....
ขอบพระคุณสำหรับธรรมะในเช้าวันนี้ครับ :054:

1536
"ช้าง โค ม้า และสิงโต" ซึ่งล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งนักปราชญ์ได้ให้ความหมายดังนี้
 
"ช้าง" หมายถึง การเสด็จลงสู่พระครรภ์ (พระมารดาสุบินเห็นช้างเผือก) หรือ ปัญญาชาญฉลาด สุขุมเยือกเย็น
 
"โค" หมายถึง ทรงได้ปฐมฌาน (ขณะพระบิดาทรงทำพิธีแรกนาขวัญ) หรือ ความแข็งแรง อดทน
 
"ม้า" หมายถึง การทรงม้าเสด็จออกผนวช หรือ ฝีเท้าอันรวดเร็ว
 
"สิงโต" หมายถึง การแสดงธรรมจักร ซึ่งเปรียบเหมือนการเปล่งสีหนาท หรือการคำรามของพญาราชสีห์ สร้างความยำเกรงแก่สรรพสัตว์ และอาจหมายถึง พละกำลังอันมหาศาล

สัตว์ผู้ทรงความยิ่งใหญ่นี้จะคอยเฝ้าพระธรรมจักรให้ดำรงอยู่ ส่งเสียงสีหนาทกึกก้องไปทั่วชมพูทวีป

๔. รองลงมาจากรูปสัตว์สำคัญทั้ง ๔ นั้น เป็นรูปกลีบบัว อันเป็นดอกไม้ประจำพระพุทธศาสนา หรือความบริสุทธิ์ นั่นเอง.


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/09/28/entry-1

1537
ความหมายที่สำคัญของ "เสาอโศก"


พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงบริเวณตำแหน่งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา อันประกอบด้วยทางแห่งความสงบและความหลุดพ้น ให้แพร่หลายไปทั่วทิศทั้ง ๔ แห่งจักรวาล

ลักษณะของยอดเสาหิน ๔ ประการคือ

๑. บนยอดเสาแกะสลักเป็นรูปสิงโต ๔ ตัว นั่งหลังชนกัน ซึ่งอยู่ในลักษณะคำรามหรือเปล่งสีหนาท แต่เดิมมีธรรมจักรตั้งอยู่บนหลังของสิงห์ทั้ง ๔ เป็นลักษณะสิงห์แบกธรรมจักร ซึ่งมี ๒๔ ซี่ ธรรมจักร คือ เครื่องหมายทางพระพุทธศาสนา

๒. ใต้ฐานสิงโตมีรูปธรรมจักร ๔ ด้าน วงล้อธรรมจักรมี ๒๔ ซี่ เท่ากับจำนวนปฏิจจสมุปบาท ทั้งขบวนการเกิดและขบวนการดับ (ทุกข์)

๓. ระหว่างรูปธรรมจักรแต่ละด้านมีรูปสัตว์สำคัญ ๔ ชนิด เรียงไปตามลำดับ คือ

"ช้าง โค ม้า และสิงโต" ซึ่งล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งนักปราชญ์ได้ให้ความหมายดังนี้


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/09/28/entry-1


1538

การถวาย"สังฆทาน"ที่ถูกวิธีมีอานิสงส์มาก

คำว่า "สังฆทาน" หมายถึงทานที่ถวายโดยเจาะจงเฉพาะสงฆ์ คือถวามแก่สงฆ์ที่เป็นหมู่คณะ มิใช่เจาะจงถวายแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง และสิ่งของที่ใช้ถวายสังฆทานก็มิใช่จะต้องเป็น"ภาชนะหรือถังสีเหลือง" ดังที่คนส่วนใหญ่ซื้อไปถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น สังฆทานนี้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นทานที่มีอานิสงส์มาก.

ลักษณะของทานที่ชื่อว่าเป็นสังฆทาน

ทานที่ได้ชื่อว่าเป็นสังฆทานนั้น จะต้องมีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ...

๑. จะต้องไม่เจาะจงตัวภิกษุผู้มารับทาน เช่นไม่ต้องระบุชื่อหรือตำแหน่งหน้าที่ของภิกษุที่จะให้มารับทาน เพียงแต่ไปติดต่อกับภิกษุหรือผู้ที่มีหน้าที่จัดกิจนิมนต์ แล้วแสดงความประสงค์ว่า ขอให้จัดภิกษุ ๑ รูป ๒ รูป หรือตามจำนวนที่ต้องการ เพื่อให้มารับสังฆทาน

๒. ต้องทำความเคารพยำเกรงในสงฆ์ และไม่ทำความดีใจหรือเสียใจให้เกิดขึ้น การทำความยำเกรงในสงฆ์คือ จัดแจงต้อนรับทำการถวายทานด้วยความเคารพ ถือว่าภิกษุนี้เป็นตัวแทนที่สงฆ์แต่งตั้งมา เมื่อได้ภิกษุที่เป็นพระเถระมารับทาน ก็ไม่ทำความดีใจให้เกิดขึ้นว่า เราได้ภิกษุผู้เป็นพระเถระมารับทาน หรือเมื่อได้ภิกษุหนุ่มเพิ่งบวชใหม่ หรือสามเณรเป็นผู้มารับทาน ก็ไม่ทำความเสียใจให้เกิดขึ้น

ถ้าทำความดีใจหรือเสียใจให้เกิดขึ้น ทานนั้นไม่ชื่อว่า "สังฆทาน" ส่วนบุคคลใด ได้ภิกษุหนุ่มหรือเถระผู้เป็นพาลหรือบัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์แล้ว ไม่สงสัยติดใจภิกษุรูปนี้เป็นผู้ทรงศีลหรือทุศีล (ถึงแม้ตนจะรู้ว่าภิกษุรูปนี้เป็นผู้ทุศีล) ย่อมอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ว่า เราจะถวายทานแก่สงฆ์โดยผ่านทางตัวแทน(คือภิกษุรูปนี้) ที่สงฆ์จัดมาให้ เช่นนี้ชื่อว่า "สังฆทาน"

ฉะนั้น การถวายสังฆทานแก่ภิกษุทุศีล แต่ภิกษุนั้นมาในฐานะตัวแทนสงฆ์ที่ผู้ถวายนิมนต์ ถ้าผู้ถวายทานถวายด้วยความศรัทธา ทำความเคารพยำเกรงให้เกิดขึ้นในตัวภิกษุนั้น เสมือนหนึ่งว่าตนเองมีความเคารพยำเกรงในสงฆ์ ไม่ทำความดีใจหรือเสียใจให้เกิดขึ้น ทานนั้นก็นับว่าเป็น"สังฆทาน" ซึ่งเป็นทานที่มีผลไพบูลย์มาก มีอานิสงส์มาก.

การใส่บาตรจัดเป็นสังฆทานหรือไม่?

การใส่บาตรแก่ภิกษุผู้ออกบิณฑบาตในเวลาเช้า ที่เรานิยมกระทำกันนั้น ถ้าผู้ถวายมีความตั้งใจที่จะถวายแก่สงฆ์ โดยมิได้เจาะจงเลือกใส่แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง และในขณะใส่บาตรก็ไม่ทำความดีใจหรือเสียใจที่ได้ถวายแก่พระเถระหรือสามเณร ทำความเคารพยำเกรงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุที่เราถวายบิณฑบาตนั้น การใส่บาตรนั้นก็จัดว่าเป็น"สังฆทาน"ได้ แม้เราตักข้าวใส่บาตรเพียงทับพีเดียวก็ตาม


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/boy-girl/2009/01/19/entry-1

1539
4.

และสุดท้าย เด็ดสุด
จีวร ผ้าอาบน้ำพระ(ถ้าเรียกผิดก็ขออภัยค่ะ)


มันผืนเท่าเนี๊ยะ!!!
ห่มยังไม่มิดเลย!!!!
พระท่านบอกว่าใช้นุ่งอาบไม่ได้ แต่ใช้มาผูกตาแล้วอาบก็พอได้อยู่555


สรุปแล้วใช้ประโยชน์จริงไม่ได้!

ประการฉะนี้แล......
ที่เอามาแฉนี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทุกคนเลิกซื้อถังสังฆทานถวายพระนะ
เพียงแต่จะบอกเพื่อให้ได้รู้เท่าทัน
และลองใช้ปัญญาคิดดูว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
สิ่งใดเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง

สำหรับบางคนอาจคิดว่าบางแห่งวัดก็ใช้เป็นสังฆทานเวียนแล้วนำเงิน
ที่ได้จากการขายไปซื้อของเครื่องใช้ที่จำเป็น นั่นก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่มีปัญหา
มันก็เป็นวิธีการ เป็นสัญลักษณ์

แต่ที่จะบอกจริงๆ พระท่านสอนทิ้งท้ายว่า
"สังฆทาน"
หมายถึงการทำทานที่เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก
ไม่ได้หมายถึงถังสังฆทาน มันไม่จำเป็นต้องเป็นถังสังฆทาน
แต่การที่เราซื้ออะไรที่จะเป็นประโยชน์ใช้ได้จริงไปถวายวัด
เช่น อาจซื้อน้ำยาล้างจานแบบขวดใหญ่ๆไปถวาย
ถุงดำถุงขยะ แฟ๊บกล่องใหญ่ หรือซื้อข้าวซักถุง ไม้กวาดซักด้าม ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ล้วนเป็นสังฆทานทั้งสิ้น
อาจใช้วิธีถามที่วัดว่า ขาดเหลืออะไรยังไง เราก็จะได้ถวายสิ่งที่จะเกิดประโยชน์
และถูกนำไปใช้จริง เท่านี้ก็ได้บุญหลายๆแล้ว

ถ้าเรารู้จักดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา ไม่ไปยึดติดกับรูปแบบ
หรือสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และการทำความดีอย่างแท้จริง
เรื่องเหล่านี้เอาไปประยุกต์กับชีวิตประจำวันอื่นๆได้
จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุข รู้เท่าทัน และหลั่นล้าต่อไป (อันสุดท้ายนี่อะไร!!!)

จริงๆเรื่องราวที่น่าสนใจของวัดปัญญาฯยังมีอีกเพียบเลย
โอกาสหน้าจะเอามาเล่าสู่กันฟังอีก
เพราะวัดปัญญานันทาราม เป็นวัดที่เปี่ยมไปด้วย"ปัญญา"จริงๆ!


ขอบคุณที่มา
--ame--.exteen.com/20080519/entry

1540
3.

ต่อไปอันนี้ข้าว


พระท่านบอกว่าข้าวก็มีอยู่นิดเดียว
เมื่อไหร่จะรวมกันจนสามารถหุงเลี้ยงพระหรือคนได้จริงๆ
อีกนาน...
แล้วก็นี่ แปรงสีฟัน...



พระท่านบอกว่า
ดูซิแปรงเข้าไปได้ยังไง ฟันหลุดแน่ๆ!!
มันแข็งมาก...

ที่มา
--ame--.exteen.com/20080519/entry

1541
2.



ต่อมาก็ของข้างในแต่ละอย่าง
มันจะมีพวกกล่องชากับอะไรอีกอย่างจำไม่ได้โทษที
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรที่สำคัญคือในกล่องนั้น!!!
อันที่เป็นชามันมีซองชาสี่เหลี่ยมเล็กๆอยู่ไม่กี่ซอง! 3ซองอะไรประมาณนี้ได้
บางอันก็ว่างเปล่า! แปลว่าไม่มีอะไรเลย!!
พระท่านบอกดูซิๆ ซื้อกันมาทำไมเนี่ย


ต่อไปกล่องธูปเทียน



(โทษทีรูปเบลอ ถ่ายไม่ทัน)
นี่ครับมันมีอยู่ไม่กี่อันอีกแล้วครับท่าน!
กว่าจะนำไปใช้จริงได้ต้องรวมเท่าไหร่กันนี่


ที่มา
--ame--.exteen.com/20080519/entry

1542
ฝากให้ท่านsaken6009 และพุทธศาสนิกชน ที่จะถวายถังสังฆทาน

แฉความจริงของ"สังฆทาน"
posted on 19 May 2008 17:05 by --ame--  in ReVerie

 ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา
ก็ถือโอกาสเอาเรื่องนี้มาเล่าแบ่งปันกันนะ
จริงๆเคยรู้เรื่องนี้มานานแล้วก็จาก วัดปัญญานันทาราม



เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเพิ่งไปงานบวชน้องชาย
พระท่านนำเรื่องนี้มาแฉพร้อมสอนอีกครั้ง
ให้ทุกคนได้รู้เท่าทันและพึงกระทำสิ่งใดด้วยปัญญาอย่างแท้จริง
มีกล้องอยู่ก็พยายามถ่ายมาแต่ก็ไม่ค่อยชัดและถ่ายไม่ทันบ้างเพราะกล้องมันเจ๊งนิดนึงและ
ถ่ายติดๆกันไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเอามาเล่าสู่ให้เห็นคร่าวๆได้นะ



เรื่องมันก็เกี่ยวกับ "สังฆทาน" และ "ถังสังฆทาน"
พระท่านนำถังสังฆทานมาให้ดูพร้อมกับแกะให้เห็นกันจะๆ



เอาเบาะๆก่อนที่ทุกคนพอจะเดาได้อยู่แล้วก็คือถังมันไม่ได้เต็มหรอก
มีแค่ของที่เอาแปะไว้ให้เห็นรอบๆกับด้านบน นอกนั้นก็กลวงหรือไม่ก็เอากระดาษยัดแทน


ที่มา
--ame--.exteen.com/20080519/entry

1543
สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาทวันวิสาขบูชา



เนื่องในวันวิสาขบูชา 17 พ.ค.2554 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาท วันวิสาขบูชา 2554 ใจความว่า
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน    
พระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ต่อทวยเทพ มวลมนุษย์และสรรพสัตว์
เนื่องด้วยพระพุทธศาสนามีคุณูปการอันใหญ่หลวง ซึ่งอำนวยประโยชน์เกื้อกูลความเจริญรุ่งเรืองและความสงบร่มเย็นแก่นานาอารยชนมาตลอดระยะเวลากว่า 2,500 ปี    ฉะนั้นเมื่อวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2554 มาถึง ควรที่เราทั้งหลายจะได้ทำการบูชาและน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์ เพื่อน้อมนำมาเป็นที่พึ่งของตน เป็นแนวทางในการปฎิบัติดำเนินชีวิต เพื่อความสวัสดีและความสงบร่มเย็นแก่เพื่อนรวมโลกสืบไป
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศล อำนวยให้ทุกท่านเจริญด้วยสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลตลอดไปโดยทั่วกัน

บันทึกโพสใน ธรรมะจากวัดปัญญา, วิสาขบูชา, watpanya
ที่มา
http://watpanya.net/2011/05/12/

1544
วันเสาร์ที่ 20 มี.ค 53 วันเสาร์ 5 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน5
 
     ตามโบราณกาลมีมา เราถือว่าเป็นวันแรง และวันที่แข็ง บุคคลที่เกิดในวันเสาร์นั้น จะมีเทพพระเสาร์พิทักษ์คุ้มครองและรักษาเทพพระเสาร์นั้น เกิดจากพระศิวะ นำเอาเสือสิบตัวมาป่นให้เป็นผง แล้วห้อด้วยผ้าสีม่วง สีดำ ประพรมด้วยน้ำอัมฤทธิ์กึ่งเทวราช

     วันเสาร์ห้า คือ วันเสาร์ ขึ้นหรือแรม 5 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งโอกาสที่จะเกิดวันเสาร์ห้า นั้นเกิดได้ยาก ตามคติความเชื่อของโบราณเชื่อว่า ดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความเข้มแข็ง และมีพลังมาก หากมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้า จะมีพุทธคุณด้านคงกระพัน และแคล้วคลาด มากกว่าวันปกติ

คมชัดลึก : วันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่จะถึงนี้ คนทั่วๆ อาจจะไม่คิดว่า เป็นวันสำคัญอะไร แต่สำหรับการสร้างวัตถุมงคลแล้วถือว่า เป็นวันสำคัญแห่งการสร้างวัตถุมงคล และพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ด้วยเหตุผลที่ว่า ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ สำหรับวัดหรือหน่วยงานใด ที่พลาดการประกอบพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้าที่ผ่านมา หากต้องการจะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้าในปีต่อๆ ไป ก็ต้องรอไปอีก ๑ ปี คือ วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ จากนั้นก็เว้นไปอีก ๓ ปี คือวันเสาร์ห้าจะตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕


ที่มา http://www.tlcthai.com/webboard/

1545
บางช่วงเวลาที่จิตสำผัสกับวิญญาณได้ 11; 11;
                                   
บางช่วงเวลาเห็นผีเห็นวิญญาณ ก็ทำบุญ กรวดน้ำ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาไปจะดีมากครับ
                                                                                                                                                     
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำเรื่องผี-วิญญาณมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:  

ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความกลัวแถมมาครับผม :016: :053: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ) :054: :054:
                              

ตอนตี5 ที่ท่านนั่งอยู่คนเดียว ลองหันไปดูรอบๆด้วยนะครับ เผื่อจะได้มีเรื่องใหม่ๆมาเล่าสู่กันฟัง :075:

1546

คุณยายนวล

"ปิ่นทอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเทเวศร์ ซอย 1

ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่ดิฉันได้ฟังเรื่องผีมากมายนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็ชวนให้ฉุกคิดค่ะ เช่นคนที่ขับรถชนคนตายแล้วบึ่งหนี วันดีคืนดีก็ได้กลิ่นศพในรถ หรือเห็นใครมานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เบาะหลัง...วิญญาณอาฆาตติดตามทวงหนี้ชีวิตจนตกใจขับรถพุ่งออกนอกถนนไปเลย

ยิ่งคนที่ฆ่าเขาตายยิ่งน่าขนลุกนะคะ!

ลองนึกดูซิ ถึงจะรอดตัวจากมือกฎหมายไปได้ แต่เขาจะต้องนึกถึงหน้าตาของคนที่ตัวฆ่าอยู่ตลอด นัยน์ตาที่เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว ติดตามจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าตื่นหรือหลับ...ถ้าเกิดมาโผล่ที่หน้าต่างหรือเคาะประตูเรียก มองเห็นเต็มตาจะตกใจปานใด

วันดีคืนดีอาจจะนอนรออยู่บนเตียงก็ได้...สยองค่ะ!

ดิฉันเองเคยพบผีมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องผีที่เคยฟังมาเลย ขอยืนยันว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตก็แล้วกัน

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่เทเวศร์ ซอย 1 กับป้าขวัญ พี่สาวของพ่อ ตอนเช้าๆ จะตื่นพร้อมป้าไปใส่บาตรที่หน้าบ้านเป็นประจำ พระจากวัดนรนาถจะเดินอุ้มบาตรช้าๆ เข้าซอยมา ชาวบ้านก็ตั้งโต๊ะวางของ ใส่บาตรบ้าง ถือขันข้าวและถุงแกงหรือผัดบ้าง ถ้าใส่บาตรพระรูปเดียว

ป้าขวัญต้องตั้งโต๊ะเพราะใส่บาตรพระวันละ 3 รูป คุณยายนวลบ้านเยื้องกันจะใส่บาตรพระรูปเดียว ส่วนมากมักจะเป็นหลวงตาชื่น จนคนแถวนั้นพูดกันล้อๆ ว่าเป็นพระขาประจำ

พอหลวงตาชื่นรับบาตรจากคุณยายนวลแล้ว จึงข้ามถนนมาทางบ้านเรา

คุณยายนวลอายุราว 70 ปี รูปร่างแบบบาง ผมสีขาวเกล้ามวยไว้เรียบร้อย สวมเสื้อแพรแขนสั้นสีอ่อน นุ่งซิ่นสีเข้ม หน้าตาผ่องใสใจดี ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข คุณยายจะยิ้มให้ดิฉันทุกเช้า บางวันรอพระก็ทักทายกับป้าขวัญ

วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย คุณยายนวลเป็นลมหมดสติในบ้าน ลูกหลานรีบนำส่งวชิรพยาบาล แต่พอไปถึงคุณยายก็สิ้นใจอย่างสงบ

"คุณยายนวลเป็นคนดี" ป้าขวัญบอกดิฉันเสียงเศร้าๆ วันไปฟังสวดศพที่วัดมกุฏฯ "ทำแต่บุญกุศลมาตลอดชีวิต ป้าคิดว่าแกต้องไปสู่สุคติแน่นอน"

"ไปสวรรค์ใช่ไหมคะ?" ดิฉันเอียงคอถาม ป้าขวัญก็พยักหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบ...ดิฉันมองไปที่รูปถ่ายคุณยายนวลที่ตั้งอยู่หน้าโลง ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะจ้องมองดิฉันตลอดเวลา ปากบางๆ ติดรอยยิ้มก็ดูจะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม

น่าแปลกที่ดิฉันไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว...อาจจะเป็นเพราะเราพบกัน ยิ้มให้กันแทบทุกเช้าก็เป็นได้นะคะ

วันรุ่งขึ้น เราสองคนป้าหลานก็ออกไปใส่บาตรตามเคย!

ดิฉันมองไปที่บ้านคุณยายนวลด้วยความเคยชิน เห็นแต่ประตูปิดเงียบ ไม่มีร่างเล็กบางของคุณยายมายืนอุ้มขันเงินรอใส่บาตร บางทีก็ส่งยิ้มมาให้ดิฉันอีกแล้ว...

หลวงตาชื่นเดินนำหน้าพระรูปอื่นๆ เข้าซอยมา ท่าม กลางแสงแดดอบอุ่นของยามเช้า ป้าขวัญขยับตัว ดิฉันก็ยืนข้างๆ อย่างเตรียมพร้อม...ก่อนจะย่นคิ้วประหลาดใจ

ภาพที่เห็นคือหลวงตาชื่นยืนเปิดฝาบาตร ก้มหน้านิดๆ อยู่หน้าบ้านคุณยายนวลนั่นเอง...ดิฉันสะกดแขนป้าขวัญ แต่โดนดุเสียงแหบเครือว่า...เงียบนะ!

หลวงตาชื่นข้ามถนนมาที่บ้านเราแล้ว...ป้าขวัญตักข้าวใส่บาตรด้วยมือสั่นนิดๆ ดิฉันใส่ถุงผัดพริกขิงและขนมถ้วยฟู เสียงป้าขวัญสั่นเครือถามว่า...หลวงตาแวะรับบาตรที่บ้านคุณยายนวลด้วยหรือคะ?

"เจริญพร ถูกแล้วโยม" :073: หลวงตาตอบเสียงอ่อนโยน "อีกสองวันก็จะเผา คุณโยมนวลแล้วใช่ไหม? เจริญพร..."

หลวงตาชื่นออกเดินโปรดสัตว์ต่อไป ดิฉันได้ยินเสียงป้าขวัญครางเบาๆ อยู่ในคอ มองเห็นร่างแบบบางของคุณยายนวลยืนอยู่ที่นั่น หลิ่วตายิ้มให้ดิฉันนิดๆ คล้ายจะยั่วเย้า ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินช้าๆ หายลับไป...:074:

ขอให้ขึ้นสวรรค์เร็วๆ นะคะ คุณยาย! :017:


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
 เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

1547
   
ตุ๊กตาคู่

"ทยิดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นยมทูตมารับวิญญาณ

ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เราสองแม่ลูกต้องอาศัยอยู่กับญาติชื่อคุณยายสมร..เพราะสาเหตุนี้เองค่ะที่ดิฉันได้พบกับเรื่องน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต!

คุณยายสมรเป็นคนอ้วนดำ ตัวใหญ่ ปากร้าย เจ้าระเบียบ เอาแต่ใจตัวเอง ชอบระบายอารมณ์กับเรา ถึงแม้จะมีฐานะร่ำรวย ลูกเต้าหลายคนก็จริง แต่ทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็แยกบ้านกันไปหมด เพราะทนปากคุณแม่ไม่ไหว

สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความเป็นคนขี้โรคของคุณยายก็ได้ค่ะ ทั้งเบาหวาน ไตพิการ ความดันสูงและโรคหัวใจ.. ก่อนตายได้เดือนเศษก็เป็นงูสวัดค่ะ ดูๆ ก็น่าสงสารเพราะไข้ขึ้นสูง ปวดและอ่อนเพลียจนลุกไม่ได้เลย จนต้องหอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล

ดิฉันเป็นคนอยู่เฝ้าไข้เพราะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยปิดเทอมใหญ่..ไม่ได้คิดเลยว่าจะตาย กลับคิดว่าอีกราวอาทิตย์เดียวก็หาย กลับบ้านได้

เมื่อไปอยู่โรงพยาบาลราว 3-4 วัน คุณยายสมรก็ดูค่อยยังชั่วขึ้น พูดได้แม้จะอ่อนระโหยโรยแรง แต่ตอนหลังๆ ชักเพ้อเจ้อพิกล บางทีก็พูดกับใครที่มองไม่เห็น.. ดิฉันก็กลัวซิคะ แหม! อยู่โรงพยาบาลนี่นา เล่นพูดกับอะไรไม่รู้ที่มาอยู่รอบๆ เตียง!

สายตาคุณยายก็มักมองตามสิ่งที่ดิฉันมองไม่เห็น บางครั้งก็ยิ้มหรือหัวเราะเบาๆ เหมือนดูเด็กๆ วิ่งซนอยู่

พลบค่ำวันหนึ่ง ดิฉันอ่านหนังสือให้คุณยายฟัง ขณะอ่าน หางตาก็เห็นเงาแว่บๆ เหมือนใครเดินผ่านไป ดิฉันเงยหน้ามองทันทีแต่ไม่เห็นใครสักคน..เราคงตาฝาด! แต่แล้วเงานั้นก็ปรากฏอยู่เรื่อยๆ ให้เห็นจากหางตาเท่านั้น ถ้าหันไปมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร

สิ่งที่น่ากลัวคือ อยู่ดีๆ คุณยายถามว่าเห็นตุ๊กตา 2 ตัวที่มานั่งปลายเตียงนั่นมั้ย? แหม! ดิฉันแทบจะกลับบ้านทันทีเลยค่ะ คงเข้าใจนะคะว่ามันหลอนน่าดู

คนยิ่งกลัวผี และนี่ก็เป็นโรงพยาบาลด้วยนะ!

ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ต้องทนอยู่ให้ได้ ตอนดึกๆ คุณยายหลับสนิทไปแล้วดิฉันยังไม่กล้าหลับตา เป็นแบบนี้มา 2-3 คืนแล้วค่ะ พอง่วงมากก็ผล็อยหลับไปเอง

คืนนั้น พอเคลิ้มๆ ดิฉันก็เห็นเด็กผมจุก 2 คน ท่าทางเป็นเด็กผู้ชาย นุ่งโจงกระเบนสีแดง มีสังวาลพาดอยู่ช่วงบนของลำตัวเปลือยเปล่า เด็กทั้งสองวิ่งเล่นรอบเตียงที่คุณยายหลับอยู่..ดิฉันผวาสะดุ้งตื่น ยังแว่วเสียงเด็กหัวเราะเต็มหูแล้วจางหายไป

เอ..ท่าจะฝันไปเองละมั้ง? ความกลัวคงออกฤทธิ์ ผสมกับคำว่า "ตุ๊กตา 2 ตัว" ที่คุณยายสมรพูดเลยเก็บไปฝัน

รุ่งขึ้น คุณยายมีไข้ต่ำๆ แต่ตาลอย หน้าเหลืองนวล ดูสวยเชียวทั้งๆ ที่เป็นคนอ้วนดำ ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ! ดิฉันชมว่าคุณยายสวย..พอแม่มาเยี่ยม แม่ก็แอบกระซิบว่าเฝ้าคุณยายให้ดีนะ แม่สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้!

พอตกกลางคืน แม่ต้องกลับไปดูบ้าน ดิฉันเฝ้าไข้คุณยายตามเดิม

อีกแล้วค่ะ! พอนั่งเพลินๆ ก็จะเห็นอะไรแว่บหนึ่งทางหางตา คราวนี้ดิฉันเห็นสีแดงๆ มันทำให้นึกถึงร่างเล็กๆ ที่นุ่งโจงกระเบนแดง..ทันใดนั้น คุณยายสมรก็พูดขึ้นว่า "มารับแล้วเรอะจ๊ะ..เอาล่ะ! จะไปเดี๋ยวนี้ละนะ" แล้วก็เงียบเสียงไป

ดิฉันเห็นคุณยายเหม่อมองเพดาน นึกว่าท่านเพ้อก็เลยจับแขนเขย่าเบาๆ เสียงแหบแห้งสั่นเครือก็ดังขึ้น..ตุ๊กตา 2 ตัวนั่นมารับยาย! เห็นมั้ย?

"อะไรนะคะ?" ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองเหมือนคนใกล้จะร้องไห้เต็มที..มือเท้าเย็นเฉียบไปหมด แต่คุณยายสมรกลับยิ้มละไม

"เด็กหัวจุกโจงกระเบนแดงน่ะ น่ารักมาก..." คำพูดเบาๆ แต่กลับสดใสเหลือเชื่อ มันสั่นประสาทดิฉันสุดขีดจริงๆ ค่ะ

..ราวสองชั่วโมงต่อมา คุณยายก็อาการทรุดไม่รู้สึกตัว หมอและพยาบาลวิ่งกันวุ่น แต่ก็หมดหวัง ชีวิตดิ้นรนที่จะออกจากร่างกายทรุดโทรมบอบช้ำ ใกล้จะหมดสภาพเต็มทีแล้ว..จนสำเร็จ!

ดิฉันต้องรีบโทรศัพท์ตามลูกๆ ของท่านมาดูใจ..

คุณยายสมรสิ้นลมหายใจคืนนั้น..เมื่อดิฉันเล่าเรื่องตุ๊กตา 2 ตัว หรือเด็กหัวจุก 2 คน ที่เราเห็นเหมือนๆ กัน ใครๆ ที่ได้ฟังเรื่องนี้ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..นั่นคือยมทูต..น่าขนหัวลุกจังเลยนะคะ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
 เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

1548
โรงจำนำผีสิง

"นักสู้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงจำนำ

พอถึงเดือนพฤษภาคมอากาศยังไม่คลายจากความร้อนอบอ้าว พ่อแม่ที่มีลูกเต้าเรียนหนังสือจะรู้สึกร้อนอกร้อนใจซ้ำซ้อนเข้าไปอีกหลายเท่า เพราะต้องวิ่งวุ่นหาเงินทองมา ส่งลูกเรียนน่ะซีครับ

เรื่องนี้ใครไม่เจอะเจอกับตัวเองน่ะไม่รู้สึกหรอก "อ้อ! รวมทั้งท่านที่มีเงินถุงเงินถังอีกด้วย แต่พวกที่หาเช้ากินค่ำอย่างผมน่ะล้วนแต่ซาบซึ้งเข้าไปถึงหัวอกหัวใจอย่าบอกใครเชียว

โรงรับจำนำซีครับ ธนาคารคนยากของพวกเรา!

ผมเป็นพ่อค้าเร่อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปีกลายต้องเคราะห์หามยามซวยเพราะมีการชุมนุม การประท้วงจนถึงปิดถนนตอนสงกรานต์ รัฐบาลใจเย็นปล่อยตามเรื่องตามราว..คราวนี้ปล่อยให้พวกประตูน้ำ ราชประสงค์ ศาลาแดง สีลม ต้องรับเคราะห์แทน

เฮ้อ..คนจนๆ อย่างพวกผมก็พูดไม่ออก ได้แต่กรอกตา ภาวนาว่าปีหน้าฟ้าใหม่ขออย่าให้เกิดเรื่องราวน่าเศร้าสลดขึ้นอีกเลย เจ้าประคุณเอ๋ย..คนไทยด้วยกันแท้ๆ (ฮา)

เวลาเงินทองติดขัดขาดมือ ผมก็ต้องแวะเอาของไปตึ๊งที่ธนาคาร..เอ๊ย! โรงรับจำนำแถวๆ ใกล้บ้านที่สะพานควายเป็นประจำ

ไม่ใช่แหวนเพชร สร้อยทับทิม หรือทองคำหนักหลายบาทอะไรหรอกครับ มันก็แค่สร้อยข้อมือของเมีย แหวนทองเกลี้ยงๆ ของผม หนักสองสลึงทั้งสองอย่าง แต่เรามักจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้าไป "ฝากคุณอา" ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ อย่างตอนเปิดเทอม

คือแหวนทองของผมตึ๊งมาสี่เดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ต้องถอดสร้อยเมียไปตึ๊งสำหรับจ่ายค่าเสื้อผ้า ค่าสมุดหนังสือของลูกอีก 3 คน ยังไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า?

ไหน..รัฐบาลบอกว่าเรียนฟรีไงล่ะ? โธ่! อย่าพูดถึงให้ช้ำใจดีกว่าครับ

วันนั้นผมไปโรงจำนำเอาเย็นมากแล้ว ฟ้าครึ้มฝนพอดี แต่จิตใจน่ะไม่ได้แยแสดินฟ้าอากาศมากไปกว่าการครุ่นคิดว่าจะต่อดอกเบี้ยแค่สี่เดือนครึ่ง หรือจะผัดผ่อนไปก่อน เดี๋ยวเงินที่ได้จะไม่พอค่าใช้จ่าย..คนจนๆ น่ะต้องยอมเสียทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว!

ทำไมหรือครับ? อ้าว..ถ้าผัดผ่อนออกไปเพราะห่วงเงินก็ต้องไปจ่ายค่าดอกเบี้ยห้าเดือนเต็มน่ะซีคุณ แถมเสียเวลาหากินมาต่อดอกอีกต่างหาก

ทำไงได้ ใครเขาใช้ให้เสือก..เอ๊ย! ดันเกิดมาจนล่ะ?

ตอนที่เอาแหวนไปตึ๊งน่ะได้เจ็ดพันบาท แต่ตอนนี้ทองลงราคาคงจะได้ซักหกพันห้าหรือหกพันก็ยังดี..ถ้าได้หกพันห้าจะตัดใจต่อดอกเบี้ยของเก่าซะเลย!

หลงจู๊ที่ตีราคาคุ้นๆ หน้ากัน คิดว่าคงจะพอพูดจากันได้ละมั้ง? แม้บางทีจะสังเกตว่านัยน์ตาตี่ๆ ของแกมักมองดูลูกค้าที่เข้าไปจำนองของจะฉายแววดูถูก บางทีถึงกับเหยียดหยามก็มี..

ยังไงๆ ก็หนีไม่พ้น "คนร้อนเงิน" วันยังค่ำ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว งานนี้น่ะ

ดูๆ ไปแล้วก็ต้องยอมรับละครับ คนที่เข้าโรงจำนำส่วนมากจะดูยากจน มอซอ ไม่มีสง่าราศีใดๆ ล้วนแต่พวกรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ หรือไม่ก็ติดยา บ้าหวย..ซวยตลอดศก ดวงตกตลอดชาติก็แล้วกัน

โรงจำนำที่ผมมุ่งหน้ามาติดป้ายโดดเด่นอยู่ตรงหน้า..จู่ๆ ลมกลุ่มใหญ่ก็พัดฮือเข้ามาจนฝุ่นกระจาย เศษกระดาษปลิวว่อน..ผมรีบผลุบเข้าไปในประตูด้านข้างทันที!

คนน้อยดีแฮะ! นอกจากหญิงชราผอมแห้งผมกระเซิงนั่งหลังงออยู่บนม้ายาว หน้าเคาน์เตอร์ก็มีเพียงชายหนุ่มอีกคนที่ยืนรอ..ไม่รู้ว่าเพิ่งมาถึงหรือรอของรอเงินกันแน่? อ๋อ..รอเงิน! เขาพับตั๋วใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวออกทางประตูด้านหน้า ผมปราดเข้าไปยื่นสร้อยข้อมือของเมีย อำหน้าตาเฉยว่า..สองสลึง-เจ็ดพันตามเดิม!

หลงจู๊หน้าตายสนิท ไม่แยแสคำพูดผมเลย แต่หยิบแว่นมาส่อง แล้วเอาทองไปฝนหิน..ผมใจระทึก เตรียมควักกระเป๋าเอาตั๋วจำนำใบเก่ามาต่อดอกถ้าได้หกพันห้า..

"หกพันเต็มที่" คำตอบนั้นทำให้ผมกลืนน้ำลาย พยักหน้า ก่อนจะผละไปยิ้มพิมพ์มือก็หันไปมองผู้หญิงคนนั้นก่อนจะถามหลงจู๊ว่าทำไมป้านั่นรอนานจัง คนก็ไม่มีแล้ว เล่นเอาหลงจู๊อ้าปากค้าง มองข้ามหัวผมไปก่อนครางอ๋อย

"มาอีกแล้วเรอะนี่? ตายห่..ผีหลอกบ่อยๆ เดี๋ยวโรงจำนำอั๊วเจ๊งพอดี"

ผมหันขวับไปมองแต่ไม่เห็นป้าคนนั้นแล้ว เล่นเอาม่านตาพร่าพราย ขนลุกซ่า แทบเดินไปพิมพ์มือไม่ไหว..เดาเอาว่าคงจะหัวใจวายระหว่างนั่งรอเงินน่ะเอง! บรื๋อออ...


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
 เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

1549
คนเห็นผี

"ป้าเนย" เล่าประสบการณ์สยองของเด็กตาทิพย์

สมัยเด็กดิฉันอยู่ในซอยสมประสงค์ ใกล้สี่แยกประตูน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดโต้รุ่ง ตอนนั้นรถราและผู้คนก็คับคั่งแล้วค่ะ เพราะถือว่าเป็นย่านเจริญแห่งหนึ่ง

กลางวันพ่อแม่ไปทำงาน ดิฉันก็อยู่กับยายและน้าอ้อน ซึ่งเป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยง เราอยู่ตึกแถวห้องริมสุด เลยจากโรงพิมพ์แห่งหนึ่งไปไม่ไกลนัก ดิฉันชอบออกมานั่งหน้าบ้านบนม้าเตี้ยๆ ตัวใหญ่ ถัดไปเป็นโต๊ะรับแขกและตู้โชว์กั้นห้องกินข้าว ถัดไปเป็นร้านเสริมสวยและร้านชำ ขายทั้งเหล้าเบียร์และน้ำชากาแฟพร้อม

บางวันก็ออกทางประตูข้าง มีซอยเล็กๆ และบ้านช่องมากมาย เพื่อนในวัยเด็กของดิฉันส่วนมากก็อยู่ในซอยข้างตึกแถวนั่นแหละค่ะ

เย็นหนึ่ง ดิฉันไปยืนเกาะประตูด้านข้าง คิดว่าจะชวนเพื่อนแถวนั้นเข้ามาเล่นกันในบ้าน ก็พอดีเห็นพี่เปีย-ช่างเรียงเดินเข้าซอยมา ดิฉันก็ทักว่าเลิกงานแล้วหรือคะ? พี่เปียยิ้มเศร้าๆ ถามว่าน้องเนยกินข้าวหรือยัง วันนี้พี่ไม่มีขนมมาฝากเสียด้วย ดิฉันบอกโอ๊ย! ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บ้านน้องเนยมีเยอะ พี่เปียแวะก่อนซีคะ

พอดีน้าอ้อนร้องถามว่าคุยกับใคร? ก็ตอบว่าคุยกับพี่เปียที่ทำงานโรงพิมพ์ น้าอ้อนร้องว้าย...เปียกินยาตายแล้วนี่นา! ดิฉันชี้ให้ดูพลางยืนยันว่าพี่เปียยืนอยู่ตรงนี้ไง! น้าอ้อนรีบฉุดแขนดิฉันเข้ามาแล้วปิดประตูโครม คุณยายสงสัยดิฉันก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ

วันหนึ่ง ดิฉันอุ้มตุ๊กตาไปนั่งห้อยขาที่ม้าหน้าบ้าน มองคนเดินผ่านไปมา ที่รู้จักก็ทักทายบ้าง แวะเข้ามาคุยบ้าง คนนั้นก็น้องเนย! คนนี้ก็น้องเนย! จนคุณยายค่อนว่าเราอยู่มาก่อนแท้ๆ ยังไม่รู้จักคนเยอะเหมือนแม่คนนี้!

น้าอ้อนหยิบโน่นทำนี่อยู่ไม่ไกล แต่ก็คอยโผล่ออกมาดูบ่อยๆ เพราะคุณยายเตือนให้ระวัง มีข่าวพวกลักเด็กเอารถตู้มาอุ้มไปขาย เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ

วันนั้นมีเด็กผู้หญิงตัวโตกว่าดิฉันหน่อย รูปร่างผอมเกร็ง ผิวดำ ไว้ผมม้า เสื้อผ้าเก่าๆ ค่อนข้างสกปรก เดินเข้ามาหยุดมองหน้าดิฉันนิ่งๆ เลยเชื้อเชิญว่า...เข้ามานั่งคุยกันก่อนซิคะ จะรีบไปไหนล่ะ?

เด็กคนนั้นก็เข้ามานั่งคุยด้วยจริงๆ เขาเล่าว่าตัวเองชื่อดำ บ้านอยู่ก้นซอย มารอแม่ตอนเย็นๆ ทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งก็โดนมอเตอร์ไชค์เฉี่ยว หัวฟาดพื้นตายคาที่ แล้วเขาก็เปิดผมที่ท้ายทอยให้ดู...โห! เลือดแห้งกรังเชียว ดิฉันถามว่าเจ็บไหมคะ?

ดำพยักหน้า พอดีน้าอ้อนเข้ามาถามว่าคุยกับตุ๊กตาเหรอ? ดิฉันบอกเปล่าค่ะ น้องเนยคุยกับพี่ดำที่เขาอยู่ก้นซอยไง!

น้าอ้อนทำตาโต ยกมือตบอกถามเร็วปรื๋อว่า...ดำโดนรถชนตายไปเกือบปีแล้ว น้องเนยเอาอะไรมาพูด? ดิฉันเลยชี้มือไปที่ดำผู้นั่งเศร้าอยู่ใกล้ๆ บอกว่านี่ไง! พี่ดำนั่งอยู่ใกล้ๆ น้องเนยแท้ๆ ทำไมน้าอ้อนมองไม่เห็นล่ะคะ?

โอย...น้าอ้อนแกร้องว้ายๆๆ จนคุณยายวิ่งออกมาดู ตอนแรกก็ดุใหญ่ แต่พอได้ยินน้าอ้อนบอกเล่าถึงกับอ้าปากค้าง ปราดเข้าอุ้มดิฉันทันที เสียงสั่นๆ ของคุณยายยังติดหูมาจนถึงป่านนี้ "ดำมันตายไปแล้วนี่นา! โธ่..."

ดิฉันหันขวับไปมอง เห็นดำกำลังลุกขึ้นยืนจ้องมองเศร้าๆ ดิฉันก็โบกมือให้บอกคุณยายกับน้าอ้อนว่า

"นั่นไงคะ...พี่ดำเขายืนอยู่นั่นไง! น่าสงสารออก... เขาบอกว่ามารอแม่จนโดนมอเตอร์ไซค์ชนตายคาที่ เมื่อกี้ยังเปิดแผลให้น้องเนยดูเลยค่ะ"

เสียงร้องอุ๊ยๆ วุ้ยว้ายดังระงมไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่รู้ว่ากลัวอะไรค่ะ? ตัวสั่นเสียงสั่นไปตามๆ กัน ยิ่งดิฉันร้องบอกพี่ดำว่า...วันหลังมาคุยกันอีกนะ! คุณยายถึงกับร้องโอย...เป็นลม!

ตั้งแต่นั้น ดิฉันก็ไม่มีโอกาสได้นั่งเล่นคนเดียว ไม่ว่าทางประตูข้างหรือหน้าบ้าน ไม่น้าอ้อนก็คุณยายต้องมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เสมอ

ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา ดิฉันเองยังไม่กลัวเลย บางวันร้องทักคนรู้จักกัน ทั้งคุณยายและน้าอ้อนทำท่าสะดุ้งแล้ว พอเห็นหน้าคนที่ดิฉันทักทายจึงได้ถอนใจอย่าง โล่งอก

ขนาดนั่งคุยกับตุ๊กตาตามประสาเด็กยังถูกถามว่าคุยกับใครน่ะ?

เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดิฉันก็ไม่เคยพบเห็น ผู้ไม่มีร่างกายอีกแล้ว แต่ถ้ายังตาทิพย์เหมือนตอนเด็กๆ เห็นภาพภูตผีขวักไขว่ มีหวังขนหัวลุกตายแน่ๆ เลยล่ะค่ะ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
 เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

1550
คนเห็นวิญญาณ....
 คำสาปนรก

"ซัน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเรียกหา

สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่ยานนาวา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อโหน่ง เป็นลูกคนรวยเรียนจบพาณิชย์ก็ได้งานทำแถวบางรัก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่ไปแถว สี่พระยา ตลาดน้อย หัวลำโพง แต่ก็อยู่ไม่ ยืดซักแห่งเดียว..มันบอกผมว่ามีแต่คนโง่ๆทั้งนั้น!

อาศัยที่พ่อแม่ฐานะดี แถมมีลูกชายคนเดียว เจ้าโหน่งจึงไม่เดือดร้อนเงินทอง มักจะเที่ยว กิน เล่น ไปวันๆ ตามใจชอบ

วันหนึ่งไปมีเรื่องที่บ้านใหม่ (เกือบถึงถนนตก) เขม่นกันในร้านเหล้า เจ้าโหน่งโดนเจ้าถิ่นรุมสกรัม ทั้งประเคนด้วยไม้หน้าสามจนสลบเหมือด ต้องไปนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวันถึงจะกลับบ้านได้

ตั้งแต่นั้นมา เจ้าโหน่งก็เปลี่ยนนิสัยเหมือนเป็นคนละคน!

เคยชอบเที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาก็กลับนิ่งเงียบ ไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน ร่างกายผอมซูบลง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่จับคน บางทีก็พยักหน้าหงึกๆ กับใครไม่ทราบ บางทีก็พูดพึมพำ หัวเราะหัวใคร่อยู่คนเดียว จนชาวบ้านนึกว่าสติไม่ดีเพราะโดนตีหัวคราวนั้น

ผมเป็นเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ ต้องยืนยันว่าเจ้าโหน่งไม่ได้บ้าๆ บอๆ พูดคุยกันรู้เรื่อง ถามไถ่อะไรก็จำได้ พ่อแม่มันก็ชอบให้ผมไปบ้านเขา ลูกชายจะได้พูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่งั้นมักจะหมกตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ช้าผมก็ต้องขนหัวลุกเพราะเจ้าโหน่งนี่เอง!

ตอนบ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินหน้าบ้าน มีต้นมะม่วงกับชมพู่ร่มครึ้ม เจ้าโหน่งมองไปที่รั้วไม้ระแนง แล้วถามว่าเห็นใครไหม? ผมบอกว่าจะเห็นได้ยังไงรั้วมันบัง

"ไม่ใช่นอกบ้าน..ที่ใต้ต้นมะม่วงริมรั้วข้างในต่างหากล่ะ! ผู้ชายตัวดำๆ ล่ำเตี้ยน่ะ มันกำลังมองเราอยู่ด้วย"

ผมส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่เห็นใครเลย เจ้าโหน่งก็ถอนใจยาว

"มันชื่อสิงห์ ตามข้ามาจากโรงพยาบาลแน่ะ!"

"คิดไปเองมั้ง? ไม่ก็ตาฝาด.."

"เปล่า ไอ้สิงห์ตามข้ามาจริงๆ มันโดนสิบล้อทับตายคาที่ ก่อนข้าจะกลับบ้าน 2-3 วันเท่านั้น..มันมาขออยู่ด้วย! นั่นไง..มันกำลังยิ้มฟันขาวกับเอ็งแน่ะ"

ผมขนลุกซ่า ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า! ตอนแรกคิดว่าเพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมเสียวสันหลังมากกว่าเดิม

"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เห็น ใครๆ ก็ไม่เห็น มีแต่ข้าคนเดียวที่เห็นถนัด" เจ้าโหน่งถอนใจยืดยาวอีกครั้ง นัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม "ไม่ใช่ไอ้สิงห์คนเดียวนะ..นั่น! ตาปลอดกับลุงฉ่ำ ยายเขียวกับป้าแสง! ยืนมองเราอยู่ที่หน้าต่างประตูนั่นไง!"

"ไอ้โหน่ง.." ผมคราง ปากคอแห้งผากไปถนัด "เอ็งจะเห็นได้ยังไงวะ..ก็พวกนั้นตายหมดแล้วนี่หว่า"

"อ้าว? ไอ้เด่นเดินมาอีกคนแล้ว ที่มันตกน้ำตายตอนต้นปีน่ะ"

ผมตัวแข็งลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก จ้องมองแทบตาถลนไปยังประตูรั้วก็ไม่เห็นใครที่เจ้าโหน่งเอ่ยชื่อมา..ไอ้เด่นวัยสิบขวบที่ตกน้ำตายก็ไม่เห็น!

คุณพระคุณเจ้า! ผมเห็นเจ้าโหน่งยิ้มกว้างขึ้น กวักมืออย่างอารมณ์ดี

"มาซีวะไอ้เด่น อยากคุยกันก็เข้ามา" มันพูดเสียง ดังก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "เออ! งั้นก็แล้วไป" แล้วหัน มายิ้มกับผม "ไอ้เด่นมันบอกว่าวันหลัง มันรู้ว่าเอ็งกลัวมัน"

เจ้าโหน่งทั้งเห็นผี ได้ยินเสียงผีด้วยหรือเนี่ย? ตอนแรกคิดว่ามันหยอกล้อผมเล่นตามประสาเพื่อนฝูง แต่วันต่อๆ มามันก็ชี้ให้ดูมะม่วงหน้าบ้านต้นนั้น..บอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้นั่งอยู่บนนั้น..ผีผูกคอตาย!

"สงสัยจะตายมานานแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง ตอนกลางคืนข้าเห็นแกห้อยโตงเตง กวักมือเรียกข้าไป อยู่ด้วย พอตอนกลางวันก็นั่งร้องไห้อยู่บนกิ่งใหญ่นั่นไง"

ถึงจะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ผมก็ขนลุกซ่า..กลับบ้านไปถามพ่อ ได้ความว่าญาติข้างแม่เจ้าโหน่งมาอาศัยอยู่ ไม่นานก็ผูกคอตายมาสิบกว่าปีแล้ว..สาเหตุจากท้องไม่มีพ่อ

ผมแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้บ้า แต่เกิดมีญาณวิเศษหรือพรสวรรค์หลังจากโดนตีจนสลบ..คิดว่าจะห่างๆ ไปสักพักก่อน แต่อีกไม่กี่วันต่อมาเจ้าโหน่งก็ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วนั่นเอง..ผีผูกคอเรียกเพื่อนผมไปอยู่ด้วยกันได้สำเร็จแล้ว!

ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

1551


การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๘ พฤษภาคม รวม ๗ วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ตามศรัทธาตลอดเวลา ๗ วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม ๒,๕๐๐ รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๔ พฤษภาคม รวม ๓ วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ ๒,๕๐๐ รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเวลา ๓ วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย

ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/important-day/visakha.html

1552
กราบนมัสการพระคุณเจ้า :054: พระอาจารย์ต้อย พระอาจารย์ของท่านกัลยาณมิตร saken6009

1553
บทความ บทกวี / ตอบ: 3x8 = ?
« เมื่อ: 12 พ.ค. 2554, 09:02:45 »
นิทานเซน : คำอวยพรที่ดีที่สุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 พฤษภาคม 2554 08:17 น.

      
       ยังมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งนิมนต์พระอาจารย์เซนเซียนหยา(仙崖)มาที่บ้าน ทั้งยังขอให้เขียนคำอวยพรเพื่อเป็นสิริมงคลส่งให้คนในวงศ์ตระกูลร่ำรวยเงินทอง เจริญรุ่งเรืองจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันอับจน
      
       อาจารย์เซนเซียนหยารับปาก พลางกางแผ่นกระดาษออก จรดพู่กันเขียนลงไปเพียง 3 คำว่า "บิดาตาย บุตรตาย หลานตาย"
      
       เมื่อมหาเศรษฐีอ่านข้อความทั้งหมด ก็บันดาลโทสะเป็นอันมาก กล่าวตำหนิอาจารย์เซนว่า "ข้าเพียงให้ท่านมาเขียนคำอวยพรเพื่อให้เป็นสิริมงคลกับครอบครัวของข้า เหตุใดท่านจึงต้องล้อเล่นรุนแรงเช่นนี้ด้วย?"
      
       "มิได้ล้อเล่น" อาจารย์เซียนหยากล่าวชี้แจง พลางอธิบายว่า "ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ สมมติว่าลูกชายของท่านสิ้นชีวิตก่อนหน้าท่าน ท่านย่อมต้องทุกข์ทรมานยิ่งนัก และถ้าหากหลานชายของท่านเสียชีวิตก่อนบิดาของเขา ทั้งท่านและบุตรชายของท่านย่อมต้องยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้นอีกเท่าทวี แต่หากว่าครอบครัวของท่านล้วนสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติ จากรุ่นสู่รุ่นตามลำดับตามที่ข้าได้เขียนเอาไว้ ในความคิดของข้าจึงค่อยถือเป็นความสุขความเจริญ เป็นสิริมงคลต่อครอบครัว"
      
       "ความตาย" ไม่น่ากลัว ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นสัจธรรมของชีวิต แม้สะสมทรัพย์สมบัตินอกกายมากมาย แต่สุดท้ายมิอาจนำติดตัวไป จงหมั่นเจริญมรณานุสติ ใช้ชีวิตดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท


ขอบคุณที่มา
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000056847

1554
ชื่นชมยินดีที่ท่านชอบ :015: ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจ :054:

เป็นอุทาหรณ์ให้เราหมั่นทำความดีสร้างกุศลกรรม ละความชั่วอกุศล มุ่งนิพพานกันทุกท่านครับ :054:

1555
กฎแห่งกรรม / ตอบ: เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 11 พ.ค. 2554, 11:10:58 »

เจ้ากรรมนายเวร เอาคืนทางอุบัติเหตทางรถยนต์

น้าทักผมว่า มีเคราะห์นะ หนักอยู่
ผมเป็นคนจังหวัดสมุทรปราการ เรื่องมีอยู่ว่า ผมเป็นคนรักมอ´ไซค์ มาตั้งแต่เด็ก ไปไหนก้อไปด้วย มอ´ไซค์ เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 30 เมษายน 2548 ที่เพิ่งผ่านมานี้แหละคับ ตอน 17.38 น. เรื่องเริ่มจากประมาณปลายปีที่แล้วคับ น้าของผมเป็นคนที่ประมานว่าธรรมะธรรมโม นั่งสมาธิบ่อย ถือศีลประมาณนี้อะคับ แล้วช่วงหนึ่งเค้าทักผมว่า มีเคราะห์นะหนักอยู่ ตายกับพิการอย่างเดียว ไปทำบุญ อย่าขับรถเร็วนะ ตอน 4-6โมงเย็นอย่าออกไปไหน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่าเค้าล้อเล่นจะให้เราขับรถช้าๆ
น้าย้ำว่า เค้าเอาแกแน่นะ
ผ่านไป 2 อาทิตย์น้ามาเตือนอีกคับ น้าบอกผมว่า เห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ล่ำๆ ใส่ผ้าสีแดงนั่งซ้อนรถมอไซค์ผมตลอด แล้วน้าผมก้อพูดมาว่า "เค้าเอาแกแน่นะ" ไปทำบุญหนักจะได้เบา ผมก้อไปทำบุญเพราะพ่อบังคับ ช่วงนั้นทำบุญตลอดจนทุกอย่างดูเป็นปกติดีคับ

โยมไปที่ชอบๆเถอะ อย่าอาฆาต เค้าเลย ไม่ต้องเข้ามาหรอก
จนเดือนพ.ย. ยายเสีย ผมบวช ตอนที่บวชนั้นประมาน 07.00 ผมนั่งหลังรถกระบะคนเดียวไปที่วัด พอถึงวัดกำลังจะเริ่มพิธี พระที่จะบวชให้ผมพูดขึ้นมาว่า "โยมไปที่ชอบๆเถอะ อย่าอาฆาต เค้าเลย ไม่ต้องเข้ามาหรอก" ผมงงมากพอถามพระท่านก็ไม่ตอบ แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปเรื่อยๆ แต่ช่วงนั้นผมจะทำอะไรจะต้องเจ็บตัวตลอด เช่น ทำกับข้าวก็โดนมีดบาด เดินๆอยู่ดีๆก็ล้มบ้าง ตกบันไดบ้าง จนถึงวันนั้น

และแล้ว วันเกิดเหตก็มาถึง ผมโดนรถกระบะ พุ่งชนเต็มๆ
ที่จังหวัด ตรงศาลากลางจังหวัด จะเป็น 3 แยกไฟเขียวไฟแดง วันนั้นผมอยู่ที่ห้องพัก แถวๆท้ายบ้าน แล้วกำลังจะกลับไปเอาของที่บ้าน ซึ่งอยู่แถวๆ โรงเรียนนายเรือ ซึ่งทางที่ไปเป็นเส้น สุขุมวิท ฝั่งขาเข้า ระหว่างที่ขับมาถึง ผมกำลังจอดรถเก็บของใส่กระเป๋าเพราะว่าซิบเปิดออกมากลัวของจะหล่น พอเก็บของเสร็จก็ดูเวลา เห็นเป็น 5โมงจะ6โมงละ เดี๋ยวไปเอาของมาทำงานไม่ทัน เลยออกรถออกไป

ระหว่างที่ออกรถไป ผมจำได้แค่ว่าอยู่ดีๆก้อรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในอากาศ แต่มองเห็นทางข้างหน้าแต่เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้อะคับ ตอนนั้นเลขไมล์ชี้ที่ 30กม./ชม. เลยแยกออกไปไม่ถึง 20 เมตร ผมต้องสะดุ้ง ได้ยินเสียงรถออกตัวแรงมาก หันไปอีกทีคับ เป็นรถกระบะที่กำลังยูเทิร์น ข้ามมาทางฝั่งผม เสียงดังมากคับ แล้วพุ่งเข้ามาที่ผม โดนชนเต็มๆคับ ภาพสุดท้ายคือเห็นขาของเราเนี่ย ยุบติดไปกับถังน้ำมันรถมอไซค์ผม แล้วกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงศาลากลางจังหวัด ซึ่งกำแพงศาลากลางจังหวัด ห่างจากถนนเลนซ้ายสุดที่ผมขับอยู่เกือบ 5 เมตร

อีกคนที่ซ้อนท้ายมาหายไปไหน

รู้สึกตัวอีกที เรากระแทกแรงมาก เจ็บขา เจ็บแขน แล้วตำรวจก็วิ่งมา มาถึงประโยคแรกเค้าถามเราว่า "ไอ้น้องคนซ้อนเป็นอะไรรึเปล่าหายไปไหนแล้ว" ผมงงมาก แต่ได้ยินไม่ผิดแน่นอน เพราะได้ยินเค้า ว. เรียกรถพยาบาล ว่าคาดว่าน่าจะมีผู้บาดเจ็บ 2 คน หลังจากนั้น คืนที่นอนโรงพยาบาลแฟนผมมาเฝ้า เค้าฝันว่ามี ผู้ชายตัวสูงใหญ่ผิวดำ มายืนอยู่หน้าห้อง แล้วมีผู้ชายอีกคนมาบอกผู้ชายคนนั้นว่า มันยังไม่ถึงเวลา แล้วแฟนผมก็ตื่นมาเล่าให้ผมฟังตอนเช้า เหตุการณ์นี้ ผมจำติดหัวมากๆเลยคับ

สุดท้ายคับ ทำดีเห็นกันชาตินี้นะคับ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

==จบ==

ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/116.html

1556
กรรมของเพชฌฆาตโรงฆ่าสัตว์

"เพชรฆาต"


ชีวิตของคนเรานั้น เกิดมาเพื่อรอวาระสุดท้ายหรือวันตายนั่นเอง เพียงแต่ไม่มีใครหยั่งรู้วันตายของตัวเองได้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด

คนเราล้วนหลายอาชีพ บางคนก็สามารถเลือกทำงานได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถเลือกทำงานได้ ความจำเป็นในการดำรงชีวิตนั้นบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำด้วยภาวะจำยอมเพื่อปากท้องของตัวเองและครอบครัว

นายเบิ้มเป็นคนรูปร่างใหญ่ แต่การศึกษาไม่ค่อยสูงนัก เคยเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯมาแล้วแต่ไปไม่ไหว จึงมาประกอบอาชีพเก่าคือ เป็นมือเพชฌฆาตฆ่าหมูเถื่อนเพื่อป้อนให้กับเขียงหมูในตลาด กระทั่งวันหนึ่ง ข้างบ้านจัดงานแต่งงาน ทางเจ้าภาพจะล้มหมูล้มวัว จึงได้ไปบอกกล่าวกับนายเบิ้มเป็นเพชฌฆาตให้ นายเบิ้มไม่ปฏิเสธเพราะเขากับเจ้าภาพคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และที่รับงานนี้ก็ไม่หวังตอบแทนอะไร ปกติแล้วนายเบิ้มจะไปโรงฆ่าสัตว์ตอนตีสอง

"เกือบชั่วโมง กับ หมูเจ็ดชีวิต"

เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ช่วยลูกมือชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ และจะกลับบ้านไม่เกินหกโมงเช้า พร้อมกับเนื้อหมูไปให้ลูกเมียประกอบอาหาร เพื่อนบ้านเขาจะล้มวัวล้มหมูประมาณตีสามตีสี่เพื่อจะให้ทันปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่จะมาร่วมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบกว่าปีก็ว่าได้ เพราะเจ้าสาวเป็นลูกกำนัน ส่วนเจ้าบ่าวเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด และพ่อของเจ้าบ่าวก็เป็นนักการเมืองระดับประเทศเป็นส.ส.ติดต่อกันมาแล้วหลายสมัย

การล้มหมูล้มวัวก็เพื่อเลี้ยงคนที่มาร่วมงานในตอนเช้าเท่านั้น เพราะในช่วงเย็นจะมีการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนที่หอประชุมในตัวจังหวัด โดยมีบุคคลสำคัญๆมาร่วมงานมากมาย จะว่าเป็นงานแต่งครั้งประวัติศาสตร์ของจังหวัดก็คงไม่ผิดนัก แล้ววันสำคัญก็มาถึง นายเบิ้มออกจากบ้านตีหนึ่งกว่า ซึ่งเร็วกว่าปกติเกือบชั่วโมง ตอนนั้นทางโรงฆ่าสัตว์เปิดแล้ว นายเบิ้มก็ลงมือเชือดหมูเคราะห์ร้ายตัวแรกทันที จากนั้นหันไปจัดการตัวอื่นๆ รวมทั้งสิ้นเจ็ดตัว โดยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีลูกมือช่วยจับโน่นจับนี่ใส่มือให้เหมือนทุกวัน

"กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด"

ระหว่างนั้นลูกมือที่มีเกือบสิบคนก็เริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว และคนของกำนันก็มารอรับที่โรงฆ่าหมูรออยู่แล้วด้วย นายเบิ้มสั่งงานลูกมือเสร็จก็ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านกำนันแม้นทันที ที่นั่นจะครึกครื้นพอสมควรเพราะมีวงเหล้า รวมทั้งเครื่องเสียงที่เปิดเพลงมาตลอดคืน ลูกมือที่กำนันแม้นจัดหาให้ก็นั่งดื่มเหล้ารอมาทั้งคืน นายเบิ้มเริ่มลงมือเชือดหมูเป็นตัวแรกก่อนจะลงมือเชือดวัวสลับกันไป จากนั้นก็บอกลูกมือที่พอจะเป็นอยู่บ้าง ชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆโดยแบ่งหน้าที่กันไป ส่วนตัวเองนั่งพักดื่มเหล้าไปพลางๆ

เพราะยังมีหมูกับวัวอย่างละตัวให้เชือดอีก นายเบิ้มดื่มเหล้าได้สองสามแก้วก็ลงมือต่อโดยเริ่มฆ่าหมูเช่นเคยเพราะตัวเองถนัด หมูตัวที่สองใช้เวลานานพอสมควร เพราะมันทั้งดิ้นทั้งวิ่งเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้ายของมันแล้ว กว่าจะจับได้ก็เสียเวลาไปเยอะ แถมยังใช้คนจับมากขึ้นกว่าจะเชือดได้ จนนายเบิ้มเองยังส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เป็นมือเพชฌฆาตมาไม่เคยใช้เวลานานถึงนี้เลย หมูเคราะห์ร้ายตัวนั้นกรีดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวน จนบางครั้งถึงกับขนลุก และเสียงร้องของหมูตัวนั้นเองที่ปลุกชาวบ้านให้ลุกก่อนที่ขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาถึงในเวลาเจ็ดโมงเช้า

"สะดุดม้านั่งตัวเล็ก มีดได้เสียบทะลุคอ"

นายเบิ้มผละจากหมูแล้วเดินไปหาเจ้าวัวหนุ่มเหยื่อสังเวยงานแต่งตัวต่อไปอย่างใจเย็นพร้อมกับมีดแหลมคมกริบอาวุธคู่มือ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ เมื่อนายเบิ้มเดินไปสะดุดเอาม้านั่งตัวเล็กๆ ที่ใช้นั่งชำแหละเนื้อจนตัวเองเสียหลักล้ม ตัวนายเบิ้มเองถลาเป็นนกปีกหักก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า และจังหวะนั้นเองที่ปลายมีดได้เสียบทะลุเข้าที่คออย่างจัง “โอ๊ยยยย…” นายเบิ้มร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด มือกำมีดแน่น เพื่อนบ้านที่เป็นลูกมือกว่าสิบคนก็รีบกรูกันเข้าไปหา พอเห็นมีดปักคอของนายเบิ้มเช่นนั้น จึงร้องเอะอะโวยวายจนแตกตื่นไปทั้งคุ้ม
นายเบิ้มถูกหามขึ้นท้ายรถกระบะทั้งที่ยังมีมีดปักคออยู่

ระหว่างที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลนั้น นายเบิ้มทั้งดิ้นทั้งร้องด้วยความเจ็บปวดไปตลอดทาง บางครั้งก็กรีดเสียงร้องเสียงแหลมๆเหมือนหมูที่ถูกเชือดคอยังไงยังนั้น สุดท้ายแล้วนายเบิ้มก็ปิดฉากชีวิตของการเป็นมือเพชฌฆาตอย่างน่าสังเวชก่อนจะถึงโรงพยาบาล
คุณละ…คิดยังไงกับเรื่องนี้


ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/413.html

1557
หมูป่าอาฆาต
    
หมูป่าอาฆาตฆ่าพรานพรุนทั้งตัว

พรานเฒ่าเสียท่าหมูป่า เจอเขี้ยวแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั้งตัว



ชาวบ้านรีบหามส่งร.พ.แต่ไปตายระหว่างทาง ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์แซด พรานเฒ่าถูกพ่อหมูป่าตามมาอาฆาต

เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่จู่ๆ หมูป่าจะเข้ามาหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม. ระบุหลายวันก่อนพรานเฒ่าเข้าไปล่าหมูแม่ลูกอ่อนเอาเนื้อมาขาย

แล้วเอาลูกหมูป่าเข้ามาเลี้ยงไว้ในสวน

พอลูกหมูโตขึ้นก็จับฆ่าชำแหละแต่ยังเหลืออยู่ 1 ตัว วันเกิดเหตุพ่อหมูมาส่งเสียงเรียกลูก พรานเฒ่าได้ยินรีบคว้าปืนลั่นไก

แต่กระสุนด้าน เลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงจนตายสยอง

เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ร.ต.อ.รณชัย ธนวัฒน์ดำรง พงส.(สบ.1) สภอ.จุน จ.พะเยา รับแจ้งจากร.พ.จุน ว่า เมื่อคืนวันที่ 4 เม.ย.
มีชาวบ้านถูกหมูป่าทำร้ายมาเสียชีวิตที่ ร.พ.

รุดไปตรวจสอบทราบชื่อผู้ตายคือ นายหวัน สีสัน อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 268 ม.4 ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน

พรานล่าสัตว์ชื่อดังของห้วยข้าวก่ำ สภาพศพถูกเขี้ยวหมูป่าแทงเป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง

จากการสอบสวนชาวบ้านที่ช่วยกันนำนายหวันส่งร.พ.


ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นวันที่ 4 เม.ย. มีหมูป่าตัวผู้เข้ามาในสวนลำไย ลิ้นจี่ นายหวันจึงวิ่งไปเอาปืนแก๊ปมาไล่ยิงในระยะประชิด

แต่กระสุนยิงไม่ออก จึงถูกหมูป่ากระโจนใส่อย่างแรงจนเสียหลักล้มลงและเกิดต่อสู้กัน ก่อนนายพรานเฒ่าจะเสียท่าถูกหมูป่าใช้เขี้ยวยาวแทงเข้าหน้าอกทะลุปอด
ขาทั้งสองข้าง และสะโพกทั้งสองข้างเป็นแผลฉกรรจ์เลือดเต็มนองพื้น


ชาวบ้านต้องช่วยกันยิงหมูป่าจนตาย แล้วรีบนำนายหวันส่งร.พ.จุน แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างทาง

โดยแพทย์ระบุว่าเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมากและมีเลือดคั่งในปอด

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านผู้ตาย พบว่าชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

ระหว่างช่วยกันจัดงานศพให้นายหวันว่า


ไม่น่าเชื่อว่าหมูป่าจากป่าห้วยข้าวก่ำจะเข้ามาถึงหมู่บ้านเนื่องจากอยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม.

สาเหตุน่าจะมาจากพ่อหมูป่าตามมาเล่นงานนายหวัน เพราะเมื่อเร็วๆ นี้พรานเฒ่าเพิ่งเข้าป่าไปฆ่าหมูป่าแม่ลูกอ่อนและเอาทั้งแม่ทั้งลูกมาชำแหละขาย

ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อประมาณ 10 วันที่ผ่านมา

นายหวันพรานเฒ่าเข้าป่าห้วยหลวง-ห้วยข้าวก่ำ และล่าหมูป่าแม่ลูกอ่อนมาได้ตัวหนึ่งนำเนื้อชำแหละขายให้ชาวบ้าน

พร้อมกันนั้นยังนำลูกหมูป่า 4 ตัวมาเลี้ยงไว้ ก่อนชำแหละขายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังเหลืออยู่ 1 ตัว

จนกระทั่งวันเกิดเหตุคาดว่าพ่อหมูป่า

ลัดเลาะมาตามลำห้วยจนถึงหมู่บ้าน และตามกลิ่นลูกมาถึงสวนข้างบ้านนายหวัน จากนั้นส่งเสียงเรียกหาลูกที่นายหวันเลี้ยงไว้ในสวน

ซึ่งลูกหมูก็ส่งเสียงร้องตอบ เมื่อนายหวันเห็นจึงคว้าปืนวิ่งลงจากบ้านเล็งยิงใส่พ่อหมู 1 นัดแต่กระสุนด้านเลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงใส่จนตายสยองดังกล่าว


ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/1240.html

1558
การสอนที่ทรงอำนาจ.........ท่านปัญญานันทภิกขุ

ท่านผู้หนึ่งที่เชียงใหม่ แกสูบบุหรี่จัดมาก ได้ลูก ๒ คน ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง ลูกชายนั้นมันเดินตามพ่อ พ่อสูบยี่ห้อไหน มันสูบยี่ห้อนั้นพ่อสูบเวลาไหน มันก็สูบเวลานั้น
      พ่อนั่งดูลูกสูบบุหรี่ ก็นึกในใจว่า “แย่ ติ๊กมันจะแย่ (ชื่อเล่นชื่อติ๊ก)ถ้ากูทำอยู่อย่างนี้ มันจะแย่...เลยคิดว่าต้องให้ลูกเลิกสูบบุหรี่ พ่อต้องเลิกก่อนเลยเลิก ตัดสินใจเลิก ไม่สูบเลยหลายวัน
      ลูกสังเกตเห็นว่า พ่อนี่ผิดปกติมาหลายวันแล้ว วันหนึ่งเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ถามพ่อว่า “พ่อ หมู่นี้ดูพ่อผิดปกติ”
พ่อถามว่า “ผิดปกติอะไรลูก” “ผมไม่เห็นพ่อสูบบุหรี่เลยหลายวันแล้ว เพราะอะไร?”
พ่อบอกว่า “นั่งลง...พ่อจะเล่าให้ฟัง พ่อนี่มีลูก ๒ คน พ่อรักลูกอยากเห็นความเจริญเติบโตของลูก พ่อเมื่อก่อนนี้สูบบุหรี่จัด มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะได้เห็นความเจริญของลูกได้อย่างไร พ่อรักลูก ก็อยากอยู่กับลูกนานๆ พ่อเลยตัดสินใจเลิกตั้งแต่วันนั้น วันที่พ่อคิดถึงลูกมาก พ่อเลิกไม่สูบเลย ในชีวิตตั้งแต่นั้นมา จนบัดนี้แล้ว จะไม่สูบอีกต่อไป ลูกจำไว้เถอะ”
      พ่อไม่ได้พูดว่า “ลูกควรจะเลิกเหมือนพ่อ” ไม่ได้ขอลูกเลยสักคำเดียว เพียงแต่บอกว่า “พ่อรักลูก อยากจะอยู่กับลูกนานๆ พ่อจึงเลิกสูบบุหรี่”
      แล้วต่อมา ลูกมันก็เลิกเหมือนกัน มันเห็นพ่อไม่สูบบุหรี่ มันก็นึกได้ว่า “กูก็เลิกเหมือนกัน” เลิกเลย เลิกหมดทั้ง ๒ คน ในบ้านนั้นก็เลยไม่มีใครสูบบุหรี่ต่อไป
      พ่อเลิก ลูกเลิก! นี่คือการสอนที่เรียกว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างมีอำนาจมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้เกิดการคิดขึ้นในใจของผู้นั้นได้ เลิกได้


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/Duplex/2009/11/12/entry-1

“คนเราจะสอนผู้อื่นด้วยรื่องใด
ควรทำตนในเรื่องนั้นก่อน
จึงจะเป็นนักสอนที่ไม่ยุ่งเหยิง”
-พุทธวจนะ-

1559
การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น 3 พิธีคือ

                1. พิธีหลวง (พระราชพิธี)
                2. พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป)
                3. พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้)

การประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันวิสาขบูชา ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกอบพิธีในวันมาฆบูชา ขอได้โปรดศึกษาลำดับขั้นตอนจากการประกอบพิธีในวันมาฆบูชาข้างต้น มีแต่คำบูชาเท่านั้นที่แตกต่างกัน ขอนำมาแสดงให้เห็นดังนี้
 
พุทธกิจ 5 ประการ
                1. ตอนเช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ คือเสด็จไปโปรดจริง
เพราะทรงพิจารณาเห็นตอนจวนสว่างแล้วว่าวันนี้มีใครบ้างที่ควรไปโปรดทรงสนทนา
หรือแสดงธรรมให้ละความเห็นผิดบ้าง ทรงส่งเสริมผู้ปฏิบัติชอบอยู่แล้วให้ปฏิเสธชอบบ้าง เป็นต้น
                2. ตอบบ่าย ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนที่มาเฝ้า ณ ที่ประทับ
ซึ่งปรากฏว่าไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ที่ใด ประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าตลอดถึง
ผู้ปกครอง นครแคว้นจะชวนกันมาเฝ้าเพื่อสดับตับพระธรรมเทศนาทุกวันมิได้ขาด
                3. ตอนเย็น ทรงเเสดงโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งมวลที่อยู่ประจำ
ณ สถานที่นั้นบางวันก็มีภิกษุจากที่อื่นมาสมทบด้วยเป็นจำนวนมาก
                4. ตอนเที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาหรือตอบปัญหาเทวดา หมายถึง เทพพวกต่าง ๆ
หรือกษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพผู้สงสัยในปัญหาและปัญหาธรรม
                5. ตอนเช้ามืด จนสว่าง
ทรงพิจารณาสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยที่พระองค์จะเสด็จไปโปรดได้แล้วเสด็จไปโปรดโดยการ
ไปบิณฑบาตดังกล่าวแล้วในข้อ 1 โดยนัยดังกล่าวมานี้พระพุทธองค์ทรงมีเวลาว่าอยู่เพียงเล็กน้อย
ตอนเช้าหลังเสวยอาหารเช้าแล้วแต่ก็เป็นเวลาที่ต้องทรงต้อนรับอาคันตุกะ ผู้มาเยือนอยู่เนือง ๆ
เสวยน้อย บรรทมน้อย แต่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจมาก ตลอดเวลา 45 พรรษา
นั้นเองประชาชนชาวโลกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ดังกล่าวมาโดยย่อนี้ จึงถือเอาวันประสูติ
ตรัสรู้และปรินิพพานของพระองค์เป็นวันสำคัญ
จัดพิธีวิสาขบูชาขึ้นในทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา
สำหรับพิธีการต่าง ๆ ก็เหมือนกับที่กล่าวแล้วในวันวิสาขบูชา
ประเพณีวันวิสาขบูชานี้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและได้เสื่อมสูญไป
จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงฟื้นฟูประเพณีนี้ขึ้นและปฏิบัติมาจนทุกวันนี้


ผิดถูกประการใดต้องขออภัย :054:

ขอบคุณที่มา
http://www.phutti.net/visaka/sartsana.html

1561
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ ดีเยี่ยม ม้วนที่ ๓๒/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๓๓/๑ ( File Tape 28 )
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

๑ เอกายนมรรค ทางปฏิบัติอันเดียว
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

จะแสดงสรุปธรรมะที่บรรยายมาโดยลำดับ

ตามแนวพระสูตรใหญ่ที่ตรัสแสดงสติปัฏฐาน อันได้ชื่อว่ามหาสติปัฏฐานสูตร

อันได้ถือเป็นหลักในการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป

พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงชี้ทางปฏิบัติอันเดียว อันเรียกโดยชื่อว่าเอกายนมรรค

ทางไปอันเดียว คือทางปฏิบัติอันเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย


เพื่อก้าวล่วงความโศก ความรัญจวนคร่ำครวญใจทั้งหลาย เพื่อดับทุกข์โทมนัสทั้งหลาย

เพื่อบรรลุธรรมะอันถูกชอบที่พึงบรรลุ

เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพานคือความดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งสิ้น

ทางปฏิบัติอันเดียวนี้ก็คือสติปัฏฐานพิจารณากาย สติปัฏฐานพิจารณาเวทนา

สติปัฏฐานพิจารณาจิต สติปัฏฐานพิจารณาธรรมะคือเรื่องในจิต


ขอบคุณที่มา
http://www.mahayana.in.th/tsavok/tape/

1562
บทความ บทกวี / ตอบ: 3x8 = ?
« เมื่อ: 11 พ.ค. 2554, 10:33:23 »
!!! หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน!!! เป็นอย่างนี้นี่เอง!!!
....
ลู่เหยากับหม่าลี่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ลู่เหยามีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
หม่าลี่ เป็นผู้น้อง ยังไม่ได้แต่งงาน
ลู่เหยามีฐานะยากจน  ขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำรวย
ด้วยเหตุนี้ ลู่เหยาจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอ
วันหนึ่ง ลู่เหยาบอกหม่าลี่ว่า ตนเองต้องการไปแสวงโชคต่างเมือง
อยากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแลภรรยาให้
หม่าลี่รับปาก บอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
....
ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนหม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้
นำของกินของใช้ บรรทุกใส่รถม้าเต็มคันรถ
นำไปให้กับภรรยาของลู่เหยา …
ภรรยาของลู่เหยา จึงคิดว่า
เป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว   ได้รับกา รโอบอุ้มดูแล
ยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสียอีก
.
ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่
ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วมสาบานที่ดีเช่นนี้
....
ครึ่งปีผ่านไป เ หตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
คนรับใช้ของหม่าลี่ ไม่ได้นำของไปให้ภรรยาของลู่เหยาอีกแล้ว
ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว
ภรรยาของลู่เหยาจึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้
เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุกอย่างถูกขายจนหมด
นางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง
เนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก
นางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย
อาจเพราะว่า นางมีฝีมือดี หรือชาวบ้านต่างสงสารนาง
ก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาวบ้านพากันแย่งซื้อรองเท้าของนาง
จนขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
....
พริบตาเดียว 10 ปีผ่านไป ลู่เหยาก็กลับมาในคืนหนึ่ง
เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรยาของตน
และส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้น
ก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรยาของตนอีกเลย
เขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
.....
เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหยากลับมา จึงส่งคนไปเชิญมาเลี้ยงต้อนรับ
แต่ลู่เหยาปิดประตูไม่รับแขก หม่าลี่จึงไปเชิญลู่เหยา ด้วยตนเอง
เขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหยาจำใจต้องไปที่บ้านของหม่าลี่
ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหยาต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรยาของตน
ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปาน
หม่าลี่จึงพาลู่เหยาเข้าไปที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่งออก และเชิญลู่เหยาเข้าไป
ลู่เหยาตกตะลึงจนตาค้าง เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด
ลู่เหยาเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออกจากประตูด้วยความละอายใจ
และก้มลงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหม่าลี่
...
หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหยาลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย
แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี
เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์
แต่อีกใจก็คิดว่าเมื่อนางได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไร
อาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหา ให้นางเสียชื่อเสียง
แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่างไร
แต่ก้อน่านับถือท ี่พี่สะใภ้ รู้จักทำมาหากินด้วยความสามารถของนางเอง
สมกับที่ข้าได้ตั้งใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้อรองเท้าที่นางทำขายทุกครั้งไป
...
ลู่เหยาได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นาน
สักพักจึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า

ลู่เหยา (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่(กำลังของม้า) กาลเวลาพิสูจน์ใจคน
คำกล่าวจีนที่ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณานี้มองเห็นว่า
การที่เราจะรู้อุปนิสัยใจคอของใครอย่างแท้จริงได้
ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง

.....
ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบเรื่องราวของลู่เหยาและหม่าลี่ครับ
ทำให้มาคิดว่า บางครั้งในชีวิตของคนเรานั ้น
การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง
ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร
เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ แม้ไม่มีใครมองเห็น
แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ
แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว … ว่าไหมครับ


ที่มา : หนังสือคำแสลงจีน ของจุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์

1563
บทความ บทกวี / ตอบ: 3x8 = ?
« เมื่อ: 11 พ.ค. 2554, 10:30:05 »
ผ้าขี้ริ้ว

1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด
เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข
พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย
ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้
แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา
เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว
มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน
ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น
เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด
การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี
เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง 

4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้
เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ
ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต
 ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น 

5.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร
เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น
รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน
ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ
แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ
เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม
ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน
และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร 

7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด
เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น
ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ
เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ
มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น
มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น 

8.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง
เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา
แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้  เพื่อให้สำเร็จ
มอบประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย
คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน 
 
9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่
เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท
จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้
ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น
รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น 
มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า

เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ
ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก 


เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน
แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง



ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก
ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย
ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต
อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม
ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน
แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง


ที่มา....จาก forward mail

1564
บทความ บทกวี / 3x8 = ?
« เมื่อ: 11 พ.ค. 2554, 10:25:35 »
3 x 8 = ?????

เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ  มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24
จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน!
จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้ว
เอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น  ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้   ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกาย

ใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น
จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา
เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัว
มาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่า
อาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ
โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
 
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต

เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)


ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด


ที่มา....จาก forward mail

1565
ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี? ...โอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธิ์สมเด็จโต

พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่ ประจำวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔


คุณขีด : กระผมอยากทราบเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะเป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญและบาปก็เพราะไม่รู้จักกฎแห่งกรรม บางคนไม่เชื่อว่าบุญมีจริงบาปมีจริง แล้วบางทีทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่ทราบชัดในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดสักหน่อยครับ
ว่ามีกฎอันแท้จริงอย่างไร

สมเด็จโต : กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างในอดีตภพย่อมนำมาสู่ท่านในปัจจุบันภพ

ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมไปเพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะ

มนุษย์ผู้นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย    ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์

นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติ

ว่าเมื่อสองปีก่อนท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วท่านหนีไปอยู่ที่หนองคาย

(เปรียบเหมือนท่านฆ่าคนตายในภพก่อน แล้วมาเกิดใหม่ในภพนี้) เรียกว่าท่านเกิดภพนี้ทั้งที่เป็นคนเดิม คือ จิตวิญญาณเดิมจากภพ

ก่อน แต่มาอยู่ภพนี้หรือเมืองนี้ในขณะที่ท่านหนีจากกรุงเทพฯ (ภพก่อน) ไปอยู่หนองคาย (ภพนี้) เกิดสำนึกผิดขึ้นมา จึงถือศีล

ทำบุญให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่หนองคาย ชาวบ้านที่หนองคายก็ยกย่องสรรเสริญว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ แต่

กรรมที่ท่านสร้างไว้คือฆ่าคนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ชาวบ้านที่หนองคายไม่รู้กับท่านด้วย และตำรวจ (กรรม) นั้นก็กำลัง

ตามหาท่านอยู่ เปรียบเสมือนการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น

แม้ว่าท่านกำลังถือศีลถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ หรือแม้ว่าบางคนมาบวชเป็นพระเพื่อหนีคุกหนีตารางก็ตามที เมื่อตำรวจสืบพบเจอตัว

ท่าน แม้จะอยู่ที่วัดถือศีลหรือบวชเป็นพระอยู่ ตำรวจก็จับท่านทันทีเพื่อไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง คนที่หนองคายแถวที่ท่าน

อยู่ย่อมไม่พอใจ หรือด่าทอตำรวจ   ที่มาจับคนดีที่ถือศีลในอุโบสถอยู่ ก็เหมือนกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาทันท่านตอนที่ท่านกำลังทำดี

ทำให้ท่านคิดว่าทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี กลับพบเจอและได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจลืมกรรมที่ท่านทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะ

มันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาจนจำไม่ได้ว่าทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง   จึงทำให้คิดว่าภพนี้ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไม

ไม่ได้ดี? คล้ายกันกับคนทำชั่วหรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่กลับได้ดิบได้ดี เพราะภพชาติก่อนเขาเคยทำดีไว้

แล้วกรรมดีนี้ตามมาทันและส่งผลให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบันเขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตามที เพราะเป็นกรรมคนละส่วนกับ

กรรมเก่าที่เขาทำดีในภพชาติก่อน   ส่วนกรรมใหม่ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ยังไม่ส่งผล ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนเราเพิ่ง

ปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนาออกดอกออกรวงข้าว

ในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยย่อมเป็นไม่ได้ จะต้องรอเดือนรอเวลาจนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนดที่จะออกรวงให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะ

เก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น   กฎแห่งกรรมก็เช่นเดียวกันกับกฎธรรมชาติ เช่น การปลูกพืชปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ย่อมต้องจะรอการ

ออกดอกออกผลเป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตาม พันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ ที่จะใช้เวลาไม่เท่ากันนานเป็นเดือนหรือนานเป็นปีจึง

จะให้ผล เช่น ปลูกพริกย่อมให้ผลิตผลเร็วกว่าปลูกมะม่วง  ปลูกข้าวย่อมให้ผลเร็วกว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น เช่นเดียวกันกับผลของ

กรรมแต่ละชนิด กรรมหนักกรรมเบา มีเจตนาหรือไม่เจตนา เป็นต้น

จึงให้ผลกรรมหนักเบาต่างกันต่างเวลาตามเหตุปัจจัย? สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่ง

ความยุติธรรม   ท่านสร้างกรรมดีไว้ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้นอาจจะให้ท่านเสวยผลในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกง

กรรมกงเกวียนที่จะแยกแยะออกมา  ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบัน

ชาตินี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติเป็นกงกรรมกงเวียนที่ทับถมทั้งดีและชั่ว

โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก? ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านคิดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็แยกแยะ

ทบทวนไม่ค่อยออก   ว่าเวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนมีโทสจริต เวลาไหนมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวแห่งจิต

วิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย   เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้ว่า ท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวย

กรรมนั้นในภพชาติแน่นอน

ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1398:2010-01-13-18-21-49&catid=51:4

1566
พรหมจรรย์ เป็นแค่ "ส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการ"(Part of the plans)

หลักใหญ่น่าจะอยู่ที่เอกายนมรรค - มหาสติปัฏฐาน ครับ :001:
ขอบคุณครับ :054: ไม่ง่ายเลยนะ :074:
ต้องศึกษากันไปยาวๆ :075:

ปล..จะถามจนถึงวันวิสาขบูชา แล้วค่อยถามต่ออีกจนเข้าพรรษา :027:

1567
จิตบริสุทธิ์จึงจะหลุดพ้นจากกรรมจากเวรได้ 36; 36;
                     
ขอขอบคุณท่าน NONGEAR44 ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
                                                                                                                     
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่ร่วมแบ่งปันบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
                                                                                                                                                                   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :054: :054:

ขอขอบคุณกัลยานมิตรทั้งสองท่าน
=================
ขออนุญาตโพสต์เพิ่มเติม......โอวาทหลังพระปาฏิโมกข์  เรื่อง กรรม-เวร........ตัดตอนมาเฉพาะกรรมนิมิต
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


กรรมนิมิต  นั้นเราทำกรรมอันใดไว้แล้ว  ย่อมบันดาลให้เกิดนิมิตในเมื่อจะตายเช่นว่าเห็นนรก เห็นเปลวไฟนรก  เห็นขุมนรก  อะไรต่างๆอย่างนี้เป็นต้น  มีคนนำไปควบคุมไป  อันนั้นเป็นกรรมนิมิตในทางที่ชั่ว ในทางที่ดีก็มีคนพาไปให้ขึ้นสุคติสวรรค์ชั้นฟ้าอะไรต่างๆ วิมานเงินวิมานทอง  อันนั้นเป็นกรรมนิมิตในทางที่ดี  ผมเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น  นายนิรยบาลที่ไหนจะมาอยู่นมนานนานแสนนานก็นายนิรยบาลคนเก่านั้น  กี่ภพกี่ชาตินั้นก็นายนิรยบาลคนเก่านั่น  ว่าทำงานมาเสวยอยู่อย่างนั้น   นายนิรยบาลก็เลยไม่ได้เกิด  กรรมที่ตนทำนั้นมันต้องได้รับด้วยตนเอง  นายนิรยบาลก็ต้องได้รับกรรมน่ะซิ    เพราะทรมานสัตว์นรก  มันก็ต้องไปเสวยกรรมอีกเหมือนกันนายนิรยบาลก็ดี

                คราวนี้กรรมนิมิต เขาบอกว่าแก้ได้ด้วยการทำบุญ จริง การทำบุญช่วย อย่างพระเทวหัตทำลายสงฆ์ตกอเวจี   พระพุทธองค์ทรงเทศนาตกอเวจี   แต่เมื่อว่าแผ่นดินสูบเอาถึงคอนั้น  ก็ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า  จึงไม่ตกถึงอเวจี   เพียงแต่ลงมหาโรรุวนรก  อเวจีนั้นมันไม่มีที่สิ้นสุด   มหาโรรุวนรกนั้นมันค่อยอ่อนขึ้นมาหน่อยนั่นแหละ    ทำบุญ   แก้บาปทำบุญจริงๆ  น่ะแก้บาป

                พระเจ้าอชาตศัตรูก็เหมือนกัน  เห็นโทษแล้วก็มาอุดหนุนพระพุทธศาสนา   ทำสังคายนาแทนที่จะตกอเวจีเพียงแต่ตกที่มหาโรรุวนรก  นี้เรียกว่า  ทำบุญล้างบาป  ไม่เป็นเวรคือว่าไม่สามารถที่ทำเวร   มันเกินเวรไปเสียแล้วทั้ง  ๒  คน   นี่เป็นต้น   อนันตริยกรรมทั้ง  ๕   ทำไปโดยใครไม่มีเวรจองเวรซึ่งกันและกัน   มันเหนือเวรไปเสียแล้ว   อย่างทำกับพระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย   หรือกับบิดามารดาซึ่งมีแต่ความเมตตาเอ็นดูสงสาร   ไม่สามารถที่จะทำเวรกับผู้นั้นต่อไปได้

                ที่นี้ล้างกรรมก็เหมือนกัน  กรรมที่เราทำนั้นทำบุญล้างได้  ครั้นเจตนาจริงจังว่า  เพื่อบุญกุศลอันนั้นจริงๆ  จังๆ   ไม่ใช่คนนั้นมารับแล้วเราจะหาย  แต่บุญที่เราทำกุศลที่เราทำนั้น     จิตค่อยดีขึ้น  ค่อยพ้นจากนรก  พ้นจากกรรม  อันนี้เรียกว่า ทำบุญแก้กรรมเหตุนั้นเราทำบุญทุกสิ่งทุกประการ  อุทิศไปให้คนนั้นคนนี้เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ช่างเถอะ  เขาจะรับเรียกว่ามันไม่พยาบาทอาฆาตแล้ว  เขาได้รับของเรา   คนที่ตายไปนั้นน่ะไม่ใช่มันจะได้รับไปหมดทุกคน    อันที่เป็นเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน   หรือว่าเป็นอะไรต่างๆ  เป็นเทวบุตรเทวดา  ไม่สามารถยินดีรับบุญของเราได้   แม้แต่มาเป็นมนุษย์ด้วยกันแท้ๆ  มันยังไม่เลื่อมใสศรัทธาด้วยกันขอให้อนุโมทนาบุญกับเรา   มันก็ยังไม่ยอมรับ  อย่าไปพูดถึงเรื่องสัตว์อันที่ตายไปอีกโลกหนึ่งเลย  มันยากนักยากหนา
ถึงอย่างไร  เราทำบุญนั่นเพื่อบำรุงจิตใจของเราให้ดีขึ้น  อันนั้นแหละมันจะพ้นจากกรรมได้มันค่อยเบาบางลงไป

                เรื่อง  “นายกรรมนายเวร”นี่  ขอให้เข้าใจอย่างนี้  แล้วจะอธิบายให้ญาติโยมทั้งหลายฟังให้เข้าใจ   เพื่อสงสารเอ็นดูเมตตาเขาหน่อย   มันเหลือเกินที่มันฝังมานมนานแสนนานโดยไม่เข้าใจพุทธศาสนานี้มี   เชื่อเรื่องกรรม   เชื่อผลของกรรมเท่านั้น   เป็นหลักฐาน
 
      “เวรระงับด้วยการไม่มีเวร”
       เมื่อต่างคนต่างเห็นโทษของเวร
      แล้วขอขมาโทษกัน
      ให้อโหสิกรรมกัน
      เป็นหมดเรื่องในชาตินี้เท่านั้น



ขอบคุณที่มา เวป " วิถีธรรม "
http://www.thewayofdhamma.org/page3_1_2/30.html

1568
ขออนุญาตท่าน NONGEAR44 ขอแจมเรื่องกรรมด้วยครับ
=====================
กรรมหลักแห่งการให้ผล

กรรม คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา

มีพุทธภาษิตว่า.....เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ
กรรมดีเรียกว่า กุศลกรรม
กรรมชั่วเรียกว่า อกุศลกรรม
ไม่ดีไม่ชั่ว เรียกว่า อัพยากฤต

กรรมสามารถทำได้ 3 ทาง

ทางกายเรียกว่า กายกรรม
ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม
ทางใจ เรียกว่า มโนกรรม

1.สิ่งใดที่เราได้ทำไว้เช่น เรียนหนังสือ ทำงาน การกิน เสพ การคิด พูด ทำดี ทำชั่ว ถูกสถานที่ ถูกคน ถูกกาลเวลา ทำพอดีแล้วได้รับผลในชาตินี้ เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
2.กรรมให้ผลในชาติหน้า เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม
3.กรรมให้ผลในชาติต่อๆไป เรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม
4.กรรม ที่ให้ผลสำเร็จแล้ว หรือหมดโอกาสที่จะให้ผล เรียกว่า อโหสิกรรม

1.กำหนดให้มาเกิด สถานที่ไหน เวลาใด รวยหรือจน เป็นลูกของคนดีหรือเลวอวัยวะครบหรือไม่ เรียกว่า ชนกกรรม

2.คอยสนับสนุน ถ้าเกิดมาดีก็จะเสริมให้มีความสุขยิ่งขึ้น ถ้าเกิดมาทุกข์ยาก ก็ซ้ำเติมความลำบากให้มากยิ่งขึ้น เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม

3.เบียดเบียนกรรมเดิม ถ้าเกิดมาดีก็คอยบั่นทอนให้ดีน้อยลง ถ้าเกิดมาตกระกำลำบาก ก็คอยเข้าช่วยให้หายใจคล่องขึ้น เรียกว่า อุปปิฬกกรรม

4.กรรมตัดรอน ร้ายแรงกว่ากรรมที่สาม คือสามารถพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ถึงขึ้นทำเศรษฐีให้เป็นยาจก และยกยาจกให้เป็นเศรษฐีได้เรียกว่า อุปฆาตกกรรม

1.กรรมหนัก ถ้าเป็นฝ่ายดีก็เป็นกรรมที่ทำด้วยความบริสุทธิ์สะอาดของจิตอย่างสูง เช่น การทำสมาธิ ตรงกันข้ามถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็ทำด้วยจิตสกปรกที่สุด เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้สงฆ์แตกกัน เป็นกรรมที่หนักต้องให้ผลก่อน เรียกว่า ครุกรรม

2.เป็นกรรมที่ทำบ่อยๆ กรรมเบาๆแต่ทำไว้มากเหมือนดินพอกหางหมู ถ้าไม่ได้ทำกรรมหนักไว้กรรมนี้จะให้ผล เรียกชื่อว่า พหุลกรรม

3.กรรมที่ทำไว้ใกล้จะตาย ถ้าจิตของผู้ทำยึดเกาะสิ่งใดไว้แนบแน่น กรรมนี้ก็จะให้ผลทันที เรียกว่า อาสันนกรรม

4.กรรมสักแต่ว่าทำ ทำตามๆเขา มีเจตนาเบามากเช่น เวลารับศีลในพิธีต่างๆรับไปคุยไป เวลาให้ทานก็ให้ แบบเสียมิได้ จำใจให้ แบบนี้ เรียกว่า กตัตตากรรมคนพาล ทำชั่วอยู่ ไม่รู้สึก กลับคิดลึก ว่าฉลาด สามารถล้นครั้นความชั่ว ทั้งผอง สนองตน จะร้อนรน เหมือนไฟ ไหม้ลุกลามผลที่เกิด แต่กรรม ใครทำไว้ ท่านว่าไม่ ยุบสลาย หายไปไหน ผลคงผล ดลให้เห็น เร้นไม่ไกล ดีชั่วไซร้ คงพบผล ด้วยตนเอง

สิ่งที่ชาวพุทธควรเชื่อ 4 อย่าง

1. เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
2. เชื่อกรรม
3. เชื่อผลของกรรม
4. เชื่อว่าเราทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับ



ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1217

1569
ขอบคุณครับ :054: ชอบอ่านเรื่องแบบนี้มากครับ :015:

1570
ขอบพระคุณทุกท่าน ทั้งผู้ถามและผู้ตอบครับ :054:

1571

ดีนะที่ท่านทรงกลด มาตอบ ดีกว่าตาบัวมาเอง 36; 36;                                                                                                                                                         
ข้าพเจ้าก็คิดว่า บุคคลสมัยก่อนนั้น คงกระพันหนังเหนียวจริงๆครับผม :016: :015:
                                                                                                                                                             
(ขออนุญาตเข้ามาตอบ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
สังเกตุเช่นเดียวกันนะครับว่า คนสมัยก่อนหนังเหนียวกันเยอะ โดยเฉพาะพวกเสือ

ขออนุญาต นำแผนที่ เขาเหวตาบัวมาฝาก ท่านsaken6009 เผื่อจะเที่ยวแถบสีคิ้ว โคราช :048:
http://www.edtguide.com/to/BigDcpMap.php?id=KhaoHeoTaBua_70806&mbid=null&CTIDX=70806&for_extend=true&zlvl=12&cat_type=TVL

1572


หลวงตามหาบัวแสดงธรรมเรื่องพระอรหันต์กับธาตุขันธ์
 
เมื่อหลวงตาแสดงเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพานจบลง ท้ายกัณฑ์เทศได้สรุปเรื่องพระอรหันต์กับธาตุขันธ์ดังนี้ว่า......

...พระอรหันต์ท่านหมดกิเลสทุกอย่างแล้ว ก็มีแต่ความรับผิดชอบในธาตุขันธ์ ไม่ได้เป็นในหัวใจท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว เรียกว่าท่านรับผิดชอบตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมแล้ว จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจขาด ท่านก็ปล่อยเลย

พระอรหันต์กับธาตุขันธ์มีความรับผิดชอบเสมอกันกับโลกทั่ว ๆ ไป เป็นแต่เพียงท่านไม่ยึด เช่นเดินไปกำลังจะเหยียบรากไม้แต่คิดว่านั่นเป็นงู ท่านก็ต้องมีการกระโดดข้ามหรือหลบเป็นธรรมดา หรือท่านจะลื่นหกล้ม ท่านก็พยายามช่วยตัวเองไม่ให้ล้ม ต่างกันกับคนทั่ว ๆ ไปตรงที่ว่า คนทั่วไปจิตใจร้อนวูบ ๆ เพราะอุปาทานยึดมั่น ส่วนจิตพระอรหันต์ท่านเพียงแต่แย็บเท่านั้น ต่างกันตรงนั้น

อย่างที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวช คือขันธ์ท่านแสดงอาการเช่นน้ำตาร่วง ไม่ใช่จิตใจของท่านเป็น เวลาท่านจะไปจริง ๆ ขันธ์ ๕ เป็นวาระสุดท้าย ส่วนนอกนั้นก็ปล่อยไปหมดแล้ว รับทราบเป็นธรรมดา ส่วนธาตุขันธ์รับทราบตลอดทั้ง ๆ ที่ปล่อยแล้ว เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ปวดก็บอกว่าปวด หนาวก็บอกว่าหนาว ร้อนก็บอกว่าร้อน แต่เป็นอยู่ภายในขันธ์ล้วนๆ อันนั้นชอบ อันนี้ไม่ชอบ ล้วนอยู่ภายในวงขันธ์ ไม่ได้เข้าถึงจิต ถ้าว่าอันนี้ดี ก็ดีอยู่ในวงขันธ์ ไม่ได้ยึดมั่น อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในโลก ถ้าหากว่าจะเทียบแล้ว เหมือนเรานั่งอยู่นี่ มีเด็กหรือผู้คนสัญจรไปมา เราไม่ว่าเขารบกวน แต่เขาเป็นของเขาอย่างนั้น พันธุ์ก็ไม่ได้ว่ารบกวนจิตใจ เป็นเพียงรับทราบกัน

นี่แหละสมมุติมันหดเข้ามา เจ็บท้องปวดศีรษะหมดไป จะหดเข้าไป ความรับผิดชอบในวงขันธ์หดเข้ามา จะเข้ามาจุดที่บริสุทธิ์ตามธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ พอหดเข้ามาความทุกข์ร้อนในร่างกายจะหมดไป ๆ สุดท้ายความทุกข์ทั้งหลายในร่างกายนี้ไม่มีเลย เงียบไปหมด นี้เรียกว่าสมมุติครั้งสุดท้ายของขันธ์จะดับวูบลง ขณะที่ลมหายใจขาด พอลมหายใจขาดปั๊บ ขันธ์ดับวูบลง จิตดวงที่บริสุทธิ์รับทราบจะดีดออกเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ท่านจะดับขันธ์นั้น ท่านไม่มีทุกข์อะไรเลย บรรดาพระอรหันต์ไม่มี คนทั้งหลายมีความทุกข์ความเดือดร้อน ดีไม่ดีตกเตียงไปก็มี ไม่มีสติสตังเพราะความทุกข์มากนะ แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น เวลาจะไปจริง ๆ ความทุกข์ทั้งหลายหดเข้ามาหมด ตาเหมือนตาไม้ไผ่ หูก็หูกะทะ อวัยวะต่าง ๆ เป็นเหมือนซุงทั้งท่อน คือความรู้อันนี้หดเข้าแล้ว ทุกขเวทนาอยู่ในขันธ์ พอความรู้หดไป ทุกขเวทนาก็หมด ก็เหลือแต่ความรู้ที่ปล่อยความรับผิดชอบออกไป พอปล่อยปั๊บพร้อมกับลมหายใจออกไป ขาดปั๊บหมด นี่แหละสมมุติทั้งมวลหมดในวาระสุดท้ายคือขันธ์ ๕ ท่านไปง่ายๆ ท่านไม่ลำบากลำบนไม่เหมือนพวกเรา พระอรหันต์ท่านนิพพานง่าย ๆ ใต้ร่มไม้ชายเขาที่ไหน

นี่แหละพระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาชั้นเอกพิสูจน์ด้วยตน พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สงสัยประจักษ์ผลเป็นพยาน ตลอดจนบาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพานท่านเจิดจ้าอยู่ภายในใจนี้ พวกเราตาบอดว่าไม่มี สิ่งที่ว่าไม่มี มันเผาเรา เวลาตายก็เผาตัวเอง

...เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์

...เมื่อหลวงตาเทศนาธรรมจบเวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านจึงลุกขึ้นมองหลวงปูเจี๊ยะอย่างเพ่งพินิจสุขุมกล่าวคำบอกลาว่า “ผมกลับก่อนนะ” คำนี้เป็นคำสั่งลากันครั้งสุดท้ายของพระมหาเถระทั้งสอง

หลังจากหลวงตากลับไป ๒ ชั่วโมง อาการป่วยของหลวงปู่เจี๊ยะก็กำเริบทรุดหนัก มีไข้สูง หอบเหนื่อย พระคิลานุปัฏฐากได้ติดต่อพระอาจารย์เขียวเพื่อคิดต่อรถพยาบาลโดยด่วน

เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. แพทย์ผู้ดูแลได้แก่รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวิน ระงับภัย และรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงพิมพ์ประไพ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ได้จัดรถพยาบาลรับท่านไปที่โรงพยาบาลศิริราช

ระหว่างทางท่านมีอาการเขียว ออกซิเจนในเลือดต่ำ จึงได้นำท่านไปยังโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอสเพื่อรักษาเบื้องต้นจนปลอดภัย และเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชต่อไป รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุชาย สุนทราภาและรองศาสตราจารย์นายแพทย์สถาพร มานัสสถิตย์ ได้ช่วยกันดำเนินการรับหลวงปู่ไว้ในหอผู้ป่วยวิกฤต

ผลเอ็กซ์เรย์ปอดพบมีสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา แพทย์ที่หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจได้ทำการใส่ท่อช่วยระบายเลือดออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา ได้น้ำปนเลือดประมาณ ๑,๔๐๐ ซีซี และได้ตรวจพบเซลล์มะเร็งในน้ำปนเลือดจากช่องเยื่อหุ้มปอด คณะแพทย์ผู้รักษาได้ตัดสินใจไม่ถวายยาต้านมะเร็งเนื่องจากประเมินแล้วว่า สภาพร่างกายของท่านคงรับกับภาวะแทรกซ้อนของยาไม่ได้ จึงถวายการรักษาตามอาการเพื่อให้ท่านมีทุกขเวทนาทางกายน้อยที่สุด

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1573
หลวงตาบัวมาเยี่ยม/พูดกันครั้งสุดท้าย

วันที่หลวงปู่เจี๊ยะจะเข้าโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หลวงตามหาบัวท่านได้เดินทางไปเยี่ยมดูอาการป่วยของท่านที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ในวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่านได้เข้าไปดูภายในภูริทัตตเจดีย์ได้เทศนาถึงความรักความเมตตาที่ท่านพระอาจารย์มั่นมีต่อหลวงปู่เจี๊ยะ และกล่าวชมสรรเสริญภูมิจิตภูมิธรรมของหลวงปู่เจี๊ยะเป็นอเนกปริยาย

หลังจากท่านเข้าชมภูริทัตตเจดีย์แล้วท่านจึงเดินทางมาที่กุฏิที่หลวงปู่เจี๊ยะพักอาพาธอยู่ได้ทักทายพร้อมกับลูบที่มือกล่าวว่า “หลวงตาบัวมาเยี่ยม”

“เราไม่พูดอะไรมากแหละเพราะจะเป็นการรบกวนท่าน” แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงและได้เทศนาธรรมให้ประชาชนญาติโยมที่ติดตามมาเป็นจำนวนมากในเรื่องว่า “พระอรหันต์ละสังขาร” ประหนึ่งจะเป็นเครื่องหมายเตือนสานุศิษย์ให้ได้ทราบล่วงหน้าว่า คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายของหลวงปู่เจี๊ยะแล้ว สังขารที่แบกหามมานานถึงกาลที่จะต้องทิ้งกันไปแล้ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหลวงตาจะมา หลวงปู่เจี๊ยะท่านจะมีอาการไอไม่หยุดเมื่อหลวงตามาถึงเท่านั้นแหละอาการไอที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ประหนึ่งว่าไม่เคยไอเลย หลวงปู่ท่านนอนนิ่งแสดงคารวะธรรมที่หลวงตามาเยี่ยม เป็นกิริยาแสดงความเคารพยิ่งแม้ในขณะที่ป่วย แม้หลวงตาจะเทศน์นานเท่าใด ท่านก็ไม่ไอเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระบางรูปที่นั่งอยู่บริเวณนั้นถึงกับอุทานว่า

“อัศจรรย์! หลวงปู่เข้าฌานสมาบัติ”

แต่เมื่อหลวงตาเดินทางกลับเท่านั้นแหละ หลวงปู่เจี๊ยะกลับมาไออย่างรุนแรงเหมือนเดิม แม้ด้วยสายตาปุถุชนที่เห็นเรื่องนี้แจ่มชัดได้อย่างนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า เรื่องที่จะทำอย่างนี้ได้มิใช่วิสัยสามัญชนคนธรรมดาจะทำได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้พิเศษมีภูมิธรรมชั้นสูงที่สามารถระงับเวทนาขันธ์ได้

หลวงตาแสดงเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพาน/พระอรหันต์ละสังขาร


หลวงตานั่งข้างเตียงอาพาธได้กล่าวธรรมเทศนาแบบสบายๆ เพื่อให้หลวงปู่เจี๊ยะรื่นเริงในธรรม
ในวันนั้นหลวงตานั่งข้างเตียงอาพาธได้กล่าวธรรมเทศนาแบบสบาย ๆ เพื่อให้หลวงปู่เจี๊ยะรื่นเริงในธรรม และเป็นเชิงเล่าเรื่องชาดกให้ลูกหลานฟังความว่า...

...พระสารีบุตรเถระ ทำวัตรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าสู่ที่พักกลางวัน ปัดกวาด ปูแผ่นหนัง ล้างเท้า นั่งขัดสมาธิเข้าผลสมาบัติ ครั้นออกจากสมาบัติแล้วเกิดปริวิตกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพานก่อนหรือหลังพระอัครสาวก ก็รู้ว่าอัครสาวกก่อน จึงสำรวจดูอายุของตน ก็รู้ว่าอายุสังขารของตนจักเป็นไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น จึงดำริว่าจักปรินิพพานที่ไหนหนอ?

คิดว่า ท่านราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์ ท่านพระอัญญาโกญฑัญญะ ปรินิพพานในสระฉัททันต์ เราเล่าจะปรินิพพาน ณ ที่ไหน เกิดจิตปรารภขึ้นว่า มารดาของเราแม้เป็นมารดาพระอรหันต์ ๗ รูป ก็ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พิจารณาว่ามารดาจักบรรลุธรรมด้วยเทศนาของเรา ถ้าหากว่าเราพึงเป็นผู้ขวนขวายน้อยแล้วไซร้ จะเป็นที่ครหาว่ากล่าวได้ว่า “พระสารีบุตรเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์มากมายนับไมได้ อนึ่งเล่า ตระกูล ๘๐,๐๐๐ ตระกูล เลื่อมใสในเรา บังเกิดในสวรรค์ แต่ไม่อาจกำจัดแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาได้”

จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องความเห็นผิดของมารดา แล้วจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงเข้าไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปปรินิพพาน ว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อไปนี้อีก ๗ วัน ถ้าพระองค์จักทอดเรือนร่างเหมือนวางภาระลง ขอพระพุทธองค์ทรงอนุญาต”

พระเถระรู้ว่า พระพุทธองค์มีพระประสงค์ให้แสดงฤทธิ์ คือตามธรรมดา พระพุทธองค์ไม่อนุญาตให้พระสาวกแสดงฤทธาศักดานุภาพ แต่คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายที่พระสารีบุตรมากราบทูลลา เพื่อนิพพาน พระพุทธองค์จึงตรัสแก่พระสารีบุตรว่า

“สารีบุตร เธอจะแสดงอะไรให้เป็นที่ระลึกแก่พวกน้องๆ ก็จงแสดงเป็นที่ระลึก เป็นมหามงคลต่อไปอีกนาน”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วพระเถระจึงแสดงปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ โลดสูง ๗ ชั่วต้นตาล ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศ แล้วจึงลงมาแสดงธรรมกราบทูลพระศาสดาว่า ๑ อสงไขย กำไรแสนกัป นั่นเป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย

พระศาสดาตรัสกับเหล่าภิกษุผู้ยืนล้อมอยู่ว่า พวกเธอจงตามไปส่งพี่ชายใหญ่ของพวกเธอเถิด พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลาย ลาโลก ลาสงสาร วัฏฎวนกองทุกข์ไปในคราวนี้แล้ว

ตลอดระยะเวลา ๗ วันที่พระสารีบุตรเดินทางกลับบ้านนาลกคามซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อโปรดโยมมารดา ได้อนุเคราะห์ผู้คนด้วยธรรมเทศนาตลอด ถึงบ้านนาลกคาม (นาลันทะ) ในเวลาเย็น แล้วหยุดพักที่ต้นไทรใกล้ประตูบ้าน นายอุปเวรตะซึ่งเป็นหลานชายจึงมาพบเข้า ท่านจึงพูดว่า

“ย่าของเจ้าอยู่ในเรือนหรือ ไปบอกย่าเจ้าด้วยว่าเรากลับมาบ้าน ให้ช่วยจัดห้องน้อยที่เราเคยเกิดให้เราตัวด้วย และจัดที่พักสำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูปด้วย”

หลานจึงนำเรื่องไปบอกแก่นางพราหมณีผู้เป็นโยมมารดา นางคิดว่า

“สารีบุตรบวซเมื่อหนุ่มเป็นคฤหัสถ์ เมื่อแก่สงสัยอยากสึกจึงกลับบ้าน”

ในเวลาพลบค่ำโรคลงโลหิตกำเริบอย่างหนัก เกิดเวทนาใกล้ตายแก่พระเถระ โยมแม่ท่านยืนอยู่ที่ประตูห้องคิดว่า บุตรของเราบวชแล้วมาตายแบบนี้น่าเสียใจจริง ๆ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูทราบว่า พระสารีบุตรจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงรีบลงมาไหว้ ยืนอยู่ไม่นานท้าวสักกะจอมเทพ...ท้าวสุยามะ...ท้าวมหาพรหมก็พากันมาสักการะพระเถระแล้วเหาะจากไป

โยมมารดาเห็นเทวดามากราบไหว้และเหาะจากไป จึงเข้าไปในห้องพระเถระ สนทนาถามตอบกันว่า

“ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือ?”

“ท้าวมหาราชนั้นก็เหมือนคนวัดนั่นแหละโยมแม่ ทรงถือพระขรรค์อารักขาตั้งแต่พระศาสดาทรงปฏิสนธิ”“ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวสักกะจอมเทพหรึอ?”

“โยมแม่เอ๋ย ท้าวสักกะนั้นก็เหมือนสามเณรน้อย ๆ ของพระศาสดา”

โยมแม่ของพระสารีบุตรคิดว่า บุตรของเรายังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ แล้วพระบรมศาสดาจะมีอานุภาพมากสักเพียงไหน ความอัศจรรย์และปีติจึงเกิดขึ้นอย่างมาก

พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า โยมแม่ สมัยพระศาสดาประสูติ ตรัสรู้ ประกาศธรรมจักร พันโลกธาตุหวั่นไหว แล้วจึงกล่าวพรรณนาพุทธคุณอย่างพิสดารจบลง โยมมารดาได้สำเร็จโสดาปัตติผล

ค่าน้ำนมข้าวป้อน ได้รับการชดใช้ด้วยธรรมะ จวนใกล้สว่าง พระเถระให้พระจุนทะยกท่านลุกขึ้นนั่ง ครั้นแสงอรุณปรากฏ มหาปฐพีเลือนลั่น ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จากนั้นพระพุทธองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1574
พูดตรง ๆ

หลวงปู่ท่านเป็นพระที่พูดตรง ๆ ตรงจนบางครั้งตลกขำกลิ้งไปเลยก็มี อย่างเช่นเวลาเข้าห้องน้ำปวดท้องอึ ท่านจะอึออกยากมาก ต้องเบ่งเป็นเวลานาน ๆ เวลาท่านอึที่ห้องน้ำ พระจะช่วยให้ท่านขับถ่ายง่ายขึ้น พระจะพยามยามพูดว่า “เบ่ง อืดดดด์ ๆ ๆ ๆ ออก ๆ” ตามจังหวะกลั้นลมหายใจยาว ๆ เมื่อพระพูดมากเข้า ท่านจึงพูดสวนขึ้นทันที

“มึงเบ่งทำไมวะ มึงไม่ได้ขี้ กูเป็นคนขี้ เดี๋ยวกูเบ่งเอง กูขี้เอง มึงเบ่งแล้วกูจะขี้ออกหรือ?”

พระทั้งหลายที่อยู่ในห้องน้ำสุดที่จะกลั้นหัวเราะไว้ได้

รักสัตว์

หลวงปู่เจี๊ยะชอบเลี้ยงหมาไทยหลังอาน
สมัยก่อนที่ท่านจะอาพาธ ทานชอบเลี้ยงแมวกับหมา ท่านพูดกับแมวกับหมาเหมือนพูดกับคน บางทีท่านฉันข้าวไปด้วยป้อนข้าวแมวไปด้วย ท่านมีเมตตาเป็นสาธารณะจริง ๆ “มึงไปเที่ยวสาวไกล ๆ ระวังเถอะจะตาย” ท่านพูดกับหมาหลังอานของท่าน แล้วท่านก็พูดสั่งสอนตักเตือนต่าง ๆ เหมือนพูดกับคน

วันหนึ่งท่านสั่งให้พระจับหมาขังกรงไว้ ไม่ปล่อยให้มันไปเที่ยวไหน ๆ พระสงสารเห็นหมามันร้องเอ๋ง ๆ ก็ปล่อยออกไป พอปล่อยออกไปมันก็ไปเที่ยวหาตัวเมีย เขาก็เอามีดฟันคอมันตาย พวกพระจึงถึงบางอ้อว่า ที่ท่านขังไว้ไม่ปล่อยไปเพราะท่านรู้ว่าถ้าปล่อยไป เขาจะฆ่ามันตาย

เมียขโมย

แม้โยมผู้ชายที่มาดูแลท่านทุกวัน เขาซื้อรถใหม่จะมากราบเรียนท่าน พอเดินเข้าไปในห้อง ท่านถามทันทีว่าซื้อรถใหม่เหรอ ทำให้เขาเชื่อในวาระจิตของท่านเป็นอย่างยิ่ง แล้วท่านก็ถามโยมผู้ชายคนเดิมว่า

“เมียที่บ้าน เมียแต่งหรือเมียขโมย”

“เมียขโมยครับปู่”

เขาตอบพร้อมทั้งเสียงหัวเราะและอัศจรรย์ใจ เพราะความลับอันนี้เขาไม่เคยบอกใคร เพราะเมียคนนี้พาขโมยหนีหอบผ้าหอบผ่อนตามกันมาเป็นเวลา ๓๐-๔๐ ปีแล้วไม่เคยปริปากบอกใคร แต่ทำไมทำไมหลวงปู่จึงรู้ได้ หรือในบางครั้งท่านสอนอยู่บนเตียง ท่านก็จะพูดไปตามธรรมดาว่าวันนี้ คนนั้นจะมา คนนี้จะมา เมื่อถึงเวลาจริง ๆ คนที่ท่านพูดถึงก็มากราบท่านในวันที่ระบุจริง ๆ

ด้ามขวานมีเท่าไหร่กลึงให้ฟรีหมด

โยมคนหนึ่งมีโรงกลึงไม้อยู่แถวหัวลำโพง เมื่องานวันเกิดหลวงปู่ใกล้มาถึง พระจะนำไม้ไปจ้างกลึงด้ามขวานเพื่อแจกในงานทีละเยอะ ๆ แกเห็นพระเณรทำขวานเยอะ ๆ ก็เกิดความสงสัยว่า พระวัดนี้มันจะไปสู้รบออกศึกที่ไหน ถึงทำแต่ของมีคม แกจึงเดินทางมากราบหลวงปู่

แกมากราบก็ไม่ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสอะไรมากมาย ก็เหมือน ๆ กับกราบพระทั่ว ๆ ไป พระอาจารย์เขียว (พระอุปัฏฐาก) ให้เส้นเกศาพลวงปู่ไปเป็นที่ระลึก แกเอาไปก็เอาไปไว้หิ้งพระ

วันหนึ่งแกทำความสะอาดหิ้งพระ จึงเอามาเปิดดูปรากฏว่า เส้นเกศาได้รวมตัวเป็นก้อนกลายเป็นพระธาตุที่สวยงาม ตั้งแต่นั้นมาการงานเข้ามาจนทำไม่หวาดไม่ไหว สิ่งดี ๆ อะไร ๆ ตามมาหมด แกเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างมากเมื่อพระไปติดต่อกลึงด้ามขวานเป็นจำนวนมากเพื่อใช้แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ เขาบอกว่า สำหรับหลวงปู่เจี๊ยะแล้วมีเท่าไหร่เอามาเลย ไม้ที่นี่มีเท่าไหร่ให้หมดเลย งานอื่นไม่ต้องทำ ทำงานนี้งานเดียว งานพระอรหันต์อย่างนี้หาที่ไหนไม่มีอีกแล้ว (เขาพูดได้เยี่ยมจริงๆ)


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1575

ไม่เป็นไร ตายแล้วต่างคนต่างไป

ในบางวันมีผู้คนมากราบมากจนอลหม่าน อย่างเช่นวันคล้ายวันเกิด จะมีทั้งพระและฆราวาสมาจากทุกสารทิศ ผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดจำเป็นต้องห้ามต้องกันผู้คนทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ไม่ให้เข้ากราบ ปิดประตูห้อง บางคนก็บ่นหาว่ากีดกันไปต่าง ๆ นานา ผู้ที่เฝ้าอย่างใกล้ชิดก็รู้สึกกดดัน เครียดอยู่ไม่น้อย เมื่อกราบเรียนถามท่าน ท่านก็ตอบสั้น ว่า “ไม่เป็นไร ตายแล้วต่างคนต่างไป” คำสอนท่านเพียงสั้น ๆ นี้ทำให้ผู้ดูแลคลายทุกข์กังวลไปได้เลย

คาถาหลวงปู่เจี๊ยะ
 
วันไหนท่านปวดที่ขา ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวหรือเจ็บปวดในที่อื่นใดก็ตาม ท่านก็จะให้ผู้ที่ดูแลท่องคาถาเป่าให้ท่าน ท่านบอกว่าเป็นคาถาดี โดยให้ท่องว่า

“นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา”

“ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้หลุดพ้นทั้งหลาย

ความนอบน้อมจงมีแก่ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นทั้งทลาย”

หัวล้านจริง ๆ

บางวันท่านพูดตลกขำขันจนผู้คนที่มาเข้ากราบเฮตึง ๆ วันนั้นร่างกายท่านสดใสแข็งแรงขึ้นบ้างตามสภาพ มีคนขอให้ท่านจับหัวให้เป็นศิริมงคล

คนแรกผู้ชายผมยาว ๆ ท่านก็เคาะ ๆ คนที่สองผมเกรียนๆ ท่านก็เคาะ ๆ คนที่สามเป็นคนหัวล้าน หัวล้านเอามาก ๆ ท่านเคาะ ๆ แล้วลูบ ๆ คลำๆ ที่ศีรษะแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง ๆ ทั้ง ๆ ที่ป่วยนอนอยู่บนเตียง ให้พรโยมหัวล้านคนนั้นว่า “หัวล้านหัวเหลือง หัวละเฟื้องสองไพ หัวล้านจริง ๆ ผู้หญิงชอบใจ”

คนที่นั่งอยู่เต็มบริเวณหัวเราะกันเฮ ๆ ด้วยว่าในวันนั้นอากาศมันร้อนอบอ้าว คนที่มากราบ เหงื่อไหลไคลย้อยไปตาม ๆ กัน ภายในจิตในใจของแต่ละคนคงบ่นๆ ถึงดินฟ้าอากาศ

ท่านจึงพูดขึ้นอีกว่า “มนุษย์ขี้เหม็น เคี่ยวเข็ญเทวดา ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า”

หนาวใจทำอย่างไร?

พอตกยามค่ำคืน แอร์ที่ห้องพยาบาลมันหนาว ท่านจะบอกธุระที่อุปัฏฐากบ่อย ๆ ว่าหนาวเว้ยๆ แล้วท่านก็พูดเป็นกลอนว่า “หนาวลมห่มผ้า หนาวฟ้าผิงไฟ” แล้วพระรูปหนึ่งก็พูดเล่นกับท่านแก้เครียดว่า

“ถ้าหนาวหัวใจละปู่”

“หนาวหัวใจ ต้องไปแม่สอด”

พระรูปนั้นอายม้วนหน้าแดง เพราะตัวท่านเองไปเที่ยวภาวนาทางภาคเหนือเคยแอบชอบสาวมูเซอ กะเหรี่ยง เกือบเอาตัวไม่รอด เกือบจะได้ถอดผ้าเหลืองทิ้งเป็นลูกเขยกะเหรี่ยงมาแล้ว

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1576
หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี

คติธรรม/กรรม/อาพาธ

แต่ก่อนมีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง...

ในปัจฉิมวัย ไม่ว่าในคราใดท่านประสบอาพาธหนัก นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ท่านไม่แสดงความหวั่นไหว บ่งบอกความแข็งแกร่งนิสัยอาชาไนย อีกทั้งยังแสดงธรรมสอนลูกศิษย์ที่ไปเยี่ยมด้วยการเอาร่างกายของท่านเป็นเครื่องเปรียบเสมอว่า

“ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว มีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง พอเดี๋ยวนี้ ๕๐ สตางค์ก็ไม่มีใครเอา”

บางครั้งท่านก็จะเล่าเรื่องในอดีตที่เกี่ยวโยงมาถึงปัจจุบันให้ผู้อุปัฎฐากดูแลฟัง บางทีก็เป็นขำขันเป็นนิทาน เป็นธรรมะชั้นสูง หรือบอกเป็นนัย ๆ วันนี้จะมีใครมา ถ้าสังเกตและพิจารณาตามนั้นจะเป็นจริงทุกเรื่อง

กรรมที่เคยฆ่าหมา

ท่านเล่าถึงสาเหตุที่ต้องได้ทำการผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท นอนแกร่วเป็นอัมพาตนี้ว่า ตอนเป็นหนุ่ม เราเลี้ยงหมูไว้แยะ ต้มข้าวเอาไปวางให้หมู หมามันมากินหมด โมโหจัดจึงเอาไม้คานเจ็กตีหมาโป้งเดียวจอดสลบ ด้วยความที่โกรธจัด แม้หมาตัวนั้นจะนอนแน่นิ่งเหมือนตายแล้ว ก็คงเอาไม้คานตีกระหน่ำอยู่อย่างนั้น ตีจนกระทั่งมันฟื้นขึ้นมาอีก ฟื้นขึ้นมาอีกตีซ้ำลงอีกแบบทารุณไร้เมตตาธรรม คราวนี้หมามันชักตาย...เสร็จเลย กรรมอันนี้แหละ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติที่เราต้องชดใช้”

กรรมรีดลูกปลา

และที่เรามีอาการชาและแบบที่ผิวหนังรอบทวารหนัก ไม่สามารถนั่งตัวตรงเป็นเวลานานๆ ได้นั้น ก็เป็นกรรมในปัจจุบันซาติเช่นเดียวกัน คือ ตอนหนุ่ม ๆ เราชอบเลี้ยงปลาเข็ม ปลาหัวเงิน ตามประสาเด็กรุ่นๆ ทำสนุกสนาน เวลาปลาหัวเงินปลาเข็มมันท้องแก่ แต่ยังไม่ถึงเวลาคลอดลูก เราชอบรีดท้อง รีดเอาลูกมันออกมาก่อนเวลา เอามาเลี้ยง มันทันใจดี เมื่อรีดเอาลูกมันออก แม่มันก็ตาย ด้วยผลกรรมคือรีดลูกจากท้องปลาที่เผ็ดร้อนทารุณนี้ จึงเป็นกรรมที่ทำให้เราก้นชาและแสบทวารอยู่ไม่หาย


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1577
เรื่องนี้แถมให้ท่านsaken6009
อ่านแล้วสนุกได้คติธรรม รวมทั้งประวัติของ...หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี
อ้างถึง
วิชาหนังเหนียว

วันหนึ่งมีผู้หญิงวัยแก่คนหนึ่ง แกอยากอยู่ยงคงกะพัน อยากหนังเหนียว นิมนต์ให้หลวงปู่เป่าหัวให้สุดยอดไปเลย หลวงปู่ก็สอนว่าของพวกนี้ไม่จีรังยั่งยืนศักดิ์สิทธิ์วิเศษเท่ากับภาวนาพุทโธหรอก แกก็ไม่เอาพุทโธ อยากหนังเหนียวอยู่อย่างเดียว

ท่านรำคาญจึงเป่าหัวปู๊ดๆ ให้แกก็กลับไปด้วยความสบายใจที่ได้ถูกเป่าเสกกระหม่อมด้วยวิชาหนังเหนียว

หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน เสียงรถพยาบาลวิ่งเข้ามาที่วัดป่าภูริทัตต ฯ อย่างรีบด่วน จอดที่หน้ากุฏิหลวงปู่ ผู้หญิงคนเดิมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แพทย์พยาบาลนำเธอเข้ามากราบเรียนท่านว่า

“หลวงปู่เจ้าคะช่วยเป่ากระหม่อมถอดถอนวิชาหนังเหนียวให้ด้วยเถอะ ตอนนี้จะตายอยู่แล้ว ปวดท้องเหลือเกินไส้ติ่งจะแตกอยู่แล้ว หมอพยายามผ่าตัด เข็มฉีดยาก็ไม่เข้า เชือดเท่าไหร่ เฉือนเท่าไหร่ก็ไม่เข้า มันเหนียวจริง ๆ หนังดิฉันนี่”

เธอพูดทั้ง ๆ ที่มือกุมท้องอย่างน่าเวทนาสงสาร

หลวงปู่จึงเป่าหัวให้ เธอก็กลับไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลโดยรีบด่วนได้อย่างปกติ

สรุปธรรมปฏิบัติสั้น ๆ

แม้ในขณะที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เมื่อมีคนมาถามเรื่องภาวนาท่านจะเมตตาตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ให้พุทโธ เร็ว ๆ ๆ เหมือนรั้วบ้านเราถี่ ๆ อะไรล่ะจะเข้ามาได้”

แล้วท่านก็พูดเรื่อง กิเลส กรรม วิบาก ว่า พวกเราทุกคนอยู่กับร่างกายนี้มาหลายภพชาติแล้วแต่อวิชชามันปิดบังจึงจำไม่ได้ ให้พากันปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญานะ เพราะว่า ศีลเป็นเหตุ สมาธิเป็นผล สมาธิเป็นเหตุ ปัญญาเป็นผล ปัญญาเป็นเหตุ วิมุตติเป็นผล ฯ

นอกจากเรื่องที่เล่าแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายที่เป็นปาฏิหาริย์แต่ท่านจะแสดงเฉพาะบุคคลเท่านั้น นั่นเป็นเครื่องส่องแสดงให้เห็นว่า ท่านรู้แต่ท่านไม่พูด พอเหตุการณ์และเวลาเหมาะสมท่านจึงจะพูดขึ้นมา บางทีทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ก็ทำเหมือนไม่รู้ ท่านเฉย เพราะพูดไปคงไม่เกิดประโยชน์อะไร

หลวงตามหาบัวเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม

ขอบคุณที่มา และเรื่องทั้งหมดน่าสนใจมาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

1578
   บวชแล้วต้องประพฤติพรหมจรรย์ และเป้าหมายของการบวชตามที่กล่าวให้สัจจะกับพระอุปัชฌาย์ในท่ามกลางสงฆ์คือ"การทำพระนิพพานให้แจ้ง" ฉะนั้น กิจของพรหมจรรย์ คือ การประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อเป้าหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา(พระนิพพาน)
   
   ทบทวนตามปฏิโลม - ในเมื่อสภาวะจิตเข้าสู่พระนิพพานแล้ว กิจที่ต้องทำคือ"ประพฤติพรหมจรรย์"ย่อมจบสิ้นตามไปด้วยครับ :001: 
ถ้าผมจะเปรียบเทียบกับทางโลก
นิพพาน คือ เป้าหมาย(goal)
กิจของพรหมจรรย์ คือ แผนปฎิบัติการ(action plan)

เมื่อทำปฏิบัติจนบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็จบแผนปฏิบัติการได้

ผิดถูกประการใดโปรดอภัย :054:

1579
เรียนท่านsaken6009

ตาบัวคงมาตอบไม่ได้ ผมขออนุญาตเล่าเรื่องคนร้ายหนังเหนียว เพื่อเป็นอุทาหรณ์เป็นกรณีเปรียบเทียบ

อ้างถึง
นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช เปิดเผยวีรกรรมที่บิดาเคยเล่าให้ฟังว่า โจรหรือเสือร้ายในสมัยก่อนมีพฤติกรรมปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา เช่น ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ หรือ “เจ้าพ่อเขาบูโด” ทั้งกระสุนปืน คมหอก คมดาบ ที่ตำรวจระดมสาดเข้าใส่ร่างของมัน แต่ทำอะไรมันไม่ได้ พอ กระสุนหมดทั้งคู่ คุณพ่อก็วิ่งไล่จับขุนโจรชื่อก้องได้ด้วยมือเปล่า กระโจนเข้าไปชกต่อยพัลวัน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็จับเจ้าพ่อเขาบูโดใส่กุญแจมือ ลากคอเข้าคุกได้ และจากการตรวจสอบพบว่ากระสุนที่ยิงใส่ตามลำตัวไม่ถูกมันเลย และที่ยิงบริเวณปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก มันคายหัวกระสุนทั้ง 9 เม็ดลงกลางโต๊ะสอบสวน !!?? นับเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนทุกวันนี้

ขอบคุณ
http://www.nongear.net/forum/index.php?topic=872.0

1580
ไม่ขัดครับ :001:

อาสวักขยญาณ ไม่ใช่ญาณที่ทำให้สิ้นกิเลส แต่คือ ญาณที่ทำให้ทรงหยั่งรู้อริยสัจ ๔(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เป็นเพียง"รู้การกำจัดกิเลส"

ซึ่งอาสวักขยญาณนี้เป็นบาทของการบรรลุ"พระสัพพัญญุตญาณ"ครับ :001:
ขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่าง :054:
มือใหม่ต้องศึกษากันต่อไปยาวๆ :002:

ถามเพิ่มครับ คำว่า พรหมจรรย์สิ้นแล้ว กับ พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
หมายความว่าอะไรครับ ไม่เข้าใจ :010:  :086:

1581
อ้างถึง
ยามสาม:ทรงบรรลุ "อาสวักขยญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจ ๔

ผมอ่านบทขยายความในนี้ไม่ทราบว่าถูกต้องไหม
http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2010/09/16/entry-7
ที่บอกว่า....อาสวักขยญาณไม่ใช่ญาณทำกิเลสให้สิ้น และ อาสวักขยญาณควรแปลว่า ญาณทำพรหมจรรย์ให้สิ้นเพราะหยั่งรู้ทันว่ากิเลสสิ้นแล้ว กิจจบแล้ว พรหมจรรย์สิ้นแล้ว ไม่ต้องเจริญอีก ไม่ต้องทำอีก ไม่ต้องฝึกอีกแต่สติและสมาธิก็มีเองได้ เกิดเองได้, ดับเองได้

กับข้อความข้างล่างนี้ ขัดแย้งกันไหม (พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๙)

http://nkgen.com/427.htm
[๓๓๖] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้
ย่อมโน้มน้อมจิตไป(พิจารณา)เพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้  จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.


ขอบคุณครับ

1582
ขอบพระคุณท่านปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)ลูกพระธรรม :054: ที่ได้นำเสนอเรื่องวันวิสาขะบูชา (เมื่อบ่ายนี้ก็ได้นั่งนึกๆเรื่องนี้เช่นกัน)

สุกรมัททวะ คืออะไร?? ลองอ่าน....
http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2009/09/01/entry-2
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=137&page=28
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915

ปล.พรุ่งนี้วันพระนะครับ ขึ้น๘ค่ำ เดือน ๖

1583
อ้างถึง
ซึ่งต้องมีคำสัญญาคือห้ามดื่มสุราตลอดชีวิต

ขอแสดงความนับถือ  :054:

ผมหยุด(ดื่มประจำวัน) แต่ไม่ได้เลิกตลอดชีวิต :045:

1584
3/3

เมื่อทั้งสองพี่น้อง ตามไปได้พักหนึ่ง ก็ไปถึงทางขึ้นเขา ซึ่งเป็นทางยุทธศาสตร์ของทหารช่างในสมัยนั้น ทางเส้นนี้ลาดชัน และมีหินสลับซับซ้อนวกวน มีหินก้อนใหญ่ๆ ขวาง ทางก็คดไปคดมา กว่าจะถึงยอดเขาก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ทางเส้นนี้เกวียนพอจะขึ้นได้ เพราะชาวบ้านเขาจะใช้ทางเส้นนี้เป็นทางบรรทุกเอาพวกน้ำมันยางขี้ไต้ไปขายที่ ตลาดสีคิ้วเป็นประจำ

พอถึงทางขึ้นเขา เสือบัวก็ลงจากหลังควาย แล้วก็เดินจูงควายไปตามทางขึ้นเขา จูงไปเรื่อยๆ ทางด้านสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ก็แอบตามไปห่างๆ เพียงรอจังหวะโอกาสเหมาะๆ และก็ตามไปจนถึงยอดเขา ซึ่งตรงนั้นเป็นลานหินบริเวณกว้าง และมีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ อีกด้าาน หนึ่งก็เป็นหน้าผาเหวลึกยาวตลอดแนวเขา

เสือบัวแกก็หยุดเอาควายผูกกินหญ้า แล้วตัวแกก็นั่งพักใต้ร่มไม้ พอดีสองพี่น้องตามมาทัน เห็นแล้ว ไม่ฟังเสียง ด้วยความโมโหจึงส่องปืนแก๊ปที่ติดตัวมายิงใส่ทันที ควายตื่น เชือกขาดวิ่งลงเขาไป แต่เสือบัวไม่เป็นไร กระโดดเข้าใส่สองพี่น้องทันที สองพี่น้องมีปืนและมีด เสือบัวมีแต่ไม้ แต่ทั้งยิงทั้งแทงก็หาได้ระคายผิวเสือบัวไม่ ขณะเดียวกัน เสือบัวก็ทำอะไรสองพี่น้องไม่ได้เช่นกัน ต่างคนต่างก็กอดปล้ำกัน มาตอนหลังไม่ได้อาวุธแล้ว ต่างคนใช้มือเปล่าเข้าใส่กัน

ปล้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นาน โดยเฉพาะทิดหนอมกับทิดเนียมสองพี่น้อง ทำอย่างไรก็สู้เสือบัวไม่ได้ สองพี่น้องก็เหนื่อยถึงขนาดผลัดกันเข้าออก จนเสือบัวหมดแรง สองพี่น้องก็ช่วยกันจับมือ เอาเชือกควายที่ขาดติดอยู่กับต้นไม้มาผูกมือเสือบัวเอาไว้ แล้วน้องชายก็เอามีดไปตัดไม้รวกมาเสี้ยมให้แหลม จากนั้นก็ตอกเข้าไปในทวารของเสือบัว จนไม้รวกขนาดประมาณหนึ่งศอกจมมิด ทำเอาเสือบัวถึงกับร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ฟังดูเหมือนเสียงควายถูกตีหัวอย่างนั้น แล้วสองพี่น้องจึงช่วยกันจับเสือบัว ทิ้งลงเหวลึกตายอย่างน่าอนาถ

พอเสือบัวตายแล้ว ชาวบ้านต่างก็อนุโมทนา เพราะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงอีกต่อไปแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ไปได้อย่างสบาย ชาวบ้านก็อยู่อย่างเป็นสุข กรรมดี ถ้ากระทำก็ย่อมได้รับการสรรเสริญ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ ทำนองเดียวกัน ถ้าใครทำแต่ความชั่วไว้ เขาย่อมได้รับแต่เสียงสาปแช่ง ก่นด่า อยู่เบื้องหลัง แม้จะละสังขารนี้ไปแล้วก็ตาม ดังเรื่องราวของเสือบัวผู้โด่งดังผู้นี้เป็นอาทิ และเพราะตลอดชาติที่ เขามาเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ประกอบแต่กรรมชั่วเป็นอาจิณ แม้เมื่อเขาตายไปแล้ว จึงยังต้องไปชดใช้กรรมอยู่อีกระยะหนึ่ง นั่นคือ ไม่มีกรรมดีพอที่จะส่งให้ไปผุดไปเกิดนั่นเอง จึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญส่วนกุศล จนชาวบ้านต่างกลัวผีเสือบัวจนหัวหด ถึงกับต้องสร้างศาลเพียงตาให้เป็นที่สิงสถิตที่หน้าผา ตามความเชื่อมาตั้งแต่เดิมนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า เขาเหวตาบัว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เหวตาบัวอยู่ห่างจากถนนสายด่านขุนทด ลำนารายณ์ ประมาณ ๑ กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้อยู่ระหว่างเขตแดนติดต่อของ ๓ จังหวัด คือ นครราชสีมา ลพบุรี และสระบุรี


สุดท้ายโดนประหารจากศาลเตี้ย :092:

ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1041

1585
2/3

เสือบัวได้ทำอาชีพในการปล้นเขาเลี้ยงดูลูกเมีย มาประมาณ ๑๓-๑๔ ปี แกก็ถึงคราวอวสานของชีวิต ถึงวาระที่จะต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้อย่างมาก ประพฤติชั่วเสียจนไม่รู้ว่าดีนั้นเป็นอย่างไร ทำบาปเสียจนไม่รู้ว่าบุญนั้นเป็นอย่างไร ทำนองที่ว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครที่จะอยู่เหนือกฎข้อนี้ไปได้ เมื่อมีคนเก่งก็ต้องมีคนมาปราบจนได้ เรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสกุณายังมีนกอินทรี เสือบัวแกเข้าตำรานี้ แกจะเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ นี่เป็นหลักสัจธรรมที่ยืนยันได้ จึงเกิดมีอัศวินสองพี่น้องขี่ม้าขาวมาปราบแกจนได้

วันนั้น จำได้ว่ามันเป็นเดือน ๖ ข้างขึ้นด้วย เพราะมีพระจันทร์ขึ้นอยู่ครึ่งซีก กลางคืนก็มองเห็นป่าไม้ภูเขาขวางทะมึนอยู่รอบข้าง ลมที่เคยเงียบเหงาก็พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง คล้ายกับจะมีอาเพทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ท้องฟ้าก็มืดมน เห็นหมู่เมฆลอยปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา คล้ายกับจะมีฝนตกลงมา เพื่อชำระล้างเสนียดจัญไรอะไรสักอย่าง ที่รอโอกาสนี้มานานแล้ว ฉะนั้น

ตอนเช้า เสือบัวก็ออกตระเวณปล้นเป็นกิจวัตรของแกเช่นเดิม ขณะที่กำลังเดินครุ่นคิดอยู่ว่า จะไปลักวัวควายที่ไหนดี เหมือนกรรมบันดาล เพราะเสือบัวต้องไปเจอกับอัศวินสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ซึ่งเป็นชาวบ้านปรางหูเสือ ได้นำเอาควายออกมาเลี้ยงที่ไร่ของตนตามปกติ หลังจากเอาควายไปล่ามกินหญ้าริมคลองลำพญากลางแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยกันถางป่าขุดตอไม้ คุยกันไปตามประสาน้องพี่ผู้รักกันในสายเลือด หาได้คิดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเอง

ขณะคุยกันอยู่เพลินๆ นั้น ก็มีอีกาตัวหนึ่งบินไปจับที่ต้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากที่ล่ามควาย และที่ต้นไม้นั้นก็เป็นที่ไว้ของห่อข้าวด้วย ทิดหนอมก็บอกน้องชายให้ไปดูห่อข้าวว่า ?เฮ้ย..... ไอ้เนียม ลองเดินไปดูห่อข้าวที เอ็งเอาไว้ที่ไหน เดี๋ยวอีกาจะคาบไปกินเสียเท่านั้นแหละ?

ทิดเนียมก็ชี้ไปที่ต้นตะคร้อที่อีกาจับอยู่พร้อมกับพูดว่า ?ก็ที่ต้นตะคร้อนั้นไงเล่า หรืออีกาจะเอาไปกินแล้วละมัง เดี๋ยวไปดูสักเดี๋ยวก่อน?

พอพูดจบก็เดินออกไปดู ก็เห็นห่อข้าวอยู่เป็นปกติดี จึงได้เดินออกไปดูควายเพื่อย้ายที่เข้าร่ม เพราะจวนจะเที่ยงแล้ว แต่มันช่างบังเอิญเหลือเกิน พอทิดเนียมเดินออกไปหน่อยเดียวเท่านั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ กำลังขี่ควายของตนออกไปอย่างหน้าตาเฉย

ทิดเนียมแกเห็นแวบเดียวก็จำได้อย่างแม่นยำเลยเชียวล่ะ ผู้ชายหุ่นอย่างนี้ ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเสือบัวเท่านั้น พอเห็นเช่นนั้น ทิดเนียมแกก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกพี่ชาย ?พี่ทิด..... พี่ทิด..... เร็วๆ เข้า โน่น ไอ้เสือบัวมันขี่ควายเราไปแล้ว?

พูดจบแกก็วิ่งไปเอาปืนแก๊ปอาวุธคู่มือ ส่วนพี่ชายก็คว้ามีดที่กำลังถืออยู่ ก็ชวนกันวิ่งออกตามไป พอตามไปทัน สองพี่น้องก็ยังไม่จู่โจมโดยทันที พี่ชายบอกว่า..... ?ให้ตามไปเรื่อยๆ ก่อน ใจเย็นๆ อย่าวู่วาม เพราะเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว จะไปขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แล้ว ควายเราก็เหลือตัวเดียวเท่านั้น ถ้าหมดตัวนี้ก็หมดกันเท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรเราก็ต้องพยายามเอาควายคืนให้ได้ เป็นไงเป็นกันล่ะ เราจะต้องแย่งชิงเอาคืนให้ได้?


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1041

1586
แถมอีกเรื่องหนึ่ง

1/3
ตาบัวหนังเหนียว

ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะได้นำเรื่องราวของจอมโจรผู้มีนามกระเดื่องว่า ?ตาบัวหนังเหนียว? มาเล่าสู่ท่านฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์และคติเตือนใจ และก็เพื่อเป็นการยืนยันหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสเอาไว้เมื่อก่อน ๒๕๐๐ ปีมาแล้วว่า ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ปัจจุบันพุทธธรรมข้อนี้ ยังเป็นสัจธรรมความจริงเหมือนเดิมทุกประการ

ตาบัว เป็นชื่อของชาวบ้านเขาผาแดงเรียกกัน บ้านช่องห้องหอของแกอยู่ที่ไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด บางคนก็บอกว่าอยู่ห้วยบง บางคนก็บอกว่าอยู่เขาเสมา แต่ที่รู้แน่ๆ แกเป็นโจรที่ค่อนข้างจะแปลกไปกว่าบรรดาโจรทั้งหลาย คือ แกชอบปล้นคนเดียว ไม่เคยคบหมู่ คบพวก ไม่ว่าจะทำการปล้นที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าคนจะมากจะน้อยก็ไม่เคยเกรง กลางวัน กลางคืน ไม่เคยหวั่น แกจะปล้นได้ตลอดเวลาไม่เลือก

แกสะดวกเมื่อไหร่ก็เอาเมื่อนั้น ใครจะซุ่มยิง ซุ่มแทง แกก็เฉย ไม่สนใจใครทั้งนั้น อยากได้ควายไปฆ่ากินสักตัว แกก็จะเข้าไปในคอก แล้วก็จูงควายออกไปอย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนส่วนมากเห็นแล้วไม่มีใครกล้าต่อสู้กับแกหรอก อำนาจแกมากเหลือคณา หรือเพียงแค่เห็นรอยเท้า ผู้คนก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

ถ้าได้ยินเสียงว่า ?เสือบัวมาแล้ว ห้ามผู้ใดเอะอะหรือขัดขืน? ผู้คนจะเงียบกริบเหมือนกับถูกมนต์ขลัง และมันก็น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าแกจะปล้น จี้ ลักขโมยที่ไหนก็ตาม แกไม่เคยใช้อาวุธเลย และอาวุธประจำตัวก็ไม่มี อย่างดีก็มีดแหลมเล่มเดียว คือ ส่วนมากแกจะใช้อาวุธข้างๆ ตัว เสียส่วนมาก เช่น เอาไม้ทุบหัวบ้าง กดคอจมน้ำบ้าง เอาเชือกรัดคอบ้าง หรือไม่ก็เอาอาวุธของเจ้าของทรัพย์นั่นแหละ ฆ่าเจ้าของทรัพย์ซะเอง เสือบัวจะถืออยู่อย่างหนึ่ง คือ แกจะฆ่าเฉพาะผู้ที่ขัดขืนหรือต่อสู้เท่านั้น ถ้ายินยอมเสีย เสือบัวก็จะไม่ทำอะไร และแกก็ไม่จับไปเป็นตัวประกันด้วย มาลักวัวลักควายใครแล้ว แกจะเอาเชือกผูกแล้วจูง หรือขี่หลังออกไปเฉยๆ

มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ คอกวัว คอกควาย บ้านใครที่คิดว่าทำคอกอย่างแน่นหนา เวลากลางค่ำกลางคืน อย่างตีลิ่ม ลงไลย ใส่กุญแจอย่างดี เพื่อป้องกันการลักขโมย พอตื่นเช้ามา ปรากฎว่าประตูถูกเปิดออกเฉยเสียอย่างนั้น โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้ตัว และไม่ได้ยินเสียงตีลิ่ม เปิดประตูคอกเลยด้วย นั่นแหละ คือ ผลงานของเสือบัวโดยไม่ต้องสงสัย ที่ทุกคนเชื่อเช่นนั้นก็เพราะว่าแกมี ?คาถาสะเดาะลิ่มหรือกุญแจประตูนั่นเอง?

บางครั้งออกปล้นเงินปล้นทอง แกจะบอกเจ้าทรัพย์ไปเอาออกมาให้ แล้วตัวแกก็จะนั่งดื่มน้ำรออย่างใจเย็น ทั้งนี้ เป็นเพราะความกลัวในกิตติศัพท์อันร้ายกาจของเสือบัวนั่นเอง เสือบัวสั่งอะไร อยากได้อะไร เจ้าทรัพย์ก็จะเอาออกมาให้จนหมด พอได้แล้วก็จะใช้ผ้าขาวม้าห่อเอา ถ้ามีควายด้วย แกจะขี่ควายไปด้วยทุกครั้ง

เสือบัวทำการปล้นอยู่อย่างนี้มาหลายปี ไม่มีใครฆ่าแกได้ และไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าถึง เพราะสมัยนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก ยากที่จะติดตามเจอ จึงไม่มีใครจับเสือบัวได้สักคน ทั้งที่แกถูกยิงถูกฟันจนไม่มีเสื้อจะใส่แล้ว เพราะใส่เสื้อปล้นทีไร ถูกยิงถูกฟันจนเสื้อขาดหมดทุกที มาระยะหลังแกออกปล้น จะไม่มีเสื้อใส่เลย จะมีก็แค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวคาดเอว ในที่สุดก็เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเสือบัว ไม่ว่าจะปล้นที่ไหน ถ้าคนที่ปล้นไม่ใส่เสื้อแล้ว ไม่มีใครหรอก นอกจากเสือบัวเท่านั้น แล้วก็ได้รับการขนานนามอีกว่า ?เสือบัวเทวดา? เพราะไม่มีใครฆ่าหรือจับแกได้นั่นเอง

ชาวบ้านเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอสีคิ้ว อำเภอชัยบาดาล อำเภอปากช่อง อำเภอมวกเหล็ก ต่างก็รู้จักชื่อแกดีทั้งนั้น โดยเฉพาะชาวบ้านแถบเขาผาแดง ปางโก บ้านฉาง เขาน้อย ต่างก็รู้จักหรือจำตัวแกได้เป็นอย่างดี เห็นเพียงด้านหลังก็จำหน้าได้ ว่างั้นเถอะ เสือบัวจะใช้เขาแถบนั้นเป็นที่ซ่อนตัว มีบางคนบอกว่าบ้านของแกอยู่ในหุบเขาเสมา ตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ มีลูกมีเมียด้วย ข้าพเจ้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า รังนอนของเสือบัวคงจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านข้าพเจ้านักหรอก เพราะเห็นแกบ่อยเหลือเกิน แต่เดิมทีนั้นแกเป็นคนมาจากทางสุรินทร์ หรือเป็นคนเขมรนั่นเอง


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1041

1587
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2554, 12:15:03 »
สติปัฏฐาน๔ นี้เป็นการฝึกสติ และใช้สติ เราสามารถปฏิบัติได้ในทุกขณะและอริยาบถ โดยไม่จําเป็นต้องปฏิบัติแบบการนั่งสมาธิเต็มรูปแบบ สามารถทําได้ในขณะจิตตื่นสบายๆไม่เครียดหรือหงุดหงิด ก็นํามาคิด ตริตรอง ใช้ปัญญาพิจารณา สังเกตุเห็นเวทนาหรือจิตได้ในทุกอิริยาบถ ซึ่งวิปัสสนาใช้สมาธิระดับขณิกกะสมาธิ(แค่ไม่วอกแวก,อยู่กับกิจหรืองานที่ ทํา) หรือเกือบเป็นอุปจารสมาธิเท่านั้นเช่น เมื่อพิจารณาจนเกิดปัญญาหรือเข้าใจในเวทนาหรือจิตจริงๆ เราจะเข้าใจในธรรมนั้นๆ เช่นเวทนานุปัสสนา โดยจะไม่ไปยึดมั่นพึงพอใจในเวทนามากเหมือนในอดีตอีก เนื่องจากรู้ว่าเป็นกระบวนการทางธรรม(ชาติ)ไม่สามารถไปหยุดไปห้ามได้และเป็น ไตรลักษณ์ เหมือนกับห้ามหายใจไม่ได้ฉันใดก็ห้ามเวทนาไม่ได้ฉันนั้น และไม่ใช่ความทุกข์ตัวจริง

        ดับ ความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ได้ก็คือดับอุปาทานในปฏิจจสมุปบาทได้ ผลก็คือไม่มีความทุกข์อันเกิดจาก "อุปาทานขันธ์๕ "ซึ่งเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา เมื่อสิ่งนี้ดับ ผลนี้ก็ดับดังบทสรุปในมหาสติปฏิปัฏฐาน ๔ทุกบท ของกาย, เวทนา, จิต, ธรรม ตลอดจนบทย่อยทุกๆบท แสดงถึงพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ ในการปฏิบัติไว้เด่นชัด รวมถึง ๒๑ ครั้ง คือ ดั่งนี้

     ย่อมพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ภายในบ้าง(เปลี่ยนเวทนาเป็น กาย จิต ธรรม และบทย่อยๆ)

            พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ภายนอกบ้าง

            พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบ้าง

            พิจารณาเห็น ธรรมคือ ความเกิดในเวทนาบ้าง(เห็นธรรมคือเห็นธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ)

            พิจารณาเห็น ธรรมคือ ความเสื่อมในเวทนาบ้าง(ดับไป)

            พิจารณาเห็น ธรรมคือ ทั้งความเกิด ทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้าง ย่อมมีอยู่

            อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่ ก็ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, เครื่องรู้

            เพียงสักแต่ว่า เป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น(หมายถึงอาศัยเป็นเครื่องรู้ระลึกและพิจารณาเป็นเครื่องเตือนสติและก่อปัญญา)


            เธอเป็นผู้ซึ่งตัณหาและทิฐิ ไม่ติดอยู่ด้วย และไม่ยึดถือ(หมายถึงไม่ยึดติด,ไม่ยึดมั่นถือมั่นคือเป็นอุปาทาน) อะไรๆในโลกด้วย อย่างนี้แล ชื่อว่าพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่

(เป็นเช่นนี้ในตอนท้ายของ กาย เวทนา จิต ธรรม และบทย่อยๆทั้งหลาย เน้นย้ำเหมือนกันทุกประการถึง ๒๑ ครั้ง)

        เวทนา ในเวทนา หมายถึง เข้าใจในเวทนาจริงๆอย่างถูกต้อง เห็นเวทนาตามความเป็นจริงไม่ถูกครอบงําโดยกิเลส หรือทิฎฐุปาทาน(ยึดมั่นในความเชื่อของตนเองอย่างผิดๆ) เห็นว่าสักแต่เพียงกระบวนการทางธรรม(ชาติ)เป็นปกติอย่างนี้ตลอดกาล เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ไปยึดมั่นหรือถือมั่นให้เป็นอุปาทานในเวทนาหรือการเสพรสความรู้สึกรับรู้ในอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นนั้น

        เวทนาภายใน หมายถึงเวทนาของตนเอง

        เวทนาภายนอกหมายถึงเวทนาของบุคคลอื่น

        ตลอดจนในบทสรุปของ "มหาสติปัฏฐานสูตร"อันต่อจากบทธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ชัดแจ้งเช่นกันถึงการบรรลุพระอรหัตตผล กล่าวคือถ้ายังมีอุปาทิ(สภาพที่ถูกอุปาทานยึดไว้มั่น)อันคืออุปาทานยังไม่สิ้นหมด ยังคงมีเหลืออยู่บ้างก็จักได้เป็นพระอนาคามี ดังความในพระสูตรต่อไปนี้

                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้

                อย่างนั้น ตลอดเนืองๆ ๗ ปี

                ผู้นั้นพึงหวังผล ๒ ประการ อันใดอันหนึ่ง

                คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑

                หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ จักเป็นพระอนาคามี ๑

                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้ .......................

(เหมือน เดิมทุกประการ เพียงเปลี่ยนเป็น ๖ ปี, ๕ ปี, ๔ปี.....๑ ปี, ๗ เดือน, ๖ เดือน...๑ เดือน, กึ่งเดือน, และสุดท้ายที่๗ วัน เป็นเช่นเดียวกันทุกประการ ถึง ๑๖ ครั้ง)



ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....สมถะและวิปัสสนา ปฏิบัติ - 1 - 2
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-15.wma
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-16.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1588
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2554, 11:57:57 »
๔. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน

                     สติกําหนดพิจารณาธรรม(สิ่งต่างๆ)ที่บังเกิดแก่ใจเป็นอารมณ์ทั้งที่เป็นกุศลหรืออกุศล ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติและเครื่องระลึกรู้เพื่อให้เกิดปัญญาเป็นสำคัญหรือเป็นวัตถุประสงค์  ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแนะในมหาสติปัฏฐานสูตรให้พิจารณา เป็นอาทิ เช่น

        ๔.๑  นิวรณ์ ๕ เช่น ข้อพยาบาทให้พิจารณาว่า

                มีอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า มีอยู่ ณ ภายในจิต

                ไม่มีอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต

                ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น

                ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น

                ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น

                เป็นเช่นนี้ทุกข้อใน กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา

         ๔.๒ อุปาทานขันธ์๕

         ๔.๓ อายตนะภายใน และนอก

         ๔.๔ โพชฌงค์ ๗

         ๔.๕ อริยสัจ ๔ และมรรคองค์ ๘


        การพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านี้ในจิต เป็นธัมมวิจยะ(การพิจารณาธรรม)เพื่อเป็นเครื่องรู้, ระลึกเตือนสติเป็น แนวทาง ให้เกิดปัญญาไม่ไปยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้จัดเป็นสังขารในไตรลักษณ์ คือเกิดแต่เหตุปัจจัยเช่นกัน เมื่อเหตุปัจจัยของสังขารธรรมเหล่านี้แปรปรวนหรือดับ สังขารธรรมนี้ก็เช่นกัน  อีกทั้งเมื่อเรารู้ระลึกธรรมทั้งหลายก็เกิดขึ้น เมื่อเราหยุดรู้ระลึกธรรมทั้งหลายก็ดับลงเช่นกัน เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แม้จักเป็นจริงตามธรรมชาติเช่นนี้ตลอดกาล แต่เหตุปัจจัยได้แปรปรวนและดับเสียแล้วเช่นกัน

        ในทางปฏิบัติของ เห็นธรรมในธรรม คือเห็นธรรมหรือสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดแก่จิต หรือมีสติเห็นธรรมว่า สักแต่ว่าธรรม เป็นเครื่องเตือนสติ และระลึกรู้เพื่อให้เกิดปัญญาญาณนั่นเอง คือมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง

        สติปัฏฐาน๔ นั้นมีจุดประสงค์อยู่ที่ฝึกสติ และ ใช้สติพิจารณาสรุปให้เข้าใจโดยถ่องแท้เพื่อให้เกิดสัมมาญาณ(ปัญญาญาณ)ว่า ธรรมทั้งหลายอันมี กาย เวทนา จิต ธรรม มีอยู่ก็เพียงสักว่าความรู้ อาศัยระลึกเตือนสติเตือนใจไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นพึงพอใจ(หมายถึงอุปาทาน) ใดๆในโลก อีกทั้งมีพุทธประสงค์ให้ปฏิบัติในชีวิตประจําวันขนาดกล่าวได้ว่าแทบทุกลม หายใจ กล่าวคือเมื่อจิตหรือสติวนเวียนพิจารณาอยู่ในธรรมแล้ว จิตย่อมหยุดส่งจิตออกนอกไปนึกคิดปรุงแต่งต่างๆอันก่อให้เกิดทุกข์ ขณะจิตนั้นเองจิตย่อมเกิดกําลังแห่งจิตขึ้นเนื่องจากสภาวะปลอดทุกข์ขึ้นทีละ เล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว อันยังให้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นทีละเล็กทีละน้อยสะสมขึ้นเช่นกัน จนในที่สุดจักเกิดสภาวะ อ๋อ มันเป็นเช่นนั้นเอง หรือธรรมสามัคคีนั่นเอง เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นอย่างแท้จริง

        สติ ปัฏฐาน๔ มีเจตนาต้องการให้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ไม่ใช่แต่ กาย เวทนา จิต ธรรม เท่านั้น เพียงแต่ธรรม ๔ ข้อนี้เป็นหลักสําคัญในการดับหรือลดละตัณหาและความยึดมั่นถือมั่นในความพึง พอใจของตนหรืออุปาทาน อันก่อให้เกิด "อุปาทานขันธ์ ๕"อันเป็นทุกข์

ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0
http://www.nkgen.com/13.htm


ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....พุทธานุสสติและตอบปัญหาธรรม - 2
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-14.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1589
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2554, 11:42:29 »
๓. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน
                  
                     คือการเห็นจิตในจิต หรือสติระลึกรู้เท่าทันหรือพิจารณาจิต (จิตตสังขารหรือมโนสังขารเช่นความคิด,ความนึก คือธรรมารมณ์ต่างๆ) รวมทั้งอาการของจิตหรือกริยาของจิต(เจตสิก) เช่นราคะ, โทสะ,โมหะ, ฟุ้งซ่าน ฯ. ที่เกิดเศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ คือ มีสติรู้จิตตสังขารตามสภาพเป็นจริงที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ(เห็นจิตในจิต)เช่น จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตมี,  จิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะก็รู้ว่าปราศจากราคะ โทสะ โมหะ,  จิตหดหู่ก็รู้ชัดว่าหดหู่  หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ชัดว่าจิตฟุ้งซ่าน ทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น อันเพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ และเห็นการเกิดๆดับๆว่าเป็นไปตามธรรมคือสภาวธรรมหรือธรรมชาติ ล้วนไม่เที่ยงของจิตตสังขารดังกล่าว เห็นจิตในจิต หรือ จิตเห็นจิต  ถ้าเข้าใจขันธ์ ๕ จักเข้าใจได้ว่าหมายถึงการมีสติเห็นจิตตสังขารที่ บังเกิดขึ้น(จิตสังขารหรือมโนสังขารหรือความคิดในขันธ์๕นั่นเอง ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน)  อันมีตามที่ท่านตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้ คือมี

    จิตมีราคะ เป็นเจตสิก คืออาการของจิตที่ประกอบด้วยราคะ กล่าวคือกลุ่มของความคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่ง ที่ประกอบด้วยความกำหนัดความปรารถนาในกามทั้ง๕ นั่นเอง

    จิตมีโทสะ เป็นเจตสิก คืออาการของจิตที่ประกอบด้วยโทสะ กล่าวคือกลุ่มของความคิดนึกหรือฟุ้งซ่านที่ประกอบด้วยความโกรธความขุ่นเคือง นั่นเอง

    จิตมีโมหะ เป็นเจตสิก คืออาการของจิตที่ประกอบด้วยโมหะความหลง หรือกลุ่มของความคิดนึกหรือฟุ้งซ่านที่ประกอบด้วยความไม่รู้จริง นั่นเอง

    จิตหดหู่ ก็เป็นเจตสิกในข้อที่ ๒๕ ในเจตสิก ๕๒  เป็นกลุ่มอาการของความคิดนึกหรือฟุ้งซ่านปรุงแต่งที่ทำให้เกิดความหดหู่ใจ ใจหดห่อ แห้งเหี่ยวใจ

    จิตฟุ้งซ่าน เป็นอาการของจิตอย่างหนึ่ง ที่เรียกอุทธัจจะในข้อที่ ๑๗ ในเจตสิก ๕๒  เป็นอาการของจิตที่ฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งไปในสิ่งหรือเรื่องต่างๆ

    จิตเป็นฌานหรือมหรคต จิตเป็นฌาณ, จิตอยู่ในกำลังฌาน, จิตประกอบด้วยกำลังของฌานอยู่

    จิตเป็นสมาธิ จิตมีความตั้งใจมั่นในสิ่งใดอยู่

    จิตมีสิ่งอื่นยิ่งกว่า หมายถึงอาการของจิตเป็นเอกหรือเป็นใหญ่อยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ เช่นจิตเป็นเอกอยู่กับการคำบริกรรมพุทโธ  หรือจิตเป็นเอกอยู่ในกิจหรืองานใดๆ,  หรือจิตเป็นเอกในธรรมที่เป็นเครื่องอยู่เครื่องพิจารณา,  หรือจิตหมกมุ่นจดใจจ่อในสิ่งใดอยู่

    จิตวิมุตติหรือจิตหลุดพ้น หมายถึงอาการที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสหรือเจตสิกต่างๆดังที่กล่าว

กล่าวคือ ล้วนมีสติระลึกรู้เท่าทัน กล่าวคือมีสติระลึกรู้ "จิตหรืออาการของจิตคือเจตสิกที่บังเกิดขึ้น ณ ขณะจิตนั้นๆ"

        อนึ่งอาการของจิตทั้งหลายหรือเจตสิก ดังเช่น ราคะ โทสะ โมหะ จิตฟุ้งซ่าน ฯลฯ. นั้นมันไม่มีอาการเป็นรูปธรรมแท้จริง  แต่มันอาศัยแฝงอยู่กับสังขารขันธ์คือการกระทำต่างๆนั่นเอง  ดังเช่น ความคิด(มโนสังขาร)ที่ประกอบด้วยราคะ,  การทำร้ายผู้อื่นทางกาย(กายสังขาร)ที่ประกอบด้วยโทสะ,  การคิดด่าทอ,ต่อว่า(วจีสังขาร)ที่ประกอบด้วยโมหะคืออาการหลงไปปรุงจนเกิดทุกข์ที่ประกอบด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง เช่นคิดหรือธรรมารมณ์กระทบใจแล้วจะให้รู้สึกเฉยๆ,  การเกี้ยวพาราสีทั้งด้วยคำพูดทั้งกริยาท่าทางที่ประกอบด้วยราคะ,  จิตคิดฟุ้งซ่านหรือคิดวนเวียนไม่หยุดหย่อนในเรื่องไร้แก่นสาร เช่นคิดไปในอดีต อนาคต ก็คือความคิดที่ประกอบด้วยจิตฟุ้งซ่านนั่นเอง

        ใช้วิธีมีสติรู้เท่าทันเวทนาและจิต เป็นหลักปฏิบัติประจําเมื่อปฏิบัติจนชํานาญแล้ว และเห็นเวทนาในเวทนา(เวทนานุปัสสนา) เข้าใจถึงใจ และเข้าใจปฏิจจสมุปบาทดีแล้ว  จิตจักรู้สภาพจิตสังขารหรืออาการของจิต(เจตสิก)ที่เกิดขึ้น คือ เห็น ตัณหา ราคะ โมหะ โทสะ ชัดเจนขึ้น  เมื่อจิตเห็นจิต หรือเห็นจิตในจิต เช่นนี้เรื่อยๆ  จิตจะเห็นความคิดอารมณ์ที่ เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นสภาวธรรมอันไม่เที่ยง ไม่มีแก่นแกนหรือแก่นสาร และก่อให้เกิดทุกข์อย่างชัดแจ้ง อันทําให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในสภาวธรรม   จิตจักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในเวทนาและจิตที่ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ และอนัตตา  อันก่อให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ เห็นความคิด(จิตหรือจิตตสังขารนั่นเอง) และการเสวยอารมณ์ต่างๆ(เวทนา) ว่าเป็นไปตามไตรลักษณ์  ดังนั้นเมื่อไปอยากด้วยตัณหาจึงย่อมเกิดการยึดด้วยอุปาทานเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง  ดังนั้นเมื่อไปอยากหรือไปยึดไว้ด้วยเหตุผลกลใดก็ดี  เมื่อมีการแปรปรวนด้วยอนิจจังหรือดับไปด้วยทุกขังเพราะสภาวธรรมจึงไม่เป็นไปตามปรารถนาจึงเป็นทุกข์อุปาทานอันเร่าร้อนเผาลนขึ้นนั่นเอง

        ในทางปฏิบัติของการ เห็นจิตในจิต คือสติเห็นจิตสังขาร(เช่นความคิด)ที่เกิดขึ้นว่า สักแต่ว่าจิตสังขารตามที่พิจารณาอยู่เนืองๆ แล้วอุเบกขาไม่เอนเอียงไปแทรกแซงด้วยถ้อยคิดปรุงแต่ง หรือกริยาจิตใดๆ ดังการคิดเรื่อยเปื่อยหรือฟุ้งซ่านจึงย่อมยังให้เกิดเวทนาอื่นๆที่อาจเป็นปัจจัยจึงมีตัณหาเกิดขึ้น จึงทําให้เกิดทุกข์อุปาทานอันเร่าร้อน

                        (จิตตานุปัสสนานิเทส  แสดงความหมายของจิตภายใน ที่มิได้หมายถึงจิตส่งใน  และจิตภายนอก)


ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0
http://www.nkgen.com/13.htm

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....พุทธานุสสติและตอบปัญหาธรรม - 1
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-13.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1590
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2554, 11:34:22 »
๒. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน

                   สติกําหนดพิจารณาเวทนาหรือการเสพรสอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นเป็นธรรมดาจาการกระทบคือผัสสะ  ให้เห็นเวทนาในเวทนา คือ เห็นตามความเป็นจริงของเวทนาว่า "เวทนาเป็นสักแต่ว่าเป็นการรับรู้ การเสพรสอารมณ์ที่มากระทบสัมผัสทั้งทางใจและกายคือในรูป,เสียง,กลิ่น,รส, สัมผัส,ธรรมารมณ์ เป็นขบวนการธรรมชาติหรือสภาวธรรมแท้อันยิ่งใหญ่ที่มีในมนุษย์ทุกผู้นาม เป็นเพียงขบวนการรับรู้ในขั้นแรกๆที่เอาข้อมูลมาจากสัญญา(ความจํา)อดีตหรืออาสวะกิเลส    ยังไม่ใช่ความทุกข์จริงๆ  พิจารณาให้เห็นว่าเมื่อมีการผัสสะย่อม เกิดเวทนาอันมี สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอทุกขมสุข(ไม่สุขไม่ทุกข์)อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดาทุก ครั้งไป  ซึ่งเป็นเวทนาปกติหรือเป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ  หลีกเลี่ยงหลบหนีไม่ให้เกิดไม่ให้เป็นไม่ได้ เป็นหลักธรรมชาติธรรมดาๆแต่สูงสุด  จิตจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในเวทนาหรือการเสพรสอารมณ์ ที่บังเกิดนั้นๆ จึงไม่เกิดตัณหาขึ้น จึงเป็นเพียงสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาตามธรรมหรือธรรมชาติแต่ย่อมไม่เร่าร้อนเผาลนดังเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน(เวทนูปาทาน)  ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ให้เข้าใจและรู้เท่าทันในเวทนาดังนี้

       เมื่อเป็นสุขเวทนาก็ให้รู้ว่าเป็นสุขเวทนา เมื่อไม่มีก็รู้ว่าไม่มี

        เมื่อเป็นทุกขเวทนาก็ให้รู้ว่าเป็นทุกขเวทนา เมื่อไม่มีก็รู้ว่าไม่มี

        เมื่อเป็นอทุกขมสุขก็ให้รู้ว่าเป็นอทุกขมสุข เมื่อไม่มีก็รู้ว่าไม่มี

        เมื่อเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นอทุกขมสุข ชนิดมีอามิส(เครื่องล่อใจ-เจือกิเลส)ก็รู้ว่ามี เมื่อไม่มีก็รู้ว่าไม่มี

        เมื่อเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นอทุกขมสุข ชนิดไม่มีอามิส ก็รู้ว่ามี เมื่อไม่มีก็รู้ว่าไม่มี


เวทนา เป็นเพียงสักแต่ว่าเวทนาคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นและจำต้องรับรู้  ที่แท้จริงก็แค่ความรู้สึกที่ต้องเกิดขึ้นจากการกระทบจึงไม่ควรไปยึด มั่น  เกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติจริงๆ ตามเหตุปัจจัยอันมาปรุงแต่ง หรือมาผัสสะ  จึงเกิดๆดับๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตนแท้จริง จึงไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริงอีกด้วย   เห็นเวทนาทั้งในเวทนาตนเอง(เห็นเวทนาในเวทนาภายใน  จึงไม่ใช่อาการของจิตส่งในแต่อย่างใดด้วยเข้าใจผิด) และผู้อื่น(เห็นเวทนาในเวทนาภายนอก  จึงไม่ใช่อาการจิตส่งออกนอกไปฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งแต่อย่างใด)

        ในทางปฏิบัติของ เห็นเวทนาในเวทนา คือมีสติรู้อยู่เนืองๆว่าเวทนาสักแต่ว่าเวทนา อันย่อมต้องเกิดความรู้สึกจากการรับรู้ในอารมณ์ที่ผัสสะกันเป็นธรรมดาโดยธรรมชาติหรือตถตา  จึงไม่ไม่ยึดมั่นหมายมั่นในเวทนาเหล่าใดเหล่านั้น ด้วยการอุเบกขาไม่เอนเอียงไปนึกคิดปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านอันยังให้เกิดเวทนาขึ้นอีก อันจักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหา อัน ทําให้เกิดทุกข์ อันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรม  กล่าวคือไม่ต่อล้อต่อเถียงกับจิต อันเป็นการเปิดโอกาสให้จิต หลอกล่อไปปรุงแต่งต่างๆนาๆให้เกิดเวทนาๆต่างๆนาๆ อันอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์อุปาทานโดยไม่รู้ตัวด้วยความไม่รู้คืออวิชชา

(พระอภิธรรม แสดงความหมายของเวทนาภายใน ที่มิได้หมายถึงอาการจิตส่งใน   และแสดงเวทนาภายนอก)


ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0
http://www.nkgen.com/13.htm

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....ตามรอยพระพุทธองค์ - 2
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-12.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1591
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 09 พ.ค. 2554, 11:31:39 »

๑.๑ อานาปานสติ ขอเน้นว่าจุดประสงค์อยู่ที่สติ โดยให้จิตคือสติกําหนดตามดูหรือรู้ตามลมหายใจเข้าออกแบบต่างๆ  ตลอดจนสติสังเกตุเห็นอาการของลมหายใจ  มีจุดประสงค์เพื่อฝึกให้มีสติ และิเพื่อละความดำริพล่านคือฟุ้งซ่านเป็นสำคัญหรือเป็นธรรมเอก  เหตุเพราะลมหายใจนั้นก็สามารถใช้เป็นอารมณ์หรือการวิตกใน การทำฌานหรือสมาธิได้ด้วย  ข้อนี้จึงมักสับสนกันอยู่เนืองๆ จนก่อโทษ  จึงทำสติต้องเป็นสติ  สมาธิก็เป็นสมาธิ  กล่าวคือเมื่อทำสติต้องเป็นสติ จึงเป็นสัมมาสติ  เมื่อตั้งใจทำสมาธิแล้วเป็นสมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิ   แต่บางครั้งคราวในการปฏิบัติอาจมีการเลื่อนไหลเพราะสติขาดเกิดขึ้นบ้าง เป็นครั้งเป็นคราว เป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ต้องกังวล  เนื่องจากบางครั้งฝึกสติก็จริงอยู่ แต่เกิดอาการขาดสติหรือสติอ่อนลงเป็นครั้งคราวบ้างจึงเลื่อนไหลไปเป็นฌาน หรือสมาธิแทน  อย่างนี้ไม่เป็นไร  (ดังแสดงจุดประสงค์ไว้อย่างชัดเจนเรื่องอานาปานสติในกายคตาสติสูตร),  การตั้งกายตรง ก็เพื่อช่วยดำรงสติไว้ไม่ให้เลื่อนไหลไปง่วงหาวนอนได้ง่ายๆขณะปฏิบัติ

        ๑.๒ อิริยาบถ คือกําหนดสติให้ระลึกรู้ในอิริยาบถอาการต่างๆของกาย เช่น เดิน นอน ยืน นั่งฯลฯ. คือมีสติรู้ในอิริยาบทต่างๆนั่นเอง  มีจุดประสงค์เช่นเดียวกับอานาปานสติคือเพื่อละความดำริพล่าน คือฟุ้งซ่านเป็นสำคัญหรือเป็นธรรมเอก  ไม่ได้มีจุดประสงค์โดยตรงเพื่อใช้เป็นอารมณ์ในการทำสมาธิหรือฌาน (ดังแสดงจุดประสงค์ไว้อย่างชัดเจนเรื่องอิริยาบถในกายคตาสติสูตร)

 ๑.๓ สัมปชัญญะ  ความรู้ตัวคือปัญญาในการให้มีสติต่อเนื่องในการกระทําหรือการเคลื่อนไหว  เช่นเดิน ดื่ม กิน ถ่าย วิ่ง ตื่น หลับ ฯลฯ. กล่าวคือมีสติอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม  สติระลึกรู้อย่างต่อเนื่องสลับสับเปลี่ยนอิริยาบทกันได้ ตามที่สติระลึกรู้ตามความเป็นจริง มีสติระลึกรู้ไม่เพ่งจนแน่วแน่เพื่อการเป็นสมาธิระดับสูงหรือประฌีตแต่อย่างใด ใช้แค่ขณิกสมาธิเป็น เบื้องต้นเท่านั้น เพราะต้องการฝึกสติเป็นหลัก  ไม่ใช่สมาธิ สมาธิเป็นผลที่เกิดรองลงมาเท่านั้น ซึ่งอาจเลื่อนไหลไปสู่ฌานสมาธิในระดับประณีตได้โดยธรรมหรือธรรมชาติอีกด้วย แต่ต้องไม่ใช่เจตนาฝึกสติแล้วไหลเลื่อนเป็นฌานสมาธิเสียทุกครั้งไป ดังเช่น การใช้การจงกรมไปในการเจริญสมาธิเป็นสำคัญก็มี กล่าวคือการใช้ท่าการเดินนั้นเป็นอารมณ์เพื่อเน้นให้เกิดความสงบจากฌานสมาธิเสียเป็นสำคัญแต่อย่างเดียว ไม่ได้สนใจสติหรือปัญญาเลย  แล้วไปเข้าใจเอาว่า ความสงบนั้นถูกต้องดีงามแล้ว  มีจุดประสงค์เช่นเดียวกัน คือเพื่อละความดำริพล่านคือฟุ้งซ่านเป็นสำคัญหรือเป็นธรรมเอก (ดังแสดงจุดประสงค์ไว้อย่างชัดเจนเรื่องสัมปชัญญะในกายคตาสติสูตร)   หรือการรู้ตัวทั่วพร้อมในกิจหรืองานที่กระทำนั่นเอง

      ๑.๔ ปฏิกูลมนสิการ เมื่อมีสติในสิ่งดังกล่าวข้างต้น จิตย่อมไม่ดำริพล่านออก ไปปรุงแต่งฟุ้งซ่าน จึงใช้สติที่ฝึกมานั้นอันย่อมประกอบด้วยสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ในที เนื่องจากการละดำริพล่านลงไปเสีย  จึงนำสติและจิตตั้งมั่นนั้นไปใช้พิจารณาส่วนต่างๆของร่างกายว่าล้วนเป็น สิ่งปฏิกูล ไม่สะอาด โสโครก ต้องเข้าใจว่ากายตน(เห็นกายในกายภายใน) และกายของบุคคลอื่น(เห็นกายในกายภายนอก)ต่างก็เป็นเฉกเช่นนี้ ล้วนเป็นไปเพื่อให้เกิดนิพพิทาเพื่อ ลดละความยึดมั่นพึงพอใจหลงไหลในกายตนและในกายบุคคลอื่นลง  เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่าล้วนแล้วแต่เป็นของปฏิกูลโสโครก เพื่อคลายความหลงใหลรักใคร่ยึดมั่นมันลงไป จึงคลายกำหนัด ดังมีกล่าวแสดงรายละเอียดไว้ในกายคตาสติสูตร  หรือดังภาพที่แสดงในทวัตติงสาการ

        ๑.๕ ธาตุมนสิการ พิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริงของกายนี้ว่า เป็นเพียงก้อนหรือมวลหรือฆนะของธาตุทั้ง ๔ อันล้วนไม่งาม ไม่สะอาด มาประชุมกันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกายนี้ชั่วขณะระยะหนึ่ง ทั้งกายตนเองและบุคคลอื่นเช่นกัน   ดังที่ได้กล่าวไว้ ๒ ลักษณะในการพิจารณาในไตรลักษณ์  และกายคตาสติสูตรโดยละเอียด

        ๑.๖ นวสีวถิกา คือพิจารณาซากศพในสภาพต่างๆ เป็นระยะๆ ๙ แบบหรือระยะ จนผุพังเน่าเปื่อยไปในที่สุด และต้องเข้าใจว่ากายตนแลผู้อื่นต่างก็ล้วนต้องเป็นเฉกเช่นนี้  ไม่เป็นอื่นไปได้(ภาพอสุภะ)

        ในทางปฏิบัติของ เห็นกายในกาย คือมีสติระลึกรู้อยู่เนืองๆว่า สักแต่ว่ากายตามที่ได้พิจารณาเข้าใจ เพื่อให้บังเกิดนิพพิทาญาณ จึงดับตัณหา

        อนึ่งพึงระลึกรู้ด้วยว่า  การมีสติอยู่กับกาย เป็นเพียงการระลึกรู้เท่าทันกาย ทั้งทางด้านปัญญาด้วยเช่นว่าไม่งามเป็นปฏิกูลเพื่อความนิพพิทา   แต่ถ้าแน่วแน่แต่อย่างเดียวขาดสติการระลึกรู้ก็กลับกลายเป็นสมถสมาธิไปได้โดยไม่รู้ตัว (หมายความว่า มีความตั้งใจฝึกสติ แต่ไปทำสมาธิเสียโดยไม่รู้ตัว)

ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0
http://www.nkgen.com/13.htm

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....ตามรอยพระพุทธองค์ - 1
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-11.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1592
ขอบคุณที่มา http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1052
===========================
3/3

อีกครั้ง ในระหว่างหลบหนีอยู่ ผมได้ข่าวว่าคุณแม่ถึงแก่กรรม ผมนี่นับว่าเป็นลูกอกตัญญูที่สุด ไม่รู้จักว่าความกตัญญูเป็นอย่างไร เพราะไม่มีน้ำใจกับคุณแม่และมีคดีติดตัว ฉะนั้นจึงไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะไปเยี่ยมคุณแม่ คิดแล้วเป็นบาปนักหนา ช่วงเวลาที่หลบหนี เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายจึงออกทำการชิงทรัพย์หลายค รั้ง ซึ่งก็ทำสำเร็จทุกครั้งเมื่อ 6 เดือนก่อน ผมกับเพื่อนได้แฝงตัวเข้าไปในบ้านคนรวยหลังหนึ่ง ถือโอกาสไม่มีใครอยู่บ้าน รื้อค้นได้ทรัพย์เป็นจำนวนหนึ่ง และยังเปิดไวน์มาดื่มอย่างสำราญใจ ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน พอดีหญิงเจ้าของบ้านจูงเด็กสองคนเข้ามา พอเห็นเราทั้งสองเป็นคนแปลกหน้า และเห็นข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น ก็รู้ว่าโจรเข้าบ้าน จึงกรีดร้องด้วยความตกใจ แม้เราจะห้ามไม่ฟัง ผมเกิดบันดาลโทสะประกอบกับฤทธิ์สุรา จึงชักมีดแทงออกไป หญิงคนนั้นพอเห็นผมชักมีดก็ยิ่งตกใจร้องเสียงดังลั่น เมื่อถูกผมแทง แกกรีดร้อง ?ช่วยด้วย ช่วยด้วย? ผมแทงซ้ำไปอีกหลายที หญิงคนนั้นใบหน้าบิดเบี้ยวล้มลงสิ้นใจคากองเลือดหลังทำความผิดใหญ่หลวงแล้ว เราก็รีบหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ คดีฆ่าชิงทรัพย์รายนี้ เป็นข่าวครึกโครมอยู่พักหนึ่งพวกเรารู้ดีว่า หากถูกจับได้ต้องตายแน่นอน ดังนั้นเราจึงตกลงแยกย้ายกันหลบหนีช่วงนั้นผมได้แต่อ าศัยเหล้าดับความไม่สงบภายในจิตใจใบหน้าก่อนตายของหญ ิงคนนั้น ผมยังจำติดตาได้ดี

ต่อมาทุกคืนผมมักจะฝันเห็นผู้หญิงคนนั้น มีเลือดเต็มตัว หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดว่า ?ไอ้ฆาตกร เอาชีวิตคืนมา? พลางก้าวเข้ามาหาผม ผมกลัวมาก ถอยหลังไปติดมุมห้อง หญิงคนนั้นปรี่เข้ามาบีบคอจนผมสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นผมไม่กล้านอนหลับอีก เกือบทุกคืนหญิงคนนั้นมักมาปรากฏในฝันของผม หลอกหลอนจนผมขวัญหนีดีฝ่อ ต่อมายิ่งร้ายใหญ่โดยปรากฏร่างให้เห็นขณะยังตื่นอยู่ ไม่ว่าบนเตียงหรือในห้องน้ำ โดยเฉพาะปรากฏอยู่ในแก้วเหล้า ผมถูกหลอกหลอนจนร้องเสียงหลง เนื่องจากตอนนั้นผมอยู่ระหว่างหลบหนีคดี จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ แต่วิญญาณหญิงคนนั้นก็ไม่ยอมเลิกราผมหนีไปอยู่ที่ไหน วิญญาณเขาก็ติดตามไปทีนั่น ทุกครั้งที่ผมเดินอยู่บนถนนจะรู้สึกเหมือนมีคนติดตาม อยู่ข้างหลังทั้ง ๆที่ไม่เห็นมีใคร แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้า ระยะหลัง

นอกจากได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว ยังได้ยินเสียงโซ่ตรวนกระทบกัน เสียงนั้นทำให้ผมหวนนึกถึงครั้งที่ผมติดคุกที่ขาถูกต ีตรวน หรือว่ายมบาลจะมาเอาตัวผมแล้ว ทำให้ผมหวาดกลัวมาก3 เดือนต่อมาผมเริ่มปรากฏอาการทางประสาทสะลึมสะลือทั้ง วัน ปากบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์เสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตามอมแมม สารรูปดูไม่ได้มีอยู่วันหนึ่งเงินในกระเป๋าผมหมด ด้วยความหิวโหยจนทนไม่ไหว จึงหยิบฉวยของกินที่เขาวางขายอยู่ริมถนนเจ้าของเหลือ บมาเห็นเข้าร้อง ?ขโมย ขโมย? ผมตกใจวิ่งหนีเข้าไปในตรอก ไม่รู้ว่าสาเหตุใด ผมเกิดหกล้มจึงถูกพลเมืองดีช่วยกันจับส่งโรงพัก เมื่อตรวจสอบประวัติทางตำรวจก็รู้ว่าผมเป็นใคร มีพลังบางอย่างกดดันบังคับให้ผมต้องสารภาพออกมาเอง ถึงการทำผิดกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้ง

คดีฆาตกรรมด้วย หลังจากเจ้าทุกข์ชี้ตัว ผมถูกตั้งข้อหาแล้วส่งเข้าเรือนจำ โดยห้ามติดต่อกับุคคลภายนอก ตำรวจออกตามล่าเพื่อนร่วมก๊วนที่กำลังหลบหนีคืนวันนั้นขณะที่ผมอยู่ในเรือนจำ หญิงคนนั้นก็มาปรากฏตัวให้ผมเห็นอีก ในสภาพหน้าตาเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกกว้าง มีเลือดโทรมกาย คล้ายผีดิบ มือถือเหล็กแหลมพลางร้องว่า ?ไอ้ฆาตกร แกควรจะถึงวันนี้นานแล้ว คราวนี้ต่อให้มีปีกก็หนีไม่พ้น ฉันจะไปรอแกที่ลานประหาร? พลางทำท่าจะปรี่เข้ามาหา ทำให้ผมตกใจถอยหนีล้มลุกคลุกคลาน หญิงคนนั้นพูดอีกว่า ?ไอ้ชาติชั่ว ยมบาลรอแกมานานแล้ว อีกไม่ช้าแกจะได้รู้รสชาติของนรกบ้างละ? ผมคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เขาอภัย หญิงคนนั้นร้องไห้อย่างโหยหวนแล้วหายวับไปกับตา ผมอกสั่นขวัญผวา ในใจคิดว่าที่วันนั้นผมหกล้มอย่างไร้สาเหตุจนถูกจับได้ คงเป็นการกระทำของหญิงคนนั้นอย่างแน่นอน

ที่จริงถ้าเพื่อนอีกคนยังไม่ถูกจับ ผมอาจมีชีวิตต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่คงเป็นคราวเคราะห์เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนเพื่อนคู่หูของผมถูกจับได้ เราทั้งสองถูกส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ครึกโครม ศาลได้ลัดคิวพิจารณาตัดสินลงโทษประหารชีวิต กำหนดวันเวลาประหารก็คือเช้าวันนี้

ที่กล่าวมาข้างต้น ผมสารภาพโดยไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย เพื่อหวังว่าอาจทำให้จิตใจผมสงบลงบ้าง ช่วงที่อยู่ในเรือนจำผมได้อ่านหนังสือธรรมะไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่อง ?ท่องเมืองนรก? ผมอ่านแล้วเกิดความหวาดกลัวจนขนหัวลุกเป็นครั้งแรกใน ชีวิตที่ผมรู้สึกสำนึกผิด แม้จะเป็นสำนึกผิดที่เกิดจากใจจริง แต่ก็สายไปแล้ว ตามเนื้อเรื่องในหนังสือผมรู้ดีว่านอกจากผมจะทำผิดกฎ หมายบ้านเมืองแล้วยังทำผิดทางคุณธรรม และไม่เคยคิดจะกตัญูญูเลี้ยงดูพ่อแม่ หนำซ้ำยังใช้วาจาก้าวร้าวโต้เถียง ซึ่งผิดในข้ออกตัญญู เนรคุณใหญ่หลวง กับลูกเมียไม่เคยเหลียวแลหรือให้ค่าใช้จ่ายแม้แต่น้อย มีแต่ด่าว่าตบตี ซึ่งผิดในข้อไร้น้ำใจ และตัวเองก็ไม่เคยขยันอดทนในทางสัมมาอาชีวะ ซึ่งผิดในข้อเกียจคร้านเอาแต่กิน ดื่ม เที่ยว คนชั่วร้ายที่อกตัญญู ไม่ซื่อสัตย์ เอาแต่เที่ยวเตร่ทำความชั่วตามที่บันทึกใน ?ท่องเมืองนรก? ?ท่องอเวจี นอกจากนั้นจะต้องตกนรกกระทะทองแดงและนรกอื่นๆ แล้ว

ยังอาจต้องตกนรกขุมอเวจี ซึ่งไม่มีวันได้ผุดเกิดตลอดกาลหรือถ้ามีบุญสักนิดได้ เกิด ไม่รู้ว่าต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานถูกคนเขาแล่เนื้อ เฉือนหนังเจ็บปวดแสนสาหัสกี่ชาติ ถึงจะได้เกิดเป็นคนยากจนแขนขาพิการด้วยความเสียใจและ หวาดกลัวกรรมสนองในภายหน้าทำให้ผมคิดเพ้อฝันว่าจะได้ ยืดชีวิตออกไปอีกสักหน่อย เพื่อจะได้สร้างบุญกุศลไถ่บาป แต่ชีวิตผมกำลังจะสิ้นสุดในอีกไกี่นาทีข้างหน้านี้แล ้ว ไม่มีใรสามารถช่วยผมได้ ผมปวดร้าวและเสีใจ แต่จะมีประโยชน์อะไร ในขณะชีวิตกำลังจะสิ้นสุด จึงเพิ่งรู้สึกชีวิตมีค่ายิ่งนัก โอ...พ่อแม่ ลูกเมีย โลกอันสวยงาม ไหนผมจึงโง่เขลาเช่นนี้ เมื่อสิ้นกายสังขาร เมื่อไหร่จะมีอีก เขียนมาถึงแค่นี้ สมองผมมืดตื้อคิดอะไรไม่ออก เจ้าหน้าที่มาแล้ว เขากำลังจะนำผมไปที่

ลานประหาร ผมขอร้องพวกเขาให้เวลาผมอีก 5 นาที เพื่อให้ผมได้เขียนบันทึกจนเสร็จ ผมอายุแค่ 30 กว่าปี แต่ได้ทำความผิดไว้มากมาย ผมกำลังจะถูกกฎหมายบ้านเมืองลงโทษ แล้วขอฝากถึงผู้ที่ทำผิดกฎหมายทุกคน ขอให้ดูผมเป็นบทเรียน แล้วรีบกลับตัวโดยเร็วอย่างลังเล ชีวิตเป็นของมีค่ากาลเวลาไม่คอยใคร อย่าเป็นเหมือนผมที่คิดจะอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อไ ถ่บาปก็ยังทำไม่ได้เจ้าหน้าที่เร่งผมแล้ว แม้จะมีความในใจอีกมากที่คิดจะเขียนแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่หวังให้ทุกท่านจงเชื่อ กฎแห่งกรรมมีจริง และหวังว่าผู้ที่ไอ่านบันทึกนี้แล้ว ได้ใช้เป็นบทเรียนเตือนใจ อย่าได้เจริญรอยตาม หากใครอ่านแล้วสามารถกลับตัวใหม่เป็นคนดี ก็ถือเป็นกุศลอย่างหนึ่งหรือทางยมโลกอาจลดโทษให้ผมบ้าง ซึ่งเป็นความหวังอันเลือนลางของผม

1593
ขอบคุณที่มา http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1052
===========================
2/3

ผมเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ผมเป็นลูกเพียงคนเดียวของพ่อแม่ ดังนั้นตั้งแต่เด็กผมจึงได้รับการตามใจทุกอย่างผมอยา กได้อะไรก็จะได้เสมอ พ่อวุ่นอยู่กับธุรกิจทั้งวัน ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่นกกระจอก ผมนั้นพ่อแม่รู้แต่เอาใจน้อยนักที่จะอบรม เมื่อนานเข้าทำให้ผมติดนิสัยเที่ยวเตร่เสเพลวันๆ เอาแต่กินดื่มหาความสำราญู ไม่รู้จักความยากลำบากของชีวิต ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมก็กลายเป็นแก๊งวัยรุ่นที่ เป็นขาประจำของโรงพักแล้ว ซึ่งทุกครั้งพ่อแม่ก็ไปประกันตัวผมออกมา อย่างมากก็แค่ว่าสั่งสอนผมไม่กี่คำ ไม่นานผมก็ประพฤติเหมือนเดิมอีก ตำรวจพอเห็นผมก็ส่ายหัวด้วยความ เอือมระอา

เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ไปมั่วสุมเสพสารเสพติดกับพวกนักเลง รู้สึกสะใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น บางครั้งก็รวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องวิวาท ถ้าใครมามองหน้าก็จะถูกผมจัดการทันที มีหลายครั้งที่เกิดการยกพวกตีกันโดยมีผมนำหน้า จนได้รับตำแหน่ง ?พี่ใหญ่? ตอนนั้นผมอายุราว 25 ในวงการนักเลงคนที่จะเป็นพี่ใหญ่ไมใช่เป็นได้ง่ายๆ นอกจากต้องใจเ้ยมแล้วยังต้องมีเงินเพื่อเลี้ยงลูกน้อง ดังนี้ผมจึงมักจะยื่นมือขอเงินกับพ่อแม่ ถ้าไม่ให้หรือชักช้า ผมก็จะด่าใหญ่อย่างไม่เกรงใจหรือข่มขู่ว่าเดี๋ยวน่าด ู มาถึงตอนนี้พ่อแม่เสียใจมากที่แต่ก่อนปล่อยปละละเลยไ ม่ได้อบรม ต่อมาผมได้เปิดบ่อนการพนันครั้งหนึ่งขณะที่ไปทวงหนี้การพนันแทนพรรคพวกได้ทำร้า ยร่างกายฝ่ายตรงข้ามจนบาดเจ็บสาหัส จึงต้องเผ่นหนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาถูกตำรวจจับตัวได้ที่ภาคเหนือ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี พ่อแม่เสียใจมาก ได้แต่หวังว่าผมจะเข็ดหลาบหรือกลับตัวใหม่ คืนผมออกจากคุก มิเพียงไม่ได้กลับตัว แต่กลับร้ายยิ่งกว่าเก่า พ่อแม่จนปัญญาได้แต่บอกให้ผมแต่งงาน และตั้งใจจะมอบธุรกิจของท่านแก่ผม

โดยหวังว่าภาระหน้าที่ทางธุรกิจและครอบครัวจะทำให้ผม กลับตัวได้ ต่อมาผมได้แต่งงาน ภรรยาผมเป็นยอดหญิงที่ดีมาก ผมนั้นก่อนแต่งงานเที่ยวผู้หญิงจนเคยตัว จึงไม่เห็นเธออยู่ในสายตา โดยมักจะด่าว่าเธอเสมอ พอมีอะไรไม่สบอารมณ์ ก็มักจะลงมือลงเท้ากับเธอ ปกติเธอเป็นคนยอดกตัญญู ด้วยเกรงพ่อแมจะเสียใจ เธอจึงมักแอบร้องไห้อยู่คนเดียว ผมแต่งงานไมถึงปีก็ถูกตำรวจจับอีกในขณะไปเรียกเก็บค่ าคุ้มครองจากร้านค้า ครั้งนี้ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ติดคุกได้ไม่นาน ภรรยาให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ในวันที่ผมออกจากคุก พ่อแม่และภรรยาได้มารับ เย็นวันนั้นหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ภรรยาผมอุ้มลูกน้อยต่อหน้าพ่อแม่ผม เธอร้องไห้คุกเข่าตรงหน้าผม อ้อนวอนผมให้ตัดสินใจกลับตัวใหม่ ขอให้ผมนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่และเห็นใจลูกเมียบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ให้ทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายบ้าง เพื่อให้พ่อแม่ ลูกเมียได้เงยหน้าอ้าปาก ผมมองดูลูกชายรู้สึกจะเป็น

เด็กฉลาดน่ารัก พลันเกิดความละอายใจและเสียใจระคนกัน ได้อยู่ในเส้นทางมืดมากว่า 10ปี ที่จริงก็เบื่อเหมือนกัน จึงรับปากว่าจะกลับตัวใหม่ ทำให้ใบหน้าภรรยาปรากฏรอยยิ้มทั้งน้ำตา พูดตามตรงผมไม่ได้เห็นภรรยายิ้มมานานแล้ว เพราะหลายปีมานี้ ผมไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ และไม่รู้ว่า ได้ด่าว่าและลงมือลงเท้ากับเธอกี่ครั้งแล้ว พอเห็นรอยยิ้ม ผมรู้สึกว่าภรรยาเป็นหญิงที่สวยมาก ไฉนแต่ก่อนผมจึงไม่เห็น คงเป็นเพราะถูกบดบังด้วยความเศร้าหมองกระมังต่อมาคุณพ่อให้ไปทำงานที่โรงงานของท่าน คุณพ่อเห็นว่า ผมยังด้อยประสบการณ์จึงไม่กล้าให้ตำแหน่งหน้าที่ที่ส ูงนัก โดยให้ทำหน้าที่ระดับธรรมดาเท่านั้น เนื่องจากผมเป็นลูกเถ้าแก่ ทุกคนจึงเกรงใจเป็นพิเศษ โบราณว่า ?แผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก? ผมอยู่ในวงการนักเลง เป็นผู้นำจนเคยตัว คิดดูตอนนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน มาบัดนี้ต้องถูกคนอื่นชี้นิ้วบงการ เป็นไปได้อย่างไร

ผมมักจะโต้เถียงกับผู้จัดการเสมอ โดยเฉพาะขู่ว่าจะให้คน ?จัดการ? เนื่องจากผมเป็นลูกเถ้าแก่ ผู้จัดการไม่อาจทำอะไรได้ เขาถูกกดดันหนักเข้าก็เลยลาออกจากงาน เป็นแบบเดียวกันนี้ติดต่อกันหลายคน ไม่นานผู้บริหารระดับสูงของโรงงานต่างพากันลาออกเกือ บหมด โรงงานอันใหญ่โตถูกผมป่วนจนแทบเป็นโรงงานร้าง เรื่องนี้ทำให้คุณพ่อคิดมากจนล้มป่วย ส่วนผมโรงงานก็ไม่ไปทำแล้ว เมื่อไม่มีอะไรทำก็กลับไปเป็น ?พี่ใหญ่? ในวงการนักเลงเหมือนเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าภรรยาเป็นอยู่ไม่ถึงสองเดือนก็กลับมา เศร้าสร้อยอีก คุณพ่อช่วยอยู่หลายเดือน ธุรกิจก็ห่างเหิน ไม่ค่อยได้ดูแลประกอบกับภาวะเศรฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจทุกอย่างจึงเจ๊งหมดแหล่งเงินส่วนใหญ่ของผมจึงไ ม่มีอีก คุณพ่อถูกกดดันจากเหตุนี้ ทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูงจนเสียชีวิต คุณแม่ก็เครียดจากเหตุนี้จนล้มป่วยไปด้วย ส่วนผมก็หลงมัวเมาไม่กลับบ้าน ในใจคิดว่าพวกเขาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ส่วนภรรยาก็เอาลูกไปฝากแม่เขาเลี้ยง แล้วเช็ดน้ำตากลับมาทำหน้าที่ของลูกสะใภ้ คอยปรนนิบัติดูแลแม่ผม ทุกวันเธอจะตื่นแต่

เช้า ทำงานฝีมือจนดึกดื่น เพื่อหาเงินมารักษาแม่ผม คอยดูแลแม่ผมอย่างไม่มีที่ติคนบ้านใกล้เคียงประทับใจ มาก จึงมักจะให้สิ่งของสงเคราะห์ คนชั่วร้ายอกตัญญูไร้คุณธรรมอย่างผม ไม่รู้ว่าถูกคนแช่งชักหักกระดูกแค่ไหน เพื่อรักษาตำแหน่ง ?พี่ใหญ่? เอาไว้ ผมจงจำเป็นต้องตั้งบ่อนการพนัน และเรียกเก็บค่าคุ้มครองรายเดือนจากร้านค้าต่างๆ หากใครไม่รู้จักธรรมเนียมหรือทำอิดเอื้อน ผมก็จะให้ลูกน้อง ?สั่งสอน? ทำให้ร้านค้าต่างๆเกลียดผมเข้ากระดูกดำ ที่สุดทุกคนจึงลงรายชื่อเป็นหางว่าวร้องเรียนไปที่กร มตำรวจ หลังจากทางตำรวจสืบสวนแล้วว่าเป็นความจริง จึงออกหมายจับผมๆ จึงจำต้องหลบหนี

1594
ขอบคุณที่มา http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1052
===========================
1/3

เรื่องสั้นสอนใจ ~ "บันทึกของนักโทษประหาร"

ผมคือนักโทษประหารคนหนึ่ง เช้าวันนี้ผมและเพื่อนนักโทษอีกคนจะถูกนำไปลานประหาร แล้ว ไม่ช้าห่ากระสุนก็จะจบชีวิตอันชั่วร้ายของผม แต่ก่อนผมและพรรคพวกอยู่ท่ามกลางตีรันฟันแทงหลายครั้ง ต่างคิดว่าไม่กลัวตาย ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตมีค่าอะไร แต่ขณะนี้ความตายกำลังจะมาถึง กลับรู้สึกหวาดกลัวและรักชีวิตขึ้นมา ตอนนี้ถ้าสามารถให้ผมมีชีวิตยืดต่อไปอีกหน่อยแม้จะเพ ียงไม่กี่นาที จะให้แลกกับอะไรผมยอมทั้งนั้นก่อนหน้านี้เพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่งได้ถูกจับ ทำให้โอกาสที่จะยืดชีวิตต่อไปสิ้นหวัง ตั้งแต่ถูกศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ทำให้ความหวังของผมทุกอย่างพังทลายหมด เสียงฝีเท้าของพญามัจจุราชคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ ทุกครั้งที่คิดถึงว่าจะถูกนำไปลานประหาร ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านทุกที ทุกคืนนอนไม่ค่อยหลับ เรื่องความหวังที่จะได้ยืดชีวิตต่อไปหรือได้รับอิสรภ าพ แม้จะรู้ว่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะทุกอย่างสายไปแล้ว ผมสำนึกผิดและเสียใจกับเรื่องราวในอดีตทั้งหมด ถ้ารู้แต่แรกว่าจะลงเอยแบบนี้ผมคงไม่กล้าทำ

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเริ่มเชื่อเรื่องผีสางเทวดามีจริง ตั้งแต่ผมถูกจับกุมอยูในเรือนจำ ได้อ่านหนังสือธรรมะไม่น้อยแต่ก่อนหนังสือเหล่านี้ผม ไม่เคยสนใจเลย ซ้ำยังหาว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้ สาระ ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ระหว่างที่ผมหลบหนีคดีแล้ วถูกวิญญาณพยาบาทตามรังควานจนถึงเดี่ยวนี้ก็ยังมีอยู ่เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีตามที่หนังสือธรรมะว่าไว้ไม่ม ีผิด ผมคิดว่า ถ้าผมเชื่อเรื่องราวในหนังสือธรรมะตั้งแต่แรก ความชั่วร้ายเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ อยู่ในคุกผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ?ท่องเมืองนรก? ทำให้ผมรู้สึกเสียใจและหวาดกลัวมาก ที่แท้คนเราตายแล้วไม่ใช่จบสิ้นทุกอย่างนักโทษประหารเช่นผมที่ได้สร้างบาปกรรมไว้มากมาย ในภายหน้าคงไม่อาจหนีพ้นการลงโทษจากนรก ไม่รู้ว่าจะได้พ้นทุกข์เมื่อไหร่ และเมื่อไหร่จึงจะได้มาเกิดเป็นคนอีก

เมื่อวานลูกเมียได้มาเยี่ยม เราต่างรู้ว่านี่เป็นการพบหน้าครั้งสุดท้าย ผมได้หลั่งน้ำตาแห่งความสำนึกผิด เวลา 15วินาทีของการเยี่ยม เราต่างนิ่งเงียบ ผมจะพูดอะไรได้ภรรยาอุ้มลูกน้อยไร้เดียงสา ผมจะทอดทิ้งพวกเขาลงคอได้อย่างไร แต่ผมจะทำอะไรได้ เวลา 15 นาทีผ่านไปเร็วมาก ผมบอกเมียว่าให้ถนอมสุขภาพ เพราะความประพฤติของผมที่ผ่านมาแท้ๆ จึงทำให้ลูกเมียต้องพลอยลำบาก ขอให้เธอให้อภัย และย้ำแล้วย้ำอีก ต่อไปเธอจงอบรมลูกให้ดีควรดูการทำชั่วของพ่อเป็นบทเร ียน อย่าได้เจริญรอยตาม ครั้นลูกเมียเดินจากไป ผมมองตามหลังจนลับสายตา ผมปวดร้าวในหัวใจ ร้องไห้จนสลบไปแต่ก่อนผมไม่เคยสนใจลูกเมียเลย ภรรยาแต่งกับผมมาหลายปี ไม่รู้ว่าต้องทนกับการด่าว่าและเตะถีบจากผมเท่าไหร่ ผมไม่เคยทำหน้าที่สามีและพ่อที่ดีเลย ผมไม่สมควรเป็นคน ผมตำหนิตัวเอง ผมสำนึกผิดเมื่อใกล้จะถูกประหารน้ำมันตะเกียงกำลังจะ หมด ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

ไม่นานมานี้ได้ความรู้จากหนังสือธรรมะ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวตายที่สุด เพราะผมเชื่อแน่ว่าตายแล้วไม่สูญหมด แต่เป็นเพียงวิญญาณหลุดออกจากกายเนื้อเท่านั้น แล้วไปเริ่มต้นอีกมิติหนึ่ง โดยผมจะต้องไปรับโทษอีกตามที่หนังสือ ?ท่องเมืองนรก? บันทึกไว้ ซึ่งเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทารุณยิ่งกว่ากฎหมายเมือง มนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า โอ... แล้วจะมีใครช่วยผมได้นี่ ! ขณะนี้ผมกำลังก้าวไปหาความตาย แม้ผมจะสำนึกผิดแล้ว แต่ในตัวผมเต็มไปด้วยบาปกรรม ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับตัวใหม่ หรือไถ่บาปได้เลย ได้แต่ใช้เวลาและลมหายใจอันจำกัดเล่าบาปกรรมที่ทำมาท ั้งหมดอย่างหมดเปลือกหนึ่งนั้นเป็นการสารภาพบาปสองนั้นเพื่อเป็นบทเรียนอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้หลงผิด ให้กลับตัวใหม่
ขอพระโพธิสัตว์โปรดเมตตา ลดโทษทัณฑ์ที่นรกให้บ้างเถิด

1595
แทงตาปลา

ข้าพเจ้านึกถึงครั้งข้าพเจ้าได้ไปหาเพื่อนผู้คุ้นเคยกันมานาน และเป็นทันตแพทย์เนื่องจากสุขภาพของหมอไม่ค่อยจะปกตินัก ข้าพเจ้าจึงไปถามข่าวเยี่ยมเยียนในฐานะผู้ที่รักใคร่คุ้นเคยกันมานาน

ก่อนที่จะเข้าบ้านของหมอ ข้าพเจ้าก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินสวนออกจากบ้าน พระรูปนั้นมีลูกศิษย์จูงนำเดินหน้าทำให้นึกว่าพระภิกษุรูปนั้นคงตาพิการหรือ บอด คิดสงสัยตาท่านบอดทำไมถึงบวชได้ เมื่อได้เข้าไปในบ้านหมอผู้คุ้นเคยแล้ว เราจึงทักทายปราศรัยกันพอสมควร ข้าพเจ้าจึงเอ่ยถามหมอว่า

นี่หมอ ผมเห็นพระองค์ที่ออกไปจากบ้านหมอเมื่อครู่นี้ สวนทางก่อนหน้าผมจะเข้ามานั้น ท่านตาบอดใช่ไหม จึงมีลูกศิษย์จูง?
หมอยิ้มแล้วพูดว่า ?ใช่ ท่านเป็นมหา ๓ ประโยค ตาท่านบอดภายหลังเมื่อท่านบวชหลายปี?ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามต่อไป ?ทำไมไม่หาหมอแผนปัจจุบันมารักษา ผมคิดว่าสามารถจะรักษาให้หายได้?หมอหัวเราะแล้วพูดว่า ?รักษาแล้วไม่หาย ท่านได้เล่าให้ผมฟังเรื่องในอดีตที่ท่านได้ทำกรรมไว้ และท่านได้รู้ตัวว่ากรรมตามสนอง ในชาตินี้ท่านก็ต้องใช้กรรมที่ท่านได้ทำไว้จนกว่าจะหมดหนี้?

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ เกิดความสนใจ จึงขอร้องให้หมอช่วยเล่าเรื่องอดีตของท่านมาให้ข้าพเจ้าฟัง หมอก็ได้กรุณาเล่าให้ฟังมีใจความว่า ?เมื่อครั้งท่านมหาสมัยเมื่อยังไม่บวช และอยู่ในวัยรุ่น บ้านของท่านอยู่ติดกับคลองมีกระไดท่าน้ำ เวลานั้นชาวบ้านส่วนมากไม่ชอบใส่รองเท้า ถนนยังไม่ดี หน้าฝนเละเป็นโคลน เมื่อไปไหนมาไหนกลับมาถึงบ้านก็ต้องไปที่กระไดท่าน้ำเพื่อล้างเท้าให้สะอาด ก่อนจะขึ้นบ้านขึ้นเรือน

วันหนึ่งท่านได้กลับมาจากเที่ยว ก็ไปที่ท่าน้ำลงไปล้างเท้าเป็นเวลาที่มีปลาแขยงชุกชุม เมื่อมีคนลงมาล้างเท้าพวกปลาก็พากันมาตอด ท่านมีความโกรธมากตามอารมณ์ร้อนแรงของคนหนุ่ม ขาดสติมีความประมาทคิดแต่จะแก้เผ็ด ที่เจ้าพวกปลาแขยงมาตอดเท้า นึกพยาบาทคิดจะต้องทำให้หายแค้น จึงรีบขึ้นบนเรือนคว้าได้สวิงรีบลงมาเพราะอารมณ์โกรธ รีบลงไปตีนท่าทำเป็นล้างเท้า กระทุ่มน้ำพอเป็นพิธี พวกฝูงปลาแขยงต่างก็ว่ายเข้ามาตอดเท้า

ทันใดนั้นท่านก็เอาสวิงช้อนปลาขึ้นมาได้ ๖ - ๗ ตัว คิดว่าจะทุบตีให้มันตายก็ง่ายเกินไป ยังไม่สมกับอารมณ์แค้นและความโกรธ จะต้องทรมานให้สาสมจึงจะสมแค้น จึงรีบวิ่งขึ้นเรือนหาด้ายเข็ม รีบจัดแจงลงมาที่ท่าน้ำ แล้วก็เอาเข็มแทงลูกนัยน์ตาทั้งสองข้างทุกตัวแล้วก็ปล่อยลงน้ำไป เมื่อทำแก่ปลาเหล่านั้นได้ก็คลายความโกรธลงบ้าง ในใจนึกสมน้ำหน้าที่มันมาตอดเท้า

ครั้นหลายปีต่อมาเมื่ออายุครบบวช ก็เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางธรรมสอบได้เป็นมหาเปรียญ ๓ ประโยค ท่านก็เริ่มเจ็บตาข้างหนึ่ง แม้จะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ทั้งเจ็บทั้งปวดแสนสาหัส แทบจะทนไม่ไหว เมื่อให้แพทย์แผนปัจจุบันตรวจก็บอกว่าต้องผ่า มิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสหาย ที่สุดหมอก็ได้ผ่าตา แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาได้ ที่สุดตาก็บอดลง

ท่านก็นึกรู้ได้ทันทีนั้นว่า กรรมที่ท่านได้มีจิตอาฆาตพยาบาทกับปลาแขยงในสมัยวัยรุ่นนั้น บัดนี้กรรมได้ติดตามมาทันแล้ว ต่อมาไม่นานตาที่ยังใช้ได้ดีข้างหนึ่งก็เกิดปวดขึ้นมา รู้สึกว่าความเจ็บปวดมากมายแทบจะปะทุออกมาต้องไปหาแพทย์ แพทย์ก็ลงความเห็นว่าไม่มีทางอื่นจะต้องผ่าอีกเมื่อไม่มีทางอื่นเลือก ท่านก็ยอมเสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง ที่สุดตาของท่านก็บอดสนิททั้งสองข้าง ท่านจึงนึกว่าโรคกรรมเวรนี้ หมอเก่งเพียงไรก็ไม่สามารถจะรักษาหายได้?

นี่ก็ชี้ให้เห็นว่ากรรมใดที่พวกเราก่อขึ้น ด้วยอำนาจจิตคิดพยาบาทอาฆาต ย่อมจะก่อให้เกิดผลขึ้นมาได้ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังหมอเล่าแล้วรู้สึกเศร้าใจที่มนุษย์อีกจำนวนไม่น้อยที่ ไม่เชื่อกรรม ฉะนั้น โลกในยุคปัจจุบันนี้จึงมีการฆ่าฟันเอาชีวิตกันง่าย เพราะไม่เกรงกรรมไม่เกรงเวร เกรงบาป จิตใจจึงเหี้ยมโหดชั่วร้ายหากมีผู้เชื่อกรรม เชื่อบุญ เชื่อบาปแล้วโลกที่เราอยู่นี้ก็จะเกิดความสงบขึ้นอีกมาก


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1054

1597
ขอบคุณภาพ และที่มา http://www.sahatsakhan.com/?page_id=30
---------------------------

ปริศนาที่ฐานพระนอน


ปริศนาลายแทง ที่ยังไม่มีใครแก้ได้ “พระหลงหมู่ อยู่ภูถ้ำบก แสงตาตก มีเงินหกแสน คำเจ็ดแสน ไผหาได้กินทานหาแน ที่เหลือนั้น กินเสี่ยงบ่หลอ”




1598
ที่มา
http://www.baanmaha.com/community/thread38491.html
-----------------------------------

พระอาจารย์ณรงค์ ชยมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต

พระอาจารย์ณรงค์ ชยมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต (ภู่ค่าว) เปิดเผยว่า ขณะนี้วัดพุทธนิมิต (ภู่ข้าว) กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง “พระมหาธาตุเจดีย์พุทธนิมิต” สำหรับใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุจำนวนมาก เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดใกล้เคียง ได้บูชากราบไหว้ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนทุน ในการก่อสร้างจากพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา ทั่วประเทศ โดยในการก่อสร้างคาดว่าน่าจะใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท สำหรับส่วนยอดขององค์เจดีย์ที่เป็นทองคำ คณะกรรมการได้ดำเนินการหล่อทองคำที่ได้รับการบริจาครวมกว่า 37 กิโลกรัม มีมูลค่ากว่า 65 ล้านบาท



เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2552 ที่บริเวณพระมหาธาตุเจดีย์พุทธนิมิต วัดพุทธนิมิต(ภูค่าว) บ้านนาสีนวล ตำบลนาสีนวล อำเภอสหัสขันธ์ ได้มีพิธียกยอดพระธาตุเจดีย์ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นพุทธบูชา และเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชนโดยมีหัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วประเทศมาร่วมพิธีกว่า 2,000 คน สำหรับยอดพระมหาธาตุเจดีย์ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) ทำด้วยทองคำหนัก 37 กิโลกรัม ประดับด้วยเพชร พลอย ทับทิม อัญมณี รวมมูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท




1599
ขอบคุณภาพ โดยคุณ Aumsama
ที่มา http://www.photogangs.com/webboard/index.php?showtopic=5941&mode=threaded&pid=113908
-------------------------------------------

บริเวณหน้าโบสถ์ไม้

ส่วนด้านใน สวยมากๆครับ ส่วนใหญ๋จะแกะสลักครับ
ไม้แต่ละอันที่บ้านผมเรียกว่าซุง นั่นแหละครับ ใหญ่มากๆครับ
พื้นเงางาม







1600
ขอขอบคุณ คุณณรงค์ ชื่นนิรันดร์
ที่มาบทความ http://narongthai.com/pookuv.html
----------------------------------------------------

พระบรมสารีริกธาตุ ในมหาธาตุเจดีย์

เมื่อปีจอ เมื่อวันศุกร์ที่11 เดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2549 พระอาจารย์ณรงค์ ชยมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) พร้อมคณะศิษยานุศิษย์ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 2 องค์ จากวัดศรีวิชัยโสคตวิทยาลัย เมืองลาวานะ-ปานาธุระ โดยมีพระปานธุระวิตธะนันทะเกโร เป็นประธานสงฆ์ฝ่ายศรีลังกา จากนั้นได้ทำพิธีสมโภชน์พระบรมสารีริกธาตุ โดยมีสมเด็จมหาสังฆนายกสยามนิกายฝ่ายอัสคิริยา (อรัญวสี )เป็นประธาน เมื่อปีจอ วันอาทิตย์ที่ 13 เดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2549 ณ วัดอัศคิริยา กรุงแคนดี้ ประเทศศรีลังกา

ต่อมาปีกุน วันศุกร์ที่ 19 เดือนมกราคม พุทธศักราช 2550 ได้รับมอบพระบรมสารีริธาตุ อีกจำนวน 2 องค์ จากพระรัตนรังสี (วีรยทธ์ วีรยุทโธ) เจ้าอาวาส วัดไทยกุฉินาราเฉลิมราชย์ ปัจจุบันใน ตำบลกาเซีย จังหวัดกุสินาคาร์ รัฐอุตรประเทศ ประเทศอินเดีย

พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวข้างต้น ได้อัญเชิญมาบรรจุไว้ในมหาธาตุเจดีย์พุทธนิมิต แห่งนี้ ณ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปีฉลู วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2552

หมายเหตุ : พระธาตุ มีความสูง 80 เมตร พระพุทธเจ้าปรินิพพาน 80 ปี พระมหาธาตุเจดีย์ หลังนี้ไม่มีบริวาร (คือใจ) มหาธาตุเจดีย์ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) สร้างเมื่อวัน อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547


ขอบคุณภาพถ่าย โดยคุณ namota
จาก http://www.livekalasin.com/webboard/viewthread.php?tid=3183&highlight=

1601
ขอขอบคุณ คุณณรงค์ ชื่นนิรันดร์
ที่มาบทความ http://narongthai.com/pookuv.html
----------------------------------------------------
พุทธไสยาสน์ภูค่าว
PHRA BUDDHA SAIYAT PHU KHAO




บริเวณถ้ำภูค่าว เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่งภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ภูค่าว สลักอยู่เพิงผา ขนาดย่อม ซึ่งแตกต่างจากพระพุทธไสยาสน์ทั่วไป คือ นอนตะแคงซ้าย และไม่มีพระเกตุมาลา มีความยาว 2.25 เมตร ตามประวัติกล่าวว่าเป็นพระโมคคัลลานะพระสาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 กว่าปี มาแล้ว เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านทั่วไปและจะจัดนมัสการปิดทองในวันตรุษสงกรานต์ของทุกปี
 
 
มหาธาตุเจดีย์ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) สร้างเมื่อวัน อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547
 
เมือปีจอ เมื่อวันศุกร์ที่11 เดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2549 พระอาจารย์ณรงค์ ชยมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) พร้อมคณะศิษยานุศิษย์ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 2 องค์ จากวัดศรีวิชัยโสคตวิทยาลัย เมืองลาวานะ-ปานาธุระ โดยมีพระปานธุระวิตธะนันทะเกโร เป็นประธานสงฆ์ฝ่ายศรีลังกา จากนั้นได้ทำพิธีสมโภชน์พระบรมสารีริกธาตุ โดยมีสมเด็จมหาสังฆนายกสยามนิกายฝ่ายอัสคิริยา (อรัญวสี )เป็นประธาน เมื่อปีจอ วันอาทิตย์ที่ 13 เดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2549 ณ วัดอัศคิริยา กรุงแคนดี้ ประเทศศรีลังกา
 
ต่อมาปีกุน วันศุกร์ที่ 19 เดือนมกราคม พุทธศักราช 2550 ได้รับมอบพระบรมสารีริธาตุ อีกจำนวน 2 องค์ จากพระรัตนรังสี (วีรยทธ์ วีรยุทโธ) เจ้าอาวาส วัดไทยกุฉินาราเฉลิมราชย์ ปัจจุบันใน ตำบลกาเซีย จังหวัดกุสินาคาร์ รัฐอุตรประเทศ ประเทศอินเดีย
 
พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวข้างต้น ได้อัญเชิญมาบรรจุไว้ในมหาธาตุเจดีย์พุทธนิมิต แห่งนี้ ณ วัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปีฉลู วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2552 พระธาตุ มีความสูง 80 เมตร พระพุทธเจ้าปรินิพพาน 80 ปี พระมหาธาตุเจดีย์ หลังนี้ไม่มีบริวาร (คือใจ)



ศาลาไม้สักที่นำมาจากไม้ใต้เขื่อนลำปาว สวยงามมาก



ขอขอบคุณ ภาพประกอบ จาก http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=6441

1602
ขอขอบคุณ คุณณรงค์ ชื่นนิรันดร์
ที่มา http://narongthai.com/pookuv.html
===============================

ชีวิตนักข่าว...พุทธไสยาสน์ภูค่าว
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
8 ธันวาคม 2552

หน้าพุทธไสยาสน์สร้างใหม่
 
เมื่อช่วงปลายปี 2552 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป ประเทศลาว และและภาคอีสานเพื่อทัศนศึกษา วัดวาอาราม ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้รู้ว่ามีพุทธสถานที่น่าสนใจและน่าศึกษา อยู่หลายแห่ง
 
ตอนสายผมได้เดินทางไป วัดภูค่าว หรือวัดพุทธนิมิต ซึ่งตั้งอยู่ใน ตำบลสหัสขันธ์ อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยวัดนี้ ตั้งอยู่ห่างจาก อำเภอสมเด็จประมาณ 30 กม. และตั้งอยู่ห่างจาก อำเภอสหัสขันธ์ ประมาณ 10 กม. วัดภูค่าว จะตั้งอยู่ระหว่างทางไปอำเภอสหัสขันธ์ กับอำเภอสมเด็จ เราสามารถมองเห็น พระธาตุเจดีย์ขนาดใหญ่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ที่ใกล้จะแล้วเสร็จ ผมเลี้ยวรถเข้าไปอย่างไม่รอช้า เพื่อเข้าไปชมวัดภูค่าว ที่มีรั้วรอบขอบชิด วันที่ผมไป  พึ่งมีการยกยอดเจดีย์ทองคำไปเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.52 ดังนั้นบรรยากาศจึงดูเงียบเชียบ ผมจอดรถ และเริ่มเดินเข้าไปในบริเวณวัด ที่มีฝูงนกยูงอยู่หลายสิบตัว และบางตัวกำลังรำแพน ออกท่าทางสวยงาม

นกยูงในวัด

ผมเดินผ่านศาลาการเปรียญ ที่พระประธานองค์ใหญ่ ปางพระพุทธชินราช ผมเดินไปตามป้ายบอกทาง เพื่อที่จะไปนมัสการเจ้าอาวาส แต่ก็ไม่ได้นมัสการเพราะเห็นท่านมี แขก ผมจึงเดินผ่านไปที่ตั้งของ พุทธไสยาสน์ ที่อยู่ด้านหลังของศาลาการเปรียญ

มหาธาตุเจดีย์
 
พุทธไสยาสน์ องค์นี้ ดูแปลกจากองค์อื่น ๆ ที่ผมเห็นมา และยังแตกต่างจากพุทธไสยาสน์ที่ประดิษฐานที่ภูปอ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ตามประวัติระบุว่า พุทธไสยาสน์ องค์นี้ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า คือ พระโมคัลลานะ สังเกตได้จาก เศียร จะหันไปทางซ้ายมือของเรา หรือนอนตะแคงซ้าย ที่เศียรก็ไม่มีพระเกตุมาลา และองค์เล็กกว่าพุทธไสยาสน์ที่ดินภูปอ (อ.สหัสขันธ์) แต่การสร้างคล้ายคลึงกันคือการสลักหินที่อยู่ในหน้าผา ที่ไม่สูงชันมากนัก


จากการสันณิษฐาน ของผม พอจะคาดการณ์ได้ว่า พุทธไสยาสาส์นที่ภูปอน่าจะมีการสร้างก่อนองค์นี้ เพราะเป็นพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน ก่อนพระโมคคัลลานะ และชาวพุทธในละแวกนั้น ได้สร้างไว้เพื่อบูชาสักการะ  ผมคิดไปต่าง ๆ นานา หลายตลบ เพื่ออยากจะรู้ว่า ทำไมคนโบราณจึงเลือกที่จะสร้างพระไว้ริมหน้าผา หรือว่า ผู้คนในสมัยก่อนมีการตั้งรกราก อยู่บนภูเขาในแถบนี้ และเมื่อมาสักการะทำให้ได้เห็นทิวทัศน์ ที่งดงาม ที่จะทำให้จิตใจสงบร่มเย็นได้ จากนั้นผมได้เดินไปยังศาลาที่เป็นที่เก็บพระเครื่อง ซึ่งเป็นพระเครื่องชั้นยอด โดยมีการติดพระเครื่องไว้รายรอบทั้งดาดฟ้าเพดาน มีพระเครื่องเต็มไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ที่ไม่มีวัดที่ไหนทำมาก่อน


ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอควร จากนั้นผมจึงเดินออกมาบริเวณ ลานวัด ที่ทำให้รู้ว่า ที่วัดแห่งมีการผสมผสานวัฒนธรรมจีน ในวรรณกรรมสามก๊ก อาทิ รูปปั้น ขงเบ้ง กวนอู

ส่วนด้านหน้า ทางเข้าวัด กำลังมีการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ ที่ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้าง และใกล้จะแล้วเสร็จ ผมเดินเข้าไปในพระมหาธาตุเจดีย์ ที่มีประตูเป็นไม้แผ่นชิ้นเดียวขนาดใหญ่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า จะต้องเป็นไม้ที่ได้จากต้นไม้ขนาด 3 คนโอบ ข้างในยิ่งตระการตา เพราะพื้นปูด้วยไม้แผ่นขนาดใหญ่เช่นกัน ตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธนิมิตเหล็กไหล ทั้งองค์มีเนื้อสีดำ ประทับอยู่บนฐานไม้

พุทธนิมิตเหล็กไหล

ส่วนรอบ ๆ ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานรายรอบเต็มไปหมด ต้องบอกว่า ข้างในค่อนข้างมืดเพราะยังไม่มีการติดไฟฟ้าแสงสว่าง และเท่าที่ผมประเมินดูพบว่าภายในกว้างใหญ่สามารถจุผู้คนได้หลายร้อยคน และอาจจะเกือบถึง 1,000 คน ส่วนด้านข้างมหาเจดีย์เป็นอุโบสถ ที่ทำด้วยไม้ที่อยู่ใต้น้ำของเขื่อนลำปาว ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก ไม้ที่ได้มาสร้างเป็นไม้ที่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีหนังสือมอบอำนาจเรื่องการขอตัดและชักลากไม้ประดู่ ซึ่งดำเนินการเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2542 โดยนายประจักษ์ มังคะรัตน์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ 5 ต.แซงบาดาน อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ได้มอบอำนาจให้นายชัยบัญชา โถดาสา อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/1 หมู่ 8 บ้านโคกทราย อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ดำเนินการ ในหนังสือมี นางหอมเงิน มังคะรัตน์ และ นายธวัชชัย บุญทานันท์ เป็นพยาน และหนังสือหลายฉบับได้เก็บไว้ในตู้ไม้ ที่ตั้งอยู่ภายในอุโบสถ ซึ่งผมมีความเป็นห่วงว่า อาจจะเสื่อมสภาพ หรืออาจสูญหายได้ แต่ผมคิดว่าทางวัดคงจะเก็บต้นฉบับเอาไว้ในที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน ครับ ท่านใดสนใจที่จะไปชมผมก็ขอเชิญชวนทุกท่าน ซึ่งเป็นการเดินทางที่ท่านสามารถจะไปชม ภูสิงห์ที่มีพระพรมหมภูมิปาโล ซึ่งเป็นพระขนาดใหญ่ ภูกุ้มข้าวที่เป็นที่ตั้งของการขุดค้นซากไดโนเสาร์ และภูปอ ที่เป็นที่ประดิษฐานของพรพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ตั้งไม่ห่างไกลเท่าไหร่นัก นะครับ


ตู้เก็บเอกสาร                    เอกสารการชักลากไม้
 

1603
ขอบคุณมากๆคะ สำหรับเรื่องราวดีๆ สงสารปลา กับ ไก่ คะ :090: :071: :090:
แถมเรื่องแมวอีกเรื่องหนึ่งครับ
=======================
กรรมที่ทำกับแมว

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งตาของเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังอายุ 10 ขวบเห็นจะได้ เล่าให้ฟังว่า ตาได้สร้างเวรสร้างกรรมไว้อย่างสาหัส

ตอนนั้นยายเรียกให้ทุกคนในบ้านออกมากินข้าว

โดยที่วางสำรับข้าวไว้ ขณะที่ตากำลังเดินออกมา ก็บังเอิญเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งกำลังคาบเอาปลาดุกย่างไป ตาจึงวิ่งไล่ตาม หวังให้มันปล่อยปลาดุกอย่างตัวนั้นออกจากปาก แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เจ้าแมวตัวนั้นกระโดดเข้ากองฟาง

ตาเห็นดังนั้นก็ย้อนเข้าบ้านสักครู่

ก็ออกมาพร้อมกับปืนลูกซองพร้อมกับไม้ขีดไฟ ยายพยายามห้ามตาว่าให้ปล่อยมันไป ตาก็ไม่ยอมฟัง แล้วตาก็เริ่มเผากองฟางกองนั้น เมื่อไฟโหมแรงขึ้น เจ้าแมวตัวนั้นก็กระโดดออกมาจากกองฟาง แต่ครั้งนี้ในปากของมันจากที่เป็นปลาดุกย่างตัวนั้น มันกลายเป็นลูกแมวที่ยังไม่ลืมตา เจ้าแมวตัวนั้นวิ่งออกมา

ส่วนทางตาที่เตรียมขึ้นไกปืนไว้รอท่าอยู่แล้ว

ก็ยิงสวนออกไป สิ้นเสียง เจ้าแมวตัวนั้นก็ลอยกระเด็นเข้ากองฟางไป ตาหัวเราะชอบใจในฝีมือของตัวเอง แต่ยายปล่อยน้ำตาไหลออกมา ก่อนที่จะลุกขึ้นไปดูมัน สภาพนางแมวสาวตัวนี้มีเต้านมถึงสี่เต้าแสดงว่ามันไม่ได้มีลูกแค่ตัวเดียว อย่างน้อยต้องมีสักสี่ตัว ซึ่งบัดนี้คงนอนตายอยู่กลางเพลิงไฟไปเรียบร้อยแล้ว

บุญเจ้าแมวน้อยที่แม่คาบออกมา

ยายจึงรีบจับมันมา หวังชุบเลี้ยงแทนแม่ของมัน เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่า กรรมที่ตาสร้างไว้ครั้งนี้จะส่งย้อนกลับมายังตาในวันหนึ่ง ขณะที่ตาจูงควายจะไปเทียบเกวียน แต่ควายตัวนั้นมันดื้อ ตาจึงใช้ไม้ฟาดมันอย่างหนัก ตามนิสัยโมโหร้ายของตา ครั้งนี้เจ้าควายตัวนั้น ตัวที่ตามักจะระบายอารมณ์ใส่มันด้วยความเกลียดชังกลับโต้ตอบ มันแว้งขวิดเข้าที่สะโพก แล้วตาก็ยิงมันตายในที่สุด

แผลที่เกิดจากควายขวิดไม่คิดว่าจะส่งผลต่อมาให้ตา

แต่แรกก็รักษาด้วยยาสามัญประจำบ้านกันไปตามมีตามเกิด อีกทั้งไม่คิดว่า แผลที่ว่านั้นจะหนักหนา แต่แล้วมันกลับสาหัสมากขึ้น จนกระทั่งตาลุกเดินไปไม่ได้ ขาข้างหนึ่งของตาลีบเล็กลงไม่นานแผลนั้นก็เริ่มเน่าเฟอะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ตาเริ่มร้องด้วยความทรมานทุกวัน มีคนพูดว่าเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เหมือนเสียง “วัว” เสียง “ควาย” สร้างความทุกข์ทรมานให้ตาอยู่ทุกวัน และวาระสุดท้ายของตาก็มาถึง

วันนั้นพ่อแม่เพื่อนผมพากันออกไปดูหนังขายยาที่เข้ามาในหมู่บ้านของเรา

ปล่อยให้ตายายอยู่บ้าน ขณะที่กำลังดูหนังอยู่นั้นก็มีเสียงตะโกนว่า “ไฟไหม้” พอหันไปมองแสงสีเพลิงที่เด่นเป็นสง่ากลางความมืด ไฟที่รุกโชติช่วงอยู่นั้น เป็นบ้านของเพื่อนผม พ่อแม่วิ่งกลับไปทันทีพร้อมๆ กับเพื่อนพ่อแม่ต่างก็วิ่งไปช่วยกันเป็นการใหญ่

แต่ดูเหมือนจะสายไปแล้ว

พอถึงบ้านแม่ก็เห็นยายนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นดิน ได้แต่ร้องเรียกตาที่อยู่ในกองเพลิง ไฟไหม้หมดไปทั้งหลัง สภาพศพของตานั้นดูไม่เหมือนคนเดิม เพราะสภาพบัดนี้ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว


ยายเล่าให้ฟังว่า

ขณะที่นอนอยู่กับตานั้น มีแมลงทับบินเข้ามาเล่นตะเกียงไฟ ลูกแมวกำลังซนจึงวิ่งเล่นไล่จับแมลงทับ แล้วไปโดนตะเกียงไฟล้มไปติดมุ้ง ไฟก็เริ่มติด ยายพยายามที่จะดึงตาออกมา แต่ยายดึงไม่ไหว ตาเป็นคนรูปร่างใหญ่ ยายไม่สามารถลากเอาตาออกมาได้ ทุกคนแม้กระทั้งยาย ยังพูดออกมาเหมือนกันว่า “ตา ตายเพราะใช้กรรมที่ทำไว้กับแมวแท้ ๆ

นี่แหละที่ว่า สร้างเวรสร้างกรรมอย่างไรไว้ ก็ต้องชดใช้กันไปเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างที่ตาโดน


ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/1231.html

1604
ธรรมะ / ตอบ: ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 08 พ.ค. 2554, 10:13:27 »
ทางสายเอก มหาสติปัฏฐาน4

                  สติปัฏฐาน ๔ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ, หรือข้อปฏิบัติที่ใช้สติเป็นประธานหรือหลัก ในการกำหนดระลึกรู้หรือพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ)นั้นๆ  โดยไม่ถูกครอบงําด้วยความยินดียินร้าย(ตัณหา)ที่ทําให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริงตามอํานาจของกิเลสตัณหา  หรือกล่าวได้ว่าสติปัฏฐาน ๔ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งสติ จุดประสงค์เพื่อฝึกสติ และใช้สตินั้นพิจารณาและรู้เท่าทันใน กาย เวทนา จิต และธรรม  เพื่อให้เกิดนิพพิทาความ คลายกำหนัดความยึดความอยากจากการไปรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ จึงคลาย ตัณหา  จึงเป็นไปเพื่อนําออกและละเสียซึ่งตัณหาแลอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ในกิเลสด้วยความพึงพอใจหรือสุขของตัวของตนเป็นสำคัญ  ที่มีในสันดานของปุถุชนอันก่อให้เกิดความทุกข์โดยตรงด้วยเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์,  พระองค์ท่านแบ่ง สติปัฏฐาน ๔ ออกเป็น ๔ หมวดใหญ่ด้วยกัน คือ

        ๑. กายานุปัสสนา การมีสติในกายเป็นอารมณ์ คือมีสติกําหนดพิจารณากาย  ให้เห็นกายในกาย คือเห็นตามความเป็นจริงของกาย เช่น "เป็นเพียงการประชุมกันของเหตุปัจจัยอันมีธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ" (อ่านรายละเอียดในไตรลักษณ์)  หรือการเกิดแต่เหตุที่เป็นของสกปรกปฏิกูลโสโครกประกอบหรือเป็นปัจจัยกันขึ้น(ทวัตติงสาการ)  หรือการพิจารณาส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อให้เกิดนิพพิทา อันล้วนเป็นไปการระงับหรือดับตัณหาแลอุปาทานโดยตรงทั้งสิ้น

        ใน ขั้นแรกนั้น เป็นการฝึกให้มีสติเสียก่อน  โดยฝึกดูลมหายใจที่หายใจเข้า ที่หายใจออก อย่างมีสติ,  หรือการมีสติอยู่ในอิริยาบถของกาย  แล้วใช้สตินั้นในการพิจารณากายในแบบต่างๆ ตลอดจนการเกิดดับต่างๆของกาย ฯลฯ. ล้วนเพื่อให้เกิดนิพพิทา เพื่อให้จิตลดละความยินดียินร้ายในกายแห่งตนแลบุคคลอื่นเมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงของกายนั้นว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  จิตจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นพึงพอใจหรือหลงใหลในกายแม้ตัวตนของตนหรือ บุคคลอื่น  เป็นการตัดกำลังตัณหาแลอุปาทานโดยตรงทางหนึ่ง ซึ่งท่านแบ่งเป็น ๖ แบบ


ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....หลักของสติปัฏฐาน - 2
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-18.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1605
ธรรมะ / ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 08 พ.ค. 2554, 10:09:20 »
มหาสติปัฏฐาน ๔
               
                     เป็นการปฏิบัติที่พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทางสายเอก(เอกายนมรรค)  เมื่อปฏิบัติอย่างดีงามย่อมทำให้โพชฌงค์องค์แห่งการตรัสรู้บริบูรณ์ กล่าวคือย่อมทำให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ถึงที่สุด ดังที่ตรัสแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งในกุณฑลิยสูตร   ในการศึกษาการปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมก็ตามที ต่างล้วนต้องเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เสียก่อน กล่าวคือ ต้องมีปัญญาหรือวิชชาเป็น พื้นฐานบ้างเสียก่อน จึงเริ่มลงมือปฏิบัติ จึงถูกต้องดีงาม อันจักยังผลให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องแนวทาง  ดังนั้นจึงควรมีความเข้าใจด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจจุดประสงค์อย่างถูก ต้องด้วย  เพราะเป็นที่นิยมปฏิบัติกันโดยไม่ศึกษาให้ดีงามเสียก่อน  เริ่มต้นปฏิบัติก็มักเพราะเป็นทุกข์กำลังรุมเร้า หรือด้วยความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ได้ยินได้ฟังมาอยู่เนืองๆ ก็เริ่มปฏิบัติอานาปานสติหรือสติปัฏฐาน ๔ โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ดังนั้นแทนที่เป็นการฝึกสติ,ใช้สติชนิดสัมมาสติ  กลับกลายเป็นการฝึกการใช้มิจฉาสติจึงได้มิจฉาสมาธิแบบผิดๆอันให้โทษ  จีงเกิดขึ้นและเป็นไปตามพุทธพจน์ข้างต้น   จึงอุปมาเหมือนการเรียนเคมี โดยไปปฏิบัติในห้องปฏิบัติการเสียเลย ด้วยเข้าใจว่าไปเรียนไปศึกษาจากการปฏิบัติโดยตรงคงยังให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นเอง ด้วยเหตุดั่งนี้เอง จึงเกิดอุบัติเหตุการระเบิดขึ้นได้ด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง  จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เป็นพื้นฐานบ้างเสียก่อน จะได้ดำเนินไปอย่างถูกต้องแนวทางสมดังพุทธประสงค์ คือสัมมาสติที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ อันเป็นสุขยิ่ง

         สติ ปัฏฐาน ๔ จึงเป็นการฝึกสติใช้สติ สมดังชื่อ ที่หมายความว่า การมีสติเป็นฐาน ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งสติ  ซึ่งเมื่อเกิด สัมมาสติขึ้นแล้ว ย่อมยังให้เกิดจิตตั้งมั่นอันคือสัมมาสมาธิร่วมด้วยโดยธรรมหรือธรรมชาติ  แล้วนำทั้งสัมมาสติและสัมมาสมาธินั้นไปดำเนินการพิจารณาในธรรมคือเจริญ วิปัสสนา ในธรรมทั้งหลายดังที่แสดงในธัมมานุปัสสนา หรือธรรมอื่นใดก็ได้ตามจริต สติ ปัญญา มิได้จำกัดแต่เพียงในธรรมานุปัสสนาเท่านั้น

           อานาปานสติ เป็นการฝึกสติใช้สติิ  โดยการใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ ที่หมายถึงเครื่องกำหนด กล่าวคืออยู่ในอารมณ์คือลมหายใจเข้าและออกอย่างมีสติระลึกรู้เท่าทันหรือพิจารณาเป็นจุดประสงค์สำคัญ   แต่กลับนิยมนำไปใช้เป็นอารมณ์ในการวิตกเพื่อให้จิตสงบเพื่อการทำฌานสมาธิเสียแต่ฝ่ายเดียวเป็นส่วนใหญ่หรือทุกครั้งไปเนื่องด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้  จึงไม่ได้สนใจการเจริญวิปัสสนาให้เกิดนิพพิทา,ให้เกิดปัญญาเลย  โดยปล่อยให้เลื่อนไหลหรือสติขาดไปอยู่แต่ในความสงบสุขสบายอันเกิดแต่ภวังค์ของฌานหรือสมาธิระดับประณีตแต่ฝ่ายเดียวหรือเสมอๆ  เพราะฌานสมาธินั้นยังให้เกิดความสุข ความสงบ ความสบายอันเกิดขึ้นจากภวังค์ และการระงับไปของกิเลสในนิวรณ์ ๕ เป็นระยะเวลาหนึ่ง  ตลอดจนนิมิตต่างๆที่เกิดขึ้นจากฌานสมาธิล้วนตื่นตาตื่นใจ อย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็วเมื่อปฏิบัติได้ผลขึ้น จึงเกิดการติดเพลิน(นันทิ)โดยไม่รู้ตัว  ในที่สุดความตั้งใจที่ฝึกสัมมาสติอันเป็นมรรคองค์ที่ ๗ จึงกลับกลายเป็นมิจฉาสติไปโดยไม่รู้ตัว จึงได้มิจฉาสมาธิร่วมไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

        หรือนิยมเข้าใจกันทั่วๆไปโดยนัยๆว่า ปฏิบัติสมถสมาธิ หรือปฏิบัติอานาปานสติ หรือปฏิบัติสติติดตามอริยาบถ ก็เพียงพอเป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อันดีงามแล้ว และก็ทำอยู่แต่อย่างนั้นอย่างเดียวนั่นเอง เช่นนั่งแต่สมาธิแต่ขาดการเจริญวิปัสสนา,   ดังนั้นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ จึงควรดำเนินประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาหรือความเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นก็ย่อมดำเนินและเป็นไปดังพุทธดำรัสที่ตรัสแสดงไว้ข้างต้น


ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....หลักของสติปัฏฐาน - 1
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-17.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

1606
เนกขัมมะ ชื่อว่าทวนกระแสตัณหา

        พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 695

         การบรรพชา   ปฐมฌานพร้อมด้วยอุปจาร   วิปัสสนาปัญญา และนิพพาน

ชื่อว่า เนกขัมมะ  ในคำว่า  ปฏิโสโตติ  โข    ภิกฺขเว    เนกฺขมฺมสฺเสตํ    อธิวจนํ

(ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย      คำว่า    ทวนกระแสนี้แล    เป็นชื่อของเนกขัมมะ)   นี้.

กุศลธรรมแม้ทั้งหมด  ก็ชื่อว่า เนกขัมมะ.  สมจริงดังที่พระองค์ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า

                กุศลธรรม  แม้ทั้งหมด  คือ  บรรพชา

        ปฐมฌาน    นิพพาน    และวิปัสสนา   เรา

        ตถาคต  เรียกว่า  เนกขัมมะ.

           ก็ผู้ศึกษาพึงทราบความที่บรรพชาเป็นต้นเหล่านี้           เป็นเช่นกับการ

ทวนกระแส        โดยการทวนต่อกระแสแห่งตัณหา.     เพราะว่า    โดยความไม่

แปลกกันแล้ว    ธรรมวินัย  ชื่อว่า  เนกขัมมะ.  การตั้งใจของเขา ๑ การบรรพชา

ของเขา  ๑  ธรรมวินัย   ๑   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า  ทวนกระแสตัณหา.


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=14635

1607
เนกขัมมะ หมายถึงกุศลทุกประการได้  แต่ถ้าเป็นเนกขัมมบารมีแล้ว  ต้องเป็นธรรมที่ทำให้ถึงฝั่งคือดับกิเลส  กุศลทั่วไปเช่น  การให้ทาน  ก็มีแม้ของบุคคลนอกศาสนานี้แต่ไม่ได้เห็นโทษของกิเลส และวัฏฏะ แต่ก็ให้ ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นเนกขัมมะ ( กุศลทุกประการเป็นเนกขัมมะ )    แต่เป็นเนกขัมมบารมีหรือเปล่า    ดังนั้น    เนกขัมมบารมี ต้องประกอบด้วย  ปัญญาที่เห็นโทษของกิเลส  และการเกิดหรือการอยู่ในวัฏฏะ เพราะฉะนั้น  กุศลทุกประการ  เป็นเนกขัมมะ  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น    เนกขัมมบารมีครับ  ดังข้อความ  ในพระไตรปิฎกเรื่อง เนกขัมมบารมี

            พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓- หน้าที่ 577

                      จิตเกิดขึ้นเพื่อจะออกจากกามภพ มีการเห็นโทษเป็นอันดับแรก   

            กำหนดด้วยความ   เป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา เป็นเนกขัมมบารมี.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓- หน้าที่ 578

           เนกขัมมบารมี    มีการออกจากกามและจากความมีโชคเป็นลักษณะ.   

มีการประกาศโทษของกามนั้นเป็นรส.     มีความหันหลังจากโทษนั้นเป็น

ปัจจุปัฏฐาน.   มีความสังเวชเป็นปทัฏฐาน.                                           

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 636

         อนึ่ง    เพราะการเกิดขึ้นแห่งกุศลจิตเป็นไปแล้ว   ด้วยการออกจากกาม

และภพทั้งหลาย   มีการเห็นโทษเป็นเบื้องต้น   กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาด

ในอุบายคือกรุณา  ชื่อว่า  เนกขัมมบารมี.   


ที่มา
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=3855

1608

ถาม....ในการดำรงชีวิตประจำวัน อย่างไรที่เรียกว่าเป็นการเจริญเนกขัมมะ

ตอบ....  คำว่า เนกขัมมะ หมายถึง   การออกจากกาม  ๒  อย่าง   ได้แก่  กิเลสกาม   และ

วัตถุกาม  การออกจากกามมี ๒ อย่าง  คือ ด้วยการบรรพชา ๑  ด้วยข้อปฏิบัติ ๑   การ

ออกบวชของผู้ที่เห็นคุณของเนกขัมมะ     การเว้นกิจของคฤหัสถ์     ถือเพศบรรพชิต   

เป็นผู้ไม่ครองเรือน ไม่แสวงหาทรัพย์ ไม่รับเงินและทอง เป็นต้น  ชื่อว่า ออกจากวัตถุ

กาม  ด้วยการบรรพชา     ข้อปฏิบัติคือ  อุโบสถศีล  สมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา  สติ

ปัฏฐาน  เป็นต้น  ชื่อว่า  ออกจากกิเลสกาม  ด้วยข้อปฏิบัติบางนัย  หมายรวมถึงกุศล

ธรรมทุกประเภทเป็นการออกจากกาม (เนกขัมมะ)

     ฉะนั้นเนกขัมมะ  โดยนัยที่ ๒ ในชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์  ขณะใด  ที่เป็นไปกับ

กุศลทั้งหลายคือ  การให้ทาน การรักษาศีล การฟังธรรม  การสนทนาธรรม  การเจริญ

สมถะ  การเจริญสติปัฏฐาน เป็นต้น   ชื่อว่าเนกขัมมะ   อีกอย่างหนึ่ง  การค่อย ๆ ออก

จากการสะสมวัตถุกาม ด้วยการรู้จักพอ ในสิ่งที่ตนมีอยู่  ไม่แสวงหา หรือสะสมมากจน

เกินไป    รู้จักยินดีในของที่ตนมีอยู่    ด้วยสันโดษ    ขณะนั้น    ก็เริ่มค่อย ๆ ที่จะออก

เริ่มสะสมเนกขัมมะ  ให้ค่อย ๆ มีกำลังขึ้น

ที่มา
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=3855

1609
บทความ บทกวี / .....เนกขัมมะ(บารมี).....
« เมื่อ: 08 พ.ค. 2554, 09:48:49 »
เนกขัมมะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เนกขัมมะ แปลว่า การออก, การออกบวช, ความไม่มีกามกิเลส ใช้คำว่า เนกขัม ก็มี
เนกขัมมะ หมายถึงการละเหย้าเรือนออกไปบวชเป็นพระเป็นนักบวช, การละชีวิตทางโลกไปสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ เป็นการปลดเปลื้องตนจากโลกียวิสัยไปบำเพ็ญเพียรเพื่อความปลอดจากราคะและตัณหา ปกติใช้เรียกการออกบวชของนักบวชทุกประเภทและใช้ได้ทั้งชายและหญิง
เนกขัมมะ ในพระพุทธศาสนาจัดเป็นบารมีอย่างหนึ่งเรียกว่า เนกขัมมบารมี คือบารมีที่เกิดจากการออกบวช


ขอบคุณที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0

1610
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของเหลียวฝาน ที่มิสโจ
แปลไว้ในหนังสือ โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน ที่พิมพ์เผยแพร่มาหลายครั้งแล้ว

เหลี่ยวฝานเดิมชื่อเสวียห่าย ได้พบผู้เฒ่าข่ง
ผู้เฒ่าทำนายว่าจะได้เป็นขุนนาง ปีไหนจะเป็นอย่างไรบอกไว้หมด
และว่าท่านเหลี่ยวฝานจะไม่มีบุตร และจะตายเมื่ออายุได้ 50 ปี

คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่า แม่นยำมาตลอด จนท่านคิดว่าชะตาชีวิตคนเราถูกฟ้าดินกำหนดมาแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เลยไม่คิดที่จะขวนขวายพยายามต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าลิขิต ต่อมาท่านได้พบ พระเถระนาม ฮวิ๋นกุ ท่านได้สอนว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างเอง คนทำดีชะตาก็ดี ทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดี ต้องทำดี ถ้าประกอบแต่ความไม่ดี แม้ชีวิตดีมาแล้วก็กลายเป็นร้ายได้

เหลี่ยวฝานได้เล่าคำทำนายของท่านผู้เฒ่าให้พระเถระฟัง ว่าที่ท่านทำนายไว้ถูกต้องแม่นยำมาตลอด ยังเหลือแต่สองข้อสุดท้าย คือจะไม่มีบุตร และสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 50

พระเถระกล่าวว่า ให้ตั้งปณิธานว่าจะทำดีให้มาก สั่งสมบารมีให้มาก ไม่ยอมตนอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์ต่อไป บุญกุศลใดที่ทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งทีเดียว

ท่านก็เชื่อพระเถระ ตั้งหน้าทำแต่ความดีงาม สำรวจความดีความชั่วของตนเองว่า วันหนึ่งๆ ทำความชั่วอะไรบ้าง ความดีอะไรบ้าง แล้วพยายามลบความชั่วด้วยความดีเรื่อยๆ จนมีความดีเพิ่มมากขึ้น แล้วท่านก็ชนะชะตาชีวิต คือได้บุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงอายุ 50 ปี ก็มิได้ตายดังคำทำนายของผู้เฒ่าข่ง อยู่มาถึงอายุ 69 ปี

ท่านจึงแน่ใจว่า คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

จาก...คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
คัดลอกจาก
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=96

1611
ลองใช้key word ค้นหา คำที่สนใจ จากเครื่องมือด้านบนนี้สิครับ
มีเรื่องเกี่ยวข้องมากมาย
หรือค้นในนี้ก็ได้
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?action=search;advanced

1612
2/2


ความคึกคะนองรีบไปเอาฆ้อนปอนด์ในมือชาวบ้านคนนั้นมาเป็นมือ เพขรฆาตเสียเอง เพราะดูแล้วมันจะตายยากเสียเหลือเกิน จัดแจงทุบสมองกลางกระหม่อมอย่างแรง เสียงของควายเผือกร้องลั่น ดวงตามันยังคงจ้องเขม็งดูข้าพเจ้าอย่างกินเลือดกินเนี้อตัวสั่นระริก แล้วก็สามารถปลิดเอาวิญญานออกจากร่างควายนั้นอย่างย่ามใจตนเองนักที่สามาร ถจัดการฆ่ามันด้วยน้ำมือตนเอง ได้ยิ้มกะหยิ่มโดยไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษใดๆทั่งสิ้น ถือเป็นเรื่องสนุกสนานไป

หลังจากนั้นชาวบ้านพาก็พากันช่วยแบ่งสรรปันส่วนเนื้อควายเผือกตัวนั้น ให้ก ับ ผู้ต้องการไปทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงาน ข้าพเจ้าเองก็ได้เนื้อควายไปทำกับแกล้มด้วย จนงานประเพณีของหมู่บ้านผ่านไปด้วยดี จวบจนเวลาลุล่วงผ่านไปเกือบปี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นคล้ายกัยว่าบาปกรรมที่ตัวเองก่ อไว้มาย้อนสนองเข้าให้อย่างจังๆ โดยในปีนั้นได้มีกลุ่มหนุ่มสาวตลอดทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านที่พากันไปทำงานใ นกรุงเทพฯ ได้จัดผ้าป่าสามัคคีนำมาทอด

ถวายที่วัดของหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ ตัวข้าพเจ้าเองก็ถูกจัดให้เป็นคณะกรรมการคนหนึ่งต้องให้คอยการต้อนรับและอ ำนวยความสะดวกต่างๆ กับขบวนคณะผ้าป่าที่มา โดยที่มีกำหนดมาถึงช่วงตอนสายๆ มีการเช่าเหมารถตู้ปรับอากาศขนาดใหญ่มาด้วย วันนั้นพอขบวนรถคณะผ้าป่ามาถึงก่อนที่จะถึงทางเข้าวัด ปรากฎว่ามีสายไฟโยงพาดผ่านกึ่งกลางถนนในระดับต่ำจนเป็นเหตุให้รถบัสปรับอา กาศขับผ่านไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้นำเอาไม้พาด แล้วปีนขึ้นบนหลังคารถตู้ที่นำหน้าคันแรก พร้อมใช้ไม้ไผ่แหย่เพื่อยกสายไฟให้สูงขึ้นอีก พอให้หลังคา

รถบัสปรับอากาศที่ตามหลังขับผ่านไปได้ โดยที่ไม่ระวังตัวเท่าไหร่ อีกทั้งความมึนเมาเกิดเหยียบพลาดตรงบริเวณขอบหลังคารถตู้คันนั้น เกิดเสียการทรงตัวร่างของข้าพเจ้าลอยละลิ่ว จากบน

หลังคารถตู้ลงมากระทบพื้นด้านล่างอย่างแรง โดยเฉพาะศรีษะถูกกระทบพื้นจนทำให้ถึงกระโหลกร้าวข้าพเจ้าสลบทันที ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองกระทันหันโดยการผ่าครึ่งหัวกระโหลกเอาเลือดคลั่ง ออกแล้วเย็บเข้าใหม่หลายสิบเข็ม ข้าพเจ้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ความจำแทบเลอะเลือนจิตใจไม่ปกติเหมือนเดิม แทบไม่น่าเชื่อที่ที่นอนพักรักษาตัวนั้น ภาพของควายเผือกตัวนั้นยังคงเที่ยวหลอกหลอนข้าพเจ้าอยู่ทุกคืน เสียงร้องโหยหวล บวกกับดวงตาอัน

แดงกร่ำจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างกับจะจองล้างจองผลาญกัน อ้าปากแยกเขี้ยวใส่ ข้าพเจ้าสดุ้งผวาหวาดหวั่นแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย ข้าพเจ้าพักรักษาตัวอยู่หลายเดือน ที่โรงพยาบาล จนอาการค่อยทุเลาลงบ้างแต่ก็มักปวดศรีษะเหมือนมีอะไรมาทุบตรงกระโหลกแทบแต กแยกเป็นเสี่ยงๆ จนสมองแทบระเบิดบางครั้งแทบคลุ้มคลั่งตลอดเวลา ต้องเอายามาทานระงับไว้จึงค่อยทุเลาบ้าง

แต่ก็อย่างว่าข้าพเจ้าต้องทุกทรมานอย่างหนักไม่คิดว่า บาปกรรม จะมาย้อนสนองเข้าให้เยี่ยงนี้ นี่แหละหนาเขาถึงว่า ?กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนตอบสนอง? จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=626

1613
1/2

2.บ่วงกรรมจาการฆ่าควาย

เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะนำมาให้รับรู้กันนี้ เป็นเรื่องราวน่าพิศวงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องของบาปกรรมที่เคยก่อไว้ได้กลับย้อนคืนสนองตอบแทนเอาชีวิตไม่รอด อันนำมาซึ่งทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสระทมตรมใจขนาดหนักมาตราบเท่าทุกวันนี้ เหมือนตราบาปที่หวาดระแวงติดตัวมาอย่างไม่คาดฝัน และคงเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้บ้างว่า ?เวรกรรมนั้นมีจริง? ดังเช่นข้าพเจ้าต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างเรื่องนี้เมื่อหลายปีผ่านมา ครั้งนั้นข้าพเจ้าเพิ่งเรียนจบการศึกษาต่อทางด้านวิชาชีพครู พอดีกำลังสอบบรรจุครู หลังจากที่ได้เดินทางกลับบ้านเกิดต่างจังหวัด ช่วงนั้นที่หมู่บ้านข้าพเจ้าอาศัยอยู่ได้จัดงานบุญประเพณีขึ้น เป็นงานมหาชาติ จัดงานกำหนด ๒ วัน ๒ คืน มีมโหรสพสมโพชหลายอย่าง ที่สำคัญด้านอาหารการกินนั้น ชาวบ้านได้
เตรียมสัตว์เลี้ยงพวกวัว ควายไว้ฆ่าชำแหละหลายตัว มีการจัดสรรแบ่งปันกันไปตามแต่ความต้องการมากน้อยแค่ไหนเพื่อไว้กินเป็นอา หารกับแกล้มกับญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน หลังจากคืนแรกผ่านไปจนถึงวันที่ ๒ มีการนำวัว ควาย มาเชือดอีก ๒ - ๓ ตัว ในจำนวนนั้นมีควายเผือกตัวเมียขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วย โดยนำมาผูกไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อรอไว้ฆ่าตอนเย็น ข้าพเจ้าเองก็เคยเห็นเข่าฆ่าวัวมาหลายครั้งต่อหลายครั้งจนชินตาแล้ว ด้วยว่าคนข้างบ้านมักจะฆ่าชำแหละขายเป็นประจำนั่นเอง เห็นแล้วบางครั้งเฉยๆ บางที่ก็อดนึกสงสารพวกมันไม่

ได้แต่ทำยังไงได้ เมื่อต้องมาเป็นอาหารของมนุษย์ จนมาถึงควายเผือกตัวนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องจดจำตลอดชีวิตไม่ลืมเลือน นับเป็นตราบาปอันใหญ่หลวงที่มาถึง จนตัวเองที่ต้องทุกข์ระทมเท่าทุกวันนี้ เย็นวันนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำว่า ข้าพเจ้าเดินไปดูชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังรอการฆ่าควายเผือกอยู่พอดีมีการนำ เอาสุราขาวรินใส่แก้วแจกจ่ายดื่มกินกันถ้วนหน้า แม้กระทั่งข้าพเจ้าเองด้วย ดื่มสุราไป ๒ - ๓ แก้ว ชักมึนศีรษะชอบกลมองไปที่ควายเผือกขะตาขาดตัวนั้น ให้สะท้านใจด้วยดวงตาทั้ง ๒ ข้าง มันน้ำตาคลอเบ้าคลับคล้ายว่าคงจะรับรู้ถึงชะตาชีวิตทำนองนั้น มันผูก

พันธนาการด้วยเชือกไนลอนอย่างแน่นหนา และ.....ชาวบ้านคนนั้น ก็คว้าฆ้อนปอนด์ขนาดเขื่องในมือกระหน่ำตีลง ณ. หัวควายเผือกเคราะห์ร้ายเสียงดังพล๊วก ควายตัวนั้นร้องขึ้นอย่างโหยหวล ตะกุยตะกายดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากความตายดวงตาแทบเหลือกถลนแดงก่ำ แต่ก็ไม่พ้นอิสระภาพและยมทูตไปได้ เมื่อถูกทุบลงกระหม่อมอีกครั้ง ควายตัวนั้นทรุดฮวบลงทันทีหลังจากที่ดิ้นสะบัดไปมาอย่างทุรนทุรายจนล้มลงเ หมือนว่าแข้งขาอ่อนยวบยาบ ข้าพเจ้าดูด้วย


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=626

1614
เคราะห์จากการค้าขายหมู

ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนจีน ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าเห็นเตี่ยขายหมูในตลาดสด ส่วนแม่ข้าพเจ้าทำการขายของชำต่างๆอยู่กับร้าน

.....ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนจีน ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าเห็นเตี่ยขายหมูในตลาดสด ส่วนแม่ข้าพเจ้าทำการขายของชำต่างๆอยู่กับร้าน ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมาเห็นเตี่ยฆ่าหมูอยู่เสมอ ทำให้นึกสงสารหมูที่ถูกฆ่า เตี่ยของข้าพเจ้าเป็นคนอารมณ์ดีไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าหมูได้ และมีความชำนาญในการฆ่าด้วย

.....ในสมัยก่อนไม่มีโรงฆ่าสัตว์ ดังนั้นผู้ที่มีอาชีพขายหมูต้องฆ่าหมูเอง และต้องคอยรับ
ซื้อหมูเป็นจากชาวบ้านมากักตุนไว้สำหรับขาย การฆ่าหมูจะเริ่มฆ่าเวลาตีสองเศษ
เมื่อชำแหบะเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยไปพักผ่อนนอนหลับ ครั้งเวลาตีห้าก็ค่อยตื่นมาขายต่อ
ที่ตลาด

.....การฆ่าหมูโดยทั่วไปมีสองวิธี วิธีแรกใช้ท่อนเหล็กยาวประมาณหนึ่งแขนตีไปที่หัวหมูเต็มแรง หมูจะชักและดิ้นอยู่นานกว่าจะหมดสติ เมื่อเห็นว่าหยุดดิ้นแล้วจึงยกขึ้นบนโต๊ะสำหรับฆ่า จากนั้นใช้มีดปลายแหลมประมาณหนึ่งศอกแทงลงไปตรง
ใต้ซอกคอจนสุดมีดหมูจะตายอย่างสนิท แต่วิธีนี้ไม่คอยทำกันเนื่องจากทรมานสัตว์จนเกินไป ส่วนมากใช้วิธีที่สองคือแทงคอเลยโดยไม่ต้องทุบหัว โดยจับหมูมัดขาทั้งหน้า-หลังให้แน่นเสียก่อน หมูมันเหมือนจะรู้ ด้วยสัญชาตญาณแห่งความกลัวตาย มันจะดิ้นและส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน น้ำตาพรากเหมือนจะขอชีวิต ข้าพเจ้าโตขึ้นมาก็ได้ช่วยเตี่ยขายหมูแต่ด้วยความไม่ชอบ ก็ขอเตี่ยแค่ช่วยแบกชิ้นส่วนหมูไปส่งที่ตลาดเท่านั้น เพราะกลัวบาปกรรม

.....แต่เมื่อนานเข้าเตี่ยก็อายุมากขึ้นข้าพเจ้าก็ต้องทำ
หน้าที่แทนเตี่ยต้องฆ่าหมูเอง เตี่ยก็ล้มป่วยลง อาการยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ เกิดการเป็นแผลในลำคอ ทำให้กินอาหารไม่ค่อยได้ ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด ได้นำเตี้ยไปโรงพยาบาลผลการตรวจของหมอลงความเห็นว่า เตี่ยเป็นมะเร็งที่ลำคอ อาการยิ่งทรุดหนัก เตี่ยได้แต่นอนน้ำตาไหล ขากรรไกรเริ่มแข็ง พูดไม่ได้ และก็สิ้นสุดชีวิตเวลาตีสองของคืนวันหนึ่ง

....ข้าพเจ้าต้องฆ่าหมูรับช่วงต่อจากเตี่ยเป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีทาง เลือก และข้าพเจ้าก็แต่งงานกับสาวข้างบ้าน อยู่กินกันมาอย่างมีความสุข จนกระทั้งอายุข้าพเจ้า 45 ปี เหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คืนหนึ่งเวลาตีสองข้าพเจ้าต้องสะดุ้งตื่นและปวดปัสสาวะมาก จึงรีบไปห้องน้ำ พอไปถึงห้องน้ำ ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม แต่ก็ค่อยช่วยตนเอง
ปัสสาวะอย่างช้าๆจนเสร็จ และเอื่อมมือขวาไปตักน้ำเพื่อจะราดน้ำทำความสะอาด แต่กลับ
ยกขันน้ำไม่ขึ้น รู้สึกว่าแขนขวาชา ไม่มีกำลัง จึงใช้มือซ้ายตักน้ำแทน และค่อยพยุงตัวกลับ
ห้องนอนอย่างช้าๆ

.....ในตอนเช้าข้าพเจ้าขยับตัวไม่ได้ นอนน้ำลายฟูมปากเกิดอาเจียนหลายครั้ง ปากก็เริ่มเบี้ยว พยายามจะเรียกภรรยา แต่ก็พูดไม่ได้ สักครู่ภรรยาตื่นเห็นอาการของข้าพเจ้าก็ตกใจ
รีบพาข้าพเจ้าไปส่งโรงพยาบาล หมอลงความเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นอัมพาต หมอแนะนำให้ไป
รักษาที่กรุงเทพฯ ต้องฉีดยาวันละ 3-4 เข็ม ต่อมาต้องจอคอของข้าพเจ้าเพื่อเป่าลมเข้าไป
ในสมอง จะรู้สึกเบาหัวโล่งสบาย

.....นานนับเดือนที่ข้าพเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการรักษาอย่าง แสนสาหัส ทำให้คิดขึ้นว่าได้ทำบาปอะไรหนอ จึงได้มารับเคราะห์กรรมอย่างมหันต์ขนาดนี้ จึงคิดได้ว่าเป็น
เพราะบาปกรรมที่ข้าพเจ้าฆ่าหมูมาเป็นจำนวนมาก และผลของวิบากกรรมจึงสนอง
ข้าพเจ้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

.....ปัจจุบันข้าพเจ้าต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพ ร่างกายไม่สมประกอบไปไหนต้องใช้
ไม้พยุงร่าง เดินกะโผกกะเผลก มือขวาที่ใช้แทงคอหมู ก็ใช้การไม่ได้จนถึงทุกวันนี้


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1218

1615
ขออนุญาตนายธรรมะ ขอแจมด้วยครับ :054:

การยุติผลกรรมข้ามภพข้ามชาติ... พระศรีญาณโสภณ

ทุกชีวิตล้วนมีภัย ภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที
ภัย ที่เกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายในภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้น กระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง
บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่นเสียใจในภายหลัง

ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดชีวิตจิตใจเราได้ทั้งสิ้นไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่ง คือ เมื่อจุดธูปขอขมาศพก็จะขออโหสิกรรมต่อกันคือ...อย่าได้มีเวรต่อกันในภพ หน้า ให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อ กันการแสดงอภัยทาน เป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติเพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจาณาเหตุผล

ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติ ว่าให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วยเรา ต้องถามตนเองก่อนว่า เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคน ๆ นั้นเพียงภพนี้หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไปเราต้องการจะ ยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้าเรา มีสิทธิเสรีในตัวเรา

บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติบางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษในที่สุดผลของการไม่ยกโทษคือ...ไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา


การให้อภัย จะทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่าง ๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด
ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ทีเทลงไป ใหม่เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย

การ ให้อภัย คือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาจะให้ ไม่ต้องไปขอใครไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกระเป๋าให้ แต่ให้อภัยเราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย

ใคร จะคิดอย่างไรไม่ใช่ประเด็น แต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยใน เรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งนั้นจะถูก บรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันทีการผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้นเป็น เสมือนเชื้อไวรัส อภัยทานคือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหนเราต้องการความทรงจำที่ เลวร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิตความคิดเป็นสิ่งที่ทรง พลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิดคิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้

มีผู้ใหญ่ ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าคดมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใครและเป็นคนผูกโกรธ ผูกเกลียด ผูกอาฆาต มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ตลอดเวลากระทั่งวันหนึ่งตายไป พร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต

ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดเป็นลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิด แนบเนียนที่สุดจะได้เผาผลาญคนนั้นให้ถึงที่สุด ให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลาเขาเป็นลูกเกเรผลาญทรัพย์ ทำลายวงศ์ตระกูล นำความทุกข์เดือดร้อนเข้าบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบายแม้ คนพวกนี้ จะไม่เชื่องเรื่องอบาย เรื่องนรกที่เป็นภพภูมิแต่เขาก็ปฏิเสธ ไม่ได้ถึงนรกคือ...ความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกรุ่นภายในใจ ในขณะยังมีชีวิตอยู่ส่วนคนที่ตาย ขณะจิตผ่องใส จะไปสู่สวรรค์คือ สภาพที่ใจปลอดโปรงโล่งเบาก็จะมีแก่ผู้นั้น

สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโบราณ ท่านพูดเอาไว้ว่าการที่เราโกรธ ใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรมความโกรธนั้นจะเป็นกรรม หนักติดตัว คือ...ติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า...ไม่ ว่าเราจะไปเกิดภพใดชาติใด กรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด.

 :054:พระศรีญาณโสภณ วัดพระรามเก้า กรุงเทพ ฯ
ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1303

1616
ขอบคุณคุณlek
จากเวป http://www.tairomdham.net/index.php?topic=1217.0

... อมตะธรรม สมเด็จโต ...

คำสอนของสมเด็จโตที่ท่านได้บันทึกไว้ในคัมภีร์พรหมรังสี ด้วยลายมือของท่าน ...

" กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้

กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง

จงจำไว้ลูกเอ๋ย ...

กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว

ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น

ไม่มีพรหมเทพองค์ใด

จะช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้

เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเอง

ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา

ผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง "

" มนุษย์รู้จักอาบน้ำชำระร่างกายวันละหลายๆ ครั้ง ทุกวัน ...

เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งสกปรกโสโครกที่ติดเกาะเรือนร่างตน ...

แต่มนุษย์ไม่เคยที่จะคิดชำระล้างจิตใจให้สะอาดแม้เพียงหนึ่งนาที ...

ด้วยเหตุนี้จิตใจของมนุษย์จึงมีแต่ ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นตัณหาเพิ่มพูนตลอดเวลา ...

ถ้ามนุษย์รู้จักการชำระล้างจิตใจ ด้วยการมีทาน ศีล ภาวนา ทุกๆ วัน ...

ความโลภ โกรธ หลง ก็จะค่อยหมดไปเอง ...

ถ้าละได้ทั้งสุขและทุกข์ เมื่อนั้นเราก็จะไม่สุขไม่ทุกข์

จิตก็จะเป็นอรหันต์ ... "


1617
รู้โดยไม่จงใจรู้
พระสุปฏิปันโน ท่านเคยสอนไว้ว่านี่คือ สตินนทรีย์ ......... หรือ มหาสติ สติอัตโนมัติ

การไม่จงใจ....ก็รู้เอง

เป็นคนล่ะอย่างกับ

การตั้งใจ....ให้ไม่รู้เอง

การไม่จงใจ....ก็รู้เอง เป็นผลที่เกิดจาก การฝึกฝนจนชำนาญในสติปัฏฐาน จากการตกผลึกของการเจริญมรรค
ไม่ใช่ เกิดจากการปล่อยจิตไปเรื่อยเปื่อย หรือ ไม่เจริญสติปัฏฐาน

อีกทั้ง ไม่ใช่ การตั้งใจ....ให้ไม่รู้เอง


โอวาทธรรม หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย

ถ้าสติมันกลายเป็นมหาสติ จะสามารถประคับประคองจิตให้ดำรงอยู่ในสภาพปกติไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ได้ง่าย

เมื่อสติตัวนี้เป็นมหาสติแล้ว เพิ่มพลังขึ้นด้วยการฝึกฝนอบรม กลายเป็น สตินนทรีย์

เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินนทรีย์แล้ว พอกระทบอะไรขึ้นมา จิตจะค้นคว้าพิจารณาไปเองโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินนทรีย์ เป็นใหญ่ในอารมณ์ทั้งปวง ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับว่า จิตของเราสามารถเหนี่ยวเอาอารมณ์มาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้ หรือ เอากิเลสมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้ เพราะ สติตัวนี้เป็นใหญ่ย่อมมีอำนาจเหนืออารมณ์ และสามารถใช้อารมณ์ให้เกิดประโยชน์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สติตัวนี้จะกลายเป็น สติวินโย

ในเมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสติวินโย..... สมาธิ สติ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติมีสมรรถภาพดียิ่งขึ้น

 
==========================

โอวาทธรรม หลวงปู่ ดุลย์ อตุโล


"คิดเท่าไหร่ ก็ไม่รู้

ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้

แต่ก็ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้"


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18168

1618
ขอบพระคุณท่านสิบทัศน์ ที่นำภาพงานพิธียิ่งใหญ่มาให้ชมครับ :054:

1619
ฟังเรื่อง....จิตคือพุทธะ
เสียงธรรม : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


http://www.fungdham.com/download/sound/dul/CD029-01Mind_is_Buddha.wma

ขอบคุณที่มา...http://www.fungdham.com/sound/dul.html

1620
ต่อไปนี้เป็นคลิปรายการคุณพระช่วย เมื่อเสาร์ที่แล้ว 30/04/11
โพสต์ในYOUTUBE โดยคุณ peramin2008
ส่วนของเสาร์นี้เป็นตอนต่อยังไม่มีนะครับ ต้องรอไปก่อน


คุณพระช่วย(กุมารทอง)30/04/11 1/3
[youtube=425,350]rZqWyo6SS3U[/youtube]

คุณพระช่วย(กุมารทอง)30/04/11 2/3
[youtube=425,350]d1JFRu1sqTU[/youtube]

คุณพระช่วย(กุมารทอง)30/04/11 3/3
[youtube=425,350]eFB-Mdb_2DY[/youtube]

1621
ขอขอบคุณมากๆคะ ที่นำเรื่องผีๆมาให้อ่านคะ อ่านแล้วไม่กล้าเดินออกนอกห้องเลยคะ :075: :075:
ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เพราะผีเวลาไปไหนมาไหนเค้าไม่ต้องใช้กุญแจ(ล้อเล่น) :079: ถ้าเราดีหรือมีของดีเค้าก็ไม่กล้ามารบกวนหรอก(มั้ง) :003:
=========================

1622
รายการคุณพระช่วย ช่อง9 เวลานี้มีเรื่องกุมารฯ

1623
ไก่ไร้ขา ทรมาน ทั้งเป็น

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำปิง ตามธรรมดาของบ้านเรือนในชนบทสมัยนั้นที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ไว้เพื่อเป็นอาหารและเลี้ยงไว้ขาย โดยเฉพาะไก่ที่ชาวบ้านจะพากันเลี้ยงไว้เกือบทุกครอบครัว

และเป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน ที่เจ้าไก่เหล่านี้จะซุกซนและชอบบินเข้าไปในครัวหรือในบ้าน เพื่อหาอาหารกินตามสัญชาตญาณ ซึ่งก็นำมาซึ่งความรำคาญ และความน่าปวดหัวสำหรับเจ้าของบ้านที่จะต้องมาคอยไล่มันให้ออกไปให้พ้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องคอยเก็บกวาดข้าวของ ที่กระจัดกระจายเพราะพวกมันคุ้ยเขี่ย หรือไม่ก็ต้องคอยเช็ดขี้ของพวกมันที่ชอบถ่ายไว้เรี่ยราด ซึ่งทั้งเหม็นและสกปรก


อีเขียวไก่ในบ้าน ต้องออกหาอาหารกิน ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงาน
นางบัวบานก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่บ้านนั้น นางกำลังท้องแก่เต็มที และเป็นธรรมดาของคนท้องคนไส้ ที่มักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว และขี้โมโหอยู่เสมอ และก็ไม่ต่างจากบ้านอื่นบ้านนางก็เลี้ยงไก่ไว้เช่นกัน และกำลังมีปัญหาอยู่กับอีเขียว ไก่จอมดื้อซึ่งมักจะบินเข้ามาคุ้ยเขี่ย ทำให้ครัวและบ้านเลอะเทอะอยู่เสมอ

อีเขียวมันกำลังฟักไข่จึงจำเป็นต้องออกหาอาหารกิน ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงานไว้สำหรับ การเลี้ยงดูลูกน้อยเกือบสิบชีวิต ที่กำลังจะออกจากไข่มาดูโลกในไม่ช้า นางบัวบานคอยรบคอยไล่เอาล่อเอาเถิดอยู่กับอีเขียวนานพอสมควร จนวันหนึ่งความอดทนของนางก็สิ้นสุด

คว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง
วันนั้นอีเขียวบินเข้าไปในครัวและคุ้ยเขี่ยจนข้าวของ ตกลงพื้นแตกกระจาย นางบัวบานโมโหมากไล่ไปแป๊บเดียวอีเขียว ก็บินเข้าไปใหม่ จนมีคราวหนึ่งนางขึ้นไปไล่และคว้าขามันไว้ได้โดยบังเอิญ

ด้วยความโมโหที่ต้องเหนื่อยไล่มันอยู่นาน นางจึงคว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง

อีเขียวร้องอย่างเจ็บปวด และดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ไม่สามารถจะวิ่งหนีไปไหนได้ ได้แต่ใช้ร่างแถกไถลไปกับพื้นบ้าน เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะขาทั้งสองข้างของมันถูกนางบัวบานใช้มีดสับขาด และขาที่ขาดของมันทั้งสองข้างตอนนี้อยู่ในมือนางบับาน

รอยเลือดเลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมด
" ดี เป็นไงอีเขียว เก่งนักหรือมึงไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ดูซิไม่มีขาแล้วต่อไปมึงยังจะมีปัญญาเข้ามาคุ้ยเขี่ยในบ้าน ให้มันเลอะเทอะอีกมั๊ย ไปเลยไปดิ้นไกล ๆ กู นี่แนะ "

นางใช่ขาเตะใส่อีเขียวจนร่างของมันปลิวตกจากบนเรือน ไปดิ้นกระแด่ว ๆ อย่างน่าสงสารตรงใต้ถุน พร้อมกับขว้างขาทั้งสงข้างของมันลงน้ำปิงไป รอยเลือดอีเขียวที่เลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมดคงเหลือไว้เป็นรอยจาง ๆ
เหมือนกับจะจดจำและตราตรึงสิ่งที่นางได้กระทำกับมันไว้

นางบัวบานเจ็บท้องคลอด หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน
สองเดือนต่อมาวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง กลางดึกของคืนนั้นนางบัวบานก็เจ็บท้องคลอด ทุกคนในบ้านรวมทั้งนางบัวบานต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่เป็นท้องแรกและจะเป็นลูกหลานคนแรกของวงศ์ตระกูล

หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน ภายในบ้านดูชุลมุนวุ่นวายเพระไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้กันมาก่อน เสียงเอะอะโวยวายสับสน ดังระงมไปหมด

´อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา!!"
นางบัวบานถูกหมอตำแยพาเข้าไปในห้องแล้ว ทุกคนข้างนอกต่างพากันนิ่งเงียบรอคอยเวลาด้วยใจระทึกจนกระทั่ง

"อุแว้ อุแว้ "
"เกิดแล้วอี่บัวบานเกิดแล้ว ออกมาและ...แต่..ทำไมทำไมเด็กมันไม่..ไม่มีขา อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา "

เสียงยายปาหมอตำแยที่ทำคลอดร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนก ทุกคนไม่ว่าปู่หรือย่า ตายายและญาติพี่น้องรวมถึงนายศักดิ์ผัวนางบัวบานต่างพากันกรูเข้าไปในห้อง แล้วภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็ทำให้ทุคนยืนตะลึง ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด

ร่างของทารกน้อยที่อยู่ในมือยายปา เปื้อนไปด้วยเลือดและสายรกยังระโยงไม่ได้ตัด ขาทั้งสองข้างของเด็กสั้นกุดอยู่แค่หัวเข่าเท่านั้น สำหรับนางบัวบาน นางกรีดร้องแล้วสลบไปตั้งแต่วูบแรกที่ร่างของลูกน้อยหลุดพ้นออกมาจากช่องคลอด เผยให้เห็นส่วนอันอัปลักษณ์นั้นแล้ว

มรดกกรรม ... ที่หนีไม่พ้น
สองปีต่อมา บนชานบ้านนางบัวบานนั่งเอาหลังพิงฝา สายตาเหม่อมองไปยังร่างของลูกน้อย ร่างน้อย ๆ นั้นค่อยไถลไปบนรถเข็นที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความร่าเริง สดใสไร้เดียงสา

เสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเมื่อยามที่เลื่อนรถไล่ตามลูกไก่ตัวเขื่องที่ถือเอาเป็นเพื่อนเล่น นางบัวบานรู้สึกตื้นขึ้นมาอก น้ำตาค่อย ๆ รื้นบนขอบตา ก่อนจะปล่อยมันไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

"ลูกแม่ทำไมหนอทำไมลูกต้องมารับกรรม ที่เจ้าไม่ได้ก่อ แม่ผิดเองบาปเหล่านั้นแม่ก่อขึ้นเอง ไม่น่าเลยไม่น่าเลย แม่ขอโทษลูกแม่ผิดไปแล้ว แม่ผิดไปแล้วแม่ขอโทษ แม่ขอโทษ "

เสียงพร่ำคร่ำครวญนั้นค่อย ๆ ขาดหายไปในคอ นางฟุบหน้าลงกับเข่า ร้องให้สะอึกสะอื้นเหมือนกับว่าจะขาดใจไปตรงนั้น

หยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น
ที่ใต้ถุนบ้าน ร่างของอีเขียวซึ่งตอนนี้กลายเป็นแม่ไก่ที่ชรามากแล้ว ค่อย ๆ กระพือปีก และไถลร่างไปตามพื้นดิน พลางใช้ปากจิกคุ้ยลงไปบนพื้นอย่างลำบากเพื่อหาอาหาร อีกไม่นานหรอกอีกไม่นานชีวิตมันคงจะสิ้นสุด หลุดพ้นซึ่งความทรมานเสียที

แต่ร่างที่กำลังไถลร่าเริง อยู่ข้างบนสิ อีกยาวนานนักที่ต้องลำบากทนทรมาน และชดใช้เวรกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ แต่มันเป็นมรดกตกทอด เป็นมรดกกรรมที่เขาเองคงไม่อยากรับ และไม่น่าต้องมารับและสืบทอดอย่างนี้เลย

หากมารดาของเขาจะหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น คิดสักนิดว่าถ้ามันฉลาด และประเสริฐจริงมันก็คงไม่ต้องเกิดมาเป็นไก่อย่างนั้น มันเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน ที่ต้องหากินเพื่อการมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง


ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/101.html

1624

พระพุทธองค์ตรัสว่า "หว่านพืชเช่นไร ก็ได้รับผลเช่นนั้น"

เพราะฉะนั้นต่อไป ภายภายหน้าหากเราเกิดโมโหเพราะมีคนดูถูกเรา ก็จงย้อนระลึกนึกถามตัวเองก่อนว่า "เราเคยดูถูกคนอื่นบ้างไหม?" และควรจะบอกกับตัวเองว่า "สิ่งที่เราได้รับอยู่นี้เป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเราในอดีต เราควรยอมรับเคราะห์กรรมนี้โดยไม่เคืองแค้นใครๆ เมื่อมันผ่านพ้นไปก็คือ เราได้ชดใช้หนี้กรรมของเราให้หมดไปครั้งหนึ่ง"

แท้จริงแล้วการที่ เราทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่ชดใช้หนี้กรรมเท่านั้น แต่เรายังได้พิจารณาอุปนิสัย มีความอดกลั้นแลฝึกหัดระงับอารมณ์ของเราด้วย

อะไรคือการกลับชาติมาเกิด ?
"อะไรเกิดขึ้นกับ เรา หลังจากที่เราตายแล้ว?" ตามหลักของพุทธศาสนาการเกิดใหม่ จะมีขึ้นหลังจากเราจบสิ้นชีวิตในโลกนี้แล้ว คนเราแต่ละคนล้วนมีชีวิตมาในอดีตมากมายหลายชีวิตแล้ว และยังคงต้องมีชีวิตต่อไปอีกหลายชีวิตในอนาคตข้างหน้า เป้นวัฏฏะจักรที่หมุนเวียนไปไม่สิ้นสุด

การกลับชาติมาเกิด หมายถึง การเกิดใหม่ในชีวิตหน้าหลังจากที่เราจบสิ้นชีวิตในชาตินี้แล้ว

กรรมในอดีต (1) คือ เหตุปัจจัยของการเกิดในปัจจุบัน
กรรมในอดีต (1) + กรรมปัจจุบัน (2) คือเหตุปัจจัยของการเกิดในอนาคต

อดีต ------------> ปัจจุบัน -------------> อนาคต --------------> - - - - - - - - - - -
.........กรรม 1..................กรรม 1 + กรรม 2


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1625

เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งในเรื่องของ "กรรม" ยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องราว เรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง

ยังมีนายพรานคน หนึ่งอาศัยอยู่ชายป่า ตลอดชีวิตนายพรานผุ้นี้ได้ฆ่านกและสัตคว์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อตายไปผลกรรมที่เขาฆ่าสัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เขาจึงถูกพิพากษาให้เกิดมาชดใช้กรรม 3 ชาติ

ในชาติแรก เขาต้องได้ไปเกิดเป็นคนยากจนเข้นแค้นและถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาทำให้สัตว์ต้องตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

ในชาติที่ 2 เขาต้องไปเกิดเป็นคนพิการตาบอล ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก
เหตุผล...... ก็เพราะเขาไม่เคยนึกถึงผลที่เกิดตามมาว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่สัตว์ ทั้งหลายถูกเขาฆ่าตาย ลูกๆ ของสัตว์เหล่านั้นจะต้องอดตายหรือถูกศัตรูจับไปกิน

ในชาติที่ 3 เขาต้องเกิดมาโดยไม่มีแขน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาได้ใช้แขนไปในทางที่ผิล สร้างแต่ความเดือนร้อน แทนที่จะใช้ทำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

หลังจากที่ยมบาลได้พิพากษาโทษเขาแล้ว นายพร้านผู้นั้นก็ไปเกิดชดใช้กรรมของเขา

ในชาติแรกที่เขา เกิดมา แม่ของเขาต้องตายไปในทันที พออายุได้ 3 ขวบ พ่อก็ป่วยตาย ทิ้งให้ลุงของเขาเป็นผู้เลี้ยงดู จนกระทั่งอายุได้ 6 ขวบเขาก็ถูกส่งไปทำงานเป็นคนเลี้ยงสัตว์อยู่ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง

นับแต่นั้นมาเขา ต้องทำงานดูแลฝูงวัว ได้รับความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่วัยเด็กไม่ว่าอากาศจะร้อนสักเพียงไรหรือหนาว เย็นแค่ไหน เขาก็ต้องออกไปเลี้ยงสัตว์ทุกวัน จนบางครั้งเขาอยากจะฆ่าตัวตายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ เขามักจะนึกถามตัวเองว่า "ทำไมฟ้าจึงไม่ยุตธรรมกับฉันเลย?"

มีใครบ้างที่สงสาร เขา วันเดือนปีที่ผ่านไปแม้เขาจะต้องทำงานหนักทั้งๆ ที่อายุยังน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้จักรับผิดชอบและประหยัดอดออมจึงเป็นที่ชื่นชอบ ของนายจ้าง เขามักจะได้รับคำชมบ่อยๆ

หมู่บ้านที่บรรดาคน เลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่นั้นไม่ไกลจากเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง แต่การที่จะไปถึงตัวเมืองชาวบ้านทั้งหลายก็จะต้องข้ามแม่น้ำที่กั้นอยู่ ในช่วงฤดูฝนน้ำจะท่วมสูงทำให้ชาวบ้านต้องเสียชีวิตถูกน้ำพัดพาไปในระหว่าง ข้ามฟาก เหตุการณือันน่าเศร้าสลดเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี สร้างความสลดหดหู่ใจให้แก่เด้กเลี้ยงวัวผู้นี้เป็นอันมาก แต่ก็สุดวิสัยที่จะช่วยอะไรได้เพราะเขาอายุยังน้อยเกินไป

เมื่อเขาเริ่มเติม โตขึ้นจึงหัดว่ายน้ำในแม่น้ำ จนกายเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจด้วยความสามารถเขาได้ช่วยชีวิตผู้คนหลายสิบคน ให้รอดตายจากการจมน้ำ ชาวบ้านทั้งหลายต่างมอบความรักและซาบซึ้งใจในความดีของเขา

เวลาผ่านไปเมื่อเขา อายุได้ 18 ปี วันหนึ่งชายหนุ่มผู้นี้ได้เข้าไปพบนายของเขา และแนะนำชักชวนให้ท่านสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนั้น เขาให้เหตุผลว่า ไไม่เพียงแต่จะช่วยให้ชีวิตผู้คนปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังจะช่วยรักษาทรัพย์สินที่ต้องสูญเสียไปอย่างมากมาย กระผมคิดว่า เจ้านายเป็นผู้ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะริเริ่มการสร้างสะพานในครั้งนี้ เพราะท่านร่ำรวยมากและมีน้ำใจที่สุดในหมู่บ้านนี้"

นายของเขาหยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า "นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย"

"ไม่มีปัญหา" ชายหนุ่มรีบตอบ "กระผมยินดีที่จะเอาเงินทั้งหมดที่ได้สะสมไว้มาร่วมสมทบด้วยขอรับ"

ด้วยความจริใจแระ ปรารถนาจะทำสิ่งที่เกิดคุณประโยชน์ต่อสาธารณะชน เจ้านายอขงเขาจึงตกลงใจโดยมีเงื่อนไขให้ชายหนุ่มผู้นี้วางแผนควบคุมดูแลการ ก่อสร้างสะพานทั้งหมด

จากนั้นมาเขาก็ เริ่มดำเนินการสร้างสะพานอย่างไม่ต้องรีรอ ขระที่งานสร้างสะพานดำเนินไปได้ 1 ใน 3 ส่วน ระหว่างที่เขาช่วยคนงานทุบหิน เศษหินได้กระเด็นเข้าแทงนัยน์ตาทั้งสองข้าง ทำให้เขาต้องตาบอดสนิท แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมหยุดสร้างสะพาน

เมื่องานแล้วเสร็จ ไปได้ 2 ใน 3 ส่วน ขณะที่เขากำลังทำงาน ก็เกิดอุบัติเหตุตกจากสะพาน แขนทั้งสองแลกเหลว จนหมอไม่มีทางรักษาจำต้องตัดทิ้ง ชายหนุ่มผู้มีน้ำใจงามจึงกาลายเป้นคนตาบอดไม่มีแขน แม้ว่าเขาจะได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยย่อท้องต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น เขายังคงมุ่งมั่นที่จะควบคุมการสร้างสะพานให้ถึงที่สุด

ต่อมาไม่นานสะพานก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้เชื้อเชิญให้นายจ้างเศรษฐีมาเป้นประะานทำพธีเปิดใช้ สะพานนี้

แต่ท่านเศรษฐีกลับ ยิ้มและตอบว่า "การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนี้เป็นความคิดริเริ่มของชายหนุ่มลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้มาจากเงินที่เขาได้สะสมไว้ ฉะนั้นลูกจ้างหนุ่มผู้นี้จึงสมควรได้รับเกียรติให้เป็นผุ้ทำพิธีเปิดสะพาน นี้"

ชาวบ้านทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงเห็นพ้องต้องกันเชื้อเชิญชายหนุ่มผู้พิการให้เป็นประธานในพิธี

ขณะนั้นมีท่าน เสนาบดีจากราชสำนักมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานเปิดสะพานด้วย ทุกคนพากันเดินไปยังสะพาน ฝูงชนต่างโห่ร้องฉลองชัยด้วยความยินดี

แต่ครั้งไปถึงสะพาน ท้องฟ้าที่สว่างไสวอยู่เมื่อสักสครู่ กลับมืดครื้มเป็นสีดำอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นได้เกิดฟ้าผ่าลงมาถูกชายหนุ่มผู้มาเป็นประธานในพิธีอย่างฉับพลัน เขาถูกเผาไหม้จนเกรียมทั้งๆ ที่ร่างยังคงยืนตระหง่านอยู่

ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างสงบลงชาวบ้านก็เกิดความฉุนเฉียวและเกรี้ยวกราดขึ้นว่า

"ทำไมถึงได้เกิดฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างนี้?"
"ชายผู้นี้ไม่เคยทำผิดคิดร้ายอะไร แต่ทำไมต้องกลับมาถูกฟ้าผ่าตาย?"
"คนทำดีมาตลอดกลับไม่ได้ดี ต้องตายอ่างน่าอนาถ เรื่องเช่นนี้ "ฟ้า" ยังไม่รู้จักแยกแยะดีเลว"

ท่ามกลางเสียงวิพาก วิจารณ์ด่าทอกันไปต่างๆ นานา ท่านเสนาบดีผู้อาวุโส ได้เดินไปยังร่างที่ไหม้เกรียมของชายผุ้น่าสงสารแล้วท่านจึงก้มลงเขียนข้อ ความลงบนข้อมือของร่างที่ไร้วิญญาณนั้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

และแล้วร่างกายของ ชายหนุ่มผู้สร้างแต่ความดีมาตลอดก็ล้มลง พร้อมกับทิ้งปริศนาที่น่าฉงนสงสัยในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วและการเกิดใหม่ ภายในสมองของผู้คนเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเป้นคนดีไปทำไม? ในเมื่อสวรรค์ยังไม่รู้จักแบ่งแยกดีชั่ว"

อีกไม่กี่วันต่อ เมื่อท่านเสนาบดีผู้อาวุโสกลับมาถึงราชสำนึก ก้ได้รับแจ้งข่างว่าพระราชโอรสของพระองค์จักรพรรดิ์ประสูติแล้ว แต่ทรงร้องไห้ไม่ยอมหยุด ท่านเสนาบดีจึงได้ขอพระราชานุญาตเข้าเฝ้าพระโอรส

ครั้นเจ้าชายองค์ น้อยได้พบท่านเสนาบดีก็ทรงหยุดร้องทันที เมื่อท่านเสนาบดีผู้ชราเข้าชมพระบารมีราชโอรสอย่างใกล้ชิด ก็ต้องตกใจมากที่ได้เห็นบนข้อพระหัตถ์ปรากฎมีอักษรเขียนไว้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

ท่านจึงทราบทันทีว่ พระราชโอรสขององค์จักรพรรดิ์คือ ชายหนุ่มผู้สร้างสะพานซึ่งบัดนี้เขาได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว

ข่าวที่น่าอัศจรรย์ ได้แพร่ขยายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านในหมู่คนเลี้ยงสัตว์ และราษฎรทั้งหลายจึงเกิดความกระจ่างและหมดสิ้นความสงสัยในเรื่องของ "กฎแห่งกรรมและการกลับชาติมาเกิด"

จากเรื่องราวที่ กล่าวมาทั้งหมด คงช่วยชี้ให้เราได้เห็นว่า วิบากกรรมทั้งหลายที่เราได้รับล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น ฉะนั้นเราต้องมีสติระลึกอยู่เสมอว่า "ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?"


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1626

กุศลกรรมและอกุศกรรม (หรือกรรมดีกรรมชั่ว, กรรมบริสุทธิ์ และกรรมไม่บริสุทธิ์)

"กุศลกรรม" หมายถึง กรรมดีหรือกรรมบริสุทธิ์
"อกุศลกรรม" หมายถึง กรรมชั่วหรือกรรมไม่บริสุทธิ์

ฉะนั้น กรรมดีจะให้ผลที่ดี และกรรมชั่วจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
เหมือนดัง
เมล็ดพันธุ์ที่ดี .............ย่อมให้ผลที่ดี
เมล็ดพันธุ์ที่เลว...........ย่อมให้ผลที่เลว

พระอรหันต์จี้กงได้กล่าวไว้ว่า "คนที่มีโชคดี คือ คนที่ได้สะสมกรรมดีไว้ทุกวัน
ปากพูดแต่คำที่ดีงาม
ตามองแต่สิ่งที่ดีงาม
กายก็กระทำแต่สิ่งที่ดีงามไปด้วย
3 ปีที่สะสมแต่ความดี เบื้องบนก็จะประทานอนาคตที่ดีแก่เขา

หากคนที่สะสมแต่ความชั่ว 3 อย่างไว้ตลอดเวลา
ปากพูดแต่คำที่ไม่ดี
ตามองหาแต่สิ่งที่ไม่ดี
กายก็กระทำชั่วอยู่เสมอๆ
3 ปีต่อมาโชคร้ายทั้งหลายก็จะมาถึงเขา"

เราสามารถรู้ได้ว่า กรรมใดเป็นกรรมดี กรรมใดเป็นกรรมเลว ก็อาศัย "จิต" ที่มองไม่เห็น คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ทำทุกอย่างโดยไม่รู้จักแบ่งแยก คือ คนที่ทำตามกิเลสตัณหาความอยากของเขา ไม่ใช่ทำตามจิตที่มีมโนธรรมสำนึก

กรรมชั่ว หรือ อกุศลกรรม จะเกิดกับผู้ที่กระทำทุกอย่างโดยยึดความต้องการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่

ทุกวันนี้ที่ทุกคน ทั้งหลายทำทุกอย่างตามที่เขาพอใจอยากจะทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง นรก-สวรรค์ มีจริง และคิดว่าไม่มีใครจะมาพิพากษาตัดสินการกระทำของเขาได้ คนที่คิดอย่างนี้เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างเรพาะความเชื่อที่ผิดๆ การไม่รู้ความจริงอันถูกต้องจะก่อให้เกิดความพินาศแก่ตัวเขาเอง เป็นเรื่องที่น่าสังเวชจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่รู้จักสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ ผลที่ได้รับก็คือ เขาจะถูกคนทั้งหลายรังเกียจและมีลูกหลายที่อกตัญญูต่อเขาดังเช่นที่เขาเคย ปฏิบัติมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ "เหตุต้นและผลกรรม" ทั้งสิ้น


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1627
3.....................จบ
4. ข้อปฏิบัติที่สำคัญในชีวิตของเรา ที่มีผลต่อกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด 3 ข้อ
ได้แก่ :
ก. ไม่ทำความชั่วใดๆ ตั้งใจทำแต่ความดี เมื่อเราได้รู้ถึงผลกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเราจะต้องสำรวมระมัด ระวังในการกระทำของเรา คือ ต้องพยายามหลีกเว้นการทำชั่วพยายามทำแต่ความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ พึงจดจำไว้เสมอว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" บางเวลาที่เราพลั้งเผลอทำผิด เราก็ควรสำนึกผิดขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วย้อนพิจารณาความผิดที่ได้ กระทำไปแล้ว พิจารณาความผิด ที่ได้กระทำไปแล้ว เพื่อหาหนทางแก้ไขปรับปรุงตัวเองเสียใหม่

กฎ 4 ข้อสำหรับหลีกเลี่ยงความชั่ว
1. ไม่มองสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
2. ไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
3. ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
4. ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย

มันเป็นกฎที่ง่ายๆ แต่ยากที่จะทำได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือ เราจะต้องเชื่อฟังมโนธรรมสำนึกของเรา เพื่อที่จะได้ไม่ถูกกิเลสครอบงำ หากเราพยายามฝึกฝนตามกฎ 4 ข้อนี้ กิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ มลายสิ้นไป จิตใจของเราย่อมมีแต่ความสะอาด สงบ และแจ่มใส

ข. ตั้งใจบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง สร้างสมความดีเพื่อชดใช้หนี้สิ้นเวรกรรม
ถ้าเราเป็นหนี้ใคร สักคนหนึ่ง เราก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินให้ได้มากพอที่จะใช้หนี้ เช่นเดียวกับคนเราแต่คนก็มีหนี้สิ้นเวรกรรมมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เพราะฉะนั้นทุกคนจำเป็นต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง เพื่อชดใช้หนี้สิ้นบาปเวรที่เคยก่อไว้

ทำไมจึงเป็นเช่น นั้น? ก็เพราะเมื่อเราได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมอันจะนำพาเราให้กลับสู่ "นิพพาน" พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้ง 6 เจ้าหนี้นายเวรที่เราเคยค้างก็จะต้องติดตามทวงหนี้และฉุดดึงเราไว้ไม่ให้ สามารถก้าวสู่ "นิพพาน" ได้ เหมือนกับถ้าเราเป็นหนี้ธนาคารเพียง 1 บาทและตัดสินใจว่าจะเดินทางไปต่างประเทศไม่กลับมาอีกแล้ว แน่นอนธนาคารจะต้องติดตามทวงหนี้ที่เราติดค้างให้ได้

เหตุผลสำคัญประการ หนึ่ง ที่เราสามารถรับการ "ถ่ายทอดวิถีธรรม" ก็เพราะด้วยพระบารมีของพรอรหันต์จี้กงผู้แบกภาระถ่ายทอดวิถีธรรมฉุดช่วยชาว โลก พระอาจารย์ทรงค้ำประกันและยืนยันกับเจ้าหนี้นายเวรของเราว่า หลังจากที่เราได้รับวิถีธรรมแล้วทุกคนจะตั้งใจบำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลชดใช้ หนี้บาปเวรที่เคยกระทำต่อพวกเขาทั้งหมด ดังนั้เราควรระลึกถึงพระคุณของพระอาจารย์และไม่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวเรา

ค. ฝึก "กินเจ" ให้มาก
ผู้คนทั่วไปมักพูด ว่า "มีใจเมตตาก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจด้วย" แท้จริงแล้ว "การกินเจ" มิใช่แค่การแสดงของจิตที่เปี่ยมเมตตาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของผู้ที่รู้แจ้งในกฎแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องของสุขภาพร่างกายและการเตรียมตัวบำเพ็ญตนไปสุ่ความหลุดพ้น

บาปที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือ "การฆ่า" และอานิสงส์ที่จะทำให้มนุษย์อายุยืนยาวสุขภาพแข็งแรงก็คือ "การไม่ฆ่าสัตว์"
ไม่ว่ากินเนื้อ หรือ กินเจก็เพื่อเพียงให้อิ่มท้อง

แต่กินเนื้อร่างกาย สะสมโรคภัยไข้เจ็บ แก่เร็ว อายุสั้น ตายไว การกินเจทำให้ร่างกายสะอาดมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรคภัยร้ายแรงให้กับตัวเอง อายุยืนยาว
ถ้าหากเราเข้าใจ "กฎแห่งกรรม" และ "การเวียนว่ายตายเกิด" อย่างลึกซึ้งเราสมควรที่จะหันมา "กินเจ" กันหรือไม่?

สรุป

การที่เรามีโอกาส เรียนรู้กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดให้กระจ่างแจ้ง จะทำให้เรามองเห็นชีวิตได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เมื่อเรารู้ว่าการกระทำทุกอย่างของเราจะส่งผลให้เราต่อไปในภายหน้าไม่ช้าก็ เร็วอย่างแน่นอน ความรู้นี้จะให้ความหวัง ความมั่นใจและความหนักแน่นในความเชื่อที่จะทำความดี รู้จักให้อภัยในความผิดของผู้อื่น

หากเราไม่ต้องการตกอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 เมื่อได้รับวิถีะรรมแล้วก็ควรบำเพ็ญธรรมอย่างจริงใจเพื่อให้พบกับชีวิตที่ นิรันดรในที่สุด

ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1628
2........
"สถานที่เกิดของสรรพสัตว์ หรือ ภูมิวิถีทั้ง 6"

1. เทวภูมิ เป็นที่ซึ่งบรรดาเทพพรหมสถิตอยู่ คนที่กระทำแต่ความดีในขณะมีชีวิตอยู่แต่ไม่รับรู้วิถีธรรมจะเกิดอยู่ในเทวโลกนี้

2. กึ่งเทวภูมิ (อสูร) เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณที่ทำความดีในโลกมนุษย์แต่ไม่สามารถ ขจัดความอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความอคติคิดร้าย ความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตได้

3. มนุษย์ภูมิ คือ โลกมนุษย์ที่คนเราเกิดมา ไม่ว่าจะเป้นคนร่ำรวย คนยากจน คนดีหรือคนเลว ก็จะมาเกิดอยู่ในแดนมนุษย์นี้ คนที่บำเพ็ญตัวเองในโลกมนุษย์และมีบุญสัมพันธ์ได้พบ "วิถีธรรม" ก็จะสามารถพ้นจากภูมิวิถีทั้ง 6 นี้ เข้าสู่แดนนิพพานได้ ในอีกด้านหนึ่งหากคนทำแต่สิ่งชั่วร้ายก่ออาชญากรรมสร้างความเดือดร้อนเขาก็ จะต้องไปเกิดอยู่ใน 3 ภพภูมิแห่งความทุกข์ยากซึ่งอยู่ต่ำลงไปได้แก่ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และนรกภูมิ

4. เดรัจฉานภูมิ คือสภาพความเป้นอยู่ของสัตว์ประเภทต่างๆ บนโลกนี้ แบ่งลักษณะของการเกิดได้แก่ :
......1. สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น ม้า วัว แพะ ฯลฯ
......2. สัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น นก งู สัตว์เลื้อยคลาน ฯลฯ
......3. สัตว์ที่เกิดในที่ชื้นแฉะ เช่น สัตว์ทะเล ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ
......4. สัตว์ที่เกิดแล้วแปรสภาพ เช่น แมลงต่างๆ แมลงวัน ยุง ผีเสื้อ ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะต้องเปลี่ยนสภาพรูปร่างหลังจากการเกิดครั้งแรก และอยู่ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนถึงวาระสุดท้าย

5. เปตรภูมิ เป็นที่อยู่ของจิตวิญญานซึ่งต้องทุกข์ทรมานกับความหิวกระหาย อันเนื่องจากไม่เคยทำบุญกุศล ไม่เคยบริจาคทานใดๆ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำ

6. นรกภูมิ เป็นที่ซึ่งดวงวิญญาณของคนที่กระทำผิดศีละรรม สร้างแต่กรรมชั่วขณะ เมื่อยังมีชีวิตต้องไปรับโทษทัณฑ์ อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ในภพภูมิของเทพพรหม ภูมิกึ่งเทวภูมิ (หรือแดนอสูร) และโลกมนุษย์ จะมีความสุขกว่าสัตว์โลก เปรตและในนรก แต่ไม่ว่าจะเกิดอยู่ในภพภูมิไหน ภพภูมิที่เราจะต้องไปเกิดและสภาพของการเกิดขึ้นอยู่กับการกระทำ (กรรม) ในอดีตและปัจจุบันของเรานั้นเอง อายุขัยของแต่ละชีวิตใน 6 ภุมิก็แตกต่างกันไม่มีใครจะอยู่ได้ตลอดไป

ทั้ง 6 ภูมินี้ มีแต่โลกมนุษยืเท่านั้นที่ดีที่สุดเพราะเป็นสถานที่ทุกคนสามารถบำเพ็ญฝึกฝน ตนเอง และมีกายสังขารที่จะสามารถสร้างสมคุณความดีและบุญกุศลได้

การเวียนว่ายจะไม่ มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังมี "ความอยาก" ในทางโลก ตราบนั้น เราก็ยังต้องเกิดอยู่ร่ำไป หากเราโชคดีมีรากบุญมาพบวิถีธรรม และได้เรียนรู้ "สัจจธรรม" ตั้งใจบำเพ็ญตนเอง ก็จะสามารถพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หมดสิ้นความทุกข์ทั้งปวง ดังเช่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้บำเพ็ญจนสำเร็จ ธรรมบรรลุปณิธานสูงสุดไปก่อนหน้าแล้ว ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเลิศแก่พวกเราทุกคน


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1629

ปัจจุบันเป็นผลของอดีตและเป็นตัวกำหนดอนาคต
ดังคำกล่าวว่า
เมื่อวานเป็น "เหตุ" วันนี้เป็น "ผล"
วันนี้เป็น "เหตุ" พรุ่งนี้เป็น "ผล"


คนที่ไม่เชื่อ เรื่อง "การกลับชาติมาเกิด" ก็เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมัน คนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าชีวิตของเราเหมือนกับหลอดไฟฟ้า เมื่อตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ หากเราไตร่ตรองพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่ หลอดไฟจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อหลอดไฟเสื่อมสภาพหมดอายุการใช้งานหลอดนั้นก็เสียไป แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับกระแสไฟฟ้ล่ะ? มันจะสูญสิ้นไปด้วยหรือเปล่า? ไม่อย่างแน่นอน !

เราทุกคนทราบดีว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นและทำลายไปได้ เป็นแต่ว่ามันสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานเครื่องจักรกล พลังงานเคมี ฯลฯ นั่นก็คือกระแสไฟฟ้าอาจเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่นทำให้เตาไฟฟ้าเกิดความร้อน ทำให้ตู้เย็นเกิดความเย็น ทำให้พัดลมหมุน เป็นต้น

ถ้าจะพูดว่ากรรมและการเวียนวายตายเกิดไม่มี เพราะเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จึงเป็นการสรุปอย่างคนไม่มีเหตุผล

กระแสไฟฟ้าซึ่งนัก วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จากปฏิกิริยาของมัน เป็นพลังงานที่มีอยู่จริงแม้แต่คนตาดีก็ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่าง และไม่รู้เลยว่าแสงสว่างเป็นอย่างไร

ไม่กี่ปีมานี้หลัก ฐานต่างๆ และเอกสารมากมายได้ถูกรวบรวมพิมพ์ออกเผยแพร่เพื่อพิสูจน์ว่า การเกิดใหม่นั้นมีจริง มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถจำเรื่องราวในอดีตของชาติได้ เขาสามารถบอกเล่ารายละเอียดถึงสถานที่ ผู้คนในอดีต ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

มีกรณีหนึ่งของ นาง รูส ซิมมอน (Ruth Simmon) ซึ่งเกิดและอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาแต่เธอจำอดีตชาติได้ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนเธอคือ นายบิลเดย์ มัมฟี่ร์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1789 เธอสามารถบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในสมัยนั้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเรื่องราวที่เธอเล่าเป้นจริงถูกต้องทุกประการ ทั้งๆ ที่ นางรูส ซิมมอน ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกาเลย

อีกกรณีหนึ่ง สตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้จำอดีตของตนเองได้ 2 ชาติ ในชาติแรกเธอจำได้ว่าเธอเกิดเป็นหญิงชาวไอริซ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อกรีนฮอลท์ (Greenhalgh) ในศตวรรษที่ 17 เมื่อตรวจสอบจากประวัติศาสตร์พบว่า หมู่บ้านนั้เคยมีอยู่จริงเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน

ในชาติที่สอง เธอจำได้ว่าได้เกิดเป็นพยาบาลชาวอังกฤษที่มีหน้าที่คอยดูแลเด็กๆ ในเมืองดาวน์แฮม (Downham) ในปี ค.ศ. 1902 เมื่อสืบค้นจากข้อมูลของทางการซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ที่เมืองดาวน์แฮม ได้พิสูจน์ว่านางพยาบาลที่อ้างถึงมีตัวตนอยู่จริง


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

1630
ขอบคุณท่านsaken6009 ที่พิมพ์เรื่องในอดีตให้อ่านตอนตีห้า
แต่เสียดายที่ได้ไปเที่ยวแค่คืนเดียวเอง
ถ้าได้มีการเจรจากับน้องกุมารก็ดีนะ จะได้อยู่เที่ยวกันต่อ

ปล..ที่บ้านผมในกรุงเทพปัจจุบันนี้ก็ยังมีตุ๊กแกอยู่ มันเกาะอยู่ริมรั้วหลังบ้านร้องตุ๊กแกๆทุกวัน เค้าว่ากันว่าถ้ามันร้องตุ๊กแกติดต่อกัน 7-8ครั้ง เจ้าของบ้านจะโชคดี แต่เพื่อนอีกคนบอกว่าเคยไปเที่ยวป่า พบมันร้องยาวถึง9ครั้ง แสดงว่าตัวมันโตแรงเยอะ :084:
ปล.2 ผมก็มีน้องกุมาร ได้มาจากวัดบางพระ เลี้ยงไว้ที่สำนักงาน


สำหรับท่านที่สนใจเรื่องราวกุมารฯ ประวัติ การบูชา เพื่อขยายความในเวปบางพระมีเรื่องนี้มากพอสมควร ลองหาอ่านกันนะครับ
เรื่อง  ตำนานกุมารทองน้องพี่ โดยท่าน๛][รัตu:][๛
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21427.msg177256#msg177256

1631
แถมอีกเรื่องหนึ่งครับ

ตาบอด...ใจไม่บอด

                           แสงสว่างบนความมืดของมนุษย์ตู้เพลง...


                                   เบิร์ด-พงษ์ศักดิ์ หมื่นไฉน

       ถึงแม้เรื่องราวชีวิตของ เบิร์ด-พงษ์ศักดิ์  หมื่นไฉน ชายผู้พิการทางสายตาโดยกำเนิดวัย 37 ที่มีความสามารถพิเศษด้านดนตรีและขับร้องจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนชีวิตของคนปกติที่มีอวัยวะครบ 32 แต่ทว่าเขาก็มีช่วงหนึ่งของชีวิตซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจยากที่จะลืมชนิดที่คนตาดี มีความสมบูรณ์ทางกายบางคนไม่อาจมีเลยก็เป็นได้ ....เพราะเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2532 เขามีโอกาสได้ไปร่วมงานศิลปะคนพิการนานาชาติที่รัฐวอชิงตัน ดี.ซี. และยังได้เช็คแฮนด์กับนายจอร์จ บุช (บุชผู้พ่อ) ประธานาธิบดีคนที่ 41 แห่งสหรัฐอเมริกาด้วย


อ่านที่เหลือทั้งหมด
http://www.koosangkoosom.com/mag_past_view.php?id=207

1632
ขออนุญาตแถมอีกเรื่องครับ

สจ๊วตเฟอะฟะปะทะผีเฮี้ยน
                                    ผีสิงคโปร์ (อีกครั้ง)


       เมื่อประมาณ 5-6 เดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเปลี่ยนงานใหม่มาทำกับธนาคารสัญชาติอเมริกันที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างท้าทายความสามารถเป็นอย่างยิ่งเพราะนอกจากจะต้องอยู่ทำงานประจำที่ประเทศนี้แล้ว ยังต้องเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกฎระเบียบทางการเงินการธนาคารต่างๆ เพิ่มเติมอีกมากมายเพื่อสอบเอาใบอนุญาตสำหรับการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนจากรัฐบาลของประเทศนี้ ทำให้ผมมีความกดดันและเครียดค่อนข้างมากจนไม่มีเวลาเขียนเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ยังคงประสบพบเจออยู่อย่างต่อเนื่องให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันเลย จึงขอถือโอกาสกราบขอโทษมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

       อันที่จริง ในเบื้องต้นผมได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่สาขาของธนาคารในประเทศไทยครับ แต่บังเอิญว่าช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนเริ่มงาน ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนายใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ ที่เดินทางมาเยี่ยมสาขาพอดีและได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานของผมให้ฟังซึ่งไม่ทราบว่าแกคิดอย่างไร แต่วันถัดมาก็มีคำสั่งให้ผมไปทำงานประจำที่สิงคโปร์แทน

       การที่ผมต้องย้ายมาทำงานที่ใหม่อย่างกะทันหันทำให้ผมไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก...นอกจากจะต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสภาพการทำงานในประเทศไทยแล้ว ผมยังต้องหาอพาร์ทเมนต์อยู่ให้ได้ภายในระยะเวลาเพียง 2 อาทิตย์หลังจากมาถึงสิงคโปร์ ไม่เช่นนั้นผมจะต้องออกค่าที่พัก ซึ่งเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวเอง (ธนาคารออกสตางค์ค่าที่พักให้ ในช่วง 2 อาทิตย์แรกเท่านั้นครับ)

       เหตุผลประการหลังนี่เองที่ทำให้ผมต้องใช้บริการจากบริษัทนายหน้าหาบ้านเช่าและต้องรีบตัดสินใจเช่าอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง  ซึ่งคิดว่าดีที่สุดโดยต้องยอมจ่ายค่าเช่าแพงเป็นพิเศษเนื่องจากอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จแถมยังตั้งอยู่ริมทะเลรวมทั้งยังอยู่ใกล้ที่ทำงาน ทำให้การเดินทางไปมาค่อนข้างสะดวกมาก

       เจ้าหน้าที่ของบริษัทนายหน้าที่ผมว่าจ้างได้เล่าให้ฟังว่าที่จริงคอนโดมิเนียมแห่งนี้ได้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังมีปัญหา รวมทั้งเจ้าของโครงการมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสิงคโปร์ เพราะว่าผู้รับเหมาก่อสร้างได้ลักลอบนำเอาแรงงานต่างด้าวจากประเทศจีนเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายและไม่เข้มงวดด้านความปลอดภัยจึงทำให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนงานบ่อยครั้ง ส่งผลให้โครงการต้องหยุดชะงักไปนานหลายปี ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจึงมีนายทุนรายใหม่เข้ามาดำเนินการก่อสร้างจากโครงสร้างเดิมที่ถูกปล่อยร้างไว้ต่อจนแล้วเสร็จ

       อันที่จริงช่วงแรกที่ย้ายเข้ามา การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จดีด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจากผมมีความจำเป็นดังที่ได้กล่าวไว้แล้วทำให้ไม่มีทางเลือก ต้องทนอยู่กับฝุ่นละอองสีขาวเล็กๆ ที่จับอยู่ตามพื้น ผนัง ประตู หน้าต่างและเฟอร์นิเจอร์เต็มไปหมด นี่ยังไม่นับรวมเสียงดังรบกวนจากการก่อสร้างอีกนะครับ แต่โชคดีอยู่บ้างที่ผมต้องเริ่มเข้าทำงานตั้งแต่เช้าประมาณ 8 โมง กว่าจะเลิกก็เกือบ 2 ทุ่มแล้วเลยไม่ค่อยต้องทนรำคาญกับสิ่งรบกวนเหล่านี้มากนัก

       อาทิตย์แรกกับการใช้ชีวิตที่อพาร์ทเมนต์ใหม่ผ่านไปด้วยดี แต่พอย่างเข้าอาทิตย์ที่สองเท่านั้นเองเหตุการณ์ที่ผมไม่อยากพบเจอก็ตามมาหลอกหลอนผมจนได้

       มันเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มของคืนวันหนึ่ง ผมเดินทางกลับถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย...แต่เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ต้องพบกับความแปลกใจ เพราะที่พื้นห้องปรากฏรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท่าๆ รอยเท้าเด็กรวมทั้งเส้นผมของผู้หญิงเต็มไปหมด และที่โต๊ะอาหารยังมีคราบสีดำซึ่งมองแล้วเหมือนรอยนิ้วมือคนอีกด้วย

       วินาทีแรกนั้นไม่ได้คิดเป็นอื่นนอกจากห้องของผมถูกโจรกรรม ผมรีบเดินเข้าไปดูในห้องน้ำซึ่งมีหน้าต่างเปิดออกไปด้านนอกได้ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นคนงานก่อสร้างแอบปีนเข้ามาเพื่อขโมยสิ่งของมีค่าที่ผมทิ้งเอาไว้

       แล้วก็เป็นจริง ที่ขอบกระจกของหน้าต่างห้องน้ำมีรอยเท้าเล็กๆ เหมือนรอยเท้าเด็ก 2-3 รอยปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ผมเดินเข้าไปพิจารณารอยเท้านั้นใกล้ๆ แต่แล้วกลับฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า... หน้าต่างห้องน้ำของอพาร์ทเมนต์นี้มันไม่มีระเบียงด้านนอกตัวหน้าต่างเองก็เปิดแง้มได้แค่นิดเดียว...และชั้นที่ผมอยู่นี้คือชั้น 4

       เจ้าของรอยเท้าปริศนานี่ปีนเข้ามาจากทางไหนกัน?

       ผมขนลุกซู่...สลัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างรวดเร็ว...เริ่มตรวจสอบของมีค่า ปรากฏว่าไม่มีอะไรสูญหายเลยครับ ทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิม...เป็นไปได้หรือไม่ว่าโจรมันอาจจะแอบเข้ามาตอนที่ผมกลับมาถึงห้องพอดี พอได้ยินเสียงผมไขกุญแจลูกบิดประตูเลยรีบเผ่นหนีไปโดยยังไม่ได้แตะต้องทรัพย์สิน?

       คืนนั้นผมล็อกประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนาก่อนเข้านอนด้วยความวิตกว่าโจรมันจะกลับมาอีก...แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       วันรุ่งขึ้นผมดำเนินการแจ้งให้ทางนิติบุคคลของอาคารทราบว่าสงสัยห้องของผมจะถูกบุกรุก และขอให้ทางนั้นนำเอาภาพที่บันทึกไว้ทางกล้องวงจรปิดมาดูว่ามีใครเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ตอนช่วงที่ผมไม่อยู่หรือไม่ ซึ่งต่อมาไม่นาน ทางนิติบุคคลติดต่อกลับมาเพื่อยืนยันว่าได้ดูภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดย้อนหลังไป 3 วันแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เลย

       คืนถัดมาผมเข้านอนด้วยความกังวล อพาร์ทเมนต์นี้ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์ ส่วนโทรศัพท์มือถือก็มีแค่เครื่องที่นำมาจากประเทศไทย พยายามปลอบใจตัวเองว่าประเทศนี้มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง มีบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอก...

       แล้วผมก็ถูกปลุกขึ้นกลางดึกด้วยเสียงกึกกักนอกห้องนอน มันเหมือนมีใครกำลังเดินไปมาพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ มันเป็นเสียงเล็กๆ คล้ายเสียงของเด็กผู้หญิง ผมเหลือบมองดูนาฬิกา... ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตี 3 แล้ว

       สักพักผมได้ยินเสียงลูกบิดประตูห้องนอนที่ล็อกอยู่ถูกบิด เหมือนกับมีคนกำลังพยายามจะเปิดมันออก...ผมเอื้อมมือไปคว้ามีดทำครัวที่เตรียมไว้ป้องกันตัวมาถือด้วยมืออันสั่นเทา กระแอมเสียงดัง พร้อมกับเปิดไฟหัวเตียงเพื่อเตือนผู้บุกรุกว่า มีคนอยู่ในห้องนี้นะ

       มันได้ผลครับ เสียงบิดลูกบิดหยุดลงทันที แต่สักพักกลับมีเสียงอื่นดังขึ้นแทน...คราวนี้เป็นเสียงคล้ายๆ กับใครกำลังเอาเล็บครูดไปบนผนังประตู...มันดังครืดๆ หลายครั้งก่อนจะเงียบลงไปในที่สุด

       ผมรอจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงค่อยเปิดประตูห้องนอนออกมาดู เตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าทรัพย์สินด้านนอกคงถูกรื้อค้นและโจรกรรมไปหมดแน่ๆ แต่แล้วกลับต้องแปลกใจเพราะทุกอย่างยังคงอยู่ครบตรงตำแหน่งเดิมของมัน

       แต่ภาพเบื้องหน้าโดยเฉพาะที่พื้นห้องนี่สิครับ...ปรากฏรอยเท้าเล็กๆ ย่ำทั่วไปหมด เส้นผมยาวร่วงเป็นกระจุกอยู่ตรงประตูทางเข้าอพาร์ทเมนต์ซึ่งยังคงปิดสนิท ไม่มีร่องรอยของการถูกงัดแงะแต่อย่างใด

       เมื่อหันกลับมาที่ประตูห้องนอน...ปรากฏคราบสีดำยาวเป็นทางที่เหมือนถูกลากจากด้านบนลงมาด้านล่าง 2 รอย มันเป็นรอยนิ้วมือเล็กๆ เหมือนรอยที่ปรากฏบนโต๊ะอาหารเมื่อวันก่อน ตรงลูกบิดประตูห้องก็มีรอยดำนี้เช่นเดียวกัน...วินาทีนั้นผมตระหนักแล้วว่า สิ่งที่ผมพบเห็นเบื้องหน้าไม่ใช่ผลงานของโจรแน่ๆ

       ทำไมผมจึงต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เสมอๆ หนอ? (โดยเฉพาะประเทศนี้ มาเมื่อไหร่เป็นต้องเจอ) แล้วนี่ผมจะทำอย่างไรดี? จะขนข้าวขนของย้ายหนีก็ไม่ได้ สัญญาเช่าอพาร์ทเมนต์ยังเหลืออีกตั้ง 2 ปี

       นับเป็นโชคดีอยู่บ้างที่วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมจึงมีเวลาเดินทางไปหาเพื่อนที่เพิ่งมาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่สิงคโปร์ (ชื่อร้าน “คอฟฟี่สตาร์บายดาว” ครับ ร้านเดียวกับ “คอฟฟี่บีนส์บายดาว” ที่เมืองไทย ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ให้คนไทยที่อาศัยที่นี่ลองไปกินกันดู ร้านอยู่ตรงศูนย์การค้า Wisma Atria บนถนน Orchard อาหารและขนมเค้กอร่อยมากครับ) เลยเล่าประสบการณ์น่ากลัวที่เพิ่งพบมาสดๆ ร้อนๆ ให้ฟัง...

       เธอนิ่งไปสักพักแล้วล้วงกระเป๋าถือหยิบขวดน้ำเล็กๆ ออกมา พร้อมกับพูดว่า

       “นี่เป็นขวดน้ำมนต์ที่ได้มาจากวัดพระแก้ว พี่ลองเอาไปพรมดูให้ทั่วห้องนะคะ เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น”

       จริงสินะ การที่ต้องเดินทางมายังประเทศนี้อย่างรีบร้อน ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมตัวที่ดีพอ พระที่พ่อกับแม่ให้ไว้ก็ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย...ผมลืมเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน...ผมกล่าวขอบคุณเธอ แล้วรีบนำขวดน้ำมนต์กลับมาที่อพาร์ทเมนต์ด้วยความดีใจ

       เมื่อมาถึงอพาร์ทเมนต์ สิ่งแรกที่ทำก็คือตั้งจิตอธิษฐานขออาราธนาอำนาจแห่งองค์พระแก้วมรกตจงช่วยคุ้มครองผมให้แคล้วคลาดจากเรื่องเลวร้ายนี้ ก่อนที่จะเทน้ำมนต์จากขวดใส่มือแล้วพรมที่ศีรษะ หน้าและชโลมไปทั่วตัว แล้วเทอีกส่วนหนึ่งมาประพรมทั่วพื้นห้องโดยไม่ลืมที่จะพรมที่หน้าประตูทางเข้า ประตูห้องนอนและหน้าต่างทุกๆ บานจนกระทั่งน้ำมนต์หายไปเกือบครึ่งขวด

       ที่น่าแปลกก็คือ ระหว่างที่ประพรมน้ำมนต์อยู่นั้นผมมีอาการขนลุกซู่ มือและเท้าเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนกับมีกระแสลมพัดวูบผ่านตัวไปหลายครั้ง

       แน่นอนว่าคืนนั้นผมเข้านอนด้วยความสบายใจ นับว่าเป็น การนอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายๆ วัน ที่ผ่านมาไม่มีเสียงหรือสิ่งใดมารบกวนตอนกลางดึกแม้แต่น้อย

       ตื่นเช้าด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เปิดประตูห้องนอนออกมาด้วยความสุข ไม่มีร่องรอยที่ผู้มาเยือนยามวิกาลทิ้งไว้บนพื้นด้านนอกหรือที่ประตูหน้าต่างอีกต่อไป ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า เพราะฝุ่นขาวๆ ที่เคยจับอยู่ทั่วห้องก็พลอยหายไปด้วย

       ผมเปิดประตูออกไปด้านนอกอพาร์ทเมนต์เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่พัดมาจากริมทะเลแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่า....

       หน้าทางเข้ามีเส้นผมของผู้หญิงตกอยู่เกลื่อนกลาดพร้อมรอยมือสีดำเปรอะเปื้อนเต็มประตูไปหมด...

       ใช่แล้วครับ...ผมลืมพรมน้ำมนต์ด้านนอกห้อง

       ทุกวันนี้...ถึงแม้เหตุการณ์เหล่านั้นจะผ่านมานานหลายเดือนแล้วแต่ผมก็ยังไม่ทราบ (และไม่อยากจะทราบ) อยู่ดีครับว่า รอยมือ รอยเท้าและเส้นผมเหล่านั้นเป็นของใคร มาจากไหน เพราะถือว่าผมได้อยู่อย่างสงบแล้ว ถึงแม้ว่าในบางครั้งจะยังคงมีเสียงดังกึกกักๆ รวมทั้งมีเส้นผมยาวๆ ตกอยู่ด้านนอกอพาร์ทเมนต์บ้างก็ตาม

       เรื่องแปลกๆ ที่ผมพบในช่วงที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ นี่เฉพาะที่อพาร์ทเมนต์ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ทำงานเลย เอาไว้เมื่อมีเวลามากขึ้น ผมจะรีบนำมาเสนออีก หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะยังไม่เบื่อเสียก่อนนะครับ
 

                                           ...ปีกทองแท้…


ที่มา
http://www.koosangkoosom.com/mag_past_view.php?id=210

1633
กฎแห่งกรรม / ......ทำกรรมกับปลา.....
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 08:29:31 »
กรรมตามทัน.....ตอนทำกรรมกับปลา


ผมเป็นคนหนองคายเรียนจบแค่ ป.6 ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะครอบครัวมีฐานะยากจน เพื่อนๆรุ่นเดียวก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ บ้าง ผมจึงไปเช่าสามล้อมาถีบรับส่งผู้โดยสารมีเงินเก็บสองพันกว่าบาทก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯและไปพักกับเพื่อนซึ่งเป็นห้องเช่าแถวๆ คลองเตย เมื่อปี พ.ศ. 2540 เพื่อนผมคนนี้ชื่อ ประเทือง ทำงานในตลาดสดคลองเตย เป็นลูกจ้างแม่ค้าขายปลาเขาชวนผมไปทำงานกับเขา บอกว่ารายได้ดีได้วันละ 100 กว่าบาทผมได้ยินว่ามีรายได้เป็นร้อยก็อยากทำ เพราะอยู่บ้านนอกไม่มีทางหาเงินได้มากขนาดนี้ผมจึงตกลงที่จะไปลองงานเช้าวันนั้นผมกับประเทืองตื่นตั้งแต่ตี 3 กว่าๆขึ้นรถเมล์ไปถึงตลาดคลองเตยก็เกือบตี 4 แม่ค้าขายปลาสดเป็นเจ้าของแผงขายปลาใหญ่ที่สุดในตลาด แห่งนั้นคือทำปลาดุกกับปลาช่อนผมเห็นเขาทำปลาแล้วใจมันไม่ดีเลย…แล้วจะเล่าให้ฟัง


ปลาดุก ปลาช่อน......ที่แม่ค้าแกขายเป็นปลาจากบ่อเลี้ยงเขาจะเอาปลาใส่ถังสังกะสีสี่เหลี่ยมมาส่งเป็นถังๆ ปลายังเป็นๆและประเทืองเพื่อนผมมีหน้าที่ทำปลาดุกเป็นหลัก เขาจะเทปลาดุกลงมาในถาดสังกะสีแบนๆมีขอบเป็นปลาดุกอุยเกือบทั้งหมด ตัวใหญ่และอ้วนๆ ทั้งนั้นประเทืองจะใช้เหล็กแหลมมีที่ถือเป็นไม้แทงลงไปข้างๆ ครีบบนสันหลังปลาดุกใกล้ๆ หัวผมถามว่าแทงทำไม เพื่อนบอกว่าแทงกระดูกสันหลังของมัน ให้มันเป็นอัมพาตดิ้นไม่ได้แต่ไม่ทำให้มันตาย จะได้ให้ลูกค้าเลือกซื้อสบายๆผมเห็นประเทืองใช้เหล็กแหลมแทงกระดูกสันหลังปลาอย่างคล่องแคล่วว่องไวแสดงว่าชำนาญมาก วันหนึ่งๆ ประเทืองแทงหลังปลาดุกเป็นร้อยๆ ตัวส่วนปลาช่อนก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อมีลูกค้าซื้อ ประเทืองกับเพื่อนจะขอดเกล็ดให้เขาขอดเกล็ดมันทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่ ยังหายใจพะงาบๆ อยู่อย่างนั้นแหละแต่มันดิ้นไม่ได้เพราะตัวแข็งทื่อเนื่องจากกระดูกสันหลังถูกเหล็กแหลมแทงเป็นอัมพาตไปแล้ว ประเทืองให้ผมลองทำดูผมบอกว่าขอช่วยยกลังปลา เอาปลาไปส่งให้แม่ค้าที่แผงก่อนเถอะวันพรุ่งนี้จะลงมือฝึกทำทั้งๆ ที่ได้ตัดสินใจเงียบๆ ว่าผมไม่ยอมทำงานนี้เด็ดขาด


....การที่มันถูกเหล็กแหลมแทงเนื้อทะลุกระดูกสันหลังย่อมทำให้มันเจ็บปวดแสนสาหัส มิหนำซ้ำยังไม่ถูกฆ่าให้ตายทันทีให้มันรู้แล้วรู้รอดกลับถูกปล่อยนอนคอยให้คนมาซื้อมาเลือกไปฆ่ากินด้วยความทุกข์ทรมานนานตั้งครึ่งค่อนวัน ยิ่งเป็นปลาช่อนยิ่งถูกทารุณหนักเข้าไปอีก เพราะก่อนตายถูกเขาเอามีดเลาะเกล็ดตลอดตัวออกทั้งเป็นๆมันคงจะเจ็บปวด เจ็บเนื้อหนังสุดพรรณนาทีเดียวเมื่อเกล็ดถูกคมมีดถากออกอย่างไม่ปรานีปราศรัยจนเลือดไหลซิบไปทั่วทั้งตัว ผมเห็นสภาพเช่นนี้เกิดเวทนาสงสารปลาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จะให้ทำอย่างเพื่อนมันทำไม่ได้จริงๆถึงจะได้เงินค่าจ้างตอบแทนมากแค่ไหนผมก็ทำไม่ลง หลังจากเลิกงานแล้วเราก็กลับห้องพักประเทืองบอกผมว่าเจ๊แม่ค้าเจ้าของขายปลาแกยินดีรับผม เข้าทำงานด้วย ผมอึกอักอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจบอกเพื่อนไปตามตรงว่าตัวเองคิดอย่ างไร ประเทืองฟังผมพูดจบเขาก็แสดงอาการโกรธขึ้นมาอย่างที่ผมคิดไม่ถึง เขาพูดห้วนๆ ว่าถ้ากลัวบาปไม่อยากทำบาปก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ พูดอย่างนี้ก็ไล่กันซึ่งๆ หน้า


.....แต่ผมไม่โกรธเขาเลย เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผมแน่นอน ผมจึงลาประเทืองไปหางานทำใหม่ ก็ได้งานทำกับบริษัทแห่งหนึ่งผมทำงาน 2 ปีกว่าไม่ได้กลับบ้านเลย พอดีบริษัทหยุดตรุษจีน 4 วันรวดผมจึงมีโอกาสไปเยี่ยมพ่อแม่และน้องๆ ที่บ้านเกิดและได้ทราบข่าวร้ายเรื่องประเทืองเพื่อนของผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปชนกับรถปิ๊กอัพที่กรุงเทพฯ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสตรงกระดูกสันหลังนอนโรงพยาบาลเกือบ 2 เดือน ก็ออกจากโรงพยาบาล ปรากฏว่ประเทืองเป็นอัมพาตร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึก ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเฉยๆผมจึงรีบไปเยี่ยม เห็นประเทืองแล้วผมสงสารเขามากที่สุดร่างกายที่เคยล่ำสันบึกบึนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ขาทั้งสองข้างลีบเล็กเขาทำได้แค่นั่งพิงฝากับนอน ไปไหนต้องใช้มือถัดไป ท่าทางของประเทืองหมดอาลัยตายอยากผมทักทายพูดปลอบใจให้กำลังใจเขาอย่างดีที่สุด พร้อมกับให้เงินเอาไว้ใช้ส่วนตัวประเทืองน้ำตาคลอ เขาขอบใจผม และบอกว่าเขาไม่ควรโกรธผมถึงกับไล่ไม่ให้อยู่ด้วยผมบอกเขาว่าผมไม่เคยคิดโกรธเคยเป็นเพื่อนกันอย่างไรก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง


ก่อนจากกันประเทืองพูดกับผมว่า“เชื่อแล้วว่าบาปกรรมมีจริงๆ จากการที่แทงกระดูกหลังปลาดุกปลาช่อนให้เป็นอัมพาตบาปก็ตามมาถึงอย่างที่เห็น ต้องเป็นอัมพาต ต้องทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตายเพื่อนคิดถูกแล้วที่ไม่ยอมทำงานสร้างกรรม ขอให้เพื่อนเจริญๆ เถอะ


ที่มา
http://www.sil5.net/index.asp?contentID=10000006&bid=168&title=%A1%C3%C3%C1%B5%D2%C1%B7%D1%B9&keyword=

1634
กฎแห่งกรรม / ตอบ: เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 07:25:36 »

กรรมตามทัน

   ข้าพเจ้าเป็นคนภูเขาขนานแท้และดั้งเดิม ของเผ่ามูเซอแดงแห่งหนึ่ง พวกคนมูเซอดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำไร่เลื่อนลอย ย้ายถิ่นบ่อย ๆ ด้วยสาเหตุเมื่อทำไร่ไปนาน ๆ ที่เดิมดินจะจืด ปลูกอะไรจะไม่ได้ผลผลิดเท่าที่ควร    อาชีพหลัก ๆ ของพวกมูเซอคือการเกษตร ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด และ ฯลฯ เมื่อเวลาว่างจะออกไปล่าสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหาร    ข้าพเจ้ากับน้าชาย หลังจากทำเสร็จจากงานไร่แล้ว มักจะชวนกันออกไปล่าสัตว์ เพื่อนำเอาเนื้อมาเก็บไว้เป็นเสบียงอาหารเป็นประจำ ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่แล้วแต่จะหามาได้
   เมื่อข้าพเจ้ากับน้าเจอสัตว์เหล่านั้น จะใช้อาวุธปืนยิงทันที พอได้สัตว์เคราะห์ร้ายเหล่านั้นแล้วก็จะแบกกลับบ้าน    แต่ระหว่างทางขากลับนั้นข้าพเจ้ากับน้าจะทำการขัดหลาวไม้ไผ่ เพื่อดักสัตว์ตามด่านสัตว์ ที่สัตว์เหล่านั้นอาศัยเป็นทางเดินประจำ

   เมื่อสัตว์เคราะห์ร้ายเดินสดุดเชือก หลาวไม้ไผ่ก็จะทำงานทันทีโดยพุ้งเข้าแทงสัตว์ตัวที่เข้ามาสดุดเชือกให้ตายคาที่ บางตัวมีความอดทนตายยากหน่อย ก็จะกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บริเวณนั้น 

   พอรุ้งเช้าข้าพเจ้ากับน้าจะออกไปดูหลาวที่ดักไว้ในแต่ละแห่ง บางแห่งก็จะพบสัตว์จะถูกหลาวพุ้งเสียบตายคาที่ แต่บางแห่งก็ไม่ตายน้าของข้าพเจ้าจะใช้ปืนยิงซ้ำให้ตาย    จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ข้าพเจ้ากับน้าได้กระทำในสิ่งที่ว่านี้ โดยไม่รู้ว่ามันเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมอย่างมหันต์ การเบียดเบียนชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเพื่อเอามาเป็นอาหารก็ดี แต่จะรู้ไหมว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็มีชีวิตจิตใจรักชีวิตและกลัวตายเหมือนกับมนุษย์เรา ๆ ทั้งหลาย ที่ไม่ต้องการให้ใครมาเบียดเบียนทำร้ายชีวิตเช่นกัน    มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องจดจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืม เพราะเช้าวันหนึ่งข้าพเจ้ากับน้าได้ชวนกันออกไปตรวจตามจุดที่ได้วางหลาวไว้ เมื่อไปถึงพบหมีควายตัวหนึ่ง ถูกหลาวไม้ไผ่พุ้งเสียบข้างลำตัว ข้าพเจ้าและน้าคิดเอาเองว่าหมีควายตัวนั้นคงจะตายแล้ว น้าจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น    หมีควายตัวนั้นลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่หลาวไม้ไผ่ยังเสียบเด่อยู่ มันใช้อุ้งตีนตบเข้าไปที่ใบหน้าของน้าหลายที จนหนังและใบหน้าพร้อมลูกนัยน์ตาหลุดออกมาทั้งสองข้าง แล้วร่างของน้าก็ล้มลงร่างฟาดกับพื้นขาดใจตายทันที โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว

   เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก หมีควายตัวนั้นก็หมดแรงล้มลงขาดใจตายเคียงข้างกับน้าชายนั้นเอง    ข้าพเจ้าตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตำหูตำตา แทนที่จะเข้าไปช่วยเหลือหรือนำข่าวร้ายมาไปบอกแก่ญาติพี่น้องให้รับรู้ กลับกลายเป็นว่าข้าพเจ้าบันดาลโทสะ โกรธอาฆาตแค้นหมีตัวนั้น ที่ตบน้าจนถึงแก่ความตาย

   ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้ามองเห็นลูกหมีบนต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลกันนั้นจึงรู้ว่ามันเป็นหมีแม่ลูกอ่อน ที่ยังต้องดูแลลูก ๆ ของมัน เจ้าลูกหมีถูกอารมณ์แค้นของข้าพเจ้าบดบังเสียแล้ว โกรธแม่หมีกลับมาอาฆาตลูกหมีน้อย ซึ่งยังไม่รู้เดียงสา    ด้วยความแค้นแม่หมีที่คร่าเอาชีวิตของน้าข้าพเจ้าไป จึงได้ปีนต้นไม้ขึ้นไปหาลูกหมี พอได้ระยะปืนจึงลั้นกระสุนทันที ด้วยแรงอาฆาตแม่หมีที่ทำให้น้าตาย ลูกหมีที่ยังเล็กและด้วยสัญชาติญานก็พอจะเข้าใจว่ามีมนุษย์ใจร้ายหมายจะเอาชีวิตของมัน มันก็มีความโกรธแค้นเคืองที่แม่ของมันถูกมนุษย์ฆ่าตาย เยี่ยงมนุษย์    ลูกหมีกระโจนใส่ข้าพเจ้าขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็เหนี่ยวไกปืนสวนออกไป ตอนนั้นชีวิตแลกด้วยชีวิต ร่างของลูกหมีที่มีน้ำหนักมากลอยลงมาปะทะกับข้าพเจ้าจนพลัดตกจากต้นไม้พร้อม ๆ กัน    สลบไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกครั้งพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่บนบ้านพร้อมญาติ ๆ ซึ่งพวกเขาบอกว่าข้าพเข้าเจ้าสลบไปถึง 2 วัน

   ระหว่างที่ข้าพเจ้ากับน้าไม่กลับบ้าน พวกญาติเขาจึงได้ออกตามหา จึงมาพบพวกข้าพเจ้านอนสลบอยู่ มีน้า แม่หมี ลูกหมี นอนตายเรียงกัน จึงได้ทำการฝังทั้งสัตว์และคนไว้ตรงนั้น ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นได้รับบาดเจ็บแขนขาหัก    ระหว่างที่ป่วยอยู่นั้น ข้าพเจ้าจะโทษผีทั้งหลายทั้งมวล ผีฟ้า ผีป่าที่เสียแรงนับถือ ไม่เห็นช่วยคุ้มครองให้พวกเราปรอดภัยเลย ตอนนั้นพวกข้าพเจ้ายังไม่มีศาสนาอะไรนอกจากผีป่า ผีเขา และยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด แขนขาหัก กว่าจะรักษาหายก็กินเวลาเข้าไปถึง 2 ปี

   หลังจากอาการทุเลาและแข็งแรงแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นปกตินัก ข้าพเจ้าก็หาได้หลาบจำไม่ ยังชักชวนเพื่อน ๆ เข้าป่าล่าสัตว์อีก จะด้วยบุญของข้าพเจ้าหรืออย่างไรไม่ทราบทำให้ได้พบสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย    ระหว่างทางขึ้นเขาลงห่วยที่จะไปล่าสัตว์นั้น ข้าพเจ้าพบกับพระธุดงค์องค์หนึ่ง ปักกลดอยู่ในป่าตรงทางที่จะผ่าน

   ข้าพเจ้าจึงแอบดูพฤติกรรมของพระจึงไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ดั่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้จักพระรู้จักเจ้าจึงแอบดูอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็เห็นท่านนั่งอยู่ในกลด บางครั้งก็ออกไปและกลับเข้ากลด เป็นอยู่อย่างนั้นหลายรอบ จนข้าพเจ้าสงสัย 

   วันรุ่งขึ้นจึงชวนเพื่อนไปถามพระองค์นั้น ท่านถามพวกข้าพเจ้าว่าจะไปที่ไหนกัน ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่าจะไปล่าสัตว์ ท่านจึงได้อธิบายถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปบุญ คุณโทษ จะเป็นเงาตามตัวไปหลายภพหลายชาติ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า แม้ตายไปแล้วกรรมนั้นก็จะตกอยู่กับลูกหลานที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว    กรรมที่ก่อไว้หากรุนแรงก็จะตามมาตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน คำนี้นี่เองทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องของน้าที่ตายไป เพราะหมีแม่ลูกอ่อนตบจนตาย ข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้ว่าบาปบุญ คุณโทษเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้พระธดงค์องค์นี้ ท่านสงเคราะห์พูดให้ข้าพเจ้าหูตาสว่างแล้ว หูตาข้าพเจ้าคงบอด จิตใจไม่สงบไม่ตลอดชีวิต และคงสร้างบาปกรรมไปจนตลอดชีวิตเช่นกัน ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถอะว่าข้าพเจ้านั้นจะมีหนี้กรรมติดตัวไปอีกสักเท่าไหร่

   บัดนี้ข้าพเจ้าได้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยสิ้นเชิง เลิกนับถือผีป่า ผีฟ้าทั้งหลาย หันหน้าเข้าพุทธศาสนานำลูกหลานเข้ามาบวช ที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะยึดมั่นในพุทธศาสนาต่อไปและจะทำแต่คุณงามความดีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ .....


คัดลอกจาก  http://larnbuddhism.com/godgram/godgram/
และ http://www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aaaoan1/

1635
ขอนุญาตแถมอีกเรื่องนึงนะครับ


เรื่อง ฝรั่งเจอนางตะเคียนที่เสาตกน้ำมัน...

     ใครจะไปคิดล่ะว่า เกิดมาทั้งที จะมีโอกาสได้เจอผีกับเขา โอ๊ย! ไม่ต้องแหกอก ปลิ้นตาหลอก ขนาดในหนังหรอกนะ แค่ที่เจอจะจะเนี่ยหัวใจก็จะวายแล้ว ผมบนหัวจะชี้ตั้งอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เจลทาผมชนิดแข็งพิเศษหรอก เปลืองตังค์เปล่าๆ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า สมัยโน้น ตั้งแต่ 40 ปีมาแล้ว ช่วงนั้นจะมีทหารอเมริกันมาตั้ง ฐานทัพในไทย และละแวกบ้านที่อยู่ ก็มีบ้านให้ฝรั่งเช่าอยู่กับเมียคนไทย บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ใต้ถุนโล่ง เป็นลานดิน ชั้นบนก็มีอยู่ 3 ห้องนอน แต่ห้องกลางนี่สิ มีอะไรพิเศษไม่เหมือน   ชาวบ้านเขาล่ะ ก็พิเศษสุดตรงเสาตกน้ำมันนี่แหละ เฮี้ยนดีนัก ฝรั่งก็ฝรั่งเถอะ เจอผีสาวไทย เข้าไปแล้วเป็นไงล่ะ

   เชื่อมั้ยล่ะว่ามีผีจริง อ๊ะ อ๊ะ! อย่าลบหลู่เชียวนะ ท่านผู้อ่าน ของอย่างนี้ไม่เจอกับตัวเอง ว่ากันไม่ได้หรอกนะท่าน วันหนึ่ง นายฝรั่งคนนี้ก็นอนหลับ พักผ่อนอยู่ในห้องนอน ก็ห้องที่มีเสาตะเคียนตกน้ำมันนั่นแหละค่ะ ขณะกำลังเคลิ้มๆ ก็เห็นสาวสวยนางหนึ่ง ผมยาวประหลัง แต่งองค์ทรงเครื่องก็ไม่เหมือนคนในสมัยนี้ เอาเสียเลย นางเดินออกมาจากเสาต้นนั้น แล้วมาหยุดที่เตียงนายฝรั่ง แล้วก็พูด กับนายฝรั่งคนนี้ว่า ชอบนายฝรั่งคนนี้มาก แล้วก็ก้มลงจูบนายฝรั่งคนนี้อย่างแสนรักและดูดดื่ม ซึ่งอิฉันเอง ก็ไม่ทราบว่าจะมีตอนต่อไปอย่างไร เพราะคนเล่าเอง ก็คงจะเมื่อยปากที่จะเล่าต่อ ก็จะไม่เมื่อยได้ยังไงกันล่ะคะ ก็พ่อฝรั่งคนนี้โดนนางตะเคียนจูบ จนปากเบี้ยวผิดรูปซะขนาดนั้นน่ะ เฮ้อ เห็นแล้วก็สงสารพ่อฝรั่งนายนี้จัง เสน่ห์แรงนัก จนนางตะเคียนอดที่จะหลงรักไม่ได้ ก็ลำบากแม่อิฉันล่ะค่ะ ที่ต้อง ไปดั้นด้นค้นหาพ่อหมอมาทำพิธีไสยศาสตร์ แก้ให้นายฝรั่งคนนี้หายปากเบี้ยวผิดรูปเสียทีและก็ทำพิธีลงยันต์คาถาอาคมแปะไว้ ที่เสาตกน้ำมันต้นนั้นซะ เพื่อความสบายใจของผู้อยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหนนะคะ ยังคงมาโผล่ วับๆ แวมๆ ให้นายฝรั่งคนนี้ ต๊กกะใจเล่นๆ งั้นแหละ จนในที่สุด นายฝรั่งคนนี้ ทนพิษรักที่นางตะเคียน ตกน้ำมันตนนี้มีต่อตัวเองไม่ไหว ก็เลยอัปเปหิตัวเองออกไปจากบ้านหลังนั้น ซะเลย หนุ่มๆ แก่ๆ แถวบ้านอิฉันน่ะ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชักอยากจะเจอ นางตะเคียนตนนี้เสียแล้วสิ พูดง่ายๆ ก็คือ อยากลองของนั่นแหละค่ะ แต่แหม อิฉันเอง ก็ไม่ได้ปากพล่อยหรืออยากจะลองของ ลองดีอะไรกับแม่ตะเคียนเล้ย..ย! ทำไม ถึงคิดเอ็นดูเด็กๆ อย่างอิฉันได้ก็ไม่รู้สิ ปกติทุกคืน อิฉันจะลุกมาเข้า ห้องน้ำเพื่อทำธุระหนักเบา

   คืนนั้นน่ะ ดึกโขอยู่ อิฉันเองปวดฉี่มาก ก็เปิดประตู ห้องนอน เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ถัดไป แถวชานบ้าน ซึ่งอยู่ติดๆ กับบ้านนายฝรั่ง ที่โดนจูบจนปากบิดเบี้ยวนั่นแหละ เดินไปห้องน้ำอย่างงัวเงีย แต่ก็ยังมีสติสตังอยู่บ้าง ว่าเป็นคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงกระจ่างทั่วฟ้า ช่างงดงาม เพราะดึกมากแล้ว แต่จะเป็นวันพระด้วย หรือเปล่าเนี่ย! อิฉันเองก็ไม่แน่ใจนะคะ กลิ่นดอกไม้ที่ปลูกไว้หลังบ้านก็แข่งกัน ส่งกลิ่นหอมเสียจนเวียนหัว แต่ก็ชื่นใจนะคะ ลมก็พัดพอเย็นๆ ให้สบาย และก็ เข้าบรรยากาศดึกๆ ดีนัก แต่ตอนที่ จะเอื้อมมือปิดประตูห้องนอนสิคะ ไอ้ลูกกะตาเจ้ากรรมก็หันไปมองชานบ้าน ที่อยู่ติดกับบ้านที่มีนางตะเคียนอยู่หลังนั้นสิคะ อุ๊ยตาย! สาบานได้นะเจ้าคะ ว่าอิฉันไม่ได้ตาฝ้าฟางหรือง่วงนอนจนตาลาย ก็ผู้หญิงสาวสิคะ นั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่สว่างกระจ่างแจ้งออกจะปานนั้น นุ่งผ้าแบบหญิงไทยโบราณ ห่มสไบเฉียง เปิดไหล่ที่ขาวผ่อง  ผมดำขลับที่ยาว ถึงกลางหลัง น่าเอาไปโฆษณายาสระผมดีนัก เพราะผมสวยเหลือเกิน กับท่วงท่าที่ขยับมือ ใช้หวีทองหวีผมตัวเองอย่างช้าๆ  นั่นแหละ ทำให้ดิฉันมั่นใจกว่า 100% เสียอีกว่า ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ เลย อีกทั้งร่างกายของอิฉันก็มีปฏิกิริยาตอบรับ กับการเห็นครั้งนี้อย่างชัดเจน เพราะเย็นวาบตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าไล่ลามมาจนขนแขน สแตนด์ อัพ และไปหยุดอยู่ที่ศีรษะ ก็แค่ ขนหัวลุกเฉยๆ ล่ะค่ะ โชคดีที่ผมไม่ชี้ตั้ง เพราะความตกใจที่เจอนางตะเคียนแสนสวยเข้าให้ อิฉันยืนตะลึงค้างอยู่อย่างนั้นครู่นึง ก็เรียกสติกลับมา รีบปิดประตูห้องนอนปึงปัง โครมครามจนพี่มันดุเอา ก็เลยบอกพี่ว่า ฉันเจอผีหลอก ไว้พรุ่งนี้ค่อยเล่าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอนอนคลุมโปงก่อนนะ ฮือ ฮือ นางตะเคียนใจร้าย มาหยอกฉันเล่นทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะชอบเลย

   ตื่นเช้ามานะ รีบเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ท่านก็เลยซักรายละเอียด จึงถึงบางอ้อ! ว่า ตัวเองทำไม่ดีไว้ เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เอง (ไม่บอกหรอกว่าทำอะไร เค้าอายนะตัว) แม่นางตะเคียนเลยมาอบรม มาเตือน ด้วยความเอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ และเตือนสติ เราด้วย อิฉันก็เลยเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาต่อท่านซะเลย สัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้น ก็ไม่เจอ นางตะเคียนอีกเลย แล้วก็ไม่อยากจะเจอด้วย ดีนะที่เป็นผู้หญิง ไม่งั้น ปากเบี้ยว แน่เลย...บรื๋อออออออออ

นที กนกวรรณ


ที่มา
http://www.koosangkoosom.com/ghost_view.php?gid=13&id=1

1636
เพิ่มเติมจากหนังสือชุมนุมบทความของ
หลวงปู่เปรม (เปมงฺกโร ภิกขุ) วัดบรมนิวาส
กรุงเทพมหานคร



จิตประภัสสร

เรื่องจิตประภัสสร

จิต ที่จัดว่าเป็น ผู้รู้ นี้เป็นนามธรรม เรียกว่าคนหรือสัตว์โลก ไม่ปรากฏรูปร่างเหมือนอย่างรูปธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม (อากาศ)
และรูปวัตถุต่างๆ ณ ภายนอกนั้นไม่



แต่คนทุกคนรู้ว่ามีจิต ก็เพราะจิตนั้นเองเป็นผู้รู้ จิตนี้เป็นฐานที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์ และความไม่บริสุทธิ์

แต่ความบริสุทธิ์เป็นลักษณะประจำธรรมชาติของจิต แปลว่า ธรรมชาติจิตมีความบริสุทธิ์เป็นลักษณะประจำตัวส่วนความเศร้าหมองไม่บริสุทธิ์ด้วยมลทิน คือ กิเลสนั้น เกิดขึ้นภายหลังจึงต้องกำจัดให้ออกไป ไม่ใช่สมบัติลักษณะเดิมของจิต

ตามพระพุทธภาษิตว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ
ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้บริสุทธิ์เป็นประภัสสรเปล่งปลั่ง แต่ว่าจิตนั้นอันอุปกิเลสเป็นแขกจรเข้ามาทำให้มัวหมอง เสียความบริสุทธิ์ไปเมื่อภายหลัง ดังนี้

อีกบทหนึ่งว่า
จิตฺตสงฺกิเลสา ภิกฺขเว สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติ
จิตฺตโวทานา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติ
ตสฺมาติห ภิกฺขเว อภิกฺขณํ สกํ จิตฺตํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ
ทีฆรตฺตมิทํ จิตฺตํ สงฺกิลิฏฺฐํ ราเคน โทเสน โมเหนาติ ดังนี้ แปลว่า

ภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลาย (สามัญชน)จักเศร้าหมอง(คนไม่ดี) ก็เพราะจิตของเขาเศร้าหมอง
สัตว์ทั้งหลายจักบริสุทธิ์ (คนดี) ก็เพราะจิตของเขาบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย
พวกท่านทุกคนควรพิจารณาจิตของตนเองเนืองๆบ่อยๆว่า
จิตนี้เศร้าหมองด้วยราคะ โทสะ โมหะ มาตลอดกาลนานไกล ดังนี้


เนื้อความในพระพุทธภาษิตที่ยกมานี้ ชวนให้คิดเห็นว่า จิตเป็นสภาพที่ถาวรมั่นคง ย่อมทรงความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์ไว้ได้นานๆ และเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าส่วนต่างๆบรรดามีในโลก


แต่พวกนิยมยึดถือตำราพระอภิธรรมปิฎกแสดงว่า จิตเกิดดับอยู่เสมอ ไม่คงที่อยู่ได้ กลับเป็นเรื่องเหลวแหลกไปอีก ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์และเศร้าหมอง ได้ดับไปแล้ว ความบริสุทธิ์และเศร้าหมองนั้น ก็พลอยดับไปด้วย

แต่ในทางพระสูตร จิตเกิดดับไม่มี ใช้กิริยาจิตเป็นวิมุตติกับวิโมกข์ แปลว่าหลุดพ้น เท่านั้น

จิตเป็นนามธรรมไม่ปรากฏรูปร่าง สิ่งใดเกิดดับได้ สิ่งนั้นต้องแสดงตัวให้ปรากฏเป็นรูปร่างในวิถีทางทั้ง ๖ คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร และทางทั้ง ๖ นี้ เป็นเครื่องมือของจิตสำหรับรับอารมณ์ ณ ภายนอก ไม่ใช่สำหรับจะดูจิตตรวจตราจิต ณ ภายใน

จิตรูปร่างเป็นอย่างไรจึงรู้ว่ามันเกิดดับ ต้องมีผู้รู้เห็นจิตขึ้นอีกอย่างหนึ่ง จิตกลับเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกตรวจ จิตก็เป็นผู้รู้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะเอามาเป็นผู้รู้จิตอีก

จิตเป็นตัวธรรมแท้ เมื่อได้ความบริสุทธิ์ถึงขีดสุด พ้นจากกิเลสสัญโยชนธรรมแล้วก็สงบเหมือนน้ำลงสู่เส้นระดับราบ เรียกว่า สันติธรรม หรือนิพพานธรรม

จิตไม่มีการเกิดดับ เกิดดับแต่อารมณ์ของจิตที่เข้ามาโดยวิถีทางทั้ง ๖ และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นกิริยากรรมของจิตหรือพลังงานของจิตเท่านั้น กิริยากรรมทุกอย่าง ย่อมเกิดดับ และธรรมชาติจิตมีความบริสุทธิ์อยู่เป็นเดิม กิเลสเครื่องมัวหมองเศร้าหมอง เกิดซับเสริมกันขึ้นเมื่อภายหลังจึงสามารถปฏิบัติกำจัดเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้

เหมือนผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด แต่เมื่อใช้ไปก็มีมลทินสิ่งโสโครกจับเกรอะกรังก็เศร้าหมองไป ซักฟอกแล้วก็บริสุทธิ์เป็นลักษณะเดิม

น้ำ...ธรรมชาติของมัน บริสุทธิ์สะอาดแต่เมื่อถูกประสมก็แปรรูปเป็นเศร้าหมอง เป็นไปตามสิ่งที่มาประสม หอมก็ได้ เหม็นก็ได้ เสียความบริสุทธิ์สะอาดไป เมื่อเอาน้ำนั้นไปกลั่นกรองได้ที่แล้ว ก็ได้ความบริสุทธิ์เท่าเดิม ฉันใด จิตของเราก็ฉันนั้น ดังนี้ ฯ

------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ-------- >>

ขอบคุณที่มา
http://www.baanmaha.com/community/thread28194.html

1637
คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137



"นิพพานในแง่ของการปฏิบัติในชีวิตประจำทุกวันของบุคคลทุกคน คำว่า “ทุกคน” นั้น หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชาย ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงใช้คำว่าทุกคน ฉะนั้น จะพูดถึงนิพพานใน 3 ลักษณะที่อยู่ในวิสัยของคนทุกคน แล้วก็ในชีวิตประจำวัน คือต้องปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ถ้ากล่าวอย่างนี้ เรามีหลักใหญ่ๆดังนี้ :-


1. ถ้าประสงค์ ตทังคนิพพาน คือนิพพานประจวบเหมาะนั้น ; จงปรับปรุงให้สิ่งแวดล้อมเราทุกสิ่งที่อยู่รอบด้าน ให้ถูกต้อง ให้เหมาะสม เราต้องมีความฉลาด จัด หรือปรับปรุง หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก ให้ทุกๆสิ่งมันถูกต้อง ให้มันเหมาะสมอยู่รอบๆตัวเรา รอบด้าน ถ้าเราอยู่ในภาวะอย่างนี้ ความเย็นใจชนิดที่รียกว่าตทังคนิพพานจะฟลุกง่ายที่สุด ใช้คำหยาบๆแบบชาวบ้านอย่างนี้หน่อยก็เพื่อจะประหยัดเวลา คือมันจะเกิดเอง อย่างที่เรียกว่าน่าอัศจรรย์เหมือนกับฟลุก

2. สำหรับ วิกขัมภนนิพพาน นั้น ต้องพยายามฝึกสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้ผลถึงฌาน ฝึกอย่างไร? ก็พูดอย่างละเอียดที่สุดแล้วในตอนคำบรรยายครั้งที่แล้วมาเรื่องสมาธิวัตร แล้วก็โดยหัวข้อว่าอานาปานสติภาวนา ฉะนั้น ขอให้ระลึกนึกถึงคำบรรยายนั้น หรือคำอธิบายเรื่องนั้น ในหนังสือที่ได้พิมพ์ขึ้นแล้วก็มี ถ้าต้องการวิกขัมภนนิพพานก็ให้ฝึกสมาธิ ให้ถึงขนาดที่เรียกว่ามีสมาธิ ; แม้เพียงอุปจารสมาธิก็ยังได้ผล ; แต่ว่าต้องการเฉพาะอัปปนาสมาธิจึงจะแน่นอน จึงจะเรียกว่ามีนิพพานอยู่ในอำนาจเรา เราบังคับได้ ถ้าเป็นเพียงอุปจารสมาธินี้ยังบังคับยาก บางทีก็บังคับไม่ได้

3. ทีนี้ถ้าต้องการ สมุจเฉทนิพพาน คือนิพพานชนิดที่ทำลายรากเหง้าของกิเลสหมดไปนั้น จะต้องปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมรรคที่ว่ามาแล้ว สรุปเรียกว่า มีการเป็นอยู่ชอบ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า : สเจ เม ภิกฺขเว ภิกฺขูสมฺมา วิหเรยฺยํ อสญฺโญ โลโก อรหนฺ เตหิ อสฺส – ถ้าภิกขุเหล่านี้จักอยู่โดยชอบไซร้ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ท่านตรัสเพียงว่าให้อยู่โดยชอบ ให้เป็นอยู่โดยชอบ ; แต่ความหมาย หมายถึง อริยมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น"

พุทธทาสภิกขุ ธรรมะ 9 ตา บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด กรุงเทพ (หน้า363 – 364)

 

@ ผลของการอบรมจิตให้ประภัสสรอยู่เสมอ

"ถูกแล้ว, ประภัสสรนี้ไม่ใช่นิพพานเด็ดขาด หรือนิพพานถาวร : แต่มันเป็นนิพพานเดิมพัน นิพพานต้นทุน. นิพพานเดิมพัน คือ เราจะขยายออกไป ขยายออกไป, ขยายเวลาที่ประภัสสรนี้ให้มันออกไป ออกไป, จนประภัสสรตลอดเวลา ; มีคำเรียกว่า กุปปธรรม – อกุปปธรรม , กุปฺปธมฺโม – อกุปฺธมฺโม : กุปฺปธมฺโม นั้นคือมันกลับวุ่นได้อีก, แล้วก็กระทำไปๆ จนเป็นอกุปปธรรม – คือกลับวุ่นไม่ได้อีก เมื่อประภัสสร คงเป็นประภัสสรตลอดกาลไปเลย สำเร็จเพราะการปฏิบัติ"

พุทธทาสภิกขุ ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม 2 สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ (หน้า174)

"เดี๋ยวนี้จะใช้คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ใช้คำว่าประภัสสร : แต่ที่จริงมันก็มีลักษณะเดียวกับประภัสสร, แต่ว่ามันเป็นประภัสสรถาวร ; เพราะว่าจิตมันเปลี่ยนสภาพ ไปอยู่ในสภาพที่เกิดไม่ได้, จิตก็ประภัสสรถาวร ; แต่นิยมเรียกว่าจิตบริสุทธิ์แล้ว หลุดพ้นแล้ว, ไม่ใช้คำว่าประภัสสร แต่ที่จริงมันก็คือประภัสสรชนิดถาวร"

(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 69 – 70)


........จบ................

1638
คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137


@ อบรมจิตให้ประภัสสรได้อย่างไร

"ทีนี้ก็มาดูถึงความลับ ความลึกลับอันหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหลาย : พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตนี้ประภัสสร – คือตามธรรมชาติ เป็นประภัสสร; แต่ว่าสูญความเป็นประภัสสร – คือเศร้าหมองไป เพราะกิเลสหรืออุปกิเลสมันเกิดขึ้นมาจับ เหมือนอาคันตุกะ : ถ้าไม่มีกิเลสเป็นอาคันตุกะแล้ว, มันก็เป็นจิตที่ผ่องใส เมื่อใดกิเลสเข้ามาเป็นแขก จิตนี้ก็เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส, เมื่อใดไม่มีกิเลสเป็นอาคันตุกะ จิตนี้ก็ผ่องใส; นี้คือธรรมชาติของจิต, ถ้าผู้ใดรู้ความจริงข้อนี้ จิตตภาวนาจักมีแก่บุคคลนั้น!!

นี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้, ผู้ใดรู้เรื่องจิตประภัสสรทั้งสองฝ่ายอย่างนี้แล้ว จิตตภาวนาจะมีแก่บุคคลนั้น : บุคคลนั้นจะต้องการ จะสนใจ จะพยายาม ที่จะป้องกันไม่ให้กิเลสเป็นอาตันตุกะเข้ามา; ก็จะรักษาจิตเป็นประภัสสรยิ่งๆขึ้นไป, จนจิตนี้เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่กิเลสมาเกิดไม่ได้แล้ว ก็มีแต่ประภัสสรถาวร : นั่นแหละคือ การบรรลุความเป็นพระอรหันต์, กิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไป เพราะมีจิตตภาวนา – คือการเจริญทางจิต, รู้ความลับของจิตว่า ประภัสสรหรือไม่ประภัสสรด้วยเหตุอย่างนี้, แล้วก็จะมีจิตตภาวนา นั่นคือความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ รู้เรื่องปัญญาวิมุตติ ที่ทารกมันไม่เคยรู้"

(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 30 – 32)

"จิตนี้มีธรรมชาติประภัสสร : เมื่อไม่มีกิเลสก็เรืองแสง ยังกับเพชรน้ำเอก มันมีรัศมีเรืองแสง ; จิตนี้ก็มีประภัสสร – เรืองแสงเมื่อไม่มีกิเลส แต่อย่างนี้ไม่บริสุทธิ์, ยังไม่เรียกว่าบริสุทธิ์ เรียกว่าประภัสสร : ยังไม่ใช่จิตของพระอรหันต์, แต่มันมีอาการเหมือนกันตรงที่ว่ากำลังไม่มีกิเลส. เพราะกิเลสไม่เกิดตามธรรมชาติ, นี้จะเรียกว่าประภัสสร : แต่มันก็กลับไม่ประภัสสร, กลับไปกลับมาวนอยู่อย่างนี้ ไม่เป็นที่พอใจ ; จึงเห็นวิธีที่ว่าจะทำให้มันประภัสสรเด็ดขาด คือว่ากลับเศร้าหมองไม่ได้ : บุคคลที่มองเห็นธรรมชาติของจิตอย่างนี้แล้ว ก็มีความแน่ใจในจิตตภาวนา"

(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 45)

"จิตตภาวนาแปลว่าทำจิตให้เจริญ : คำว่า “ภาวนา” นี้ แปลว่าทำให้เจริญ! จิตตภาวนาคือวิธีการอันหนึ่งที่จะทำจิตให้เจริญ  ; เจริญไปถึงไหน? เจริญถึงขนาดที่ว่า ทำอย่างไรจิตนี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการเกิดของกิเลสอีกต่อไป! การที่ประพฤติพรหมจรรย์ : ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละเป็นจิตตภาวนา, ทำให้จิตนี้ถึงสภาพประภัสสรชนิดถาวร ไม่กลับเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอีกต่อไป. กิเลสก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นแก่จิตนั้น, ความเป็นประภัสสรของจิตนั้นก็เป็นการถาวร : ประภัสสรชนิดนี้เป็นจิตของพระอรหันต์ ; ประภัสสรที่ยังกลับเศร้าหมองได้นั้นเป็นจิตของบุคคลทั่วไป : เมื่ออบรมกระทำจนจิตกลับเศร้าหมองอีกไม่ได้ หรือจิตนั้นไม่เป็นที่ตั้งแห่งการเกิดของกิเลสอีกต่อไป, ก็เป็นประภัสสรถาวร นี้คือจิตของพระอรหันต์"

(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 45-46)

1639
คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137

@ พบจิตประภัสสรได้ในขณะใด

"ฉะนั้นถ้าจะรู้พระพุทธศาสนาให้ง่ายและให้เร็ว จงพยายามสังเกตให้รู้จักจิตของตัวเอง ว่ามีเวลาไหนบ้างที่ไม่เศร้าหมอง คือไม่มีกิเลสครอบงำ, ดูเหมือนจะหาได้ยาก และยากที่จะรู้สึก ยากที่จะรู้จัก : พอรู้สึกเข้า มันรู้สึกสบาย ก็พอใจเสีย ก็กลายเป็นกิเลสไปอีกอันหนึ่งแล้ว!

ถ้าสมมติว่าพบจิตที่ไม่เศร้าหมองไม่มีกิเลส รู้สึกสบาย รู้สึกพอใจ : มันก็เกิดความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นในความสบาย ความรู้สึกสบายนั้นเสียอีก, มันก็กลับเศร้าหมองเสียอีก : เลยระยะเวลาที่เหลืออยู่เป็นประภัสสรล้วนๆนั้นมันหายาก แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็มีอยู่ ขอให้ช่วยตั้งต้นศึกษาให้รู้จักจิต : บางเวลาบางโอกาสไม่ได้เศร้าหมอง, ให้รู้จักจิตชนิดนี้ไว้เป็นเดิมพัน แล้วมันก็จะชอบพระนิพานได้ง่ายขึ้น เพราะพระนิพพานก็คือสิ่งที่จิตรู้สึก. เมื่อจิตไม่เศร้าหมองด้วยประการทั้งปวง เรียกว่าจิตอยู่กับภาวะนิพพาน"

(พุทธทาสภิกขุ จิตตภาวนาทุกรูปแบบ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 23 – 24)

"เมื่อพูดถึงเป็นมนุษย์เป็นคนโตแล้วโดยสมบูรณ์แล้วก็จะพูดได้ว่า จิตของบุถุชนนั้นมันเศร้าหมองเสียโดยมาก, มีส่วนที่ไม่เศร้าหมองน้อยมาก ; แต่ถ้าเป็นจิตของพระอริยเจ้า มันก็เศร้าหมองน้อย บริสุทธิ์มาก เป็นประภัสสรมาก, แล้วประภัสสรสูงขึ้นไปเช่นว่าทำสมาธิได้ : อยู่ในสมาธิว่างจากกิเลส จิตก็ประภัสสรยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับชั้นของสมาธิ, บรรลุอรหัตตผลนั้นเป็นประภัสสรสูงสุด ไม่มีกิเลสด้วยประการทั้งปวง"

(พุทธทาสภิกขุ จิตตภาวนาทุกรูปแบบ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 25)

"สำหรับหลักเกณฑ์อันนี้ ที่เกี่ยวกับนิพพานทั้ง 3 ชนิดนี้* ให้ระลึกนึกถึงคำว่า “จิตนี้ประภัสสร” ตามธรรมชาตินี้จิตเป็นประภัสสร คือไม่มีกิเลส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส จิตเดิมนั้นรุ่งเรืองเป็นประภัสสร ; แต่ถ้าเมื่อใดกิเลสเข้ามา ก็กลายเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่ประภัสสร

จิตที่ประภัสสรอยู่ตามธรรมดาเหมือนเราท่านตามธรรมดานี้ จิตเป็นประภัสสรชนิดที่กิเลสอาจจะแทรกแซงได้ : แต่ถ้าเราปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ความประภัสสรมันถาวร กิเลสแทรกแซงอีกไม่ได้ ; นี้เป็นนิพพานจริง นอกนั้นเป็นนิพพานชั่วคราว

นี้ขอให้เข้าใจว่า นิพพานทั้ง 3 ชนิดนี้มีรสอย่างเดียวกัน คือ รสสว่างจากสิ่งรบกวนใจอย่างเดียวกันหมด มีหน้าที่อย่างเดียวกัน คือว่านิพพานจะทำให้กิเลสรบกวนใจไม่ได้ในขณะนั้น ขณะใดเป็นนิพพาน ขณะนั้น นิพพานป้องกันอยู่ กิเลสรบกวนไม่ได้ ก็เป็นสุข; เมื่อไม่มีอะไรรบกวนใจแล้วก็เกิดรสของนิพพาน คือความเย็น จะเป็นนิพพานอย่างไหน นิพพานตัวอย่าง นิพพานชั่วคราว ก็มีลักษณะเย็น กันไม่ให้กิเลสรบกวนใจได้ในขณะนั้นเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น เราเอาภาวะอันนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะไม่เด็ดขาด จะไม่เฉียบขาด ก็ยังมีรสชาติอย่างเดียวกัน ทั้งที่ว่าเป็นภาวะอยู่กันคนละระดับ

ตทังคนิพพาน เกิดเพราะบังเอิญ ประจวบเหมาะ พูดอย่างภาษาหยาบโลนหน่อยก็ว่า ฟลุก เป็นนิพพานที่ฟลุกขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้เจตนาที่จะทำ ; เพียงแต่เราบังเอิญไปอาศัยอยู่ ไปทำอะไรอยู่ หรือว่าไปคิด ไปนึกอะไรอยู่ในที่ที่มีความแวดล้อมเหมาะ ;  เป็นเรื่องฟลุก ทำให้จิตว่างจากการรบกวนของกิเลส

ถ้าเป็น วิกขัมภนนิพพาน ก็เพราะว่า เราควบคุมระวังสังวร ตั้งเจตนาที่จะให้สิ่งต่างๆมันถูกต้องอยู่เสมอ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิต จนกระทั่งมีจิตสงบรำงับ นี้เป็นการทำให้เกิดขึ้นมา

สมุทเฉทนิพพาน นั้น เราทำให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ ; เราทำได้แต่ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ปรากฏภาวะออกมา เป็นความสิ้นไปแห่งกิเลสตามธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่านิพพาน เป็นสภาวธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงให้คำจำกัดความหรือบัญญัติไว้เฉพาะ ให้มันต่างกันอย่างนี้"

(* หมายถึง ตทังคนิพพาน , วิกขัมภนนิพพาน และ สมุทเฉทนิพพาน)

พุทธทาสภิกขุ ธรรมะ 9 ตา บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด กรุงเทพ (หน้า 360 – 362)


1640
บทความ บทกวี / ......จิตประภัสสร......
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 02:05:13 »
คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137


จิตประภัสสร (รวมคำบรรยายของท่านพุทธทาส)
วันที่โพส 3 มี.ค. 2554 โพสโดย ณัฐรดา

      
จิตประภัสสร เป็นคำที่ชาวพุทธควรรู้อย่างถูกต้อง มีคำบรรยายของท่านพุทธทาสที่ครอบคลุมแง่มุมต่างๆของจิตประภัสสรอยู่หลายแห่ง พอจะรวบรวมได้ดังนี้ @  ความหมายของ “จิตประภัสสร”

"จิตประภัสสร หมายถึงจิตเดิมแท้ที่ยังว่างอยู่ ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่ง ยังไม่ถูกหุ้มห่อด้วยกิเลส ไม่ถูกหุ้มห่อด้วยผลของกิเลส คือความดี ความชั่ว เป็นต้น เหมือนอย่างเพชร มันมีรัศมีในตัวมันเอง มันเรืองแสงของมันได้  เหมือนอย่างจิตเดิมแท้ประภัสสร แต่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ มันจึงเปลี่ยนแปลงได้ มันจึงต้องมีการอบรมจนเป็นประภัสสรที่ถาวร ชนิดที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงได้"

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 144)

"ประภัสสร แปลว่า ซ่านออกแห่งรัศมี ประภา = รัศมี  สะระ =  ซ่านออกมา คือไม่มีมลทิน แต่มันอยู่ในลักษณะที่มลทินมาจับได้ มาครอบได้ เศร้าหมองได้ ก็เป็นทุกข์ได้ อบรมจนมลทินจับไม่ได้" 

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 143)

"สิ่งที่เรารียกว่าจิตเดิมแท้ ที่เป็นตัวเดียวกันกับปัญญา เราหมายถึงจิตที่ว่างจากการยึดถือมั่น"

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 51)

 

@ จิตเสียความประภัสสรได้อย่างไร

"....มาศึกษาให้รู้ให้เห็น ตามที่เป็นจริงว่า “เรา” ประกอบขึ้นมาด้วยอวิชชาทีไร จิตใจนี้ก็มีตัวตน และมีของตนขึ้นมา และมีความทุกข์ขึ้นมาทุกที ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือ ความทุกข์ นี้ ไม่ใช่เกิดอยู่เป็นพื้นฐาน สิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือความทุกข์นี้ เพิ่งเกิดเป็นครั้งคราว พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า “ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร “อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ” แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา"

พุทธทาสภิกขุ วิธีชนะความตาย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ (หน้า 28)

1641
ระหว่างที่รอท่านsaken6009 เขียนเรื่องใหม่ (ถ้ามีภาพประกอบด้วยก็ยิ่งดีนะครับ) :015:
ผมขออนุญาตนำเสนอเรื่องผีๆไปก่อนนะครับ

เรื่อง เพื่อนรักมารอรับ

    วิรัตน์เป็นเพื่อนกับผมมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเราทั้งสองเรียนจบ ป.4 แล้ว ผมก็ไปเรียนต่อชั้นมัธยม ที่ตัวจังหวัดแบบไปเช้าเย็นกลับหมู่บ้านที่ผมกับวิรัตน์ถือกำเนิดเกิดมานั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 4 กิโลเมตร ส่วน วิรัตน์นั้น ไม่ได้เรียนต่อ  เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก และเขาเป็นลูกชายคนโต มีน้องสาวอีก 2 คน     เขาจึงต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน  ผมกับวิรัตน์เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เมื่อเห็นผมก็ต้องเห็นวิรัตน์ จนชาวบ้านเขาบอกว่า เรานั้นเหมือน “ผีกับโลงศพ

      พอผมเรียนจบชั้นมัธยมแล้วผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อและหางานทำ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผมกับวิรัตน์ต้องห่างเหินกันไปโดยปริยาย  ปีหนึ่งผมได้ลาพักร้อนเป็นเวลาสิบวัน ผมเดินทางกลับบ้าน ตอนนั้นเราสองคนกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัว จึงเที่ยวกันสะบัดช่อไปเลย แต่อย่างว่า พวกหนุ่มบ้านนอกอย่างผม ก็เที่ยวได้แค่งานวัดเท่านั้น แต่เราก็สนุกกันมาก   ก่อนผมจะกลับกรุงเทพฯสองวันก็สังเกตว่า วิรัตน์ดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ พอถามก็ได้คำตอบว่า
“เบื่อชีวิต”แถมพูดเป็นนัยๆ อีกว่า“มึงมาคราวหน้าอาจจะไม่เจอกูแล้ว ก็ได้” “เฮ้ย พูดอะไรอย่างงั้น ไม่เจอ แล้วมึงจะไปไหนวะ”   วิรัตน์ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มเฉยๆ ซึ่งผม ก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ  

        3 เดือนเต็มๆ หลังจากนั้นที่ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ ซึ่งปกติผมจะกลับ        ทุกสิ้นเดือนวันหนึ่ง ผมรู้สึกว่าจิตใจร้อนรุ่มมาก อยากจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งผมไม่เคย  รู้สึกอย่างนี้มาก่อน ผมจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน แต่เนื่องจากมันเป็นเวลาเย็นมากแล้ว กว่าจะกลับไปถึงบ้านจึงดึกพอสมควร  

        ผมลงรถเมล์ประจำทาง กรุงเทพ-นครปฐม ที่หน้าวัดธรรมศาลาเอาเมื่อ    3 ทุ่มกว่า บริเวณหน้าวัด เงียบและวังเวงผมต้องเดินผ่านวัดและผ่านป่าช้าไป เพราะบ้านผมอยู่หลังวัดออกไปอีก 1 ก.ม. แหม... ป่าช้าวัดบ้านนอก ท่านผู้อ่านก็รู้อยู่ว่ามันน่ากลัวและวังเวงขนาดไหน สายลมพัดโชยมา ทำให้ใบไม้สั่นพลิ้ว ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงก่อนก้าวออกเดิน

     เรื่องผีนั้นไม่ใช่ว่าไม่กลัวแต่เนื่องจากผมเคยเป็นเด็กวัดที่นี่มาก่อน ความกลัวผีก็เลยลดลงผมเดินมาเรื่อยๆ จนเข้ามาถึงบริเวณวัด ทางด้านขวามือของผมมีต้นมะพลับสูงใหญ่ต้นหนึ่งใบของมันหนาดก    เป็นเงาครึ้ม พอผมเดินเข้ามาใกล้ มีร่างผู้ชายในชุดสีดำ ก้าวออกมาจากใต้ต้นไม้ต้นนั้น ผมหยุดเดินทันที ไม่ได้คิดถึงเรื่องผี แต่ผมกลัวว่าจะเป็นคนที่มาดักทำร้าย   และปล้นทรัพย์สินของผม ถึงแม้ในตัวผมจะมีแค่นาฬิกาเรือนละไม่กี่ร้อย และเงินสดในกระเป๋าแค่ 300 บาท แต่ผมก็เสียดาย            “ทำ..ไม...มา..จน...ดึก...เชียว?”   เสียงแหบแห้งร้องทักมาจากร่างนั้น “เฮ้ย...นั่นมึงเหรอไอ้รัตน์    ใช่หรือเปล่าวะ” ผมร้องถามออกไป  “ฮึ...ฮึ กูเอง กูมารอรับมึง”  เสียงแหบๆ ของมันบอก ผมดีใจมากที่มีเพื่อนร่วมทาง     จึงรีบเดินเข้าไปหา แต่เขากลับเดินหนีผมไป พร้อมกับมีเสียงหมาวัดหอนเป็นช่วงๆ “มึงรู้ได้ยังไงว่ากูจะมาวันนี้” ผมถามวิรัตน์ เขาไม่ตอบ แต่พูด  ขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า “รีบๆ เดิน...เข้า...เถอะ มัน..ดึก...แล้ว

 ด้วยความดีใจที่เพื่อนมารับ   ผมจึงรีบเดินเพื่อให้ทันมัน แต่ก็ไม่ทันสักที เราอยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตรได้ หมาวัดยังหอนรับกันอยู่เป็นทอดๆ วิรัตน์ทำปากจุ๊ๆ ดุหมา พวกมันเลิกหอนและวิ่งหนี เปิดตูดไปแน่บ  “เฮ้ย เดินช้าๆ หน่อยสิวะ กูเดิน ไม่ทัน”    ผมบอกเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมรอ ทิ้งระยะห่างไว้เท่าๆ เดิม ส่วนผมนั้น เดินไปก็บ่นไป และถามอะไรกับเขาหลายๆ อย่าง แต่เขาก็ไม่ยอมตอบ  ได้แต่เดินไปอย่างเงียบๆจนเราสองคนเดินมาถึงทางแยกเข้าบ้านผม วิรัตน์ก็เดินเลยไป ซึ่งตามปกติแล้ว เขาจะมานอนคุยกับผมที่บ้านทุกครั้ง      ที่ผมกลับมา

     “อ้าว เฮ้ย คืนนี้ไม่นอนด้วยกันเหรอ”   ผมถามวิรัตน์ “ไม่หรอก...เอ็งนอนเถอะ”โฮ่งๆ หมาที่บ้านมันเห่าเสียงดัง        ผมจึงหันไปดุหมาและหันกลับมาทางวิรัตน์ แต่ไม่มีแล้ว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน ทำไมถึงเร็วนัก“ทำไมกลับมาดึกๆดื่นๆ ไม่กลัวอะไรเลยเหรอ”พ่อแม่ผมถามคำแรก เมื่อเห็นหน้า “จะกลัวอะไร ก็ไอ้รัตน์มันคอยไปรับผม”  พ่อกับแม่มองหน้ากัน และบอกว่า  “ไอ้รัตน์น่ะ มันตายไป 7 วันแล้ว เพิ่งเผาศพมันไปเมื่อวานนี้เอง แล้วมันจะไปรับเอ็งได้ยังไง ฮึ”    ผมตกใจมากับคำพูดของพ่อ  และเถียงไปว่า  “ไม่จริงมั้ง ก็ผมกับมันยังเดินคุยกันมาอยู่เลยนี่นา” พ่อบอกว่า วิรัตน์ถูกลูกผู้ใหญ่บ้านยิงตาย เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง คนยิงก็หนีไป    ยังจับตัวไม่ได้เลย “วิญญาณของมันคงจะเป็นห่วงเอ็งมาก รู้ว่าเอ็งจะมา เลยไปรอรับน่ะสิ”นี่ก็แสดงว่า ผมเดินมากับวิญญาณของเพื่อนน่ะซีครับ มิน่าล่ะ หมาถึงได้หอน มาตลอดทาง   ขอให้ดวงวิญญาณของเพื่อน   ไปสู่สุคติเถิด เพื่อนคนนี้จะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้  

ป.เจริญรักษ์

จากนิตรสาร คู่สร้างคู่สม
http://www.koosangkoosom.com/ghost_view.php?gid=&id=2

1642
ขออนุญาตท่านsaken6009
นำเรื่องที่เกี่ยวข้องมาเสนอ จากนิตรสาร คู่สร้างคู่สม
http://www.koosangkoosom.com/ghost_view.php?gid=&id=3

เรื่อง ผีพรายน้ำ คลองตะเคียน อยุธยา

จากทหารหาญที่ไม่เคยกลัวผีและคิดว่าผีไม่มีจริงในโลก ตอนนี้กลัวผียิ่งกว่ากลัวเมียเสียอีกครับ

                พี่ชาย ลูกของน้าผมเป็นสารวัตรทหาร ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่ค่อนข้างโผงผางและไม่กลัวอะไร แน่นอนว่าเขาไม่กลัวผีและคิดว่า ผีไม่มีในโลกนี้เสียด้วย พี่ชายได้เล่าว่า หลังจากออกเวรเขาได้วันหยุดติดต่อกัน 2 วัน เขากับเพื่อนทหารอีก 2 คน จึงเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านของเพื่อนที่ อ.คลองตะเคียน จ.พระนครศรีอยุธยา

บ้านเพื่อนอยู่ติดกับคลองจึงต้องนั่งเรือเข้าไป กว่าจะถึงก็เย็นมากแล้ว แต่แสงตะวันยังโพล้เพล้อยู่ หลังจากพักผ่อนและลงมาทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วพี่ชายก็อยากจะพายเรือเล่น เพราะว่าไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบชนบทมานาน

                 เพื่อนๆ ของพี่ชายต่างก็ห้ามเพราะเห็นว่าตอนนั้นค่ำแล้ว กลัวจะเกิดอันตราย แต่พี่ชายก็จะไปให้ได้ จึงถอดเชือกคล้องเรือออกจากเสา พลางพายเรือออกจากท่าหน้าบ้านเพื่อออกไปสู่คลองใหญ่ พี่ชายพายเรือไปเรื่อยๆ ด้วยความสบายใจ โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวกำลังจะเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า เขาได้พายเรือห่างออกไปเรื่อยๆสัก 100 เมตร เห็นจะได้ มีผักตบชวากอหนึ่งขนาดใหญ่ผิดปกติกำลังลอยเข้ามาพี่ชายมีความรู้สึกว่า มีอะไรกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกอผักตบนั้น พอใกล้เข้าไปเรื่อยๆเขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ผักตบชวากอนั้นกำลังลอย    เข้ามาหา เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนน้ำกระจายออกมาเป็นทาง“ให้ตายเถอะ”ชายถึงกับตกตะลึง ถ้าตาไม่ฝาดไปล่ะก็ พี่ผมเห็น ร่างกายของอมนุษย์  ตนหนึ่งนั่งอยู่บนกอผักตบชวานั้น ผิวหนังขรุขระออกสีเขียวเข้ม แต่ดวงตาสีแดงฉาน กำลังจ้องมองมาทางพี่ชายเหมือนประสงค์ร้ายปากมันแสยะกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กอยู่เต็มปาก       

                พี่ชายบอกว่า เห็นภาพมันชัดเจนท่ามกลางแสงสว่างจากพระจันทร์ ร่างนั้นอยู่ใกล้เรือเพียงไม่กี่เมตร แต่สติสัมปชัญญะก็กระตุ้นให้เขารีบหนีออกไปจากที่ตรงนั้น โดยเร็วที่สุด พี่ชายรีบจ้ำอ้าวเข้าหาฝั่งแต่ช้าไป มันมาถึงตัวพี่ชายเสียแล้ว มันกระโจนลงจากกองผักตบชวา เข้ามาเกาะ ที่เรือของพี่ชายทำให้เรือพลิกตะแคงจนพี่ชายตกน้ำ ชายพยายามตะกายเข้าหากราบเรือเพื่อประคองตัวเอาชีวิตรอดแต่....ขาของพี่ชายก็ถูกอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายเส้นผมจำนวนมาก พันข้อเท้าไว้อย่างรวดเร็ว มันจะฉุดพี่ชาย  ลงไปใต้น้ำให้ได้ เขาจึงร้องขอความช่วยเหลือ ส่วนมือก็ยึดกราบเรือเอาไว้ ขณะที่เรี่ยวแรงกำลังจะหมด หูของเขาก็ได้ยินเสียง         คนจำนวนมาก เอาเรือออกมาช่วย แสงสว่างจากเรือส่องไปทั่วคุ้งน้ำ พี่ชายรู้สึกว่าเส้นผม     ที่พันข้อเท้าอยู่นั้นค่อยๆ คลายลง ผู้ที่มาช่วย ก็พาเขาเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย พี่ชายร้องไห้อย่างไม่อายใครและได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง มีผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกกับพี่ชายว่า

 “ดีนะที่ช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นได้ไปอยู่เป็นเพื่อนผีพรายน้ำไปแล้ว”ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ พี่ชายไม่กล้าพายเรือไปไหนคนเดียว         ตามลำพังอีกเลยจากทหารหาญที่ไม่เคยกลัวผี           และคิดว่าผีไม่มีจริงในโลก ตอนนี้              พี่กลัวผียิ่งกว่ากลัวเมียเสียอีกครับ

เชิดชัย/อยุธยา




1643
กฎแห่งกรรม / ตอบ: เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 01:38:02 »
นายบุญไม่มีบุญ


       กรรมที่มนุษย์เป็นผู้ก่อไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วสักวันก็ต้องกลับมาตอบสนองไม่ช้าก็เร็ว แม้จะมีตัวอย่างให้เห็นหลายๆ ราย แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ไม่เชื่อ ในกฎแห่งกรรมเพราะความอยากได้ ความเห็นแก่ตัว ยอมแพ้กิเลสที่มาล่อตาล่อใจ ยอมทำลายเบียดเบียนผู้อื่น ฆ่าได้แม้แต่ชีวิตเขา

       ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ “บุญ” แต่ไม่เคยทำบุญสมชื่อเลย ตรงกันข้ามกลับชอบทำบาปเป็นประจำ ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น บุญชอบตีไก่มาก และที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือ เจอรังลูกนกไม่ได้เป็นต้องปีนขึ้นไปเอามันลงมาทำลายชีวิตที่ไม่ใช่แค่ชีวิตเดียวแต่มีนับสิบๆ ตัว ไม่เว้นแม้แต่วันพระ บุญชอบไปจับงูสิงพอได้มาคราวละ 10 กว่าตัวก็นำมาต้มเป็นๆในน้ำเดือดเพื่อแกล้มเหล้า เต่า ตะพาบก็เผากันทั้งเป็น ฆ่าแล้วยังไม่ตายก็โยนเข้ากองไฟไร้ซึ่งความปรานี

       บุญใช้ชีวิตกับการฆ่าสัตว์มาตลอด และทำโดยไม่เคยคิดจะเลิกทำ ไม่รู้จักความเมตตา หากใครห้ามปรามหรือชี้ให้เห็นบาปบุญคุณโทษบุญก็ไม่เชื่อ พาลจะด่าเอาด้วย เรื่องทำไร่ไถนาบุญหนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ พ่อกับแม่เลยตัดหางปล่อยวัด ไม่อยากยุ่งด้วย สัตว์ทุกชนิดบุญเบียดเบียนมาหมด ฆ่าตายด้วยความคะนองก็มาก เป็นกับแกล้มก็เยอะ ไม่เว้นแม้แต่หมาแมวที่เดินเพ่นพ่าน

       เรื่องทำผิดศีล นอกจากฆ่าสัตว์แล้ว บุญยังชอบเล่นการพนันโดยเฉพาะหวยและก็ถูกบ่อยๆ

       มีอยู่งวดหนึ่งบุญถูกนับแสน เป็นเรื่องธรรมดาที่วงเหล้าจะต้องใหญ่กว่าทุกวัน ฉันถามแม่ของบุญว่า บุญทำบาปมาตลอดทำไมถูกหวยบ่อย ถูกเอาๆ อยู่คนเดียว แม่บอกว่าเป็นเพราะบุญเก่ายังเหลืออยู่ แต่มาชาตินี้เขาไม่ได้ทำบุญเพิ่มสักวันบุญเก่าก็จะหมด

 

       วันที่บุญเลี้ยงฉลอง บุญก็ไปยิงนก ช็อตปลาเหมือนเดิม เพื่อนบุญเล่าให้ฟังว่าบุญยิงโดนขานกกระสาที่มาเกาะเพื่อหาปลาแถวท้องนากิน แต่พลาดไปถูกขานกขาดข้างหนึ่ง แต่มันบินหนีไปได้ ฉันคิดต่อไปว่ามันคงตายอย่างทรมานเพราะหากินไม่ได้ ปลาที่บุญช็อตมากองใหญ่ขนาดทำทั้งคืนก็ยังไม่หมด แทนที่จะแจกเพื่อนบ้านก็เปล่า ทำกินกันเฉพาะแค่ในวงเหล้า วันรุ่งขึ้นปลาก็เริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ในที่สุดเมียบุญ ก็ต้องเอาไปโยนทิ้ง

       บุญช่างหาเมียที่นิสัยใจคอเข้ากันดีเหลือเกิน จิตใจโหดเหี้ยมพอกัน

       ผัวหามา...เมียก็เป็นคนฆ่า

       ฉันมองหน้าบุญแล้วไม่มีสง่าราศีเลย ดูดำคล้ำ หมอง ดวงตาแข็งกระด้างและฉันก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย

 

       เมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่ผู้ชายไทยต้องไปรับใช้ชาติ บุญถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารแถมถูกส่งไปลาดตระเวนชายแดนด้วย แค่ไม่กี่เดือนข่าวที่สร้างความตกใจให้คนทั้งหมู่บ้านก็คือ บุญไปเหยียบกับระเบิดจนขาขาดข้างหนึ่ง หลังออกจากโรงพยาบาลบุญกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์ร้อนเพราะความพิการของเขา

       บุญดื่มกินหนักกว่าเก่า เพื่อนบ้านต่างซุบซิบกันว่าที่บุญเป็นแบบนี้เพราะกรรมกำลังตามทันบุญแล้ว...

       “บุญเอ๊ย...เพลาๆ กินเหล้าเถิดลูก ชีวิตที่เหลืออยู่แม่อยากเห็นเอ็งอยู่อย่างสงบ สร้างบุญ สร้างกุศลบ้าง”

       แม่ของบุญเหลืออดกับสภาพของลูกชายที่เมาคาขวดเหล้าทุกวัน แต่บุญก็ตวาดแม่กลับมาว่า

       “แม่อย่ามายุ่งกับฉันดีกว่า ชีวิตเป็นของฉัน ฉันจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของฉัน แม่อยู่ส่วนแม่ไปเถอะ”

       ไม่พูดเปล่ายังผลักอกแม่ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดแท้ๆ อีกด้วย

       ...การกระทำในครั้งนี้บุญไม่รู้ตัวหรอกว่าได้ “สร้างบาป” เพิ่มขึ้นแล้ว

       บุญเหลือขาข้างเดียวก็ยังไปตีไก่ไม่ได้หยุด ไก่ตีของบุญมีหลายตัว ตัวไหนแพ้มาก็จับเชือดกินโดยไม่ได้นึกเลยว่าครั้งหนึ่งมันก็เคยตีชนะเดิมพันให้บุญได้มีกินมีใช้ไปหลายวัน

       อารมณ์ฉุนเฉียวที่บุญพาลทะเลาะกับลูกเมียถึงขั้นลงมือลงไม้กันทำให้เมียบุญหอบลูกออกไปอยู่บ้านแม่ ทิ้งให้บุญเฝ้าบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ คนเดียว ระยะหลังๆ บุญหายหน้าไป คนในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครสนใจยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะนิสัยพาลเกเรของบุญ

       ข่าวของบุญที่ฉันได้รับรู้คือ บุญป่วยสามวันดีสี่วันไข้ ร่างกายผอมลงมากแต่ก็ยังอวดเก่ง นอกจากไม่ยอมไปหาหมอแล้วยังตีไก่เหมือนเดิม กินเหล้าหนักกว่าเก่าด้วย ดีที่มีพ่อแม่พี่น้องแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนตามประสาคนในครอบครัวอยู่เช่นเดิม

       เมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้าหมู่บ้านมาจะมีใครรู้บ้างว่ามัจจุราชจะมาเอาชีวิตของบุญไป

       ค่ำวันหนึ่ง บุญจุดตะเกียงดวงเล็กไว้ข้างมุ้งที่ตัวเองนอนหลับอย่างสบายอยู่ พอดีลมหนาวพัดมาวูบใหญ่ ชายมุ้งได้ปลิวไปปัดตะเกียงจนล้มคว่ำ น้ำมันไหลเป็นทางยังผลให้ไฟวิ่งไล่โลมเลียตามทางน้ำมันไปเจอผ้ามุ้งโปร่งบางก็ลุกติดโดยเร็ว ไม่เพียงแค่นั้นยังลามติดเสื้อผ้าที่บุญสวมใส่ด้วย แสงไฟสว่างจ้าปลุกให้ชาวบ้านละแวกนั้นลุกขึ้นมาร้องเอะอะโวยวายกัน พวกผู้ชายรีบจ้วงตักน้ำเพื่อช่วยกันดับไฟ...

       ...ในเพลิงไฟนั้นมีร่างของบุญที่กำลังพยายามกางแขนกางขาสลัดไฟที่ลุกท่วมร่างไปมาซึ่งก็ไม่มีใครช่วยไว้ได้ทัน และแล้วร่างของบุญก็ไหม้ดำจากการถูกไฟคลอก...

       ไฟมอดลงแล้ว ผู้เสียชีวิตมีเพียงบุญคนเดียว ผู้ที่ทันเห็นเหตุการณ์เล่าว่า

       สภาพศพของบุญเหมือนนกที่สลัดปีกยามถูกไฟเผา

       ...เพื่อนในวงเหล้าคนหนึ่งบอกว่าเหมือนนกแร้งที่บุญเคยจับได้ที่กลางทุ่งนาแล้วบุญก็จับมาเผาทั้งเป็นแล้วกินตอนยังเป็นวัยรุ่น

       เหตุการณ์ที่บุญถูกกับระเบิดจนขาขาด ไฟคลอกตัวเองตายนี้กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันถึงผลกรรมที่ทำไว้ ทำให้เพื่อนร่วมวงเหล้าของบุญคิดไปในทางเดียวกันว่า

       นับจากนี้ไปจะเลิกทำบาปทำกรรมเพราะไม่คิดว่ากรรมจะส่งผลได้ทันตาเห็นขนาดนี้...

       ...ยังไม่สายเกินไปหรอกที่จะรีบทำ ความดีก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ

 

                                          ...คนเชื่อเรื่องกรรม/สมุทรปราการ...

ขอบคุณที่มา
http://www.koosangkoosom.com/mag_past_view.php?id=221

1644
ขอบคุณที่มา และท่านwebmaster
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)



(มหาตัณหาสังขยสูตร)

         จิตนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของตัวตน  เกิดดับ เกิดดับ...ขึ้นตามเหตุปัจจัยการกระทบกันดังข้างต้นในมหาตัณหาสังขยสูตร  จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุปัจจัย  จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวตนที่หมายถึงเราหรือของเรา จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริง ที่หมายถึงเมื่อกระทบกันของอายตนะภายนอกและอายตนะภายในในผู้ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตินทรีย์อยู่ ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ   แต่เพราะความที่ไปควบคุมเหตุบางประการได้ระยะหนึ่งเท่านั้ัน จึงเกิดมายาหลอกลวงจิตให้เห็นผิดไปว่าควบคุมบังคับมันได้  จิตจึงแปรปรวนไปตามเหตุหรือสิ่งที่กระทบสัมผัสอันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ  โดยอาศัยส่วนหนึ่งของกายเป็นประตูหรือทวารเชื่อมอีกด้วยโดยอายตนะภายในต่างๆนั่นเอง  และกายก็ยังเป็นแหล่งแสดงผลของจิตอีกทางหนึ่งด้วย  ดังนั้นแม้แต่กายจริงๆแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งหรือเหตุปัจจัยหนึ่งของจิตอีกด้วย  ตลอดจนขันธ์ต่างๆของจิตเองอันมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างก็ล้วนเป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้นเช่นกัน จึงต่างก็ล้วนมีเหตุมีปัจจัยของมันเองทั้งสิ้น  ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง จิตจึงเป็นสิ่งที่แปรปรวน ลึกลับสุดหยั่ง และควบคุมบังคับได้ยาก เพราะเกิดแต่เหตุปัจจัยมากหลายดังที่กล่าวมา  และยังมีมายาของจิตนั่นเองที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งด้วยอำนาจของตัณหาอันยังให้เกิดอุปาทานให้เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง

        ด้วยธรรมชาติของชีวิตดังนี้นี่เอง  เมื่อใจคิดนึกปรุงแต่ง กล่าวคือฟุ้งซ่าน ก็ย่อมเกิดจิตต่างๆขึ้นเป็นธรรมดา และเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องให้เกิดเวทนาต่างๆขึ้นอีกด้วยเป็นธรรมดา ดังได้กล่าวโดยละเอียดไว้แล้วในขันธ์ ๕  ด้วยเหตุนี้นี่เองจึงจำเป็นต้องมีสติรู้เท่าทันจิต กล่าวคือจิตสังขารที่ครอบคลุมทั้งเวทนาและจิตสังขารคิด แล้วหยุดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งเสีย กล่าวคือเมื่อยังปรุงแต่งฟุ้งซ่านอยู่ย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาขึ้นได้เป็นธรรมดา
        ดังนั้นเราจึงพอให้แค่ความหมายแก่จิต เพียงเพื่อใช้ในการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจกันว่า
        จิต คือ องค์ประกอบอันสำคัญยิ่งของชีวิตทั้งหลาย ส่วนที่นอกเหนือไปจากส่วนรูปหรือรูปขันธ์(ร่างกายหรือตัวตน)  แต่ถึงกระนั้นกายนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตอีกด้วย  หรือ
        จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ กล่าวคือ สภาวธรรมของชีวิตที่รับรู้อารมณ์ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่กระทบ,   สภาพที่นึกคิด,   ความคิด,   ใจ;

        ส่วนคำถามที่ว่า จิตอยู่ที่ไหน? นั้น เป็นคำตอบเดียวเช่นกับเงานั่นเอง กล่าวคือจิตไม่มีตัวตนแท้จริงเป็นอนัตตาเหมือนดังเงาดังที่กล่าวข้างต้น  เมื่อมีเหตุเป็นปัจจัยกัน จิตหนึ่งก็เกิดขึ้น  ไม่มีเหตุก็ไม่เกิด  จึงอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง  กล่าวคือในผู้มีชีวิตินทรีย์อยู่ เมื่ออายตนะภายนอกกระทบหรือประจวบกับอายตนะภายใน  จิตหนึ่งหรือวิญญาณหนึ่งก็ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
        จิตหรือวิญญาณ จึงเป็นไปดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ดีแล้ว ในมหาตัณหาสังขยสูตรตอนหนึ่งว่า
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
                เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
        ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของพระเดชพระคุณเจ้าพระธรรมปิฏก ก็ได้กล่าวถึงจิตไว้ดังนี้   
         "จิต มีไวพจน์ คือ คำที่ต่างเพียงรูป แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน ใช้แทนกันได้หลายคำ เช่น มโน มานัส หทัย บัณฑร มนายตนะ มนินทรีย์ และ วิญญาณ เป็นต้น คำเหล่านี้มีความหมายเกยกัน มิใช่ตรงกันโดยสมบูรณ์  ใช้แทนกันได้ในบางโอกาส มิใช่เสมอไป

        เมื่อจัดแบ่งสภาวธรรมทั้งหลายเป็นประเภทๆ ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕  จิตได้แก่ วิญญาณขันธ์.
        ส่วนคัมภีร์อภิธรรมรุ่นอรรถกถา ประมวลเรื่องจิตที่แสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกแล้ว  แจงนับสภาพจิตทั้งหลายไว้ว่ามีจำนวน ๘๙  หรือโดยพิสดารมี ๑๒๑  เรียกว่า จิต ๘๙ หรือ ๑๒๑

        แบ่ง โดยชาติหรือลักษณะของการเกิดแบบต่างๆ เป็น  อกุศลจิต ๑๒  กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗)  วิปากจิต ๓๖ (๕๒)  และกิริยาจิต ๒๐;
        แบ่ง โดยภูมิ เป็น  กามาวจรจิต ๕๔  รูปาวจรจิต ๑๕  อรูปาวจรจิต ๑๒  และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐)."

        ดังคำอรรถกถาธิบายข้างต้น  จะเห็นการจำแนกจิต   จิต โดยตามความเป็นจริงแล้วจึงเกิดได้หลายดวง  ดวงที่เป็นเพียงสรรพนามที่มีความหมายถึงอาการ จึงหมายถึงว่า จิตเกิดอาการของจิตได้หลายอาการในชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป จิตหนึ่งหรือวิญญาณหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  และในขณะเดียวกันนั้นหูก็กระทบในเสียงก็ย่อมมีจิตอีกดวงย่อมเกิดขึ้นร่วมด้วยเป็นธรรมดา  และถ้าในขณะนั้นธรรมารมณ์(เช่นคิด)กระทบใจ ก็ย่อมมีอีกจิตหนึ่งร่วมเกิดขึ้นด้วยอีกเป็นธรรมดา ฯ.  จึงเกิดจิตได้หลายดวงหรืออาการในขณะหนึ่งๆ เพียงแต่ว่าจิตดวงใดเด่นหรือเป็นเอกอยู่ในขณะนั้นๆ หมายถึงแสดงอาการออกมาอย่างเด่นชัดที่สุดในขณะนั้นๆนั่นเอง  อุปมาได้ดังพลุที่ยิงขึ้นท้องฟ้าในงานเทศกาล อันย่อมประกอบด้วยพลุจำนวนมากนับสิบนับร้อย แต่ ณ ขณะหนึ่งๆนั้น ย่อมมีพลุที่งามเด่นในสายตาอยู่หนึ่ง  แต่แล้วต่างก็ล้วนต้องดับไปเป็นที่สุด  จิตก็เป็นไปเช่นดังพลุ   หรือดังเงาที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง

        เงานั้นเกิดแต่เหตุปัจจัย เช่น วัตถุทึบแสง และแสง เมื่อสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือเหตุ มีอาการแปรปรวนอันใดเป็นธรรมดา  เงานั้นก็ต้องแปรปรวนหรืออิงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้นๆ มิสามารถควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนา  เพราะแปรปรวนหรืออิงกับเหตุอันมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันเหล่านั้นเป็นธรรมดาอย่างจริงแท้แน่นอน  ไม่มีตัวตนที่แท้จริง หรือตัวตนไม่เป็นแก่นเป็นแกนอย่างแท้จริง  จิตก็เช่นเดียวกัน   แต่เงานั้นเมื่อมีอาการแปรปรวนไปเป็นธรรมดาแล้ว เป็นทุกข์ไหม?  ย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะไม่มีตัณหาทะยานอยากหรือไม่อยากใดๆในเงานั้นนั่นเอง  อันเป็นสิ่งที่เราพึงต้องพยายามปฏิบัติให้เป็นเช่นนั้นต่อจิตหรือผลของจิตเช่นกัน

         เนื่องจากจิตเกิดแต่เหตุได้มากหลาย มาเป็นปัจจัยกัน   จิตจึงกวัดแกว่ง แปรปรวนได้ง่าย  ควบคุมบังคับได้ยาก  จึงต้องหัดควบคุมจิตไม่ให้กวัดแกว่ง แปรปรวน หรือฟุ้งซ่าน  เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการฝึกจิตให้มีสติ ระลึกรู้เมื่อปรุงแต่ง  และมีปัญญาอย่างแจ่มแจ้งไม่คิดนึกปรุงเพราะรู้เข้าใจว่า ถ้าคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านเสียแล้วย่อมก่อให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นนั่นเอง

1645
ขอบคุณที่มา และท่านwebmaster
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)

อายตนะภายนอก --->  อายตนะภายใน --->  วิญญาณ หรือก็คือ จิตหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป เป็นไปตามธรรมดาหรือตามการกระทบของอายตนะในผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือมีชีวิตินทรีย์อยู่  กล่าวคือเป็นไปดังพระสูตรที่ได้ตรัสแสดงไว้ดังนี้
       
[๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

วิญญาณ(หรือจิต)อาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณ อาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าจักษุวิญญาณ (ได้เกิดขึ้น กล่าวคือเกิดรู้แจ้งในอารมณ์อันคือรูป หรือรับรู้ในรูป)
วิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ (รู้แจ้งในอารมณ์อันคือเสียง หรือรับรู้ในเสียง)
วิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ (รู้แจ้งในกลิ่น หรือรับรู้ในกลิ่น)
วิญญาณ อาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ (รู้แจ้งในลิ้น หรือรับรู้ในลิ้น)
วิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ (รู้แจ้งในกาย หรือรับรู้ในกาย)
วิญญาณ อาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ (รู้แจ้งในธรรมารมณ์ หรือรับรู้ในธรรมารมณ์)

เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ
ไฟอาศัยไม้ ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้
ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า
ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า 
ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟโคมัย   
ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ
ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ

1646
ขอบคุณที่มา และท่านwebmaster
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)



  จิตหนึ่งนี้  ตลอดจนสังขารทั้งปวง จึงมีการแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง เกิดดับ เกิดดับๆๆๆ....อยู่ตลอดเวลา ตามเหตุอันมาเป็นปัจจัยกันนั่นเอง เฉกเช่นดัง เงา
        เราก็รู้อยู่อย่างตำใจ ว่ามีจิต แต่ไฉนจึงกล่าวว่าไม่มีตัวไม่มีตน , ไม่ใช่ของตัวของตน อย่างแท้จริง  เหตุเพราะจิตนั้นอุปมาเหมือนดังเงา  อันไม่มีตัวตน,ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่างเป็นแก่นแกนถาวรแท้จริง จึงไร้แก่นสารหรือสาระอย่างแท้จริงที่จะไปยึดหรือไปอยากให้เป็นทุกข์   ดังเช่น ถ้าถามว่ามีเงาไหม ทุกคนก็ต้องตอบว่ามี ก็เพราะเห็นอยู่ทั้งตำตาและตำใจแท้ๆ  แต่ถึงจะมีก็จริงอยู่ แต่ก็อยู่ในสภาวะที่ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง ตามกฏพระไตรลักษณ์ นั่นเอง  เพราะเงาล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ มีเหตุต่างๆอันมี วัตถุทึบแสง, แสง, พื้นที่รับแสง มาเป็นปัจจัยกัน

เงา นั้นก็ไม่มีใน วัตถุทึบแสง       
เงา นั้นก็ไม่มีใน แสงหรือแสงแดด
เงา นั้นก็ไม่มีใน พื้นที่รับแสง       

         แต่เมื่อเหตุทั้ง ๓ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ วัตถุทึบแสงมาบังกั้นแสงที่ตกกระทบบนพื้นที่รับแสง จึงเกิด สังขาร - สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จากเหตุทั้ง ๓ มาเป็นปัจจัยกัน  จึงเกิดสิ่งที่เราเรียกกันโดยภาษาสมมติหรือสมมติสัจจะว่า เงา ขึ้น  อันเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา ที่หมายถึงเมื่อเหตุปัจจัยครบดังนี้ ก็ย่อมต้องเกิดขึ้น จะไปห้ามไม่ให้เกิด,ไม่ให้เป็นก็ไม่ได้   เมื่อเจริญวิปัสสนาโดยการโยนิโสมนสิการจะพบว่า เมื่อเหตุต่างๆอันคือวัตถุทึบแสง, แสง, พื้นที่รับแสง ที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเหล่านั้น  เมื่อเหตุตัวใดตัวหนึ่งซึ่งต่างก็ย่อมล้วนเป็นสังขารอันไม่เที่ยงเช่นกัน  มีอาการแปรปรวนหรือดับหรือสูญไป  เงาอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม ย่อมต้องเกิดอาการแปรปรวน หรือดับไป กล่าวคือขึ้นอยู่หรืออิงอยู่กับเหล่าเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันนั้นนั่นเอง   เงาอันเป็นสังขารจึงมีการแปรปรวน หรือการเกิดดับๆๆๆ...เป็นไปตามเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ภายใต้ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา เป็นไปเช่นดั่งจิต ที่ก็เป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยต่อกันและกันดังเช่นเงานั่นเอง  ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันก็ไม่เกิด   ดังนั้นการพยายามหาตัวหาตนของจิต หรือไล่จับจิตหรือวิญญาณ จึงเป็นการพลัดหลงสู่วังวนของความคิด  หรือมายาของจิต  จึงอุปมาได้ดั่งการพยายามวิ่งไล่จับเงา อันย่อมไม่มีวันประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักกี่ร้อยภพ กี่พันชาติ ก็ตามที

        เงา เมื่อเป็นสังขารสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นชนิดหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น จึงย่อมต้องเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ เกิดแต่เหตุปัจจัยมาเนื่องสัมพันธ์กัน ชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเท่านั้น สังขารจึงมีความไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นที่สุด เป็นอนัตตา ไม่เป็นแก่นไม่เป็นแกนอย่างแท้จริง เพราะคงทนอยู่ไม่ได้ และควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามใจปรารถนา เป็นไปหรืออิงตามเหตุปัจจัยหรือหลักปฏิจจสมุปบันธรรม  จิตก็เป็นเช่นดังเงานั้นนั่นเอง  ดังนั้นการพยายามหาตัวจิตหรือนิยามของจิตอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นการตกสู่หลุมพรางของความคิดหรือมายาของจิตทันที   ดังนั้นการที่ไปยึดหรือไปอยากใดๆในผลอันเกิดแต่จิตอันไม่เที่ยง  ผลอันเกิดขึ้นมาแต่เหตุที่ไม่เที่ยงนั้น  ผลก็ย่อมไม่เที่ยงไปด้วย  จึงย่อมต้องเกิดทุกข์ขึ้นในที่สุดจากการเสื่อม การสูญเสีย ความอาลัย ความอาวรณ์ ความคำนึงถึงต่างๆ  เพราะอำนาจพระไตรลักษณ์เป็นที่สุด

        จิต จึงไม่มีตัวตนเป็นแก่นเป็นแกน เป็นมายาเหมือนดั่งเงานั่นเอง เกิดแต่เหตุปัจจัยดุจดั่งเงา เมื่อขาดเหตุปัจจัยก็ดับไป  จิตจึงมีสภาวะเกิดดับ..เกิดดับ เหมือนดัง เงา ดังนี้

1647
ขอบคุณที่มา และท่านwebmaster
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)

ชาติธรรมสูตร

        [๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นแล  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สิ่งทั้งปวงมีความเกิด(คือชาติ)เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความเกิดเป็นธรรมดาคืออะไรเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ จักษุ  รูป  จักษุวิญญาณ  จักษุสัมผัส(ผัสสะ) มีความเกิด(ของจิตหรือวิญญาณหนึ่งขึ้น จนยังให้เกิดเวทนาขึ้นด้วย)เป็นธรรมดา
(กล่าวคือเกิดแต่เหตุปัจจัยดังนี้   ตา  รูป   จักษุวิญญาณ  จักษุผัสสะ...จิตหนึ่งก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา   แล้วยังให้เกิดเวทนาเป็นธรรมดา)
(พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๘)

        ในอายตนะหรือทวารอื่นๆในผู้ที่ยังดำรงขันธ์อยู่ ก็เป็นเฉกเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อ หู  กระทบ เสียง ย่อมเกิดโสตวิญญาณขึ้นเป็นธรรมดา แล้วย่อมเกิดการผัสสะกันเป็นธรรมดา  จิตหนึ่งจึงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา,   เมื่อ คิดหรือธรรมารมณ์ กระทบกับ ใจ ย่อมเกิด มโนวิญญาณ หนึ่งขึ้นจากการกระทบกันเป็นธรรมดา จิตหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นอีกด้วยเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ.  ดังนั้นจิตจึงเกิดแต่เหตุต่างๆอันหลากหลาย มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน  และยังครอบคลุมหมายรวมไปถึงอายตนะภายนอกหรืออารมณ์คือสิ่งต่างๆที่ไปกระทบสัมผัสอีกด้วยคือเหล่าอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์(สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจ)  ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป  รูปหรือภาพที่เห็นอันทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของจิตนั้น ก็ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิต กล่าวคือมีอิทธิพลหรือเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิตที่เกิด ณ ขณะนั้นๆ,  จิตนั้นถ้าแยกออกมาเป็นกองเป็นกลุ่มหรือเป็นขันธ์ อย่างง่ายที่สุดก็มีถึง ๔ ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ซึ่งแต่ละกองหรือแต่ละขันธ์นั้น ก็ล้วนเป็นสังขาร-สิ่งปรุงแต่ง อันเกิดมาแต่เหตุปัจจัยต่างๆอีกมากหลายมาปรุงแต่งกันเช่นกัน จึงต่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนึ่งของจิตโดยทางอ้อมอีกด้วยทั้งสิ้น  ดังนั้นเมื่อประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันแปรปรวนได้มากหลายดังนี้ จึงย่อมมีความแปรปรวนง่ายดายเป็นที่สุด คือย่อมแปรปรวนไปตามเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันเหล่านั้นด้วย  จึงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่า
เราไม่เล็งเห็นสิ่งอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง  ที่จะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเหมือนจิตเลย
(เอกนิบาต ๒๐/๙)
จิตมีธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก
(ธรรมบท ๒๕/๑๗)

        "ภิกษุทั้งหลาย   การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่าร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน  (webmaster - ขยายความว่า  ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตาม แต่ก็)ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน  เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้  ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่(webmaster - ขยายความว่า  คงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง  อยู่ได้)เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง  ๓ - ๔ - ๕  ปีบ้าง  ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง  ๑๐๐ ปีบ้าง  เกินกว่านั้นบ้าง  แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน (webmaster - ขยายความว่า  เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับไป เช่นการฝัน)"

(อัสสุตวตาสูตร)
(พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๖  หัวข้อที่ ๒๓๑)

1648
ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/jit.htm
(ในต้นฉบับ มีการขยายความของคำต่างๆมากมายครับ)


จิต คืออะไร อยู่ที่ใด  และธรรมชาติของจิต
 กระดานธรรม ๑
 

        เป็นที่สงสัย ใคร่รู้ของปุถุชนมาแต่โบราณกาล ตลอดทุกยุคสมัย เพราะความต้องการใคร่รู้ว่า จิตบ้างวิญญาณบ้างเป็นอะไร อยู่ที่ใด  เพื่อหวังเข้าใจบ้าง หวังควบคุมและบังคับจิตหรือวิญญาณได้บ้าง หวังใช้ประโยชน์จากจิตบ้าง หวังในภพภูมิหรือชาติหน้าบ้าง หรือแม้แต่นักปฏิบัติธรรมเพื่อหวังประโยชน์ไปในทางดับทุกข์อันดีงาม  ดังนั้นจึงมีผู้พยายามแสวงหาคำตอบเหล่านี้ทั้งทางด้านปัญญา สมาธิ และไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์มาเป็นเวลาช้านานมาโดยตลอด  จนกล่าวว่าเป็นปัญหาโลกแตก จึงไม่มีผู้ใดสามารถตอบปัญหานี้ได้อย่างถูกต้องดีงาม  จนกระทั่งบังเกิดมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้นที่ได้ทรงหงายของที่คว่ำอยู่  เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง ด้วยการตามประทีปในที่มืด ด้วยเห็นว่าผู้มีจักษุคือปัญญาคงเห็นได้  เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ด้วยพระมหากรุณาคุณอันยิ่งนั่นเอง

        จิตนั้นถ้าพยายามหาตัวหาตนว่าเป็นอะไร อยู่ที่ใดแล้ว  โดยไม่เข้าใจธรรมหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)แล้ว  ก็จะเป็นดังที่ท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวแสดงไว้ในเรื่อง "จิตคือพุทธะ" อันเป็นส่วนหนึ่งของ"คำสอนของฮวงโป"เช่นกัน

        "จิตหนึ่ง นี้เป็นสิ่งที่เห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ  แต่ลองไปใช้เหตุผล(ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ   เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที   สิ่งนี้เป็นเสมือนกับความว่าง  อันปราศจากขอบทุกๆด้าน  ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง  หรือวัดได้" (จาก อตุโล ไม่มีใดเทียม, น.๔๒๓)

        จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์  ที่บ้างก็เรียกกันว่ามโน  บ้างก็เรียกว่าหทัย  บ้างก็เรียกว่ามนายตนะ  บ้างก็เรียกว่ามนินทรีย์  บ้างก็เรียกว่าวิญญาณ ฯ.  หลายท่านพยายามหาว่า จิตคืออะไร?  เป็นอะไร?  อยู่ที่ใด?   บ้างก็ว่าเจตภูต  บ้างก็ว่าปฏิสนธิวิญญาณที่ลอยละล่องท่องเที่ยวแสวงหาภพใหม่หรือที่เกิดบ้าง  บ้างก็ว่ากายทิพย์  บ้างก็ว่าคือสมอง  บ้างก็ว่าหัวใจ  บ้างก็ว่าอยู่ที่กลางอก  บ้างก็ว่าอยู่ที่กลางศูนย์กาย  บ้างก็ว่ากลางหน้าผาก  บ้างก็ว่าเกิดมาแต่ชาติปางก่อน ฯลฯ.  ล้วนแล้วแต่ปรุงแต่งกันไปต่างๆนาๆ  กล่าวคือเป็นไปตามความเชื่อที่ถ่ายทอดหรือสืบต่อกันมา  หรือตามความเข้าใจของตัวของตน  ตามอธิโมกข์ ฯ.  จึงต่างล้วนตกลงสู่หลุมพรางของความผิดพลาด หรือมายาของจิตทันที   จึงเป็นไปดังคำกล่าวข้างต้นที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโลได้กล่าวไว้นั่นเอง

        จิตนั้น  ตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นสังขาร อันคือสิ่งปรุงแต่งหรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น  แล้วย่อมเป็นไปภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ที่ว่า  ย่อมมีความไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ในที่สุด  ไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นเป็นแกนอย่างแท้จริงเป็นอนัตตา เพราะเกิดมาแต่การที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันหรือมาประชุมกันชั่วขณะหนึ่งหรือระยะเวลาหนึ่ง จึงเกิดจิตหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา ดังเช่น ตา กระทบ รูป ย่อมเกิดจักขุวิญญาณขึ้นเป็นธรรมดา อันคือจิตหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา   กล่าวคือเมื่อเกิดการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายในในผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ จิตหรือวิญญาณหนึ่งๆก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  แล้วตั้งอยู่อย่างแปรปรวน  แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา  จิตจึงมีสภาพที่เกิดดับ เกิดดับๆๆ...เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา  อันเป็นไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ นั่นเอง ดังแสดงไว้ในชาติธรรมสูตร

1649
ขออนุญาตต่อกระทู้เรื่อง บันเทิงธรรม...
« เมื่อ: ๑๒ ม.ค. ๕๓, ๑๒:๐๗:๓๐ »
โดยคุณธรรมะรักโข
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14660.msg132106#msg132106

ข้อความเดิม

5. ดูจิต : จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน แล้วจะเอาอะไรไปดู

ผู้ เขียนปฏิบัติตามยถากรรมมาโดยตลอด. เพิ่งจะมีครูบาอาจารย์จริงจังเอาเมื่ออายุ 29 ปี. เหตุที่จะพบอาจารย์นั้น ก็เพราะชอบเล่นเหรียญพระเครื่อง. จึงไปซื้อหนังสือทำเนียบเหรียญหลวงปู่แหวนมาเล่มหนึ่ง. ชื่อหนังสือ "ชีวิตและศาสนากิจ หลวงปู่แหวน". เข้าใจว่าเป็นหนังสือที่ทางวัดสัมพันธวงศ์ จัดพิมพ์. ดูไปทีละหน้า พอถึงตอนท้ายๆ เล่ม. ผู้จัดพิมพ์หนังสือคงเห็นว่ามีที่ว่างเหลืออยู่. จึงนำธรรมะเรื่องอริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาลงไว้เป็นข้อความสั้นๆ ว่า. "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ. อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต. ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง. ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. จิตเกิดหวั่นไหวหรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย. ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ เป็นทุกข์. ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค. ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ. พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก. จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม. จบอริยสัจจ์ 4.

(ข้อ ความจากหนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนสนใจคำสอนของหลวงปู่ดูลย์. นอกจากผู้เขียนแล้ว ยังมีนักปฏิบัติรุ่นไล่ๆ กับผู้เขียนอีก 2 ท่าน. เข้าไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้. และท่านหนึ่งได้ครองสมณเพศมั่นคงในธรรมปฏิบัติ. มีศีลาจารวัตรงดงามบริบูรณ์ยิ่ง. ผู้เขียนและพระอาจารย์รูปนั้น. ยังปรารภด้วยความเคารพในหนังสือเล่มนั้นมาจนทุกวันนี้).

อ่านแล้วผู้เขียนเกิดความสะกิดใจว่า. จริงนะ ถ้าจิตไม่ทุกข์ แล้วใครจะเป็นผู้ทุกข์. ดังนั้นเมื่อมีโอกาสในช่วงวันมาฆบูชาปี 2525. ผู้เขียนพร้อมด้วยน้องในทางธรรม. ก็สุ่มเดินทางไปสุรินทร์ แล้วเที่ยวถามหาวัดบูรพาราม. ในตอนสายวันนั้น ก็ได้ไปนั่งอยู่แทบเท้าของหลวงปู่ผู้สูงวัยกว่า 90 ปี.

ผู้ เขียนกราบเรียนท่านว่า ผู้เขียนอยากปฏิบัติ. ท่านนั่งหลับตาเงียบๆ ไปครึ่งชั่วโมง แล้วสอนว่า. “การปฏิบัติไม่ยาก มันยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ. อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อแต่นี้ให้อ่านจิตของตนเองให้แจ่มแจ้ง”. แล้วท่านก็สอนอริยสัจจ์แห่งจิต เหมือนที่เคยอ่านมานั้น. แล้วถามว่า “เข้าใจไหม”. ผู้เขียนในขณะนั้นรู้สึกเข้าใจแจ่มแจ้งเสียเต็มประดา. จึงกราบเรียนท่านว่า เข้าใจครับ. แล้วลาท่านกลับไปขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ. พอรถไฟเริ่มเคลื่อนจากสถานีจังหวัดสุรินทร์. ผู้เขียนก็เพิ่งนึกได้ถึงความโง่เขลาอันร้ายแรงของตนเอง.

คือนึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่สั่งให้ ดูจิต. ก็แล้ว จิตคืออะไร จิตอยู่ที่ไหน แล้วจะเอาอะไรไปดู. นึกเสียใจที่ไม่ได้ถามปัญหาเหล่านี้จากหลวงปู่. แล้วคราวนี้จะปฏิบัติได้อย่างไร. นี่แหละความผิดพลาดที่ฟังธรรมด้วยความไม่รอบคอบ. เอาแต่ปลาบปลื้มใจและตื่นเต้นที่ได้พบครูบาอาจารย์. จนพลาดในสาระสำคัญเสียแล้ว. จะกลับไปถามหลวงปู่ก็ไม่สามารถกระทำได้แล้วในตอนนั้น.

ผู้เขียนแก้ปัญหานี้ ด้วยการทำใจให้สบายหายตระหนกตกใจ. แล้วพิจารณาว่า จิตเป็นผู้รู้อารมณ์. จิตจะต้องอยู่ในกายหรือในขันธ์ 5 นี้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่นแน่. หากค้นคว้าลงในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องพบจิต. แต่จะพบในสภาพใด หรือจะเอาอะไรไปรู้ว่าอันนี้เป็นจิต. ยังเป็นปัญหาที่พิจารณาไม่ตก ก็จับปัญหาแขวนไว้ก่อน.

ผู้ เขียนพยายามทำใจให้สบาย สลัดความฟุ้งซ่านทิ้ง. ตั้งสติระลึกรู้อยู่ในกายนี้ ตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงพื้นเท้า. ก็เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่จิต กายเป็นวัตถุธาตุเท่านั้น. แม้จะตรวจอยู่ในกายจนทั่วก็ยังไม่พบจิต. พบแต่ว่ากายเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ไม่ใช่จิตที่เป็นผู้รู้. ผู้เขียนจึงพิจารณาเข้าไปที่เวทนา. ตั้งสติจับรู้ที่ความทุกข์ ความสุข และความเฉยๆ ที่ปรากฏ. ก็พบอีกว่า เวทนาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ยังไม่ใช่จิต. ผู้เขียนก็วางเวทนา หันมีระลึกรู้สัญญาที่ปรากฏ. ก็เห็นว่าสัญญาคือความจำได้/หมายรู้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกรู้อีก. ผู้เขียนก็หันมาดูสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งที่เกิดขึ้น. ก็เห็นความคิดนึกปรุงแต่งผุดขึ้นเป็นระยะๆ. เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ยังไม่ใช่จิตอีก.

ก่อนที่รถไฟจะถึงกรุงเทพฯ. ผู้เขียนสามารถแยกรูป เวทนา สัญญา และสังขาร ออกแล้ว. ทันใดผู้เขียนก็พบจิตผู้รู้ เป็นสภาพที่เป็นกลาง ว่าง และรู้อารมณ์. ผู้เขียนก็ตอบปัญหาได้แล้วว่า. จิตเป็นอย่างนี้. จิตอยู่ที่รู้นี้เอง ไม่ได้อยู่ที่กาย เวทนา สัญญา และสังขาร. ผู้เขียนรู้จิตผู้รู้ได้ด้วยเครื่องมือ คือ สติ. ซึ่งผู้เขียนได้ใช้สติเป็นเครื่องระลึกรู้. และใช้ปัญญาพิจารณาแยกขันธ์ จนเข้ามาระลึกรู้ จิตผู้รู้ได้.

ถ้า มีความรอบคอบ ถามครูบาอาจารย์มาให้ดี. ก็คงไม่ต้องช่วยตนเองขนาดนี้. แต่การที่คลำทางมาได้อย่างนี้. ก็สอนให้ผู้เขียนเคารพแต่ไม่ติดยึดอาจารย์. และซึ้งถึงคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้เป็นอย่างดี. และทำให้ผู้เขียนเคารพในศักยภาพของมนุษย์. เห็นว่าถ้าตั้งใจจริง ก็สามารถพัฒนาตนเองได้. เพราะขนาดผู้เขียนไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร ก็ยังทำมาจนได้.

6. รู้จักจิต แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี

ทันทีที่แก้ปัญหาแรกตก คือตอบได้ว่า. จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน และเอาอะไรไปดู. ปัญหาใหม่ก็ตามมาทันทีว่า. เมื่อรู้แล้วจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป. เพราะหลวงปู่สอนมาสั้นๆ ว่าให้ดูจิต. เมื่อผู้เขียนได้จิตผู้รู้มาด้วยการแยกขันธ์ ออกจากจิต. ผู้เขียนก็ต้องระวังรักษาจิตเพื่อเอาไว้ดู. โดยการป้องกันไม่ให้จิตไหลเข้าไปปนกับขันธ์. เพราะถ้าจิตไหลเข้าไปปนกับขันธ์ ก็จะไม่มีจิตผู้รู้เอาไว้ให้ดู.

ใน ช่วงวันแรกๆ ที่แยกจิตกับขันธ์ออกจากกันได้นั้น. ผู้เขียนใช้ความพยายามอย่างมากรักษาจิตไม่ให้ไหลเข้าไปรวมกับขันธ์อีก. แต่ก็รักษาได้เพียงชั่วขณะสั้นๆ. แล้วกว่าจะพิจารณาแยกออกได้อีกก็ใช้เวลาเป็นวันๆ. ผู้เขียนผู้ไม่มีความรู้ใดๆ อาศัยความอดทนและความเพียรพยายาม. รวมทั้งอุบายทุกชนิดที่จะรักษาจิตผู้รู้เอาไว้ให้ได้. เช่นใช้กำลังจิตพยายามผลักสังขารขันธ์ไม่ให้เข้ามาครอบงำจิต. เมื่อจิตไปติดก้อนสังขารที่ปรากฏด้วยความรู้สึกเป็นก้อนแน่นๆ ที่หน้าอก. ก็พยายามเจาะ พยายามทุบทำลายก้อนนั้นด้วยพลังจิต. บางคราวทุบตีไม่แตก ก็พิจารณาแยกเป็นส่วนๆ. บางคราวแยกแล้วก็ไม่สำเร็จอีก. ก็กำหนดจิตให้แหลมเหมือนเข็ม แทงเข้าไปเหมือนแทงลูกโป่ง. วันใดทำลายก้อนอึดอัดได้ ก็รู้สึกว่าวันนี้ปฏิบัติดี. บางวันทำลายไม่ได้ ก็รู้สึกว่า วันนี้ปฏิบัติไม่ดี.

ต่อมาเป็นเดือนๆ ก้อนอึดอัดนี้ก็เล็กลงเรื่อยๆ. แล้วสลายไปกลายเป็นความรู้สึกที่เคลื่อนไหวได้. เช่นเห็นการเคลื่อนไหวไปมาบ้าง. เป็นความไหวตัวยิบยับบ้าง. แล้วก็พบว่าอารมณ์แต่ละตัวที่เกิดขึ้น จะมีสภาวะที่รู้ได้ไม่เหมือนกัน. เช่นความโกรธเป็นพลังงานและมีความร้อนที่พุ่งขึ้น. โมหะเป็นความมืดมัวที่เคลื่อนเข้ามาครอบงำจิต. ถ้าเป็นกุศลจิต ก็จะเห็นความโปร่งว่างเบาสบาย. ในเวลาที่จิตกระทบอารมณ์ เช่นตกใจเพราะเสียงฟ้าผ่า. ก็จะเห็นการหดตัววูบ. ในช่วงนั้น ผู้เขียนเอาแต่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการเรียนรู้สภาวะต่างๆ. และคอยแก้อาการต่างๆ ที่จิตเข้าไปติดข้อง. ด้วยความสำคัญผิดว่า นี่แหละคือการดูจิต. บัดนี้เราเห็นจิตชัดเจนแล้ว ว่ามีอาการต่างๆ นานา. สมควรแก่เวลาที่จะไปรายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ทราบ. ซึ่งท่านคงจะอนุโมทนาด้วยดี. เพราะศิษย์ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านไม่หยุดหย่อนติดต่อกันมาแล้วถึง 3 เดือน.

ผู้เขียนไปนั่งอยู่แทบเท้าของหลวงปู่ผู้ชราภาพ. แล้วรายงานผลการปฏิบัติต่อท่านว่า. ผมเห็นจิตแล้ว. หลวงปู่ถามว่า จิตเป็นอย่างไร. ก็กราบเรียนท่านว่า จิตมีความหลากหลายมาก มันวิจิตรพิสดารเป็นไปได้ต่างๆ นานา ดังที่ได้พบเห็นมา. พอกราบเรียนจบก็ได้รับคำสอนที่แทบสะอึกว่า. "นั่นมันอาการของจิตทั้งนั้น ยังไม่ใช่จิต จิตคือผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ให้กลับไปดูใหม่"


1650
อนุญาตท่านsaken6009
นำเรื่องผีในกระทู้เก่าของคุณธรรมะรักโข มาแจมด้วย

4. กลัวผีจนเจอดี
ดัง ที่เล่ามาแล้วว่า ผู้เขียนกลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด. ทั้งที่ไม่เคยพบผีเลยแม้แต่ครั้งเดียว. จนกระทั่งปี 2521 จึงได้ไปบรรพชาอุปสมบทที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์. แล้วท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์คือพระธรรมโกศาจารย์(ปัญญานันทภิกขุ) ก็เกิดจะเมตตาผู้เขียนเป็นพิเศษ. แทนที่จะให้ไปอยู่ในหมู่กุฏิหลังวัด. ซึ่งพระเณรอยู่กันเป็นจำนวนมาก. กลับให้ผู้เขียนอยู่กุฏิโดดเดี่ยวตามลำพังข้างเมรุและใกล้ช่องเก็บศพ. ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นกุฏิที่น่าอยู่มาก. เพราะปลูกอยู่ริมสระน้ำเล็กๆ มีต้นไม้ร่มรื่น. แต่ข้อเสียคือพอตอนฉันเพล. ได้พบโยมบางคนเขาบอกว่ากุฏินั้นผีดุ. เคยมีเณรไปอยู่แล้วตกกลางคืนร้องลั่นวิ่งหนีจากกุฏิเพราะมีผีมาเล่นกระโดด น้ำในสระ. ผู้เขียนแม้เป็นพระ ก็รู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง. พอตกกลางคืนหลังจากไปฝึกกรรมฐานที่ท้ายวัด ก็กลับเข้ากุฏิปิดไฟนอน. เวรกรรมแท้ๆ ผนังกุฏิช่วงล่างสัก 1 ฟุตเป็นกระจกโดยรอบ. จึงมองออกมาเห็นภาพภายนอกตะคุ่มๆ. พอหลับแล้วกลางดึกก็ต้องตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระโดดน้ำดังตูม. บทสวดมนต์ต่างๆ มันเลื่อนไหลขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ. นอนกลัวจนถึงเช้าจึงออกไปดูที่สระน้ำ. ก็เห็นผี คือลูกมะพร้าวลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในสระ. :004:

ผีในลักษณะ นี้ผู้เขียนได้พบเห็นอยู่เสมอเมื่อออกไปปฏิบัติธรรมตามวัดป่า. เช่นผีกระรอกขว้างหลังคากุฏิตอนดึกๆ. ผีตุ๊กแกจับแมลงโตๆ ฟาดฝากุฏิ. ผีนกร้องเสียงเหมือนยายแม่มด. ผีเปรตนกร้องกรี๊ดๆ บนยอดไม้สูงๆ เป็นต้น. ยิ่งเขาลือว่าตรงนั้นมีผี ตรงนี้มีผี ยิ่งชอบพิสูจน์ทั้งๆ ที่กลัว.

หลัง จากเจอผีมะพร้าวแล้วผู้เขียนก็ชักจะกระหยิ่มใจ. พอตกกลางคืนแม้จะเลิกปฏิบัติรวมกลุ่มจากศาลาท้ายวัดแล้ว. ก็ยังกลับมานั่งภาวนาต่อในกุฏิอีก. คืนหนึ่งจิตสงบลงและรู้สึกหน่อยๆ ว่าเมื่อยขา และเป็นเหน็บ. จึงนั่งเหยียดเท้าแล้วภาวนาต่อไป. แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมานวดขาให้. เพียงกดคราวเดียว เลือดลมก็เดินสะดวก หายปวดหายเมื่อย. จิตก็ส่งออกไปดู เห็นชายวัยเกษียณอายุคนหนึ่งแต่งชุดทหารอากาศกำลังนวดให้อย่างตั้งใจ. จิตในขณะนั้นไม่มีความกลัวเลย. หลังจากนั้น ผู้เขียนก็เห็นเขาคนนี้อยู่เสมอๆ. :045:

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะ เป็นอุปาทานหรืออะไรก็แล้วแต่เถิด. ผู้เขียนได้ประสบมา ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง. เพื่อคลายความหนักในเนื้อหาของธรรมที่จะเล่าต่อไปข้างหน้า.


ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14660.msg132106#msg132106

1651
ขอบคุณครับ :054:
คิดถึงคุณยายเหมือนกัน ท่านเสียไปนานแล้ว
รออ่านอยู่ครับ
รบกวนช่วยบอกสถานที่ด้วยนะครับ

ปล...เห็นไม๊ ตอนนั้นยังผอมมาก ขนาดขี่คอเพื่อนได้สบาย :004:

1652
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร
ท่านเป็นอมตมหาเถระ ที่มีเกียรติคุณเป็นที่ปรากฏอย่าน่าอัศจรรย์ มีปัญญาเฉียบแหลมแตกฉานในทางธรรม
เป็นเลิศทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา พระคาถาที่ทรงอานุภาพยิ่งของท่าน คือ คาถาชินบัญชร

ชาติกาล 17 เมษายน พ.ศ. 2331
ชาติภูมิ บ้านบางขุนพรหม ฝั่งตะวันออก กรุงธนบุรี
บรรพชา เมื่ออายุได้ 13 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุได้ 20 ปี
ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อ พ.ศ. 2408
มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ.2415
สิริรวมชนมายุได้ 84 ปี



ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book-somdet-to/2.html

1653
ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book-somdet-to/2.html

3...........

บุญบริสุทธิ์

การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่นึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

สั่งสมบารมี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้น เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

เมตตาบารมี

การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มาก และทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

แผ่เมตตาจิต

ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า


อานิสงส์การแผ่เมตตา

ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้


ประโยชน์จากการฝึกจิต

ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

1654
ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book-somdet-to/2.html

2...........

แต่งใจ

ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?

กรรมลิขิต

เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต

อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่

ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ

นักบุญ

การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

ละความตระหนี่มีสุข

ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้น จึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

อย่าเอาเปรียบเทวดา

ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

1655
ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book-somdet-to/2.html

1...........

คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ


ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

1656
ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

        พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙  หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ  แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

จิตที่ส่งออกนอก                                                      เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก      เป็นทุกข์

จิตเห็นจิต                                                            เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต                     เป็นนิโรธ

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

1657
แถม.............

เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"

โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วย วิสุทธิศีล วิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้


ขอบคุณที่มา
http://onknow.blogspot.com/2009/12/blog-post_08.html

1658
ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_doon/lp-doon_1.htm

3......


6. เหตุต้องละ ผลต้องละ

               เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใด ๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่าง ๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใด ๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น
"สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

7. ใช้หนี้--ก็หมด พ้นเหตุเกิด

               เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้น ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีก ไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า "พ้นเหตุเกิด"

8. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร

                  เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

............จบ...........

1659
ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_doon/lp-doon_1.htm

2......


2. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว

                        ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่ออารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไปมาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอ ๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบ ๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กริยาจิตใด ๆ ที่เกิดขึ้นเพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ เข้าใจกริยาหรือพฤติแห่จิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)
"ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ "

3. อย่าส่งจิตออกนอก

                        กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)
"ระวัง จิตไม่ให้คิดเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ 6 "

4. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป

                     เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าถึงปัจจัยของอารมณ์ ความนึกคิดต่าง ๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่าง ๆ อารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ดับไป เรื่อย ๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ
"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยการคิด"

5. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต

                     เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติสังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนสามารถเข้าใจพฤติของจิตได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอนเข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนั่นเอง ไปหาปรุง หาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้
"คำว่า แยกถอดรูป นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง "

1660
ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_doon/lp-doon_1.htm

1......

วิธีเจริญจิตภาวนา (ตามวิธีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

1. เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย


ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร หรือ รู้ "ตัว" อย่างเดียว รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อย ๆ ให้ "รู้อยู่เฉย ๆ " ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่าง ๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นตามธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้น ๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ จากนั้น ค่อย ๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอ รักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อ ๆ ไป  

ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อย ๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้นจะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดีก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อย ๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อย ๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"

การบริกรรม "พุทโธ" เปล่า ๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียรทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อ ๆ ไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของ พุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าสึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธา ตนเองเลย เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเองเพราะคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้น ๆ
"บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครบริกรรมพุทโธ"

1662
ธูปแบบนี้บ้านเรามีขายครับตามร้านขายของไห้วเจ้าจีนนะครับ
ขอบคุณครับ :054:

ปล...คืนนี้ก็เพิ่งเห็นธูปไม่มีควัน ตอนไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม :001:

1663
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:59:09 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

10.....

สัมมามรรค

     ถาเราคิดใหจิตใจสงบ เชนวาเราถูกอารมณอันใดเกิดขึ้นมา ถาเราเปนสัมมาทิฏฐิมีความเห็นชอบแลว ทุกอยางมันชอบทั้งนั้นแหละ ไมมีผิด เพราะธรรมะสั่งสอนในการปลอยวาง ไมมีอะไร เมื่อมีควมสุขเกิดขึ้นมา อันความสุขนี้ทานก็สอนวาสักแตวาเปนสุข ทุกขเกิดขึ้นมานี้พระพุทธเจาก็สอนวา อันนี้ก็สักแตวาเปนทุกขไมมีใครสุข และไมมีใครทุกขเปนแตความรูสึกเกิดขึ้นมาเฉยๆ ทานจึงวา สักแตวาเปนสุข สักแตวาเปนทุกข ความสุขทุกขอันนี้มันก็เกิดขึ้นมามีอยูแตวาเราทั้งหลายมาประพฤติปฏิบัติธรรมแลว  อาการของสุขนี้มันก็เกิดขึ้นมา แตวาหาเจาของสุขนั้นไมมีไมมีใครเปนเจาของ บางที
ทุกขก็เกิดขึ้นมามีอยู แตวาทุกขนั้นมันเปนมาตามเรื่องของมัน เกิดมาตามกิริยาของมัน มันก็เปนอยูอยางนั้น ทานจึงบอกวา ถามีความสุขแลว ก็ใหรูตามความเปนจริงมันเสียวา สุขนี้ก็สักแตวาสุข ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ถาทุกขเกิดขึ้นมาแลวทานก็ใหรับรูพิจารณามันวา ทุกขนี้ก็สักวาแตทุกขไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา

     การที่เราคิดเชนนี้แหละเปนสัมมาทิฏฐิเราก็ไมไดเปนเจาของสุขนั้นและทุกขนั้น สุข ทุกขอันนั้นเปนของที่ไมมีเจาของ ถาใครเขาไปยึดมั่นถือมั่นมัน ก็เขาไปเปนเจาของสิ่งทั้งหลายเหลานั้น เมื่อเขาไปเปนเจาของสิ่งทั้งหลายเหลานั้นมันก็ไมเพียงแตเปนทุกขมันไหลไปเรื่อยๆ ไป บางทีมันก็หายไป บางทีมันก็ไมไดมา แลวก็ดีอกดีใจ แลวก็เสียใจตามสิ่งทั้งหลายเหลานั้น เพราะวาตัวมิจฉาทิฏฐิมันเขามาแทรกใหมีความเห็นผิดเชนนั้นเห็นผิดอะไร เราเขาไปเปนเจาของความสุข เราเขาไปเปนเจาของความทุกขเขาไปแบกสุขทุกขอันนั้นอยูมันก็หนัก อันนี้มันเปนมิจฉาทิฏฐิในทํานองอยางนี้

     ถาเปนสัมมาทิฏฐิแลว เวทนานี้ก็สักแตเวทนา ลงสักวาอยางนี้เวทนานั้นเปนความเสวยสุขหรือทุกข 2 ประการนั้นแหละ เวทนานี้ถามันเกิดขึ้นมา สุขก็จัดเปนสุขเวทนาทุกขก็จัดเปนทุกขเวทนา ดังนั้นเกิดแลวมันดับไป เจาของสุขทุกขนั้นไมมีพระพุทธเจาทานใหพิจารณาอยางนี้

     เมื่อเราพิจารณาเขาไปเชนนี้บอยๆ เรียกจิตวาเขามาดูซิวา อันนี้คืออะไร สุขนี้คืออะไร ทุกขนี้มันคืออะไร มันเปนของแนนอนไหม มันเที่ยงไหม หรือมันเปนอยางไร พิจารณาตามมันเถอะ เราพอมองเห็นไหมวาสภาวะที่เปนอยูนั้นนะ เราเคยเปนสุขมาไหม “เคย” แลวมันหายไปมีไหม หายไปมันก็มีแลวทุกขเคยมีไหม เคยมีทุกขทุกคน แตวามันทุกขไปตลอดไหมบางทีมันก็หายไป เราจะไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกับสิ่งทั้งหลายเหลานี้นี้
แหละเปนอารมณอยางนี้พระพุทธเจาทานสอนอยางนี้

     เมื่อเรารูสิ่งทั้ง 2 ประการนี้จิตเราก็สงบ ทําไมถึงสงบ เพราะเราไมเขาไปเปนเจาของอะไรทั้งนั้นแตวาเราใชสิ่งทั้งหลายเหลานี้ไดสบาย ถวยโถโอชาม จะมีในบานของเราโตะเกาอี้อะไรที่มันมีอยูนั้นก็ไมใชของเราๆ ใชไปเพื่อไมใชของเรา แตเราใชมันตามสบายใจ โดยที่ไมตองทุกขใชโดยผูมีปญญารอบคอบ ใหอยูเหนือสิ่งทั้งหลายเหลานั้นใหรูเหนือสิ่งทั้งหลายเหลานั้น ถาไมอยูเหนือสิ่งทั้งหลายเหลานั้น เราก็แบกมันโดย
อุปาทานวา อันนี้ของเรา อันนั้นของเรา เรื่อยไปอันนี้แหละที่มันเปน มิจฉาทิฏฐิเปนความเห็นที่ผิดขึ้นมาเพราะทําใหเราเปนทุกขเปนทุกขเพราะอะไร ผิดหวัง อันนั้นเธอจงเปนอยางนั้น อันนี้แกจงเปนอยางนี้ไมไดตามปรารถนาของเรา 

     พระพุทธเจาทานสอน พุทธบริษัทเราทั้งหลายเพื่อใหพนจากวัฏฏสงสารทุกๆ คน แตวาเราสัตวผูที่กิเลสหนาปญญาหยาบนั้นก็คิดไปอยางหนึ่ง ที่ฟงธรรมะแลว อะไรก็ไมใชของตนทั้งนั้น กลัวจะไมไดก็ไมสบายใจ ความเปนจริงนั้น ที่วาตน ที่เปนของตนนั้นเปนไดแตวานั้น เปนของสมมติมันไมเปนวิมุติเราตองเรียนรูมันลืมทุกอยางนั้นแหละ มันเปนของสมมติเชนตัวของเรานี้ชื่อเรานี้มันมีชื่อมาแตวันเราเกิดนะ เกิดมาแลวมาตั้งชื่อใหมชื่อเกานั้นไมมีเพราะมันไมมีทําไมมันถึงไมมีมันวางอยูตรงนั้นแหละ ตรงที่ไหนมันวาง ก็เอาอะไรไปวางตรงที่นั้นก็ไดเอาไปวางตรงที่มันวางๆ เพราะวาสัตวเกิด
มามันวางไมมีชื่อ เราก็ตั้งชื่อใหมันเสีย ชื่อใหมนี้เอาไปใสใหม เปนสมมติขึ้นมา เปนนาย ก. นาย ข. นาย ค. ชื่อใหมสมมติที่ตรงนั้น ทําไมตองสมมติมัน เพราะตรงนั้นมันไมมีอะไร จึงสมมติวาใหมันเปนนาย ก. นาย ข. เสีย นาย ก. นาย ข. จึงถูกสมมติขึ้นมา ไมใชนาย ก จริง นาย ข จริง แตเปนนาย ก นาย ข สมมติมันไมใชวิมุต ถาไปถามถึงแลว จริงๆมันจะไมมีอะไร เปนสภาวธรรมเทานั้น เกิดมาแลวตองดับไป ดับไปแลวเกิดขึ้นมา เกิดๆ
ดับๆ อยูเชนนั้นสภาวะทั้งหลายเหลานี้เมื่อเรานําเอาอันนี้ไปพิจารณาแลวจะไดรูแจงเห็นจริงแกตัวเอง

...........จบ.........

แหลงที่มา : http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections

1664
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:53:05 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

9.....

ธาตุ 4

               จิตนี้มันคลายกับแผนดินหรือน้ําหรือลมหรือไฟ สมมติตัวเรานี้ก็เปนดิน เปนน้ํา เปนไฟ  เปนลม เทานั้นไมมีอะไร มันเปนอนัตตาไปเลย ไมใชกอนอัตตานี้แลว นี่ทานจึงวา ทําจิตเปนดิน เปนน้ำ เปนไฟ เปนลม รางกายที่เรียกกันวา เราๆ เขา ๆ อันนี้มันก็ไมใช เราๆ
เขาๆ
     ตามธรรมดา ตามธรรมชาติความเปนจริงมันก็สักวา ธาตุนั่นแหละ คือเปน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เทานั้นแหละ ดังนั้น ทานจึงวาอยางนี้เราจะตองเปนธาตุเสีย ยอมใหมันเปนดินเสีย เปนน้ำเสีย เปนไฟเสีย เปนลมเสีย
      ดิน ปกติเราจะเอาจอบไปขุดมันก็ไมมีอะไร จะเอาของเหม็นไปถายเทใสดินก็อยูอยางนั้น
      ลม ก็เหมือนกัน ลมพัดไปมา เบื้องลาง เบื้องบน ของสกปรกรกรากทั้งหลายก็พัดไปเออ มันเปนเรื่องธรรมดามันก็เปนลม
      ไฟ ก็เหมือนกัน ความอบอุนที่อยูในรางกายของเรานี้เปนไฟ ไฟธรรมดานี้ไปเผาอะไรไดไหม ไฟเผาของเหม็นก็ไดของหอมก็ไดสกปรกรกรากสารพัดอยาง ไฟไมมีอะไร ไฟก็่คงเปนไฟอยูอยางนั้น
      น้ำ ก็เหมือนกัน น้ำธรรมดาทุกวันนี้นี่ก็พูดถึงน้ําใจของทานที่จะอุตสาหโปรดสัตวโลก ก็เหมือนน้ำธรรมดาๆ จะทําเปนน้ำหอมก็ไดน้ำเหม็นก็ไดลางของสกปรกก็ไดจะไปทําอะไรก็ไดจะไปทําใหมันเย็นเปนกอนก็ไดจะไปทําใหมันรอนเหมือนกับไฟอีกก็ไดแตมันก็เปนน้ำของมันอยู
      ตกลงตัวทานก็เปนดิน เปนน้ำ เปนไฟ เปนลม มันจะถูกอิฏฐารมณอนิฏฐารมณชอบใจ ไมชอบใจ มันสักแตวารูไมมียึด เหมือนกับดิน กับน้ำ กับไฟ กับลม มันจึงไมยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งหลายทั้งปวงเหลานั้น ตัวทานก็คงเปนเพียงธาตุ 4

มรรค 8

พวกเราทั้งหลายครอบครองทรัพยสมบัติภายนอกตัวมามากแลว จงเขามาเปลี่ยนเปนทรัพยภายใน อันนี้จะพนจากอุทกภัย วาตภัย โจรภัย อะไรตางๆ ทรัพยอันนี้จะพนจากขาศึกแลว น้ำทวม ลมพัด ไฟไหมอันตรายตางๆ ทั้งหลายเหลานี้เขาไมถึงแลว เพราะวาเขาถึงจุดมัน คือที่ความสบายใจหรือความดีใจที่ฝงไวในวิญญาณอันนี้ดังนั้นพระพุทธเจาของเราทานจึงไดวา บุญไมอยูภายนอก แตเขามาขางในเสียแลว ทานจึงจัดเปน อริยทรัพยหรือทรัพยภายใน  ซึ่งน้ำทวมไมไดไฟไหมไมไดโจรลักไปไมได  สวนนี้โยมจะสบาย สวนที่บริจาคไปวันนี้เก็บบัญชีไวดีๆ แลวพนอันตรายสบายใจๆ อัน
นี้ไมมีโทษอะไร ฉะนั้นการบริจาคนี้เปนการปราบกิเลสสวนหนึ่ง ซึ่งเรียกวาตัว โลภะ ทําใจเราใหมัวหมอง เมื่อจิตมัวหมองแลวทานจะไดทุกขไปตามอันนั้น การกระทําวันนี้ของญาติโยมทั้งหลายเปนไปในทํานองอันนี้

     แตอยางไรก็ตาม ธรรมะขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาของเราทานสอนวาการใหทาน การักษา ศีล การเจริญเมตตา ภาวนา นั้น รวมเขาไปหาจุดอันเดียว ๆ คืออันใดอยูที่ไหน จุดอันเดียวเพื่อจะใหถึงความสงบ เมื่อสงบแลวเรียกวามันจบ กอนจะสงบนั้นนะเราจะรูเรื่องวา เราจะทําอยางไรใจเราจึงสงบ อยางนี้เปนตน เมื่อจิตเราไมสงบเราจะทําอยางไรมันถึงจะสงบ ถาเมื่อจิตสงบแลวก็ถึงจุดของพระผูมีพระภาคของเรานั้นนะที่ทานตองการที่สุด
     เรื่องที่จิตของเราที่ไมสงบนั้น เพราะวาจิตของเรานั้นนะไมเขาถึงธรรมะอันแทจริงไมถึงจุดธรรมะอันแทจริง จิตเรายังโงอยู ยังไมฉลาด ไมมีปญญารูเทาตามความเปนจริงในสภาวธรรมทั้งหลาย นั้นเรียกวาปฏิบัติธรรม อะไรมันเปนธรรมะทุกอยาง สิ่งที่ไมเปนธรรมะไมมีคือของทุกสิ่งทุกอยางนั้นแหละ ทานเรียกวาธรรมะ จะเปนรูปที่เรามองเห็นดวยตาก็ตามจะเปนนามสิ่งที่เรามองเห็นดวยตาไมไดก็ตาม เปนธรรมกันทั้งหมดเลยทีเดียว นี่เรียกวา ธรรมะ เรียกวาสภาวะ คือความเปนอยูอยางนั้น มันเปนเองของมันอยูอยางนั้น แมพระพุทธเจาจะบังเกิดขึ้นก็ตาม ไมบังเกิดขึ้นก็ตาม สภาวธรรมเปนอยูอยาง
นั้นเอง ไมแปรเปนไปอยางอื่น

     ทีนี้ความไมสงบของเราทั้งหลายนั้น คือยังไมไดประพฤติธรรม ยังไมไดปฏิบัติธรรมเชนองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาของเราทานวาใหเห็นอยางถูกตองเรียกวาสัมมาทิฏฐิตลอดไปจนถึง สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติสัมมาสมาธิองคของมรรคมี 8 อยาง แตมรรคมีอันเดียว คือ เอกายนมรรคเปนมรรคอันเดียว และเปนของบุคคลที่จะสัญจรไปคนเดียว ไปแตผูเดียว แตวามีองค 8 ประการ

     เมื่อเรามาเห็นชอบ ดําริมันก็ชอบ วาจามันก็ชอบ การงานก็ชอบ เลี้ยงชีวิตมันก็ชอบพยายามก็ชอบ ตั้งสติมันก็ชอบ ตั้งใจก็ชอบ มันชอบที่ตรงไหน มันชอบอยูที่ใจของเรานี้แหละ จะไปตรงไหนก็ชางมัน มันออกจากจิตดวงนี้เห็นชอบออกจากจิต ดําริชอบมันออกจากจิต เมื่อจิตมันตั้งไวชอบแลว มันจะชอบกันไปหมดนั้น และไมมีอะไรที่จะไมชอบมรรคทั้งหลายเหลานี้มันสามัคคีกันขึ้นที่จิตใจของเราเปนอันเดียว คือ ความสงบ จุดนี้เปนทางที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาของเราทานตรัสวาใหเดินมรรคอันนี้เปน

1665
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:40:49 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

8.....

สมถวิปสสนา

                  ในการทํากรรมฐานนั้น มีอารมณอยูสองอยางอารมณอยางที่หนึ่งที่เรียกวา ใหเรามีความสงบ อยางที่สองเรียกวา ใหเราเกิดปญญา แลวก็สงบทีหลัง อารมณที่ใหเรามีความมสงบนั้น ไมยากอะไรหรอก เหมือนเด็กๆ มันไมนอนนะเราก็ไปจับกระเชา(เปล) แกวงไปมา
เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หลับอารมณอันนี้เรียกวา สมถกรรมฐานมีหลายอยาง บางคนไปจับเอาอานาปานสติบาง พุทโธบาง ธัมโมบาง สังโฆบาง สารพัดอยาง ตองหาความสงบนี้เปนเบื้องแรก

     แตวาความสงบอันนี้มันยังมีอะไรไปเจือปนมันอยูสงบเพราะวาของมันมีอยู เราไมรูจักมัน มันก็สงบ เชนวาผาเช็ดเทาที่ผมเหยียบอยูเดี๋ยวนี้มันมีงูตัวหนึ่งอาศัยอยูตรงนี้ผมก็เอาเทาเหยียบลงไป ผมไมรูสึกกลัวอะไรเลย เพราะผมไมเห็นงูแตความจริงนี้งูอสรพิษนี้อยูตรงนี้แตผมไมคิด ผมก็สบายใจ ไมคิดกลัวอะไรตอะไร ที่ผมไมกลัว ก็เพราะไมรูวางูอสรพิษนี้อยูตรงนี้นี่คือ สมถะ ทําจิตใหสงบ กิเลสมีอยูก็ชางมัน เวลานี้ฉันสงบ นี่เรียกวาสงบจิต ไมใชสงบกิเลส พูดตามภาษาอันนี้เรียกวา สมถะ การฝกทําจิตใหสงบ แตมันเปนไวพจนซึ่งกันและกันหรอก เพื่อจะทําใหกิเลสสงบตอไป

     เรื่องทําใหกิเลสสงบตอไปนั้น เปนเรื่องของปญญา เรื่องของปญญานี้ก็มีเรื่องสําคัญอยางหนึ่ง ที่จะใหปญญาเกิดขึ้น ตองเจริญอันนี้มากๆ ไมเกิดเดี๋ยวนั้น ตอไปมันก็จะเกิดถาเจริญไมหยุด ปญญามันจะเกิดไมหยุดตอไป ผมก็พูดบอย แตวาคนก็ไมคอยเอาใจใสหรืออยางไรก็ไมรูสังเกตดูมันถึงไดเปนทุกขกันอยูเสมอ

     เรื่องทําจิตใหสงบ เพื่อใหกิเลสสงบนั้นนะ ที่ผมวาอารมณของ วิปสสนา คือ เรื่องอะไรบาง? คือ เรื่องอนิจจัง เรื่องทุกขัง เรื่องอนัตตา 3 อยางเทานี้แหละ มันเปนเหตุใหปญญาเราเกิด เราจะถูกอารมณดีใจที่สุดก็ตาม เสียใจที่สุดก็ตาม รักที่สุดก็ชางเถอะเกลียดที่สุดก็ชางเถอะ อยาลืม ขบปญหานี้ใหแตก อยาลืม มันจะเกลียดขนาดไหน จะรักขนาดไหน จะเสียใจขนาดไหน จะดีใจขนาดไหนก็ตามเถอะ ซึ่งมันเกิดขึ้นมาแลว เราควรบอกมันใหเขาใจวา “อันนี้มันไมแน” ทุกครั้งไมใชพูดออกทางปาก แตพูดทางใจเสมอ “อันนี้มันไมแน” อันนี้ที่จะพาเราพน ตอนนี้ปญญามันจะเกิด ถึงแมตอนนี้เราไมเห็นตอไปมันก็เห็น

     ถาเราไมทิ้งจุดนี้จุดนี้เปนจุดที่สําคัญที่ใหปญญาเราเกิดทั่วถึง ใหรูจักทั่วถึง นี่เรียกวาปลอยวางอารมณทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้น เห็นแตวา มันเกิดแลวดับไปจะเห็นอันนี้ชัดเจน จิตเราจะสงบ เมื่อจิตสงบ กิเลสก็สงบดวย

     ตรงนี้ที่วาสมถะนั้น จิตมันสงบ กิเลสไมสงบตอนนี้จิตสงบดวย กิเลสสงบดวยเพราะมันเปนปญญาตรงนี้ใหเขาใจ มันจะอยูไปเฉยๆ ก็ไดการยืน เดิน นั่ง นอน ก็ไดถามีอารมณวูบหนึ่งเกิดขึ้นมา มันดีใจเหลือเกินอยางนี้ใหคอยๆ พิจารณา วาอันนี้มันไมแนมันก็แตกกัน มันไมรวมกลุมกันเสียแลว แตถาไปคิดวามันแนนะมันก็จะรวมกลุมกัน แตความมจริงแลวอันนี้มันไมแนถารูความจริงอยางนี้ความเห็นผิดมันคอยวางจางคลายออกไปไมรวมกลุมกันละ

บัว 4 เหลา

                  ภายในโคลนนั่นนะ มีความเหม็นสาบเหม็นเนาสารพัดอยาง แตดอกอุบลทั้งหลายที่เกิดในที่นั้น ยิ่งสวย ยิ่งงาม ยิ่งตนใหญลําใหญดอกใหญ โคลนทั้งหลายนั้นเปนปุยของมันบัวทั้งหลายมันชอบปุย ติณชาติทั้งหลายชอบปุย ไดปุยแลวมันงาม ปุยนั้นเปนของโสโครก เปนของสกปรกเปนของเหม็น กลิ่นสารพัดอยาง มันจะเหม็นเทาไรๆ สกปรกเทาใดๆ บัวมันยิ่งชอบ ดอกมันยิ่งโต ลํามันใหญ ยิ่งยาวดอกบัวนั้นก็เปรียบกับจิตของเรามันจมอยูในทุกสิ่งทุกอยาง คือ ราคะ โทสะ โมหะ สารพัดอยาง อันมันเปนโคลน ที่เปนโคลนนี้ทานจึงจัดวา ดอกบัวมันอยูในตม ที่มันอยูในโคลนนั้นนะ ทานบอกวา มันเปนดอกบัวที่เสี่ยงเสี่ยงเพราะอะไร มันอยูในโคลนยังไมมีหวังที่จะพนตมมาเลย มันจึงเปนดอกบัวที่เสี่ยงมากทีเดียว มันเปนเหตุที่วาเตามันก็จะกิน ปลามันก็จะกินไดเพราะมันอยูในโคลน

     จิตใจของเราก็เหมือนกันฉันนั้น ถามันหมกอยูใน ราคะ โทสะ โมหะ มันเหมือนอยูในโคลน มัจจุราชตามเอาเปนอาหารหมดละ มันอยูในโคลน มันหนาแนน มันไมไดยินมันไมไดฟง มันไมไดอบรม มันหนา มันแนน มันก็ยังมีที่หวังของมันจะเปนไดหลายอยาง จะเปนปุถุชน หรืออันธภาพชนทั้งหลาย เปนไดหลายอยาง แลวแตจิตของตน

     อีกคนหนึ่งนั้น อีกจิตหนึ่งนั้น มันจะพนตมขึ้นมาแลว แตมันอยูในกลางน้ํา ดอกบัวดอกนี้ก็ยังจะเสี่ยงอยูเหมือนกัน นี่เพราะวามันจะเปนอาหารเตาหรือปลาอยูเสมอ ยังไมพน

     เหลาที่ 3 เสมอน้ํา พนตมแตยังเสมอน้ํา อันนี้ก็ยังเสี่ยงอยูเหมือนกัน ยังจะเปนอาหารของปลา และเตาอยูทั้งนั้นอันนี้มันเกิดความรูสึกขึ้นมา มีญาณของพระพุทธเจาของเราที่ทานหยั่งซึ้งลงไปวา สัตวโลกเปนอยางไร
     เหลาที่ 4 นี้เรียกวา พนโคน พนตม พนน้ํามาจะบานแลว บัว 4 เหลานี้คือ อุคฆฏิตัญูวิปจิตัญูเนยยะ ปทปรมะ นั่นแหละ

     พระพุทธเจาของเราจึงมาตรัสเสียวา เออ มันเปนอยางนี้อยู โลกมันก็ตองเปนอยางนี้อยู ไมใหมันเปนอยางนี้มันก็ไมเปนโลก จะตองทําอยางไร พระพุทธเจาทานรูแจงโลกนี้ดีจึงทรงชื่อวา โลกวิทูในจิตของทาน รูแจงโลกวา มันเปนอยางนี้โลกมันเปนอยางนี้เหมือนบัวในตมในโคลนมันเหม็นสาบ ดอกบัวไปเกิดที่ตรงน้ํา มันโผลน้ําขึ้นมา มันมีกลิ่นหอมนาทัศนาดูทุกสิ่งทุกอยาง ก็เพราะดอกบัวดอกนี้มันเกิดมาจากโคลนสกปรกจิตใจของเราทั้งหลายก็เหมือนกันสัตวโลกทั้งหลายก็เหมือนกัน มันปกปดอยูดวยอาสวธรรมทั้งหลายทั้งนั้นแหละ

     ถึงพระพุทธเจาก็ดีพระอรหันตสาวกก็ดีก็ตองเกิดมาจากโคลนอยางนั้น มีราคะโทสะ โมหะปกคลุมอยูทั้งนั้นแหละ หุมหออยูทั้งนั้นแหละ แตพระพุทธองคก็พนมาไดสาวกทั้งหลายก็พนมาไดทานแยกกันอยูอยางนั้น ถาไมมีอันนั้นเปนเหตุผลมันก็เกิดขึ้นไมได


1666
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 12:21:17 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

7.....
                       ถาเราไมเห็นเดี๋ยวนี้ตอไปก็ตองเห็น ถาเราพิจารณาเชนนี้ตอๆไป ยังเปนคนใหมประพฤติใหมปฏิบัติใหมก็ยังไมเห็น ก็เหมือนกับเราเปนเด็ก เรายังไมเห็นสภาพของคนแกทําไมไมเห็นละ ฟนเราก็ยังดีอยูตาเราก็ยังดีอยูหูเราก็ยังดีอยูรางกายเราก็ยังดีอยู ไมรูจักคนแก แตตอไปเมื่อเราเปนคนแกเราจะรูจัก ใครจะบอก สังขารมันจะบอก ฟนมันจะโยก นี่แกแลว ตามันจะไมสวาง หูมันจะตึง สภาวะรางกายมันจะเจ็บปวดไปหมด นี้คนแกมันเปนอยางนี้ใครมาบอก สังขารนี้บอกเอง ถาเราพิจารณาอยูคือสัญชาตญาณมันมีอยู เชนพวกปลวกหรือแมผึ้ง ผึ้งใครไปสอนมัน เมื่อมันทํารัง มันมีลูก มันทํารังกันสวยๆ  ถามันแกมันก็ออกไปเปนรังใหมลูกๆ ผึ้งมันก็ไปทํารังกันใหม ใครไปสอนมัน มันทํารัง
กันสวยๆ

     นกก็เหมือนกัน ตามปานะ โดยเฉพาะนกกระจาบนกกระจอก มันทํารังกันสวยๆ ใครไปบอกมัน เมื่อมันโตมันก็บินจากพอแมมันไป มันก็ไปทํารังเหมือนพอแมกัน ใครจะไปบอกมัน ปลวกก็เหมือนกัน ใครจะไปบอกมัน สัญชาตญาณมันมีมันทําของมันเองสัญชาตญาณอันนี้ที่มีอยูในใจของเรานี้เราก็ไมรูตัวเรา ถาเราไมมาเรียนรูธรรมก็ไมรูจักสิ่งทั้งหลายเหลานี้ความเปนจริง คนทุกๆ คนมันอยากจะมีความสุข และมันอยากจะดีทุกๆ คนนั่นแหละ แตมันทําดีไมเหมือนกัน มันตามหาความสุขไมเหมือนกัน มันตางกันเพราะปญญา

     สัญชาตญาณที่มันมีอยูในใจเรานั้น เราไมรูจักมันมันปกปดอยางสนิท อยางชนิดไมรูไมเห็น เมื่อธรรมชี้ไปมันจึงจะเห็น เชนวา เรานั่งอยูนี่ รางกายของเราทุกสวนนี่โดยสภาพแลว พระพุทธเจาทานวา ไมมีชิ้นไมมีอะไรมันจะสวยมันจะสะอาดเลย ทานตรัสอยางนี้ไมสวยไมสะอาด และไมเปนแกนเปนสารดวย เราก็ยังไมเห็น เรานึกวาอันนี้มันสวยอยูอันนี้มันสะอาดอยูอันนี้มันดีอยูทําไมมันเปนอยางนั้นเลา ของไมสวยแตในเห็น
วาสวย ของไมสะอาดทําไมมันเห็นวาสะอาดของไมเปนแกนสาร ของนี้ไมใชตัวของเราทําไมจึงเขาใจวาเปนตัวของเรา อันนี้มันก็มืดอยูพอแลว มันนาจะเห็นนี่ธรรมชาติอันนี้มันก็ไมใชตัวใชตนเราจริงๆ มันจะเจ็บจะไขเมื่อไหรก็เจ็บก็ไขมันจะตายเมื่อไหรมันก็ตาย มันไมหวงเราทั้งนั้นแหละ อันนี้เราก็ยังไมเห็นมัน มันนาจะเห็น ทําไมไมเห็นละ นี้มันก็มืดพออยูแลว ที่มันไมเห็นนี่นะ องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาของเรา ไดแยกสิ่งทั้งหลายเหลานี้ออกมาจนจิตของทานเห็นวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหลานี้เปนของไมเที่ยง เปนทุกขเปนอนัตตา เห็นจริง ๆ ชัดๆ ไมใชสัญญา(ความจํา) สังขารรางกาย
มันจะเปนอยางไร ก็ใหมันเปนไปตามเรื่องของมัน ทานเห็นเชนนั้น

     การกําหนดพิจารณา เรียกวา ภาวนากรรมฐาน เพื่อใหมันเห็น ขนาดนั้นมันยังไมคอยจะเห็น อันใดมันไมสวยก็เห็นวาสวย อันใดมันไมเปนแกนเปนสาร มันก็เห็นวาเปนแกนเปนสาร นี่จิตมันไมยอม มันจึงไมเห็น ทานก็วาเยาวคือจิตมันเปนเด็กอยู จิตมันยังเยาวอยูจิตมันยังไมเติบ จิตมันยังไมโต เชนนั้น พระพุทธศาสนานี้ทานสอนสวนจิต ใหจิตเปนคนเห็น ถาจิตมันเห็นแลวจิตมันรูของมันแลว ไมตองเปนหวง เรียกวา การภาวนาเปน

     ฉะนั้นจึงคอยๆ ทํา คอยๆ ประพฤติปฏิบัติไมใชวาจะเอาวันสองวันสามวันใหไดใหเห็น เมื่อวานซืนนี่มีนักศึกษาไดมาปรึกษา จะไปนั่งภาวนากรรมฐาน นั่งสมาธิมันไมสบาย มันไมสงบ มาหาหลวงพอ ชารจแบตเตอรี่ใหไมไดหรือ นี่อันนี้มันตองพากันพยายาม พยายามทํากันไปเรื่อยๆ คนอื่นบอกมันไมรูจัก มันจะตองไปพบดวยตนเอง ไมตองเอาทีละมากหรอก เอานอยๆ แตเอาทุกวัน นั่งสมาธิทุกวัน แลวก็เดินจงกรมทุกวันมันจะมากหรือนอยเราก็ทําทุกๆ วัน แลวก็เปนคนที่พูดนอย แลวก็ดูจิตของตัวเองตลอดเวลา เมื่อดูจิตของตัวเอง อะไรมันจะเกิดขึ้นมา แลวมันจะสุขหรือมันจะทุกขอะไรเหลานี้ก็บอกปดปฏิเสธมันเสีย วาเปนของไมแนนอน เปนของหลอกลวงทั้งนั้น

     ผูที่เรียน ศึกษามากๆ นั้นนะ มันเปนดวยสัญญาไมใชปญญา สัญญาเปนความจําปญญาเปนความรูเทาทันมันไมเหมือนกัน มันตางกันบางคนจําสัญญาเปนปญญา ถาปญญาแลวไมสุขกับใคร ไมทุกขกับใคร ไมเดือดรอนกับใคร ไมเปนทุกขเปนรอนกับจิตที่มันสงบหรือไมสงบ ถาสัญญาไมใชอยางนั้นนะ มันเกิดความยึดมั่นถือมั่น เปนทุกขเปนรอนไปตามอารมณทั้งหลายเหลานั้น

1667
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 12:10:35 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

6.....
  เวลาเรามีไมมาก เรามาฝกจิตก็ตองดูจิต ดูอาการของจิต ลองดูจิต ใหเห็นจิตเรา อยาไปยึดมั่นถือมั่นถือมั่นก็เห็นสุขเปนของจริง สุขเปนเรา สุขเปนของเราทุกขเปนเรา ทุกขเปนของเรา มันคิดเชนนี้แตความเปนจริงนี้สุขสักแตวาสุข ไมใชเราไมใชเขา ไมใชสัตวบุคคล ตัวตนเราเขา ทุกขนี้ก็ไมใชเราไมใชเขา ตัวคนที่รูทุกขหรือสุขนี้ก็ไมใชเราไมใชเขา ถาเราเห็นเชนนี้ก็ไมมีอะไรจะเกาะ เกิดสุขขึ้นมา สุขก็เกาะเราไมไดเกิดทุกขขึ้นมาทุกขก็เกาะเราไมไดทําไมไมไดเพราะวามันไมแน เปนของปลอมทั้งนั้น เปนของไมแนนอน ถาเราคิดเชนนี้จะภาวนาไดเร็ว จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนจะไปจะมา ทุกอยางจิตกําหนดอยูเสมอ ใหรูมีอารมณมันเขามา ตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสอะไรตางๆ นี้มันจะเกิดความชอบไมชอบขึ้นมาทันทีมันจะเกิดสุขเกิดทุกขขึ้นมาทันทีอันนี้เราเรียกวาอานดูจิต มันจะเห็นจิต เพราะมันเกิดจากจิตดวงเดียวเทานี้มันจะใหสุข มันใหทุกขทุกอยางเกิดจากจิต ถาเราตามดูจิตของเราอยูเชนนี้มันจะเห็นกิเลส มันจะเห็นจิตของเราสม่ําเสมอเลยทีเดียว อันนี้แหละคืออาการภาวนา

     บางคนเมื่อมาภาวนา ตอนเย็นก็นั่งสมาธิเดินจงกรม ก็นึกวาเขาไดภาวนาแลว ยังไมใชเทานี้ความเปนจริงการภาวนาคือสติติดตอกัน ใหเปนวงกลม ตลอดเวลาใหมีสติอยูสม่ําเสมอ ใหรูใหเห็น ใหเห็นอาการที่มันเกิดขึ้นมาในจิตของเรา เห็นเกิดขึ้นมา อยาไปยึดมั่น อยาไปหมายมั่น ปลอยมัน วางมันไวเชนนี้ปฏิบัติเชนนี้เร็วเร็วมาก มีแตเห็นอารมณเทานั้นแหละ อารมณที่ชอบ อารมณที่ไมชอบ

     ทุกวันนี้เราทุกคนนะไมรูจักกิเลสตัณหา มีคนๆเดียวนั่นละที่มันหลอกตัวอยูวันยังค่ำ ดูซิเราเกิดมามีอะไรไหม ก็คนๆ เดียวนั่นแหละมันพาใหเราหัวเราะอยูที่นี่ รองไหอยูที่นี่โศกเศราอยูที่นี่ วุนวายอยูนี่แหละ มันก็่คือคนๆเดียวกันถาเราไมพิจารณา ไมตามดูแลวยิ่งไมรูจักมัน มันก็เกิดทุกขอยูตลอดเวลา ไดมาก็เคยเสียอยู เสียแลวก็เคยไดมาอยูก็พลอยสุขกับมันทุกขกับมัน ยึดมั่นหมายมั่นกับมันตลอดเวลาอยูเชนนี้เพราะไมดูมัน ไมพิจารณา ของทั้งหลายนี้ไมไดอยูที่อื่น มันอยูที่ตัวเรา ถาเราพิจารณาที่ตัวเราอยูเชนนี้เราจะไดฟงธรรมของพระพุทธเจาของเรา

  ตนไมทุกตนเปรียบเหมือนมนุษยกอนหินทุกกอนเปรียบเหมือนมนุษยสัตวทุกสัตวในปาในทุงก็ดีมันก็เหมือนกับเรา ไมแปลกกับเรา มีสภาวะอันนี้อันเดียวกัน มีความเกิดขึ้นเปนเบื้องตน แลวก็มีความแปรในทามกลาง แลวก็มีความดับไปในที่สุด เหมือนกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราไมควรยึดมั่นหรือถือมั่นอะไรทั้งหลาย แตวาเราตองใชมันอยู เชน กระติกน้ําใบนี้เขาเรียกวากระติก เราก็เรียกวากระติกกับเขา เพราะวาเราจะมีความเกี่ยวของกับกระติกน้ําอยูตลอดเวลา เขาเรียกกระติกก็เรียกกับเขา เขาเรียกกระโถนก็เรียกกับเขา เขาเรียกจานก็เรียกกับเขา เขาเรียกถวยก็เรียกกับเขา แตเราไมติดอยูกับถวย
ไมติดอยูกับจาน ไมติดอยูกับกระโถน ไมยึดมั่นถือมั่นอยูในนั้น นี่เรียกวาเราภาวนา รูจักตัวเราและรูจักของของเรา

     รูจักตัวเราแลวก็ไมทุกขเพราะตัวเรา รูจักของของเราแลวก็ไมทุกขกับของของเรา อันนี้เพราะเราทํากรรมฐาน ปญญามันจะเกิดขึ้นอยางนี้มันจะเห็นไปตามสภาวะมันเองทุกๆอยาง อันนี้เปน โลกุตตรปญญา ปญญาเกิดจากการภาวนา (ภาวนามยปญญา) มันพนจากโลกียวิสัย เมื่อจิตสงบรวมกําลังจิตตรงที่นั้น เกิดรูเกิดเปนญาณขึ้นมา เปนความรูโลกุตตระอันนั้น

     ความรูโลกุตตระอันนี้พูดใหก็ไมรูเรื่อง อกฺขาตาโรตถาคตา ตถาคตเปนแตเพียงผูบอก คือพระพุทธเจาบอกใหไดแตวาทําใหไมไดเรื่องการประพฤติปฏิบัติมันเปนเชนนั้นฉะนั้น อดทนแลวก็เพียร สอบอารมณเรื่อยๆ ไป ถึงคราวเราทําความเพียร เราก็ทําไป ทําสมาธิเราก็ทําไป ออกจากสมาธิก็พิจารณา เห็นมดก็พิจารณา เห็นสัตวอะไรก็พิจารณาเห็นตนไมก็พิจารณา ทุกอยางเหมือนเรา ทุกอยางนอมเขามาหาตัวเรา เหมือนเรา
ทั้งนั้น อยางใบไมมันจะหลนเองไป ใบไมมันจะขึ้นมาใหมตนไมมันจะใหญตนไมมันจะเล็กอะไรทั้งหลายเหลานี้มันลวนแตเกิดปญญาทั้งนั้น ไมควรยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งนั้น เมื่อจิตเรารูจักการปลอยวางเชนนี้แลวก็จะเกิดความสงบ ความงบไมใชสุขไมใชทุกขมันสงบ เรียกวา ไดความพอดีเหมาะสม ดวยความรูสึกนึกคิดของเรานั้น เรียกวา เปนธรรม

                     ผูที่ฝกแลวก็จะพอมองเห็น ผูที่ยังไมเคยฝกนี้มันก็เปนของที่ลําบากสักนิดหนึ่งเราอยาไปนอยใจมัน อยาไปตกใจมัน มันก็เหมือนนักเรียนนั่นแหละ เพิ่งเขาโรงเรียนจะใหเขียนหนังสือไดอานหนังสือไดเขียนหนังสือใหมันสวยงามมันก็ไมไดอาศัยการฝก อาศัยการกระทํา อาศัยการประพฤติอาศัยการปฏิบัติแลวมันก็เปนไป การตั้งไวในใจของผูประพฤติปฏิบัตินี้ใหเอาชนะตัวเอง ไมตองเอาชนะคนอื่น ใหสอนตัวเอง ไมตองพยายามสอนคนอื่นใหมากที่สุด เดินไปก็ใหสอนตัวเองทั้งนั้น นั่งก็ใหสอนตัวเองไดทุกอยางใหมีในตัวของเราอยูเสมอเรียกวา สติสตินั่นแหละเปนแมบทของผูเจริญกรรมฐานสติอันนั้นเมื่อมันมีความรูสึกขึ้นปญญาก็จะวิ่งมา ถาสติไมมีปญญาก็เลิก ไมมีฉะนั้นจงพากันตั้งใจ ถึงแมวาเราจะมีเวลานอยก็ชางมัน เวลานอยก็ยังเปนอุปนิสัย ยังเปนปจจัยอยางอื่นจะหาเปนที่พึ่งอยางพุทธศาสนานี่ไมมีมันจบอยูตรงนี้ไปไหนก็ไมจบ แตพุทธศาสนาทําใหมันจบอยูตรงนี้

1668
ธูปขดขนาดนี้ ใช้่เวลากี่วันหมดขดครับ :001:
มีแบบเกือบๆเดือนและราวๆ3เดือนน่ะครับ ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาดเพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงครับ
ขอเรียนถามอีกนิดครับ

ธูปแบบนั้น ในบ้านเรามีขายไหมครับ....ผมไม่เคยเห็นนะ

1669
ขอบคุณครับ :054:

พี่น้องครับ ช่วงนี้อากาศร้อนมาก อย่าทำให้อากาศที่ร้อน มากระตุ้นให้โทสะเกิดขึ้นง่ายๆนะครับ
ให้พยายามดูจิตของตนเอาไว้ทุกขณะ
 

1670
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:53:04 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

5.....
                        เราตองการธรรมไปทําไม ตองการธรรมไปเพื่อรูตามความเปนจริงเทานั้นเอง ถึงแมมันจะจน ถึงแมมันจะรวย ถึงแมมันจะเปนโรค ถึงแมมันจะปราศจากโรค จิตก็อยูอยางนั้นเอง เชนวา วันหนึ่งตัวเรามันไมสบายขึ้นมาจะเห็นชัดในจิตของเราวา มันก็นึกกลัวตาย กลัวมันจะไมหายใจก็ไมสบายเกิดขึ้นมาแลว ความไมสบายเกิดขึ้นมาแลว คือไมอยากจะตาย อยากใหมันหาย อันนี้เห็นแงเดียว ตามธรรมชาติของมันแลว ถามันเกิดปวยขึ้นมา เกิดอาพาธขึ้นมาเราก็รูวา เปนก็เปน ตายก็ตาย หายก็หาย ไมหายก็ไมหาย ถาเราคิดไดเชนนี้มันเปนธรรม เอาทั้งสองอยางนั่นแหละ หายก็เอามัน ไมหายก็เอามัน เปนก็เอามัน ตายก็เอามัน

                     อันนี้ถูก แตวามันจะมีสักกี่คน นั่งฟงธรรมอยูนี่มันมีกี่คนปวยมาแลว ตายก็ตาย หายก็หาย มีกี่คนก็ไมรูที่มันอยากจะหาย ไมอยากจะตาย อันนี้มันคิดผิด เพราะมันกลัวเพราะมันไมเห็นธรรม มันจึงทุกขถาเห็นสังขารรางกายแลวไมวามันละ หายก็หาย ตายก็ตาย
เอาทั้งสองอยาง ไมเอามันก็ตองไดอะไรสักอยางจนได

     เมื่อเรารูจักธรรมเชนนี้รูจักสังขารเชนนี้เราก็พิจารณาตามสังขารวามันเปนอยางนั้นนี่กรรมฐานมันตั้งขึ้นมาแลว มันพนทุกขอยางนี้เอง ไมใชวามันไมตาย ไมใชวามันไมเจ็บ ไมใชวามันไมไข ั อนเรื่องเจ็บเรื่องไขมันเปนเรื่องของสังขาร เปนไปตามเรื่องของมัน ถึงคราวมันจะตาย ไมอยากตายเทาไหรมันก็ตาย ถึงคราวมันจะหาย ไมอยากจะใหหาย มันก็หาย อันนี้มันไมใชธุระหนาที่ของเราแลว มันเปนธุระหนาที่ของสังขาร ถาเราภาวนาเห็นเชนนี้จิตมีอารมณเห็นเชนนี้ทุกขณะ จิตก็ปลอยวางสบาย

      การภาวนานั้นไมใชวานั่งหลับตาภาวนาอยางเดียวการภาวนานั้นตลอดเวลา การยืนการเดิน การนั่ง การนอน ใหมีสติประคับประคองอยูเสมอเลยทีเดียว

     บัดนี้มีความทุกขเกิดขึ้นมาแลว ก็ทวนดูซิอันนี้มันก็ไมแนนอนหรอก เรื่องมันไมจริงทั้งนั้นนะ เราตองเตือนอยูเชนนี้เมื่อมันมีสุขเกิดขึ้นมาแลว สุขนี้มันก็ไมแนเหมือนกันนั่นแหละเคยสุขมาแลวมันก็เปนอยางนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็ทุกขเดี๋ยวมันก็สุข เปนของไมแนนอนทั้งนั้น ถาเราเห็นอารมณเมื่อใดถูกอารมณขึ้นมาเมื่อใด มันจะดีใจ เราก็ตองบอกมัน เตือนมัน วาความดีใจมันก็ไมแนนอนหรอก เปนแตความไมจริงทั้งนั้นแหละ มันหลอกลวงทั้งนั้น เมื่อความทุกขเกิดขึ้นมา ก็วามันไมแนนอน เปนสิ่งที่หลอกลวงทั้งนั้นแหละ เปนความรูสึกเทานั้นแหละ

     ความเปนจริงแลว ความสุขหรือความทุกขนั้นไมมีมันมีแตความรูสึก รูสึกวาสุข รูสึกวาทุกขถามีความชอบใจก็รูสึกวาสุข ไมชอบใจก็รูสึกวาทุกขตัวสุขตัวทุกขจริงๆ มันไมมีมันเปนแตเพียงความรูสึก ถาเราคิดไดเชนนี้เราก็เห็นของปลอมตลอดเวลา รูจักอารมณอารมณอันนี้ก็ไมตองวาไปสอบอารมณการภาวนาไมตองไปสอบอารมณ เมื่อเรามีสติตลอดเวลา ทุกวันทุกนาทีมันจะรูจักอารมณเมื่อเราทําผูรูใหตื่นอยูเสมอแลว มันจะเห็นความสุขหรือทุกขชอบไมชอบ จะเห็นอยูตลอดเวลา มันจะทวนลงไปทีเดียว วามันไมแน

     สุขเกิดขึ้นมาอันนี้ก็ไมแนนอนเหมือนกัน อยาไปหมายมั่นมันเลย ทุกขเกิดขึ้นมาเราก็วาเลยวา อันนี้มันก็ไมแนเหมือนกันนะ มันแนอยูตรงไหนเลา มันแนอยูตรงที่มันไมแนมันเปนอยูอยางนั้นเอง อันนี้เปนเหตุใหสุขทุกขและอารมณทั้งหลายเหลานี้ไมมีกําลังเสื่อม เมื่อสิ่งทั้งหลายนี้มันเสื่อมไป อุปาทาน(ความยึดมั่น) ของเราก็นอย ก็ปลอยวาง นี่เปนเรื่องของธรรมชาติเรื่องของธรรมดาเชนนี้

               ฉะนั้นจิตใจของเรา มันจะไดมาก็เปนเรื่องธรรมดาของมัน มันจะเสียหายไปก็เปนเรื่องของมัน มันจะสุขก็เปนเรื่องของมัน มันจะทุกขก็เปนเรื่องของมัน เรื่องของสังขารมันเปนอยูอยางนั้น อันนี้เปนสักแตวาเรารูสึกเทานั้น อื่นนั้นก็ไมมีฉะนั้นทานจึงสอนใหโอปนยิโก คือใหนอมเขามาใสตัวอยานอมออกไป นอมเขามาใหเห็นดวยตัวของเรานี้

      ทางที่ดีสําหรับคนที่อานที่ศึกษามามากแลว จะมาอยูมาภาวนาเพียงสองสัปดาหเทานี้
นะ อาตมาเห็นวาไมตองดูไมตองอาน หนังสือเอาเขาตูเสีย ถึงเวลาเราทํากรรมฐาน นั่งสมาธิของเรา เราก็ทําไป อานปานสติทําไปเรื่อยๆ ขณะที่เราเดินจงกรม เราก็เดิน ใหรูจิตของเราเทานั้นแหละ รักษาจิตของเรา บางทีความหวาด ความสะดุงมันเกิดขึ้นมา เราก็ทวนมันอีก อันนี้เปนของไมแนนอนเรื่องความกลาหาญเกิดขึ้นมา อันนี้มันก็ไมแนนอนเหมือนกันไมแนทั้งหมดนั่นแหละ ไมรูจะจับอะไร นี่ทําปญญาใหเกิดเลยทีเดียว ทําปญญาใหเกิด ไมใชรูตามสัญญา(ความจํา) รูจิตของเราที่มันคิดมันนึกอยูนี้มันคิดนึกทั้งหมดเกิดขึ้นมาในใจของเรานี้แหละ จะดีหรือชั่ว จะถูกหรือผิด รับรูมันไวอยาไปหมายมั่นมัน เออ...ทุกขมันก็เทานั้นแหละ สุขมันก็เทานั้นแหละ มันเปนของหลอกลวงทั้งนั้นแหละ เรายืนตัวอยูเชนนี้เลยยืนตัวอยูเสมอเชนนี้ไมวิ่งไปกับมัน ไมวิ่งไปกับสุข ไมวิ่งไปกับทุกขรูอยู รูแลวก็วาง อันนี้ปญญาจะเกิด ทวนจิตเขาไปเรื่อยๆ

1671
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:40:13 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

4.....
การทํากรรมฐาน ถาไมรูจักแลวก็จะลําบาก บางคนก็ไมเคยทํา เมื่อมาทําวันสองวันสามวัน มันก็ไมสงบ มันก็เลยนึกวา เราทําไมไดเราตองคิดวา เมื่อเราเกิดมาเคยถูกสอนหรือยัง เราเคยทําความสงบหรือเปลา เราปลอยมานานแลว ไมเคยฝกเคยหัดมัน มาฝกมันชั่วระยะหนึ่งอยากใหมันสงบอยางนั้นเหตุมันไมพอ ผลมันก็ไมมีเปนเรื่องของธรรมดาเปนเรื่องอันตัวเราทานทั้งหลายจะหลุดพน ตองอดทน การอดทนเปนแมบทของการประพฤติปฏิบัติ

     ใหเห็นกาย ใหเห็นใจ เมื่อรูจักธรรมตามความเปนจริงแลวนั่น ความที่เรายึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) แตกอนๆ มันจึงจะผอนออก เห็นตามความเปนจริงของมันอุปาทานมั่นหมายในความดีความชั่วทั้งหลายมันจะคลายออก คลายออก เห็นวามันเปนอนิจจัง เปนทุกขังเปนอนัตตา เปนของไมแนไมนอน

     ที่มันเกิดมีในจิตของเรานี้นั้น ลองดูซิความรักมันแนไหม มันก็ไมแนความเกลียดมันแนไหม ความสุขมันแนไหม มันก็ไมแนความทุกขมันแนไหม มันก็ไมแนอันไมแนนั้นเรียกวาของไมจริง เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่ออันนี้มันไมจริง ของจริงมันอยูที่ไหนของจริงอยูที่มันเปนอยูอยางนั้น มันไมเที่ยงอยูอยางนั้น เปนทุกขอยูอยางนั้น มันจริงแตสักวา มันเปนของมันอยูอยางนั้น อันนี้คือความจริง ความจริงอยูตรงที่มันไมจริง อันความเที่ยงอยูตรงที่มันไมเที่ยง เหมือนกันกับของสกปรกมันเกิดมีขึ้นความสะอาดอยูตรงไหน มันอยูตรงที่สกปรกนั่นแหละ เอาสกปรกออกก็เห็นความสะอาดฉันใด จิตใจของเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

                  การประพฤติปฏิบัตินี้บางคนปญญามันนอยบางคนปญญามันมาก ไมทันกัน ไมเห็นเหมือนกัน อยางเราไปพบวัตถุอันหนึ่ง 2 คนหรือ 3 คนไปพบแกวใบหนึ่งบางคนก็เห็นวามันสวย บางคนจะเห็นวามันไมสวย บางคนจะเห็นวามันโตไป บางคนจะเห็นวามัน
เล็กไป นี่ทั้งๆ ที่แกวใบเดียวกันนั่นเอง ทําไมไมเหมือนกัน แกวใบนั้นมันเหมือนของมันอยู แตความเห็นของเรามันไมเหมือนกัน มันเปนเชนนี้ฉะนั้นมันจึงไมเหมือนกันอยูที่ตรงนี้การประพฤติปฏิบัติทางพุทธศาสนานี้ก็เหมือนกัน พระพุทธเจาทานสอน อยาใหมันชา อยาใหมันเร็ว ทําจิตใจใหพอดีการประพฤติปฏิบัตินี่ไมตองเดือนรอน ถามันเดือดรอนเราก็ตองพิจารณา เชนวาเราจะปลูกตนไมตนหนึ่งขึ้นมา ตนไมที่จะปลูกนั้นก็มีอยูก็ขุดหลุม ก็ปลูก เอาตนไมมาวางลงหลุมนั้นก็เปนหนาที่ของเราจะมูนดิน จะใหปุย จะใหน้ำ จะรักษาแมลงตางๆ ก็เปนเรื่องของเรา เปนหนาที่ของเรา คนจะทําสวนตองทําอยางนี้ทีนี้เรื่องตนไมมันจะโตเร็วโตชาของมันนั้นนะ มันไมใชเรื่องของเรามันเปนเรื่องของตนไมถาเราไมรูจักหนาที่การงานของตัวแลวมันก็ไปทํางานหนาที่ของตนไมมันก็ทุกขไมทํางานหนาที่ของเรา หนาที่ของเราก็ใหปุยมันไป ใหน้ํามันไป รักษาแมลงไมไปเทานี้สวนตนไมจะโตเร็วโตชาเปนเรื่องของตนไมถาเรารูจักหนาที่การงานของเราเชนนี้ภาวนา(ฝกจิต) ก็สบายถาเราคิดเชนนี้การปฏิบัติของเราก็สบาย งาย สะดวก ไมดิ้นรน
กระวนกระวาย นั่งมันสงบก็ดูความสงบไป ที่มันไมสงบก็ดูความไมสงบไป ที่มันสงบนั้น มันก็เปนเรื่องของจิต มันเปน อยางนั้น ที่มันไมสงบ มันก็เปนเรื่องของมันอยางนั้น ไมไดเปนอยางอื่นมันสงบแลว มันก็สงบไป ถาไมสงบก็ไมสงบไป เราจะไปทุกขเพราะมันไมสงบไมได เราจะไปดีใจเพราะจิตสงบมันก็ไมถูก เราจะไปเสียใจเพราะจิตมันไมสงบก็ไมถูกเหมือนกัน เราจะไปทุกขกับตนไมไดหรือไปทุกขกับแดดไดหรือ ไปทุกขกับฝนไดหรือไปทุกขกับอยางอื่นไดหรือ มันเปนเรื่องของมันอยูอยางนั้น

     ถาเราเขาใจเชนนี้แลว การภาวนาของพระโยคาวจรนั้นก็สบายแลว เดินทางเรื่อยๆ ไปปฏิบัติไป ทําธุระหนาที่ของเราไป เวลาพอสมควรเราก็ทําของเราไป สวนมันจะไดจะถึงหรือมันสงบนั้น ก็เปนวาสนาบารมีของเรา เหมือนกับชาวสวนปลูกตนไมหนาที่ของเราใสปุยก็ใสมันไป รดน้ําก็รดมันไป รักษาแมลงก็รักษามันไป เรื่องตนไมจะโตเร็วโตชาไมใชเรื่องของเราเปนเรื่องของตนไมละปลอยทั้งสองอยางนี้รูจักหนาที่ของเรารูจักหนาที่ของตนไมมันถึงเปนชาวสวนที่มีความสดชื่นดีฉันใดผูมีปญญา ผูที่ภาวนาในพุทธศาสนานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น พอจิตคิดเชนนี้ความพอดีมันตั้งขึ้นมาเอง พอความ
พอดีมันตั้งขึ้นมาก็เลยเปนปฏิปทา ปฏิปทาที่พอดีเกิดขึ้นมา ความเหมาะสมมันก็เกิดขึ้นมา อารมณเหมาะสมมันก็เกิดขึ้นมา ความรูสึกนึกคิดเกิดขึ้นมาแลว มันเปนสิ่งที่เหมาะสมแลว เปนสัมมาปฏิปทา ปฏิบัติไมหยอน ปฏิบัติไมตึง ปฏิบัติไมเร็ว ปฏิบัติไมชา จิตใจปลอยไปตามสภาวะของมัน อันนั้นคือภาวนาสงบแลว สบายแลว

     ความรูสึกนึกคิดของเราไปมีอุปาทานมั่นหมายมันขึ้นเมื่อไร มันก็เปนทุกขเมื่อนั้นฉะนั้น ในการประพฤติปฏิบัติทานจึงใหปลอยวาง เชนวา เราอยูดวยกันหลายๆ คนนี้นะตางบาน ตางตระกูล ตางตําบล ตางจังหวัด ที่มารวมๆ กันนี้ถาเรารูคนในนี้ในศาลานี้ก็สงบแลว ภาวนาเราก็สบาย เรื่องคนนี้ก็ใหคนนี้เรื่องคนนั้นก็ใหคนนั้น ใหคนละคนละคนไปเรื่อย ๆ ไป เราก็สบาย เรื่องทุกสิ่งทุกอยางก็ปลอยไป ไมตองไปวิพากษวิจัยเรื่องคนอื่น ไมตองไปวิพากษวิจัยเรื่องนอกกายนอกใจเราแลว มันก็เกิดความสงบความสบายขึ้นมา เพราะความรูตามเปนจริงเกิดขึ้นมา

1672
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:17:49 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

3....
เมื่อหากวาจิตของเรากําหนดอารมณกับลมหายใจถูกแลว มันจะไมขัดของ ลมกไมขัดของ ผูรูก็ไมขัดของ ทุกอยางทุกสวนก็ไมขัดของ เราเพียงแตรูอันเดียวเทานั้นแหละ คือรูแตเพียงลมหายใจเขาออก คือกําหนดรูวา ตนลมคือจมูก กลางลมคือหทัย ปลายลมคือสะดือ เมื่อลมมันถอนออกมาตนลมอยูสะดือ กลางลมอยูหทัย ปลายลมอยูจมูก 3 ประการนี้เรานั่งพิจารณากําหนดรูอยูเชนนั้น ใหมันรูทั้ง 3 นี้เสมอเรียกวาเรามีสติเต็มที่ของเรา มีผูรูควบคุมสติอันนั้นอยูเต็มที่เชนนี้เรียกวาเราทํา(สมถ) กรรมฐาน จนกวาจิตเรามันสงบ

     เมื่อจิตเราสงบ กายมันก็เบา ใจมันก็เบา ลมมันก็ละเอียด เมื่อเรามีลมอันละเอียดแลว ก็ไมตองตามลม เพราะการตามลมเขาไป มันเปนอารมณหยาบ เมื่อไมอยากจะตามเสียแลวเอาสติกําหนดที่ปลายจมูกของเรานี้พอแตรูวามันเขา พอแตรูวามันออก เทานี้ก็พอแลวจิตสบาย กายก็เบาใจสงบ ลมก็ละเอียด อันนี้จิตเปนสมาธิรูตามลมอยางเดียวเมื่อมันละเอียดเต็มที่เขาไปนั้น มันจะเกิดความละเอียดขึ้นมาใจใจของเราอีก ลมที่เรากําหนดอยูนี้มันจะหายไป มันจะไมมีลม ที่จริงมันมีอยูหรอกแตมันละเอียดที่สุดจนกําหนดไมไดก็เลยเกิดเปนคนไมมีลม นั่งเฉยๆ อยูนึกวาไมมีลม

     ตอนนี้พระโยคาวจรเจามักจะตกใจ กลัววาเราไมมีลมกลัววาเราจะเปนอะไรไป ถาลมไมมีแลวจะเอาอะไรเปนอารณตอไปอีก เราจะตองเอาความรูสึกวาลมไมมีนั่นแหละเปนอารมณตอไป ไมเปนโทษ ไมเปนอันตราย เราทําจิตของเราใหรูวาไมมีลมเขาไป ถึงกาลถึงเวลาแลวเปนเอง อันนี้ไมตองกลัว ไมตองสะดุง จะเปนไปอยางไรก็ตาม ก็รู้ รูใจของเราที่มันเปนอยางไร กําหนดจิตเขาไปวารูอยางไร จะไมมีอันตรายแตอยางใด อันนี้เปน
อารมณของการกระทําจิตใหสงบ(สมถ)เบื้องแรก

     พูดถึงความสงบ(สมถ) พอมันสงบแลวก็มีสวนที่มันไมสงบมาปะปนเขา เชนวา เราเพิ่งมาฝกจิตของเราเดือนหนึ่ง 10 วัน 5 วัน โดยมากมันก็ยังไมสงบ ถามันไมสงบนั้น ไมตองนอยใจ มันเปนเรื่องธรรมดาของมัน เรื่องจิตอันนี้มันจะอยูนิ่งๆ ในที่ของมันไมไดหรอก บางทีมันมีอาการคิดอยางโนนคิดอยางนี้ในขณะอยูในที่สงบอันนั้นแหละบางคนก็จิตไมสงบ จิตฟุงซาน ใจก็ไมสบาย ใจเขาก็ไมดีเพราะวาจิตไมสงบ อันนี้เราตองพิจารณาดวยปญญาของเรา เรื่องไมสงบอันนั้นเพราะเราไมรูตามความเปนจริงของมันเทานั้นเอง ถาเรารูตามความเปนจริงของมันแลว อันนั้นสักแตวาอาการของจิต จริงๆ แลวจิตมันไมฟุงไปอยางนั้น เชนวา เรารูความคิดแลววา บัดนี้เราคิดอิจฉาคน นี้เปนอาการของจิตแตเปนของไมจริง มันไมเปนความจริง เรียกวาอาการของจิตมันมีตลอดเวลา ถาหากคนไมรูตามความเปนจริงของมันแลวก็นอยใจวาจิตเราไมอยูนิ่ง จิตเราไมสงบ อันนี้เราตองใชการพิจารณาอีกทีหนึ่งใหมันเขาใจ เรื่องของจิตนั้นนะ มันเปนเรื่องของอาการของมัน แตที่สําคัญคือ มันรูรูดีมันก็รูรูชั่วมันก็รูรูสงบมันก็รูรูไมสงบมันก็รูอันนี้คือตัวรูพระพุทธเจาของเราทานใหตามรูตามดูจิตของเรา

     จิตนั้นคืออะไร จิตนั้นอยูที่ไหน ทุกคนที่นั่งอยูที่นี่เราก็คงรูตัวของเรา ความรูที่มันรูนี่มันรูอยูที่ไหน จิตก็เหมือนกัน จิตนี้คืออะไร มันเปนธรรมชาติหรือเปนสัญชาตญาณอันหนึ่งที่มันมีอยูอยางที่เราไดยินอยูเดี๋ยวนี้แหละ มันมีความรูอยูความรูนี้มันอยูที่ไหนในจิตนั้นมันเปนอยางไร ทั้งความรูก็ดีทั้งจิตก็ดีเปนแตความรูสึก ผูที่รูสึกดีชั่ว เปนสักแตวาความรูสึก รูสึกดีหรือชั่ว หรือรูสึกผิดหรือถูก คนที่รูสึกนั้นแหละเปนคนรูสึกตัวรูสึกตัวมันคืออะไร มันก็ไมคืออะไร ถาพูดตามสวนแลวมันเปนอยูอยางนี้ถารูสึกผิดไปก็ไปทําผิดมัน รูสึกถูกก็ไปทําถูก ฉะนั้นทานจึงใหเกิดความรูสึกขึ้นมาเรื่องจิตของเรานั้น
มันเปนอาการของจิต เรื่องมันคิดมันคิดไปทั่ว แตผูรูคือปญญาของเราตามรูตามรูอันนั้นตามเปนจริง

               ถาเราเห็นอารณตามเปนจริงของเราแลว มันก็เปลี่ยนไปอีกประเภทหนึ่ง (วิปสสนากรรมฐาน) เชนวา เราไดยินวารถทับคนตายเปนตน เราก็เฉยๆ ความรูชนิดนี้มันก็มีแตมันรูไมเห็น รูไมจริง รูดวยสัญญา (ความจํา) ขนาดนี้มันรูอยางนี้ทีนี้ถาหากวาเดินไปดูซิ
รถมันทับคนตายที่ไหนไปเห็นรางกายคนนั้นมันเละหมดแลว อันความรูครั้งที่สองนี้ มันดีขึ้นเพราะมันไปเห็น เห็นอวัยวะที่ถูกรถทับ มันเกิดสลดเกิดสังเวช ความรูที่เห็นดวยตามันมีราคายิ่งกวาเขาวา

     เมื่อเราไปเห็นทุกสิ่งอันนี้มันเปนอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ไมแนไมนอน ในรางกายนี้ไมเปนแกนเปนสาร ไมสดไมสวย ความรูสึกนึกคิดมันคนในเวลานั้นมันก็เกิดปญญา(วิปสสนา) เปนเหตุใหถอนอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ออกไดเรียกวาความรูสึกอันนี้มันสูงขึ้น สูงขึ้น ๆตองพิจารณา เชนนี้

1673
ธรรมะ / ตอบ: ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 11:09:45 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

2...
 เบื้องแรกก็รูจากการไดฟงที่เรียกวา สุตมยปญญา การไดฟง การไดยินอันนี้ก็เปนเหตุใหรูเปนเหตุใหเกิดปญญาเชนวา สมมติวาวันนี้เราเพิ่งไดยินวาสีขาว แตกอนนี้เราไมเคยไดยิน ที่นี้เมื่อเรารูวาสีขาวมันเปนเชนนี้เราก็คิดไปอีก สีอื่นจะไมมีหรือ หรือสีขาวจะแปรเปนสีอื่นจะไดหรือไม เปนตนนี่เรียกวา จินตามยปญญา หรือวาเราคิดไป ก็ไปคิดลองดูเอาสีดํามาปนในสีขาว มันก็เกิดเปนสีอื่นขึ้นมาอีก เปนสีเทาอยางนี้เปนตน การที่เราจะไดรูจักสีเทาตอไปนั้น ก็เพราะวาเรา คิด ปญญาเกิดจากการคิด การวิพากษวิจารณเราเลยรูสูงขึ้นไปกวาสีขาว รูสีเทาเพิ่มขึ้นไปอีก ปญญาเกิดจากสิ่งทั้งสองนี้

      นี้เปนปญญาที่เปนโลกียวิสัย ซึ่งชาวโลกพากันเรียนอยูทั้งเมืองไทย จะไปเรียนนอกมาก็ตาม มันก็คงอยูในสุตมยปญญา จินตามยปญญาเทานั้น อันนี้เปนโลกียวิสัย พนทุกขไมไดพนทุกขไดยาก หรือพนไมไดเลยทีเดียว เพราะเมื่อรูสีขาว สีเทาแลว ก็ไปยึดมั่น(อุปาทาน) ในสีขาว สีเทาอันนั้น แลวจะปลอยวางไมไดเชนวา เราเกิดอารมณขึ้นมา ไดยินเขาวาเราไมดีเรียกวานินทา อดเสียใจไมไดอดนอยใจไมไดเขาไปยึดมั่นถือมั่น
(อุปาทาน) ในอารมณอันนั้น เปนเหตุใหเกิดทุกขขึ้นมาเพราะ อุปาทาน นี้เรียกวาการรูหรือการเห็นจากการไดฟง มันจะพนทุกขไมไดหรือวาเขาสรรเสริญเรา มันอดดีใจไมไดแลวก็เขาไปยึดมั่นถือมั่นในความดีนั้นอีก ไมไดตามปรารถนาแลวก็ทุกขอีก สุขแลวก็ทุกขทุกขแลวก็สุข ดีแลวก็ชั่ว ชั่วแลวก็ดีเปนตัววัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนแปรไปไมจบ อันนี้เปนโลกียวิสัย เชนที่ปรากฏอยูในโลกทุกวันนี้เราเคยรูเคยเห็น จะเรียนไปถึงที่สุด
อะไรที่ไหนก็ตาม มันก็ยังทุกขเอาทุกขออกจากตัวไมไดนั่นเปนปญญาโลกียละทุกขไมไดไมพนจากทุกขความร่ํารวยเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีที่อยูในโลกนี้มันก็ไมพนจากความทุกขเพราะมันเปนโลกียวิสัย ปญญาทั้งสองประการนี้ทานยกใหโลก ปกครองกันอยูในโลก วุยวายกันอยูในโลก ไมมีทางจบ ถึงแมจะจนมันก็ทุกขถึงแมจะรวยแลวมันก็ยังทุกขอยูอีก ไมพนไปจากทุกข

        ปญญาโลกุตตระที่จะเกิดขึ้นมาตอไป เปนความรูของพุทธศาสนา ซึ่งเปนโลกุตตระ พนจากทุกขพนจากวัฏฏสงสาร อันนี้ทานพูดถึงการอบรมจิตใจ (ภาวนา) ไมตองอาศัยการฟง ไมตองอาศัยการคิด ถึงฟงมาแลวก็ดีถึงคิดมาแลวก็ดีเมื่อภาวนาทิ้งมัน ทิ้งการฟงไวทิ้งการคิดเสียเก็บไวในตูแตมาทําจิต (ภาวนา) อยางที่พวกเรามาฝกกันอยูทุกวันนี้หรือเรียกวาทํากรรมฐาน ที่โบราณาจารยทั้งหลายทานแยกประเภทสวนแหงการกระทํา แยกขอประพฤติปฏิบัติเรียกวา สมถกรรมฐาน และวิปสสนากรรมฐาน
     
                     สมถวิปสสนาเปนแนวทางที่ใหพวกเราทั้งหลายปฏิบัติใหเปนโลกุตตรจิต ใหพนจากวัฏฏสงสาร เชนวาเรานั่ง ไมตองฟง และไมตองคิด ตัดการฟง ตัดการคิดออกและยกสวนใดสวนหนึ่งขึ้นพิจารณา เชน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือเรายกอานาปานสติ
คือ หายใจเขานึกวา พุท หายใจออกนึกวา โธ ในเวลาที่เราทํากรรมฐานอยูนั้นในเวลาที่เรากําหนดลมอยูนั้น ทานไมใหสงจิตไปทางอื่น ใหกําหนดรูลมหายใจเขาออกอยางเดียว ออกไปแลวเขามา เขามาแลวก็ออกไป ไมตองอยากรูอะไรมาก ไมตองอยากเห็นอะไรตอไป ใหจิตของเรารูเฉพาะลมที่มันเขาหรือมันออก เรียกวาการกําหนดลม เปน อานาปานสติ
     
   การกําหนดลมนี้บางคนกําหนดไมไดการกําหนดลมเราจะตองเอาสภาวะที่มันเปนอยู
หายใจเขา ยาว หายใจออก สั้น เทาไร อันนั้นไมเปนประมาณ เปนประมาณที่วามันสบาย
อยางไร หายใจแรงหรือมันคอย หรือมันยาว หรือมันสั้น เราจะตองทดลองหายใจดูมัน
ถูกจริตที่ตรงไหน มันสบายอยางไร ลมไมขัดของ จะกําหนดตามลมก็สบายสะดวก
ตัวอยางเชน เราฝกเย็บผาดวยจักร เราก็ควรเอาจักรมาลองเอาเทาเราถีบจักรเขา ถีบจักร
เปลายังไมตองเย็บผา ใหมันชํานาญเสียกอน เมื่อเทาเราชํานาญพอสมควรแลวคอยเอาผา
มาใส เย็บไปพิจารณาไป
     การกําหนดลมหายใจนี้ก็เหมือนกัน ก็หายใจเบาๆ เสียกอน ไมตองกําหนดอะไร มันยาว มันสั้น มันหยาบ มันละเอียด มันสบายอยางไร อันนั้นเปนจริตของเรา ความพอดีของมันนั้น ไมยาว ไมสั้น พอดีเรากําหนดเอาอันนั้นเปนประมาณ นี้เรียกวาใหกรรมฐานถูกจริต แลวคอยๆ ปลอยลมออกไป แลวก็สูดลมเขามา เราจะกําหนดวา เมื่อลมเขาตนลมอยูปลายจมูก กลางลมอยูหทัย ปลายลมอยูสะดือ เมื่อเราหายใจออก ตนลมอยูสะดือกลางลมอยูหทัย ปลายลมอยูจมูก ใหเรากําหนดอยางนี้เสียกอน แลวก็สูดลมเขาผานปลายจมูก หทัย สะดือ เมื่อออกตั้งตน สะดือ หทัย ปลายจมูก เปนตน ทําอยูแตอยางนี้แหละ ไมตองสนใจอื่น

     เมื่อเวลาเราทํา (สมถ) กรรมฐาน คือกําหนดลมไมตองพิจารณาอะไร เอาสติประคองจิตของเรา ใหรูตามลมเขาออกเทานั้น ไมตองสนใจอยางอื่น ไมตองพิจารณาอยางอื่นลมก็สบายไมขัดของ ลมเขาก็สบาย ลมออกก็สบาย เอาความรูสึกที่เรียกวา สติสติตามลม สวนสัมปชัญญะก็รูอยูวาสติเราตามลม ขณะที่เรากําลังทําอยูนั้น มีสติแลวก็มีลมมีสติตามลม เราจะมองดูในที่อันนั้น เราจะรูลม เห็นลม วามันยาวสั้นประการใด เห็นลมและมี
สติอยูวาเรารูลม แลวก็เห็นจิตของเราตามลม เห็นทั้งลม เห็นทั้งสติเห็นทั้งจิต 3 ประการรวมกัน หายใจเขาก็รวม หายใจออกก็รวม รูสึกอยูอยางนี้มันจะเปนอะไรบางตอไป อยาคิดไป มันจะมีอะไรบางตอไป อยาคิดไป ทําอยางนี้มันจะดีจะเปนอยางไรตอไปไมตองคิด เรียกวากําหนดลมเขาออกสบาย

1674
ธรรมะ / ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 10:32:25 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

1....

ตามดูจิต(หลวงปูชา)

บัดนี้เปนโอกาสที่พวกเราทั้งหลายจะไดมีการอบรมธรรมปฏิบัติกัน พระบรมศาสดาทานกลาวถึงการปฏิบัติไววา บุคคลที่ยังไมไดรับการอบรมปฏิบัติก็จะไมเขาใจในธรรม ไมเขาใจในธรรมชาติที่มันเปนอยูหรือในสัญชาตญาณที่คูกับเราแตเกิด ธรรมชาติอันนี้หรือสัญชาติญาณอันนี้มันเกี่ยวของกันกับชีวิตของเราตลอดเวลา เราจะเรียกวาของที่มันเปนอยูก็ไดเรียกวาสัญชาติญาณก็ไดมันมีความเฉลียวฉลาดอยูในนั้น ซึ่งชวยปองกันรักษาตัวมันเองมาตลอด สัตวทุกจําพวกเมื่อเกิดมันตองรักษามันแหละ การรักษาตัว ปกปองชีวิต ปองกันอันตรายทั้งหลาย แสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิต นี้เหมือนกันหมด เชน สัตวเดรัจฉาน มันก็กลัวอันตราย แสวงหาความสุข เหมือนกันกับสัญชาตญาณมนุษยเรา
อันนี้ทานเรียกวาเปนธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ จะมารักษาตัวมันตลอดเวลา ธรรมชาตินั่นเอง ธรรมชาติเรื่องกายหรือเรื่องจิตใจ

     เราจะตองมารับการอบรมใหม เปลี่ยนใหม     ถาหากวาเรายังไมไดรับการอบรมบมนิสัย ก็คือยังเปนของที่ไมสะอาด ยังเปนของที่
สกปรก เปนจิตใจที่เศราหมองเหมือนกันกับตนไมในปา ซึ่งมันเกิดมามันก็เปนธรรมชาติ ถาหากวามนุษยเราตองการจะเอามาทําประโยชนดีกวานั้น ก็ตองมาดัดแปลง สะสาง ธรรมชาติอันนี้ใหเปนของที่ใชไดเชนโตะนี้หรือบานเรือนของเรานั้น เกิดจากเราสามารถเอาธรรมชาติมาทําเปนที่อยูอาศัย เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติอันนั้นมา มนุษยชาตินี้ก็เหมือนกัน ตองมาปรับเปลี่ยนใหม ในทางพุทธศาสนานี้เรียกวา พุทธศาสตร

      พุทธศาสตรคือความรูทางพุทธศาสนา สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรูสึกของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งมันติดแนนอยูในอันใดอันหนึ่ง เชน เราเกิดมามีชื่อเสียงเรียงนามมาตั้งแตวันเกิด เชนวา เรียกวาตน ตัวเรา ของเรา นี้สมมุติกันขึ้นมาวารางกายของเรา จิตใจของเรา ซึ่งสมมุติชื่อขึ้นมาจากธรรมชาตินั่นเอง พวกเราทั้งหลายก็ติดแนนอยูในตัวเรา หรือในของของเรา เปนอุปาทานโดยที่ไมรูเนื้อรูตัว เปนอยางนี้ในทางพุทธศาสนานั้นทานสอนใหรูยิ่งเขาไปกวานั้นอีก ทําจิตใจใหสงบใหรูยิ่งเขาไป ยิ่งกวาธรรมชาติที่มันเปนอยู จนเปนเหตุใหไมยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอันนี้พูดตามชาวโลกเราวาตัววาตน วาเราวาเขา ทางพุทธศาสนานั้นทานเรียกวา ตัวตนเราเขาไมมีนี่คือมันแยงกัน มันแยงกันอยูอยางนี้ตัวเราหรือของเราซึ่งพวกเราเขาใจกันตั้งแตเราเกิดมาจนรูเดียงสา จนเกิดเปนอุปาทานมาตลอดจนทุกวันนี้อันนี้ก็เปนเครื่องปกปดธรรมอันแทจริง อันพวกเราทั้งหลายไมรูเนื้อรูตัว ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาทานจึงใหมาอบรม

     การอบรมในทางพุทธศาสนานั้น เบื้องแรกทานวาใหเปนคนซื่อสัตยสุจริต ตามบัญญัติทานเรียกวาใหพากันรักษาศีล เปนเบื้องแรกเสียกอน นี่ขอประพฤติปฏิบัติจนเปนเหตุไมใหเกิดโทษ ไมใหเกิดทุกขทางกายและทางวาจาของเรา อยางที่เราทั้งหลายอบรมกันอยู ใหอายและกลัว ทั้งอายทั้งกลัว อายตอความชั่วทั้งหลาย อายตอความผิดทั้งหลาย อายตอการกระทําบาปทั้งหลาย รักษาตัวกลัวบาป เมื่อจิตใจของเราพนจากความชั่วทั้งหลาย พนจากความผิดทั้งหลาย ใจเราก็เยือกเย็น ใจเราก็สบาย ความสบายหรือความสงบอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติซึ่งไมมีโทษนั่นก็เปน สมาธิขั้นหนึ่งที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทานตรัสวา สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทาสจิตฺตปริโยทปนํเอตํพุทธานสาสนํ ทานวาเปนหัวใจของพุทธศาสนา

      สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมทําบาปทางกาย ทางวาจา คือ การไมทําผิดทําชั่ว ทางกาย ทางวาจา อันนี้เปนตัวศาสนา เปนพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย หรือ เอตํพุทธานสาสนํ
  
      กุสลสฺสูปสมฺปทา เมื่อมาทําจิตของตนใหสงบ ระงับจากบาปแลว ก็เปนจิตที่มีกุศลเกิดขึ้นมา เอตํพุทธานสาสนํอันนี้เปนคําสอนของทานหรือเปนหัวใจของพุทธศาสนาเหมือนกัน

      สจิตฺตปริโยทปนํ การมาทําจิตใจของตนใหผองใสขาวสะอาด เอตํพุทธานสาสนํอันนี้เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจา หรือเปนหัวใจของพุทธศาสนาอีกประการหนึ่ง

     ทั้งสามประการนี้เปนหัวใจของพุทธศาสนา ก็ประพฤติปฏิบัติอันนี้ซึ่งมันมีอยูในตัวเราแลว กายก็มีอยู วาจาก็มีอยู จิตใจก็มีอยูองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทานจึงใหปฏิบัติใหพิจารณาตัวในตัว ในของตัว ซึ่งมันมีอยูของทั้งหมดที่เราศึกษาเราเรียนกันนั้นมันจะมารูความเปนจริงที่ตัวของเรา ไมไปรูอยูที่อื่น

1675
วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ฝนทำท่าจะตก แต่ไม่ตก
เลิกงานประมาณหกโมงเย็น ก็เก็บของกลับบ้าน
เดินทางมายังที่นัดหมาย รู้สึกไม่สบายตัว เลยขอตัวกับเพื่อนไปอาบน้ำก่อนแล้วสวมชุดนอนขาสั้นออกมา
ตอนสามทุ่ม ยืนคุยกันอยู่หน้าร้านเพื่อนกำลังปิดร้าน ส่วนผมกำลังจะเข้า(หมู่)บ้าน
เจอชายพิการขาเป๋ อายุประมาณห้าสิบปี ต้องคลุกคลานไปกับรถสามล้อ
เที่ยวเก็บขยะริมถนน ค้นถังขยะหาข้าวของที่พอจะมีราคาขายได้
แล้วรู้สึกสะท้อนใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็มีอยู่ห้าสิบบาทกับก๋วยเตี๋ยวถุงใหญ่และซองผ้าป่าฯ(ยังไม่ได้ใส่เงิน)
คิดอยู่ในใจ เรามีเงินอยู่ คงจะช่วยเขาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
อีก(จิต)ใจหนึ่ง ก็คิดว่า....เราให้เขา เขาคิดว่าเราดูถูกเขาไหม เขาอาจจะตอบว่าไม่ต้องการได้
แต่อีก(จิต)ใจหนึ่ง รักดี อยากรู้สึกปิติเบิกบาน คิดว่าถ้าได้ทำบุญ แล้วมานั่งนอนคุยธรรมะท่ามกลางความปิติกับชาวบางพระ น่าจะดีกว่า
  
พอชายร่างพิการคนนั้น โยกรถสามล้อผ่านมาตามถนน  ก็เลยถือโอกาสเดินเข้าไปหา ก็เห็นผิวคล้ำกลำแดดกับเหงื่อโทรมหน้าของชายคนนั้น
แล้วก็เอ่ยปากถาม
"พี่...กินข้าวรึยัง"
ชายคนนั้นตอบ...."กินแล้วครับ"
แล้วผมก็ล้วงเงินที่มีอยู่ส่งให้เขา
เขายกมือไหว้แล้ว กล่าวขอบคุณและอวยพร...ขอให้เจริญๆ
แค่นี้ก็รู้สึกปิติยินดีมากแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้หวังอะไร
หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกในโอกาสข้างหน้า :048:

นำเรื่องเล็กๆมาเล่าให้ชาวบางพระฟังกันก่อนนอนครับ :001:

1676
เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)

ที่โพสต์ไว้หายไปอย่างลึกลับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

ท่านที่สนใจอ่านสามารถอ่านต่อได้ที่
http://www24.brinkster.com/thaniyo/index.asp
ผมขออ่านเงียบๆคนเดียวนะครับ :001:

1677
ขออนุญาตลงภาพตัวเองสมัยเก่า
ภาพสมัยสึกมาไม่นาน(สิบกว่าปีแล้ว) ผมยังสั้นอยู่

ถ้าพี่ๆเจอ ก็โปรดเมตตา กรุณา มุทิตาด้วยครับ


ปล..คงหาไม่เจอแล้ว :075: :075:

1678


 
ขอบคุณ อา saken6009  มากๆเลยครับ 
   ตั้งแต่ผมสมัคสมาชิกเว็ปของวัดบางพระมา  ไม่มีกระทู้ไหนที่ผมโพสถามแล้วอา saken6009  ไม่ไขข้อสงสัยเลยครับ  ความเอ็นดูของอาทำให้ผมรู้สึกว่า[shake]ศิษย์บางพระรัก และห่วงใยกันมากครับ[/shake]  ขอบคุณครับ :054:

     ถ้าเป็นศิษย์วัดบางพระ แล้วคุณจะรู้สึกว่าอบอุ่นครับ ทั้งพระอาจารย์ที่เมตตาต่อศิษย์และอาจารย์ที่ท่านเป็นฆาราวาส แม่แต่พี่น้องศิษย์วัดบางพระด้วยกันครับ   
     ส่วน คุณอา saken6009 ไม่น่าจะลอยไหวนะครับ น้ำหนักขนาดนั้น  :004: :004: :004:( ล้อเล่นนะครับ แต่พูดจริงๆ )

                                                                                              ขอบคุณครับ
พี่เจมส์ สุดหล่อ แซวน้องซะได้ 36; 36;
                         
ข้าพเจ้า จะตั้งใจเล่นฮูลาฮูป แต่ไม่รู้จะควงไหวมั้ย ถ้าเรื่องกลิ้งละของถนัดครับพี่เจมส์ สุดหล่อ :004: :004:
                           
(ขออนุญาตเข้ามาตอบ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
ขออนุญาตแจมด้วยครับ
ลองนำภาพเก่าของท่านมาดู เพื่อเป็นกำลังใจในการลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพกายที่ดีครับ

ควรมิควร โปรดอภัยด้วยครับ  :054:

ปล..ผมเพิ่งลดไป 3 กิโล  :002: จะขออีก 10 กิโล ไม่รู้จะไหวไหม :075:

1679
ขออนุญาต คุณ umpawan
ขอลงประวัติของหลวงพ่อ เพื่อศึกษาครับ :054:
-----------------------
ประวัติ

พระพุทธวิริยากร (ตัด ปวโร) หรือ หลวงพ่อตัด ปวโร สมณศักดิ์เดิมคือ พระครูบวรกิจโกศล อดีตเจ้าอาวาส วัดชายนา อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์แห่งลุ่มแม่น้ำเพชรรูปหนึ่ง
พระพุทธวิริยากรมรณะภาพ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 สิริอายุ 77 ปี 57 พรรษา



พระพุทธวิริยากร (ตัด ปวโร) เป็นพระเกจิที่มีวิชาอาคมในด้านปลุกเสกเครื่องรางของขลังไม่ว่าตะกรุดหรือปลัด  ท่านเป็นพระที่ชอบเรียนวิชาอาคมมาก สนใจตั้งแต่ยังหนุ่ม ท่านบอกว่า "สมัยก่อน ปี 2496 เอาหมด เอาทุกอย่างที่ไหนเขาว่าดีไปหมด ในกระจิวนี้ไปขอเรียนมาหมด..." พูดง่ายๆว่าตำราเก่าๆในจังหวัดเพชรบุรีนี้ท่านเรียนมาหมดครับ แต่ท่านไม่ค่อยคุยโอ้อวด
ท่านเรียนวิชาการทำ "ตะกรุด" จาก ล.พ.ทอง อยู่ที่วัดเขากระจิวและ เรียนตำราของ ล.พ.กริช ที่ตกทอดมาซึ่งเป็นพระยุคเก่าเป็นอาจารย์สาย ล.พ.กุน วัดพระนอน เรียนทำ "ปลัด" จาก ล.พ. ชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม ซึ่งมีเคล็ดลับว่าให้ใช้ "ไม้ผูกคอตาย ทำถึงจะดี" และ ท่านยังได้เดินทางไปต่อวิชากับ ล.พ.ทองศุข วัดโตนดหลวง รวมทั้งอีกหลายอาจารย์

ท่านเป็นพระที่ใฝ่หาความรู้วิชาอาคมต่างๆ อย่างจริงจัง วัตถุมงคลของท่านนั้นทำเพื่อแจกและให้แก่ผู้ร่วมทำบุญบูรณะวัดอย่างแท้จริง หลวงพ่อไม่อวดตน ไม่ให้สัมภาษณ์หรือนำเรื่องของท่านและวัตถุมงคลไปลงหนังสือ หรือรายการโทรทัศน์ใด ๆ ทั้งสิ้น วัตถุมงคลของท่านจึงมีชื่อเสียงจากประสบการณ์ปากต่อปาก ไม่มีสื่อภายนอกมาเป็นตัวช่วย ปฏิปทาที่ประทับใจผมมากก็คือ หลวงพ่อท่านแจกฟรี ในช่วงที่ตะกรุดยังไม่ดังมากมายขนาดนี้ ใครไปวัดชายนา กราบท่าน ท่านแจกทั้งนั้น ถ้าท่านไม่อยู่ก็จะมีลูกศิษย์ท่านคอยนั่งแจกทั้งวัน ในส่วนวัตถุมงคลที่อยู่ในตู้ให้ทำบุญนั้น หลวงพ่อจะสร้างวัตถุมงคล เพื่อนำปัจจัยที่ได้มาซ่อมแซมบูรณะโบสถ์ ซึ่งมีพระกริ่ง พระผง รูปเหมือนและเหรียญ มีประชาชนไปบูชาทำบุญกับท่านไม่ได้ขาด แต่พอปัจจัยที่ได้ในการบูรณะโบสถ์พอเพียงแล้ว หลวงพ่อท่านจะสั่งปิดตู้งดบูชา ผมเคยไปกราบท่านตั้งใจว่าจะไปบูชาวัตถุมงคลของท่านที่ออกให้บูชาซ่อมโบสถ์ ปรากฏว่าไม่มีตู้วัตถุมงคล ถามลูกศิษย์ที่วัด บอกว่า หลวงพ่อสั่งให้เลิก ได้เงินพอซ่อมโบสถ์แล้ว ไม่ต้องหาเงินแล้ว ถ้าอยากได้เข้าไปกราบแล้วบอกท่าน ท่านจะแจกให้เอง ผมจึงเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วถามว่า ทำไมไม่มีวัตถุมงคลให้บูชา หลวงพ่อท่านบอกว่า พอแล้วซ่อมโบสถ์ได้แล้ว อยากได้อะไรก็มาเอาไป แล้วท่านก็หยิบเหรียญมาแจก พร้อมพระขุนแผนเนื้อดินเผาอีก 2 กำมือ มานับตอนจะกลับได้มาต้ง 14 องค์เลยทีเดียว หลวงพ่อเมตตามากครับ ไม่ได้ทำของเพื่อพุทธพาณิชย์  อีกทั้งทางวัดกำลังสร้างหอฉันหลังใหม่ด้วย จึงมีวัตถุมงคลให้เปลี่ยนอีกครั้ง เพื่อนำเงินมาสร้างหอฉัน ส่วนตะกรุดก็แจกไม่ไหวแล้วครับ ท่านให้ช่วยค่าตะกั่วดอกละ 100 บาท ช่วงไหนตะกั่วขาดตลาดหลวงพ่อจะให้เปลี่ยนได้แค่ คนละ 1 ดอกเท่านั้น แต่ถ้ามีตะกั่วก็แล้วแต่จะเปลี่ยนกันครับ มากน้อยได้ทั้งนั้น แต่ภาพที่เคยเห้นหลวงพ่อตัด นั่งแจกตะกรุดคงหาดูได้ยากแล้วละครับ เพราะคนไปกันมากมาย ทุกวัน

ภายหลังในปี พ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2550 หลวงพ่อท่านได้รับบริจาคเครื่องปั๊มจึงได้นำมาใช้สร้างตะกรุดแล้วให้ประชาชนเปลี่ยนโดยขอให้ช่วยค่าตะกั่ววัดดอกละ 100 บาท โดยตะกรุดปั๊มนั้นจะเป็นตะกรุดมหาอุต ตะกรุดยันตรี และแผ่นเพชรพญาธร ส่วนตู้บูชาวัตถุมงคลนั้นกลับมาเปิดแบบถาวรแล้วโดยรายได้จะนำเงินเข้าบำรุงวัดและบริจาคให้กับผู้ที่ขอความช่วยเหลือเป็นราย ๆ แล้วแต่โอกาส
และในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หลวงพ่อตัดได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระพุทธวิริยากร"


วัตถุมงคล หลวงพ่อตัด วัดชายนา จ.เพชรบุรี http://www.itti-patihan.com/pramai7.php

ที่มา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

1680
พอมีของหลวงพ่อเปิ่นอยู่บ้าง
ต้องนำไปใส่กรอบบ้างแล้วครับ

1681
ขอให้พระคุ้มครองครับ :015:

1682
หลังจากหายไปสองวัน ต่อภาคสอง นำเสนออีกสิบเรื่อง 36; 36;
               
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :054: :054:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความรู้ดีมากๆครับผม :053: :053:
     
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :054: :054:
 

ขอบคุณที่ติดตาม :054:  
ขออภัยไปต่างจังหวัดมาครับ เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ
 :016:ยินดีที่ชอบเหมือนๆกัน :002:

1683
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านมุ่งมั่นในเรื่องการอบรมธรรมปฏิบัติให้กับพระ ภิกษุสามเณร ศรัทธาญาติโยม และพุทธบริษัททั้งหลาย เสมอมา ท่าน หวังให้ทุกผู้ทุกคนได้เข้าใจถ่องแท้ถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนา สามารถ นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกทางและถูกต้อง จะเห็นได้ว่า ท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา เอาใจใส่ในอันที่จะชี้นำทางแห่งความสงบ สว่าง และหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง ในทุกๆวิถีทาง และในทุกๆโอกาส โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย..เหนื่อยยาก แม้ว่าวัยของท่านจะสูงขึ้น สุขภาพของท่านเริ่มถดถอย แต่ภารกิจของท่านก็ยังคงมีมากมาย และ ดูเหมือนจะทยอยมีมาเพิ่มขึ้นเสมอๆ การดั่งนี้จึงเป็นที่เคารพบูชายกย่อง สรรเสริญจากพระภิกษุสามเณร และบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกถ้วนหน้า สมดังพระหัตถเลขาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก ในธรรมโมทนาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ จาก หนังสือ ฐานิยปูชา ฉบับครบ ๖ รอบ ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่ว่า....
"ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ เป็นพระเถราจารย์ผู้ทำประโยชน์แก่ พระศาสนาและประชาชนมามาก เป็นผู้ยินดีเอาใจใส่ในการอบรมสั่งสอน ธรรมะแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดถึงสาธุชนผู้มาสู่สำนักด้วยเมตตา เป็นผู้ชี้นำในธรรมปฏิบัติ ทั้งเป็นผู้ปฏิบัติสำรวมตนในพระธรรมวินัย เป็นแบบอย่างอันดีแก่ศิษยานุศิษย์มาโดยตลอด กล่าวได้ว่าเป็นผู้ทรง เถรธรรมตามนัยแห่งพระพุทธภาษิต ที่ว่า...
ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญฺโม ทโม ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ
สัจจะ (ความจริง) ๑ ธรรม ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความสำรวม ๑ ความข่มใจ ๑ มีในผู้ใดผู้นั้นแล ท่านเรียกว่า ผู้มีปัญญา มีมลทินอัน คลายแล้วเป็นเถระ ดังนี้"

จากหนังสือพระธรรมเทศนา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย โดยธรรมสภา



อ่านประวัติอย่างละเอียดที่นี่
http://www.thaniyo.net/

1684
และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ
ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรื่อยมา หลวงพ่อพุธท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดป่าชินรังสี อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา บ้าง สลับกันไป-มา
และตลอดมา หลวงพ่อพุธมิได้เคยหยุดที่จะทำประโยชน์ต่อพระบวร พุทธศาสนาและต่อสังคมไทย ท่านยังคงรับเป็นองค์บรรยายธรรม และ อบรมสมาธิภาวนาให้กับพุทธบริษัทในสถานที่ต่างๆมาตลอด อาทิเช่น
- อบรมธรรมปฏิบัติแก่ข้าราชการทหารบก กองทัพภาคที่ ๒ - เป็นองค์บรรยายในการอบรมแก่ข้าราชการทหารอากาศกองบินที่ ๑ - ให้การอบรมแก่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ - ให้การอบรมแก่ผู้ที่เข้าปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ - บรรยายธรรมในงานวันวิสาขบูชา ในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ที่ท้องสนามหลวง เป็นต้น
และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานรางวัล เสมาธรรมจักรทองคำ ในด้านส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในประเทศ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เช่นกัน ท่านได้ดำริที่จะก่อตั้งมูลนิธิคณะสงฆ์ จังหวัดนครราชสีมา มหานิกาย และธรรมยุตขึ้น



นอกจากท่านจะเอาใจใส่ในเรื่องอบรมธรรมปฏิบัติแล้ว ท่านยังสร้าง ประโยชน์ต่างๆให้กับสังคมไทยมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับ เด็กนักเรียน โรงเรียน และโรงพยาบาล อาทิเช่น
- จัดสร้างโรงเรียนชินวงศ์อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับประถม ศึกษา ที่บ้านวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา - มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทั้งในระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา - มอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างอาคารโรงเรียนต่างๆ ทั้งในเขต จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดต่างๆ - มอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงเรียน ตลอดจนหน่วยงาน ราชการต่างๆ - นอกจากนี้ท่านยังช่วยจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลเสมอๆ - อีกทั้งยังมอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาล มหาราช จังหวัดนครราชสีมา - รวมทั้งมอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆอีกด้วย

1685
อาการป่วยของท่านเป็นๆหายๆ เรื่อยมาจนถึง ๑๐ ปี จึงได้หายอย่างเด็ดขาด ในปีถัดมา คือ พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัด อุบลราชธานี อีกจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ นี้เอง ท่านได้รับ การแต่งตั้งให้ช่วยงานเกี่ยวกับคณะสงฆ์ กล่าวคือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐
ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูพุทธิสารสุนทร และ ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในนามเดิม และในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในนามเดิม


ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา ๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นี้เอง ท่านยังได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นพิเศษ ในนามเดิมอีกด้วย ท่านจำพรรษา ณ วัดหลวง แห่งนี้ เป็นเวลา ๒ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระชินวงศาจารย์
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้าคณะภาคฯ ได้ขอให้ท่านมาเป็น กรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนา และ ต่อสังคม เป็นอเนกอนันต์ โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา ทั้งที่เป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ มูลนิธิ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านรับเป็นประธานและวิทยากรในการอบรมสมาธิครูและนักเรียนของเขต การศึกษาที่ ๑๑ อันได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัด บุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักและ น่าเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้เอง ท่านได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระภาวนา พิศาลเถร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านรับเป็นผู้อำนวยการศูนย์อบรม สมาธิภาวนาวัดป่าสาลวันอีกประการหนึ่ง ในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ทุนมูลนิธิคณะสงฆ์ธรรมยุต จังหวัดนครราชสีมา และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ กองทุนพระภาวนา พิศาลเถร เพื่อการพัฒนาคุณธรรมในเขตการศึกษาที่ ๑๑ (ปัจจุบันเปลี่ยน ชื่อเป็นกองทุนสายธารธรรม ในความอุปถัมภ์ของพระราชสังวรญาณ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ) แม้ว่าหลวงพ่อพุธ ท่านจะมีภารกิจทางศาสนาและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมมากมาย แล้วก็ตาม เมื่อมีผู้ขอให้ท่านช่วยในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อ สังคมอีก ท่านก็เมตตารับเป็นธุระให้ ทำให้ภารกิจของท่านมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

1686
หลวงพ่อพุธ ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านป่วยเป็นวัณโรคนั้น ท่านต้องรักษา พยาบาลตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โดยมุ่งที่จะพิจารณาดูความตายเท่านั้น โดยคิดว่า "ก่อนที่เราจะตายนั้น ควรจะได้รู้ว่า ความตายคืออะไร" จึงได้ตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูความตาย อยู่เป็นเวลาหลายวัน ในวันสุดท้ายได้ค้นคว้าพิจารณาดูความตายอยู่ถึง ๗ ชั่วโมง ในตอนแรกที่พิจารณา เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่า ความตาย คืออะไร ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นอาการของกิเลส กิเลสจึงปิดบังดวงใจ ทำให้ความสงบใจที่เป็นสมาธิก็ไม่มี ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่มี ท่านเริ่มนั่ง สมาธิตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งเวลาตี ๓ จนเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทบจะ ทนไม่ไหว ในขณะนั้นความรู้สึกทางจิตมันผุดขึ้นมาว่า "ชาวบ้านชาวเมือง ทั้งหลายเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตาย มันจะตายได้อย่างไร" ท่าน จึงเอนกายลงพร้อมกับกำหนดจิตตามไปด้วย เมื่อเกิดความหลับขึ้น จิตกลาย เป็นสมาธิแล้ว จิตก็แสดงอาการตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายไปลอยอยู่ เบื้องบนเหนือร่างกายประมาณ ๒ เมตร แล้วส่งกระแสออกมา รู้กายที่นอน เหยียดยาวอยู่ แสดงว่าได้รู้เห็นความตาย ลักษณะแห่งความตาย ในเมื่อตาย แล้ว ร่างกายก็ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังไปตามขั้นตอน ในเมื่อร่างกายที่มองเห็น อยู่นั้นสลายตัวไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือแต่จิตว่าง จิตว่างแล้วก็ยังมองเห็นโลก คือแผ่นดิน ในอันดับต่อมาโลกคือแผ่นดินก็หายไป คงเหลือแต่จิตดวงเดียว ที่สว่างไสวอยู่ มองหาอะไรก็ไม่พบ พอจิตมีอาการไหว เกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เกิดความนึกคิดขึ้นมาว่า "นี่หรือคือความตาย" อีกจิตหนึ่งก็ผุดขึ้นมารับว่า "ใช่แล้ว" ก็เป็นอันว่าได้รู้จริงเห็นจริงในเรื่องของความตายด้วยประการฉะนี้


ในเรื่องของจิตที่เป็นสมาธินั้น ท่านมักจะกล่าวเสมอว่า สมาธินั้นมีอยู่ในตัว ของเราอยู่แล้ว แต่เรามักไม่ได้นำเอาออกมาใช้ฝึกฝนให้เป็นประโยชน์ สำหรับเรื่องจิตเป็นสมาธิของหลวงพ่อพุธ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนเด็กๆ มีเกิดขึ้นโดยท่านไม่ทราบ ไม่รู้จักมาก่อนเช่นกัน กล่าวคือ สมัยที่ท่านเป็น สามเณร ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์ของท่านไม่อยู่ และสั่งให้ท่านคอยเฝ้ากุฏิไว้ ท่านจึงลงนั่งอยู่ที่หน้าประตูกุฏิ ในระหว่างที่คอยอยู่นั้น จิตของท่านก็เข้าภวังค์ ลงสู่สมาธิ นิ่งสงบอยู่นานมาก นานจนพระอาจารย์ของท่านกลับมา พระอาจารย์ และชาวบ้านที่ติดตามมาด้วยเรียกท่านอยู่นาน เรียกอย่างไร...อย่างไร ท่านก็ ไม่ไหวติง จนชาวบ้านผู้นั้นมาผลักท่านกระเด็นออกไป นั่นแหละท่านจึงรู้สึกตัว ออกจากสมาธิ ชาวบ้านผู้นั้นว่ากล่าวท่าน...ว่าหลับไม่รู้เรื่อง เรียกอย่างไร เรียกเท่าใดก็ไม่ตื่น ท่านปฏิเสธว่าไม่ได้หลับ ชาวบ้านผู้นั้นก็ไม่ยอมเชื่อ หลวงพ่อพุธท่านเล่าว่า ในขณะที่คอยนั้น ท่านรู้สึกตัวตลอดเวลา และไม่ได้หลับ หลังจากปฏิเสธหลายครั้งและไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงตัดความรำคาญด้วยการรับ สมอ้างว่าหลับ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อท่านย้อนกลับไปพิจารณาอีกครั้ง จึงได้ทราบ แน่ชัดว่า เหตุการณ์ในครั้งเป็นสมาเณรนั้น ก็คือจิตเป็นสมาธินั่นเอง
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงพ่อพุธ ได้มาจำพรรษาที่วัดเขาสวนกวาง จังหวัด ขอนแก่น อาการป่วยด้วยโรควัณโรคยังไม่หายขาด ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร จึงได้เร่งเตือนท่านว่า "คุณอย่าประมาท รีบเร่งปฏิบัติเข้าให้มันได้ภูมิจิตภูมิใจ อนาคตคุณจะไปนั่งเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง"

1687
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลังจากออกพรรษา เป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้เดินธุดงค์มายังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ แทนพระอาจารย์ของสามเณรพุธ อันได้แก่ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธเป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงมีโอกาสได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารธุดงค์ออก จากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ทางคมนาคมยังไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางเกวียน ผ่านป่าเขาต่างๆ ท่านเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง ๓๑ วัน จึงเดินเท้ามาถึง จังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างทาง บางทีเหนื่อยนักเมื่อยนักก็พักค้าง แห่งละ ๒-๓ วัน บางช่วงในขณะที่เดินรอนแรมในป่า ก็หลงดงหลงป่าบ้าง บางวันไม่ได้ฉันข้าว เพราะหมู่บ้านห่างกันมาก เดินทางออกจากหมู่บ้าน แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้านอีกหนึ่งเลย ป่าดงในสมัยนั้น ก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุม บางครั้งได้ยินเสียงเสือเสียงสัตว์ต่างๆร้อง บางครั้ง เสือมันก็กระโดดข้ามทางที่จะเดินไปก็มี
เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพักที่วัดบูรพา และฝากตัว เป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินะวังโส) ท่านพระอาจารย์พรเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพาด้วย สามเณรพุธจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับ การอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก แต่เดิมทีในสมัยแรก ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ
ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการ อบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระ ปริยัติธรรมอีกด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก เมื่อมีอายุเพียง ๑๘ ปี
ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธ เดินธุดงค์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามายังกรุงเทพฯ และพาไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ ปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง
สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ จนอายุได้ครบบวช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงได้รับการอุปสมบท โดยมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็น พระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย"

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นสมัยสงครามเอเซียบูรพา ท่านได้อพยพ กลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษา ที่วัดนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในระหว่างนั้นท่านได้เกิดอาพาธหนัก เป็น วัณโรคอย่างแรง จนหมอไม่รับรักษา ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพระ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดบูรพา ตามคำสั่งของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เช่นกัน ท่านพระอาจารย์ฝั้นสอนให้ ท่านตั้งใจเพ่งอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา

1688
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

 

โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : ทรายแก้ว [ 19 พ.ย. 2542 ]

ประวัติ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) พระราชสังวรญาณ
มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของ บิดา-มารดา เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔
บิดา-มารดาของท่าน มีอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ ๔ ขวบ บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุท่านได้ ๘ ขวบ จึงเข้าเรียนในโรงเรียน ประชาบาลวัดไทรทอง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน ท่านได้เรียน จนจบชั้นประถมปีที่ ๖ เมื่อมีอายุได้ ๑๔ ปี ในสมัยนั้น ถ้าย้อนหลังไป ๖๐-๗๐ ปี การได้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ ต้องถือว่าเป็นการเรียน ที่สูงพอสมควรแล้ว เมื่อเรียนจบแล้วครูบาอาจารย์ได้ชักชวนท่านให้เป็น ครูสอนนักเรียนในโรงเรียนที่ท่านเรียนนั้นต่อ หากทว่าจิตของท่านมุ่งมั่น สนใจที่จะบวชมากกว่า

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุได้ ๑๕ ปี ท่านจึงได้ขอร้องให้ญาติซึ่งเป็น ผู้ปกครองของท่าน พาไปบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้าน โคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่าน พระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์ และสามเณรพุธได้ อาศัยอยู่จำพรรษากับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poot/lp-poot_hist.htm

1689
ผู้มีบุญ

โยมผู้หญิงคนหนึ่งปรารภเวลาโกรธแล้วดับไม่ได้สักที หลวงพ่อแนะนำว่าถึงดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ว่าเมื่อโกรธแล้ว อย่าไปด่าว่าหรือทำร้ายเขา นอกจากนี้ยังให้อุบายกำจัดความอิจฉาริษยาว่า
"พอเห็นคนเขานั่งรถเก๋งคันงาม สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีรถเก๋งงาม ๆ นั่ง เห็นเขามีบ้านสวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีบ้านสวย ๆ อยู่ เห็นเขาร่ำรวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงร่ำรวย ถ้าเขารวยเพราะโกงมา จะยังสาธุอยู่ไหม.. ก็สาธุซิ เขามีบุญเขาจึงโกงแล้วรวย เราโกงทีเดียวติดตารางจ้อย นี่ที่จริงเขารวยเพราะบุญเก่าของเขา"


คนเราไม่ถึงที่ไม่ตาย

อ.ณรงค์ ดิยนันท์ น้องชาย อ.ลักษณา (เทคโน นม.) ประสพอุบัติเหตุรถชนกัน ลูกชายคนเล็กอายุกำลังจะครบ ๓ ขวบ เสียชีวิต ตัวเองบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เกิดอาการช็อกเมื่อเขานำศพลูกชายมาให้ดูจนลืมเหตุการณ์ไปหมดและมีความเชื่อว่าตนได้นำลูกชายไปส่งบ้านแล้ว ญาติไม่ทราบจะหาวิธีบอกอย่างไรเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจผู้ป่วยอีก จึงมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปเยี่ยมที่ รพ. และบอกความจริงให้ทราบ ตอนบ่ายหลังจากแสดงธรรมที่ รพ. ตำรวจเสร็จแล้วหลวงพ่อได้เดินทางต่อไปยัง รพ.พญาไท ผู้ป่วยคร่ำครวญว่าที่ตนประสพอุบัติเหตุครั้งนี้คงเป็นเพราะทำกรรมไว้กับพ่อ เพราะ ๓ เดือนที่ผ่านมาโกรธพ่อจนไม่เคยไปดูแลเหมือนเคย
"ข้าวเคยทำ ๒ จาน ไปส่งพ่อจานหนึ่ง กับข้าวอะไร ๆ ก็ทำ ๒ จาน ให้พ่อจานหนึ่ง ทำอย่างนี้มาเป็นสิบ ๆ ปี แต่ ๓ เดือนมานี่ทุกอย่างทำจานเดียว คิดแต่ว่าไม่ต้องไปให้พ่อหรอก น้อยใจพ่อ บอกกับพ่อว่า ทำไมพ่อสร้างด้วยมือแล้วจึงมาลบด้วยเท้า พอไม่ได้ทำความดีที่เคยทำมาอยู่เสมอ ก็รู้สึกตัวเองไม่มีดีอะไรเหลือแล้ว จิตมันตก ที่ผมประสพอุบัติเหตุนี่เพราะกรรมที่ทำกับพ่อนี่ใช่ไหมครับ" หลวงพ่อตอบว่า "มันไม่ใช่กรรมที่ทำกับพ่อหรอก มันถึงเวลาที่มันจะเกิดมันก็เกิด" "คนเราไม่ถึงที่ไม่ตาย" หลวงพ่อเริ่มโยงถึงความตาย
"หลวงพ่อเองครั้งแรกขึ้นรถโดยสารที่ลำนารายณ์ มันมีสิ่งบอกเหตุว่า รถคันนี้จะคว่ำ ก็ไม่ขึ้นไปขึ้นคันต่อไป แล้วรถคันที่เราไม่ได้ขึ้นก็คว่ำจริง ๆ ครั้งต่อมาไปพักอยู่ที่วัดเกาะแก้ว… มีเสียงบอกว่าอย่าอยู่เกิน ๑๐ วัน พอครบ ๑๐ วันก็เก็บบริขารออกจากโบสถ์ เสร็จแล้วปรากฏว่าฟ้าผ่าโบสถ์ ตอนอยู่กรุงเทพฯ เขาทิ้งระเบิดที่ร.ร.พลตำรวจ สะเก็ดระเบิดปลิวว่อน หลวงพ่อล้มลงไปนอนกับพื้นไม่รู้สึกตัว พอลุกขึ้นมาเห็นกิ่งอโศกที่วางพาดถูกสะเก็ดระเบิดขาด รถคว่ำ ๒ ครั้งก็ไม่เป็นอะไร เจ็บก็ไม่เจ็บ เพราะมันยังไม่ถึงที่"
"มันเป็นวิถีชีวิตอันหนึ่งที่มาบรรจบพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎของกรรม เช่น เราคิดว่า เราไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้แต่ก็เป็นไปแล้ว เราคิดว่าคนที่ไม่น่าตายแต่ก็ตายไปแล้วเพราะฉะนั้นชีวิตทุกคนมักเป็นไปตามกฎของกรรม" หลวงพ่อพยายามพูดอ้อม ๆ ให้ผู้ป่วยยอมรับความจริง แต่ดูเหมือนผู้ป่วยจะระลึกเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย หลวงพ่อเองก็ไม่กล้าบอกตรง ๆ ในที่สุดก็เป็นหน้าที่ของหมอที่จะบอกความจริง หลวงพ่อบอกว่า "เราเองก็ไม่รู้เหตุการณ์ ไม่รู้รายละเอียด ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ให้คนที่เขารู้รายละเอียดเป็นผู้บอกดีกว่า เขาคงจะมีโวหารวิธีการบอกดีกว่าเรา"

1690
พระอิจฉา

หลวงพ่อไปเทศน์ที่วัดอโศการามครั้งแรก หลวงปู่อ่อนยังอยู่ตอนนั้น ตื่นเช้ามามีคนเขานิมนต์ไปฉันในบ้าน ท่านก็เอาสำนวนการเทศน์ของหลวงพ่อไปเทศน์ให้โยมฟัง พอไปถึงวัดท่านก็กล่าวชมว่า..คุณพุธนี่ เขาเทศน์อันดับของสมาธิได้ละเอียดลออดี ลูกศิษย์ของหลวงปู่อ่อนว่าไง..ท่านเป็นมหาท่านก็เทศน์ได้ซิท่านเรียนมาแล้ว หลวงปู่อ่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไง เราก็เป็นนักธรรมเอกเหมือนกันทำไมว่าอย่างเขาไม่ได้ล่ะ นี่มันเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์ไม่ค่อยเห็นความดีของครูบาอาจารย์และหมู่คณะของตัวเอง มันเพราะอะไร เพราะความอิจฉาตาร้อน พระดัง ๆ ทุกวันนี้มีแต่ญาติโยมสนับสนุนส่งเสริม ถ้าหากว่าพระองค์ใดมีญาติมีโยมไปไหว้มาก ๆ มีชื่อมีเสียงขึ้นมา เอ้ามาแล้ว วัดโน้นก็มาขอผ้าป่า วัดนี้มาขอกฐิน โรงเรียนโน้นมาขอโน่น โรงเรียนนี้มาขอนี่ เออ..ถ้าโรงเรียน โรงพยาบาลมาขอนี่พอว่า เพราะว่าพวกคฤหัสถ์เขาไม่มีใครจะศรัทธากับเขา เขามาขอเรามันก็ชอบด้วยเหตุผล เขาเห็นว่าเราพอจะช่วยเขาได้ แต่ว่าพระเจ้าพระสงฆ์นี่ความดีไม่สร้าง แต่กลายเป็นคนชิงสุกก่อนห่าม เห็นหลวงพ่อคูณสร้างวิหารได้ใหญ่โตก็อยากจะไปสร้างอย่างหลวงพ่อคูณ ตัวไปทำเองบารมีมันไม่ถึงมันก็ล้มทับส้นตาย
หลวงพ่อออกจากเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษมา เพื่อนฝูงมันก็ด่าตามหลัง สมน้ำหน้าเขาไล่มันออกจากเจ้าคณะจังหวัด ภายหลังมาเห็นผลงานที่วัดป่าสาลวัน.. ใครอย่าเอาตัวอย่างเจ้าคุณชินเด๊อ เจ้าคุณชินไม่ดีอย่างไร ก็มันดีเกินไป ใครเอาอย่างมันแล้วล้มทับส้นตายเด๊อ ดูซิ อยู่วัด ๒-๓ วัน อะไร ๆ ก็ขึ้นยังกับดอกเห็ด


แผ่นดินไหวเพราะเหตุใด

การเตรียมงานฌาปนกิจศพหลวงปู่จำปี ชาคโร ที่วัดป่าสาลวัน เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๓ เมื่อเคลื่อนศพมาไว้ที่เมรุ ตกเย็นเกิดพายุ ฝนฟ้าคะนอง หลวงพ่อเปรยว่า
"คนมีบุญมาเกิดก็ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว คนมีบุญตายก็เกิดฟ้าผ่าแผ่นดินไหว เดี๋ยวนี้แผ่นดินไหวเพราะเหตุใด ในคัมภีร์บอกไว้ว่า พระโพธิสัตว์เสด็จลงพระครรภ์ก็เกิดแผ่นดินไหว พระโพธิสัตว์ประสูติแผ่นดินก็ไหว พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ธรรม พระโพธิสัตว์ปลงอายุสังขาร พระโพธิสัตว์ปรินิพพานก็เกิดแผ่นดินไหว ปัจจุบันแผ่นดินไหวเพราะเหตุปัจจัยใด… เป็นเพราะปรมาณูนิวเคลียร์หรือเปล่า"

1691
อภิชาตศิษย์

พระราชสังวรญาณ(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เป็นศิษย์องค์สุดท้ายที่สำคัญรูปหนึ่งของ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถระ ผู้ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการถวายสมัญญา เป็นบูรพาจารย์ เป็นบรมครูชั้นครู เป็นบิดาแห่งวงกรรมฐานในสมัยปัจจุบัน ศิษย์องค์สำคัญของท่านอาจารย์เสาร์ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ มั่นคงด้วยคุณธรรม มีภูมิจิตภูมิธรรมดั่งพระอรหันตสาวกในครั้งพุทธกาล มีชื่อเสียงขจรขจายไกลไปทุกแห่งหน เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนทั่วประเทศ คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ

ซึ่งพระอาจารย์มั่นนี่เอง เป็นอภิชาตศิษย์คือศิษย์ชั้นยอด สามารถนำธรรมที่องค์อาจารย์กล่าวสอนพร่ำสอนโดยย่อมาเผยแพร่โดยพิสดาร ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มาสู่วงกรรมฐานได้อย่างยวดยิ่ง กว้างขวาง เป็นที่เลื่องลือระบือนามดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
เพราะฉะนั้นศิษยานุศิษย์ของท่านจึงมาก เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และเป็นพระที่สำคัญในวงพระพุทธศาสนา สืบทอดเจตนารมณ์ขององค์ศาสดาได้เป็นอย่างดียิ่ง ดังที่ปรากฏชื่อลือนามในยุค ๒๕๐๐ เช่น พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม หัวหน้ากองทัพธรรมแห่งวัดป่าสาลวัน พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล พระมหาเปรียญที่ออกธุดงค์องค์แรกในยุคนั้น
พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองช้าง พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) พระอุปัชฌาย์ที่หาได้โดยยากแห่งวัดโพธิสมภรณ์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ พระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต หลวงพ่อบัว สิริปุณโณ พระอาจารย์แหวน สุจิณโณ อริยสงฆ์แห่งดอยแม่ปั๋ง พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ผู้มีวาระจิตเป็นหนึ่ง พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน วัดถ้ำเจ้าผู้ข้า พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก แห่งวัดโพธิ์ชัย นครพนม พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร พระอาจารย์กว่า สุมโน วัดกลางโนนภู่ พระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ แห่งวัดประสิทธิธรรม พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร พระมหาทองสุข สุจิตโต พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี รัศมีแห่งลุ่มแม่น้ำโขง พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ดุเด็ดดีเป็นที่หนึ่ง พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม ทวยเทพเทโวมาฟังธรรม พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร พระผู้มักน้อยสันโดษ พระอาจารย์ขาว อนาลโย พระผู้ไม่อาลัยในโลก ๓
พระอาจารย์คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ เลย ขีณาสโวแห่งผาปู่ พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ พระอาจารย์สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรฯ พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง พระอาจารย์วัน อุตตโม แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ แห่งวัดภูทอก พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร แห่งวัดป่าแก้วชุมพล พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร แห่งวัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ พระอาจารย์เจี้ยะ จุนโท แห่งวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ปทุมธานี หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต แห่งภูจ้อก้อ

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านนำหมู่คณะต่อจากหลวงปู่เสาร์ เพื่อสืบทอดสายปฏิบัติอันเป็นปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐานในปัจจุบัน ดังที่องค์ท่านเทศน์ในงานศพหลวงปู่เสาร์ว่า "เมื่อก่อนนี้ท่านอาจารย์เสาร์ยังอยู่ ท่านเป็นครูบาอาจารย์สอนพวกเรา เวลานี้ท่านอาจารย์เสาร์มรณภาพไปแล้วยังเหลือแต่เราคือพระอาจารย์มั่น จะเป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนหมู่คณะ ถ้าใครจะเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นต้องปฏิบัติอย่างพระอาจารย์มั่นปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ก็อย่ามายุ่ง ทีนี้ถ้าเราคืออาจารย์มั่นตายไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่ท่านสิงห์นั่นแหละ พอจะเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนหมู่ได้..จำไว้นะ"

1692

วาจาสิทธิ์

เณรน้อย 2 องค์ เป็นลูกหลานจากสีคิ้ว มาบวชอยู่ได้ 8 วัน ร่ำร้องอยากจะสึก จึงนัดโยมแม่มาเตรียมสึก วันนั้นเป็นวันเสาร์ หลวงพ่ออยากให้หลานอดทนบวชต่ออีกสักนิดจึงพูดว่า "วันเสาร์มันร้อน ตอนนี้ตอนเที่ยงด้วย ฤกษ์ร้อน อย่าพึ่งสึกเลย เดี๋ยวค่อยสึกตอนเย็น ๆ รอหลวงตากลับมาก่อนค่อยสึก" ท่านไปเทศน์ที่งานศพวัดสุทธจินดา
เณรน้อยกระสับกระส่าย ไม่มีทีท่าว่าจะอดทนรอได้ หลวงพ่อจึงเล่าเรื่องในหนหลังให้ฟังว่า
พระองค์หนึ่งร้อนผ้าเหลืองอยากจะสึกมาก หลวงพ่ออยากจะให้บวชต่อจึงท้วงว่า
- ดวงไม่ดีนะ ขอให้อยู่ต่ออีกสักปีก่อน
- ถ้าสึกแล้วจะเป็นอย่างไร
- สึกไปแล้วเขาจะฟันปาก
พระองค์นั้นไม่เชื่อ ดื้อดึงสึกออกไปจนได้ สึกไปได้ 3 วันก็ไปร่วมวงเหล้ากับเขา ชาวบ้านเขานึกหมั่นไส้ว่าหัวโล้นอยู่เลยก็มานั่งเมาแอ๋อยู่กลางตลาดแล้ว เลยเอาขวานจามปากเอา
เรื่องนี้หลวงพ่อว่า "เราก็ไม่รู้เรื่องหมอดงหมอดูอะไรหรอก พูดไปยังงั้นเองเพื่อเป็นอุบายให้แกบวชต่อ แต่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นตามปากจริง ๆ"

1693
อยู่กับครูบาอาจารย์

ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิด นอกจากหลวงปู่เสาร์ ท่านเจ้าคุณปัญญาฯ หลวงพ่อพร ก็มีเจ้าคุณอริย ฯ สมัยนั้นถึงอยู่หรือไม่มันก็เหมือนอยู่ เพราะครูบาอาจารย์ท่านมาพบกันเสมออย่างวัดเรานี่ถ้าครูบาอาจารย์ต่างถิ่นมา   พวกญาติโยมก็จะชวนกันมาฟังเทศน์ ไม่ให้ท่านมาเสียเที่ยวอย่างน้อยพระเณรก็ต้องขอฟังเทศน์
หลวงปู่สิงห์ท่านไม่ดุหรอก พูดเสียงดังเหมือนหลวงปู่มหาบัวนี่แหละ องค์ที่ดุก็คือหลวงปู่อ่อน หลวงปู่อ่อนดุไม่น่ากลัว หลวงปู่มั่นนี่ดุ ใครไปอยู่ตอนแรก ๆ นี่ดุสะบั้นหั่นแหลก ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็เปิด ถ้าเวลาผ่านไป ๑ ปี ไล่ไม่หนีตีไม่วิ่ง มีอะไรสอนให้หมด
เรื่องการอธิษฐานพุทธภูมิของหลวงปู่สิงห์...ท่านว่าเลิกแล้ว   แต่เสร็จแล้วก็เลิกไม่ได้เพราะมันฝังลึกแล้ว


เคารพครูอาจารย์เหนือสิ่งใด

กลางเดือนมีนาคม ลูกศิษย์คนหนึ่งได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้งได้มากราบหลวงพ่อว่า ทางกรมศาสนาจะนำพัดยศมาถวาย หลวงปู่จึงได้สมณศักดิ์ใหม่เป็น "พระราชรังสีคัมภีรปัญญาจารย์" หลวงพ่อมีความดีใจบอกกับศิษย์ผู้นั้นว่า   "ตอนนี้ข้อยสบายใจแล้ว แต่ก่อนข้อยย่านจะได้เป็นเจ้าคุณชั้นราชก่อนหลวงปู่เทสก์ อันใดนี่มันเกิดหน้าครูบาอาจารย์ข้อยย่าน"
หลวงพ่อเคยปรารภว่า "ถ้าไม่ใช่พิธีหลวง จ้างให้ก็จะไม่นั่งเหนือครูอาจารย์ ครั้งหนึ่งเขานิมนต์ไปนั่งปลุกเสกพระที่วัดพระแก้ว เขาก็จัดให้นั่งเหนือครูบาอาจารย์ ก็บอกเขาว่าไม่ขอนั่ง เพราะนั่งแล้วมนต์จะไม่ขลัง ปกติเวลาปลุกเสกพระจะอาราธนาคุณพระรัตนตรัย   พ่อแม่ ครู อาจารย์ เมื่อเขาไปนั่งอยู่เหนือครูบาอาจารย์ มนต์จะไม่ขลังจริง ๆ เวลานั่งอยู่เหนือครูบาอาจารย์มันอึดอัด อย่างครั้งหนึ่งไปนั่งเหนือหลวงปู่เหรียญรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ"

1694

ความกตัญญู

หลวงพ่อสอนว่า "ใครทำดีกับเรา ๑ % เราจะตอบสนอง ๑๐ % เขาทำดีกับเรานิดหนึ่ง เราจะตอบสนอง ๑๐ เท่าที่เขาทำ"
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งที่มีโอกาสติดรถเข้ากรุงเทพฯ มางานศพกับท่าน ก่อนออกเดินทางเพิ่งทราบว่าพ่อของเพื่อนสนิทคนหนึ่งตาย ตั้งศพไว้ที่วัดชลประทานฯ ใจอยากจะไปเยี่ยมศพที่วัด แต่เกรงใจหลวงพ่อเพราะจะทำให้ท่านเสียเวลาออกนอกเส้นทาง พอดีพอรถมาถึงรังสิตจราจรติดขัดมาก ท่านจึงบอกกับหลานชายซึ่งขับรถให้ว่าให้เลี้ยวเข้าทางปทุมธานี    แล้วออกทางเมืองนนท์ดีกว่า เลยเรียนท่านว่า "ออกทางนั้นแล้วก็ให้คิดถึงเพื่อนซึ่งพ่อเขาตายตั้งศพไว้วัดชลประทานฯ   เพื่อนคนนี้เป็นคนที่เคยฝากเกสรผึ้งจากเชียงใหม่มาให้หลวงพ่อไงล่ะคะ"    เปรยเพียงเท่านี้แต่ไม่กล้าขอให้ท่านแวะให้   ในใจคิดว่าไว้ให้ใกล้ ๆ ถึงก่อนแล้วจะลองขอโอกาสท่าน   แต่ก็นึกเกรงใจท่านมาก   ปรากฏว่าพอไปถึงใกล้วัด   ท่านหันมาถามเอาว่า "เมื่อกี้บอกว่าอยากจะไปไหนนะ"   เรียนท่านว่า "อยากไปเยี่ยมศพพ่อเพื่อนที่วัดชลประทานฯ   แต่ก็ไม่ทราบว่าเขารดน้ำศพหรือยัง   อยู่ศาลาไหนก็ไม่ทราบ" ท่านจึงบอกให้หลานชายชิดซ้ายเลี้ยวรถเข้าวัด    ไปวน ๑ รอบ หาศาลาตั้งศพไม่พบเข้าใจว่าอาจจะปิดอยู่รอเวลาสวดกลางคืน คิดว่าจะเรียนท่านว่าให้ไปได้เลย   แต่ยังไม่ทันได้เรียน ท่านบอกว่า "เดี๋ยวลองวนดูอีกรอบ   เพราะตรงหลังเมรุมีที่ตั้งศาลาอีกเมื่อกี้เรายังไม่ได้ผ่านไปทางนั้น"    ท่านให้รถวนไปจนพบศาลาซึ่งกำลังจะเตรียมรดน้ำศพ ทันทีที่ลงจากรถท่านตรงดิ่งไปที่ศพยืนแผ่เมตตาให้อยู่นาน   แล้วมานั่งพักบอกว่า "เดี๋ยวเรารดน้ำก่อนนะแล้วค่อยไป"
ความเมตตาของท่านครั้งนี้ยังความปลาบปลื้มให้ครอบครัวผู้ตายเป็นอย่างมาก ความปีติทำให้คลายทุกข์จากการจากไปของผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก    นอกจากนี้ในวันฌาปนกิจศพท่านยังรับเป็นประธานในพิธีให้ด้วย
ในความรู้สึกของผู้เขียน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงคุณธรรมเรื่องความเมตตาและความกตัญญูของท่านดังที่ท่านเคยสอนไว้ว่า   ใครทำความดีกับเรา ๑ เท่า เราจะตอบแทนเขา ๑๐ เท่า    อาจเป็นคำพูดของผู้เขียนที่ว่า   "เพื่อนคนนี้แหละเขาเคยฝากเกสรผึ้งมาถวายหลวงพ่อจากเชียงใหม่"   จึงทำให้ท่านเมตตาไปโปรดเพื่อให้ครอบครัวผู้ตายได้คลายทุกข์

1695

พระดัง

หลวงพ่อนี่เป็นพระดัง เป็นพระดังองค์หนึ่งในจำนวนพระดังทั้งหลาย พอพระองค์ไหนดังขึ้นมาแล้วเขาประกาศขาย เดี๋ยวนี้พระดัง ๆ มีคุณค่าเพียงแค่เป็นสินค้าของคนเท่านั้นเอง แล้วเขาประกาศโฆษณามาว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ พระมหาลาภ กริ่งมหาลาภ อะไรว่ากันไป เอาไปห้อยคอจนหนักเป็นกิโล ๆ ไปทำมาค้าขายมีแต่ขาดทุน เมื่อคืนนี้หมอคนหนึ่งโทรมา เมียไปเที่ยวกู้เงินมาให้ลูกชายลงทุนค้า หาส่งคืนเขาไม่ได้ เขาไล่จับตัวอยู่จะให้ทำอย่างไรหลวงพ่อ เอ้า..ตัวทำผิดกฎหมายผิดสัญญาแล้วก็เดินเข้าตารางซิ เราก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร คำตอบที่ถูกต้องไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือเดินเข้าตารางเพราะตัวทำผิดสัญญา แล้วทีนี้ตัวทำผิดแล้วมาให้พระช่วยแก้ จะไปแก้ได้อย่างไร พระอะไรจะไปเข้าข้างคนผิด…พระไปช่วยคนผิดก็พระไม่ยุติธรรมซิ




1696
พระแก้วที่บ้าน

ญาติโยมทั่วไปเห็นพระเห็นสงฆ์ก็มีศรัทธาเลื่อมใส   เพราะเชื่อว่าพระสงฆ์เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม   พากันแห่ไปทำบุญทำกุศล    ให้ทานถวายจตุปัจจัยไทยทานตามมีตามเกิด   เพราะเราเชื่อว่าจะเป็นบุญเป็นกุศล   นี่เป็นการทำบุญกับพระที่เป็นพระสงฆ์   เป็นเนื้อนาบุญของโลก
ทีนี้เนื้อนาบุญของเรานั่งอยู่ข้าง ๆ เราก็มีอยู่   ที่บ้านก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นเนื้อนาบุญของบุตรของหลาน   และปู่ย่าตายายพ่อแม่ก็เป็น พระแต่ละองค์ๆ ถ้าญาติโยมไปที่อุบลฯ ไปกราบหลวงพ่อมี ท่านจะถามว่ารู้จักพระแก้วไหม   ถ้าใครบอกว่าไม่รู้จัก   ท่านจะบอกว่าทำไมโง่แท้ ถามหาพระแก้วรู้จักไหม ไม่รู้จัก ทำไมโง่แท้   ทีนี้ท่านก็จะบอกว่า พระแก้วก็คือ   พ่อแก้วแม่แก้ว ตาแก้วยายแก้ว ปู่แก้วย่าแก้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระแก้วของลูกของหลาน    ที่ว่าเป็นพระแก้วก็เพราะว่าไม่มีใครจะปรารถนาดีต่อบุตรหลานของตนเองเหมือนปู่ย่า ตายาย   พ่อแม่ พวกญาติโยมทำงานหามรุ่งหามค่ำแสวงหาทรัพย์สมบัติผลประโยชน์ก็เพื่อลูกเพื่อเต้า เพื่อลูกเพื่อหลาน   บางคนถึงกับบ่นเช้าบ่นเย็น ลูกคนนั้นลูกคนนี้มันยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา ยังไม่มีครอบมีครัว ถ้ามีลูกสาวหล่า (ลูกสาวคนสุดท้อง) หัวแก้วหัวแหวน    พ่อแม่ก็บ่นอยู่เสมอว่า   อีนางมันแต่งงานแล้วมีลูกมีผัวเป็นฝั่งเป็นฝามันมีความสุขสบายดีแล้วกูก็นอนตาหลับ แน้....ผู้เฒ่าบ่นอย่างนี้เด้....   สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่น้ำใจของพ่อของแม่ทั้งนั้น
ดังนั้น การทำบุญ เมื่อไม่มีโอกาสไปทำบุญกับวัดกับวา กับพระกับสงฆ์ ทำบุญกับพ่อแม่ปู่ย่าตายายของตนเอง   มาตาปิตุอุปัฏฐานัง การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดา   เอตัมมังคะละมุตตะมัง เป็นมงคลอันสูงสุด เป็นอันดับแรกด้วยในมงคลสูตร   ท่านเทศน์ไว้อย่างนั้นแล้วก็เป็นอันดับแรก   สำหรับพระสงฆ์ยังไปอยู่ปลายๆ โน้น    แสดงว่าความสำคัญนี่คือพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย    เป็นพระอันดับหนึ่งหรือองค์ที่หนึ่งของลูก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ให้วิชาความรู้ เป็นผู้ให้ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ให้น้ำจิตน้ำใจทุกอย่างแก่ลูกของตน เพราะฉะนั้นใครยังมีพ่อแม่อยู่ รีบอุปถัมภ์อุปัฏฐาก รีบทำบุญกับท่าน อย่าไปปล่อยให้ท่านลำบาก   อย่างบางทีเราอาจจะศรัทธาในพระเจ้าพระสงฆ์   มีของดีๆ   ขนไปให้พระเจ้าพระสงฆ์ฉันหมด แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายปล่อยให้อด ก่อนอื่นนี่ต้องนึกถึงพ่อถึงแม่เสียก่อน   ของดี ๆ จะไปใส่บาตร   เอ้อ…ส่วนนี้จะให้พ่อแม่รับประทาน    ส่วนนี้จะใส่บาตรให้พระ    หรือถ้าหากจะคิดว่าส่วนนี้จะใส่บาตร ส่วนนี้จะเอาเหลือให้พ่อแม่ อะไรทำนองนั้น

พระเจ้าพระสงฆ์นี่กับพ่อกับแม่มีค่าเท่ากัน   เราจะได้มาพบหน้าพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่ให้เกิด   เราจะรู้จักพระเจ้าพระสงฆ์ก็เพราะพ่อแม่สั่งสอน    เราจะรู้จักทำบุญสุนทานก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้สอนเป็นผู้พาทำ ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นครู นอกจากจะเป็นครูแล้วยังเป็นพระพรหม เขาเขียนรูปพระพรหมไว้ ๔ หน้า เขาเขียนโกหก ความจริงพระพรหมไม่มี ๔ หน้า ๔ ตาอะไรหรอก มีหน้าเดียวเหมือนมนุษย์นี่ แต่ว่าพระพรหมท่านมีคุณธรรม ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ท่านก็เลยเขียนปริศนาเอาไว้เป็นรูปพระพรหม ๔ หน้า ดังนั้น พ่อแม่ของเราก็เป็นพระพรหมเหมือนกัน พรหมา ติ มาตาปิตะโส บิดามารดาชื่อว่าเป็นพรหมของลูก    เพราะบิดามารดาเป็นผู้มีเมตตาต่อลูก   กรุณาสงสารลูก   มุทิตาพลอยยินดีเมื่อลูกได้ดี   อุเบกขาเบาใจได้นอนตาหลับเพราะลูกของตนมีหลักมีแหล่งช่วยตัวเองได้แล้ว    อันนี้คือคุณธรรมที่มีในน้ำจิตน้ำใจของพ่อของแม่

ดังนั้น ใครจะทำบุญสุนทาน ใครจะทำอะไร ใครจะให้อะไรแก่ใคร ควรจะคิดถึงพ่อถึงแม่เป็นอันดับหนึ่ง อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบากยากเข็ญ ไปทำบุญแต่ที่อื่นไม่รู้จักทำบุญกับพ่อกับแม่ก็ไม่มีความหมายเพราะเราเป็นผู้แล้งน้ำใจต่อพ่อต่อแม่ ขาดความกตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานให้เกิดคุณงามความดี คนที่จะรู้จักว่าผู้อื่นดีได้ก็ต้องรู้จักว่าพ่อแม่ตัวเองดีกว่าใครทั้งหมด พ่อแม่ถึงจะเป็นขี้เหล้าเมายาเล่นการพนันเป็นนักเลงโต ศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังมีอยู่โดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง

1697
ของฟรี

หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ มีผู้ถวายพระสมเด็จ เขาเรียกแบบทรงตั้งโต๊ะกัง   ที่เรียกว่าตั้งโต๊ะกังเพราะสมเด็จโตท่านสร้างถวายรัชกาลที่ ๕ เพื่อพระราชทานเป็นรางวัลให้แก่บุคคลที่ช่วยพัฒนาบ้านเมือง   ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกร้านทอง เสร็จแล้วมีผู้ถวายหลวงพ่อมา ทีนี้มีพระอาจารย์มนตรีเป็นอาจารย์สอนโรงเรียน มาบวชมาเห็นเข้าแกก็จับ ๆ วาง ๆ    หลวงพ่อก็เดาคาดคะเนเอา   คุณอยากได้ก็เอาไปซิ   แกก็ดีใจจนเนื้อเต้นถามว่า "หลวงพ่อดีไหม" "ก็ดีซิถึงให้ ของไม่ดีจะให้ไปทำไม แล้วคุณว่าดีไหมล่ะ" "ก็ดีซิครับถึงอยากได้"

บางทีมีบางคนเขาให้เขาว่าเป็นพระก็ถือมา   คนเขารู้ว่าหลวงพ่อมีพระเขาก็หาเงินมาเช่าซื้อ   มีคนหนึ่งมีเงินมาหกพันบาท จะมาเช่าพระสมเด็จจากหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกไม่ได้หรอก ไม่ให้    แล้วก็มีอีกคนหนึ่งมาหาพระสมเด็จเหมือนกัน   มานั่งอยู่เป็นนาน แกก็ถามคนแรกว่า   "ถ้าผมมีปัญญาเอาได้คุณจะว่าผมไหม"   "ก็เอาซี้ ถ้าคุณมีปัญญาเอาได้ก็เชิญตามสบายเลย ผมไม่ว่า"    คนนั้นแกก็ลุกปุ๊บปั๊บลงไปใต้ถุนกุฏิ ไปขอธูปเทียนกับเณรที่อยู่ห้องข้างล่าง แล้วก็ไปเด็ดดอกไม้ขึ้นมา มาถึงก็มากราบ แกก็ไหว้พระ   อรหัง   สัมมาสัมพุทโธ ว่านะโมพุทธังอะไรของแกไป มือหลวงพ่อนี่มันล้วงเข้าไปในย่ามยังกับสปริง   เอามายื่นให้   หมอนั่นตบอกผาง   "พระแบบนี้ก็มีด้วย   ทำไมร่ำรวยมากนักหรือจึงให้" "ไม่ใช่ร่ำรวย แต่ของพวกนี้มันเป็นของไม่แน่นอน    คุณมาดูแล้วคุณว่าของแท้ของจริงแต่คนหลังมาดูเขาอาจจะว่าไม่ใช่ของแท้ของจริง   หลวงพ่อก็กลายเป็นพระโกหกต้มคน   เพราะฉะนั้น   จะแท้จะจริงจะเทียมก็ตาม คุณได้ฟรีๆ โดยไม่เสียสะตุ้งสตางค์ ฉันไม่เสียหาย"

1698
ปลุกพระ

มีคนหนึ่งเอาพระของครูบาอาจารย์ของเขามาอวด   เขาเอามาคุยทับ เอาคนปลุกพระมาด้วย นี่ผมปลุกเสกมาตั้งร้อยครั้งแล้ว ผมจะให้คนนี้ปลุกเสกให้ดู   พอเขาปลุก หลวงพ่อก็กำหนดจิต ชายคนนั้นแกทำยังไงจึงเหงื่อแตกก็ไม่รู้ หลวงพ่อเจียนหมากแล้วโยนเปลือกหมากให้ เอ้า ลองปลุกเปลือกหมากฉันดู   พอไปจับ ตัวนี่สั่นขึ้นมา แกก็เอากระดาษห่อใส่กระเป๋า   หลวงพ่อก็เอาผ้าเช็ดปากมาเป่าแล้วโยนให้   เอานี่ดีกว่า เสร็จแล้ว ๒-๓ วันต่อมาไปโดนเขารุมตี แกก็ทำทีเป็นนอนสลบไม่รู้เรื่อง พอพวกนั้นมันเห็นว่าสลบไปแล้วก็ขึ้นรถเตรียมจะกลับ แกก็ลุกขึ้นมา เอ้า ยังไม่ได้คิดบัญชีกันเลยทำไมรีบไป   พวกนั้นมันก็ย่ามใจว่า   ไอ้แก่นี่หรือจะสู้ไอ้หนุ่มตั้ง ๖ คนได้ แกก็จับเอาไม้ ที่พวกนั้นตีแกหวดเอา ๆ หัวแตกไป ๔ ราย ๒ รายไม่กล้าเข้ามา กระโดดขึ้นรถไปแจ้งความ ตำรวจเขามาจับไปโดยเปรียบเทียบปรับคนละ ๕๐๐ บาทฐานก่อการทะเลาะวิวาทกัน พอเสร็จมาคุยให้หลวงพ่อฟัง   "แหม…ผ้าเช็ดปากหลวงพ่อนี้ดีจริง ๆ" "ดียังไง" "ก็ไอ้หนุ่มมันตั้ง ๖ คน มันสู้ผมไม่ได้ มันไปแจ้งตำรวจมาจับผมไปโรงพัก ถูกปรับคนละ   ๕๐๐ บาท หมดทุกคน" "เอ้า…ผ้าเช็ดปากดี ทำไมถึงต้องไปถูกปรับ แปลว่ามันไม่ดีซิถึงถูกปรับ"

1699



เหล็กไหล

- เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่าครับหลวงพ่อ?

- มีจริง แต่มันเป็นของหายาก เอายาก ที่เขามาอวดกันมันไม่ใช่เหล็กไหลหรอก เหล็กไหลนี้มันจะไหลอยู่ไม่หยุด หลวงพ่อไล่ตะครุบเหล็กไหลนี่จนเหงื่อแตก มันก้อนโตขนาดเม็ดข้าวโพดเม็ดใหญ่ๆ ทีนี้วัตถุที่โตขนาดนี้ ถ้าเป็นสิ่งอื่นเราไปหยิบมันจะติดมือขึ้นมา   อันนี้พอไปหยิบ หยิบแล้วทั้งๆ ที่มันแข็ง มันสัมผัสมือเหมือนกับหยิบสำลี คล้าย ๆ กับมันยุบตัวลงไป   แต่พอยกมือขึ้นมันจะไม่ติดมือ พอยกมือขึ้นปั๊บมันจะกลิ้ง พอไปจับจะหยิบขึ้นให้มันติดมือมาไม่มีติด   ถ้ามันอยู่บนพื้นไม้กระดาน มันจะกลิ้งอยู่อย่างนั้น    พอตกถูกพื้นปูนซีเมนต์มันจะหายจมลงไปในปูนซีเมนต์เลย หลวงพ่อนี่จับต้องมาด้วยมือ เห็นมาด้วยตา เพราะฉะนั้น ถ้าใครเอามาให้ดูแล้วมันไม่ใช่หรอก มีแต่ก้อนหินธรรมดานี่แหละเขาเอามาให้ดู อย่างดีก็พวกประเภทที่เขาเรียกว่าโคตรเหล็กไหล   ไอ้ตัวเหล็กไหลจริงๆ   นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น สีมันดำเหมือนตาดำคน ที่นี้ พอจับปั๊บมันจะเย็นเหมือนจับน้ำแข็ง เวลาเอาวางไว้แม้อยู่ในที่ราบ ๆ มันก็จะกลิ้งของมัน มันอยู่ในฟันกรามเขาส่องดูก็มองเห็น พอเอาไม้แหย่มันจะวิ่งหลบเข้าไป หลบหนีเข้าไปทั้งที่ไม้ยังไม่ได้ถูกมันเลย พอเผลอ ๆ มันตกป๊อกลงมาอยู่ในอุ้งมือนี่ แทนที่มันจะไหลลงไปทางลาดๆ ต่ำลงไป มันกลับวิ่งลัดขึ้นมา วิ่งมาตามข้อศอกวิ่งขึ้นมาข้างบน   วิ่งขึ้นมาทางสูง แทนที่มันจะกลิ้งลงไปทางต่ำ ตกลงบนไม้กระดานก็ไล่ตะครุบ ไล่ไปไล่มามันตกลงบนพื้นปูนซีเมนต์กลิ้งไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีอะไร ราบ ๆ เกลี้ยง ๆ ไม่มีวัตถุอะไร มันหายจมลงไปในพื้นปูนซีเมนต์ เมื่อก่อนนี้อยากได้เหล็กไหลเหมือนกัน พอไปไล่จับก็เลยหายสงสัย
- มันมาจากไหนครับเหล็กไหล?
- เหล็กไหลอันนี้ ตามประวัติส่วนใหญ่จะมาจากสมเด็จลุนบ้านเงินไทร บ้านอยู่ฝั่งทางประเทศลาว พระองค์นี้มีอิทธิปาฏิหาริย์ ขนาดเหยียบเรือกลไฟของฝรั่งนี่เอียงกะเท่เร่    เหมือนกับหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดทางภาคโน้น ก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน มีตำรวจคนหนึ่งเขาเรียกว่าไอ้เพ็งคอลาย   หมอนี่ก็ได้มาจากสมเด็จลุน ของๆ มันนี้ ใครขอนี่มันยื่นให้เลย   อยากได้เอาไป   แต่พอเสร็จแล้วเขามีวิชาเรียก ให้ใครไปแล้วมันจะกลับไปอยู่กับเจ้าของ
พระครูพิบูลย์ธรรมภาณ อาจารย์โชติที่อำเภอพิบูลฯ อุบลฯ นี่ท่านคุยให้ฟังว่า ของคนเมืองพิบูลฯ อำเภอพิบูลมังสาหาร มีอยู่คนหนึ่ง เขาเคยให้ท่านพาไปขาย ตกลงซื้อขายกันราคา ๕๐ ล้าน จะเอาเงินไปวางกันที่ธนาคารฝากเงินในบัญชีของเจ้าของแล้วก็จะมอบเหล็กไหลนี้ให้ พอตกลงกันแล้ว   ตกกลางคืนได้ที่เอาใส่ในกระป๋องแล้วบัดกรีเอาไว้ ตื่นเช้ามาเห็นแต่รู มันหนีออกไปแล้ว เสร็จแล้วพอกลับมาบ้านมันมาอยู่ที่บ้าน เลยไม่ได้ขาย   ส่วนใหญ่ถ้าใครเขามีแล้วเขาจะใช้โลหะต่างประเภท    ถ้าประเภทเหล็กนี่เอามันไม่อยู่    ต้องใช้ทอง นาก เงิน   ทองแดงหุ้มเอาไว้ ถ้าเอาไปวางไว้บนพานธรรมดาตื่นเช้ามาหาย
- เหล็กไหลเขามีไว้ทำไมครับ
- เขาก็ถือว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ของดีวิเศษ ใครมีแล้วเป็นสิริมงคลอะไรทำนองนั้น    แต่ว่าฝรั่งที่เขาเชื่อว่าเหล็กไหลมี และเขาทดสอบดูว่ามันเป็นวัตถุที่สามารถทุ่นแรงได้    คือมันมีแรงผลักดัน ทำให้เป็นวัตถุที่ทุ่นแรง ฝรั่งเขาต้องการ เขาจะไปทำให้มันสร้างวัตถุทุ่นแรงสำหรับยกสิ่งของหนัก ๆ
อาจารย์บุญที่วัดป่าอะไรทางนี้ นั่นก็ไปเที่ยวหาเหล็กไหล ไปนอนอยู่ที่วัดป่าสาลวันหลายคืน ทีแรกให้โยมไปเฝ้าอยู่ก่อน ไม่ทราบว่าท่านไปได้ยินมาจากที่ไหนว่าหลวงพ่อมีเหล็กไหล หลวงพ่อก็พูดตลกๆ โอย เหล็กไหลมีถมเถไป เอาไหมจะขอเขาให้ เหล็กไหลผมนี่ตอนเช้ามันก็ไหลลงกรุงเทพฯ ไหลขึ้นหนองคาย อุบลฯ ทุกวัน (หลวงพ่อหมายถึงรถยนต์ รถโดยสาร) ไปหาสิ่งที่มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ ไอ้มีนะมีแน่ จะไปหาที่ไหนมันจึงจะพบ

1700
เครื่องรางที่แท้จริง

เครื่องรางของขลังเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่คนไทยทั่วๆ ไป แต่หลวงพ่อแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่าคนเก่งของเมืองไทยทำไมมันเบียดเบียนคนไทยด้วยกัน    แทนที่จะคุ้มครองคุ้มกันคนไทยด้วยกันมันกลับเอาไปเป็นเครื่องมือเบียดเบียนซึ่งกันและกัน   เพราะฉะนั้น    สิ่งที่เป็นเครื่องรางของขลังที่ดีที่สุดก็คือความมีศีลมีธรรม เมื่อเรามีศีลมีธรรม เราไม่เบียดเบียนใคร ก็ไม่มีคนมาเบียดเบียนเรา แต่บางทีเดินทางไปโดนลูกหลงเขาเข้าก็แสดงว่ากรรมเก่าของเรามันให้ผล เช่นอย่างพระธุดงค์องค์หนึ่งเดินไปในป่า มีนายพรานหอกมันถือหอกไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า    พอเห็นพระมันเกิดเลื่อมใสจะเข้าไปกราบพระ   พระเห็นมันถือหอกเดินเข้าไปก็กลัวจะถูกทำร้ายเลยเดินหลบหนีไป    พอเห็นว่านายพรานถือหอกเดินตามก็เข้าใจว่าเขาจะตามมาทำร้ายก็เลยมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้รก   พอไปถึงจุดที่พระเข้าไปซ่อนอยู่ นายพรานก็นึกขึ้นว่า   เอ.... นี่พระท่านคงจะเห็นเราถือหอก   ท่านกลัวจะทำร้ายท่านกระมังท่านจึงเดินหนีเราไป   ก็เลยซัดหอกเข้าไปในพุ่มไม้ที่พระซ่อนตัวอยู่ ไปถูกพระตายพอดี อันนี้แสดงว่ากรรมเก่ามันให้ผล   กรรมเก่าของพระองค์นี้ คืออะไร   คือเมื่อก่อนนี้ ท่านเอาหอกไปเที่ยวซัดกบตายมานับไม่ถ้วน   แล้วกรรมอันนั้นมาให้ผล เพราะฉะนั้น   ทางที่ดี ใครประสบความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม    ให้นึกว่ามันเป็นกรรมเก่าของเรา   อย่างหลวงพ่อในทุกวันนี้ หลวงพ่อนึกว่าเสวยกรรมเก่า ลูกที่เขาให้กำเนิดไว้ ๕-๖ คนไม่มีใครเลี้ยง เวลานี้หลวงพ่อรับเลี้ยงอยู่ ก็ยอมทนเอา    ชาวบ้านเขาจะตราหน้าว่าเอาลูกเอาหลานมาเลี้ยงก็ยอม เพราะเด็กมันไม่มีที่พึ่งจริง ๆ   เดี๋ยวนี้มันก็เริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันบ้างแล้ว ก็เกือบจะหมดภาระแล้ว บางทีนึกว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ นึกจะสลัดมันทิ้งไปก็กลัวกรรมเวรมันจะไม่หมด เพราะฉะนั้น จะต้องต่อสู้จนกว่ามันจะช่วยตัวเองได้ พอเขาช่วยตัวเองได้เมื่อไร หลวงพ่อก็หมดภาระหมดกรรมหมดเวรไป

1701
นักเลงพระ

เรื่องของนักเลงพระนี่หลวงพ่อก็ยังเคยโดน เมื่อก่อนมีคนเขาชอบให้พระหลวงพ่อมา เป็นของเก่าของแก่โบราณประจำตระกูล เขาให้มาก็เก็บเอาไว้   มีคนมาขอดู   เขาบอกว่าพวกนี้มีแต่พระเก๊   แต่เก๊เขาก็อยากได้เขาออกปากขอ "โอ๊ย! ของเก๊ คุณอย่าเอาไปเลย"   หลวงพ่อรู้ทัน "เอาอย่างนี้ คุณอยากได้ของฉันจริง ๆ ฉันไม่หวงหรอก บอกมาเลย ที่คุณดูอยู่นี่องค์ไหนดียอดเยี่ยมคุณดูแล้วพอใจบอกมาเลย ฉันจะหยิบให้คุณทันที" แกก็กราบขอโทษ ผมเล่นไม่ซื่อกับครูบาอาจารย์ "นั่นแหละ ทีหลังคุณอย่าไปทำอย่างนั้น คุณเล่นไม่ซื่อ คุณได้ไปแทนที่พระจะเป็นมงคลแก่คุณ กลับจะให้ความวิบัติแก่คุณ บอกมาเลยคุณต้องการองค์ไหน แต่ว่าคุณจะเอามากไม่ได้เพราะว่าลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมฉันยังมีตั้งเยอะ   นอกจากคุณแล้วเขายังจะมาขอฉันอีก" เขาก็หยิบองค์ที่ต้องการไป    มาภายหลังเขาก็มาบอกว่า   "พระที่หลวงพ่อให้ผมไป   มีคนเขามาให้ผมตั้งห้าแสน" หลวงพ่อว่า "คุณอย่ามาคุย ฉันไม่เสียดายหรอก คุณอย่าเข้าใจว่าฉันไม่รู้นะ    พวกคุณอย่างดีก็รู้แต่เพียงแค่ว่าพระนี้เนื้อผงเข้าแบบเข้าตำราเท่านั้น ส่วนทางในพวกคุณไม่รู้หรอก จะเป็นอะไรก็ตาม แม้แต่เปลือกหมากที่ฉันเจียนเอาเนื้อมันมาเคี้ยวแล้วฉันโยนไปมันก็ยังดีนะ"

1702
จิตหลอก

อาจารย์ของหลวงพ่อองค์หนึ่งนี่ท่านว่า เอ!... ในใต้บาดาลนี่มันจะมีอะไร ท่านก็ไปกำหนดจิตพิจารณาดู จิตมันก็หลอก มีพลาญหินเกลี้ยงๆ เป็นพลาญหินใหญ่ขนาดศาลานี่ (ศาลาพื้นหินอ่อนวัดวะภูแก้ว) ท่านบอกฆ้องใหญ่มันอยู่ใต้นี้ หลอกให้พระนวกะขุดก้อนหินนั้น กลางคืนก็ขนฟืนมาเผา ๆ ๆ ขุดลงไปได้วันละคืบ ๆ ๆ   มันก็ไม่ทะลุก้อนหินสักที หลวงพ่อก็ไปเรียนท่านว่า ท่านอาจารย์ กิเลสมันหลอกน่า มันไม่มีหรอกฆ้อง ลงผลสุดท้ายก็ขุดไม่ทะลุ ก็เลยไม่เจอฆ้อง
พวกไปภาวนาอยู่ในป่าในเขา บางทีมันมีถ้ำอยู่ที่สูง ๆ   ข้างหน้ามันเป็นเหวลงไป   ไปภาวนาแล้วใจมันมีกิเลสอยากได้แก้ววิเศษบ้าง   อยากได้อะไรบ้าง    ทีนี้พอภาวนาไปแล้วมันจะมีแก้วเป็นแสงลอยมาใกล้ ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ   มันก็มาคลอเคลียอยู่นั่นแหละ   พอเอื้อมมือจะไปจับปั๊บมันก็กระโดดหนีไป    พอไล่มันไปมันก็กระโดดไป ๆ ๆ    มันหลอกให้ไปตกเหวตายนับไม่ถ้วน    เพราะฉะนั้น    พระธุดงค์กรรมฐานที่ไปอยู่ในป่าในดง พวกแสวงหาของวิเศษ   เพชรนิลจินดา   หรือเหล็กหลงเหล็กไหลไปตายกันเยอะแล้ว
คือว่าสิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดถึงว่ากฎหมายปกครองบ้านเมืองในปัจจุบันนี้   มันไม่เหมือนอย่างแต่ก่อน   ประเทศอินเดีย    พระเจ้าแผ่นดินองค์ใดนับถือพระศาสนา    ท่านจะประกาศว่า   ดินก็ดี น้ำก็ดี ภูเขาเถาวัลย์ก็ดี ทรัพยากรในอาณาจักรของเรา    ขอยกถวายพระศาสนา   พระสงฆ์ ถ้าอย่างในเมืองไทยเรานี่มีกฎหมายพิทักษ์ธรรมชาติ    ทรัพยากรในผืนแผ่นดินอันนี้ ใครจะไปเอามาต้องขออนุญาตเสียภาษี   ถ้าพระไปแสวงหาทรัพย์ในดินสินในน้ำ แม้แต่โบราณวัตถุอยู่ในเจดีย์เก่า ๆ ร้าง ๆ อะไรพวกนี้ พระจะไปเอาไม่ได้มันผิดกฎหมาย สิ่งใดที่มันผิดกฎหมายก็ผิดวินัย เมื่อสิ่งที่ผิดวินัยพระไปละเมิดวินัยมันก็เกิดวิบัติ

1703
ขอบคุณเวป http://www.thaniyo.net/

หวยเบอร์

เรื่องหมอดูหมอเดาอะไรต่าง ๆ นี้ เรื่องหวยเรื่องเบอร์   มันจะถูกแต่ตอนแรก ๆ   ภายหลังมันจะโกหก   หลวงพ่อทดสอบมามากแล้ว   ดูสิว่า เขาเป็นอาจารย์ใบ้หวยกันอย่างไร   เราภาวนามาแทบเป็นแทบตายไม่เห็นให้หวยอย่างเขาได้   เอ้า! พออธิษฐานจิตเข้าไปแล้ว หวยมันก็ไล่กันมาเป็นแถว ๆ เลย บางที ๔ งวด ๕ งวด บางที ๗ งวด บางทีนั่งอยู่เฉย ๆ มันก็รู้ ถ้ารู้แล้วเราก็เฉย ๆ   ไป   แต่บางทีก็ทดลองเขียนเอาไว้ว่ามันจะออกตามนี้ไหม เอาทิ้งเอาไว้ มันออกหมดทุกตัว ทีนี้พอภายหลังมานึกว่า เออ! จะโปรดญาติโยมบ้างละ พอไปนึกเข้ามันก็ไล่เข้ามาเป็นแถวเหมือนกัน มากกว่าเก่า เสร็จแล้วบอกใบ้ตัวไหนจมไปทุกตัว    หลังจากนั้นมาก็เลยเข็ดหลาบ เรื่องของจิตนี้มันตลกเก่ง มันหลอกเก่ง เพราะฉะนั้น เราภาวนาแล้วเราอย่าไปอยากรู้อยากเห็น    ให้มั่นใจในการประกอบกิจในปัจจุบันนี้   ภาวนาอยู่ในปัจจุบันนี้    อย่าไปอยากรู้โน่นรู้นี่    ถ้าเราตั้งใจอยากจะรู้โน่นรู้นี่มันจะหลอกทันที

1704
ขอบคุณครับ

ทดสอบ

1705
แถมครับ


เรื่องแผลจากการกินของสงฆ์

ในอดีตหลวงท่านเคยอนุญาตไว้กับพี่นนทาความว่า อนุญาตให้คนที่มาอาศัยวัดอยู่ แล้วช่วยทำงานวัด มาเบิกนมข้น กาแฟตึกริมน้ำ(ที่พักของหลวงพ่อ) ผมรู้และรับทราบจากหลวงพ่อโดยตรงว่า หลวงพ่อผู้ไม่ประมาณ ท่านจึงชำระหนี้สงฆ์ไว้ล่วงหน้าก่อนทุกๆปี ด้วยเงินจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันคนที่มาวัดตกนรก เพราะเที่ยวไปเก็บของวัดไป จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ล้วนแต่มีโทษทั้งสิ้น เช่น เก็บดอกไม้, ผลไม้ ที่มีอยู่ในวัด เป็นต้น ท่านทำตามอาจารย์ของท่าน คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ( ในประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคก็มี กรุณาหามาอ่านได้) แต่ในปัจจุบันหลวงพ่อท่านไม่อยู่แล้ว เป็นอดีตธรรมไปแล้ว แต่ในปัจจุบันไม่มีใครทราบว่า เจ้าอาวาสองค์ใหม่พระครูปลัดอนันต์ ท่านปฏิบัติตามหลวงพ่อหรือเปล่า จึงไม่ควรจะเสี่ยงกับนรก ครั้งหนึ่งหน้ามะม่วง มะม่วงของวัดออกลูกเต็มต้น หลวงพี่องค์หนี่งท่านขยันนำลูกน้องของท่านมาสอย เอามาเป็นประโยชน์ด้วยความปรารถนาดี แล้วท่านก็นำมาแจกคนในวัดรวมทั้งผมด้วย ผมก็ต้องรับความปรารถนาดีของท่านแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการกินของสงฆ์ ซึ่งกินแล้วเป็นแผลที่ที่ใจ หากปล่อยไว้นานจะรักษายาก จึงนำเงินไปชำระหนี้สงฆ์เสีย แผลที่ใจก็หายได้สนิท คนโง่มองไม่เห็นเพระความโลภบังตา (ตาปัญญา) ยิ่งมานะสูง คิดว่าตนเองแน่ แผลที่ใจก็เป็นเรื้อรังรักษาได้ยาก

วิธีชำระหนี้สงฆ์
ผมจำมาจากเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมมากับผมว่า 20 ปีแล้ว ท่านทำดังนี้คือ ว่างๆ ท่านก็นำเงินไปใส่ตู้ชำระหนี้สงฆ์ของวัดแล้วอธิฐานว่าข้าพเจ้าชำระหนี้สงฆ์ไว้ล่วงหน้าจนกว่าจะถึงพระนิพพาน เพราะความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ซึ่งนับว่าเป็นอุบายที่ดี ใครเห็นด้วยก็นำไปใช้ท่านไม่หวง การชำระหนึ้สงฆ์จึงเป็นการรักษาแผลที่ใจได้อย่างดี


http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=3089.0
พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)หน้าที่99-100
-----------------------------
ทุกวันนี้ ก็แว่บเข้าวัดไปทำบุญหยอดตู้แล้วก็กลับ สบายใจดีครับ

1706
5/5

ผู้ถาม  “แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “เรื่องมันเป็นอย่างนี้  ฉันไปที่ศรีราชา  ญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์  ถ้าหลาย ๆ ชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง  ถามว่าจะทำอย่างไร  ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  พอตอบไม่รู้  ก็เห็นพระท่านลอยมา  ท่านบอก “ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ  ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก  4  ศอก”
 
                        พระหน้าตัก  4  ศอก  ถือ่วาเป็นพระประธานมาตรฐาน  ท่านบอกว่า  “พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้  ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์  หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ  มาถือเป็นการหมดไป”
 
                        ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด  ต่อมาพวกนั้นก็ถามใหม่ว่า  “สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน”  ฉันก็ไม่รู้อีกซิ  ก็นึกถึงท่าน  ท่านก็มาใหม่  ท่านก็บอกว่า
 
                        “ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว  ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ”  คำว่า “คณะ” หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้  ตัดบาปเก่า  ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ  สร้างนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ
 
                        ผู้ถาม  “ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อย  แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “ถ้าเรามีสตางค์น้อย ๆ  ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า  “ชำระหนี้สงฆ์”  คือว่า  ไม่ได้จำกัด  ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ  บาทสองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้  เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ  หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน  เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก  ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ  คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ  เพราะทุนไม่พอใช่ไหม  เราก็ทำไปเรื่อย  ใจสบาย
 
                        มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ  5  บาท  ใส่ซองถวายพระ  บอกขอชำระหนี้สงฆ์  ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด  ท่านลงนรกเองไม่ต้องห่วง  ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย  เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน  ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้
เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม”
 
                        ผู้ถาม  “ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ  แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง  ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง  อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว  จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ”
 
                        หลวงพ่อ  “เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม  เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม  แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร  แต่คนในวัดเอาไปปลูกบ้าน  เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม  เขาถวายอานิสงส์  มันได้ตั้งแต่ถวาย  มีอานิสงส์ครบถ้วน  นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซนต์เลยนะ  คนอื่นเอาไปใช่ไหม  อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ  อานิสงส์ได้ตั้งแต่เริ่มให้  ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น  เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม  ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปีติอิ่มใจ  อานิสงส์มันเพิ่ม  แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่”
 
 
(คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ และหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง  อุทัยธานี)
 
(รวมคำสอบพระสุปฏิปันโน  เล่ม 2)

1707
และอีกเรื่องหนึ่ง  กากะเปรต  สมัยที่เกิดเป็นกา  แย่งข้าวในขันที่เขาจะนำไปถวายพระ  ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ  ยังไม่ใช่ของสงฆ์  จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้  เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว  กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้  ตายแล้วไปลงอเวจี  แล้วแถมเกิดมาเป็นเปรต
 
                        ผู้ถาม  “หลวงพ่อครับ  คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “ถ้าอาหารที่พระให้  ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้น  ไม่มีโทษแน่  แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง  คือเป็นของสงฆ์  ของสงฆ์นั้น  พระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้  นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์  ตัวอย่างของสงฆ์  เช่น  อาหารวันพระที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมาก ๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน  โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น  อย่างนี้แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
 
                        บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ  ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน  ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร  แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ  บางท่านก็ขอเอาดื้อ ๆ  ให้หรือไม่ให้ก็ตาม  ออกปากขอแล้วยกไปเลย  พระยังไม่ทันอนุญาต  ท่านทายกประเภทนี้  ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก  เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม  ถ้ามากจนเหลือเฟือ  ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน  เพราะท่านอาจจะมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง  ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ มีโทษ 100 เปอร์เซนต์
 
                        และอาหารถวายพระพุทธรูปก็เหมือนกัน  อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก  อาหารที่เขานำมาวัด  เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์  การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี  เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย  เป็นพุทธบูชาด้วย  แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก  เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน  ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม  อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน  หลายวัดหรือส่วนใหญ่ทายกมักจะเอาอาหารดี ๆ และมาก ๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป
 
                        เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว  ต่างก็ยกเอามากิน  ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง  ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก  ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น  ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น “ลูกศิษย์พระพุทธรูป”  แต่ประการใด
 
                        รวมความว่า  ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น  คือของในวัดทุกประเภทที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว  แม้แต่ดอกไม้ผลไม้ในวัด  เศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว  เอามาทำฟืนบ้าง  ทำอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง  จงอย่าคิดว่าไม่บาป  แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์  มีผลเสมอกัน  เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด  ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต  อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป  ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้รับมาได้ไม่มีโทษ  ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว  ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง  ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

1708
คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า  ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย  ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน  เป็นพวกเดียวกัน  เดินทางแนวเดียวกัน  อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน  ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่  แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  เงินส่วนตัวไม่มี  ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ  บอกว่าอยู่สิงห์บุรี  จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า  ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  สตางค์ไม่เหลือ  อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน  แต่ดันบ้าตายก่อน  มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้  ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว  ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย  ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง  เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว  ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน  เอกัคคตากับอุเบกขา
 
                        บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว  จำได้เป็นฌานสี่  จิตก็ตั้งอยู่พอดี  พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่  พอตั้งอยู่ฌานสี่  สภาพก็เป็นพรหม  ตัวแกก็เป็นพรหม  แจ๋ว   เลยบอกไปตามอัธยาศัย  ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
 
                        ที่เล่าให้ฟังนี่  มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์  ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย  เรี่ยไรมาสิบบาท  เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์  อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า  อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก
 
                        ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้  ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย  อย่างนี้ เอวัง  ตกดังตูม.......อเวจี  และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
 
                        ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระวิปัสสีทศพล  สมัยพระวิปัสสีนั้น  มีพระอยู่สี่องค์  เวลานั้นข้าวยากหมากแพง  ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล  ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก  แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย  พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา  ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ  ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์  ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา  เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว  ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน  คิดในใจว่า  ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่  เราก็จะชำระหนี้สงฆ์  คือว่าเราจะใช้หนี้ให้  แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย  ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้  แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ  ตายแล้วไปไหน  ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก  เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร  ผ่านมาสี่ขุม  แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม  มาเป็นเปรต  เปรตนี้จัดเป็นสิบสองระดับ  ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด  ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้  ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต  ตอนนั้นมีโอกาส  ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด  ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์  ถามท่านว่า  เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที  เห็นน้ำเข้าวิ่งไป  น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง  เห็นข้าวอยากจะกิน  วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก  กินไม่ได้  พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า  เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก  ในตอนนี้แหละ  ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล  แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน  จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ  พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร  แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  เมื่อถวายทานแล้ว  ก็ไม่ได้กรวดน้ำ  ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้  ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญ  ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล  เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา  เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ  แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ  มาร้องกึกก้อง  ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ  ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า  ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร  มันร้องกรี๊ดกร๊าด  ๆ  ในพระราชฐาน  ไม่เคยได้ยิน  พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ  พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ  เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้  คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ  พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า  พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์  ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ  ก่อนจะโมทนา  พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ  ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ  แปลเป็นใจความว่า  ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า  เท่านี้ละนะ  การกรวดน้ำครั้งแรก  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว  ได้รับโมทนา  เมื่อโมทนาแล้ว  ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ  มีความสวยสดงดงาม  ร่างกายเทวดา  แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีผ้านุ่ง  เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย  ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา  เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีเสื้อผ้า  ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน  ก็เดือดร้อน  ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร  แสดงตัวให้ปรากฎ  แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ  ว่าจะยืนหันหลังให้  คงไม่ยืนหันหน้าหรอก  คงจะอายเหมือนกัน  พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า  คนอะไรสวยก็สวย  แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า  ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า  พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา  แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา  เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน  เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม  ผ้าจึงไม่มี  พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า  ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา  จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์  พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น  แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว  เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ  แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ก็เลยไม่รบกวนอีก  นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้  แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม  มันจะมีโทษขนาดไหน

1709

2

ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้  มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม  สำหรับอาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน  อยู่ที่สุพรรณบุรี  เป็นนักก่อสร้าง  พระองค์นี้เป็นพระดีมาก  ระเบียบวินัยก็ดี  เจริญสมถภาวนาก็ดี  แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  ได้มาก็จ่ายไป  ทีนี้แกป่วย  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  หมอเขาบอกว่าต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท  ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน  ฉันหายแล้ว  เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
 
                        พอปี 2508  ดันตายเสียได้  “ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ  พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม”  เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ  เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ  มายืนปลายเท้า กราบ กราบ  ถามว่า “มาทำไม”  เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”  เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า  ฉันตามไป”  ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า  "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์”  แกไปตามอีกสององค์  เราก็ตรงไป  พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม  จึงถามว่า  “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า”  แกก็บอกว่า  "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท”  ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”  แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย  เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด  ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ  ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ  ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา”
 
                        จึงเข้าไปตามลุง (พระยายม)   ถามลุงว่า “ยังไงนี่.....”  ลุงบอกว่า  “ยังไม่ว่าไง  เดี๋ยวค่อยว่า  คอยอีกสององค์ก่อน  ยังไม่สอบสวน”  ถ้าสอบสวนไม่ได้  ของสงฆ์นี่หนักมาก  ปิดปากเลย  ถ้ากรรมดีละก็หนัก  ปิดปาก  กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย  เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
                       
                        พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว  ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า  “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม”  ท่านตอบว่า “ใช่”  “ไปใช้เพื่ออะไร” บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา”  “จิตคิดอย่างไร”  “จิตคิดว่า  ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์”  แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม”  แกตอบว่า “ใช่”  แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร”  ท่านบอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”
 
                        ลุงพุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า  “ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร"  บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่”  “ว่ายังไงล่ะ”  “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม  เขาได้ฌานสมาบัติ  ควรจะไปเป็นพรหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “เวลาตายก่อนจะดับจิต  อารมณ์อยู่ในฌาน  ฌานยังตั้งไม่ได้”  เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้  มันต้องชำระหนี้สงฆ์”  ก็บอกว่า “ตกลง  ฉันช่วยชำระหกสิบบาท  เรื่องเล็ก”  ท่านบอกว่า  “ไม่ได้  ชำระด้วยเงินไม่ได้”  ถามว่า  “แล้วจะเอาอะไร”  ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์  หน้าตักสิบสองนิ้ว”  เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก  เอาสักสิบองค์ก็ยังได้”  ท่านบอกว่า  “องค์เดียวพอ”
 
                        แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์  รวมเป็นสามองค์  เราบอกว่า  “อย่างนี้  ฮ้อ...ตกลง”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”
 
                        ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า  “อย่าเพิ่งไป   อยู่ที่นี่ก่อน”  ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม”  ท่านบอกว่า  “ได้”  เราก็เลยบอกท่านทิมว่า  “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม”  เขาถามว่า “อะไรล่ะ”  ก็เลยบอกว่า  “เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ” บอกว่า  “จำได้”  “จำได้ก็ขอไปตามนั้น”  นั่นมันฌานสี่  ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด  ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร  ต้องช่วยกระตุกตรงนี้  มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้  อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด  ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม  ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร  ขนาดมาตามเลยนะ  ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์  อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา  หนุ่มเลยละองค์นั้น  ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ  องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน  รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ  อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี  ไม่รู้อยู่วัดไหน  เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย  พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว  กับคนที่จะไปพรหม  ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม  เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว  ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ

1710
บทความ บทกวี / วิธีชำระหนี้สงฆ์
« เมื่อ: 28 เม.ย. 2554, 11:17:26 »
การชำระหนี้สงฆ์
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
 
                        หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์  พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง  เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย  จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง  อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก  ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
 
                        “ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว  จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม  จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม  ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ  หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย  จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม  ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย”
 
                        อย่างวัดร้างที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า  ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด  หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด  แต่อยู่ในป่าในดง  หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม  เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น  จะเป็นต้นหญ้าสักต้น  ไม้หักสักอัน  เขาก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็  ถือว่าซวยขนาดหนัก  แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว  ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร  เพราะบุกรุกที่ดินของวัด  ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง  วัดก็เป็นวัดร้าง  แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง  แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้  มีความผิดหมด  หรือว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน  เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ  เอาเข้ามาทำฟืน  แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์  ไปเอาเข้ามันก็บาป  ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง  สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้  เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์  แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป  ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด  แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์  เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป  แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก  เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว  มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
 
                        หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์  ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง  ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม  เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์  ขอชำระหนี้สงฆ์  คือว่าวัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม  หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม  วัดที่มีพระก็ตาม  วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม  แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ  ถือว่าเป็นของเล็กน้อย  ข้าพเจ้าทั้งหลายขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่  ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี  ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
 
                        ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ  ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์  เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้  จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์  ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า  ของต่าง ๆ  ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี  วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี  หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี  ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด  ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม  ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด  เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง    เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า  คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ  ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  เป็นของส่วนกลาง  ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน  จะมาชี้ว่าสมบัตินี้เป็นของฉัน  เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น  จะต้องลงนรกหมด  เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก
 
                        ของในวัดก็เหมือนกัน  ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้  ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม  เขาตายแล้วก็ตาม  ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์  ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว  พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี  ใช้เองก็ดี  ทำอย่างนั้นไม่ได้  เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว  เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ  จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ

1711
ขอขอบคุณสำหรับความรู้
ขออนุญาตท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ขอแจมด้วย
============

เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์บางท่าน อาจารย์บางพวก
หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสาวกได้รวบรวมคำสอนของพระองค์ไว้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่าพระไตรปิฎก ต่อมามีภิกษุผู้เป็นนักปราชญ์ได้แต่งหนังสืออธิบายข้อความที่ยากในพระไตรปิฎกให้เข้าใจง่ายขึ้น เรียกภิกษุผู้แต่งหนังสือนั้นว่า พระอรรถกถาจารย์ บ้าง พระฎีกาจารย์ บ้าง และในหนังสือที่แต่งนั้นมักจะมีอ้างถึงความคิดเห็นของอาจารย์อื่นๆ ที่เห็นด้วยหรือเห็นแย้งกับผู้แต่ง เรียกอาจารย์ที่ถูกอ้างถึงนั้นว่า เกจิอาจารย์
เกจิอาจารย์ ในปัจจุบันถูกใช้ในความหมายที่ผิดไปจากเดิม คือใช้เรียกพระที่มีอาคมขลังทางปลุกเสกหรือพระที่ทรงวิทยาคุณทางกรรมฐาน ว่า พระเกจิอาจารย์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระเกจิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

1712
4/4

“ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว หมายถึง ปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปแล้วมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี้เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และก็บาปใหญ่ที่ขังอยู่ในตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาในภพนี้ สรุปแล้วทุกคนต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่ น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่ารัก จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานนอกจากจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์แล้ว ก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์เคยเป็นเทวดา นางฟ้าและเคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะ จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด”

พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ก็จบ อาตมาจึงกราบพระองค์ท่านแล้วทูลว่า “จะไปพระนิพพาน” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเทวดากับพรหมไปด้วยซิ เขาจะได้รู้ว่าพระนิพพานมีความสุขอย่างไร แต่เทวดา นางฟ้า พรหมก็มีหลายท่านที่เคยไปเที่ยวพระนิพพานมาแล้วและที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ แต่ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าจะยังไม่ทราบ” อาตมาจึงหันหน้ามาชวนเทวดา นางฟ้ากับพรหม หลังจากนั้นก็ตามพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน เห็นวิมานแพรวพราวเป็นระยับ จึงคิดในใจว่า “วิมานขององค์อื่นมีหลังเดียว แต่ทำไมของเราจึงต้องมี ๓ หลัง”

ท่านสหัมบดีพรหมเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “วิมาน ๓ หลังต้องใช้อย่างนี้ วิมานหลังหนึ่งที่คุณมาทุกวันคุณใช้เป็นปกติ อันนี้เป็นวิมานประจำตัว วิมานหลังตรงหน้าออกไปที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันนั้นเป็นวิมานที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวิมานหลังใหญ่ยาวหลังนั้นเป็นวิมานที่ประทับหรือเป็นที่นั่งของเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ที่มาประชุมกัน” อาตมามองดูเทวดา นางฟ้า และพรหม รู้สึกว่ามีจำนวนนับเป็นสิบๆ ล้าน เมื่ออยากจะทราบว่าวิมานหลังนั้นโตก็จริง แต่ถ้าเทียบกับเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่มา เทียบกันไม่ได้

ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ประเดี๋ยวก็รู้” เมื่อขึ้นไปถึงที่ก็ปรากฏว่าวิมานที่ตั้งอยู่เคยมีฝาทึบก็โป่รง เคยเล็กไปหน่อยก็ใหญ่ยาว กว้าง ลึกมาก มีแท่นเป็นที่ประทับของเทวดา นางฟ้าและพรหมทั้งหมด เป็นแท่นแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับเท่ากับสภาพเป็นทิพย์ของเทวดา นางฟ้ากับพรหม วิมานหลังหน้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นหัวหน้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็เสด็จประทับสวยงามเป็นระยับ สง่าผ่าเผยใหญ่โตมาก จับใจ อาตมาก็มานั่งที่วิมานบนแท่นแก้วแต่ต่ำกว่าแท่นของพระพุทธเจ้า

หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ฤๅษี ที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เมื่อตอนต้นเธอถามว่า ถ้าจิตมัวไม่นึกถึงพระนิพพานก่อนตาย เธอจะมาพระนิพพานได้ไหม ขอให้เธอปฏิบัติตามนี้ คือทุกครั้งที่มีความว่างจากการงาน จงมาที่นิพพานมานั่งที่ที่ประทับของเธอ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านว่างท่านก็จะมาสงเคราะห์เธอ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ว่างก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาแทนพระองค์ก็เหมือนกับพระองค์มาเอง นอกจากนั้นบริวารของเธอที่มานิพพานแล้วมากมาย เขาก็จะได้มาคุยมาสนทนาด้วย จิตใจของเธอก็จะมีแต่ความชุ่มชื่น พระนิพพานมีแต่อารมณ์แห่งความสุข ไม่มีอารมณ์ความทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย พระนิพพานมีความสุขมาก เวลานี้เธอมีความรู้สึกอย่างไร”

ก็ตอบท่านว่า “ไม่มีกังวล คำว่ากังวลคือความห่วงใยใดๆ ทั้งหมดไม่มี แต่ความจริงอยากจะมานิพพานนานแล้ว” สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า “ช้าก่อน รอเวลานิดหน่อย ให้การงานของฉันเสร็จและคนที่จะพึงช่วยเหลือได้ยังมีอยู่ที่เขายังไม่มายังมีอยู่ จงอยู่รอการช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อช่วยเหลือเขาเสร็จแล้วเมื่อไหร่ ก็จะมานิพพานได้เมื่อนั้น ให้มีความสุขใจว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน เราจะมีความสุขที่สุดคือนิพพาน ในระหว่างที่เราเป็นคนอยู่ เราก็จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่น” ท่านหมายความว่าเป็นความสุขของคนอื่นไม่ใช่ความสุขของตัวเอง

พระองค์ตรัสต่อว่า “เธอทั้งหลายจงดูเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่สวยสดงดงามทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าจะเคยมานิพพานแล้วทุกองค์ มีบางส่วนเท่านั้นที่รู้จักนิพพานคือขึ้นมาได้นั่นคือความเป็นพระอริยเจ้า ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าจะมาไม่ได้ นี่อาศัยความดีของเธอ ท่านสงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เธอชวนมานิพพานท่านจึงมากันได้ การกระทำอย่างนี้จงทำเป็นปกติ จงสงเคราะห์ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดา ทั้งนางฟ้าและพรหม เทวดานางฟ้าและพรหมท่านก็สงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่านเป็นการตอบสนองกัน เป็นความดีเข้าหากัน สำหรับวันนี้ฤๅษี จวนจะเพลแล้ว ฉันก็จะกลับที่อยู่ เธอก็จงกลับเมืองมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมก็จงกลับวิมานของเธอ” หลังจากนั้นท่านก็ลุก พวกเราก็กราบท่าน

เป็นอันว่าเรื่องการมานิพพานเป็นปกติของอาตมา ถ้ายามว่างเมื่อไรแม้แต่มีเวลาเพียง ๕ นาที ๑๐ นาที ก็จะมานิพพานทันที เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต เมื่อเข้าถึงพระนิพพานเมื่อไรจิตก็มีความสุขเมื่อนั้น..”


ที่มา
http://pha.narak.com/topic.php?No=02676

1713
“ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีขึ้นคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่เกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปพระนิพพานนี้ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่าๆ ก็ดี ตถาคตไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงพรหม เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ อย่าหลงความเป็นทิพย์ หมายความว่ายังมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าอยากจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ

๑) จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ เรื่องอาการของชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

๒) เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่ ๒ ที่ท่านจะไปนิพพานได้

๓) หลังจากนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม

พอท่านพูดมาถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า “ฤๅษี เทวดาไม่ต้องบวชอย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ถึง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่มีอาบัติ สิ่งที่เป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี” และท่านก็หันหน้ากลับไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหม ตรัสว่า “ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งใจเฉพาะศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดในศีล

๔) หลังจากนั้นจงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงและจะต้องมีการจุติในวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้นอารมณ์อย่าเป็นทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วทรงชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าเมื่อตายแล้วถ้ากลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิมท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลยทั้งๆ เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ทำเอาไว้ทุกอย่าง ท่านยังไม่มีสิทธิ์ ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องตะเกียกตะกาย ดูภาพมนุษย์ทั้งหลายไม่มีใครหยุดต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวันเพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน”


ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็ตรัสต่อว่า “จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายของมนุษย์ เห็นว่ามนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีความทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้า และพรหมก็อยู่ในสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้นก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และมีการจุติในที่สุด ทุกคนหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณาคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็เราจะต้องจุติในวันหน้า”

1714
2
หลังจากนั้นเทวดากับพรหมทั้งหมดก็กราบพระพุทธเจ้า ก็หันไปทางพระพุทธเจ้าเหมือนกันยกมือพนม ท่านก็เทศน์ว่า “ดูก่อน ท่านทั้งหลายที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงการจุติ เพราะว่าเวลานี้ยังมีเทวดากับนางฟ้าบางส่วนมีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติเกินไปหลังจากที่มาจากมนุษย์ อยู่ที่เมืองมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่เมื่อมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นเป็นปกติ ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง หมายความว่าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะว่าอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดแม้แต่ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ เมื่อการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย” พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดา นางฟ้าก็พรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างคนต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า มาเป็นพรหมได้ และก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน

ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อนจึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน้นนรก” ท่านชี้พระหัตถ์ลง เห็นนรก ไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด “ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ต้องชำระหนี้บาปกว่าจะเกิดมาเป็นคนก็นานหนักหนา ถ้ามาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคนแล้วอาจจะทำบาปใหม่ กลับลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่บนสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของพระนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน” เวลานั้นเทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานใสสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือสีแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับคือแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ตรัสกับเทวดา นางฟ้าใหม่ว่า

1715
เข้าใจว่าบทความนี้ น่าจะมาจากการถอดเทปคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
====================
ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน

“..บันทึกเสียงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ย้อนไปพูดถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนักมีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปพระนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่งไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ

กราบทูลถามท่านว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้และไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า “ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

หลังจากนั้นก็นมัสการกราบทูลถามพระองค์เรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า “เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตามให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ถึงแม้ว่าอาการป่วยเกิดขึ้นจิตจะมัวไปบ้างจิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ทันทีในเมื่อออกจากร่าง” ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน” สมเด็จองค์ปฐมก็ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย” พระพุทธเจ้าก็เสด็จ อาตมาก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาที่เทวสภา

พอมาถึงที่ประทับพระองค์ก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง อาตมานั่งแท่นต่ำแต่รู้สึกว่าจะสูงกว่าเทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งพนมมือหันหน้าไปทางเทวดานางฟ้ากับพรหมบอกว่า “ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณ ที่เคยเป็นบิดามารดาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆ บ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกองค์ทุกท่านที่มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่างการสร้างวัด การจะไปไหนก็ตาม ทุกท่านเมตตาปรานี พยายามป้องกันภยันตรายต่างๆ อาตมาขอขอบคุณทุกท่าน”

1716


สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (9/9) จบ

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านสำหรับวันนี้ก็พบกันในเรื่องของบารมี 10 แต่ความจริงสิ่ง

ประกอบทั้งหมดเป็นเรื่องของบารมีทั้งหมด โดยก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็บอกเวลากันเสียก่อนเวลานี้เป็นเวลา 19 นาฬิกาเศษๆ ของวันที่

22 กันยายน 2526 ที่บอกไว้ก็ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ประเดี๋ยวไปเปิดฟังไม่ทราบว่าพูดเมื่อไร ก่อนจะพูดอย่างอื่นก็เตือนกันไว้

ว่าความเลว 10 ประการ พยายามทำลายให้พินาศไป

1.สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันจะไม่ตาย ร่างกายสวยสดงดงาม ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมี

ในเรา ทิ้งไปจากกำลังใจ มาสร้างความรู้สึกเสียใหม่ ว่าร่างกายนี้มันต้องตายแน่เมื่อความมั่นใจ อย่างนี้มีอยู่ จะได้ปฏิบัติความดี คือ

ประกอบความดีให้ครบถ้วน อารมณ์ใจอย่างนี้ เป็นอารมณ์ใจของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี

ถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ น่าเกลียดโสโครก มันเกลียดจริงๆ ไม่ใช่น่าเกลียดเฉยๆ มันสกปรก เราไม่ต้องการทั้งร่างกายของเรา

ร่างกายคนอื่น หรือวัตถุธาตุใดๆ อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามีถ้ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน

ร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์ กำลังใจ 3 ประการให้เลือกปฏิบัติเอานะขอรับ จะเอาขั้นไหนก็ได้

ตามกำลังใจของท่านแต่ขอได้โปรดอย่าบอกว่าทั้ง 3 อย่างนี้ผมไม่ไหว ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็เชิญกลับไปเถอะครับ อย่าอยู่ที่นี่เลย มัน

รกที่ไม่ต้องการคนประเภทนี้

2.วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงอย่ามีในใจ ใช้ปัญญาพิจารณานิดเดียว เราจะเข้าใจว่า

พระพุทธเจ้าพูดถูก พูดจริงทุกอย่าง ยอมรับนับถือคำสอนของพระองค์

3.สีลัพพตปรามาส คือลูบคลำศีล รักษาศีลไม่จริงไม่จัง หลอกชาวบ้านในฟ้ากาสาวพัสตร์ ประเภทอย่างนี้อย่ามีในเรา จงเป็นผู้ทรง

ศีลพรต กำหนดให้แน่นอนชัด ปฏิบัติให้ครบถ้วน ถ้าปฏิบัติครบทั้ง 3 ประการคือ

1. มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะต้องกาย

2. ไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมยอมรับปฏิบัติตาม

3. รักษาศีลครบถ้วนทุกประการโดยเคร่งครัด

อย่างนี้องค์สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ตรัสว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามีต่อไปก็กำจัด กามฉันทะ คือมีความ

พอใจในกามคุณ คือรูปสวย เสียง เพราะ กลิ่นหอม กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ รู้ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเต็มไปด้วย

ความสกปรก เรื่องอะไรที่จะต้องการในร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นสิ่งโสโครกทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ต้องการ

และกำจัด ปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งความไม่พอใจออกจากจิต มีความเมตตา กรุณาเข้ามาแทน แม้จิตใจมีความเบื่อหน่ายใน

ร่างกายเป็นที่สุดอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอารมณ์ของพระอนาคามีหลังจากนั้น ทำปัญญาให้ดี พิจารณาให้เห็นว่า รูปราคะ รูป

ฌานก็ดี อรูปราคะ อรูปฌานก็ดี ต้องทรงอารมณ์เอไว้ แต่เราจะไม่ติดอยู่แค่รูปฌานและอรูปฌาน เราจะก้าวต่อไปเพื่อนิพพาน ใน

การตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ตัด มานะ ความถือตัวถือตนออกจากใจ ทำใจเสมอกัน ตัด อุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่านคือว่า

นิพพานเราไม่ต้องการตัดทิ้งไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องตัดก็ได้นี่ ถึงอนาคามีแล้วเขาก็สบายมาก ตอนนี้ไม่ตัดแน่ ท่านพูดไว้ก็พูดตามท่าน

ตั้งกำลังใจไว้เฉพาะพระนิพพานแน่วแน่

ตัด อวิชชา ความระยำของจิตที่คิดว่ามนุษย์โลก เทวโลก เป็นของดี ตัดออกไปจากใจ กำลังใจตั้งใจอย่างเดียวคือพระนิพพาน และ

ทำใจของทุกท่านให้ตั้งอยู่ในสังขารุเปกขาญาณ คือไม่เมาในร่างกาย วางเฉยร่างกายมันจะแก่เชิญแก่ตามสบายของมัน ใจไม่ดิ้นรน

ร่างกายมันจะป่วยเชิญป่วยไปตามเรื่องของมัน ใจไม่ดิ้นรนไม่ทุกข์ ร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย ฉันไม่ได้ตายด้วย ช่วยให้ฉันมีความ

สุขอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

หลังจากนั้นกำจัดสังโยชน์ 10 ประการ ให้พินาศไปจากใจ ทรงกำลังใจในด้านของความดี มารวบรวมบารมีทั้ง 10 ประการ ให้ถึงขั้น

อุกฤษฏ์ คือให้เต็มอยู่เสมอกำลังใจ กำลังใจเต็ม 10 ประการ ได้แก่

1.ทาน ให้ทานพร้อมให้ทานเพื่อเป็นการตัดโลภะความโลภ

2.ศีล เพื่อตัดโทสะความโกรธ

3.เนกขัมมะ คือการบวชระงับนิวรณ์ 5 ประการ อย่าให้มายุ่งกับใจ

4.ปัญญา มีไว้เพื่อเป็นการตัดกิเลส

5.วิริยะ มีความพากเพียร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคใดๆ อุปสรรคใดๆ เข้ามาต่อสู้ให้ยับยั้งไป ให้บรรลัยไปจะไม่ทรงศัตรูไว้คือกิเลสให้

รอหน้า

6.ขันติ ความอดทน อดใจ อดกลั้นมีไว้เสมอ ไม่ยอมปล่อยความเลวให้หลั่งไหลมาทางกายและวาจา

7.สัจจะ ตั้งใจไว้ว่าเราจะทำอะไร ต้องทำแน่นอน ไม่ท้อถอย ไม่เปลี่ยนแปลง

8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้เฉพาะกาล ว่าเราต้องการนิพพานจุดเดียว

9.เมตตา มีจิตเมตตาปรานี ยินดีต่อบรรดาสัตว์ทั้งหมด คือว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของสัตว์และคนทั้งหมดทั่วโลก

10.อุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ต่างๆ หากการใดที่มันเกิดขึ้น เราเฉย ถือว่าเป็นกฎธรรมดาของการเกิดมาในโลก เพียงเท่านี้ก็เต็ม

กำลังใจบารมี 10 นี่นะขอรับ ต้องเต็มกำลังใจทุกวันนะขอรับ เช้าขึ้นมาก็เปิดบารมี 10 มาดู ทานพร้อมจะให้แล้วหรือยัง ศีลครบถ้วน

ไหม นิวรณ์เราชนะกำลังใจได้นิวรณ์หรือเปล่า ปัญญาคิดว่าโลกนี้ดี เทวโลกดี พรหมโลกดีมีไหม ถ้าทีใช้ไม่ได้ วิริยะ ความย่อท้อต่อ

อันตรายต่างๆ มีหรือเปล่า ขันติ ความอดใจมีไหม สัจจะ ทรงกำลังใจแน่นอนไหม อธิษฐานตั้งไว้เฉพาะการคือพระนิพพานมีหรือ

เปล่า เมตตา ความเมตตาปรานียินดีต่อคนและสัตว์ทั้งโลก ว่าเป็นมิตรที่ดีสำหรับเรามีไหม อุเบกขา กำลังใจวางเฉย ไม่ดิ้นรนมีหรือ

เปล่า  ถ้าไม่มีปรับปรุงใจให้มีครบถ้วนทุกประการ อย่างนี้ถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพิขิตมารแน่นอน เราก็ย้ำๆ ไปเฉยๆอีตอนนี้

เข้าถึงกระพี้นะขอรับ

วันนี้ก็เข้าถึงกระพี้และแก่นกันแล้ว เมื่อวาน เอ้อ ตอนก่อนผมไปหยุดไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ซิน่ะ พวกท่านบอกว่าถึงกระพี้เท่านั้น อ้อ จำได้

แล้ว เห็นแล้ว หยิบพระไตรปิฏกมาแล้วก็งง ไอ้ทำอย่างนี้นี่มันทำติดๆ กันหลายคาสเซ็ทนี่ท่านถามว่าเหนื่อยไหม ผมก็ต้องตอบว่า

เวลานี้เกือบจะทรงกายไม่ไหว มันทั้งเพลีย มันทั้งเหนื่อย มันทั้งอึด มันทั้งเสียด และก็เสมหะก็ขึ้นคอ มันทำท่าจะอาเจียนอยู่ตลอด

เวลา ท่านถามว่าทำทำไม ผมก็ตอบว่า ผมทำเอาทุนไว้เพื่อตาย ถ้าผมตายไปนี่ ผมทำนี่เป็นธรรมทานนะครับ ผมไม่ได้รับจ้างรางวัล

จากใคร พระพุทธเจ้าบอกว่า

สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง เวลาผมตายผมจะได้แบกไปใช้ของผมด้วยอะไรที่ผมนำมาให้ไว้

แพวกท่านนะ เวลาตายผมแบกของผมไปด้วย แต่กากมันจะอยู่ที่นี่ เสียงมันยังอยู่นะครับ แต่กำลังใจผมแบกไปทุกอย่าง นี่ผมคิด

อย่างนี้นะ ดีไม่ดีผมพูดๆ นี่ผมเสือกตายขึ้นมาตอนนี้ ผมจะดีใจมาก แต่มันยังไม่ตาย ผมก็ไม่กลุ้ม มันอยากจะตายห้ามไม่ได้ก็ช่าง

มัน ที่เป็นมันยังไม่ตาย ก็ทำงานไปก็หมดเรื่อง

วันนี้ก็มาพูดกันตอนที่ 28 เป็นตอนไม่ใช่เฉพาะเรื่องนะครับ ท่านเขียนไว้อย่างนั้น ตอนที่ 28 ที่เป็นหน้าที่ 37 ตอนนี้เป็นตอนที่มี

ความสำคัญมากแล้วท่านที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้นี่ท่านเข้มกว่านี้นิดหนึ่งขอรับ เพราะว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่เป็นหลักสูตรของวิชชา

สาม แต่วามโนมยิทธิที่ท่านทั้งหลายได้นี่ เป็นหลักสูตรของอภิญญาหกเป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก เข้มกว่าวิชชาสามหน่อย

แต่ถ้าบังเอิญท่านทั้งหลายลืมใช้ความดีที่มีอยู่ ผมก็ต้องขอสรรเสริญทานว่าท่านเลวที่สุดถ้ามีแล้วต้องใช้ให้ครบ เพราะว่าเท่าที่ผม

พยายามหามานี่ เพื่อความดีของท่านทั้งหลาย ถ้าแค่กำลังใจของผมถือว่าพอกินพอใช้ อย่านึกว่าผมเป็นพระอริยเจ้า อย่าไปนึก

อย่างนั้นนะ ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นพระอริยเจ้า แล้วท่านอย่าไปคิดแทน

เอ้า ! คุยเรื่องวันต่อไป ตอนที่ 28 พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า เอ้า ไม่ใช่ซิ นิโคธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การ

หน่ายบาปด้วยตบะเป็นกริยาที่ถึงยอดและถึงแก่นด้วยเหตุเพียงเท่าไร ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงให้ข้าพระองค์ถึง

ยอดถึงแก่นแห่งการหน่ายบาปด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้เป็นผู้มี

สังวรแล้วไปด้วยกิเลส 4 ประการเป็นต้น ย่อมระลึกชาติ

ก่อนได้เป็นอันมาก นี้ต้องอย่าลืมนะครับท่านบอกว่าย่อมสังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ แล้วก็ระงับนิวรณ์ 5 ประการทรงพรหมวิหาร

4 เป็นปกติ ท่านละไว้นะครับ ต้องให้ครบนะ จะเอาแค่สังวร 4 ประการไม่ได้นะ

ฆราวาสต้อง 5 ประการนะ เดี๋ยวจะไปย่องดื่มสุรา เป็นอันว่า

1. สะเก็ดเราเลาะดีแล้ว

2. สังวร 4 ประการก็ทรงตัว

3. การระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน

4. จิตทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ

ท่านบอกว่า เขาย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้หนึ่งชาติบ้างสองชาติบ้าง และเขาระลึกได้ถึงชาติก่อนๆ เป็นอันมาก

พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมด้วยประการนี้ หมายความว่าไม่จำกัด นึกชาติได้ทุกๆ ชาติ รู้ทั้งเพศทั้งวัย ทั้งความเป็นอยู่ ทั้ง

ความสุข ความทุกข์ ความรู้สึก การพูดจาปราศรัย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันว่าอย่างละเอียด เขาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว

บ้างปราณีตบ้าง ปรารีตคือดี มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพจักขุจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้จัก

ถึงหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการ

กระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอุบายทุคคติ วิบาก วินิบาติ นรกส่วนสัตว์ทั้งหลายเหล่า

นี้ประกอบไปด้วยกายสุจริต วจีสจริต มโนสุจริต นี่ท่านควบเลยนะครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ไม่ติเตียนพระอริยาเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ

เบื้องหน้าแต่พอตายเพราะกายแตกเขาย่อมเข้าถึงสุคติ มีโลกสวรรค์ดังนี้ เขาย่อมเป็นผู้เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติเลวบ้าง

ปราณีตบ้าง ผิวพรรณดีบ้าง ผิวพรรณทรามบ้าง ได้ดีตกยากด้วยทิพจักขุ จักษุอันบริสุทธิ์ ได้ดีและก็ได้ตกยาก ท่านกล่าวว่ารู้ได้โดย

ทิพจักขุจักษุญาณอันบริสุทธิ์ อ้า ! ด้วยทิพจักขุ จักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักขุของมนุษย์ธรรมดา ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม

ด้วยประการฉะนี้

ดูก่อนนิโครธะ ท่านสำคัญความเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้การหน่าวยบาปด้วยตบะจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เพียงใด

นิโครธปริพพาชกกราบทูล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้การหน่ายบาปด้วยตบะบริสุทธิ์แท้ไม่บริสุทธิ์หามิได้ เป็นกริยาที่ถึง

ยอดถึงแก่นพระเจ้าค่ะ

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะเป็นกริยาที่ถึงยอดถึงแด่นด้วยการเพียงเท่านี้ ดูก่อนนิโครธะ

ท่านได้กล่าวกับเราอย่างนี้ว่า ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าสำหรับทรงแนะนำสาวกนั้นชื่ออะไร ธรรมชื่ออะไร สำหรับผู้รู้แจ้งชัด อธิ

พรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำแล้ว ถึงความยินดี ดูก่อนนิโครธะ ฐานะที่ยิ่งกว่าและ

สกปรกนี่แล เป็นธรรมสำหรับเราแนะนำพระสาวก

เป็นธรรมสำหรับผู้รู้แจ้งชัดใน อธิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวกที่เราแนะนำแล้ว ถึงความยินดีเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสอย่างนี้ พวกปริพพาชกทั้งหลายเหล่านั้นได้เป็นผู้มีเสียงดังอึกทึกว่า พวกเรากับอาจารย์ยังไม่เห็นคัมภีร์อเจลก เป็นต้น พวกเรา

กับอาจารย์ยังไม่เห็นมีบาลีในบาลีอเจลกเป็นต้น พวกเรายังไม่รู้ชัด การบรรลุคัมภีร์ที่ยิ่งไปกว่านี้

แต่ท่านกล่าวว่า ในการที่สันธานคฤหบดีทราบว่า บัดนี้พวกปริพพาชก อัญญเดียรถีย์ เอ้า ที่แปลที่แล้วๆมา อัญญะ แปลว่าต่างๆ นัน

ไม่ถูกนะครับ ต่างๆ มันมาจากนานา อัญญะแปลว่าอื่น อันเดียรถีย์อื่นๆ เหล่านั้นตั้งใจฟัง เลี่ยงโสตก็สดับตั้งจิตเพื่อจะรู้ถึงภาษิต

ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้จริง จึงได้กล่าวกับนิโครธปริพพาชกว่า

ดูก่อนท่านนิโคธะ ท่านได้กล่าวกับเราไว้อย่างนี้ว่า เอาเถิดคฤหบดี ท่านถึงรู้พระสมณโคดมจะทรงเจรจากับใคร จะถึงกาลสนทนา

ด้วยใคร จะถึงความเป็นผู้ฉลาดด้วยพระปัญญากว่าใคร พระปัญญาของพระสมณโคดมฉิบหายเสียในเรือนอันสงัด พระสมณโคดม

ไม่กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท ไม่สามารถเพื่อจะทรงเจรจา พระองค์ท่านทรงเสพอันสงัด ณ ภายในนั้นอย่างเดียว อุปมาเหมือนแม่

โคบอดที่เที่ยววนเวียนที่อันสงัด ณ ภายใน

ฉะนั้น เอาเถิดคฤหบดี พระสมณโคดมถึงเสด็จมาที่สู่บริษัทนี้ พวกข้าพเจ้าจะพึงสนทนากับพระองค์ท่าน ด้วยปัญหาข้อเดียวเท่านั้น

เห็นจะพึงบีบรัดพระองค์ท่านให้ไม่ให้กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท จะทำให้เป็นเหมือนแม่โคบอดเที่ยววนเวียนอยู่ จะสนทนากับท่าน

ด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น เห็นจะบีบรัดพระองค์ท่านเหมือนกับบุคคลบีบรัดหม้อเปล่า

ฉะนั้น เมื่อท่านสันธานคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว นิโคธปริพพาชกก็เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณจะโต้ตอบ

ไอ้นี่เขาเอาจริงๆ เลยนะ เขาเอากันจริงๆ อ่านต่อไปเหลือเวลาอีก 8 นาทีท่านกล่าวว่า ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ซึ่งนิ

โครธปริพพาชกเป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฎิภาณ จึงตรัสกับนิโครธ

ปริพพาชกว่า ดูก่อน นิโครธะ วาจานี้ท่านกล่าวจริงหรือ นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วาจานี้ข้าพระองค์

กล่าวจริงด้วยความเป็นคนเขลา คนหลงไม่ฉลาด

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ทส่านเคยได้เป็ฯปริพพชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์ และ

เป็นปรมาจารย์กล่าวว่ากระไร พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธ่เจ้าทั้งหลายได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาเหล่านั้นประชุม

พร้อมกันแล้วมีเสียงดังอึกทึก ขอให้เดียรฉานคาถาต่างๆ เรื่องอยู่

คือขวนขวายเรื่องพระราชาเรื่องโจร เป็นต้น เรื่องความเจริญเรื่องความเสื่อมด้วยประการ ดังนั้น นั้นเหมือนท่านกับอาจารย์ในขัดนี้

อย่างนี้หรือหรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายย่อม แสดงธรรมอะไร. ย่อมทรงเสพ เอ้อ ทรงเสพราวไพรในป่า เสนาสนะอันสงัด ซึ่ง

มีเสียงน้อย มีเสียงอันกึกก้องน้อยปราศจากลม แต่ชนผู้เดินเข้าออก ควรแก่การทำกรรมอันเร้นลับแห่งมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น

เหมือนเราในบัดนี้

นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินปริพพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปรมาจารย์กล่าวว่า

พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหายได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นเหมือนข้าพระองค์กับอาจารย์ในบัดนี้

อย่างนี้ก็หามิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นย่อมทรงเสพราวไพรในป่า และมีเสนาสนะอันสงัด มีเสียงน้อย มีเสียงกึกก้อง

น้อย ปราศจากลม แต่ชนผู้เดนเข้าออกสมควรแก่กรรมอันเร้นลับแห่งมนุษย์สมควรแก่การหลีกเร้น เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าในบัดนี้

อย่างนี้

และพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโคธะ ท่านแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้แก่ ไม่ได้ตำหนิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระพุทธะ ย่อมทรง

แสดงธรรมเพื่อการตรัสรู้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ฝึกแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความฝึก และก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้สงบ

ระงับแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบระงับ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ข้ามไปได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความข้าพ้น

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้สดับแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสดับเป็นอันว่าเหลือเวลาอีก 5 นาที ดีใจเกือบแย่

เรื่องตอไปข้างหน้าไม่มีอะไร เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงยืนยันว่า ถ้าบุคคลใดปฏิบัติความรู้ตามที่กล่าวมานี้แล้วนั้นได้หมด ถ้า

มีบารมีแก่กล้า จะเป็ฯอรหันต์ภายในเจ็ดวัน ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายในเจ็ดเดือนมีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์

ภายในเจ็ดปี และสมเด็จพระขินสีห์ยังกล่าวกับนิโครธปริพพาชกและปริพพาชกทั้งหมดว่า เธอต้องการให้เราสอน เราจะสอนเป็น

อันว่าเวลานั้นทุกคนนิ่งสงัด องค์สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงทราบว่ามารเข้าดลใจ บุคคลทั้งหลายไม่สามารถทรงความดีได้

สมเด็จพระจอมไตรก็เสด็จกลับ

เป็นอันว่า นิโคธปริพพาชก และปริพพาชกทั้งหมดไม่มีความหมายไม่ได้อะไรจากพะพุทธเจ้าเลย อย่างนี้ท่านเรียกว่าอาภัพบุคคล

คนที่หาความเจริญมิได้ เป็นอันว่าเรื่องรวมทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาท่านทั้งหลายฟังแล้วเข้าใจไหม

ขอสรุป เรื่องสะเก็ดผมก็จำไม่ได้หมด หลังจากสะเก็ดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเน้นว่าสังวร 4 ประการมีประจำใจ

หลังจากนั้นระงับนิวรณ์ 4 ประการให้ได้ขาดในเวลาที่เราต้องการ แล้วก็จิตทรงพรหมวิหาร 4 จนเป็นปกติ ไอ้คำว่าปกตินี่หมายความ

ว่า ถ้าตื่นขึ้นมาต้องทรงพรหมวิหาร 4 ทันทีนะครับ หลังจากนั้นทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติได้ให้เกิดขึ้นการระลึก

ชาติได้นี่อย่าเบื่อนะขอรับ อย่าถืออุปาทานพวกท่านทำได้ ผมถือว่าทำได้ถ้าลืมก็ถือว่าก็แย่หน่อย คือก่อนจะบวชนี่ทุกคนทำได้หมด

และก็ทิพจักขุญาณหรือว่า

จุตูปปาตญาณ เป็นญาณอันเดียวกันที่รู้การตายและการเกิดของคน เป็นคนเห็นสัตว์รู้ได้ทันทีเลยว่าก่อนเกิดมาจากไหน มีข่าวคน

ตายสัตว์ตายรู้ได้ทันทีว่าไปอยู่ไหนทำให้ชัดเจนแจ่มใน เมื่อทรงกำลังใจได้อย่างนี้ ทุกท่านที่นั่งฟังอยู่ที่วัดนี้ ก็เขาสอนมาแล้วก็

ยืนยันว่าได้ดีแล้วทุกคน ก็ขอให้รักษาความดีขององค์สมเด็จพระทศพลที่ทรงให้ไว้ หลังจากนั้นก็ตั้งใจตัดกิลเลสเป็ฯสมุจเฉทปหาน

จะใช้ญาณอะไรเข้าประกอบบ้าง วันนี้มันก็หมดเวลานะครับขอลาก่อน

เอาไว้ค่อยคุยกันเวลาหลังตอไปขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี

1717
วิญญาณหลงทาง(อีกเรื่องหนึ่ง)
 

เชื่อกันว่าคนเราสิ้นลมหายใจที่ไหน วิญญาณก็มักจะวนเวียนอยู่ที่นั่น บ้างก็ว่าคอยหลอกหลอนผู้คน หรือไม่ก็ขอส่วนบุญ แต่บางเสียงก็เชื่อว่าวิญญาณรอคอยเพื่อเอาชีวิตของคนอื่นไปแทนที่ตัวเอง จะได้ไปผุดไปเกิดไงคะ

มีเหตุผลอีกอย่างที่น่ารับฟังค่ะ คือบอกว่าวิญญาณที่เพิ่งออกจากร่างก็เหมือนคนที่กระโดดจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ หรือไม่ก็เหมือนเด็กๆ หลงทาง มองหาพ่อแม่ด้วยความตระหนกอกสั่นสุดขีด ไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว...

ดิฉันเคยเห็นในตอนกลางวันแสกๆ เลยค่ะ!

วัดอัมพวันในเขตดุสิตอยู่ใกล้ๆ กับสถานีตำรวจ ทางเข้าออกคือถนนพระราม 5 แต่โรงเรียนวัดอัมพวันที่มีเด็กตัวเล็กๆ มากมาย มีทางเข้าออกด้านข้าง เชิงสะพานราชวัตร ทางถนนนครไชยศรี

ทางเข้าออกด้านนี้ค่อนข้างคับแคบ มีร้านขายอะไหล่รถยนต์และซ่อมรถ ซึ่งเป็นเจ้าประจำของดิฉันขนาบกับรั้วบ้าน...ตอนเย็นๆ จะมีเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ หลั่งไหลกันออกมาเป็นสายน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย...แต่หลายๆ ครั้งก็ดูน่าหวาดเสียวเอาการ

นั่นคือ ตอนเด็กๆ อายุราว 6-7 ขวบ กลับบ้าน!มีพ่อแม่มารอรับ ทั้งจูงไปก็มี แม่นั่งตุ๊กตุ๊กมารับก็มี ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อก็มี รอรถขาประจำมารับก็มีหลายคน รถที่ว่ามีทั้งตุ๊กตุ๊กและมอเตอร์ไซค์ ลองนึกภาพดูเถอะค่ะว่า ยกเว้นรถตุ๊กตุ๊กแล้ว การนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กๆ จะน่าเสียวไส้แค่ไหน

เมื่อราว 5-6 ปีก่อนยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องหมวกนิรภัย...เห็นเด็กผู้หญิงซ้อนท้ายกอดเอวคนขับแน่น...คงกลัวจนหายกลัว กลายเป็นความเคยชินไปแล้วกระมังคะ

ถึงยังไงก็ต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้ล่ะค่ะ!

เวลารถเสียเล็กๆ น้อยๆ เช่น เครื่องร้อน แอร์เสีย หรือขลุกขลักโดยไม่ทราบสาเหตุ ดิฉันก็คงจะเหมือนๆ กับผู้หญิงส่วนมากที่ขับรถเป็น แต่ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์เลย... ประคองรถไปจอดหน้าร้าน บอกเถ้าแก่ที่คุ้นๆ กันให้ช่วยจัดการ แล้วก็ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่ปากทางเข้าออกโรงเรียนวัดอัมพวัน...ว่างเข้าเราก็คุยกัน ทำให้ดิฉันรู้ว่าอุบัติเหตุกับเด็กๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะความประมาท น่าสลดใจจริงๆ ค่ะ

เมื่อตอนต้นปีพ่อมารับลูกสาวซ้อนท้าย พอหักรถออกก็โดนรถเมล์สาย 14 เฉี่ยวจนล้มคว่ำ เลือดโชกทั้งพ่อทั้งลูก

ต่อมามอเตอร์ไซค์ที่พ่อแม่จ้างมารับส่ง ก็เกิดพุ่งออกไปโดยที่เด็กยังนั่งไม่เต็มก้น...ผลคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ หงายท้องลงมาหัวแตก เลือดไหลโกรก คนขับรีบอุ้มส่งโรงพยาบาล ...ไม่รู้ว่าอาการหนักเบายังไง เพราะมีรถพวกนี้มารับเด็กมากเหลือเกิน

นานๆ หรอกค่ะ ถึงจะมีรถเก๋งมารับเด็กซักครั้งหนึ่ง!

ไม่อยากโทษพ่อแม่หรอก เพราะเขาคงต้องทำมาหากินจนไม่มีเวลามารับลูกเอง จะให้ตุ๊กตุ๊กมารับ-ส่งก็คงจะแพงกว่ามอ เตอร์ไซค์แน่ๆ

วันนั้น ฟ้าหนักอึ้งด้วยเมฆฝนมาแต่บ่ายๆ ลมพัดอู้ๆ จนเศษกระดาษปลิวว่อน...ดิฉันเสร็จธุระที่ราชเทวีราวบ่ายสามโมงเศษ พอขับรถมาถึงอุรุพงษ์จะกลับบ้านที่สามแยกพิชัยก็เกิดแอร์ไม่เย็น ความร้อนขึ้นสูงจนต้องปิดแอร์...พอเลี้ยวซ้ายที่โรงกรองน้ำสามเสน ผ่านราชวัตรก็ลงสะพานมาชะลอรถชิดซ้ายที่ร้านซ่อมรถขาประจำ

บอกเถ้าแก่เสร็จก็ลงมาเดินยืดเส้นยืดสายตามเคย...เด็กๆ ทยอยออกจากปากทางไปจนบางตาแล้ว เห็นพ่อแม่นั่งมอ เตอร์ไซค์อุ้มลูกสาวนั่งตัก มองไม่เห็นว่ามีใครสวมหมวกนิรภัยสักคนก็อดใจหายไม่ได้

คนหาเช้ากินค่ำ คุณภาพชีวิตก็ตกต่ำแบบนี้แหละค่ะ เราห่วงความปลอดภัย แต่เขาอาจจะกำลังห่วงค่าใช้จ่ายสารพัดที่ถาโถมเข้าใส่ก็เป็นได้

รถคันนั้นพุ่งไปทางสามแยกพิชัย เกือบพร้อมๆ กับมอเตอร์ไซค์สีแดงคันหนึ่งบึ่งลงสะพานมาเฉียดรถยนต์ดิฉัน คนขับผอมเกร็งวัยยี่สิบต้นๆ คงจะเป็นรถรับจ้างน่ะ...เด็กหญิงอายุราว 7-8 ขวบ ไว้ผมม้า แก้มยุ้ยน่ารัก หิ้วกระเป๋าจนไหล่ลู่ รีบก้าวยาวๆ ไปขึ้นรถ...เสียงเร่งเครื่องหักกลับไปทางสะพานราชวัตร ขณะที่รถเมล์เล็กห้อตะบึงลงสะพานมาพอดี!

คุณพระช่วย! เด็กหญิงตัวน้อยๆ หงายผลึ่งลงมากลิ้งบนพื้น ลับหายไปข้างรถดิฉัน รีบวิ่งปราดไปดูก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่...ไม่เห็นมีร่างของเด็กหญิงผู้นั้นแม้แต่เงา

รถเมล์เล็กแล่นผ่านไปจอดป้ายหน้า มอเตอร์ไซค์สีแดงหายไปไหนก็ไม่ทราบ...ดิฉันใจเต็นโครมๆ เข่าอ่อนจนต้องเกาะรถตัวเองอ้อมมาด้านใน ม่านตาลายพร่าจนมองเห็นช่างที่กำลังง่วนอยู่กับสายไฟหน้ารถดูเลือนรางเต็มที...

เถ้าแก่มองเห็นก็ปราดออกมา เชิญดิฉันไปนั่งดื่มน้ำเย็นๆ ในร้านก่อน...บอกว่าคนขับมอเตอร์ไซค์กับเด็กหญิงซ้อนท้ายตายมาเดือนกว่าแล้ว แต่มักมีคนเห็นภาพสยองบ่อยๆ เขาว่าเป็นวิญญาณที่หลงทางไงคะ! บรื๋อส์....

 
จาก ข่าวสด

1718
ขออนุญาต นายธรรมะ ร่วมแจมกระทู้ด้วยครับ :054:
---------------------------------
จากหนังสือ  บทบาท อ.สุจินต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม

โดย  พระธนนาถ  นิธิปญฺโญ

 

       ถาม:  สติ  ควบคุมได้ไหม?

       ตอบ:  ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา   เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย  เวลาที่สติ

เกิด    เมื่อไม่รู้ก็อาจจะคิดว่าบังคับให้สติเกิดได้     แต่ความจริงบังคับไม่ได้

ไม่มีตัวตน  ผู้ที่รู้ว่าสติเป็นอนัตตา   เป็นธรรมที่มีคุณ   ไม่ควรที่จะให้จิตเป็น

ไปในโลภะ   โทสะ   โมหะ   มีปัจจัยที่จะให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพ

ธรรมที่กำลังปรากฏ   ในขณะนั้นก็รู้ว่าสติเกิด   สติเป็นอนัตตา  รู้ว่า  ........

บังคับสติไม่ได้  เพราะปัญญาจะต้องอบรม จนกว่าจะรู้ชัดตามความเป็นจริง

ในลักษณะทั้ง ๓ ของสังขารธรรม  คือ  ไม่เที่ยง   เป็นทุกข์   เป็นอนัตตา


 

1719
ทุกชีวิตล้วนมีการเกิดแก่เจ็บตายกันทุกคน...อยู่ที่กรรมของแต่ละบุคคลฉะนั้นเราควรเร่งทำแต่ความดีกันเยอะๆ
ขอบคุณครับ
เห็นด้วยครับ

1720
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์

ขออนุญาตนำเพลงทานตะวัน มาฝากชาวค่ายฯ
ควรมิควรโปรดอภัย
[youtube=425,350]hIP7Ee8192E[/youtube]


1721
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ท่องเเดนเปรตภูมิ
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 11:11:53 »
พระมหาโมคคัลลานเถระถูกเปรตถามอย่างนั้นแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อชาติก่อนท่านเกิดเป็นมนุษย์ ได้เคยสร้างเวรสร้างกรรมไว้ด้วยตัวท่านเอง ในอดีตชาติท่านเคยเดินกัดกินอ้อยไปตามถนน และมีชายคนหนึ่งเดินตามหลังท่านมา เขาอยากจะกินอ้อย จึงได้เอ่ยปากขออ้อยจากท่าน แต่ท่านก็ไม่พูดอะไรกับเขาเลย ทั้งยังไม่ได้ให้อ้อยแก่เขาแม้สักนิดเดียว เขาพยายามพูดขอร้องวิงวอนจากท่าน

เมื่อท่านทนคำอ้อนวอนไม่ไหวจึงได้โยนอ้อยไปข้างหลังให้แก่บุรุษคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นี้เป็นผลแห่งกรรมที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต

“ถ้าท่านอยากจะกินอ้อย ก็จงไปถือเอาอ้อยข้างหลังซิ หากถือเอาได้แล้ว จงกินให้อิ่มหนำสำราญเถิด เพราะท่าน เคยให้อ้อยผู้อื่นข้างหลัง ท่านจึงต้องถือเอาอ้อยข้างหลัง?

เมื่อท่านรู้วิธีกินอ้อยอย่างนี้แล้ว ก็ขอให้ท่านจงมีความสุข เบิกบาน ร่าเริง บันเทิงใจเถิด”

เปรตได้ฟังเช่นนั้นแล้ว จึงได้ทำตามที่พระเถระแนะนำ จึงสามารถกินอ้อยได้จนอิ่มหนำสำราญตามที่ตนปรารถนา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เปรตจึงได้เป็นผู้เบิกบาน ร่าเริง บันเทิงใจ เพราะได้รับคำแนะนำจากพระเถระผู้มีเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่นั่นเอง

พระเถระเกิดความสงสารเปรต ต้องการจะอนุเคราะห์เปรตยิ่งขึ้น จึงบอกให้เปรตเอาอ้อยมัดหนึ่งไปถวายพระพุทธเจ้า เปรตจึงได้ทำตามคำแนะนำ ได้ถือเอามัดอ้อยเดินทางมุ่งหน้าไปยังมหาวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้าในขณะนั้น แล้วได้ถวายอ้อยแก่พระพุทธเจ้า ครั้นพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายฉันอ้อยที่เปรตนำมาถวายแล้ว ได้ให้พรอนุโมทนาบุญแก่เปรต เมื่อเปรตได้รับอนุโมทนาแล้วก็มีจิตเลื่อมใส กราบลาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์แล้วจากไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เปรตก็สามารถกินอ้อยได้ตามที่ตนเองต้องการ อยากจะกินตอนไหนก็ได้ โดยไม่ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนเหมือนที่เคยเป็น

ในเวลาต่อมา หลังจากที่เปรตตายจากอัตภาพของตนแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ ได้รับแต่ความสุขสบาย เพราะบุญที่เคยได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง ประวัติของเปรตตนนี้จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟังในโลกมนุษย์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติของคนที่ทำชั่วทั้งหลายให้ได้ระมัดระวังไม่หลงทำในสิ่งที่ผิดอีกต่อไป

พวกชาวบ้านได้ยินได้ฟังเรื่องราวของเปรตตนนี้ต่อๆ กันมา จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อกราบทูลถาม พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่า

เรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด แล้วจึงแสดงธรรมให้ฟัง หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ทุกคนก็ได้เป็นผู้เว้นขาดจากความตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักทำบุญให้ทาน มีจิตเบิกบานในการทำความดี ตั้งอยู่ในศีลในธรรมตลอดไป

เมื่อผลของความชั่วปรากฏให้เห็นเช่นนี้แล้ว ก็จงหลีกเว้นจากความชั่วให้เด็ดขาด จงหมั่นให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเป็นประจำ
เพื่อชีวิตของเราจะได้พบแต่ความสุขความเจริญ ไม่ตกไปสู่สถานที่ที่มีความทุกข์ยากลำบาก ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันเราได้เท่ากับความดี ความดีเท่านั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่จะตามรักษาคุ้มครองป้องกันเราให้พ้นภัยไปทุกภพทุกชาติ??

ขอบคุณ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19880

1722
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ท่องเเดนเปรตภูมิ
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 11:10:16 »
กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตไร่อ้อย?

ความดีที่ได้กระทำไว้แล้วย่อมไม่สูญเปล่า ย่อมตามส่งผลให้เราได้พบเจอแต่สิ่งที่ดี ในทางตรงกันข้าม หากกระทำความชั่ว ผลของกรรมชั่วก็จะทำให้เราต้องไปเกิดในสถานที่ที่ได้รับแต่ความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนทั้งทางกายและทางใจ? คนที่มีปัญญาจึงเลือกทำแต่สิ่งที่ดี รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ และเจริญปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้

กรรมที่เรากระทำไว้นั้นเป็นของใครของมัน ไม่มีใครสามารถทำแทนกันได้ หากอยากได้มีความสุข ก็ต้องทำกรรมดีด้วยตนเอง เหมือนกับเราหิวจะต้องกินข้าวเอง คนอื่นกินแทนไม่ได้?

ความสุขความทุกข์ของตัวเราจึงขึ้นอยู่กับผลกรรมของเราเป็นสำคัญ สิ่งที่เรามีเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่เป็นผลจากกรรมที่เราเคยกระทำไว้ทั้งนั้น กรรมอันใดที่เราไม่ได้กระทำไว้ ถึงเราอยากจะได้เราก็จะไม่ได้ เพราะเราไม่เคยสร้างไว้ ดังเรื่องของเปรตตนหนึ่งที่เกิดอยู่ในไร่อ้อย แต่ไม่สามารถกินอ้อยได้ เรื่องมีอยู่ว่า


ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร มีชายคนหนึ่งมัดลำอ้อย เดินกัดกินอ้อยไปตามถนน ขณะนั้นมีอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม เดินผ่านมาพร้อมกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง พวกเขาได้เดินตามหลังชายคนนั้น เด็กที่มาด้วยมองเห็นอ้อยที่เขากำลังกินอยู่ จึงร้องไห้อยากจะกินอ้อยบ้าง

อุบาสกเห็นเด็กร้องไห้ จึงเกิดความสงสาร อยากจะให้เด็กได้กินบ้าง จึงขอแบ่งอ้อยจากชายคนนั้นสักเล็กน้อยมาให้เด็ก แต่ชายคนนั้นกลับเงียบเฉยไม่พูดจาอะไรเลย และไม่ยอมให้อ้อยแม้แต่นิดเดียวแก่เด็ก อุบาสกจึงอ้อนวอนเขาว่า “ดูสิ เด็กร้องไห้ใหญ่แล้ว ขอท่านจงแบ่งอ้อยสักนิดหน่อยให้เด็กบ้างเถิด เด็กจะได้หยุดร้องไห้สักที”

ชายคนนั้นทนฟังคำอ้อนวอนไม่ได้ เกิดความขัดเคืองจิตขึ้นมาอย่างแรง จึงขว้างอ้อยลำหนึ่งไปข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจให้เด็ก

ต่อมาชายคนนั้นก็เสียชีวิตลง หลังจากที่เขาตายแล้วก็ไปบังเกิดในหมู่เปรต ด้วยอำนาจของความโลภที่ครอบงำอยู่ในจิตใจมานานแสนนาน รวมทั้งผลแห่งกรรมชั่วที่เขาเคยทำไว้นั่นเอง ส่งผลให้เขาได้รับกรรมสมกับที่เคยทำไว้ กรรมชั่วที่ทำไว้นั้นทำให้ต้องไปเกิดอยู่ในไร่อ้อยใหญ่อันแน่นทึบไปด้วยอ้อย ประมาณเท่าท่อนสาก มีสีเหมือนดอกอัญชัน เต็มสถานกว้างใหญ่ไพศาล ครั้นเมื่อเขาเข้าไปจะหักเอาอ้อยมากิน ก็จะถูกตี จนกระทั่งสลบล้มลงนอนกองกับพื้น เป็นอย่างนี้อยู่ประจำ เขาจึงไม่สามารถจะกินอ้อยที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้นได้เลย!!

ต่อมาวันหนึ่ง?ท่านพระมหาโมคคัลลานะ?เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้เห็นเปรตนั้นในระหว่างทางเปรตก็เห็นพระเถระ จึงถามถึงกรรมที่ตนได้กระทำไว้ว่า

“ไร่อ้อยใหญ่นี้บังเกิดแก่ข้าพเจ้า เป็นผลบุญไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะกินอ้อยเหล่านั้นได้เลย ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านโปรดบอกหน่อยเถิดว่า นี้เป็นผลจากกรรมอะไร ข้าพเจ้าจึงได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกใบอ้อยบาด ข้าพเจ้าพยายามตะเกียกตะกายเพื่อที่จะกินอ้อยสักลำ แต่พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะกินได้ จึงรู้สึกท้อแท้ใจเหลือเกิน ข้าพเจ้าเคยกระทำกรรมอะไรไว้จึงได้รับผลเช่นนี้

นอกจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้ายังรู้สึกมีความหิวและความกระหายอย่างมากอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเวียนศีรษะจนหัวหมุนล้มลงนอนกองอยู่กับพื้นดิน กลิ้งเกลือกไปมาเหมือนปลาดิ้นรนอยู่ในน้ำร้อน หากข้าพเจ้าร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมา สัตว์ทั้งหลายก็จะพากันมากินน้ำตาของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รับแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบจักสิ้น

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้หิวกระหายลำบากขนาดนั้น ทำไมต้องได้รับทุกข์ทรมานดิ้นรนไปมาอย่างนั้น ทั้งไม่เคยได้พบสิ่งที่น่าปรารถนาน่ายินดี หรือสิ่งที่มีความสุขเลย ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงโปรดบอกข้าพเจ้าหน่อยเถิดว่าข้าพเจ้าจะบริโภคอ้อยนั้นได้อย่างไร”

1723
วิญญาณพเนจร

"ครรชิต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุทธิสาร

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีมาตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว เพราะตัวเองไม่ช้าก็เร็วต้องกลายเป็นผีไปเหมือนกัน ต่อให้ผีมีจริงก็เถอะ...คนที่ตายไปแล้วจะมาทำอะไรคนเป็นๆ ได้ล่ะครับ

จนกระทั่งมีครอบครัวและลูกชายกับลูกสาวเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นทั้งคู่ ผมก็สอนลูกๆ ว่าโลกนี้ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก อย่าไปงมงายกับเรื่องเหลวไหลเหมือนคนสมัยก่อนเลย แต่ผมจะสอนให้เขาใช้สติมากกว่าใช้อารมณ์ อย่าหาความสุขบนความเดือดร้อนของคนอื่น

จนกระทั่งเกิดเรื่องสยองขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง!

บ้านผมอยู่ที่ซอยสุทธิสารด้านในที่จะออกลาดพร้าว 48 ในซอยมีบ้านช่องและผู้คนหนาตาขึ้นทุกที รถราก็แล่นสวนกันไปมาขวักไขว่เป็นประจำ

ลูกชายชื่อเป้ แยกห้องไปนอนคนเดียว แต่แป้ง-ลูกสาวยังนอนกับเรา แม่บ้านชื่อนวลเป็นคนเก่าแก่สมัยผมยังเด็ก เราเรียกแกติดปากว่า "ป้านวล" กันทั้งบ้าน

คืนเกิดเหตุ ลูกชายกลับบ้านค่อนข้างล่าช้า...ผมเคลิ้มหลับได้ไม่นานก็แว่วเสียงหวีดร้องดังขึ้น เสียงภรรยาก็กระหืดกระหอบขึ้นว่า...ป้านวลเป็นอะไรไม่รู้ ร้องเสียงลั่นบ้านเชียว! หรือมีขโมย...ทำให้ผมรีบลุกไปเปิดไฟแล้วถอดกลอนประตู พร้อมๆ กับเสียงดังโครมคราม ตามด้วยเสียงวิ่งขึ้นบันไดตึงตัง ป้านวลวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา

"ช่วยด้วย! ผีหลอกค่ะ! โอย...ป้าจะเป็นลม..."

ภรรยาผมพยายามพูดปลอบใจจนแกค่อยสงบสติลงได้ แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง

...ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงคล้ายใครเดินกุกกักอยู่ในห้องรับแขก แกถือมีดออกมาดูก็เห็นแต่ความว่างเปล่า เมื่อนิ่งฟังให้แน่ใจก็ปรากฏว่าเสียงนั้นดังขึ้นที่หน้าบ้าน แกจึงเปิดหน้าต่างออกดู...

ภาพที่เห็นคือ ร่างชายหนึ่งยืนเด่นอยู่ข้างรั้วที่ครึ่งล่างก่อด้วยอิฐบล็อก ครึ่งบนเป็นลวดเหล็กโปร่ง มีเหล็กแหลมรูปหัวธนูเรียงรายอยู่ด้านบนเพื่อกันขโมย

แสงสว่างจากไฟถนนส่องให้เห็นใบหน้าเปรอะเลือดจนป้านวลเข่าอ่อนหลับหูหลับตาร้องกรี๊ดๆ จนตัวเองแสบแก้วหู วิ่งอ้าวขึ้นบันไดมานี่เอง! แต่เมื่อเราลงไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย ปลอบใจว่าแกคงตาฝาดไปเอง ป้านวลก็กลืนน้ำลายเดินบ่นพึมพำกลับไปห้องนอน

วันรุ่งขึ้นผมก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท แต่ตกดึกลูกชายก็แผดร้องลั่น...ตาเป้มองเห็นภาพแบบเดียวกับที่ป้านวลเห็น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่แล้วให้แกฟังเลย!

ในที่สุดตาเป้ก็ต้องขออาศัยนอนด้วย โดยปูที่นอนข้างเตียงเรานั่นเอง

คืนต่อมา ลูกสาวผมก็กรีดร้องกลางดึก คราวนี้ตื่นกันหมดทุกคน...แกโผเข้ากอดแม่ตัวสั่นเทา น้ำตาไหลพราก บอกว่าฝันเห็นผู้ชายหน้าตาเละเทะ เลือดแดงฉานท่วมตัว มายืนจังก้าอยู่ที่ประตูรั้ว นัยน์ตาลุกวาวจ้องเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

ตั้งแต่คืนนั้นพวกเราก็อยู่ไม่เป็นสุขกันอีกต่อไป!

แม้แต่เสียงกุกกักก๊อกแก๊กในยามกลางคืนก็ทำให้ผวากันทั้งบ้าน ผมเคยสำรวจดูตอนเช้าก็ไม่เห็นร่องรอยอะไร... ต้นเทียนหยดออกดอกสีส้มอมแดงบานสะพรั่ง แต่ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัย...บรรยากาศบ้านเราเคยอบอุ่นกลับกลายเป็นเยือกเย็นน่าวังเวงใจ จนกระทั่งคืนหนึ่ง ตาเป้มาเคาะประตูเรียกถี่เร็ว...มันมาอีกแล้ว!!

คืนนั้นไฟถนนเกิดเสีย เพ่งมองไปทางหน้าต่างก็เห็นแต่ความมืดสลัว ผมจะเปิดไฟหน้าบ้านแต่ลูกชายห้ามไว้ บอกว่าคนร้ายจะมองเห็นเรา! ผมไม่เคยกลัวมาก่อนก็เกิดความหวาดระแวง ตัดสินใจเปิดไฟ ยายแป้งกอดแม่ตัวกลมเลย

เมื่อไปดูที่ระเบียงก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ฉายไฟดูรอบๆ ที่คิดว่าอาจจะมีใครซุ่มซ่อนอยู่ก็ไม่ปรากฏ ตาเป้ถอนใจ ผมชวนลูกเข้าห้องแล้วปิดไฟ...ซุ่มเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วผลักประตูออกไป! แล้วต้องยืนตะลึงตัวแข็งทื่อบัดดล!

ชายผู้หนึ่งยืนจังก้าอยู่ข้างรั้ว หน้าแหลกยับ เลือดแดงฉานทั้งตัว เราจ้องมองสบตากันครู่หนึ่งแต่รู้สึกเนิ่นนานเหมือนตลอดชีวิต...ก่อนที่ภาพนั้นจะเลือนรางจางหายไปในราตรีที่มีเสียงสายลมคร่ำครวญ เคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเยือกเย็น...มันเป็นใคร? มาจากไหน? และต้องการอะไร?

รุ่งขึ้นผมใส่บาตรแล้วกรวดน้ำอุทิศให้สัมภเวสี ภูตผีที่อดอยากหิวโหย...ยอดไม้ไหวซ่าราวจะเป็นเพียงพึมพำขอบอกขอบใจ...ภาพสยองที่เราเคยเห็นก็สาบสูญแต่นั้นมา!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

1724
คืนเฝ้าไข้

"จิรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเฝ้าไข้เพื่อนที่โรงพยาบาล

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนดิฉันเข้าเรียนวิทยาลัยที่เชียงใหม่ อยู่หอกับเพื่อนรวม 3 คน วันหนึ่งเพื่อนชื่อนุ้ยที่อยู่ด้วยกันปัสสาวะออกมาเป็นเลือด ก็พามาให้หมอตรวจ หมอบอกกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ

นุ้ยก็ขอให้ฉันมานอนเป็นเพื่อน ฉันก็ตกลงเพราะสงสารเพื่อนค่ะ

นุ้ยนอนห้องรวมซึ่งมี 4 เตียงด้วยกัน พวกเรารูดม่านไม่อยากเห็นสภาพน่าหดหู่ของคนไข้เตียงอื่น แต่ก็พอทราบว่าคนไข้ที่เพิ่งผ่าตัดมาและนอนริมประตูนั้นอาการไม่ค่อยดีนัก เพราะพยาบาลเดินเข้าออกบ่อยมากจนน่ารำคาญ

ตกดึกฉันผล็อยหลับไปแล้ว แต่มาตื่นเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนใครมารูดม่านกั้นเตียง...รูดไปรูดมาแบบรูดเล่น! ตอนนั้นใจไม่ได้คิดอะไร นึกว่าเป็นญาติคนไข้เตียงอื่นลุกเข้าลุกออก

บังเอิญฉันปวดปัสสาวะจึงลุกออกมาเข้าห้องน้ำด้านนอกห้อง พอทำธุระเสร็จกลับเข้ามาก็มองไปรอบห้อง เพราะรู้สึกบรรยากาศเงียบเชียบ เยือกเย็นน่าวังเวงใจ...ทุกเตียงต่างก็รูดม่านนอนตามปกติ มีบางเตียงเปิดไฟดวงเล็กๆ พอสว่างไว้ รวมทั้งเตียงแรกริมประตูนั้นด้วย...

อะไรบางอย่างสะดุดใจฉันให้มองไปที่เตียงนั้น!

ภาพที่เห็นคือขาคนค่ะ เพราะม่านรูดเตียงไม่ได้ยาวระพื้น ใครยืนก็มองเห็นขาโผล่มาได้แล้ว...เห็นชัดว่าไม่ได้ใส่รองเท้า ขานั้นเดินไปมารอบเตียงคนไข้เลยค่ะ เดี๋ยววนทางซ้าย เดี๋ยววนทางขวา ฉันรู้สึกอากาศเย็นยะเยือกลงยิ่งกว่าเดิมจนเกิดอาการหนาวสะท้านยังไงชอบกล...

ความเงียบในห้องทำให้ฉันได้ยินเสียงใครงึมงำเบาๆ เหมือนพูดอะไรบางอย่าง...ฉันมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกขนลุกซู่ กลัวขึ้นมาเฉยๆ เลยรีบเปิดม่านเข้ามาที่เตียงเพื่อนผู้นอนหลับสนิท

ฉันข่มตาให้หลับก็หลับไม่ลง นอนสักพักก็เกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่อยากลุกไปเข้าเลยเพราะ รู้สึกกลัวๆ ชอบกล แต่ก็ปวดจนทนไม่ไหว เลยหลับหูหลับ ตาลุกไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ยอมมองไปที่เตียงแรกนั้นเลย... ตอนกลับมาก็ไม่อยากจะมองหรอก แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้มอง...

ฉันเห็นเป็นเงาคนค่ะ...เห็นเป็นแค่เงาจริงๆ ซึ่งน่าแปลกมากเพราะห้องไม่ได้มืดอะไรมากมาย...เป็นเงาคนตัวใหญ่หายแวบเข้าไปที่เตียงคนไข้เตียงแรกค่ะ! หายไปแบบไม่ได้เปิดม่านออกเลยด้วยซ้ำ!

คุณพระช่วย! ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงคนร้องอึกอักเหมือนหายใจไม่ออก...ฉันกลัวสุดขีด รีบผวากลับเตียงเพื่อนไปนั่งใจหายใจคว่ำอยู่ในนั้น กลัวจนต้องนั่งสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ อยู่หลายจบ

อึดใจเดียวเท่านั้น พวกพยาบาลก็เข้ามาเปิดไฟ บอกขอโทษคนไข้เตียงอื่นแล้วก็ลากคนไข้เตียงแรกออกไป...ฉันมองเวลาตอนนั้นประมาณตีสี่กว่าๆ แล้ว

ฉันไม่หลับเลยค่ะ และคนไข้เตียงแรกก็ไม่ได้ถูกเข็นกลับเข้ามาอีกเลยเพราะเขาเสียชีวิตไปแล้วตอนพยาบาลเข็นออกไปนั่นเอง!

อาการนอนไม่หลับไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันเท่านั้น คนไข้และญาติเตียงอื่นก็เป็นเหมือนกัน มีคนนอนเตียงข้างๆ บอกเธอขนลุกซู่ ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา พึมพำว่าตาย...ตาย...เป็นเสียงแหบพร่าจนแยกไม่ได้ว่าเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย เธอนอนฟังอยู่นานจนได้ยินเสียงคนไข้ครางอึกๆ อักๆ คล้ายหายใจไม่ออก...แล้วพยาบาลก็เข้ามา

ญาติคนไข้ที่เป็นป้าแก่ๆ แกสันนิษฐานให้ชวนขนหัวลุกว่า อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขามารออยู่ก็เป็นได้!

นอกจากนี้ยังมีญาติคนไข้ที่เห็นและได้ยินเหมือนกันอีกค่ะ คือแกเห็นเป็นเงาคนผลุบเข้าไปเต็มตา...แสดงว่าฉันไม่ได้ตาฝาดหรือประสาทหลอนไปเองใช่ไหมคะ?

เหตุการณ์น่าสยองนี้ทำเอาฉันผวา ไม่อยากไปนอนเฝ้าไข้ใครอีกเลยค่ะ กลัวว่าจะเจอยมทูตเข้ามาล่าวิญญาณเหมือนอย่างที่เคยประสบมาในคืนนั้น...ทุกวันนี้นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลยค่ะ...บรื๋ออออ

ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

1725
"กูไม่ใช่แจ่ม" เสียงเขย่าขวัญดังขึ้นอีก นัยน์ตาขุ่นขวางโพลงจ้าเหมือนนัยน์ตาคนวิกลจริต "กูจะกลับบ้าน!"

"เอ๊! ใครเป็นอะไร?"

เสียงนั้นทำให้หลายๆ คนกรี๊ดออกมาอีก...ประตูลิฟต์เปิดเมื่อถึงชั้นล่างที่มีคนจะขึ้นรออยู่น่ะซีคะ พวกเราเผ่นกระเจิงราวกับผึ้งแตกรัง คนที่รอลิฟต์มองเห็นแจ่มเดินตาขวางออกมาก็ร้องกรี๊ดๆ จนสับสนอลหม่านไปหมด

"ผีเข้า...ผีเข้า!" เสียงใครตะโกนไม่ทราบ แต่ดิฉันหายหิว มองแจ่มที่มีท่าทางแข็งกระด้าง ยืนจังก้า หน้าเชิดคล้ายผู้ชายอกสามศอก...จริงหรือเนี่ย ผีเข้าแจ่ม?!

"พี่นง" เป็นพยาบาลอาวุโสชาวสุรินทร์ ได้ชื่อว่ามีความรู้ทางคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์ ต้องรับหน้าที่ร่ายเวทเพื่อประเล้าประโลมบางสิ่งบางอย่าง ที่เกือบทุกคนเชื่อว่าเป็นวิญญาณเข้าสิงแจ่ม...ทำพิธีกันแถวหน้าลิฟต์นั่นเอง

"ชื่ออะไร? มาจากไหน" พี่นงถาม มีเสียงอู้อี้แบบไม่เต็มใจตอบ ครั้นถามซ้ำก็ยังไม่ได้ความ เลยต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า จะไปไหน?

"ไปอุดรฯ ข้าจะกลับบ้าน...ข้าจะให้คนพาไปอุดรฯ"

"แล้วทำไมไม่ไป..."

"มันไม่พาข้าไป ข้าต้องติดอยู่ที่นี่ ข้าอยากกลับบ้าน" เสียงแหบห้าวกลายเป็นสั่นเครือแทบจะโหยหวน พวกผู้หญิงถอยกรูด คนไข้ที่มารอพบแพทย์ด้านหน้าเมียงๆ มองๆ เข้ามาทางหน้าลิฟต์ จนพวกเราต้องขอร้องให้กลับไปนั่งตามเดิม

ในที่สุด ร่างบอบบางของแจ่มก็ล้มฮวบ...ฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลย พี่นงบอกกับพวกเราว่า...ญาติผู้ตายนำศพกลับแต่ไม่ได้ทำพิธีให้ถูกต้อง วิญญาณจึงถูกจำขังอยู่ที่นี่ ขอให้พวกเราช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วยก็แล้วกัน

เดี๋ยวนี้ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

1726
ประสบการณ์วิญญาณ / วิญญาณหลงทาง
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 10:28:54 »
วิญญาณหลงทาง

"คนชุดขาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนครราชสีมา

ดิฉันเป็นพยาบาลมาสิบปีเศษ โดยอาชีพแล้วพวกเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีหรือวิญญาณอะไรหรอกค่ะ ยิ่งต้องคลุกคลีกับคนไข้ คนเจ็บคนตายมานับไม่ถ้วน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกชาชินเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

ยอมรับว่าตอนเป็นนักเรียนพยาบาลใหม่ๆ ก็กลัวผีกันทุกคนละค่ะ ไม่ว่าภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่มากระทบจมูก บรรยากาศมันชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกลิ่นยา กลิ่นเลือด กลิ่นของความเจ็บปวดและความตายที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัว

เสียงคราญครางโอดโอยของคนไข้ เสียงสะอึกสะอื้นของญาติผู้เสียชีวิต เสียงถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล่องลอยมากระทบหู ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากผู้ไม่มีร่างกาย!

ถ้าวิญญาณมีจริง โรงพยาบาลก็คงจะเป็นแหล่งรวมของวิญญาณมากที่สุด!

ยิ่งคิดยิ่งสยอง! หลายครั้งก็หลอนตัวเอง...

เรื่องผีในโรงพยาบาลได้ยินบ่อยมาก เดี๋ยวคนไข้ในห้องรวมเล่า เดี๋ยวคนไข้ห้องพิเศษเล่า พวกเพื่อนรุ่นน้องบางคนก็มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าว่า ตอนมาเข้าเวรเห็นคนไข้มานั่งที่บันได...กอดอก ตาเหม่อ ตกใจว่าออกมาได้ยังไง เมื่อคืนยังอาการหนักอยู่แท้ๆ

เมื่อรีบไปตามเปลมาก็ไม่พบตัว พอขึ้นตึกถึงได้รู้ว่าคนไข้คนนั้นตายไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว! เพื่อนๆ หาว่าตาฝาด หรือเล่าเรื่องผีหลอกสนุกๆ แต่เพื่อนรุ่นน้องขวัญอ่อนมากค่ะ...หน้าซีดเผือด เป็นลมฟุบไปเลย

ดิฉันได้ประสบกับเรื่องสยองขวัญอย่างจังๆ เมื่อปีกลายนี้เอง!

เหตุเกิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา อันเป็นที่ทำงานของดิฉัน วันนั้นเขม่นตาขวาตั้งแต่เช้า ใจคอหงุดหงิดโดยหาสาเหตุไม่พบ จนถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนมาชวนลงไปทานข้าวในห้องอาหารชั้นล่าง เราอยู่ชั้น 5 ก็ลงลิฟต์ไป 3-4 คน มีคนอื่นๆ มาลงที่ชั้น 4 กับชั้น 3 อีกราว 6-7 คนได้ค่ะ

ก่อนจะถึงชั้น 2 ก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุก!

อากาศเย็นวูบผิดปกติ ทุกคนหันมองหน้ากัน ดิฉันขนลุกซ่า...แจ่มพยาบาลรุ่นน้องวัยเบญจเพสร่างบอบบาง ยืนอยู่ข้างดิฉันก็ร้องขึ้นว่า...กูไปด้วยคน!

สะดุ้งโหยงกันไปหมด หันขวับไปมอง...มีเสียงร้องวี้ดว้ายแสบแก้วหูแล้วถอยกรูดมารวมกัน ดิฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เบิกตาโพลงร้องว่า...แจ่มๆ เป็นไร?

1727
กฎแห่งกรรม / ตอบ: เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 10:05:29 »
ผมมองเห็นเส้นเอ็นสีขาว

เป็นเยื่อบุเป็นไขมัน ด้วยความที่ตกใจและเจ็บมากเลยกระชากแหขึ้นจากน้ำร้องเรียกน้องบอกให้มาช่วย หน่อยเพราะว่าผมปวดมาก

และเดินไม่ได้ วางเท้ากับพื้นไม่ได้ผมถอดเสื้อออกซึ่งวันนั้นผมใส่เสื้อกีฬาสีแดงไปด้วยตอน นั้นแยกไม่ออกว่าเลือดกับเสื้ออันไหน

มันแดงกว่ากัน ผมเอาไปพันที่แผลห้ามเลือดไว้ตอนนั้นไม่คิดอะไรอยากกลับบ้านบอกให้น้องปั่น จักรยานกลับบ้านด่วน ผมตัวใหญ่

กว่าน้องน้องประคองรถไม่ค่อยไหวเกือบพาคว่ำไปหลายรอบเหมือนกัน ผมปวดมาก มันทรมานมาก จนผมไปถึงบ้านเรียกให้พีสาวมา

อุ้มหน่อยผมเดินไม่ไหว หลังจากนั้นพี่สาวเอาผ้ามาให้เปลี่ยนแล้วก็เอาเสื้อที่พันแผลออกปรากฎว่า เส้นเอ็นหัวแม่เท้าขาด มันปวด

มากทรมานมาก ที่หมู่บ้านผมมีสถานีอนามัยพอพี่สาวส่งถึงสถานีอนามัยหมอก็รีบมารับพยุงตัว เข้าห้องพยาบาลวันนั้นมันเป็นวันที่จะ

ถือว่า ซวย !!! ก็ว่าได้ ยาชาหมดครับดี ยาชาหมดครับ หมอต้องเย็บแผลสดๆครับโดยไม่มีการฉีดยาชาก่อนแต่ประการใด มันเป็นอะไร

ที่ทรมานมาก เนื่องจากเส้นเอ็นขาดทำให้เย็บค่อนข้างลำบากบวกกับผมก็เจ็บมาก ทำให้เข็มเจ็บหักไปสองเข็มหมอบอกว่าถ้าให้เจ็บ

กจริงๆๆ ก็ประมาณเกือบ 10 เข็มครับ กลัวผมเจ็บก็เลยเจ็บให้ 3 เข็ม เพราะผมก็ยอมรับว่ามันปวดมากจริงๆๆๆ ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ผม

เริ่มคิดว่าทำไมผมต้องมาเจ็บอย่างนี้ทุกปีและเป็นช่วง เดียวกันด้วย ผมจึงคิดว่าใช่ !!!!!! = ใช่ !!!!!! แน่นอนมันต้องเป็นเพราะเราสร้าง

เวรสร้างกรรมไว้เยอะไม่รู้จักพอ หาได้มาเยอะแล้วยังอยากได้เพิ่มอีก พอหลังจากนั้นผมก็เริ่มฆ่าสัตว์น้อยลงและผมได้เรียนจบมัธยม

ต้นก็เลยได้เข้า มาทำงานและเรียนที่กทม.และอยู่ที่กรุงเทพฯ ทุกวันนี้แต่ก็มีกลับไปเยี่ยมแม่บ้าง อยู่ที่นี่ไม่ได้ฆ่าสัตว์โดยตรงแต่ก็ฆ่า

ทางอ้อม แต่ก็ดีกว่าที่อยู่ต่างจังหวัดเพราะว่าอยู่ทีต่างจังหวัดอยากกินปลาถ้าไม่ ขี้เกียจถือแหเดินลงจากบ้านครู่เดียวก็ได้กิน ทุก

วันนี้ไม่ค่อยเจ็บค่อยไข้ครับด้วยอานิสงค์ การทำบุญการละการสร้างบาปแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ที่เราได้ล่วงเกินเขาได้ฆ่า เขา ขอให้

เขาได้รับส่วนบุญที่เราได้กระทำทั้งหมดแด่ทุกตนทุกท่าน นี่เป็นอุทาหรณ์และความเชื่อส่วนบุคคลครับแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อไม่ว่ากัน

ครับ แต่สำหรับผม เชื่อ !!!!! เวรกรรมมีจริง


ขอบคุณ ที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2117:2010-05-03-01-49-50&catid=51:4

1728
กฎแห่งกรรม / เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 10:04:03 »
เหตุแห่งกรรม

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงตอนที่ผมอยู่ที่ต่าง จังหวัด และสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เป็นความเชื่อของผมเอง เนื่อง

จากผมเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องเวรกรรมเป็นอย่างมาก เรื่องก็มีอยู่ว่า ก่อนที่ผมจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อหา

งานทำช่วยเหลือครอบครัวและเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมต้น ผมเป็น

คนที่ชอบหาปลามากและชอบล่าสัตว์เป็นที่หนึ่ง ที่สำคัญเป็นคนที่ทำบาปขึ้นอีกต่างหาก เวลาหน้าน้ำดำนาก็ชอบทอดแห,ใส่

เบ็ด,เวลาไปก็จะชอบชวนเพื่อนๆไปด้วย เพื่อนคนอื่นที่ไปด้วยกันทอดแหลงไปยังไงก็ไม่ค่อยมีปลาติดมาด้วย แต่ตัวผมเองแม้จะทอด

ตรงที่เพื่อนทอดไปไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ปลาติดขึ้นมา หรือจะใส่เบ็ดก็ไม่ค่อยได้ปลาสักเท่าไหร่มันก็เป็นเรื่องแปลก!!!! แต่ถ้าเป็นหน้า

แล้งช่วงเดือนเมษายนผมกับเพื่อนๆก็จะชวนกันไปยิงกิ่งก่ามาผัด เผ็ดกินกันขอบอกว่ามันเป็นอาหารชั้นเลิศเลยครับ ไปยิงทีก็เหมือน

เดิมครับเรื่องฆ่าสัตว์ถนัดนักกิ่งก่าจะปีนขึ้นไปบนยอดไม้ก็ ยังสามารถยิงมันตกลงมาได้ แถมถ้าตัวไหนสุดความสามารถถึงขนาดต้อง

ปีนขึ้นไปไล่ยิงบนต้นไม้ซึ่งมันเป็น ความโหดร้ายทารุณมาก กิ้งก่าตัวนิดเดียวคนมีสี่ห้าคนไล่จับมันตัวเดียว แต่!!! ไม่คิดอะไรก็ยิ่งทำ

ให้ดีใจกับเวรกรรมที่ตน

ได้กระทำ โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ด้วยความสนุกสนานของความเป็นเด็กอยู่ในขณะนั้นทำให้ไม่ค่อน

คิดอะไร ผมทำอย่อย่างนี้เสมอๆๆเป็นระยะเวลาหลายปี และจนวันหนึ่งผมต้องมีแผลในเท้าเพราะเดินไปเหยีบแก้วซึ้งผมก็พยายามที่

จะ สังเกตก่อนเดินอยู่แล้วแต่ก็พลาดจนได้ ซึ่งมันเป็นแผลค่อนข้างลึกและยาวพอสมควรถ้าเย็บก็คงประมาณเกือบสิบเข็มได้ ซึ่งสิ่งที่

มันเกิดขึ้นนี้ปีเเรกๆผมยังไม่ค่อยคิดอะไรมากหรอกเพราะว่ามันคง เป็นอุบัติเหตุธรรมดา แต่เมื่อปีต่อมามันก็เป็นเหมือนเดิมอีกและ

เป็นช่วงเวลาเดียวกันอีก และอีกครั้งหนึ่งของปีต่อมามันเป็นครั้งที่ทรมานมากตอนนั้นผมไปทอดแหกับน้อง อีกคนหนึ่ง ซึ่งวันนั้นสนุก

มากเพราะได้ปลาเยอะมาก เราไปกันค่อนข้างไกลจึงได้เอาจักรยานไปด้วยและสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเเปลกมาก

เพราะว่าตรงที่ผมทอดแหนั้นผมเพิ่งทอดไปไม่นาน จำได้ไม่เกิน 10 นาทีได้ซึ่งผมจะวนเวียนทอดอยู่บริเวณนั้นเพราะปลาค่อนข้าง

ชุมเพราะมีน้ำไหล ตลอดปลาจะชอบมาว่ายน้ำเล่น จุดที่ก่อนจะเกิดเหตุนั้นผมได้ทอดแหไปผมก็กระโดดลงไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร

(น้ำไม่ค่อยลึกสูงประมาณหัวเข่าแต่น้ำจะไหลแรงพอสมควรจึงต้องกระโดดลงไป ประคองแหไม่ให้ไหลไปตามน้ำถ้าปลาติดปลาจะ

ได้ไม่หลุดออกจากแห)แต่ครั้งนี้ผม ก็ทำเหมือนเดิม จุ๊บ...กึ๊ด !!!!!!!!!!!! ผมเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ผมจึงยกเท้าขึ้นจากน้ำมองดูปลา

กดว่าเลือดไหลพุ่งเหมือนกับสายยางฉีดน้ำซึ้ง ผมไม่เคยเจอมันน่ากลัวมาก ผมเล่าแล้วขนลุก มันน่ากลัว

1729

เกมนี้มิได้หยุดหย่อนเพียงแค่นี้จากบุหรี่เปลียนเป็นประทัดยัดใส่ปากคางคก เพราะมันสะใจมากกว่ากัน ประทัดเป็นมวนดูเหมือนคางคกมันสูบบุหรี่ ซึ่งมันเองได้แต่ทำตาปริบ ๆ เพราะปล่อยทิ่งก็ไม่ได้ มันขยับปากใช้ขาของมันเขียออก แต่ก็ไร้ผล เพราะประทัดยัดแน่นคับปากด้วยถูกยัดเข้าไปลึก คางคกนิ่งอึดอัด

 ทั้งสองคนจุดประทัดไปที่สายชนวนพู่นั้นจะมีเสียงการเชียร์อย่างสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ชนวนไฟลามสั้นเข้าแค่ไหน ชีวิตคางคกก็สั้นตาม วิญญาณที่ต้องชดให้กรรมจากการเป็นมนุษย์ให้กลับเป็นสัตว์และคงหลายชาติที่คางคกจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ? ? เสียงประทัดแตกดังปัง พร้อมเสียงไชโยไห่ร้องของสองหนุ่มที่สนุกกับชีวิตที่วิงวอนขอชีวิตไม่ได้ ร้องโอย.. ๆ ก็ไม่เป็น เมื่อแรงอัดตัวของประทัดฉีก เศษกระดาษสีแดงส้มฟุ้งกระจายควันตลบ กลิ่นดินประสิวโชยเข้าจมูก ขณะเดียวกันกับวิญญาณที่เกิดมาเป็นคางคกได้ล่องลอยออกจากร่างอย่างน่าสมเพช

   เมื่อหมดเสียงดังจนแสบแก้วหูสิ่งที่ปรกกฏให้เห็นชัดก็คือ ปากขากรรไกรฉีกขาดไปถึงท้อง พุงแตกลำไส้ขาด สุดอนาถนอนคว่ำนอนหงายไปเป็นแถวเป็นแนว
  ไม่มีใครกล้าไปห้ามพวกเขา เพราะ “ กรรมใคร เวรมัน ” ใครได้มาเห็นต่างก็สลดใจ  จากวินาทีนี้เป็นนาที ถึงแม้คนเห็นไม่กี่คนก็ตามที แต่เวรกรรมมันมีจริงและเริ่มตามเป็นเงาเข้ามาอย่างช้าๆ  เวลาผ่านไปหลายปีอ้อมกับตั้มได้ไปสมัคเป็น อ.ส. ที่จังหวัดสมใจกับที่เขาอยากรับใช้ชาติ ทั้งอ้อมกับตั้มซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลืมเรื่องราวของเกมรังแกอีแร้งกับคางคกคาบประทัดเสียสนิท

    คืนนั้นอ้อมกลับจากมาจากดูหนังขายยาที่วัดเหนือหมู่บ้าน คงจะมีดีกรีเหล้าเข้าไปบ้าง ขณะเดินกลับนั้น การเป็น อ.ส. ย่อมไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู เขาแกะเอาระเบิดมือชนิดลูกเกลี้ยงมาถือไว้ หากเกิดอะไรขึ้น ลูกแตกระเบิดมือก็ช่วยได้ทัน หรือไม่ก็แลกชีวิตต่อชีวิต จนกลับมาถึงที่พัก  ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าเพราะอะไร แต่ระเบิดนั้นกระเดืองหลุดเกิดระเบิดดั่งสนั่นหวั่นไหว ค่ายพักที่เขาพักอยู่นั้นพัง ฝาปลิว หลังคาหลุดเป็นแถบ ๆ เมื่อเสียงระเบิดสงบทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ แตกตืนเข้ามาดูก็ได้พบว่า ชิ้นส่วนร่างกายเขาฉีกกระจุยเหมือนหมูบะช่อ ท้องแตกไส้ทะลักกระเด็นไปเกือบถึงเสาธง  หน้าตาเละจนจำไม่ได้ แขนขาขาด สถาพศพใครเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี ถ้าคนตรงนั้นรู้อดีตเขามาก่อนคงพูดว่า
 “ เหมือนคางคกที่ท้องแตกแขนขาขาดกระจุย เช่นเดียวกัน ”

   กรรมติดตามลงโทษคนที่มีจิตใจต่ำทราม โหดร้ายอย่างไม่ยอมลดละ ส่วนอีกคนหนึ่งคือนายตั้มนั้น รู้ข่าวว่าไปได้ภรรยาอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ขอให้เชื่อเถอะว่ากรรมนั้นมีจริง การทำร้ายชีวิตสัตว์ก็เหมือนไปกู้เงินเขามา แน่นอน ผู้รับสภาพเป็นเจ้าหนี้ย่อมติดตามทวงทรัพย์สินตนคืนทุกวิถีทางและรูปแบบอย่าคิดว่าจะพนีพ้นไปได้...

  คนที่ไม่เชื่อเหล่านี้มีแต่เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไม่เชื่อเรื่องอะไรทั้งสิ้น โอกาสของเขาจะยิ่งน้อยลงทุกที ๆ ทางที่ดีควรเร่งสร้างทำบุญทำทานรักษาศีลสร้างกรรมดีกันไว้ให้มาก ๆ เพราะกฏของกรรมนั้นไม่เคยที่หยุดหรือละเว้นและอโหสิเวทนาให้แก่ใครเลย..


ขอบคุณ
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2047:2010-04-22-08-58-00

1730
กฏของกรรม เรื่อง คางคกสูบบุหรี่

   พูดกันมานานแล้วว่า มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เกิดมาได้เพราะกรรม เก่า- กรรมดี มีมากจึงได้มาเกิดเป็นมนษย์ มีโอกาสที่จะได้ทำกรรมดร เพื่อสร้างบารมีให้กับตัวเอง เผื่อว่าสิ้นชีวิตไปเกิดในปรภพภูม อันสมศักดิ์ศรี ไม่ต้องไปเกิดเป็น หมู หมา กา ไก่ ใช้กรมมทีละชีวิต
  พูดถึงสัตว์ ๔ ขา เชื่อว่าทุกคนคงรู้จัก และบางท่านเคยเห็น “ น้ำตา วัว ควาย ” ที่ไหลรินจนเปียกหน้า สัตว์ทุกชนิดไม่มีสิทธิขอชีวิตต่อผู้สังหารมัน สัตว์ที่ว่านี้ ซึ่งในหัวใจถึงกรรมที่เกาะกุมอยู่ มันไม่มีโอกาสร้องโอ้ย..ได้เหมือนผู้คนอย่างเรา ๆ อย่าได้ไปรังแกเขาอีกเลย....เวรกรรมนั้นลงโทษเขาอยู่แล้ว ที่ให้มาเหน็ดเหนื่อยเป็นขี้ข้าหาเลี้ยงคน...

    วัยรุ่น ๒ คน ชื่อ อ้อมกับตั้ม ชื่นชอบกับแกมกีฬาที่ไม่เหมือนใคร คือได้จับสัตว์พวกต่าง ๆ มาทารุนทรมานเป็นที่สนุกสนานแก่สองหนุ่มวัยคนองอย่างยิ่ง โดยมิได้นึกถึงเวรกรรมและจะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นมันก็เจ็บปวดกลัวความตายเหมือนกับพวกเขา ? ? ในวัยเด็ก ๆ นั้นแทบทุกคนจะชื่นชอบในการ ยิงนกตกปลา จับปูนา กบเขียด หรือจับจิ้งหรีด เอามาให้มันกัดกัน สิ่งที่ว่ามานี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป อายุมากขึ้นการทำบาปกรรมรังแกสัตว์ ควรจะน้อยลง
    ความจริงแล้วเด็ก ๆ เปรียบเหมือนผู้คมนักโทษจากตัวเวร กรรมให้ลงโทษสัตว์ ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเขาเคยเป็นมนุษย์ที่สร้างกรรมไม่ดี แต่ก็มีหลายคนพอเติบโตจนเป็นหนุ่ม ก็ยังมีนิสัยรังแกสัตว์ที่ยังไม่เลิกรา
 อีแร้งที่ลงมากินหมาเน่ากลางทุ่งกลางนาเป็นฝูงนั้น จะมีตัวหนึ่งที่หัวจะมีสีแดง ตำเหน่งเป็นพญาแร้ง สัตว์น่ารังเกียจอย่างนี้ชอบกินซากสัตว์เน่า ๆ แต่ก็มี มนุษย์ใจบาปตามไปรังควานมัน โดยเอาใบตาลมัดด้วยเชือกทำเป็นบ่วงไว้ใกล้ ๆ หมาเน่า ทันทีที่ฝูงอีแร้งรายล้อมหมาเน่า พวกมันไม่เห็นคน อ้อมกับตั้มและพรรคพวกก็กรูกันวิ่งออกจากป่า ที่ซ่อนตัว ส่งเสียงเอะอะตีเกราะเคาะไม้ ? ? ฝูงอีแร้งที่ไม่รู้เนือรู้ใต้ต่างตกใจรีบโผบินขึ้นฟ้า แต่มันเป็นนกที่มีน้ำหนักมาก ดังนั้นการบินขึ้นมันจึงต้องการทางวิ่งหรือรันเวย์ ๒ ขาก้าววิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้น เมื่อพ้นดิน บินอยู่ในอากาศ มันถึงได้รู้ว่าที่ขาของมันนั้นมีใบตาลผูกเชือกบ่วงรัดไว้ มันตกใจบินสูงขึ้นไปลิ่ว ๆ
  เด็กหนุ่มวัยคะนองทั้งหลายที่ชอบรังแกสัตว์ต่างหัวเราะชอบใจตบมือกระโดดโล้นเต่น เมื่อเห็นใบตาลติดขาอีแร้ง บินลากของหนัก ๆ ไปชั่วชีวิตบินสูงลิ่วขึ้นบนท้องฟ้าคู่กับขาอีแร้ง

   นี่ก็เป็นอีกแกมหนึ่งที่สองหนุ่มชื่นชอบมาก คือจับเอาคางคกมาครั้งละหลาย ๆ สิบตัว แรก ๆ เริ่มเล่นเอาบุหรี่ที่ฉุนจัดจุดใส่ปากคางคก สัตว์ชนิดนี้พอหายใจออกก็พ่นควันบุหรี่ออกด้วย มองดูเหมือนกับคนสูบบุหรี่ หมดบุหรี่เพียงครึ่งมวน คางคกมีอันมึนงงต่อควันบุหรี่ นอนหงายท้องตึงทำตาปริบ ๆ

1731
หลวงพ่อจรัญ การบริจาคทาน

[youtube=425,350]IvoTSxOwrVA[/youtube]

1732
ผลกรรมตามสนอง ตอนที่ 5/7
[youtube=425,350]CEeDvdSzXAU[/youtube]
ผลกรรมตามสนอง ตอนที่ 6/7
[youtube=425,350]87ICjMh_0IM[/youtube]
ผลกรรมตามสนอง ตอนที่ 7/7
[youtube=425,350]_w6_4w_tAJM[/youtube]

1733
มีทั้งหมด 7 ตอนด้วยกันครับ

หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 1/7
[youtube=425,350]jgJ8xBOCwhw[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 2/7
[youtube=425,350]ruCB2ZAk20s[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 3/7
[youtube=425,350]a4L_o2HqdNY[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 4/7
[youtube=425,350]CRS08E9uJeY[/youtube]

1734
ขอเรียนให้ทราบนะครับว่า.........

ผมได้ติดตามอ่านข้อความของท่าน
ท่านเขียน ตอบได้เฉียบคมมากครับ สมกับเป็น "เณรน้อยเส้าหลิน" :054:
 :054:


1735
อ้างถึง
ปล.ไม่ต้องขอนะครับ เพราะมีไว้แจก(เอ๊ะ...ยังไง :002: )

ช่วยขยายความด้วยครับ

ขอบคุณครับ :054:

1736
ธรรมะ / ตอบ: 10 วิธี ตื่นได้...ทุกวัน
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 08:34:34 »
ข้อ10 สำหรับผมคือ ศีล 5

ตื่น - ศีล๕
[youtube=425,350]sdRJJQ0Qknc[/youtube]

1737
ขออนุญาตโพสต์ธรรมะที่เกี่ยวข้องนะครับ
[youtube=425,350]P3tgYqVgu94[/youtube]

1738
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 6/10
[youtube=425,350]iUHBvhqx8q4[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 7/10
[youtube=425,350]_rMgvL1mhqY[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 8/10
[youtube=425,350]Xgo27oE55xY[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 9/10
[youtube=425,350]GFwPNoPsntM[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 10/10
[youtube=425,350]7KlKbcJuq-0[/youtube]

1739
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 1/10
[youtube=425,350]zu9zQtdNyII[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 2/10
[youtube=425,350]L1xxBvV1bj0[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 3/10
[youtube=425,350]jBNUKqbfe5U[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 4/10
[youtube=425,350]GaMLoOYtMro[/youtube]
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 5/10
[youtube=425,350]Q_huxDCKRCU[/youtube]

1740
อีกเวอร์ชั่นหนึ่งครับ มีเรื่องวัตถุมงคลด้วยครับ

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 1/6
[youtube=425,350]RLkwGpyr6ew[/youtube]

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 2/6
[youtube=425,350]J0CVTHlnmOM[/youtube]

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 3/6
[youtube=425,350]nysVuvBGttE[/youtube]

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 4/6
[youtube=425,350]Gf5E7Xv4jN0[/youtube]

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 5/6
[youtube=425,350]We0TtAl0mp0[/youtube]

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 6/6
[youtube=425,350]aetqmMfB2zk[/youtube]

1741
เสียดายจังลงรูปภาพงานบวชไม่ได้ ลอง Browse แล้ว อัพโหลดภาพก็แล้ว ภาพก็ย่อแล้วเหลือ 50 กว่า KB (นามสกุลJpeg) แจ้งว่าERROR อ่านวิธีการลงหมดแล้ว ใครรู้วิธีลงช่วยหน่อยนะคะ[/img]
เริ่มจาก 1.เลือกไฟล์ จากในเครื่องของเรา
เสร็จแล้ชื่อไฟล์จะปรากฏ ด้านข้างปุ่มเลือกไฟล์
2.กด อัพโหลดภาพ

ของผมก็ขึ้น error เช่นกัน :075: :010:
===========
คงต้องไปภาพไปฝากไว้ในเวปฝาก ซึ่งมีเยอะแยะครับ
แล้วก็อป url มาลงครับ


1742
ในคลิปตอนที่3 กล่าวถึง วิชามูลกัจจายน์
ขออนุญาตขยายความตามข้อมูลข้างล่างนี้

==========================
มูลกัจจายน์คืออะไร
ย้อนไปในอดีต การศึกษาบาลีเพื่อทำความเข้าใจพุทธวจนะ ต้องศึกษาไวยากรณ์ เหมือนศึกษาภาษาอังกฤษ ก็ต้องเรียน Grammar เพื่อเข้าใจโครงสร้างของภาษา ตำราเรียนไวยากรณ์บาลีของโบราณ มี 3 กลุ่ม คือกลุ่มกัจจายนะ (ประเทศไทยเรียนจากกลุ่มนี้) กลุ่มโมคคัลลานะ (นิยมในพม่า) และกลุ่มสัททนีติ (เล่มนี้แต่งในพม่าโดยพระอัคควังสะ)

จะขอพูดเฉพาะกัจจายนะเท่านั้น ดังนี้ กัจจายนะวยากรณ์ เป็นชื่อของคัมภีร์บาลีไวยากรณ์ที่เก่าที่สุด แต่งโดยพระกัจจายนะ ตามจารีตเราเชื่อกันว่า คือพระมหากัจจายนะในครั้งพุทธกาล แต่....เรื่องนี้ยังมีข้อถกเถียงในหมู่นักภาษาศาสตร์ ซึ่งผมจะไม่ยกมาให้เสียเวลา เพื่อที่เข้าใจง่ายๆ ให้เชื่อว่าพระมหากัจจายนะพุทธสาวกเป็นผู้แต่งนั่นแหละ จะตรงกับจารีตที่นับถือกันทางไสยศาสตร์ด้วย คัมภีร์กัจจายนะเป็นหนังสือเก่ามีอายุเป็นพันปี คนรุ่นหลังย่อมเข้าใจยาก ก็เกิดมีปราชญ์ผู้ฉลาดแต่งหนังสืออธิบายคัมภีร์กัจจายนะขึ้นมา เรียกว่า อรรถกถา ที่สำคัญๆ เช่น
คัมภีร์สัมพันธจินดาของพระสังฆรักขิต, คัมภีร์สัททัตถเภทจินดา แต่งโดยพระสัทธัมมสิริเถรเจ้าแห่งเมืองหงสาวดี, คัมภีร์ปทรูปสิทธิ แต่งโดยพระพุทธปิยทีปังกร ลูกศิษย์ของพระอานนท์ ฯลฯ แต่ที่เราจะพูดถึงก็คือ “มูลกัจจายน์” หรือชื่อเต็มคือ กัจจายนมูลปกรณ์ เป็นคัมภีร์อันสูงค่าและนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของไทย แต่งโดยคนพระเถระชาวไทย แต่ไม่ปรากฏชื่อ ท่านเก็บสาระจากคัมภีร์กัจจายนะดั้งเดิมมาเรียบเรียงใหม่ และใช้เล่าเรียนกันตลอดมา แต่ปัจจุบันเลิกล้มไปหมดแล้ว เพราะความยุ่งยาก และหนักจนเกินความจำเป็น ผู้เรียนล้มเหลวเสียเวลาไปมากต่อมาก

พระสมัยก่อน เมื่อบวชเรียน เรียนหนังสือขอมอ่านคล่องแล้ว ก็เริ่มเรียนมูลกัจจายน์เพื่อหัดแปลบาลี เพื่อเข้าสอบเปรียญหรือไว้อ่านพระไตรปิฎกด้วยตนเองก็ตาม สูตรบาลีในคัมภีร์นั้น นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เอามาไว้ใช้ลงเลขยันต์ เอามาย่อเป็นคาถา หรือยกเอาบางตอนมาทำเป็นหัวใจต่างๆ เช่น ในยันต์มหาราช ยะ วะ มะ ทะ นะ ตะ ระ ละ ก็มาจากสูตรในมูลกัจจายน์นั้น ใครอยากรู้ก็ลองดาวน์โหลดมาอ่านดูได้ เวลาเรียนมูลกัจจายน์ ต้องมีกระดานชนวน มีดินสอปั้นแท่งไว้ทำตัว และแปลยกศัพท์โดยลำดับ ทีนี้ท่องไปเขียนไปมันก็เกิดสมาธิ ความคิดนี้พัฒนาไปเป็นการเรียนทำผงลงตัวนะในที่สุด
----------------------------
มีนิทานเล่าว่า

...มีสามเณรรูปหนึ่ง มีศรัทธามุ่งมั่นที่จะเรียนบาลีไวยากรณ์นี่แหละ
แต่ว่า ความจำไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
วันหนึ่งจึงเข้าไปหาอาจารย์ถามว่า "อาจารย์ครับ มีคาถาเรียนหนังสือเก่งไหมครับ"
"มีสิ" อาจารย์ตอบ
แต่เณรจะต้องลุกขึ้นทวนหนังสือเช้ามืดทุกๆวันน่ะทำได้ไหมล่ะ
"ได้ครับ"
ได้ก็จะให้
แล้วอย่าบอกใครน่ะ อาจารย์กำชับ
ก่อนท่องหนังสือตั้งนโม 3 จบก่อนแล้วว่า "อหํ อุมฺมตฺตโก โหมิ" จำไว้น่ะ
"ครับ"
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สามเณรก็ขยันขันแข็ง เพราะได้คาถาดีจากอาจารย์ ไม่กลัวใครอีกแล้ว
ตื่นแต่ตี 4 ทวนหนังสือทุกวัน
ไม่นานก็กลายเป็นคนความจำดี เรียนหนังสือเก่งไปโดยปริยาย

วันหนึ่งเจอบาลีประโยคเหมือนคาถาที่ตนเรียนมาเปี๊ยบว่า "อหํ อุมฺมตฺตโก โหมิ"
ตนแปลออกแล้วนี่ จึงแปลยกศัพท์ว่า อะหัง อันว่าเรา อุมมัตตะโก เป็นบ้า โหมิ ย่อมเป็น.
แปลโดยอรรถว่า "ตูเป็นบ้า"


ขอบคุณข้อมูล จาก
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=kathaarkom&topic=4242
รายละเอียดเพิ่มเติมของมูลกัจจายน์
http://www.phrathai.net/article/detail.php?catid=5&ID=91
ภาษาบาลีคืออะไร
http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาบาลี
ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมูลกัจจายน์
http://www.budpage.com/webboard/show_content.pl?board=0&topic=413
สูตรมูลกัจจายน์ 672 สูตร
http://www.uploadtoday.com/savefile.php?0039c22276506aaf5a01af787ca4b06d


1743
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 8/10
[youtube=425,350]2HLSCMlB4l0[/youtube]
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 9/10
[youtube=425,350]rs36UvutjKY[/youtube]
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 10/10
[youtube=425,350]RSYsggQ9ptM[/youtube]

1744
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 4/10
[youtube=425,350]EUjYJtuyu9M[/youtube]
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 5/10
[youtube=425,350]u008PacDq9k[/youtube]
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 6/10
[youtube=425,350]po-daffV2pY[/youtube]
หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ 7/10
[youtube=425,350]VP5R2aveLqo[/youtube]

1745
เป็นคลิปประวัติ
ขอนำเสนอต่อจาก.......
ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด โดยคุณumpawan เมื่อ ธันวาคม 2552
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14068

มีทั้งหมด 10 ตอน
[youtube=425,350]AfGdt8fatd4[/youtube]
[youtube=425,350]cdhq95MX0Mc[/youtube]
[youtube=425,350]aRBPrWeNAjg[/youtube]


1746
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 12:41:42 »
ธรรมของสัตบุรุษไม่เก่าเหมือนของอื่น        
      
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า "อย่าคิดเลยมหาบพิตร นี้เป็นธรรมอันแน่นอนของสัตว์ทุกจำพวก" แล้วตรัสถามว่า "นี้รถของใคร? มหาบพิตร." พระราชาทรงประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียรแล้ว ทูลว่า "ของพระเจ้าปู่ของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า."
               พระศาสดา. นี้ ของใคร?
               พระราชา. ของพระชนกของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.
               เมื่อพระราชากราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า
               มหาบพิตร รถของพระเจ้าปู่ของมหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของพระชนกของมหาบพิตร, รถของพระชนกของมหาบพิตร ไม่ถึงรถของมหาบพิตร, ความคร่ำคร่าย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้ชื่อเห็นปานนี้, ก็จะกล่าวไปไย ความคร่ำคร่าจักไม่มาถึงแม้แก่อัตภาพเล่า?
               มหาบพิตร ความจริง ธรรมของสัตบุรุษเท่านั้นไม่มีความชรา, ส่วนสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี.
               ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
                                      ๖.    ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา                 
                                         อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
                                         สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
                                         สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.
                            ราชรถที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้แล, อนึ่ง ถึงสรีระก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า,
                            ธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงความคร่ำคร่าไม่, สัตบุรุษทั้งหลายแล
ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ.


ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=6

1747
กฎแห่งกรรม / ตอบ: กรรม...ทำกับสุนัข
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 12:34:12 »
แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ

อยู่แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆไว้ที่ปากหม้อข้าว

จากนั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น

มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย

แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆพาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา

ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆทันทีผลคือตายคาที่

โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว

อนิจจา..เจ้าหมาน้อย



เมื่อจัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้วเธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมากเพราะไม่

ต้องมาคอยกังวลว่าเนื้อหมูสับจะหายไปอีกเพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท

ประกอบกับหลังจากนั้นไม่มีงานศพที่วัดเธอจึงไม่มีงานที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยง

แขกเวลาผ่านไป 7 วันครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี

วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัดแม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม

วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพเธอจึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมา

ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆอยู่นั้นเธอก็บอกคนงานให้มาช่วยยกหม้อข้าวลง

จากเตาไฟแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นหูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้น

เกิดหักหลุดจากมือ ตัวเธอจึงถลำลื่นหัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลัง

เดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันทีโดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียว

เป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน!!

ลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาหลายภพหลายชาติ

ผูกพยาบาทอาฆาตกันไม่จบสิ้น ในชาตินี้จึงมาสร้างกรรมทำเวรซึ่งกันและกัน

เพิ่มเข้าไปอีก

ผู้เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง

เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝันสุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน

เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่หากไม่ได้

ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน 4ก็จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม

จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทานการเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน

กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง

เป็นจริงแล้วยังเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วยดังนั้นคงไม่มี

อะไรประเสริฐเท่ากับความมีเมตตา ให้อภัยต่อกัน ไม่ว่ากับคนด้วยกัน

หรือกับสรรพสัตวเพราะต่างก็มีชีวิต มีความรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนๆกัน


ขอขอบคุณบทความจาก อารมณ์ดีดอทคอม

1748
กฎแห่งกรรม / กรรม...ทำกับสุนัข
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 12:31:55 »
เรื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17
 
และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมาเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง


ท่านเจ้าคุณเล่าว่า

วันหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อ

คือตกหม้อข้าวต้มตายแล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า

แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง

เธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้

แบบผูกขาดมานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆเรียนจบมหาวิทยาลัย

ได้ดีไปหลายคนกรรมที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น

เรื่องมีอยู่ว่า
 
วันหนึ่ง แม่ครัวผู้นี้เห็นว่าเนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับเพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมู

เลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้น หายไปอย่างผิดปกติทั้งๆที่เพิ่งสับเสร็จไม่นาน

แค่หันไปหยิบเครื่องปรุงหรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

พอหันกลับมาอีกครั้งเพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าวต้ม

ปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย

พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง

เพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเองแรกๆเธอก็คิดว่าไม่เป็นไร

แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน

ทุกครั้งที่เผลอ เธอจึงอดรนทนไม่ได้

ดังนั้นจึงได้วางแผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดีเธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้

บนเขียงไม้เหมือนเดิมแล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคยแต่ทว่าตาคอย

แอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลาทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่งซึ่งแอบ

ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเองปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว

แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไปเมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข

เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นมากจึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้

ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคย

แต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม

1749



สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร 8/9

ท่านพุทธบริษัททั้งหลายวันนี่ก็คงมาพบกันตามปกติ การบันทึกก็เป็นระยะเดียวกัน คือวันที่ 22 กันยายน 2526 เป็นเวลาใกล้จะสิบ

เก้านาฬิกา หน้าโน้นสิบแปดนาฬิกาเศษๆ แต่ว่าทำไมห่างกันนัก เพราะมันเหนื่อย แก่และป่วยไข้ไม่สบายด้วย ถ้าถามว่าป่วยไข้ไม่

สบายแล้วทำทำไม ก็อย่าลืม ทำอย่างนี้เป็นกรรมทาน ผมจะเอาทุนไว้เวลาตาย เวลาที่ป่วยไข้ไม่สบายมาก ผมก็สนใจในธรรมะมาก

ขึ้น เพราะถ้าตายผมจะได้แบกไปใช้ในเมืองผี

ถึงยังไงๆ ผมก็ตายแน่ เวลานี้มันก็ใกล้จะ 70 ปีเข้าแล้ว อาการป่วยไข้ไม่สบายไม่ได้ถอนตัวเลย ทางท้องหนักที่สุด

เริ่มโรคทางอาหาร อย่างนี้เขาเรียกโรคตัดอาชีพ ตัดการกินอาหาร ตัดความสุข ช่างเถอะ มันเกิดมาเพื่อป่วยก็เชิญมันป่วยไปตาม

ธรรมดา มันเกิดมาเพื่อแก่ก็เชิญ เออ ไม่เชิญมันก็แก่นะ จะ 70 แล้วนี่นะ ถ้ามันจะเกิดมาเพื่อตายก็เชิญให้มันตายไป แล้วก็เลิกตาย

กันซะที ไอ้ร่างกายเลวๆ อย่างนี้ผมไม่ต้องการมันอีก อันดับแรกเราก็ฟังกันเรื่อง

สังโยชน์ 10 ก่อน ความเลวที่เราต้องตัดทิ้งก็คือ

1.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าร่างกายของเราจะไม่ตาย หรือว่ามีความเห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดีสวยสดงดงาม

ทรงตัว หรือว่ามีความเห็นว่าร่างกายนี้มันเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกา ร่างกายมีในเรา ความคิดเลวๆ อย่างนี้ทำให้เราเกิดอยู่

เสมอ ต้องมีชาติมีภพตลอด ตัดทิ้งไปจากใจ กลับมาตัดสินใจด้วยปัญญาเสียใหม่ว่า ร่างกายนี้เกิดมามันต้องตาย เราก็ไม่เมากาย

เกินไป ก่อนจะตายสร้างความดี อารมณ์ใจอย่างนี้

เป็นอารมณ์ใจของพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี อันมีความคิดเห็นว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกมีความรังเกียจ

ถึงที่สุด เหมือนกับรังเกียจถุงอุจจาระที่เขาส่งมาให้ กำลังใจอย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามี แต่มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นธาตุ

สี่เข้ามารวมตัวกันเป็นที่อาศัย ชั่วคราว มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเราอย่างนี้เป็นกำลังของพระอรหันต์ ท่านมีกำลังใจขั้น

ไหนทำขั้นนั้นเพื่อความสุขของท่าน

2.วิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสั่งสอน ขององค์สมเด้จพระสัทมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องไม่มีในเรา ความจริงเรื่องคำสอนของ

พระพุทธเจ้านี้ผม่ยอมแพ้ราบคาบ ผมเคยต่อต้าน ไม่ใช่ต้านหรอก เคยคิดฝืนนิดๆ หน่อยๆสงสัย ผมก็แพ้ทาน ยังไงๆ ถ้าเป็นเรื่อง

พระพุทธเจ้าแล้วผมไม่ยอมวินิฉัยเด็ดขาด เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมโลกนาถหัวชนฝาเลย ใครเชื่อไม่เชื่อก็ช่าง

ผมเชื่อของผม ผมเจอะมาแล้ว แล้วจะไม่สงสัย ตัดความสงสัยทิ้งไปเพราะเป็นความเลว

3.สีลัพพตปรามาส มีเท่าไรปฏิบัติให้ครบเท่านั้น เราจะไม่ลูบคลำศีล สักแต่ว่าสมาทานศีลหลอกชาวบ้าน หรือว่าห่มผ้า

กาสาวพัสตร์หลอกขาวบ้าน ถ้าเรามีศีลพรตครบถ้วนแบบนี้ ความดีสามประการย่อมปรากฏมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ไม่

สงสัยคุณพระรัตนตรัย มีศีลพรตครบถ้วน ศีลพรตครบถ้วนหมายความว่าฆราวาสก็ศีลห้า พระศีล 227 พร้อมอภิสมาจาร สามเณรศีล

10 พร้อมเสขิยวัตร อย่างนี้เรียกว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี

4.ปฏิฆะ การตัดอารมณ์ไม่พอใจที่เกิดขึ้นออกไปจากจิต มีจิตเมตตาเป็นปกติเข้าทดแทน ถ้ากำลังใจทำได้อย่างนี้ สมเด็จพระชิน

สีห์บอกว่าเป็นปฏิปทาของพระอนาคามี

ต่อไปนั้นใช้ปัญญาให้ดี เห็นโทษแห่งการหลงในรูป รูปฌาน และ อรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานเราต้องมีแน่ อย่าหลงแค่นั้น คิดว่า

เพียงแค่เป็นกำลังเพื่อห้ำหั่นกิเลสเท่านั้น ยังไม่หมดกิเลส และก็ตัด มานะ การถือตัวถือตนออกจากใจตัดอารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ทรงใจไว้

ในแน่นอน คืออารมณ์ อุทธัจจกุกกุจจะ มีจิตตั้งไว้โด่ยเฉพาะหวังตัดภพตัดชาติ คือหวังนิพพานโดยเฉพาะ

และก็ 10 อวิชชา ความโง่เง่าเต่าตุ่นตัดทิ้งไปจากใจ หากกำลังใจไม่หลง ในมนุษย์โลก เทวโลก แล้วก็พรหมโลก จิตมุ่งอย่างเดียว

คือนิพพาน อย่างนี้องค์สมเด็จพิชิตมารกล่าวว่าเป็นอารมณ์ของพระอรหัน๖ การกำจัด

สังโยชน์ 10 ประการท่านมีกำลังใจแค่ไหนกำจัดแค่นั้น แต่ขอได้โปรดอย่าอกว่าไม่ไหว ถ้าบอกว่าไม่ไหวก็นิมนต์ไปจากวัดนี้นะ

ขอรับ มันต้องไหว 10 ไม่ไหว 3 ต้องไหว ถ้า 3 ไหวแล้วกำลังใจดีขึ้นต้องตัดไปถึง 5 5 ดีขึ้นแล้วต้องว่าไปถึง 10 โดยเฉพาะอย่าง

ยิ่ง ท่านพุทธบริษัททั้งชายทั้งหญิง ทั้งภิกษุสามเณร แค่ขึ้น 3 นี่ต้องทำให้ไหวจะได้หรือไม่ได้ ถึงหรือไม่ถึงไม่สำคัญ เราพยายาม

ทำ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าไปนึกว่าไม่ไหวๆ ถ้าไม่ไหวๆ ก็อย่าอยู่ที่นี่เลย คนที่ไม่เอาไหนขาดกำลังใจไม่ควรจะอยู่ร่วมกันในเขต

พระพุทธศาสนา

ต่อมาก็ทรงบารมี 10 ให้ครบถ้วน อันนี้แหละ จะไหวไม่ไหวอยู่ที่นี่ สังโยชน์ 10 ประการจะพินาศไปหรือไม่พินาศอยู่ที่บารมี 10

1.ทานบารมี คิดไว้เสมอว่าจะให้ทาน

2.ศีลบารมี ระมัดระวังศีลให้ครบด้วน

3.เนกขัมมบารมี ถือบวชระงับนิวรณ์ อย่าให้มีอำนาจเหนือใจ

4.ปัญญาบารมี ทรงปัญญาพิจารณาไว้ว่า อะไรในโลกไม่มีการทรงตัวไม่เหลือ

5.วิริยบารมี มีความพากเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ต่อสู้ด้วยประการทั้งปวง

6.ขันติบารมี มีความอดทน มีความอดใจไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ต่างๆ

7.สัจจบารมี ตั้งใจไว้อย่างไร จะทรงไว้อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

8.อธิษฐานบารมี ตั้งหลักกำลังใจไว้ว่า เราปฏิบัติทุกอย่างมุ่งพระนิพพาน

9.เมตตาบารมี นั้น เราคิดว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อคนและสัตว์ทั่วโลก

10.อุเบกขาบารมี วางเฉยต่ออารมณ์ทุกอย่าง

และใช้สังขารุเปกขาฐาณในขันธ์ 5 คือค่างกาย กามันจะแก่เชิญตามสบาจิตไม่ดิ้นรน กายมันจะป่วยเชิยตามสบายจิตไม่ดิ้นรน กาย

มันจะตายเชิญตามสบาย ใจไม่เศร้าหมาอง ไม่ดิ้นรน ไม่ลำบาก ถ้าเต็มอย่างนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวว่า ท่านผู้นั้นมี

หลังพระนิพพานในชาตินี้

ฉะนั้น เรื่องบารมีนี้มีความสำคัญ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคู่กับ สังโยชน์ 10 สังโยชน์ 10 ต้องกำราบ บารมี 10 ทำไว้ให้

ทรงตัวอันนี้แน่นอน

ต่อไปก็เอาถ้อยคำขององค์สมเด็จพระชินวร ตอนที่ 26 ในอุทุมพริกสูตร ว่าจับสังวร คือการระมัดระวังหน้า 26 น่ะ ตอนที่ 26 ด้วย

หน้า 35 ขอโทษหน้า 354 ตอนที่ 26 เล่มที่ 11 เผื่อว่าสงสัยจะได้เปิดู จะหาว่าผมเปะปะๆ มาร่างบัญญัติกันเองล่ะผมจะตกนรก

ท่านกล่าวต่อไปว่า อย่าลืมนะขอรับ สะเก็ดๆ น่ะประกอบ กันไว้ให้ดี อย่าให้สะเก็ดมันหลุดนะขอรับ ถ้าคนใดทรงความดีขั้นสะเก็ดไม่

ได้ ผมคิดว่าไม่ควรจะอยู่ในขอบเขตของผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าเห็นว่ามาก ถ้าพยายามระงับ ตั้งใจฟังไว้ทุกวัน ตั้งใจละครับ ไม่เป็นไร

มันยังละความชั่วได้ไม่หมดทรงความดีได้ไม่หมดไม่เป็นไร ตั้งใจละความชั่ว ตั้งใจทรงความดี ไม่ช้าไม่นานเท่าไร อารมณ์ใจเราก็

ชิน ต้องค่อยๆ ทำ แล้วอย่านึกว่าผมเป็นผู้ประเสริฐวิเศษเสียแต่ผู้เดียว แต่ต้องคิดว่าผมนี่น่ะยังไม่มีอะไรดี กระผมอยู่ในฐานะสาวก

ของสมเด็จพระชินสีห์ ก็รุ่นจิ๋วๆ ถือว่าผมก็คือเหมือนท่าน เป็นพระธรรมดาๆ

บางคนก็ถือว่าผมเป็นพระอรหันต์บ้าง บางคนก็บอกว่าฤาษีลิงดำหรือพระมหาวีระ ไม่ใช่พระอรหันต์ เป็ฯผู้ทรงฌานโลกีย์ ผมว่าไม่ถูก

ทั้ง 2 ท่านแหละไม่ถูกทั้ง 2 ฝ่าย กระผมถือตัวเองว่า ผมเป็นพระแก่ที่มันใกล้จะตายเท่านั้น ทำไมจะรู้ดีกว่าผมไม่ล่ะ ผมนี่แหละรู้ดี

ตัวของผมเองมันดีหรือมันชั่ว ผมยังมองไม่เห็นความดีของตัวแม้แต่นิดเดียว คุยมากไป ต่อไปฟังเรื่องพระพุทธเจ้าท่านดีกว่าตอนนี้

ระวังนะครับ

เมื่อกี้นี้สะเก็ด ตอนนี้เข้าถึงเปลือก เปลือกนี้มีความสำคัญมาก เป็นกำลังใจที่จะทรงฌานได้ทุกลมหายใจเข้าออก คำว่าทรงฌานนี่

ไม่ใช่ไปนั่งภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องการจะใช้ฌาณใช้ฌานเมื่อไรมันจะมีผลทันทีก็ตอนเปลือกนี่แหละ ฟังไว้

ให้ดีนะครับ ท่านมีอะไรบ้างท่านกล่าวว่า นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การหน่ายบาปด้วยตบะ เป็ฯกิริยาที่ถึง

ยอดและถึงแก่น ด้วยเหตุเพียงเท่าหร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงบให้ข้าพระองค์ถึงอยดถึงแก่นแห่งการหน่าย

บาปด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้เป็นผู้สังวร คือระมัดระวังด้วยสังวร 4

ประการเป็นไฉน ท่านถามของท่านเองนะ แล้วท่านก็ตรัสว่า นิโคธะดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้

1.ไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นให้ฆ่าสัตว์ เมื่อผู้อื่นฆ่าสัตว์แล้วไม่เป็นผู้ดีใจ

2.ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยตนเอง ไม่ใช้ให้บุคคลอื่นเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เมื่อผู้อื่นถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้

ให้มา ได้แล้วไม่ดีใจ หรือไม่เป็นผู้ดีใจ คือไม่มีใจด้วย

3.ไม่พูดเท็จด้วยตนเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นพูดเท็จ เมื่อคนอื่นพูดเท็จก็เป็นผู้ม่ดีใจ

4.ไม่เสพกามคุณ ไม่ให้บุคคลอื่น หรือไม่แนะนำ ไม่ส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพกามคุณ เมื่อผู้อื่นเสพกามคุณก็เป็นผู้ไม่ดีใจนี้ท่านพูด

ระหว่างนักพรตนะครับ ถ้าอย่างพวกเราๆ มันต้องเติมอีกนิดหนึ่งจะต้องเติมนะครับ เดี๋ยวคนเลวๆ จะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม

ดื่มสุรานั่นน่ะความระยำ ไม่ใช่ระยำคนมันจะเกิดขึ้นมาแล้ว พวกมิจฉาทิฏฐิจะคิดว่าพระพุทธเจ้าบอกแค่ 4 นี่ 5 ไม่ได้ห้าม ถ้าคนดีละ

ก็แค่ 1 ก็พอ ถ้าคนเลว 227 มันก็ไม่พอฉะนั้นควรเติมข้อ 5 ว่า

5.ไม่เสพสุราเมรัยด้วยตนเอง ไม่แนะนำบุคคลอื่นให้เสพสุราและเมรัยไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นเสพสุราและเมรัยแล้วต้องเติมเพื่อกันคน

เลวนะขอรับ ท่านตรัสต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้สังวรคือระมัดระวังแล้วด้วยสังวร 4 ประการอย่างนี้ ดูก่อน

นิโครธะเพราะว่าบุคคลผู้มีตบะเป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ ข้อที่จะกล่าวต่อไปนี้จึงเป็นลักษณะของเขา เพราะเป็นผู้มีตบะ

เขารักษายิ่งซึ่งศีล ไม่เวียนมาเพื่อเพศอันเลวเขาเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภุเขา ซอกเขา ถ้ำในภูเขา ป่าข้า ป่าชัฏ ที่

แจ้ง ลอมฟ่างในเวลาปัจฉาภัต คือ

ฉันอาหารแล้ว กินข้าวแล้ว เขากลับจากบิณฑบาตแล้วนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกาตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ย่อมขำระจิตให้บริสุทธิ์จาก

ความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้ายคือ พยาบาท แล้วก็ไม่พยาบาทมีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ ย่อมขำ

ระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาทได้ ละถึนมิทธะแล้ว ถึนมิทธะ

แปลว่า ความง่วงเหงาหาวนอน ผู้ปราศจากความง่วงเหงาหาวนอน นี่ผมแปลออกมาเลยนะครับถึนมิทธะ เดี๋ยวจะฟังกันไม่รู้เรื่อง มี

ความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง ฟังให้ดีนะครับ มีสติสัมปชัญญะอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความง่วง แล้วก็ ละอุทธัจจกุกกุจจะ

คืออารมณ์ที่ฟุ้งซ่านและรำคาญ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉา

อุทธัจกุกกุจจะคืออารมณ์ฟุ้งซ่านและรำคาญนะครับ ละ

วิจิกิจฉาคือความสงสัย เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉาคือความสงสัย เขาละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ อันเป็นอุปกิเลสแห่งในที่ทำให้ปัญญาถอยหลังมี

ใจประกอบไปด้วยเมตตาแผ่ไปในทิศที่ ๑ ที่ ๒ ที่๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกันตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบนทั้งเบื้องล่าง ทั้งเบื้องขวาแผ่ออกไป

ตลอดโลก และก็ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถานด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร

ไม่มีการเบียดเบียนอยู่เขามีใจประกอบไปด้วยกรุณาแผ่ไปตลอดในทิศที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็ เหมือนกันตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบนเบื้อง

ล่าง เบื้องขวางแผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถานด้วยใจอันประกอบด้วยกรุณาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณ

มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียนอยู่

เขามีใจประกอบไปด้วยมุทิตาแผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็เหมือนกันตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง เบื้องขวางแผ่ไป

ตลอดโลก สัตว์ทั่วทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยมุทิตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี

ความเบียดเบียนเขามีใจประกอบไปด้วยอุเบกขาแผ่ไปในทิศที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็เหมือนกันตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง และเบื้อง

ขวางแผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่อันประมาณมิได้

ไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียนอยู่ทรงกล่าวว่า มิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้นการหน่ายบาปด้วยตบะ จะ

บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้นการหน่ายบาปด้วยความเพียรอย่างนี้

บริสุทธิ์แท้พระเจ้าค่ะ จะพูดว่าไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ เป็นกริยาที่ถึงยอดและถึงแด่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ การหน่าย

บาปด้วยตบะด้วยเหตุเพียงเท่านี้นเป็นกริยาที่ถึงยอดและถึงแก่นที่หามิได้ ที่แท้เป็นกริยาเปลือกเท่านั้น

เอ้า ! ตอนนี้เวลาเหลืออีกเท่าไรล่ะ อีก 7 นาที ถ้าจะอ่านต่อไปให้รู้สึกว่าจะไม่จบ ก็ย้อนมาคุยกันสักนิดถอยหลังย้อนรอยนะขอรับ

การถอยหลังยอนรอยนี่ก็ หมายความว่า กริยาที่เป็นสะเก็ดน่ะ อย่าลืมนะขอรับ ถ้าท่านมีความดีไม่ถึงสะเก็ดก็จงอย่านึกว่าความดี

ของเรามีแล้ว ก็แสดงว่าเรายังไม่มีอะไรดีเลย อย่าคิดเอาเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ผ้ากาสาวพัสตร์ว่าฉันเป็นพระ ผมเคยบอกแล้ว

นะขอรับว่าฆราวาสน่ะตกนรกยากกว่าพระ

พระนี่ตกนรกง่ายกวาฆราวาสมาก ถ้าพูดกันโดยเปอร์เซ็นต์ พระตกนรกมากกว่าฆราวาสเยอะ ถ้าพูดโดยปริมาณแล้วฆราวาสเขา

มากกว่า เขาก็ตกมากกว่า แล้วพระเราตกดีด้วย ส่วนใหญ่ก็ไหลลงอเวจีเป็นที่พึ่งทั้งนี้เพราะอะไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพระแค่ผ้า

กาสาวพัสตร์ แล้วก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทท่านมีศรัทธา แล้วก็นักบวชเลวๆ นี่มีจริยาดีเสียด้วยนะเรียบร้อย ท่าทางนิ่มนวล ทั้งนี้

เพราะอะไร เพราะมีจริยาหลอกชาวบ้าน ไอ้การหลอกกันตรงทำดี แต่ของดีนี่เขาเฉยๆ ของดีตั้งอยู่ในตู้ แต่ใช้ของปลอมนี่มัน

โฆษณาก้องไปทั้งถนนหนทาง ทั้งซอกบ้านมุมเรือนไปหมด พูดจาพูดมากด้วย ข้อนี้มีอุปมาฉันใด

นักบวชเลวๆ ก็เป็นเช่นนั้น บางทีก็ชูแบบกิ้งก่า ไอ้กิ้งก่าได้ทองน่ะมันชูคออวดทองฉันใด นักบวชที่เมาในลาภยศสรรเสริญสุข ก็มี

สภาพเช่นนั้น ชูคอบอกว่าฉันเป็นนั่นนะ ฉันเป็นนี่น่ะ ฉันเป็นโน้นนะ มีศักดิ์ศรีใหญ่ ญาติโยมท่านยังติดโลกธรรมมากก็พากันบูชา พา

กันสักการะ แต่ความจริงไม่ได้ตำหนิญาติโยม ตำหนิพวกกันเองว่ายังโลกธรรมมากอยู่

ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู อันดับแรกเลาะสะเก็ดให้ดีนะขอรับ แล้วก็มาจับเปลือก เปลือกนี่

ดีใจความสั้นๆ ว่าทรงศีลให้ดี ศีลนี่จะบูชาแค่ 4 แต่ควรจะเป็น 5 กันคนเลว แต่ว่าถ้าเป็นเณรต้อง 10 นะขอรับพร้อมไปด้วยเสขิยวัตร

เป็นพระตั้ง 227 และพร้อมด้วยอภิสมาจาร ไม่ละเมิดเอง ไม่แนะนำให้คนอื่นละเมิด ไม่ยินดีเมื่อเขาละเมิดแล้ว

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เข้าไปตัดหรือระงับนิวรณ์ 5 ประการฟังไปเมื่อกี้นี้อาจจะเข้าใจชัด เพราะยาวเหยียด ท่านพูดเพื่อ

ความเข้าใจระหว่างอาจารย์ด้วยกัน ระหว่างศาสดาด้วยกัน ก็ต้องพูดกันละเอียดแบบนี้พูดกันอย่างเราๆ ย่อ ๆ ก็ศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลาย

เองด้วย ไม่แนะนำคนอื่นเขาทำลาย ไม่ยินดีเมื่อเขาทำลาย แล้วก็พยายามระงับนิวรณ์ 5 ให้ทรงใจสงบสงัดจากนิวรณ์ หลังจากนั้นก็

ทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร 5 ประการ ครบถ้วนเนื้อแท้จริง ๆ ที่ท่านกล่าวมามีเท่านั้นแหละครับ ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททุก

ท่าน จะเป็นพระเป็นเณร เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายก็ตาม ทรงกำลังใจอย่างนี้เป็นปกติ เขาเรียกว่าเป็นจิตของผู้ทรง

ฌาน คือฌานโลกีย์ฌานโลกีย์น่ะทรงกันแค่นี้แหละ ไม่มีอะไรมาก ถ้ามีกำลังใจได้อย่างนี้ทุกอิริยาบถ ครบถ้วน ไอ้คำว่าครบถ้วน

ไม่ใช่ไปนั่งท่อง ศีลมีเท่าไร นิวรณ์มีเท่าไร พรหมวิหาร 4 มีเท่าไร ไม่ใช่อย่างนั้น อารมณ์ใจมันทรงตัว

อารมณ์ละเมิดศีลไม่มี แนะนำเขาละเมิดศีลไม่มี เวลาต้องการจิตสงัดจากนิวรณ์ปั๊ปนิวรณ์จะหลุดทันที แต่อารมณ์ใจของ

พรหมวิหาร 4 ทรงเป็นปกติ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะหลับตาจิตมีเมตตาเสมอ มีกรุณาสงสารเสมอ มีมุทิตาอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร

พลอยยินดีเมื่อคนอื่นได้ดีเสมอ มีอุเบกขาวางเฉยไม่ดิ้นรนเกินไป

เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าถึงเปลือก คือเป็นผู้ทรงฌาน จะถามว่ายังไม่ภาวนา

เลย ถ้าได้อย่างนี้ไม่ต้องภาวนาจิตทรงตัวแน่ มีความเยือกเย็น ถ้าจิตมีความเยือกเย็นอย่างนี้จะใช้ญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง คือทิพ

จักขุญาณก็ดี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี เป็นต้น ทุกญาณอย่างนั่นแหละ จะใช้เมื่อไรมีผลเมื่อนั้น ฝึกเมื่อไรได้เมื่อนั้น

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน และเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย มองเวลาก็หมดแล้วนะขอรับพยายามทำให้ได้นะขอรับ

สะเก็ดก็ดี กระพี้ก็ดี เปลือกก็ดี ทั้ง 3 ประการนี้ ต้องทำให้ได้นะขอรับ ผมไม่บอกควรจะทำ ผมบอกว่าต้องทำเพราะที่วัดนี้ฝึกมโนมยิ

ทธิกันได้แล้ว ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ถือว่าท่านเป็นผู้หลอกหลวงบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทำบุญกับเปรต ทำบุญกับสัตว์นรก เอาล่ะ

วันนี้ขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่พุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2017:-10--10--8-&catid=37:2010-03-02-03-52-18

1750
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 12:02:39 »
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี 10 อย่าง คือ

ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย

4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ

ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
8. มานะ - มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา - มีความไม่รู้จริง

พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้นได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ

1751
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 11:59:55 »

โลกุตรธรรม
โลกุตรธรรม ธรรมหรือสิ่งอันมิใช่วิสัยทางโลก, สภาวะพ้นจากทางโลก หรือสภาวะเหนือโลก อันมี๙ ดังนี้ (พระอริยบุคคล มี๘ คือผู้ปฏิบัติได้ในข้อ๑-๘ - ฐานะแห่งตน)

๑.โสดาปัตติมรรค การปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อบรรลุผลความเป็นพระโสดาบัน หมายถึง กำลังปฏิบัติอย่างถูกต้องถูกทาง ที่ยังให้เกิดญาณ คือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอันเป็นเหตุให้ละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้

๒.โสดาปัตติผล ผลคือการถึงกระแสนิพพาน จากการละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกด้วยโสดาปัตติมรรค ทําให้บุคลผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน , เข้ากระแสพระนิพพาน หมายถึงเข้าสู่กระแสแรงดึงดูดของพระนิพพานเสียแล้ว อันมิอาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ เพียงขึ้นอยู่กับระยะเวลา ตั้งแต่ภพชาติเดียว(เอกพีชี)จนถึงมากที่สุด ๗ ชาติ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเพียร สติ ปัญญา ตลอดจนเหตุปัจจัย

๓.สกิทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลความเป็นพระสกิทาคามี, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณรู้คือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ ๓ ข้อแรก และเบาบางลงในข้อ ๔ และ ๕ คือ กามราคะ และ ปฏิฆะ

๔.สกิทาคามิผล ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติอันสืบเนื่องจากสกิทาคามิมรรคในข้อ๓ ทําให้เป็น พระสกิทาคามี

๕.อนาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลคือความเป็นพระอนาคามี, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณคือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ทั้ง๕ข้อแรกได้

๖.อนาคามิผล ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติอันสืบเนื่องจากอนาคามิมรรคในข้อ๕ ทําให้เป็นพระอนาคามี

๗.อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลเป็นพระอรหันต์, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณคือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ทั้ง๑๐

๘.อรหันตผล ผลคือความสําเร็จเป็นพระอรหันต์ ผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ทั้งหมด

๙.นิพพาน ผลการดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรมที่เป็นจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนา

1752
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 11:56:34 »
3. ปฏิเวธสัทธรรม หมายถึง สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค4 ผล4 และนิพพาน1=โลกุตรธรรม

 ปฏิเวธ ได้แก่ ผลของการปฏิบัติธรรมนั้น เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก และพระอริยบุคคล เป็นต้น ผู้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งทำให้ยกฐานะจากปุถุชนธรรมดาขึ้นมาเป็นพระอริยบุคคล การบรรลุธรรมชั้นนั้น ๆ ตามภูมิธรรมที่ตนปฏิบัตินั้น ไม่มีใครมายกย่องหรือแต่งตั้งให้ แต่การยกฐานะดังกล่าวเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือฐานะหรือตำแหน่งแห่งอริยเจ้านั้นไม่มีการแต่งตั้งให้ จะรู้ได้ด้วยตนเอง เรียกว่า ปฏิเวธ
            หลักพระสัทธรรม 3 เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีมีความสุข จึงเป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ (มรรค)


1753
สุดยอดครับท่าน ทั้งภาพ และ เสียง พร้อมเนื้อหาสาระ 25; 25;
                 
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :054: :054:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความรู้ดีมากๆครับผม :053: :053:   

(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ) :054: :054:
 
 
ขอบคุณท่านกัลยาณมิตร  :054:
--------------------

กัลยาณมิตร คือ มิตรแท้ เพื่อนแท้ เพื่อนตาย เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างจริงใจโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เป็นมิตรที่หวังดี มีสิ่งดี ๆ ให้กันด้วยความจริงใจ
คุณสมบัติของกัลยาณมิตร (กัลยาณมิตรธรรม 7)
ปิโย น่ารัก ในฐานเป็นที่สบายใจและสนิทสนม ชวนให้อยากเข้าไปปรึกษา ไต่ถาม
ครุ น่าเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแก่ฐานะ ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พึ่งใจ และปลอดภัย
ภาวนีโย น่าเจริญใจ หรือน่ายกย่อง ในฐานทรงคุณ คือ ความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง ทั้งเป็นผู้ฝึกอบรมและปรับปรุงตนอยู่เสมอ ควรเอาอย่าง ทำให้ระลึกและเอ่ยอ้างด้วยซาบซึ้งภูมิใจ
วตฺตา จ รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดี
วจนกฺขโม อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาซักถามคำเสนอแนะวิพากษ์วิจารณ์ อดทน ฟังได้ไม่เบื่อ ไม่ฉุนเฉียว
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องล้ำลึกได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ให้เข้าใจ และให้เรียนรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป
โน จฏฐาเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่แนะนำในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย

1754
ไม่ผิดหวังเลยจริงๆค่ะ ในทุกๆกระทู้ที่คุณทรงกลดได้นำมาลงให้สมาชิกได้อ่านและศึษษาล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์มากๆ โดยเฉพาะกระทู้นี้"หลวงปู่มั่น"ขอขอบคุณและชื่นชมคุณทรงกลดเป็นพิเศษ "ขอบคุณนะคะ"และจะรออ่านธรรมมะดีๆของคุณทรงกลดในกระทู้ต่อๆไปด้วยค่ะ^^ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
ขอบคุณเช่นกันครับ
ผมเองก็เพิ่งหันมาศึกษาพระธรรม ด้วยพระอาจารย์ฯและกัลยาณมิตรแนะนำ
โชคดีว่า สมัยนี้มีสื่อมากมาย ให้ศึกษาโดยการอ่าน ฟังและดู แม้แต่การสนทนาแลกเปลียน
ในเมื่อตนเองอ่านแล้วหรือบางครั้งยังอ่านไม่จบ ก็จะนำมา(ขอ)แบ่งปันกับกัลยาณมิตรทั้งหลาย
ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก แต่ทีสำคัญคือปฏิปัตติสัทธรรม ใครทำคนนั้นได้(สังคมก็ได้ด้วย)
ศึกษา(และปฏิบัติ)ไว้จะได้ไม่หลงทางหลงผิดครับ

สาธุ :054:

1755
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 11:08:32 »
ถามว่า สิ่งไรเป็นปฏิปัตติสัทธรรม ?
แก้ว่า ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ สิกขานี้ ชื่อว่าปฏิบัตติสัทธรรม ฯ

ศีลคือความ สำรวมกายวาจาตามสิกขาบทบัญญัติ ได้แก่ปาติโมกขสังวรศีล ซึ่งเป็นเชฏฐกศีลสำเร็จด้วยอริยาสมมติ และวิรัติความเว้นจากวจี ทุจริต ๔ กายทุจริต ๓ มิจฉาชีพ ๑ ซึ่งเรียกว่าอาชีวมัฏฐกศีล ๆ มี อาชีวะเป็นที่ ๘ อันเป็นอาทิพรหมจริยกาสิกขา สำเร็จด้วยสมาทาน เจตนาก็ดี ชื่อว่าศีลสิกขา

สมาธิความตั้งใจอยู่ในอารมณ์อันเดียว คือ กุสเลกัคตา ความที่แห่งจิตมีอารมณ์อันเดียว เป็นกุศลอันเกิดขึ้นด้วย สมถกรรมฐาน มีกสิณปริกรรมและอสุภปริกรรมเป็นต้น ที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ เพราะเป็นสมาธิแอบแนบแน่นในอารมณ์ หรือเรียก ว่าอัปปนาฌาน เพราะเป็นของแอบแนบแน่นเพ่งอารมณ์มีกสิณ เป็นต้นอยู่ก็ดี และอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิยังไม่ถึงอัปปนาก็ดี ชื่อว่าสมาธิสิก

ปัญญาความรู้เท่าสังขาร คือนามรูปและปัญจขันธ์ เป็นต้น ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ใช่ตน ได้แก่วิปัสสนาปัญญา

            ตั้งแต่สัมมสนญาณจนถึงอนุโลมญาณ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยวิปัสสนากรรม ฐานนั้น ชื่อว่าปัญญาสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ นี้ ชื่อว่าสิกขา เพราะเป็นกิจการในศาสนาอันบุคคลผู้ประสงค์ความสิ้นทุกข์ จะพึง ศึกษาสำเหนียกกระทำปฏิบัติตาม สิกขาศัพท์นี้ จะแปลว่าความศึกษา ก็ได้ จะแปลว่าธรรมชาติอันบุคคลพึงศึกษาก็ได้ แต่ในที่นี้ต้องแปลว่า ธรรมชาติอันบุคคลพึงศึกษา เพราะ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมชาติ อันบุคคลพึงศึกษา


อ่านแค่นี้พอ อ่านต่อแล้วจะงง
http://www.larnbuddhism.com/buppasikkhawanna/2.4.html

1756
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:57:09 »
เหตุที่ทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่นาน

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าไผ่ ใกล้เมืองมิถิลา ลำดับนั้น ท่านกิมพิละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมไม่ตั้งอยู่ยั่งยืนในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
    “ดูกรกิมพิละ ! เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาในพระธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระศาสดา ในพระธรรมในพระสงฆ์ ในการศึกษา ไม่เคารพยำเกรงกันและกัน นี้แล กิมพิละ ! เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมไม่ตั้งอยู่ได้นานในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว”
(จากปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๒๗๕)

     ครั้นเมื่อพูดถึงการเกิดของคนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่า“สัตว์โลก” ทุกคนเรียนและรู้ว่าชีวิตเกิดอย่างไร? แต่จะมีมนุษย์สักกี่คน ที่จะรู้ว่าตนเอง เกิดมาทำไม? หลายคนอาจตอบเหมือนกันว่า ชีวิตก็คือ การเริ่มต้นตั้งแต่เกิดเป็นทารกแบเบาะ เจริญเติบโตเป็นเด็กแล้วเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ผ่านมหาวิทยาลัยได้รับปริญญาแล้วได้ทำงานประกอบอาชีพเลี้ยงตน แต่งงานมีครอบครัว หาและสะสมทรัพย์สินเพื่อความมั่นคงของชีวิต ดิ้นรนเสาะแสวงหาความสุข ลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ ตามแต่จะต้องการ ซึ่งบางคนได้สมประสงค์บ้าง บางคนก็ไม่สมประสงค์ต่างๆกันไป และที่ไม่มีแตกต่างกันก็คือต้องประสบกับความสุขความทุกข์บ้าง คละเคล้าสับเปลี่ยนกันไป เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นๆ ความแก่ ความชราก็มาเยือน เมื่อถึงวันนั้นร่างกาย ก็เริ่มเสื่อม เริ่มเจ็บไข้ได้ป่วย ล้มหมอนนอนเสื่อและที่สุดของชีวิต วันนั้นวันที่หนีไม่พ้นก็มาถึงคือ “วันตาย” จึงมีคำถามสุดท้ายว่า “เท่านี้หรือคือชีวิต?”

เท่านี้หรือ...ชีวิต

    โคควายวายชีพได้     เขาหนัง
เป็นสิ่งที่เป็นอันยัง         อยู่ไซร้
คนเด็ดดับศูนย์สัง-        ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้         แต่ร้ายกลับดี
    ปางน้อยสำเหนียกรู้   เรียนคุณ
ครั้นใหญ่ย่อมหาทุน      ทรัพย์ไว้
เมื่อกลางแก่แสวงบุญ     ธรรมชอบ
ยามหง่อมทำใดได้       แต่ล้วนอนิจจังฯ
    รูปชายหญิงทั่วท้อง  ธาตรี
เป็นภักษ์แก่เดือนปี        สุดสิ้น
อัฐิถมทั่วปฐพี             รายเรี่ย
ประเทศเท่าปีกริ้น        ร่างพ้นฤๅมี
(โคลงโลกนิติ)

สิ่งที่ขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ฐานะ ๕ อย่างเหล่านี้ อันใครๆ ในโลกไม่พึงได้
คือ

๑. ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าได้แก่เลย
๒. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าได้เจ็บไข้เลย
๓. ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าได้ตายเลย
๔. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าได้สิ้นไปเลย
๕. ขอสิ่งที่มีความพินาศไปเป็นธรรมดา อย่าได้พินาศไปเลย
ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๕๙


ที่มา
http://thai.mindcyber.com/buddha/why1/1124.php

1757
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:49:07 »
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัทธรรมปฏิรูป หมายถึง พระสัทธรรมเทียม พระสัทธรรมปลอม เมื่อพระสัทธรรม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เลือนหายไป

ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม หรือ สัทธรรมปฏิรูป เกิดขึ้นจากเหตุผล 5 ประการ คือ พุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)

ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ


1758
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:46:14 »
๓. มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน

 เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ

๔. มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ

         นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด


อ่านต่อ
http://www.luangpumun.org/muttothai_2.html

1759
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:44:33 »
แนวทางการปฏิบัติให้ถึงความหลุดพ้น.......ธรรมจาก หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

   
บันทึกโดยพระอาจารย์วิริยังค์  สิรินฺธโร ( ปัจจุบันพระราชธรรมเจติยาจารย์ วัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ ) ณ วัดป่าบ้านนามน กิ่ง อ. โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖

๑. การปฏิบัติ เป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์

             สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมกลายเป็นของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจ้าแล้วไซร้ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติถ่ายเดียว จึงยังใช้การไม่ได้ดี ต่อเมื่อมาฝึกหัดปฏิบัติจิตใจกำจัดเหล่า กะปอมก่า คือ อุปกิเลส แล้วนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย

๒. การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า

 ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา
             สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทฺโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลใดไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้ว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษ ปรากฏว่า ปาปโกสทฺโท คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในก่อนทั้งหลาย

1760
ธรรมะ / ตอบ: สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:39:43 »
มุตโตทัย  แนวทางปฏิบัตให้ถึงความหลุดพ้น

ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อธรรมดังต่อไปนี้
 
๑. การปฏิบัติ เป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์
๒. การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า
๒. การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า
๔. มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ
๕. มูลเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ
๖. มูลการของสังสารวัฏฏ์
๗. อรรคฐาน เป็นที่ตั้งแห่งมรรคนิพพาน
๘. สติปัฏฐาน เป็น ชัยภูมิ คือสนามฝึกฝนตน
๙. อุบายแห่งวิปัสสนา อันเป็นเครื่องถ่ายถอนกิเลส
๑๐. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส
๑๑. การทรมานตนของผู้บำเพ็ญเพียร ต้องให้พอเหมาะกับอุปนิสัย
๑๒. มูลติกสูตร
๑๓. วิสุทธิเทวาเท่านั้นเป็นสันตบุคคลแท้
๑๔. อกิริยาเป็นที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัต
๑๕. สัตตาวาส ๙
๑๖. ความสำคัญของปฐมเทศนา มัชฌิมเทศนา และปัจฉิมเทศนา
๑๗. พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ

อ่านทั้งหมด
http://www.luangpumun.org/muttothai_1.html#1

1761
ธรรมะ / สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:22:54 »
สัทธรรม แปลว่า ธรรมของสัตบุรุษ ใช้ หมายถึงพระพุทธพจน์หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกโดยเคารพว่า พระสัทธรรม
สัทธรรม แบ่งเป็น ๓ อย่าง คือ

๑. ปริยัติสัทธรรม คือคำสอนที่แสดงถึงหลักสำหรับศึกษาเล่าเรียน ทรงจำ แนะนำสั่งสอนกัน ได้แก่ พระสูตร คาถา ชาดก เป็นต้น

๒. ปฏิปัตติสัทธรรม คือ คำสอนที่แสดงถึงหลักปฏิบัติตามที่ศึกษามา แสดงวิธีปฏิบัติสูงขึ้นไปตามลำดับ คือระดับศีล ระดับสมาธิ ระดับปัญญา

๓. ปฏิเวธสัทธรรม คือคำสอนที่แสดงถึงผลที่เกิดจากการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ซึ่งเรียกว่า โลกุตรธรรม


เรียกพระสัทธรรม ๓ อย่างนี้ย่อๆ ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็ได้


สัตบุรุษ คือ .....
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัตบุรุษ (อ่านว่า สัดบุหรุด) แปลว่า คนดี คนสงบ คนที่พร้อมมูลด้วยธรรม
สัตบุรุษ หมายถึงคนที่มีคุณธรรม คนที่เป็นสัมมาทิฐิ คนที่ประพฤติธรรมเป็นปกติ
สัตบุรุษ ในทางปฏิบัติคือคนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการคือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา
ไม่ปรึกษาอะไรที่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่คิดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่พูดอะไรเพือเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่ทำอะไรเพือเบียดเบียนตนและผู้อื่น
มีความเห็นชอบ เป็นสัมมาทิฐิ
ให้ทานโดยความเคารพ ไม่ให้แบบทิ้งขว้าง

1762
หลังจากที่ท่านกลับจากเชียงใหม่  เข้าพักที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพ ฯ
ตามคำสั่งของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ( ติสโส  อ้วน )  ก่อนเดินทางไปอุดร ฯ
ในระยะที่ท่านพักอยู่ที่นั้นปรากฏว่ามีคนมาถามปัญหากับท่านมาก  มีปัญหาของบางรายที่แปลกกว่าปัญหาทั้งหลาย  ซึ่งมีดังนี้
( จาก"ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตตโต" 
โดย หลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน  )


 
ชาวกรุงเทพ
 ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว  มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์  เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช้ไหม
หลวงปู่มั่น
 ใช่  อาตมารักษาเพียงอันเดียว

ชาวกรุงเทพ
 ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร

หลวงปู่มั่น
คือใจ

ชาวกรุงเทพ
 ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ

หลวงปู่มั่น
 อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด  อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้  จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม  บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม  อาตมาก็เย็นใจว่า  ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ  ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น  สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน  เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา  นับแต่เริ่มอุปสมบท

ชาวกรุงเทพ
 การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ

หลวงปู่มั่น
 ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้  นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา  แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล  เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก  ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย  ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด  ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้  ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว

ชาวกรุงเทพ
 ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกว่าศีล  จึงเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นต้องรักษาใจก็ได้  จึงได้เรียนถามอย่างนั้น

หลวงปู่มั่น
 ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยนั้นก็ถูก  แต่กายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้นต้นเหตุมาจากอะไร  ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็นไปในทางที่ถูก  เมื่อเป็นมาจากใจ  ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง  จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรมที่น่าอบอุ่นแก่ตัวเอง  และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้  ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยใจเป็นผู้คอบควบคุมรักษาเลย  แม้กิจการอื่น ๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยดี  การงานนั้น ๆ จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดและทรงคุณภาพโดยสมบูรณ์ตามชนิดของมัน  การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน  จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร  ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป  การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป  ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย  ศีลขาดศีลทะลุ  ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช  ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย  ธรรมบอ  ธรรมบ้า  ธรรมแตก  ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วยอย่างแยกไม่ออก  ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา  และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างเลย  อาตมาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก  บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา  เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า  แม่น้ำลำธาร  หินผาหน้าถ้ำ  เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา  เสียงสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ตามทัศนียภามที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง  ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้แตกฉานทางศีลธรรมการตอบปัญหาจึงเป็นไปตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อน ๆ รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสมมาอธิบายให้ท่านผู้สนใจฟังอย่างภูมิใจได้

ชาวกรุงเทพ
 คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร  และอะไรเป็นเป็นศีลอย่างแท้จริง

หลวงปู่มั่น
 ความคิดในแง่ต่าง ๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ  รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร  ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม  คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ  ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด  นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว  ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง  เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก  ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่าง  ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก  ว่านั่นคือตัวบ้าน  และนั่นคือเจ้าของบ้าน  ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบากเฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้  แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกไม่ออก  ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจหลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปนานแล้ว  และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่น ๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน  เพราะได้มาก็ไม่ปลอดภัย  ดังนั้น  ความไม่รู้ว่า "อะไรเป็นศีลอย่างแท้จริง" จึงเป็นอุบายวิธีหลึกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล  และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ  อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้  เพราะระวังภัยยาก  แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกว่าอยู่สบาย  ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย  ตัวจะตายจากศีล  และกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ  ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์  ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น.

1763
โอกาสว่างๆ ตอนที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่กรุงเทพ  จะมีพระมหาเถระ(ไม่ปรากฏพระนาม)สั่งพระมาอาราธนานิมนต์ท่านไปหาเพื่อสัมโมทนียกถาเฉพาะ  โดยปราศจากผู้คนพระเณรเข้าไปเกี่ยวข้อง

พระมหาเถร
ท่านชอบอยู่ในป่าในเขา  ไม่ชอบเกี่ยวข้องกังวลกับพระเณรตลอดฆราวาส  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาท่านไปศึกษากับใคร  จึงจะผ่านปัญหานั้น ๆ ไปได้  แม้ผมเองอยู่ในพระนครที่เต็มไปด้วยนักปราชญ์เจ้าตำหรับตำราพอช่วยปัดเป่าข้อข้องใจได้บางคราวยังเกิดความงงงันอั้นตู้ไปได้  ไม่มีใครสามารถช่วยแก้ให้ตกไปได้  ยิ่งท่านอยู่เฉพาะองค์เดียวเป็นส่วนมากตามที่ทราบเรื่องตลอดมา  เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา  ท่านศึกษาปรารภกับใคร  หรือท่านจัดการกับปัญหานั้น ๆ ด้วยวิธีใด  นิมนต์อธิบายให้ผมฟังด้วย

หลวงปู่มั่น
กราบเรียนด้วยความอาจหาญเต็มที่ไม่มีสะทกสะท้านเลย  เพราะได้ศึกษาจากหลักธรรมชาติอย่างนั้น  จึงกราบเรียนท่านว่าขอประทานโอกาส  เกล้า ฯ ฟังธรรมและศึกษาธรรมอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีอริยาบถต่าง ๆ นอกจากหลับไปเสียเท่านั้น  พอตื่นขึ้นมาใจกับธรรมก็เข้าสัมผัสกันทันที  ขึ้นชื่อว่าปัญหาแล้วกระผมไม่มีเวลาที่หัวใจจะว่างอยู่เปล่า ๆ เลย  มีแต่การถกเถียงโต้ตอบกันอยู่ทำนองนั้น  ปัญหาเก่าตกไปปัญหาใหม่เกิดขึ้นมา  การถอดถอนกิเลสก็ไปในระยะเดียวกันกับปัญหาแต่ละข้อตกไปปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาก็เท่ากับรบกันกับกิเลสใหม่  ปัญหาทั้งใกล้ทั้งไกล  ทั้งวงกว้างวงแคบทั้งวงในวงนอก  ทั้งลึกทั้งตื้น  ทั้งหยาบทั้งละเอียด  ล้วนเกิดขึ้นและปะทะกันที่หัวใจ  ใจเป็นสถานที่รบข้าศึกทั้งมวล  และเป็นที่ปลดเปลื้องกิเลสทั้งปวง  ในขณะที่ปัญหาแต่ละข้อตกไปที่จะมีเวลาไปคิดว่าเมื่อปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเราจะไปศึกษาปรารภกับใครนั้นเกล้าฯ มิได้สนใจคิดให้เสียเวลานิ่งไปกว่าจะตั้งท่าฆ่าฟันห้ำหั่นกันกับปัญหา  ซึ่งเป็นฉากของกิเลสแฝงมาพร้อมให้สะบั้นหั่นแหลกกันลงไปเป็นทอด ๆ และถอดถอนกิเลสออกได้เป็นพัก ๆ เท่านั้น  จึงไม่วิตกกังวลกับหมู่คณะว่าจะมาช่วยแก้ไขปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจได้รวดเร็ว  ยิ่งกว่าสติปัญญาที่ผลิตและฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลา  คำว่า  อตฺตา  หิ  อตฺตโน  นาโถ  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น  เกล้า ฯ ได้ประจักษ์ใจตัวเองขณะปัญหาแต่ละข้อเกิดขึ้น  และสามารถแก้ไขกันลงได้ทันท่วงทีด้วยอุบายวิธีของสติปัญญาที่เกิดกับตนโดยเฉพาะ  มิได้ไปเที่ยวคว้ามาจากตำราหรือคัมภีร์ใดในขณะนั้น  แต่ธรรมคือสติปัญญาในหลักธรรมชาติ  หากผุดออกรับออกรบและแก้ไขกันไปในตัว  และผ่านพ้นไปได้โดยลำดับไม่อับจน  แม้จะมีอยู่บ้างที่เป็นปัญหาลึกลับและสลับซับซ้อนที่จำต้องพิจารณากันอย่างละเอียดลออและกินเวลานานหน่อย  แต่ก็ไม่พ้นกำลังของสติปัญญาที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วไปได้  จำต้องทลายลงในเวลาหนึ่งจนได้  ด้วยเหตุดังที่กราบเรียนมา  เกล้า ฯ จึงมิได้สนใจใผ่ฝันในการอยู่กับหมู่คณะ เพื่ออาศัยเวลาเกิดปัญหาจะได้ช่วยแก้ไขแต่สนใจไยดีต่อการอยู่คนเดียว  ความเป็นผู้เดียวเปลี่ยวกายเปลี่ยวใจเป็นสิ่งที่พอใจแล้วสำหรับเกล้า ฯ ผู้มีวาสนาน้อย  แม้ถึงคราวเป็นคราวตายก็อยู่ง่ายตายสะดวก  ไม่พะรุงพะรังห่วงหน้าห่วงหลัง  สิ้นลมแล้วก็สิ้นเรื่องไปพร้อม ๆ กัน  ต้องขอประทานโทษที่เรียนตามความโง่ของตนจนเกินไป  ไม่มีความแยบคายแสดงออกพอเป็นที่น่าฟังบ้างเลย

 พระมหาเถรฟังท่านกราบเรียนอย่างสนใจและเลื่อมใสในธรรมที่เล่าถวายเป็นอย่างยิ่ง  พร้อมกับอนุโมทนาว่า  เป็นผู้สามารถสมกับชอบอยู่ในป่าในเขาคนเดียวจริง ๆ ธรรมที่แสดงออก  ท่านว่าจะไปเที่ยวค้นดูในคัมภีร์ไม่มีวันเจอ  เพราะธรรมในคัมภีร์กับธรรมที่เกิดจากใจอันเป็นธรรมในหลักธรรมชาติต่างกันอยู่มาก  แม้ธรรมในคัมภีร์ที่จารึกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นธรรมบริสุทธิ์  เพราะผู้จารึกเป็นคนจริงคือเป็นผู้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์  แต่พอตกมานาน ๆ ผู้จารึกต่อ ๆ มาอาจไม่เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงเหมือนรุ่นแรก  ธรรมจึงอาจมีทางลดคุณภาพลงตามส่วนของผู้จารึกพาให้เป็นไป  ฉะนั้น  ธรรมในคัมภีร์กับธรรมที่เกิดขึ้นจากใจอย่างสด ๆ ร้อน ๆ จึงน่าจะต่างกันแม้ธรรมด้วยกัน  ผมหายสงสัยในข้อที่ถามท่านด้วยความโง่ของตนแล้ว
 แต่ความโง่ชนิดนี้ทำให้เกิดประโยชน์ได้ดี  เพราะถ้าไม่ถามโง่ ๆ ก็จะไม่ได้ฟังอุบายแบบฉลาดแหลมคมจากท่าน  วันนี้ผมจึงเป็นทั้งฝ่ายขายทั้งความโง่และซื้อทั้งความฉลาด  หรือจะเรียกว่าถ่ายความโง่เขลาออกไปไล่ความฉลาดเข้ามาก็ไม่ผิด  ผมยังสงสัยอยู่อีกเป็นบางข้อ  คือที่ว่าพระสาวกท่านทูลลาพระศาสดาออกไปบำเพ็ญอยู่ในที่ต่าง ๆ เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาก็กลับมาเฝ้าทูลถาม  เพื่อทรงช่วยชี้แจงปัญหานั้น ๆ จนเป็นที่เข้าใจ  แล้วทูลลาไปบำเพ็ญตามอัธยาศัย  นั้นเป็นปัญหาประเภทใด  พระสาวกจึงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง  ต้องมาทูลถามให้พระองค์ทรงช่วยชี้แจงแก้ไข

หลวงปู่มั่น
 เมื่อมีผู้ช่วยให้เกิดผลรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลานาน  นิสัยคนเราที่ชอบหวังพึ่งผู้อื่นย่อมจะต้องดำเนินตามทางลัด  ด้วยความแน่ใจว่าต้องดีกว่าตัวเองพยายามไปโดยลำพัง  นอกจากทางไกลไปมาลำบากจริง ๆ ก็จำต้องตะเกียกตะกายไปด้วยสติปัญญาของตน  แม้จะช้าบ้างก็ทนเอา  เพราะพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้เห็นโดยตลอดทั่วถึงทรงแก้ปัญหาข้อข้องใจ  ย่อมทำให้เกิดความกระจ่างแจ้งชัด  และได้ผลรวดเร็วผิดกับที่แก้ไขโดยลำพังเป็นไหน ๆ ดังนั้น  บรรดาสาวกที่มีปัญหาข้องใจจึงต้องมาทูลถามให้ทรงพระเมตตาแก้ไขเพื่อผ่านไปได้อย่างรวดเร็วสมปรารถนา  แม้กระผมเองถ้าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  และอยู่ในฐานะจะพอไปเฝ้าได้ก็ต้องไป  และทูลถามปัญหาให้สมใจที่หิวกระหายมานาน  ไม่ต้องมาถูไถคืบคลานให้ลำบากและเสียเวลาดังที่เป็นมา  เพราะการวินิจฉัยโดยลำพังตัวเองเป็นการลำบากมาก  แต่ต้องทำเพราะไม่มีที่พึ่งนอกจากตัวต้องเป็นที่พึ่งของตัวดังที่เรียนแล้ว  ความมีครูอาจารย์สั่งสอนโดยถูกต้องแม่นยำ  คอยให้อุบายทำให้ผู้ปฏิบัติตามดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่นและถึงเร็ว  ผิดกับการดำเนินไปแบบสุ่มเดาโดยลำพังตนเองอยู่มาก  ทั้งนี้เกล้า ฯ เห็นโทษในตัวเกล้า ฯ เองแต่ก็จำเป็นเพราะไม่มีอาจารย์คอยให้อุบายสั่งสอนในสมัยนั้น  ทำไปแบบด้นเดาและล้มลุกคลุกคลาน  ผิดมากกว่าถูก  แต่สำคัญที่ความหมายมั่นปั่นมือเป็นเจตนาที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก  ไม่ยอมลดละล่าถอยจึงพอมีทางทำให้สิ่งที่เคยขรุขระมาโดยลำดับค่อย ๆ กลับกลายคลายตัวออกทีละเล็กละน้อยพอให้ความราบรื่นชื่นใจ  ได้มีโอกาสคืบคลานและเดินได้เป็นลำดับมา  พอได้ลืมตาดูโลกดูธรรมได้เต็มใจดังที่เรียนให้ทราบตลอดมา.(จาก"ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น"  โดยหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน)

1764
ชาวโคราชถามปัญหาหลวงปู่มั่น
อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป


ชาวโคราช
        เท่าที่ท่านอาจารย์มาโคราชคราวนี้ เป็นการมาเพื่ออนุเคราะห์ประชาชนตามคำนิมนต์เพียงอย่างเดียว  หรือยังมีหวังเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยในการมารับนิมนต์คราวนี้

หลวงปู่มั่น
        อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป อันเป็นการก่อทุกข์ใส่ตัว คนหิวอยู่เป็นปกติสุข ไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผา ตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ อาตมาไม่หลงจึงไม่แสวงหาอะไร คนที่หลงจึงต้องแสวงหา ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะไปหาให้ลำบากทำไม อะไรๆก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วจะตื่นเงาและตะครุบเงาไปทำไม
        เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้ง ๔ ก็มีอยู่ภายในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้อย่างหมดสิ้นแล้ว จะหาอะไรกันอีกถ้าไม่หลง ชีวิตลมหายใจยังมีและผู้มุ่งประโยชน์กับเรายังมี ก็สงเคราะห์กันไปอย่างนั้นเอง คนหาคนดีมีศีลธรรมในใจนั้นหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเป็นไหนๆ ได้คนดีเพียงคนเดียวย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นล้านๆ เพราะเงินเป็นล้านๆไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้อย่างถึงใจ เหมือนได้ คนดีมาทำประโยชน์คนดีแม้เพียงคนเดียวยังสามารถทำความเย็นใจให้แก่โลกได้มากมายและยั่งยืน เช่น พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง
        คนดีแต่ละคนมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกองและเห็นคุณค่าแห่งความดีของตนที่จะทำต่อไปมากกว่าเงิน แม้จะจนก็ยอมจน ขอแต่ให้ตัวดีและโลกมีความสุข
        แต่คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิดถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนชิปหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยวคนดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรม คือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้ อย่าทำให้สายเกินไป จะหมดทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่างนั้น
        ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์ อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งเบาแบ่งหนักกันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรม

ชาวโคราช
        ขอประทานโทษพวกกระผมเคยได้ยินกิตติศัพท์กิติคุณท่านอาจารย์โด่งดังมานานแล้ว ไม่ว่าครูอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดตลอด ฆราวาส ใครพูดถึงอาจารย์ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์มิใช่พระธรรมดาดังนี้ จึงกระหายอยากฟังเมตตาธรรมท่าน แล้วจะได้เรียนถามไปตามความอยากความหิว แต่ไม่มีความฉลาดรอบคอบในการถามซึ่งอาจจะทำความกระเทือนแก่ท่านอยู่บ้าง กระผมก็สนใจปฏิบัติมานานพอควร จิตใจนับว่าได้รับความร่มเย็นประจักษ์เรื่อยมา ไม่เสียชาติที่เกิดมาพบพระศาสนาและยังได้ กราบไหว้ครูอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์วิเศษด้วยการปฏิบัติธรรม แม้ปัญหาธรรมที่เรียนถามวันนี้ก็ได้รับความแจ้งชัดเกินคาดหมาย วันนี้เป็นหายสงสัยเด็ดขาดตามภูมิของคนมีกิเลสที่ยังอยู่ก็ตัวเองเท่านั้นจะสามารถปฏิบัติให้ได้มากน้อยเพียงใด

หลวงปู่มั่น            โยมมาถามอย่างนั้นอาตมาก็ต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะอาตามาไม่หิวไม่หลงจะให้อาตมาไปหาอะไรอีก อาตมาเคย    หิวเคยหลง มาพอแล้ว ครั้งปฏิบัติที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรโน้น อาตมาแทบตายอยู่ในป่าในเขาคนเดียวไม่มีใครไปเห็นจนพอลืมหูลืมตาได้    บ้าง จึงมีคนนั้นไปหาคนนี้ไปหา แล้วร่ำลือกันว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะอาตมาสลบสามหนรอดตายครั้งนั้นไม่เห็นใครทราบและร่ำลือบ้าง จนเลยขั้นสลบและขั้นตายมาแล้ว จึงมาเล่าลือกันหาประโยชน์อะไร อยากได้ของดีที่มีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงพากันวุ่นวาย หานิมนต์พระมาให้บุญ กุสลามาติกา นั่นไม่ใช่เกาถูกที่คันนะจะว่าไม่บอก ต้องรีบเกาให้ถูกที่คันเสียบัดนี้ โรคคันจะได้หายคือเร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้จะได้หายห่วงหายหวงกับอะไรอะไรที่เป็นสมบัติของโลกมิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา แต่พากันจับจองเอาแต่ชื่อของมันเปล่าๆตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล
        สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้จริงๆข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาดและความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละรายท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายสรณะของพวกเราจะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความืดมิดปิดตามทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ อาตมาต้องขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนให้คนละชั่วทำดียีงจัดเป็นคำหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนาเพราะไม่มีผู้ ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคนทำให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันแต่กลับตำหนิคำสั่งสอนที่หยาบคายนับว่าเป็นโรคที่หมดหวัง

1765
หลวงปู่มั่นตอบปํญหาธรรมะ

  ตอบปัญหาชาวโคราช       ตอบปัญหาพระมหาเถร       ตอบปัญหาชาวกรุงเทพ  

" ....ท่านทั้งหลายจงอย่าทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอนคอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานเปล่าๆ
โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว  แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว
ซึ่งเป็นสมบัติของพระะพุทธเจ้า  มาเป็นสมบัติของตน  ด้วยความเข้าใจผิด
ว่าตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว  ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ  มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย

จงพากันมีสติคอยระวังตัว  อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า
ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย"

....นี่คือคำสอนที่องค์หลวงปู่มั่นเคยพูดอยู่เสมอๆ


ขอบคุณ...
http://www.luangpumun.org/pumun.html

1766
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
[youtube=425,350]tSX4snwCojc[/youtube]



1767
ขออนุญาต นำเสนอต่อจากกระทู้นี้....
ประวัติ หลวงปู่มั่น ภูริทติโต โดยคุณ..ลูกผู้ชายตัวจริง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1809.msg82771#msg82771
เนื่องจากกระทู้เก่า มีอายุถึง 4 ปี แล้ว จึงนำส่วนอื่นๆของท่านมาเพื่อศึกษากันต่อไป

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
[youtube=425,350]JqbvPmsP7kc[/youtube]


1768
ขอบคุณท่านทรงกลดมากที่แนะนำวีดีโอมาให้ดูครับ...วันหน้าต้องแวะเข้าไปกราบท่านให้ได้พอดีอยู่คลอง4
วันนี้ ผมลองขับรถจากแถบบึงกุ่ม โดยใช้ถนนวงแหวนตะวันออก ไปลงลำลูกกา วิ่งไปคลอง10 ผ่านกรมการปกครอง ลงสะพานแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป 6.5 กม. ก็ถึงแล้ว ระยะทางรวมประมาณ 30 กม.เศษ ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ถนนสะดวกดีมากครับ

ส่วนที่วัดก็ร่มเย็นไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศดีมากครับ มีหนังสือและซีดีธรรมะแจกด้วย
แต่ผมนิยมอ่านผ่านอินเตอร์เนต

[youtube=425,350]WEBTj5989og[/youtube]

1769
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ :054:
ได้ศึกษาธรรมแล้วจิตใจสบายดีมากเลยครับ :015:

ปล.โปรดรักษาสุขภาพกายด้วยครับ :054:

1770
มรรค ผล นิิพพาน ครับท่าน :054:

1771
คอร์สปฎิบัติธรรมที่วัดนาป่าพง 22 พฤศจิกายน 2553 part 1
[youtube=425,350]H8gLaWLJlsI[/youtube]

คอร์สปฎิบัติธรรมที่วัดนาป่าพง 22 พฤศจิกายน 2553 part 2
[youtube=425,350]NL3ndmfCzWw[/youtube]


1772
วัดนาป่าพง พระอาจารย์คึกฤทธิ์
[youtube=425,350]AIJmwLG5Zv0[/youtube]

1773
แนวทางของวัดนาป่าพง

     พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลได้วางแนวทางการปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดได้อย่างขัดเจน โดยยึดแต่คำสอนที่เป็นพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทาง ท่านได้วางนโยบายในวัดให้มีความสงบสอดคล้องเหมือนกับการออกวิเวกธุดงค์ กำหนดกิจข้อวัตรของพระในวัดให้กระชับที่สุด และเป็นกฎเกณฑ์ของหมู่คณะที่ต้องเคร่งครัด เพื่อเปิดโอกาสให้พระได้มีเวลาในการภาวนามากๆ
 


 


1774
ความเป็นมาของวัดนาป่าพง

     ที่ตั้งของวัดแห่งนี้ เดิมทีเป็นผืนนาที่โยมแม่ของพระอาจารย์ยกถวาย หลังจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล กลับจากการออกธุดงค์ ได้มาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาและพำนักแต่เพียงผู้เดียว ในระหว่างนั้นสถานที่ดังกล่าวค่อยๆ ได้รับการพัฒนาตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือประมาณ ๘ ปี นับแต่ท่านได้มาอยู่บำเพ็ญภาวนา สถานที่แห่งนี้จึงได้ขึ้นทะเบียนตั้งเป็นวัดนาป่าพงจวบจนถึงปัจจุบัน
 


แผนที่


1775
ประวัติในช่วงเป็นฆราวาส

      พระอาจารย์คึกฤทธิ์ เกิดวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๖ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรงเทพฯ ท่านจบปริญญาตรี นายร้อย จปร. สาขาวิศวกรรมเครื่องกล และ ปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ จากนั้นท่านได้ รับราชการทหาร โดยมียศหลังสุดในชีวิตฆราวาสเป็นพันตรี

จุดเริ่มต้นในเส้นทางธรรม

            ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขณะท่านเรียนอยู่เตรียมทหาร ชั้นปีที่ ๑ ระหว่างปิดเทอม โยมแม่ของท่านได้พาไปบวชกับ หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพงเป็นเวลา ๑ เดือน เป็นครั้งแรกที่ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบวิเวก ที่ยังใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ตามกุฏิ ใช้การจุดเทียนให้แสงสว่าง เดินตามทางใช้ไฟฉาย น้ำอุปโภค ใช้เชือกผูกกับปิ๊บหย่อนไปในบ่อดิน ช่วยกันดึงขึ้นแล้วเทใส่ถังในรถ เข็นไปไว้ตามกุฏิ ศาลา และที่ต่างๆ อาหารขบฉันที่มีไม่มาก ต้องใช้พระตัวแทนสงฆ์มาจัดแจกแบ่งปันส่วน เพื่อให้เพียงพอกับทุกชีวิตในวัด และได้พบหลวงพ่อชา ได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับธรรมะ รวมถึงข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด งดงามน่าเลื่อมใสของท่าน สัมผัสกับจิตบริสุทธ์ทีมีอยู่จริง เกิดใคร่สนใจอยากศึกษา จึงเริ่มมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อครบกำหนดลาสิกขากลับมาสู่การศึกษาเล่าเรียน จึงตั้งใจเริ่มฝึกหัดรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ตามสติกำลังอยู่ตลอดมามิได้ขาด
     ท่านได้กลับไปยังวัดหนองป่าพงในทุกช่วงเวลาปิดเทอม จนกระทั่งได้มีโอกาสบวชอีกทีในตอนปิดเทอมชั้นปีที่ ๔ ของนายร้อย จปร. ในครั้งนี้ ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหลวงพ่อชา ว่า จะใช้ชีวิตฆราวาสอีกเพียง ๑๐ ปี แล้วขอให้มีเหตุปัจจัยผลักดันให้ได้ครองเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิต



ชีวิตในเพศบรรพชิตครั้งสุดท้าย

     หลังจากได้ตั้งอธิษฐานกับหลวงพ่อชาในครั้งนั้น ท่านก็ใช้ชีวิตทางโลกอย่างปรกติเรื่อยมา ท่านเล่าว่าการใช้ชีวิตโดยมีสติและธรรมะอยู่กับตัว ช่วยให้การดำเนินชีวิตทางโลกของท่านเป็นไปอย่างสะดวก ไม่เศร้าหมอง และมีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งการมีสติ ก็ทำให้การไปเที่ยวเตร่หรือการเที่ยวเล่นเริ่มไม่เป็นเรื่องสนุกเหมือนอย่างเคย เพราะท่านมองเห็นแต่โทษภัยของการขาดสติ โทษของการที่เผลอเพลินไปกับกิเลสต่างๆ จนในที่สุด เมื่อครบ ๑๐ ปี ตรงกับที่ได้ตั้งอธิษฐานไว้ และเป็นปีที่หลวงพ่อชาได้มรณภาพ ในกาลนั้นเองท่านได้เห็นสัจธรรมความไม่เที่ยงของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่เว้นแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพ ท่านจึงอาศัยสิ่งนี้เป็นอันดับแรก เป็นอนุสติเครื่องกระตุ้นเตือนใจ ผลักตัวเองให้ออกจากชีวิตทางโลก ประกอบกับเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตฆราวาสเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งได้รู้สึกถึงความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติ ที่ค่อยๆ ฝึกหัดกระทำมาตลอด ๑๔ ปี นับแต่เจอหลวงพ่อชา สิ่งเหล่านี้จึงรวมมาเป็นเหตุปัจจัยผลักดันให้ท่านเข้ามาบวชอีกครั้ง

     ครั้งนี้ท่านเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ที่สำนักสงฆ์บุญญาวาส จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง มีพระอาจารย์ตั๋น (พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาส หลังจากบวชได้ระยะหนึ่ง ในระหว่างออกปลีกวิเวกธุดงค์ร่วมกับพระเถระอีก ๒ รูป ท่านได้มาบำเพ็ญภาวนา พำนักอยู่ยังผืนนาอันเป็นของโยมแม่ท่านยกถวาย ณ.บริเวณถนนลำลูกกา คลองสิบ จังหวัดปทุมธานี เรื่อยมาจนท่านได้ ๕ พรรษา จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้พำนัก อยู่เพียงลำพังผู้เดียว ท่านจึงอาศัยความสันโดษวิเวกนี้ เป็นโอกาสแห่งการปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งศึกษาธรรม และวินัยจากพระโอษฐ์ควบคู่กันไป

     ในช่วงหน้าแล้งของแต่ละปี ท่านได้หาโอกาสออกวิเวกตามป่าเขา จนในพรรษาที่ ๗ หลังออกวิเวกธุดงค์ โดยเดินจากเมืองกาญจนบุรีผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร  ขึ้นจังหวัดตาก และเมื่อกลับมาถึงคลองสิบ ได้เป็นไข้มาลาเรีย นอนป่วยอยู่ผู้เดียวเป็นเวลา ๗ วัน จึงมีคนมารับไปรักษา ผลจากอาพาธครั้งนี้ทำให้ท่านมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมาอีก ๕ ปี จึงเริ่มหายเป็นปกติ ในระหว่างนั้นสถานที่ดังกล่าวค่อยๆ ได้รับการพัฒนาตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือประมาณ ๘ ปี นับแต่ท่านได้มาอยู่บำเพ็ญภาวนาสถานที่แห่งนี้ จึงได้ขึ้นทะเบียนตั้งเป็นวัดนาป่าพงจวบจนถึงปัจจุบัน

     ท่านได้วางแนวทางการปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดได้อย่างชัดเจน โดยยึดแต่คำสอนที่เป็นพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทาง ท่านได้วางนโยบายในวัดให้มีความสงบสอดคล้องเหมือนกับการออกวิเวกธุดงค์ กำหนดกิจข้อวัตรของพระในวัดให้กระชับที่สุด และเป็นกฎเกณฑ์ของหมู่คณะที่ต้องเคร่งครัด เพื่อเปิดโอกาสให้พระได้มีเวลาในการภาวนามากๆ

     ผู้ที่จะบวชในวัดนี้ควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย ๑ เดือน เพื่อเตรียมตัวอยู่เป็นผ้าขาวก่อนประมาณ ๒ อาทิตย์ จากนั้นบรรพชาเป็นสามเณรอีกประมาณ ๑ อาทิตย์ แล้วจึงสามารถบวชเป็นพระได้ ทั้งนี้เพื่อฝึกฝนข้อวัตรปฏิบัติ และเป็นการชำระกายใจให้บริสุทธิ์เสียก่อน เนื่องเพราะท่านเห็นว่าการบวชในระยะสั้นๆ นั้นเกิดประโยชน์น้อย และเสี่ยงต่อการทำผิดในเพศบรรพชิตได้ง่าย

     ท่านเน้นย้ำมากในเรื่องการศึกษาและปฏิบัติธรรมะว่า ควรศึกษาโดยตรงในธรรมะจากพระโอษฐ์เท่านั้น เพราะที่ทรงตรัสถึงขีดจำกัดของสาวกที่เป็นเพียงผู้เดินตามมรรค การแสดงความเห็นของสาวกย่อมมีข้อผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นเหตุเสื่อมและเป็นความอันตรธานแห่งธรรมวินัยของตถาคตในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต และเป็นเหตุแห่งการนับถือศาสนาพุทธที่ผิดเพี้ยนไปด้วย รวมถึงการนำพระพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

http://www.watnapahpong.org/AboutMe.aspx

1776
-= เสียงธรรมตามสาย =-
ฟังได้แล้วครับ
ขอบคุณครับ :054:

1777

ขอรบกวนถามเจ้าของกระทู้หรือใครที่ทราบหน่อยค่ะ ร้านแฟนเราที่บ้านขายข้าวแกง แต่ละวันต้องไปซื้อวัตถุดิบเยอะมากเพราะเป็นร้านใหญ่ พวกปลาดุกผัดเผ็ดต้องซื้อปลาสดๆมาฆ่าทำอาหารแบบนี้ หรือเนื้อสัตว์ที่ตายจากตลาดแล้ว อย่างนี้บาปมากไหมคะ แล้วต้องอุทิศบุญด้วยไหม ตัวเราสายทำบุญอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ได้ไปช่วยแฟนทำธุรกิจตรงนี้หรอก แต่อนาคตถ้าต่อไปเราแต่งไปอยู่บ้านแฟนทำธุรกิจตรงนี้ด้วยก้อกลัว
รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะขอบคุณค่ะ

จากความรู้ที่มีเล็กน้อย....
ควรหมั่นทำทาน(อภัยทาน,ให้ธรรมเป็นทาน....) และถือศีล5 ไว้ประจำใจ ประจำวัน
ถ้าให้ดีกว่านั้น ควรหมั่นศึกษาการภาวนา ทำสมาธิ ใช้ปัญญาให้การดำรงชีวิต

ผิดถูกประการใด ต้องขอภัยด้วยครับ

1778
ประโยชน์ของการเจริญสติ พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตถิผโล 01 12

[youtube=425,350]G_UIdzMisbA&NR[/youtube]


1779
ทูไนท์โชว์-อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 3/4
[youtube=425,350]t_EI8eCn-yQ[/youtube]

ทูไนท์โชว์-อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 4/4
[youtube=425,350]NVpCzM1PYqU[/youtube]

1780
อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 1/4
[youtube=425,350]t1_mjtWfvgM[/youtube]

อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 2/4
[youtube=425,350]bGH8-GUpblU[/youtube]



1781
คาถาด้านหลัง อ่านว่าอย่างไรครับ ไคร่รู้ครับ

ขอบคุณครับ :054:

1783
          อย่าลืมนะให้ระวังกรรมและเจ้ากรรมนายเวรของเราก็คือ 

ปู่ย่า   ตายาย   พ่อแม่   คู่สามีภรรยา   ลูก   หลาน   ที่จะเกิดขึ้น

ในอนาคตเพราะอยู่ใกล้ตัวของเรามากที่สุด   ปู่ย่า   ตายาย   พ่อ

แม่   คู่สามีภรรยา   ลูก   หลาน   ในอดีตก็เป็นเจ้ากรรมนายเวร

ของเราในปัจจุบัน   ปู่ย่า   ตายาย   พ่อแม่   คู่สามีภรรยา   ลูก 

หลาน   ในปัจจุบันก็จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราในอนาคต 

ฉะนั้นควรจะมีและทำอะไรที่ดีๆ   ที่มีความสุขความสบายต่อกัน 

เพื่อผลกรรมในอนาคตจะได้มีผลดีตามมาด้วย   โดยเฉพาะคู่สามีภรรยากัน   

คุณคือเจ้ากรรมนายเวรเป็นอันดับที่ ๑ ซึ่งกันและกันไปตลอดไม่ว่าจะเป็นภพชาติไหนต่อไปในอนาคต .........


ขอบคุณ :054:
http://www.kontatip.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=234071

1784

กรรมจากการตกเลือด   การแท้งลูกหรือทำแท้ง   

           กรรมที่เกิดจากสาเหตุนี้ก็หนักมากเช่นกัน   จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่สามารถที่จะตั้งท้องหรือมีครรภ์ได้   ซึ่งการตั้งท้องหรือมี

ครรภ์นี้   จะมีความประสงค์ที่จะมีบุตรหรือไม่มีบุตรหรือไม่ก็ตาม  ถ้าหากมีการตกเลือดหรือหลุดหรือทำแท้งเอาทารกออกหรือหก

ล้มหรือสุขภาพไม่ดีหรือไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม   จะเป็นการสร้างกรรมเจ้ากรรมนายเวรได้เกิดขึ้นแล้ว   ได้มีการทำปาณาติ

บาต (การฆ่า)   ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามเพราะว่าเมื่อหญิงและชายได้ร่วมหลับนอนมีเพศสัมพันธุ์กัน   เชื้อของชาย

เข้าผสมกับไข่ของหญิง   มีดวงจิตของสัตว์ที่ดับแล้วเข้ามาผสม เรียกว่า " การปฏิสนธิวิญญาณ "   ถือว่าการเกิดได้เกิดขึ้นแล้ว 

ฉะนั้นการทำแท้งตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจึงเป็นกรรม   จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม   ผลกรรมจะเกิดกับผู้หญิงคนนั้นโดยตรง   รองลงไปก็คือ

ผู้ชายและสุดท้ายก็คือผู้ร่วมขบวนการ   อันนี้โดยทั่วไปที่ตรวจกรรมเจอ   บางครั้งก็ตามฝ่ายชาย   บางครั้งก็ตามผู้ให้การช่วย

เหลือหรือแนะนำ   เกิดอย่างไร?   วิญญาณของเด็กจะทำให้หญิงคนนั้นจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ  เจ็บป่วยบ่อย   ไม่แข็งแรง 

เรื่องเงินๆทองๆก็จะติดขัด   เป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้น   กิจการงานก็จะติดขัดบางคนทำเอาจนปิดกิจการเลย   ลูกหรือน้องที่จะเกิดมา

ใหม่ที่หลังพอเกิดมาก็จะเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์   บางทีก็เป็นที่สุขภาพ   บางคนก็ทำให้ปัญญาอ่อนหรือจิตไม่ปกติจะกวนตลอด 

ครอบครัวเกิดการแตกแยก   มีปัญหาอยู่กันอย่างไม่มีความสุข  จะหาความสุขไม่ได้เลย   อาจารย์ก็เคยมีประสบการณ์มาเหมือน

กันคือ   มีรุ่นน้องคู่หนึ่งแต่งงานกันแล้ว   เกิดตั้งท้องขึ้นมาแต่เขายังไม่พร้อม   เขาก็มาปรึกาว่าจะทำอย่างไรดีเพราะเขายังไม่

พร้อม   อยากจะทำงานหาเงินเก็บเงินสักก้อนหนึ่งก่อน   อาจารย์ก็เลยแนะนำเขาไปว่า   " ถ้าหากไม่พร้อมก็ไปเอาออกเสียซิ " 

พูดแค่นี้เองตามขัดขวางเล่นงานอาจารย์สองคนเสียตั้ง ๔ ปี   ทำกิจการค้าขายติดขัดมีปัญหาไปเสียทุกอย่าง   ไปที่ไหนเขาก็ทัก

เราว่ามีเด็กตามตลอด   ก็กลับมาหวนคิดดูว่าเราก็ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยทั้งสองคน   เด็กมาจากไหน?   นี่เป็นสิ่งที่

เราสงสัยกัน   มาตอนหลังก็รู้มีคนเขาสื่อให้   ก็ปฏิบัติธรรมแล้วแผ่เมตตาให้เขาได้อนุโมทนาด้วย   และก็ขออโหสิกรรมกับเขา   มา

ตอนหลังเขาก็หายไปหลังจากถวายชุดสำหรับบวชเณรไปให้เขา ......

                  เจ้ากรรมนายเวรมีจริงเหรอ   จะขอยกตัวอย่างให้ได้อ่านสักเล็กน้อยนะ   วันหนึ่งได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง   มาพบ

อาจารย์ที่บ้านมาขอรับการตรวจกรรม   สาเหตุที่เขามาเพราะป่วยเป็นมะเร็งที่คอ (ไทรอยด์)   แพทย์ได้ทำการตรวจแล้วทั้งหมด ๓

คน   ลงความเห็นว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์เพราะได้จากการเจาะเอาไปตรวจเชื้อแล้วและจะต้องผ่าตัด   แต่ถ้าหากทำการผ่าตัดก็จะ

ต้องเสียชีวิตหรือถ้าหากไม่ผ่าก็เสียชีวิตเช่นกัน   ซึ่งก่อนหน้านี้เพื่อนเขา ๒ คนก็ได้เสียชีวิตไปด้วยโรคนี้เช่นกัน   ทำให้เขาไม่

สบายใจมากเพราะว่า   ตัวของเขาเป็นหลักในบ้าน   ต้องทำงานหาเงินถ้าหากเขาเป็นอะไรไปทางบ้านเขาจะต้องมีปัญหามากแน่

นอน   จากคำเล่าของเขา   ที่จริงแล้ววันนั้นมากันหลายคนมาก  พอดีเขาได้ไปเจอ   คนที่เขาเคยมาตรวจกรรม - แก้กรรมและมา

ฝึกสมาธิที่บ้านอาจารย์มาแล้ว   และคนนี้เขาก็สื่อและรู้เห็นว่าเป็นอะไรเช่นกัน   แต่กลัวเขาไม่เชื่อก็เลยพาเขามาพบอาจารย์   ตัว

เขาเองก็ยังพาเพื่อนและน้องมาด้วยอีก   พอตรวจกรรมก็เห็นเจ้ากรรมนายเวรกำลังบีบคอของเขาอยู่   ดวงตาแดงกล่ำแสดงถึง

ความอาฆาตพยาบาทจองเวรนั้นมีมาก   พูดเจรจาต่อรองกับเขาอย่างไรเขาก็ไม่ยอม   อาจารย์ก็เลยตรวจดูอดีตชาติว่า   เพราะ

เหตุใดจิต ๒ ดวงนี้จึงได้อาฆาตกันมากนัก   ก็เห็นเหตุการณ์ในอดีตว่าผู้หญิงคนนี้   ได้ไปปีบคอแมวตัวหนึ่งตาย   แมวตัวนี้ได้ไป

เกิดเป็นคล้ายๆกับสัตว์นรก   ส่วนผู้หญิงคนนี้ไปเกิดเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์   ด้วยนิสัยที่เป็นคนอวดดี   ถือดี   อวดเก่ง   เลยไปทำ

ผิดกฎสวรรค์เข้าจึงถูกลงโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้  พอมาเกิดเป็นมนุษย์ปัจจุบันนิสัยก็ยังเหมือนเดิม   พอบุญเก่าลด

ลงแล้วอกุศลส่งผล   เจ้ากรรมนายเวรตัวนี้ที่รออยู่ก็ได้โอกาส  ทำให้เขาป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์   อย่างไรก็ต้องตาย   พอรู้เหตุว่า

เป็นเช่นนี้อาจารย์ก็บรรยายธรรมให้เขาฟัง   ถึงการพยาบาทอาฆาตจองเวร   จิตที่เป็นแบบนี้มันจะข้ามภพข้ามชาติ   ผลัด

เปลี่ยนหมุนเวียนกันทำไม่รู้จบ   และก็ชี้ทางหลุดพ้นให้เขาบำเพ็ญต่อไปอีกเลิกอาฆาตจองเวรกันให้จบชาตินี้เสีย   เขาจึงยอม

อาจารย์ก็บอกให้เขาเอาโรคภัยไข้เจ็บที่ทำไว้กับผู้หญิงคนนี้ออกไปเสีย   เขาก็ทำการดึงเอาเชื้อออกไป   แล้วก็บอกกับผู้หญิงคน

นั้นว่า   ไม่ต้องไปผ่านะหายแล้วไม่เป็นอะไรแล้ว   ในระหว่างการตรวจกรรมครั้งนี้อาจารย์ก็ได้อาราธนา สมเด็จพระพุฒาจารย์

โต   พรหมรังษี   มาคุมด้วยและก็ให้ท่านช่วยรักษาอีกที   ขณะนั้นเพื่อนหญิงของเขาที่มาด้วย   พูดขึ้นว่า   " อาจารย์ค่ะ   หนูขอ

โทษนะ   หนูขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม? "  อาจารย์ตอบว่า  " ได้มีอะไรพูดมา "   เพื่อนของเขาพูดต่อ   " ตอนที่พวกหนูเดิน

เข้าบ้านอาจารย์   ตรงประตูรั้วทางเข้าด้านซ้ายและด้านขวามือ  หนูเห็นผู้หญิง ๑ คนและผู้ชาย ๑ คน   แต่งตัวสวยงามมากยืนต้อน

รับอยู่   พอมาถึงประตูเข้าบ้านก็เห็นยืนต้อนรับอยู่อีก ๒ คน   หนูเห็นทั้งหมดทุกอย่างที่นั่งดู   เห็นเจ้ากรรมนายเวรของเพื่อนหนู 

เห็นหลวงปู่โตมารักษาเพื่อนดูด้วย   เห็นคนเยอะแยะเต็มไปหมด ทุกคนมีแต่แต่งตัวกันสวยๆดีๆทั้งนั้น   เป็นเพราะอะไร? " 

อาจารย์ก็ตอบเขาไปว่า  " ที่เห็นนั้นเป็นเหล่าเทพเทวดา  นางฟ้า เขามาปฏิบัติธรรม   มาสร้างบารมีกันที่นี่ "   เขายังบอก

เพื่อนเขาอีกว่าไม่ต้องไปผ่าแล้วนะ   เจ้ากรรมนายเวรเขาบอกว่าหายไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นซิ......   หลังจากนั้นเขาก็ไปผ่าเพราะเขา

ไม่เชื่อ   นี่ไงละผลของกรรมอย่างไรก็ต้องได้รับ   แต่เขาไม่เสียชีวิต   เขาพูดฝากคนที่พาเขามาพบอาจารย์ว่า  " คุณหมอ

วินิจฉัยโรคผิด  ทำอย่างกับเล่นลิเก  พูดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ได้ " บางคนบางพวกยังพูดว่าอาจารย์สองคนผัวเมียเล่นตลกคาเฟ่

ให้ดูสนุกไหม?......   มันพูดไม่ออกนะพอเป็นแบบนี้......         อีกรายนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลมาเดือนกว่าแล้ว   ญาติ

บอกว่าเป็นมะเร็งที่เม็ดเลือด   ที่มาพบอาจารย์ก็เพราะว่า   จู่ๆก็มีเลือดไหลออกจมูกทั้งสองข้าง   หมอตรวจดูแล้วไม่พบสาเหตุว่า

เป็นเพราะอะไร   ญาติมารับอาจารย์ที่ชมรมปฏิบัติธรรมโลกทิพย์(หนังสือโลกทิพย์ - โลกลี้ลับ)   ตรวจกรรม - แก้กรรมและสอน

สมาธิอยู่ที่นั่น ๓ เดือน   พอไปถึงโรงพยาบาลที่เตียงคนไข้  อาจารย์เห็นควายตัวสีดำทมึนตัวใหญ่มาก   ยืนขาคู่หน้าเยียบอก

เขาอยู่   เป็นเหตุทำให้เลือดออกที่รูจมูกทั้ง ๒ ข้างของเขา  ตรวจกรรมดูเห็นอดีตชาติที่แล้ว   ชายคนนี้เป็นเป็นทหารระดับหัว

หน้า   มือถือดาบนำลูกน้องหลายสิบคนออกไปรบตีหมู่บ้าน   หัวเมืองต่างๆ   พอพักรบก็ได้ไปฆ่าควายตัวหนึ่งนำมาให้ลูกน้องทำ

เป็นอาหารกินกัน   ตกมาชาตินี้   ควายตัวนี้จึงมาเอาคืน   หลังจากตรวจกรรม - แก้กรรมแล้ว   ตอนหลังได้ข่าวว่าชายคนนี้เสีย

ชีวิตแล้ว   จากการดูของอาจารย์สภาพร่างกายของเขาทนฤทธิ์ยาและการฉายแสงไม่ไหวมากกว่าหรือนี่อาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้

หมดวาระกรรม   ได้ชดใช้กรรมให้กับควายตัวนี้แล้ว......


1785
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนะครับ
====================
เจ้ากรรมนายเวร
         เจ้ากรรมนายเวรของเราเกิดจากมาจากการกระทำกรรมที่ไม่ดี (อกุศล) ของเรา   ที่ทำกับคู่กรณีของเรา   มีด้วยกัน ๒ ทาง

ด้วยกันคือ   การกระทำกรรมทางกายและทางวาจา   ไม่ว่าการกระทำกรรมหรือการประกอบกรรมของเรานั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

ก็ตาม   ถ้าหากการกระทำนั้นเป็นการเบียดเบียนคนอื่นๆ   สัตว์อื่นๆ   ให้เดือดร้อนทุกข์ยากลำบาก   ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือ

ทางใจก็ตาม   นั่นแหละผลกรรมไม่ดี   กรรมชั่ว   อกุศลกรรมและเจ้ากรรมนายเวรได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว   จะต้องผลัดกันให้ผลต่อกัน

และกันข้ามภพข้ามชาติต่อไปไม่มีวันจบสิ้น   ถ้าหากไม่มีการอโหสิกรรมต่อกันหรือตัดกรรม - แก้กรรม   เจ้ากรรมนายเวรจะส่ง

ผลให้เราเจ็บป่วยตั้งแต่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว  จะหนักหรือเบาก็อยู่ที่แรงอาฆาต   แรงพยาบาท   ขนาดของว่า

สัตว์ตัวเล็กหรือตัวใหญ่   ตัวใหญ่จะมีแรงอาฆาตมาก   ก็จะเจ็บป่วยเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก   อยู่อย่างทรมาน   สุดท้ายก็

ต้องเสียชีวิตไป   สัตว์เล็กก็จะเบาลง เช่น มด   ยุง   แมลง  แมลงสาบ ฯลฯ......   แต่สะสมกันมากๆเข้าก็กลายเป็นกรรมหนัก

ได้เช่นกัน   สังเกตุดูเวลาทำสมาธิใกล้ขณะที่จิตจะเข้าภวังค์(นิ่ง)จะคันตามเนื้อตามตัวยุ๊บๆยั๊บๆ   พอออกสมาธิก็ไม่เห็นมีอะไร 

เจ้ากรรมนายเวรที่เกิดจากการกระทำของเราโดยตรงแล้ว   ยังมีทางอ้อมอีกเช่น   อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน  ใน

แต่ละมื้อที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์   เป็นมาอย่างไรในกรณีนี้ ......

               เมื่อเหล่าเทพ - เทวดา   ได้ดับ (หมดบุญ) แล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์   พอมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมาเกิดตระกูลที่ร่ำรวย 

มีความสุขความสบาย   บุญกุศลใหม่ไม่ทำเพิ่ม   ใช้แต่บุญเก่ากินบุญเก่า   บุญกุศลลดน้อยลงพอตายจากมนุษย์ชาตินี้   บุญกุศล

ไม่พอที่จะส่งให้กลับบ้านเก่า (สวรรค์ชั้นที่มา)   กรรมชั่วก็ไม่มีมากพอที่จส่งไปลงอบายภูมิ ๔   ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก   แต่

ชาตินี้ก็จะทุกข์ยากลำบากขึ้นอีกเท่าหนึ่งของชาติที่แล้ว   เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนในชาติสุดท้ายที่ได้เกิดเป็นมนุษย์   บุญกุศลมีน้อย

จนมีพลังส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว   แต่กรรมชั่วก็ไม่มีมากพอที่จะนำพาไปเกิดที่นรก   เปรตและอสูรกายได้ 

ก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน   ตอนที่เป็นมนุษย์ชาติสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ   ผลกรรมที่เคยไปทำกับสัตว์ชนิดไหน   เขาก็

จะมาทำให้เห็นเป็นสัตว์ชนิดนั้น (มาทวง) จิตครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกจากร่างก็มีแต่เรื่องเหล่านี้   ผลกรรมตรงนี้จะนำพาดวงจิตของ

มนุษย์คนนี้เมื่อออกจากร่างกายมนุษย์ที่หยุดทำงานแล้ว (ตาย)ไปอยู่ในร่างใหม่ที่เกิดจากสัตว์ดิรัจฉาน   เกิดมาเป็นสัตว์ดิรัจฉานแต่

จะเป็นจิตดวงเดิมไม่แตกดับ   พอมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานอย่างน้อยก็ ๕๐๐ ชาติ   ถ้าจิตดวงนี้มาเกิดในร่างของหมูชาติแรก 

สัญญาความจำในจิตหมูตัวนี้จะมีความรู้สึกว่าตัวเองนะเป็นมนุษย์  สังเกตุดูสัตว์บางตัวจะรู้ประสาพอๆกับมนุษย์เลยทีเดียว   พอหมู

ตัวนี้ถูกฆ่าจิตก็จะเกิดมีความอาฆาตพยาบาท   คนที่ร่วมขบวนการฆ่าก็ได้รับกรรมมากตามสัดส่วน   ส่วนใครที่รับประทานเนื้อหมูตัว

นี้   ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหน   ก็รับเศษกรรมไป   เป็นกรรมที่ไม่ได้เจตนาเป็นเศษกรรมจากอาหาร   พอหมูตัวนี้เกิดหลายๆชาติเข้า

ความจำในภพชาติที่เป็นมนุษย์ก็จะหมดไป   ใครรับประทานเข้าไปอีกก็ไม่มีผลอะไร   แต่เราจะรู้ได้อย่างไรละว่า   เนื้อหรือสัตว์ที่

เรารับประทานเข้าไปแล้วนี่   ตัวไหนเป็นตัวที่มันเกิดมาแล้วหลายชาติหรือเป็นตัวที่เพิ่งเกิดชาติแรกจากการดับจากมนุษย์ ......

               วันหนึ่งอาจารย์ได้ไปซื้อกระเพาะหมูสดๆที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดมา ๑ ชิ้น   เพื่อจะมาลองล้างทำความสะอาด 

แล้วปรุงตามสูตรที่ได้เรียนรู้มา   เพื่อเอาไปใช้เป็นเครื่องในต้มเลือดหมูใบตำลึง   ที่อาจารย์เปิดร้านและทำขายคู่กับโจ๊กฮ่องกง

และโจ๊กหมู   หลังจากทำเสร็จแล้วในตอนกลางวัน   พอตอนเย็นหลังไหว้พระสวดมนต์เสร็จ   ก็นั่งสมาธิต่อ   ก็เห็นกระเพาะหมูสด

ที่เราทำเมื่อตอนกลางวันเกิดขึ้น   สลับกับกระเพาะที่เราต้มสุกแล้วอยู่อย่างนี้   ต่อจากนั้นก็เห็นเป็นหน้าหมูส่วนหัว   ก็ทำการ

ช่วยเหลือเขาจนร่างเขากลายเป็นกายทิพย์ของนมุษย์และจนกลายเป็นเทวดา   หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยกับเขา   เขาเล่าว่า 

" เขาเป็นคนจังหวัดชัยนาท   มีอาชีพเขียงหมู   ฆ่าหมูขายอยู่ในตัวตลาดชัยนาท   หลังจากดื่มเหล้ากับเพื่อนๆแล้วได้เสียชีวิตตอน

หลัง (ไม่ได้ถามว่าเป็นอะไรตาย) แล้วมาเกิดเป็นหมูตัวนี้   เพิ่งถูกฆ่าเมื่อคืน   ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร?   พอดีเห็นอาจารย์

ผู้ชาย(สามี) เดินผ่านมา   ดูแล้วน่าจะช่วยเราได้   ก็เลยเรียกเข้ามาซื้อแล้วให้หยิบเอากะเพาะนี้มา   อาจารย์ทั้งสองช่วยไป

บอกพ่อกับแม่ที่ชัยนาทหน่อย   ให้เลิกอาชีพฆ่าหมูขายเสีย "  อาจารย์บอกเขาไปว่า " ก็ไปเข้าฝันบอกเอาเองซิ   ตอนนี้เป็น

เทวดามีฤทธิ์แล้วนี่  อาจารย์ไม่รู้จักอีกอย่างไกลด้วย  ไปบอกเอาเองนะ "   เขาก็พูดต่ออีกว่า   " ขอขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองที่

ได้ชี้ทางและช่วยเหลือในครั้งนี้   ท่านทั้งสองต้องการอะไร? "  อาจารย์ก็ตอบไปว่า   " ไม่ต้องการอะไร?"  เขาก็ตอบกลับมาอีก

ว่า  "ขอให้อาจารย์ทั้งสองจงมีบารมีสูงขึ้นๆนะ"   อาจารย์ทั้งสองก็ยกมือสาธุรับพรจากเขาเพราะเขาเป็นเทวดาแล้ว (ได้รับ

กรรมฐาน)   ก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็หันไปกราบที่โต๊ะหมู่บูชาและก็หันมากราบสมเด็จพระพุฒาจารย์โต   ที่นั่งอยู่ใกล้ๆอาจารย์

ผู้ชาย   แล้วเขาก็หายไป......

1786
ธรรมะ / ตอบ: นั่งตรงไหน...จึงจะสงบ !
« เมื่อ: 23 เม.ย. 2554, 10:10:46 »
ขอบคุณครับ  :054:

เห็นด้วยและเห็นชอบ :015:

1787
ผ้ายันต์สุริยประภา จันทรประภา


1788
-= เสียงธรรมตามสาย =-
ยังมีอยู่หรือไม่ครับ ชอบฟัง ฟังซ้ำได้ ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว

1789
ธรรมะ / ตอบ: สันโดษ
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2554, 10:10:35 »
ลีลาชีวิต ตอน :สันโดษ โดย พระราชวิจิตรปฏิภาณ
[youtube=425,350]Q-EdePiYjyk[/youtube]


1790
ธรรมะ / ตอบ: สันโดษ
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2554, 10:06:35 »
เรื่องสันโดษ คือ ข้อที่ 24 ของ มงคล 38 ประการ

http://mcucity.tripod.com/38virtues.htm

มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต"  ซึ่งก็มี ๓๘ ประการได้แก่ 

๑. การไม่คบคนพาล   ๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง   ๒๗.มีความอดทน
๒. การคบบัญฑิต   ๑๕.การให้ทาน   ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา   ๑๖.การประพฤติธรรม   ๒๙.การได้เห็นสมณะ
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร   ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ   ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
๕. เคยทำบุญมาก่อน   ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ   ๓๑.การบำเพ็ญตบะ
๖. การตั้งตนชอบ   ๑๙.ละเว้นจากบาป   ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
๗. ความเป็นพหูสูต   ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา   ๓๓.การเห็นอริยสัจ
๘. การรอบรู้ในศิลปะ   ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย   ๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
๙. มีวินัยที่ดี   ๒๒.มีความเคารพ   ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต   ๒๓.มีความถ่อมตน   ๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก
๑๑.การบำรุงบิดามารดา   ๒๔.มีความสันโดษ   ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
๑๒.การสงเคราะห์บุตร   ๒๕.มีความกตัญญู   ๓๘.มีจิตเกษม
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา   ๒๖.การฟังธรรมตามกาล   


ฟังได้ที่นี่
http://www.fungdham.com/mongkhol38/mongkhol38.html

1791
ธรรมะ / ตอบ: สันโดษ
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2554, 09:50:21 »
มีกระทู้เก่า ที่ท่านสามารถเข้าไปอ่าน เรื่อง....
สันโดษ คือ วิธีสร้างความสุข และ ยอมรับกฎแห่งกรรมด้วยปัญญาชอบ
โดย คุณ NONGEAR44
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19561.msg166600#msg166600
================

ความหมายของ ความสันโดษ ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

ความสันโดษ ความยินดีพอใจตามมีตามได้ตามกำลังและความจำเป็นของตน การดำรงชีวิตอยู่ของประชาชนในปัจจุบัน ถูกเหตุปัจจัยต่างๆ หลากหลายมากระทบกระทั่ง เบียดเบียนอยู่ทุกเมื่อ ซึ่งล้วนแต่ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามสมควรแก่อัตภาพที่ควรจะเป็นให้อยู่ดีมีสุขได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรที่ทุกคนจะต้องหันกลับมาทบทวนถึงแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติของตน เพื่อประคับประคองตนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง มีความอยู่ดีมีสุขตามสมควร ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรม คือ ความสันโดษ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำชาวโลกให้หาความสุขโดยการถือ สันโดษ คำว่า "สันโดษ"ความหมายของสันโดษ แปลว่าความยินดี คือความพอใจ ความยินดีด้วยของของตนซึ่งได้มาด้วยความเพียร ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และโดยชอบธรรม

ความหมายของสันโดษ คำว่า สันโดษ โดยทั่วไปมี 3 ประการ คือ

1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามได้

2. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง

3. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร

ประการ ที่ 1 ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามที่ตนได้มา คือตนได้สิ่งใดมาหรือเพียรหาสิ่งใดมาได้ ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีตแค่ไหนก็ยินดีพอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้มา ไม่ปรารถนาสิ่งที่ตนไม่พึงได้ หรือเกินไปกว่าที่ตนจะพึงได้โดยถูกต้องชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาสิ่งของที่คนอื่นได้ จนเกิดความริษยา

ประการที่ 2 ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและวิสัยของตน มีความพอใจในการจัดสรรหน้าที่การงาน จัดสรรการศึกษาศิลปวิทยา และจัดสรรคุณธรรมเพื่อปฏิบัติให้สมกับกำลังสติปัญญาของตนเอง เลือกทำในสิ่งที่ตนเองถนัดแล้วตั้งใจปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปตามกำลังแต่ละ อย่างด้วยความขยันหมั่นเพียร

ประการที่ 3 ยถาสารุปปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามสมควร หรือยินดีตามที่เหมาะสมกับภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน ไม่นึกคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าเกินฐานะของตนเอง บางครั้งแม้จะได้สิ่งที่เกินฐานะของตนเองมาก็ไม่ลุ่มหลงว่าเป็นสิทธิ์ที่ควร จะได้ กลับเห็นว่าสิ่งที่ได้มานั้นล้ำค่า ควรให้คนอื่นได้มีส่วนร่วมดูแลรักษาหรือบริโภคใช้สอยด้วย โดยการทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและแก่สังคมรอบข้าง

จะเห็นว่า ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เป็นการสร้างความสุขให้แก่ชีวิต การรับและการได้มาหากไม่มีสติก็อาจลุ่มหลงไปตามอำนาจของโลภะอย่างไม่มีขอบ เขต "ความรู้จักพอก่อสุขทุกสถาน" จึงเป็นคำเตือนสติให้ตนรู้จักความสุขที่แท้จริง ดังคำพูดที่ว่า คนที่รวยที่สุดคือ คนรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี และ คนที่จนที่สุดคือ คนที่ไม่รู้จักพอ ถ้าทุกคนต่างมี ความสันโดษ พอใจยินดีใช้สอยวัตถุสิ่งของต่างๆ อย่างมีสติ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรอง รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม ก็จะสามารถสร้างความอยู่ดีกินดีเป็นเหตุให้เกิดความสุขขึ้นได้

ดังนั้น ความสันโดษ ความยินดีพอใจตามมีตามได้ตามกำลังและความจำเป็นของตน พร้อมทั้งมีขยันหมั่นเพียรหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริตไม่เป็นภัยต่อตนเองหรือ สังคม เมื่อหาทรัพย์มาได้แล้วต้องรู้จักเก็บออมระมัดระวังในการใช้จ่ายไม่ก่อให้ เกิดหนี้สินก็จะนำมาซึ่งความอยู่ดีมีสุข ความสันโดษ จึงเป็นคุณธรรมที่ทุกคนควรพินิจพิจารณา น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติให้เกิดเป็นนิสัยติดตัวโดยแท้.

พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙)

เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com
ที่มา... ข่าวสดรายวัน
วันที่ 03 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

1792
ธรรมะ / สันโดษ
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2554, 09:46:36 »
สันโดษ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สันโดษ แปลว่า ความยินดี ความพอใจ คือความรู้จักพอดี ความรู้จักพอเพียง
สันโดษ มีลักษณะ 3 อย่าง คือ
ยินดีพอใจในสิ่งที่มีที่ได้มา ด้วยเรียวแรงของตนในทางชอบธรรม ไม่ดิ้นรนอยากได้จนทำให้เกิดความเดือดร้อน
ยินดีพอใจกำลังของตน ใช้กำลังที่มีอยู่ เช่นความรู้ ความสามารถให้เกิดผลเต็มที่ ไม่ย่อหย่อนบกพร่อง
ยินดีพอใจแต่ไม่เกินเลย คือรู้จักพอเป็น อิ่มเป็น และแบ่งปันส่วนที่เกินเลยไปเอื้อเฟือ้ผู้อื่นตามสมควร
สันโดษ เป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้เกิดความพอดีในชีวิตประจำวัน ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป ไม่เขียมเกินไป ไม่ฟุ้งซ่านจนเกิดเดือดร้อน เป็นต้น เป็นแนวปฏิบัติกลางๆ เพื่อให้ชีวิตมีความอิ่ม ไม่พร่อง อันเป็นเหตุให้มีความสุขดังคำกล่าวที่ว่า "รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน"

1793
ขอบคุณครับ
ชอบอ่านครับ

1794
โชคดีที่กระทู้เก่าๆยังอยู่
ผมต้องรีบขุด เอ้ยยย รีบเซฟ กระทู้ของพระอาจารย์ฯในห้องสนทนากับบทกวีเก็บลงHDก่อน

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่รู้ว่า การเข้าถึงของเวปจะเร็วขึ้นนะครับ :015:

ขอบคุณคร้าบ :054:

1795
ประสบการณ์วิญญาณ / ตอบ: ผีพระ
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 07:52:55 »
4/4
ขณะที่อาตมานอนไม่ทันจะหลับ พอเคลิ้ม ๆ ก็ปรากฏว่ามีพระองค์หนึ่งรูปร่างดำ ๆ ใหญ่โตเดินเฉียดมุ้งเข้ามา มาถึงก็แตะเท้า พอแตะเท้าปุ๊ปก็ร้องว่า เฮ้ยไอ้พวกเปรต 13 จำพวก นี่ตามธรรมดาเปรตในหลักสูตรของพระพุทธศาสนามี 12 จำพวก แต่แกก็ด่าว่าไอ้เปรต 13 จำพวก ก็เลยนึกในใจว่า เออนี่เขาด่าเรานี่นาไม่ใช่เขาด่าคนอื่น ไอ้เปรต 12 จำพวกนั่นมันมีอยู่แล้ว ก็เหลือเปรตอีกพวกเดียว พวกที่ 13 จะเป็นใคร ก็เป็นเราแน่ ก็เลยลืมตาดูซิว่า เขาจะทำอะไร รู้แล้วว่าพระองค์นี้ไม่ใช่คนหรอก ผีแน่ แล้วที่เขาแสดงอยู่อย่างนั้นไม่ใช่มืด ไฟฟ้าเปิดสว่าง ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจุดเปิดสว่างตลอดคืน เห็นตัวก็ชัด แล้วก็เห็นคนที่เขานอนเป็นเพื่อนชัด เพราะอะไร เพราไฟฟ้าหลายดวง แล้วเขายืนเฉยประเดี๋ยวหนึ่ง ประเดี๋ยวรูปร่างของคนก็หายไป กลายเป็นหมู รูปร่างเหมือนหมู 4 เท้า แต่ว่าหัวน่ะเป็นงู จากคอมาถึงหัวนี่เป็นงู มุดหัวเข้ามาในมุ้งทำท่าจะกัดท้อง

ทีนี้ผู้พูดเองก็มองดู ลืมตาดู เขาทำอ้าปากแล้วขยับปากปั๊ปๆๆๆ เข้าไปใกล้ท้องทำท่าจะกัด ก็เลยบอกว่า นี่เก่งจริงเชิญกัดซี ถ้าแกเก่งจริงละแกกัดข้าซี ไอ้ผีอย่างแกนี่น่ะ ข้าปราบมาเยอะแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะจับขาฟาดเสียนี่ อะไรนี่ เขามาทำความดีนี่หาทางกลั่นแกล้ง แกใช่ไหมล่ะไอ้ที่แกล้งทำให้ฝนตกเมื่อตอนกลางวัน เขาก็เลยบอกว่าใช่ อีตอนนี้เขากลับไปเป็นคนแล้ว บอกว่าใช่ ถามว่าแกแกล้งทำไม เขาก็เลยบอกว่า อยากไม่บอกทำไม ก็เลยถามว่านี่เขาบอกเขาบวงสรวงเขาเชิญแล้วนะ แกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน นี่แกเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดนี้นะ ข้ารู้นะ ทำไมถึงทำตนเป็นอันธพาล เราสร้างวัดนี้ให้รุ่งเรืองมาวาระหนึ่งแล้ว แล้วก็วัดนี้ทรุดโทรมไป กุฏิก็พังจะหมดอยู่แล้ว ปลวกกินขนาดผุ นี่เขาจะมาช่วยกันทำ เราน่าจะช่วยกันส่งเสริมให้มันดีขึ้น แล้วทำไมมาแกล้งกันแบบนี้ เขาก็บอกว่าช่วยแล้วนี่ ช่วยหาสตางค์ให้ไงล่ะ ถามว่ามาแล้งทำไม เขาบอก อยากแกล้งแน่ะ พูดแบบนักเลง ผีนักเลง เขาบอกว่าอยากแกล้ง ถามว่าอยากแกล้งเพื่อประโยชน์อะไร เขาบอกว่าก็ไม่เจาะตัวนี่ ก็เลยว่าแกไม่ได้บอกชื่อข้านี่ว่าแกชื่ออะไร แล้วข้าจะไปรู้แกยังไง เขาเชิญแบบนี้เขาทำแบบนี้ มันก็ควรจะมาพร้อมกัน คนอื่นเขาไม่เกี่ยวข้อง เขายังมา ก็ไอ้แกเป็นเจ้าวัดนี่ความจริงไม่น่าจะต้องเชิญหรอก มันควรจะมา เขาก็นิ่งเขาทำอะไรไม่ได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางสายใต้ ทิศใต้ แล้วร้องตะโกนมาดัง ๆ ถาม มึงเป็นลูกศิษย์พระหรือโว้ย เท่านั้นแหละ แล้วเขาก็หายไป

เมื่อเขาหายไปแล้วผู้พูดก็นอนหลับ มันเพลียมาตั้งแต่ตอนกลางวัน พอเวลา 6 โมงเศษ ๆ ก็ตื่น เขาเอาข้าวต้มมาถวาย กำลังนั่งฉันข้าวต้ม นายวาด เปาเล้ง วิ่งเข้ามารายงาน บอกว่าแม่ยายป่วยหนักขอรับ ถามว่าป่วยเป็นโรคอะไร เขาบอกว่าพวกบ้านมาบอก คนที่อยู่ที่บ้านมาบอก บอกว่าเป็นกลางคืน เมื่อประมาณตี 4 เห็นจะได้ กะประมาณ ลุกขึ้นมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องเลย สติสตังไม่ดีไปหมด คนที่ว่านี้ก็คือโยมเผือก เป็นคนที่เป็นกำลังใหญ่ในการสร้างโบสถ์ หมายความว่า ถ้าขาดเท่าไร แกรับบ๊วย นี่กำลังสำคัญมาก ถามว่านายวาดจะเอาแกไปไหน ตอบว่าตะเอาแกไปโรงพยาบาลครับ เลยบอกว่าเดี๋ยวก่อน นายวาดไปบ้านก่อนได้ แต่ว่าอย่าเพิ่งเอาโยมเผือกไปนะ ประเดี๋ยวฉันจะตามไป ให้ฉันไปเสียก่อนไปหาเสียก่อน ฉันสั่งยังไงค่อยทำอย่างงั้น เวลานี้ฉันกำลังฉันข้าวต้มอยู่ ฉันฉันอิ่มแล้วก็จะไปทันที เขาก็ลงเรือไปก่อน พอผู้พูดฉันข้าวต้มเสร็จก็ไปเหมือนกัน

พอไปถึงนายวาดบอกตอนแกไปถึงยังพูดอยู่ แต่พูดไม่รู้เรื่อง อะไรก็พูดแต่วัด ๆ อะไรก็วัด จะเป็นยังไงก็ตาม เรื่องที่นำมาพูดคนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่ใครมาถามเรียกพ่อเรียกแม่ ไม่ยอมรับเป็นแม่ของใคร เป็นยายของใคร บอกว่าข้าไม่ใช่แม่เอ็ง ข้าไม่ใช่ยายเอ็ง พวกนั้นก็แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่โรคประสาท คงจะเป็นเรื่องผี เมื่อผู้พูดไปถึงเขาเลยเงียบไม่พูด เขาไม่พูดละเขานั่งเฉย ๆ ถามว่ามายังไง นั่งเฉย มาธุระอะไรมาโกงคนแก่ทำไม เขาก็นั่งเฉย เป็นอันว่าเขาไม่พูด ก็เลยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่านี่ เราพบกันแล้วนะเมื่อตอนดึก แล้วบอกให้มาช่วยกันนะ นี่โยมเผือกน่ะ แกเป็นกำลังใหญ่ ทั้งลูกทั้งแม่ทั้งหลายทั้งตระกูลนั่นแหละ โบสถ์หลังนี้ถ้าใครให้เงินไม่พอเท่าไร เขาจะช่วยให้เสร็จ เรามาแกล้งเขาทำไม นี่แกล้งฉันมาแล้วไม่พอ ยังมารังแกผู้หญิง ไอ้คนแบบนี้ เสียศักดิ์ศรี ถ้าเป็นพระก็หาศีลไม่ได้

เขาก็หันหน้ามามอง คล้าย ๆ ไม่พอใจ ถามว่าไม่พอใจรึ เขาก็ไม่พูด บอกเอาเราเลิกกัน เลิกแกล้งผู้หญิง มีอะไรไปพูดกันฉันที่วัด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ อย่ารังแกใครเป็นอันขาดนะ ถ้ารังแกคนอื่นเมื่อไร ก็เป็นอันว่าต้องเกิดเรื่องกัน ท่านกับผมต้องเป็นศัตรูกัน จะเป็นใครผมไม่สำคัญ ผมไม่เห็นมีความสำคัญ เรื่องผีนี่ไม่เคยกลัว เคยปราบมาเยอะแล้ว เอ้าพวกเราเอาน้ำมาสักขันซี เจ้าบ้านเขาก็ตักน้ำมาขันหนึ่ง ขันลงหินขนาดใหญ่ มาทำน้ำมนต์ให้เขา ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก ก็ว่าอิติปิโส ภควา ส่งเดช รู้แล้วว่าเขาไม่กลัว พอส่งน้ำมนต์ให้เขา ก็กินหมดขันเลย คนธรรมดากินไม่ได้ กินแล้วเห็นจะแย่ ดื่มรวดเดียวหมดขัน พอหมดขันแล้วเขาก็วางขันบอกว่าหวานจัง ก็เลยบอกว่า นี่ฉันจะกลับวัดละนะ พวกเราไม่ต้องเอาโยมเผือกไปโรงพยาบาล ถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็บอกฉัน

ก่อนจะกลับก็เลยบอกว่านี่ไปวัดด้วยกัน เลิก เลิกมารบกวนชาวบ้าน ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้นะ พอบอกเขาแล้วก็ลงเรือมา ทางบ้านเขารายงานว่า พอลงเรือมาโยมเผือกก็หาย หายจากอาการที่เป็น ก็ถามว่าแกเป็นยังไง แกก็บอกเอ๊ะไม่ได้เป็นยังไง ฉันหลับอยู่นี่ ฉันหลับสบาย ทีนี้พอตอนสายแกก็มาตามมาที่วัด เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงตรงนั้น เป็นอันว่าการหาเงินในการสร้างโบสถ์ของวัดนั้นต้องอาศัยพระองค์นี้ เรื่องอื่นจะไม่พูดให้ฟังเพราะใกล้ชั่วโมงลงไปแล้ว เล่ากันฟังย่อๆ เป็นอันว่านี่ก็ผีเหมือนกัน เป็นผีที่ผู้พูดประสบมาเอง แล้วท่านที่ไม่เคยพบผี จะหาว่าผู้พูดน่ะโกหกท่านก็ตามใจ แต่ว่าถ้าใครมาถามก็บอกว่าพบมาอย่างนี้แหละ อย่างนี้ต้องเรียกว่าผี เพราะเป็นอทิสสมานกาย แล้วท่านผู้ฟังจะมีความเห็นเป็นประการใดก็ตามแต่ท่านเถอะนะ

ที่มา
หนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

1796
ประสบการณ์วิญญาณ / ตอบ: ผีพระ
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 07:47:20 »
ทีนี้ ต่อมาก็กำหนดกันว่าจะสร้างโบสถ์ตรงไหน แล้วก็กะเวลาฝังศิลาฤกษ์ สมัยก่อนเขาเรียกกันว่าผูกโบสถ์ แต่ว่าตอนหลังนี่เริ่มมีศิลาฤกษ์ เรียกศิลาฤกษ์กัน ทีนี้ฤกษ์ของโหรกับฤกษ์ของผู้พูดมันไม่ตรงกัน ฤกษ์ของผู้พูดเองผู้จัดการนี่น่ะ คิดว่าวันนี้เป็นวันสมควรที่จะลง เรียกว่าผูกโบสถ์หรือฝังศิลาฤกษ์ แต่โหรเขาหาได้อีก 15 วันจะถึงเวลาของเขา ก็เลยมานั่งนึกในใจ มาปรึกษากันว่า ฤกษ์มันไม่ยันกันจะทำยังไง ชาวบ้านก็ตกลงกันว่าเอาของเราก็แล้วกัน ก็เลยบอกว่าชาวบ้านที่เขาเชื่อโหรก็มีมากจะขัดกัน ถ้ากำลังใจขัดกันนี่มันไม่ดี เขาถามว่าจะทำยังไง บอกเขาเอายังงี้ก็แล้วกัน ก่อนที่จะถึงฤกษ์ของโหรฉันจะปักหลักเขตก่อน แล้วนิมนต์หลวงพ่อเรื่อง นิมนต์หลวงพ่อเล็ก นิมนต์หลวงพ่อจง แล้วก็อาจารย์เริญ สี่องค์ด้วยกันไปเป็นประธานกรรมการประธานในการปักหลัก ปักเขต แล้วตอนกลางคืนก็มีพุทธาภิเศก คือปลุกเสกเครื่องรางของขลัง มีการปลุกเสกของสำหรับแจก

พอรุ่งขึ้น เช้าก็ปักหลักเขตเอาไม้เสามาประมาณ 1 เมตร ปักเข้าไป 1 เมตร แล้วก็ปักเป็นเขตอธิษฐานว่าตรงนี้เราจะสร้างพระอุโบสถภายในเขตนี้ ทีนี้การปักหลักเขตในคราวนั้นพระที่นิมนต์ไปมีพระสำคัญอยู่ 3 องค์ คือว่าหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเล็กวัดบางนมโค หลวงพอเรื่องวัดใหม่เพียงสุวรรณ พระคณาอาจารย์ทั้งสามท่านนี่เป็นพระอริยะกันทั้งนั้น อาตมาอยู่ใกล้ แน่ใจว่าเป็นพระอริยเจ้า ตกเวลากลางคืนขึ้นมามีเหตุการณ์อัศจรรย์ เสาทั้ง 4 เสา กลายเป็นดาว ยอดเสาเป็นดาวสว่าง แม่ครัวเห็นก่อน แล้วก็มาบอกใครต่อใครพากันไปดู เวลาอยู่ไกลสัก 1 วา จะเห็นเป็นดวงดาวดวงใหญ่ ใหญ่มาก เรียกว่าใหญ่กว่าบาตรพระตั้ง 2 - 3 เท่า ใหญ่กว่าบาตรที่พระบิณฑบาต แต่คนอยู่ใกล้เห็นว่าอยู่ยอดเสา คนที่อยู่ตามบ้านเห็นว่าลอยอยู่บนอากาศ พอตั้งแต่คืนที่สองเป็นต้นไป คนมาแน่นวัดทุกวัน ระยะเวลารอฤกษ์ของโหรนี่ อาตมาไม่มีอะไร จะฝังศิลาฤกษ์นะ ไม่ได้มีอะไรมีขยายเสียงเครื่องเดียว แล้วพอดีหนังตะลุงที่แกเที่ยวเชิด หรือเที่ยวฉายขอข้าวสารน่ะ ถ้าที่ไหนเขาหาแกละก็ แกขอ 20 บาทข้าวสาร 1 ถัง ไว้เลี้ยงครอบครัว แกก็มา ก็เลยบอกว่ายังงี้ก็แล้วกัน 15 คืน นี่แกไม่ต้องไปไหนหรอก แกเล่นที่วัดนี่ฉันจะเลี้ยงฉันจะให้ข้าวสารวันละ 1 ถัง เงิน 20 บาท ตามราคาของแก แกก็บอกว่าถ้าเลี้ยงละก็ขอเงินวันละ 20 บาทก็แล้วกันครับ ข้าวสารไม่ต้อง ก็เป็นอันตกลงกัน ก็มีหนังตะลุง 1 จอ

แล้วปรากฏว่าคนมาเต็มวัดทุกคืน มาทำไม มาดูดาวกัน เสาทั้งสี่ต้นเต็มไปด้วยทอง ปิดทองกันจนหาที่ปิดไม่ได้ ยิ่งหลายวันขึ้นคนก็ยิ่งมาไกล คนไกลหนักก็มา คนเก่าก็มา คนใหม่ก็มา คนเก่ามาปิดทองแล้วก็ปิดอีก คนใหม่มาก็ปิดทองใหม่ ทำกันอยู่ยังงี้แหละ คนยืนมุงกันเต็ม แต่เข้าไปใกล้ไม่เห็นดาว ถอยหลังมาสัก 1 วา เห็น ถ้ายืนไกลมากดาวก็สูง ยืนเข้าไปใกล้ดาวก็ต่ำลง สว่างไสวมาก ใช้กระแสไฟฟ้าสัก 4 - 5 พันแรงเทียนยังสว่างสู้ไม่ได้เลย ดวงหนึ่ง สว่างมากเป็นเหตุอัศจรรย์ ก็เป็นอันว่าการรอเวลา 15 วัน เราได้เงินกันประมาณ 2 แสนบาท 15 วันไม่ต้องมีอะไร มีแต่หนังตะลุง ได้ 2 แสนบาทเศษๆ แต่ไม่ใช่พอดีหรอก นี่หักค่าใช้จ่ายแล้ว แล้วต่อมาก็ถึงฤดูน้ำ ก็มีเทศน์อีกครั้งหนึ่ง ได้เงินสองแสนกว่าๆ ก็ยังลงมือสร้างไม่ได้ เพราะว่าถึงฤดูฝนตก ให้คณะกรรมการเอาเงินไปฝากธนาคาร

แล้วก็พอถึงฤดูน้ำในพรรษาก็จัดมีเทศน์กลางปี เพราะที่นั่นถ้าทีเทศน์หน้าแล้ง คนไปลำบาก ถ้าหน้าน้ำใช้เรือเข้าไปสะดวก เพราะทางรถก็ลำบาก ทางเรือก็ลำบาก ฤดูแล้งมันยาก ก็เลยมีหน้าน้ำ ไปวันแรกก็นิมนต์พระครูโวไป พระมหาจำลอง พระสมุห์พื้นแล้วก็มีอาตมา ตำแหน่งมันว่าง อาตมาเทศน์ด้วย อ้อ แล้วก็มหาจำรัส มหาจำรัสอีกองค์ วัดอนงคารามไปเทศน์ เทศน์วันแรกได้เงินประมาณ เดี๋ยวก่อนนึกไม่ออกเสียแล้ว มันหลายปีประมาณ 5 หมื่นหรือ 7 หมื่นนี่จำไม่ได้ คนที่เขามาติดกัณฑ์เทศน์น่ะหลายหมื่นเห็นจะ 5 หมื่น วันแรกดีทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง พอรุ่งขึ้นเช้าวันที่สอง จะเทศน์อีกวันหนึ่ง เพราะเทศน์ 2 วันซ้อน วันที่ 2 นี่มีเรื่องหนัก ฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตกไม่ส่าง ตกเม็ดใหญ่ๆ คนจะเอาข้าวมาถวายพระก็เปียกปอนกันไปหมด ทีนี้คนที่มาฟังเทศน์เขาจะมาได้ยังไง

ความจริงก่อนจะเทศน์ก็มีการบวงสรวงกันแล้ว เรื่องบวงสรวงบอกเจ้าที่เจ้าทาง เทวดาประจำถิ่น หรือใครต่อใคร นี่ก็บอกกันตามธรรมดาตามแบบฉบับของหลวงพ่อปาน ไม่น่าจะมีเหตุขัดข้อง ทำที่ไหนก็ไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง มาที่นี่แปลกอาตมานั่งรับแขกคนก็ทนมา ผ่าฝนมาโดยใช้เรือประทุนหรือเรือที่มีหลังคา แต่ก็มาด้วยความลำบาก พอถึงเวลาเที่ยงวัน เที่ยงพอดี ฝนยังไม่ซา ตกหนักอยู่อย่างนั้น พระเทศน์บ่ายโมง นี่เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะเทศน์คนก็ยังมาไม่ได้ ก็ไม่ทราบว่าอารมณ์มันเกิดขึ้นมายังไง ก็แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า พูดเฉยๆ เสียงดังๆ พูดแบบดุว่า ไอ้นี่นี่มันยังไงกันหว่านี่หว่า คนเขาจะทำบุญทำทาน นี่เขาจะสร้างโบสถ์นี่ มานั่งแกล้งกันยังไงเว้ย เลิกเสียที่สิหว่า เท่านั้นแหละพอพูดจบฝนขาดเม็ดทันที ชาวบ้านที่นั่งอยู่เห็นเป็นอัศจรรย์นึกว่าอาตมานี่เป็นพระร่วงเสียละมั้ง พูดให้ฝนหยุดก็พูดได้ แต่ความจริงน่ะเปล่า ความจริงเปล่า ที่พูดไปน่ะพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจจะเป็นเพราอารมณ์กลุ้มก็ไม่ทราบ ฝนหยุดทันที พอฝนหยุดแล้วก็ปรากฏว่าอีกสักครู่หนึ่งเรือมากันหนัก อัศจรรย์ว่าเรือมาถึงทันพระขึ้นเทศน์พอดี คนมาก วันนี้ก็ได้เงินอีกประมาณ 3 หมื่นบาท ก็ไม่น้อยเหมือนกัน เรียกว่าได้มากเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีวัดไหนจะทำได้ นี่อัศจรรย์

เมื่อเลิกเทศน์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังอยู่ที่วัดอีก 2 วัน พอตกกลางคืน ตอนเย็นนั่นแหละเขาก็มากัน ชาวบ้านไปเอาปืนผาหน้าไม้กันมา เพราะเกรงคนจะมาจี้ มันอยู่กลางทุ่ง อาตมาก็มองเงินให้คณะกรรมการรักษา เพราะว่า ตัวคนเดียวไม่สามารถจะปกครองเงินได้ เงินทั้งหมดพวกเราร่วมกันรับผิดชอบ ฉันไม่มีอาวุธ ถึงมีอาวุธก็ไม่ไหว สู้เขาไม่ได้หรอกถ้าใครจะมาปล้น ชาวบ้านนั้นทุกคนที่มีอาวุธก็มานอนกันหลายสิบคนเอาปืนมานอนกันเป็นแถวๆ อยู่กันเป็นจุดๆ เพื่อป้องกันเงินของสงฆ์ ก็คุยกันไปกว่าจะนับเงินเสร็จกว่าจะปรึกษาหารือกันก็ถึงเวลาตี 1 หนึ่งนาฬิกานะ เขาถือว่าเป็นวันใหม่แต่ทางคณะสงฆ์ก็ถือว่ายังเป็นวันเก่า อีตอนนี้ต่างคนต่างเข้านอน อาตมาน่ะเอารูปหลวงพ่อปานไปด้วย ก็กางมุ้งอยู่ที่หลังรูปหลวงพ่อปาน พอเข้ามุ้งชาวบ้านเขาก็นอนล้อมรอบ มีปืน แล้วก็แบ่งกันเป็นจุดๆ ไปอยู่ไกลๆ กันบ้าง นั่งในเรือนอนในเรือบ้างดักทางเข้าทุกๆ ทางของวัดเพื่อความปลอดภัย


1797
ประสบการณ์วิญญาณ / ตอบ: ผีพระ
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 12:34:30 »
2/4

แล้วก็คนบ้านนี้เธอดูซี มันไปสวรรค์กันที่ไหน มนุษย์มันก็ยังไม่อยากมาเลย มันพอใจไปนรกกัน แล้วเวลาฉันอยู่ฉันขอให้มันถือศีล 2 มันทำกันได้ทั้งตำบล พอฉันตายแล้วมันก็ขาดศีล 2 ทั้งหมด แล้วก็ขาดทั้ง 5 ตัวเสียด้วย หาคนที่ทรงศีลห้าได้ยากเต็มที แม้แต่ศีล 2 ที่ฉันขอไว้ก็หาตัวได้ยาก ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่าจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าไปบูชาพระพุทธชินราช อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า บอกว่าเวลาไปเมื่อคลองมันเล็ก ก็ต้องไปเรือยนต์เล็กๆ ไม่งั้นเข้าคลองนั้นไม่ได้ บ่ายเรือเข้าคลองให้อากาศครึ้ม ฝนตกพรำๆ น้อยๆ ยังไม่มีอันตราย พอไปถึงวัดนั้นแล้วพอขึ้นนั่งเรียบร้อยขอให้ฝนตก 2 ชั่วโมง เม็ดหนัก ๆ ไม่มีลม ให้ตกหนัก 2 ชั่วโมง

ถามว่าท่านจะโปรดได้หรือขอรับ ท่านก็บอกว่า ทำดูก่อน เพราะเธอไม่ได้รับปากเขาไว้ว่า จะเอาฝนไปให้เขาถึงแม้ว่าฝนจะไม่ตก เราก็ไม่เสียชื่อ ถ้าฝนตกก็จงอย่านึกว่าเราดี ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าดีเสียนะ ไม่ใช่เราดี ก็นมัสการท่าน การบูชาพระพุทธชินราชก็ไม่ยาก เพราอยู่ในห้องอยู่แล้ว เขาหล่อเสร็จจะต้องไว้ที่หอสวดมนต์ เป็นพระเล็ก ๆ นะ ขนาด 20 นิ้ว เวลาจะเอาไปตั้งที่หอสวดมนต์ ท่านก็บอกว่าอย่าเลยคนอื่นไม่รู้จักฉัน เธอคนเดียวที่รู้จักฉัน เมื่อเวลาไปก็อาราธนาท่านว่าขอฝนว่า
เวลาเรือเข้าปากคลองแพงพวยให้ฝนตกพรำ ๆ อากาศครึ้ม พอนั่งเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ขอให้ฝนตกหนัก ไม่มีลมไมมีอันตรายเม็ดใหญ่ๆ สัก 2 ชั่วโมง พอบูชาท่านเสร็จท่านก็ไม่ได้ตอบว่ายังไง ไม่เห็นท่านตอบ ท่านเฉยเพราะว่าพระพุทธรูปปกติท่านก็ไม่พูดอยู่แล้ว

พอวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ขณะเดินทางก็นึกถึงหลวงพ่อปานนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงเทวดา นึกถึงพระทั้งหมด นึกอยู่ตลอดเวลา พอเรือบ่ายเข้าปากคลองแพงพวยอากาศครึ้ม ฝนเริ่มตกพรำ ๆ จริง ๆ ก็นึกว่า เอ พระท่านโปรดเราแล้ว เรือวิ่งเข้าคลองไปสักชั่วโมงก็ถึงวัด ตอนนี้พอขึ้นไปชาวบ้านเขารู้กำหนด เขาก็มาต้อนรับกันมาก เรียกว่ามากันเกือบทั้งตำบล ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ก็พอมีบ้าง ขึ้นไปเขาปูเสื่อปูสาดไว้ พอนั่งเรียบร้อย พอเขาประเคนหมากบุหรี่ เสร็จเท่านั้นแหละฝนลงขนาดหนัก เม็ดโต ๆ มองนาฬิกาไว้ 2 ชั่วโมงพอดี พอครบ 2 ชั่วโมงก็ขาดเม็ดอากาศโล่ง ไม่มีกะปริบกะปรอย ก็นั่งคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีโยมคนหนึ่งแกมาบอกว่า ชื่อโยมเผือก บอกว่าท่านเจ้าคะ ฝนตก 2 ชั่วโมงก็มากอยู่แล้ว ดินที่นี่สวกมาก เพราะฝนไม่ตกมานาน อยากจะได้อีกสักชั่วโมงก็ดีละ แกว่างั้น ทีนี้ผู้พูดก็เกิดปากไม่ดี บอกโยม นี่มันกลางวัน ถ้าฝนตกหนักแล้วก็เดินกันลำบากคนไปคนมา เอาไว้เวลากลางคืนซี เวลาตี 2 ตรง ตกอีกสักชั่วโมงมันนอนสบาย นี่พูดไปยังงั้นน่ะ ไม่มีเจตนาอะไร หรือว่าจะอวดวิเศษอะไรหรอก ก็พูดล้อกันเล่น คิดว่าเวลาตี 2 นี่มันหลับแล้วนี่ ฝนจะตกยังไงก็ช่างมัน ทีนี้การพูดแบบนี้นี่เป็นชนวนให้ชาวบ้านตั้งเกณฑ์คอยดูกันอีก เป็นอันว่าคนที่มาทั้งหมดแกไม่ยอมกลับบ้านกันแกจะดูว่าเวลาตี 2 น่ะ ฝนมันจะตกไหม คราวนี้ก็เลยเกิดความหนักใจ ก็เลยบอกว่า
ไอ้ที่พูดน่ะ ฉันพูดเล่นนะ ไม่ฉันไม่รับรองว่าฝนจะตก ถ้าหากว่าท่านจะตกก็ตก ไม่ตกฉันก็บังคับไม่ได้นะ หลายคนเขาบอกว่า ต้องได้ขอรับ เพราะว่าท่านมานี่ผมขอฝนไว้ พอท่านมานี่ฝนตกตั้งสองชั่วโมง วัวควายสบายใจ ชาวบ้านสบายใจกันมาก ผมคิดว่าตี 2 จะต้องตก ก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของพระ ของเทวดา ของพรหมท่าน ถ้าหากว่าท่านสงเคราะห์ก็ได้ ท่านไม่สงเคราะห์ก็แล้วไป อย่ามาหาว่าฉันดีนะ ตัวฉันเองฉันไม่มีอะไรดีหรอก ที่ฝนตกลงมาได้ก็อาศัยพระพุทธเจ้า บารมีพระพุทธเจ้า บารมีพระธรรม พระสงฆ์ พรหม และเทวดาท่านสงเคราะห์ แต่พวกนั้นก็ไม่ยอมเชื่ออะไร คอยกันอยู่จนกระทั่งตี 2 เวลากลางคืน ปรากฏว่าดาวเต็มฟ้า สว่างไสวไม่มีท่าทีว่าฝนจะตก คนที่นั่งคุยต่างคนก็ต่างมองนาฬิกาจะไม่ยอมนอนผู้พูดก็นอนไม่ได้ แต่นั่งมองนาฬิกาคิดว่าเมื่อไรจะตี 2 มองดูอากาศดาวก็เต็มฟ้า มีคนเตือนบอกใกล้จะตี 2 อีก 2 - 3 นาที แล้วขอรับ ดาวยังเต็มฟ้า

ก็เลยบอกกับแกว่าฉันไม่ได้รับรองนี่ ว่าฝนจะตก แกอยากนั่งแกก็นั่งไปซี แกมาทรมานฉันด้วยนา พวกแกไม่ไปฉันก็นอนไม่ลง เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าตี 2 ฝนไม่ตกต่างคนก็นอนกันที่วัดนี่แหละ ทีนี้พอเวลาเลื่อนแกร๊ก ตี 2 ครั้งแรกเป๊ง ฝนตกพอดี เม็ดหนักๆ ดาวที่เต็มฟ้าไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด ลงหนักจริงๆ อย่างกลางวัน อีก 1 ชั่วโมง เวลาตี 2 ตรงตี 3 นะ พอเป๊งแรกฝนหยุด ก็เกิดเป็นเรื่องอัศจรรย์ ตานี้ทุกคราวเวลาที่ไปที่นั่นก็ต้องเอาฝนไปด้วย เพราะเขาสั่งไว้ว่าเวลามาขอฝนด้วยนะขอรับ จึงต้องอาราธนาพระพุทธชินราชให้ฝนตกมากบ้าง ตกน้อยบ้าง ตามความต้องการของประชาชน ปีนั้นรู้สึกว่าเป็นอัศจรรย์ ทีนี้เรื่องของฝนตกนี่ก็เป็นเกณฑ์สำคัญอยู่เหมือนกัน เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นเครื่องจูงใจประชาชน

1798
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีพระ
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 12:32:55 »
ผีพระ โดยพระราชพรหมยาน

ผีที่จะพูดต่อไปนี้ ก็เป็นผีพระ วัดท่าเรือ ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี วัดนี้อาตมาไปสร้างโบสถ์ ก่อนที่จะไปสร้างโบสถ์ มีคณะกรรมการวัดเขามาหา เขาบอกว่า วัดนั้นอยู่ดอนมาก ไปกลางทุ่งหลายกิโล ทางเรือก็ไปลำบาก ทางเดินก็ไปลำบาก งานก่อสร้างก็เป็นไปไม่ได้ด้วยดี ชาวบ้านก็รู้สึกว่าไม่สู้จะร่ำรวย เป็นบ้านคนจนมาก เขามาขอร้องให้ไปช่วย ในเมื่อเขาขอร้องก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ถามหลวงพ่อปานก่อน ก็เลยเข้าห้องบูชาพระ บวงสรวงชุมนุมเทวดาเสร็จ ก็อาราธนาพระมา เห็นหลวงพ่อปานท่านมา ก็เลยเรียนถามว่าวัดท่าเรือเขาให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ จะไปได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่ารับได้ รับช่วยเขาได้ ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า วัดนี้อยู่ดอนมาก การคมนาคมไม่สะดวก รถก็ไปไม่ถึง เรือยนต์ก็เข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินกันตั้งแต่ท่าน้ำขึ้นที่วัดสีดา เกือบชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่าจะถึงวัด จะสร้างไหวหรือขอรับ ท่านก็บอกว่าทำได้

ในเมื่อท่านรับ ก็ออกมาจากห้องบูชาพระ บอกว่าหลวงพ่อปานท่านรับได้ ท่านรับช่วย ฉันก็จะช่วย ถ้ายังงั้นขอให้ช่วยกันก็แล้วกัน ก็เป็นอันตกลงว่าจะช่วยกัน ทีนี้วันไปดู ก่อนที่เขาจะกลับก็บอกว่า เวลาที่ท่านจะไปดูสถานที่นิมนต์เอาฝนไปด้วยนะขอรับ ถามว่าทำไมล่ะ แกก็บอกว่าแล้งมากเหลือเกิน ปีนี้ตั้งแต่เดือน 3 มาแล้วถึงเดือน 5 นี่ ฝนไม่ตกเลย ก็เลยบอกแกว่าฉันไม่ใช่เจ้าของฝนนี่ ฉันจะเกณฑ์อะไรไม่ได้ ฉันจะหาฝนไม่ได้ แล้วอีกประการหนึ่งฉันไม่ใช่พระอภิญญาสมาบัติ ถ้าฉันได้อาโปกสิณละก็ ฉันจะบังคับฝนให้ตกตามความพอใจของแก เขาก็ยืนยันบอกว่า เขาลือกันว่าลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่ง ต้องมีฝน ก็เลยบอกว่าถ้าพูดอย่างนั้นมันไม่ถูกแน่ ลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่งจะเก่งได้ยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานเองท่านยังไม่รับรองว่าตัวท่านเก่ง เวลาท่านทำอะไรท่านก็บอกว่าพระเก่ง หรือเทวดาเก่ง พรหมเก่ง นี่หมายความว่าอาศัยบารมีพระ อาศัยบารมีพรหม อาศัยบารมีเทวดา พวกคุณมาว่าอย่างนี้นี่ เป็นการทำลายศักดิ์ศรีลูกศิษย์หลวงพ่อปาน คนที่ไม่เก่งไปบอกว่าเก่ง ในเมื่อไปลือกันว่าเก่งแล้ว ถ้าทำอะไรไม่ได้ตามที่เขาต้องการแล้วคุณคิดหรือว่าความดีมันจะปรากฏ หรือว่าความชั่วมันจะปรากฏ เขาก็ยิ้ม แล้วในที่สุดเขาก็บอกว่า เอายังงี้ก็แล้วกันกระผมแน่ใจว่าท่านไปนี่ต้องได้ฝนไปด้วย ก็เลยบอกเขาว่าถ้าพระจะกรุณามีฝน หรือ บรรดาพรหมกรุณาก็มีฝน ถ้าพระ หรือ พรหม หรือ เทวดาท่านไม่กรุณาก็ไม่มีฝน เพราะฉันเองบังคับฝนไม่ได้ เป็นอันว่าเขาก็ลากลับ

ถึงเวลากำหนดที่จะเดินทางก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เขาขอฝนไว้ แล้วผู้พูดเองก็ไม่ทราบว่าจะไปเอาฝนที่ไหน มองไปมองมาไม่รู้จะไปหาฝนที่ไหนก็เลยเข้าห้องพระบูชาพระ พอบูชาพระก็ปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานท่านมา ท่านตายแล้วนะ จะเรียกท่านว่าผีหรืออะไรก็ตามใจเถอะ อีตอนนี้ยังไม่เกณฑ์ให้เป็นผีหรอก เป็นหลวงพ่อก่อน แต่ว่าท่านผู้ฟังจะเห็นว่าท่านเป็นผี หรือ เป็นอะไรก็ตามใจ ในเมื่อปรากฏว่าท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่า เขาต้องการฝนก็ได้นี่ลูก ถามว่าจะเอาที่ไหนละขอรับ ผมก็ไม่ได้อภิญญา ได้อาโปกสิณละก็จะทำฝนให้ปรากฏ ท่านบอกว่าไม่ต้อง อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าดีกว่า ไม่ลำบาก ก็พระพุทธชินราชที่เธอหล่อไว้น่ะ ให้ฝนดีน่ะ เธอลืมหรือยัง นับตั้งแต่หล่อพระพุทธชินราชองค์นี้มาน่ะฝนไม่เคยขาดตำบล นาบ้านนี้ดีตลอดเวลา แต่คนที่จะรู้คุณพระชินราชก็ดีหรือว่ารู้คุณของเธอก็ดี มันมีสักหนึ่งในพันเท่านั้นแหละ คนบ้านนี้มันไม่มองเห็นความดีของบุคคลอื่นหรอก แล้วอย่าไปถือมันนะ ชาวโลกมันก็เป็นยังงี้เสมอ ถ้ามันดีมันก็ไปนิพพานกันหมด นรกไม่มีใครไป แต่สวรรค์ยังจะหาคนไปยาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปพรหม แล้วก็ไปนิพพาน

1799
หลวงพ่อครับ คำว่าเจ้ากรรมนายเวรนี่หมายถึงใครบ้างครับ...?

เจ้ากรรมนายเวรนี่ตัวตนมันไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่เราทำไว้ ตัวจริงที่เราเคยทำเขาไม่มายุ่งกับเราหรอกอย่างเราฆ่าปลาตาย ปลาเขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่ปรากฏของกรรมมันเล่นงานเรา ถ้าปลานั่งจองเวรคอยลงโทษเราแกก็ไม่ต้องไปเกิดล่ะคำว่าเจ้ากรรมนายเวรนี่นะ ถ้าพูดตามส่วนตัวจะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้าหากเราฝึกขั้น สุกขวิปัสสโก เราจะบอกว่าไม่มีตัว เพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ต้องพูดตามขั้นนะ ถ้าเราว่ากันตามหนังสือก็คิดว่าจะไม่มีแล้วถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะได้รับไมคะ...?
คือว่าอุทิศส่งไปให้เขาจะได้รับหรือไม่ได้ก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราทำไปแล้ว เราไปยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีมีกำลังเหนือมันก็กวดไม่ทันเหมือนกัน
สำหรับคำอุทิศส่วนกุศลที่ใช้อยู่เดียวนี้ยาวเหมือนกันแต่ยาวตามที่ท่านบอกบทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรก ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรนั่น
หลวงพ่อปู่โต มาบอกแล้วก็บทอุทิศส่วนกุศลอีก 3 ท่อนพระยายมราช มาบอก
สำหรับตอนที่สองให้โมทนา ท่านบอกว่าเวลาอุทิศอุทิศส่วนกุศลน่ะ ขอบอกให้ผมเป็นพยานด้วย
ท่านบอกว่าลูกหลานของท่าน ก็คือลูกหลานของผม และมันก็ไม่แน่นักหรอก บางทีไปอยู่สำนักผมมันอาจจะลืมก็ได้ เขาอาจจะนึกถึงบุญไม่ออก ถ้านึกถึงบุญไม่ออก ถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ตกนรก
หากว่าถาม 3 เที่ยวนึกไม่ออกผมจะได้ประกาศว่า
นี่เขาเคยบอกฉันไว้ เวลาทำบุญเขาบอกให้ฉันเป็นพยาน แล้วก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์


นายเวร

เรื่องมันมีอยู่ อย่างพระถูกหอกตาย เรื่องนี้มีอยู่ในพระสูตร คือว่ามันมีอยู่ว่าพระองค์ ท่านกำลังเย็บจีวร เย็บไปๆ ไอ้ตัวเรือดมันอยู่ในตะเข็บจีวร ท่านไม่เห็น เข็มก็ไปทิ่มเรือดตาย อย่างนี้ถือว่าเป็นบาปลงนรกไม่ได้ เพราะเจตนาไม่มี ไม่รู้ว่าอยู่ ใช่ไหม
แต่ก็เป็นบังเอิญเมื่อต่างคนต่างตาย เจ้าเรือดก็ตายไปก่อน พระก็อยู่นานไม่ได้หรอกนะ ไปเกิดชาติหลังเป็นคนด้วยกันทั้งคู่ เจ้าเรือดไปเกิดเป็นนายพรานป่าฆ่าเนื้อ พระก็ไปเกิดเป็นคน แต่ว่าบวชพระ
ต่อมาวันหนึ่ง พระเดินสวนทางมาเจอนายพราน เห็นพรานถือหอกเกาะกะๆ ท่านก็นึกหวาดเสียว ดีไม่ดีแกบ้าๆ บวม ๆ จิ้มตาย ใช่ไหม ก็เลยหลบเข้าพุ่มไม้
พรานแกฆ่าสัตว์ก็จริงแต่จิตแกก็ดี ถือว่าพระเป็นพระ แกเดินมาเข้าไปนึก เอ๊ะ...พระนี่น่าจะสวนกับเราตอนนี้ เวลานี้ท่านไปไหน หรือบางทีท่านเห็นเราถือหอกเดินมาท่านจะกลัวเรามั้ง ไอ้หอกจัญไร พุ่งไว้ตรงนี้ก่อน เลยพุ่งหอกเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วเดินไปมือเปล่าไป ไอ้หอกระยำดันจิ้มมาที่อกพระพอดี
นี่ไอ้นี่จะถือว่าเป็นกรรมไม่ได้ ต้องถือว่าเป็นเวร ถ้ากรรมก็ดึงลงอบายภูมิ นี่เป็นเวรมาสนองกัน


โดยหลวงพ่อ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสืออุทิศส่วนกุศล

1800
คาถาอาคม / ตอบ: คาถา-เศรษฐี
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 12:25:18 »
คาถาเงินล้าน

ตั้ง นะโม ๓ จบ

นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

(บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

1801
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (7)

ท่านโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ 22 กันยายน 2526 เวลาบันทึกเป็นเวลา 18 น. ทั้งนี้เผื่อบรรดาท่านทั้งหลาย จะได้ทราบว่า

บันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อไรสำหรับวันนี้ก็คงมาพูดกันเรื่องของบารมี 10 ตามเดิม แต่หลายท่านคงคิดว่าบารมี 10 ทำไมจึงมากนัก ที่ต้อง

ใช้อย่างอื่นมากๆ ก็เพราะเป็นการประคับประคองใจให้มีกำลังใจสามารถทรงบารมี 10 ได้ครบถ้วน สิ่งที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธ

บริษัททั้งหมดจะต้องตัด นั่นก็คือ

สังโยชน์ 10 ประการ ที่มีความเห็นไม่ถูกไม่ต้องเป็นปัจจัยของความทุกข์ ได้แก่

1.สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะไม่ตาย หรือว่าร่างกายมีความสะอาดน่ารัก หรือว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีใน

ร่างกาย ร่างกายมีในเรา เป็นต้น อารมณ์อย่างนี้ต้องตัดออกไปจากใจตามกำลังของท่าน ถ้ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ยัง

ไงๆ มันก็ต้องตายแน่ เราไม่สามารถทรงมันได้ แล้วตั้งใจปฏิบัติความดีหนีความตาย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบันและพระ

สกิทาคามีถ้ามีความรู้สึกเหนือขึ้นไป เห็นว่าร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกเหมือนกับถุงอุจจาระเคลื่อนที่ได้เรามีความ

รังเกียจร่างกายอย่างยิ่ง ถ้ากำลังใจอย่างนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชาหญิง และภิกษุสามเณรคิดอย่างนี้แน่วแน่ เป็นเอกัคคตารมณ์

ไม่หลงในร่างกายจริงๆ ท่านพุทธบริษัททั้งชายหญิงและพระภิกษุสามเณร พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระอนาคามี

ถ้ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา กำลังใจวางเฉยเมื่อความแก่เข้ามาถึง ความ

ป่วยไข้ไม่สบายเช้ามาถึงความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเข้ามาถึง ความตายเข้ามาถึง ก็มีอารมณ์เฉยในร่างกาย คิดว่ามัน

เป็นเรื่องธรรมดา กำลังใจอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่าท่านผู้นั้นว่าเป็นพระอรหันต์ และเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ

ตามนี้เพื่อคามหมดทุกข์

และสังโยชน์ข้อที่ 2 ที่เราต้องจัด ก็คือว่า วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในพระธรรมพระอริยสงฆ์ ความสงสัย

อย่างนี้เป็นความเห็นผิดองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรทรงบอกว่าต้องตัดไปจากใจ ให้สร้างความเสื่อมใสในพระจอมไตรเป็นต้น ด้วย

ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า และก็ยอมรับนับถือในคำสั่งและคำสอน

สังโยชน์ข้อที่ 3 เห็นว่าศีลเป็นของดี มีปกติเป็นปัจจัยของความสุข การลูบคลำศีลสักแต่ว่าสมาทานศีลไม่มีในกำลังใจของเรา เรา

เคร่งครัดปฏิบัติในศีลด้วยดีอย่างนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า ถ้าทำได้ทั้ง 3 ประการท่านเรียกท่านผู้นั้นว่าพระโสดาบัน หรือ

สกิทาคามี

ถ้ากำลังใจสูงไปกว่านี้ก็ตัดอีกอันหนึ่งนั่นก็คือ กามฉันทะ ที่มีความสนใจในกามคุณ 5 ประการ ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

เป็นต้น แล้วก็ ปฏิฆะ ความไม่ประสบใจ ไม่ถูกใจของตน ใครทำอะไรแล้วไม่ถูกใจไม่มี ในกำลังใจของเรามีแต่ความเมตตาปรานี

เป็นที่ตั้ง อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกท่านผู้นั้นว่าพระอนาคามี

หลังจากนั้น ใช้ปัญญาด้วยดี พิจารณาเห็นว่าการหลงในรูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ไม่มีสำหรับเรา เราอาศัยรูปฌาน เป็นกำลังตัดกิเลส

ให้เป็น สมุจเฉทปหาน แล้วก็ตัดมานะการถือตัวถือตน ตัดความฟุ้งซ่านของจิตที่คิดวาเราไม่ต้องการนิพพานไม่มี เราต้องการอย่าง

เดียวคือนิพพาน หลังจากนั้นตัดอวิชชาตัวล้างผลาญความดี คือตัดความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่หวังผล ในการ

เกิดต่อไป อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเรียกท่านผู้นั้นว่าพระอรหันต์

ฉะนั้น ขอท่านพระโยคาวจรทุกท่านทำตามกำลังของท่าน ท่านมีกำลังพอจะทำจุดไหนได้ทำจุดนั้น แล้วก็จงบอย่าใช้กำลังใจว่าไม่

ไหว ถ้าท่านเป็นผู้ไม่ไหวในด้านการตัดความชั่ว ทรงความดี ก็คือว่าท่านไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ควรกลับไปอยู่บ้าน

ถ้าอยู่บ้านแล้วหลังจากนั้นไม่นานนักตาไปก็เลยไปอยู่นรก เป็นอันว่าสังโยชน์10 ประการต้องทำลายให้พินาศจากจิต แต่กำลังใจ

ของท่านพอใจ แค่ 3 ก็ตัด 3 พอใจแค่ 5 ก็ตัด 5 พอใจ 10ตัด 10 ยังไงๆ 3 เอาให้ได้ไว้ก่อน เพราะในฐานะที่เราเป็นสาวกขององค์

พระชินวรจะต้องยึดให้ได้

ต่อจากนี้ไป ก็ขอให้ท่านทั้งหลา ตั้งใจในการรักษาบารมีกำลังใจในบารมี 10 ให้ครบถ้วน ได้แก่

1.ทานบารมี คิดให้ทานไว้เสมอ ด้วยกำลังจาคานุสสติกรรมฐษนประจำใจ

2.ศีลบารมี ตั้งใจรักษาศีลให้เคร่งครัดปฏิบัติด้วยดี

3.เนกขัมมบารมี ถือบวชนั่นคือระงับนิวรณ์นิวรณ์ 5 ประการอย่าให้กวนใจ นิวรณ์ 5 ประการมันตัดไม่ได้ ถ้าตัดจริงๆ ตรงเป็นพระ

อรหันต์ ถ้ามันจะมีกับเรา ให้มันยุ่งแค่ในใจ อย่าให้ไหลมาจากปากและก็ทางกาย

4.ปัญญาบารมี มีความคิดดี มีปัญญายอมรับนับถือกฎของธรรมดา

5.วิริยบารมี มีกำลังใจแกล้วกล้า ต่อสู้อุปสรรคทั้งปวงไม่ท้อถ้อย

6.ขันติบารมี มีความอดทนต่อกิเลสทั้งหลายที่เข้ามากวนจิต ไม่คิดยอมแพ้กิเลส

7.สัจจบารมี มีความจริงใจไว้อย่างนั้น ทำอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

8.อธิษฐานบารมี ตั้งกังใจไว้ว่าเราจะทำลายความชั่ว 10 ประการ คือสังโยชน์ 10 ประการ ให้หมดไปจากใจหวังนิพพาน

9.เมตตาบารมี นั้นมีจิตโอบอ้อมอารี มีอารมณ์ใจเยือกเย็นเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วโลก

10.อุเบกขาบารมี วางเฉยด้วยประการทั้งปวง

อารมณ์ใดจะมาสิงใจ คือจะเป็นได้ลาภก็ดี เสื่อมลาภก็ดี ได้ยศก็ดีเสื่อมยศก็ดี เขาสรรเสริญก็ดี มีสุขก็ดีมีทุกข์ก็ดี เราก็วางเฉย และก็

เฉยในขันธ์ 5 ร่างกายมันจะแก่ก็เฉย ร่างกายป่วยก็เฉย ร่างกายมันจะพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เฉย เฉยในโลกธรรมทั้งหมด

เพราะจิตตรงใจตั้งใจอย่างเดียวคือนิพพาน นั่นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน กำลังใจของนักพรตที่ปรากฏว่าจะได้ดีต้อง

ปฏิบัติตามนี้

ต่อไปนี้ก็มาว่ากันในเรื่องของ อุมุมพริกสูตร วันนี้มาว่ากันถึงเรื่องของความบริสุทธิ์ ว่าด้วยฐานะบริสุทธิ์ของผู้มีตบะ และท่านทั้ง

หลายก็อย่าลืมนะขอรับ ว่าคำว่าตบะแปลว่าผู้มีความเพียรเพื่อเผาบาป คือทำลายบาปให้เร่าร้อน คือเผาบาปให้พินาศไป บาปคือ

ความชั้ว เพียรพยายามทำลายความชั่ว ตอนนี้ต้องอ่านกันช้าๆ หน่อยอาจจะต้องมีอธิบายกันสักนิดหน่อย เพราะว่าเป็นตอนที่พรพะ

พุทธเจ้าบอกว่าทำเพื่อความบริสุทธิ์ ไอ้ที่แล้วๆ มา

พระพุทธเจ้าบอกใช้ไม่ได้ เรื่องใช้ไม่ได้ผมก็อ่านพลาดๆ ไป ก็เพราะว่าผมก็ไม่ในใจ เรามาในใจกันแค่ที่ใช้ได้และก็ดีดีกว่าแต่ว่าที่ใช้

ไม่ได้ก็ควรจะทราบไว้บ้าง เผื่อว่าใครเขามาปนะนำเราไปในทางที่ผิดที่องค์สมเด็จพระะรรมสามิสรบอกวาเป็นอุปกิเลส กิเลสมัน

ท่วมท้นใจ เราจะบอกว่านี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า อุทุมพริกสูตรนี้มีประโยชน์มาก ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวโดย

สำคัญ

ตอนนี้ก็มาว่ากันถึงพระไตรปิฏกละนะ ที่ว่าวันนี้ก็ขึ้นด้วยหน้า 32 แล้วก็ตอ่นที่ 25 ท่านกล่าวว่า นิโครธะดูก่อนนิโครธะ เออ ลืมไปว่า

พระไตรปิฏกเล่มที่ 11 หน้าที่ 32 แล้วก็ตอนที่ 25 ท่านกล่าวว่า นิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ เขาเป็นผู้ไม่ดีใจ

ไม่มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น ข้อที่ผู้อื่นมีตบะถือมั่นในตบะไม่ดีใจ ไม่บริบูรณ์ด้วยตบะนั้นอย่างนี้ ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะนั้น

นี่ก็หมายความว่าก้านการประพฤติปฎิบัติความดีเพื่อตัดกิเลส ยังไงๆ เราก็ยังถือว่าไม่เต็ม ถ้าไม่ถึงอรหัตตผล ถ้ายังไม่ถึงพระอรหัน

คต์เพียงใด เราถือว่ายังไม่ดีพอ ใครเขาจะยกย่อง เลอเลิศว่าเราประเสริฐ อย่างไรก็ตาม เราก็บอกฉันยังไม่ดีจ๊ะ ฉันยังไม่ดีจ๊ะ สอนใจ

เราไว้  และต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า

นิโครธะ คำอื่นที่คนจะกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อมไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้นอย่างนี้

เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น อันนี้ก็จำไว้ให้ดีว่า ความประพฤติของเราจะเป็นอันดับฌานโลกีย์

ฌานโลกุตระ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อะไรก็ตาม

ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเราปฏิบัติได้ยิ่งกว่าเขา ละได้มากกว่าเขา เราก็ไม่เอาความดีไปข่มคนอื่น

ไอ้ความข่มน่ะมันเป็นความเลว จำไว้ด้วยนะครับ อันนี้ต้องสนใจให้มาก

เพราะเป็นด้านของความบริสุทธิ์ต่อไปพระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่คนกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ

เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญเกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่มีความดำริบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ

และความสรรเสริญนั้นอย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น อันนี้ก็หมายความว่า เราคิดว่าเขาให้ลาภก็ดี ให้การสรรเสริญก็ดี เรา

เองก็แก่ทุกวันๆ ไม่ช้ามันก็ตาย ลาภและคำสรรเสริญนั้นไม่ได้ สร้างให้เราไปสวรรค์ ไปนิพพาน การจะไปสวรรค์ไปนิพพานนั้นต้อง

อาศัยความดีคือความบริสุทธิ์ของจิต คิดอย่างนี้มันก็ไม่ติดในลาภสักการะและสรรเสริญ

ท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่คนกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะและความสรรเสริญ

เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมไม่ยกตน ไม่ข่อผู้อื่น ด้วยลาภสักการะและการสรรเสริญนั้นอย่างนี้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น นี่ก็

หมายคามว่าเรามีลาภสักกกระเพราะเขาให้ ก็จงคิดว่าการที่ได้ลาภสักการะมาอย่างนี้ ก็ด้วยความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม

พุทธเจ้าเราจะดีได้เพราะเราไม่เมาในลาภยศสรรเสริญสุข เวลานี้ก็สำคัญยศ อย่าเมายศ ยศท่านตั้งให้เป็นความดีของผู้ให้ แต่เรา

เมายศเป็นความจัญไรของเรา ท่านให้เรากับรับแล้วก็วางไว้เป็นปกติ อย่าบ้ายศ อย่าเห่อยศ แล้วก็เอายศไปเบียดเบียนและทับถมผู้

อื่น อย่างนี้มันจะไม่ถึงความดีและพระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรจะกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่น

ตบะย่อมไม่ถึงส่วนสองในโภชนะทั้งหลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา ก็สิ่งใดแลที่ไม่ควรแก่เขา เขาไม่มุ่งละสิ่งนั้นเสีย

ส่วนสิ่งใดที่ควรแก่เขา เขาก็ไม่กำหนด ไม่ลืมสติ ไม่ตัดในสิ่งนั้น และเห็นโทษที่ปัญญาคิดสลัดออกบริโภคอยู่อย่างนี้เขาย่อมเป็นผู้

บริสุทธิ์ นี่ก็หมายความว่า สิ่งใดก็ตามถ้าไม่ผิดธรรมผิดวินัยเรายอมรับ สิ่งใดถ้าผิดธรรมผิดวินัยเราไม่ยอมรับ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน

อย่าไปเมามัน แล้วอย่าไปพูดให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ที่เป็นมายามันมีมากๆ บางทีลับหลังคนเลวแสนเลว ต่อหน้าคนทำตนเหมือน

กล้วย พระอรหันต์หลอกอันนี้ไม่ควร

แล้วท่านกล่าวต่อไปอีกว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะไม่เป็นผู้รุกรานสมณะหรือพราหมณ์อื่นว่า ก็ไฉน

ผู้นี้เลี้ยงชีวิตด้วยวัตถุหลายอย่าง คือกินพืชอันเกิดแต่เหล้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ดที่ครบห้า

ปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้าคนทั้งหลาย่อมจำกันได้ ด้วยวาทะว่าเป็นสมณะ อย่างนี้เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น อย่างนี้

ง่าย ๆ ก็หมายความว่าไม่เพ่งโทษคนอื่นก็แล้วกันนะใครจะดีใครจะชั่ว ใครจะมีกินมาก ใครจะมีกินน้อย เป็นเรืองวาสนา

บารมีของท่าน เขามีมากก็หมายความว่าชาติก่อนทานบารมีของท่านมีมากก็ควรจะโมทนา แล้วกล่าวต่อไป

พระพุทธเจ้าตรัสใหม่ว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคล ผู้มีตบะเห็นสมณะ หรือพราหมณ์อื่นที่เขาสักการะเคารพ

นับถือบูชา ในสกุลทั้งหลายเขาไม่ดำริอย่างนี้ว่า คนทั้งหลายย่อมสักการะเคารพนับถือบูชาสมณะหรือพราหมณ์ชื่อนี้แล ผู้เลี้ยงชีพ

ด้วยวัตถุหลายอย่างในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะเคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา เราผู้มีตบะ เลี้ยงชีวิตด้วยวัตถุเศร้าหมอง เขาไม่ให้

ความริษยา ความตระหนี่ที่เกิดขึ้นในสกุลทั้งหลายดังนี้ อย่างนี้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น นี้ก็เหมือนกัน ไม่เพ่งโทษคนอื่นอย่าง

ท่าน ยังไงก็เรื่องของท่าน สนใจกับเรา

ต่อมาพระพุทธเจ้าดำรัสต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้ไม่นั่งในที่ทางคนจะแลเห็น อย่างนี้

เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ข้อนี้ระวังให้มากนะครับ การนั่งสมาธินั่งเจริญพระกรรมฐานต้องนั่งในที่ลี้ลับ ซึ่งคิดว่าคนไม่เห็นแล้วจึง

นั่ง ถ้านึ่งคิดว่าจะโชว์เขา ว่าเราเป็นนักเจริญกรรมฐานอย่างนี้เป็นอุปกิเลสนะครับ เคยเห็นบางทีไปเดินจงกรมอวดชาวบ้าน

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะไม่เที่ยวแสดงตนในตระกูลทั้งหลายว่า กรรมแม้นี้

อยู่ในตบะของเรา กรรมแม้นี้อยู่ในตบะของเขาอย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐนะนั้น นี้ก็หมายความว่า เวลาที่เข้าไปหาฝูงชนหรือ

เข้าไปในบ้านน่ะ อย่าไปแสดงตนว่าเราเป็นนักพรต นักเจริญกรรมฐาน ได้ฌานสมาบัติ อย่าไปคุยกับเขา อย่าฟุ้ง การแต่งตัวก็

เหมือนกัน ไม่ต้องไปแต่งแสดงสัญลักษณ์ว่าฉันนี่แหละเป็นพระเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มันมีเครื่องแบบชนิดหนึ่ง

แสดงออกชัดว่า ฉันนี่แหละเป็นนักพรตล่ะ ความจริงไม่ควรทำอย่างนั้น ห่มผ้านุ่งผ้าตามทีเขาถวายดีกว่า ตามปกติที่เขาคิดว่าเรา

เป็นพระธรรมดาๆ ปกตินั่นแหละดีที่สุด จิตใจสบาย

และท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมไม่เสพโทษอันปกปิดบางอย่าง

เขาถูกผู้อื่นถามว่าโทษนี้ควรแก่ท่านหรือกล่าวโทษที่ไม่ควรว่าควร กล่าวโทษที่ควรว่าไม่ควร ท่านว่าเฝอๆ นา เขาเป็นผู้กล่าวเท็จ

อ๋อ ฟังรู้อยู่ดังนี้ อย่างนี้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างนี้หมายความว่าดูดตรงไปตรงมาอะไรที่เราปฏิบัติมันดีหรือไม่ดี เขาพูดมาเรารับ

ตามความเป็นจริงก็แล้วกันจะได้เข้าใจขงบ่ายๆ นะ อย่าหลอกลวงเขา

และข้อต่อไปท่านกล่าวว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกลาวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะ

เมื่อพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกก็ดีแสดงธรรมอยู่ ย่อม

ผ่อนปรนตามปริยาย โดยเอ้อ ซึ่งควร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ย่อมผ่อนปรนตามปริยาย ซึ่งควรผ่อนตามอันมีอยู่อย่างนี้เขาย่อมเป็นผู้

บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ก็หมายความว่า ท่านเทศนามันไม่ตรงกับที่เราปฏิบัติ แต่ความจริงคำเทศน์สอนนั้นเป็นทางบรรลุมรรคผล เรา

ยอมรับล่ะ ของเรายอมรับของท่าน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ถือตนเกินไป

ข้อต่อไปท่านกล่าวว่า นิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก

บุคคลผู้มีตบะไม่เป็นผู้มีความหลบหลู่ ไม่ตีเสมอ ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่โอ้อวด ไม่มีมายาคือ เจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่

กระด้าง ไม่ถือตัวจัด ไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาลามก ไม่เป็นมิฉาทิฏฐิอคือ

ความผิด ไม่ประกอบไปจับทิฏฐิอันหยั่งถึงที่สุด ไม่เป็นผู้ลูบคลำทิฏฐิเอง ไม่เป็นผู้ถือมั่นสละคืนได้ง่าย

อย่างนี้เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ผมจะรีบอ่านให้จบ

ดูต่อไป ท่านกล่าวว่า ดูก่อนนิโคธะ ท่านควรจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉนถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาปด้วยตบะจะบริสุทธิ์หรือไม่

บริสุทธิ์ นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาปด้วยตบะเหล่านี้ บริสุทธิ์แท้ ไม่บริสุทธิ์

หามิได้ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนนิโคธะ การหน่ายบาปด้วยตบะด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นกริยาที่ถึงยอดและถึงแก่นก็หามิได้ ที่แท้จริงแล้วเป็นกริยาที่ถึง

สะเก็ดเท่านั้น จำให้ดีว่ากริยา ถ้าจริยาที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดอาจจะเกินกำหนดที่เราจะพึงทำอยู่ปกติ แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็น

จริยาที่เข้าถึงสะเก็ตของความดีที่พระองค์ทรงสั่งสอน

ไอ้การเป็นสะเก็ดไม่ถึงแก่นนี้ บรรดาท่านทั้งหลายระวังให้มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันยังเป็นปัจจัยแห่งอบายภูมิอยู่ เราปฏิบัติกัน

เกือบตายนี่ แหม. แทนที่จะได้ดี ถ้าไปหลงอยู่แค่นี้มันตายแล้วไปอบายภูมิ

แล้วสำหรับหน้านี้นี่ท่านพุทธบริษัท มองดูเวลาก็เหลืออีก 2 นาที 2 นาทีก็จะหาทางหยุด จะไม่พูดต่อไปขอบรรดาพุทธบริษัททั้ง

หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านพระโยคาวจร ถ้อยคำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมาทั้งหมด ในขั้นของความบริสุทธิ์

แม้แต่เพียงสะเก็ด ก็ขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้ประมาท คิดว่าถ้อยคำใดก็ดี ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสเป็นความจริงอยู่

เสมอ เรื่องนี้ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ผมไม่เถียงพระพุทธเจ้าแน่เพราะอารมณ์บางครั้งในสมัยที่บวชใหม่ๆ แปลหนังสือใหม่ๆ บางทีคิด

ว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ หรือจะเป็นอย่างนี้ได้

หรือ นั่นเป็นความเลวของผม แล้วในที่สุดผมก็ต้องจนด้วยเกล้า เพราะคำกล่าวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงตามความ

เป็นจริงทุกอย่างในกาลต่อมา

http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1994:-10--10--7-&catid=37:2010-03-02-03-52-18

1802
ชุมนุมเทวดา

1803
บทบวงสรวงท่านท้าวมหาราชทั้ง 4

ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา ท้าวธตรฐ ผู้อยู่ด้านทิศบูรพา
ธะตะรัฏโฐ ปะสาสติ ปกครองอยู่ซึ่งทิศนั้น
คันธัพพานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์
มหาราชา ยะสัสสิ โส เธอเป็นมหาราชา มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บุตรทั้งหลายของเธอเป็นอันมาก
อินทะนามา มหัพพะลา มีนามว่าอินทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อัฏฐังสุ ยินดีมุ่งมา...ประทับอยู่

ทักขินัญจะ ทิสัง ราชา ท้าววิรุฬหก ผู้อยู่ด้านทิศทักษิณ
วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ ปกครองอยู่ซึ่งทิศนั้น
กุมภัณฑานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์
มหาราชา ยะสัสสิ โส เธอเป็นมหาราชา มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บุตรทั้งหลายของเธอเป็นอันมาก
อินทะนามา มหัพพะลา มีนามว่าอินทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อัฏฐังสุ ยินดีมุ่งมา...ประทับอยู่

ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา ท้าววิรูปักษ์ ผู้อยู่ด้านทิศปัจฉิม
วิรูปักโข ปะสาสะติ ปกครองอยู่ซึ่งทิศนั้น
นาคานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกคนนาค
มหาราชา ยะสัสสิ โส เธอเป็นมหาราชา มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บุตรทั้งหลายของเธอเป็นอันมาก
อินทะนามา มหัพพะลา มีนามว่าอินทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อัฏฐังสุ ยินดีมุ่งมา...ประทับอยู่


อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา ท้าวกุเวร ผู้อยู่ด้านทิศอุดร
กุเวโร ตัปปะสาสะติ ปกครองอยู่ซึ่งทิศนั้น
ยักขานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกคนยักษ์
มหาราชา ยะสัสสิ โส เธอเป็นมหาราชา มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บุตรทั้งหลายของเธอเป็นอันมาก
อินทะนามา มหัพพะลา มีนามว่าอินทร์ มีกำลังมาก
อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์ มีอานุภาพ
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อัฏฐังสุ ยินดีมุ่งมา...ประทับอยู่

ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ท้าวธตรฐเป็นใหญ่ทิศบูรพา
ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก ท้าววิรุฬหกเป็นใหญ่ทิศทักษิณ
ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข ท้าววิรูปักษ์เป็นใหญ่ทิศปัจฉิม
กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง ท้าวกุเวรเป็นใหญ่ทิศอุดร
จัตตาโร เต มหาราชา มหาราชทั้ง ๔ นั้น
สะมันตา จตุโร ทิสา ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบ
ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ ให้รุ่งเรืองประทับอยู่


บทชุมนุมเทวดา

สัคเค กาเม จะ รูเป ขอเชิญเหล่าเทพเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์
คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ชั้นกามภพก็ดี รูปภพก็ดี และภุมเทวดา
ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ซึ่งสถิตอยู่ในวิมานยอดภูเขา และหุบผา
ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิเขตเต ในอากาศ ในเกาะ ในแว่นแคว้น ในบ้าน
ภุมมา จายันตุ เทวา ในต้นพฤกษา และ ป่าชัฎในบ้านเรือน และในไร่นาก็ดี
ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา และยักษ์ คนธรรพ์ นาค ซึ่งสถิตอยู่ในน้ำบนบก
ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง และที่อื่นไม่เรียบราบก็ดีอันอยู่ที่ใกล้เคียง
สาธะโว เม สุณันตุ จงมาประชุมพร้อมกันในที่นี้คำใดเป็นของพระมุนี ท่านสาธุชนทั้งหลาย จงสดับคำของข้าพเจ้านั้น
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
 

1804
บวงสรวง
 
    
โดย คุณแม่ เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ
 
    
ถาม : การบวงสรวงคืออะไร เป็นพิธีการของศาสนาพราหมณ์ใช่หรือไม่?

ตอบ : การบวงสรวงคือ พิธีการทางพุทธศาสนา ที่ท่านโบราณคณาจารย์ได้กระทำ เพื่อเป็นการยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในชีวิต มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวก เทพไท้เทวา คุณบิดามารดา อาจารย์ทุกๆพระองค์ ทุกๆชาติ รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่ ท่านท้าวจาตุรมหาราชทั้ง ๔ ท่านพระยายมราช เคารพท่านผู้เป็นใหญ่ในทั้ง ๓ โลก ชื่อว่าบวงสรวง คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพิธีการของพราหมณ์ บวงสรวงเป็นภาษาพราหมณ์สมัยพุทธกาลก็เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาไทยแปลว่ายอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณ คือพระรัตนตรัย พรหม เทวา ผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก ดูแลคุ้มครองผู้ที่มีบุญบารมี ไม่ให้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุ จากผู้ร้าย จากภัยธรรมชาติ เป็นพิธีการบูชาพระคุณความดีของท่านที่มีคุณงามความดีต่อสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก
จุดประสงค์ของการบวงสรวงมีมากมายหลายข้อ แล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละท่านที่จะบวงสรวงเพื่ออะไร ก็ตั้งจิตอธิษฐาน อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่ ท่านผู้มีพระคุณ ถ้าศาสนาพราหมณ์ก็บูชา พระพรหม เทวาอารักษ์ ถ้าเป็นชาวพุทธก็อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่สูงสุด คือองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสาวกทุกๆพระองค์เบื้องบนพระนิพพาน คุณบิดามารดาทุกๆชาติ เทพเจ้าพระพรหมเทวดาที่ดูแลคุ้มครองป้องกันทั้ง ๓ โลก เมื่อพระองค์ท่านเสด็จมาแล้วตามที่เราตั้งใจอัญเชิญด้วยความเคารพนับถือด้วยใจจริง ขอให้ท่านช่วยเหลืองานใหญ่ๆ ที่เราจะทำ เช่นสร้างวัด สร้างบ้าน สร้างตึก เป็นต้น ก็ทำให้ ผีวิญญาณ คนสัตว์ ได้เห็นพระท่านมา ได้โมทนา ยินดี เมื่อได้เห็นแสงสว่างจากท่านผู้บริสุทธิ์ มีปัญญาบารมี มีความสุขสดชื่น โลกก็ไม่วุ่นวายเดือดร้อนจนเกินไป สรรพสัตว์ จะอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น

ถาม : คุณประโยชน์ของการบวงสรวงมีอะไรบ้าง?

ตอบ : คุณประโยชน์ของการบวงสรวงมีมากมาย หลายข้อ สรุปเป็นข้อใหญ่ๆได้ดังนี้
1. เป็นการปฏิบัติบูชา ด้วย กาย วาจาใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการบูชาแบบพิธีการเทิดพระเกียรติของท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ ไพศาล คือองค์พระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทุกๆพระองค์ คุณพ่อ คุณแม่ทุกๆชาติ คุณครูอาจารย์ทุกๆชาติ เทพเทวาอารักษ์ผู้รักษาโลกนี้ทุกๆพระองค์
2. เป็นการมอบกายถวายชีวิต เป็นลูกศิษย์ขององค์พระตถาคตเจ้าอย่างเป็นพิธีการ
3. เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ทุกดวงจิตในโลกมนุษย์ ตั้งแต่ เปรต ผี วิญญาณพเนจร คน ให้พ้นทุกข์ พ้นอันตราย และให้โลกอยู่ร่มเย็นเป็นสุข จากอานิสงส์ผลบุญของการบวงสรวงที่สรรพสัตว์ได้โมทนากับกุศลผลบุญ
4. สรรพสัตว์ทั้งหมดทุกดวงจิตวิญญาณ ทั้งผีและคนได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ที่ได้โปรดเมตตาทรงเสด็จมาเป็นองค์พระประธานของการบวงสรวง ก็มีจิตปีติ ยินดี สดชื่น เบิกบาน มีความสุข พ้นจากทุกข์บาปกรรม
5. เป็นการสะเดาะเคราะห์ของโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย จากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุต่าง ๆ ภัยเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากบาปกรรมของ คน สัตว์ รวมทั้งภูต ผีวิญญาณมากมายหลายล้านที่คนมองไม่เห็น ผี คือจิตวิญญาณของคนที่ตายแล้ว แต่ไม่ไปไหนยังคงเวียนวนอยู่ในโลก เพราะความลุ่มหลงในร่างกายตนเอง ร่างกายคนรัก ทรัพย์สมบัติของตน จึงไม่พ้นจากการเป็นผี
6. เป็นงานพุทธาภิเษก ด้วยการขอพระบารมี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เมตตาให้วัตถุมงคล ทุกชนิดมีพลังพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เพื่อปกปักรักษา ป้องกันอันตราย และช่วยให้ผู้ได้วัตถุมงคลไปบูชา มีจิตก้าวหน้า เข้าถึงพระธรรม ได้รวดเร็ว

ขั้นตอนพิธี


1. ควรทำปีละครั้ง นิยมทำตอนเช้า ไหว้พระกล่าวอัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ เทพพรหมผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก รวมทั้งท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโภสพ รุกขเทวดา ทั่วชั้นฟ้า ชั้นดินทุกๆพระองค์ ขออันเชิญมาทั้งหมด
2. กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
3. กล่าวขอขมาต่อพระรัตนตรัย
4. ตั้งจิตอธิษฐานปฏิญาณตนเป็นพุทธมามะกะ
5. กล่าวขอพรในสิ่งที่ปรารถนา แล้วแต่ท่านตั้งใจจะทำอะไร ถวายสังฆทาน ทำบุญวิหารทาน ธรรมทาน
6. ทำสมาธิ ๕ นาที
7. ถวายสังฆทาน ทำบุญ
8. แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลขอฝากไปกับพระฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปยัง นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ขอให้สรรพสัตว์ ทุกดวงจิตหลุดพ้นจากภัยอันตราย มีความสุขสดชื่น และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิง

http://www.sangthipnipparn.com/muad%20sarateekuanroo/buang%20suang.html

1805
วัดสิงห์......วัดดีศรีเมืองสิงห์  --- พระพุทธฉาย  วัดสิงห์
---------------------------------------------------------------------------------
 @@ หมายเหตุ ...จาก...แล่ม จันท์พิศาโล

คุณไพศาล ถิระศุภะ  เป็นรองผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ  กระทรวงการคลัง  บ้านเดิมอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี  จึงมีความสนใจในการสะสมพระเครื่องเมืองสิงห์บุรีเป็นพิเศษ   รวมทั้งพระเครื่องเมืองอื่นๆ อีกด้วย  และเมื่อมีโอกาสก็มักจะเขียนเรื่องราวของพระเครื่อง และวัด  ของเมืองสิงห์บุรี  มาให้ผมนำลงเผยแพร่ในหน้าพระเครื่อง “คม ชัด ลึก” อยู่เสมอ  ผมจึงได้ขออนุญาตนำเรื่องที่คุณไพศาลเขียนไว้  มาลงใน  blog นี้อีกทางหนึ่ง  เพื่อให้ท่านที่ยังไม่ได้อ่านใน นสพ. “คม ชัด ลึก” ได้มาอ่านใน blog นี้ได้ด้วย..ขอขอบพระคุณ .... แล่ม จันท์พิศาโล     
---------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธฉาย  วัดสิงห์  อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี
      วัดสิงห์ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  ตั้งอยู่ที่หมู่  ๒    ต.พระงาม  อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี  พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบเนื้อที่  ๒๗  ไร่เศษ  อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางฝั่งตะวันตก  ด้านหลังของวัดติดต่อกับถนนเลียบกั้นคลองชลประทานสายชัยนาท - อ่างทอง

  พระพุทธรูปบนหอสวดมนต์       
          วัดสิงห์เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย  มีปูชนียวัตถุที่สำคัญ  คือ พระพุทธฉาย  ประดิษฐานอยู่หน้าวิหาร  ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก เพราะมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
         พระพุทธฉาย องค์จริงดั้งเดิมประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระพุทธฉาย  ต.หนองปลาไหล   อ.เมือง  จ.สระบุรี 
          พระพุทธฉาย  คือ ฉายา หรือ เงา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏเป็นเงาเลือนรางประทับอยู่ที่ผาหิน  บริเวณเชิงเขาวัดพระพุทธฉาย  มีลักษณะคล้าย พระพุทธรูปยืน ค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม  กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา  (พ.ศ.๒๑๖๓-๒๑๗๑)   เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเช่นเดียวกันกับ พระพุทธบาท
         ตำนานเกี่ยวกับพระพุทธฉายกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่เขาฆาฏกะ  (เขาพระพุทธฉาย) เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ ซึ่งมีสันดานโหดร้าย และมีมิจฉาทิฐิ จนทำให้พรานฆาฏกะสำนึกผิดและขอบวชเป็นพระภิกษุ ต่อมาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
          ครั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จกลับ พระภิกษุฆาฏกะได้ทูลขอให้ประทานสิ่งที่เป็นอนุสรณ์   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้กระทำพุทธปาฏิหาริย์ให้ พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ปรากฏอยู่บนผาหิน  บริเวณเชิงเขาดังกล่าว   มีลักษณะเป็นเส้นเงาสีแดงคล้ายสีดินเทศ    สูงประมาณ  ๕  เมตร  ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชนมัสการ พระพุทธฉาย ทุกวันมาฆบูชา  (วันขึ้น ๑๕  ค่ำ เดือน ๓ ) ของทุกปี
          สำหรับ พระพุทธฉาย ของ วัดสิงห์ นั้น  เป็นองค์พระพุทธฉายที่สร้างขึ้นโดยจำลองจากองค์จริง     สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นพร้อมกับวัดสิงห์ คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย

พระพุทธฉาย ที่วัดสิงห์
          พระพุทธฉาย ของ วัดสิงห์  เป็นพระพุทธรูปปางพระอิริยาบถยืน         กล่าวคือ เป็นพระพุทธรูปยืน       ห้อยพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงชิดพระวรกาย             ลืมเนตรทอดตรงไปข้างหน้า เป็นกิริยาตรวจความพร้อมเพรียง และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพระสงฆ์สาวก   
          ตำนานความเป็นมาของ ปางพระอิริยาบถยืน กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาล   ช่วงยามเช้าของทุกๆ วัน  ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกโปรดสัตว์  จะทรงหยุดประทับยืน  ณ  หน้ามุขพระคันธกุฏิเสมอ เพื่อทอดพระเนตรความพร้อมเพรียงของหมู่สงฆ์           
          ครั้นทรงเห็นว่า พระสงฆ์สาวกมีความพร้อมเพรียง และเป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว    จึงเสด็จเป็นประธาน นำหมู่พระสงฆ์ออกบิณฑบาต หรือเสด็จไปในที่ที่ได้รับนิมนต์ไว้
          นับเป็นพระพุทธจริยวัตรที่แสดงถึงพระเมตตา และกรุณายิ่ง แก่พระสงฆ์ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำหมู่คณะ
         พระพุทธฉาย ของ วัดสิงห์ ประดิษฐานอยู่ที่ผาหินจำลอง   ตั้งอยู่กลางแจ้งหน้าอุโบสถ  และมีการบูรณปฏิสังขรณ์  ตลอดมาเป็นระยะๆ
          การบูรณปฎิสังขรณ์ใหญ่ครั้งแรก ได้กระทำกันในปี ๒๓๙๗   รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๔    แห่งกรุงรัตนโกสินทร์   
          ในขณะนั้น สภาพของวัดสิงห์ และพระพุทธฉาย  ชำรุดทรุดโทรมมาก สันนิษฐานว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔       ได้พระราชทานข้าราชบริพารให้มาเป็นแม่งาน ในการบูรณปฎิสังขรณ์ครั้งนั้น     โดยจะสังเกตได้ว่า หลังจากบูรณปฎิสังขรณ์พระพุทธฉายเสร็จแล้ว  ได้มีการติดตั้ง องค์พญาครุฑ อันเป็นสัญลักษณ์ของทางราชการ  ไว้ที่ผาหินจำลองดังกล่าว และอยู่ยืนยงจนมาถึงปัจจุบันนี้
         การบูรณปฎิสังขรณ์ใหญ่พระพุทธฉาย ครั้งที่ ๒ ได้กระทำในปี ๒๕๔๘  ห่างจากครั้งแรก ๑๕๑  ปี   โดยคณะกรรมการวัดสิงห์เป็นผู้ดำเนินการ  มีการเสริมฐานรากให้มั่นคงแข็งแรง และสร้างหลังคาคลุมผาหินจำลองเอาไว้  ซึ่งจะทำให้ พระพุทธฉาย อยู่คู่กับ วัดสิงห์ ไปอีกตราบนานเท่านาน
         ในสมัยก่อน ทุกๆ วันมาฆบูชา  ทางวัดสิงห์จะจัดงาน เทศกาลบูชาพระพุทธฉาย เป็นประจำทุกปี   โดยชาวบ้าน ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน จะจัดภัตตาหาร  ข้าวตอก  ดอกไม้
          และที่ขาดไม่ได้คือ ข้าวหลาม  เพราะชาวบ้านมีความเชื่อกันว่า ท่านชอบฉันข้าวหลามมาก  ใครมาขอพร หรือบนบานศาลกล่าว  เมื่อสมหวังมักจะแก้บนกันด้วยข้าวหลาม  เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปัจจุบันไม่มีการจัดงานเทศกาลบูชาพระพุทธฉายจำลองอีกแล้ว    ซึ่งเป็นไปตามยุคสมัย

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=124892

1806
ท้อแท้ทำงานเต็มที่แต่ออกมาไม่ดี
[youtube=425,350]LcQaw1HyEPs[/youtube]

1807
แผนที่สุราษฎร์ธานี




1808
วิธีวางอารมณ์ใจในการท่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

 
ถาม : อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คือผมเริ่มท่องมาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนแล้ว แล้วตอนนี้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยขาดจะมีแต่เพิ่มขึ้น แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นที่ว่า....

ตอบ : ค่อยๆ ทำไป ถ้าหากว่าเราทำโดยที่กำลังใจของเราคิดว่าเราทำเพื่อบูชาคุึณครูบาอาจารย์ เรามีหน้าที่ทำเพื่อรักษามรดกล้ำค่าที่หลวงพ่อให้เราไว้ แล้วก็ท่องบ่นภาวนาของเราไปโดยที่ไม่ได้คิดอยากได้ใคร่ดีอะไรกับผลตอบแทนอันนั้น เรามีหน้าที่ท่อง ผลตอบแทนจะเป็นยังไงช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะมาเยอะมาเร็วด้วย แต่ถ้าหากว่าเราท่องแล้วใจมันคิดอยากได้ตัวอยากมันจะตัดไปเยอะ อันนี้กล้ายืนยันเพราะอาตมาทำเอง แล้วก็ทำมาตลอด

ถาม : หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานท่านให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ และท่านก็บอกว่าด้วยพระคาถานี้คนไปนิพพานกันเยอะแล้ว ก็เลยท่องมาเรื่อย

ตอบ : คือคาถานี้อย่างน้อยๆ เราก็ต้องคิดว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อให้ เจ้าของคาถาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า และถ้าเป็นคาถาในส่วนที่เป็นคาถาเงินล้านหลายบทที่พระัพุทธเจ้าท่านให้มา ถ้าใจของเราเกาะหลวงพ่อ ใจเกาะพระปัจเจกพุทธเจ้า ใจเกาะพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านเองทรงความดีถึงขนาดนั้นเป็นผู้ให้คาถาเรามา ถ้าเราตายเราขอไปอยู่กับท่านอย่างนั้นโอกาสไปนิพพานก็สูง มันอยู่ที่ทำได้หรือทำเป็น ถ้าหากว่าทำเป็นนี่ประโยชน์เยอะ

ถาม : ถ้าเราท่องตามอย่างนี้ ....(ไม่ชัด)....

ตอบ : ไม่หรอกคือให้เราตั้งใจสิ เพราะส่วนใหญ่เหล่านั้นก็มักจะเป็นภาษิตหรือว่าการสั่งสอนซึ่งถือว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเราท่องตามด้วยความเคารพในธรรมไม่มีปัญหาอะไร อย่างท่านบอกว่า อภิวา ทะนะสีลิสะนิจจัง บุคคลผู้ที่มีปกตินอบน้อมต่อผู้ทรงศีล วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโรธัมมาวัตทันติ ย่อมเป็นปัจจัยให้ธรรมะทั้งสี่ประการเจริญขึ้น อายุวรรณโน สุขังพลังก็คืออายุ วรรณะ ความสุขและกำลัง คำสอนแท้ๆ เลยเพียงแต่เราแปลออกมั้ย ? อันนั้นก็ถือว่าคำสอนนี้เป็นธรรมะ ในเมื่อเป็นธรรมะเราตั้งใจว่าด้วยความเคารพในธรรมก็เป็นธัมมานุสสติ ยิ่งเราท่องได้ด้วยถ้าถึงเวลานึกออกหมดทุกบทยิ่งดีใหญ่เลย ถ้าหากว่าพระสวดเสียงเบาก็ช่วยสวดด้วย (หัวเราะ)

ถาม : แล้วถ้าก็อย่างหลวงพ่อเวลาท่านสวดบทปุริมัญจะ ทิสังราชาเราท่องตาม

ตอบ : ลักษณะเดียวกัน คือว่าเราตั้งใจน้อมอัญเชิญท้าวมหาราชด้วยความเคารพ ตั้งใจคิดว่าสิ่งใดที่ท่านเมตตาสงเคราะห์มาเราขอน้อมรับทั้งหมด แล้วจะเอาอะไรก็อธิษฐานว่าไป ได้เปรียบเขาเยอะเลย มันได้เปรียบตรงที่ว่าจิตเราเกาะหลวงพ่อ ท่องเมื่อไหร่นึกได้ทันทีและจำได้ด้วยว่าท่องยังไงแล้ว่าตามได้อนุสสติมันดีกว่าเขาเยอะ แต่อย่าลืมตรงจุดที่ด้วยความเคารพนะ




สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ลอกจาก
http://board.palungjit.com/f61/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-137160.html

1809
เมฆจิต ของท่านอาจารย์เกษม

         เมฆจิต หรือ ทิพยจักษุญาณของท่านอาจารย์เกษมนี้ เป็นแบบปฏิบัติที่ให้ผลง่าย ๆ
มีมากรายที่ฝึกตามแบบนี้แล้วได้รับผลเบื้องต้นภายใน ๗ วัน บ้าง ๑๕ วันบ้าง แต่ที่ไม่ได้เรื่อง
ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่แก่ความฉลาดและความกล้าของแต่ละบุคคล ที่ท่านทำได้ง่าย ๆ
นั้น ท่านเหล่านั้นเล่าให้ฟังว่า ท่านทำดังนี้
         ท่านเริ่มทำสมาธิด้วยการกำหนดนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น รูปพระพุทธเป็นต้น แล้ว
ภาวนาคาถาบริกรรมไปด้วย กำหนดรูปด้วย วันหนึ่ง หรือคราวหนึ่ง ท่านไม่เอามาก ใช้เวลา
คราวละ ๕ นาที บังคับว่าคาถาให้ครบถ้วน พร้อมด้วยกำหนดให้เห็นรูปไปด้วย ถ้าจิตพลาด
นิดหนึ่งท่านตั้งต้นเวลาใหม่ ท่านทำอย่างนี้เพื่อบังคับอารมณ์ตนเอง เพื่อไม่ให้จิตส่ายไปใน
อารมณ์ภายนอกแล้วทดลองความรู้จากอารมณ์ คือ กำหนดรู้ทางใจ โดยกำหนดรู้เรื่องราว
ต่าง ๆ ตามที่จะหาได้ เช่น เห็นรถแล่นมาแต่ไกลก็กำหนดจิตเพื่อรู้ว่า คนในรถมีกี่คน เป็น
ชายเท่าไร หญิงเท่าไร แล้วเชื่ออารมณ์ที่รู้อารมณ์แรกโดยจิตคิดว่า มีคนกี่คน หญิงกี่คน
ชายกี่คน ก็เชื่อตามอารมณ์แรก ความรู้นั้นจะถูกต้องตามความเป็นจริงเสมอเป็นวิชชาฝึก
ทิพยจักษุญาณระยะต้นดีมาก คาถาภาวนาว่าดังต่อไปนี้

                                คาถาเมฆจิต

                    พุทธัง เมฆะนิมิตต์ จิตตัง มะอะอุ
                  ธัมมัง เมฆะนิมิตต์ จิตตัง อุอะมะ
                  สังฆัง เมฆะนิมิตต์ จิตตัง อะมะอุ
                         (คาถาของท่านมีเท่านี้)
         
                     ฝึกทิพยจักษุญาณแบบโบราณ

         ท่านวางแบบของท่านไว้ว่า ให้จัดธูป ๗ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๗ เล่ม ดอกไม้
๗ กระทง ข้าวตอก ๗ กระทง บาตรใส่น้ำเต็ม ๑ ใบ ท่านให้ภาวนาด้วยคาถานี้ตามแต่
จะสบาย

                                    คาถาภาวนา

         นะมะพะทะ พุทโธ โลกทีปัง อาโลกกสิณัง วิโสธายิ
                   ธัมโม โลกทีปัง อาโลกกสิณัง วิโสธายิ
                   สังโฆ โลกทีปัง อาโลกกสิณัง วิโสธายิ
         เมื่อภาวนาจนจุใจแล้ว ท่านให้เอาน้ำมนต์ในบาตรนั้นอาบทุก ๆ วัน ตามตำราท่านว่า
ทำอย่างนี้ ๗ วัน ของท่านได้ทิพยจักษุญาณ จงรักษาสมาธิให้ดี ดูของท่านแล้วก็อาโลกกสิณ
ดี ๆ นั่นเอง ถ้าว่าคาถาเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่มีหวังแน่ ต้องตั้งอารมณ์ตามแบบกสิณ มี
หวังแน่ตามที่ท่านบอกไว้

1810
เพิ่มเติมจากเวป
http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=288


                         คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

         คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ หลวงพ่อปานได้เรียนมาจากครูผึ้ง อายุ ๙๙ ปี เป็นคาถา
ให้คุณทางลาภผล และเป็นฌานสมาบัติ มีคุณเป็นทิพยจักษุญาณด้วย และยกฐานะของผู้ปฏิบัติ
ไม่ให้ขัดสนยากจนด้วย ศิษย์ของหลวงพ่อปานได้ฝึกคาถานี้ มีฐานะมั่นคงหลายสิบอย่าง ที่รู้จัก
กันมากก็คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่าเตียน จังหวัด
พระนคร เคยสนทนากับนายประยงค์ ท่านนายห้างบอกถึงวิธีปฏิบัติเกิดผลมหาศาล ท่านเล่า
ให้ฟังดังต่อไปนี้

ปฏิปทาของนายประยงค์
         ๑. ทุกเช้าเย็น ท่านสวดมนต์และว่าคาถานี้ต่อหน้าพระพุทธรูปคราวละ ๙ จบทุก
เช้าเย็น
         ๒. เมื่อสวดคาถานี้แล้ว ท่านนั่งภาวนาคาถานี้จนสบายใจทุกวัน คือตั้งเวลาไว้
ประมาณครึ่งชั่วโมง ทำจนจิตเป็นสมาธิ พอสบายใจแล้วก็ไปทำงานตอนเช้า หรือพักผ่อน
ในตอนค่ำ
         ๓. ใส่บาตรทุกเช้า ก่อนใส่บาตรท่านว่าคาถานี้ ๙ จบ ก่อนใส่บาตร ถ้าวันใดไม่มี
พระมาบิณฑบาต ท่านใช้เก็บเงินไว้แทนการใส่บาตร ตามแบบที่หลวงพ่อปานสอน ท่านให้
เก็บข้าวสารหรือเงินก็ได้เอาไว้แทนการใส่บาตร ก่อนเก็บว่าคาถานี้ ๙ จบ เหมือนก่อนใส่
บาตรวันต่อไปให้เอาไปถวายพระเป็นค่าภัตตาหาร
         ๔. ก่อนเอาเงินเก็บตอนเย็น หรือก่อนเอาเงินออกใช้ตอนเช้า ท่านว่าคาถานี้ ๙ จบ
คือขณะที่เก็บเงินนั้น ให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้วว่าคาถา ๙ จบ จึงเอาเงินเก็บในที่
เก็บตอนเช้าก่อนเอาเงินออกใช้ เมื่อจับเงินแล้ว ยังไม่นำออก ว่าคาถานี้ ๙ จบ แล้วนำเงิน
ออก
         ท่านบอกว่า ท่านทำอย่างนี้เป็นปกติ จนกลายเป็นคนมีเงินมีทองมากมาย ทำบุญด้วย
จำนวนเงินหลายสิบล้าน หายากนักที่จะมีผู้ศรัทธาเสมอท่าน คาถานี้ว่าดังนี้
         พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ (บทนี้ว่าเที่ยวเดียว)
         วิระธะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
        มานี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม ฯ
                            (คาถานี้มีเพียงเท่านี้)

1811
ภาพเหตการณ์ประวัติศาสตร์


เมื่อก่อนเคยเป็นห้องน้ำ
ชอบต้นไม้บนหลังคา

น้ำท่วมห้องน้ำ คงทำให้ลำบากในเรื่องสุขาอย่างมากเลยนะครับ

1812
คาถาพระยายม

นะโมพุทธายะ

พุทธคาถา

มหาวิชโย โหหิ อสังวาโส
(ภาวนากันอันตรายทุกอย่าง ผู้คิดร้าย จะย่อยยับไปเอง เป็นมหามงคลทุกอย่าง)

คาถาเมตตา

พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต
(คาถาบทนี้ หลวงพ่อบอกว่าให้ใช้เวลาไปติดต่อผู้อื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยก่อนจะออกจากบ้าน ให้นึกใบหน้าของผู้ที่เราจะไปหาก่อน แล้วภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วย เมื่อไปพบแล้วจะสำเร็จผลตามที่ต้องการ
คาถาบทนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นคาถาของ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต)
[แก้ไข]คาถาสมเด็จประทาน

มหาโคตมะ ปาทะเกหิ จะ อปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง
(เสกของต่างๆ ให้มนุษย์ จะได้มีจิตเมตตาต่อกัน เสกอะไรก็ได้)

คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน

1.อิติ สุกขติ สุกขโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนอยู่ในบ้าน จะได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ)
2.อิติ สุคติ สุคโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนเดินทาง จะประสบผลสมประสงค์และปลอดภัยทุกประการ)

คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ

พยัคฆา พยัคฆัง มานี่ให้หมด
(เป็นคาถาภาวนาให้คนมารวมกัน อธิษฐานเอาตามใจ ภาวนาเรียกเสกแป้ง สีผึ้งก็ได้)

คาถาป้องกันอันตราย

รูปพระพุธโธ โหหิ
(ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้ปืนก็ยิงไม่ออก)

คาถานวด

อิมัสมิงมาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ
(นึกถึงพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด)

เสกของขายภายในร้าน

นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

คาถาให้สารภาพ

กัณหัง อเสนโต อเทสยิ
(บอกความจริงให้หมด)

คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4

อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอรหังรักษา
(ท่านบอกว่าท่องคาถาบทนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวอันตราย)

คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

จิเจตะสา มหามันตัง
(สอนให้ทำน้ำมนต์ ใช้การทุกอย่างสวัสดี เป็นมหาเมตตา และทำลายโชคร้ายทั้งหมด ให้กลายเป็นดี รักษาโรคทั้งหมด ตามแต่จะอธิษฐาน)

คาถาโรยทราย (นะจังงัง)

นะโม พุทธายะ (ว่า 1 จบ)
อิติ ศัตรู ยามาคะตา(โรยไปว่าไป)
(ป้องกันศัตรู)

คาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม

(คาถาพระพุทธกัสสป)
นาสังสิโม ปาสุอุชา10รอบ

1813
พระพุทธคาถา

สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
สวดทุกคืน คืนละ 7 จบ
อานุภาพคาถามีดังนี้
ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา
จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น
เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพยจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส


คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

ตั้งนะโมฯ 3 จบก่อนแล้ว นมัสการสรณคมณ์ (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) แล้วให้สมาทานศีล 5 (ปาณา ฯลฯ สุราเมระยะฯ )แล้วจึงท่อง พุทธะ มะ อะ อุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สวดเช้าเย็น ครั้งละ 9 จบ จะทำให้มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ เงินไม่ขาดมือ.


คาถาอภิญญารวม

โสตัตตะภิญญา

คาถารวมจิต

อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

คาถาปราโมทย์

ปราโมทย์

คาถาพระนิพพานนิมิต

นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา

คาถาขีณาสวานิตยา และนิพพานสุขัง

ขีณาสวานิตยา และนิพพานสุขัง

คาถาเรียกจิตคน

จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ (เรียกจิตคนสำหรับเทศน์ อบรม สนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา)

คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์

สัมปจิตฉามิ

คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง

เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา

คาถากำบังตัว

สัมปะติจฉามิ

คาถากันฟ้าผ่า

อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธามะ

คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

๑ พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
๒ พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ
๓ ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณให้มา ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลักถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของถาถานี้
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ
ในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว อีกบทหนึ่งเป็นของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานา
ทั้งสามบทนี้ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ บทกลางนะทำลายโรค ได้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้างที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้รักษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอด ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอต่อพระพุทธรูป (ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่นำสิ่งที่ให้นำมาผลกรรม โรค นั้นจะตกที่คนรักษา)
ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เสกน้ำมนต์ เสกอะไร อะไรให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌานเป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน


คาถาพระอินทร์

สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ
(ใช้กับการเรียน ให้อ่านหนังสือแล้วจำได้ ทำข้อสอบได้)

1814
คาถาหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

1 พระพุทธคาถา
2 คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
3 คาถาอภิญญารวม
4 คาถารวมจิต
5 คาถาปราโมทย์
6 คาถาพระนิพพานนิมิต
7 คาถาขีณาสวานิตยา และนิพพานสุขัง
8 คาถาเรียกจิตคน
9 คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์
10 คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง
11 คาถากำบังตัว
12 คาถากันฟ้าผ่า
13 คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป
14 คาถาพระอินทร์
15 คาถาพระยายม
16 พุทธคาถา
17 คาถาเมตตา
18 คาถาสมเด็จประทาน
19 คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน
20 คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ
21 คาถาป้องกันอันตราย
22 คาถานวด
23 เสกของขายภายในร้าน
24 คาถาให้สารภาพ
25 คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4
26 คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป
27 คาถาโรยทราย (นะจังงัง)
28 คาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B9%85%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3#.E0.B8.84.E0.B8.B2.E0.B8.96.E0.B8.B2.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.9B.E0.B8.B1.E0.B8.88.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B8.81.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B9.89.E0.B8.B2

1815
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (6)

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

เวลานี้เวลาที่บันทึกเสียงเพื่อท่านเป็นเวลา 2 นาฬิกาของวันที่ 22 กันยายน 2526 เป็นเวลาสำหรับเจริญพระกรรมฐานแต่ทว่าการ

บันทึกเสียงคั่งค้างมาตั้งแต่หัวค่ำของวันคืนวันที่ 21 กันยายน 2526 ความจริงเวลานี้ผมป่วยไข้ไม่สบายอยุ่มากแต่การบันทึกเรื่องอุ

ทุมพริกสูตร หรือระเบียบการปฏิบัติ ตั้งใจมา 3 ปี โอกาสไม่มีเพื่อจะทำเพื่อกิจนี้ ฉะนั้นมีโอกาสเมื่อแรงมีอยู่บ้าง ความจริงเวลานี้

ท้องถ่าย คืนละ 4-5 ครั้ง เสียงก็ไม่ดี แต่ไม่เป็นไร ก็ทำเพื่อท่าน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเรียกบุญคุณจากท่าน และจะไม่ได้หวัง

ความชดเชยจากท่าน เป็นแต่เพียงห่วงว่า ผมน่ะมันใกล้จะตาย และอาการร่างกายก็ไม่ดี ก็เสียดายชีวิต คิดว่าถ้าไม่ได้ทำเรื่องนี้ ถ้า

ตายแล้วมันเสียทีเปล่า เพราะว่าปฏิปทาที่ปฏิบัติมา ปฏิบัติตามสายนี้

ต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึงเรื่องระเบียบปฏิบัติ คำว่าระเบียบปฏิบัตินี้มันเป็นระเบียบปฏิบัติของผู้เอาดีกัน และเราก็ปฏิบัติตามแนวที่

พระพุทธเจ้าทรงแนะนำและคัดค้าน ส่วนใดที่พระพุทธเจ้าคัดค้าน เราไม่ทำสิ่งนั้น ส่วนใดที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญส่งเสริมเราทำ

สิ่งนั้น แล้วก็ก่อนที่จะพูดอะไรทั้งหมด ก็ให้ถือเป็นคติว่าการปฏิบัติของพวก

เราจะต้องละความเลว 10 อย่างก็คือ

1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความเห็นว่า ร่างกายของเราจะไม่ตาย ร่างกายของเรามีความสะอาด ร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราในร่างกาย

เป็นต้น นี่ต้องทิ้งไปต้องมีความรู้สึกอันดับต้นว่า ชีวิตคือร่างกายนี้มันต้องตายตามที่พระพุทธเจ้าตรัสดับ เปสการีว่า ชีวิตเป็นของไม่

เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง แล้วก็สอนให้เห็นตามความเป็นจริง ร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันเต็มไป

ด้วยเลือดเนื้อ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น แล้วชีวิตนี้ ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่เพียง

ธาตุ 4 เข้ามาผสมกัน สภาพของมันที่เกิดขึ้นมาก็คือ แก่ ป่วย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ แล้วก็ตายไปในที่สุด ถ้ามันเป็นเรา

จริงเป็นของเราจริง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น

2. วิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องไม่มีกับเรา เราจะต้องยอมรับนับถือคำสอน คำสั่งสอน

ของพระพุทธเจ้าด้วยปัญญา

3. สีลัพพตปรามาส เราจะไม่ลูบคลำศีล คือไม่สักแต่ว่าบอกว่ารักษาศีล เราจะต้องรู้ว่าศุลของเราทั้งหมดมีกี่สิกขาบท ปฏิบัติให้

ครบถ้วนเพื่อความสุขของเราในปัจจุบันและสัมปรายภพ

ถ้าปฏิบัติครบทั้ง 3 ประการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระโสดาบันหรือสกิทาคามี ความจริงทั้ง 3 ประการนี้ขอทุกคนพยายาม

ปฏิบัติให้ได้ จะได้ช้าได้เร็วไม่เป็นไร พยายามปฏิบัติ พยายามลดความเลว 3 ประการ

แล้วก็สร้างความดี 3 ประการให้เกิดขึ้น ต้องถือว่าชีวิตนี้ถ้าทำไม่ได้เราก็ตายเสียดีกว่าโด่ยเฉพาะอย่างยิ่งมโนยิทธิที่ได้ไปแล้ว

พยายามปฏิบัติให้เคร่งครัด ให้มีสภาพแจ่มใส และนำกำลังใจส่วนนั้นเข้ามาปฏิบัติ ตัดสังโยชน์ 3 ประการนี้ให้ขาดไปเป็นของทำไม่

ยาก

4. ที่เราจะต้องละแล้วก็เสริมนั่นก็คือ กามฉันทะ พยายามตัดความรู้สึกหรือว่าความเห็นที่ได้เห็นกามารมณ์เป็นของดี ให้ใช้กายคตา

นุสสติกับอสุภกรรมฐานเข้าสนับสนุน

5. ตัด ปฏิฆะ ความรู้สึกกระทบไม่ชอบใจ อารมณ์ที่กระทบกระทั่งใจคิดว่าอารมณ์อย่างนี้มันเป็นอารมณ์ไม่ดี เป็นปัจจัยให้เกิดความ

ทุกข์ ตัดมันด้วยพรหมวิหาร 4 หรือกสิณ 4 คือ กสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว

6. ไม่หลงใหลใน รูปฌาน

7. ไม่หลงใหลใน อรูปฌาน

8. ไม่มี มานะ ไม่ถือตัวถือตน

9. ตัด อุทธัจจะ คือทรงกำลังใจให้ตรง มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็

10. ตัด อวิชชา ตัดความรู้สึกว่า โลกนี้ก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นของดี แล้วตัดความห่วงใย

ความมีความต้องการในร่างกายที่เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ให้มีความรู้สึกเฉยต่ออาการที่มันเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกาย

ร่างกายจะแก่ก็ดี จะป่วยก็ดี จะพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ดี จะตายก็ดี วางเฉย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานี่สิ่งที่ต้องตัด

แล้วสิ่งที่ต้องเสริมเข้ามาให้ครบถ้วนให้มีทุกวัน คือ

1. ทาน การให้ ใจคิดไว้เสมอว่าเราจะให้ ที่เรียกว่า จาคานุสสติกรรมฐาน เมื่อโอกาสมีเราให้ แต่การให้ต้องเลือกบุคคล อย่าให้คน

เลว

2. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วยกำลังของพรหมวิหาร 4 แล้วก็

3. คิดไว้เสมอว่าเราเป็นพระก็ดี เป็นเณรก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี เข้ามาอยู่ในวัดนี้ ทุกคนถือว่าเป็นผู้บวชแล้ว คือบวชกำลังใจให้

บริสุทธิ์ อันดับต้นพยายามระงับนิวรณ์ 5 อย่าให้นิวรณ์ 5 มันฟูขึ้นมา แล้วก็พยายามตัดสังโยชน์ 10 ทรงบารมี 10 ให้ครบถ้วน

ถือเป็นการบวชแน่นอน ถึงแม้ว่าไม่ห่มผ้าเหลือง ก็ถือว่าเป็นการบวช แล้วก็

4. ปัญญาบารมี ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริงเพื่อละกิเลส

5. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้ทำอุปสรรคไม่ย่อท้อ

6. ขันติ อดทนต่ออารมณ์ที่ต้านทาน คือความเลวมันจะต้านทาน อารมณ์เลวเดิมมั่นจะต้านทานเราเราต้องต่อสู้มันด้วยขันติ อดทน

ไว้ อดกลั้น ให้มันมีอยู่แค่ในใจ อย่าให้ไหลมาถึงกายและวาจา

7. สัจจะ ทรงความจริงเป็นปกติ แล้วก็

8. อธิษฐาน ตั้งใจไว้อย่างไร ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

9. เมตตา ปกติมีความเมตตาปรานี คิดว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ในโลกนี้เป็นมิตรที่ดี สำหรับเรา

10. อุเบกขา วางเฉย เฉยต่ออารมณ์ที่เป็นโลกีย์วิสัย แล้วก็เฉยต่อสภาวะของาขันธิ์ 5 ที่เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ

ก็รวมความว่าทั้ง 10 ประการนี้ ขอบรรดาทุกท่านปฏิบัติให้ครบถ้วน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราถือว่า

เราบวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อตามความประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ่เจ้า ถึงแม้วามันจะดับ มันจะปฏิบัติได้ไม่นานนัก

ถึงวาระท่านต้องลาสิกขาแล้วญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถึงวาระต้องกลับบ้านก็ตามที แต่ความดีนี้ไม่ต้องลด ไปบ้านเราก็ทำได้

แต่การที่จะพึงทำ ก็ดูตามความเหมาะสม อันดับแรกคือ คงองค์ของพระโสดาบัน นี่ขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านถ้าไปบ้านแล้ว

อย่าพึงละต่อไปนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่องของการแนะนำในอุทุมพริกสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกวามันเป็นของไม่ดี สิ่งที่

สร้างกิเลสให้เกิดขึ้นในใจ อย่าลืมว่า เราทำนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราปฏิบัติกันเพื่อเพื่อละกิเลส ก็ต่อจากที่แล้วมานั่น

เลยมันดึกสงัด ตี 2 ก็เสียงมันก็ไม่เป็นเรื่องก็ไม่เป็นไร สู้แค่มีกำลังสู้ได้ เสียงแหล เสียงแห้งไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีเสียงเลย เพราะ

ความตายเข้ามาถึง

ต่อนี้ไปก็ขอต่อ พระพุทธเจ้าตรัสกับนิโคธะว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ คำว่าตบะแปลว่า ความ

เพียรเป็นเครื่องเผาบาปบาปให้เร่าร้อน นั่นก็หมายความว่า มีความเพียรในการทำลายบาปให้สิ้นไป หรือความชั่วให้สิ้นไป บาปคือชั่ว

ท่านบอกว่า บุคคลผู้มีตบะเห็นสมณะ หรือพราหมณ์อื่นที่เขาสักการะเคารพนับถือ บูชาอยู่ในสกุลทั้งหลาย เขาดำริอย่างนี้ว่า คนทั้ง

หลายย่อมสักการะเคารพนับถือบูชาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ชื่อนี้ ผู้เลี้ยงชีวิตด้วยวัตถุหลายอย่างในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะ ไม่

เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชาเราผู้มีตบะ เลี้ยงชีวิต ด้วยวัตถุที่เศร้าหมอง เขาเป็นผู้แห่งความริษยา เป็นไหม อารมณ์ริษยาเขาเป็นผู้แห่ง

ความริษยา  และความตระหนี่ที่เกิดขึ้นในตระกูลทั้งหลายเหล่านั้น แม้ข้อนี้แลย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ เอ้า! ผมจะอ่าน

เรื่อยๆ ไปนะ ข้อความไม่ยาก จึงกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่เราควรจะกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้นั่งใน

ที่เป็นทางแลเห็น หมายความว่าบุคคลผู้จะทำพระกรรมฐานนั้นนั่งให้ชาวบ้านเขาเห็น ข้อนี้แลย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคล

ผู้มีตบะ ระวังให้ดีนะการเจริญพระกรรมฐานต้องนั่งในที่ลับๆ มันจะกลายเป็นโชว์ตัวไป

ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่เราจะกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมเที่ยวแสดงตนไปในที่สกุลทั้งหลายว่า

กรรมอย่างานี้อยู่ในตบะของเรา คืออวดเขาว่าฉันเจริญกรรมฐาน เวลานี้ฉันได้มโนมยิทธิแล้วเวลานี้ฉันได้ฌานสมาบัติ เวลานี้ฉันได้

มรรคได้ผล อันนี่ละ ระวังให้ดี กรรมแม้นี้ในตบะของเรา แม้ข้อนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เป็นอุปกิเลสแก่บุคคลแก่

บุคคลผู้มีตบะ เห็นไหม แทนที่จะทำให้ดีกลับทำให้เลวด้วยคนทำ

และท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรจะกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมเสพโทษอันปกปิดบางอย่าง เขาถูกผู้อื่น

ถามว่า โทษอย่างนี้ควรแก่ท่านหรือ และกล่าวโทษที่ไม่ควรว่าควร กล่าวโทษที่ควรว่าไม่ควร เขาเป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่อย่างนี้ แม้

ข้อนี้ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้บำเพ็ญตบะ ในอย่างนี้มีเยอะนะความจริงนักบวชที่เราเรียกว่าพระก็มีเยอะเหมือนกัน

และท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรจะกล่าวยังมีอีก บุคคลผู้มีตบะ เมื่อพระตถาคตหรือพระสาวกของพระตถาคต

แสดงธรรมอยู่ ย่อมไม่ผ่อนตามปริยายซึ่งควรจะผ่อนตามอันมีอยู่ แม้ข้อนี้แลก็ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ นั่นหมายความว่า

พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เวลาเทศน์ท่านเทศน์เพื่อตัดกิเลสแต่ก็มีมานะว่าของฉันแน่กว่า ไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นอุปกิเลส มัน

เป็นอยู่จริงๆ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรับ ดูก่อนนิโครธะท่านกล่าวอีกว่า คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะเป็นผู้มักโกรธ มักผูก

โกรธ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ

และต่อไปท่านบอกว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้ลงหลู่ แล้วตีเสมอริษยา ตระหนี่ โอ้อวด มี

มายาคือเจ้าเล่ห์ ไม่ตรงไปตรงมา แข็งกระด้าง ถือตัวจัด เป็นผู้มีความประมาท และมีความประพฤติลามกไปสู่อำนาจแห่งความ

ปรารถนาอันลามก เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นผิด ประกอบไปด้วยทิฏฐิอันดิ่งถึงที่สุด หมายความว่าเลวแล้วไม่ยอมถอย เป็นผู้ลูล

คลำทิฏฐิ คำว่าทิฏฐินี้แปลว่าความเห็น ทิฏฐิที่ดีๆ เอาแค่ลูบคลำเฉยๆ บอกฉันทำอย่างงั้น ฉันทำอย่างงี้ ฉันทำอย่างโง้น ฉันละแบบ

นี้ แบบนี้ แต่ไม่จริงอะไรโกหก เป็นผู้ถือมั่น สละคืนได้ยาก ข้อนี้แลย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้ถือมั่นสละคืนได้ยาก ก็

หมายความว่า ถืออย่างไหนถืออย่างนั้น สอนไม่ตรงกับที่ฉันปฏิบัติมา ฉันไม่เอาสอนไม่ตรงกับที่ฉันมีความเห็นอยู่ฉันไม่เอา ไอ้แบบ

นี้ก็ไม่ต้องห่วง นรกแน่

พระองค์จึงกล่าว่า ดุก่อนนิโครธะ ท่านจะถึงสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉนการหน่ายบาปด้วยตบะเหล่านี้เป็นอุปกิเลสหรือวาไม่เป็น

อุปกิเลส นิโครธะ ปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การหน่ายบาปด้วยตบะเหล่านี้เป็นอุปกิเลสแท้ พระเจ้าข้า ไม่เป็น

อุปกิเลสก็หามิได้ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ พึงเป็นผู้ประกอบไปด้วยอุปกิเลสเหล่านี้ครบทุกอย่าง ข้อนี้แลเป็นฐานะที่จะมีได้ จะป่วย

กล่าวไปใยถึงอุปกิเลสเพียงบางข้อๆ  นี่ขอย้อนกล่าวอีกหน่อยหนึ่งว่า ท่านบอกว่า นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ความหน่ายบาปด้วยตบะเหล่านี้เป็นอุปกิเลสแท้ หมายถึงว่าการปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี่ ตั้งแต่ต้นเลยนะครับไม่ใช่

ของดี เลว เป็นของเลวทั้งหมด อุปกิเลสที่ก่อให้จิตเศร้าหมอง คืออารมณ์เลว อารมณ์ที่จะนำเราไปสู่อบายภูมิ แล้วก็ท่านบอกว่า ไม่

เป็นอุปกิเลสหามิได้ หมายความว่าต้องเป็นอุปกิเลสแน่  บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้เป็นผู้ประกอบไปด้วยอุปกิเลส ท่านหมายความว่า

บุคคลที่ปฏิบัติสมถวิปัสสนาน่ะเวลานี้เวลาไหนก็ตาม ถ้าทำให้มีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แม้แต่อย่าง

เดียวก็หมายถึงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้สั่งสมกิเลส ไม่ใช่สั่งสมความดี ท่านบอกว่าพึงเป็นผู้ประกอบไปด้วยอุปกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ครบ

ทุกอย่าง ข้อนี้แลเป็นฐานะที่จะมิได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงอุปกิเลสเพียงข้อใดข้อหนึ่ง

นี่ท่านก็หมายความว่า ท่านนิโครธปริพพาชกยอมรับว่า คนที่ปฏิบัติความดีเพื่อละกิเลสที่เราเรียกกันว่าพรต หรือพวก

เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานตามที่ทำๆ กันมาเนี่ย มักจะยึดเอาอุ)กิเลส คือความชั่วทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่อง

ครองใจ ไม่ได้มีความหวังว่า เพื่อจะละกิเลสให้สลายตัวไป

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายกับพระโยคาวจร คำว่า พระโยคาวจรนี้ก็หมายความว่าท่านที่ประกอบความดีเพื่อตัด

กิเลสให้เป็นสมุจเฉทปทาน รวมความว่าตอนต้นที่กล่าวมา แต่ความจริงฟังแล้วมันเหนื่อยๆ ท่านก็อาจจะคิดว่าผมเอาอะไรมาอ่านก็

ไม่รู้ ฟังแล้วเฉื่อยๆ ดีไม่ดีก็หลับไปหรือรำคาญ แต่ทั้งนี้ก็ต้องการให้ทุกท่านทราบว่า การปฏิบัติพระกรรมฐานเพื่อละกิเลส อย่าลืมว่า

เราปฏิบัติกันเพ่อความดับไม่มี่เชื้อ ระเบียบ  ตอนเย็นเราก็กล่าวตามคติขอหลวงพ่อปานว่า นิพพานัสละ สัจฉิกิริยา ยะ เอตัง กาสาวัง

คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ถึงแม้ว่าญาติโยมพุทธบริษัทที่ไม่มีผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ว่าการที่ท่านมาอยู่วัดอยู่ในสภาพของพรหมจรรย์ ท่านมีสามี ท่านมีภรรยา

แล้ว แต่ว่าเวลานี้ท่านไม่ได้คำนึงถึงภาวะของความเป็นสามีภรรยา อยู่กันอย่างพรหม ถึงว่าจะมาร่วมกันพร้อมกันทั้งสามีภรรยา เราก็

งดเว้นกามคุณชั่วคราว อย่างนี้ก็ถือว่าท่านเป็นนักบวชที่ดีคนหนึ่งจะถามว่าผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้นใช่ไหมที่เป็นบวช ก็ต้องตอบว่า

ไม่ใช่ นักห่มผ้ากาสาวพัสตร์ใด ถ้าปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามทีพระพุทธเจ้าตรัสมาแล้ว ที่ตรัสมาแล้วทั้งหมดนี้ใช้อะไรไม่ได้เลย

เป็นความเลวทั้งหมด ถ้ากำลังของบุคคลใดยังยึดถือความเลวนี้เป็นสำคัญก็หมายความว่า ไอ้การบวชกันนี่อย่าถือจีวรสบงเป็น

สำคัญนะ ไม่ได้ต้องทำดีกัน

ทีนี้เราจะพิจารณากันพิสูจน์ดูว่า ที่ปฏิบัติมาแล้วทั้งหมด หรือว่าที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวมาแล้วทั้งหมดในลัทธิของพราหมณ์ ว่ามี

ความเลวทุกอย่างไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ทางมรรคผล ทีนี้ผมเองก็ไม่กล้าวินิจฉัยคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทศพล ที่ไม่กล้าก็ไม่ใช่

ว่าจะกลัวพระพุทธเจ้าเสียเกินไป ไม่กล้าจะแตะต้องอะไรแต่ความจริงผมก็กลัวจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่าผมเองเคยวินิจฉัยคำ

แนะนำของพระพุทธเจ้าผิดมาหลาวยาระ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วผมก็คิดว่าจะเป็นได้

อย่างไงนี่  ในระยะต้นๆ ผมเรียนนักธรรม ผมเรียนบาลี เคยมีตอนหนึ่งเป็นตอนที่สำคัญ ทีอ่งค์สมเด็จพระทรงธรรมบริศาสดากล่าวไว้

ในโอวาทปาติโมกข์ ผมก็ขอจำยันตาย ท่านกล่าวว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทั้งหมด กุสลัสสูป

สัมปทา จงทำแต่ความดี สจิตตปริโยทปนัง จงทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส เอตัง พุทธาน สาสนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้

เหมือนกันหมด ตอนที่บอกว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด นี่ผมสงสัย สงสัยว่า นิพพานมีสภาพสูญ พระพุทธเจ้า

องค์อื่นๆ นิพพานไปหมดแล้ว แล้วสมเด็จพระประทีปแก้วทรงรู้ได้อย่างไงว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

หนังสือมันก็มีไม่ได้ ไฟไหม้ไปหมด มันนับเป็นเวลาเป็นล้านๆ ปี ถึงแม้ว่าจะเป็นกัปเดียวกัน เวลาเป็นล้านๆ ปี ทีนี้ไม่มีอะไรมันเหลือ

นี่ความเลวของผมในเวลานั้นถึงขั้นนี้ แล้วต่อมาก็ได้พยายามปฏิบัติทุกอย่างตามกำลังใจที่จะพึงมี ไม่ใช่ ครบถ้วนนะ 84,000 พระ

ธรรมขันธ์น่ะ แต่ว่า 3 อย่างนี่ผมไม่ยอมละ จะนึกว่าผมน่ะดีมาตั้งแต่ต้นอย่าไปนึกอย่างนั้น แล้วก็เวลานี้ ก็อย่าเพิ่งนึกว่าผมเป็นพระ

อรหันต์ ให้มีความเข้าใจแต่เพียงว่า ผมก็เป็นคนปฏิบัติเพื่อตามที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยเฉพาะ มันก็ไม่แน่ว่าจะดีหรือเลว ที่เลวก็ยังมี

อีกเยอะ แล้วก็ต่อมาได้ค้นคว้า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้หนึ่งในล้านในความดีของ

พระพุทธเจ้าก็บังเอิญไปพบอตีตังสญาณ และกำลังของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ไปพบญาณ 2 อย่างนี้เข้า นึกในใจว่า โอหนอ เรา

ไปนึกคัดค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่นิดเดียว ก็โทษหนัก แต่ความจริงความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มนิดๆ หน่อยๆ แค่กข. ไม่

กระดิกหู ท่านทั้งหลายอาจยังไม่เคยฟัง แค่กข. ไม่กระดิกหูนี่ หมายความว่า แม้แต่อักษรตัวเดียวก็อ่านไม่ออก เราก็ยังมีความ

สามารถทบทวนได้ แล้วก็ทบทวนได้ ถึงแม้ว่าจะไปไม่ไกลก็ไม่ใกล้นัก แต่ก็เกินกำลังเดิมของเรามากสามารถทบทวนว่า สมเด็จพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าองค์ไหนกล่าวอะไร สำคัญแก่ใครไว้บ้าง เทานี้แหละบรรดาท่านทั้งหลาย ผมต้องขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยเสีย

ย่ำแย่ก็รวมความว่า ตบะต่างๆ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวมาว่าเป็นอุปกิเลส มองแล้วจริงๆ มันเป็นโลกธรรม ท่านที่ทำมาแล้วทั้งหมดติด

โลกธรรมคือ ติดมีลาภ แล้วเสียกำลังใจในการไม่มีลาภ ยินดีเมื่อมีลาภ เสียกำลังใจเมื่อไม่มีลาภ ยินดีเมื่อได้ยศเสียกำลังใจเมื่อยศ

หมดไป ยินดีในการสรรเสริญ ไม่ยินดีในการนินทา ยินดีในกามสุข หวั่นไหวในทุกข์

รวมความว่าโลกธรรมทั้ง 8 ประการนี้ มองดูในข้อวัตรปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ตรัสมาหลายสิบข้อนี่

ตกอยู่ในลักษณะ 8 ประการเป็นความเลว ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระทศพลต่อไปข้างหน้า เวลานี้ก็หมดเวลา เสียง

ก็แย่ มองดูนาฬิกาแล้ว 2 นาฬิกาครึ่ง เศษๆ ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลมรรคผลใดที่องค์

สมเด็จพระจอมไตรบรมศษสดาสัมมาสัมพุทธ่เจ้า ทรงบัญญัติไว้แล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทั้งหมด จงได้

รับผลนี้ตามความประสงค์ทุกท่านสวัสดี
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2819:-10-10-6-&catid=37:2010-03-02-03-52-18

1816
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้ำท่วมถึงหลังคาและเกือบมิดเสาไฟฟ้า
จนข้าวของเสียหาย ชาวบ้านทุกข์ร้อนและล้มตายมากมาย แม้แต่ชาววัดก็ไม่เว้น
หวังว่าสภาพน้ำท่วมคงกลับฟื้นคืนมาในเร็ววันนะครับ

1817
วิธีแก้กรรมคนทำแท้ง

[youtube=425,350]L69yh-x81eA[/youtube]

[youtube=425,350]Bc6yRFDzxsE[/youtube]

1818
แผนที่


อนึ่ง บางครั้งท่านไปเข้าฝันบอกตัวเลขปริศนาโชคลาภให้กับชาวบ้าน ซึ่งมีทั้งพวกที่อยู่ใกล้กับวัดสิงห์และพวกที่อยู่แดนไกลข้ามจังหวัดไปก็มี ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ในอดีตชาติคงเคยร่วมสร้างบุญกุศลกับท่านมา ท่านจึงบันดาลโชคลาภให้ เช่น ท่านเคยไปเข้าฝันชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่แถวท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ โดยบอกว่าท่านคือ พระพุทธฉายแห่งวัดสิงห์ จังหวัดสิงห์บุรี ท่านบอกถ้ามีโอกาสให้ชายหนุ่มคนนั้นไปร่วมทำบุญกับวัดสิงห์บ้าง พร้อมทั้งบอกตัวเลขปริศนาให้ไปเสี่ยงโชค ชายหนุ่มคนนั้นได้นำตัวเลขปริศนานั้นไปเสี่ยงโชคปรากฏว่าได้รับโชคมหาศาล
   
ต่อมาชายหนุ่มคนนั้นได้ขับรถยนต์ส่วนตัวพาครอบครัวมาสืบหาพระพุทธฉายที่วัดสิงห์ จังหวัดสิงห์บุรี แต่ก็หลงทางอยู่นาน เนื่องจากที่จังหวัดสิงห์บุรี มีวัดชื่อวัดสิงห์เหมือนกันอยู่หลายวัด แต่อยู่ต่างอำเภอกัน หลังจากพบวัดสิงห์ที่ต้องการแล้ว ได้ไปนมัสการพระพุทธฉายด้วยความตกตะลึงเพราะพระพุทธฉายองค์จริงเหมือนกับองค์ที่เข้าฝันทุกประการ ชายหนุ่มคนนั้นได้ถวายปัจจัยจำนวนหนึ่งเพื่อร่วมทำบุญกับวัดสิงห์และได้สร้างปูชนียวัตถุให้กับวัดสิงห์หลายอย่าง เช่น สร้างพระสิวลีไว้หน้าอุโบสถ สร้างฉัตรไว้ในอุโบสถ เป็นต้น
   
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของประชาชนนั้น ในวันอาทิตย์ที่  ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ทางวัดสิงห์จะจัดงานทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อนำปัจจัยที่ได้ไปก่อสร้างกำแพงวัดขึ้นใหม่  ซึ่งของเดิมได้ชำรุดพังทลายลงมาจากเหตุอุทกภัยในช่วงปลายปี ๒๕๕๓  ดังนั้นทางวัดสิงห์จึงขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านไปร่วมงานทอดผ้าป่าดังกล่าวโดยร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา สำหรับผู้ที่มิจิตศรัทธาร่วมทำบุญตั้งแต่  ๓,๐๐๐ บาทขึ้นไป จะได้รับการจารึกชื่อ-สกุล ไว้ที่กำแพงวัดซึ่งแบ่งไว้เป็นช่อง ๆ รวมทั้งหมด ๖๘ ช่อง และจะได้รับรูปถ่ายบูชารุ่นแรกของพระพุทธฉายไว้สักการบูชา ๒ ภาพ โดยเป็นภาพขนาด ๑๒ x ๑๖ นิ้ว และ  ๔ x ๖  นิ้ว 
   
รูปถ่ายบูชารุ่นแรกดังกล่าว  ทางวัดสิงห์ได้จัดสร้างขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นภาพสีทำด้วยกระดาษอย่างดีและได้รับการแผ่เมตตาปลุกเสกจากพระครูวิมลญาณอุดม หรือหลวงพ่อติ๋ว วัดมณีชลขัณฑ์  ตำบลพรหมมาสตร์  อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี  พระเกจิอาจารย์ดัง โดยท่านได้แผ่เมตตาปลุกเสกให้จนครบตลอดไตรมาส พ.ศ. ๒๕๕๓
   
สำหรับพุทธศาสนิกชนที่มีความปรารถนาอยากไปร่วมงานทอดผ้าป่าสามัคคีของวัดสิงห์ในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔ ติดต่อสอบถามเส้นทางได้ที่พระอธิการสว่าง  อภินันโท เจ้าอาวาสวัดสิงห์ องค์ปัจจุบัน โทร. ๐๘-๗๑๑๘-๔๔๒๒ หรือ หากร่วมจิตศรัทธาอยากทำบุญ สามารถโอนเงินปัจจัยทำบุญไปเข้าบัญชีออมทรัพย์ของวัดสิงห์ได้ที่บัญชีเลขที่ ๑๐๔-๑๒๙๕๓๗-๓  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสิงห์บุรี.

อำนาจ สุขเย็น ข้อมูล-ภาพ/อาราธนานัง รายงาน
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=502&contentId=131757

1819
ปาฏิหาริย์พระพุทธฉายวัดสิงห์ สิงห์บุรี
วันเสาร์ ที่ 09 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น 

เข้าฝันบันดาลโชค ร่ำรวย สมปรารถนา   

วัดสิงห์ เป็นวัดราษฎร์ และเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๕๙ หมู่ที่ ๒ ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีพื้นที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันตก ด้านหลังวัดติดต่อกับถนนเลียบคันคลองชลประทาน สายชัยนาท–อ่างทอง โดยวัดสิงห์มีปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ พระพุทธฉาย สถิตอยู่หน้าพระอุโบสถ ร่ำลือกันว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งพระพุทธฉายองค์จริงดั้งเดิมสถิตอยู่ที่วัดพระพุทธฉาย อยู่ในเขตหมู่ที่ ๑ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
   
สำหรับตำนานเกี่ยวกับพระพุทธฉายนั้น ทราบกันดีว่าคือ ฉายา หรือ เงา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏเป็นเงาเลือนรางประทับอยู่ที่ผาหินบริเวณเชิงเขาวัดพระพุทธฉาย  มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปยืน ค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรม  กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเช่นเดียวกันกับพระพุทธบาททีเดียว
   
ในอดีตกาลระบุไว้ว่า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่เขาฆาฏกะ (เขาพระพุทธฉาย) เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ ซึ่งมีสันดานโหดร้ายและมีมิจฉาทิฐิ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้นจะเสด็จกลับนายพรานได้ทูลขอให้ประทานสิ่งที่เป็นอนุสรณ์  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้กระทำพุทธปาฏิหาริย์ให้พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ปรากฏอยู่บนผาหิน บริเวณเชิงเขาดังกล่าว มีลักษณะเป็นเส้นเงาสีแดงคล้ายสีดินเทศ สูงประมาณ ๕ เมตร มีการจัดงานนมัสการพระพุทธฉายทุกวันมาฆบูชา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓) ของทุกปี
   
สำหรับพระพุทธฉายของวัดสิงห์นั้นเป็นองค์พระพุทธฉายที่สร้างขึ้นโดยจำลองจากองค์จริง สันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นพร้อมกับวัดสิงห์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นพระพุทธรูปปางพระอิริยาบถยืน กล่าวคือ เป็นพระพุทธรูปยืน ห้อยพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงชิดพระวรกาย ลืมพระเนตรทอดตรงไปข้างหน้าเป็นกิริยาตรวจความพร้อมเพรียงและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพระสงฆ์สาวก
   
ตำนานความเป็นมาของปางพระอิริยาบถยืน กล่าวไว้ว่าในสมัยพุทธกาล ช่วงยามเช้าของทุก ๆ วัน ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกโปรดสัตว์ จะทรงหยุดยืน ณ หน้ามุขพระคันธกุฏิเสมอเพื่อทอดพระเนตรความพร้อมเพรียงของหมู่สงฆ์  ครั้นทรงเห็นว่าพระสงฆ์สาวกมีความพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบดีแล้ว จึงเสด็จเป็นประธานนำหมู่พระสงฆ์ออกบิณฑบาต หรือไปในที่ที่ได้รับนิมนต์ไว้ นับเป็นพระพุทธจริยวัตรที่แสดงถึงพระเมตตาและกรุณายิ่งแด่พระสงฆ์ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำหมู่คณะ
   
ในด้านอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของ พระพุทธฉาย ได้มีการบอกกล่าวเล่าขานกันอยู่เสมอมา บางครั้งท่านไปเข้าฝันชาวบ้านเพื่อเตือนภัย เช่นเมื่อราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสิงห์บุรีเนื่องจากน้ำเหนือไหลหลาก ในช่วงแรกบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบวัดสิงห์ น้ำยังไม่ท่วมเพราะมีเขื่อนดินกั้นเป็นแนวป้องกันอยู่ ซึ่งเขื่อนดินนี้ถูกแรงน้ำกัดเซาะลงไปเรื่อย ๆ พร้อมที่จะพังทลายลงมาตลอดเวลา
   
คืนหนึ่งพระพุทธฉายได้ไปเข้าฝันชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งปลูกบ้านอยู่แถบตอนใต้ของวัดสิงห์ว่า พรุ่งนี้ช่วงสาย ๆ เขื่อนดินจะพังทลายลงมา เกิดน้ำท่วมขังบ้านเรือน ขอให้ระมัดระวัง พอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สตรีชาวบ้านรายนั้นจึงรีบเก็บข้าวของเพื่อหนีภัยน้ำท่วมเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งแจ้งความฝันให้เพื่อนบ้านทราบ และเวลา ๐๘.๐๐ น.เศษ ของวันนั้น เขื่อนดินบริเวณแถบตอนใต้ของวัดสิงห์ก็พังทลายลงมาจริง ๆ เกิดน้ำท่วมขังบ้านเรือนตามที่พระพุทธฉาย มาบอกตามความฝัน อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย
   

1820
แผนที่วัดทุ่งเซียด
เผื่อท่านใดผ่านไปสุราษฎร์ธานี


1821
บรรยากาศที่วัดทุ่งเว้าดีมากค่ะ ท่านทรงกลด อยู่ติดแม่น้ำโขง บริเวณวัดทอดยาวขนาดกับริมโขงที่ไหลผ่าน ตอนเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและเรือชาวบ้านออกหาปลา ตกเย็นก่อนพลบค่ำมองเห็นแสงอาทิตย์ทอดแสงผ่านทุ่งนาข้าวซึ่งอยู่คู่ขนานระหว่าง ริมโขง วัด ถนน และทุ่งนา ก่อนแสงจะเลือนลางและหายเข้าไปในเขาหินภูผาเทิบ ตกตอนกลางคืนได้กลิ่นไออากาศเย็นจากแม่โขงและเสียงลมที่พัดผ่านซอกเหินหลายร้อยพันภูเขาไม่รู้จะสิ้นสุดที่ใด บวกกับความรู้สึกที่กำลังยืนมองสายน้ำโขงไหลผ่านไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไม่รู้จะสิ้นสุดที่ใด ทำให้คิดได้ว่าในชีวิตของเราไม่มีอะไรแน่นอนและยั่งยืน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ยึดติด ปล่อยวาง ในเวลาที่ไม่มีใครเรายังเหลืออ้อมแขนของตัวเราเองที่ให้ความอบอุ่นแก่เราเสมอ
อ่านดูแล้วน่าไปมากครับ
พระอาจารย์ท่านก็บอกว่ามีศาลาพักอย่างดี คือถ้าไปก็คงไปนอนวัดดีกว่าเป็นไหนๆ

1822
:054:ขอขอบคุณท่าน  ทรงกลด อีกครั้งค่ะ......ดีเลยกลับบ้านครั้งนี้จะได้มีโอกาสทำบุญทอดผ้าป่าด้วยเลย เป็นกุศลอย่างยิ่งและอย่างมากเลยค่ะ แล้วท่าน ทรงกลด และท่านเผ่าพงษ์พระกฤษณะ ตามพระอาจารย์โด่งไปทำบุญที่วัดทุ่งเว้าด้วยหรือเปล่าค่ะ
เพื่อนชวนไปทอดผ้าป่าด้วยครับ
แต่ยังไม่รับปาก เนื่องจากมีภาระกิจอยู่
ได้ข่าวว่าบรรยากาศที่วัดทุ่งเว้าดีมากมาก :015:

1823
ขอกราบสักการะพระคุณเจ้าผู้ทรงศีลที่ร่วมปริวาสกรรมครั้งนี้ด้วยเทอญ :054:

1824
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (5)


พระโยคาวจรทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพบกันเรื่องระเบียบปฏิบัติ สำหรับระเบียบปฏิบัตินี่ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่จะเป็นภิกษุ

สามเณรก็ดี อุบาสก อุบาสิกาก็ดี ขอให้ถือเป็นหลักปฏิบัติที่มีความสำคัญมาก เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะถือว่าเราไม่ใช่สาวกขององค์

สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราคัดค้านคำสอนของท่าน ที่ว่าคัดค้านเพราะว่า เราฟังคำสอนของท่านแล้ว เรา

ไม่ยอมปฏิบัติตาม ในเมื่อไม่ยอมปฏิบัติตามนี่ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า เดียรถีย์ คือ ไม่ได้ถือว่าเป็นสาวกของพระองค์

ฉะนั้น ขอบรรดาพระสงฆ์ก็ดี ภิกษุ สามเณรก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ที่ท่านตั้งใจมาปฏิบัตินี้ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเคร่งครัด สำหรับสิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัตินั่นก็คือ การตัดให้ได้แน่นอน ถ้าตัดไม่ได้ก็ระงับไว้ อย่าให้มันดิ้น

ออกมาจากใจ ผมไม่ได้บังคับว่า จะต้องตัดได้ทันทีทันใด ไม่ได้บอกว่าตัดได้หมด ทั้งหมดครบถ้วน ทั้งนี้เพราะว่าสังโยชน์ 10

ประการนี่ไม่ใช่ของเบานัก แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับคนเอาจริง

สังโยชน์ 10 ประการที่เราต้องตัดแน่นอนก็คือ

1.สักกายทิฏฐิ ที่มีความเห็นว่า ร่างกายนี้มันจะทรงตัวอยู่เสมอ มันไม่รู้จักตาย มันไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงซึ่งมันไม่ต้องกับความเป็นจริง

ให้คิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้มีสภาพเมื่อไร ไม่ช้าก็ตามมันต้องตายแน่ ร่างกายมีสภาพสกปรกโสโครก เหมือนกับถุงอุจจาระเคลื่อนที่

ได้ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ทั้ง 3 อย่างนี้ ถ้าคิดว่าถึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรามันจะหนักเกินไป

ถ้าคิดว่าร่างกายนี้จะต้องตายอยู่เสมอ แล้วไม่ประมาทในชีวิต อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน คิดว่าร่างกายสกปรกโสโครก

จนกระทั่งมีความรังเกียจในร่างกาย รังเกียจในร่างกายเราด้วย รังเกียจในวัตถุธาตุด้วย

อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี เห็นว่าร่างกายนี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรามันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้ามาทรงตัว มีความเกิดขึ้น

แล้วก็มีแก่ มีป่วย มีตายในที่สุด เรามีอาการวางเฉยในอาการต่างๆ ของมัน ไม่สนใจในมัน มีอารมณ์ปกติอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระ

อรหันต์

ถ้าหากว่าเราคิดอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ ก็ระงับไว้ อย่าให้ใจมันกำเริบ ถ้าใจกำเริบ คิดว่าร่างกายนี้จะเป็นอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย แล้วก็มี

ความประมาทมากสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถือว่ายังเป็น อนิยตบุคคล

แล้วข้อที่ 2. วิจิกิจฉา หารสงสัยในความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่มีในจิตใจของเรา

ข้อที่ 3 สีลัพพตปรามาส การลูบคลำศีล นั่นหมาความว่า ปฏิบัติศีลไม่จริง ก็ไม่มีในคติของเรา

4. ตัด กามฉันทะ คิดไว้เสมอว่า เราจะตัดมันด้วยกายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน

5. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ เราจะตัดมันด้วยพรหมวิหาร 4 กสิณ 4

6. เราจะไม่เมาใน รูปฌาน

7. อรูปฌาน

8. เราจะตัด มานะ การถือตัวถือตนอย่าให้มีในใจ

9. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านนั่นไซร้ เราจะตัดออกไปจากใจของเรา เราจะมีอารมณ์ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

10. เราจะตัดด้วยเหตุด้วยผลว่า คนเราทุกคนที่เกิดมาแล้วมันเป็นทุกข์ไม่มีอารมณ์ของความสุข สิ่งที่เราต้องการคือนิพพาน วาง

เฉยในขันธ์ 5 นี่เป็นเรื่องของสังโยชน์ สำหรับบารมี 10 ประการให้ทบทวนไว้เสมอนะครับ

1. คิดจะให้ทานเป็นการตัดโลภะ ความโลภ ด้วยจาคานุสสติ

2. ศีลบารมี รักษาศีลให้ครบถ้วนด้วยพรหมวิหาร 4

3. เนกขัมมบารมี อารมณ์คิดว่าเราจะบวช ญาติโยมพุทธบริษัทที่มาอยู่ในวัดนี้ก็ถือว่า ท่านมีเนกขัมมบารมีด้วยกันทุกคน เพราะว่า

ทุกคนพ้นจากการเป็นสามี ภรรยา

4. ปัญญาบารมี คิดรับรองความเป็นจริงของขันธ์ 5

5. วิริยบารมี มีความพากเพียร ทำลายกิเลสให้สิ้นไป

6. ขันติบารมี อดทน กำลังใจบับยั้งไม่ทำให้กิเลสเฟืองฟู

7. สัจจบารมี คิดไว้เสมอว่า เราจะทรงความจริงที่เราตั้งใจไว้ อะไรก็ตามถ้าเป็นความจริงใจเราจะทรงไว้ไม่ยอมคลายตัว

8. อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้อย่างไร ตั้งใจดีไว้โดยเฉพาะ จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

9. เมตตาบารมี คิดแต่ในด้านของความดีไว้โดยเฉพาะ จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

10. อุเบกขาบารมี เราจะวาเฉยในกรรมทั้งหลายทั้งหมด แก่ก็เฉย ป่วยก็เฉย ตายก็เฉย พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เฉย คิดว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมดาของการเกิดมาในโลกเท่านี้พอ

เป็นอันว่าบารมีทั้ง 10 ประการนี้ ต้องทรงให้ครบถ้วนนะขอรับ ถ้าไม่ครบถ้วน เราเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา หวังว่า

ทุกท่านคงจะไม่คิดว่ายากเกินไป

ต่อนี้ไปผมจะนำ อุทุพริกสูตร ต้องย้อนกลับใหม่แล้วนะขอรับ คราวที่แล้วมามันไม่จบ ตาของผมก็ไม่ค่อยจะดี นัยน์ตาไม่ดีไม่เป็นไร

เป็นหวัดเสียด้วย กำลังป่วยอยู่นะครับ ไม่เป็นไร ไปๆ มาๆ ก็ได้ยินเสียการเป่าการสั่งน้ำมูกเข้ามาในไมโครโฟน เอ้า! ก็ไม่เป็นไร มัน

เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย ผมน่ะมันป่วยทุกวันไม่ใช่ป่วยเฉพาะวันนี้ ป่วยมาเป็นสิบๆ ปี ก็เป็นเรื่องของมัน อย่านึกว่า ผมเป็น

อรหันต์นะขอรับ ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นพระอริยเจ้า ผมคิดแต่เพียงว่า เวลานี้ผมเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เท่านั้น ก็มาคุยกันเรื่องนิโครธปริพพาชกย้อนกลับ ไม่อย่างงั้นมันจะไม่จบ จะฟังไม่ต่อเนื่องกันเป็นอันว่า ครั้งนั้น นิโครธปริพพาชก

ได้ห้ามปริพพาชกบริวารเหล่านั้นให้เบาเสียงแล้ว ได้กราบทูลองค์องค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์แลกล่าวการหน่ายบาปด้วยตบะ การติดการหน่ายบาปด้วยตบะอยู่ การหน่ายบาปด้วยตบะที่

บริบูรณ์ มีอย่างไรหนอแล แล้วก็ที่ไม่บริบูรณ์เป็นอย่างไรหนอแล

นี่ผมอ่านพระไตรปิฏกเลยนะครับ อย่าคิดว่าสำนวนเฟ้ยๆ แบบนี้มันไม่เข้าใจผมก็ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเป็นสำนวนพระอรหันต์ท่านว่ามา ผม

ก็ต้องยอมรับท่านแล้วก็ยอมรับด้วยความเต็มใจนะขอรับ เป็นอันว่าต่อไปพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลที่มีตบะใน

โลกนี้ คำว่าตบะนี่เป็นความเพียร เป็นเครื่องเผาบาป คือ

ตั้งใจเผากิเลสให้มันหมดไป แต่ว่าเป็นการเผากิเลสตามแบบฉบับของพราหมณ์ ท่านบอกว่า เป็นคนเปลือยหนึ่งหมายความว่า แก้ผ้า

ไม่มีเครื่องนุ่งห่มกันเลย แล้วก็ ไร้มรรยาท ไม่ระวังมรรยาท ปล่อยตามสบาย ๆแล้ว เสียมือไม่ไหนก็เสียมือเรื่อย ๆ เขาเชิญให้รับ

อาหารก็ไม่มา เธอเคร่งนะ ในบาลีท่านบอกว่า รับภิกษาภิกษาคืออาหารของเขา ขอใช้ศัพท์ภาษาไทยเลยนะครับ เขาเชิญให้รับ

อาหารก็ไม่มาเขาเชิญให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมรับอาหารที่เขานำมาไว้ก่อน ไม่ยอมรับอาหารที่เขาทำไว้เฉพาะ ไม่ยอมรับ

อาหารที่เขานิมนต์ ไม่รับ

อาหารจากปากหม้อ คงจะเข้าใจไม่ยากนะ ไม่รับอาหารจากหม้อข้าว ไม่รับอาหารที่บุคคลยืนคร่อมธรณีประตูแล้วก็นำมา ไม่รับ

อาหารที่บุคคลยืนคร่อมท่อนไม้แล้วก็นำมา ไม่รับอาหารที่บุคคลสองคนที่กำลังบริโภคอยู่ หมายความว่าเขากำลังกินอยู่ แต่ว่าเขา

เตรียมไว้ให้แต่ไม่ยอมรับแกนั่งกินกัน 2 คนล่ะตะนี้ข้าไม่เอาละมั่นเป็นกิเลสเขาว่าอย่างนั้น ไม่รับอาหารจากหญิงที่มีครรภ์ หมาย

ถึงว่า หญิงลูกอ่อนนะครับ ไม่ใช่ดื่มนมเวลานั้น ไม่รับอาหารที่เขานัดแนะกันทำไว้ ไม่รับอาหารที่สุนัขรับเลี้ยง อะไรนี่ ได้รับเลี้ยงดู

คือ ไม่รับอาหารที่ซึ่งสุนัขได้รับเลี้ยงดู หมายความว่าเขากำลังเลี้ยงอาหารสุนัขอยู่ แต่เขาเตรียมอาหารใส่บาตรไว้แล้วก็ไม่ยอม แก

มีหมาอยู่ฉันไม่เอา ไม่รับอาหารที่แมลงวันตอมเป็นกลุ่มๆ ไม่กินปลา ที่เรียกว่า มังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาด

อง เขารับอาหารที่เรือนหลังเดียว แล้วก็กินข้าวคำเดียวบ้าง รับอาหารเรือน2 หลัง กินข้าว 2 คำบ้าง รับอาหารจากเรือน 7 หลัง กิน

ข้าว 7 คำบ้าง เยียวยาอัตภาพไปด้วยอาหารในถาดน้อยๆ ใบเดียวบ้าง 2 ใบบ้าง 7 กินอาหารที่มี ระหว่างวันเว้นวันหนึ่งบ้าง คือว่า

กินข้าว 1วัน แล้วก็เว้นไป 1 วันนะ

นี่มันก็เสียงหนักบ้าง เสียงเบาบ้าง ผมอ่านหนังสือนี่มันก็เดี๋ยวก็ปากใกล้ ไมโครโฟนบ้าง ไกลไมโครโฟนบ้าง แล้วก็ เว้นไป 2 วัน

บ้าง เว้น 3 วันบ้าง ถึงเว้น 7 วัน เป็นผู้ประกอบด้วยความขวนขวาย ในการบริโภคภัตที่เวียนมา หมายความว่า การให้เรื่อยๆ นะ แล้ว

ก็มีระหว่างเว้นตั้งครึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง ก็หมายความว่าเว้นได้มาแล้วกินไป 1 วัน เว้นไปครึ่งเดือนบ้าง ดูท่าทางก็เคร่งดี เขาเป็นผู้มีผัก

ดองเป็นอาหารบ้าง กินเฉพาะกากข้าว แล้วมียางและมีสาหร่ายเป็นอาหารบ้าง มีรำเป็นอาหารบ้าง มีข้าวตังเป็นอาหารบ้าง มีกำยาน

เป็นอาหารบ้าง มีหญ้าเป็นอาหารบ้าง มีโคมัย คือมีกินขี้โคโดยเฉพาะ เป็นอาหารบ้าง มีเหล้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหารบ้าง บริโภค

ผลไม้หล่นเองอย่างเดียว คือไม่สอย ไม่ขึ้น ถ้าหล่นจึงจะกิน ไม่หล่นจึงจะกินไม่หล่นไม่กิน เขาทรง คือนุ่ง ผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกัน

บ้าง คือผ้าป่านกับใยอื่นผสมกันบ้าง แล้วก็ ผ้าห่อศพบ้างผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือที่มีเล็บบ้าง ผ้า

คากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขน

ปีกนกเค้าบ้าง แล้วก็ เป็นผู้ถอนผมและหนวดบ้าง ก็คือ ประกอบด้วยความขวนขวายในการถอนผมและถอนหนวดบ้าง

เอ้า! ก็ฟังไว้ก็แล้วกันนะ ไม่เป็นสาระหรอก แต่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสาระแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเละ เป็นผู้ยืนคือห้ามอาสนะบ้าง

หมายความว่ายืนอย่างเดียวไม่ยอมนั่ง เป็นผู้นั่งกระหย่งบ้าง ไม่นั่งแบบอื่น คือ ประกอบไปด้วยความเพียรในการนั่งกระหย่งบ้าง เป็น

ผู้นอนบนหนาม คือสำเร็จการนอนบนหนามบ้าง สำเร็จการนอนบนแผ่นกระดานบ้าง สำเร็จการนอนบนเนินดินบ้าง เป็นผู้นอนตะแคง

ข้างเดียวบ้าง เป็นผู้หมักหมมไปด้วยธุลีบ้าง คลุกฝุ่นน่ะ เปื้อนช่างมัน เป็นผู้อยู่กลางาแจ้งคือไม่ยอมเข้าในร่มบ้าง เป็นผู้นั่งอาสนะ

ตามที่ลาดไว้ เป็นผู้บริโภคคูถบ้างเป็นผู้ห้ามน้ำเย็น คือขวนขวายในการห้ามน้ำเย็นบ้าง กินเฉพาะน้ำร้อน เป็นผู้อาบน้ำวันละ 3 ครั้ง

บ้าง คือ

ประกอบความขวนขวายในการอาบและลงน้ำบ้าง ดูก่อนนิโครธปริพพาชก ท่านสำคัญความข้อนี้เป็นอย่างไร ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การ

หน่ายบาปด้วยตบะเป็นการหน่ายที่บริบูรณ์หรือไม่บริบูรณ์

นี่พระพุทธเจ้าตรัสลัทธิของพราหมณ์ที่แล้วๆ มา เพราะว่าเป็นลัทธิของพราหมณ์แต่ละคนๆ นะ ไมีใช่ว่าพราหมณ์ทุกคนจะปฏิบัติกัน

เหมือนกันทุกอย่างแต่ละคนๆ ย่อมปฏิบัติต่างๆ กัน อันนี้ก็ฟังต่อไป แล้วท่านก็ย้อนถามว่า อย่างนี้ล่ะบริบูรณ์หรือยัง นิโครธปริพพา

ชกกราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้นการหน่ายบาปด้วยตบะ คือความเพียรเป็นเครื่องเผาบาป เป็นการหน่ายที่

บริบูรณ์หามิได้พระเจ้าข้า เขาบอกไม่เป็นเรื่อง แบบนี้เขาไม่ทำ เขาเห็นว่าไม่ดี เขาไม่ยอมทำตามนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ เรากล่าวว่าอุปกิเลสมาก อย่างในการหน่ายบาปด้วยตบะ แม้ที่บริบูรณ์อย่างนี้แล นั่น

หมายความว่า การปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วนี่ มีอุปกิเลสอยู่มาก เราจะเป็นว่าการไม่ดื่มสุราเมรัยเป็นของดีแต่ว่า พวกพราหมณ์เขา

ไม่ได้หมายถึงทางจิต เขาคิดอย่างเดียวหมายถึงทางกาย ไอ้การทำไป

อย่างนั้นเป็นการถือตัวถือตน ทะนงตนว่าฉันทำดี ฉันทำเลิศ ฉันทำประเสริฐ ยังมีกิเลสฝังอยู่ในใจมาก นี่ขอความกรุณาเข้าใจตามนี้

นะครับ จะเห็นว่าบางอย่างเขาดี ทำไมพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าไม่ดี เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ อีก 10นาที

ตอนนี้ท่านบอกว่า ด้วยอุปกิเลสของบุคคลผู้มีตบะ หมายความว่า คนที่ทำความเพียรเพื่อเป็นการเผาบาปนี่ ทำไปไม่ถูกต้องมันก็มี

อุปกิเลส คำว่า .อุป. นี่แปลว่าเข้าไป หรือว่าใกล้หรือว่ามั่น กิเลสแปลว่าความเศร้าหมองของจิต หมายถึงว่าเดินเข้าไปหาความชั่ว

ของจิตนั่นเอง ฟังนะครับ 10 นาทีจะหมดหรือไม่หมด ผมไม่รู้เหมือนกัน ท่านกล่าววา นิโครธปริพพาชกทูลถามว่า ข้าแต่พรพอง่ค์ผู้

เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปกิเลส คือความเศร้าหมองของจิตมากอย่างในการหน่ายบาปด้วยตบะที่บริบูรณ์ แล้วอย่างนี้

อย่างไรเล่าพระเจ้าข้า นี่เขาถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนี่แล ย่อมเป็น

อุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ นั่นหมายความว่า ถ้าทำอย่างไงก็นึกว่าดี ถ้าพอใจกค่นี้แล้วไม่ยอมรับฟังจากใคร ไอ้นี่เป็นอุปกิเลส แล้ว

ท่านก็กล่าวต่อไปว่า ดูก่อนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลที่มีตบะย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น แม้

ข้อมีผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้นนี่แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ นี่ถือว่าของฉันดี คนอื่นสู้เขาไม่ได้นะครับ

แล้วต่อไปท่านบอกว่า นิโครธะ คำอื่นที่เราควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อมเมา ย่อมลืมสติ ย่อมถึงความ

เมาด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่มีตบะถือมั่นตบะ เมา ลืมสติ ถึงความเมาด้วยตบะนั้นนั่นแล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่ผู้มีตบะนั้น จำให้ดีนะครับ

ผมจะไม่อธิบาย ฟังไปแล้วก็มีเทปนี่ ไม่เข้าใจก็ไปฟัง ไอ้ที่มนควรละ

ท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะคือความเพียรเป็นเครื่องเผาบาป ย่อมถือมั่นตบะ เขา

ให้ลาภสักการะ ความสรรเสริญเกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยลาภ สักการะและความสรรเสริญ แม้ข้อที่ผู้

มีตบะดีใจ มีความกำริบริบูรณ์ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญอ่างนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่ผู้มีตบะนั้น นี่หมายความว่า ตั้งใจ

จะทำลายบาป ไปยินดีกับลาภ สักการะคำสรรเสริญ นี่ใช้ไม่ได้ เป็นโลกธรรม

ท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่เราควรจะกล่าวอยู่มีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภ สักการะ และความ

สรรเสริญเกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมยกตนข่อผู้อื่นด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญ นั้นหมายความว่า มีลาภยินดีในลาภ เขา

สรรเสริญยินดีในการสรรเสริญ ข่มผู้อื่นว่าแกนี่ไม่เท่าฉัน แกมีลาภน้อยกว่าฉัน แกมีคนสรรเสริญเยินยอน้อยกว่าฉัน อันนี้เป็นกิเลส

แม้ข้อที่ผู้มีตบะถือมั่นตบะ ยังลาภ สักการะและความสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น ยกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภ สักการะ และความ

สรรเสริญ ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะนั้น นั่นเดี๋ยวนี้ก็หมายความว่า เวลากำลังประพฤติธรรมอยู่ ใครเขายกย่องสรรเสริญ ตั้ง

ยศถาบรรดาศักดิ์ให้ก็เลยนึกว่าเด่น เอ๊ะ ไอ้คนที่ไม่มียศสู้ฉันไม่ได้ นี่แหละ อันนี้ แหละลาภสักการะสรรเสริญแล้วท่านกล่าวต่อไปว่า

ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่ควรจะกล่าวยังมีอู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญเกิดขึ้นด้วยตบะ

นั้นเขาย่อมเมา ย่อมลืมสติ ย่อมถึงความเมาไปด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นในตบะ ยังลาภ สัก

การะ ความสรรเสริญนั้นให้เกิดความขึ้นด้วยตบะนั้น เมาแล้วก็ลืมสติ ถึงความเมาด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญ อย่างนี้ย่อม

เป็นอุปกิเลสแก่ผู้มีตบะนั้น รวมความว่าการประพฤติปฏิบัติ อย่าสนใจกับคำสรรเสริญ อย่าสนใจกับลาภ ได้มาทำเป็นประโยชน์

ต่อไปท่านกล่าวว่า ดูก่อนนิโครธะ คำอื่นที่เราควรจะกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ ย่อมถือมั่นส่วนสองในโภชนะทั้ง

หลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา ก็สิ่งใดแลที่ไม่ควรแก่เรา เขามุ่งละสิ่งนั้น แต่ส่วนสิ่งใดที่ควรแก่เขา เขากำลังลืมสติ ติด

ในสิ่งนั้น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคอยู่แม้ข้อนี้ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่ผู้มีตบะ นี้หมายความว่า ติดของอย่างใด

อย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า จงอย่าติดในร่างกายเรา อย่าติดในร่างกายเรา อย่าติดในร่างกายบุคคลอื่น อย่าติดวัตถุธาตุใดๆ

ทั้งหมด ต้องปฏิบัติอย่างนี้ นี่แกติดอยู่เป็นกิเลส

ท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อน นิโครกะ คำอื่นที่เราควรจะกล่าวยังมีอยู่อีกบุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะด้วยคิดว่าพระราชา มหา

อำมาตย์ของพระราชากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี เดียรถีย์ จักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่ในลาภ สักการะ และสรรเสริญ แม้

ข้อนี้ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ที่ทำไปแล้วต้องการการเคารพนับถือ ต้องการลาภสักการะ ไม่ใช่ตัดกิเลส นี่มันยึดกิเลสทรง

กล่าวว่า นิโครธะ คำอื่นที่เรากล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ แต่ที่ไหนๆ ว่าก็ไฉน ผู้นี้เลียงชีพด้วย

วัตถุหลายอย่าง กินวัตถุทุกๆ อย่าง คือกินพืชเกิดเหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบ 5

อย่าง คือปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้า คนทั้งหลายย่อมจำกันได้ด้วยวาทะเป็นสมณะ แม้ข้อนี้แลย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มี

ตบะ นี่หมายความว่า ถ้าตัวไม่กินและไม่มีกิน คนอื่นเขามีมากก็เลยรังเกียจเขา

ก็มองดูเวลามันไม่ทันจบก็หมดเสียแล้ว ต่อไปผมจะไม่ย้อนนะ เพราะว่าเทปมีอยู่ ทีนี้เมื่อเวลามันหมดผมก็ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ ก็

รวมความว่าการประพฤติสมณธรรมที่เรียกกันว่ากรรมฐานและพรหมจรรย์ เราจะต้องทำด้วยอารมณ์ไม่ติด ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าว

ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เราจะไม่สนใจในร่างกายของเรา เราจะไม่สนใจในร่างกายของบุคคลอื่น แล้วเราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุ

ใดๆ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละเพื่อวางจริงๆ

เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรผู้ใคร่ธรรม ในเมื่อเวลาหมดแล้ว ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ การก

ล่าวอย่างนี้เป็นการศึกษาเป็นการยืนยันนะขอรับ ว่าพระพุทธเจ้าอย่างนี้ว่าไม่ดี สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าว่าไม่ดี เราต้องไม่ทำอย่างนั้น

สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระภควันตรัสว่าดี อย่างบารมี 10 ต้องทำอย่างนั้นวันนี้หมดเวลาแล้วก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒ

นมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1992:--10--10--5-

1825
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่ ส่งข่าว ขอบารมีหลวงพ่อเปิ่นให้พระอาจารย์โด่งสุขภาพร่างกายแข็ง :054: :054: :054:สาธุ สาธุ สาธุ
วันที่29 นี้ ท่านไปถึงวัดทุ่งเว้า ส่วนวันที่30 มีทอดผ้าป่าที่นั่นครับ
ตามที่ท่าน เผ่าพงษ์พระกฤษณะ บอกครับ

1826
อยากทราบข่าวของพระอาจารย์โด่ง ใครทราบช่วยตอบด้วย
สงกรานต์นี้ท่านมีกิจนิมนต์ของลูกศิษย์ที่เชียงคานครับ

1827
หลวงพ่อฤๅษีลิงดํา กรรมฐาน40,1
[youtube=425,350]-iaeFsbn6SI[/youtube]

หลวงพ่อฤๅษีลิงดํา กรรมฐาน40,2
[youtube=425,350]y52gXkGWXr8[/youtube]

หลวงพ่อฤๅษีลิงดํา กรรมฐาน40,3
[youtube=425,350]AnePxI6AWGk[/youtube]

หลวงพ่อฤๅษีลิงดํา กรรมฐาน40,4
[youtube=425,350]MawWsG5VBe0[/youtube]

1828
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (4)


ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพบกับระเบียบปฏิบัติด้านทางจิตใจของสำนักต่อไป เป็นอันว่าระเยียบนี้มีความสำคัญ ถ้าว่า

ท่านผู้ใดจะเข้ามาบวชในที่นี่ก็ดี หรือว่าบวชอยู่แล้วก็ดี ถ้าเขาปรารภว่าระเบียบนี้หนักเกินไปละก็ เขาไม่สามารถจะปฏิบัติได้ ขอคณะ

กรรมการสงฆ์และพระสงฆ์ทุกองค์ ช่วยกันเชิญเขาออกไปจากวัดทันที เพราะอลัชชีประเภทนี้ไม่ควรมีในสำนัก

สำหรับระเบียบปฏิบัติเราไม่ได้บังคับกันเกินไป ว่าจะต้องทำให้ได้ทันทีทันใด ถ้ายังตัดไม่ได้ก็ให้ระงับใจไว้ก่อน อย่าให้มันฟูออกมา

จากจิต ฟูจากใจ ไหลมาถึงปากไหลมาถึงกายอย่างนี้ใช้ไม่ได้

ถ้ายังตัดไม่ได้ให้ระงับไว้ในใจ คือใช้ขันติอดทนเข้าไว้ใช้ได้ อย่าลืม ถือว่า เป็นระเบียบที่เราจะต้องปฏิบัติกันในสำนักจริงๆ สิ่ง

ที่เราจะต้องตัดกันในปัจจุบันก็คือ สังโยชน์ 10 ที่เราปฏิบัติพระกรรมฐานกันนี่ ถ้าเราไม่

ตัดสังโยชน์ 10 เราก็ไม่ควรจะทำเลย ถ้ายังทำไม่ได้ก็ตัด 3 ค่อยๆ ตัดยังไงๆ มันมีผลแน่ 3 ก็คือ

1.สักกายทิฏฐิ ที่มีความเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น หรือที่มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะไม่ตาย ร่างกายนี่สะอาด

ร่างกายจะทรงอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย อย่างนี้เป็นสักกายทิฏฐิที่มีความเห็นผิด ทำลายความดีมีแต่ความทุกข์นี่การเข้าไปตัก

สักกายทิฏฐิที่มีความเห็นผิด ทำลายความดีมีแต่ความทุกข์นี่การเข้าไปตัดสักกายทิฏฐิ

อันดับแรกก็ถือว่ามีความเห็นอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มันจะต้องตาย มันจะทรงกายอยู่ไม่ได้ อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระ

โสดาบัน ถ้ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้สกปรกโสโครก เรามีความรังเกียจในร่างกาย จนกระทั่งกามฉันทะไม่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่ของเรา

เราไม่สนใจในมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ มันจะป่วยก็เชิญป่วย มันจะตายก็เชิญตาย เรามีอารมณ์เฉย ไม่สะดุ้งสะเทือน คิดวาตายเมื่อไร

เราไปนิพพานดีกว่า มีความสุขกว่า อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

ต่อไปสังโยชน์ข้อที่ 2 ก็คือ วิจิกิจฉา มีความสงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า ถ้า

มีขึ้นอย่างนี้เชิญออกไปจากวัดทันที เราจะต้องยอมรับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยไม่สงสัยด้วยปัญญา

และก็ 3 สีลัพพตปรามาส การลูบคลำศีลไม่ปฏิบัติศีลจริงจังอย่างนี้ อย่าให้มีในเขตของวัด ทั้งบรรดาพุทธบริษัทและพระโยคาวจร

ทั้งหลาย ก็ต้องทรงอารมณ์ด้วย คือเราจะรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติทุกสิกขาบทตามเพศของเรา เราเป็นฆราวาสก็ศีล 5 ก็ได้

ศีล 8 ก็ได้ตามใจ เณรศีล 10 พร้อมไปด้วยเสขิยวัตรอีก 75 พระก็มีศีล 227 พร้อมด้วยอภิสมาจาร และก็มีธรรมปฏิบัติอีกด้วยถ้าทรง

อารมณ์ 3 ประการคือ เมื่อร่างกายจะต้องตายแน่ ไม่เมาในกายมีความเลื่อมใสเชื่อในพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยในความดี

ของท่าน ทรงศีลครบถ้วนทุกประการโดยเคร่งครัด

จิตต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน อย่างนี้ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี

ต่อไปก็ตัด กามฉันทะ คือความพอใจในกามคุณ ตัดด้วยกายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน ตัดอารมณ์ปฏิฆะ คืออารมณ์หวั่น

ไหวในการสัมผัสในอารมณ์ต่างๆ ความไม่พอใจมีอยู่เสมอ อย่างนี้ตัดด้วยพรหมวิหาร 4 ถ้าทำอาการทั้ง 2 อย่างนี้ไม่ปรากฎ คือชื่อ

ว่าเป็น พระอนาคามี

ต่อไปก็ใช้ปัญญาดีสักนิด คือไม่ติดใน รูปฌาน การติดในรูปฌานก็ดี ติดในอรูปฌาน ก็ดี ไม่ใช่ของดีติดเกาะแค่นั้นไป

นิพพานไม่ได้ ถือว่ารูปฌานและอรูปฌานเป็นกำลังใหญ่เพื่อช่วยในการตัดกิเลส เราจะไม่หยุดยั้งอยู่ในขั้นรูปฌานและอรูปฌาน

ตัด มานะ การถือตัวถือตนตัด อุทธัจจะ คืออารมณ์ที่คิดว่า นิพพานไกลมากเกินไป ไปไม่ไหล เราจะตั้งใจต่อสู้อุทธัจจะ

ด้วยการคิดว่า เราต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เรียกกันว่าอุปสมานุสสติกรรมฐานแล้วตัด อวิชชา

ด้วยความคิดเห็นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเราทิ้งไปตัดอารมณ์ติดในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ตัดความพอใจใน

โลกธรรมทั้ง 8 ประการ คือมีลาภชอบใจ ลาภเสื่อมไปเสียใจ มียศชอบใจยศหมดไปเสียใจแล้วก็มีความสุขชอบใจ มีความทุกข์ไม่

ชอบใจ อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าถ้าใครเขาสรรเสริญมาชอบใจ ใครเขาติมาไม่ชอบใจ อันนี้ตัดอามรณ์ไป อันนี้เป็นอารมณ์ของความ

โง่ เพราะขึ้นชื่อเสมอว่า คำนินทาและสรรเสริญไม่เป็นสาระสำหรับบุคคล ผู้รับฟังนี่เรื่องต้องตัดและเรื่องต้องเสริม

สำหรับอีก 10 ทำให้เต็มอัตรา นั่นคือ

1.ทานบารมี ทานการให้เป็นการตัดโลภะความโลภใช้จาคานุสสติสนับสนุน

2.ศีลบารมี เป็นการทรงพรหมจรรย์ที่มีความสำคัญ ทรงศีลด้วยพรหมวิหาร 4 และก็

3.เนกขัมมบารมี ระงับนิวรณ์ 5 ประการ และก็

4.ปัญญาบารมี ใช้ปัญญาใคร่ครวญตามความเป็นจริง

5.วิริยบารมี ต่อสู้อุปสรรคด้วยประการทั้งปวง ถือว่าตายดีกว่าที่จะยอมแพ้

6.ขันติบารมี มีความอดทน อะไรที่ไม่พอใจตัดไม่ไหว เก็บไว้ในใจก่อนอย่าให้มันไหลมาทางกายและวาจา

7.สัจจบารมี ตั้งใจไว้ว่าเราจะทำสิ่งใดเพื่อนนิพพาน เราจะทำอย่างนั้น แน่นอน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

8.อธิษฐานบารมี ทรงใจแน่นอนไม่ถอนกำลังใจ

9.เมตตาบารมี คิดไว้ว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์เสมอ จะไม่เป็นศัตรูกับใคร

10.อุเบกขาบารมี วางเฉยต่ออารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นปกติ

อารมณ์อย่างนี้ทั้งหมดของบรรดาพระโยคาวจร ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตพยายามทำเป็นปกติ จงอย่าคิดว่าเกินวิสัย

สำหรับเรา ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนทานเป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่ในท้องแม่ ทุกท่านก็๖องต่อสู้กับอุปสรรคเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน

ดูตัวอย่างพระอานนท์ ทานอดทนอารมณ์อย่างนี้อยู่เสมอก่อนที่จะเข้ามาบวชท่านก็มีอารมณ์เหมือนเรา มาพบองค์สมเด็จพระสัมมา

สัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระโสดาบัน และก็ต้องเป็นพระโสดาบันอยู่นานเกิน 20 ปี แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์นิพพานแล้วจึงได้เป็น

อรหันต์ ท่านอดทนไหว ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลายที่เป็นภิกษุสามเณรก็ดี และก็เป็นญาติโยมพุทธบริษัทก็ดีให้

ปฏิบัติคิดว่า สิ่งทั้งหลาเหล่านี้ไม่เกินวิสัยสำหรับเรา อารมณ์ทั้งหมดถือเป็นระเบียบของสำนักที่จะต้องปฏิบัติ ใครบอกว่าเคร่งครัด

เกินไป เคร่งเกินไปเชิญท่านไปออกจากวัดนี้ ในการตัดก็จงคิดว่าการตัดจริงๆ น่ะมันทีเดียวไม่ไหว เมื่อยังตัดไม่ได้อดใจไว้ก่อน

อย่างนี้ใช้ได้ ความดีมีอยู่ ควรคบหาสมาคม

ต่อนี้ไปก็มาฟัง อุทุมพริกสูตร ต่อจากที่แล้วมา อุทุมพริกสูตรบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า จะเป็นภิกษุสามเณร

อุบาสก อุบาสิการก็ตามจะต้องปฏิบัติเหมือนกันในฐานะที่มาเจริญพระกรรมฐาน ท่านปฏิบัติตามนี้ไม่ได้ก็ถือว่าเป็นอาภัพบุคคล เป็น

บุคคลที่หาความเจริญไม่ได้ ก็ไม่ควรจะอยู่ในเขตของพระพุทธศาสนา เพราะฝ่าฝืนคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องต่อไปนี้นะ ผมเวลาอ่านหนังสือเล่มมันใหญ่ เวลากลางคืนตาก็ไม่ค่อยดีอ่านถูกมั่งไม่ถูกมั่งไม่ถูกมั่งไม่ถูกมั่ง พลั้งเผลอไปก็

ขออภัยด้วย ถ้าเผลอไปและพลั้งไปผมจะย้อนใหม่ต่อจากที่แล้วมาเลย

ต่อจากนั้นไปท่านบอกว่า หลังจากที่ทั้งสองท่านท่านสนทนากันแล้ว วันก่อนนะสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับการเจรจาของ

ท่านสันธานคฤหบดี กับ นิโครธปริพพาชกนี้ คือพระพุทธเจ้าอยู่ยอดเขาคิชฌกูฏไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ท่านบอกฟัง ได้ยินด้วยอำนาจ

ทิพโสตธาตุ นั่นหมายความว่า หูของท่านเป็นทิพย์โดยประสาทจริงๆ ไม่ใช่ทิพจักขุฐาณอย่างเรา อย่างพวกเรา ถ้าต้องการใช้หูเป็น

ทิพจักขุญาณคือรู้ด้วยกำลังของญาณเป็นทิพย์ ที่เรียกว่ามีทิพโสตธาตุอันบริสุทธิ์ท่านบอกว่า ล่วงจากหูของบรรดามนุษย์ทั่วไป คือ

พระพุทธเจ้าน่ะทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็น

มนุษย์อัศจรรย์จริงๆ

ท่านกล่าวว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเขาคิชฌกูฎ การเสด็จลงมานุ่ไม่ใกล้นะท่านทั้งหลาย มันไกล แต่ว่าการเสด็จ

ของท่านมาในคราวนั้นในที่บางแห่งบอกท่านเหาะลงมา เดินน่ะคงจะไม่ไหวก็ได้

เพราะพระพุทธเจ้านี่ท่านมีฤทธิ์เป็นกรณีพิเศษไม่เหมือนพวกเรา ท่านลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ แล้วก็เสด็จไปยังที่ให้เหยื่อแก่นกยูง

หมายความเป็นสถานที่ใกล้ๆ ท่านเดินไปเดินมาตามพระบาลี บอกว่าจงกรม จงกรมนี่เค้าแปลว่าเดิน ที่ฝั่งสระโบกขรณีมีชื่อว่าสุมา

คธา แล้วตามหนังสือบอกว่า ครั้นแล้วเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้งเดินไปเดินมา ณที่นั้นที่ให้เหยื่อแก่นนกยูงที่ฝั่งสระโบกขรณีที่ชื่อว่าสุ

มาคธาพอนิโครธปริพพานชกได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรม ณ ที่แจ้ง ในที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งโบกขรณีที่มีชื่อว่าสุมาคธา จึงห้ามบริษัทของตนให้สงบว่าของท่านทั้งหลายจงเบาๆ พูดเบาๆ เสียงลงมาหน่อยอย่าส่งเสียงอื้ออึงนัก พระสมณโคดมนี้

เสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง และก็อยู่ที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณีที่มี

นามว่าสุมาคธา พระองค์ท่านโปรดเสียงเบา และกล่าวสรรเสริญคุณของเสียงเบาบางทีพระองค์ท่านจะทรงทราบว่าบริษัทนี้มีเสียง

เขาแล้ว ก็พึงสำคัญที่จะเสด็จเข้ามาก็ได้ ถ้าว่าพระสมณโคดมจะพึงเสด็จเข้ามาสู่บริษัทนี้แล้วไซร้ เราจะถึงทูลถามปัญหากับ

พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพระผู้มีพระภาคสำหรับทรงแนะนำบรรดาสาวกนั้นชื่อว่าอะไร ธรรมชื่ออะไร สำหรับรู้แจ้ง

ชัด อธิพรหมจรรย์อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำแล้วถึงความยินดีในเมื่อนิดครธปริพพาชกกล่าว

อย่างนี้แล้ว พวกปริพพาชกนั่งหลายเหล่านั้นก็นิ่งอยู่นี่เป็นอันว่า พวกเขาไม่มีการสงบสงัดก็ล่อกัน จ้อกแจ้กๆ เสมอนะ

ตามพระบาลีท่านบอกว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปหานิโครธปริพพาชกถึงที่อยู่แล้ว นิโคธปริพพาชกจึงกราบทูลเชิญพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาเถิดพระเจ้าค่ะ พระองค์เสด็จมาดีแล้ว นานๆ พระองค์จึงจะมีโอกาสเสด็จมาที่

นี่ ขอเชิญประทับนั่งตรงนี้คือ อาสนะที่จัดไว้แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ให้ นิโครธปริพพาชกถือเอา

อาสนะหนึ่งที่ต่ำกว่า และอยู่ส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งถามนิโครธปริพพาชกว่า ดูก่อนนิโครธะ บัดนี้ พวกท่านสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ อันนี้เป็นลีลาของ

พระพุทธเจ้าและบรรดาพระสาวกทุกคน ขอท่านที่รับฟังอยู่ได้โปรดทราบ พวกท่านได้มโนมยิทธิบางท่านอาจจะมีจิตละเอียด มี่

ความสัมผัสในอารมณ์ของบุคคลหนึ่งเป็นเรื่องลี้ลับถ้ามีอารมณือย่างนั้นละก็ขอได้โปรด ถ้ารู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้เสมอนะครับ ตอน

นี้เป็นเรื่องของผมน่ะ ผมพูดนะไม่ใช่บาลี ต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านฟังมาชัดแล้วไม่ว่าที่ไหนเรื่องอะไรทั้งหมดเป็นแบบนี้

เหมือนกัน พระองค์สมเด็จพระสุคตไปที่ไหนก็ต้องถามว่า เวลานี้เธอคุยกันเรื่องอะไร อันนี้เป็นลีลาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และ

ก็เรื่องอะไรเล่าที่พวกท่านสนทนากันอยู่ยังค้างอยู่

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นิโครธปริพพานชกก็กราบทูล่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้มีพระภาค

เสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง และอยู่ที่ให้เหยื่อแนกยูงที่ฝั่งสระโบกขรณีที่มีนามว่าสุมาคธา จึงได้กล่าวคำอย่างนี้ว่า

ถ้าว่าพระสมณโคดมจะพึงเสด็จเข้ามาสู่ที่นี่แล้วไซร็ พวกเราจักพึงถามปัญหานี้แก่พระองคืวา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพระผู้

มีพระภาคเจ้าสำหรับทรงแนะนำพระสาวกนั้นชื่ออะไร ธรรมชื่ออะไร สำหรับรู้แจ้งชัด อธิพรหมจรรย์อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวก

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำแล้วถึงความยินดีข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องนี้แล้วที่ข้าพระองค์สนทนากันค้างอยู่ ก็พอดีพระองค์

เสด็จเข้ามาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า ดูก่อนนิโคธะ การที่ท่านมีความเห็นไปทางหนึ่ง และมีความพอใจไปทางหนึ่ง มี

ความชอบใจไปทางหนึ่ง ไม่มีความพยายาม ไม่มีลัทธิอาจารย์ ยากที่จะรู้ธรรมที่เราแนะนำพระสาวก ยากที่จะรู้ธรรมสำหรับผู้รู้แจ้ง

อธิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยแห่งพระสาวกที่เราแนะนำ แล้วถึงความยินดี เชิญเถิด นิโครธะ ท่านจงถามปัญหาในการหน่ายบาป

อย่างยิ่ง ในลัทธิอาจารย์ของตน ให้ถามกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การหน่ายบาปด้วยตบะที่บริบูรณ์ คำว่าตบะนี่

แปลว่าความเพียร เป็นเครื่องเผาบาปนะ ตบะ จำไว้ด้วยภาษาบาลีเขาว่า ตบะ เขาแปลว่าความเพียรเป็นเครื่องเผาบาป มีอย่างไร

หนอแลที่ไม่บริบูรณ์ และก็มีอย่างไรหนอที่บริบูรณ์ เมอพระผมพระภคเจตรสอยงนแลวพวกปริพพานชกทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นผู้มี

เสียงดังกึกก้องอึกทึกกันว่า อัศจรรย์นักท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาเลย

ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดมมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก พระองค์ จักหยุดวาจาของพระองค์ไว้ จัดปรารถนาด้วยวาทะของผู้อื่น นี่ก็

หมายความว่าเขาถามถึงลัทธิของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ยังก่อน ยังก่อน

ถามถึงลัทธิของพวกเธอก็แล้วกัน หมายความว่ายังงี้นะ ตอนนี้ผมก็จะอ่านเรื่อยๆ ไปตอนไหน ควรจะปฏิบัติก็จะบอก นี่ตาก็ชักจะมอง

ไม่ค่อยเห็นแล้ว

ตามพระบาลีท่านกล่าวต่อไปว่า ครั้งนั้น นิโครธปริพพาชก ห้ามบรรดาปริพพาชกทั้งหลายเหล่านั้นให้เสียงเบาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้

มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์แลกล่าวการหน่ายบาปด้วยตบะที่บริบูรณ์มีอย่างไรหนอแล ที่ไม่บริบูรณ์เป็น

อย่างไรหนอแล เหลือเวลาอีก 8 นาที เอ้า ก็ว่าไปตามเวลา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้เป็นคน

เปลือย (แก้ผ้าอย่างอเจลกนะ) เป็นคนเปลือยไร้มรรยาท เลียมือ เขาเชิญให้รับบิณฑบาต คือรับอาหารก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่

หยุด ไม่รับภิกษาที่เขานำมาไว้ก่อน ไม่รับภิกษาที่เขาทำไว้โดยเฉพาะ ภิกษาคืออาหาร ว่าถึงอาหารก็แล้วกัน เข้าใจง่ายนะ ไม่รับ

อาหารที่เขานิมนต์ ไม่รับอาหารจากปากหม้อ ไม่รับอาหารจากหม้อข้าว หมายถึงเขาใส่บาตรด้วยหม้อข้าวไม่รับ ไม่รับอาหารที่

บุคคลยืนคร่อมธรณี ประตูนำมา หมายถึงก่อนที่เขาจะนำมาเขายืนคร่อมธรณีประตู แล้วก็มาใส่ขันใส่บาตรไม่เอา ไม่รับอาหารที่

บุคคลยืนคร่อมครกนำมา ไม่รับอาหารที่บุคคลยืนคร่อมสากแล้วก็นำมา ไม่รับอาหารที่บุคคลยืนคร่อมท่อนไม้แล้วก็นำมา ไม่รับ

อาหารที่บุคคล 2 คนที่กำลังบริโภคอยู่ ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ไม่รับอาหารของหญิงผู้กำลังให้ลูกดื่มนม หมายความว่า

แม่ลูกอ่อนนะ ไม่รับอาหารของเขาที่นัดแนะทำกันไว้ ไม่รับอาหารในที่ซึ่งสุนัขได้รับเลี้ยงดู หมายความเวลานั้นเขาเลี้ยงสุนัขแล้ว

เขาก็อาหารนี่ไม่ใช่สุนัขกินนะ แต่ยืนเพื่อจะใส่บาตร อีกส่วนหนึ่งเขาให้สุนัข ไม่ยอมรับไม่รับอาหารในที่แมลงวันไต่ตอมเป็นกลุ่มๆ

ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดองไม่รับอาหารที่เรือนหลังเดียว แล้วก็เยียวยาอัตภาพด้วยข้าวสองคำบ้าง อี

ตอนก่อนนี้น่ากลัวจะพลาดนะ

ท่านบอกไม่รับไม่ถูก เขารับอาหารที่เรือนหลังเดียว และก็กินคำเดียวบ้าง รับอาหารที่เรือน 2 หลังแล้วก็กิน 2 คำบ้าง รับอาหารที่

เรือน 7 หลัง แล้วก็กิน 7 คำบ้าง อันนี้เข้าใจง่ายกว่า แล้วก็ เยียวยาอัตภาพไปด้วยอาหารในถาดน้อย ๆ ใบเดียวบ้าง ในถาดเล็กๆ 2

ใบบ้าง ในถาดเล็กๆ 7 ใบบ้าง กินอาหารที่มีระหว่าเว้นวันหนึ่งบ้างหมายความวันหนึ่งกินบ้าง เว้นหนึ่งวันกินบ้าง และก็เว้น 2 วันกิน

บ้าง เว้น 7 วันกินบ้าง เป็นผู้ประกอบไปด้วยความขวนขวายในการบริโภคที่เวียนมา มีระหว่างเว้น ท่านว่ายังงั้นนะ ตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้

บ้าง เขาเป็นผู้มักดองเป็นอาหารบ้าง กินเฉพาะผักดอง มีข้าวฟ่างเป็นอาหารบ้าง กินเฉพาะข้าวฟาง มีลูกเดือยเป็นอาหารบ้าง กิน

เฉพาะลูกเดือย มีกากข้าวเป็นอาหารบ้าง กินเฉพาะกากข้าวอย่างอื่นไม่กิน มียางหรือว่าสาหร่ายเป็นอาหารบ้าง มีรำเป็นอาหารบ้าง

มีข้าวตังเป็นอาหารบ้าง มีกำยานเป็นอาหารบ้างมีหญ้าเป็นอาหารบ้าง มีโคมัยคือขี้วัวเป็นอาหารบ้าง มีเหล้าและไม้ในป่าเป็นอาหาร

บ้าง บริโภคผลไม้หล่นเองอย่างเดียวเยียวยาอัดภาพ คือเฉพาะ ผลไม้ที่หล่นนะไม่หล่นไม่กิน เขาทรงผ้าป่านบ้าง คือนุ่งผ้าป่านบ้าง

ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเหลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือมีทั้งเล็บบ้าง อันก่อนไม่มีเล็บนะ เวลามันจะ

หมดลืมดูเวลา และก็มี ผ้าคากรองบ้าง เป็นต้น

ก็รวมความว่า ไอ้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้ วันนี้ไม่จบ ไม่จบเพราะเวลามันหมดนะครับ ก็เป็นอันว่าฟังๆ กันไว้ให้ดีนะส่วนที่ว่ามา

นี้ทั้งหมดน่ะ องค์สมเด็จพระบรมสุคตท่านบอกว่าใช้ไม่ได้เลย สำหรับในตอนนี้ก็ต้องหยุดแค่นี้ซิครับ เพราะว่าเวลามันหมดนี่ ขอ

บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกของสมเด็จพระบรมสุคต ผมก็เกือบจะดูเวลาย้อนหลังอีกนิดหนึ่ง สังโยชน์ 10 ประการพยายามริดรอ

นอยู่เสมอ ผมไม่ได้บังคับว่าจำจะต้องตัดได้เด็ดขาด แต่ทางที่ดีนะขอรับ สังโยชน์ 3 ประการคือ

1.มีความคิดว่าร่างกายนี่มันต้องตาย

2.ไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

3.ทรงศีลให้บริสุทธิ์ และจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์

อย่างนี้ควรทำให้ได้ เพราะเป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ถ้าเราทำไม่ได้จริงๆ เราขาดทุนนะขอรับ เกิดเป็ฯมนุษย์ ถ้ากลับเป็นสัตว์

นรกอีกมันแย่

1829
ฟังประกอบ
[youtube=425,350]H2LDMEVNc3Q[/youtube]
[youtube=425,350]siFcCcMmWWc[/youtube]
[youtube=425,350]Nv8cOlcQnGE[/youtube]
[youtube=425,350]IQhUdXwKF-I[/youtube]

1830
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และทุทุมพริกสูตร (3)

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ก็มาศึกษาผลของการปฏิบัติการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอให้ตั้งใจ

ว่า เราปฏิบัติเพื่อความดับไม่มีเชื้อ ทั้งนี้ก็ปฏิบัติตามมติของพระสารีบุตร ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายไปลา

พระสารีบุตรเพื่อจะข้าป่าไปปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นการตัดกิเลส เวลานั้น พระสารีบุตรถามพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า ถ้าท่านไป

ในที่อื่นที่ไกลจากที่นี่ ถ้าทีคนเขาถามว่า ท่านบวชในสำนักของพระสมณโคดมและก็บวชเพื่อประสงค์อะไร บรรดาภิกษุทั้งหลาเหล่า

นั้น ท่านเป็นภิกษุใหม่ ท่านก็ตอบว่า

ผมไม่ทราบว่าจะตอบว่ายังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่าให้ตอบว่า ถ้าเขาถามอย่างนั้น พวกเธอทั้งหลายจงตอบเขาว่า บวชเพื่อ

ความดับไม่มีเชื้อ ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราจะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานมาวันนี้ก็มาพูดกันถึงหลักแห่งการปฏิบัติ แต่หลักการ

ปฏิบัติจริงๆ ก็จะของดไว้ก่อน สิ่งที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติกันได้แล้วคือมโนมยิทธิ

ซึ่งแปลว่ามีฤทธิ์ทางใจสำหรับมโนมยิทธิมีฤทธิ์ทางใจนี่ ถือว่าเป็นการปฏิบัติเข้าถึงแก่นในพระพุทธศาสนาซึ่งท่านจะทราบจากอุทุม

พริกสูตรที่จะพูดในกาลต่อไปในวันนี้ แต่ทว่าในตอนต้น ขอท่านทั้งหลายรักษากำลังใจตามนี้ เราคิดไว้เสมอว่าเราจะตัดสังโยชน์ 10

ประการให้พินาศไปจากจิต สังโยชน์ 10

ประการที่เราต้องทำลายก็คือ

1.สักกายทฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่ากายนี้มันจะไม่ตาย กายเป็นของดี เป็นของสะอาด กายนี้เป็นเรา เป็นของเรา อย่างนี้เป็นต้น

อารมณ์นี้ขอบรรดาท่านพระ โยคาวจรทั้งหลายจงระงับเสีย อย่าให้มันเกิดขึ้นมากับใจ แต่ความจริงเราจะตัดมันทีเดียวน่ะตัดไม่ได้

ต้องค่อยๆ พยายามตัด อันดับแรกให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าร่างกายที่เรามีอยู่นี้มันจะต้องตาย มันจะตายอายุมาก ตายอายุน้อย ตาย

สาย ตายบ่าย ตายเที่ยงนี่เราทราบไม่ได้ ต้องตายแน่

คิดอย่างนี้เพื่อเป็นการไม่ประมาทในการทำความดี ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้อยู่ท่านถือว่าเป็นอารมณ์ของพระโสดาบันถ้าท่านทั้งหลายมี

ความรู้สึกยิ่งไปกว่านั้น คิดว่าก่อนที่ร่างกายมันจะตายหรือเมื่อชีวิตมันทรงอยู่ ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ภายในมีน้ำ

เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น เป็นร่างกายที่คนไม่ควรจะต้องการอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพรอนาคามี

ถ้าอารมณ์ที่สุดของร่างกายก็หมายความว่า เห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้าประชุมกัน เป็น

เรือนร่างที่อาศัยชั่วคราวร่างกายจะเป็นยังไง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายจะแก่ก็ถือว่าเกิดมาเพื่อแก่ ร่างกายจะป่วยไข้ไม่สบาย

ถือว่าเกิดมาเพื่อป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายจะตายก็ถือว่ามันเกิดมาเพื่อตาย ถ้ากระทบกับอารมณ์ใดๆ ก็ดี เรื่องของร่างกายประเภทนี้

ก็ตาม เรามีอารมณ์วางเฉย เฉยในอาการของมันไม่หวั่นไหว แก่ก็เชิญแก่ ป่วยก็เชิญป่วย ตายก็เชิญตาย อารมณ์อะไรเข้ามากระทบ

ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก

ถ้าเรามีชีวิตอยู่ต้องมีสภาพอย่างนั้น ความเลวของร่างกาย อย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราไม่ต้องการมันอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของ

พระอรหันต์

ข้อที่ 2 วิจิกิจฉา เราจะไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อนี้ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตามสมควร

ข้อที่ 3 เราจะไม่ละเมิดในศีล คำว่า สีลัพพตปรามาส การปฏิบัติศีลไม่จริงจังจะไม่มีสำหรับเรา การสงสัยในคำสั่งสอนขององค์

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีสำหรับเรา เราจะใช้ปัญญาตามสมควร พิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และเชื่อมั่นในความดีของพระองค์ สำหรับการปฏิบัติศีลก็ เช่นเดียวกันศีลเราจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิต คิดไว้เสมอ

ถ้าทรงอารมณ์ทั้ง 3 ประการนี้ได้ครบ ท่านเรียกท่านผู้นั้นว่า พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี สำหรับรายละเอียดยิ่งกว่านี้ฟังข้างหน้า

แต่ว่าการที่จะละ การที่จะตัด

ขอบรรดาพระโยคาวจรทั้งหลายพึงทราบ ว่าเรามีกิเลสมานานนับอสางไขยกัปอยู่ๆ จะตัดมันทีเดียวเด็ดขาดย่อมไม่ได้ แต่ว่าจงอย่า

ท้อถอยในกำลังใจ มีวิริยะอุตสาหะ คือประกอบไปด้วยอิทธิบาท 4 คือต้องมี ฉันทะ มีความพอใจในการตัด กิเลส มีวิริยะ มีความ

เพียรในการต่อต้านอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับจิต จิตตะ เอาจิตใจจดจ่อไว้เสมอ ว่าเราจะตัดสักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าตาย

เราจะไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วน แล้วก็ต่อไป วิมังสา เราจะใช้ปัญญาเป็นเครื่องใคร่ครวญ

คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และข้อวัตรปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงเรียกว่า อิทธิบาท 4 คือ

ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คำว่าวิมังสานี่ใคร่ครวญใช้ปัญญาไว้เสมอ ถ้าทุกท่านมีอิทธิบาท 4 ประการครบถ้วน อารมณ์ของพระ

โสดาบันไม่ยากสำหรับท่าน แต่ก็จงอย่าลืมว่า เราจะตัดเด็ดขาดทันทีทันใด มันก็ไม่ได้เหมือนกันต่อไปก็พยายามตัดกามฉันทะ คือ

ความใคร่ในกามารมณ์ด้วยกายคตานุสสติกับ อสุภกรรมฐาน ตัดปฏิฆะ ความไม่พอใจในอารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งด้วยพรหม

วิหาร 4 หรือว่ากสิณ 4 ตามแบบฉบับ ถ้าตัดได้5 ประการนี้ เป็น พระอนาคามี

แล้วก็ต่อไปก็ตัดอารมณ์รักใคร่ในฌานเกินไป คือหลงฌานสมาบัติที่เรียกว่า รูปราคะ และตัดในอารมณ์ที่ติดมั่นในอรูปฌานเกินไป

ที่เรียกว่า อรูปราคะ ให้ถือว่ารูปฌานและอรูปฌานเป็นกำลังเพื่อห้ำหั่นกิเลสเท่านั้น ยังไม่ใช่ผลสุดท้ายของการปฏิบัติ ตัด มานะ คือ

การถือตัวถือตน ตัด อุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่านที่ไม่หลัง นิพพานที่เกิดขึ้นกับจิต แล้วตัวอารมณ์ที่มีความคิดที่เรียกว่า อวิชชา คือ

มีความติดอยู่ในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก

การตัดทั้ง 10 ประการนี้ ขอบรรดาพระโยคาวจรทุกท่านพยายามตัดให้สลายตัว แต่ผมก็ทราบดีว่าการตัดเดี๋ยวเดียวมันขาดไม่ได้ เรา

ก็ต้องพยายามตัดและขอทุกท่านจงอย่าท้อถอย จงอย่าคิดว่าการกระทำปฏิบัติตาม

คำสั่งสอนขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือตัดความชั่ว 10 ประการเป็นของยาก แต่ความจริงมันยากจริงแต่ว่าจงอย่า

ท้อถอย ถ้ามีกำลางท้อถอยละก็ถอยละก็ขอได้โปรดทราบ เราก็ถอยไปอยู่บ้านเสียดีกว่า จงอย่าอยู่วัดเพราะวัดเป็นที่ตัดกิเลส วัด

ไม่ใช่ที่สั่งสมกิเลส

ต่อไปนอกจากนั้นเราก็สนับสนุนทำบารมี 10 ประการ ให้ครบถ้วนให้เต็มกำลัง

บารมีข้อที่ 1 คือ ทานบารมี ทานบารมีนี่ส่งเสริมด้วยจาคานะสสติกรรมฐาน

2.ศีลบารมี ส่งเสริมด้วยพรหมวิหาร 4

บารมีที่ 3 ที่เรียกว่า เนกขัมมบารมี ส่งเสริมด้วยการระงับนิวรณ์ 5 เป็นเบื้องต้น

แล้วข้อที่ 4 ปัญญาบารมี คือยอมรับความจริง

ข้อที่ 5 วิริยบารมี คือมีกำลังต่อต้านต่อสู้กับอุปสรรคด้วยชีวิต

บารมีที่ 6 ขันติบารมี คือคิดต่อสู้ อดทนต่ออารมณ์ต่อต้านไว้เสมอ เพราะอารมณ์กิเลสน่ะมันมาก มันมีกับเราอยู่แล้ว ถ้าเราจะคิด

ต่อสู้กับมัน อดทนต่ออารมณ์ อดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมา

7.สัจจบารมี มีความจริงใจ คิดว่าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคผล พระนิพพาน

8.อธิษฐานบารมี ทรงอารมณ์แน่นอน ไม่ย้ายไปสู่อารมณ์อื่น คิดว่าพระนิพพานเป็นของเราแน่

9.เมตตาบารมี มีความรักอยู่เสมอ ไม่เป็นศัตรูกับใคร

10.อุเบกขาบารมี มีการวางเฉยในอารมณ์ปกติ และก็ใช้สังขารุเปกขาญาณคือวางเแยในขันธ์ 5 เป็นเครื่องประคับประคอง

อาการทั้ง 10 ประการ ทั้ง 2 อย่าง สังโยชน์ 10 และก็บารมี 10 สังโยชน์ 10 พยายามตัดพยายามละให้ค่อยๆ หมดไป จงใช้กำลังใจ

เป็นเครื่องต่อสู้ถือว่าเราเป็ฯสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู ยังไงๆ เราก็ต้องสุ้ได้แน่ เราไม่ยอม แพ้ต่อกิเลส และเราสามารถจะทรง

บารมี 10 ให้ครบถ้วนได้อย่างจริงจัง

นี่ขอเป็นกำลังใจของบรรดาทุกท่านที่เป็นพระโยคาวจร จะเป็นภิกษุ สามเณร หรืออุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ขอคิดตัดสินใจทำตามนี้

ไว้เสมอ จงอย่าคิดว่ายากเกินไปถ้ายากเกินไปละก็ อบายภูมิมันเป็นของเรา เป็นของไม่ดีแน่ ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ตัด ค่อยๆ คิด เหมือน

กันหินก้อนใหญ่ ถ้าค่อยๆ ทุบไปทีละน้อยๆ จะไม่ละการทุบเราก็สู้มันได้บ้าง เราก็แพ้มันบ้างเป็นของธรรมดา แต่เราจะไม่ยอมแพ้เด็ด

ขาด ต้องสู้เพื่อหวังการชนะ หวังว่าบรรดาพระโยคาวจรทั้งหลายทุกท่านคงจะปฏิบัติได้ตามนี้

ต่อนี้ไปก็จะนำเอาระเบียบปฏิบัติ การฟังทั้งหมดนี่ถือว่าเป็นระเบียบของวัดฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ ว่าระเบียบนี้จะ

ใช้จำกัดเฉพาะในเขตในวัดของเราเท่านั้น สำหรับท่านที่มาจากที่อื่น เวลาที่เข้ามาปฏิบัติอยู่ที่นี่ต้องปฏิบัติร่วมกัน มีความคิด มี

ความเห็น มีการตัดร่วมกัน แต่ว่าท่านกลับไปอยู่ในที่ของท่านเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ต่อไปนี้ก็จะนำพระสูตรที่มีความสำคัญ ที่

เรียกว่า อุทุมพริกสูตร พระสูตรนี้มีความสำคัญมาก ที่เรียกว่า อุทุมพริกสูตร พรุสูตรนี้มีความสำคัญมาก ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงยืนยันว่าเราสอนแบบนี้ และก็

บรรดาพระสาวกของเราปฏิบัติตามนี้มีผลจริงต่อนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ฟังอุทุมพริกสูตร และก็จำไว้ด้วยว่าสิ่งใดที่

พระพุทธเจ้าว่าไม่ดีเราจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าว่าต้องทำ เราก็ทำอย่างนั้นเด็ดขาด ทำแน่นอนมั่นคง และจง

อย่าคิดว่ายากเกินไปถ้ายากเกินไปก็อยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ไปไหน กลับบ้าน ตายแล้ว ไปไหน ไปนรก

อุทุมพริกสูตรที่ปรากฏขึ้นมาในหนังสือพระไตรปิฏก ฉบับสมโภชรัตนโกสินทร์ เป็นหน้าที่ 26 และก็เล่มที่เท่าไรเล่มที่ 11 นะ เล่มที่

11 หน้าที่ 26 เป็นสูตรที่ 2 ที่บอกไว้ก็เพื่อว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และนักปราชญ์ทั้งหลายสงสัยจะได้ไปเปิดดู

ต่อไปนี้ก็ขอนำเอาสำนวนของพระไตรปิฏกล้วนๆ มาอ่านให้ท่านฟัง แต่ว่าตาผมก็ไม่ค่อยดีนะ อ่านเร็วๆจะไม่ไหว มองไปมันก็ไม่

ค่อยเห็น เพราะสภาพของร่างกายจะอายุ 70 นี่มันก็แย่ วันนี้เป็นที่ 21 กันยายน 2526จะได้ทราบว่าบันทึกเสียงไว้ตั้งแต่วันที่เท่าไร

และผมเองก็แก่เหลาเหย่ ใกล้จะตายแล้ว พระสูตรนี้ ตั้งใจจะนำมาพูดนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะป่วยไข้ไม่สบายมาหลายปี

เวลานี้ก็ยังป่วยอยู่

ต่อนี้ไปก็นำเอาถ้อยคำที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย 500 รูป ทำสังคายนาครั้งแรก ที่พระอานนท์บอกว่าเป็นถ้อยคำขององค์สมเด็จ

พระบรมครู มาพูดกันให้ท่านฟัง ท่านบอกว่าสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ที่เขาคิชฌกูฏในเขตนครราชคฤห์ สมัยนั้น

นิดครธปริพพชกอาศัยอยู่ที่ปริพพาชการามของนางอุทุมพริกา พร้อมไปด้วยบริษัทคือลูกศิษย์ บริษัทของท่านหมู่ใหญ่มีประมาณ

3,000 ท่าน โอ้โฮ! ไม่น้อยเลยนะครับ ครั้งนั้น ท่านสันธานคฤหบดี ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ออกจากพระนครราฃ

คฤหบดีก็ดำริว่า เวลานี้ ยังไม่เป็นเวลาอันสมควร ที่จะเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน

เพราะว่าพระผู้มี

พระภาคเจ้ายังกำลังทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด แม้ภิกษุทั้งหลายผู้อบรมใจก็มไใช่สมัยที่จะพบเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายผู้อบรมใจยัง

หลีกเร้นอยู่ ถ้ากระไรเราก็ควรจะเข้าไปหานิโครธปริพพาชกยังปริพพาชการามของนางอุทมพริกา จึงเข้าไป ณ ที่นั้น ทีนี้ผมก็อ่าน

ตามพระไตรปิฏกเลยนะครับ

ก็ในสมัยนั้น นิโครธปริพพาชกนั่งอยู่แบปริพพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ กำลังสนทนาเดรัจฉานคาถา คำว่าคาถาที่แปลว่า วาจาที่เป็น

เครื่องกล่าว คำว่าเดรัจฉานคาถานี่เขาอกพูดขวางๆ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานนี่มันไปไนมันไปขวางๆ มนุษย์ เอาหัวขึ้น สัตว์เอาหัว

ไปตามทางที่ขวางๆ อันนี้ผมก็อธิบายนะครับ

ท่านบอกว่า พูดกันอย่างนี้ด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม อึกทึกมาก คือพูดถึงเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ

เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยานพาหนะ เรื่องบ้าน เรื่องนิคม

เรื่องชนบท เรื่องนคร เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องดื่มสุรา เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรียกว่าเรื่อง

โลกๆ เรื่องทะเล เรื่องความเจริญ เรื่องความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ อันนี้ทั้งหมดนี้ที่เรียกว่า เดรัจฉานภาถา เพราะพูดในเรื่องที่ไม่มี

การบรรลุมรรคผล คือพูดไปแล้วมันไร้มรรคไร้ผล

เป็นอันว่า เวลานั้นนิโครธปริพพาชกได้เห็นท่านสันธานคฤหบดีมาแต่ไกล จึงห้ามลูกศิษย์คือบริษัทของตนให้สลบว่า ขอท่านทั้ง

หลายเบาๆ เสียงน่ะเบาๆ หน่อยอย่าส่งเสียงอึกทึกนัก สันธานคฤหบดีนี้เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังมา สาวกของพระสมณโค

ดมเป็นคฤหัสถ์ที่นุ่งผ้าขาวมีปริมาณเท่าใด อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์

บรรดาสาวกทั้งหลายเหล่านั้น ท่านสันธานคฤหบดีก็เป็นสาวกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นชอบเสียงเบา และกล่าวสรรเสริญคุณ

ของเสียงเบา และบางทีสันธานคฤหบดี นั้นทราบว่าบริษัทมีเสียงเบาแล้ว จะพึงสำคัญที่จะเข้ามาก็ได้ เมื่อนิโครธปริพพาชกกล่าว

อย่างนั้น บรรดาพวกปริพพาชกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันนิ่งอยู่

ท่านกล่าวต่อไปว่าครั้งนั้นแล ทั้งสันธานคฤหบดีเข้าไปหานิโครธปริพพาชกถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยนิดครธปริพพาชก ครั้นผ่านการ

ปราศรัยพอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และได้กล่าวกับนิโครธปริพพานชกว่า ปริพพาชก อัญญเตียรถีย์ผู้เจริญ

เหล่านี้ คำว่าอัญญะนี่เขาแปลว่าต่างๆ นะครับ ไอ้คำวาเดียรถีย์ นี่แปลว่าภายนอก ไม่ใช่ด่ากันเจ็บช้ำ เดียรถีย์นี่ไม่ใช่พวกเดียวกัน

คนละพวก

ท่านกล่าวว่า พวกปริพพาชกอัญญเดียรถีย์ผู้เจริญเหล่านี้มาพบกันมาประชุมกันแล้วมีเสียงดังอึกทึกขวนขวายในดิรัจฉานคาถาต่างๆ

เรื่องกันอยู่โดยประการอื่นนี่แล คือขวนขวายในเรื่องของพระราชา เรื่องโจรเป็นต้นด้วยประการดังนั้น ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

พระองค์ทรงเสพราวไพร คำว่าเสพแปลว่าอยู่ อยู่ราวไพรในป่าเสนาสงัดมีเสียงน้อย มีเสียงกึกก้องน้อย ปราศจากลม และคนผู้เดิน

เข้าออก นั่นหมายความว่า ลมไม่ค่อยจะมี คนเดินเข้าออกก็ไม่เกลื่อนกล่น สมควรแก่การทำกรรมอันเร้นลับของมนุษย์ และก็สมควร

แก่การหลีกเร้นโดยประการอื่น

เมื่อสันธานคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านนิโครธปริพพาชกก็กล่าวกับท่าน สันธานคฤหบดีว่า เอาเถิดคฤหบดีท่านถึงรู้พระสมณโค

ดม นี่เป็นว่าท่านสัธานคฤหบดีพูดอย่างนั้นน่ะเขาโกรธ โกรธท่านสันธานคฟหบดีก็เลยเป็นการท้ากันขึ้นมาว่า เอาเถิด คฤหบดีท่าน

ถึงรุ้พระสมณดคดมจะทรงเจรจากับใครได้ หมายความว่าจะพูดกับใครได้ จะถึงการสนทนากับใครได้ จะถึงความเป็นผู้ฉลาดไปด้วย

ปัญญากว่าใคร ปัญญาของพระสมณโคดมไม่กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท ไม่สามารถที่จะทรงเจรจา พระองค์ท่านทรงเสพที่อันสงัด

ภายใน ฉะนั้นเอาเถิด คฤหบดี

พระสมณโคดม พึงเสด็จมาสู่บริษัทนี้ พวกข้าพเจ้าจะสนทนากับพระองค์ด้วยปัญหาข้อเดียวเท่านั้นเห็นจึงถึงบีบรัดพระองค์ท่าน

เหมือนบุคคลบีบรัดหม้อเปล่าฉะนั้นมองดูเวลาเหลืออีก 5 นาที บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย และบรรดาพระโยคาวจรทั้ง

หลาย ตอนนี้เรื่องราวของอุทุมพริกสูตรยังไม่ไปไหน แต่อารมณ์ที่น่าคิดในตอนนี้ก็คืออารมณ์ของนิโครธปริพพาชก นั้นคือพอมีคน

มาตำหนิเข้าเท่านั้นก็ปรากฏว่า นั่นคือพอมีคนมาตำหนิเข้าเท่านั้นก็ปรากฏว่า นิโครธปริพพาชกซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่โกรธทันทีทันใด

ความจริงอาการอย่างนี้เป็นอาการที่ไม่ดี บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ต้องคิดไว้เสมอว่าพวกเราก็เช่นเดียวกัน การที่จะไม่ถูก

ตำหนิจากคนน่ะไม่มีแน่ เพราะว่าตามธรรมดาของคน คนเขาแปลว่ายุ่ง และก็คนส่วนใหญ่เขาจะไม่มองดูตัวเอง เขาจะมองแต่

เฉพาะบุคคลอื่นว่าชั่วอย่างนั้น เลวอย่างนี้ ประพฤติไม่ถูกแบบนั้นประพฤติไม่ถูกแบบนี้ แต่ครั้นไปถามเขาจริงๆ ว่าศีล 5 หรือกรรมบถ

10 ท่านปฏิบัติได้ครบไหมและก็ระวังๆ นะครับ ถ้าไปย้อนถามเข้าแบบนั้น ความโกรธจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที เพราะว่าบรรดา

พวกคนทั้งหลายเหล่านี้หาความดีไม่ค่อยจะได้

นี่ผมพูดถึงคนนะไม่ใช่มนุษย์ ถ้ามนุษย์ละก็ บรรดาท่านที่เป็นมนุษย์นี่ท่านมีกรรมบถ 10 ครบถ้วน คือกายไม่ฆ่าสัตว์ กายไม่ลักทรัพย์

กายไม่ประพฤติผิดในกาม วาจาพูดแต่วาจาจริง พูดแต่วาจาไพเราะ พูดวาจาสร้างความสามัคคีวาจาดีใดที่เป็นประโยชน์ท่านพูด

แบบนั้น สำหรับกำลังใจของท่านที่เป็นมนุษย์ก็คือท่านไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครเอามาเป็นของตน และไม่มีอารมณ์ที่เป็น

อกุศล คือคิดจะทำลายล้างบุคคลอื่นให้พินาศ

จิตใจของท่านก็ไม่มีความหวั่นหวาดในการสร้างความดี มีความเห็นถูกอยู่เสมอ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาฉะนั้นบรรดาท่านทั้ง

หลายโดยถ้วนหน้าที่ฟังอยู่เวลานี้ เวลานี้ทุกคนพยายามทำใจของตนไว้เสมอว่า นัตถิโลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก

พวกเราทั้งหมดต้องถูกนินทาว่าร้ายกันแน่ อย่างนี้ถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เพราะว่าองค์สมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็เถอะ ก็ถูกนินทาว่าร้ายถูกด่าต่อหน้าอยู่เสมอ ฉะนั่นขอทุกท่านจงสังวรรู้ไว้ ทำกำลังใจให้ดี

สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วนี่ท่านทั้งหลาย ในตอนนี้ก็ของดไว้ก่อนเอาไว้ฟังกันตอนต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒ

นมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านทั้งหลายทุกคน สวัสดี

1831
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (2)

 

 

 

ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และก็บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย วันนี้เราก็มาปรารภในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลกันต่อไป และการ

ปฏิบัติจริงๆ เราต้องหวังพระนิพพาน ใครเขาจะว่าบ้าว่าหลังก็ช่างเขาเถอะ การฝึกมโนมยิทธิของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้แล้ว

ทุกคน และก็ทุกคนจงอย่าคิดนะว่า ถ้าบวชเข้ามาแล้ว หรือว่าเข้ามาอยู่จะทำดีก็ได้ จะทำชั่วก็ได้ สัญญาใดที่มีอยู่ก่อนบวชให้

ระมัดระวังปฏิบัติให้เคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐาน เมื่อก่อนบวชถือว่าได้แล้ว ถ้าบวชแล้วทำสภาพเสื่อมก็จะต้องอยู่ที่นี่ไม่

ได้ เพราะคนเลวๆ ไร้สัจจะ ไร้บารมีเขาไม่คบกันสำหรับสังโยชน์ 10 ประการให้ประจำใจคิดไว้เสมอว่าเราจะละให้ได้

 

1.สักกายทิฏฐิ ใช้ปัญญาเบาๆ อย่างพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคาทีคิดว่าสภาพของร่างกายนี้มันต้องตาย มันอยู่ไม่นานเท่าไร มัน

ก็ต้องตายกันแน่ถ้าใช้กำลังสูงไปนิด ถ้ากำลังของพระอนาคามีเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีสภาพไม่ต่างกับ

ถุงไถ้ที่ห่ออุจจาระเดินไป เป็นอันว่า มองตามความจริงว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรก ถ้ามองตามกำลังใจของพระอรหันต์ จะ

มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราร่างกายนี้สักแต่เพียงว่าธาตุ 4 มาประชุมกัน มัน

เป็นธาตุที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันกับเราก็จากกัน ถ้าคบมันมากเพียงใด เราก็มีทุกข์มากเพียงนั้น ถ้าเราเอาจิตใจไม่เข้าไปสนใจกับ

ร่างกาย ใจเราก็มีความสุข นี่เรื่องของสักกายทิฏฐิ ต้องคิดอย่างนี้ทุกวันนะ

และก็ประการที่สอง วิจิกิจฉา ความสงสัยในคุณพระรัตนตรัยต้องไม่มีเพราะเรามีปัญญา ถ้าเราสงสัยเราจะมาบวชทำไม จะเข้ามา

ปฏิบัติฝึกศีล สมาธิปัญญาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าสงสัยก็ไปเสียให้พ้นจากที่นี่ ที่นี่ไม่ต้องการคนสงสัยและก่อนจะเข้ามาอยู่ ให้

สัญญากันแล้วว่า ฝึกได้ดีแล้วเราจะไม่สงสัย การไม่สงสัยคือยอมรับนับถือ ต้องปฏิบัติตามทุกอิริยาบท ทุกสิกขาบท ทุกถ้อยคำที่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยกย่อง ว่าอย่างไหนดีทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่าอย่างไหนไม่ดี เราจะไม่ทำอย่าง

นั้น นี่คนไม่สงสัย ขาต้องทำอบย่างนี้

และก็ สีสัพพตปรามาส ฆราวาสศีล 5 สามเณรศีล 10 หรือว่าอุบาสิกาจะเป็นศีล 5 ก็ได้ ศีล 8 ก็ได้ พระศีล 227 ครบด้วย

อภิสมาจารต้องครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าเป็นพระเฉยๆ ก่อนบวชดี เข้ามาพูดดี บวชแล้วมีอารมณ์โย้เย้อย่างโน้นอย่างนี้ นั่น

ก็ไม่เหมาะสม นี่ก็ไม่ไหว หลบหน้าหลบหลัง หลบการ หลบงาน สันดานคนแบบนี้เป็นสันดานของสัตว์นรก นี่เราพูดกันธรรมะพูดกัน

ตรงๆ ฉะนั้นถ้าจะเอาไม่ไหวจริงๆ อย่าเข้ามาอยู่ในสถานที่นี้

ในสถานที่เขาจะมีให้ยังมีเยอะที่เขารับรองคนประเทภเลวๆ นี่มีเยอะ ที่นี่ไม่ต้องการคนเลว ฉะนั้น คุณธรรม 3ประการ คือ สักกาย

ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ที่ต้องละ ต้องทำให้ได้และข้อต่อไปที่เรายังทำได้ หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำไปอาจจะถึง

ข้อสี่ กามฉันทะ ค่อยๆ ใช้กายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐานเข้าไปตัด และใช้ปัญญาพิจารณาว่า ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก

โสโครก และก็ไม่มีการทรงตัว ไม่มีอะไรมาก แค่น้ำลายในปากอมได้ บ้วนออกมาแตะต้องไม่ได้ อุจจาระ ปัสสาวะ มันอยู่ในท้อง หิ้ว

ไปหิ้วมาได้ พอเคลื่อนออกมาเราไม่อยากจะมอง แค่นี้ก็พอแล้วนี่คิดไว้ทุกๆ วันว่า เราจะตัดให้ขาดเรื่องความพอใจร่างกาย ร่างกาย

เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็ ปฏิฆะ อารมณ์ที่ไม่พอใจ มันเป็นอารมณ์ของความเลวคือ ความกระทบกระทั่งใดๆ นิด

หน่อยเกิดขึ้น ก็ไม่ชอบใจอย่างโน้น ไม่ชอบใจอย่างนี้อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของสัตว์ในอบายภูมิ มันจะเข้ามาสร้างความเดือด

ร้อนความทุกข์ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็มีทุกข์ มีแต่ความเร่าร้อน ตายไปแล้วก็พบกับความเร่าร้อน นั่นคืออบายภูมิ เราไม่เอา ตัดด้วย

กำลังของพรหมวิหาร 4 หรือตัดด้วยกำลังของกสิณ 4 คิดกสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนที่ฟังได้

โนมยิทธิอยู่แล้ว นี่มันเป็นของไม่แปลก ใช้กำลังของมโนมยิทธิ ใช้กำลังของปุพเพนิวาสนุสสติญาณ ถอยหลังชาติเข้าไปแต่ละชาติ

ว่าเราเคยตกนรกเพราะความโกรธมีกี่ครั้ง ดุตัวเราให้ดีเราตกนรกเพราะความโกรธน่ะมีเท่าไร ไปดูว่าเสวยผลเป็นยังไงตกนรกเพราะ

ความเมาในร่างกาย เห็นว่า ร่างกายที่มันเลวเห็นว่าดี นี่เป็นยังไง ร่างกายที่ตัดนี่ เขาตัดด้วยกายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน เราใช้

กำลังของความเป็นทิพย์ของจิต เข้าไปถอยหลังไปดูสภาพเดิม เราเกิดมากี่ชาติ เป็นอะไรบ้างร่างกายมันทรงตัวไหม มันก็ไม่มีการ

ทรงตัว จะพบกับความสกปรกที่มันหลั่งไหลออกมาทุกวัน ถอยหลังเข้าไปจำสภาพแต่ละชาติที่มันเลวๆ มันก็เลวทุกชาติ ไม่มี

ร่างกายชาติไหนมันเป็นร่างกายดี มันเป็นร่างกายเลว เท่านี้จิตมันก็จะถอยหลังแต่ก็หลังจากนั้นมา เราก็ไปมองดู รูปราคะ คือรูปฌาน

อรูปราคะ คือ อรูปฌาน ถ้าตัด กามฉันทะ กับปฏิฆะ ได้แล้วก็เป็นพระอนาคามี เราจะถึงหรือไม่ถึง เราก็พยายามตัด ค่อยๆ คิด ค่อยๆ

นึก ค่อยๆ พิจารณาหลังจากนั้นถ้าทำได้มั่นคง อย่าลืมนะ พระอนาคามีนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาส อารมณ์ใจจะต้องทรง

ศีล8 เป็นนิจ คือไม่ต้องมีใครบังคับละ จิตมั่นไม่พอใจศีล 5

พระอนาคามีเป็นพรหมจรรย์ พระอนาคามีแปลว่าผู้ไม่ครองเรือน คือไม่มีคู่ครอง ถ้ามีคู่ครองอยู่แล้ว ความรู้สึกในระหว่างเพศนั้น

ไม่มี ความโกรธจริงๆ ไม่มีในพระอนาคามีจิตเป็นสุข มีอารมณ์เยือกเย็น อันนี้สบายมาก สุขเหลือเกินต่อมาก็ปัดกวาดผงรกใจ ได้แก่

รูปราคะ คือความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปฌานและก็อรูปราคะ คือความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปฌาน อันนี้ความจริงไม่หักเราจะหลงทำไม

เราหวังนิพพาน รูปฌานและอรูปฌานส่งเราไปถึงพรหมเท่านั้น เราก็ดั้นด้นอดทนใช้ปัญญา ความจริงแค่อนาคามีเขาก็ไม่หลงแล้ว

ท่านวางไว้ ก็พูดตามไป ตามท่านไม่พูดมากต่อไปก็ตัดมานะ การถือตัวถือตน ไม่ต้องตัดมาก คิดว่าคนกับสัตว์มีสภาพเหมือนกัน

คือมีธาตุ 4 เหมือนกัน เราคิดว่าสัตว์มันต่ำทราม มันต่ำที่ไหน มันก็มีธาตุ 4 มีความสกปรก และร่างกายมีความต้องการเหมือนเรา

เราสิบางครั้งเลวกว่าสัตว์ ความพอของาจิตมันไม่มี สัตว์มันไม่เคยไปโกงใคร ไม่เคยไปโกงทรัพย์สินของใคร ไม่เคยไปแย่งความรัก

ความรักของเขาเป็นอิสรสภาพ สัตว์ไม่มีการโลภโมโทสันเท่าเรา พวกเราระยำมากกว่ามองดูจะไปถือตัวเราดีกว่าสัตว์ คนก็ดี สัตว์ก็

ดี มีธาตุ 4 เหมือนกัน ร่างกายสกปรกเหมือนกัน ทรุดโทรมเหมือนกัน ก็เลยไม่มีอะไรที่เราจะต้องเหยียดยามกัน แค่นี้คิดเบาๆ ส่วน

ละเอียดกว่านี้มันจะเกิดไปเองด้วยปัญญาหลังจากนั้นก็ตัดอุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน ตอนนี้ก็ไม่ยากแล้ว ใจตรงนิพพานว่า ถ้าได้

อนาคามีแล้วไม่มีอะไรหนักหลังจากนั้นก็ตัดอวิชชา คือความโง่ คือหลงในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก มันก็ไม่มีอะไรขนาด

นี้แล้วไม่ต้องอธิบายกัน จนกระทั่งกำลังใจมีความสุข มีความสุข มันป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายป่วยไข้ไม่สบายก็มีความสุข กระทบ

กระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจขนาดไหน ใจก็ยังมีความสุข ความแก่เข้ามาครอบงำขนาดไหนใจเราก็มีความสุข มันจะตายเมื่อไร ใจก็

ยังมีความสุข นี่คืออารมณ์ของพระอรหันต์

สังโยชน์ 10 ประการนี้ต้องใคร่ครวญศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังโยชน์ 3 ประการต้องทำให้ได้ ทีนี้ก็ไอ้การที่เราจะปฏิบัติกันให้ได้ดี

จริงๆ อย่าลืมบารมี 10 วันนี้ก็จะมาย่ำบารมี บารมีนี่มี 10 ท่องจำให้ได้ ถ้าสังโยชน์10 ประการยังละไม่ได้หมด เรายังไม่ใช่คนดี จำ

ให้ดีนะ อย่าไปนั่งเมากันนะ อย่านึกว่าผมไม่รู้นะพระน่ะเมากำลังใจกันน่ะ อย่านึกว่าผมไม่รู้ เพราะอะไร เพราะผมเคยเมามาก่อน

กำลังใจที่ยังมีอุปทาน ยังมีนิวรณ์เข้ากินน่ะไม่ใช่กำลังใจดีหรอก แต่ว่า เราก็พอใจที่มันตัดเลวลงไปได้เยอะ และก็ต้องพยายามตัด

เลวต่อไป เลวที่เราจะมองก็คือ สังโยชน์ 10 ประการ เรายังไม่ได้อะไรบ้าง ถ้าละยังไม่ได้หมดนั่นยังไม่ดี ละได้หมดแล้ว ถ้ากำลังใจ

ยังไม่เข้าถึงนิพพาน กายยังมีอยู่ ยังไม่ดี เพราะตัวไม่ดี เรายังอยู่กับตัวไม่ดี คืออยู่กับร่างกายที่มันไม่ดี ก็ยังดีไม่พอต้องเข้าถึงความ

ดับที่ไม่มีเชื้อดับทั้งกิเลส ดับทั้งขันธ์ อารมณ์หรือร่างกาย จุดทรมานไมมีสำหรับเรานั่นดีมากคือไปพระนิพพานต่อไปสิ่งที่จะส่งเสริม

ความดีทำให้สังโยชน์ 10 ประการครบถ้วน ทุกคนต้องทบทวนให้ดีนะ ทุกวันจะต้องทรงอารมณ์แบบนี้ ไม่อย่างนั่นที่คิดวาทำดีทำ

ดีน่ะมันยังไม่ดีหรอก ก็คือได้แก่บารมี 10 อย่าลืมว่าใครเขาถามว่าบารมีแปลว่ายังไงก็ต้องตอบว่า ที่นี่บารมีแปลว่ากำลังใจเต็ม เขา

บอกว่า ตามภาษาตำราบอกแค่เต็มเฉยๆ บอกก็ช่างปะไร ตำรานั่นมันตำราวัดอื่น ไม่ใช่ตำราวัดท่าซุงปัจจุบัน วัดท่าซุงก่อนเค้าจะ

เขียนตำราแบบไหนช่างเขา

ปัจจุบันนี่เขียนตำราว่าบารมีแปลว่ากำลังใจเต็ม กำลังใจเต็มในการให้ทาน กำลังใจเต็มในการรักษาศีลกำลังใจเต็มในสภาวะแห่ง

การถือบวชคือเนกขัมมะ กำลังใจเต็มพร้อมในการใช้ปัญญาเข้าตัดกิเลสตัดอุปาทาน กำลังใจเต็มพร้อมที่มีวิริยะ อุตสาหะ ความ

พากเพียรต่อสู้อุปสรรคทุกด้าน งานการทุกอย่างไม่ท้อถอย เห็นงานเป็นกรรมฐาน กำลังใจเต็มไปด้วยความอดทนคือขันติ อย่า

ป้อแป้นะ ที่นี่เขาไม่ต้องการคนป้อแป้ ป้อแป้ไปที่อื่นถ้าบอกว่าไม่ไหวละก็ ไปที่อื่นซะเลย กำลังใจเต็มในการรักษาสัจจะอารมณ์ใจที่

จริงกำลังใจเต็มในการอธิษฐาน ต้งใจไว้เฉพาะว่าเพื่อนิพพาน กำลังใจเต็มในด้านการเมตตาไอ้ตัวเมมตานี่สำคัญ เมตตานี่หน้ามัน

ต้องสดชื่นนะ ไอ้หน้าตูมเป็นตูดหมาหน้าบูดยังงี้เขาไม่มีเมตตา ไม่เรียกเมตตา ให้คนอื่นเขาเห็นหน้าเรามีความยิ้ม มีแต่ความชื่นใจ

ไม่ใช่เห็นหน้าแล้วรู้สึกว่า แหม.ไอ้ตัวจัญไรนี่หน้าบูดเหมือนกะดูดหมา ยังงี้มันใช้ไม่ได้ และก็กำลังใจเต็มด้วยอุเบกขา อุเบกขาความ

วางเฉยนี่มันเฉยธรรมดาได้ เฉยมี 2 เฉยธรรมดา กับเฉยในขันธ์ 5 มีรวมความว่า 10 ประการนี้ก็ต้องครบนะ ทุกวันต้องคิด

1.ทาน การให้ 2.ศีล รักษากายวาจาและใจให้เรียบร้อย 3.เนกขัมมะ การระงับนิวรณ์เป็นขั้นต้น และก็ 4.ปัญญา พิจารณาเห็นว่าทุก

คน สัตว์ทุกคน สัตว์ทุกเพศไม่เป็นเรื่อง พังทั้งหมด 5.วิริยะ มีความเพียร บากบั่นต่อสู้กับอุปสรรค 6.ขันติ มีความอดทนด้วยประการ

ทั้งปวง 7.สัจจะ ทรงไว้ซึ่งความจริง จริงใจไม่ถอยหลัง 8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้ตรงแน่ 9.เมตตา มีความเมตตาบารมี จิตใจชื่นบาน ใจ

ชื่นบาน กายให้มันดี หน้าให้มันชื่นด้วย ไม่ใช่หน้าตูมเป็นตูดหมา และ 10.อุเบกขา วางเฉยสองขั้นนี้ วันนี้จะว่าแต่ละขั้นไปเลยนะ จำ

ไว้เลยว่า 10 ปะการนี้ต้องครบถ้วนกำลังใจทุกวินาที 10ประการนี้สร้างให้เต็มขั้นมา 10 ประการก่อนคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สี

ลัพพตปรามาส กามฉันทะ ปฏิฆะ รูป ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา 10 ประการต้นตัดให้พินาศไป แล้วก็ 10 ประการหลัง

ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ทำให้ทรงตัวให้เต็มที่ เป็นอันว่าขับไล่ไสส่งไป

10 และดึงเข้ามาอีก 10 วันนี้ก็มีเวลาเหลือ 16 นาที จะอธิบายตามขั้นสำหรับทานบารมี ทำยังไงมันถึงจะเต็ม การทำทานให้เต็มนี่ก็

จะขอพูดย่อๆ คือว่าคาสเซ็ทนี้ต่อไปก็จะวนไปวนมา ในเวลาเที่ยงวันไม่ต้องเปิดอะไรละ วนกันอยู่แค่นี้ สังโยชน์ 10 บารมี 10 อุทุม

พริกสูตร วนกันอยู่แค่นี้ไม่ต้องะไรมาพูดกันมาก ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้อย่าไปฟังอบย่างอื่นให้มันเสียเวลา สำหรับทานบารมี ทำกำลังใจ

ทานเต็มทานนี่เป็นปัจจัยตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวที่หนึ่ง ที่เราจะเข้านิพพานและทานนี่เป็นการสร้างความรัก กำลังใจของบุคคล

ให้เกิดความรักซึ่งกันและกัน จะเป็นปัจจัยให้เดความสุข ถ้าเราไปที่ไหนมีคนรักมาก ที่นั่นเราก็มีความสุข ถ้าไปที่ไหนมีคนเกลียด

มาก ที่นั่นก็มีความทุกข์ ต้องระวังภัย ตานี้ทำยังไง ทานจึงจะครบถ้วนบริบูรณ์เอ้า! พูดให้ฟังง่ายๆ ประเดี๋ยวจะสงสัยว่า ทานเป็นเหตุ

ให้เกิดความรักยังไงด้วยเหตุผลสั้นๆ เอาตัวเราเป็นสำคัญ สมมุติเราหิวข้าวมันจะตาย ถ้ามีใครเอาข้าวให้กินสักอย่าง ถึงแม้ว่ากับข้าว

มันจะไม่ดี ข้าวมันจะเย็นอาจจะกลายเป็นข้าวตังก็ได้แต่พอกินประทังชีวิตไปได้อย่างนี้

เราจะมีความรักในคนให้ หรือว่าเราจะเกลียดในบุคคลผู้ให้ ถ้ารู้สึกเกลียดในบุคคลผู้ให้ ก็แสดงว่าเราก็ควรจะไปอยู่โรงพยาบาลบ้าได้

แล้ว คนดีน่ะไม่มีใครเขาเกลียด คนเขาให้ มีแต่เขารักคนเขาให้ ถ้าให้อย่างไม่มีพันธะ ถ้าให้อย่างมีพันธะ เราอาจจะเกลียดผู้ให้ก็ได้

กินอิ่มเดียวบังคับให้ไปฆ่าควายให้ไปฆ่าวัว ให้ไปฆ่าสัตว์ ไปด่าคนโน้น ไปตีคนนี้ ไปขโมยคนนั้น ถ้าอย่างนี้เราก็ไม่ควรจะรักผู้ให้ ให้

แล้วก็แนะนำเราให้มีความทุกข์ คือทำลายความดี สร้างความเดือดร้อนไม่ควรรัก ทีนี้ถ้าเขาให้ด้วยไม่มีพันธะใดๆ ให้เพื่อกิน เพื่อยัง

ชีวิตให้ทรงอยู่ เราก็ต้องรัก ที่พูดนี่ไม่ได้บังคับให้รักนะปกติคนธรรมดาๆ

นี่เขาต้องรัก แต่คนไม่รักคือ อกตัญญูไม่รู้คุณคน มันก็มีหาไม่ยาก เวลานี้มีดื่น คนที่เลวกว่าสัตว์นี่ ขอพูดง่ายๆ ว่า คนที่เลวกว่าสุนัข

นี่หาไม่ยาก นี่เราพูดของเราในสำนักของเรา คนอื่นฟังก็ฟัง ฟังได้ก็ฟัง ฟังไม่ได้ก็จงอย่าฟัง ไม่ได้บังคับคนฟัง ไอ้คนที่เลวกว่าสุนัข

นี่เคย ผมนี่เคยสัมผัสมามาก ให้ความสุขทุกอย่างให้ความดีทุกอย่าง เกื้อกูลทุกอย่าง แต่ว่าจากคนพวกนี้ก็เต็มไปด้วยความอกตัญญู

ไม่รู้คุณ แถมไม่ใช่ไม่รู้คุณเฉยๆมันทำลายเสียด้วย ด้วยประการทั้งปวง หาทางทุกอย่างเพื่อล้มล้างให้พินาศ ตัวคนเดียวไม่พอ ยังยก

พวกมา ไปจ้างพวกมา ไปจ้างหนังสือหาด่าซะก็ไม่มี หาทางฟ้องร้องก็เยอะ แล้วไอ้คนที่มันเลว เลวกว่าสุนัข พูดภาษาไทยดีมั้ย

สุนัขเขาแปลว่าเล็บงาม แต่ว่าสัตว์ที่มีเล็บมีถมไป

ฉะนั้น การให้ทานของบรรดาพวกเราๆ ทั้งหลาย จงอย่าหลังผลตอบแทนแล้วการให้ทานเพื่อหวังให้บารมีเต็ม ด้วยการตัดโลภะเขา

ทำยังไง เป็นวิธีทำง่ายๆ ถ้าเราให้แต่ทานเฉยๆ นี่มันไม่มีผล ผลมันน้อยจะต้องให้ด้วยกำลังใจด้วย กำลังใจที่เราจะพึงให้น่ะ คือว่า

เขาทำยังงี้ ปกติของเราให้นั่งพิจารณาหาความเป็นจริง ว่าทานนี่เป็นปัจจัยให้บ่อเกิดความรัก หรือว่าเป็นปัจจัยให้สร้างศัตรู ถ้าทาน

เป็นปัจจัยให้บ่อเกิดแห่งความรัก เราก็พยายามให้ทาน วิธีให้ทานที่จะมีกำลังตัดความโลภ จริงๆ ก็คือ ใช้จาคานุสสติกรรมฐาน

ประจำใจ จาคานุสสติกรรมฐานนั้นได้แก่อารมณ์คิดจะให้ คิดว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ที่เกิดมาในโลกนี้ ทุกคนรักสุข เกลียดทุกข์ แต่ว่า

บางทีไอ้ความทุกข์มันเข้ามาบีบคั้นทั้งๆ ที่ไม่ต้องการมันด้วยความจำเป็น และก็คิดว่า ถ้าเขามีทุกข์เราจะสงเคราะห์จิตคิดไว้ยังงี้

เสมอว่า ถ้าเราไม่เกินวิสัย

ไอ้การให้ทานน่ะต้องให้พอเหมาะนะ อย่าให้เกินพอดี แล้วให้ก็ดูคน ไม่ใช่ใครก็ให้ดะ ต้องดูพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสในเรื่องของนาง

วิสาขาว่า เขาให้เราจึงให้ เขาไม่ให้เราจงอย่าให้ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเราให้เขาแล้ว เขาก็ให้เรา เราให้ความเมตตาในเขา เรา

สงเคราะห์ในเขา เขาให้ความรักในเรา เราให้ ถ้าเราให้ความเมตตาสงเคราะห์เขาแล้ว เขาไม่ให้ความรัก เขาเกลียดเป็นศัตรู เลิกให้

ไปเลยไม่ต้องให้ ใครเขาจะสอนว่ายังไงอีกก็เชิญเถอะ จะไปรับฟังใครเขาก็ได้ แต่ผมขอแนะนำว่าไม่ควรให้ต่อไป เพราะคนประเภท

นี้นี่ผมลองมาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วและเวลานี้จะตั้งต้นไว้ในเฉพาะใจว่า อเสวนา จ พาลานัง บัณฑิตานัญจ เสวนา ปูชา จ ปูชนียานัง

เอตัมมังคลมุตตมัง การคบคนชั่วเป็นอัปมงคล การไม่คบคนชั่วอย่างหนึ่งการคบแต่คนดีอย่างหนึ่ง การบูชาแต่บุคคลที่ควรบูชา

อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าจัดว่าเป็นอุดมมงคล

ฉะนั้นผมจึงขอตัดไปเลย ผมทำมาสัก 20 ปีกว่า คนทุกประเภทผมคบสงเคราะห์ ผมหมดเงินหมดทองไปนับไม่ได้ ญาติโยมทำบุญ

มาก็สงเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง บางทีเราไม่มี เราก็เกือบจะไม่มีกินให้เขา แต่ว่าคนที่เลวกว่าสุนัข คือเลวกว่าหมานี่ ไม่เคยมอง

เลยในเมื่อเรามีทุกข์ เพราะว่าเขามีสันดานชั่วเป็นพาล ฉะนั้นเราก็ควรจะเชื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า การให้นี่ต้องเลือก ถ้าจะรับ

หรือมาบังคับด้วยการขอ ไม่มีความเคารพในการขอ เราจะไม่ให้ ทำใจเฉยๆ ไว้ จงอย่าไปเมตตาคนชั่ว เมตตาจิตมีได้ แต่ว่าเราจะ

ไม่ให้คนชั่ว ในเมื่อเขายังชั่วอยู่เราไม่ให้

ถ้าขืนให้เราจะมีแต่ความเดือดร้อน อันนี้มาพูดกันถึงทานบารมี การให้ทานนี่ต้องประกอบไปด้วยความดีหลายประการ การที่เราจะให้

 


ทานได้ก็คือ

 


1.อันดับแรก เราต้องมีจิตเมตตา ก็ต้องมีเมตตาบารมีเข้ามาผสม

2.เราก็ต้องมีปัญญาเข้าพิจารณาว่า การให้ทานนี่มันดี เป็นปัจจัยให้เกิดความรักใช่ไหม แล้วการให้ทานก็ต้องมีวิริยะ

อดทน เพราะของทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ยาก เราตัดใจให้เขาไป มีความเพียรตัดกำลังใจ ตัดมัจฉริยะ ความตระหนี่ จะให้ทานได้

ก็ต้องมีขันติ คืออดทนต่ออารมณ์ที่มันจะหวงแหน การจะให้ทานได้ ก็ต้องมีสัจจะ ตั้งใจว่าจะให้ เราให้จริง การให้ทานก็ต้องมี

อธิษฐาน อารมณ์ที่ต้องไว้ ตามกำลังความตั้งใจเดิมว่า ฉันจะให้ทาน คือตั้งใจไว้นาน ทีนี้คนให้ทานก็เป็นคน มีศีล ศีลคือความดี

ศีลนี่มิได้เพราะเมตตา ทีนี้ ถ้าเราไม่มีศีลเป็นคนใจร้าย โหดร้าย เป็นคนชอบลักขโมย มันให้ไม่ได้หรอก นี้คนที่ให้ทานจริงๆ อย่าง

น้อย ต้องมีศีลข้อที่ 1

อารมณ์เมตตา แล้วก็มีศีลข้อที่ 2 คือละจากอทินนาทาน ใจจึงจะให้ทานได้ การที่จะให้ทานได้ต้องมีเนกขัมมะคือเวลาที่เราจะให้

ทาน อารมณ์รักในระหว่างเพศมันก็ไม่มี อารมณ์โกรธก็ไม่มี ถ้าเรารักเราโกรธ เราให้ทานไม่ได้ ทีนี้การให้ทานจริงๆ เราต้องมี

อุเบกขา เอาไปแล้วเราก็เฉยไม่เสียดายในมัน

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ให้ทานอย่างเดียว บารมีทั้ง 10 ประการครบถ้วน เป็นอันว่าขบวนความที่เราจะสร้างความดี

นั้น ถ้าสร้างเป็นการสร้างบารมี สร้างทีเดียวพร้อมกัน และความดีทั้ง 10 ประการ นี้ต้องทำให้ได้ทุกวันประจำใจอยู่นะ พระ เณร ทุก

องค์ อย่าไปหลงดีหลอกๆ

1832
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (1/9)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ก็โปรดฟังการปฏิบัติในพระกรรมฐาน สำหรับการปฏิบัติพระกรรมฐานที่จะพูดต่อไป

นี้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติ สำหรับระเบียบภายใน หรือว่าโดยเฉพาะคนที่อยู่ภายในวัด แต่ว่าท่านทั้งหลายที่อยู่นอกวัดจะปฏิบัติด้วยก็ได้

ที่บอกว่าเฉพาะคนภายในวัดก็เพราะว่า ถ้าจะพูดมากไปถึงคนภายนอกก็เกรงว่าจะเห็นว่าเป็นการบังคับกันเกินไป แต่ความจริงวิธี

ปฏิบัตินี้ไม่ใช่การบังคับ เพราะว่าเราปฏิบัติเพื่อมรรคผล

คำว่ามรรคผลก็หมายถึงว่า ทุกคนต้องการนิพพาน ปัญหามีอยู่ว่า ทุกคนน่ะถ้าจะปฏิบัติเพื่อนิพพานน่ะ หวังกันได้แน่นอนไหมว่าจะ

ไปนิพพาน ทั้งนี้ก็ขอว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสร้างกำลังใจตามนี้

ตามธรรมดาของคนเดินทางไกล เราจะเดินกันแค่วันเดียว หรือชั่วครู่เดียวถึง ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่นัก อาศัยที่กำลังกายกำลัง

ใจมีความฉลาด ก็สามารถจะทำทางไกลให้เป็นทางใกล้ได้ ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะทำทางไกลเป็นทางใกล้ได้แต่ว่าเดินไปไม่หยุด

ยั้ง เราก็ถึงปลายทางฉันใด สำหรับพระนิพพานนี้ มีคนส่วนมากพูดว่า ไม่หวังในพระนิพพาน ก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะว่าคนบวชเข้า

มาในพระพุทธศาสนานี่ สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีกำลังใจไม่เสมอกันในเมื่อการที่มีกำลังใจไม่เสมอกันอย่างนี้ บรรดา

ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมาก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับกำลังใจ กำลังใจของคนที่ไหนเท่าไรเป็นเรื่องของท่าน เรามาพูดกันเรื่องของ

เราเวลานี้ทุกคนปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว และก็มีมากรายด้วยกันที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้ สามารถไปเห็นสวรรค์ได้ เห็นพรหมโลกได้

เห็นนิพพาน เห็นนรกเปรต อสุรกายได้ และก็บอกว่า ปรารภว่า เวลานี้จบกิจจากการศึกษาของวัดท่าซุงแล้ว แต่ความจริงบรรดาท่าน

พุทธบริษัท การปฏิบัติในมโนมยิทธิไม่ใช่จบการศึกษาทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่ามโนมยิทธิก็ดี สองในวิชชาสามก็ดี ที่องค์สมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสามารถทำได้เห็นได้ ไปได้ เรื่องนี้เพื่อเป็นการป้องกันความสงสัยกำลังใจของเราเท่านั้น

เอง เพื่อสร้างความมั่นใจในจิตจิตเราจะได้ไม่สงสัยว่า เพราะพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จเพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่ใช่สอน

แบบเลอะเทอะเป็นการสอนตามความเป็นจริงว่ามีจริง

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงก็ดี บรรดาภิกษุสามเณรก็ดีที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ จงอย่ามีความรู้สึกว่ามโนมยิทธิที่เราได้

เป็นการพอสำหรับเราแล้ว เราทำจบแล้ว อันนั้นยังไม่จบ มโนมยิทธิที่พวกเราได้เป็นฌาณโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ถึงแม้ว่าเราจะพบอะไร

ได้ก็ตาม สามารถจะเห็นนิพพานได้ เรื่องนิพพานนี่ความจริงเป็นของไม่หนัก เพราะว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงหวง

นิพพานไว้เฉพาะพระองค์ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เมื่อพระองค์ทรงใกล้จะนิพพานสมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ คำสอนใดที่

เราจะหวงไว้เฉพาะครู อันนั้นไม่มีอยู่สำหรับเรา เราสอนแล้วทุกอย่าง เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่สอนเธอไว้ จะเป็น

ศาสดาสอนเธอ คำว่าศาสดาก็แปลว่าครู

ฉะนั้นความรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เวลานี้เราก็มีสิทธิ์นำมาใช้ทั้งหมดแม้แต่ว่าพระนิพพานที่มีหลายคนบอกว่า เกินวิสัยสำหรับ

เราก็ช่างปะไร จะเกินวิสัยสำหรับใครก็ช่าง ก็ถือว่าไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าชาตินี้เราไปไม่ได้ ชาติหน้าเราก็อาจจะไปได้ ชาติหน้าไป

ไม่ได้ ชาติโน้นเราก็อาจจะไปได้ แต่เราตั้งใจไปไว้ทุกชาติไม่รู้ละชาตินี้

ใครเขาจะว่าบ้าว่าบวมยังไงก็ตาม ถ้าเราบ้าเพื่อไปนิพพาน ดีหว่าบ้าไปนรก ดีกว่าบ้าลาภ บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสุข บ้ารับสินจ้าง

รางวัลชาวบ้านชาวเมืองทำจิตให้เป็นทาส ไม่ทำใจให้เป็นไป บ้าประเภทนั้นลำบากกว่าเรามาก

ทีนี้วิธีที่เราจะเลิกละความบ้าค่อยๆ ละมัน ละทีเดียวมันหมดความบ้าไม่ได้เวลานี้เราบ้าในอะไรบ้าง บ้าในความรัก บ้าในความโลภ

บ้าในความโกรธ บ้าในความหลง และที่ว่าบ้าก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการทรงตัว

ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรักภัยอันตรายเกิดจากความรัก

ทั้งๆ ที่เราฟังอยู่อย่างนี้ เราก็ยังบ้ารักกันอยู่ตลอดเวลาแต่ก็จำจะต้องบ้า เพราะว่าเกิดมาในกลุ่มของความเป็นคนบ้า ในเมื่อมันบ้ามา

แล้ว ก็ค่อยๆ คลายบ้าทีละน้อยๆ อย่าคลายมาก คลายมากมันจะเครียดเกินไป

วิธีคลายบ้าทำยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาภิกษุสามาเณรผู้รับฟัง ปฏิบัติตามนี้เราจะนำสังโยชน์ 10 ประการมา

เป็นเครื่องปราบความบ้า พิจารณาดูใจเราว่า ใจเราบ้าอะไรบ้างใน สังโยชน์ 10 ประการ

1.สักกายทะฏฐิ เรามีความเมาในร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราเรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือไม่ ก็รวมความว่า เรา

คิดว่าร่างกายนี้มันจะทรงตัวตลอดกาลตลอดสมัย ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักป่วยน่ะ มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม เห็นชาวบ้านเขา

แก่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าตนเองวันหนึ่งข้างหน้ามันจะแก่ เห็นชาวบ้านเขาป่วยก็ไม่มีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะป่วย

อย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขามีความตกระกำลำบาก มีการทุพพลภาพในร่างกาย เราก็ไม่เคยคิดว่าอาการร่างกายเราจะเป็นอย่างนี้ ใน

ที่สุด เห็นชาวบ้านเขาพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขาตายเราก็ไม่เคยคิดว่าเรา

จะตาย

ขอประทานอภัยเถิดขอรับ ว่าทุกท่านที่ฟังอยู่น่ะ ความบ้าอย่างนี้มีอยู่ไหมถ้ายังมีส่วนใดส่วนหนึ่งพยายามลดความบ้ามันเสีย นี่

หมายความว่าเราพยายามจะตัดความบ้า อย่าตัดให้มันมาก ตัดทีละน้อยละน้อย

และข้อที่ 2 ที่เราต้องลดความบ้าที่เราบ้า คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในความดีในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ความดีของพระอริยสงฆ์ สงสัยว่าพระอริยสงฆ์ไม่มีแล้วในโลก พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้วเวลานี้ไม่มีพระอริยสงฆ์ ความบ้า

อย่างนี้มีสำหรับเราไหม คำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ถ้าสามารถฝึกสองในวิชชาสามได้ ฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกห้าในอภิญญาหก

ได้เป็นต้น อย่างนี้ถ้อยคำใดที่องค์สมเด็จพระทศพลสอนไว้

เราฝึกได้เราไม่สงสัยติตาม พระพุทธเจ้าบอกสวรรค์มีจริงไหม เราก็ต้องไปสวรรค์ พรหมโลกมีจริกไหมเราก็ไปพรหมโลก พระ

นิพพานมีจริงไหม เราก็ไปนิพพาน นรก เปรต อสุรกายมีจริงไหมไปที่นั่น ใครเขาพูดว่าอะไรมีที่ไหนยังไม่เคยไป ไปที่นั่น ไปมันไม่

ยาก อาการอย่างนี้เราฝึกให้มันเข้าถึงเสียจริงๆ จะได้ลดความบ้าคือความสงสัย แต่ว่าบางทีเราก็ไม่บ้าคนเดียวนะ คนอื่นเขาดี เราไป

หาคนอื่นเขาบ้าเสียด้วย เพราะเราทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่ควร ความบ้าประเภทนี้ต้องลด ค่อยๆ ลดลงไปด้วยเหตุผลแล้วก็วิธีลดยังไงจะ

ว่ากันไปทีหลัง

ทีนี้สังโยชน์ข้อที่ 3 นั่นคือไม่เห็นชอบด้วยศีล ก็หมายความว่า ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติในศีลนี่ วาจาดี กายดีต้องรวมทั้งใจดีด้วย ศีลถ้าที

แต่กาย วาจา ไม่เป็นเรื่อง คือก็ต้องใจดีสำหรับฆราวาส ชาวบ้าน ใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ มือมันก็ไม่ห่า

ปากมันก็ไม่พูดจะฆ่า ใจคิดว่าจะไม่ลักไม่ขโมยของใครเมื่อใจคิดแล้ว ปากมันก็ไม่พูดเพื่อการลักขโมย มือมันก็ไม่ทำ ใจคิดว่าเราจะ

ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น เมื่อใจคิดอย่างนั้น ปากมันก็ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่พูดกายก็ไม่ทำ ใจดีว่าเราจะทรงสัจจะวาจาอย่าง

เดียว จะไม่พูดวาจาไม่จริง เมื่อใจคิดปากมันก็ไม่พูดอย่างนั้น ใจคิดว่าเราจะไม่ดื่มสุราและเมรัย ใจคิดอย่างนี้ ปากมันก็ไม่ดื่ม นี่ถ้า

เราจะละความบ้า

สำหรับฆราวาส สำหรับสามเณรต้องศีล 10 พร้อมด้วยเสขิยวัตรอีก 75 แล้วก็พระต้องพร้อมไปด้วยสิกขาบท 227

รวมทั้งอภิสมาจารด้วย บวกธรรมะด้วย พระต้องมีมาก ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เราก็บ้าในสังโยชน์ข้อที่ 3 ถ้าเราละความบ้า ค่อยๆ

คลายความบ้าลงมาเสียได้แล้ว ไม่ช้าความบ้าก็สลายตัวไป รวมความง่ายๆ ว่า อันดับแรก ถ้าจิตใจเราพยายามควบคุมสังโยชน์ 3

ประการไม่ให้เกิดกับใจนั่นมันแน่นอน นั่นก็คือว่า

1.สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันต้องตาย เราจะไม่เมาในร่างายร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่างเห็ฯร่างกายใครร่างกายนั้นก็

ตาย เห็นร่างกาใครเห็นว่าร่างกายนี้ก็ต้องทรุดโทรม ร่างกายเราร่างกายเขาก็ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายเราร่างกายเขาก็ประกอบไป

ด้วยความทุกข์ ร่างกายเราร่างกาเขาไม่ช้าก็ตายเช่นเดียวกัน ความเมาในร่างกายลดตัวลง ก็รวมว่าความบ้าและความเมาในร่างกาย

ยังไม่หมดนะ มีความรู้สึกว่าจะต้องตาย แต่ก็ยังรักร่างกายอยู่ แต่จิตคิดว่าร่างกายนี้สักวันหนึ่งมันก็ต้องพังแน่ ก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่

เมากินไป ยังมีความรักในมัน แต่ว่าคิดว่ามันจะตาย เลยไม่ประมาทในการปฏิบัติในด้านของความดี

หลังจากนั้น ก็เอาปัญญาเข้า พิจารณาความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์และก็ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งความดีของพระอริยสงฆ์ ใคร่ครวญด้วยความเป็นจริง ตกลงว่าทั้งสามสรณคมน์นี้ คือ ไตรสรณคมน์ ได้แก่

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยอมรับว่าท่านดีแน่ ไม่มีการสงสัยในพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ

หลังจากนั้นจับศีลให้เคร่งครัด ปฏิบัติในศีลยิ่งกว่าชีวิต ถือว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด ค่อยนะๆ ถ้าพูดย่างนี้แล้วจะมีใครมาลอง เอ๊ะ ที่

เค้าว่าตัวตายดีกว่าศีลขาดไปลองตีลองด่าเข้า ระวังๆ นะ เพราะว่าทุกคนกำลังฝึกเพื่อย่างนี้ แต่ยังไม่ถึงอย่างนั้น ด่าเบาๆ อาจจะทน

ได้ ด่าแรงๆ ด่าบ่อยๆ อาจจะทนไม่ไหวอย่างนี้ก็ได้ตีเบาๆ อาจจะทนได้ แต่ตีแรงๆ สปริงแข็งสปริงขามันจะเกิด อย่าไปยุ่งกัน เพราะ

ว่าทุกคนกำลังฝึก การกำลังฝึกนี่ไม่ได้หมายถึงผล

เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า บุคคลใดบรรเทาความเมาในชีวิตคือร่างกาย มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันจะต้องตาย แต่ว่า

ยังรักร่างกายอยู่ ไม่ใช่ไม่รักอย่าไปเคาะ อย่าไปตี อย่าไปแตะ อย่าไปต้องกันเข้า

แล้วก็ประการที่สอง มีความไม่สงสัยในคุณพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ

ประการที่สามมีศีลครบถ้วนตามสังโยชน์

ท่านกล่าวว่า ท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้ถือว่าเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีแต่ว่าขอบรรดาท่านภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา เมื่อ

ฟังไปแล้วก็อย่าเมากายเกินไปนะ อ่านตามหนังสือแล้ว หนังสือนี่เขาก็เขียนเฉพาะตามความเข้าใจของบุคคล ผู้เขียน จงอย่าลืมว่า

การคุยเรื่องขนม มันไม่มีความรู้สึกจริงเท่ากินขนม ฉะนั้นหนังสือเขาเขียนว่า ถ้าระวังสังโยชน์สามประการคือ สักกายทิฏฐิ มีความ

รู้สึกว่า ต้องตาย วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส รักษาศีลเคร่งครัดเป็นพระโสดาปัน หรือสกิทาคามี อันนี้ยัง

ถ้านักปฏิบัติก็คือ คนกินแกงจริงๆ ต้องบอกวายัง ยังก่อน ทำไมจึงว่ายัง ก็เพราะว่ายังไม่เป็นจริงๆ ถ้าอารมณ์แค่นี้ละก็ ยังไม่เรียกว่า

พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี ต้องเรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์

สำหรับท่านที่จะเป็นพระโสดาบันจริงๆ ต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ในพระธรรมจริง ในพระอริยสงฆ์จริงต้องปฏิบัติจิต จน

กระทั่งจิตมีอารมณ์รักในพระนิพพานอย่างยิ่ง บรรดาจะเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทำความดีแล้วจิต

คิดไว้อยู่เสมอว่าความดีที่เราทำแล้ว ตายเมื่อไรเราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน อารมณ์นี้ต้องมั่นคงแล้วก็ใจชาลงจากความรักใน

ระหว่างเพศ ชาเล็กน้อยนะคือไม่ค่อยจะแรงเหมือนเดิมชาจากกำลังของความร่ำรวย ใจชาลงจากกำลังของความโกรธ ใจชาจาก

กำลังของความหลง มันชาเล็กน้อยไม่ชามาก

หมายความว่าอารมณ์มันเกิดช้าไปนิดหนึ่ง พอเกิดแล้วอารมณ์ก็มันเฉื่อยไปหน่อยหนึ่ง ความรัก ความอยากรวย ความโกรธ ความ

หลง ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ว่ากำลังมันช้าไป

และกำลังใจของท่านผู้นั้นมีความรู้สึกอยู่บ้างว่า ในยามว่าง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกฏธรรมดาทั้งหมดแต่ว่าะให้ละได้ทั้ง

หมดน่ะยังไม่จริง ยังละไม่ได้หมด แต่คิดว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้นี่นะ

เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ถูกด่าถูกนิ

นทาน่ะไม่มีจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อถูกชาวบ้านเขาด่า เขาอยากด่าก็เชิญด่า แต่ระวังนะพระโสดาบันนี่ด่าท่านมากๆ ไม่ได้หรอก ท่าน

มีจิตเมตตามาก เกรงว่าจะขาดทุนดีไม่ดีท่านด่าให้มั่ง

ก็รวมความว่า ถ้าจะเป็นพระโสดาบันจริงๆ จิตต้องรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ อารมณ์เริ่มเฉื่อยในความต้องการ นั่นก็คือความรักยังมี

อยู่ครบถ้วนบริบูรณ์แต่เฉื่อยไปหน่อย ความโกรธยังมีช้าไปนิดความหลงยังมีจืดไปหน่อย อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน

ฟังดูจริงๆ แล้วก็เป็นของไม่ยาก ทีนี้วันนี้เราก็มาพูดกันแค่พระโสดาบันก่อน ในเมื่อการศึกษาเขาศึกษากันในพระพุทธศาสนา ซึ่ง

พระพุทธเจ้ายืนยันไว้มาก ว่าเรื่องบารมี 10 นี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าทีบารมีไม่ครบถ้วนเราจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ถ้าบารมีครบ

ถ้วน เราก็จะเป็นพระอริยเจ้า คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปได้ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษํทพระเณรทุกองค์ที่ได้มโนมยิทธิแล้วสังวรให้

มาก คำว่าสังวรคือระวังให้มาก อย่าไปหลงฌานสมาบัติเกินไป ฌานสมาบัติ

นั่นควรทำไม่ควรละ แต่ฌานสมาบัติน่ะ เป็นแต่เพียงตัวระงับกิเลสเท่านั้น ถ้าเผลอเมื่อไร มันก็ฟูเมื่อนั้นผมน่ะ นอนๆ แล้วก็แว่วๆ

เสียง บางท่านบอกว่า เวลานี้ฉันทรงอยู่ในฌานสี่บ้าง ฉันทรงอยู่ในฌานสามบ้าง กำลังใจฉันมีสภาพแจ่มใสบ้าง อันนี้ระวังๆ มันแจ่ม

ในขนาดไหน ถ้าแจ่มใสขนาดเป็นพระอรหันต์ละก็ไม่เป็นไรแต่ส่วนมากที่แจ่มใสมันเป็นการแจ่มใสของฌานโลกีย์ ระวังให้ดีนะ

ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงศึกษาอย่างนี้ ถ้าจิตเป็นฌานทรงฌานไว้เป็นของดี แต่ยังดีไม่พอ ยังไม่พ้นนรก สิ่งที่จะทำให้เราพ้นนรกก็คือ

สังโยชน์ 10 ตัดให้ได้ แต่การที่จะตัดสังโยชน์ 10 ต้องประกอบไปด้วยองค์คุณทั้ง 10 ประการก่อน สังโยชน์ที่เราจะตัด 10 แต่กำลัง

ช่วยการตัดก็10 เหมือนกัน ที่เรียกว่าบารมี 10 บารมีนี่ท่านแปลว่าเต็ม เรียนมาว่าอย่างนั้น

แต่ว่า ศัพท์ของพระพุทธเจ้า ได้ฟังมา ได้ฟังมีคนเขาพูดว่า บารมีพระพุทธเจ้าท่านแปลว่ากำลังใจเต็มจำให้ดีนะ เขาถามว่าที่วัดนี้

แปลบารมีว่ายังไงก็ตอบเขาบอกว่า ที่วัดนี้แปลบารมีว่า กำลังใจเต็ม กำลังใจให้มันเต็มทั้ง 10 อย่าง คือ เต็มในการให้ทาน เต็ม

พร้อมในการรักษาศีล เต็มพร้อมในการถือบวช เต็มพร้อมในด้านของปัญญาค้นคว้าหาความเป็นจริง เต็มพร้อมในด้านของความ

พียรเป็นการกำจัดอุปสรรค เต็มพร้อมในขันติคือ การอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ เต็มพร้อมในสัจจะ คือทรงความจริงไม่ท้อถอย ไม่ถอย

หลัง ไม่สับปลับ เต็มพร้อมในอธิษฐานคือตั้งอารมณ์ไว้ให้มันแน่นอน เต็มพร้อมในเมตตาคือความรัก ไม่มีความเลวเข้ามาผสม

ไม่มีความโหดร้ายเข้ามาผสม เต็มพร้อมในอุเบกขาคือการวางเฉย แล้วก็ค่อยฟังกันต่อไป

ตานี้ก็มานั่งคุยกัน มาคุยสักนิด มองดูเวลาเหลือประมาณ 5 นาที ได้มั้ย 4 นาที ก็มาคุยกันสักหน่อยว่าทานบารมีนี่ ความจริงบารมี

ทั้ง 10 ประการนะตื่นขึ้นมาเช้าจะต้องเขียนและท่องจำไว้ว่า บารมี 10 ประการน่ะมีอะไร คือ

1.ทาน การให้

2.ศีล การรักษา

3.เนกขัมมะ การอดใจในนิวรณ์ 5 ประการขั้นต้น ขั้นต้นนะ

4.ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ไม่เมาในร่างกายเราเขามีมั้ย

5.วิริยะ ความเพียรต่อสู้กับอุปสรรคไม่ท้อถอย

6.ขันติ ความอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ

7.สัจจะ มีความจริงมุ่งหน้าเฉพาะพระนิพพาน

8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้ตรงไม่หลีกเลี่ยงเฉพาะพระนิพพาน

9.เมตตา หน้าตาชื่นบาน เห็นคนและสัตว์เป็นมิตร แล้วก็ท้าย

10.อุเบกขา จิตคิดวางเฉยไม่โต้ตอบ ไม่รุกราน ไม่ซ้ำเติมใคร

กำลังใจทั้ง 10 ประการนี้แหละบรรดาท่านภิกษุสามเณรทั้งหลาย และอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ถ้าไม่สามารถจะทรงได้ทั้ง 10 มโน

มยิทธิที่ท่านได้น่ะมันไม่มีผลหรอก ผลน่ะมีเหมือนกัน แต่มันจะมีตรงไหนล่ะ มีตรงที่ได้ฌานโลกีย์แต่ไม่ช้าฌานนี่มันจะสลายตัว

อารมณ์เสื่อมมันจะเกิด คือความดีมันไม่ทรงตัวถ้าความดีไม่ทรงตัวแล้วเป็นยังไง ขั้นสุดท้ายสิ่งที่เราจะไปก็คือนรก เพราะอุปาทาน

มันจะกินเหลือเวลาอีก 3 นาที ขอพูดเรื่องสังโยชน์ สังโยชน์นี่มี 10 ต้องระมัดระวังให้มาก อันดับแรกตัดสามให้ได้ก่อน ต้องให้ได้

แน่นอน อย่าสักแต่ว่าทำ เรื่องฌานโลกีย์ได้เท่าไรก็ตาม แต่สังโยชน์สามยังไม่ได้นี่ ต้องมีความรู้สึกว่าเอาดีไม่ได้เรายังไม่เข้าถึง

ความดี แต่ความดีที่ตัดสังโยชน์สามได้ก็เป็นความดีเล็กน้อย

สังโยชน์อีกเจ็ดก็คือ กามฉันทะ การตัดอารมณ์ในกามคุณ ปฏิฆะ การตัดอารมณ์กระทบใจ ถ้าตัดได้อีกสองเป็นพระอนาคามี ตัดได้

อีกห้าคือไม่หลงในรูปฌาน และไม่หลงใน อรูปฌาน กันนัก ระวังให้ดีมันจะนรกไป

แล้วก็ไม่หลงใน มานะ การถือตัวถือตน อุทธัจจะ ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป อวิชชา ตัดกำลังใจที่เห็นว่ามนุษย์โลก

เทวโลก พรหมโลก พรหมโลกเป็นของดีให้สิ้นไปกำลังใจมีอารมณ์เดียวคือนิพพาน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าทำได้อย่างนี้นะจะเป็นอรหันต์อย่าไปมัวเมาแต่ฌานโลกีย์เกินไปบางท่านบอกสำรวจใจ

แหม.. แจ่มใส ใสแจ๋วไอ้ใสนั่นมันไม่ได้ใสในสภาพของพระอริยเจ้า มันเป็นการใสในขั้นของฌานโลกีย์ จะใสขนาดไหนก็ตามที ถึง

แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ จำไว้ว่า ถ้าเรายังมีร่างกายเพียงใด เรายังไม่ดีเท่านั้น เราจะดีได้จริงๆ ก็คือ ร่างกายหมดไป เข้าพระนิพพาน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มองดุเวลาพอดีๆ สำหรับตอนนี้ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์

พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ขอบคุณและที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1938:-10--10--1-&catid=37:2010-03-02-03-52-18&Itemid=2

1833
ท่านโชคดีมากที่ได้ร่วมประเพณีอันงดงามหาดูได้ยากนะครับ :015:

1834
กราบขอบพระคุณท่านเผ่าพงษ์พระกฤษณะ :054:

ขอเรียนว่าท่านอาจารย์โด่งกลับสู่ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

1835
ประมวลคลิปวีดีโอสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ อ.พุนพิน  จ.สุราษฏร์ธานี  เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา น้ำยังท่วมขัง

วันนี้ 6 เม.ย.ผู้สื่อข่าวประมวลคลิปวีดีโอสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ อ.พุนพิน  จ.สุราษฏร์ธานี  เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา  การสัญจรไปมาบนถนนหลายสายน้ำท่วมขัง

[youtube=425,350]oQSnErv1A0E[/youtube]

1836
อ้างถึง
บางคนไม่ได้ทานข้าวมา 4 วันแล้ว

น่าเห็นใจพี่น้องชาวใต้
หวังว่าภัยพิบัติคงผ่านพ้นไปในเร็ววัน และกลับมาฟื้นฟูกันใหม่ด้วยดี

1837
บารมี10ทัศ
[youtube=425,350]LKBTgxYjWy8[/youtube]

1839
ภาพสวยมากครับ
=========
วิญญาณ


1840
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง กับ หลวงปู่โลกอุดร

หลายคนคงได้อ่านเรื่องราวของท่านมามากมาย

ลองมาฟังพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี พูดถึงเรื่องของท่านบ้าง



ฉันฟังมาตั้งนาน โลกอุดร โลกอุดรใครหนอ มีวันหนึ่งก็เลยนั่งอยู่ ใครกันหนอ...? อ้อ...พอเจอหน้าก็ร้องอ้อเลย แต่ว่าท่านพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีต้องมาจากพุทธภูมิก่อน พอใกล้จะเต็มก็ลา ลาจากพุทธภูมิเป็นสาวก ก็เลยต้องทำงานพุทธภูมิ

ถ้าสาวกจริง เขาไม่เอาด้วยหรอก เขาทำงานเฉพาะเรื่องของเขา ที่เห็นว่ามีเยอะๆ ทำได้ก็เงียบฉี่ คืองานของเขาไม่มี พวกนี้ถ้าถึงจุดเขาเว้นงาน คือต้องทำงานตามหน้าที่

มันมีเรื่องหนึ่งที่เราพูดกันแล้วเหมือนคนบ้า...

ไอ้ก่อนที่จะลงมานี่มันมีสัญญาใจ ว่าจะมาทำงานอะไร เวลาลงมาเกิดใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก จิตไม่ถึงที่สุด ถ้าจิตถึงที่สุดกระเทาะเปลือกสัญญา อีตอนนี้แหละงานอื่นที่เคยทำมาแล้วก็โยนทิ้งหมด เอาเฉพาะงานของตน

ไปๆ มาๆ ก็ไปเจอะท่าน ไปเจอะกับท่าน ฉันอยากนึกจะเจอก็ชนปั้งเลย เมื่อชนปั๊บ ถามว่า

"เป็นพุทธภูมิมาก่อนใช่ไหม"

คือว่าพวกนี้ถ้าไม่สงสัยแกก็ไม่รู้เรื่องฉัน ถ้าสงสัยก็ชนกันเมื่อนั้นแหละ ต่างคนต่างขี้เกียจด้วยกัน มันไม่เก่งแล้ว มันต้องเก่งมาตอนต้นๆ ตอนต้นก็อยากเก่ง

ไอ้นักมวยตอนที่หัดใหม่ๆ ไปไหนกำหมัดยิกๆๆ ฉันเป็นนักมวย เอาเข้าเป็นแชมป์แล้ว เขาก็เลิก พระก็เหมือนกัน แก่แล้วก็เลิก แก่ก็มีเรื่องเด็ก ขี้เกียจ จะรู้อะไรไปทางไหนก็ตายแหงๆๆ อย่างพวกนี้ ตายแล้วจะไปไหน หาทางให้มันให้ไปแล้วไม่มาใช่ไหม

อะไรบ้างที่เราจะเปลื้องความทุกข์ไอ้การเวียนว่ายตายเกิด ก็ภาวะจิตมุ่งตรงสู่นิพพาน คือไอ้การอยากรู้ อยากเห็นก็เลิกกัน แต่ว่าเหตุใหญ่มันชนกันเข้าก็ต้องรู้ สงสัยเขาก็พูดกันเรื่อยเลย โลกอุดรๆๆ คือใคร

ก็มีคนหนึ่งบังเอิญเข้าไปพบ และก็ขอถ่ายภาพ ภาพแรกเป็นพระ กล้องเดียวกันถ่ายทีเดียว ขอถ่ายอีกทีกันเสีย มีภาพนุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุงมีดเหน็บข้างหลัง

ถามมึงถ่ายอะไร

ฟิลม์เดียวกันครับ

ขอถ่ายครั้งที่ ๒ แกร็ก...กันเสีย ก็ไม่เสีย ได้อีกภาพหนึ่ง ถ้าได้ซ้ำก็เสียฟิลม์เปล่าใช่ไหม

พวกตกใจใหญ่ เป็นไปได้รึ เขาเป็นจะถามทำเกลืออะไร ก็เพราะมันเอง มันเห็นเอง ถามเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้แล้ว ไม่น่าจะมาถามเลย

โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็ อุตตระ พระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ อุตตระกับโสณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท ๔ สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง"

อย่าลืมนะผู้ที่คล่องอิทธิบาท ๔ คือ พระอรหันต์ พระอนาคามีนี่ถือว่ายังไม่คล่อง เพราะอะไร ยังตัดสังโยชน์อีก ๕ ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต็ก็ถือว่าคล่อง ไอ้คล่องไม่ใช่ว่าเฉยๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อั๊วะก็ว่าได้นี่ นี่ไม่ได้นะ"



จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๖ หน้า ๔๗-๔๘
http://www.oknation.net/blog/benjaporn/2009/10/19/entry-1

1841

...ตัวฉันมีกาน้ำหนึ่งใบกับกองฟืนที่วางอยู่เรียงราย..บวชมา..ปีแล้วปีเล่า วัน เก่าๆได้ผ่านเลยไป คืบคลานเข้าสู่ปีใหม่ ลมหายใจยังอบอุ่นในรสพระธรรม...
:054:กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ขอรับ..ขอขอบคุณสำหรับคำอวยพรขอรับ..
...กระผมขอให้ท่านพระอาจารย์คิดหวังในเรื่องใดหรือกระทำการสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนะขอรับ..
...เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา :054:

ชอบกาน้ำนั้น :015:

1842
ประวัติหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=247369

1843
อุตุฯเตือนภัยสภาวะน้ำท่วมทางภาคใต้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   31 มีนาคม 2554 05:26 น.


       กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภัย"สภาวะน้ำท่วมในภาคใต้"ฉบับที่ 18 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2554
       
          เมื่อเวลา 22.00 น. วันนี้ (30 มี.ค. 54) หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต และกระบี่ เริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ต่อไปอีก 1-2 วัน
       
          จึงขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ยังคงต้องระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากต่อไปอีก ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย
       
          อนึ่งในวันพรุ่งนี้ (31 มี.ค.) บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร มีอากาศเย็นต่อไปอีก 1-2 วัน แต่อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นในตอนกลางวัน

1844
ขอบคุณครับ

น่าจะเป็นรสชาติที่เข้มข้นไม่น้อย
ถ้ามีภาพ ก็กรุณาโพสต์มาชมกันบ้างนะครับ

1847
คำอธิษฐานขอลาภจากพระสีวลี
[youtube=425,350]o3SxkWea4to[/youtube]

1848
โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

1849
คนทำเวรกับเรานี่ ทำใจลำบากนะ

ถ้าให้อภัยได้จะได้กุศลแรง
===========

๑๕. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียว ก็ตาม การให้อภัยทานก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่น แม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะการให้อภัยทาน เป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ "โทสกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหาร ข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคล ที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ ย่อมเป็นผู้ทรงญาณ ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรม ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท""ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทาน จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าทานทั้งปวง
อย่างไรก็ดี การให้อภัยทาน แม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่นๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่ตํ่ากว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการทำบุญบารมีคนละขั้นต่างกัน

1850
ไม่ทราบว่าน้ำท่วมวัดไหมครับ

1852
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ท่องเเดนเปรตภูมิ
« เมื่อ: 30 มี.ค. 2554, 11:27:11 »
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
=======
ทางลัดที่จะพาไปเที่ยวดูได้
[youtube=425,350]Hfxy_CNKAiA[/youtube]

1853
แค่คิดจะผิดไหมครับ
======
กรรม ๓ (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา   ดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม)
๑. กายกรรม (กรรมทำด้วยกาย, การกระทำทางกาย)
๒. วจีกรรม (กรรมทำด้วยวาจา, การกระทำทางวาจา )
๓. มโนกรรม (กรรมทำด้วยใจ, การกระทำทางใจ )

1854
ประวัติหลวงปู่ดู่ ตอนที่ 2
[youtube=425,350]TEmgBQtrSd4[/youtube]

1855
ธรรมชาติ สอนธรรมะ 'พิบัติภัย' หนึ่งตาย ต้อง ล้านตื่น
วันพุธ ที่ 30 มีนาคม 2554 เวลา 0:00 น 



จากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว-สึนามิที่ญี่ปุ่น ถึงแผ่นดินไหวในพม่า ล้วนส่งผลต่อประเทศไทย-คนไทยด้วย น้อยบ้าง-มากบ้าง...สุดแท้แต่ ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ได้สะท้อนไว้ว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้เป็น ’บทเรียนสำคัญ“ ที่ประเทศไทยควรจะตระหนัก เตรียมรับมือให้ดีพอ ซึ่งเมื่อเกิดภัยธรรมชาติในรูปแบบน้ำท่วมในภาคใต้ของไทย ล่าสุดรัฐบาล-ภาครัฐก็เริ่มขยับปาก-ขยับตัวในเรื่องการ ’รับมือภัยธรรมชาติ“ มากขึ้นอีกระดับ ซึ่งก็หวังว่าจากนี้จะ “เป็นรูปธรรม” มากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นภัย น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ ฯลฯ หวังว่าจากนี้จะมิใช่แค่พูดให้ดูดี...ได้แต่พูด? หรือแค่เตือนได้...ที่เอาเข้าจริงก็ได้แต่เตือน?
   
ขณะเดียวกันก็น่าจะทำให้เห็นถึง ’สัจธรรม“
   
น่าจะทำให้คนไทยทุก ๆ ส่วน ’มีสติ-สำนึกรู้“
   
ทั้งนี้ ’ธรรมชาติ“ ยามที่เกิดเป็น ’ภัย“ นั้น ลึก ๆ แล้วก็สะท้อนในเชิง ’ธรรมะ“ ด้วย ซึ่งกับเรื่องนี้ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย แสดงทรรศนะไว้ว่า...บ่อยครั้งที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ มนุษย์ได้รับความวิบัติวอดวายมากมาย ทั้ง ๆ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่มนุษย์ก็ดูเหมือนไม่รู้จักสรุปบทเรียน เพราะลึก ๆ แล้วมนุษย์เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถบริหารจัดการโลกใบนี้ได้ ซึ่ง...
   
เป็นฐานคิดแห่งความประมาท เป็นทรรศนะที่ผิด
     
มนุษย์เชื่อกันว่าตัวเองเป็นนาย ผู้ถืออาญาสิทธิ์เหนือโลกและสิ่งแวดล้อม มนุษย์เชื่อกันว่ามีสิทธิที่จะช่วงใช้โลกนี้อย่างไรก็ได้ตามใจฉัน มนุษย์หลงตัวเองเชื่อมั่นว่าจะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ซึ่งเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิต่อโลก และส่งผลให้เกิด มิจฉาปฏิบัติ คือ อยู่กับโลกด้วยท่าทีที่เป็นศัตรู มองว่าโลกนี้ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ และประมาท เชื่อว่าสามารถจัดการกับธรรมชาติได้ เชื่อว่าสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้ โดยสิ่งหนึ่งที่ตามมาจากความเชื่อมั่นผิด ๆ ก็คือ อหังการ์
   
จากผลลัพธ์ที่ยับเยินหลังเผชิญภัยธรรมชาติ ซึ่งมีบทเรียนสำคัญเกิดขึ้นให้เห็นชัดเจนมากมายในระยะนี้ ทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย ท่าน ว.วชิรเมธี ระบุว่า...ถามว่า...เราในฐานะของมนุษย์นั้นควรจะเรียนรู้อย่างไร ? คำตอบคือ...จริยธรรมสำหรับปฏิบัติ ซึ่งที่ดีที่สุดคือ ’การไม่ประมาท“ อันได้แก่...
   
1. อย่าประมาทว่าชีวิตจะยืนยาว แท้ที่จริงแล้วชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยืนยาว ชีวิตมนุษย์กินเวลาสั้นมาก เหมือนน้ำค้าง เหมือนฟ้าแลบ เหมือนพยับแดด อย่าเชื่อว่า ฉันยังหนุ่ม ฉันยังสาว อายุฉันเพียงแค่เริ่มต้น 2. อย่าประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังสาว ยังไม่ต้องรีบทำอะไรที่เป็นแก่นเป็นสาร กินก่อน เที่ยวก่อน เล่นก่อน ก็ได้
   
3. อย่าประมาทในสุขภาพ อย่าคิดว่าสุขภาพเรายังแข็งแรงยังทำอะไรได้อีกนาน จนใช้ชีวิตด้วยความสุ่มเสี่ยง ติดอบายมุข 4. อย่าประมาทในเวลา ว่าวันเวลาในชีวิตยังอีกยาวนาน ยังไม่เข้ามัชฌิมวัย ฉันจะอยู่ไปถึงปัจฉิมวัย คนบางคนเกิดมาหลุดจากท้องแม่มาถูกทำแท้งก็มี ยังไม่ทันนับปฐมวัยด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าประมาท
   
5. อย่าประมาทในธรรมะ อะไรดี ๆ ที่จะต้องทำกลับผัดวันประกันพรุ่ง อย่าประมาท สิ่งใดที่ดีที่ควรทำ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาทำให้ดีที่สุดทันที 6. อย่าประมาทในธรรมชาติ ว่ามนุษย์สามารถบริหารจัดการได้ เพราะธรรมชาติเท่าที่เรารู้จักนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น โลกนี้ เอกภพนี้ จักรวาลนี้ มีอะไรมากมายเหลือเกินที่เราไม่ดูไม่รู้ไม่เห็น การมานั่งดูว่าจะจัดการธรรมชาติได้ยังไง นั่นคือประมาทอย่างยิ่ง
   
และ 7. อย่าประมาทในศักยภาพตนเอง จนเป็นเหตุให้ไม่รู้จักใช้ปัญญาของตนเองเลย ไม่คิดเอง ไม่พูดเอง ไม่ทำเอง พึ่งคนอื่นตลอดเวลา ถ้ามนุษย์ไม่ประมาทในศักยภาพของตนเอง มนุษย์ก็จะสามารถพัฒนาไปเป็นสัมมาพุทธะได้ ทุกคนมีศักยภาพพุทธะอยู่ในตัว ถ้าเราไม่ประมาทเราก็จะกลายเป็นยอดคนได้ในที่สุด
   
ทั้งนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังเตือนสติไว้อีกว่า...จากบทเรียนจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นมากมายนั้น มนุษย์เรา คนไทยเรา ควรคำนึงถึง คุณธรรมที่ควรจะทำที่สุดในตอนนี้ ซึ่งกล่าวโดยสรุปมี 3 เรื่องหลัก ๆ คือ...
   
1. รู้เท่าทันธรรมดาของโลกและสิ่งแวดล้อม ว่ามีแง่ดีแง่งามอย่างไร มีคุณอย่างไรและมีโทษอย่างไร, 2. รู้เท่าทันทรรศนะที่ผิดที่มนุษย์มีต่อโลกและธรรมชาติ และปรับเปลี่ยนทรรศนะมาปฏิบัติต่อโลกและธรรมชาติอย่างถูกต้อง, 3. ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เมื่อดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท เมื่อภัยธรรมชาติมาถึง แม้เสียหาย ก็จะเสียหายน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เตรียมตัว ต้องเตรียมรับมืออยู่เสมอ อย่าคิดว่ามนุษย์สามารถบริหารจัดการธรรมชาติได้ เพราะแท้ที่จริงธรรมชาติมีความลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่มนุษย์รู้จักมากมายนัก
   
’อย่าเผชิญกับสถานการณ์เพียงแค่แสดงความเสียใจ” “ตื่นสักที หนึ่งคนตายก็ต้องให้ล้านคนตื่น นอกจากจะเสียใจแล้ว ต้องทำความเข้าใจ เมื่อเราทำความเข้าใจแล้ว เราจะได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา และนั่นคือทางออกที่เราควรประพฤติปฏิบัติในเวลานี้“...ท่าน ว.วชิรเมธี ระบุทิ้งท้ายไว้
   
’ภัยธรรมชาติพิโรธ“...ก็หวังว่าคนไทยโดยรวมจะตื่น
   
มิใช่แค่ตื่นภัย...แต่เข้าใจธรรมชาติ ’ตื่นด้วยธรรม!!“.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=23&contentId=129695

1856
มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูลร่วมเฉลิมพระเกียรติในหลวง จัดพิมพ์หนังสือ "5 นักปราชญ์แห่งยุค"



หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ "ร่วมเฉลิมพระเกียรติกับ 5 นักปราชญ์แห่งยุค" เนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เป็นปีที่ 47 ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดย อ.มีชัย ฤชุพันธุ์, ดร.วิษณุ เครืองาม, ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, รศ.นรนิติ เศรษฐบุตร และ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของตนเอง ต่อ พระราชกรณียกิจ พระอุตสาหะ และพระอัจฉริยภาพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ท่านใดที่สนใจหนังสือเล่มนี้ ให้ส่งแสตมป์ราคา 20 บาท พร้อมที่อยู่ของท่าน มาที่ มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล เลขที่ 1/4 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 ทางมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล จะจัดส่งหนังสือไปให้.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=616&contentID=129680

1857
ข้อมูลล้อมกรอบ : สิ่งที่ต้องปฏิบัติหากเกิดแผ่นดินไหว

ภัยแผ่นดินไหวจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า เมื่อเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง มักมีเหตุอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง อาจเกิดแผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม และอาคารอาจไม่พังทลายในทันทีแต่อาจะพังทลายภายหลัง

ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น

-ออกจากอาคารไปสู่ที่โล่งแจ้งในทันที
-หากมีคนอยู่จำนวนมากอย่าแย่งกันออกที่ประตู เพราะจะเกิดอันตรายจากการเหยียบกัน
-หากออกจากอาคารไม่ได้ให้หมอบอยู่ใต้โต๊ะ หรือยืนชิดติดกับเสาร์ที่แข็งแรง
-คลุมศีรษะไว้จนกระทั่งแผ่นดินไหวหยุดเอง
-ถ้าอยู่ในตึกสูงให้อยู่ที่ชั้นเดิม อย่าใช้ลิฟท์
-เตรียมพร้อมเพื่อใช้ระบบเตือนภัยและระบบดับเพลิง
-หากขับขี่ยานพาหนะให้รีบจอดยานพาหนะ ในที่โล่งแจ้ง ห้ามหยุดใต้สะพาน ใต้ทางด่วน ใต้สายไฟฟ้าแรงสูง และให้อยู่ภายในรถยนต์

ส่วนการเตรียมพร้อมรับมือ ควรตรวจสอบดูว่าที่พักอาศัยนั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวหรือไม่,เสริมบ้านหรืออาคารให้มั่นคงแข็งแรงมากขึ้นเพื่อต้านแผ่นดินไหว,ทำที่ยึดตู้และเฟอร์นิเจอร์ไว้ไม่ให้ล้ม,ติดยึดชุดโคมไฟบนเพดานให้มั่นคง,จัดการป้องกันไม่ให้แก๊สรั่วไหล โดยใช้สายท่อแก๊สที่ยืดหยุ่นได้,หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หน้าต่างหรือผนังห้อง และมีไฟฉาย วิทยุ ไว้ใกล้ตัว เป็นต้น.

1858
ธรรมชาติแจ้งเตือน!“แผ่นดินไหว”ขยับใกล้เราแล้ว
วันอังคาร ที่ 29 มีนาคม 2554 เวลา 11:05 น 


“แผ่นดินไหว” รุนแรง อากาศแปรปรวน เราเตรียมตัวรับมือกันแล้วหรือยัง!!

หลังจากมีประกาศแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่าสุด ขนาด 6.5ริกเตอร์ ที่จังหวัดมิยากิ ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ใกล้บ้านเรา ก็มีแผ่นดินไหวขนาด   6.7 ริกเตอร์  ในประเทศพม่า  ความลึก 10 กิโลเมตร ห่างจากทางทิศเหนือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร เหตุเกิดประมาณเวลา 20.55 น. วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งเช้าวันที่ 25 มี.ค. ยังได้เกิดอาฟเตอร์ช็อก ติดตามมาอีกหลายครั้ง

ความเสียหายเกิดขึ้นมีทั้งที่ประเทศพม่าและทางภาคเหนือของไทย รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตแล้ว  กว่า150 คน โดยความเสียหายในประเทศไทยเกิดขึ้นตามจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ทั้งอาคารโรงพยาบาลเกิดรอยร้าว บ้านเรือน โบราณสถานเก่าแก่บางส่วนเสียหาย นอกจากนี้ยังเกิดรอยแยกที่ถนนลาดยางเป็นแนวยาว

นอกจากจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศพม่าแล้ว ตอนนี้ก็เพิ่งจะเกิดความผิดปกติของธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเกิดอากาศหนาวเย็นขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ในภาคเหนือ และกรุงเทพฯทั้งที่จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ติดตามมาด้วยพายุฝนถล่มกรุงเทพมหานครแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  ติดตามมาด้วยเหตุพายุฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมที่  ชุมพร  นครศรีธรรมราช  สุราษฏร์ธานี พัทลุง มีหินถล่มถล่มในพื้นที่ ฯลฯ ถึงแม้เหตุการณ์ภัยธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่เราก็สามารถเรียนรู้และเตรียมพร้อมรับมือได้เช่นกัน  เรื่องนี้ทางนสพ.เดลินิวส์ ได้เห็นถึงความสำคัญจึงพยายามเกาะติดนำเสนอข้อมูลเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 53 ที่ผ่านมา นสพ.เดลินิวส์ ได้ร่วมกิจกรรมกับทางภาครัฐและเอกชน  อาทิ มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ, เว็บพลังจิต.คอม และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ฯลฯ จัดสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เพื่อให้รับรู้เรื่องราวของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือในเบื้องต้นของประชาชนจะต้องทำอย่างไรบ้าง ??

ลำดับเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ในโลก เพียงแค่เริ่มต้นปี พ.ศ.2554 เราก็ได้รับทราบปรากฏภัยธรรมชาติแบบรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.54 แผ่นดินไหว 6.3 ริคเตอร์ ที่เมืองไคร์สเชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นตามด้วยแผ่นดินไหว  5.8 ริคเตอร์ ที่เมืองยูนาน ประเทศจีน  และวันที่ 11 มี.ค.54 แผ่นดินไหวใหญ่ 8.9 ริคเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศญี่ปุ่น 130 กิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือนได้ส่งผลใหญ่หลวงสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลก กับภาพคลื่นยักษ์สึนามิ ซัดถล่มชายฝั่งตะวันออกฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น พังพินาศย่อยยับ ผู้คนเสียชีวิตสูญหายนับหมื่น ไร้ที่อยู่อาศัยหลายแสนคน

และที่ใกล้บ้านเราเหตุแผ่นดินไหว ในประเทศพม่า จุดศูนย์กลางห่างจากประเทศไทยเพียงนิดเดียวเท่านั้น นอกจากจะสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวไทยทั่วไปแล้ว ยังช่วยเป็นการกระตุ้นเตือนให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะภัยพิบัติแผ่นดินไหว นอกจากจะขยับเข้ามาใกล้บ้านเราแล้วยังมีความรุนแรงมากขึ้นอีก อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบข้อมูล  ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว เกิดจากเคลื่อนตัวโดยฉับพลันของเปลือกโลกบริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกที่แนวแผ่นดินไหว เนื่องจากหินในชั้นหลอมละลายที่อยู่ใต้เปลือกโลกได้รับความร้อนจากแกนโลก และลอยตัวผลักดันให้เปลือกโลกแต่ละชิ้นมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่าง ๆ ที่มีการสะสมพลังงานไว้ เมื่อพลังงานมีมากจึงชนและเสียดสีกันหรือแยกออกจากกัน โดยการสะสมของพลังงานที่เปลือกโลกจะถูกส่งผ่านไปยังเปลือกพื้นโลกของทวีป รอยร้าวของหินใต้พื้นโลกเรียกว่า “รอยเลื่อน” และหากรอยเลื่อนที่มีอยู่ได้รับแรงอัดมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้เช่นเดียวกัน

สำหรับรอยเลื่อนภายในประเทศไทย เกือบทั้งหมดส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยรอยเลื่อนที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย มีประมาณ 9 แห่ง เช่น รอยเลื่อนเชียงแสน, รอยเลื่อนแพร่, รอยเลื่อนแม่ทา, รอยเลื่อนเถิน,รอยเลื่อนเมย-อุทัยธานี, รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์, รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์,รอยเลื่อนระนอง  และรอยเลื่อนคลองมะรุย

ในเมื่อสัญญานเตือนภัยทางธรรมชาติ ขยับเข้ามาใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นปัญหาเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวเสียแล้ว บทเรียนหลายเรื่องทางธรรมชาติ ในประเทศไทย เคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิ คลื่นยักษ์ซัดถล่ม จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ของประเทศไทย เมื่อปลายปี2547  หรือสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังกับการเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงประชาชนเองก็ต้องหมั่นรับรู้ติดตามข้อมูลข่าวสารว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกปัจจุบัน !!
                       
ทีมข่าวเฉพาะกิจ : รายงาน

ต้นน้ำ เรียบเรียง
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=129678

1859
ถ้าผมบวชเเล้ว จะไปอยู่ด้วยนะครับหลวงพี่
กุฏิหลังที่2 ก็ใกล้เสร็จแล้วครับ

1860
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา    
 
                             
          คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว คือ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนาคือ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของชั่วคราว มีแต่ปัญหามีแต่ทุกข์ แล้วก็เสื่อม พังสลายไปในที่สุด
ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งหลาย ถ้าท่านต้องการพ้นภัยจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านควรมีคุณธรรม 6 ประการนี้ไว้เป็นประจำจิตประจำใจ ทุกท่านย่อมจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถึงความสุขใจอย่างยอดเยี่ยม
คุณ 6 ประการนั้นคือ

1. ข่มจิตในเวลาที่ควรข่ม
2. ประคับประคองจิตในยามที่ควรประคับประคอง
3. ทำจิตให้ร่าเริงในยามที่ควรร่าเริง
4. ทำจิตวางเฉยในยามที่ควรวางเฉย
5. มีจิตน้อมไปในอริยมรรค อริยผลอันประณีตสูงสุด
6. มีจิตตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตผู้ปฏิบัติที่มีความสามารถฉลาด
ย่อมจะต้องศึกษาจิตใจและอารมณ์ของตนให้เข้าใจ และรู้จักวิธีกำหนดปล่อยวางหรือควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ได้ เปรียบเสมือนเวลาที่เราขับรถยนต์ จะต้องศึกษาให้เข้าถึงวิธีการขับขี่ที่ปลอดภัย บางครั้งควรเร่ง บางคราวควรผ่อน บางทีก็ต้องหยุดเร่งในเวลาที่ควรเร่ง ผ่อนในเวลาที่ควรผ่อน หยุดในเวลาที่ควรหยุด ก็จะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
ข้อสำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือ ต้องไม่ประมาท ต้องปฏิบัติให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ถ้าเราปฏิบัติไม่เป็นเสียแต่วันนี้ เวลาใกล้จะตายมันก็ไม่เป็นเหมือนกัน เหมือนคนที่เพิ่งคิดหัดว่ายน้ำ เวลาใกล้จะจมน้ำตาย นั่นแหละก็จมตายไปเปล่า ๆ ถ้าใน 1 วันนี้ไม่ปฏิบัติภาวนาวันนั้นขาดทุนเสียหายหลายล้านบาท
จงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่า คนสัตว์สิ่งของ เงิน ทอง ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ เป็นของโกหกของสมมุติ ภาพมายาทั้งนั้น ทุกอย่างไม่ใช่ของจริงเป็นของหลอกลวงที่คนไม่ฉลาดต่างพากันหลงใหลกับสิ่งของสมมุติของโกหก ไม่ว่าอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ก็ไม่ใช่ของเราจริงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากเหตุ(คือ ความไม่รู้ ความอยากได้) ถ้าต้องการดับทุกข์ ต้องดับเหตุก่อน คือ ให้รู้ว่าทั้ง 3 โลก เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงเป็นโทษเป็นทุกข์เป็นปัญหา และสูญสลายตายกันในที่สุด ถ้าเรามีญาณก็จะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเราไม่มีการบังเอิญเลย
ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมพิจารณาร่างกายคนสัตว์ในโลกว่าน่าเกลียดน่ากลัว เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภาระต้องดูแลอย่างหนัก เน่าเหม็นแตกสลายตายไปกันหมด ผู้ที่มีศรัทธาแท้คือผู้ที่เชื่อและยอมรับ พระพุทะ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแทนที่จะเอาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นที่พึ่ง ผู้ปฏิบัติตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือ ให้ขยันภาวนา แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงจะน้อยลงและหมดไป
ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต ผู้ฝึกจิตถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่างจะสงบไม่ได้ และ ไม่สภาพของจิตตามเป็นจริง ถ้าทำจิตให้ดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว โดยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายตายหมดสิ้นแล้ว จิตก็มีกำลังเปล่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริง ได้ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรควรรักษา อะไรควรละทิ้งออกจากจิต ไม่ควรใส่ใจสนใจเรื่องของผู้อื่น ควรตั้งใจตรวจสำรวจดูจิตของเราเองว่ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดว่าร่างกายนี้ยังเป็นของจิตหรือไม่ ตามความเป็นจริงแล้ว จิตกับกายไม่ใช่อันเดียวกัน เพียงแต่มาอาศัยกันชั่วคราวเท่านั้น
อารมณ์วางเฉยมี 3 อย่าง
1. วางเฉยแบบหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉย ๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
2. วางเฉยแบบกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา มีความรู้ตัว มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากความดี ความชั่ว สุข ๆ ทุกข์ ๆ ใด ๆ ในโลกีย์วิสัย เฉยบ่อยมากขึ้น
3. วางเฉยแบบละเอียด คือ อารมณ์ของพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งไม่มีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว ดีใจปนเสียใจ วิตกกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มี ไม่คิดปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีความวางเฉยในร่างกายของท่านเอง จะเจ็บปวดทรมาน จิตท่านนิ่งเฉยอยู่ในจิตของท่านว่าจิตส่วนจิต กายเป็นเพียงของสมมุติของชั่วคราว ตายเมื่อไร ท่านก็พร้อมที่จะทิ้งรูปนามขันธ์ เสวยวิมุติสุขแดนอมตะทิพย์นิพพานติดตามองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ของดีนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคน ของดีนั้นอยู่ที่จิตของท่านทุกท่าน ของไม่ดีอยู่ที่ร่างกาย
จิตมี 3 ขั้น ตรี โท เอก
ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย ยังวุ่นวายเป็นทุกข์กับเรื่องของโลก
ขั้นโท ก็มีศีลครบ มีเมตตา ทำบุญทำทาน
ขั้นเอกนี่ ดีมาก จิตก็มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ สัตว์ นรก เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วก็ตายสลายผุพังไปกันหมดสิ้น ตัวอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ของตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับเอาไว้ให้คงที่ก็ไม่ได้ ตัวนี้แหละเป็นตัวเอก ไล่ไปไล่มา ให้มันเห็นร่างกายคนเรา ตานแน่ ๆ คนเราหนีตายไม่พ้น แม้เพียงวันเดียว
1. ตายน้อย ก็คือ นอนหลับทุกคืน หลับชั่วคราว คือ ตายทุกคืน ตื่นตอนเช้า
2. ตายใหญ่ ก็คือ นอนหลับตลอดกาล แต่จิตไปตื่นตรงที่มีกายใหม่ มีกายใหม่ที่อื่นเป็นกายผี กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม แล้วแต่ผลบุญหรือผลบาปที่ทำไว้ตอนเป็นคน

http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/tampratanporn%20luangpoo%20doo.html

1861
หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร
[youtube=425,350]meAntmtwSkA[/youtube]

1862
ขอบคุณครับที่กรุณาส่งข่าว

1863
สารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า
[youtube=425,350]5GcjeLBL7B8[/youtube]

1864
ธรรมะ / ตอบ: หลักแห่งพระพุทธศาสนา
« เมื่อ: 27 มี.ค. 2554, 10:03:54 »
ถ้ามนุษย์ไม่มีธรรมะ
[youtube=425,350]BdWlGeuKe4Y[/youtube]

1865
ท่านไปสอนปริวาสกรรม จะกลับมาประมาณวันที่ 5 เมษายน นี้

1866
จากมอเตอร์เวย์ เมื่อผ่านด่านพานทอง แล้วประมาณ 4-5 กม. ก็ถึงทางออกไปบ้านบึง ให้ชิดซ้ายเตรียมตัวออก
ออกวิ่งตามเส้นทาง 344 จนไปถึง 4 แยกใกล้ตลาดหนองปรือ ในแผนที่จะเห็นว่าเป็นหนองไม้แก้ว ให้เลี้ยวขวาไป



เมื่อเลี้ยวขวาเข้าเส้น 331 วิ่งไปประมาณ 9 กม. ก็จะเจอ สนามกอล์ฟ เทรชเชอร์ฮิล อยู่ซ้ายมือ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว


จากเทรชเชอร์ฮิล วิ่งไปอีก 1 กม. ก็จะถึงทางเข้าสังเกตุซ้ายมือ มีศาลาหลังคาสีเหลือง มีทางเข้า เลี้ยวซ้ายเข้าไป จะเห็นร้านขายอาหารและร้านรับซื้อของเก่าตามลำดับ ขับรถขึ้นเขาไป ประมาณ 900 ม.จะเห็นสำนักปฏิบัติธรรมฯอยู่ซ้าย ให้จอดรถบริเวณ แล้วเดินขึ้นเขาไปตรงข้ามลานจอด ตอนนี้ ยังไม่มีป้าย ทางขึ้นเขาเห็นไม่ชัด ให้ถามพระหรือคนแถวนั้น


1867
สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม

คำว่าสติปัฏฐานนั้นมาจาก (สร ธาตุ + ติ ปัจจัย + ป อุปสัคค์ + ฐา ธาตุ) แปลว่า สติที่ตั้งมั่น, การหมั่นระลึก, การมีสัมมาสติระลึกรู้นั้นพ้นจากการคิดโดยตั้งใจ แต่เกิดจากจิตจำสภาวะได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติ โดยคำว่า สติ หมายถึงความระลึกรู้ เป็น​เจตสิกประ​เภทหนึ่ง​ ส่วนปัฏฐาน ​แปล​ได้​หลายอย่าง​ ​แต่​ใน​ ​มหาสติปัฏฐานสูตร​ ​และ​ ​สติปัฏฐานสูตร​ ​หมาย​ถึง​ ​ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น
โดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุ่งมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง ได้แก่

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

1868
กุฏิน้อยในป่าไทร วัดทุ่งเซียด พุนพิน สุราษฏร์ธานี
   ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา๐๔.๓๐ น.
         เจริญสุข เจริญธรรมท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายลำดับต่อไปเป็นภาคปฏิบัติภาวนา
หลังจากที่เราท่านทั้งหลายได้ร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว เราก็มาเพิ่มกำลังบุญกุศล
ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในไตรสิกขาสาม คือ ทาน ศีัล ภาวนา และศีล สมาธิ ปัญญา ตามหน้าที่
และบทบาทของแต่ละท่านแต่ละคน เพื่อสร้างบุญกุศลเพิ่มพูลบารมีให้แก่ตัวของเราเอง
          ซึ่งการเจริญภาวนาในภาคเช้านี้ จะมีอุปสรรคนิวรณ์มาเป็นมารขวางกั้นการเจริญทางธรรม
นิวรณ์ที่ว่านั้นคคือ"ถีนะมิทธะ" ความซึมเซาง่วงเหงาหาวนอน เป็นนิวรณ์ที่มีกำลังมากในภาคเช้า
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จิตของเรายังอาลัยยินดีในการหลับนอน จิตยังไม่ถอนออกมาจากอารมณ์นั้น
เมื่อเราเจริญภาวนาอารมณ์นั้นก็จะเพิ่มพูลมีกำลังมากขึ้น ความง่วงความซึมเซาจะเข้ามาครอบงำจิตของเรา
ถ้าเราเผลอสติตามองค์ภาวนาไม่ทัน มันก็จะทำให้เราเผลอหลับไป
          การแก้ปัญหาในกรณีนี้ก็คือเราต้องเคลียร์จิตของเราเสียก่อน คือปลุกจิตปลุกใจของเราให้มีกำลัง
ศรัทธาเพิ่มขึ้น ในการประพฤติปฏิบัติ ขจัดความอาลัยในการหลับนอนออกไปเสียก่อน ฆ่านิวรณ์ให้หมดกำลัง
ด้วยการเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต ทำความคิดให้เป็นกุศล สวดมนต์ด้วยเสียงที่ดังมีพลังเพื่อปลุกจิต
ให้ตื่น ฟื้นจากการซึมเซา ความง่วงเหงาหาวนอน ให้ความร้อนเกิดข้นในกายขณะสาธยายมนต์ ด้วยการสวดมนต์
ด้วยพลังปราณ คือสวดด้วยพลังลมขับขึ้นมาจากหน้าท้อง ขณะที่เราสาธยายมนต์นั้นสมาธิขั้นขนิกสมาธิก็เกิดขึ้น
เพราะว่าจิตของเราจดจ่ออยู่กับมนต์อักขระทั้งหลายนั้น และเมื่อเข้าสู่การภาวนาเราก็รักษาอารมณ์สมาธินั้นให้เจริญ
ก้าวหน้ายิ่่งขึ้นไป เพราะว่าคำว่าภาวนานั้นก็คือการพัฒนา ทำให้ดียิ่งขึ้นๆต่อไป
         ถ้าในขณะที่เราเจริญภาวนาอยู่นั้น นิวรณ์มันเข้ามา ก็ให้ใช้วิธีการเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต ตั้งสติใหม่
โดยการเปลี่ยนอิริยาบททางกาย จากการนั่งมาเป็นการยืนกำหนด การยืนกำหนดภาวนานั้น ให้เราตั้งสติเอาจิตมาคุมกาย
เสียก่อน การเอาจิตมาคุมกายนั้น ก็คือการระลึกนึกไปให้ทั่วกายของเรา ตั้งแต่เบื้องบนคือศรีษะลงมาไปจนถึงเบื้องล่าง
คือฝ่าเท้า ทำความรู้ตัวทั่วพร้อมให้บังเกิด คือความถึงพร้อมซึ่งสติและสัมปชัญญะให้ทั่วกาย สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มกำลัง
ขณะที่หายใจออกนั้นให้ทำความรู้สึกเทน้ำหนักของกายเราไปสู่ฝ่าเท้าที่สัมผัสผื้น เพื่อให้การยืนของเรานั้นมั่นคงไม่ซวนเซ
เหมือนวิชากำลังภายในของหนังจีน คือวิชาทองพันชั่ง จะทำให้การยืนกำหนดของเรานั้นมั่นคง ไม่ซวนเซเสียสมดุลย์ในการยืน
         เมื่อเรากำหนดท่ายืนของเราได้มั่นคงแล้ว ก็เข้าสู่องค์ภาวนาที่เคยประพฤติปฏิบัติมา ที่เรียกว่้าเสมอกันในอิริยาบทนั้น
คือการเสมอกันในทางปฏิบัติกรรมฐานที่ต่อเนื่องเสมอกัน กองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นไปในกอง
เดียวกัน ไม่ใช่ว่า ต้องนั่งเวลาเท่ากับการยืน เท่ากับการเดิน เท่ากับการนอน คือไม่ได้เอาเวลามาเป็นตัวกำหนดความเสมอกัน
แต่เสมอกันด้วยการเจริญกรรมฐานในกองเดียวกันให้ต่อเนื่อง
         ขอฝากไว้ว่า ในความเป็นสมาธินั้น สติเรายังมีอยู่และเห็นอยู่ เพียงแต่จิตนั้นไม่ได้เข้าไปปรุงแต่ง คือเห็นและรู้ว่ามันสงบ
เห็นและรู้ว่าปิติ สุข และสงบนิ่ง ถ้าเราขาดสติเผลอลงพวังค์ สงบนิ่งโดยไม่รู้สึกตัวไม่มีสตินั้น มันเป็นสมาธินอกระบบที่ไม่มีพลังงาน
เพราะว่าขาดซึ่งสติที่จะควบคุมจิต สาเหตุเกิดจากการที่สติของเรานั้นอ่อนกำลัง ตามองค์ภาวนาไม่ทัน เพราะเมื่อเข้าสู่ความเป็นสมาธ
นั้นจิตมันจะละเอียดลงเรื่อยๆ จนถึงความสงบเป็เอตัคตารมณ์เข้าสู่องค์ฌาน
        ขอให้การเจริญภาวนาของท่านจงบังเกิดความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จะไม่ใช่เสียงบรรยายรบกวนอารมณ์สมาธิของท่านทั้งหลาย
ให้ท่านได้รับความวิเวกทางกาย เพื่อให้เกิดความวิเวกทางจิตในลำดับต่อไปตามสมควรแก่เวลา ขอเจริญสุข เจริญธรรม
                           .................................................................................................
เป็นคำบรรยายในยามเช้าเพื่อปลุกศรัทธาให้แก่เพื่อนนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย หลังจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว โดยจะเป็นการเจริญ
ภาวนาในยามเช้าเป็นเวลาประมาณ ๔๕ นาที ก่อนที่จะแผ่เมตตา ขอขมา อธิษฐานจิต วันทาลาพระ จบการปฏิบัติภาคเช้าเวลา ๐๖.๐๐ น.
โดยเริ่มตั้งแต่ ๐๔.๐๐ น.-๐๖.๐๐ น. สองชั่วโมงในยายเช้า
               ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่มวลมิตรทุกผู้คน
                          รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๒ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ๐๗.๕๒ น. ณ กุฏิน้อยในป่าไทร วัดทุ่งเซียด พุนพิน สุราษฎร์ธานี
       

ถ้าเราเผลอสติตามองค์ภาวนาไม่ทัน มันก็จะทำให้เราเผลอหลับไป
          การแก้ปัญหาในกรณีนี้ก็คือเราต้องเคลียร์จิตของเราเสียก่อน คือปลุกจิตปลุกใจของเราให้มีกำลัง
ศรัทธาเพิ่มขึ้น ในการประพฤติปฏิบัติ ขจัดความอาลัยในการหลับนอนออกไปเสียก่อน ฆ่านิวรณ์ให้หมดกำลัง
ด้วยการเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต ทำความคิดให้เป็นกุศล สวดมนต์ด้วยเสียงที่ดังมีพลังเพื่อปลุกจิต
ให้ตื่น ฟื้นจากการซึมเซา ความง่วงเหงาหาวนอน ให้ความร้อนเกิดข้นในกายขณะสาธยายมนต์ ด้วยการสวดมนต์
ด้วยพลังปราณ คือสวดด้วยพลังลมขับขึ้นมาจากหน้าท้อง ขณะที่เราสาธยายมนต์นั้นสมาธิขั้นขนิกสมาธิก็เกิดขึ้น
เพราะว่าจิตของเราจดจ่ออยู่กับมนต์อักขระทั้งหลายนั้น และเมื่อเข้าสู่การภาวนาเราก็รักษาอารมณ์สมาธินั้นให้เจริญ
ก้าวหน้ายิ่่งขึ้นไป เพราะว่าคำว่าภาวนานั้นก็คือการพัฒนา ทำให้ดียิ่งขึ้นๆต่อไป


http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=16344.msg144997#msg144997

1869
ปัจจัตตัง

คำแปล2

ว. เฉพาะตน, (ศน.) พระธรรมคุณบทหนึ่งว่าปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว, คำว่า ปัจจัตตัง ใน ที่นี้หมายถึงว่า ความสุขที่เกิดจากการบรรลุธรรม นั้น เป็นความสุขที่ผู้บรรลุจะรู้กับใจของตัวเอง ต้องปฏิบัติจึงจะรู้ไม่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยการฟังคนอื่นเล่าหรือให้คนอื่นปฏิบัติแทนตน.

1870
@ท่านทรงกลดครับ
ผมขอแผนที่การเดินทางอย่างละเอียดได้ไหมครับ
ในวันไห้วครูที่ผ่านมาผมได้ถวายปัจจัยไปบ้างส่วนแล้วครับ และอยากทำเพิ่มครับ
รบกวนขอแผนที่ด้วยครับ
จะลองพยายามเขียนหรือจัดทำให้นะครับ
ปล.ไม่ค่อยจะมีฝีมือกับเค้าเลยครับ :075:

1871
ปลิโพธ   
 

 ปลิโพธ แปลว่า เครื่องรบกวน เครื่องผูกพันหน่วงเหนี่ยว เครื่องกีดขวาง ห่วงผูกพัน
ปลิโพธ หมายถึงความห่วงกังวล ความห่วงใยอันเป็นเหตุให้เกิดความลังเลพะวักพะวนไม่ปลอดโปร่งใจ ไม่อาจละจากไปได้ เป็นอุปสรรคทั้งในการทำงานและการบำเพ็ญกรรมฐาน

ปลิโพธ ห่วงผูกพันที่สำคัญมี ๑๐ อย่าง คือ

๑. ที่อยู่อาศัย ๒. ตระกูล ๓. ลาภสักการะ ๔. หมู่คณะ ๕. หน้าที่การงาน ๖. การเดินทาง(ไกล) ๗. ญาติพี่น้อง ๘. ความเจ็บไข้ ๙. การศึกษา(ปริยัติ) ๑๐. ฤทธิ์ที่ได้แล้ว

1872
ขอบคุณครับ
=====
ประวัติ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

 ชาติภูมิ

          หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง เป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง นามสกุล หนูศรี มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 3 คน ตัวท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่อหลวงพ่อถือกำเนิดได้ไม่นาน มารดาของท่านก็เสียชีวิต และเมื่อท่านอายุได้ 4 ปี บิดาของหลวงพ่อก็เสียชีวิตอีก ทำให้หลวงพ่อกำพร้าตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านจึงได้อาศัยอยู่กับยาย และ พี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ เมื่อท่านถึงวัยที่ต้องศึกษา ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่ วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศธรรมประวัติ ตามลำดับ

         เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นทารกมีเหตุอัศจรรย์ที่ทำให้เชื่อว่าท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด คือในช่วงหน้าน้ำหลาก คืนหนึ่งขณะที่บิดาและมารดากำลังทำขนมอยู่นั้น มารดาท่านได้วางตัวท่านไว้บนเบาะนอกชานบ้าน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปน้ำ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ตัวท่านกลับไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำไปติดอยู่ข้างรั้ว กระทั่งสุนัขที่บ้านเลี้ยงไว้ มาเห็นเข้าจึงเห่าและวิ่งกลับไปกลับมา มารดาท่านจึงสงลัยว่าคงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติ จึงได้ตามสุนัขออกมาดู ก็พบท่านลอยน้ำอยู่ติดกับข้างรั้ว

 อุปสมบท

          เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับวันอาทิตย์แรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ อุโบสถวัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ ฉายาว่า “ พรหมปัญโญ ”

 ศึกษาธรรม

         ในพรรษาแรกๆ นั้น หลวงปู่ดู่ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัด ประดู่ทรงธรรม (ในสมัยนั้นเรียกว่าวัด ประดู่โรงธรรม) โดยศึกษากับ ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

         ในด้านการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน นั้น หลวงปู่ดู่ ได้ ศึกษา กับ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ผู้เป้นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงพ่อเภา ซึ่งเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น และ มีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงพ่อกลั่นก็ได้มรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษากับหลวงพ่อเภาเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้ศึกษาจากตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจาก พระอาจารย์อีกหลายท่าน ที่ จังหวัดสุพรรณบุรี สระบุรี ฯลฯ

เมื่อพ.ศ. 2486 ครั้นออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อก็ออกเดินธุดงค์ จากวัดสะแก มุ่งหน้า สู่ป่าเขาแถบจังหวัดกาญจนบุรี ในระหว่างทาง ก็แวะนมัสการสถานที่สำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา

 นิมิตธรรม

          ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.2500 เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง

“ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา

 เมตตาธรรม

         หลวงปู่ดู่ ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้งยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงพ่อมีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

 หลวงปู่ทวด

          ท่านให้ความเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ

 สร้างพระ

          หลวงพ่อดู่ ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยงทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล” แม้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า “ ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ”

 ปัจฉิมวาร

          นับตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาสุขภาพหลวงพ่อเริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงพ่อ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป

         ประมาณปลายปี พ.ศ.2532 หลวงปู่ดู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ การที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงปู่ดู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก

         วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงพ่อท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงพ่อยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ” หลังจากคืนนั้นหลวงพ่อก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของ วันพุธที่ 17 มกราคมพ.ศ. 2533 รวมสิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไป

จึงขอยกธรรมคำสอนของหลวงพ่อที่สอนให้ศิษย์ เข้าถึงธรรมด้วยการสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นที่ตนเองดังนี้

 “ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง

ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า

แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว

เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”

 

1873
ขอแจมด้วยครับ
==============
หลักการเจริญกรรมฐานนั้น ต้องมีอารมณ์มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตให้เกาะติด เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน ดังนั้น การเจริญเมตตาภาวนาก็ต้องรู้ว่าอารมณ์ของจิตที่จะสร้างให้เกิดเมตตาจิตนั้น คือใคร เช่น มุ่งเอาสัตว์หรือบุคคลใดมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน

      อารมณ์กรรมฐานของเมตตาจึงมี ๒ แบบ คือ
      ๑) แบบเฉพาะเจาะจง คือ การตั้งจิตมุ่งไปหาสัตว์บุคคลที่เรารู้จักและคุ้นเคย
      ๒) แบบไม่เจาะจง คือ การตั้งจิตไปยังสัตว์บุคคลทั้งหลาย โดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร

      ดังนั้น หลักการเจริญเมตตาขั้นเริ่มต้น ควรเริ่มที่แบบที่หนึ่งก่อน คือแบบเฉพาะเจาะจงไปยังสัตว์บุคคลที่เรารู้จัก ที่ง่ายที่สุด คือ น้อมจิตระลึกถึงบุคคลที่เรารักมากที่สุดก่อน เพราะเมตตาจะได้เกิดขึ้นง่าย

       บุคคลนั้นได้แก่ ตัวเราเอง !

      ครูบาอาจารย์ท่านว่า ตัวของเราเป็นบุคคลที่เรารักมากที่สุด ตามสำนวนที่ว่า คนปุถุชนสามัญนั้น"หารักใดเสมอด้วยรักตน ไม่มี" รึใครจะเถียง!

อ่านเพิ่มเติม
http://www.vipassanacm.com/th/view_story.aspx?id=21

1874
ได้อ่านยาวๆจนจบ ได้ศึกษาพุทธประวัติไปพร้อมกันด้วย :015:
ขอบคุณครับ

1875
ปล..ขณะนี้ ท่านได้เดินทางลงใต้ไปแล้วเมื่อเช้านี้ และจะกลับช่วงต้นเดือนหน้า จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ตอนนี้(23 03 2554 )ท่านอยู่ที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (วัดทุ่งเซียด อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี) ครับผม

วันนี้ผมไปกราบท่านมาแล้ว คับ  :054: :054: :054:
ยินดีด้วยครับท่าน :002:
แล้วจะได้ทำบุญร่วมกันครับ

1876
นิทานเซน :ความกลัดกลุ้มของตะขาบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 มีนาคม 2554 12:08 น.


มีกบตัวหนึ่งที่เฝ้าสังเกตการเดินของตะขาบตัวหนึ่งอยู่เสมอ เวลาผ่านไปนานเข้าเกิดเป็นความงุนงงสงสัยขึ้นในใจ ครุ่นคิดว่า "ตัวข้าเองมีเพียง 4 ขายังเคลื่อนไหวไปมาได้ยากลำบาก แต่ไฉนตะขาบที่มีขานับร้อยจึงเดินได้อย่างปลอดโปร่งเพียงนี้ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ยามเดินเหิน ตะขาบทราบได้อย่างไรว่าจะหยุดขาข้างไหน ขยับขาข้างไหน จากนั้นก้าวขาไหนตามออกไปกันเล่า?"

กบจึงตัดสินใจออกไปขวางทางเดินของตะขาบเอาไว้ จากนั้นเอ่ยถามว่า "ข้าถูกเจ้าทำให้งุนงงสงสัยไปหมดแล้วว่า ในแต่ละวันเจ้าเดินเหินได้อย่างไรด้วยขาที่มากมายขนาดนี้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"

ตะขาบตอบว่า "ข้าเดินแบบนี้มาโดยตลอดไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ในเมื่อวันนี้เจ้าถามขึ้นมา ข้าก็จะขอเวลาคิดดูสักครู่ แล้วค่อยตอบคำถามของเจ้า"

ตะขาบยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ เพื่อขบคิดว่าที่ผ่านมาตนเองเดินอย่างไร จากนั้นเจ้าตะขาบก็พยายามขยับขาโน้นขยับขานี้แต่ไม่สำเร็จ เพียงลากขาไปข้างหน้าได้ 2-3 ก้าว พอหมดสิ้นหนทางจึงหมอบลง สุดท้ายได้แต่กล่าวกับกบขี้สงสัยว่า "ต่อไปเจ้าโปรดอย่าได้เอ่ยถามข้อสงสัยข้อนี้ของเจ้าให้ตะขาบตัวอื่นใดได้ฟังอีก ที่ผ่านมาข้าเพียงเดินไปข้างหน้าไม่เคยเกิดปัญหา แต่ตอนนี้เจ้าทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว ข้าไม่สามารถก้าวเดินได้ เพราะข้าไม่รู้ว่าจะขยับขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ด้วยขากว่าร้อยขาที่มีอยู่นี้"

ปัญญาเซน :เรื่องบางเรื่อง ขบคิดมากความกลับเพิ่มปัญหา การปฏิบัติเซนอย่างสมบูรณ์แบบ คือการใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมชาติ ตามครรลองที่ควรจะเป็น

1877
ผมยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ครับ งานบุญแบบนี้มีอะไรให้พอช่วยเหลือได้บ้างก็บอกมาเลยนะครับ  :002:
จะรอติดตามข่าวนะครับ
ตามนั้นเลยครับ
ด้วยความยินดี

ปล..ขณะนี้ ท่านได้เดินทางลงใต้ไปแล้วเมื่อเช้านี้ และจะกลับช่วงต้นเดือนหน้า จึงเรียนมาเพื่อทราบ

1878
เรามาเตรียมตัวตายกันเถอะ


เมื่อเราจะสิ้นใจ เราเตรียมอะไรไม่ได้หรอก
ต้องเตรียมกันตั้งแต่ยังตื่นๆอยู่นี่
ส่วนใหญ่ถามเรื่องเทคนิคการเตรียมสิ้นใจ
แต่ไม่เข้าใจว่ากระบวนการสิ้นใจแท้ๆนั้น

ขณะหัวเลี้ยวหัวต่อจะมีกรรมที่นำไปเกิด เรียกว่า ชนกกรรม
โดยมากชนกกรรมเป็นกรรมที่ทำมาเป็นประจำ
ทำจนเคยชินเป็นนิสัย อย่างที่เรียกว่า อาจิณณกรรม
พูดง่ายๆว่าเคยทำดีมาเป็นนิตย์ ก็ได้ชนกกรรมฝ่ายดีเป็นตัวนำไปเกิด
แต่ถ้าเคยทำชั่วมาเป็นนิตย์ ก็ได้ชนกกรรมฝ่ายชั่วเป็นตัวนำไปเกิดแทน
ท่านถึงเรียกอาจิณณกรรมอีกอย่างหนึ่งว่า พหุลกรรม
โดยที่ พหุล แปลว่าหนาหรือมากนั่นเอง

อาจิณณกรรมของแต่ละคน โดยมากไล่ลำดับความสำคัญลงมา
นับแต่อาชีพที่ทำ สิ่งที่ครุ่นคิดเป็นประจำ คำที่พูดอยู่ทุกวัน กิริยาที่แสดงเป็นปกติ
รวมแล้วอาจมีหลายหลาก แต่ประมวลแล้ว จะได้ภาพออกมาภาพหนึ่ง
คือดีหรือเลว
มีน้ำหนักชัดอยู่ ต้องเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ที่ช้ำเลือดช้ำหนอง ตรงกลางเป๊ะนั้นไม่มี
ฉะนั้น จะเตรียมตาย ไม่ใช่เตรียมตัวจะตั้งท่าตายยังไง
แต่ทำตัวเป็นปกติอย่างไรต่างหาก
คือที่ทำๆอยู่ทุกวันนี้แหละ คิดยังไง พูดยังไง ทำยังไง
เป็นการเตรียมตัวเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เปลี่ยนชีวิตทั้งสิ้น

ส่วนการเตรียมการสำทับเข้าไป
เช่นระลึกถึงว่า วันหนึ่งเราจะต้องตาย
ตอนนอนก็ได้ ทอดกายไปนิ่งๆ รู้สึกว่าตอนเข้าโลง มันก็อยู่ในอาการนี้
แล้วระลึกให้ออก ว่าเราใช้กายนี้สร้างทำอะไรดีๆมาบ้าง
ถ้าระลึกอย่างนี้ก่อนนอนทุกคืน ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท มีการเตรียมตัวตายไว้ล่วงหน้า
เพราะจิตที่สั่งสมอาการอย่างนี้ไว้ชินแล้ว เมื่อถึงเวลา ก็จะนึกอย่างนี้เองโดยอัตโนมัติ

มีบ้าง ที่ชนกกรรมอาจเป็นการลงมือทำ หรือพูด หรือคิดขณะจวนเจียนตาย
อย่างที่เรียกว่า อาสันนกรรม คืออาจทำครั้งเดียวในชีวิต
แต่ไปทำขณะตาย ก็กลายเป็นชนกกรรมไปได้เหมือนกัน
เช่นเห็นพระตอนกำลังจะสิ้นใจ เกิดโสมนัสขึ้นมา ด้วยคิดว่าเป็นที่พึ่ง สรณะของเรา...
แค่นี้ก็ให้ผลได้เหมือนกัน แต่น้อยราย
คนเราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงตัวเมื่อไหร่
เพราะฉะนั้นหมั่นคิดดีไว้ทุกๆขณะจิต คิดดีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เผื่อแจ็คพ็อต เผอิญต้องพบกับมัจจุราชโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
จะได้เป็นประกันให้อุ่นใจว่ากรรมก่อนตายมีโอกาสเป็นอกุศลน้อยลง

แล้วก็มีบ้าง ที่ชนกกรรมอาจเป็นกรรมหนัก คือทำครั้งเดียวในชีวิต
แต่จะส่งผลแน่นอน อย่างที่เรียกว่า ครุกรรม
โดยมากจะเป็นที่รู้กันว่าเอียงไปทางกรรมด้านอกุศล
อย่างเช่นอนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมประเภทตัดทางสวรรค์นิพพาน
เมื่อลงมือทำไปแล้ว แม้จะเพียงครั้งเดียวในชีวิต
ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็ไปดีไม่ได้ รับวิบากดีไม่ได้ ต้องไปนรกก่อน
แถมเป็นนรกชั้นที่ให้ผลเดือดร้อนไม่เว้นระยะ

อนันตริยกรรมได้แก่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าห้อเลือด และทำให้สงฆ์แตกแยก
กรรมหนักที่ให้ผลใกล้เคียงกับอนันตริยกรรม
ก็เช่นเห็นใครคุยกันเรื่องมรรคผลนิพพาน ก็เกิดความรุ่มร้อนริษยา
พูดจาบั่นทอนกำลังใจ ว่ายังไงก็ไปไม่ถึง
เขาทำถูกทางอยู่แล้ว ก็เกิดอยากจะทำให้เขาเขวจากทาง ทำให้เขาไม่เชื่อว่าเขาจะถึงได้
ทำนองว่าตูยังดูทีวี ยังละกิเลสไม่ได้
ก็คิดว่าคนทั้งโลกคงยังต้องดูทีวี ยังละกิเลสไม่ได้ในชาตินี้เหมือนตูนั่นเอง
เมื่อพูดจาให้เขาเขว หรือแสดงทางที่หลงจนเขาเชื่อ
ก็ได้ชื่อว่าฆ่าว่าที่อริยเจ้า พรากเขาจากมรรคผลนิพพาน
ฉะนั้นใครเข้ามาสังสรรค์เสวนาในลานธรรมฯ จะระวังๆตัวไว้บ้างก็ดี
ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หรือเงียบไว้
ยังไม่แน่ใจอะไร ยังไม่รู้คำตอบแจ้งชัดด้วยประสบการณ์ตรง
ก็อย่าเพิ่งค้าน หรือให้คะแนนคนโน้นคนนี้เหมือนตรวจข้อสอบวิชาทางโลก
เพราะพูดไปแล้วเอาคืนไม่ได้
คนอ่านไปแล้ว เขวไปแล้ว บางทีอาจลื่นหลุดออกจากมรรคไปเลย
ทั้งที่เขาก็อยู่ต้นทางแล้ว

 

วาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทุกชั้นวรรณะ ทุกระดับชั้น ทุกตำแหน่งหน้าที่การงาน ต่างตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมที่เหมือนกัน คือ การสิ้นสลายของรูปร่างกาย หรือ “การตาย” นั่นเอง มนุษย์แทบทุกคนจะกลัวตาย และไม่มีใครอยากตาย

ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย ได้มีโอกาสศึกษาถึงเรื่อง กิเลส และการตายบ้าง จะรู้ว่า กิเลสและการตายยังผูกโยงไปถึงการเกิดใหม่อีกด้วย เนื่องจากถ้าเราเสียชีวิตลง แต่ยังมีกิเลสเหลืออยู่ กิเลสเหล่านั้นคือเชื้อหรือสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดใหม่ตามกระแสของบุญหรือบาปที่แต่ละบุคคลได้เคยทำไว้ ดังนั้น การตายสำหรับบางคน จึงเป็นเพียงการถอดเสื้อผ้าชุดเก่าที่ขาด เปื่อยยุ่ย ไม่สามารถปะชุนได้อีก ด้วยความชราภาพ หรือถูกโรคร้ายกัดกินทำลาย แล้วหาเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือร่างใหม่ ดำเนินชีวิตต่อไปตามกระแสของกรรม

การพิจารณาความตาย การมีสติรู้เท่าทันความตาย เป็นอุบายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ไว้มากยิ่งนัก หากผู้ฝึก ผู้ป่วยได้ฝึกปฏิบัติทดลองตายก่อนตายจริง จะเป็นการช่วยให้ผู้นั้นไม่กลัวตาย กล้าเผชิญหน้ากับความตายที่มาถึงได้อย่างกล้าหาญ

วิธีปฏิบัติ
ก่อนอื่น ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าอุบายวิธีนี้เป็นการทดลองฝึก “ตาย” ก่อนตายจริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก คือการตายหลอกที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการตายจริง

8.1 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย คลายอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนึกและคิดที่เป็นอนาคต อดีต ปัจจุบัน รวมทั้งความดี ความชั่ว ฯลฯ ให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเป็นความว่างสักระยะหนึ่ง

8.2 ลำดับต่อมา ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกมาที่ฐานอารมณ์ในโพรงจมูก  จะเห็นว่าจุดฐานอารมณ์ จะอยู่ประมาณกึ่งกลางในโพรงจมูก หรืออยู่ระหว่างกลางของต่อมไซนัสทั้ง 2 ข้างหรือจุดที่ผู้ฝึกเคยรู้สึกคัดจมูกในเวลาที่เป็นหวัด

8.3 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย วางหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ซึ่งหาไว้ได้แล้ว กำหนดจี้ลงไปที่ฐานเดียว ไม่เคลื่อนความรู้สึก (จิต) แส่ส่ายออกไปที่อื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดว่า ตาย ตาย ตาย และสร้างความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่ตาย ไม่เสียหายชีวิตเพราะทุกคนหนี “ความตาย” ไม่พ้น

8.4 หลังจากกำหนด ตาย ตาย ตาย ไปสักระยะหนึ่ง ผู้ฝึกและรู้สึกว่าลมหายใจเข้า-ออก ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้

สึกอึดอัด หูอื้อ จมูกจะห่อ ตาถูกบีบเหมือนจะถลนออกมา รู้สึกชา และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ผู้ฝึกจะรู้สึกกลัวตาย ครองสติให้มั่นคง และยอมตาย ลมหายใจจะค่อยๆ อ่อนลงๆ ความดำมืดจะแผ่คลุมไปทั่วไป จนผู้ฝึกหมดความรู้สึกไปในที่สุด เหมือนกับการตายจริง

8.5 สำหรับผู้ฝึก ผู้ป่วย บางท่านที่มีความเจ็บปวดมากเพราะโรคร้ายกำลังลุกลาม ให้ผู้ฝึกให้จุดเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นฐานกำหนดมรณานุสสติ แทนฐานอารมณ์ โดยการจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ความเจ็บปวดนั้นๆ และกำหนด ตาย ตาย ตาย ความรู้สึก (จิต) ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเดียว ไม่หนีไปที่อื่นๆ ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มมากขึ้นๆ จนรู้สึกหูอื้อ ตาลาย หายใจอึดอัด ฯลฯ ความดำมืดแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ยอมตาย อย่าแอบสืบลมหายใจเข้า จนกระทั่งความรู้สึกจะดับวูบไป

8.6 ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะผ่านการดับของเวทนา ซึ่งไม่ใช่การตายที่เกิดเพราะหมดลมหายใจ คือไม่มีก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป และหัวใจหยุดทำงาน การดับในครั้งแรกๆ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าทรมานมากและแต่ละบุคคลให้เวลาของการดับมากน้อยแตกต่างหัน เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มรู้สึกตัว ฟื้นคืนกลับมา จะรู้สึกเย็น โล่ง สบาย แสงสว่างปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย และในขณะนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะยังคงไม่มีลมหายใจ เข้า-ออก เช่นเดียวกับก่อนจะเกิดการดับแต่ไม่ตายหลับมีแต่ความสดชื่น ความเจ็บปวดทรมานหมดสิ้นไป

คุณประโยชน์
1. ผู้ฝึก ผู้ป่วย มีโอกาสได้สัมผัส และเห็นขั้นตอนของการดับซึ่งเหมือนกับการตายได้อย่างละเอียดชัดเจน ในชีวิตประจำวันร่างกายของทุกคนจะมีการเกิดและดับอยู่ ทุกๆ 1 วินาที นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปตามไม่ทัน ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป คือร่างกาย, เวทนาคือความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย, สัญญาคือความจำได้ และวิญญาณคือ ตัวรู้ สภาพรู้ เกิดการปล่อยวาง ผู้นั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมได้

2. ผู้ฝึกที่มีความเจ็บปวดมาก หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก ถ้าสามารถกำหนด ตาย ตาย ตาย ให้ผ่านจุดดับไปได้ โรคภัยทุกชนิดจะหายหมดไปด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเป็นยาขนานเอกเลยทีเดียว

3. ถ้าผู้ฝึก สามารถผ่านจุดดับไปได้ ผู้ฝึกจะไม่กลัว “ความตาย” เพราะสามารถเอาชนะความตายมาได้แล้วด้วยการทดลองตายก่อนตายจริง และเมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะสามารถเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญและมีสติ จะไม่มีพญามัจจุราชหรือยมทูตมาปรากฏให้เห็น

ข้อเสนอแนะ
ความเจ็บ ความปวด หรือภาวะที่รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เป็นการลวงหลอกของขันธ์ 5 ชักจูง ดึงจิตของผู้ฝึกให้ไขว้เขวไม่ตั้งมั่น เช่น จะถูกดึง ชักนำให้เลิกฝึกบ้าง ให้แอบสืบลมหายใจสักนิดเดียว ผู้ฝึกต้องตั้งสติให้มั่นคง สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องก่อนว่า ขณะนี้ตนเองยังมีลมหายใจเข้า-ออกเป็นปกติ ไม่ได้เอามืออุดจมูก บีบจมูก หรือใช้วัสดุใดๆมาปิดจมูกไม่ให้ก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกาย สิ่งที่ผู้ฝึกได้กระทำคือ เพียงแต่จี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ คือ ตั้งมั่น ตั้งใจทำ จะส่งผลให้ลมหายใจเข้า-ออกตามปกติ ค่อยๆ ช้าๆ ลงจนสัมผัสไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลมหายใจเข้า-ออกอีกเลย สิ่งที่หมดไปหรือหยุดไปหรือดับไป คือความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ที่อาศัยการเกิดขึ้นหรือปรุงแต่งจากการมีลมหายใจเข้า-ออกต่างหาก

อุปสรรค
1. ความกลัวตาย ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

2. ถ้ากดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ฐานอารมณ์ เป็นจังหวะๆๆ จะเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนที่ฐาน ไม่ใช่การจี้หรือการนิ่งที่ฐาน ซึ่งเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) ไปชนที่ฐานเป็นจังหวะๆๆ นั้น จะทำให้เกิดพลังงาน คือแสงสว่างปรากฏขึ้นในโพรงจมูก หรือที่ฐานอารมณ์ หรือกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกทำผิดวิธีนี้ จะไม่เห็นการดับ
 
ที่มา http://www.oknation.net/blog/doyourbest/2009/12/18/entry-1

1879
อ้างถึง
ตกลงสิ่งทั้งปวงก็เลยเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อเป็นธรรมแล้วก็หมดเรื่อง เพราะไม่ใช่อะไรทั้งหมด เรียกว่า ธรรม คือของว่างเปล่า ไม่มีสาระ เมื่อไม่มีสาระใจก็ไม่เข้าไปยึด ใจว่างหมดทุกสิ่ง และไม่เข้าไปยึดอะไรอีก
:015:

ฟังดูง่ายนิดเดียวแต่....................ทำยากนะ :010:

1880
กามภพ ได้แก่ ภพอันเป็นที่เกิดอยู่ของหมู่สัตว์ผู้มีใจยังติดข้องเกาะเกี่ยวอยู่กับกามคุณ ๕ คือ ยังมีจิตเพลิดเพลินยินดีกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งกระทบกาย) ที่น่ารักใคร่น่าพอใจ หมู่สัตว์ที่เกิดอยู่ในกามภพมีทั้งที่อยู่ในสุคติภูมิและทุคติภูมิ ที่เกิดอยู่ในทุกคติภูมิได้แก่สัตว์ผู้เข้าถึงคติ ๓ คือ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน และเปตวิสัย ที่เกิดอยู่ในกามสุคติได้แก่สัตว์ที่เกิดในกำเนิดของมนุษย์ และเกิดเป็นเทวดาในกามวจรสวรรค์ ๖ ชั้น คือสวรรค์ชั้นจาตุมมหาริชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี

รูปภพ ได้แก่ ภพอันเป็นที่เกิดและอาศัยอยู่แห่งรูปพรหมในภูมิทั้ง ๔ คือ รูปพรหมในพรหมโลกหรือสวรรค์ชั้นปฐมฌานภูมิ (ภูมิของผู้ได้รูปฌานที่ ๑) ชั้นทุติยภูมิ (ภูมิของผู้ได้รูปฌานที่ ๒) ชั้นตติยภูมิ (ภูมิของผู้ได้รูปฌานที่ ๓) และชั้นจตุตถฌานภูมิ (ภูมิของผู้ได้รูปฌานที่ ๔ ) รูปภพนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ารูปาวจรสวรรค์ รูปภพหรือรูปาวจรสวรรค์นี้จัดเป็นสุคติภพ ผู้เกิดอยู่ในรูปภพรวมอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภทเทวดาของคติ ๕

อรูปภพ ได้แก่ ภพอันเป็นที่เกิดและอาศัยอยู่แห่งอรูปพรหม ๔ ประเภท คือ อรูปพรหมที่เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปพรหมทั้ง ๔ ประเภทดังกล่าวนี้ เกิดและอาศัยอยู่ในอรูปาวจรสวรรค์ที่มีชื่ออย่างเดียวกับชื่อของพรหม อรูปาวจรสวรรค์ทั้ง ๔ บางทีก็เรียกว่าอรูปโลก แปลว่าโลกอันเป็นที่เกิดและอาศัยอยู่ของหมู่สัตว์ผู้ไม่มีรูปร่าง รายละเอียดในเรื่องนี้จะได้กล่าวถึงในอันดับต่อไป หมู่สัตว์ผู้เกิดอยู่ในอรูปภพก็รวมอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภทเทวดาของคติ ๕ เช่นกัน และภพนี้ก็จัดเป็นสุคติภพ

ที่มา อ่านเพิ่มเติม
http://www.thailandlet.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=35&Category=thailandletcom&thispage=1&No=329766

1881
ขอบคุณครับ อ่านแล้วรู้สึกเพลิดเพลินใจ

1882
เป็นไปได้สูงมากที่พุทธศาสนาจะแผ่ขยายอกไปอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นศาสนาเชิงวิทยาศาสตร์ คำสอนของพระพุทธองค์ไม่ติดกับกาลเวลา เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
แล้วปัจุจุบัน การคมนาคมสื่อสารกันได้สะดวกสบาย ง่ายดาย รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายต่ำ แถมมีตัวแปลภาษาให้อีกต่างหาก คงมีคนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาศึกษาพุทธศาสตร์กันอีกมากมาย :053:

1883
กุมารทอง บันทึกลึกลับ 1/2

[youtube=425,350]Awp3fQGoh4M[/youtube]

กุมารทอง บันทึกลึกลับ 2/2
[youtube=425,350]VifTJR10v-Y[/youtube]

1884
ตีสิบ กุมารทอง ปาฏิหาริย์เงินล้าน#1_1
[youtube=425,350]YuCR6D8PRqQ[/youtube]

1885
๒. ปริวาสิกขันธกะ (หมวดว่าด้วยผู้อยู่ปริวาส)

              (เมื่อมาถึงวินัยกรรมเกี่ยวกับการออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งกล่าวไว้ในหมวดนี้ ควรจะได้ทราบความหมายเกี่ยวกับศัพท์ และลำดับการปฏิบัติซึ่งกล่าวถึงในหมวดนี้ก่อน ซึ่งมีดังนี้

              ๑.การอยู่ปริวาส คือการลงโทษให้ต้องอบรมตัวเอง เท่ากำหนดเวลาที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วปิดไว้ ถ้าปิดไว้กี่วันกี่เดือน ก็จะต้องอยู่ปริวาสเท่านั้นวันเท่านั้นเดือน.

              ๒. การชักเข้าหาอาบัติเดิมหรือมูลายปฏิกัสสนา คือในขณะที่อยู่ปริวาสก็ตาม ประพฤติมานัตต์ (ซึ่งจะกล่าวต่อไป) ก็ตาม เธอไปต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้ำกับที่ต้องไว้เดิมเข้าอีก ก็จะต้องเริ่มตั้งต้นถูกลงโทษไปใหม่ คือต้องขอกลับเริ่มต้นถูกลงโทษในลำดับแรกอีก.

              ๓. การประพฤติมานัตต์ เมื่ออยู่ปริวาสครบกำหนดที่ปิดไว้แล้ว หรือถ้าไม่ได้ปิดไว้เลย ก็ไม่ต้องอยู่ปริวาส คงประพฤติมานัตต์ทีเดียว การประพฤติมานัตต์ คือการถูกลงโทษให้ต้องประจานความผิดของตนแบบปริวาส แต่มีกำหนด ๖ ราตรี ไม่ว่าจะปิดไว้หรือไม่ปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรี เหมือนกันหมด.

              ๔. การสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสสหรืออัพภาน เมื่อภิกษุถูกลงโทษให้อยู่ปริวาส (ถ้าปิดอาบัติไว้) และให้ประพฤติมานัตต์ถูกต้องแล้ว ก็เป็นผู้ควรแก่การสวดถอนจากอาบัตินั้น การสวดถอนจากอาบัตินี้ เรียกว่าอัพภาน ต้องใช้ภิกษุประชุมกันไม่น้อยกว่า ๒๐ รูป.

              ในระหว่างที่ถูกลงโทษเหล่านี้ ภิกษุถูกตัดสิทธิมากหลาย ทั้งยังต้องคอยบอกความผิดของตนแก่ภิกษุผู้ผ่านไปมาและบอกในที่ประชุมสงฆ์ เมื่อทำอุโบสถสังฆกรรมด้วย รวมความว่า เป็นการลงโทษที่ทำให้ผู้ถูกลงโทษรู้สึกว่าหนักมาก ต้องเกี่ยวข้องกับสงฆ์ส่วนมาก โดยการประจานตัวและการสวดประกาศหลายขั้นหลายตอน).

http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prawinai/6.2.html

1886
วันเสาร์ที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒
ตื่นเช้าทำกิจวัตรของสงฆ์ในภาคเช้าตามปกติ
ตอนสายๆลงไปดูญาติโยมเขาทำงานกันที่หอพระ หอธรรม
ฝนตกหนักในตอนบ่ายกลับขึ้นศาลาทำความสะอาดปัดกราดศาลา
พิจารณาธรรมไปตามสภาวะปัจจุบันธรรมกำหนดดูอิริยาบทของกายในขณะทำงาน
ทรงไว้ในสภาวะธรรมจนกระทั่งสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จเวลา ๑๙.๐๐ น.
เพื่อนวิศวะมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยเกษตรฯขึ้นมาเยี่ยม
โดยมีเป้าหมายที่ได้นัดกันไว้ว่าจะมาสนทนาเรื่องธรรมะปฏิบัติและสภาวะธรรม
ซึ่งคนเหล่านี้ในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยนั้น ไม่เคยสนใจในธรรมะและเรื่องศาสนามาก่อนเลย
ซึ่งเหมือนกับตัวของข้าพเจ้าในสมัยนั้นที่ห่างไกลจากศาสนา ไม่เคยศึกษาและสนใจธรรมะ
แต่เมื่อข้าพเจ้าบวชเป็นพระและอยู่มาได้นาน ทุกคนจึงเริ่มจะสงสัยกันว่าอยู่ในผ้าเหลืองนานได้อย่างไร
จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือนกัน และได้มีโอกาศที่จะกล่าวธรรมให้เขาเหล่านั้นได้รับรู้และรับทราบ
และแนะนำการประพฤติปฏิบัติให้แก่เขาเหล่านั้น จนมีความรู้และความเข้าใจในธรรม
โดยการสอนที่ไม่เน้นรูปแบบและพิธีกรรม ให้ดูที่การกระทำของกายและจิตโดยมีสติและสัมปชัญญะ
ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมีสมาธิโดยธรรมชาติเป็นพื้นฐานอยู่แล้วทุกคน ซึ่งสมาธินั้นเกิดจากการทำงาน
การอ่าน การเรียนหนังสือ เพราะว่าคำว่าสมาธินั้นคือจิตใจที่ตั้งมั่นและจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเวลานาน
เพียงแต่เราเข้าไปชี้แนะเพือปรับแนวทางให้เข้าสู่หลักของพระพุทธศาสนา พวกเขาก็สามารถที่จะต่ออารมณ์ได้
เพราะบุคคลเหล่านี้มีพื้นฐานในการคิดและวิเคราะห์อยู่แล้วและเป็นพวกที่มี"ไอคิวสูง"ฉลาดในทางโลกกันทุกคน
จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากแก่การอธิบายโดยมีเหตุ มีผล มีที่มาและที่ไป และยกตัวอย่างอุปมาอุปมัยให้เห็นเป็นรูปธรรมได้
พวกเขาเหล่านั้นจึงมีความสนใจและได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมากจากปากต่อปากที่เล่าสู่กันฟัง
และทุกคนก็สามารถดำเนินชีวิตทำธุระกิจและหน้าที่การงานได้ตามปกติ ไม่ขัดทั้งทางโลกและทางธรรม
แต่สิ่งที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปคือแนวความคิดและมุมมองต่อโลก รู้จักหน้าที่ ความพอดีและพอเพียง
สนทนาธรรมกันตั้งแต่เวลา ๑๙.๓๐ น. ตอบปัญหาสิ่งที่ค้างคาใจและสงสัย จนเป็นที่เข้าใจหายสงสัย
และชี้แนะแนวทางที่จะปฏิบัติต่อไปทั้งในทางโลกและทางธรรม ให้เดินไปคู่กันได้โดยไม่ขัดแย้งกัน
จากเวลา ๑๙.๓๐ น.ของวันที่ ๑๒ กันยายนจนถึงเวลา ๑๐.๐๐ น.ของวันที่ ๑๓ กันยายน
ใช้เวลาทีพูดคุยสนทนาธรรมกัน ๑๔ ชั่วโมงครึ่ง ใครง่วงก็นอนไป ใครตื่นขึ้นมาใหม่ก็สนทนากันต่อ
ตอบปัญหาทุกข้อทุกเรื่องที่สงสัย ทรงไว้ในอารมณ์ปิติที่ได้กล่าวธรรม จิตตื่นอยู่ตลอดเวลา
มีสติและสัมปชัญญะคุ้มครองกาย ในการคิด การพิจารณา และการตอบปัญหาธรรมะทุกข้อ
เวลา ๑๐.๓๐ น.ส่งหมู่คณะพรรคพวกเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯกัน
ลงไปฉันข้าวแล้วจึ่งกลับขึ้นมาเขียนบันทึกธรรม......
 :059:แด่ความก้าวหน้าและเจริญในธรรมของหมู่เพื่อนผู้เคยร่วมชะตากรรมกันมาในวัยเยาว์ :059:
                         เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิตแด่มิตรสหาย
                              รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-กลุ่มยุทธธรรมสัญจร
๑๓ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๑.๒๒ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12319
=======
สนทนาธรรมกันตั้งแต่เวลา ๑๙.๓๐ น. ตอบปัญหาสิ่งที่ค้างคาใจและสงสัย จนเป็นที่เข้าใจหายสงสัย
และชี้แนะแนวทางที่จะปฏิบัติต่อไปทั้งในทางโลกและทางธรรม ให้เดินไปคู่กันได้โดยไม่ขัดแย้งกัน
จากเวลา ๑๙.๓๐ น.ของวันที่ ๑๒ กันยายนจนถึงเวลา ๑๐.๐๐ น.ของวันที่ ๑๓ กันยายน
ใช้เวลาทีพูดคุยสนทนาธรรมกัน ๑๔ ชั่วโมงครึ่ง ใครง่วงก็นอนไป ใครตื่นขึ้นมาใหม่ก็สนทนากันต่อ
ตอบปัญหาทุกข้อทุกเรื่องที่สงสัย ทรงไว้ในอารมณ์ปิติที่ได้กล่าวธรรม จิตตื่นอยู่ตลอดเวลา

1887
หิวก็กิน  ง่วงก็นอน

         ในขณะที่ท่านอาจารย์บันเกอิสอนศิษย์อยู่ที่วัดริมมอนนั้น  พระนิกายชินชูองค์หนึ่ง (เป็นนิกายที่ถือว่าการกล่าวนามของพระพุทธเจ้าแห่งความรัก(อมิตตาพุทธะ)อยู่เสมอนั้นจะทำให้ถึงความหลุดพ้นได้)  มีความอิจฉาริษยาที่ท่านอาจารย์บันเกอิมีศิษย์มากมาย  จึงเดินทางมาเพื่อทำการโต้วาทีกับท่านอาจารย์บันเกอิ
         พระนิกายชิชู  ได้เดินทางเข้ามาสู่ที่ประชุมซึ่งอาจารย์บันเกอิกำลังเทศนาสั่งสอนศิษย์อยู่จึงส่งเสียงรบกวนอยู่ไปมา  ท่านอาจารย์ได้หยุดเทศนาและถามถึงการส่งเสียงเช่นนั้น
         พระนิกายชินชูองค์นั้นได้กล่าวขึ้นด้วยท่าทางวางโตว่า
         “นี่แน่อาจารย์บันเกอิ  อาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายของเรานั้นสามารถแสดงอภินิหารได้อย่างมหัศจรรย์  คือ  ตัวท่านยืนชูพู่กันอยู่บนแม่น้ำฝั่งนี้  แล้วให้ลูกศิษย์ชูกระดาษอยู่บนอีกฝั่งหนึ่ง  ท่านสามารถเขียนพระนามอมิตาภาพุทธะในอากาศให้ไปติดบนกระดาษได้  ท่านบันเกอิล่ะ  สามารถทำอะไรที่มหัศจรรย์อย่างนี้ได้ไหม?”
         ท่านอาจารย์บันเกอิตอบอย่างสงบว่า
         “บางทีสุนัขจิ้งจอกของท่านอาจจะสามารถแสดงกลเช่นนั้นได้  แต่นั่นมันไม่ใช่วิธีการของเซน  อภินิหารของฉันมีดังนี้  คือเมื่อฉันรู้สึกหิวฉันก็กิน  และเมื่อรู้สึกกระหายฉันก็ดื่ม”
----------------
ความลึกซึ้งของคำสอนเซนอยู่ที่ทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ  เมื่อหิวใครๆก็ต้องกิน  และเมื่อง่วงใครๆก็ต้องนอน  ซึ่งถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้วจะเห็นว่า  ความสุขของชีวิตก็อยู่ตรงการมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายนั่นเอง..

1888
ขอบคุณทุกท่าน

วันนี้ก็ได้กุมารทองมา เอาไว้บนหิ้งในสำนักงาน(กลางคืนไม่มีคนอยู่) ไม่ได้นำกลับบ้านมาด้วย
ตอนเลิกงานจะเอ่ยปาก(คิด) หรือกลับมาถึงบ้านแล้ว จะชวนเค้ามาด้วยได้ไหม
โดยไม่ได้นำองค์กลับมาด้วย

1889
แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หากนำมาเปรียบเทียบกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศ าสนา จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกันอย่างดี ดังเปรียบเทียบต่อไปนี้

(วิทยาศาสตร์)สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ

1. สสาร

2. พลังงาน

(พระพุทธศาสนา)สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ

1. รูป

2. นาม

(วิทยาศาสตร์)1. สสาร แบ่งเป็น 3 สถานะ

1.1 ของแข็ง

1.2 ของเหลว

1.3 ก๊าช


(พระพุทธศาสนา)1. รูปต่าง ๆ แบ่งออกได้เป็น “ธาตุ” หรือ “ธรรมชาติ” 4 ประเภท

1.1 ดิน

1.2 น้ำ

1.3 ลม

1.4 ไฟ

(วิทยาศาสตร์)2. พลังงาน เช่น ความร้อน… แสง เสียง ฯลฯ


(พระพุทธศาสนา)2. นามหรือ “จิต” หรือ “วิญญาณ” เป็น “ธาตุรู้” หรือธรรมชาติที่รู้ได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิต




จากข้อมูลเปรียบเทียบด้านบนจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์อธิบาย “ธรรมชาติ” โดยมีแนวคิดว่ามี 2 องค์ประกอบ คือ สสารกับพลังงาน และใช้แนวคิดนี้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นส่วนมาก (กล่าวแล้วในตอน 1.1) แนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้องพอดีกับ “รูป” ในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย สสารและพลังงาน

แต่พระพุทธศาสนายังมีองค์ประกอบตัวใหม่ซึ่งไม่มีในวิ ทยาศาสตร์ นั่นคือ องค์ประกอบที่เรียกว่า “นาม” หรือ “จิต” หรือ “มโน” หรือ “วิญญาณ” ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบด้วย

1. ความรู้สึก

2. ความจำ

3. ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ / สังเคราะห์

4. การรับรู้ทุกสิ่ง

พระพุทธศาสนาอธิบายว่า “ชีวิต” ย่อมประกอบด้วยรูป หรือส่วนที่เป็นร่างกายและนาม คือส่วนที่เป็นจิตใจซึ่งมีความสามารถ 4 ประการ ดังกล่าว และจากหลักการข้อนี้ พระพุทธศาสนาสามารถอธิบายได้ถึงสภาพการเกิดทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม ตลอดจนวิถีทางทำให้ทุกข์ลดลง จนกระทั่งดับไปในที่สุด สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบ จึงถือได้ว่าพระพุทธศาสนาก้าวไกลกว่าวิทยาศาสตร์มากม ายนักในการอธิบายธรรมชาติของชีวิต

ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนาที่น่าส ังเกต ประการหนึ่ง คือ แนวความคิดเกี่ยวกับ “ปัญญา” ซึ่งพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. สูตปยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการได้รับฟัง ได้เห็น ได้ประสบมาด้วยตนเองจากประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น การได้รับทราบจากหนังสือ จากการบอกเล่าของครู จากการเห็นผู้อื่นทำ ฯลฯ

2. จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ต่าง ๆ เช่น การแก้ปัญหาโจทย์เลขคณิต การทดลองวิทยาศาสตร์ การค้นคว้าวิจัย ฯลฯ

3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอบรมจิตของตนเองให้มีความสะอาด สงบ ก็จะเกิดความ “สว่าง” คือ ปัญญาชนิดนี้ขึ้น เป็นปัญญาที่ไม่จำเป็นต้องมาจากประสบการณ์หรือการนึก คิดพิจารณา เป็นปัญญาที่ผุดขึ้นมาเองในจิต จะได้คำตอบจากคำถามที่ตั้งขึ้น โดยไม่ต้องคิดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือ ตัวอย่างสูงสุดของปัญญาชนิดที่ 3 ซึ่งเรียกอีกนัยหนึ่งว่าปัญญาทาง “ธรรม” ส่วนปัญญา 2 ประเภทแรก เรียกว่า ปัญญาทาง “โลก”

จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ปัญญาวิทยาศาสตร์ จะตรงกันกับปัญญา 2 ประเภทแรกของพระพุทธศาสนา การศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำ ต่อเนื่องนาน ลึกซึ้ง หรือเข้มข้นมากเท่าใด ก็เกิดปัญญาเพียง 2 ประเภทแรกเท่านั้น จะไม่มีปัญญาประเภทที่ 3 เกิดขึ้นเลย

หากต้องการปัญญาประเภทที่ 3 พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนบันไดไว้ 3 ขั้น คือ ให้ผู้นั้น

1. รักษาศีล คือ รักษากาย และวาจา ให้เรียบร้อยปกติ

2. เจริญสมาธิภาวนา ซึ่งประกอบด้วยสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน

3. เจริญปัญญา โดยอาศัยหลัก “โยนิโสมนสิการ” คิดแบบแยบคายหรือถูกวิธี เช่น คิดแบบสืบสาวไปหาเหตุปัจจัย คิดแบบแยกองค์ประกอบ คิดแบบหาคุณโทษแล้วพิจารณาทางเลือก เป็นต้น

รวมเรียกว่า ไตรสิกขา หรือ การศึกษา 3 ขั้น

อาจสรุปได้ว่าทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความส อดคล้องกัน คือ

1. มีหลักการเหมือนกัน คือ มีการสังเกต บันทึก พิสูจน์ ทดลอง ใช้เหตุผลอย่างเต็มที่ ไม่เชื่องมงาย

2. เชื่อเหมือนกันว่าผลย่อมมาจากเหตุ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์มิได้เกิดจากการดลบันดาลขอ งเทพเจ้า หากเกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลผู้นั้นนั่นเอง เช่นเดียวกับกฎของแรงปฏิกิริยาจะเกิดเท่ากับแรงกิริย า บุคคลประสบผลของกรรมดีเพราะได้กระทำความดีไว้ก่อน เป็นต้น

3. ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกั นในเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตว่าชีวิตค่อย ๆ เปลี่ยนแปรรูป ใช้เวลานานแสนนาน (4 อัคคัญญสูตร ทีฆนิกาย) เริ่มวิวัฒนาการจากชีวิตทีไม่มีเพศ จนกระทั่งเกิดมีเครื่องหมายเพศชัดเจน จากสัตว์เซลล์เดียว เป็นหลายเซลล์ สัตว์มีกระดูกสันหลัง ครึ่งบกครึ่งน้ำ เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จนกระทั่งมนุษย์

4. ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกั นในเรื่องของวิทยาศาสตร์กายภาพโดยเฉพาะสสารและพลังงา น ตลอดจนขนาดของปรมาณู

ที่มา
http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=52842


1890
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร ์

การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร ์นั้น มีความสอดคล้องกันเป็นอันมากจนมีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ (Spiritual / Mental Science) และโดยเหตุที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ก่อน วิทยาศาสตร์กว่า 2 พันปี จึงน่าจะกล่าวได้ว่าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ไปสอดคล้องกับหลักการและวิธีการของพระพุทธศาสนามากกว ่า ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีจุดเน้นเหมือนกัน คือ สอนมิให้คนงมงาย ควรนำสิ่งต่าง ๆ มาพิจารณาด้วยเหตุผล มีการทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกิดความแน่ใจและเชื่อด้วยตนเอง ด้วยปัญญาที่สั่งสมไว้ของตนเอง

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนมิให้คนเชื่ออะไรง่าย ๆ (กาลามสูตร ติกนิบาต อังคุตรนิกาย) หรือมีศรัทธาแบบตาบอด 10 ประการ คือ

1. อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา

2. อย่าเชื่อโดยเข้าใจว่าเป็นของเก่าสืบ ๆ กันมา

3. อย่าเชื่อเพราะตื่นข่าว

4. อย่าเชื่อเพราะตำรากล่าวไว้

5. อย่าเชื่อโดยนึกเดา

6. อย่าเชื่อโดยการคาดคะเน

7. อย่าเชื่อโดยพิจารณาตามอาการ

8. อย่าเชื่อเพราะชอบใจว่าสอดคล้องกับความเชื่อเดิมหรือ ลัทธิของตน

9. อย่าเชื่อเพราะนับถือตัวผู้พูดว่าควรเชื่อได้

10. อย่าเชื่อเพราะผู้บอกเป็นครู อาจารย์ของตน



หลักการเหล่านี้ไม่แตกต่างกับหลักการของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “วิกฤต วิจารณญาณ” คือ การพิจารณาสิ่งใดต้องรอบคอบและถี่ถ้วนมากที่สุด

1891
แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเน้นในเรื่องจิตใจ เต่ก็มิได้ละเลยในเรื่องวัตถุเสียทีเดียว พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับ ปรมาณู หรือส่วนที่เล็กที่สุดของสสารในแง่ของวิทยาศาสตร์ไว้ แต่ทรงใช้วิธีเปรียบเทียนเพราะมิได้มีเครื่องมือวัดล ะเอียด ซึ่งเมื่อนำมาคิดคำนวณแล้ว ปรากฎว่าตรงกันกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้จากการทดลองอย่างน่าอัศจรรย์ทรงเปรียบเทียบว่ า

1 ธัญญามาตร (ขนาดเล็กของเมล็ดข้าว)ประกอบด้วย 7 อูกา (ศรีษะของตัวเล็น)

1 อูกา ประกอบด้วย 7 สิกขา (รอยขีดเล็กๆ)

1 สิกขาประกอบด้วย 37 รถเรณู (ละอองเกษรดอกไม้)

1 รถเรณู ประกอบด้วย 36 ตัชชารี (ละอองรังสีมในแสงแดด)

1 ตัชชารี ประกอบด้วย 36 อนู (อนุภาคขนาดเล็ก)

1 อณู ประกอบด้วย 36 ปรมาณู

1 ปรมาณู แบ่งแยกไม่ได้อีก เพราะหากแยกต่อไปจะหมดสภาพของสารนั้น

หากประมาณว่าเมล็ดข้าว 1 เมล็ด มีความยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร เมื่อคำนวนดู จะพบว่าปรมาณูมีขนาดใกล้เคียงกันกับปรมาณูที่นักวิทย าสาสตร์ค้นพบอย่างน่าอัศจรรย์

ข้อสังเกต คือ พระพุทธองค์มิได้ทรงค้นพบโดยวิธีการทดลองแบบวิทยาศาส ตร์ แต่ทรงทราบโดยการหยั่งรู้ด้วยพระญาณ ซึ่งเป็นวิถีทางของจิตที่บริสุทธิ์ สามารถทราบสิ่งที่เหนือธรรมดาได้ และสิ่งที่ทรงทราบโดยวิธีนี้ก็คือ “ความจริง” ที่ท้าทายต่อการพิสูจน์ เช่นเดียวกับเรื่องสำคัญคือ “อริยสัจ 4 ” ซึ่งเป็นการค้นพบที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั่นเอง ย่อมท้าทายต่อการพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ ข้อแตกต่างระหว่างหลักการของพระพุทธศาสนากับหลักการข องวิทยาศาสตร์คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้นั้นเป็นความจริงที่เที ่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยน (อกาลิโก) แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นอาจล้มได้ แปรเปลี่ยนได้หากมีการค้นพบใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิม

โดยสรุป พระพุทธศาสนาเน้นที่จิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดทุกข์ และการแก้ทุกข์ ให้คนพ้นทุกข์ เจตนาจึงต่างกับวิทยาศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับความรู ้ต่าง ๆ และการนำความรู้มาใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ แต่ไม่อาจทำให้คนพ้นทุกข์ได้ เพราะไม่มีแนวทางขจัดสาเหตุที่แท้จริงแห่งทุกข์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือที่สนองค วามต้องการ ความโลภ และตัณหา อันไม่มีขอบเขตของมนุษย์จึงต้องสนองกันเรื่อยไป ส่วนพระพุทธศาสนามุ่งลดที่เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา และกิเลส เมื่อลดความต้องการลงได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนหาอะ ไรมาสนองความต้องการนั้นอีกจึงเป็นวิธีดับทุกข์ที่ตรงเป้าหมาย

1892
หลักการของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาคือ คำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 3 ประการคือ

1. ให้ละเว้นการกระทำความชั่ว

2.ให้ตั้งมั่นอยู่ในการกระทำแต่ความดี

3.ให้ชำระจิตของตนเองให้ผ่องใสอยู่เสมอ

หลักการสำคัญทั้งสามประการนี้จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับร่างกายจิตใจทั้งสิ้น ซึ่งเป็นไปตามความที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

“เราย่อมบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก ความดับแห่งโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก ในร่างกายอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญา มีใจครองนี้ “

จากข้อความนี้ จะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงย่อโลกทั้งโลกให้มาอยู่ในที่ ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ การปฏิบัติให้พ้นทุกข์ก็อยู่ที่การปฏิบัติทางกายและจ ิตใจของมนุษย์ด้วย กายและใจที่สัมพันธ์กัน หากกายไม่สบายใจก็จะมีผลต่อจิตใจ ในทางตรงกันข้ามหากใจไม่สบายก็จะมีผลกระทบต่อร่างกาย ด้วย แต่พระพุทธองค์ทรงเน้นความสำคัญของจิตใจเหนือร่างกาย ดังพุทธภาษิตว่า

“จิต เตน นียติโลโก แปลความว่า โลกอันจิตย่อมนำไปคือมีจิตเป็นผู้นำ “

“มโนปุพพงคมา ธมมา” แปลความว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ดังสำนวนที่ใช้กันบ่อยว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ซึ่งเน้นความสำคัญที่จิตใจ

มรรคมีองค์ 8 คือทางแห่งการดับทุกข์นั้น เมื่อแรกเริ่มก็คือสัมมาทิฎฐิ หรือความเห็นชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่ร่างกาย ตามด้วยสัมมาสังกัปปะ หรือดำริชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจ เช่นกัน และสองทางสุดท้าย คือ สัมมาสติ หรือระลึกชอบ กับสัมมาสมาธิ หรือตั้งใจชอบ ก็เป็นเรื่องของจิตใจทั้งสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์

ในแง่ของประโยชน์ พระพุทธศาสนา มุ่งหมายให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ 3 ประการคือ ประโยชน์ปัจจุบันได้แก่ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในการดำรงตัวอยู่ในทางโลก ประโยชน์อนาคต คือ การมีหลักศีลธรรมประจำใจ ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปโดยราบรื่น มีอนาคตอันแจ่มใสและประโยชน์สูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่ง คือสามารถระงับเหตุแห่งทุกข์ คือ กิลเลสตัณหาต่างๆ ได้โดยเด็ดขาด จึงพ้นจากทุกข์โดยสมบูรณ์หรือ วิมุติหรือ ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ

1893
การที่วิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาตัวเองและมีผลต่อมนุษยศ าสตร์ที่รวดเร็ว เพราะวิทยาศาสตร์มีหลักการที่สำคัญอันเป็นเครื่องมือ ช่วยให้วิทยาศาสตร์มีความแข็งแกร่งและมั่นคงคือ

1. วิทยาศาสตร์มีความเชื่อพื้นฐานว่า ปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินั้นมีกฎเกณฑ์ห รือระเบียบ ไม่เกิดขึ้นแบบลักลั่น เกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุ ซึ่งอาจค้นพบได้หากผู้ค้นมีความสามารถเฉลียวฉลาดพอ ในการค้นหาความจริงเหล่านี้ อาจใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้วิธีการดังกล่าว คือการใช้หลักของเหตุผล เช่น การสังเกตุ การเปรียบเทียบ การจำแนก การวิเคราะห์ การหาข้อมูล การทดลอง การพิสูจน์ เป็นต้น จากความเชื่อนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบกฎต่างๆทางวิทยาศาสตร์มากมาย เช่นกฎความโน้มถ่วงกฎทรงมวลของสสาร กฎการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน

2. วิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า ความจริง อาจค้นพบได้หรือทราบได้จากการสังเกตโดยตรง หรือจากการทดลอง แต่ไม่นิยม การหาความจริงจากแหล่งความรุ้ที่มีการยอมรับโดยฐานะ เช่น เพราะผู้ใหญ่แนะนำ เพราะมีการระบุไว้ในคำภีร์โบราณ เพราะผู้พูดเป็นบุคคลสำคัญ

3. นักวิทยาศาสตร์ยึดถือว่าปรากฎการณ์ที่สามารถสังเกตุไ ด้เท่านั้นจึงอยู่ใน อาณาจักรวิทยาศาสตร์ ปรากฎการณ์ใดที่ยังไม่อาจจะสังเกตุหรือวัดได้ ดังนั้น ปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งเป้นเรื่องที่ยั งตรวจสอบสังเกตหรือวัดไม่ได้ จึงยังไม่อยุ่ในวิสัยที่นักวิทยาศาสตร์จะศึกษา

4. การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีการยอมรับสากล กล่าวคือ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ทดลอง ถ้าสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆเหมือนกัน ผลการทดลองจะต้องเป็นแบเดียวกันเสมอ ไม่ขึ้นอยู่ตัวผู้ทดลอง จากหลัการข้อนี้นักวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ผลงานของนักว ิทยาศาสตร์อื่นด้วยการศึกษาหรือทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าได้ผลตรงกันหมด การค้นพบครั้งนั้นก็จะได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศา สตร์

5. วิทยาศาสตร์อาศัย ทฤษฎี เป็นเครื่องมือในการอธิบาย การเกิดปรากฎการณ์ต่างๆหรืออธิบายกฎ และนอกจากจพใช้เป็นคำอธิบายแล้ว ทฤษฎียังสามารถใช้พยากรณ์หรือทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น มนอนาคตอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กฎแห่งความโน้มถ่วง หรือการดึงดูดกันระหว่างเทห์วัตถุนำไปสู่การสร้างทฤษ ฎีสัมพันธภาพอันเลื่องชื่อของอัลเบอร์ต ไอน์สไตน์ สามารถอธิบายปรากฎการณ์ที่แสงจากดวงดาว ที่ห่างไกลจะมีแนวโน้มไปทางด้านสีแดงได้ แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สามารถ ล้มได้ หากมีการพบว่าปรากฎการณ์หรือหลักฐานที่ทำให้ต้องเปลี ่ยนแนวความคิด เช่น เมื่อ 100 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎี อีเธอร์ คือเชื่อว่าในอวกาศเต็มไปด้วยสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อีเธอร์ แต่ต่อมาต้องล้มเลิกทฤษฎีนี้เมื่อมีการทดลองคัดค้าน สำเร็จ โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อไมเกิลสัน กับมอร์เลย์ เช่นเดียวกับทฤษฎี ฟลอจิสตัน ซึ่งล้มไปคือนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีสิ่งหนึ่ง เรียกว่า ฟลอจิสตัน เป็นตัวทำให้วัถถุลุกใหม้ เต่เมื่อมีการศึกษาเรื่องการลุกไหม้ หรือสันดาป โดยรอบคอบ ก็เกิดทฤษฎีอ๊อกซิเดชัน ขึ้นมาแทนที่ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้

โดยอาศัยหลักการสำคัญทั้ง 5 ประการข้างต้น มนษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โยมีจุดประสงค์สำคัญ คือการเรียนรู้ธรรมชาติ และนำความรู้มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์เพื่อสนองความ ต้องการที่มีอยู่มากมาย ไม่สิ้นสุดและนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไปเพรา ะธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีความทะเยอทะยานอยาก เมื่อได้สิ่งนั้นแล้วก็จะต้องการสิ่งนั้น และสิ่งอื่นๆเพิ่มขึ้นตลอดไป

1894
แต่ปรากฎการณ์เหล่านี้สามารถอธิบายได้ โดยอาศัยหลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวถึงในตอนต่อไป

การศึกษาธรรมชาติ เพื่อรู้เรียกว่า วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้เป็น 2 กลุ่มคือ

1. วิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการศึกษาสิ่งที่ไม่มีชีว ิต ได้แก่วิชาฟิสิกส์ เคมี ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา และอุทกวิกยาเป็นต้น

2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการศึกศาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มพฤกษศาสตร์ ซึ่งศึกษาต้นไม้เละพืชทุกชนิด และกลุ่มสัตวศาสตร์ ซึ่งศึกษาสัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวไปจนกระทั่งมนุษย์ ทั้งสองกลุ่มนี้แตกสาขาย่อยออกไปอีกมากมาย

นอกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแล้ว ยังมีวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอีก 3 ประเภทคิอ

1. วิทยาศาสตร์สังคม เป็นการศึกษาธรรมชาติ ของมนุษย์ในสังคมซึ่งประกอบด้วยบุคคลตั้งเต่ 2 คนขึ้นไป ประกอบด้วยวิทยาการสาขาต่างๆ เช่นสังคมวิทยา มนุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ อาชญาวิทยา ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา และจริยศาสตร์ เป็นต้น

2. วิทยาศาสตร์อัตภาพ เป็นการศึกษาธรรมชาติของจิตมนุษย์และปรากฎการณ์ทางจิ ตต่างๆเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นไม่นาน ได้แก่ วิชาจิตวิทยา ปรจิตวิทยา เป็นต้น

3. วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เป็นการประยุกต์ความรุ้จากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาทำปร ะโยชน์ให้เกิดแก่มนุษย์ในการดำรงชีวิต เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ เป็นต้น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ มีชื่อเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เทคโนโลยี

แต่เทคโนโลยีมิใช่วิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็มี เช่น เทคโนโลยีการฝังเข็ม หรือการปักเข็มรักษาโรค ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ของจีนโบราณ อายุหลายพันปี เป็นสิ่งที่มิได้มาจากการค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใดเพราะวิทยาศาสตร์มีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น

อย่างไรก็ดีจากความรุ้ทางวิทยาศาสตร์ เละการประยุกต์ความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ มนุษยชาติก็ได้พัฒนาเจริญก้าวหน้าอย่างมากในเชิงวัตถ ุ เพียงไม่กี่ร้อยปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีระดับสูง ดังที่เป็นอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้

1895
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร


มีบางคนตั้งข้อสังเกตุว่า พระพุทธศาสนา มีลักษณะคล้ายกับวิทยาศาสตร์ เช่น สนใจศึกษาธรรมชาติยึดหลักของเหตุผล และท้าทายต่อการพิสูจน์ แต่หากจะพิจรณาให้รอบคอบ ก็น่าจะกล่าวในเชิงกลับกันมากกว่า วิทยาศาสตร์มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เพิ่งอุบัติขึ้ นมาในโลกเพียงไม่กี่ร้อยปี ในขณะที่พระพุทธศาสนานั้นเกิดมาเกือบ 2600 ปีแล้ว หลักการของพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร จะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป โดยจะเริ่มต้นที่หลักการของวิทยาศาสตร์ก่อน

หลักการของวิทยาศาสตร์

ก่อนจะกล่าวถึงกลักการของวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันในเรื่อง ความหมายของ วิทยาศาสตร์ ว่าคลอบคลุมประเด็นใดบ้าง

คำว่า วิทยาศาสตร์ เป็นคำไทย แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Science ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า หรือจากภาษากรีกว่า แปลว่า รู้ หรือความรู้ ความหมายอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน คือหมายถึง ความรู้เรื่องธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล ตั้งแต่สิ่งที่เล็กมากจนตามองไม่เห็น เช่น เชื้อโรคไปจนกระทั่งสิ่งที่ใหญ่มาก เช่น โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ตลอดจนจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยดวงดาวทั้งหมด ธรรมชาติ ยังคลอบคลุมทั้งสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ซึ่งเป็นวัตถุเรียกกันว่า สสาร และที่มีสภาพเป็น พลังงาน เช่นความร้อน แสงสว่าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เช่นพืช สัตว์ เชื้อรา ไวรัส รามทั้งตัวมนุษย์เอง

วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่ง วัตถุ เพราะแบ่งธรรมชาติออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรื่อสิ่งไม่มีชีวิต กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งย่อมประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ

1. องค์ประกอบที่เป็นสสาร คือส่านที่เป็นตัวตน ถ้ามีขนาดใหญ่พอก็จะจับตัวได้ กินเนื้อที่ มีมวล มีน้ำหนัก

2. องค์ประกอบที่เป็นพลังงาน คือส่วนที่ไม่อาจจะจับต้องได้ สามารถแปรเปลี่ยนได้ โดยอาจเปลี่ยนเป็น งาน ได้ เช่น พลังงานไฟฟ้า สามารถผ่านเข้าสู่มอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ได้

จากองค์ประกอบทั้ง 2 ประกอบนี้วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายการเกิดปรากฎการณ์ต ่างๆได้อย่างกว้างขวาง เช่นการที่อากาศร้อนอบอ้าวก่อนฝนตก เกิดจากการที่ก้อนเมฆ ซึ่งประกอบด้วยละอองน้ำ ซึ่งเป็นสสาร คายความร้อนแฝง ซึ่งเป็นพลังงาน ออกมา หรือการที่แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงาน ส่องกระทบใบไม้ ซึ่งมีสารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิล จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดยใบไม้ จะสามารถดูดเอาก๊าซคาบอนไดอ๊อกไซด์ จากอากาศมารวมกับน้ำ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นก๊าซอ๊อกซิเจนและแป้งซึ่งพืชใช้เป ็นอาหารเรียกว่าสังเคราะห์แสง แนวความคิดเกี่ยวกับสสาร และพลังงานสามารถอธิบายปรากฎการณ์ใกล้ตัวเช่นการงอกข องเมล็ดถั่ว ไปจนกระทั่งประสบการณ์ไกลตัว เช่นการเคลื่อนที่ของดวงดาวในจักรวาลได้

อย่างไรก็ดียังมีปรากฎการณ์อีกเป็นอันมากที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจของมนุษย์ เช่นการเวียนว่ายตาย เกิด การระลึกชาติได้ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การติดต่อกันโดยใช้พลังจิต การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ เป็นต้น

1896
“ปริวาส” เป็นชื่อของสังฆกรรมประเภทหนึ่งที่สงฆ์จะพึงกระทำ

ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งการอยู่
ปริวาสเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “การอยู่กรรม”จึงนิยมเรียก
รวมกันว่า “ปริวาสกรรม”

"ปริวาส” หมายถึง “การอยู่ใช้” หรือ “การอยู่รอบ”
หรือเรียกสามัญว่า “การอยู่กรรม”(วุฏฐานวิธี) คือ อยูู่่ให้ครบ
กระบวนการ สิ้นสุดกรรมวิธีทุกขั้นตอนของการอยู่ปริวาสกรรม
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อยู่ใช้กรรมหรือความผิดที่ได้ล่วงละเมิดพระวินัย
ต้องอาบัติ  “สังฆาทิเสส” ซึ่งอาจจะล่วงละเมิดโดยความตั้งใจ
หรือไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจล่วงละเมิดโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดีนั้น
ให้พ้นมลทิน หมดจดบริสุทธิ์ไม่มีเหลือเครื่องเศร้าหมอง
อันจะเป็นอุปสรรคในการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญในทางจิต
ของพระภิกษุสงฆ์

ปริวาสกรรมมีเพื่อสำหรับบุคคล ๒ ประเภท คือ

๐  ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
๐  ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนาแต่ต้องครุกาบัติ

ปริวาสสำหรับพระภิกษุสงฆ์

                     

ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้ เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุผู้บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา
แต่ไปต้อง “ครุกาบัติ”  จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสเพื่อนำตนให้พ้นจากอาบัติ ตามเงื่อนไขทาง
พระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การประพฤติวุฏฐานวิธี”

“การประพฤติวุฏฐานวิธี”

วุฏฐานวิธี คือ กฎระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ หมายถึง ระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับภิกษุผู้จะเปลื้องตนออกจาก
ครุกาบัติสังฆาทิเสส มีทั้งหมด ๔ ขั้นตอน คือ

๑.  ปริวาส หรือ อยู่ประพฤติปริวาส หรือ อยู่กรรม (โดยสงฆ์เห็นชอบที่ ๓ ราตรี)
๒.  มานัต ประพฤติมานัต  ๖ ราตรี หรือ นับราตรี ๖ ราตรีแล้วสงฆ์สวดระงับอาบัติ
๓.  อัพภาน หรือ การเรียกเข้าหมู่ โดยพระสงฆ์  ๒๐  รูป สวดให้อัพภาน
๔.  ปฏิกัสสนา ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (ถ้าต้องอันตราบัติในระหว่างหรือการชักเข้าหาอาบัติเดิม)

ทั้ง  ๔  ขั้นตอนนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “การประพฤติวุฎฐานวิธี” แปลว่าระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติตน
เพื่อออกจากอาบัติ อันได้แก่ “สังฆาทิเสส”

ส่วนประกอบของการประพฤติวุฏฐานวิธีประกอบด้วยสงฆ์ ๒ ฝ่าย

ขั้นตอนการ ประพฤติวุฎฐานวิธี นั้น จะต้องประกอบด้วยสงฆ์ที่ทำสังฆกรรม คือ ประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ซึ่งคณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายนั้นมีหน้าที่ดังนี้ คือ

๐  พระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ ภิกษุผู้อยู่กรรม หรือ พระลูกกรรม คือ สงฆ์ที่ต้องอาบัติ แล้วประสงค์
    ที่จะออกจากอาบัตินั้น จึงไปขอปริวาสเพื่อ ประพฤติวุฏฐานวิธี ตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด
๐  พระปกตัตตะภิกษุ หรือคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (หรือพระพี่เลี้ยง)ซึ่งเป็นสงฆ์ฝ่ายที่พระวินัย
    กำหนดให้เป็นผู้ควบคุมดูแลความประพฤติของสงฆ์ฝ่ายแรกผู้ขอปริวาส ซึ่งสงฆ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล
    อนุเคราะห์เกื้อกูลนี้ ทำหน้าที่เป็น พระปกตัตตะภิกษุ หรือ ภิกษุโดยปกติพระภิกษุผู้มีศีลไม่ด่างพร้อย

ปริวาสมีทั้งหมด ๔  อย่าง คือ

๑.  อัปปฏิจฉันนปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้
๒.  ปฏิจฉันนปริวาส  คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้ ซึ่งนับวันได้
๓.  สุทธันตปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้าง  ไม่เท่ากันบ้าง
๔.  สโมธานปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ครุกาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง

ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส  คือ การอยู่ใช้ การอยู่กรรม หรือ การอยู่รอบ นี้มีการนับ
ราตรีมีอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร
ซึ่งลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทนั้นพอจะสังเขปได้ คือ

อ่านต่อ
http://www.phuttha.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1

1897
วิมังสา แปลว่า ความพิจารณาไตร่ตรองเป็นเรื่องของปัญญาในการทำงาน

วิมังสา เป็น อิทธิบาท คือธรรมที่เป็นแนวทางให้ไปสู่ความสำเร็จตามประสงค์ลำดับที่ ๔ ควรให้เกิดขึ้นต่อจากจิตตะ

วิมังสา คือการใช้ปัญญาพิจารณา ไตร่ตรองกลั่นกรองถึงสิ่งที่ทำว่าดีว่าควรหรือไม่ การใช้ปัญญาตรวจสอบถึงงานที่ทำมิให้ผิด ตรวจตราวิธีการทำงานให้ถูกต้องรวดเร็ว รวมไปถึงการใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นและปรับเปลี่ยนแผนงาน เพื่อให้งานเดินได้สะดวก ไม่สะดุด เป็นต้น

1898
ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี
       ได้แก่กุศลเจตนา (เฉพาะที่เป็นกามาวจรและรูปวจร)

       (ข้อ ๑ ในอภิสังขาร ๓)


อปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย
       (ข้อ ๒ ในอภิสังขาร ๓)

1899
สัมโมทนียกถา (อ่านว่า สัมโมทะนียะ-) แปลว่า ถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ, คำพูดที่ทำให้ประทับใจ เรียกว่า อนุโมทนากถา ก็ได้

สัมโมทนียกถา ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความขอบคุณหรือกล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของความดีหรือบุญกุศลที่ทายกทายิกาได้ทำ เช่นถวายอาหาร สร้างกุฏิ สร้างหอระฆังไว้ในพระพุทธศาสนาว่า กล่าวสัมโมทนียกถา

สัมโมทนียกถาเป็นเหตุให้ผู้ทำบุญนั้นเกิดความแช่มชื่นเบิกบาน เกิดความอิ่มใจในผลบุญที่ตนทำและปรารถนาจะทำบุญเพิ่มพูนอีก
การกล่าวสัมโมทนียกถาเป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์มาแต่โบราณ โดยกล่าวเป็นภาษาไทย ใช้เวลามากน้อยแล้วแต่ผู้กล่าว และปกติจะกล่าวก่อนที่จะอนุโมทนาเป็นภาษาบาลีหรือที่รู้จักกันว่า ยถา-สัพพี

1900
โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ

สติปัฏฐาน 4
สัมมัปปธาน 4
อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5
พละ 5
โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8

โพธิปักขิยธรรม ในบางแห่งตรัสหมายถึงโพชฌงค์ 7[1] เช่น
"ภิกษุทั้งหลาย ก็โพธิปักขิยธรรมเป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรมย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ วิริยินทรีย์ ... สตินทรีย์ ... สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้."
"ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ดิรัจฉานทุกจำพวก สีหมฤคราช โลกกล่าวว่า เป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น เพราะมีกำลัง มีฝีเท้า มีความกล้า ฉันใด บรรดาโพธิปักขิยธรรม ทุกอย่าง ปัญญินทรีย์ เรากล่าวว่า เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นไปเพื่อความ ตรัสรู้ ฉันนั้นเหมือนกัน."
ส่วนที่ตรัสถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการโดยตรง เช่น
"ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วย ความเพียรในการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการเนืองๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างนี้แล ภิกษุเป็นผู้มีศีลงาม มีธรรมงาม ด้วยประการดังนี้[2] ฯ"

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1

1901
โพชฌงค์ หรือ โพชฌงค์ 7 คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ มีเจ็ดอย่างคือ

สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
โพชฌงค์ 7 เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม 37 (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรคมีองค์ 8)

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง
   
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ"

— อานาปานสติสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔

1902
คำสวดบารมี 30 ทัศ
[youtube=425,350]0vDppgFE_UU[/youtube]

1903
หลักพระพุทธศาสนา

๙. ศรัทธา – ปสาทะ

เครื่องชักนำอันแรกให้เกิดไตรสรณคมน์ หรือให้เป็นพุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนา คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ๒ อย่าง ได้แก่ศรัทธากับปสาทะ ศรัทธา แปลว่าความเชื่อ ปสาทะ แปลว่าความเลื่อมใส

ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าศรัทธา หรือศรัทธาปสาทะ เพราะนิยมพูดกันในทางศาสนาหรือในการทำบุญ เช่นมีศรัทธาบูชาพระรัตนตรัย มีศรัทธาฟังพระธรรม มีศรัทธาบริจาคทาน เป็นต้น เห็นใครทำบุญทำกุศลทุกอย่าง ก็มักพูดว่า เขามีศรัทธา การพูดอย่างนี้ก็เป็นความจริง เพราะจะทำอะไรทุกอย่างต้องมีศรัทธาชักนำให้ทำ แต่มีปัญหาว่าศรัทธาที่มีเครื่องชักนำนั้นคือเชื่อว่าอย่างไร ดังเช่นในที่นี้ ถ้าจะตั้งปัญหาถามทุกๆ คนว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ทุกๆ คนที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็คงตอบว่ามี คราวนี้ถามต่อไปว่ามีว่าอย่างไร ให้ทุกๆ คนตั้งปัญหานี้ถามตนเอง และตอบให้ได้ด้วยตนเอง ว่าบัดนี้เรามีศรัทธาคือมีความเชื่อว่าอย่างไรในพระพุทธศาสนา

เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธปฏิมาซึ่งเป็นที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่
เชื่อในความขลังของคาถาอาคมใช่หรือไม่
เชื่อในอาจารย์ผู้เสกคาถาใช่หรือไม่
เชื่อในการบนบานอ้อนวอนใช่หรือไม่

ถ้ามีความเชื่อดังเช่นที่กล่าวข้างบนนี้ ก็พึงรู้ว่ายังมิใช่ศรัทธาที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา และอาจเป็นอันตรายแก่การนับถือพระพุทธศาสนา ดังเช่นเมื่อบนบานอ้อนวอนแล้วไม่ได้สมประสงค์ หรือต้องพลาดพลั้งวิบัติเสียหาย ก็เลยหาว่าพระพุทธศาสนาช่วยอะไรไม่ได้ พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเสื่อมสิ้นไป ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาบางประเทศต้องเสียเอกราช และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่งในขณะนี้ ผู้ที่เชื่อทางศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้ที่มุ่งกล่าวปรักปรำ ก็อาจกล่าวหาว่าพระพุทธศาสนาช่วยอะไรไม่ได้ บางทีก็กล่าวหาว่าเป็นเครื่องถ่วงให้ล้าหลัง ไม่เจริญเร็วเหมือนประเทศนอกพระพุทธศาสนา ศรัทธาที่ไม่ถูกต้องอาจเป็นอันตรายแก่การนับถือพระพุทธศาสนาอย่างนี้ เมื่อศรัทธาไม่ถูกต้องปสาทะก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน ฉะนั้น จึงจำต้องปรับปรุงศรัทธานี้แหละให้ถูกต้องก่อน ว่าควรทำความเชื่อในพระพุทธศาสนาอย่างไร

ศรัทธาอย่างถูกต้องในพระพุทธศาสนามี ดังนี้

เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง
เชื่อว่าบุญบาปมีจริง
เชื่อว่าผลของบุญบาปมีจริง
เชื่อว่าบุญบาปที่ตนทำเป็นของตนจริง

ข้อที่ ๑ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง ทำให้ไม่สงสัยลังเลใจในพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยลังเลใจในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนเป็นพระพุทธศาสนา ไม่สงสัยลังเลใจในพระสงฆ์ โดยตรงกันข้าม ยิ่งเกิดความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ความเชื่อความเลื่อมใสนี้เกิดเพราะตั้งใจสดับฟังพระธรรม หรือศึกษาพระพุทธศาสนาให้รู้ซาบซึ้ง โดยเฉพาะให้รู้จักบุญบาปหรือกรรมดีกรรมชั่ว ยิ่งฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ก็ยิ่งเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เหมือนอย่างฟังคำสั่งสอนของครูเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็ทำให้เชื่อในภูมิรู้ของครู ความเชื่อข้อนี้เรียกว่าตถาคตโพธิสัทธา แปลว่า ความเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงนั้นเอง เป็นเหตุให้เชื่อในคำสั่งสอนของพระองค์ที่แสดงบุญบาปคุณโทษ เป็นต้น เหมือนอย่างเมื่อเชื่อภูมิรู้ของครูแล้ว ครูจะแนะนำอะไรก็ย่อมจะเชื่อ

ข้อที่ ๒ เชื่อว่าบุญบาปมีจริง ทำให้ไม่สงสัยลังเลใจในเรื่องบุญและบาปหรือกรรมดีกรรมชั่ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนว่าเป็นบุญเป็นกรรมดี ก็เชื่อว่าเป็นบุญเป็นกรรมดีจริง เช่นความมีใจเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงเคราะห์ช่วยเหลือ เป็นต้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนว่าเป็นบาปเป็นกรรมชั่ว ก็เชื่อว่าเป็นบาปเป็นกรรมชั่วจริง เช่นความมีใจลโมบโหดร้ายหลงใหล ประพฤติชั่วร้ายต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ความเชื่อข้อนี้เรียกว่า กัมมสัทธา – เชื่อกรรม กรรมแปลว่าการงานที่บุคคลทำด้วยเจตนา คำว่ากรรมเป็นกลางๆ มิใช่หมายความว่าไม่ดีจึงเรียกว่ากรรม ทำดีหรือไม่ดีเรียกว่ากรรมทั้งนั้น เมื่อต้องการจะให้รู้ว่าดีหรือไม่ดี ก็เติมคำนั้นเข้าไป ว่ากรรมดีหรือบุญกรรม กรรมชั่วหรือบาปกรรม ฉะนั้น เชื่อกรรมก็คือเชื่อว่าบุญบาปหรือกรรมดีกรรมชั่วมีจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนไว้

ข้อที่ ๓ เชื่อว่าผลของบุญบาปมีจริง ทำให้ไม่สงสัยลังเลใจว่าบุญบาปที่ทำจะไม่มีผลสนองตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้ว่า กรรมดีให้ผลดี กรรมชั่วให้ผลชั่ว ไม่สับสนกัน เหมือนอย่างว่าหว่านพืชเช่นใดก็ได้รับผลเช่นนั้น ความเชื่อข้อนี้เรียกว่าวิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม คือเชื่อว่าบุญบาปที่ทำให้ผลจริงตามประเภท บุญก็ให้ผลดี บาปก็ให้ผลไม่ดี

ข้อที่ ๔ เชื่อว่าบุญบาปที่ตนทำก็เป็นของตนจริง ทำให้ไม่สงสัยลังเลใจว่า ตนจะต้องรับผลของบุญบาปที่ตนเองทำไว้หรือไม่ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทุกๆ คนนึกคิดอยู่เสมอว่า เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทรับผลของกรรม เราทำดีจักได้ดี เราทำชั่วก็จักได้ชั่ว ความเชื่อข้อนี้เรียกว่า กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมที่ตนทำไว้เป็นของของตน เหมือนบริโภคอาหารเองก็อิ่มเอง เรียนเองก็รู้เอง

ศรัทธาทั้ง ๔ ข้อนี้ สำคัญอยู่ที่ข้อ ๑ คือเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เพราะตั้งใจสดับศึกษาพระพุทธศาสนา จนเกิดความรู้สึกว่าพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เป็นความจริงทุกอย่าง ความเชื่อและความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็จะเกิดตั้งมั่นขึ้นทุกที ที่ทำให้เชื่อมั่นว่าบุญบาปที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้มีจริง ผลของบุญบาปตามที่ตรัสสั่งสอนไว้มีจริง บุญบาปที่ผู้ใดทำไว้ก็เป็นของผู้นั้นจริงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมความว่าทำให้เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา

ศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธศาสนา เมื่อมีลักษณะดังกล่าว จึงเป็นศรัทธาที่ถูกต้อง ผู้ที่มีศรัทธาที่ถูกต้องจึงจะเป็นพุทธศาสนิกผู้ถึงไตรสรณคมน์ที่ถูกต้อง การปลูกศรัทธาที่ถูก หรือการปรับปรุงศรัทธาให้ถูก อาศัย

ก. บุคคลผู้ชักจูงศรัทธา
ข. ตนเอง

ก. บุคคลผู้ชักจูงศรัทธา เริ่มตั้งแต่บิดามารดาอบรมบุตรธิดาตั้งแต่เล็กๆ ด้วยวิธีสอนให้เชื่อฟังอย่างมีเหตุผลเท่าที่เด็กจะเข้าใจ มิใช่ด้วยวิธีหลอกให้เข้าใจผิด หรือขู่ให้กลัว เช่น ขู่หรือหลอกด้วยเรื่องผีต่างๆ และโดยที่แท้ที่ว่าผีหลอกนั้นคนหลอกต่างหาก เมื่อเด็กถูกหลอกหรือขู่ให้เชื่อผิดๆ มาตั้งแต่เล็ก ความเชื่อก็จะฝังแน่นติดเป็นสันดาน เป็นการแก้ยากในภายหลัง เมื่อโตขึ้นแล้วถึงจะมีความรู้ใหม่มากขึ้นอย่างไรความเชื่อในสันดานก็ยังไม่หมด จึงยังมัวกลัวผิดๆ อยู่ ฉะนั้น เมื่อจะห้ามมิให้เด็กทำอะไรก็พยายามแนะนำให้เด็กรู้เหตุผลถูกผิด หรือใช้วิธีแก้ร้ายให้กลายเป็นดีอย่างมีเหตุผล ดังเช่นมารดาบิดารายหนึ่งส่งบุตรไปศึกษา ฝากไว้กับครอบครัวหนึ่ง บุตรแจ้งไปว่ารู้สึกไม่ค่อยชอบลูกของเจ้าของบ้าน ทั้งที่เด็กนั้นก็มิได้ทำอะไรให้ มารดาบิดาจึงแนะนำไปให้บุตรของตนหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปให้ลูกเจ้าของบ้าน ต่อมาบุตรก็แจ้งมาว่าได้ปฏิบัติตามแล้ว และหายความรู้สึกไม่ชอบแล้ว นี้เป็นการสอนให้สร้างมิตรจิตรมิตรใจต่อกันให้เกิดขึ้นนั้นเอง เมื่อมีจิตใจเป็นมิตรต่อกันแล้วอื่นๆ ก็เรียบร้อย เมื่อจะสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กก็สอนอย่างถูกต้องปลูกความเชื่อที่ถูกต้องให้แก่เด็ก ต่อมาถึงวาระครูอาจารย์สั่งสอนอบรมศิษย์ และพระภิกษุสามเณรอบรมกุลบุตรกุลธิดา เป็นต้น เมื่อผู้อบรมเหล่านี้อบรมให้เกิดความเชื่ออย่างมีเหตุผลในทางต่างๆ ทั้งในทางโลกและทางธรรม ก็จะทำให้เกิดศรัทธาที่ถูกต้อง เป็นความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เพราะเชื่อด้วยความรู้ความเข้าใจตามความจริง กล่าวโดยเฉพาะทางศรัทธาทางพระพุทธศาสนา เมื่ออบรมให้รู้ให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนามิใช่เวทมนต์คาถาขลังอย่างทางไสยศาสตร์ มิใช่เป็นตำราทำนายโชคชาตาอย่างโหราศาสตร์ มิใช่เป็นตำราเล่นแร่แปรธาตุผสมธาตุสร้างรถสร้างเรือปรมาณูเป็นต้นอย่างวิทยาศาสตร์ แต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแสดงทางแห่งความบริสุทธิ์ไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งทุกๆ คนต้องปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะได้รับผลดีตามแต่จะปฏิบัติได้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้รับผล หรือไปทำชั่วทำผิดที่ตรงกันข้ามก็จักได้ผลชั่ว เพราะทุกๆ คนมีกรรมเป็นของของตนเอง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรมแล้วตรัสบอกเปิดเผยพระธรรมนั้น มิได้เป็นเทพเจ้าผู้สร้างผู้ดลบันดาให้ใครเป็นอะไร พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วตามพระธรรม และช่วยบอกเปิดเผยพระธรรม มิใช่บอกให้อะไรอื่น เมื่อรู้เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องและปลูกศรัทธาอย่างถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้วก็จักไม่หวังอะไรผิดๆ จากพระพุทธศาสนา เช่นหวังความศักดิ์สิทธิ์ป้องกันภัยต่างๆ ภายนอก อำนวยโชคลาภ เป็นต้น เมื่อหวังอะไรผิดๆ แล้วไม่ได้สมหวังก็จักเสื่อมความนับถือลงไป ฉะนั้น เมื่อมีศรัทธาที่ถูกต้อง เมื่อหวังจะพ้นชั่วได้ดีก็ไม่ต้องเสียเวลาไปอ้อนวอนบนบานอะไรที่ไหน ถ้าจะอ้อนวอนก็อ้อนวอนตนเองให้เว้นจากการทำชั่ว ให้ทำความดีก็จักเป็นคนดีขึ้น และจักได้รับผลดีด้วยตนเอง บุคคลผู้มีหน้าที่ชักจูงศรัทธาแม้จะพยายามอบรมปลูกหรือปรับศรัทธาให้ถูกต้อง แต่ความสำเร็จจะมีได้ก็ต้องอาศัยบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับการอบรมที่ถูกต้องนั้น คือ

ข. ตนเอง ได้แก่ตัวเราเองทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เพราะตัวเราเองจำต้องคอยตรวจสอบดูศรัทธาของตัวเราเองว่าเป็นอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ถ้ายังไม่ถูกก็ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกคือให้

เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง
เชื่อว่าบุญบาปมีจริง
เชื่อว่าผลของบุญบาปมีจริง
เชื่อว่าบุญบาปที่ตนทำเป็นของตนจริง

พยายามคิดทำความเข้าใจในหลักของความเชื่อเหล่านี้ เพราะตัวเราเองต้องเห็นจริงด้วยความเชื่อจึงจะตั้งมั่น เมื่อมีความเชื่ออย่างนี้ สิ่งที่รู้ว่าเป็นบาปเป็นความชั่วก็จักไม่ทำ จักทำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นความดี ใครมีศรัทธาอย่างนี้ก็พึงหวังได้ว่าจักเป็นคนดีได้จริงๆ ในขั้นต้นเมื่อยังไม่อาจเห็นจริงได้ด้วยตนเองในหลักของศรัทธาดังกล่าว ก็ทำความเชื่อฟังไปก่อนไม่ดื้อถือรั้น ความดื้อถือรั้น ไม่อยู่ในโอวาทของมารดาบิดาครูอาจารย์ ตลอดถึงของพระพุทธเจ้า เป็นการไม่ดี ดังเรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัวในคัมภีร์ชาดก เรื่องมีว่า

ในกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า บุตรของเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ชื่อว่า มิตตวินทุกะ เป็นเด็กไม่มีศรัทธา ฝ่ายมารดาบิดาเป็นผู้มีศรัทธา เป็นพระโสดาบัน ต่อมาบิดาถึงแก่กรรม มารดาจึงเป็นผู้จัดแจงทรัพย์สมบัติ วันหนึ่งจึงแนะนำบุตรว่า เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์มิใช่ง่าย จงไปรักษาศีลฟังธรรม มิตตวินทุกะตอบว่า ไม่มีประโยชน์อะไรในการรักษาศีลธรรม แม่อย่าพูดอะไรอีกเลย ผมจะไปตามกรรม ในวันอุโบสถวันหนึ่งมารดาได้กล่าวแก่บุตรว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถเจ้าจงไปฟังธรรม กลับมาแล้วแม่จะให้ทรัพย์แก่เจ้าพันหนึ่ง มิตตวินทุกะรับคำ จึงสมาทานอุโบสถศีล บริโภคอาหารเช้าแล้วก็ไปวัด แต่ไปหลบนอนเสียในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้ฟังธรรม กลับมาแล้วก็รับทรัพย์จากมารดา ในวันอุโบสถต่อมาก็ได้ปฏิบัติอย่างนี้ จนรวบรวมทรัพย์ได้เป็นอันมาก จึงคิดจะโดยสารเรือข้ามทะเลไปทำการค้าขาย ได้บอกลามารดา ฝ่ายมารดาก็ห้ามมิให้ไปเพราะว่ามีบุตรอยู่คนเดียวและทรัพย์ก็มีอยู่มาก มิตตวินทุกะก็ไม่ยอม จะออกไป มารดาก็จับมือดึงไว้ มิตตวินทุกะก็ทำร้ายมารดาให้ล้มลงแล้วโดยสารเรือออกทะเลไป เมื่อเรือออกทะเลไปได้ ๗ วันก็หยุดนิ่งอยู่ ในสมัยนั้นเชื่อกันว่า เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ต้องมีคนกาลกิณีอยู่บนเรือ และต้องจับสลากกันทุกคน ใครจับถูกสลากกาลกิณีก็ต้องถูกปล่อยลงแพให้ลอยไปตามยถากรรม ฉะนั้น จึงมีการจับสลากกัน สลากกาลกิณีได้ตกแก่มิตตวินทุกะถึงสามครั้ง ชนทั้งหลายจึงกล่าวว่าคนๆ เดียวอย่าทำให้คนเป็นอันมากต้องวินาศเสียเลย จึงให้มิตตวินทุกะลงแพ ปล่อยไปในทะเล เรือก็แล่นต่อไปได้ในขณะนั้น ฝ่ายแพที่มิตตวินทุกะลงไปอยู่ได้ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง มิตตวินทุกะขึ้นไปอยู่บนเกาะนั้น ปรารถนาจะเที่ยวต่อไปก็ลงแพต่อไปอีกจนถึงเกาะหนึ่ง ได้ขึ้นไปบนเกาะนั้น พบเมืองเข้าเมืองหนึ่งมี ๔ ทวาร ได้ยินว่าที่นั้นเป็นนรกของสัตว์นรกจำพวกหนึ่ง แต่มิตตวินทุกะเห็นเป็นเมืองที่สวยงาม จึงเข้าไปในเมืองนั้น ได้เห็นสัตว์นรกตนหนึ่งสวมกงจักรคมกริบเหมือนมีดโกนหมุนบดอยู่บนศีรษะ มิตตวินทุกะได้เห็นกงจักรบนศีรษะของสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างดอกบัว ได้เห็นโซ่ตรวนที่รัดตรึงตัวสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างเครื่องประดับ ได้เห็นโลหิตที่ไหลจากศีรษะของสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างแป้งลูบไส้สีแดง ได้ยินเสียงคร่ำครวญเหมือนดังเสียงร้องเพลงไพเราะ จึงเข้าไปหาสัตว์นรกนั้น พูดขอดอกบัวที่สวมอยู่บนศีรษะ สัตว์นรกนั้นจึงบอกว่า นี่ไม่ใช่ดอกบัวแต่เป็นกงจักร มิตตวินทุกะก็ไม่เชื่อ ยังยืนยันขอให้ได้ สัตว์นรกจึงคิดว่าชะรอยบาปของเราจักสิ้นแล้ว ชายคนนี้คงจะทุบตีมารดาเหมือนกับเรา มารับผลกรรมต่อไป จึงถอดกงจักรจากศีรษะ กล่าวว่า อยากได้ดอกบัวนี้ก็จงรับเอาไป แล้วก็สวมกงจักรบนศีรษะของมิตตวินทุกะ กงจักรนั้นก็หมุนบดกระหม่อมของมิตตวินทุกะ ในขณะนั้นมิตตวินทุกะก็รู้ว่า เป็นกงจักรไม่ใช่ดอกบัว แต่ก็ไม่สามารถถอดออกได้ ต้องได้รับทุกข์ต่อไปบนเกาะนั้นจนสิ้นกรรม นิทานในชาดกตามที่เล่ามานี้เป็นนิทานสุภาษิต แสดงให้เห็นโทษของความไม่มีศรัทธาที่ถูกต้อง มีความดื้อถือรั้นไม่อยู่ในโอวาทของท่านที่สมควรเชื่อฟังประพฤติดึงดันไปตามใจของตนเอง หรือเรียกว่าเชื่อใจของตนเองหรือเชื่อตนเองไปอย่างผิดๆ ซ้ำยังทำร้ายผู้มีพระคุณที่ตนควรจะเชื่อฟังเคารพนับถือ จึงต้องประสบความทุกข์เดือดร้อนและเมื่อเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั้นก็เชื่อว่าเป็นดอกบัวจริงๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างฉกรรจ์ จึงอ้อนวอนขอเอากงจักรมาสวมศีรษะ เป็นการอ้อนวอนขอเอาทุกข์มาให้แก่ตนเอง คนที่มีความเชื่ออย่างผิดๆ และมีความดื้อถือรั้นเอาแต่ใจตนเองต้องประสบความทุกข์วิบัติเหมือนเช่นนี้ บางทีได้คิดเมื่อสายไปเสียแล้วก็เหลือที่แก้ไข อย่างมิตตวินทุกะรู้ว่ากงจักรก็ต่อเมื่อสวมอยู่บนศีรษะแล้ว ไม่สามารถถอดออกได้
ส่วนผู้ที่อยู่ในโอวาท แม้ทีแรกจะยังไม่มีศรัทธา แต่ภายหลังอาจมีศรัทธาได้ ดังเรื่องในอรรถกถาธรรมบทว่า ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวนารามใกล้กรุงสาวัตถี นายกาละบุตรอนาถปิญฑิกเศรษฐีไม่มีศรัทธาจะฟังธรรม บิดาจึงว่ากล่าวให้ไปฟังพระธรรม อย่างเดียวกับมารดาของมิตตวินทุกะ และให้เรียนจำพระธรรมบทให้ได้บทหนึ่ง นายกาละจึงตั้งใจฟัง เมื่อจำได้ก็ได้ความรู้ความเข้าใจพระธรรม จนได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม สำเร็จประโยชน์ตามที่บิดาประสงค์
ผู้ที่เข้าใจพระธรรมซาบซึ้งดังนั้น ย่อมมีศรัทธาอย่างถูกต้องและตั้งมั่น ดังบุรุษโรคเรื้อนผู้ยากจนชื่อสุปปพุทธะ ท้าวสักกเทวราชคิดจะทดลองศรัทธา จึงมาตรัสว่า “เจ้าเป็นคนยากจนขัดสน เอาเถิด เราจักให้ทรัพย์มหาศาลแก่เจ้า เจ้าจงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เลิกกันที” สุปปพุทธะกล่าวว่า ท้าวสักกะเป็นอันธพาล ตนมิใช่คนขัดสน แต่เป็นคนมีสุข มีทรัพย์มีศรัทธาเป็นต้น ศรัทธาที่ตั้งมั่นให้สำเร็จประโยชน์ดังเช่นที่กล่าว พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนไว้ว่า สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา ศรัทธา ตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ แล

๕ กันยายน ๒๕๐๒


--------------------------------------------------------------

หมายเหตุ

บทความนี้เป็นกัณฑ์เทศน์หนึ่งจากทั้งหมด ๓๕ กัณฑ์ ในเรื่องหลักพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระญาณสังวร ได้เรียบเรียงขึ้นและเทศน์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๒ – ๒๕๐๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สำนักราชเลขาธิการเลือกสรรหนังสือ เพื่อจัดพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มสมุด สำหรับทรงถวายสมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในการฉลองชนมายุครบ ๖๐ ทัศ วันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖

คัดลอกจาก หนังสือทศพิธราชธรรมและหลักพระพุทธศาสนา
พิมพ์ที่ บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด พ.ศ. ๒๕๑๖
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=visutthisiri&date=06-03-2010&group=9&gblog=1

1904
สภาวธรรม หมายถึง  ธรรมะที่มีจริง และมีสภาวลักษณะเป็นของตน   ได้แก่

 จิต   เจตสิก   รูป นิพพาน หรือจะกล่าวโดยนัยของทวาร  สภาวธรรมได้แก่ รูป

เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

1905
พระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ


เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูด้วยพระสัพพัญญตญาณ

และทรงทราบว่า ผู้ที่ปรารถนาพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น
พรั่งพร้อมไปด้วย

ธรรมสโมทาน ๘ ประการ มิได้ขาดสักข้อหนึ่งแล้ว ก็จะทรงชี้พยากรณ์โดยนัยว่า

" ( ผู้นั้น ) จักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าในกัปอันเป็นอนาคตที่ ( เท่านั้น ) "
ดังนี้เป็นต้น

แล้วก็ทรงมีพระโอวาทอนุสาสน์ให้พยายามสร้างสมบ่มพระบารมี
พระโพธิสัตว์เจ้าผู้นั้นก็ได้นามว่า พระนิตยโพธิสัตว์

นับแต่นั้นมา สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์ย่อมยิ่งเพิ่มพูนพระบารมีให้มากยิ่งขึ้นและมีน้ำใจกอปรไปด้วยพระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ

๑. อุสฺสาโห ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในดวงฤทัยอย่างมั่นคง

๒. อุมตฺโต ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระปัญญา ทรงมีพระปัญญาเชี่ยวชาญหาญกล้ายิ่งนัก

๓. อวตฺถานํ ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระอธิษฐาน
ทรงมีพระอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน

๔. หิตจริยา ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระเมตตา
ทรงมีพระเมตตาเป็นนิตย์ เจริญจิตอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหาร
เป็นปกติ




สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์ ย่อมสมาทานมั่นใน
พระพุทธภูมิธรรม ๔ นี้อยู่เนืองนิตย์ทุกพระชาติ
ไม่ว่าจะทรงเสวยพระชาติถือกำเนิดเกิดเป็นอะไร
และในชาติใดก็ย่อมมีพระพุทธภูมิธรรมประจำอยู่
ในดวงหฤทัยเสมอ

http://board.palungjit.com/f14/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B9%94-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-142565.html

1906

ปัจจุบันธรรม
โดย ภัทร์ไพบูลย์ เมื่อ 17 ก.ค. 2009, 12:04

รูปธรรมนามธรรมที่ยืนให้พิสูจน์ ซึ่งเรียกได้หลายนัย ตามวิปัสสนาภูมิ ทั้ง 6 ดังแสดงแล้วนั้น ปรากฎอยู่ที่ปัจจุบัน ขณะเมื่ออายตนะภายใน 6 กับอายตนะภายนอก 6 มากระทบกัน ในอดีตกาลที่ล่วงมาแล้ว รูปนาม ดับไปแล้ว พิสูจน์ไม่ได้ ในอนาคตกาลที่ยังไม่มาถึงรูปนามยังไม่เกิดขึ้น พิสูจน์ไม่ได้ จะพิสูจน์ได้แต่รูปนามที่กำลังปรากฎอยุ่ในปัจจุบันกาล ซึ่ง เรียกว่า ปัจจุบันธรรม เท่านั้น ดังจะได้ยกมาแสดงให้เห็นชัดในทวารทั้ง 6 ดังต่อไปนี้ขึ้น

1. ปัจจุบันธรรมทางตา เกิดขึ้นขณะที่ รูป คือ สี มากระทบ แก้วตา การเห็นก็ปรากฎในอดีตกาลเวลาที่ผ่านมาแล้ว เห็นดับไปแล้ว รู้ไม่ได้ ส่วนในอนาคตก็ยังไม่เห็น รู้ไม่ได้ รู้ได้แต่ปัจจุบันของรูปธรรมนามธรรมขณะเห็นเท่านั้น

2. ปัจจุบันธรรมทางหู เกิดขึ้นขณะที่ เสียง มากระทบแก้วหู การได้ยินก็ปรากฎขึ้นในอดีตกาลเวลาที่ล่วงมาแล้วได้ยินดับไปแล้วรู้ไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ได้ยิน รู้ไม่ได้ รู้ได้แต่ปัจจุบันของรูปนามธรรมธรรมขณะได้ยินเท่านั้น

3. ปัจจุบันธรรมทางจมูก เกิดขึ้นขณะที่ กลิ่น มากระทบ ประสาท จมูก การรู้กลิ่นก็ปรากฎขึ้น ในอดีตกาลเวลาที่ล่วงไปแล้ว รู้กลิ่นดับไปแล้ว รู้ไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ได้รู้รส รู้ไม่ได้ รู้ได้แต่ปัจจุบันของ รูปธรรมนามธรรมขณะรู้กลิ่นเท่านั้น

4. ปัจจุบันธรรมทางลิ้น เกิดขึ้นขณะที่ รส มากระทบประสาทลิ้น การรู้ก็ปรากฎขึ้น ในอดีตกาลเวลาที่ล่วงไปแล้ว รู้รสดับไปแล้ว รู้ไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ได้รู้รส รู้ไม่ได้ ได้แต่ปัจจุบันของ รูปธรรมนามธรรมขณะรู้กลิ่นเท่านั้น ขณะได้รูรสเท่านั้น

5. ปัจจุบันธรรมทางกาย เกิดขึ้นขณะที่ เครื่องกระทบ มีเย้น ร้อน อ่อนแข็ง เป็นต้น มากระทบประสาทกาย การรู้สึกสัมผัสก็ปรากฎขึ้น ในอดีตกาลเวลาที่ล่วงไปแล้ว ความรู้สึกทางกายดับไปแล้วพิสูจน์ไม่ได้ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ปรากฎความรู้สึก จึงพิสูจน์ไม่ได้จะพิสูจน์ให้ได้ก็แต่ขณะรู้ ทางกาย อันเป็นปัจจุบันของรูปธรรมนามธรรม ที่กำลังปรากฎอยุ่เท่านั้น

6. ปัจจุบันธรรมทางใจ เกิดขึ้นขณะที่นึกคิด หรือขณะที่ใจสั่งให้รูป เดิน ยืน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว อดีตกาลที่เคยนึก เคยคิดดับไป แล้วพิสูจน์ให้รู้ให้เห็นไม่ได้ จะได้ก็ต่อสัญญาความจำที่เกิดขึ้นขณะนึกคิดถึงเป็น ปัจจุบันเท่านั้น ส่วนในอนาคตที่ยังไม่ได้นึกคิด ก็พิสูจน์ให้รุ้ให้เห้นไม่ได้ รู้ได้แต่ปัจจุบันของรูปธรรมนามธรรมที่ปรากฎอยู่ขณะที่นึก ขณะยืน ขณะก้าว ขณะนั่ง ขณะพูด ขณะคู้ ขณะเยียด ขณะดิ้นไหว เท่านั้น

ปัจจุบันธรรม ยืนไว้ให้วิปัสสนาเป็นผู้พิสูจน์ ยืนไว้ให้วิปัสสนารู้เห้น อันเป็นสภาวนาญาณโดยเฉพาะ ผู้ปรารถนาจะเจริญวิปัสสนาทั้งหลาย จะทิ้ง ปัจจุบันธรรมเสียมิได้ อุปมาเหมือนเรือที่จะนำนายเรือไปสู่เกาะ หรือฝั่ง อันเป็นจุดหมายปลายทางได้นั้น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23962

1907
ปัจจุบันธรรม

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว

คัดลอกมาจาก http://loungpu.th.gs/

                เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้ามาหาตนน้อมเข้ามาในกายน้อมเข้ามาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น ถ้ารู้ตามแผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่าง ๆ ไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหาก ต้องน้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่ มันจะหลงมันจะเลวไปอย่างไรก็ตาม พยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหากายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้ เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไป น้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลัก ของ มัน
ถ้าออกจากกายใจแล้วมันเขวไปแล้วหลงไปแล้ว น้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจแล้วได้หลักใจดี ธรรมะก็คือการรักษากายรักษาใจ น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาหาใจนี้แหละศีล ตั้งอยู่ในกายนี่แหละ ตั้งอยู่ในวาจานี่แหละ และตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ให้น้อมเข้ามานี้มันจึงรู้ ตั้งหลักได้ ถ้าส่งออกไปจากนี้มันมักหลงไป
เอาอยู่ในกายในใจนี้ น้อมเข้ามาสู่อันนี้ นำหลง นำลืมออกไปเสีย เอาให้เป็นปัจจุบัน เอาจิตเอาใจนี่ละวางถอดถอนออก ทางกายก็น้อมเข้ามาให้รู้แจ้งทางกาย น้อมเข้ามา
หัวใจของตนนี้ให้มันแจ่มแจ้ง ถ้าไปยึดถือเอาอย่างอื่นมันเป็นเพียงสัญญาความจำ น้อมเข้ามารู้แจ้งในใจของตนนี่รู้แจ้งในกายของตนนี่ นอกจากนี้เป็นแต่เพียงอาการของธรรม

ยกขึ้นสู่จิต น้อมเข้ามาหาจิตหาใจนี้ ความโลภ ความหลง ความโกรธ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละ ต้องน้อมเข้ามาสู่จดนี้ ถ้าน้อมเข้าหาจุดอื่นเป็นแผนที่ปริยัติธรรมรู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งแล้วนอกนั้นเป็นแต่อาการ บางทีไปจับไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้มันก็ลืมไป
ทำให้มันแจ้งอยู่ในกายแจ้งอยู่ในใจ มีสติสัมปชัญญะสติสัมโพชฌงค์ สัมมาสติ ก็อันเดียวกันนี่แหละ ให้พิจารณาอยู่อย่างนี้ อาศัยความเพียรความหมั่น
คำว่าสติ ก็รู้ในปัจจุบัน สัมปชัญญะรู้ในปัจจุบันู รู้ในตนรู้ในใจเรานี้แหละ รู้ในปัจจุบัน รู้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา เหล่านี้ละออกให้หมดละออกจากใจ ละอยู่ตรงนี้แหละ สติถ้าได้กำลังใจแล้วมันก็สว่าง
ตั้งจิตตั้งใจกำหนดเบื้องต้น คือ การกำหนดจิตหรือกำหนดศีล คือกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ใจก็บริสุทธิ์กำหนดนำความผิดออกจากกายจากใจของตน
เมื่อกายวาจาใจบริสุทธิ์ สมาธิก็บังเกิดขึ้น รู้แจ่มแจ้งไปหาจิตหาใจ กายนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจของตนนี้
สติปัฏฐานสี่ สติ มีเพียงตัวเดียว นอกนั้นท่านจัดไปตามอาการ แต่ทั้งสี่มารวมอยู่จุดเดียว คือ เมื่อสติกำหนดรู้กาย แล้วนอกนั้น คือ เวทนา จิต ธรรม ก็รู้ไปด้วยกันเพราะมีอาการเป็นอย่างเดียวกัน

อาการทั้ง ๕ คือ อนิจฺจํ ทั้ง ๕ ทุกฺขํทั้ง ๕อนัตตาทั้ง ๕ เป็นไม่ยั่งยืน เราเกิดมาอาศัยเขาชั่วอายุหนึ่ง อนิจฺจํทั้ง ๕ ทุกข์ทั้ง ๕ อนัตตาทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ มันก็สิ้นไปเสื่อมไป เราอาศัยเขาอยู่เพียงอายุหนึ่งเท่านั้น เมื่อรูปขันธ์แตกสลายมันก็หมดเรื่องกัน
การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน สมมุติกันให้ได้ชั้นนั้นบ้างขั้นนี้บ้าง อันนั้นมันเป็นสมมุติแต่ธรรม เช่น รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยงมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น อนิจฺจํ ทั้ง ๕ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น รูปํ อนิจฺจํ  เวทนา อนิจฺจา สัญญา อนิจฺจา  สังขารา อนิจจา วิญญูาณํ อนิจฺจํ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรามาอาศัยเขา สัญญาเราก็ไหลไปตามเวลา ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายจากกันแล้วมันก็ยุติลง
ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เมื่อละสมมติ วางสมมติได้แล้ว มันก็เย็นต่อไป กลายเป็นวิมุตติความหลุดพ้นไป เพราะสมมติทั้งหลายวางได้แล้วก็เป็นวิมุตติ
แต่ถ้าเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันมักจะหลง ถ้าเราตั้งใจเอาจริง ๆ พวกกิเลสมันก็เอาจริง ๆ กับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยความหมั่นความเพียรไม่ท้อถอย ถ้าละพวกกิเลสตัณหาได้มันก็เย็นสงบสบาย

ถ้าจิตมันปรุงมันแต่งเป็นอดีต อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน จึงเป็นธรรมโม
อาการทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจฺจํ ให้ยืนอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีต อนาคตเป็นธรรมเมา ธรรมโมคือเห็นอยู่ รู้อยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอดีตอนาคต ดับทั้งอดีตอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน คือ ธรรมโม
ให้จิตรู้อยู่ส่วนกลาง คือ สิ่งที่ล่วงไปแล้วเป็นอดีตยังไม่มาถึงเป็นอนาคต ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนทั้งสองนั้นให้เพ่งพินิจ คือ เราอยู่ปัจจุบันธรรม มันจึงจะถูก เพราะปัจจุบันเป็นธรรมโม นอกจากนั้นเป็นธรรมเมา อดีต อนาคตรู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ถ้าไปยึดถืออดีตอนาคตอยู่ เท่ากับไปเก็บไปถือเอาของปลอม ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตนหมุนเข้าหากายหาใจนี่แหละ ถ้ามัวเอาอดีตอนาคตมันกลายเป็น แผนที่ ไป

แผนที่ปริยัติธรรมจำมาได้มาก ไปยึดไปถืออย่างนั้นบ้างสิ่งนี่บ้าง ทั้งอดีตอนาคต ยิ่งห่างจากการรู้กายรู้ใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นเชื้อของกิเลสมันอยู่ในแผนที่ใบลาน มันไม่เดือดร้อน ถ้ามันอยู่ในใจมันเดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นในใจให้เอาใจละ เอาใจวาง เข้าใจออก เอาใจถอน ปัจจุบันเป็นอย่าง นี้
ไม่ใช่จำปริยัติได้มาก พูดได้คล่อง เวลาเอาจริง ๆ ไม่รู้จะจับอันไหนเป็นหลัก ปัจจุบันธรรมต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน ละวางถอดถอน ในปัจจุบัน มันจึงใช้ได้

ความโลภ ความโกรธมันเกิดขึ้นในใจ น้อมเข้ามาแล้วละให้มันหมด ราคะ กิเลส ตัณหา มันเกิดขึ้นมาละมันเสีย เรื่องของสังขารมันก็ปรุง เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้น ดับลง เอารู้เฉพาะปัจจุบัน อดีตอนาคตวางไปเสีย อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ข้อนี้ถือให้มั่น ๆ ความปฏิบัติเพ่งความเพียร เร่งเข้า ๆ มันก็ค่อยแจ่มแจ้งไปเอง ถ้าจิตมันเป็นอดีตอนาคต วางเสีย เอาเฉพาะปัจจุบัน การกระทำสำคัญ เวลาทำตั้งใจเข้า ๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมักเกิด เราต้องพิจารณาค้นเข้าหาใจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตมักจะเก็บอดีตอนาคตมาไว้ ทำให้แส่ส่ายไปตามอาการ ให้เอาเฉพาะปัจจุบัน ธมฺโม น้อมเข้ามาให้ได้กำลังทางด้านจิตใจ  ละวางอดีตอนาคต อันเป็นส่วนธรรมเมา เพ่งพินิจเฉพาะ ธรรมโม
รักษากายให้บริสุทธิ์ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ น้อมเข้าหาใจให้รู้แจ้งใจนี้ กายก็ให้รู้แจ้ง เอาให้รู้แจ้งกายใจ จนละได้วางได้ เพ่งจนเป็นร่างกระดูกทำได้อย่างนี้ก็พอสมควร เอาให้มันรู้แจ้งเฉพาะกายใจนี่ ไม่ต้องเอามาก ถ้าเอามากมันมักไปยึดเป็นอดีตอนาคตไปเสียข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา
ตั้งหลักไว้ อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ระลึก ดับ ละ วาง ในปัจจุบันจึงเป็น ธรรมโม เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคต ถ้ามันเกิดมันก็ต้องดับลงไป
ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจุดของจริง อดีต อนาคต ปัจจุบัน สามอย่างนี้แหละเป็นทางเดินของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ มันแสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามา ๆ ถึงอย่างนั้นกิเลสทั้งหลายมันก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกันแต่ถ้ามีสติ ความชั่วเหล่านั้นมันก็ดับไป

1908
สัตตาหกรณียะ

ธุระเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ ๗ วัน ได้แก่ ๑. ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิกหรือ มารดาบิดาผู้เจ็บไข้ ๒. ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก ๓. ไปเพื่อกิจสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อม วิหารที่ชำรุดลงในเวลานั้น ๔.ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งส่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเขา และธุระอื่น จากนี้ที่เป็นกิจลักษณะอนุโลมตามนี้ได้

1909
สติปัฏฐานสูตร หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ชาวกุรุชนบท ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ [1][2][3] (ปัจจุบันอยู่ในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย) สติปัฏฐานสูตรหรือมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นหนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
มหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อพิจารณาจากพระพุทธพจน์ตอนเริ่มพระสูตร อาจกล่าวได้ว่าหลักการในพระสูตรนี้ เป็นหลักแนวปฏิบัติตรงที่เน้นเฉพาะเพื่อการรู้แจ้ง[4] คือให้มีสติพิจารณากำกับดูสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง[5] โดยไม่ให้ถูกครอบงำไว้ด้วยอำนาจกิเลสต่าง ๆ โดยมีแนวปฏิบัติเป็นขั้นตอน 4 ระดับ คือ พิจารณากาย, ความรู้สึก (เวทนา), จิต, และธรรมที่เกิดในจิต

มหาสติปัฏฐานสูตร​ หมายถึง ​ ​พระสูตรที่กล่าว​ถึง​วิธี​เจริญสติปัฏฐาน​ 21 ​บรรพะ​ ​อยู่​ใน​พระสุตตันตปิฎก​ ​ทีฆนิกาย​ ​มหาวรรค​ ​เป็น​สูตรที่​ 9 ​รองสุดท้ายของวรรคนี้
สติปัฏฐานสูตร​ ​คือ​ ​พระสูตรที่กล่าว​ถึง​วิธี​เจริญสติปัฏฐาน​ ​สติปัฏฐานสูตรนี้อาจมีอยู่ในพระไตรปิฎกหลายที่​แล้ว​แต่​ท่านจะ​ตั้งชื่อ​ ​แต่ที่นิยมเอามาพูด​ถึง​ ​จะ​อยู่​ใน​พระสุตตันตปิฎก​ ​มัชฌิมนิกาย​ ​มูลปัณณาสก์​ ​กล่าว​ถึง​วิธี​เจริญสติปัฏฐาน​ 21 ​บรรพะ​เหมือน​ใน​ทีฆนิกายนั่นเอง​.

โครงสร้างสูตร

ในมหาสติปัฏฐานสูตรท่านได้แสดงเรื่องเกี่ยวกับสติปัฏฐานไว้อย่างละเอียด โดยแบ่งแสดงออกเป็นข้อ ๆ เรียกว่า ปพฺพ(ปัพพะ,บรรพะ, ข้อ, แบบ) โดยในพระบาลีใช้คำว่า อปิจ(อะปิจะ - อีกอย่างหนึ่ง) เป็นเครื่องหมายในการแบ่งสติปัฏฐาน 4 อย่างลงไปอีก รวมทั้งสิ้น 21 บรรพะ เริ่มที่อานาปานบรรพะ และไปสิ้นสุดที่ สัจจบรรพะ โดยเรียงตาม พระพุทธพจน์ ได้ดังต่อไปนี้ :-

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับร่างกายไว้ 14 แบบ คือ :-

อานาปานบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่องอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
อิริยาปถบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง ท่าทางของมนุษย์ ใน 4 อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
สัมปชัญญบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่องโคจรสัมปชัญญะ คือการเคลื่อนไหวของมนุษย์ เช่น อิริยาบถย่อยทั้ง 7 คือ เดินหน้า ถอยหลัง แล เหลียว เหยียด คู้ ใช้สอยข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
ธาตุมนสิการบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง ธาตุ 4 คือ ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม  ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
ปฏิกูลมนสิการบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง กายคตาสติ คือ องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ 32 อย่าง หรือที่เรียกว่า อาการ 32 ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
-14. นวสีวถิกาบรรพะ - อธิบายแนวพิจารณาคิดเรื่องนวสีหรือ ซากศพ 9 วาระ ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการได้สัมผัสรับรู้ไว้ 1 แบบ คือ :-
เวทนาบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่องเวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ที่เกิดจากการสัมผัสรับรู้ ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับการรับรู้ไว้ 1 แบบ คือ :-
จิตตบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่องจิตคือ การรับรู้-ความคิดคำนึงมี กิริยาจิต ทั้ง 11 เป็นต้น ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับการรับรู้ไว้ 5 แบบ คือ :-
ขันธบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง ร่างกายและจิตใจทั้งหมด ตามการจัดหมวดแบบขันธ์ 5 ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
อายตนบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง การรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 6 ตามการจัดหมวดแบบอายตนะ12 โดยพิจารณาตามการยึดติดที่ผูกมัดจิตของเหล่าสัตว์ของสังโยชน์ 10 ที่ผูกจิตในทุกปัจจุบันขณะ ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
นีวรณบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง จิตใจฝ่ายชั่วร้าย 5 กลุ่ม ตามการจัดหมวดแบบนิวรณ์5 อันส่งเสริมสมาธิ ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
โพชฌังคบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง จิตใจฝ่ายดีงามพร้อมจะตรัสรู้ 7 อย่าง อันส่งเสริมศีล ตามการจัดหมวดแบบโพชฌงค์7 ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
สัจจะบรรพะ - อธิบายแนวคิดพิจารณาเรื่อง สภาวะอันเป็นปรมัตถ์ ตามการจัดหมวดแบบอริยสัจ4 อันส่งเสริมปัญญา ที่เมื่อคิดตามให้มากแล้วจะสามารถละคลายอนุสัยกิเลสได้.
การแสดงข้อมูลสำหรับสะสมอบรมสติปัฏฐานไว้ถึง 21 แบบ ซ้ำกันไปซ้ำกันมาในเรื่องเดียวกันอยู่อย่างนี้ เพราะทรงแสดงตามนิสัยสันดานของแต่ละคนที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านข้อมูลและภาษาเป็นต้นมาไม่เหมือนกัน หากทรงแสดงย่อเพียงแบบใดแบบหนึ่ง ผู้ฟังบางส่วนอาจไม่สามารถทำความเข้าใจจนบรรลุได้.
แต่หากทรงแสดงหลากหลายแบบ เลือกคำพูดและร้อยเรียงเอาเรื่องราวที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมาแสดงแล้ว ก็อาจทำให้ผู้ฟังบรรลุได้ตามประสงค์ เพราะผู้ฟังก็มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆอยู่ในระดับชำนาญเฉพาะทางอยู่แล้ว เพียงแค่ทรงบอกแนะเพิ่มเติมในจุดที่ขาดตกบกพร่องไปเท่านั้นเขาก็สามารถเข้าใจและบรรลุตามได้ไม่ยากเลย, เหมือนการอธิบายเรื่องพระเจ้าหลุยให้ชาวฝรั่งเศสฟังด้วยภาษาฝรั่งเศส ถ้าเจอคนโง่ก็อธิบายให้คนโง่ฟังอย่างละเอียด ถ้าเจอคนฉลาดก็อธิบายให้คนฉลาดอย่างสังเขป เป็นต้นนั่นเอง.
อนึ่ง ทั้ง 21 บรรพะนี้ พึงทราบว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้อย่างย่อเท่านั้น รายละเอียดจำเป็นต้องดูเพิ่มเติมที่สติปัฏฐานสังยุตต์ ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค, สติปัฏฐานนิทเทส ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค, สติปัฏฐานวิภังค์ ในอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์(<<ละเอียดที่สุด) และคัมภีร์ชั้นอรรถกถา-ฏีกา เช่น อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร ใน สุมังคลวิลาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร ใน ปปัญจสูทนีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานสังยุตต์ ใน สารัตถปกาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานนิทเทส ใน สัทธัมมปกาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานวิภังค์ ใน สัมโมหวิโนทนีปกรณ์, อภิธัมมัตถวิภาวินีฏีกา ฏีกาของอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 7(ย่อไว้ดีมาก),ฏีกา-อนุฏีกาของอรรถกถาเหล่านั้น เป็นต้น. อย่างไรก็ตาม การจะทำความเข้าใจอย่างละเอียดนั้นจำเป็นต้องมีพื้นฐานในด้านข้อมูล-ภาษา-และความสัมพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก-อรรถกถา-ฏีกามากพอสมควร ซึ่งสามารถหาประสบการและความชำนาญได้ด้วยการหาความรู้เพิ่มเติมไปอีก เช่น ถ้าอ่านเรื่อง "รูปขันธ์" ใน ขันธบรรพะ พร้อมอรรถกถา-ฏีกาแล้ว ก็ควรอ่านขันธวารวรรค ในสังยุตตนิกาย, ขันธวิภังค์ ในวิภังคปกรณ์, ขันธนิทเทส ในวิสุทธิมรรค ปัญญานิทเทส, การจำแนกขันธ์ที่มาในธัมมสังคณีปกรณ์, อภิธัมมัตถสังคหปกรณ์, อภิธัมมัตถวิภาวินีปกรณ์ เป็นต้น.

เปรียบเทียบมหาสติปัฏฐานสูตรกับสติปัฏฐานสูตร

มหาสติปัฏฐานสูตร กับ สติปัฏฐานสูตร ต่างกันดังนี้ :-
มหาสติปัฏฐานสูตรอยู่ในทีฆนิกาย ส่วนสติปัฏฐานสูตรอยู่ในมัชฌิมนิกาย และในสังยุตตนิกายเป็นต้น
​สติปัฏฐานสูตร​ใน​มัชฌิมนิกาย ​จะ​มีการ​ใช้​เปยยาล​(ฯลฯ) ​มาย่อข้อ​ความ​ที่​ซ้ำ​ๆ​กัน​ ​จึง​ทำ​ให้​ดู​เหมือน​​สั้นลง​ ​แต่​ความ​จริง​ถ้า​แทนเปยยาล​ด้วย​ข้อ​ความ​ปรกติก็​จะ​ต้อง​มีขนาด​เท่า​ กัน
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​ทีฆนิกายนั้น​ ​บางบรรพะ​ ​เช่น​ อรรถกถาของสัมปชัญญบรรพะ ​เป็น​ต้น​ ​จะมีขนาด​สั้นกว่า​ อรรถกถาของสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​มัชฌิมนิกาย ​เพราะ​ท่าน​ได้​อธิบาย​ไว้​ก่อน​แล้ว​ในอรรถกถาของสามัญญผลสูตรเป็น​ต้น​ ​ท่าน​จึง​ไม่​กล่าว​ซ้ำ​อีก​. ​อรรถกถาของสติปัฏฐานสูตร​ ​ใน​มัชฌิมนิกายก็​เช่น​กัน​ ​คือ อรรถกถาของบางบรรพะ​ ​เช่น​ อรรถกถาของสัจจบรรพะ ​เป็น​ต้น​ ​ก็​จะ​สั้นกว่าอรรถกถา​เรื่องเดียว​กัน​น​ ​ใน​ทีฆนิกาย ​เพราะ​ท่าน​ได้​กล่าว​ไว้​ก่อน​แล้ว​ใน​อรรถกถาสูตร​อื่น​ที่มาก่อน​ซึ่ง​ อยู่​ใน​มัชฌิมนิกายเหมือน​กัน​ ​เพราะ​แต่ละนิกายก็​จะ​มีอรรถกถาคนละ​เล่มเช่น​ ​อรรถกถาขอทีฆนิกาย​ ​ชื่อ​ ​สุมังคลวิลาสินี​, ​อรรถกถาของมัชฌิมนิกาย​ ​ชื่อ​ ​ปปัญจสูทนี​ ​เป็น​ต้น​ ​ซึ่ง​แม้​จะ​มี​เนื้อหาคล้ายๆ​กัน​ ​แต่ก็​จะ​มีการเรียงเนื้อหาอธิบายต่าง​กัน​ขึ้น​อยู่​กับ​ว่า​ ​สูตรไหนมาก่อน​-​คำ​ไหนมาก่อน​ ​ก็ถูกอธิบายก่อน​, ​สูตรไหนมาหลัง​-​คำ​ไหนมาหลัง​ ​ก็ถูกอธิบายทีหลัง​ ​ที่อธิบายมา​แล้ว​ท่านก็​จะ​ให้​ย้อนดูอันที่ผ่านมา​แล้ว​ ​ไม่​อธิบาย​ซ้ำ​อีก​, ​พอ​เป็น​อรรถกถาคนละ​เล่ม​กัน​ ​อรรถกถา​จึง​สั้นยาวต่าง​กัน​ ​แต่​ถ้า​เอาที่ท่านละ​ไว้​มา​เติมก็​จะ​ได้​พอๆ​กัน​ ​ต่าง​กัน​บ้าง​เล็ก​น้อยแค่​ใน​บางจุด​เท่า​นั้น​.
อนึ่ง ข้อน่าสังเกต คือ ฉ. ฉัฏฐสังคายนาของพม่า สติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกาย ชื่อของพระพุทธพจน์จะใช้ มหาสติปัฏฐานสูตร ส่วนในอรรถกถาจะใช้แค่สติปัฏฐานสูตร. เมื่อตรวจสอบกับที่อื่นๆ ในอรรถกถาก็พบว่า เมื่อสุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกายอ้างถึงมหาสติปัฏฐานสูตรว่าจะอธิบายในสูตรนี้ ท่านก็จะใช้คำว่า "มหาสติปฏฺฐานสุตฺต". แต่ถ้าเป็นปปัญจสูทนี อรรถกถาของมัชฌิมนิกาย เวลาอ้างท่านจะใช้แค่ว่า "สติปฏฺฐานสุตฺต" ไม่ใช่ "มหาสติปฏฺฐานสุตฺต". ซึ่งเป็นอย่างนี้ทั้งในอรรถกถาและฏีกาของทั้ง 2 คัมภีร์ และตรงกันทั้ง ฉบับไทย ทั้ง ฉบับพม่า. จึงมีความเป็นไปได้ว่า ท่านใช้ชื่อสติปัฏฐานสูตรกับมหาสติปัฏฐานสูตร ตามแบบที่ไทยใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยแยกอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว.
ในอรรถกถาที่อื่นนั้น มีอยู่ 1 ที่ ในนิทานวรรคท่านเรียกรวมทั้ง มหาสติปัฏฐานสูตร ในทีฆนิกาย และ สติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกาย รวมกันทั้ง 2 สูตร ว่าเป็น "มหาสติปัฏฐาน" ไปเลยก็มี. คงเป็นเพราะว่า ถ้าสติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกายไม่ทำเปยยาลแล้วเขียนเต็มก็จะต้องมีขนาดเท่ากับมหาสติปัฏฐาน สูตรในมัชฌิมนิกายนั่นเอง.

1910
กายคตาสติ

กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน
หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง
หรือนอนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น


ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความรู้สึกตัว
ในเวลาก้าวไปและถอยกลับ
ในเวลาแลดู และเหลียวดู
ในเวลางอแขนและเหยียดแขน
ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ในเวลา ฉัน ดื่มเคี้ยว และลิ้ม
ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ในเวลา เดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น


ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล
ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร...
เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นออกแล้ว พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล
ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม...
เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโค ผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ ใกล้ทางใหญ่ ๔ แยก ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันตายได้วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม
จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆชนิดฟอนกินอยู่บ้าง
จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้ เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


(นัยเดียวกันนี้ กับ)
ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก มีทั้งเนื้อและเลือด เส้นเอ็นผูกรัดไว้...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ไม่มีเนื้อ มีแต่เลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูกรัดแล้ว กระจัดกระจายไปทั่วทิศต่างๆ คือ กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่ง
จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


(นัยเดียวกันนี้ กับ)
ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก สีขาวเปรียบดังสีสังข์...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก เรี่ยราดเป็นกองๆ มีอายุเกินปีหนึ่ง...

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก ผุเป็นจุณ
จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เธอยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง...
เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว เคล้าด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น มียางซึม เคลือบ จึงจับกันทั้งข้างในข้างนอก และกลายเป็นผลึกด้วยยาง ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
เธอยังกายนี้แล ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง...
เปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก ทั้งในทิศตะวันตก ทั้งในทิศเหนือ ทั้งในทิศใต้เลย และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล ขณะนั้นแล ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย
ย่อมเข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่
เธอยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง...
เปรียบเหมือนดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว แต่ละชนิด ในกอบัวขาบ หรือในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เนื่องอยู่ในน้ำ ขึ้นตามน้ำจมอยู่ในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซึมซาบด้วยน้ำเย็นจนถึงยอดและเง่า
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทุกส่วนที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ภิกษุเข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เธอย่อมเป็นผู้นั่งเอาใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ่ไปทั่วกายนี้แล
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง...
เปรียบเหมือนบุรุษนั่งเอาผ้าขาวคลุมตลอดทั้งศีรษะ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของบุรุษนั้นที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมเป็นผู้นั่งเอาใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ่ไปทั่วกายนี้แล
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

อานิสงส์

ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
ชื่อว่าเจริญและทำให้มากซึ่งกุศลธรรมส่วนวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่งอันรวมอยู่ในภายในด้วย...
เปรียบเหมือนบุคคลไรๆ ก็ตามนึกถึงมหาสมุทรด้วยใจแล้ว
ชื่อว่านึกถึงแม่น้ำน้อยที่ไหลมาสู่สมุทรสายใดสายหนึ่งอันรวมอยู่ในภายในด้วย ฉันใด...
ฉันนั้นเหมือนกันแลภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
ชื่อว่าเจริญและทำให้มาก ซึ่งกุศลธรรมส่วนวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่งอันรวมอยู่ในภายในด้วย
ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์
ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์
ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไป โดยการทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ
กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนืองๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 10 ประการนี้ คือ
อดกลั้นต่อความไม่ยินดีและความยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดีครอบงำ ย่อมครอบงำความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย
อดกลั้นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัวครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย
อดทน คือเป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และ สัตว์เสือกคลาน ต่อทำนองคำพูดที่กล่าวร้าย ใส่ร้าย ต่อเวทนาประจำสรีระที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้
เป็นผู้ได้ฌาน 4 อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน ตามความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก
ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ
ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ได้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์
ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ
ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ
ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่

1911
ปฏิปทา แปลว่า ทางดำเนิน ข้อปฏิบัติ แนวทางปฏิบัติ ความประพฤติ

ปฏิปทา ในทางธรรมมักปรากฏต่อท้ายคำอื่นๆ เช่น
มัชฌิมาปฏิปทา หมายถึงข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง
ทุกขนิโรธปฏิปทา หมายถึงข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ปฏิปทา ในทางโลกมักถูกนำมาใช้ในความหมายว่าความประพฤติ และใช้กับความประพฤติที่ดีงาม ไม่ใช้กับความประพฤติที่ไม่ดี เช่นใช้ว่า
"เขาเป็นคนมีปฏิปทาอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
หมายความว่าเขาเป็นคนมีความประพฤติที่ดี เช่น ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีอัธยาศัยดี หรือมีอุปนิสัยใจคอตามที่แสดงออกมาเช่นนั้น

1912
สมาชิกใหม่เช่นกันครับ

นำมาฝากให้เพื่อนๆอ่านกันครับ....ในกรณีที่มี....ความเห็นที่แตกต่าง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11092.msg106359#msg106359

1913
วิธีทำบารมี 10 ให้เต็ม
 


บารมี นี่เขาแปลตามภาษาบาลีแปลว่า เต็ม แต่เนื้อแท้จริง ๆ ต้องใช้กำลังใจให้เต็ม
ไม่ใช่เอาวัตถุมาเต็ม คือ

(1) ทานบารมี จิตใจท่านพร้อมแล้วหรือยังที่จะให้ทานตามความสามารถ
เพราะการให้ทานนี่เป็นการทำลายโลภะ ความโลภ
(คำว่าทานบารมีเต็ม ก็คือ จิตใจเรามีำกำลังใจเต็มในการให้ทาน มีความรู้สึกอยากให้อยู่ตลอด โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นและธำรงค์พระุพุทธศาสนา เป็นการให้เพื่อลดความตะหนี่ในใจเราเอง…สำหรับวิธีปฏิบัติคือ หากใครใส่บาตรได้ทุกวันก็ถือว่าดีมาก แต่หากไม่สะดวกแนะนำให้ใส่บาตรวิระทะโย คือ นำเงินใส่กระป๋องทุกวัน แล้วค่อยรวบรวมไปทำบุญ)
ส่วนเสริม สำหรับบางท่านที่ไม่มีเงิน อาจใช้อย่างอื่นแทนเช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาร หรือ ไม่มีข้าว ไม่มีเงิน แต่ต้องการให้ทานบารมีเต็ม ให้ปลูกพืชผัก แล้วตั้งใจว่า ผัก(เช่นพริก มะเขือ) ต้นนี้ เราจะไม่กิน ออกผลเมื่อไหร่ จะเอาไปถวายพระสงฆ์ทั้งหมด….

(2) ศีลบารมี ศีลของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือเปล่า
ทุกวันท่านพิจารณาศีลของท่านหรือเปล่าว่าครบถ้วนไหม
(การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต้องเจริญพรหมวิหาร 4 และกรรมบท 10 ควบคู่ไปด้วย)

(3) เนกขัมมบารมี การถือบวช หรือ การละออกจากกาม การถือบวชในที่นี้ก็หมายถึงว่าเป็นการระงับนิวรณ์ 5 ประการ โดยเฉพาะ
กามฉันทะ เห็นรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสที่ต้องการการมั่วสุมไปด้วยกามารมณ์เป็นโทษ มันเป็น อนิจจัง ไม่มีการทรงตัว รูปมันสวยไม่จริงสวยนิดหนึ่ง แล้วก็แก่ไปเสื่อมไปทุกวัน เสียงผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นหอมกระทบจมูกแล้วก็หายไป สัมผัสที่เรานึกว่าดี ความจริงมันเป็นปัจจัยนำโทษมา นี่หมายถึงว่าสัมผัสระหว่างเพศมันนำโทษมาให้ หากต้องการสัมผัสแบบนั้นงานมาก งานมันก็เกิดขึ้นมาก กำลังใจต้องรักษาไว้ซึ่งกันและกัน ต้องเอาใจคนโน้น ต้องเอาใจคนนี้หนักใจมาก

(4) ปัญญาบารมี นี่เราเห็นหรือยังว่าการเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วนี่ภาระต่าง ๆ เต็มไปหมด
ที่พูดไปแล้วนี่มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นหาความสุขไม่ได้ ถ้าเราจะสุขได้จริง ๆ ก็ต้องวางการเกิดคือ
วางขันธ์ 5 นี่เป็น ปัญญาบารมี

(5) วิริยบารมี ได้แก่ความเพียร เรามีความเพียรครบถ้วนแล้วหรือยัง
คือใช้กำลังใจเป็นสำคัญ ไปหักห้ามความชั่วไม่ให้เข้ามายุ่งกับใจ
(6) ขันติบารมี แปลว่า ความอดทน การกระทำความดีที่ฝืนอารมณ์เดิมต้องอดทนเพราะใจมันคอยจะต่ำ มันคบกิเลส ตัณหา อุปาทาน คือ มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เราก็พิจารณาเห็นว่าความรักเป็นโทษ ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นโทษ เราจะฝืนกำลังใจที่มันคบกันมานาน เราก็ต้องใช้ความอดทน ไม่อย่างนั้นเราก็จะทรงตัวอยู่ไม่ได้

(7) สัจจบารมี ความจริงใจ ที่เราตั้งใจจะห้ำหั่นกิเลสทั้ง 3 ประการให้มันสิ้นไป
เราจะไม่ละความพยายามทรงสัจจะเข้าไว้ จะไม่ยอมทิ้งสัจจะคือความจริงใจ
แต่ว่าการรักษาสัจจะต้องให้มันพอดีพอควร อย่าทำเกินพอดี การนั่งกรรมฐานเครียดเกินไป พระพุทธเจ้าไม่ใช้ ใช้อารมณ์ย่อหย่อนเกินไปไม่ใช้ ใช้อารมณ์พอดี ๆ เพื่อรักษาอาการของขันธ์ 5 ให้เป็นปกติ

(8) อธิษฐานบารมี อธิษฐานต้องตั้งใจไว้เลยว่า การปฏิบัติแบบนี้ เราต้องการพระนิพพาน ไม่ใช่สักแต่เพียงว่าทำเป็นแค่อุปนิสัย ถ้าอารมณ์คิดว่าเป็นแค่อุปนิสัยมันขี้เกียจง่าย ตั้งใจไว้เฉพาะว่าชาตินี้ทั้งชาติ อย่างเลวที่สุดเราจะเป็นพระโสดาบันให้ได้

(9) เมตตาบารมี เมตตาบารมีตัวนี้ก็เป็นตัว ตัดโทสะ ความพยาบาท ที่เป็นกิเลสตัวสำคัญ
สำหรับ ปัญญาบารมี นั้นตัดโมหะ

(10) อุเบกขาบารมี ทรงอารมณ์เฉย ในเมื่อกฎของกรรมที่เราทำไว้เป็นอกุศลในชาติก่อนที่เราทำมันมาให้ผล เราก็มีอารมณ์สบาย อะไรมันจะเกิดแก่เราบ้าง เราก็สบายที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ คือร่างกายมันจะแก่เราก็สบาย
เฉย….เรารู้ว่าจะแก่ ถ้ามันจะป่วยใจเราก็สบาย เพราะรู้ว่ามันจะป่วย รักษาตัวเหมือนกัน หายก็หาย
ตายแหล่ก็ช่างมัน ของรักของชอบใจที่จะต้องพลัดพรากจากกัน เรารู้ว่านี่เป็นธรรมดา อารมณ์ใจก็เฉย
สบาย…เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดา มันจะจากไปเราก็ห้ามมันไม่ได้ คนที่รักกันกับเราเขาประกาศเป็นศัตรูก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขากับเรายังมีกิเลสกัน ต่างคนต่างมีกิเลส เขาจะไปมันเป็นเรื่องของเขาเราไม่ตาม ถ้าเขาจะมาเราก็ไม่ปฏิเสธพร้อมยอมรับ ใจสบายเป็น อุเบกขาบารมี ร่างกายมันจะตายจะพังก็ช่าง จัดเป็น อุเบกขาบารมี

กำลังใจรวมความว่าบารมีทั้ง 10 ประการ คือ
(1) จิตพร้อมจะให้ทาน
(2) จิตทรงศีลอยู่เสมอ
(3) เราพร้อมที่จะระงับนิวรณ์ 5 ประการ
(4) เรามีปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎของธรรมดา
มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเป็นปกติ
(5) เรามีความเพียรเพื่อจะทำลายกิเลสให้พินาศไป
(6) เรามีขันติความอดทน ทนต่อการฝืนอารมณ์เพราะอารมณ์มันคอยต่ำ เราจะดึงขึ้นสูง
มันก็จะคอยต่ำต้องทนดึงเข้าไว้
(7) สัจจะ เมื่อตั้งใจจะทำลายกิเลสแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำลายกิเลสกันเรื่อยไป ไม่ถอยกลับ
(8) อธิษฐานตั้งอารมณ์ไว้ตรงว่าเราจะเข้าไปหาพระนิพพานให้ได้ จะไม่ยอมถอยหลัง
จับจุดไว้จุดเดียวเท่านั้น
(9) เมตตา ประกาศตนเป็นคนมีความรักปรารถนาในการสงเคราะห์คนทั้งหมดและสัตว์ทั้งหมด
ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรูร้ายของเรา
(10) อุเบกขา มีความวางเฉย วางเสียได้เมื่อกฎของกรรมจะเข้ามาสนองตน
บารมี 10 นี้ท่านให้ทบทวนทุกวันว่าเรามีครบหรือไม่ ขาดบกพร่องข้อใดบ้าง

http://www.dhammatan.net/2010/07/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-10/

1914
ขอบพระคุณครับ ถึงแม้ว่าไม่ได้ไป แต่ก็รู้สึกใกล้ชิด :015:

1915
ปฏิฆะ

คำแปล2

(มค. ปฏิฆ) น. ความขัดใจ เป็นอาการของจิต อย่างหนึ่ง หากระงับไว้ไม่ได้จะกลายเป็นความ โกรธและพยาบาทต่อไป เมื่อจิตของเราไม่พอใจกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (อรติ) แล้ว หาก ไม่ระงับความไม่พอใจนั้นเสียก็จะเกิดปฏิฆะ คือ ความขัดใจ หมายถึงจิตไม่อาจลืมอารมณ์นั้น เสียได้ อย่างนี้บางทีเรียกว่าความแค้นใจ ถ้าใจมี ปฏิฆะแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่เป็นอันคิด การงาน หากไม่ระงับปฏิฆะเสียก็จะเกิดโกธะ (ความโกรธ) โทสะ (ความคิดร้าย) พยาบาท (ความคิดแก้แค้น) ต่อไป.

===============

การดับปฏิฆะเป็นพระนิพนธ์บทหนึ่งของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งไม่ชอบใจ ผิดใจ เมื่อมีปฏิฆะอยู่ในบุคคลใด ก็ย่อมจะมีความลำเอียงเพราะโทสาคติ คือความลำเอียงเพราะความชังในบุคคลนั้น จะไม่ใคร่มองเห็นความดีของบุคคลนั้น จะมองเห็นความไม่ดีอยู่เสมอ

การแผ่เมตตาดับปฏิฆะไปในบุคคลที่ไม่เป็นที่รัก เช่น ในผู้ที่เป็นศัตรู ถ้าหากจิตใจยังไม่เป็นอุเบกขา คือยังดับปฏิฆะในใจไม่ได้ การแผ่เมตตาออกไปในบุคคลที่ชังกันนั้นยากมาก จิตไม่ยอมที่จะเมตตา ยิ่งไปคิดถึงบางทีกลับไปเพิ่มความพยาบาท โทสะให้มากขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นต้องคิดดับปฏิฆะในใจ ทำใจให้เป็นอุเบกขาให้ได้ โดยที่ปลงลงในกรรม เป็นกรรมของบุคคลที่ตนไม่ชอบนั้นเองด้วย เป็นกรรมของตนเองด้วย และไม่ว่าจะเป็นศัตรูคือบุคคลที่ตนไม่ชอบหรือว่าเป็นตนเอง เมื่อทำอะไรออกไปทางกาย ทางวาจา ตลอดจนถึงทางใจ

กรรมที่ทำนั้นถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลกรรมของตนเองเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นพิจารณาดูว่าไม่ชอบเขาเพราะอะไร เขาเป็นศัตรูเพราะอะไร สมมติว่าไม่ชอบเขา เห็นว่าเขาเป็นศัตรู เขาทำร้าย เขาพูดร้าย เขาแสดงอาการคิดร้ายต่อตนอย่างใดอย่างหนึ่ง

คราวนี้ก็มาพิจารณาปลงลงในกรรม ก็พิจารณาว่าการทำร้าย การพูดร้าย การคิดร้ายของเขานั้นใครเป็นคนทำ เขาทำหรือว่าเราทำ ก็ต้องตอบว่าเขาทำ ก็เมื่อเขาทำก็เป็นกรรมของเขา เมื่อเขาทำร้าย เขาคิดร้าย เขาพูดร้ายจริงแม้ต่อเรา กรรมที่เขาทำนั้นก็เป็นอกุศลกรรมของเขาเอง เราไม่ได้ทำก็ไม่เป็นกรรมของเรา

แม้ว่าเราจะเดือดร้อนเพราะกรรมเขาก็จริง แต่กรรมที่เขาทำก็เป็นกรรมของเขาเอง ไม่ใช่กรรมชั่วของเรา เมื่อแบ่งกรรมออกได้ดังนี้แล้ว ก็จะทำให้ปลงใจลงในกรรมได้ไม่มากก็น้อย หรือว่าปลงลงไปได้ครึ่งหนึ่ง หรือว่าค่อนหนึ่ง หรือว่าทั้งหมด

ถ้าหากว่าสามารถพิจารณาให้เห็นจริงจังดั่งนั้นได้ และก็ดูถึงกรรมของตนเองว่า อาจจะเป็นที่ตนกระทำกรรมอันใดอันหนึ่งที่เป็นกรรมชั่วของตน แต่ว่าไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนในอดีต(อดีตชาติ)บ้าง หรือว่าในปัจจุบันบ้างก็ได้

เพราะฉะนั้นก็ให้อโหสิกรรมกันไปเสีย คิดปลงลงไปดั่งนี้ แล้วก็จะทำให้ดับปฏิฆะลงไปได้ คิดแผ่เมตตาไปแม้ในคนที่เป็นศัตรูหรือคนที่ชังกันก็ย่อมจะทำได้ง่าย

1916
หัวใจพระสีวลี

นะชาลีติ
นะ หมายถึง นอบน้อม มีสัมมาคาราวะ
ชา หมายถึง ขวนขวายเรื่องการงาน
ลี หมายถึง ไม่นอนมาก ไม่นอนดึก ไม่ตื่นสาย
ติ หมายถึง ว่าโดยทั้งหมด
ท่องตอน ติดต่อลูกค้า คุยกับผู้ใหญ่ ติดต่องานการ
"นะชาลีติ ประสิทธิลาภา"

คาถาบูชาพระสีวลี

สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ

คาถาพระสีวลี(คาถาเมตตามหานิยม)

พุทฺธังฺ เมตฺตา นะ-ชา-ลี-ติ ธัมฺมังฺ เมตฺตา นะ-ชา-ลี-ติ สังฺฆังฺ เมตฺตา นะ-ชา-ลี-ติ สีวลี เมตฺตา นะ-ชา-ลี-ติ
โอมฺมะ พลังฺ วา ราชะกุมาโร วา ราชะกุมารี วา ราชา วา ราชินี วา คหัฏฺโฐ วา ปัพพะชิโต วา สะมะโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิตฺถี วา ปุริโสวา วาณิโช วา วาณิชา วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา ทาระโก วา ทาริกา วา สัพฺเพ อิเม พหูชนา มัง ปิยายันฺตุ อาคัจฺเฉยฺยะ
อาคัจฺฉาหิ เอหิ จิตฺตังฺ ปิยังฺ มะมะ มหาลาภะสักฺการา ภวันฺตุ เม*

คำบูชาขอลาภพระสิวลี (ประจำวัน)

คนไทยเรามีความเชื่อกันมานานว่า กราบบูชาพระสิวลีแล้วชีวิตจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เนื่องเพราะพระสิวลี เป็น 1 ใน 80 พระอสีติมหาสาวก หรือศิษย์เอกของพระพุทธเจ้า พวกเราคุ้นเคยกันดีกับรูปลักษณ์ของพระสิวลีที่เป็นภิกษุ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายแบกกรด สะพายบาตรบ้าง สะพายย่ามเครื่องอัฐบริขารบ้าง พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสิวลีเป็นเอตทัคคะในทางมีลาภมาก เพราะท่านมีบุญบารมีสูง วันนี้จึงขอนำเสนอพระคาถาบูชาขอลาภประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน ดังนี้ครับ
วันอาทิตย์*
@ ฉิมพะลี จะ มหานามัง สัพพะลาภัง ภะวิสสะติ เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะ @ ท่อง 6 จบ
วันจันทร์**
@ ยัง ยัง ปุริโสวา อิตถีวา ทูเรหิวา สะมีเปหิวา เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะ มะ @ ท่อง 15 จบ
วันอังคาร***
@ ฉิมพะลี จะ มหาเถโร โสระโห ปัจจะยาทิมหิ เชยยะลาโภ มหาลาโภ สัพพะลาภา ภะวันตุ สัพพะทา @ ท่อง 8 จบ
วันพุธ****
@ ทิตติตถะภะเวราชา ปิยาจะ คะระตุเม เย สารัตติ นิรันตะรัง สัพพะสุขาวะหา @ ท่อง 17 จบ
วันพฤหัสบดี*****
@ ฉิมพะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ สัพพะทา @ ท่อง 19 จบ
วันศุกร์******
@ ฉิมพะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะนะ ระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มหาลาภัง กะโรนตุ เม ลาเภนะ อุตตะโม โหติ สัพพะลาภะ ภะวันตุ สัพพะทา @ ท่อง 21 จบ
วันเสาร์*******
@ ฉิมพะลี จะ มหานามัง อินทาพรหมา จะปูชิตัง สัพพะลาภัง ปะสิทธิ เม เภรัสสานุภาเวนะ สะทา สุขี ปิยัง มะมะ @ ท่อง 10 จบ ใครเกิดวันไหนก็ให้ท่องพระคาถาประจำวันนั้นๆ แต่คนโบราณจะนิยมสวดภาวนาทุกวัน โดยสวดตามพระคาถาในวันนั้นๆ เช่น วันจันทร์ก็สวดบทประจำวันจันทร์ วันอังคารก็สวดบทประจำวันอังคาร ครับ

1917
พวกมิจฉาชีพมักจะแฝงตัวไปในที่ชุมนุมเพื่อก่อกรรมเช่นนี้
ไม่ว่างานไหน ก็มีเสมอ อย่างงานศพหลวงตาบัวก็เช่นกัน

1918
ขอชมฝีมือการถ่ายภาพ :015:

เหาะมาเลยครับ

1919
คาถากันอัคคีภัย

ปัญจมาเล
ชิเนนาโถ
ปัตโตสัมโพ
ชิมตตะมัง
อรหังพุทโธ
อิติปิโสภะคะวา

1920
ยิ่งขุดยิ่งเจอทางสว่าง
[youtube=425,350]qtOKTI72RHg[/youtube]

1921
บทความ บทกวี / ตอบ: ผีสางคางแดง
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:51:43 »
ผีสางคางแดง : ตอน 2
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:09:47 น.


เทวดาแก้ผ้า
 
คำว่า ′เทวดา′ เป็นคำกลางๆ ใช้กับเทวดาผู้ชายก็ได้ เทวดาผู้หญิงก็ได้
 
                ในภาษาแขกซึ่งเป็นต้นเดิมของคำเหล่านี้ ถ้าพูดเทวดาผู้ชายเขามักใช้คำว่าเทวปุตต (ภาษาไทยแปลงเป็นเทพบุตร)  เทวดาผู้หญิงใช้คำว่าเทวธีตา (ภาษาไทยใช้คำว่าเทพธิดา)  ทั้งเทพบุตรและเทพธิดาแปลตามตัวว่า ′ลูกชายเทวดา′ และ ′ลูกสาวเทวดา′
 
                ว่ากันว่าสวรรค์ชั้นฟ้านั้นเต็มไปด้วยเทวดาหนุ่มๆ สาวๆ  ทั้งนี้เทวดาแก่ๆ ไม่ยักมี หรือว่าชาวเมืองฟ้าเขาไม่มีแก่เฒ่ากันก็ไม่รู้
 
                มีชื่อเรียกอีกคำหนึ่งที่คุ้นหูคนไทยเราคืออัปสร ซึ่งเราแปลกันว่า ′นางฟ้า′  ความจริงเทพธิดากับอัปสรน่าจะเป็นคนละพวกกัน นางฟ้าควรจะหมายถึงเทพธิดามากกว่าอัปสร  อัปสรนั้นแปลว่า ′นางน้ำ′(อัป = น้ำ + สร = เคลื่อนไหว)
 
                มีตำนานเก่าแก่สมัยพระเจ้าเหากล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งเทวดากับอสูรยังมีสัมพันธไมตรีอันดีกันอยู่นั้นพากันกวนน้ำอมฤต  ในการกวนน้ำอมฤตนั้นจะมีของวิเศษผุดขึ้นจากเกษียรสมุทร ๑๔ อย่างก่อนที่น้ำอมฤตจะโผล่ขึ้นเป็นอันดับสุดท้าย
 
                อันดับที่สี่โผล่ขึ้นมากลางทะเลน้ำนมก็คือนางอัปสร  ที่ได้นามดังนี้เพราะนางมีกำเนิดจากน้ำ ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยอย่างหยาดฟ้ามาดิน
 
                แต่ก็ประหลาด ทั้งที่งดงามอย่างนั้น เหล่าเทวดาและอสูรก็ไม่มีใครสน  มันจดจ่ออยู่แต่กับน้ำพรรค์หยั่งว่า  พอหม้อบรรจุแม่โขงเอ๊ย! น้ำอมฤตโผล่พ้นน้ำเท่านั้น ก็เกิดการวางมวยแย่งน้ำวิเศษกันโกลาหล  มึงมั่ง กูมั่ง จนหกเรี่ยราด
                นัยว่าเทวดากับอสูรเลยเกิดเขม่นกันมาตั้งแต่บัดนั้น  วันดีคืนดีจะยกทัพมารบราฆ่าฟันกันที ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เป็นสงครามยืดเยื้อต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเทวาสุรสงคราม
 
                สาเหตุก็เนื่องมาจากแย่งเหล้าโรงบางยี่ขันกันนี่แหละ  คิดดูอีกทีเทวดากับอสูรนี่โง่ชะมัด มีอย่างรึ นางน้ำออกเต่งตึงไม่สน ยื้อแย่งกันอยู่ได้กะไอ้ไหสุรา

                ในพระราชนิพนธ์เรื่องนารายณ์สิบปาง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงบรรยายฉากนี้อย่างแจ่มชัดว่า
               
                                ที่สี่ที่ขึ้นจาก                            ชลา ลัยฤา
                คือคณาอัปสร                                       เฉิดแฉล้ม
                รูปโฉมสุดโสภา                                     หาเปรียบ ไม่เลย 
                งามเนตรงามเกศแก้ม                           ก่องฉวี
                                ท่วงทีมารยาทล้วน                                ยวนใจ
                เสียงเสนาะขับรำ                                  ร่ำร้อง
                แต่หาสุรเทพใด                                      รับบ่ มีเลย
                เหตุฉะนั้นจึงต้อง                                   อยู่ลอย
               
                                คอยบำเรอเทพไท้                 เปรมปรีดิ์
                ยามเทพใดมีทุกข์                                   ช่วยแก้
                เปรียบโสภิณีนางในโลก                       มนุษย์แล
                เป็นแบบแต่นั่นแล้                                 สืบมา
               
                เมื่อไม่มีใครรับ ก็เลยกลายเป็นสมบัติส่วนกลาง ′คอยบำเรอเทพไท้ ยามเทพใดมีทุกข์ ช่วยแก้′ ทำหน้าที่โสภิณีในสวรรค์ว่างั้นเถอะ  ใครใคร่เชย เชย ใครใคร่ชม ชม ตามสบาย  เทพไท้องค์ไหนมักมากในกามารมณ์ก็กว้านไว้ในครอบครองมาก อย่างเช่นพระอินทร์(พระเอกของผมนั่นแหละครับ) ตั้งตนเป็นพ่อเล้าเลยทีเดียว  นอกจากจะเอาไว้เชยชมเองแล้ว แกยังใช้นางอัปสรเป็นเครื่องมือในการทำลายตบะของผู้เคร่งฌาน โดยเฉพาะฤๅษีชีไพร
 
                ทำไมหรือครับ?
 
                ผมจะเล่านิสัยขี้อิจฉาของพระอินทร์ไว้ว่า ถ้าแกเห็นใครทำความดีมากๆ แกก็กลัวเขาจะแย่งตำแหน่งแกเข้า  แกก็หาวิธีทำลายเขาเสียเองบ้าง ส่งนางอัปสรไปยั่วยวนให้ตบะเขาแตกบ้าง
 
                อย่างกรณีฤๅษีวิศวามิตรผู้เคร่งฌาน พระอินทร์ก็ส่งนางอัปสรชื่อเมนถา มาฉอเลาะออเซาะซะจนฤๅษีท่านเคลิบเคลิ้ม คุมสติสตังไว้ไม่อยู่ เลยตบะแตกได้นางเป็นภรรยา มีลูกด้วยกันคนหนึ่งชื่อศกุนตลา
 
                ดังที่เราท่านผู้ศึกษาวรรณคดีทราบกันดีอยู่แล้ว  เมื่อนางอัปสรกลับไปเมืองฟ้าแล้ว หลวงพ่อวิศวามิตรได้คิด จึงเริ่มบำเพ็ญฌานใหม่กล้าแข็งกว่าเดิม
 
                คราวนี้แข็งปั๋งดังโป๊กเลย พระอินทร์พ่อเล้าใหญ่ส่งมาอีกนางชื่อรัมภา บังเกิดเป็นคราวเคราะห์ของนาง หลวงพ่อไม่เล่นด้วย
 
                "คราวก่อนเผลอไปแผล็บเดียว ลูกออกมาหนึ่ง  คราวนี้ขืนน็อตหลุดอีก เดี๋ยวก็จะออกมาอีก อยู่ป่าดงพงไพรอย่างนี้จะเอาอะไรเลี้ยงมัน"
 
                คิดได้ดังนี้ หลวงพ่อเลยโนเค สาปส่งให้นางกลายเป็นหินเสียเลย  นางก็เลยกลายเป็นแพะรับบาป เพราะความขี้อิจฉาตาร้อนของพระเจ้า ′พันตา′ แท้ๆ น่าสงสาร
 
                ถ้าว่าตามตำราสันสกฤต เทพธิดากับอัปสรไม่ใช่พวกเดียวกันแต่ตำราฝ่ายบาลีดูเหมือน (ดูเหมือนไว้ก่อนนะครับ เพราะผมไม่แน่ใจ) กล่าวไว้ปนๆ กันจนกลายเป็นพวกเดียวกัน
 
                ยิ่งในความหมายอย่างไทยด้วยแล้ว ไม่ว่าเทพธิดา-นางอัปสร-นางฟ้า เราหมายถึงสตรีเพศที่งามหยาดเยิ้มหยดย้อยอยู่เมืองฟ้าอมรโน่นแหละ
 
                เวลาจิตรกรเขาวาดภาพนางฟ้าหรือเทพธิดาพวกนี้ จึงพยายาม
วาดจินตนาการให้อ่อนช้อยสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำ
 
                และเทพธิดานางฟ้าในความนึกคิดของไทยมักจะนุ่งน้อยห่มน้อยหรือเปลือยส่วนบนโชว์ส่วนเว้าส่วนนูนถึงอกถึงใจ ก็ความงามของสตรีจะอยู่ที่ไหนเล่าครับ ถ้าไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ใช่ไหมครับ
 
                ทั้งๆ ที่การวาดนางฟ้าเปลือยเป็นเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยก็ว่าได้  แต่จิตรกรรมเอกท่านหนึ่งถูกพระเจ้าอยู่หัวกริ้ว เป็นเรื่องเป็นราวอื้อฉาวกันใหญ่โต
 
                เรื่องเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระครูกสิณสังวร จิตรกรเอกร่วมยุคขรัวอินโข่ง เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ฝั่งธนบุรี ได้วาดภาพฝาผนังพระอุโบสถวัดแห่งนั้น
 
                ในหลวงเสด็จไปพระราชทานผ้าพระกฐิน ทอดพระเนตรเห็นภาพฝีมือของท่านเข้า ทรงพอพระทัย ตรัสถามว่าใครวาด  เมื่อทรงทราบว่าพระครูกสิณสังวรวาด จึงตรัสว่าเก่ง  แต่พอหันไปทอดพระเนตรอีกมุมหนึ่งเป็นรูปนางฟ้าเล่นน้ำ ไม่พอพระทัย ทรงตำหนิว่าวาดภาพประเจิดประเจ้อในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
 
                เรื่องนี้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ขอคัดลอกมาลงไว้ ณ ที่นี้
 
                จึงทรงพระราชดำริ จะใคร่สถาปนาเลื่อนพระครูกสิณสังวรให้เป็นพระญาณรังสี ที่พระราชาคณะ สำหรับพระอารามนั้น  แต่ครั้นทรงพิเคราะห์ไปในจิตรกรรมการเขียนผนังพระอุโบสถนั้น รำคาญพระเนตรอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องระหว่างประตูกลางและประตูเหนือหน้าพระอุโบสถ เขียนเป็นนันทอุทยานในดาวดึงส์สวรรค์ ก็ในนันทอุทยานนั้นล้วนเกลื่อนกลาดดาษดาไปด้วยนางเทพ นิกร อัปสรกัญญา เดินไปมาแลชมต้นไม้ที่มีดอกมีผลบ้าง ลงอาบน้ำในสุนันทโบกขรณีบ้าง มีรูปวุ่นวายอยู่ถึง ๗ รูป คือรูปเปิดผ้านุ่งถึงตะโพก นั่งถ่ายปัสสาวะ บ้างเป็นรูปยืนแหวกผ้านุ่งข้างหน้า บ้างบางนางว่ายน้ำท่อนกลางตัวพ้นน้ำมา ผ้านุ่งไม่มี  บางนางขึ้นจากท่า ผลัดผ้าข้างหน้าแหวกอยู่จนถึงอุทรประเทศ บางนางผลัดผ้าข้างหลังเปิดเห็นตะโพกบางนางหกล้มผ้าหลุดลุ่ย
 
                รูปภาพสตรีต่างๆ ถึง ๗ รูปที่เขียนไว้ดังนี้ ก็เป็นรูปนางสวรรค์ล้วนประดับประดามงกุฎ เป็นรูปภาพระบายอย่างดี มิใช่เป็นของเล่นที่ห้องนั้นอยู่เบื้องหน้าพระอุโบสถ ตรงพระพักตร์พระประธาน ตรงที่เสด็จไปประทับ  หรือเมื่อพระสงฆ์จะมาชุมนุมกันทำสังฆกรรมอุโบสถกรรมก็จะต้องแลดูรูปนั้นอยู่จนสังฆกรรมเลิก  ก็รูปภาพนางสวรรค์แปลกตา ๗ รูปนี้ พระครูกสิณสังวรให้การเขียนหรือช่างเขียนไปเอง  ถ้าให้การเขียนนั้นจะเป็นประโยชน์โภชผล เป็นปริศนาธรรมทางสังเวช หรือทางเลื่อมใสอย่างไร จึงเขียนไว้  ถ้าช่างเขียนไปเองช่างเขียนนั้นเป็นคนดีหรือเสียจริต  ถ้าเสียจริต ทำไมจึงเขียนรูปภาพระบายได้งามๆ ได้ดีๆ
 
                ท่านพระครูกสิณสังวรกำลังจะได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณรอมร่อ เลยอดเป็นกัน
                ภาพเทวดาแก้ผ้าเป็นเหตุแท้ๆ

1922
บทความ บทกวี / ตอบ: ผีสางคางแดง
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:46:11 »
กรณียเมตตสูตร
เมตตปริตร หรือ กรณียเมตตปริตร หรือ กรณียเมตตสูตร

ทำให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย เทพพิทักษ์รักษา ไม่มีภยันตราย จิตเป็นสมาธิง่าย ใบหน้าผ่องใส มีสิริมงคล ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต และเป็นพรหมเมื่อบรรลุเมตตาฌาน

๑. กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ . . . . . . . ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ . . . . . . . . . . . . สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
กิจที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และมุ่งหมายจะบรรลุทางสงบ จะพึงทำ ก็คือ เป็นคนกล้า, เป็นคนซื่อ, เป็นคนตรง, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ไม่เย่อหยิ่ง

๒. สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ . . . . . . . .อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
สันตินท์ริโย จะ นิปะโก จะ . . . . . . . . อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
เป็นผู้สันโดษ, เลี้ยงง่าย, มีภาระกิจน้อย, คล่องตัว, ระมัดระวังการแสดงออก, รู้ตัว, ไม่คะนอง, ไม่คลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย

๓. นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ . . . . . เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ . . . . . . . . . . . . สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ไม่ประพฤติสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียนได้, พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมีความสุขกายสบายใจ มีความเกษมสำราญเถิด

๔. เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ . . . . . . . . . . . . .ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
ทีฆา วา เย มะหันตา วา . . . . . . . . . . .มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา
ขอสัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ตัวอ่อน หรือตัวแข็งก็ตาม เป็นสัตว์-มีลำตัวยาวหรือ ลำตัวใหญ่ก็ตาม มีลำตัวปานกลาง หรือตัวสั้นก็ตาม ตัวเล็กหรือตัวโตก็ตาม

๕. ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา . . . . . . . . . เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา . . . . . . . . . . . . .สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้ว หรือ กำลังหาที่เกิดอยู่ก็ตาม ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจงสุขกายสบายใจเถิด

๖. นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ . . . . . . . . .นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
พ์ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา . . . . . . .นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ไม่ควรมุ่งร้าย ต่อกันและกัน เพราะมีความขุ่นเคืองโกรธแค้นกัน

๗. มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง . . . . . . . . . . อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ . . . . . . . . . . . . . . มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอม และปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิต ฉันนั้น

๘. เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิง . . . . . . . . .มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ . . . . . . . . . . อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ

๙. ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา . . . . . . . . . . . สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ . . . . . . . . . . พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เป็นพรหมวิหาร (การอยู่อย่างประเสริฐ)

๑๐. ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา . . . . .ทัสสะเนนะ สัมปันโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง . . . . . . . . . . . . . .นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ
ท่านผู้เจริญเมตตาจิต ที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ ขจัดความใคร่ ในกามได้ ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้

(คำแปลของ ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต)

1923
บทความ บทกวี / ผีสางคางแดง
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:43:15 »
ผีสางคางแดง : ตอนที่ 1
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:31:48 น.


เมื่อผมเล่นผีถ้วยแก้ว
 
ตามปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องผีเปรตอะไรและไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องประเภทนี้ด้วย  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมมันคนกลัวผี เขียนไปก็ขนลุกไป ไม่คุ้นไม่เคยเลยพับผ่า
 
                ผมไม่เคยโดนผีหลอก นึกไม่ออกว่าถ้าถูกมันหลอกเข้าจะเป็นอย่างไร  เขาว่าคนถูกผีหลอกจะจับไข้หัวโกร๋นพอๆ กับคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง  เพราะเป็นคนกลัวผี ผมจึงสวดมนต์และแผ่เมตตาเป็นประจำ
 
                มนต์บทที่ผมสวดประจำคือ กรณียเมตตสูตร (สูตรว่าด้วยเมตตา)
 
                พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้พระสวด  พระจำนวนร้อยกราบทูลลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าแห่งหนึ่ง ถูกผีหลอกหลอนจนอยู่ไม่ได้ กลับไปหาพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ตรัสว่า ′พวกเธอจงเอาอาวุธไปด้วยสิ′  เมื่อพระเหล่านั้นกราบทูลถามว่า ′จะให้เอาอาวุธชนิดไหนไป พระเจ้าข้า′
 
                พระองค์ตรัสว่า อาวุธที่ว่านี้มิใช่ปืนผาหน้าไม้ หมายถึง′การแผ่เมตตา′  ว่าแล้วพระองค์ก็ตรัสสอนให้พระเหล่านั้นสวดมนต์บทที่เรียกว่า ′กรณียเมตตสูตร′
 
                เมื่อพวกพระกลับไปยังป่าแห่งเดิม พากันสวดมนต์ที่พระพุทธองค์ประทานมาทุกวันทุกคืน  พวกผีหรือรุกขเทวดาที่เคยหลอกหลอนก็กลับมีจิตรักใคร่ในพระเหล่านั้นไม่มาหลอกอีกต่อไป

                นี่คือประวัติความเป็นมาของบทสวดมนต์บทนี้  ผมได้อ่านเข้าก็รู้สึกประทับใจและมีความเชื่อมั่นว่า มนต์บทนี้คงต้อง ขลังŽ แน่นอน จึงสวดเป็นประจำก่อนนอน  หลังจากสวดจบก็แผ่เมตตาอีกทีหนึ่งแล้วจึงนอน
 
                อาจจะเพราะอย่างนี้ก็ได้ ผีมันจึงไม่หลอกผม (แฟนคนไหนอยากได้มนต์บทนี้ไปสวดก็ขอมาได้ ยาวนะบอกไว้ก่อน)
                ผมเคยพูดไว้ว่าการติดต่อกับผีหรือเทวดาสามารถทำได้ ๓ ทางหนึ่งในสามทางนั้นคือ การเชิญผีลงถ้วยแก้ว (อาทาสปัญหา) หรือที่ไทยๆ เรียกว่า ′เล่นผีถ้วยแก้ว′ นั่นเอง
 
                ผีถ้วยแก้วเขาเล่นกันยังไง แต่ก่อนผมก็ไม่เคยรู้เรื่อง มารู้เอาสมัยบวชพระ แถมยังอยู่ต่างประเทศด้วย  ลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนไทยในอังกฤษชวนเชิญผีถ้วยแก้ว ผมถามว่าทำยังไง  ลูกศิษย์มันบอกว่าไปหากระดานแข็งๆ มาแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งกับถ้วยมาใบหนึ่งแล้วมันจะทำให้ดู  เราก็เตรียมของที่เขาต้องการมาให้
 
                เจ้าลูกศิษย์เธอก็เอาปากกาเมจิกเขียนตัวอักษรไทยตั้งแต่ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก รวมทั้งสระทั้งหมดใส่ไว้เป็นช่องๆ  เสร็จแล้วก็เอาถ้วยเล็กๆ มาใบหนึ่งวางไว้ตรงกลาง (ลูกศิษย์บอกว่าไม่ใช้ถ้วย จะใช้เหรียญแทนก็ได้)
 
                เสร็จแล้วเอาธูปมาดอกหนึ่ง จุดไฟแล้วนำไปปักไว้กลางแจ้งทำนองขอเชิญผีที่ต้องการติดต่อเข้ามา อะไรทำนองนั้นแหละ
 
                ลูกศิษย์ถามผมว่าจะเชิญใคร  ผมบอกว่าลองเชิญพ่อมาดูสิอยากจะรู้ว่าป่านนี้ไปเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ไหน  ลูกศิษย์บอกผมให้ตั้งจิตอธิษฐานเชิญพ่อลงมา เอามือ (ความจริงนิ้วชี้) แตะที่แก้วซึ่งวางอยู่ตรงกลาง
 
                เราก็เอานิ้วกดอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีไรเกิดขึ้น  กำลังจะบอกเลิกอยู่พอดี แก้วที่ถูกมือกดอยู่ก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ ไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง
 
ผมขนลุกซู่ไปหมด มันวิ่งได้ยังไง  ลูกศิษย์กระซิบว่า ′ลงมาแล้ว ให้ถามปัญหาได้′  ผมก็ถามว่าใคร  แก้วก็วิ่งไปที่ตัว พ วิ่งไปที่ตัว อ ไม้เอก สระเอ อ อ่าง และ ง งู (อ่านรวมกันว่า ′พ่อเอง′)
 
                ผมถามต่อไปว่า พ่อเองน่ะ พ่อจริงหรือเปล่า  แน่จริงบอกชื่อมาสิ ชื่ออะไร  แก้วก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ เช่นเดิมไปยังอักษรตัวนั้นบ้างตัวนี้บ้างผสมออกมาแล้วเป็น อุ่มŽ ชื่อพ่อผมพอดี  บ๊ะเจ้าผีนี่มันเก่งแฮะ สงสัยจะเป็นพ่อเราจริง  ผมก็เลยถามโน่นถามนี่สนุกกันใหญ่และผีก็ตอบได้ตรงความจริงอย่างมหัศจรรย์
 
                ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
 
                พอถามเรื่องต่างๆ จนพอแล้วผมก็หยุดพัก  นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้ลืมถามว่าพ่อไปเกิดที่ไหน จึงทำพิธีอัญเชิญลงถ้วยแก้วอีกครั้งคราวนี้ถ้วยแก้ววิ่งเร็วและแรงกว่าเดิม  ผมสงสัยจึงถามว่า
 
                ′ใครนั่น′
 
                ′ชิต′ ผีมันวิ่งไปยังตัวอักษรต่างๆ ผสมออกมาได้อย่างนี้
 
                ′ชิตไหน′ เราถาม
 
                ′กูใหญ่′ คราวนี้ออกมาอ่านได้อย่างนี้
 
                ′กูใหญ่อะไรวะ  ฉันถามว่าชิตไหน′
 
                ′ชิตที่ยิ่งใหญ่ซิ ไอ้ห่า′ ผีมันบอก
 
                เท่านั้นแหละครับ ผมชักยัวะ แน่ใจว่าไอ้นี่ไม่ใช่พ่อเราแน่ จึงเอาเท้ายันเปรี้ยงเข้าให้  ถ้วยแก้วกระเด็นไปปะทะผนังห้องแตกละเอียด
 
                ลูกศิษย์อธิบายให้ผมฟังภายหลังว่า การเชิญสิ่งที่คนไทยชอบเรียกว่า ′วิญญาณ′ ลงถ้วยแก้วนั้นสามารถทำได้และเป็นความจริงด้วย (ดังกรณีพ่อผมลงมาตอนแรก)  แต่ถ้าทำบ่อยเกินไป ผีอื่นอาจเข้ามาแทรก หรือไม่มีผีไหนลงมาก็ได้
 
                ′ที่อาจารย์เชิญตอนหลังนี้ เข้าใจว่าเป็นผีอันธพาลที่ไหนไม่รู้มันเข้ามาแทรก′ ลูกศิษย์สรุป
 
                นี่คือประสบการณ์การเล่นกับผีครั้งแรกของผม  การติดต่อกับผีผ่านถ้วยแก้ว คัมภีร์ศาสนาก็บอกว่าสามารถทำได้  แต่ไม่ค่อยได้ผลแน่นอน คืออาจจริงบ้าง เท็จบ้าง ดุจเดียวกับการเข้าทรง
 
                แต่ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ทิพย์จักษุ (ตาทิพย์) เท่านั้น จึงจะติดต่อกับภูตผีเทวดาได้แน่นอนกว่าวิธีอื่น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300264503&grpid=no&catid=&subcatid=

1924
ขอบคุณครับ
บรรยากาศเป็นกันเองมาก

1925
ขอบคุณครับ

1926
สำหรับท่านที่สนใจ มี 6 ตอน เปิดดูกันครับ

ชีวประวัติหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ๑/๖
[youtube=425,350]T5CT_aCxc8Q[/youtube]

1927
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ :054: ที่สั่งสอนครับ
คำว่า.... "โลกทัศน์    นำไปสู่   ชีวทัศน์"
มีความหมายที่ต้องขยายความ.....
=========

  ปรัชญา ไม่ว่าจะเป็นของชนชาติใดล้วนเกิดจากความสงสัยในธรรมชาติ  และหาวิธีที่จะเข้าใจธรรมชาติ  เพื่อสนองความใคร่รู้และกำหนดวิถีทางชีวิตและสังคมมนุษย์ พิจารณาถึงเนื้อหาและพัฒนาการด้านปรัชญา บ่อเกิดความคิดทางด้านปรัชญามาจาก   ๒  ปัจจัยหลัก  คือ

๑.     การมองชีวิตออกไปหาธรรมชาติ    เป็นความสงสัยในชีวิตว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  เกิดแล้วทำไมต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย   พร้อมกับสืบค้นต่อไปว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย  แล้วขยายอกไปสู่สรรพสิ่งว่าล้วนตั้งอยู่ในรูปแบบเดียวกันกับชีวิต   เป็นที่มาของความพยายามที่จะหาวิธีการที่จะให้มีชีวิตนิรันดร  สูงสุดหมายถึงการเข้าถึงพรหม  การเข้าถึงพระเจ้า  และการเข้าถึงนิพพาน

 ๒.  การมองธรรมชาติเข้ามาหาชีวิต   เป็นความสงสัยในธรรมชาติว่าธรรมชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร  ดำรงอยู่อย่างไร  ใครเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของธรรมชาติ  และเราจะรู้ผู้กำหนดความเป็นไปของธรรมชาติได้อย่างไร   ธรรมชาติมีอิทธิพลต่อชีวิตหรือไม่  ถ้ามีอิทธิพลมีอิทธิพลในรูปแบบใด ตลอดจนกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์ว่าควรจะเป็นอย่างไร

                ชีวิตจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความคิดด้านปรัชญา หากไม่มีชีวิตก็ไม่มีความคิดที่จะขยายขอบเขตโลกทัศน์ออกไปสู่โลกและจักรวาล

คำว่า "ชีวิต" เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากยิ่ง   แม้จะมีนักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัยพยายามอธิบายความหมายของคำว่า "ชีวิต"   แต่คำอธิบายเหล่านั้นก็ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือไม่แจ่มแจ้งชัดเจนพอที่จะทำให้เราเข้าใจคำว่า "ชีวิต" ได้

แท้จริงแล้วคืออะไร  ชีวิตเกิดมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้ลิขิตให้ชีวิตเกิด  ชีวิตควรจะดำรงอยู่ในรูปแบบใด และเป้าหมายชีวิตควรจะเป็นอย่างไร    มนุษย์ทุกชนชาติจึงพยายามอธิบายชีวิตด้วยภาษาปรัชญา   

                  มนุษย์มีความเชื่อว่าจุดหมายปลายทางของชีวิตคือความสุข การเดินทางของชีวิตมนุษย์คือการเดินเข้าหาความสุข   และการจะเข้าถึงความสุขได้ก็ต้องมีวิถีทาง  มนุษย์จึงมีแนวคิดหรือโลกทัศน์และชีวทัศน์(1) เป็นของตนเอง    และดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางของตน   ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจุดหมายให้เข้าถึงความสุข 

แนวคิดหรือโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่เชื่อว่าจะเป็นวิถีทางให้เข้าถึงความสุขได้ดังกล่าวนี้เองเรียกว่า "ปรัชญา"   เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามเป้าหมายของตน  เพื่อให้ชีวิตของตนเป็นสุข  มนุษย์จึงเริ่มส่อแววแสวงหาความหมายของคำว่า "ชีวิต" ตั้งแต่ปฐมวัย ความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กเป็นบ่อเกิดความคิดแบบปรัชญา  เพราะธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์คือความอยากรู้อยากเห็น และพยายามแสวงหาคำตอบที่ตนสงสัยโดยเริ่มจากความครุ่นคิดคำนึงที่มีต่อธรรมชาติ   ความรู้สึกพิศวงในความร้อยเรียงเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง  ตลอดถึงสภาพแวดล้อม   สังคม และขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมนั้น ๆ

กล่าวได้ว่า  บริบททางด้านสังคมนั่นเอง   เป็นเบ้าหลอมแนวคิดทางด้านปรัชญาที่สำคัญของปัจเจกบุคคล   แต่เนื่องจากปัจเจกบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แนวคิดหรือปรัชญาในการดำเนินชีวิตของเขาจึงแนบแน่นอยู่กับสังคมอย่างแยกออกจากกันไม่ได้   เพราะวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคลดำเนินไปภายใต้อิทธิพลของขนบธรรมเนียมประเพณี    ศาสนา ระบบค่านิยมในสังคม   และสภาวะของชีวิตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย    ซึ่งระหว่างที่มีชีวิตอยู่ปัจเจกบุคคลได้แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างมากมายสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด หรือความคิดอันเป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่สำคัญๆ

พฤติกรรมดังกล่าว   ล้วนออกมาจากทัศนะอันเป็นพื้นฐานของสังคม   เป็นจุดยืนหรือความเชื่อร่วมกันของสังคมที่เขาเป็นอยู่   อาศัยการสั่งสมและสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่งด้วยวันเวลาอันยาวนาน   หล่อหลอมขัดเกลาแนวคิดของปัจเจกบุคคล         จนกลายมาเป็นปรัชญาที่ยอมรับร่วมกันของคนในสังคม สร้างทัศนคติในการเผชิญหน้ากับชีวิตและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีหลักการ

                ปรัชญาจึงเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของคนๆ หนึ่งในรอบวงจรชีวิต เริ่มตั้งแต่เกิดเป็นทารก   เป็นเด็ก   เป็นหนุ่มสาว   เป็นผู้ใหญ่   การทำงาน   ความคิด   ความเชื่อ   การเจ็บไข้ได้ป่วย   และการตายเป็นกระบวนการสุดท้าย  เป็นวิธีการมองโลกและชีวิต  อันว่าด้วยจักรวาลหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มนุษย์มีความสัมพันธ์ด้วย  เป็นระบบทั้งหมดของความคิด    ความเชื่อ  ทัศนคติ  ที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลในสังคมหนึ่งๆ มีร่วมกัน   อันเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดของโลกและชีวิต ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิตแต่ละคนและเป็นตัวกำหนดทิศทางของสังคมมนุษย์ด้วยทำให้เข้าใจแนวทางในการดำเนินชีวิต   ความสำเร็จในชีวิต  ธรรมชาติของชีวิต  การทำงาน  ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและมนุษย์กับโลก ซึ่งแสดงออกมาเป็นจุดยืนร่วมกันของสังคมนั้นๆ  มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีการศึกษาหรือไม่ก็ตามย่อมมีความด้านด้านปรัชญาด้วยกันทุกคน

บ่อเกิดปรัชญาไม่ว่าจะเป็นของชนชาติใดย่อมจะมีความคล้ายคลึงกัน  เพราะเกิดจากพื้นฐานทางด้านจิตมนุษย์  ถึงกระนั้นวิธีคิดทางปรัชญาก็ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปเฉพาะเรื่องเฉพาะอย่าง

นักปรัชญาตะวันตกศึกษาค้นคว้าปัญหาต่างๆ เฉพาะเรื่อง ทั้งทางด้านอภิปรัชญา  ญาณวิทยา จริยศาสตร์  ตรรกศาสตร์  และสุนทรียศาสตร์ นักปรัชญาตะวันตกแยกปรัชญาออกเป็นส่วนหนึ่งจากการดำเนินชีวิต ในขณะที่ปรัชญาไทยศึกษาค้นคว้าปัญหาต่างๆ เหล่านั้นรวมกัน และไม่ได้แยกปรัชญาออกเป็นส่วนหนึ่งจากการดำเนินชีวิต ซึ่งนับได้ว่าระหว่างปรัชญาตะวันตกและปรัชญาไทยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านระบบความคิดและวิธีการนำเสนอ


[1]  ระวี  ภาวิไล  กล่าวว่า  "คำว่า ทัศน์ แปลว่า ความคิดเห็น คำว่า โลก  หมายถึง สภาวะทั้งปวงที่รับรู้ได้  แม้ยังไม่รู้ ก็ครอบคลุมถึงที่อาจรู้ได้ ดังนั้น คำว่าโลกทัศน์ จึงมุ่งถึงความคิดเห็นว่าสภาวะทั้งปวงเป็นอย่างไร  คำว่า ชีวทัศน์ หมายถึง ความเห็นว่าชีวิตเป็นอย่างไร  การนำสองคำมาเรียงต่อกัน คือ โลกทัศน์ ชีวทัศน์  มุ่งแสดงด้วยถึงความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างโลกกับชีวิต โดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ที่มีช่องทางรับรู้และสติปัญญาคิดตริตรอง  พิจารณาในขั้นต้นจะเห็นว่า  ถ้าไม่มีชีวิตที่รับรู้ได้แล้ว การมีอยู่ของโลกย่อมไม่ปรากฏ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ไม่ว่าในเรื่องของโลกหรือชีวิต ความคิดเห็นเรื่องโลกและชีวิตจึงควรดำเนินไปด้วยกัน"  (ระวี  ภาวิไล, โลกทัศน์ชีวทัศน์เปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม ๒๕๔๓), หน้า  ๑).

ศาสตราจารย์  ดร.วิทย์  วิทศเวทย์  กล่าวว่า  "โลกทัศน์ก็คือ ความเชื่ออันเป็นระบบ ในวิถีชีวิตของคนๆ  หนึ่ง เขาอาจพูดคิด ทำอะไรต่ออะไรหลายอย่าง แต่ถ้าเขาเป็นคนคงเส้นคงวา ความหลายหลากนี้จะเป็นเพียงภาพสะท้อนของทัศนะพื้นฐานเดียวกัน ทัศนะพื้นฐานนี่แหละคือโลกทัศน์ของคนๆ นั้น  ทุกคนมีโลกทัศน์ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม"  (วิทย์  วิศทเวทย์, ศาสตราจารย์ ดร., ปรัชญาเบื้องต้น, จัดพิมพ์เป็นครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์,  ๒๕๔๐), หน้า  ๑๗๖).

ที่มา จากหนังสือ ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งปรัชาไทย ผู้แต่ง ญาณวชิระ

1928
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ
ขออนุญาตขยายความ
----------
โลกธรรม 8

บอร์ดธรรมะวัดประยุรวงศาวาส

 
"โลกธรรม 8 หมายถึง เรื่องของโลกซึ่งมีอยู่ประจำกับชีวิต สังคมและโลกของมนุษย์ เป็นความจริงที่ทุกคนต้องประสบด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม อยู่ที่ว่า ใครจะประสบมาก หรือประสบน้อยช้าหรือเร็วกว่ากัน

โลกธรรม แบ่งออกเป็น 8 ชนิด จำแนกออกเป็น 2 ฝ่ายควบคู่กัน ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกัน คือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาและฝ่ายอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ดังนี้

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์พอใจมี 4 เรื่อง คือ

1. ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา

2. ได้ยศ หมายความว่า ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต

3. ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ

4. ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ

โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจมี 4 เรื่อง คือ

1. เสียลาภ หมายความว่า ลาภที่ได้มาแล้วเสียไป

2. เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ

3. ถูกนินทา หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกผู้อื่นพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา

4. ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวของเราเอง ไม่มีใครในโลกนี้จะพบแต่ความสมหวังตลอดชีวิต จะต้องพบกับคำว่าผิดหวังบ้าง

ผู้มีปัญญาได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดีแล้ว พึงทำใจเอาไว้กลางๆ ว่า มีคนนินทา ก็ต้องมีคนสรรเสริญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศก็ย่อมเสื่อมยศ หากเราหวังอะไรเกินเหตุ เมื่อเวลาเราผิดหวัง ไม่สมหวัง ให้ทำใจไว้ว่านั่นคือโลกธรรมทั้ง 8 คือ มีได้ก็ต้องเสื่อมได้ เป็นของธรรมดาในโลกนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือบุคคลใด ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้นอย่างแน่นอน เพราะเมื่อไม่สมปรารถนาที่ตัวเองคิดไว้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ รำพึงรำพันกับตัวเองถึงความไม่สมหวัง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก

เพราะฉะนั้น จงใช้สติปัญญาหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เหมือนโลกธรรมทั้ง 8 ประการ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนจะต้องตกอยู่ในโลกธรรม 8 กันถ้วนหน้า จะได้ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข"
http://www.oknation.net/blog/mettapc/2009/07/11/entry-1

1929
ขอบคุณครับ ตอนนี้ กำลังประวัติของท่านฯอยู่ครับ
สนุกมาก ดูคลิปของท่านก็ยิ่งสนุก

[youtube=425,350]loLytKUJXcs[/youtube]

1930
คลิป สังโยชน์ 10

[youtube=425,350]3KOMZGjTsFY[/youtube]
[youtube=425,350]cEd0Ar8IKgU[/youtube]

1931
ดีครับดี :016:

แล้วมีการกำหนดคลื่นของแดงไหม ถามเผื่อบางท่านมี จะได้ช่วยเหลือกันได้ :002:

1932
อากาศวันเสาร์นี้ ที่นครปฐม

สูงสุด 30 °C ต่ำสุด22 °C
อากาศเย็น มีฝน 10% ของพื้นที่


http://www.tmd.go.th/province.php?id=50

1933
คืนนี้อากาศเย็นหลายภาคอุณหภูมิลดลงอีก 1-2 องศา กรุงเทพ และภาคใต้มีฝน 60%ของพื้นที่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   17 มีนาคม 2554 23:08 น.


พยากรณ์อากาศ ตั้งแต่เวลา 23:00 น.วันนี้ - 23:00 น.วันพรุ่งนี้   
กรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 16-18 องศา อุณหภูมิสูงสุด 23-24 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


ภาคเหนือ อากาศหนาว อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-4 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 11-13 องศา อุณหภูมิสูงสุด 22-24 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศหนาว อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 11-14 องศา อุณหภูมิสูงสุด 20-26 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น ชัยภูมิ และนครราชสีมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลาง อากาศหนาว อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 13-15 องศา อุณหภูมิสูงสุด 22-23 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 24-27 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย อากาศเย็นทางตอนบนของภาค อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 17-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 25-32 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
ภาคใต้ฝั่งอันดามัน มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000034725

1934
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2554, 11:26:10 »


ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๓ ชื่ออภิญญานิเทศ แสดงด้วยอภิญญา ๕ มีทิพพโสต ทิพพจักษุ และเจโตปริยญาณ คือรู้วารจิตแห่งผู้อื่นเป็นต้น

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๔ ชื่อขันธนิเทศ แสดงด้วยปัญจขันธ์ และวิเศษนามแห่งขันธ์ต่าง ๆ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๕ ชื่ออายตนธาตุนิเทศ แสดงด้วยอายตนะ ๒๑ และธาตุ ๑๘

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๖ ชื่ออินทรียสัจจนิเทศ แสดงด้วยอินทรีย์ ๒๒ และอริยสัจ ๔

  ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๗ ชื่อภูมินิเทศ แสดงด้วยธรรม ๖ คือขันธ์อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นภูมิภาพพื้นแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน

  ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๘ ชื่อวิสุทธินิเทศ แสดงด้วยความบริสุทธิ์แห่งทิฏฐิคือความเห็น

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๙ ชื่อกังขาวิตรณวิสุทธินิเทศ แสดงด้วยความบริสุทธิ์ที่ล่วงข้ามความกังขาสงสัยเสียได้

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒๐ ชื่อมัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ แสดงด้วยความบริสุทธิ์ในการเห็นอริยมรรคด้วยญาณปัญญาว่า สิ่งนี้เป็นอริยมรรคสิ่งนี้มิใช่อริยมรรค

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒๑ ชื่อปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทศแสดงด้วยความบริสุทธิ์ในการเห็นด้วยปัญญาว่า มรรคควรปฏิบัติสืบต่อขึ้นไป

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒๒ ชื่อญาณทัสสนนิเทศ แสดงด้วยความบริสุทธิ์ในการเห็นอริยสัจและนิพพาน ด้วยปัญญาอันรู้เห็นจริงแจ้งชัด

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒๓ ชื่อภาวนานิสังสนิเทศ แสดงด้วยอานิสงส์ผลแห่งการภาวนาในพระวิปัสนากัมมัฏฐาน รวมเป็น ๒๓ ปริจเฉทบริบูรณ์

   สมเด็จพระสังฆราชาธิบดี ได้เห็นคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค มีบทอันสม่ำเสมอกันเป็นอันดี ไม่มีวิปลาสคลาดเคลื่อนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนั้นแล้ว ก็บังเกิดโสมนัสยิ่งนัก จึงอนุญาตใ้ห้พระพุทธโฆษาจารย์แปลพระปริยัติธรรมจากสีหฬภาษาขึ้นสู่มคธภาษา และอนุญาตให้เสนาสนะที่อยู่ในโลหปราสาทชั้นเป็นปฐม เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าทำกิจปริวรรตพระปริยัติได้โดยสะดวกดี ในคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์กล่าวว่า สมเด็จบรมกษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้ามหานามขัตติยราชผู้ครอบครองในลังกาทวีป ได้เสด็จมาด้วยราชบริพาร ตรัสปวารณาถวายภิกขาหาร บิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธโฆษาจารย์ จนตลอดเสร็จการปริวรรตพระปริยัติธรรม

   แต่นั้น พระพุทธโฆษาจารย์ก็ตั้งปณิธานวิริยะอุตสาหะแปลพระปริยัติธรรมพุทธวจนะ จากสีหฬภาษาขึ้นสู่มคธภาษา พร้อมทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา และอนุฎีกา สิ้นไตรมาสก็สำเร็จการปริวรรต

   แต่ในคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์กล่าวว่า สิ้นสมพัตสรหนึ่งจึงสำเร็จ

   ฝ่ายสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นจอมสงฆ์ ก็ให้อนุโมทนาชื่นชมกล่าวคาถาสรรเสริญคุณของพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าเป็นอเนกปริยาย

   ครั้นการปริวรรตพระปริยัติธรรมสำเร็จแล้ว พระผู้เป็นเจ้าพระพุทธโฆษาจารย์ ก็นมัสการลาสมเด็จพระสังฆราชาธิบดี และพระสงฆ์เถรานุเถระลงสู่สำเภากับด้วยพาณิช กลับเข้ามาสู่ชมพูทวีป นมัสการแจ้งเหตุแก่พระอุปัชฌาย์ให้ทราบสิ้นทุกประการ

   เรื่องนิทานประวัติแห่งพระพุทธโฆษาจารย์ มีพิสดารในคัมภีร์พุทธโฆสุปปัตติ และคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์ และในที่อื่นอีกต่าง ๆ ซึ่งเลือกคัดมากล่าวในอารัมภกถานี้แต่โดยย่อ พอประดับสติปัญญา และความศรัทธาเลื่อมใสของสาธุชนเพียงเท่านี้

  อนึ่ง คัมภีร์พระวิสุทธิมรรคนี้ แปลว่าเป็นพระคัมภีร์แสดงทางของธรรมอันบริสุทธิ์ คือพระอมตมหานิพพาน ตั้งแต่พระพุทธโฆษาจารย์ได้รจนาตกแต่งขึ้น ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พระพุทธศาสนาทั้งในการเล่าเรียนพระปริยัติธรรม และการแสดงพระธรรมเทศนาเป็นที่ปลูกศรัทธาพุทธศาสนิกชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ให้ตั้งจิตบำเพ็ญรักษาศีลบริสุทธิ์ และเล่าเรียนพระสมถกัมมัฏฐาน และพระวิปัสสนากัมมัฏฐาน แผ่ไพศาลรุ่งเรืองไปทั้งชมพูทวีปและลังกาทวีปหาที่สุดมิได้ สืบ ๆ มาจากปรัตยุบันกาลนี้

ที่มา
http://www.larnbuddhism.com/visut/1.1.html

1935
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2554, 11:24:59 »

 ครั้นพระผู้เป็นเจ้าตื่นขึ้นไม่เห็นคัมภีร์ของตน ก็จารคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคขึ้นอีก เป็นคัมภีร์คำรบสองโดยรวดเร็วยิ่งนัก ด้วยแสงสว่างแห่งประทีป ครั้นสำเร็จแล้วก็วางคัมภีร์นั้นไว้ และจำวัดหลับไปอีก พระคัมภีร์นั้นก็หายไปด้วยเทวราชานุภาพแห่งท้าวสักกะเทวราชอีกเล่า

   ครั้นพระผู้เป็นเจ้าตื่นขึ้นไม่เห็นคัมภีร์เป็นคำรบสองนั้นแล้ว ก็รีบด่วนจารคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคขึ้นอีก เป็นคัมภีร์คำรบสาม ด้วยแสงประทีปอันสว่าง ครั้นจารเสร็จแล้ว จึงผูกคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคคำรบสามนั้นไว้กับจีวร

   พอเวลารุ่งเช้า พระผู้เป็นเจ้าตื่นขึ้น เห็นในพระคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคทั้งสองคัมภีร์ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้รจนาและจารซึ่งหายไปนั้นอันท้าวสักกะเทวราชนำมาคืนให้ตั้งไว้ในที่ดังเก่า พระผู้เป็นเจ้าก็มีความโสมนัสชื่นชม

   ตามพระคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์กล่าวว่า ซึ่งสักกะเทวราชานุภาพบันดาลให้เป็นไปทั้งนี้ เพื่อให้เกิดบุญกิริยาวััตถุแก่มหาชน เพื่อได้ถวายใบลานใหม่ ให้พระผู้เป็นเจ้าจารพระวิสุทธิมรรคเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาได้หลายคัมภีร์

   แต่บัณฑิตทั้งปวงอนุมานว่า “ซึ่งสักกะเทวราชานุภาพให้เหตุเป็นไปทั้งนี้ เพื่อแสดงความสามารถแห่งปัญญาวิสารทะ แลวิริยะอุตสาหะของพระผู้เป็นเจ้าให้ปรากฏแก่ชนชาวลังกาทวีปทั่วไป”

   ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจึงนำพระวิสุทธิมรรคทั้งสามพระคัมภีร์นั้นไปแจ้งเหตุต่อสมเด็จพระสังฆราช ๆ ก็มีความพิศวง จึงให้ชุมนุมสงฆ์ผู้รู้ชำนาญในพระปริยัติธรรม ช่วยตรวจสอนทานพระวิสุทธิมรรคทั้งสามคัมภีร์ ศัพท์อันมีนิบาตแลอุปสรรคเป็นต้น อันพระผู้เป็นเจ้าได้รจนาตกแต่งแลจารในบทใด ๆ ก็เสมอสมานกัน เป็นอันดีในบทนั้น ๆ ตั้งอยู่เหมืือนดังพระผู้เป็นเจ้าได้ตกแต่งแลจารไว้แต่แรกสิ้นทั้งสามคัมภีร์

   แลคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคนี้มี ๒๓ ปริจเฉท

   ปริจเฉทเป็นปฐมนั้น ชื่อศีลนิเทศ แสดงด้วยศีลมีประเภทต่าง ๆ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒ ชื่อธุงดงคนิเทศ แสดงด้วยธุดงควัตร ๑๓ ประการ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๓ ชื่อกัมมัฏฐานคหณนิเทศ แสดงด้วยวิธีเล่าเรียนพระสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๔ ชื่อปถวีกสิณนิเทศ แสดงด้วยปถวีกสิณเป็นต้นที่ ๑

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๕ ชื่อว่าอวเสสกสิณนิเทศ แสดงด้วยกสิณที่เหลือลง ๙ ประการ รวมกับปถวีกสิณเป็น ๑๐ ประการ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๖ ชื่ออศุภนิเทศ แสดงด้วยอศุภ ๙ ประการ

  ปริจเฉทเป็นคำรบ ๗ ชื่อฉานุสสตินิเทศ แสดงด้วยอนุสสติ ๖ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๘ ชื่อเสสานุสสตินิเทศ แสดงด้วยอนุสสติ ๔ ที่เหลือลงคือ มรณานุสสติ กายคตาสติ อานาปานสติ อุปมานุสสติ รวมกับอนุสสติ ๖ จึงเป็นอนุสสติ ๑๐ ประการ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๙ ชื่อพรหมวิหารนิเทศ แสดงด้วยพรหมวิหารทั้ง ๔ คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๐ ชื่ออรูปนิเทศ แสดงด้วยอรูปสมาบัติ ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญายตนะสมาบัติ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๑ ชื่อสมาธินิเทศ แสดงด้วยสมาธิกับทั้งปฏิกูลสัญญาธาตุววัตถานนิเทศ

   ปริจเฉทเป็นคำรบ ๑๒ ชื่ออิทธิวิธีนิเทศ แสดงด้วยฤทธิ์วิธีต่าง ๆ

1936
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2554, 11:23:32 »
 เมื่อสำเภาพระพุทธโฆษาจารย์แล่นไปได้ ๓ วัน ได้พบสำเภาพระพุทธทัตตเถระองค์หนึ่ง ซึ่งแล่นออกจากท่าลังกาทวีปาในมหาสมุทร พระเถระทั้ง ๒ ได้ออกมาปฏิสันถารไต่ถามถึงกิจต่อกัน ครั้นพระพุทธทัตตะทราบว่า พระพุทธโฆษาจารย์จะออกไปแปลพระปริยัติธรรมในลังกาทวีป ดังนั้น ก็ยินดีเลื่อมใสยิ่งนัก จึงแจ้งว่าท่านได้แปลพระปริยัติธรรมไว้ ๓ คัมภีร์ คือบาลีชินาลังกา ๑ บาลีทันตธาตุ ๑ บาลีพุทธวงศ์ ๑ แต่ยังหาได้รจนาคัมภีร์อรรถกถา แลคัมภีร์ฎกีกาไม่ จึงอาราธนาพระพุทธโฆษาจารย์ให้ช่วยตกแต่งคัมภีร์อรรถกถา แลคัมภีร์ฎีกาสำหรับบาลี ๓ คัมภีร์นั้น เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาสืบไป แล้วพระพุทธทัตตเถระ จึงถวายผลสมอเป็นยาฉันแก้โรค ๑ เหล็กจารมีด้าม ๑ ศิลาลับเหล็กจาร ๑ แก่พระพุทธโฆษาจารย์ สิ่งของทั้ง ๓ สิ่งนี้ สมเด็จท้าวสุชัมบดีเทวราชได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้ามาแต่ก่อน ในคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์กล่าวว่า สมเด็จท้าวสักกะเทวราชก็ได้ถวายผลหริตกี คือสมอไทยฉันเป็นยาแก้โรคกับเลขณี กับเหล็กจาร แก่พระพุทธโฆษาจารย์ดุจเดียวกัน ในวันที่พระผู้เป็นเจ้าลงสู่ท่าสำเภา ออกมาจากชมพูทวีปนั้น

   ครั้นแล้วสำเภาพระพุทธทัตตเถระ ก็แล่นเข้ามาสู่ชมพูทวีปนี้ สำเภาพระพุทธโฆษาจารย์ ก็แล่นออกไปถึงท่าที่จอดในลังกาทวีป

   ครั้นได้เวลาสมควร พระพุทธโฆษาจารย์ จึงไปสู่สำนักสมเด็จพระสังฆราชาธิบดีผู้มีนามว่าพระสังฆบาล ผู้เป็นจอมสงฆ์ในลังกาทวีปซึ่งสถิตในมหาวิหาร นั่งอยู่เบื้องหลังศิษย์ผู้มาเรียนพระปริยัติธรรมในเวลานั้น สมเด็จพระสังฆราช บอกพระอภิธรรมแลพระวินัยแก่ศิษย์สงฆ์ ถึงบทคัณฐีพระอภิธรรมก็ไม่ได้เข้าใจความอธิบาย จึงส่งสงฆ์ศิษย์ทั้งหลายให้กลับไปก็เข้าสู่ห้องคิดตรึกตรองอรรถาธิบายในบทคัณฐีพระอภิธรรมนั้นอยู่

   ฝ่ายพระพุทธโฆษาจารย์รู้ว่า สมเด็จพระสังฆราชไม่ทราบอรรถาธิบายในบทคัณฐีพระอภิธรรม จึงเขียนความอธิบายแลอรรถกถาลงไว้ในแผ่นกระดานใกล้อาศรมสมเด็จพระสังฆราช แล้วก็กลับมาสู่ที่อยู่

  ครั้นสมเด็จพระสังฆราชออกมาจากห้องได้เห็นอักษร ก็เข้าใจความอธิบายในบทคัณฐีพระอภิธรรมนั้น โดยแจ้งชัด จึงใช้คนปฏิบัติไปถามอาราธนาพระพุทธโฆษาจารย์มาไต่ถาม ครั้นได้ทราบความว่าพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นผู้บอกกล่าวสั่งสอนพระไตรปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์ไม่รับ จึงแจ้งกิจแห่งตนอันพระอุปัชฌาย์ส่งมาให้แปลพระปริยัติธรรมออกจากสีหฬสภาษา ขึ้นสู่มคธภาษา

   ฝ่ายสมเด็จพระสังฆราชก็มีความยินดียิ่งนัก รับคำว่า่สาธุดีแล้วจึงอาราธนาพระพุทธโฆษาจารย์ ให้รจนาตกแต่งคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคซึ่งเป็นยอดธรรมสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ให้ดูคัมภีร์หนึ่งเพื่อเห็นปัญญาสามารถก่อน

   ฝ่ายพระพุทธโฆษาจารย์ รับคำอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช แล้วจึงรจนาตกลงแต่งคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคซึ่งเป็นยอดธรรมสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ให้ดูคัมภีร์หนึ่งเพื่อเห็นปัญญาสามารถก่อน

   ฝ่ายพระพุทธโฆษาจารย์ รับคำอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช แล้วจึงรจนาตกลงแต่งคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคปกรณ์ ตั้งคาถาพระพุทธฎีกาว่า (สีเล ปติฏาย นโร สปญฺโญ)เป็นอาทิ ลงเป็นหลักสูตร จึงรจนาตกแต่งอรรถกถาได้โดยรวดเร็วยิ่งนัก ครั้นสำเร็จจบพระคัมภีร์แล้วก็ตั้งไว้ จึงจำวัดหลับไป พระคัมภีร์นั้นก็หายไป ด้วยสักกะเทวราชานุภาพ

1937
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2554, 11:20:38 »

 ในเวลาวันหนึ่ง พราหมณ์ปุโรหิต บอกสอนไตรเพทแด่พระมหากษัตริย์ถึงบทคัมภีร์คัณฐี ในไตรเพทบทหนึ่ง ก็มีความสงสัยคิดอรรถาธิบายไม่ออกได้ จึงทูลลาพาบุตรกลับมาบ้าน คิดตรึกตรองอยู่เนือง ๆ ก็ยังไม่ลงเห็นอรรถาธิบายนั้นได้

   ฝ่ายโฆสกุมารรู้ว่า บิดาคิดอรรถาธิบายแห่งบทไตรเพทนั้นติดตัน จึงเขียนข้ออธิบายแห่งบทคัณฐีในเตรเพทลงไว้ในใบลาน ครั้นบิดาออกมาได้เห็นอักษร ก็เข้าใจในอรรถาธิบายนั้น แล้วรู้ว่าบุตรของตนมีปรีชาเชี่ยวชาญเลียวฉลาดยิ่งนัก มาเขียนอรรถาธิบายแห่งข้อสงสัยนั้นไว้ให้ ก็ชื่นชมดีใจหาที่สุดมิได้ จึงพาบุตรเข้าไปเฝ้าพระมหากษัตริย์กราบทูลประพฤติเหตุนั้น

  สมเด็จบรมขัตติยราชก็ทรงพระโสมนัส ชอบพระราชหฤทัยยิ่งนัก จึงสวมกอดเจ้าโฆสกุมารให้นั่งขึ้นนั่งเหนือพระเพลา จุมพิตศิรเกล้า แลมีพระราชดำรัสว่า แต่นี้ไปเจ้าจงเป็นบุตรบุญธรรมของเรา แลตรัสสรรเสริญปัญญาโฆสกุมารเป็นอันมาก

   ครั้นโฆสุกุมาร มีวัยวัฒนาการเจริญขึ้น ได้มาบรรพชาในสำนักพระธรรมโฆษาจารย์ ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ ได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยไตรปิฎก (เอามาเรเนว) ในประมาณเดือนเดียวเท่านั้นก็ได้สำเร็จรู้พระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ทั้งสามปิฎก ครั้นได้อุปสมบทบวรเป็นภิกษุภาพในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มีปัญญาวิสารทะแกล้วกล้า ได้สำเร็จจตุปฏิสัมภิทาญาณ รู้แตกฉานชำนาญในบาลีแลอรรถกถา แลนิรุติ บทวิคคหะแลปฏิภาณ การกล่าวโต้ตอบโดยคล่องแคล่ว พร้อมองค์แห่งปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ มากิตติคุณสรรเสริญปัญญา เลื่องลือกึกก้องแผ่ไปในสกลชมพูทวีป จึงมีนามปรากฏว่า พระพุทธโฆสภิกษุ และพระพุทธโฆษาจารย์เปรียบปานดุจดังสมเด็จพระพุทธองค์ ยังทรงทรมานมีพระชนม์อยู่ ซึ่งมีพระกิตติศัพท์ แลพระกิตติคุณแผ่ฟุ้งเฟื่องไปในพื้นมหิดล หาที่สุดมิได้

   ครั้นอยู่มาถึงเวลาสมควร พระมหาเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์จึงมีเถรศาสน์สั่งสอนพระพุทธโฆษาจารย์ ให้ไปแปลพระพุทธวจนะปริยัติธรรมไตรปิฎกในลังกาทวีป ออกจากสีหฬภาษากลับขึ้นมาสู่มคธภาษามายังชมพูทวีป เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป

  ฝ่ายพระพุทธโฆษาจารย์ รับอุปัชฌาย์ศาสน์ จึงขอผลัดเวลาไปทรมานบิดาซึ่งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ให้กลับเป็นสัมมาทิฏฐินับถือเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จนได้สำเร็จพระโสดาปัตติผลแล้ว พระผู้มีพระเป็นเจ้าก็กลับมานมัสการลาพระอุปัชฌาย์ ลงสู่สำเภากับด้วยพวกพาณิชสำเภาก็แล่นออกไปสู่มหาสมุทร ในขณะนั้น ด้วยเดชะวิสุทธิมรรคศีลาทิคุณ แลอำนาจบุญเจตนาของพระพุทธโฆษจารย์ ซึ่งตั้งจิตจะแปลพระปริยัติธรรม ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไปนั้น เป็นบุญกิริยาวัตถมหากุศล บังเกิดเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย์ ผลจึงมีเทวราชานุภาพของท้าวสักกะเทวราช แลพรหมานุภาพของพระพรหมผู้มีมหิทธิฤทธิ์ มาช่วยพิทักษ์รักษาสำเภาพระพุทธโฆษาจารย์ให้แล่นไปในมหาสมุทรโดยสวัสดี ไม่มีภัยอันตราย

1938
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2554, 11:17:00 »
ความเป็นมาเพิ่มเติม
---------------------
คัมภีร์พระวิสุทธิมรรคนี้ บัณฑิตทั้งปวงพึงรู้ว่าพระคันถรจนาจารย์ ผู้มีนามปรากฏว่า พระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งได้จตุปฏิสัมภิทาญาณรู้แตกฉานชำนาญในพระไตรปิฎก ผู้มีปัญญาวิสารทะแกล้วกล้า ได้รจนาตกแต่งไว้ เพื่อให้ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
   จะกล่าวความอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธโฆษาจารย์ เลือกคัดข้อความตามนิทานประวัติที่มีมาในคุมภีร์พุทธโฆสุปปัตติ แลคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์แต่โดยสังเขป

  มีความว่า พระผู้เป็นเจ้าพระพุทธโฆษาจารย์พระองค์นี้ แต่ปุเรชาติปางก่อนได้บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนามว่าโฆสเทวบุตร เสวยทิพยสมบัติอยู่ในดาวดึงส์เทวโลก

   ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนากาลล่วงได้ ๒๓๖ พรรษา นับตั้งแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาค เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระมหินทเถรเจ้าผู้เป็นองค์พระอรหันต์ผู้วิเศษ ได้ออกไปประดิษฐานพระปริยัติธรรมศาสนาไว้ในลังกาทวีป ครั้นล่วงกาลนานมาในภายหลังกุลบัตรในชมพูทวีปนี้ จะเรียนรู้พระปริยัติธรรมได้โดยยากในกาลใดในกาลนั้น จึงมีมหาเถระองค์หนึ่ง เป็นพระมหาขีณาสพ มีนามว่าพระธรรมโฆษาจารย์ อีกนามหนึ่งเรียกว่า พระเรวัตมหาวเถระเป็นผู้มีฤทธิ์ คิดจะบำรุงพระปริยัติศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาให้ถาวรรุ่งเรื่อง จึงเข้าสู่ฌานสมาบัติ สำแดงฤทธิ์ขึ้นไปปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จท้าวสักกะเทวราช ในดาวดึงส์พิภพ ขอให้อาราธนาโฆสเทวบุตร ผู้มีสมภารบารมีได้สร้างสมอบรมมาในสำนัก พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนหลายพระองค์เป็นผู้มีไตรเหตุกปฏิสนธิปัญญาอันแก่กล้า ให้จุติลงมาบังเกิดในมนุษย์ ช่วยบำรุง พระปริยัติศาสนา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถาวรรุ่งเรืองสืบไป

   ครั้นในโฆสเทวบุตร รับอาราธนาสมเด็จท้าวเทวามินทรเทวราชแล้วก็จุติลงมาเกิดในครรภ์นางเกสินีพราหมณี ผู้เป็นภรรยาเกสิพราหม์ปุโรหิตาจารย์ ผู้รู้ชำนาญในไตรเพท อยู่ในบ้านโฆสคามเป็นที่ใกล้ต้นพระมหาโพธิ์ในพระนคร อันเป็นแว่นแคว้นแผ่นดินมัชฌิมประเทศ ในชมพูทวีป

  ขณะเมื่อทารกนั้นบังเกิด เสียงคนในบ้านตลอดถึงทาสกรรมกรเป็นต้น กล่าวคำมงคลแก่กันและกัน ดังแซ่ซ้องกึกก้องไป มารดาบิดาแลญาติญึงให้นามแก่ทารกนั้นว่า โฆสกุมาร เพราะเหตุเสียงกล่าวมงคลกถาอันดังกึกก้องนั้น

  ครั้นโฆสกุมารมีวัยวัฒนาการอายุได้ ๗ ขวบ ก็มีสติปัญญาสามารถเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ได้เล่าเรียนรู้คัมภีร์ไตรเพทแตกฉานแต่ภายในอายุ ๗ ขวบ

  ฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิตบิดาโฆสกุมาร เป็นพระมหาราชครูผู้สั่งสอนไตรเวททางคศาสตร์ แด่สมเด็จบรมกษัตริย์ในพระนครนั้น แลได้พาบุตรเข้าไปในพระราชวังด้วยเป็นนิตย์

1939
เช้านี้ที่กรุงเทพ 19 องศาครับ แปลกมาก!!!
------------------
พยากรณ์อากาศ 7 วัน 16 มี.ค. 54 - 22 มี.ค. 54   

ในช่วงวันที่ 16-18 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 มี.ค. อากาศร้อนและมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


1940
ขันธ์ 5 คืออะไร

สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน (ดูแผนผังด้านล่างประกอบ) คือ

1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)

2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ

2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)

2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)

2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง

2.4) วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ
ตั้งแต่ ข้อ 2.1 จนถึงข้อ 2.3 และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย

3.) นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย
นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน)
นิ = พ้น
วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคือความทะยานอยาก และอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
นิวาน หรือนิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง

สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย

1.) รูปขันธ์
2.) เวทนาขันธ์
3.) สัญญาขันธ์
4.) สังขารขันธ์
5.) วิญญาณขันธ์

โดยที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์รวมเรียกว่าเจตสิก ซึ่งแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ (ในภาษาบาลีนั้นสระ อิ กับสระ เอ ใช้แทนกันได้ เจต จึงเท่ากับ จิต นั่นเอง) คือจิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่นเท่านั้นเอง

ที่มา http://www.geocities.com/TMCHOTE/Thumma/General/gn001.htm

1941
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:57:12 »
[แก้ไข]วิสุทธิมรรค ฉบับแปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) และคณะ

วิสุทธิมรรค เล่ม ๑ ภาคศีล และ ภาคสมาธิ
นิทานกถา
วิสุทธิมรรค เล่ม ๑ ภาคศีล
ปริเฉทที่ ๑ สีลนิเทศ
ปริเฉทที่ ๒ ธุตังคนิเทศ

วิสุทธิมรรค เล่ม ๑ ภาคสมาธิ

ปริเฉทที่ ๓ กัมมัฏฐานคหณนิเทศ
ปริเฉทที่ ๔ ปถวีกสิณนิเทศ
ปริเฉทที่ ๕ เสสกสิณนิเทศ
ปริเฉทที่ ๖ อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ
ปริเฉทที่ ๗ ฉอนุสสตินิเทศ

วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ
ปริเฉทที่ ๘ อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ
ปริเฉทที่ ๙ พรหมวิหารนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๐ อารูปปนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๑ สมาธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๒ อิทธิวิธนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๓ อภิญญานิเทศ

วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา
ปริเฉทที่ ๑๔ ขันธนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๕ อายตนธาตุนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๖ อินทริยสัจจนิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๗ ปัญญาภูมินิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๘ ทิฎฐิวิสุทธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๑๙ กังขาวิตรณวิสุทธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๒๐ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๒๑ ปฏิปทาญาณวิสุทธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๒๒ ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ
ปริเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ
[แก้ไข]ดูเพิ่ม


วิสุทธิมรรค ฉบับแปลโดย มหามกุฏราชวิทยาลัย
วิสุทธิมรรค ฉบับแปลโดย มหาวงศ์ ชาญบาลี (พิมพ์โดย แม่พลอย โกกนุท)
http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84

1942
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:30:15 »
พฤติกรรมต่างระดับของศีล สมาธิ และปัญญาจึงมีขีดความสามารถในหน้าที่ต่างกัน แต่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ความสมบูรณ์ไม่อาจเกิดจากการเจริญเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จากการไม่ขัดสนในโภคทรัพย์ ทำให้มีเวลาสำหรับการศึกษาค้นหาความจริง ทานและศีลจึงเป็นทางเชื่อมโยงไปสู่ความมีปัญญา แต่มิได้เป็นเหตุให้เกิดปัญญาโดยตรง เป็นต้น

 
เมื่อทางมีอยู่มากมาย และระยะทางก็ไม่เท่ากัน จุดเชื่อมทางจึงมีความสำคัญอยู่ที่การขยายขีดความสามารถในการเดินทางได้ไกลกว่า ชุมทางสุดท้ายที่เชื่อมทางร่วมต่างระดับอื่นๆ จนเหลือทางเอกทางเดียวก่อนถึงจุดหมาย ก็คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง


สติปัฏฐาน 4 เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาโดยตรง ดังนั้น สติปัฏฐาน 4 จึงเปรียบเป็นทางเชื่อมสำคัญทางเดียวที่นำไปสู่ทางเอกสุดท้าย ทางเอกนั้นคือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะวิปัสสนากรรมฐานมีจุดหมายปลายทางแน่นอน คือ วิสุทธิเท่านั้น


เมื่อถึงที่หมายคือวิสุทธิแล้ว เป็นการสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวไปมาในวัฏฏะสงสาร กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิปัสสนากรรมฐาน มีสติปัฏฐานเป็นเหตุ และมีวิสุทธิเป็นผล ความบริสุทธิ์มิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความเชื่อ หรือการอ้อนวอน แต่เกิดขึ้นด้วยการพิสูจน์หรือด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น


ขอบคุณที่มา
http://www.abhidhamonline.org/thesis/visudhi/vis1.htm

การพิสูจน์เหมือนวิทยาศาสตร์ :053:

1943
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:21:15 »
4.2 แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับกรรมฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรค

 
คำว่า วิสุทธิ ในที่นี้ พระพุทธโฆสะหมายเอาพระนิพพานเท่านั้น พระนิพพานเป็นธรรมอันปราศจากมลทินทั้งปวง และมีความบริสุทธิ์แท้จริง วิสุทธิมรรคจึงหมายถึงทางสู่ความบริสุทธิ์ หรืออุบายที่เป็นเครื่องบรรลุ (พระนิพพาน)
ทางหรืออุบายที่ว่านี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หลายนัยด้วยกัน เช่น

 
ในที่บางแห่ง พระองค์ทรงแสดงถึงธรรมที่บริสุทธิ์เนื่องเพราะกรรมไว้ว่า

“มัจจะทั้งหลายหมดจดได้ด้วยธรรม 5 ประการนี้ คือ กรรม วิชา ธรรม ศีล และอุดมชีวิต ไม่ใช่ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์”

(สํ. ส. 15/78)

บางแห่งพระองค์ทรงแสดงถึงธรรมที่บริสุทธิ์เนื่องเพราะศีล เช่น

“ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีล มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีปัญญา มีความเพียรอันปรารภแล้ว มีตนอันส่งไปแล้วในกาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามโอฆะอันยากที่จะข้ามได้”

(สํ. ส. 15/74)

บางครั้งพระองค์ทรงแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ได้เนื่องเพราะฌานและปัญญา เช่น

“ฌานย่อมไม่มีแต่ผู้หาปัญญามิได้ ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ใกล้พระนิพพาน”

(ขุ. จ. 25/65)

บางครั้ง พระองค์ก็ทรงแสดงถึงความบริสุทธิ์มีได้ด้วยวิปัสสนาอย่างเดียว เช่น

“เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้นเขาย่อมหน่ายในทุกข์ นั่นคือ ทางแห่งวิสุทธิ”

(ขุ. ธ. 25/51)

และบางครั้ง พระองค์ก็แสดงว่าความบริสุทธิ์มีได้เนื่องด้วยสติปัฏฐาน เช่น

“ภิกษุทั้งหลาย ทางที่ไปอันเอกนี้ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อวิสุทธิแห่งสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี้คืออะไร คือสติปัฏฐาน 4”

(ที. ม. 10/325)

 
เนื่องจากธรรมที่ให้ถึงความบริสุทธิ์ มีลักษณะการอธิบายได้อย่างหลากหลาย ทั้งต่างสถานที่ ต่างบุคคล ต่างสถานการณ์ ดังนั้น ทางหรืออุบายจึงมีต่างระดับกัน เพราะภูมิธรรมของบุคคลและจริตอัธยาศัยความชอบไม่เหมือนกัน อุบายหรือทางต่างระดับนี้ แต่ละระดับมีขีดความสามารถไปถึงจุดหมายไม่เท่ากัน ระดับต่ำเป็นพื้นฐานไปสู่ระดับสูง เมื่อใช้เส้นทางระดับต่ำจนสุดทางที่ระยะหนึ่งแล้ว จำเป็นต้องผ่านจุดเชื่อมทาง เพื่อไปใช้เส้นทางอีกระดับที่สูงกว่าไปได้ไกลกว่าแทน จึงจะถึงจุดหมายได้ เช่น

การบริจาคทาน รักษาศีล เป็นการเตรียมพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ เพราะทานและศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ เวลาว่าง และสุขภาพดี เหตุที่มีความเชื่อมั่นและเรียนรู้ง่ายก็ด้วยอำนาจของสมาธิ ส่วนการสร้างความเห็นถูกในการดำรงชีวิตอย่างมีเหตุผลเป็นอานุภาพของปัญญา เป็นต้น

1944
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:16:28 »
จากพระคาถาที่ทรงพยากรณ์แก่เทพบุตรนี้ พระพุทธโฆสะได้นำมาเป็นบทตั้งในการรจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ขยายความบทกระทู้ดังกล่าว ว่าด้วยไตรสิกขาไว้อย่างพิสดาร นับว่าเป็นปกรณ์สำคัญปกรณ์หนึ่ง ที่ประมวลธรรมในคัมภีร์พระไตรปิฎก มาแสดงไว้เป็นหมวดหมู่โดยตั้งเป็นรูปคำถาม-คำตอบ แบ่งเป็น 3 ภาคใหญ่ ๆ ถือแนววิสุทธิ 7 ประการเป็นหลัก โดยขยาย

สีลวิสุทธิออกเป็นนิเทศหนึ่งต่างหาก เรียกว่า สีลนิเทศ แยกจิตวิสุทธิออกเป็นนิเทศหนึ่ง เรียกว่า สมาธินิเทศ และแยกปัญญาวิสุทธิทั้ง 5 มีทิฏฐิวิสุทธิ เป็นต้น ออกเป็นอีกนิเทศหนึ่ง เรียกว่า ปัญญานิเทศ รวมทั้งหมดแล้วมี 23 นิเทศ เนื้อหาใน 3 ภาคใหญ่ ๆ นั้น ได้แก่


ภาคแรกกล่าวถึงเรื่องศีล เริ่มตั้งแต่อธิบายว่า ศีลคืออะไร มีความหมายว่าอย่างไร ศีลมีลักษณะ มีกิจ มีผลปรากฎ และมีอะไรเป็นเหตุใกล้ มีคุณประโยชน์ต่อชีวิตอย่างไร มีกี่ชนิด มีอะไรเป็นอุปสรรค ควรรักษาศีลกันอย่างไร ตลอดจนกล่าวเฉพาะเรื่องการประพฤติปฏิบัติของผู้ถือบวชด้วย


ภาคที่ 2 กล่าวถึงเรื่องสมาธิ คล้ายกับเรื่องศีล คือ เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า สมาธิคืออะไร โดยความหมายอย่างไรจึงเรียกว่าสมาธิ มีกี่ชนิด อะไรเป็นอุปสรรคไม่ให้มีสมาธิ หรืออะไรทำให้สมาธิที่มีไม่พัฒนา อะไรคือวิธีเจริญสมาธิ ในเรื่องวิธีการเจริญสมาธินี้ได้กล่าวอย่างละเอียด เช่น เรื่องลักษณะสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เจริญสมาธิได้ดี การมีกัลยาณมิตรช่วยส่งเสริมแนะนำ ลักษณะจิตของผู้ที่ต้องการฝึกสมาธิและวิธีการเจริญที่เหมาะสมกับจริตแต่ละแบบ การเจริญสมาธิแบบ กสิณ ฌาน พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ มรณานุสสติ ฯลฯ การฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติ รูปฌาน ประโยชน์ของการฝึกสมาธิอภิญญาจิต


ภาคที่ 3 กล่าวถึงเรื่องปัญญา เริ่มตั้งแต่ความหมายของคำว่าปัญญา ลักษณะของปัญญา ชนิดของปัญญา วิธีการเจริญปัญญา ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาวความเป็นจริง ซึ่งจำเป็นต้องรู้อย่างชัดเจนเพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้น ได้แก่ การเข้าใจเรื่องชีวิตซึ่งเป็นเบญจขันธ์ คือ ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ระดับของความเข้าใจเรื่องขันธ์ 5 ดังกล่าว อายตนะ 6 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจจ์ 4 ปฏิจจสมุปบาท วัฏจักรแห่งกรรมและผลแห่งกรรม กฎไตรลักษณ์ ลำดับขั้นแห่งปัญญา ตลอดจนประโยชน์ของการเจริญปัญญาและการหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง ฯลฯ


กล่าวโดยสรุป คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เป็นการรวบรวมเนื้อหาสาระเกี่ยวกับศีล สมาธิ ปัญญา และหมวดธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก มาอธิบายขยายความไว้อย่างเป็นระบบ ให้รายละเอียดในแง่มุมต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของธรรมที่พึงทราบเหล่านั้น ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจได้ว่า ถ้าหากจะปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว จะต้องมีความรู้อะไรบ้าง ความรู้เหล่านั้นมีหลักการอย่างไร จะต้องปฏิบัติอะไรก่อน และอะไรหลัง เป็นต้น

1945
ธรรมะ / ตอบ: คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:14:13 »
4.1.1 ความสำคัญของคัมภีร์วิสุทธิมรรค


อรรถกถาทั้งหลายในสมัยอนุราชปุระ ถือเอาคัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เป็นหลักในการเขียนอรรถกถา และคณะสงฆ์ไทยปัจจุบันบรรจุในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกภาษาบาลีประโยค ปธ.8 วิชาการแปลมคธเป็นไทยด้วย นับว่าคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของพระพุทธโฆสะ ทำให้พุทธชนรุ่นหลังได้ศึกษาพระปริยัติธรรมในพระพุทธศาสนา นอกจากนี้มีนักวิชาการชาวต่างประเทศหลายท่านที่กล่าวถึงคัมภีร์วิสุทธิมรรคไว้ อาทิ

R.C. Cnilders กล่าวยกย่องไว้ในคำนำของหนังสือ Pali English Dictionary ว่า คัมภีร์
วิสุทธิมรรคนี้เปรียบเหมือนสารานุกรมแห่งคำสอนทางพระพุทธศาสนา ใช้ภาษาที่สั้นและชัดเจน แสดงถึงความเข้าใจทั่วถึงในเรื่องที่แต่งอย่างน่าอัศจรรย์ (วิสุทธิมรรค แปล 2513 : ง)

Dr. B.C.Law กล่าวไว้ในหนังสือ Buddhaghosa ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 1946 โดยให้ทัศนะว่าเป็นคัมภีร์ที่ให้ภาพรวมที่แสดงถึงระบบแห่งพระพุทธศาสนาทั้งหมด มิได้เพิ่มอะไรให้แก่ตัวคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่มุ่งหมายในการจัดสารบาญของพระไตรปิฎกให้เป็นระบบระเบียบ (วิสุทธิมรรค แปล 2513 : จ)

Spence Hardy เขียนไว้ในหนังสือ Manual of Buddhism กล่าวว่างานชิ้นนี้เสนอเนื้อหาส่วนที่เป็นคำสอนและอภิปรัชญาทางพระพุทธศาสนา ซึ่งได้ทั้งหลักฐานและความถูกต้อง (วิสุทธิมรรค แปล 2513 : ช)

พระธรรมปิฎก (สากัจฉา วิมุตติมรรค, 21 ก.ย.38) มีความเห็นว่าคัมภีร์วิสุทธิมรรค ให้ความรู้ที่เป็นฐานเพื่อก้าวลงสู่มหาสมุทรแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนา มีจุดยืนที่การนำเสนอภาคปฏิบัติเพื่อดำเนินชีวิตไปถึงเป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน


4.1.2 โครงสร้างของคัมภีร์วิสุทธิมรรค

 
พระพุทธโฆสะ เริ่มจับประเด็นตรงที่ว่า ปรารภเทพบุตรองค์หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ในคืนหนึ่งได้ทูลถามปัญหาเพื่อแก้ไขความสงสัยของตนว่า

“ธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นชัฏทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก ประชาชนถูกชัฏ (นั้น) เกี่ยวสอดไว้แล้ว ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าขอทูลถามพระองค์ ใครเล่าจะพึงถางชัฏนี้ได้”

ด้วยพระทสพลญาณอันหาประมาณมิได้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ (แก้ปัญหา) แก่เทพบุตร ด้วยพระคาถาว่า

สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ

อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏฺเย ชฏํํ

นรชนผู้ฉลาด มีความเพียรเครื่องเผากิเลสอย่างต่อเนื่อง มีปัญหา คือ สัมปชัญญะ 4 (นับ) เป็นภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏะ (เมื่อ) ตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว อบรมจิต (สมาธิ) และปัญญาอยู่นรชนผู้นั้น จะพึงถางรกชัฏอันนี้ออกเสียได้

(สํ. ส. 15/20)

1946
ธรรมะ / คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:12:50 »
ความเป็นมาและโครงสร้างของคัมภีร์วิสุทธิมรรค

ในคัมภีร์มหาวงส์กล่าวถึงประวัติ พระพุทธโฆสะ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคไว้ว่าท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ ใกล้กับเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดียฝ่ายใต้ ในวัยเยาว์ได้ศึกษาเล่าเรียน ศิลปวิทยา ตามธรรมเนียมของพราหมณ์ เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในคัมภีร์พระเวทมาก ท่านได้เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ของอินเดีย เพื่อโต้ตอบเรื่องปรัชญากับนักปราชญ์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้พบกับพระเรวัตเถระที่วัดแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไต่ถามปัญหาทางธรรมะ จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และขอออกบวช ได้สมญานามว่า พุทธโฆสะ เพราะเสียงของท่านมีความลึกซึ้ง สื่อความหมายทางธรรมดุจดังพระสุรเสียงของพระพุทธเจ้า

 

เมื่อบวชแล้วพระพุทธโฆสะได้รจนาคัมภีร์ญาโณทัย และอัตถสาลินี - อรรถกถาของธัมมสังคณี อันเป็นคัมภีร์แรกของพระอภิธรรมปิฎก เมื่อท่านเริ่มเขียนอรรถกถาปริตร พระเรวัตแนะนำให้ท่านเดินทางไปประเทศลังกา เพื่อศึกษาภาษาสิงหลและคัมภีร์อรรถกถาที่ลังกา แล้วแปลอรรถกถาสิงหลออกเป็นภาษามคธ (บาลี) เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่รู้ภาษาสิงหล เพราะในอินเดียเวลานั้นมีแต่พระไตรปิฎก ไม่มีอรรถกถาเหมือนอย่างลังกา

 

พระพุทธโฆสะเดินทางไปประเทศลังกา ตรงกับช่วงรัชกาลของพระมหานาม พระพุทธโฆสะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านสังฆปาล ในสำนักของฝ่ายมหาวิหาร และขออนุญาตแปลอรรถกถาสิงหลเป็นภาษามคธ (บาลี) คณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารขอให้ท่านพิสูจน์ความสามารถด้วยการเขียนอธิบายขยายความคาถา 2 บท พระพุทธโฆสะอธิบายได้อย่างละเอียด มีเนื้อความครอบคลุมคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า คือ กล่าวถึงเรื่อง ศีล สมาธิ และปัญญา ผลงานนี้คือ

คัมภีร์วิสุทธิมรรค

คัมภีร์วิสุทธิมรรค จัดเป็นคัมภีร์สำคัญฝ่ายเถรวาทคัมภีร์หนึ่งในชั้นนวัฎฐกถา รจนาขึ้น เมื่อหลังพุทธปรินิพพานประมาณ 956 ปี (ราวพุทธศตวรรษที่ 9) พระพุทธโฆสะอาศัยโบราณอรรถกถา 3 คัมภีร์ เป็นหลักใหญ่ในการแต่ง อรรถกถา 3 คัมภีร์ที่ว่านั้น คือ

1. มหาอรรถกถา เป็นคัมภีร์เดิมที่เคยผ่านการสังคายนาครั้งแรก อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธานมาแล้ว และถูกถ่ายทอดเป็นภาษาสิงหลเมื่อสังคายนาครั้งที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนายังนานาประเทศ

2. มหาปัจจรีอรรถกถา แต่งขึ้นที่ประเทศลังกา

3. กุรุณทีอรรถกถา แต่งขึ้นที่ประเทศลังกาเช่นกัน

อรรถกถาทั้ง 3 คัมภีร์นี้จารึกไว้เป็นภาษาสิงหล ใช้เป็นคัมภีร์หลักในการแต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังกล่าว

 

1947
ขอบคุณครับ :016:

1948
ขอขอบคุณและขอแสดงความนับถือคณะทำงานทุกท่านครับ
รวมทั้งกัลยาณมิตรที่ช่วยสั่งเสื้อให้ด้วยครับ

1949
วันนี้ได้รับพัศดุไปรษณีย์จากวัดบางพระ
เปิดมาเป็นเสื้อยืด 6 ตัว
เป็นรายการที่คุณสมบัติ สั่งเผื่อเพื่อนๆ
เสื้อสีเหลืองอ่อน ขนาด XXL สวมได้สบายดีครับ :015:

ขอขอบพระคุณ :054: คณะทำงานจัดทำเสื้อด้วยครับ

1950
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 11:34:30 »

พบผีมีวิชาอย่าตกใจ

อาจารย์มือใหม่สวดมนต์บทใดขึ้นมาผีสวดนำ
ทำให้อาจารย์มือใหม่ใจเสียสวดยังไม่ทันจบบทก็รีบเปลี่ยนไปสวดบทใหม่
แต่ผีก็ยังตามไปสวดนำได้ทุกบทจนหมดกำลังใจ
อาจารย์มืออาชีพไม่สนใจที่ผีสวดนำ
ตั้งสมาธิให้มั่นคงไม่หวั่นไหวสวดต่อไปจนจบ
ผีพ่ายแพ้ยอมสยบเพราะอาจารย์มืออาชีพรู้เท่าทัน
ผีสวดพระคาถานำได้แต่จะสวดไม่จบบท(ยังเป็นพระคาถาที่ยังไม่สมบูรณ์)
เพราะถ้าสวดจบบทเป็นพระคาถาที่สมบูรณ์แล้วเมื่อใด
พระคาถาบทนั้นจะกลับไปเล่นงานทำลายตัวของมันเองทันที
ถ้าพระคาถาปราบผีตนนั้นมิได้นั่นหมายถึงมิใช่ผีแต่เป็นเทพเทวีฤษีจริง

1951
นั่งสมาธิพบวิญญาณแม่เปรตผู้บรรลุโสดาบัน
 
ข้าราชการสาวซีเจ็ดสาวกผู้เลื่อมใส่ศรัทธานักบวชผู้สอนวิปัสสนากรรฐาน
ยึดมั่นในคำสอนและปฏิบัติตามท่านอาจารย์ผู้อ้างตนว่าบรรลุพระอรหันต์แล้ว
ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพราะหวังจะได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นพระโสดาบันตามแม่
ซึ่งได้ไปสู่พุทธภูมิไปอยู่กับพระพุทธองค์แล้ว
หลังจากที่แม่ได้ละและสละสังขารไปเมื่อสามปีที่แล้ว
เจ้าสำนักสอนวิปัสสนากล่าวรับรองและยืนยันว่าแม่ได้บรรลุโสดาบันแล้ว
เธอจึงพยายามดำเนินรอยตามแม่
เพื่อหวังจะได้ไปสู่ดินแดนพุทธภูมิพบความสงบสุขชั่วนิรันดร
ทรัพย์สินที่มีอยู่ส่วนใหญ่ครอบครัวของเธอ
ทุ่มเทไปให้กับการสร้างทานบารมีบริจาคให้กับสำนักนั้น
แต่ทุกครั้งที่จิตของเธอเป็นสมาธิจะต้องเกิดภาพนิมิตเป็นฝูงเปรตมาห้อมล้อมรอบตัว
กรีดร้องส่งเสียงโหยหวนน่าสยดสยองยิ่งนัก
เจ้าสำนักบอกกับเธอว่าบารมีทานของเธอยิ่งใหญ่นัก
แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับฝูงเปรตที่มาขอส่วนบุญ
ให้เธอเพิ่มการทำบุญบริจาคทาน ( ให้เจ้าสำนัก ) มากขึ้น
เพราะเธอจะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเร็วขึ้น
แต่ ... ที่เธอเกิดความหวั่นไหวและหวาดกลัวมากที่สุดคือ
นางเปรตตนหนึ่งพยายามที่จะผลักร่างเธอให้กระเด็นออกไป
นางเปรตตนนั้นส่งเสียงร่ำไห้คร่ำครวญโหยหวน
ใช้มือจิกกระชากทึ้งผมตนเองแสดงความโกรธแค้นและเสียใจสุดขีด
ตีอกชกตัวแบบคลุ้มคลั่ง
เสมือนกับกำลังพยายามที่จะบอกอะไรบางสิ่งบางอย่างกับเธอ
เจ้าสำนักบอกว่านางเปรตตนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติของเธอ
ให้เธอเพิ่มการทำบุญให้มากยิ่งขึ้นเพื่ออุทิศทานให้แก่นางเปรตจะได้เลิกมารบกวนเธอ
แต่ยิ่งทำทานนางเปรตก็ยิ่งมารบกวนเธอหนักมากขึ้นทุกที
จนเธอเกิดอาการทางประสาทต้องปรึกษาจิตแพทย์เพราะนอนไม่หลับ
เห็นแต่หน้านางเปรตตนนั้นตลอดเวลา
เจ้าสำนักช่วยเธอได้เพียงแค่การให้คำแนะนำให้เธอเพิ่มการทำทานให้หนักมากขึ้น
จนนางเปรตพอใจจะได้หยุดรบกวนเธอ
หลายครั้งที่นางเปรตหอบสิ่งของที่เธอทำทานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้
ทั้งสิ่งของและข้าวปลาอาหารเครื่องสังฆทานมาทุ่มลงกับพื้นต่อหน้าเธออย่างไม่สนใจใยดี
บ่อยครั้งที่นางเปรตชี้หน้าตนเองและชี้หน้าเธอ
คล้ายกับจะพยายามบอกบางสิ่งบางอย่างแก่เธอ
เมื่อไม่สามารถสื่อให้เธอเข้าใจได้ก็หันกลับไปทำร้ายตนเองด้วยความโกรธแค้น
มีผู้หวังดีแนะนำให้เธอเปลี่ยนสำนักเปลี่ยนตัวอาจารย์ใหม่
เธอจึงได้พบแสงสว่างแห่งชีวิตที่แท้จริง
ท่านอาจารย์ผู้รู้จริงให้เธอเข้าสมาธิตามรูปแบบที่เธอเคยศึกษามา
กำหนดจิตตั้งเป้าหมายไปที่นางเปรตตนนั้นเพียงอย่างเดียว
เมื่อนิมิตภาพของนางเปรตปรากฏขึ้น
ท่านอาจารย์ผู้รู้จริงให้เธอทิ้งภาพนิมิตนางเปรต
กลับไปยึดเป้าหมายของแม่แทน
เมื่อเธออธิษฐานจิตและเรียกชื่อของแม่
หัวของนางเปรตเปลี่ยนไปกลายเป็นหัวของแม่
ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารปานจะขาดใจตายไปต่อหน้าเธอ
“...ออกไปลูก...ออกไป...พาพ่อแก  พี่แก  น้องแก  รีบออกไปกันให้หมด...
มันไม่ใช่พระอรหันต์...มันเป็นพวกผีห่าซาตาน..มันไม่ใช่วิปัสสนาจารย์...
...มันหลอกลวงพวกเรา...แม่เสียใจที่แม่เป็นคนชักนำพวกเรามาหามัน...
แม่หลงผิด...ลืมไปว่า
โมหะเป็นตัวหลงเป็นเส้นทางที่จะนำพาวิญญาณแม่ให้ตกอยู่ในสภาพของเปรต
วิญญาณแม่ไม่ได้อดอยากหิวโหยไม่ต้องทำบุญทำทานให้แม่...
แม่แค่ต้องการมาเตือนลูกเตือนผัวเท่านั้น.
กล่าวจบนางนางเปรตก็หายวับไป
ตั้งแต่นั้นมานางเปรตก็ไม่มาปรากฏร่างให้เธอได้เห็นอีก
ภารกิจของนางเปรตเสร็จสิ้นบรรลุเป้าหมายแล้ว
แท้จริงแล้วนางเปรตตนนั้นแหละคือแม่ของเธอเอง
ที่ใครๆพากันหลงคิดว่าได้บรรลุโสดาบันไปอยู่ในดินแดนพุทธิภูมิแล้วนั่นเอง
นางเปรตผู้เป็นแม่มาเพื่อโปรดให้เธอกับคนในครอบครัวหลุดพ้นจากโมหะหรือตัวหลง
ท่านอาจารย์ผู้รู้จริงเป็นผู้จุดประทีปแห่งปัญญาให้เธอ
และปลอบเธอว่า
บัดนี้วิญญาณของแม่คุณ
ได้ปลดเปลื้องตัวโมหะหรือตัวหลงตัวห่วงหาอาลัยออกไปได้หมดสิ้นแล้ว
เมื่อปราศจากตัวโมหะหรือตัวหลงปราศจากตัวห่วงหาอาลัยแล้ว
จิตวิญญาณของแม่คุณจะพ้นจากสภาพของเปรต
จะเดินทางไปสู่สุคติภพตามกรรมดีและหรือกรรมชั่วที่ได้เคยกระทำมาแล้วต่อไป
การทำบุญทำทาน
มิใช่ทำด้วยการทุ่มเททรัพย์สินเงินทองเพื่อซื้อหรือแลกเปลี่ยนผลบุญเพียงอย่างเดียว
การถ่ายทอดพลังแห่งความเมตตาและพลังแห่งปัญญาเพื่อเป็นวิทยาทาน
สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ธนบัตรเป็นบัตรผ่านประตูสวรรค์
ผลทานที่คุณแม่และพวกคุณทำด้วยการบริจาคทานเป็นทรัพย์สินเงินทองให้สำนักนี้
ดุจสร้างสำนักเปรตให้พวกภูตผีปีศาจเปรตและอสูรกายอยู่
เมื่อพวกคุณตายไปแล้วพวกคุณคงไม่มีผู้ใดปรารถนาที่จะมาเสวยสุขอยู่ ณ สถานที่นั้นแน่
ถ้าจะให้เลือกเอาว่า
เมื่อพวกคุณสิ้นอายุขัยแล้ว
พวกคุณจะเลือกมาเสวยสุข ณ เปรตสถานแห่งนั้น
กับการ
ให้ผลแห่งกรรมที่คุณบริจาคทานเป็นทรัพย์สินให้แก่สำนักนั้นเป็น โมฆะกรรม
พวกคุณจะเลือกแบบไหน?
 
องค์มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาลท่านกล่าวว่า
ผู้ที่มีความลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งโมหะจริต
ถึงสังขารจะยังไม่ทันตาย
จิตวิญญาณผู้นั้นจะเป็นจิตวิญญาณของเปรตในร่างมนุษย์
 
 
องค์มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาลท่านกล่าวว่า
ผู้ที่มีความลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งโมหะจริต
ถึงสังขารจะยังไม่ทันตาย
จิตวิญญาณผู้นั้นจะเป็นจิตวิญญาณของเปรตในร่างมนุษย์


1952
ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอ ครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

          "คุณแม่ยังไม่กลับหรือคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?" ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน...

          คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง...ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

          เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง "ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว..." ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที่...

          เรื่องมีอยู่ เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้น ป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด... ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ

          ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ... เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

          ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันที และอย่างเคร่งครัดเชียวล่ะค่ะ!



ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด
http://hilight.kapook.com/view/37709
(ลอกเค้ามาต้องอ้างอิงที่มา)

1953
วิญญาณแม่ (ข่าวสด)

          "พัชรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอบพิเศษ ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงเลย ดังนั้น จึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

          ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่จบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

          ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยดี ไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอบก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

          เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

          ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

          ครูติ๊กเป็นครูที่หวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวละก็ ห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

          เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย! วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

          หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

1954
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:53:26 »
การหยั่งรู้นี้ อุปมา ดังกับนักวิทยาศาสตร์เข้าห้องค้นคว้าทดลอง จนเกิดความรู้เกิดทฤษฏีขึ้นที่จริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้สร้างกฎเกณฑ์หรือหลักความจริงนั้นเลย เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าจนเข้าถึงกฏเกณฑ์ หรือหลักความจริงนั้น ๆ จึงได้นำมาบัญญัติเป็นหลักเกณฑ์เป็นทฤษฎีขึ้นมาไว้สำหรับสอนกัน ตามความจริงที่ตนเองได้พบ และถ้าพบความจริงมากเท่าใด ก็เข้าใกล้พุทธศาสนามากขึ้นเท่านั้น ทนทานต่อการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น หลักเกณฑ์การเชื่อถือกฏความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กันอยู่ จึงเป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าใช้มา ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว และพระองค์ก็ได้เข้าถึงความจริงทุกสิ่งทุกอย่างหมด จนเรียกความรู้ชนิดนี้ของพระพุทธเจ้าว่า  สัพพัญญุตญาณ  แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่ไปถึงไหนเลย วิชาความรู้ต่าง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์นำมาบอกมาสอนจึงไม่สามารถดับทุกข์ได้จริงจัง
การนับถือกฎแห่งกรรมจึงต้องใช้ปัญญาและศรัทธาควบคู่กัน เพราะถ้ามีแต่ปัญญา มักไม่ลงมือกระทำ ชอบวิพากษ์วิจารณ์ จิตใจกระด้างไม่ค่อยอ่อนน้อม ชอบละเลยกุศลเล็ก ๆ น้อย ๆ และยังชอบมองแต่โทษผู้อื่น ชอบจัดแจงผู้อื่น
แต่ถ้ามีเพียงศรัทธา (กัมมัสสกตาศรัทธา) ก็มักเชื่อง่าย ชอบปลงแล้วก็ยอมจำนน ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ต่อสู้ รอวาสนา
ดังนั้น จึงต้องมีทั้งปัญญา และศรัทธาควบคู่กันไปอย่างเหมาะสม ใจจึงไม่กระด้าง เชื่อฟังยอมรับผู้อื่นได้ หาทางออกที่ดีงามได้ ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ
 
 
มนุษย์มีศักยภาพในตนเอง และสามารถพัฒนาตนเองได้จนสูงสุด เป็นสัตว์ที่ฝึกตนเองและผู้อื่นได้ หากฝึกตนดีแล้ว แม้เทวดายังชม พรหมยังสรรเสริญ กราบไหว้ ดังนั้นชีวิตของมนุษย์จึงเลือกลิขิตเอาได้
เลือกเกิด สามารถเลือกเกิดในภพภูมิ ทุคติ หรือสุคติใด ๆ ชั้นไหน ๆ ก็ได้ด้วยการสร้างกรรมให้ถูกตามทางเดินของคตินั้น ๆ
เลือกเป็น สามารถจะเลือกเป็นมนุษย์ชนิดที่ สวย รวย ฉลาด ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีบริวารมาก หรือจะเป็นพระอรหันต์ ก็มีสิทธิเลือกเป็นได้ ด้วยการพัฒนาพฤติกรรม เพิ่มเติมบารมีด้วยตนเอง เมื่อบารมีพร้อมก็สามารถเป็นได้.


ขอขอบคุณ คุณกระเบนท้องน้ำ
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4494.msg74405#msg74405

1955
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:51:18 »
ผลที่ดีนั้นได้แก่ การรับรู้หรือได้ประสบกับ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อันเป็นอิฏฐารมณ์ที่มนุษย์ปรารถนา เป็นเรื่องกิน กาม เกียรติ เป็นเรื่องวัตถุเสียส่วนมาก ซึ่งที่จริงการมีทรัพย์สิน เงิน ทอง แม้มากมาย แต่ถ้ามีโรคภัยมาเบียดเบียนร้ายแรง ก็หาความสุขสบายไม่ได้ เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ “
แต่การทำดีนั้น คนเรามักเพ่งไปที่ผลดังกล่าว แล้วก็เร่งเร้าอยากให้เห็นผลวันนี้ พรุ่งนี้ ซึ่งการทำบุญ(มหากุศล) นั้น เป็นสิ่งที่ต้องรอ อาจเป็นเดือน เป็นปี หรืออาจข้ามภพ ข้ามชาติจึงออกผลจะมีเพียงกุศลที่ได้องค์ประกอบพร้อมจริง ๆ คือได้ทำบุญกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน แล้วออกนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ เราได้ทำบุญกับท่านเป็นบุคคลแรก ด้วยทานที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์ อย่างนี้จึงได้ผลภายใน ๓ วัน ๗ วัน
การรอคอยผลบุญที่จำต้องรอคอย ทำให้คนลังเลต่อผลของบุญที่จะได้รับเมื่อทำความดี จนบางคนเขวต่อการทำบุญก็มาก เช่นมาวัดทำบุญ เงินหาย รองเท้าถูกขโมย สุนัขกัด จึงมีคำกล่าวที่ว่า  ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป 
การรับผลของกรรมอุปมาคล้ายกับการปลูกพืชเช่นการปลูกต้นมะพร้าว แต่ขณะนั้นมะนาวให้ผลสุกพอดี ก็จำต้องรับผลมะนาวไปก่อน จะด่วน ว่ามะพร้าวเปรี้ยวไม่ถูก จะกินมะพร้าวก็ต้องรออีกนาน
ด้วยเหตุนี้ขอให้เราตระหนักว่า แม้ขณะทำดีแต่รับผลไม่ดีอาจจะโดนว่า ถูกนินทากล่าวร้าย แต่จงรู้ว่าความดีย่อมาไม่แปรเปลี่ยนด้วยคำพูด ใครๆ ดีย่อมเป็นดี บุญย่อมเป็นบุญ ฉะนั้นทำดีย่อมได้รับผลดี เป็นคำพูดที่ถูก จริง และเมื่อเราแน่ใจให้เรามั่นคงไว้ จงอย่าหาความสุขกับผลการกระทำที่หวังจะได้รับแต่ จงให้ภูมิใจกับคุณค่าที่ตนได้มีโอกาสทำ จงสาธุ มุทิตา กับตนเอง ในคุณค่าของการกระทำนั้น โดยใช้คำเพียงสั้น ๆ ให้เราได้กำไร คือ . ทำดี - ดี, ทำชั่ว - ชั่ว ไม่ต้องรอ
 
ชาวพุทธเราแม้ทำดีแต่จิตใจยังไขว้เขว ไม่ค่อยเชื่อบุญ – บาป ที่ทำก็เพราะรักษาใจตนเองให้ ศรัทธามั่นอยู่ไม่ได้ ถ้ามีความเชื่อเวรกรรม, บุญ - บาป หรือเชื่อความรู้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว ใจจะไม่ทุกข์ร้อนกับความรู้สึกที่ว่า ทำบุญได้บาป ในขณะนั้นเลย

เราลิขิตเรามาเอง เชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง
- ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อในการตรัสรู้จริงของพระพุทธเจ้า ทำให้มั่นใจไม่คลอนแคลนลังเล สงสัยในเรื่องบุญ – บาป หรือผลของบุญ – บาป กล้าพิสูจน์ในความสุขุมลุ่มลึกของธรรมะ ที่ยากต่อการหยั่งถึง
หลักความเชื่อกรรมนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมา แต่พระองค์ทรงใช้ปัญญาพิสูจน์จนพบกฏเกณฑ์ความจริงของธรรมชาติที่เป็นอยู่ แล้วนำมาบัญญัติสอนเป็นหลักกรรม โดยพระองค์ไม่ได้สาบแช่งหรือ ลิขิตชีวิตใคร แต่ทรงชึ้ให้รู้เหตุ – ผล ที่เป็นจริงตามกฏของธรรมชาติ เรียกว่า “ กรรมนิยาม “
วิธีการหยั่งรู้นั้น พระองค์ได้ใช้พระญาณระลึกถึงชีวิตในอดีตชาติด้วย อตีตังสญาณ รู้การเกิด การตาย รู้การกระทำด้วยจุตูปปาตญาณ เมื่อรู้เห็นการกระทำของสัตว์โลกว่าทำแบบนี้มา จึงได้แบบนี้ ชาติแล้วชาติเล่า ภพแล้วภพเล่า จนเห็นความจริง จึงได้บัญญัติกฏเกณฑ์ขึ้น ตามความเป็นจริงนั้น ๆ โดยมิได้ทรงเชื่อใคร ๆ ไม่ได้ยืมกฏเกณฑ์ หรือปฏิรูปกฏเกณฑ์จากคำสอนใคร ๆ มา แต่เกิดจากการได้ประสบเรื่องราวด้วยญาณปัญญาของพระองค์เอง รู้จริงด้วยตนเอง จึงได้ทรงนำมาบัญญัติสอน แม้ความจริงระดับศีลธรรมอันเป็นกฏเกณฑ์เพื่ออยู่กันอย่างเป็นสุขของสังคม จะเหมือนกันกับศาสนาอื่นบ้าง ว่าได้นำความรู้ของศาสนาใคร ๆ มาสอน เป็นการรู้เองมิได้เชื่อใคร ๆ

1956
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:49:48 »
กิเลสก็อย่าง วิบากก็อย่าง กรรมก็อย่าง การตัดกรรมไม่ใช่การตัดผลของกรรม ผลกรรมเป็นสิ่งที่จำต้องรับ ตัวกรรมเป็นสิ่งที่เลือกทำได้
การตัดกรรมนั้นคือการตัดอกุศลกรรมหรือบาปกรรม ได้แก่การหยุดทำอกุศลกรรมนั้น ๆ ไว้ด้วยการทำบุญ ทำกุศลกรรม เช่น รู้สึกโกรธเป็นบาปกรรม ตัดกรรมก็โดยการเจริญเมตตา อิจฉาเป็นบาปกรรม ตัดกรรมด้วยการแผ่มุทิตา นิวรณ์เกิดเป็นบาปกรรม ตัดกรรมด้วยการกำหนดสมถภาวนา วจีทุจริตเกิด กายทุจริตเกิดเป็นบาปกรรม ตัดกรรมด้วยการรักษาศีลทำสุจริตกรรมแทน
กรรมมักพูดคู่กับเวร เช่นหมดเวร – หมดกรรม เวรนั้นหมายเอาการสนองผลการกระทำตามลักษณะที่ทำ ถ้าเป็นการผูกอาฆาตเรียกว่าผูกเวร ผลจะมีไม่สิ้นสุด บุคคลผู้ถูกอาฆาต จะต้องล้างผลาญกันข้ามภพข้ามชาติ ดังนั้นการตัดเวรตัดกรรม ก็ต้องทำด้วยการเจริญเมตตา ให้อภัย อโหสิ ขอขมา จึงหมดเวร สมจริงดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร 
 
วิธีที่ ๑ ผลกรรมที่ไม่ดีเราสามารถชะลอได้ แต่เฉพาะที่ ไม่ร้ายแรงมากเช่น ถ้าหากเรารู้ว่าอายุจะเหลืออยู่อีก ๓ เดือน จะประสบอุบัติเหตุ ให้เราเร่งทำบุญเพื่อเพิ่มบุญ เมื่อบุญใหม่เริ่มส่งผล บุญก็จะอุปถัมภ์ให้ชีวิตอายุยืนยาว และจะเบียดเบียนกรรมเก่าๆ ไว้ไม่ให้ออกผลได้ เป็นการชะลอผลกรรม และถ้าหากผลกรรมนั่นถูกเบียดเบียนจนเลยกำหนดก็หมดเวลาที่จะต้องมารับโทษไปเอง
แต่ถ้าหากกรรมนั้นรุนแรงเพราะบาปหนักมากก็ไม่อาจชะลอได้เลย ดุจพระเจ้าสุปพุทธะ รู้ว่าตนจะถูกแผ่นดินสูบ ก็เลยหนีขึ้นอยู่บนปราสาท แต่ก็เกิดเหตุให้ม้าตัวโปรดร้อง ทำให้หลงลืมสติลงมาถูกแผ่นดินสูบจนได้
วิธีที่ ๒ กรรมจะให้ผลนั้น ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในปัจจุบัน ๔ อย่าง คือ คติ อุปธิ กาล ปโยคะ ถ้าองค์ประอบ ๔ ประการนี้เป็นไปในทางเสื่อมเสีย(วิบัติ) ก็จะเป็นปัจจัยให้ผลของบาปกรรมมาส่งผลได้ แต่ถ้าองค์ประกอบสมบูรณ์ดี (สมบัติ) ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดผลของบุญได้สะดวก ดังนั้นการชะลอผลกรรมหรือการเร่งผลกรรม ก็อยู่ที่ว่าเราจัดองค์ประกอบเหล่านี้ได้ดีหรือไม่
- คติ คือภพ ที่ไปเกิด หรือที่อยู่ สิ่งแวดล้อม
- อุปธิ คือร่างกาย บุคลิกท่าทาง ฐานะหน้าที่
- กาล คือกาลเวลา ยุคสมัย ค่านิยมของยุคสมัย
- ปโยคะ คือความเพียร ความพยายาม ความขยันอดทน เป็นการกระทำในปัจจุบัน
ตัวอย่าง : เช่นเราอยากร่ำรวยที่เราไปอยู่ต้องเหมาะต่อการทำอาชีพ, การค้าขายเรียกว่า คติสมบัติ, ด้านร่างกายมีสุขภาพพลานามัย และบุคลิกดี ไม่เจ็บป่วยทุพลภาพ เรียกว่า อุปธิสมบัติ , ด้านกาลเวลา รู้จักช่วงโอกาส ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการทำอาชีพ เรียกว่า กาลสมบัติ, ความอดทน ขยันหมั่นเพียร ทำเต็มที่ เรียกว่า ปโยคสมบัติ
ถ้าองค์ประกอบดี ร่ำรวยได้ แต่ถ้าองค์ประกอบไม่พร้อม (วิบัติ) การค้าขายก็ต้องบกพร่องไป หรือถ้าหากเราจะหลีกผลบาปเก่า เช่นจะถูกรถชน จะถูกคนทำร้าย เราก็เลือกคติที่ดีเช่น ไปบวชปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดไม่ไปไหน ๆ อุปธิร่างกายก็ทำให้เหมาะสมกับฐานะหน้าที่ คือวางตัวให้เหมาะสมไม่ทำตนนอกรีตนอกรอย กาลเวลาก็ทำให้เหมาะสมถูกกาลเวลา ปโยคะ คือ ความเพียร ก็หมั่นทำกุศลเจริญสติจิตใจแน่วแน่ไม่ท้อถอย ถ้าเราจัดองค์ประกอบเช่นนี้รถที่จะมาชน คนที่จะมาทำร้ายก็เกิดยากมาก เป็นการชะลอกรรมได้
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ปโยคะ ได้แก่ความพยายาม ความเพียรในการทำความดี ซึ่งเราสามารถเลือกได้ เร่งได้ด้วยตัวเอง ส่วน ๓ อย่างข้างต้น บางครั้งเราไม่อาจเลือกหรือจัดสรรได้เลย และเป็นเพียงเครื่องรองรับเท่านั้น
 

1957
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:39:35 »

ส่วนอย่างแรก คล้ายคำสอนในพุทธศาสนา แต่ทำไมพระพุทธเจ้าทรงตำหนิ ชี้โทษว่าจะทำให้ชีวิตยอมจำนน ที่เป็นเช่นนี้เพราะสอนไม่ตรงตามความเป็นจริง ชีวิต สุข – ทุกข์ขึ้นอยู่กับกรรม แต่มิใช่กรรมเก่าเพียงอย่างเดียว ชีวิต สุข – ทุกข์ ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆรวมทั้งกรรมในขณะปัจจุบันด้วยต่างหาก ชาวโลกไม่น้อยที่รู้จักพระพุทธศาสนากลับเห็นว่าพุทธศาสนาสอนให้จำนนต่อกรรมเก่า แม้แต่คนระดับศาสตราจารย์ที่เคยออกทีวี และอาจารย์ที่สอนศาสนาในมหาวิทยาลัยบางท่าน ก็ยังสับสนกับคำสอน เรื่องกรรม อยู่มาก มักมีความเชื่อเรื่องกรรมที่สับสน เช่น

-  กรรมเป็นเรื่องร้ายแรง เป็นสิ่งเลวร้าย
-  กรรมเป็นเรื่องต้องยอมจำนน
-  กรรมเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นไม่ได้
-  กรรมเป็นความชั่วที่ทำไว้ในอดีต
-  กรรมเป็นเรื่องของบาป
-  กรรมเป็นผลร้าย (วิบาก) ที่ได้รับ
-  กรรมเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี (กิเลส)
- กรรมเป็นคำสอนที่ทำให้คนไม่แก้ไขพัฒนาชีวิต

คำว่า  “กรรม” จริง ๆ แล้วเป็นคำกลาง ๆ ดีก็ได้เสียก็ได้ มีความหมายเพียงการกระทำด้วยกาย วาจา ใจ ถ้า กระทำเป็นไปในทางดี เรียกว่า กุศลกรรม หรือ บุญ ถ้ากระทำเป็นไปในทางชั่ว เรียกว่า “อกุศลกรรม”

การทำบุญด้วยอะไร แล้วจะได้อะไรนั้น เราจะเอาอะไรตัดสิน เพราะบางคนสับสนต่อผลบุญจนกลัวอานิสงส์ เช่นคนจีนไม่ชอบทำบุญด้วยการสร้างห้องสุขา เพราะกลัวสุขาจะติดตามไปอยู่ใกล้ ๆ ตลอด หรือใครทำบุญแต่เพียงข้าวก็จะอดน้ำ ความจริงไม่มีการให้ข้าว ไม่มีการให้ห้องสุขา ไม่มีการให้น้ำ เพราะชื่อนั้นเป็นสิ่งสมมุติ แท้จริงการให้เป็นการให้สิ่งที่เขารู้ได้ทางทวาร ๖ นั่นเอง เช่นให้ข้าว คนรับจะได้รับรสอร่อย ได้ความอิ่ม ได้อายุ ได้ชีวิต ได้กำลัง ได้ความสุข สิ่งที่ผู้ให้จะได้รับผลก็คือ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ให้ข้าวต้องได้ข้าว หรือให้กระเบื้องต้องได้กระเบื้อง
หลักการตัดสินว่าให้อะไรแล้วได้อะไร เราต้องเอาสภาพทางทวาร ๖ เป็นเครื่องพิสูจน์ตัดสิน สิ่งที่เขาได้รับนั้นแหละคือสภาพที่เราจะได้เมื่อรับ ซึ่งอาจจะมีลักษณะแตกต่างกันในรูปแบบสิ่งของที่ได้รับ แต่เสมอกันด้วยสภาพการรับรู้ทางทวารทั้ง ๖ เช่นนางเทพธิดาตนหนึ่งได้อุบัติเกิดในสวรรค์ พร้อมบริบูรณ์ไปด้วยสรรพสิ่งที่มีสีเหลืองสุกปลั่ง(ทองคำ) เพราะเหตุที่ได้บูชาพระสารีริกธาตุด้วยดอกฟักที่มีสีเหลืองสด
ชีวิตร่างกายเป็นสิ่งที่ถูกปรุงขึ้นด้วยกรรม จิต อุตุ อาหาร ความเจ็บป่วยก็มีสมุฏฐานมาจากสี่องค์ประกอบนี้ ถ้าจิตใจไม่ดีจิตก็มีผลต่อร่างกายทันที ถ้าอุตุ( ดิน ฟ้า อากาศ) แปรปรวน ร่างกายปรับไม่ทันก็ต้องเจ็บป่วย หรือถ้าอาหารไม่ดี แสลง ไม่เหมาะต่อสุขภาพก็จะต้องเจ็บป่วย แต่โรคบางอย่างที่รักษาด้วย ยา อาหาร และจิตบำบัดไม่หายก็มี โรคนี้เรียกว่าโรคกรรม – โรคเวร การรักษา ต้องแก้ด้วยการทำกุศลที่แก้กันได้ เช่นพี่สาวของพระอนุรุทธะ เป็นโรคผิวหนังรักษาไม่หาย ต้องไปสร้างวิหาร ถวายวัดแล้วถวายความอุปัฏฐาก ปัดกวาด เช็ด ถู โรคจึงได้ทุเลาแล้วหาย
ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วย เราไม่อาจรู้สมุฏฐานได้ จึงต้องหาหมอ ต้องใช้ยาเป็นเบื้องต้น ไม่ควรสรุปว่าแล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรมเพราะไม่ถูกต้อง โรคบางอย่างไม่ได้มีสมุฏฐานมาจากกรรม แต่ว่าทางที่ดี การรักษาด้วยวิธีใด ๆ ก็แล้วแต่ ควรต้องทำบุญช่วยด้วยจึงดี เพราะเราไม่สามารถรู้สมุฏฐานทั้ง ๔ อันเป็นเหตุของการเจ็บป่วยชัดเจน และการได้ทำบุญไว้ก็เป็นการช่วยให้ตนมีบุญ เป็นการหนุน(อุปถัมภ์) ให้ตนหลุดพ้นจากการเจ็บป่วยอันเป็นผลของบาปดังคนนิยมทำบุญกันในรูปการสะเดาะเคราะห์ สังฆทาน บวช ฯลฯ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้

1958
กฎแห่งกรรม / ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:38:18 »
   
ชีวิตลิขิตเองได้...

มนุษย์...ผู้เข้าถึงความจริงและเหตุผลแล้ว ก็ไม่ต้องยอมจำนนต่อความเชื่อใดๆ เพราะการได้ประสบการณ์กับของจริงนั้น ๆ ทำให้เขารู้ถูกต้อง จึงทำให้มนุษย์เช่นนี้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำด้วยความมั่นใจโดยไม่ต้องยอมจำนนต่อความเชื่อ ใด ๆ หลักการที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยผู้ที่ได้ประสบการณ์จากของจริง ๆ แม้จะมีผู้พยายามเปิดเผยให้ทดลอง แต่ก็ได้รับการสนองเฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้น
มนุษย์โลกส่วนใหญ่ยังยอมจำนน ต่อความเชื่อตามความเชื่อของตนเอง โดยไม่สนต่อเหตุผลอยู่ทุกวี่วันอย่างไม่จางคลาย…
แม้ชีวิตของคนเรา ก็ยังถูกเชื่อว่ามีผู้เป็นใหญ่หรือแหล่งอำนาจคอยควบคุมลิขิตชีวิต ทำให้หลาย ๆ ชีวิตต้องยอมจำนนตัวเอง ไม่เชื่อมั่นการกระทำของตนเอง หรือบางคนต้องลดตนถึงกับคอยกราบไหว้อ้อนวอนบวงสรวงต่าง ๆ เพื่อหวังให้ผู้เป็นใหญ่ประทานสิ่งที่ตนปรารถนา…

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติหลักความเชื่อที่ทำให้ชีวิตยอมจำนนไว้ ๓ ประการ คือ..
๑. ปุพพกตเหตุ เชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตด้วยกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว
๒. อิสรนิมานเหตุ เชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดโดยผู้เป็นใหญ่ พระเจ้าบันดาล พรหมลิขิต หรือฟ้าประทาน
๓. อเหตุอัปปัจจยา เชื่อว่าชิวิตเป็นไปโดยดวง แล้วแต่โชคลาง เป็นเรื่องบังเอิญไม่มีเหตุ
ความเชื่อทั้ง ๓ ประการนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงสอน ไม่ทรงสรรเสริญ แต่ ทรงตำหนิชี้โทษว่า … บุคคลใดมามีความเห็นว่าสุข ทุกข์ เป็นไปดังที่กล่าว… ความเพียรก็ดี ความพยายามโดยชอบก็ดีย่อมไม่เกิด  
ความเชื่อทั้ง ๓ ประการนี้ อย่างแรกดูเหมือนคล้าย ๆ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนอย่างที่สองเป็นความเชื่อของผู้ที่นับถือเทพเจ้า อย่างสุดท้ายมักเป็นความเชื่อของผู้ที่ไม่คอยสนใจศาสนาเป็นส่วนใหญ่
เรามาดูอย่างที่สามก่อน คนในสมัยปัจจุบันมักถูกสภาพเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อมบีบให้ห่างศาสนา คนเห็นวัตถุเป็นที่พึ่ง และประจวบกับคนก็ละเลยด้วย จึงมีความเชื่อโดยสรุปจากเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ว่าทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องบังเอิญ แล้วแต่ดวง แล้วแต่โชค ดวงดีก็ดีเอง จะทำชั่วก็ตามทำดีก็ตามไม่สำคัญ ทำชั่วไม่มีใครรู้เห็น ถือว่าไม่มีโทษ ทำดีไม่มีใครชม ไม่ได้ยศ ไม่ได้เงิน ถือว่าทำดีไม่ได้ดี คนประเภทนี้จะไม่มีการรับผิดชอบพฤติกรรมของคน ดื้อรั้น มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม ปล่อยตัวเองไหลไปกับกระแสโลก วิ่งตามค่านิยมไม่มีหยุด  ต่อเมื่อตนเองประสบกับทางตันของชีวิตหรือความวิบัตินั่นแหละ เขาจึงเริ่มหันเข้าหาศาสนาเริ่มเพียรสร้างความดี แต่มักไม่เหลือความพร้อมแทบจะสายเสียทุก ๆ ราย
ส่วนอย่างที่สอง เชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดด้วยผู้เป็นใหญ่ บุคคลกลุ่มนี้มักมีความยึดมั่นถือมั่นมาก เพราะค่านิยมของลัทธิทำให้เขาฝังตัวเองอย่างไม่ยอมถอย ซ้ำยังถูกล้อมด้วยทิฐิของศาสดาไม่ให้เปิดใจต่อเหตุผลในคำสอนใคร ๆ ความจริงเป็นเรื่องของจิต -วิทยาเพราะคนทั่วไปจิตใจมักเรียกร้องความรัก ความเข้าใจ ความยอมรับ อันเป็นสิ่งธรรมดาที่มนุษย์ปรารถนายิ่งกว่าปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นเหตุทำให้อบอุ่น มีความสุขใจ ให้ชีวิตได้สดชื่นในระดับต้น ๆ
มนุษย์จีงได้วางกฎเกณฑ์เพื่อสนองความต้องการจุดนี้ ด้วยการสมมุติผู้เป็นใหญ่ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเคารพบูชา โดยวิธีมอบความรัก ความเชื่อ ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้สิ่งที่เขาบูชาถูกใจ ชอบใจ จะได้ตอบแทนความรัก ความหวังดีความยอมรับและสนองความต้องการของตนกลับคืนมาตามความเชื่อนั้น ซึ่งเป็นกลไกการสนองความต้องการของคนด้วยคนผู้เป็นใหญ่สร้างอุบายขึ้น เพื่อให้กำลังใจตนเองให้มีความสุขใจ ให้มีความอบอุ่น ไม่หมดหวัง ไม่ท้อแท้ ตามหลักอุบายเพื่อจะแสวงหาความรักความอบอุ่นจากผู้อื่นด้วยตนเอง แม้ที่สุดหาจากโลกมนุษย์ไม่ได้ ก็ยังมีทางสุดท้ายให้หวัง จากสิ่งลี้ลับ โดยไม่เคยรู้ - เคยพบ เป็นการหาทางออกให้จิตใจที่จะหมดหวังโดยอาศัยความเชื่อด้วยการผูกตัวเองไว้กับสิ่งนั้น คำสั่งสอนชนิดนี้จะทำให้คนจำนนชีวิต ไม่เชื่อมั่นการกระทำของตนเอง ทำอย่างไร เพียรขนาดไหนแล้วแต่ผู้เป็นใหญ่จะชอบใจ ถ้าถูกใจก็จะประทานให้สมปรารถนา... ถือว่าเป็นคำสอนที่ดูถูกศักยภาพของมนุษย์
แต่ทางพุทธธรรมชี้ว่า ทุกอย่างทั้งในโลกและนอกโลกไม่สามารถยึดเป็นที่หวังได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะของตนเอง ทุกอย่างตกอยู่ในกฎไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยเหตุจึงเกิด ดังนั้นมีทางเดียวคือ การถอนจิตไม่ให้ถูกพันธนาการจากสิ่งใด ๆ และการถอนจิตได้นี้เราเรียกว่า  “ความหลุดพ้น”  จะไม่มีอะไรทำจิตที่พ้นพันธนาการนี้ให้ท้อแท้ หมดหวัง เป็นทุกข์ได้เลย และการที่จิตไม่ถูกพันธนาการนี้ ไม่ใช่การไม่รับผิดชอบไม่รับรู้ช่วยเหลือ แต่เป็นการรับรู้และการกระทำการเกี่ยวข้องด้วยดีอย่างสมบูรณ์ รับผิดชอบเต็มที่อย่างมีสติสัมปชัญญะ โดยที่จิตใจไม่มีความทุกข์เลยแม้แต่น้อย เลยกลับกลายเป็นเรื่องของมนุษย์เป็นผู้ลิขิตสุข – ทุกข์ของตนเองด้วยการใช้สติปัญญา

1959
ขอแจมด้วยครับ
   
เราเลือกเกิดไม่ได้จริงหรือ...

เราได้ยินบ่อยๆ นะครับว่า “ก็เลือกเกิดไม่ได้นี่ ถ้าเลือกเกิดได้ก็จะเลือกเกิดให้ดีที่สุด ร่ำรวยที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุด...แต่เลือกเกิดไม่ได้”
   ถ้าจะถามว่า เราเลือกทำกรรมใช่หรือไม่ การทำกรรมนี่ใครเป็นคนเลือก เราเป็นคนเลือกทำกรรม กรรมเป็นตัวกำหนดการเกิดของเรา คนเราเป็นไปตาม กรรม จะเป็นดี เป็นชั่ว เป็นทุกข์ อย่างไรนั้นเป็นไปตามกรรม
   กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เมื่อเราเป็นคนเลือกทำกรรม และกรรมเป็นตัวกำหนดการเกิดของเรา เพราะฉะนั้นใช่เราหรือเปล่าที่เป็นคนเลือกเกิด เพราะเลือกทำกรรมนั้นเอง
   เหมือนกับคนไปติดคุก เขาก็ทำกรรมที่เป็นเหตุให้ติดคุก เสร็จแล้วพอติดคุกแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่ได้เลือก ที่จริงเขาเลือกเพราะเขาไปทำกรรมที่เป็นเหตุให้ติดคุก ยกเว้นคนที่ถูกใส่ความ คนที่ไม่ได้ทำ แต่ว่ามันอาจจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ก็แล้วแต่ ยกเว้นไปบ้าง เพราะกฎทุกอย่างมีข้อยกเว้น แต่ในที่สุดเขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ดีถ้าเขาไม่ได้ทำ แต่ส่วนมาก ได้ทำ
    เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นผู้เลือกทำกรรม และกรรมเป็นตัวกำหนดในการเกิด เราถือว่าเราเป็นผู้เลือก การเกิด คนที่มีบารมีดีๆ เขาเลือกเกิดได้ มีพระสูตรอ้างอิง คือสังขารูปปัตติสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๑๓๘ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ว่า
     ผู้ที่ประกอบพร้อมสมบูรณ์ด้วยศรัทธา ศีล สุตะ (สดับตรับฟังมาก)จาคะ และปัญญา ปรารถนาเกิดเป็นอะไรก็สามารถเกิดในภพนั้นได้ โดยที่สุดแม้ปรารถนาสิ้นอาสวะก็สิ้นอาสวะได้ ถ้ามีธรรม ๕ อย่างนี้พรั่งพร้อม
    มีเรื่องเล่า เรื่องพระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นโสดาบัน ท่านมีสิทธิ์จะไปเกิดชั้นดุสิต ซึ่งเป็นที่เกิดของนัก ปราชญ์ เป็นที่เกิดของผู้มีธรรมทั้งหลาย แต่พระเจ้าพิมพิสารไปเลือกเกิดชั้นจาตุมหาราช เป็นชั้นเทพต่ำ ที่สุด ท่านเลือกไปเกิดที่นั่น ถามว่าทำไมท่านจึงเลือกไปเกิดที่นั่น ท่านบอกว่าเป็นภพเก่าของท่าน ท่านเคยเกิดอยู่ที่นั่นนาน ท่านคุ้นเคยกับที่นั่น ท่านอยากจะเกิดที่นั่น ก็ไปเกิดได้ นี่ท่านเลือกเกิดได้
    พระพุทธเจ้า ตามตำนานว่า ก่อนจะมาเกิดในโลก มนุษย์ ตอนที่มาจากเทวดามาเกิดในโลกมนุษย์ ท่านก็เลือกว่าจะเกิดที่ไหนดี ก็เลือกมาเกิดเหมือนกัน พวกเทวดานี่เขาเลือกเกิดได้นะครับ
    คนที่รวยมีเงินเยอะๆ เลือกที่อยู่ได้ เขาอยู่ที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง หรือเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไปปลูกบ้านที่ไหนสักหลังไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่มีเงินเยอะ เลือกที่อยู่ได้ เบื่อที่นี่ก็ไปอยู่ที่นั่น เบื่อที่โน่นก็ไปที่นั่น เลือกที่อยู่ได้
     แต่คนที่ไม่มีเงิน มันเลือกไม่ได้ อยู่กระท่อมก็ต้องอยู่ไป ไม่มีทางเลือกเพราะมีทุนน้อย มีทางเลือกน้อย คนที่มีความรู้เยอะ มีความรู้หลายแขนง เลือกงานทำได้ อยากจะลองตรงไหนก็ไปลองได้ คนแย่งตัวกันด้วยซ้ำไป คนที่มีความรู้น้อยขาดความรู้ เที่ยวสมัครงานเป็นเดือน เป็นปีสองปีไม่มีใครรับ หาเงินหางานทำไม่ได้ นี่แหละครับความแตกต่างมันมีอยู่
     เพราะฉะนั้นเราเลือกเกิดได้ถ้าเรามีบุญบารมี มีคุณงามความดี ถึงเราจะไม่มีคุณงามความดีอะไร สภาพที่เราทำกรรมเอาไว้แล้วไปเกิด กรรมเป็นตัวกำหนดการเกิด ก็เหมือนกับเราเลือกเหมือนกัน
     คราวนี้มีปัญหาว่า ถ้าคนมีธรรม ๕ ประการตามที่กล่าวมา แต่ไม่มีความปรารถนา หรือมีความปรารถนาแต่ไม่มีธรรม ๕ ประการ คติของท่านผู้นั้นจะเป็นอย่างไร? จะเลือกได้ไหม?
     ท่านบอกว่าไม่ได้ เพราะคติของท่านผู้นั้นไม่ต่อเนื่อง อันนี้เป็นนัยอรรถกถาสังขารูปปัตติสูตร ไม่ใช่ความเห็นของผม เป็นความเห็นของพระอรรถกถจารย์ ที่ท่านอธิบายสังขารูปปัตติสูตร ท่านบอกว่า “ถ้ามีธรรม ๕ ประการ แต่ไม่มีความปรารถนาว่า ขอให้เราไปเกิดที่นั่นเถิด ขอให้เราเป็นอย่างนั้นเถิด อย่างนี้ก็จะต้องไปตามกรรมที่ได้กระทำไว้”
     อีกพวกหนึ่ง มีความปรารถนา แต่ไม่มีธรรม ๕ ประการนั้นก็ไม่ได้ มันต้องมีธรรม ๕ ประการนี้พร้อม บริบูรณ์ มีความปรารถนา มีความตั้งใจ มีความจงใจ จึงจะไปได้ตามที่ต้องการ เหมือนกับเรามีเงิน ๕๐๐ ให้เด็กไปซื้ออะไรมาก็ได้ เด็กก็จะซื้อสะเปะสะปะไปเรื่อยตามที่แกอยากจะซื้อ มันก็ตรงกับความต้องการของเราบ้าง ไม่ตรงบ้าง แต่ถ้าเราระบุไปเลยว่า ๕๐๐ นี้ซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ระบุสิ่งของไปเลย เด็กก็ต้องซื้อสิ่งที่เราต้องการมาได้ เพราะเราปรารถนาจงใจในสิ่งนั้น
     “เราเลือกเกิดได้” เพราะฉะนั้นให้บำเพ็ญคุณงามความดีไว้มากๆ เพื่อจะได้เลือกเกิดได้ตามที่ต้องการ ถ้าต้องการจะเกิดที่ดีกว่านั้น คือเลือกไม่เกิด เลือกสิ้น อาสวะกิเลสคือนิพพาน ก็ทำได้
       

       
จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 103 มิถุนายน 2552
โดย อ.วศิน อินทสระ


ขอขอบคุณ กัลยาณมิตร...คุณกระเบนท้องน้ำ

1960
ชอบเจอกระเป๋าสตางค์

ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ กระผมเป็นคนดีเพราะนับถือหลวงพ่อปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อเป็นคนมีโชค ประหลาด ชอบเจอกระเป๋าสตางค์ใครตกอยู่เสมอเป็นประจำ ขอบอกตรงๆว่า เอามาทำบุญกับหลวงพ่อเรียบ หมดไม่เหลือหลอ ผ่านมางวดที่แล้วมีความจำเป็นเลยเอาซื้อหวย หวยกินหมดเลย ต่อไปลูกจะไม่ซื้ออีกแล้ว เอามาถวายหลวงพ่อดีกว่า เงินที่เก็บตกเอามาทำบุญ แล้วขออุทิศให้แก่เจ้าของ ไม่ทราบว่า เจ้าของไม่รู้ไม่ทราบ จะมีผลหรือไม่ขอรับ?

หลวงพ่อ มีได้...มีส่วน เงินของเขา

พี่เป็นขี้ขโมย

ผู้ถาม กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อเล็กน้อยดังต่อไปนี้ คือว่า พี่ของลูกชอบขโมยของภายในบ้าน อะไรก็แล้วแต่ไม่ว่า จะเป็นของมีค่าไม่มีค่าก็ตามขโมยไม่ได้เอาไปไหน ส่วนมากก็ถวายพระหมด ทีนี้ชักจะไม่ดีอย่างหนึ่งแล้วก็คือว่า จะทำท่าขโมยโฉนดถวายวัด ก็กลัวจะไม่มีที่จะอยู่อาศัย ก็เลยอยากจะขอบารมีหลวงพ่อช่วยแนะลูก จะได้ไปป้องกันสถานการณ์

หลวงพ่อ เดี๋ยว ก่อน...โฉนดขโมยไปก็ไม่มีผล มันต้องโอนกัน และการจะโอนจะต้องประกาศก่อนใช่ไหม...ใครจะคัดค้านหรือเปล่า ไม่เป็นไร...เอาอย่างนี้ซิ บอกให้เขาขโมยไปถวายวัดท่าซุง ฉันจะเก็บไว้ให้แต่ค่ารักษาไม่มากหมื่นสองหมื่นก็พอ...(หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร ก็เก็บไว้ดีซินะ อย่าให้แกขโมยได้นะ ความจริง คนนี้ก็มีอารมณ์เป็นกุศล แต่ว่ามันพลาดไปนิดหนึ่ง คือว่าไม่พร้อมกัน ใช่ไหม...

ผู้ถาม ทีนี้อย่างขโมยของไปทำบุญ ผลบุญจะกระดักกระเดื่องอย่างไร?

หลวงพ่อ เอา อย่างนี้นะ คนคนนี้นะ จะว่าเฉพาะจริยาที่ปฏิบัติใช่ไหม... อารมณ์เป็นกุศลเป็นปรกติ แต่ว่าไอ้สิ่งที่มันมีอยู่มันไม่พอกับกำลังใจ อย่าทำอย่างนั้นนะ ถ้าตายด้วยกำลังใจแบบนี้ สวรรค์แน่ แต่อย่าขโมยต่อไปนะ

1961
นึกถึงบุญไม่ออก

ผู้ถาม บางทีมันเพี้ยนไป นึกถึงบุญไม่ออกครับ

หลวงพ่อ เป็น ธรรมดา บางครั้งอารมณ์มันดี อย่างนี้จริงๆ เหมือนกันทุกคนนะ... เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะบุคคลบางครั้งมันจะนึกถึงบุญไม่ออกก็มี ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนเจริญพระกรรมฐาน ฝึกจิตให้ชินไง ใช่ไหม... ฝึกจิตให้ชิน คือจับอันดับแรก พระพุทธเจ้าต้องเอาก่อน อารมณ์มันชิน คำว่า “ฌาน” ก็คือจะได้ไม่ลืม ถ้าเราปล่อยเละละเดี๋ยวมันก็เผลอ พอบาปเข้าสิงปั๊บมันจะตัดเราลืมเลย
ทีนี้วิธีที่ท่านสอนแบบนี้กันบาปเข้าแทรก วิธีฝึกกรรมฐานเขาฝึกให้ชินกันบาปเข้าแทรกเวลาที่เราจะตาย บาปมันจะแทรกไม่ได้ ทำบุญอย่างอื่นหนักขนาดไหนก็ตาม แต่จิตมันยังไม่แน่นอนนัก เราจะตายบาปเข้าแทรกได้ เราจะลงนรกได้ ถึงบอกว่าทำจิตให้เป็นฌานทำให้ทรงตัว คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน มันนึกได้เรื่อยๆใช่ไหม การนึกถึงพระพุทธเจ้าได้เรื่อยๆ น่ะ คือ ฌาน

ลืมกระเป๋าสตางค์

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วลูกลืมกระเป๋าสตางค์บนรถเมล์ มีสตางค์มากพอสมควร มีเอกสารเป็นอย่างมาก ลูกกลับถึงบ้านแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรเงินไม่ค่อยเสียดายเท่าไหร่ เสียดายบัตรประชาชน กับเอกสาร ลูกจุดธูปที่บ้านต่อหน้ารูปถ่ายของหลวงพ่อ ไม่ได้บอกหลวงพ่อ แต่ขอความเมตตาหลวงพ่อว่า ขอได้โปรดไปตามกระเป๋ามาคืน...

หลวงพ่อ (หัวเราะ) อ้อ...ความจริงควรเขียนว่าไม่ได้ใช้ ขอความเมตตานิดหน่อย (หัวเราะ) เอ้า! ว่าต่อไป
ผู้ถาม ผลปรากฏว่ารุ่งขึ้น มีคนนำกระเป๋ามาให้พร้อมทั้งสตางค์เสร็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกก็เลยอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ลูกควรจะแบ่งเงินในกระเป๋าถวายค่าครูหลวงพ่อสักเท่าไหร่เจ้าคะ?
หลวงพ่อ เอา อย่างนี้ดีกว่านะ อย่าคิดเงินในกระเป๋าเลยนะ เอาเป็นราคาค่าครูเฉยๆ ก็แล้วกันนะสัก ๕ ล้าน (หัวเราะ) ไม่จำเป็น เท่าไหร่ก็ได้ ไม่ทำก็ได้

ผู้ถาม เอ๊...เวลาหลวงพ่อตามกระเป๋ามา หลวงพ่อตามด้วยวิธีไหน ตามแบบไหนครับ?

หลวงพ่อ ก็ สงสัยเหมือนกัน...(หัวเราะ) เพราะอะไรรู้ไหม วันหนึ่งหลายเจ้า ท่านที่เหนื่อยมากที่สุดคือ กรมหลวงชุมพรฯ พอของหายปั๊บ! ใครเขาบอกไป เอ้า! กรมหลวงฯ หาให้เขาหน่อย ช่วยหน่อยๆ

1962
อยู่สำนักงานทำแท้ง

ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำงานที่สำนักงานทำแท้งแห่งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ มีรายได้ดีพอสมควร หนูเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการรับเงิน ลูกชักใจไม่ดีนัก เพราะมีหุ้นส่วนกับเขาด้วย ขอพึ่งบารมีถามหลวงพ่อว่า ลูกจะมีบาปมีกรรมขึ้นบัญชีพระยายมหรือไม่...ข้อสอง เอาเงินเดือนจากการทำแท้ง มาทำบุญกับหลวงพ่อจะช่วยได้ไหมคะ

หลวงพ่อ เข้า ท่าๆ แหม...ฟังตั้งนาน คิดว่าจะบอกยังงี้เหมือนกัน จิตใจเกาะบุญไว้ พระพุทธเจ้าไม่เคยตำหนิใครเรื่องอาชีพนะ อย่างกับ ลูกศิษย์พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็รับ และยังแนะนำพระสารีบุตรไปสอนอภิธรรมเพราะชาติก่อนเคยฟังพระอภิธรรมมา พอฟังอภิธรรมย่อๆ จบ ก็เป็นอรหันต์ทั้งหมด ฉะนั้นอาชีพก็ส่วนอาชีพ เรื่องบุญก็เป็นบุญไปแต่ว่าจิตอย่าไปเกาะอาชีพประเภทนั้น เกาะบุญอย่างเดียว มีงานเราถือว่าทำตามหน้าที่นะ หมดเรื่องหมดราวไป

ผู้ถาม หลวงพ่อตอบแบบนี้ ค่อยสบายใจหน่อย ไม่เช่นนั้นละอึดอัดๆ

หลวงพ่อ เรื่อง ของพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตำหนิใคร ท่านก็รับทุกด้าน อย่าง ตัมพทาฐิกโจร เห็นไหม...โจรเคราแดงฆ่าคนมาเกินหมื่นคน พอพบพระสารีบุตรเข้า พระสารีบุตรท่านไม่พูดเรื่องฆ่าคน ทีแรกพอกินข้าวเสร็จใช่ไหม... ท่านก็เทศน์เรื่องปาณาติบาตเลย ฆ่าคน ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์ ตกนรกขุมไหนว่าเรื่อย ตัมพทาฐิกโจรเหงื่อแตกพลั่กๆ พอเทศน์ไปถึงครึ่งกัณฆ์ พระสารีบุตรท่านฉลาด ท่านเทศน์ไปท่านชำเลืองดูไปเห็นตานั่นเหงื่อแตก ถามโยมไม่สบายหรือ
ตัมพทาฐิกโจรบอก จะสบายยังไงครับ ที่พระคุณเจ้าเทศน์มาผมเรียยร้อยหมดทุกขุมเลย ท่านก็เลยถามว่า โยม...โยมฆ่าคนตายใครเขาใช้หรือฆ่าเอง บอกพระราชาใช้ให้ฆ่า พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ท่านถามว่า โยม...สมมุติว่าโยมเป็นลูกจ้างเขา นายจ้างเขามีนา ๑๐๐ ไร่ เขาใช้ให้โยมทำ เมื่อได้ข้าวในนาเสร็จ ผลของข้าวทั้งหมดจะเป็นของโยม หรือจะเป็นของนายจ้าง...?
โยมก็บอกว่าเป็นของนายจ้างขอรับ นี่ท่านฉลาดกว่า ท่านก็เลยถามว่า พี่พระราชาให้ฆ่า บาปตกอยู่กับใคร อีตานั่นแกโง่ แกนึกว่าบาปตกกับพระราชา พระสารีบุตรเทศน์อานิสงส์ทานเลย เป็นพระโสดาบันเดี๋ยวนั้น

ผู้ถาม โอ...เหงื่อแตกเลยนะ

หลวงพ่อ ไอ้เหงื่อแตกน่ะ เป็นน้ำอาบชำระร่างกายให้สะอาด ชำระถึงจิตใจข้างในเลย

เตี่ยมีอาชีพฆ่าหมู

ผู้ถาม กราบ เท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตอนที่เตี่ยของลูกมีชีวิตอยู่ เตี่ยก็มีอาชีพในการฆ่าหมูและก็เอาไปขาย ทีนี้ตอนที่แกแก่ๆ แก็รู้ตัวทำบุญเป็นการใหญ่ เวลาจะใส่บาตรทุกครั้ง แกจะยกมือไหว้พระสงฆ์ก่อน ทีนี้ตอนแก่ๆมีคนเขาบอกว่าตายแล้วจะไปตกนรก แกก็เลยใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตรแกยกมื้อไหว้พระ แกจะท่องคาถานี้เป็นประจำ ตัวแกจะรู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ
แกว่าอย่างนี้... “นะโม ตะสะ นะโม ตะสะ” แล้วก็ใส่บาตรใส่ทัพพีหนึ่งก็ว่า “นะโม ตะสะ” ใส่ทัพพีที่สองก็ว่า “นะโม ตะสะ” ทีนี้ตอนตาย แกเห็นยมทูตมาแกก็บอก “นะโม นะสะ” ปรากฏว่ายมทูตเผ่นไปเลย”

หลวงพ่อ ขนาด นั้นเขาไม่อยู่แล้ว อย่างนั้นจิตเป็นกุศล เขาไม่อยู่แล้ว เขาไม่เอาไป คือ ถ้ายมทูตมานี่ ยังไม่แน่จะลงนรกนี่ เขาต้องไปสอบสวนกันก่อน ทีนี้ถ้าแกนึก “นะโม ตะสะ” ได้ พระยายมก็ปล่อย ในเมื่อแกว่าตอนนั้น ไม่ต้อง ปล่อยให้ไปเลย... สวรรค์ทันที

ผู้ถาม แค่นี้ก็ไปแล้วหรือครับ?

หลวงพ่อ ไม่ใช่แค่นี้นะ...หลายแค่

ผู้ถาม ไอ้ที่แปลกใจ ไอ้หมูเหมอ ไม่มากวนตอนนั้นนะ “นะโม ตะสะ” นี่สามารถป้องกันได้หรือครับ...หลวงพ่อ

หลวงพ่อ ในเมื่อกุศลเข้าดลใจ อกุศลเข้าไม่ได้

1963
ช่วยสงเคราะห์กระต่าย

ผู้ถาม กราบ หลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ข้าพเจ้า สิริ ขออุทิศทั้งหมดที่เป็นกุศลของลูกมาให้กับหลวงพ่อ และขอแบ่งสักครึ่งหนึ่ง ที่ขอแบ่งคือย่างนี้ คือว่าตอนนั้นหมามันกัดกระต่ายตัวหนึ่ง ใกล้จะตาย ผมเห็นเข้าก็เลยเกิดสงสาร เห็นมันเวทนามาก ก็เลยบอกว่า ฉันสงสารแกนะ ฉันจะสงเคราะห์แกนะ เอาไม้ตะบองตีปั๊ก...ตายไปเลย
ทีนี้ผมก็อุทิศส่วนกุศลไปแล้ว แต่มาข้องใจหน่อยหนึ่ง คือว่าการที่เรามีเมตตา ช่วยสงเคราะห์ให้เขาตายสะดวกขึ้นนี้ จะถือว่ามีบาปมีกรรมมีเวรหรือไม่ขอรับ?

หลวงพ่อ ไม่ ต้องถือ...มีแหง ไปช่วยมันตายเร็ว ควรจะประคับประคอง หายหรือไม่หายหรือตาย เราช่วยดีกว่า ช่วยรักษานะ ไอ้นี่แสดงว่าถ้าป่วยแหงกๆๆๆ มันไม่ทันตาย พวกฉีดยาให้ตายไปเลยนี่

ทำหมันแมว

ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงลูกไม่อยากจะรบกวนหรอกเพราะปฏิบัติตามธรรมะของหลวงพ่อมาด้วยดีตลอด เช่น เมตตา เป็นต้น ทีแรกก็เก็บแมวข้างรั้วมาเลี้ยงไว้ด้วยความเมตตา บัดนี้มันแข็งแรงสมบูรณ์ และได้ขยายพืชพันธุ์เป็นการใหญ่ (ออกลูกเยอะแยะ) แต่ลูกไม่ว่าอะไรหรอก แต่เกรงว่าลูกจะเกิดมาเดือดร้อน ลูกก็เลยเอามันไปฉีดยาทำหมัน ก่อนจะฉีดยาทำหมันลูกได้บอกว่า เอ็งจะมีทุกข์มาก ฉันจะแก้ทุกข์ให้เอ็งน่ะ อย่าเอาเวรเอากรรมนะ ลูกก็เลยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาอีกวาระหนึ่ง ถ้าหากจะมีกรรมใด ก็ขอให้หลวงพ่อได้โปรดอโหสิกรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ (เอ๊ะ! ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อ)

หลวงพ่อ ถ้าจะเห็นว่าฉันเป็นแมว...(หัวเราะ) เป็นพระแท้ๆ เห็นเป็นแมวไปได้ เป็น “หลวงปู่แมว” ใช้ได้ไม่เป็นไร ไม่บาป ทำหมันนี่ไม่บาป คือกันไม่ให้เกิด ไม่ใช่ฆ่าสัตว์ ไม่ใช่มาเกิดแล้วฆ่าจึงจะบาป นี่กันไว้

ผู้ถาม อ้อ...แล้วประเภทกินยากันไว้ก่อน ก็ไม่บาป?

หลวงพ่อ ไม่บาป

1964
ฆ่าผัวตาย

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างยิ่ง กระผมข้องใจเรื่องศีลข้อ ปาณาติบาต กับข้อ คุณธรรม เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ขอรับ สามีป่วยหนักด้วยโรคร้ายทรมานเป็นอย่างมาก บอกเมียฆ่าให้ตาย เพราะทรมานเหลือเกิน เมียด้วยความเตตาผัวก็เลยดึงสายอ๊อกซิเจนออก ปรากฏว่าผัวเรียบร้อยทันที
ทีนี้ผลจะพึงได้ คือเมียถูกข้อหาว่า เจตนาฆ่าผัวให้ตาย แต่ที่จะถามก็คือว่าอย่างนี้ ทำด้วยจิตเมตตาธรรมกับเขา อย่างนี้จะมีผลบุญผลบาปกับภรรยาอย่างไรหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ เขาไม่มีโทสะนะ เขาไม่โกรธ ผลบาปที่เป็นปาณาติบาตไม่มี เจตนาในการฆ่าไม่มี ศีลจะขาดได้ต้องตั้งใจเพื่อฆ่า และฆ่าได้สมหวัง ฉะนั้นไม่ขาดจริงข้อนี้นะ

ผู้ถาม มีเมียอย่างนี้ก็ชื่นใจนะ แป๊บ...เมื่อไรก็จัดการ ชักใจไม่ค่อยดีเสียแล้วซิ

หลวงพ่อ เราไม่ได้สั่งไม่เป็นไร อย่าไปแกล้งพูดประชดเขานะ เขาเอาจริงๆนะ (ให้อ่านหัวข้อ ช่วยสงเคราะห์กระต่าย เปรียบเทียบด้วย-ผู้พิมพ์)

ถ้าลูกจะทำกับพ่อบาปไหม

ผู้ถาม ลูกอยากถามหลวงพ่อเจ้าคะ คือผู้ป่วยที่อาการต้องตายแน่ มีเครื่องช่วยหายใจอยู่ แพทย์เขาสั่งให้เอาเครื่องช่วยหายใจออก เมื่อเอาออกแล้วเขาตาย จะบาปไหมคะ?

หลวงพ่อ คน จะตายจะบาปยังไง ไม่ได้ฆ่าให้ตาย นั่นเครื่องช่วยหายใจ ถึงขืนช่วยไปก็ไม่ไหวแล้วเขาก็ต้องตาย ก็ไม่มีความสำคัญ คำว่าบาปก็ไม่มี ไม่ใช่ถ้ายังช่วยอยู่มีหวังจะฟื้นเราแกล้งเอาออก ไอ้นั่นจึงจะบาป เพราะมีเจนานะ และไอ้การที่จะบาปนี่ ต้องมีการตั้งใจกลั่นแกล้ง หรือทำให้ตาย

ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นลูกกระทำ ถือว่าเป็น อนันตริยกรรม ไหมครับ?

หลวงพ่อ เขา ไม่บาป คุณฟังให้ดี...อย่าโง่ เรื่องไม่บาปก็ไม่เป็นอนันตริยกรรม ตัดคำว่าบาปนั้น ไม่มีเสียแล้ว เวลาฟังคำพูดต้องคิดตามเขาพูดเรื่องไหน จำหัวข้อคำพูดไว้

หลวงพ่อ เอ้า...หมวด มีอะไรคุยไหมล่ะ เดี๋ยวต้องถามตำรวจยิงผู้ร้ายตายบาปไหม...บาปไม่บาป?

ผู้ถาม บาปครับ

หลวงพ่อ ฉัน ถามว่าตำรวจยิงผู้ร้ายตาย ฉันไม่ได้ถามว่าตำรวจยิงผู้ร้ายเฉยๆ (หัวเราะ) สอบตกแล้ว ผู้ร้ายมันตายแล้ว ไอ้นี่งานก็งาน การปราบปรามผู้ร้าย ถ้าเป็นผู้ร้ายจริงเขาจำเป็นต้องยิง ยิงให้ตายใช่ไหม ถ้าถามว่ามีโทษไหม...ต้องตอบว่ามีโทษ ถ้าถามว่าโทษทำบาปหนักไหม...ต้องตอบว่าไม่หนักมันมีนิดเดียวเพราะกำลังบาป นี่ไม่เท่ากัน ถ้าคนที่มีคุณมาก เราฆ่า...มีโทษมาก คนที่มีคุณน้อย เราฆ่า...มีโทษน้อย ไอ้คนจัญไรประเภทนั้นมันไม่มีคุณเลย แต่ว่าดับคนประเภทนั้นไปได้คนหนึ่ง คนอีกกี่คนที่มีความสุข
ถ้าถามบาปมากไหม...คนเหมือนกันมันบาปไม่เท่ากัน หมวดนะ อย่างฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ นี่ไม่ต้องห่วงหรอกลงอเวจีดิ่งเลยใช่ไหม ถ้าฆ่าคนที่มีคุณน้อยไปกว่านั้น ยังไม่ถึงขั้นอเวจี และฆ่าคนที่มีคุณน้อยกว่านั้นอีก ก็เบากว่านั้นอีก ถ้าฆ่าคนจัญไรแบบนั้น มันมีบ้างเหมือนกัน มันแค่มีบ้างนะโยมนะ
แต่ว่าทีนี้ถ้าตำรวจทำด้วยเจตนาดีคิดว่า ถ้าทำลายคนประเภทนี้เสีย คนอีกหลายแสนคนจะมีความสุข เพราะถ้าคนคนนี้อยู่คนเดียว มีความทุกข์ใช่ไหม บุญส่วนนี้เขามี บาปส่วนนั้นเขามีนิดเดียว นี่พูดกันตรงไปตรงมานะ จะคิดว่ายิงคนเหมือนกัน มีโทษเท่ากันนั้น...ไม่เท่า ก็ว่าตามธรรมนะ (ให้อ่านหัวข้อ ช่วยสงเคราะห์กระต่าย เปรียบเทียบด้วย-ผู้พิมพ์)

1965
ลืมบอกไปว่า หลวงพ่อฤาษีลิง ท่านเป็นผู้ตอบคำถาม


คำสมาทานศีล

ผู้ถาม “กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ การสมาทานศีลมี “วิสุง” กับไม่มี “วิสุง” จะต่างกันอย่างไรขอรับ?

หลวงพ่อ “คง ไม่เหมือนกัน ต่างกันที่สุงกับไม่สุง...(หัวเราะ) แต่ความเป็นจริงคำว่า “วิสุง” เขาแปลว่า “ส่วน” นะ ขอรับแยกเป็นส่วนๆ ปาณา...ก็ปาณา อทินนา...ก็อทินนา ถ้าไม่วิสุงละขอรับรวดทั้ง ๕ หรือ ๘ ข้อ ทั้งนี้ตามคำอธิบายของคณาจารย์ ถ้าแยกเป็นส่วนจะขาดเป็นตัว ถ้าไม่แยกส่วน ตัวอื่นขาด ก็จะขาดหมดด้วย
ความจริงคณาจารย์ไม่รู้จริง จริงๆถ้าเราละเมิดตัวไหน ก็ขาดเฉพาะข้อนั้น จะว่าวิสุงหรือไม่วิสุงก็ตาม ไอ้ตัวที่ยังไม่ละเมิดก็ยังไม่ขาด นี่ฉันอ่านหนังสือที่เขาเขียนย่อๆเล่มเล็กๆ น่ะ บังเอิญอ่านเมื่อเป็นเด็ก คือว่าไปตามวัด เดี๋ยวนี้ก็วิสุง...เดี๋ยวก็ไม่วิสุง...ฉันก็แปลกใจ”


รักษาศีลแล้วยังไม่รวย

ผู้ถาม “หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงลูกไม่อยากค้านหลวงพ่อหรอก เพราะรู้ว่าหลวงพ่อมีปัญญามาก ฉลาดในการสอน แต่วันนี้ขอถามแกมประท้วงสักนิดหนึ่ง ในคำสอนที่หลวงพ่อว่า มีศีลแล้วจะร่ำรวย มีเงิน ไม่เป็นหนี้ มีโชคมีลาภ แค่รักษา ๕ แต่ไม่พอใจเดี๋ยวนี้เพิ่มเป็น ๘ มันก็ยังจนเหมือนเดิม”

หลวงพ่อ รักษามากี่ปี?

ผู้ถาม ๒ ปี...

หลวงพ่อ โธ่เอ๋ย! ก็ซวยมากี่ปี ศีลขาดมากี่ปี มันคุ้มกันหรือ...คือว่ารักษาศีลจริงๆ แค่ศีล ๕ น่ะ ๑.ค่าเหล้าไม่เสีย ๒.ค่าเจ้าชู้ไม่เสีย ๓.ค่าม่านรูดไม่เสีย...(หัวเราะ)

ผู้ถาม เอ๊ะ ไหนว่าพระอยู่วัดอยู่วา ไม่รู้อีโหน่อีเหน่?

หลวงพ่อ พระน่ะท่านไม่รู้ แต่ฉันรู้ มีคนไปพูดให้ฟัง เลยไม่ขี้ร้อนไม่ต้องไปอาบน้ำตามห้อง...(หัวเราะ) เรื่องที่ไม่เสียมีเยอะแยะ ทรัพย์ก็ดีขึ้น ไอ้ใจร้ายไปฆ่าเขาไปตีเขา ทะเลาะกับเขาก็ไม่มี แม้แต่ติดคุกติดตะราง ไม่ต้องเสียสตางค์ นี่ถ้ารักษามาตั้งแต่เกิดนะ ป่านนี้รวยนานแล้ว แกรักษามากี่วันนี่ ขาดทุนมากี่ปี...?

1966
ถูกล้วงกระเป๋าเป็นนิจ

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลวงพ่อขา

หลวงพ่อ นี่....ไม่มีแต่ขา แขนก็มีนะ (หัวเราะ)

ผู้ถาม อ๋อ...คือว่าทำไมคะ ชีวิตของลูกมันกรรมหนักเหลือเกิน ทำบุญก็มาก ทำมาตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่าแล้วนะ ขณะนี้ก็ ๖๐ แล้ว ศีลก็รักษาภาวนาก็มีทุกอย่างทั้งหมด แต่ว่าชอบโดนล้วงกระเป๋านี่มัน ๕ ปีแล้วนะคะ

หลวงพ่อ ไอ้นี่เป็น...ทานบารมี

ผู้ถาม เป็นทานบารมีหรือครับ?

หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ก็ใช้หนี้เก่าเขาไงเล่า อทินนาทานา เวรมณี สี่ขา.. ปะธัง สมาทิยามิ

ผู้ถาม สิกขาหรือว่า สี่ขาครับ?

หลวงพ่อ สี่ขา คือของเรา ๒ ขา คนล้วงอีก ๒ขา

ผู้ถาม อ้อ พวกที่โดนล้วงกระเป๋า ของหายอะไรนี่ เป็น...

หลวงพ่อ ใช่...เรื่องนี้อทินนาทานเก่า

ผู้ถาม ครับ...ทีนี้ก็บอกว่า แล้วจะมีวิธีแก้ไขหรือป้องกันอย่างไร หรือไม่ ขอหลวงพ่อไปโปรดเมตตา

หลวงพ่อ ต่อไปก็จงอย่าเอาสตางค์ติดตัวไป จะไม่มีขโมยล้วงกระเป๋า

ผู้ถาม นี่วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ

หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ง่าย ๆ ๆ ระวังไวก็ไม่ไหว พวกนี้มันเก่งมาก ขนาดเอามาให้ยังไม่รู้เลย ลุงฉันถูกล้วงกระเป๋าที่ท่าเตียน และท่านก็มีเพื่อนอยู่ที่บางลำพูใช่ไหม...เลยไปหาเพื่อนที่บางลำภู บอกว่าถูกล้วงกระเป๋า เพื่อนก็ถามว่าถูกล้วงที่ไหน เวลาเท่าไหร่ บอกที่ท่าเตียน เวลาเท่านั้นเท่านี้นะ บอกว่า ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปอยู่ที่นั่นยืนที่เดิม แต่ว่าสตางค์อาจจะบกพร่องไปบ้างนะ อาจจะเป็นได้ ถ้าคุณถูกพวกของเรานะ

ก็เป็นอันว่า ตอนเพลท่านก็ไปยืนที่เดิม และก็ในช่วงเวลานั้นมีผู้ชาย ๒ คน แบบสมัยก่อนนะ ใส่รองเท้าดำคัชชูใส่ถุงน่องขาว นุ่งผ้าม่วงใส่เสื้อราชประแตน ๒ คน เดินคุยกันมา พอไปถึงลุงเขาก็หลีกไปสองข้าง อีกคนหนึ่งกระทบไหล่นิดหน่อย เขายกมือไหว้ ขออภัยด้วยครับ ที่เลี่ยงแล้วมันไม่พ้น

ลุงก็บอกไม่เป็นไรๆ ครับ แล้วเขาเดินเลยไป เขาเดินไปแล้วปรากฏในกระเป๋าหนักๆ ล้วงเจอกระเป๋าสตางค์ นี่ขนาดมาให้ยังไม่รู้เลยนะ...(หัวเราะ) และไม่ขาดเลยนะ เงินทองไม่ขาดเลย

ผู้ถาม นี่ก็ตกลงว่าเป็นกรรมเก่านะครับ

หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ

ผู้ถาม และอีกเรื่องหนึ่งคือว่า อย่างนี้ วันที่สะเดาะเคราะห์ครั้งก่อนที่วัดท่าซุง ก็มีหลายคนได้ให้ราบชื่อ และพร้อมด้วยปัจจัยมาจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๔๐ บาท เพื่อจะเอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าซุง ก็พอดีตาลีตาเหลือกกลัวจะไปไม่ทัน ปรากฏว่าเงินไม่ได้เอาไป ชื่อเขาฝากไว้ก็ไม่ได้เอาไป เวลาจะเป่าก็ใกล้มาแล้วลูกจะทำยังไง ลูกเลยทำอย่างนี้ เอ้า ! ชื่อทั้งหมดจงมาปรากฏที่ศาลา ๒ ไร่ เอ้า ! เงินทั้งหมดที่อยู่บ้าน ฉันออกแทนไว้ก่อนเติมให้เป็น ๑,๕๐๐ บาท

หลวงพ่อ โอ๊ย...ดี ๆ ๆ น่าจะเป็น ๓,๐๐๐ (หัวเราะ)

ผู้ถาม ให้เกินนี่ดีกว่านะ

หลวงพ่อ อ้าว วิสาขาไงเล่า พ่อให้เท่านี้ได้เท่าโน้น พ่อให้เท่านี้ได้เท่านั้น ได้เกินเสมอ ทำบุญแถมทำบุญเกินแบบนี้แหละ

ผู้ถาม ตกลงว่าชื่อไม่ได้เอาไป และก็เงินของเขาไม่ได้เอาไป ลูกเอาเงินแทนไปอย่างนี้ เขาจะมีผลหรือเปล่า?

หลวงพ่อ มี...ส่วนที่เป็นนามธรรมนี่มี แค่นึกถึงก็พอแล้ว

ผู้ถาม แค่นึกถึงก็สมบูรณ์แบบ

หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ

1967
เอาของหลวงที่เหลือมาใช้ส่วนตัว

ผู้ถาม กระผมขอปรึกษากราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเป็นข้าราชการในสถานที่แห่งหนึ่ง วันที่เขาเบิกพัสดุไปไว้ ก็ปรากฏว่าเมื่อเหลือแล้ว จะเอามาเข้าคงคลัง เจ้าหน้าที่บอกว่า แทงบัญชีไว้จำหน่ายจ่ายไปหมดแล้ว ให้ไปใช้ได้เป็นส่วนตัว กระผมไม่สบายใจเพราะว่าเป็นของหลวง คิดว่าจะเอาถวายวัดจะดีกว่า จะได้ไม่มีกรรมไม่มีเวรซึ่งกันและกัน เรียนถามหลวงพ่อว่า ผมจะทำอย่างนี้จะถูกหรือไม่ครับ?

หลวงพ่อ ก็ถูก...คนเฝ้าเขาให้แล้วนี่ ก็เรื่องคนนั้น


เล่นหุ้น

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้เล่นหุ้นมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก็ปรากฏผลว่าเป็นที่น่าพอใจ มีกำไรลูกเดียวไม่เคยขาดทุน แต่ทนไม่ได้ที่จะสงสัยในฐานะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อว่า การเล่นหุ้นนี่จะผิดศีลหรือไม่ครับ?

หลวงพ่อ ไม่ผิด ไม่ผิดหรอก...ไม่ผิด ไม่มัวหมอง

ผู้ถาม แล้วลูกนำเงินจากกำไรมาถวายหลวงพ่อ ถวายสังฆทาน ถวายส่วนตัว ก็

หลวงพ่อ โอ๊ย ! มีอานิสงส์ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์ เล่นหุ้นเขาตรงไปตรงมานี่ ซื้อขายธรรมดา

ผู้ถาม เอากำไรมาทำบุญได้ผลสมบูรณ์แบบ

หลวงพ่อ สมบูรณ์เต็มอัตรา

1968
ส่งกุ้งและปลาเป็น

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ในการที่สั่งอาหารตามร้านค้า บางทีเขาก็เอาปลาเป็นๆบ้าง กุ้งเป็นๆบ้าง แต่เวลาก่อนสั่ง ผมก็อธิษฐานอย่างนี้ว่า ผลบุญอันใดที่ได้ทำมาแล้วแต่ในอดีต ก็อุทิศให้ล่วงหน้า แต่ว่าถ้าเป็นอาหารตายมาแล้ว ก็อโหสิกรรมซึ่งกันและกันเทอญ

หลวงพ่อ นี่ไปอ่านเรื่องไก่เสียให้ดี ไม่ตอบละ ตอบยังไง ล่อเขาไปแล้ว เรื่องบาปก็เป็นบาป บุญก็เป็นบุญ

ขโมยเงินสามีมาทำบุญ

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมาก็นานแล้ว ยังไม่เคยรบกวนอะไรเลย วันนี้ก็ขอรบกวนเล็กๆน้อยๆ

หลวงพ่อ วันนี้ไม่ขอรบกวนขอปรึกษานิดหน่อย

ผู้ถาม คือว่าขณะนี้ลูกมียักษ์ตนหนึ่งเข้ามาสิงในใจของลูก ลูกรู้เหมือนกันว่าไอ้ยักษ์ตนนี้คืออะไร คือเป็น “ยักยอก” คืออย่างนี้เจ้าค่ะ

หลวงพ่อ อย่างนี้เขาดี คนที่เปิดเผยความจริงก็เป็นคนดี ถ้าไม่ดีเขาไม่กล้าเปิดเผยความเป็นจริง เอ้า ! ว่าต่อไป

ผู้ถาม ก็คือว่าปรกติเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ ลูกชอบยักยอกเงินของสามี เอมาทำบุญกับหลวงพ่อ บูชาพระ ถวายส่วนองค์บ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็จะเรียนถามหลวงพ่อว่า ๑. ศีลของลูกจะขาดไหม ๒. ลูกจะมีโอกาสไปสวรรค์ครึ่งนรกครึ่งหรือเปล่า เพราะบุญก็ได้ขโมยก็มี?

หลวงพ่อ ฉันว่าไม่ใช่อย่างนั้นนะ เขาไปสวรรค์ด้วย แล้วจะได้ บริวารด้วย ได้สามีเป็นบริวาร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่า สตางค์ของสามีแต่ภรรยามาทำบุญ สามีมีส่วนได้ก็ไปเป็นบริวาร คือไปเป็นสามีใหม่

ผู้ถาม นึกว่าจะไปไหน

หลวงพ่อ ไม่ได้ไปไหน ตามเขาไป เขาได้นะ

ผู้ถาม ทีนี้ว่าจะผิดศีลหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ ไม่ผิดๆ สามีภรรยาคนเดียวกัน

1969
เลี้ยงโคเนื้อขาย

ผู้ถาม กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปรกติผมทำงานไปรษณีย์ แต่จำเป็น ต้องเลี้ยงโคเนื้อขาย แต่มีความตงิดใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ทำอาชีพอย่างนี้จะมีบาปหรือไม่...และจะเป็นการตัดรอนขวางกั้นพระนิพพานชาตินี้หรือเปล่าขอรับ?

หลวงพ่อ ไอ้เรื่องตัดพระนิพพานนี้ ฉันไม่ตอบดีกว่า เพราะไม่แน่นี่คนที่ทำบาป บางทีบาปมาจากการจองเวรจองกรรมกัน ถ้าบังเอิญชำระได้บาปก็สลายตัวไปนิพพานได้ อย่างท่าน องคุลีมาล ฆ่าคนพันกว่านะ ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ท่านฆ่ามาก่อน แต่ไม่มีนิ้วเป็นประกัน ฆ่าไปฆ่ามาก็ลืม ไม่รู้ฆ่ามาแล้วกี่คน ทีนี้เอาใหม่ ถ้าได้ ๑ คน เอา ๑ นิ้ว ได้ ๙๙๙ นิ้ว

ทีนี้ในขณะที่ท่านทำบาป ตอนท้ายก็ได้มาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า “ตถาคตหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุดจากบาปกรรมธรรมอันลามกอีกหรือ?” ท่านได้สติโยนดาบทิ้ง โยนพวงนิ้วมือทิ้งเสยผมให้ดี แล้วเปลื้องผ้าที่หยักรั้ง เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าขอบวชแล้วก็เป็นพระอรหันต์ มันไม่แน่นะ ที่พูดอย่างนี้เพราะตัวอย่างนี้นั้นหมายถึงบาปที่มีการจองเวรจองกรรมกัน


สนับสนุนฆ่าไก่

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ที่บ้านลูกชอบมีคนมาอาศัยโทรศัพท์ เพื่อพูดติดต่อกิจการงานบ่อยๆ อันนี้ลูกก็ถือว่าเป็นการสงเคราะห์ เพื่อความสะดวกของเขา มีรายหนึ่ง แกชอบพูดติดต่อเกี่ยวกับเรื่องไก่ ขายไก่แล้วก็ส่งเข้าโรงงานเอาไปฆ่าทีละเป็นจำนวนมากๆ อยากจะเรียนถามว่า ลูกจะบาปหรือไม่ ไปสนับสนุนให้เขามีการซื้อไก่ขายไก่ฆ่าไก่?

หลวงพ่อ หวาน...หวานพระยายม สนับสนุนก็เหมือนกับทำเอง มีการรวมกัน “เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าการตั้งใจเป็นตัวกรรม”

ผู้ถาม อย่างสมมุติว่า เราไม่สนับสนุน ปล่อยตามเรื่องตามราวของเขา

หลวงพ่อ ก็ปล่อยเขาไป เขาพูดก็พูดไป เราแค่รับฟัง หมดเรื่องหมดราวไป

ผู้ถาม มีวิธีหลบได้นะ

หลวงพ่อ ไม่ใช่หลบ ตรงไปตรงมา รับฟังเฉยๆ ว่าดีไหม ตามใจเห็นดีก็ทำเถอะ

ผู้ถาม เป็นอันว่า...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกันนะ เอาแต่ค่าโทรศัพท์ก็พอแล้ว

1970
ต้มไข่อย่างไรไม่บาป

ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงไม่อยากถามหลวงพ่อ แต่ความจำเป็นบังคับ จึงต้องถามเจ้าคะ คือว่า เพิ่งเริ่มขายของมา ๓-๔ วัน ลูกขายสลัดต่างๆ ที่สำคัญคือ จะต้องมี ไข่ต้มด้วย ทีนี้ที่ไม่สบายใจก็เพราะว่า ไม่รู้ว่าการต้มไข่นี้จะบาปหรือไม่ และวิธีต้มแล้วไม่บาปจะเป็นประการใด ถ้าหลวงพ่อห้ามเมื่อไหร่ ลูกจะเลิกขายทันที เพราะลูกนับถือหลวงพ่อเจ้าคะ?

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ดีกว่าตรงไปตรงมานะ ไข่ถ้ามันฟักไม่เป็นตัวเราก็ไม่บาป ถ้าฟักเป็นตัวเราจึงจะบาป นี่เราสังเกตไม่ได้ ลองศึกษาดูก็แล้วกัน

ผู้ถาม ก็ลำบาก ก็มีทางที่หลวงพ่อว่า ไข่เจ้าคะ ไข่เจ้าขากรุณาฉันเถิด

หลวงพ่อ (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ ไอ้ฟาร์มไหนที่เขาเลี้ยงไก่โดยที่เขาไม่ผสมกับตัวผู้มันมีไหม ไก่ที่เขาเลี้ยงน่ะ ที่เลี้ยงไว้คัดเฉพาะตัวเมียเป็นราวๆ เป็นช่องๆ ไม่มีตัวผู้ผสม ถ้าไม่มีตัวผู้ผสมอันนี้คงจะไม่เป็นตัว ถ้าไข่ที่ฟัก ไม่เป็นตัวนี่มันไม่บาป นี่เราพูดตรงไปตรงมานะ


สมัยก่อนไม่กลัวบาปกรรม

ผู้ถาม เมื่อสมัยก่อนลูกไม่กลัวบาปกลัวกรรมเท่าไร เพราะว่าห่างไกลจากศาสนา พอมาเป็นศิษย์หลวงพ่อ แล้ว ทำอะไรก็กลัวบาปกลัวกรรมไม่หมด

หลวงพ่อ ก็เหมือนหลวงพ่อนั่นแหละ ใหม่ๆ ก็ไม่กลัวบาปเหมือนกัน ไม่ใช่ดีวิเศษนักหรอก โอ้ย ใครจะดีมาแต่ท้องแม่เล่า เหมือนกันทุกคน ดูตัวอย่างองคุลีมาล ซิ ท่านฆ่าคนตั้งพันคนกว่า เห็นไหมล่ะ...ครั้นต่อมาฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า จบเดียว ไม่ช้าเป็นพระอรหันต์

อย่าง ตัมพทาฐิกโจร ฆ่าคนเกินหมื่นคน ฟังเทศน์จาก พระสารีบุตร เพียงครึ่งกัณฑ์เป็นพระโสดาบัน นี่ถ้าจิตไม่ตามนึกถึงนะ นึกถึงความดีข้างหน้า ก้าวหน้าแล้วไม่ถอยหลัง เป็นอย่างนี้บาปตามไม่ทัน ฝึกลืมซะตั้งใจนิพพานอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น

1971
สามีฆ่าตะขาบตาย

ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา สามีของลูกเพิ่งแต่งงาน มีลูก ๑ คน ๑ ขวบ สามีของลูกเป็นคนใจดีมาก ใจบุญสุนทานพอสมควร แต่เมื่อเดือนที่แล้ว แกไปเห็นตะขาบในห้องลองเสื้อ แกตีจนตาย ตายแล้วแกก็มีจิตข้องอยู่ในสิ่งนั้น แกไม่สบาย รุ่งขึ้นไม่กี่วัน มอเตอร์ไซด์ ของตำรวจขี้เมาชนโป้ง ไปตายที่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกสงสัยว่า คนอื่นเขาฆ่าสัตว์ตายมากมาย ไม่ต้องอายุสั้น แต่ว่า สามีของลูกฆ่าตะขาบเพียงครั้งเดียว ตัวเดียว ทำไมจึงอายุสั้นเจ้าคะ

หลวงพ่อ อย่าลืมว่าตะขาบมันมีตีนกี่ตีน?

ผู้ถาม โอ้โฮ คิดทีละตีนหรือนี่

หลวงพ่อ (หัวเราะ) อย่าลืมนะ ไก่มี ๒ ขา ตะขาบมีกี่ขา นี่ฉันตอบนอกบาลีนะ แต่ว่าถ้าในบาลีถือว่า เป็นกฎของกรรมเก่า เพราะว่าเขามีวาระมาเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเหตุให้ต้องตาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา


กรรมกำพร้าสามี

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง สามีของลูกชื่อ นายธเนศ แซ่ด่าน ตายเมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๓๓ ก่อนจะตายนี่ได้มีโอกาสถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท ทีนี้ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่า การที่ลูกเกิดมาสามีต้องตายยังหนุ่ม การที่ลูกเป็นสาวต้องกำพร้าสามี กรรมประเภทนี้ทำมาจากอะไรเพื่อไม่ให้กำพร้าต่อในชาติหน้า ขอหลวงพ่อเมตตาแนะวิธีอย่าให้พลัดพรากจากกัน ตั้งแต่วัยยังหนุ่มยังสาวเลยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ รักษาพรหมวิหาร ๔ ไว้ เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มุทิตาจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีด้วยนะ อุเบกขา วางเฉย เอาอย่างนี้อย่างเดียว ก็พอ เมตตาอย่างเดียวก็พอ

ผู้ถาม แล้วประเภทที่ว่าเช้าตุ๊บ...เย็นตุ๊บ

หลวงพ่อ อ๋อ...นั่นนักมวยเก่า (หัวเราะ) เขาซ้อมมวยกัน

1972
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”

“..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก” คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ” เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน” แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า “วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ” ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า “เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้” แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า “เราเสียท่าเขาแล้ว”

ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า “โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน นิพพาน นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน

และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

ที่มา...ไม่บอก :004:

1973
โปรดใช้ปัญญาในการอ่าน

อุปทานหมู่ทั้งหมู่บ้านผวา ผีสาวลาวหลอกหลอน

         เมื่อวันที่ 8 กันยายน น.ส.โสภา ใจเถิง พยาบาลวิชาชีพ 7 โรงพยาบาลเทิง เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์นี้ได้มีชาวบ้านขุนห้วยไคร่ ม.14 ต.ตับเต่า อ.เทิง จ.เชียงราย กว่า 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าเย้า โดยเฉพาะเยาวชนในหมู่บ้าน ได้เข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ด้วยอาการตัวเกรง หายใจหืดหอบเร็ว เหมือนอาการช๊อก โดยไม่ทราบสาเหตุ โดยกลุ่มชาวบ้านที่นำผู้ที่ผู้ป่วยมาส่งได้กล่าวอ้างได้ถูกผีหลอก 

         น.ส.โสภา กล่าวว่า จากการสอบถามทราบว่า ก่อนที่ชาวบ้านจะถูกผีหลอก เมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.พิทยา ไม่ทราบนามสกุล หญิงสาวชาวลาว ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และได้เสียชีวิตลง โดยไม่ทราบสาเหตุบริเวณป่าไผ่ ในหมู่บ้าน จึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนา แต่กลับพบว่า ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีเยาวชนกว่า 8 คน ในหมู่บ้านได้เดินไปโรงเรียนกลับได้พบเจอวิญญาณของหญิงสาวที่เสียชีวิต มาปรากฏกายให้เห็นในลักษณะสวมชุดสีขาว ผมยาวปิดหน้า จึงได้ตกใจและเกิดอาการช๊อกมาโดยตลอด 

         น.ส.โสภา กล่าวด้วยว่า ต่อมาหลังจากที่เยาวชนได้พบเจอวิญญาณ ยังพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ได้ฝันว่าวิญญาณของหญิงสาว ได้มาเข้าฝันให้ไปบอกมารดาที่อยู่ในประเทศลาว ให้มารับศพกลับบ้าน แต่ชาวบ้านไม่รู้จะติดต่อมารดาของหญิงสาวที่เสียชีวิตอย่างไร จึงได้เชิญหมอผีประจำเผ่า มาทำพิธีให้ แต่ก็กลับพบว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ยังได้พบเห็นผีสาวดังกล่าว จึงได้จะเตรียมทำพิธีต่อไปจากเหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการอุปทานหมุ่ของคนในหมู่บ้าน เพราะชาวไทยภูเขาเผ่าดังกล่าวได้มีความเชื่อเรื่องของผี จึงได้เตรียมที่จะเข้าไปให้ความรู้ต่อไป แต่คงต้องใช้เวลา เนื่องจากความเชื่อของคนเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก

ลอกมาจาก
http://hilight.kapook.com/view/28658

1974

หากจะถามกันว่ามีผีหรือไม่ ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะต้องบอกว่า มี หากมีอยู่แต่ในใจของแต่ละคนเท่านั้น
 
คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบในการศึกษาเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเราตกอยู่ ในบริเวณที่ไม่ค่อยจะมีแสงสว่างนัก สมองอาจถูกหลอกให้เห็นโน่นเห็นนี่ ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงได้ “สิ่งแวดล้อมในที่เราอยู่นับว่าสำคัญมาก บางทีมันอาจจะข่มหลักฐานตามที่ตาเราเห็นไปได้ และอาจจะทำให้เราทึกทักว่าเราเห็นมัน”
 
 
 
หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานข่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์ หลี่ เจาปิง หัวหน้านักวิจัย บอกให้รู้ว่า พวกนักมายากลได้ล่วงรู้ถึงปรากฏการณ์ อันนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อเขาโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ตามด้วยลูกที่ 2 และ 3 ครั้นแล้วลูกที่สามจะเกิดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อันที่จริงแล้ว บางทีลูกที่ 3 ไม่มีจริงเลย หากแต่ สมองของเราถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอา กลับบอกตัว เราว่าให้เรานึกว่าเห็นเขาโยนลูกทีละลูก รวมเป็น 3 ลูกจริง
 
         เหตุที่ตาเราฝาด เห็นอสุรกาย ปรากฏออกมาจากเงามืด ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ เพราะที่ซึ่งเป็นเงามืดมองเห็นไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมักทำให้นึกวาดภาพต่อเติมให้เห็นเป็นตัวเป็นตนไป...

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/all/6890/#ixzz1GaiXAPb6

1975
คำอาราธนาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม

สะทา วะชิระสะพุททะวะวะ วิหารเร
ปติฏฐิตัง นะระเทโวหิ ปูชิตัง ปัตตะหัตตัง
พุทธรุปัง อะหัง วันทามิ ทูระโต

คาถาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
นะมะ ระอะ นะ เท วะ อะ



นับว่าเป็นหลวงพ่อที่ทรงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกัน เพราะมีพุทธศาสนิกชนประชาชนพากันมาสักการะบูชากันมาก มายเนืองแน่นไปหมด เมื่อเวลามีงานสมโภชตามเทศกาล และตามจดหมายเหตุประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ดั้งเดิ มของทางวัด ก็ได้แจ้งไว้ว่าท่านได้ปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาเช่นเดียวกัน ถึงกับบางท่านได้สรุปรวมความว่าเป็นพระพี่น้องกัน

         ซึ่งก็สามารถจัดเป็นเช่นนั้นได้ เพราะท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถ ปกป้องคุ้มครองรักษาประชาชนที่เคารพนับถือสักการะบูชาท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บภัยพิบัติต่าง ๆ ให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าหากจะนับรวมกันอย่างที่ทราบกันมาว่า พระพุทธรูปที่ปฏิหาริย์ลอยน้ำมา ก็คงจะมี 5 องค์ดังนี้ ซึ่งตรงกับคำว่า “ พุทธปัญจะภาคี ปาฏิหาริย์กระสินธุ์โน” พอดี

         แต่ส่วนประวัติความเป็นมานั้นทุกท่านต้องศึกษาถึงมูลเหตุพุทธประวัติอัน ลึกซึ้งของแต่ละองค์ ตามจดหมายเหตุประวัติและคำบอกเล่าของแต่ละที่กันเอง ซึ่งทุกองค์ก็มีความสำคัญมาก เช่นเดียวกันเพราะพระพุทธปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป ็นที่เคารพนับถือสักการะบูชาเป็นศูนย์รวมจิตใจอันผ่อ งใสเชื่อมั่นของประชาชน สาธุชนทั่วไปและตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในสากลพิภพยังมีอยู่อีกมากมายเหลือที่จะคณานับได้ ดั่งจะเห็นได้ว่ามีข่าวคราวปากฏขึ้นที่นั่น ที่นี่ตามกาลอันควรตลอดมาอยู่บ่อย ๆ ครั้ง พระพุทธปฏิมากร ที่สำคัญ ๆ ที่มีอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ก็มีปรากฏอยู่มากมา ยตามวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัดแต่ละอำเภอกระจายทั่วไปทั้งประเทศเพื่อแผ่บารมีและพุทธคุณปกป้องคุ้มครองสาธุชน ประชาชน ผู้ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม ปกป้องประเทศชาติให้คงอยู่เป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ก็ด้วยบุญบารมีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และสิ่งต่าง ๆ ซึ่งทรงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทุกคนหรือบางคนได้ประสบมาด้วยตนเอง หรือจากคำบอกเล่าจดหมายเหตุๆอันเป็นประวัติแต่ดั้งเด ิมมา ประเทศของเราจึงจัดได้ว่าเป็นประเทศที่นับว่าร่มเย็น เป็นสุขตามควรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร อันมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นสิ่งที่ทุกคนเทิดทูนเหนือเศียรเกล้า เคารพสักการะบูชายึดมั่นหยั่งลึกฝังอยู่ในจิตใจของทุกคนชาวพุทธศา สนิกชนชาวไทยทั้งชาติทุกคนตลอดมา และจะยั่งยืนตลอดไปอีกจนชั่วกาลนาน

ประวัติ
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4578.0

1976
ในทางพระพุทธศาสนานั้น  การทำบุญจะให้มีผลมากนั้น จะต้องประกอบด้วย สัมปทาคุณ ๔ ประการ คือ...

๑. วัตถุสัมปทา คือ ความพร้อมแห่งวัตถุ  ในที่นี้ หมายถึง ผู้รับ (ปฏิคาหก) หรือ ทักขิไณยบุคคล เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม ผู้รับมีคุณธรรมสูงมากเท่าใด ย่อมทำให้ทานที่บริจาคแล้วมีผลมากขึ้นเท่านั้น

๒. ปัจจัยสัมปทา คือ ความพร้อมแห่งปัจจัย  ในที่นี้ หมายถึง สิ่งของที่ทายกทายิกานำมาทำบุญ ต้องได้มาโดยชอบธรรม ได้มาด้วยความบริสุทธิ์

๓. เจตนาสัมปทา คือ ความพร้อมแห่งเจตนา  ในที่นี้ หมายถึง มีเจตนาดี เจตนาเพื่อสงเคราะห์-อนุเคราะห์เกื้อกูล หรือ บูชาคุณโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้หวังลาภยศ ชื่อเสียง หรือ ผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งจะต้องประกอบด้วย ๓ กาล ดังนี้ คือ ก่อนให้  กำลังให้  หลังจากให้แล้วก็ยังรักษาเจตนาอันบริสุทธิ์ไว้ได้ นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยปัญญาในการให้ มิใช่ให้ด้วยความงมงาย

๔. คุณาติเรกสัมปทา คือ ความพร้อมแห่งคุณพิเศษของปฏิคาหก คือ ผู้รับมีคุณพิเศษ ท่านระบุไว้ในตำราว่า หากได้ทำบุญกับทักขิไณยบุคคล ที่ออกจากนิโรธสมาบัติในขณะนั้น ทานย่อมให้ผลแก่ผู้นั้นเป็นอันมาก

เพราะฉะนั้น การทำของน้อยให้มีผลมาก การทำของมากให้มีผลน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความรอบครอบของ ผู้บำเพ็ญทาน คือ เลือกให้แก่คนที่ควรให้  ให้ให้ถูกกับเวลาที่ควรให้  ของที่ให้นั้นต้องตรงตามความต้องการ หรือสำเร็จประโยชน์แก่ผู้รับด้วยดี และที่สำคัญ จะต้องประกอบด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ 

มิฉะนั้น ผลแห่งทานที่จะได้จะได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลเลย เข้าทำนองที่ว่า
"ให้แว่นแก่คนตาบอด  ให้หวีแก่คนไม่มีผม" เป็นต้น



ขอบคุณที่มา...http://dhammasatta.igetweb.com/index.php?mo=3&art=223386

1977
ทำให้ถูกต้อง จะไม่เป็นทุกข์


1978
ปัญญาอบรมสมาธิ

โอวาทธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย    

สมถะหรือวิปัสสนาต่างก็เป็นวิธีการปฏิบัติ เพื่อจุดหมายเดียวกัน

อีกปัญหาหนึ่งมีท่านกล่าวไว้ว่า ให้ฝึกหัดทำสมาธิให้มันได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

เฮ้อ… อันนี่ถ้าสมมติว่าใครไม่สามารถทำสมาธิขั้นสมถะได้เนี่ย จะไปรอจนกระทั่งจิตมันสงบเป็น สมาธิขั้นสมถะ เป็นอัปปนาสมาธิ
เผื่อมันทำไม่ได้ล่ะ มันจะไม่ตายก่อนหรือ? :053:

เพราะฉะนั้น จึงขอทำความเข้าใจกับนักปฏิบัติทั้งหลายก่อนว่า คำว่าสมถกรรมฐาน ก็ดี คำว่า วิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี
ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจก่อนว่า เป็นชื่อของวิธีการ

การภาวนาพุทโธๆ ๆ หรือการภาวนาอย่างอื่น หรือการภาวนาแบบเพ่งกสิณ อันนั้นปฏิบัติตามวิธีของสมถะ

แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยการใช้ความคิดหรือกำหนดจิตรู้ตาม ความคิดของตัวเอง หรือจะหาเรื่องราวอันใด เช่น เรื่องของธาตุขันธ์ อายตนะมาพิจารณา
เช่น พิจารณาว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อะไรทำนองนี้

อันนี้การน้อมจิตน้อมใจน้อมภูมิความรู้ความเข้าไปสู่ กฎพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านเรียกว่าปฏิบัติตามวิธีการแห่งวิปัสสนา

แต่ทั้ง 2 อย่างนี้เราจะปฏิบัติด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้

ถ้าท่านผู้ที่บริกรรมภาวนา จิตมันไม่เคยสงบเป็นสมาธิซักที จะไปรอให้มันสงบ มันไม่เคยสงบซักที ก็มาพิจารณาซิ
ยกเรื่องอะไรขึ้นมาพิจารณาก็ได้ ซึ่งมันเกี่ยวกับเรื่องธรรมะ

พิจารณาไปจนกระทั่งจิตมันคล่องตัว
พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนั้นก็ไม่เที่ยง อันนี้ก็เป็นทุกข์ อันนั้นก็เป็นอนัตตา
คิดเอาตามสติปัญญาที่เราจะคิดได้ คิดย้อนกลับไปกลับมา กลับไปกลับมา กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้
คิดจนกระทั่งมันคล่องตัว จนกระทั่งเราไม่ได้ตั้งใจคิด

จิตมันคิดของมันเอง ซึ่งมันอาจจะเอาเรื่องอื่นมาคิดอยู่ไม่หยุดก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็เข้าลักษณะเหมือนกันกับภาวนา

ถ้าจิตมันคิดของมันเอง สติรู้พร้อมอยู่เอง มันก็ได้วิตก วิจาร ในเมื่อจิตมีวิตก วิจาร เพราะความคิดอ่านอันนี้
มันก็เกิดมีปีติ มีความสุข มีเอกัคตา มันจะสงบลงไปเป็น อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

หรือบางทีมันอาจจะไม่สงบถึงอัปปนาสมาธิ พอถึงอุปจารสมาธิ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
มันก็จะทำหน้าที่พิจารณาวิปัสสนาของมันตลอดวันยันค่ำ ตลอดคืนยันรุ่ง เพราะฉะนั้นอย่าไปติดวิธีการ

ถ้าใครไม่เหมาะกับการบริกรรมภาวนา ก็ไม่ต้องไปบริกรรมภาวนา ถ้าจิตของท่านผู้ใดไปเหมาะสมกับการกำหนดรู้จิตเฉยอยู่
โดยไม่ต้องนึกคิดอะไร เป็นแต่เพียงตั้งหน้าตั้งตาคอย จ้องดูความคิดว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแค่นั้น
อะไรเกิดขึ้นรู้ อะไรเกิดขึ้นรู้ รู้ ๆ ๆ เอาตัวรู้อย่างเดียว

หรือบางทีบางท่านอาจจะใช้ความคิดอยู่ไม่หยุด หรือบางท่านอาจจะฝึกหัดสมาธิ โดยวิธีการทำสติตามรู้
การยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ก็สามารถทำจิตให้เป็นสมาธิได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเป็นนักปฏิบัติ เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงกันจริง ๆ แล้ว อย่าไปติดวิธีการ
ให้กำหนดหมายว่าสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี เป็นวิธีการปฏิบัติ



ขอขอบคุณที่มา...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18168

1979
นิมิตในการบำเพ็ญสมาธิ

ในการบำเพ็ญสมาธินั้นเมื่อจิตได้ตั้งอยู่ในฌานขั้นใดขั้นหนึ่ง อาจเกิดนิมิตขึ้นมาให้เห็นได้ ๒ ประการ คือ

๑. อุคคหนิมิต สิ่งที่มาติดตาติดใจ
๒. ปฏิภาคนิมิต สิ่งที่ติดตาติดใจแล้วกลายเป็นภาพที่เกิดจากสัญญา

นิมิตทั้งสองอย่างนี้จะเกิดขึ้นบางขณะจิต หรือบางคนที่จิตสงบลงไปแล้วและจะเกิดคู่กันและเกิดขึ้นได้สองทาง

ก. เกิดจากสัญญาเก่าที่เคยนึกไว้แต่กาลก่อน
ข. เกิดขึ้นเมื่อจิตสงบและเกิดขึ้นเองโดยไม่นึกคิด

นิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นทั้งสองชนิดนี้มีทั้งคุณทั้งโทษ มีความจริงและความไม่จริง ฉะนั้นจึงไม่ควรยึดถือเสียทีเดียว ถ้าใครมีสติสัมปชัญญะที่รอบคอบก็มีคุณ ถ้าใครมีสติอ่อนกำลังใจไม่มั่นคงก็มักจะหลงใหลไปตามนิมิต บางทีก็เผลอตัวยึดถือว่านิมิตนั้นๆ เป็นของจริง

นิมิตคู่นี้มีสองประเภทคือ

๑. นิมิตของรูป

เช่นเห็นร่างกายของตนเองบ้าง คนอื่นบ้าง สัตว์บ้าง เห็นนรกบ้าง เห็นสวรรค์บ้าง เห็นซากศพบ้าง มีลักษณะดำๆ แดงๆ เขียวๆ ขาวๆ บ้าง ซึ่งบางทีจริงบางทีก็ไม่จริง บางคราวเกิดทางหูได้ยินเสียงคนพูดบ้าง บางทีก็เกิดทางจมูกได้กลิ่นหอมบ้าง เหม็นบ้าง บางทีเกิดทางกาย เช่นกายเล็ก กายโต กายสูง กายต่ำ อาการทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า “อุคคหนิมิต” ถ้าจิตเข้มแข็งย่อมเป็นทางให้เกิด “วิปัสสนา” ขึ้นได้

แต่ถ้าสติอ่อนกลายเป็น “วิปัสสนูปกิเลส” ไปหลงใหลไปตามอารมณ์นั้นๆเชื่อว่าเป็นความจริง ถึงแม้ว่าจริงแต่ของไม่จริงก็ย่อมแทรกซึมได้ เปรียบเหมือนตัวคนซึ่งนั่งอยู่ในที่แจ้ง เมื่อแสงอาทิตย์ส่องย่อมมีเงา ตัวคนมีจริงส่วนเงานั้นย่อมเกิดติดอยู่กับตัวคน แต่เงานั้นไม่ใช่คนจริง ฉะนั้นท่านจึงปล่อยวางซึ่งของจริง ของไม่จริงนั้นก็หลุดไปตาม นี่เกี่ยวกับเรื่องนิมิตของรูป

๒. นิมิตของนาม

เมื่อลมละเอียด จิตว่างจิตนิ่ง จิตสงบดีแล้ว ย่อมมีอะไรเกิดขึ้น บางทีนึกถึงอะไรก็รู้ได้ทันที บางคราวไม่ต้องนึก ก็ผุดขึ้นมาเองในดวงจิต ลักษณะอย่างนี้ก็เป็น “อุคคหนิมิต” มีความจริงบ้างไม่จริงบ้างปนกัน จะยึดถือเป็นความจริงทีเดียวไม่ได้ บางคราวก็จริง ความจริงนั่นแหละเป็นเหตุแห่งความหลง เช่นจริง ๓ อย่าง ไม่จริง ๗ อย่าง เมื่อเกิดความเชื่อมั่นแล้ว ถึงไม่จริงก็ยังเข้าใจว่าเป็นจริง อันนี้ก็ทำให้เกิด “วิปัสสนูปกิเลส” ได้ทางหนึ่ง

ฉะนั้นจึงควรที่จะทำนิมิตทั้งสองคือ “อุคคหนิมิต” ของรูป “อุคคหนิมิต” ของนามนี้ เมื่อเกิดขึ้นทางใดทางหนึ่ง ควรเจริญ “ปฏิภาคนิมิต” ต่อคือ เมื่อมีนิมิตอันใดเกิดขึ้น เช่นถ้าเป็นรูปใหญ่ นึกให้เป็นรูปเล็ก ให้ใกล้ให้ไกล ให้เล็กให้โต ให้เกิดให้ดับ จำแนกนิมิตนั้นเป็นส่วนๆ แล้วปล่อยวางไป

อย่าให้นิมิตมาแต่งจิตของเรา ให้จิตของเราแต่งนิมิตได้อย่างนึก ถ้าไม่สามารถทำได้เช่นนั้น อย่าเพิ่งไปเกี่ยวข้องกับนิมิตให้ปล่อยไปเสีย มาเจริญกรรมฐานที่เรากำหนดอยู่อย่างเดิม (เช่นถ้ากำหนดหายใจเข้า - ออก ก็ให้กำหนดลมต่อไป)

ถ้าเป็นนิมิตของนามเกิดขึ้นทางจิต ก็ให้ยับยั้งตั้งสติไว้ด้วยดี พิจารณาความรู้ที่เกิดขึ้นว่ามีความจริงเพียงใด แม้มีความจริงก็ไม่ควรยึดมั่นในความเห็นนั้นๆ ความรู้นั้นๆ จะเป็น “วิปัสสนูปกิเลส” ถ้ายึดความเห็นจะเป็น “ทิฏฐุปาทาน” และ “ทิฏฐิมานะ” คือความสำคัญว่าตนเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไปต่างๆ

ฉะนั้นผู้ปฏิบัติควรปล่อยวางนิมิตทั้งสอง คือนิมิตของรูปและนิมิตของนามไปเสีย ตามสภาพแห่งความจริง สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่รู้เท่าตามทันย่อมจะเกิด “วิปริต - วิปลาส” ผิดพลาดไปจากคุณความดีที่จะได้ในขั้นต่อไป

ขยายความเรื่องวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ

ธรรมารมณ์ที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญสมาธิจิตสงบขั้นสูง หรือได้วิปัสสนาอ่อนๆ ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้วซึ่งเป็นขวากหนาม เป็นเหตุไม่ให้ก้าวหน้าต่อไปในทางวิปัสสนาญาณ หรือการบรรลุมรรคผล (นำมาแสดงไว้ให้รู้เท่าทัน แต่สำหรับผู้ที่ได้คุณ ๑๐ อย่างนี้ก็นับว่าวิเศษแล้ว)

วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ

๑. โอภาส แสงสว่างซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมองเห็นได้ในที่ใกล้และไกล

๒. ญาณ ย่อมเกิดความรู้ขึ้น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้อย่างแปลกประหลาดอัศจรรย์ เช่นระลึกชาติได้ บางทีก็รู้ “จิตปฏิสนธิ” ของคนในโลกซึ่งเป็นเหตุให้เพลินไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ เพลินหนักเข้าความรู้จริงไม่เข้ามาแทรก ก็ยังสำคัญว่าจริง

๓. ปิติ ความอิ่มกายอิ่มใจ อิ่มเสียจนหลงงมงาย อิ่มกายจนหายหิวข้าว หิวน้ำ หายร้อน หายเย็น อิ่มเสียจนเพลิน บางทีก็สำคัญว่าเป็นผู้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นการกลืนกินอารมณ์นั่นเอง

๔. ปัสสัทธิ กาย - จิตสงบเย็น จนไม่อยากเห็นสิ่งใดๆ ในโลก เห็นว่าโลกนั้นไม่สงบเป็นสิ่งที่ตัวไม่ต้องการ ความจริงถ้าจิตสงบจริงสิ่งทั้งหลายในโลกย่อมสงบหมด ผู้ที่เข้าไปติดความสงบแล้ว แม้กายก็ไม่อยากทำงาน ใจก็ไม่อยากคิดนึก เพราะติดความสงบนั้นเป็นอารมณ์ นี่คือขวากหนามของการบรรลุมรรคผลนิพพานที่สูงขึ้นไป

๕. สุข เมื่อสงบแล้วก็เกิดสุขกาย สุขจิตซึ่งเป็นของดี แต่ที่ท่านว่าเป็นขวากหนามเพราะเมื่อสุขมากๆ แล้วเกลียดทุกข์คือเข้าใจว่า สุขนั้นดีทุกข์นั้นไม่ดี ที่จริงสุขก็คือทุกข์ เมื่อสุขเกิดทุกข์ก็เป็นเงา และ เมื่อทุกข์เกิดสุขก็เป็นเงา แต่ถ้าไม่เข้าใจเช่นนั้นจึงกลายเป็นกิเลสอย่างหนึ่งคือกลืนอารมณ์ตัวเอง ความสบาย ความสงัด ความวิเวก ความเย็น อันลึกซึ้งจับใจเกิดขึ้นแล้วก็เพลินไปในอารมณ์นั้นๆ คือติดอยู่ในนามธรรมอันพอใจนั่นเอง จนสำคัญว่าบรรลุผลนิพพานแล้ว

๖. อธิโมกข์ ความเข้าไปน้อมเชื่อถือในความรู้ ความเห็นและสิ่งที่รู้เห็นว่าเป็นจริง

๗. ปัคคาหะ อาจเกิดมีความเพียรทางจิตแรงกล้าเกินไปไม่พอดี เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านคือยังยึดถืออารมณ์อยู่นั่นเอง ความมุ่งหน้าแรงเกินพอดีจึงเป็นขวากหนามประการหนึ่ง ของการบรรลุพระนิพพาน

๘. อุปัฏฐานะ คือการมีสติเข้าไปตั้งอย่างแรงกล้า อยู่ในอารมณ์อันใดอันหนึ่งที่ตนรู้เห็น ไม่ยอมปล่อยวางอารมณ์นั้นๆ

๙. อุเบกขา ความมีจิตเป็นกลางวางเฉยไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ไม่อยากนึก ไม่อยากคิดพิจารณา คือสำคัญตนว่าวางเฉยได้หมดแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของจิตขณะนั้นต่างหาก

๑๐. นิกันติ ความพอใจติดใจในอารมณ์นั้นๆ คือติดอารมณ์ที่ตนพบตนเห็นนั่นเอง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อรู้ไม่เท่าเอาไม่ทันย่อมเป็นเครื่องเศร้าหมองของใจอันหนึ่ง ของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุพระนิพพาน


ขอขอบคุณที่มา...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8854

1980
ตามดูจิต การปฏิบัติที่ให้ผลเร็ว
โดย หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง
ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


บัดนี้ เป็นโอกาสที่พวกเราทั้งหลายจะได้มีการอบรมธรรมปฏิบัติกัน พระบรมศาสดาท่านกล่าวถึงการปฏิบัติไว้ว่า บุคคลที่ยังไม่ได้รับการอบรมปฏิบัติก็จะไม่เข้าใจในธรรม ไม่เข้าใจในธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ หรือในสัญชาตญาณที่คู่กับเรามาแต่เกิด ธรรมชาติอันนี้ หรือสัญชาตญาณอันนี้ มันเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของเราตลอดเวลา เราจะเรียกว่าของที่มันเป็นอยู่ก็ได้ เรียกว่าสัญชาตญาณก็ได้ มันมีความเฉลียวฉลาดอยู่ในนั้น ซึ่งช่วยป้องกันรักษาตัวมันเองมาตลอด สุตว์ทุกจำพวกเมื่อเกิดมามันต้องรักษามันแหละ การรักษาตัว ปกป้องชีวิต ป้องกันอันตรายทั้งหลาย แสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิต นี้เหมือนกันหมด เช่น สัตว์ดิรัจฉาน มันก็กลัวอันตราย แสวงหาความสุข เหมือนกันกับสัญชาตญาณมนุษย์เรา อันนี้ท่านเรียกว่าเป็นธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ จะมารักษาตัวมันตลอดเวลา ธรรมชาตินั่นเอง ธรรมชาติเรื่องกายหรือเรื่องจิตใจ

เราจะต้องมารับการอบรมใหม่ เปลี่ยนใหม่

ถ้าหากว่าเรายังไม่ได้รับการอบรมบ่มนิสัย ก็คือยังเป็นของที่ไม่สะอาด ยังเป็นของที่สกปรก เป็นจิตใจที่เศร้าหมอง เหมือนกันกับต้นไม้ในป่า ซึ่งมันเกิดมามันก็เป็นธรรมชาติ ถ้าหากว่ามนุษย์เราต้องการจะเอามาทำประโยชน์ดีกว่านั้น ก็ต้องมาดัดแปลง สะสาง ธรรมชาติอันนี้ให้เป็นของที่ใช้ได้ เช่น โต๊ะนี้ หรือบ้านเรือนของเรานั้น เกิดจากเราสามารถเอาธรรมชาติมาทำเป็นที่อยู่ที่อาศัย เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติอันนั้นมา มนุษยชาตินี้ก็เหมือนกัน ต้องมาปรับเปลี่ยนใหม่ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า พุทธศาสตร์

พุทธศาสตร์ คือความรู้ในทางพุทธศาสนา สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งมันติดแน่นอยู่ในอันใดอันหนึ่ง เช่น เราเกิดมา มีชื่อเสียงเรียงนามมาตั้งแต่วันเกิด เช่นว่า เรียกว่าตน ตัวเรา ของเรา นี้สมมติกันขึ้นมาว่าร่างกายของเรา จิตใจของเรา ซึ่งสมมติชื่อขึ้นมาจากธรรมชาตินั่นเอง พวกเราทั้งหลายก็ติดแน่นอยู่ในตัวเรา หรือในของของเรา เป็นอุปาทานโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นอย่างนี้ ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านสอนให้รู้ยิ่งเข้าไปกว่านั้นอีก ทำจิตใจให้สงบให้รู้ยิ่งเข้าไป ยิ่งกว่าธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ จนเป็นเหตุให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอันนี้ พูดตามชาวโลกเราว่าตัวว่าตน ว่าเราว่าเขา ทางพุทธศาสนานั้นท่านเรียกว่าตัวตนเราเขาไม่มี นี่คือมันแย้งกัน มันแย้งกันอยู่อย่างนี้ ตัวเราหรือของเรา ซึ่งพวกเราเข้าใจกันตั้งแต่แรกเกิดมา จนรู้เดียงสา จนเกิดมาเป็นอุปาทานมาตลอดทุกวันนี้ ทันนี้เป็นเครื่องปกปิดธรรมอันแท้จริง อันพวกเราทั้งหลายไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาท่านจึงให้มาอบรม

การอบรมในทางพุทธศาสนานั้น เบื้องแรกท่านว่า ให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ตามบัญญัติท่านเรียกว่าให้พากันรักษา ศีล เป็นเบื้องแรกเสียก่อน นี่ข้อประพฤติปฏิบัติจนเป็นเหตุไม่ให้เกิดโทษ ไม่ให้เกิดทุกข์ทางกายและทางวาจาของเรา อย่างที่เราทั้งหลายอบรมกันอยู่ ให้อายและกลัว ทั้งอายทั้งกลัว อายต่อความชั่วทั้งหลาย อายต่อความผิดทั้งหลาย อายต่อการกระทำบาปทั้งหลาย รักษาตัวกลัวบาป เมื่อจิตใจของเราพ้นจากความชั่วทั้งหลาย พ้นจากความผิดทั้งหลาย ใจเราก็เยือกเย็น ใจเราก็สบาย ความสบายหรือความสงบอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติซึ่งไม่มีโทษ นั่นก็เป็น สมาธิ ขั้นหนึ่ง

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สุจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสนัง ท่านว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทางกาย ทางวาจา คือการไม่ทำผิด ทำชั่ว ทางกาย ทางวาจา อันนี้เป็นตัวศาสนา เป็นพระธรรมคำสอนอขงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือ เอตัง พุทธานะสาสะนัง

กุสะลัสสูปะสัมปะทา เมื่อมาทำจิตของตนให้สงบระงับขากบาปแล้ว ก็เป็นจิตที่มีกุศลเกิดขึ้นมา เอตัง พุทธานะสาสะนัง อันนี้ก็เป็นคำสอนของท่านหรือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การมาทำจิตใจของตนให้ผ่องใสขาวสะอาด อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นหัวใจของพุทธศาสนาอีกประการหนึ่ง

ทั้งสามประการนี้เป็นหัวใจพุทธศาสนา ก็ประพฤติปฏิบัติอันนี้ ซึ่งมันก็มีอยู่ในตัวเราแล้ว กายก็มีอยู่ วาจาก็มีอยู่ จิตใจก็มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงให้ปฏิบัติ ให้พิจารณาตัวในตัว ในของตัว ซึ่งมันมีอยู่ ของทั้งหมดที่เราศึกษาเราเรียนกันนั้น มันจะมารู้ความเป็นจริงอยู่ที่ตัวของเรา ไม่ไปรู้ที่อื่น

เบื้องแรกก็รู้จากการได้ฟังที่เรียกว่า สุตะมะยะปัญญา การได้ฟัง การได้ยิน อันนี้ก็เป็นเหตุให้รู้ เป็นเหตุให้เกิดปัญญา เช่นว่า สมมติว่า วันนี้เราเพิ่งได้ยินว่าสีขาว แต่ก่อนนี้เราไม่เคยได้ยิน ทีนี้เมื่อเรารู้ว่าสีขาวมันเป็นเช่นนี้ เราก็คิดไปอีก สีอื่นจะไม่มีหรือ หรือสีขาวจะแปรเป็นสีอื่นจะได้หรือไม่ เป็นต้น นี่เรียกว่า จินตามะยะปัญญา หรือว่า เราคิดไป ก็ไปลองดูเอาสีดำมาปนในสีขาว มันก็เกิดเป็นสีอื่นขึ้นมาอีก เป็นสีเทาอย่างนี้เป็นต้น การที่เราจะได้รู้จักสีเทาต่อไปนั้น ก็เพราะว่าเราคิด ปัญญาเกิดจากการคิด การวิพากษ์วิจารณ์ เราเลยรู้สูงขึ้นไปกว่าสีขาว รู้สีเทาเพิ่มขึ้นไปอีก ปัญญาเกิดจากสิ่งทั้งสองนี้

นี้เป็นปัญญาที่เป็นโลกียวิสัย ซึ่งชาวโลกพากันเรียนอยู่ทั้งเมืองไทย จะไปเรียนนอกมาก็ตาม มันก็คงอยู่ในสุตะมะยะปัญญา จินตามะยะปัญญาเท่านี้ อันนี้เป็นโลกียวิสัย พ้นทุกข์ไม่ได้ พ้นทุกข์ได้ยาก หรือพ้นไม่ได้เลยทีเดียว เพราะเมื่อรู้สีขาว สีเทาแล้ว ก็ไปยึดมั่น (อุปาทาน) ในสีขาว สีเทาอันนั้น แล้วจะปล่อยวางไม่ได้ เช่นว่า เราเกิดอารมณ์ขึ้นมา ได้ยินเขาว่าไม่ดี เรียกว่านินทา อดเสียใจไม่ได้ อดน้อยใจไม่ได้ เข้าไปยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในอารมณ์อันนั้น เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะอุปาทาน นี้เรียกว่าการรู้ หรือการเห็นจากการได้ฟัง มันจะพ้นทุกข์ไม่ได้ หรือว่าเขาสรรเสริญเรา มันอดดีใจไม่ได้ แล้วก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในความดีนั้นอีก ไม่ได้ตามปรารถนาแล้วก็ทุกข์อีก สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข ดีแล้วก็ชั่ว ชั่วแล้วก็ดี เป็นตัววัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนแปรไปไม่จบ อันนี้เป็นโลกียวิสัยเช่นที่ปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้แหละ

พวกเราทั้งหลายก็เคยรู้เคยเห็น วิชาในโลกอันนี้เราเคยรู้เคยเห็น จะเรียนไปถึงที่สุด อะไรที่ไหนก็ตาม มันก็ยังทุกข์ เอาทุกข์ออกจากตัวไม่ได้ นั่นเป็นปัญญาโลกีย์ ละทุกข์ไม่ได้ ไม่พ้นจากทุกข์ ความร่ำรวยเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีที่อยู่ในโลกนี้ มันก็ไม่พ้นจากความทุกข์ เพราะมันเป็นโลกียวิสัย ปัญญาทั้งสองประการนี้ท่านยกให้โลกปกครองกันอยู่ในโลก วุ่นวายกันอยู่ในโลก ไม่มีทางจบ ถึงแม้จะจนมันก็ทุกข์ ถึงแม้จะรวยแล้วมันก็ยังทุกข์อยู่อีก ไม่พ้นไปจากทุกข์


ที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4519.0

1981
   
จิตนี้ฝึกได้...หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ท่านทั้งหลาย เพิ่งเริ่มเข้ามาปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง จึงอาจจะไม่ลึกซึ้งถึงขึ้นที่ดูหน้าดูตาก็จะรู้ได้ ดูคนให้ดูหน้า ดูโหงวเฮ้ง การแนะแนวไม่ใช่มาถึงวัดสอนบุญ บาป ทำบุญไปสวรรค์ ทำบาปไปนรกเท่านั้น ต้องสอนแนะแนวถึงกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ใครเอาไปใช้ปฏิบัติเป็นประจำ จะแก้กรรมได้จริง ๆ

ถ้าใช้ไม่จริงก็เหมือนถ้วยชา เขาให้มาแล้วเอาไปใส่ตู้ไว้ ไม่ค่อยใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ตัวเรานี้มีประโยชน์มาก แต่ใช้ตัวไม่เป็น ไปใช้ในเรื่องไร้สาระเสียมาก ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ประเสริฐล้ำเลิศ ไหน ๆ จะตายจากโลกไปก็จะต้องมีความดีติดตัวไปด้วย
และทิ้งความดีไว้ในโลกมนุษย์ คือ ความดีเป็นตรา ถ้าใครทำกรรมฐานได้ลึกซึ้ง จะรู้เหตุผลของชีวิตได้อย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน

แก้ไขปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยกรรมฐาน

บางคนชอบไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า สอบตก หมอดูว่า สอบตกกลับสอบได้ เพราะเราขยัน เราต้องสร้างความดีให้กับดวง หาใช่ดวงทำให้เราดีไม่ ต้องสร้าง อยู่เฉย ๆ ดีได้อย่างไร มันต้องเกิดจากการกระทำ คือ กฎแห่งกรรมนั่นเอง

การสร้างความดีให้กับดวง
ก็คือ สร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา แล้วเราจะอบอวล ทวนลม ผู้ที่มีสมาธิจะเป็นคนขยันหมั่นเพียร และเป็นผู้มีปัญญา คนที่มีปัญญาแหลมลึก แหลมหลักต้องมีสามคม
คมกริบ-ไว้ภายในจิต ไม่บอกใคร แสดงออกในเมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้
คมคาย-มันยังเป็นหลุม เป็นบ่อ ไม่เสมอ ก็เอาบุ้งมาแทง อย่างนี้เป็นต้น
คมสัน-มันต้องใช้ขวานตอกย้ำลงไป จึงจะเข้าเรียบร้อยดี

นี่มันมีในลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ครบ
ศีล คือ สถาปนิก ออกรูปแบบพื้นฐานให้คนชอบ
สมาธิ คือ วิศวกร รู้วาระจิต รู้จักน้ำหนัก รู้จักชั่งตวงวัด รู้จักวาระจิตของคนในฐานะเช่นไร ควรทำกับเขาอย่างไร รู้จักกาลเทศะ รู้จักบาป รู้จักบุญ          รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ที่วิศวกร
ปัญญา คือ นายช่าง ลงมือทำทันที มิได้รอรีแต่ประการใด

ถ้าใครเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและนายช่างแล้ว รับรองคนนั้นเอาตัวรอดปลอดภัยในอนาคต บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อน นิสัยดีมีปัญญาในโลกมนุษย์นี้ เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน คนเราก็มีทั้งถูกและแพง มีทั้งเก๊และดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊เยอะ มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายาก ต้องอดทน ต้องฝึกฝน
ท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกได้ ขยันก็ได้ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้


ขอบคุณ:ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7361

1982
อารมณ์พระนิพพานชั่วขณะ...

ผู้ถาม หลวงพ่อคะ เวลากำลังนั่งอยู่เฉย ๆ นี่มีความรู้สึกบอกว่า..."ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว" มันว่างแล้วจิตมันฟูขึ้น เกิดขึ้น ๒ ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งครึ่งวัน แล้วก็ครั้งหนึ่งในเวลาทำงานได้ชั่วโมงกว่า ๆ มีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว มันเป็นอย่างไรคะ ?

หลวงพ่อ นั่นแหละ ...อารมณ์พระนิพพาน ก็เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าพูดง่าย ๆว่า อารมณ์พระอรหันต์ เป็นแบบนั้น ทำได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นใช่ไหม ?
ผู้ถาม ประมาณชั่วโมง...แล้วครั้งหนึ่งได้ครึ่งวัน
หลวงพ่อ เอาละ...ช่างมันเถอะ! ถ้ามันได้ช่วงนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีให้มันชิน บางทีมันจะได้สักชั่วโมง หรือ ๑๐ นาที หรือ ๒ นาที เราก็พอใจ ให้มันชิน ไม่ช้ามันจะชินอารมณ์นี้ เวลาตายมันจะจับอารมณ์นี้
แต่การสอน...ท่านสอนว่าอารมณ์ว่าง คำว่า "อารมณ์ว่าง" คือ ว่างจากกิเลส มันจะเป็นความสุขที่สุด มันสุขเบา ๆ ใช่ไหม...มันเป็นนิรามิสสุข ไม่ใช่สามิสสุข ถ้าสามิสสุข...ได้ของได้คนได้สัตว์ที่เราชอบ เป็นความสุขเขาเรียก "สามิสสุข" คือสุขอิงอามิส ถ้า "นิรามิสสุข" ไม่เกี่ยวข้องกับอามิส อารมณ์มันอยู่เฉย ๆ

ผู้ถาม สังเกตว่าก่อนที่จะได้อารมณ์นี้ จิตนึกถึงความตายค่ะ

หลวงพ่อ ใช่...ตัวนี้สำคัญ! ตัวจิตนึกถึงความตายถ้าเป็นสมถะเรียกว่า มรณานุสสติ ถ้าวิปัสสนาญาณเขาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ ใช่ไหม...เป็นสังโยชน์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำว่า...ทุกคนให้นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ตัวนี้ต้องยืนตัว ถ้าไอ้ตัวนี้ไม่ยืนตัว อะไรก็ไม่ได้ ถ้าตายทุกคนก็ต้องตาย ไอ้คนที่จะไม่ตายไม่มี แล้วถ้าเรายังเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมันจะมีประโยชน์อะไร ใช่ไหม...เราตายคราวนี้มันตายครั้งสุดท้าย เราไม่เกิดต่อไปอีกดีกว่า
ทำยังไงจะไม่เกิดต่อไป เราไม่ต้องการร่างกายนี่ซิ...ไอ้คำว่า "ไม่ต้องการ" ไม่ใช่ตัดผลุนผลันไปเลยนะ คำว่า "ไม่ต้องการ" ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ปลด แต่หน้าที่มีเท่าไร...ทำให้ครบถ้วน แต่ทว่าทำแล้วก็คิดไปเลยว่า ไอ้งานประเภทนี้จะมีในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไปไม่มี วิธีตัดเขาตัดกันแบบนี้นะ...ไม่ใช่ตัดแบบวางมันส่งเดช ข้าวปลาไม่กิน ขี้เข้อก็ปล่อย...ไม่กินข้าวพอทนไหว ไอ้ขี้นี่มันยุ่ง...


http://www.yorbor.com/index.php?topic=4495.0

1983
กฎแห่งกรรม / ตอบ: วิธีลดกรรม 45 อย่าง
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 09:44:13 »
สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี ๓ ชนิด คือ

๑. กรรม

ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตาย ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น

๒. กรรมนิมิต

บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น

๓. คตินิมิต

บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้น คือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน)

รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้ แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ

แท้ที่จริงนั้น กรรมที่ปรากฏในจิตก่อนตาย มีลำดับการให้ผลก่อนหลัง ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ชนิดคือ

๑. ครุกรรม (กรรมหนัก)

กรรมหนักจะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ถ้าใครทำกรรมหนักภาพของกรรมหนักจะปรากฏในจิตก่อนตาย กรรมอื่นต้องรอโอกาสต่อไป กรรมหนักฝ่ายดี เช่น สมาบัติ ๘ กรรมหนักฝ่ายไม่ดี คืออนันตริยกรรม ๕ เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เป็นต้น

๒. อาจิณกรรม (กรรมที่ทำจนชิน)

ถ้าไม่มีกรรมหนัก อาจิณกรรมจะให้ผลก่อนคือปรากฏในจิตก่อนตาย อาจิณกรรมหมายถึงกรรมที่ทำสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย กรรมประเภทนี้มีความสำคัญรองมาจากครุกรรม

๓. อาสันกรรม (กรรมใกล้ตาย)

ถ้าไม่มีครุกรรมและอาจิณกรรม อาสันกรรมจะให้ผล อาสันกรรมหมายถึงกรรมทำก่อนสิ้นใจ เช่นการทำสังฆทานก่อนตาย หรือนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟังในวาระสุดท้าย

๔. กตัตตากรรม (กรรมที่สักว่าทำ)

ถ้ากรรมสามอย่างข้างต้นไม่มี กตัตตากรรมจะให้ผลโดยมาปรากฏในจิตก่อนตาย กตัตตากรรมหมายถึงกรรมด้วยเจตนาอันอ่อน คือไม่ได้ตั้งใจทำ เช่น เพื่อนเอาซองผ้าป่าให้ เราก็เอาเงินทำบุญใส่ซองทำบุญอย่างเสียไม่ได้ หรือแม่สั่งให้เราใส่บาตรพระเราก็ใส่ไปอย่างนั้นเอง นี้เป็นกตัตตากรรม ที่มีน้ำหนักน้อย เพราะเจตนาอ่อน

เหตุดังกล่าวนี้เองทำให้เราไม่สามารถลักไก่ได้ นั่นคือ เช่นคนที่ทำอาสันกรรมด้วยการใส่บาตรพระ ก่อนตัวเองจะตายย่อมไม่สามารถหนีกรรมหนักที่เกิดจากการฆ่าพ่อแม่ไปได้ เป็นต้น เพราะกรรมต่างๆ ให้ผลตามลำดับอย่างนี้ เราจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิตที่เรานึกถึงก่อนตาย

ขอขอบคุณที่มาจาก...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3437

1984
ดับทุกข์ด้วยความคิด “โยนิโสมนสิการ”
โดย ธรรมธร

โยนิโสมนสิการ เป็นคำบาลีมีในพระไตรปิฎก แม้จะเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ก็เป็นธรรมะที่เป็นกลางฟังไว้ก็นำไปใช้ได้ในทุกชาติศาสนา เพราะไม่ต้องยึดมั่นว่าใครเป็นคนสอน โยนิโสมนสิการแปลตรงๆ ว่า “การพิจารณาโดยแยบคาย” อาจจะแปลง่ายๆ ว่า การคิดให้เกิดปัญญาดับทุกข์ หรือการคิดที่นำไปสู่กุศล ทำนองนี้ก็ได้

พระพุทธองค์ได้กล่าวถึง “โยนิโสมนสิการ” ไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นองค์ (องคคุณ) อื่นแม้ข้อหนึ่งที่เป็นองค์ภายในของภิกษุผู้ยังศึกษา ผู้ยังไม่ได้บรรลุอรหัตตผล ปราถนาธรรมอันเกษม จากโยคะอันยอดเยี่ยม อันเป็นองค์ที่มีอุปการะมาก เหมือนโยนิโสมนสิการนี้เลย” หมายความว่ามีประโยชน์มาก

การคิดให้เกิดปัญญาดับทุกข์ ไม่ใช่ของทำได้ง่ายๆ บางครั้งจะคิดออกได้ก็จะได้ต้องมีเพื่อนที่ดีช่วยแนะนำที่เรียกว่า กัลยาณมิตร บางคนก็คิดออกเอง บางคนคิดไม่ออก และเมื่อความทุกข์นำมาจะนำไปสู่ความตกต่ำได้อย่างที่สุด

ความทุกข์แบ่งเป็นทุกข์กายกับใจ ทุกข์กาย คือ ป่วยเจ็บ ทุกข์ใจ คือจิตใจที่ตามมาจากการป่วยเจ็บ รวมทั้งการพลัดพรากจากของรัก การได้พบกับสิ่งที่ไม่ปารถนา ประการต่างๆ ในชีวิตจริงความทุกข์เกือบทั้งหมดมาจากใจ ดังนั้นต้องแก้ที่ใจด้วยโยนิโสมนสิการ ตามตำราวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการทำได้หลายอย่าง เช่น วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ วิธีคิดแบบรู้เท่าทัน วิธีคิดแบบแก้ปัญหาอริยสัจในทางปฏิบัติ ขอเสนอแนะอย่างนี้ครับ
เมื่อไรที่ประสพทุกข์ ไม่ต้องตัดพ้อว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ให้คิดว่าจริงแล้วทุกคนต้องเจอสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่คราวนี้ถึงคราวของเราแล้ว ก็แล้วกัน อาจจะเป็นกรรมที่เราทำมาในอดีตชาติก่อน หรืออาจจะโดยบังเอิญก็แล้วแต่ แต่ให้ต้อนรับความทุกข์นั้นด้วยใจที่มั่นคง คิดไว้ว่าเกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ และคิดไว้เสมอว่าไม่มีอะไรที่จะมีแง่เดียว สิ่งที่เราคิดว่าทุกข์ก็ต้องมีคุณประโยชน์มหาศาลซ่อนอยู่เสมอ ถ้ารู้จักใช้เพียงแต่เราอาจจะยังไม่พบเท่านั้นเอง

ท่านพุทธทาสภิกขุถึงกับกล่าวไว้ว่า “พระพุทธเจ้าอยู่หลังม่านแห่งความทุกข์” หมายความว่าเมื่อทุกข์เพียงแต่เปิดม่านจะเข้าถึงพระพุทธองค์ บางคนไม่มีทุกข์ ก็ไม่มีม่านให้เปิด ก็เลยไม่ได้เข้าถึงพระองค์หมายถึงไม่ได้เข้าถึงธรรมและความดี

ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่หมอรู้จัก เป็นมะเร็งเต้านม มีความทุกข์ใจมาก ต้องได้รับการผ่าตัดนำเต้านมออกและรับเคมีบำบัด บางคนผมร่วง บางคนต้องฉายแสงและโทรมมาก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือท่านเหล่านั้นต่างก็มาถือศีลตลอดชีวิต บางคนถึงกับได้บวชชีพราหมณ์ บางคนปล่อยนกปล่อยปลาเป็นประจำ จิตใจต่างก็เปลี่ยนไปในทางดี ที่เป็นครูแล้วดุก็เปลี่ยนเป็นไม่ดุ ที่ไม่เมตตาก็เมตตาขึ้นมา ที่ไม่เข้าวัดก็ได้เข้าวัด ที่ไม่สวดมนต์ก็ได้สวดมนต์ บางคนสวดมนต์ยาวๆ ทุกคืน บางคนหันมาเอาใจใส่ลูกและครอบครัวมากกว่าเดิม

มะเร็งชนิดนี้กว่าจะเป็นซ้ำหรือตายอาจจะอีก 10-20 ปี เมื่อได้รับการบรักษาที่ดีแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ทำให้ชีวิตช่วง 20 ปีหลังได้ทำความดีอย่างมหาศาล เพื่อนบ้านที่ซุบซิบนินทาว่าร้าย บางคนก็ตายไปก่อนโดยไม่ได้ทำความดีอะไร แต่คนเป็นมะเร็งที่เป็นเป้านินทาก็ยังไม่ตาย หลังๆ ก็มีความสุขทำใจได้ เข้าถึงธรรมมากกว่า และ มั่นใจในความดีจนไม่กลัวความตายเลย จนพูดได้ว่า เป็นมะเร็งแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดีกว่าตายแบบไม่ได้เตรียมตัวตั้งแยะ

การแก้ปัญหาด้วยโยนิโสมนสิการมีหลักง่ายๆ ว่า ต้องมีสติ มีใจที่สงบก่อน ดังนั้นเมื่อทุกข์ให้หาที่สงบจิตใจ อาจจะเป็นวัด โบสถ์ วิหาร มัสยิด ทุ่งนาป่าเขา หรือแม้แต่ห้องพระในบ้านของเรา อาจจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิหรือนั่งให้ใจสงบ หรือแม้แต่อ้อนวอนขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงให้ใจเราสงบขึ้น แล้วคิดว่าสิ่งที่เราพบว่าทำให้เราทุกข์นี้ สามารถนำสิ่งที่ดีมีความสุขอย่างไรให้เราได้บ้างหรือไม่ เพราะแม้แต่ขยะที่น่ารังเกียจยังถูกนำมาใช้เป็นปุ๋ยที่ยอดเยี่ยมได้ ถ้าเราไม่สามารถคิดออกได้ในตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะใจไม่สงบพอ ให้ค่อยๆ ทำใหม่หรือให้ปรึกษาผู้ที่คิดว่าจะแนะนำสิ่งที่ดีให้กับเราได้ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรของเรา

หมอเคยดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ได้แต่นอนบนเตียงรอความตายอย่างช้าๆ มีอยู่คนหนึ่งหลังจากที่ได้คุยกันหลายครั้ง เขาก็บอกหมอว่า เขาพร้อมที่จะตายได้แล้ว และมั่นใจว่ามีความดีพอที่จะไปสุคติแน่ๆ ที่ยังไม่สบายใจอยู่อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือเขาเป็นภาระให้ลูกเมียลำบากคือไม่ตายสักทีและอาจจะอยู่ไปอีกนานก็ได้

หมอก็บอกเขาว่า การที่ลูกเมียได้ดูแลคุณอย่างนี้ก็เป็นการทำบุญสร้างบารมีของเขาเหมือนกัน โดยเฉพาะลูกได้ดูแลพ่อแม่ที่ป่วยอย่างนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ลูกจำนวนมากก็ไม่มีโอกาสได้ทำ และเขาจะได้บุญมากเพราะคุณคือพระอรหันต์ของลูก คุณคือเนื้อนาบุญของเขา ผู้ป่วยผู้นี้แช่มชื่นขึ้นทันที แล้วพูดว่า จริงสินะผมไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย ตอนเด็กๆ ผมก็ยังไม่ได้ดูแลพ่อแม่ตอนป่วยเลย นับว่าลูกมันโชคดีกว่าผมอีก ในงานนี้นับว่าหมอได้มีโอกาสเป็นกัลยาณมิตรของเขา ซึ่งหมอก็หวังว่าด้วยอานิสงส์นี้ เมื่อเราลำบากมีความทุกข์มากคิดไม่ออก ก็ขอให้ได้เจอกัลยาณมิตรดีๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะในบางครั้งเมื่อผงเข้าตาตนเอง ก็ไม่ใช่ว่าตนเองจะเขี่ยออกได้

บางคนเสียสิ่งของไป แต่ไม่นานก็ได้ของที่ดีกว่า บางคนสามีทิ้งไป แต่ก็ได้อิสรภาพและความสุขที่มากกว่า แม้กระทั่งได้สามีใหม่ที่ดีกว่า บางคนตกงานต่อมาก็ได้งานที่ดีกว่า หมอรุ่นน้องบางคนจับสลากได้ไปทำงานต่างจังหวัดไกลๆ ร้องห่มร้องไห้มากมาย พบว่าต่อมาไปได้คู่ชีวิตที่นั่น นั่นคือต้องไปตรงนั้นเพราะเนื้อคู่เขาอยู่ตรงนั้น บางคนเจ็บป่วยจนพิการแต่ก็ได้ชีวิตที่เป็นบุญกุศลแบบไม่เสียชาติเกิด และบางคนได้เข้าถึงธรรมะได้ปฏิบัติธรรมะ ได้เปิดม่านพบพระพุทธองค์ ก็เพราะความทุกข์นั่นเอง

ฝึกจิตใจให้คิดหาสิ่งดี คิดแต่ของดี มองโลกในแง่ดี ด้วยโยนิโสมนสิการนะครับ จะนำความสุข ความก้าวหน้ามาสู่ตัวเราและคนรอบตัวครับ



......................................................
ขอขอบคุณ
เอกสารอ้างอิง :
เอกนิบาต อิติวุตตกะ ขุททกนิกาย
ภาคย่อพระไตรปิฎกฉบับประชาชน เล่ม 25
พระไตรปิฎกฉบับประชาชน สุชีพ ปุญญานุภาพ
พิมพ์ครั้งที่ 16 น. 601

......................................................

บทความจาก
ชมรมผู้บริโภคสื่อสีขาว
http://whitemedia.org/content/category/1/14/32/

1985
แม้คนขี้เมาก็อาจเป็นพระโสดาบันได้

ปัญหา เมื่อเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านเป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิอย่างเด็ดขาด มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เจ้าศากยะเป็นจำนวนมากประชุมกันแล้วพูดตำหนิว่า เจ้าสรกานิศากยะประพฤติย่อหย่อนในศีลธรรมและชอบดื่มน้ำเมา ถ้าท่านเป็นพระโสดาบันได้ ใคร ๆ ก็เป็นโสดาบันกันทั้งบ้านทั้งเมือง ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงชี้แจงอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนมหาบพิตร อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนานจะไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ? เมื่อจะพูดให้ถูก ควรพูดถึงเจ้าสรกานิศากยะว่า เจ้าสรกานิศากยะเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะมาเป็นเวลานานแล้ว จะพึงไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ?
“ ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.... ในพระธรรม...ในพระสงฆ์ ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลมและไม่บรรลุถึงวิมุต แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ แม้บุคคลผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต
“ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าต้นสาละใหญ่เหล่านี้พึงรู้ สุภาษิต และทุพภาสิต
อาตมภาพก็พึงพยากรณ์ต้นสาละใหญ่เหล่านี้ได้ว่า เป็นโสดาบัน จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า จะช่วยกล่าวไปไยถึงเข้าสรกานิศากยะ
“ดูก่อนท้าวมหานาม เจ้าสารกานิศากยะสมาทานสิกขาได้ในเวลาสิ้นพระชนม์แล”

สรกานิสูตร ที่ ๑ มหา. สํ. (๑๕๒๘-๑๕๓๖ )
ตบ. ๑๙ : ๔๗๐-๔๗๔ ตท. ๑๙ : ๔๒๖-๔๒๘
ตอ. K.S. ๕ : ๓๒๔-๓๒๖

1986
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ภาวนา = พัฒนา
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 09:24:12 »
   
วิธีภาวนาให้เห็นว่ากายกับใจไม่ใช่เรา
ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๗

โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


ถาม - ภาวนาอย่างไรจึงจะเห็นว่ากายไม่ใช่เราได้ครับ

เรามาหัดภาวนา มาดูของจริงนะ ดูลงในกาย ดูลงในใจ กายกับใจเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตัวเรามากที่สุด เรารักที่สุดคือกายกับใจนี้ มาภาวนาก็มาดูลงที่กายที่ใจ แล้วจะเห็นเลย ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจนี่เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย อย่างร่างกายมันไม่แข็งแรงตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็เจ็บป่วย เจ็บป่วยนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่รู้สึก อย่างเรานั่งนานๆ มันก็เมื่อยนะ มันก็ป่วยเหมือนกัน มันก็เจ็บมันก็ป่วย มันทรมาน นั่งมากๆ ก็ทุกข์ ยืนมากๆ ก็ทุกข์ เดินมากก็ทุกข์ นอนมากๆ ก็ทุกข์ นอนมากก็ทุกข์นะ
หลวงพ่อเคยเห็นคนเป็นอัมพาต นอนแล้วกระดิกตัวไม่ได้ อู๊ย ทุกข์มากเลย เป็นแผลกดทับไปเลย บางทีติดเชื้อตายไปง่ายๆ เลย ฉะนั้นจริงๆ แล้วร่างกายเนี่ย ความจริงของเขาก็คือ เขามีแต่ความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา ร่างกายนี้นะ คล้ายๆ กับคนวิ่งหนีหมาล่าเนื้อนะ ความทุกข์เหมือนหมาล่าเนื้อ วิ่งไล่กัดตลอดเวลาเลย ตอนมีเรี่ยวมีแรงเราก็วิ่งหนีห่างออกได้นะ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย แป๊ปเดียวมันตามมาอีกละ เพราะฉะนั้น ความทุกข์มันตามบดขยี้ร่างกายนี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราภาวนาไปเกิดความรู้สึกอยู่ที่กาย เราก็จะเห็นความจริงเลย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ จะทำอะไรอะไรก็ทุกข์ไปหมดเลย หายใจออกหายใจเข้าก็ทุกข์ ใครว่าไม่ทุกข์นะ หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ทุกข์เองล่ะ หายใจออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทุกข์เองล่ะ ที่มันไม่ทุกข์เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอิริยาบถไป เช่นนั่งนานๆ แล้วเมื่อยก็ขยับตัว ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็บดบังความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว หายใจออกแล้วเปลี่ยนไปมาหายใจเข้า มันก็ปิดบังไม่ให้เราเห็นความทุกข์
ความจริงแล้วมันทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย ถ้าเราหัดภาวนานะ ตามรู้อยู่ที่กายมากเข้าๆ ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็นเลย ร่างกายมันทุกข์ล้วนๆ น่าเบื่อนะ
จะทิ้งมันก็ไม่ได้นะ จะไปไหนก็ต้องพามันไปด้วย หนีมันไม่ได้ คล้ายๆ เรานอนกอดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา นอนกอดภาระอยู่ตลอดเวลา
พอใจมันเห็นความจริงตรงนี้ มันจะค่อยๆ คลายความรักในกายลง มันจะเริ่มเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงหรอก เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกอยู่ตลอดเวลา เช่น หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
กินอาหารแล้วก็ขับถ่ายอะไรงี้ เป็นแค่ก้อนธาตุแล้วก็หมุนไปเรื่อยๆ แล้วก็ความทุกข์ก็ตามบีบคั้นไปเรื่อยๆ เนี่ยพอใจมันเห็นความจริงในกายมากเข้าๆ นะ ความรักในกายก็ลดลง เบื้องต้นก็เห็นก่อน ร่างกายไม่ใช่เรา ภาวนาไม่นานหรอกก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา


ถาม - การถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา ต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

เราจะรู้สึกว่าในร่างกายมีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนนี้เดี๋ยวนี้ กับเราคนนี้ตอนเด็กๆ ก็เป็นเราคนเดิม วิธีที่จะถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรานะ ต้องตามดูจิตไปคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิต เราจะเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ นะ มันสุขก็อยู่ชั่วคราว มันทุกข์ก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง จิตเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลนะ เดี๋ยวก็โลภขึ้นมา พอมีสติรู้ทัน ความโลภก็ดับไป เดี๋ยวโกรธมามีสติรู้ทัน ความโกรธก็ดับไป เดี๋ยวหลงไปมีสติรู้ทัน ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ความหลงก็ดับไป ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมา มีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านก็หายไป จิตใจหดหู่ มีสติรู้ทัน ความหดหู่ก็หายไป มันจะเห็นแต่ว่าจิตใจนี้มันไม่เที่ยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเมื่อไรเกิดความอยากขึ้นในจิต จิตจะถูกบีบคั้น จิตก็มีความทุกข์ นี้ความอยากมันเกิดทั้งวัน ถ้าเราหัดเจริญสติให้ดี รู้ทันจิตใจให้ดี
เราจะเห็นว่าจิตเรามีความอยากเกิดขึ้นตลอดเวลาเลย เดี๋ยวอยากโน้น อยากนี้ อยากโน้น อยากนี้ เช่น อยากดู อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากกระทบสัมผัสที่ดีๆ อยากหนีการกระทบสัมผัสที่ไม่ดี อยากคิดเรื่องดีๆ อยากให้จิตสนุกสนาน อยากให้มีความสุข อยากจะให้ความทุกข์หายไป สารพัดที่จะอยากทุกคราวที่ความอยากเกิดขึ้นที่จิตนะ จิตจะถูกบีบเค้น จิตจะถูกเค้น จิตจะมีความทุกข์ขึ้นมา มีการบีบคั้นขึ้นมา
พวกเราหัดดูไปก็จะเห็น จิตมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย เฝ้าดูไป ดูไป ดูไป เห็นอีก จิตเองก็เป็นอนัตตานะ มันทำงานของมันได้เอง มันสุขก็สุขของมัน มันทุกข์ก็ทุกข์ของมัน เราสั่งมันไม่ได้ สั่งให้สุขอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามทุกข์ไม่ได้ สั่งให้ดีอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้ มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้ มีแต่เรื่องห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ เรียกว่าอนัตตา
การที่เรามีสติดูไป ดูการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตใจมีความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา จิตใจมันทำงานของมันนะ ไม่ใช่เรา มันทำงานได้เอง ดูไป ดูไป ไม่มีตัวเรา ในจิตนี้อีก ภาวนาไป เห็นจิตก็ไม่ใช่เรา กายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเราอื่นๆ ที่ไหนเลย
สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเรา ก็อยู่ที่กายที่ใจ ไม่ได้ไปอยู่ที่พื้นหรอก ไม่ได้อยู่ที่อากาศ ที่ภูเขา ที่ต้นไม้ มันอยู่ที่กายที่ใจ นั่นถ้าเมื่อไรเห็นว่า กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา  ก็จะไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นเราอีกละ


http://www.dharmamag.com/index.php?o...=172&Itemid=38

1987
ขันธ์ 5 เป็นภาระหนัก

"การปฏิบัติในทาง จิตเป็นการขุดโค่นเอารากเง่าของกิเลสทั้งหลาย ด้วยปัญญาวิปัสสนาค้นคิดติดตามลงไป
เพราะเราทุกข์มาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ เกิดแล้ว เกิดอีก แล้วก็หลงเพลิดเพลินอีก
ก่อกรรมทำเวรแก่ตัวของเราอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางสิ้นสุด เกิดมาแล้วก็ยังสงสัยในภพในชาติ ก็อย่างโลกเขาสงสัยกันอยู่
ค้นอย่างนั้น ค้นอย่างนี้ ตลอดค้นไปถึงดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า ก็เพราะสงสัยอยู่นั้นเอง ทั้งที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายรู้มาก่อนแล้ว
แต่พวกเกิดมาที่ยังมีกิเลสอยู่ก็มาสงสัยอีก ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ก็มาคิดสงสัยกันอยู่อย่างนี้แหละ เลยไม่มีทางสิ้นสุด
เมื่อจิตนี้ยังมีกิเลสอยู่ทำให้มีความเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วก็มีความสงสัย สงสัยในภพชาติของตน
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิตรตระการตา ซึ่งพวกคนเขลาหมกอยู่
แต่ท่านผู้รู้หาข้องไม่ที่เราติดข้องอยู่ก็คือเป็นคนเขลา เป็นคนที่ไม่เฉลียวฉลาดนั้นเอง ไปหลงไหลสิ่งที่ไม่ควรหลง
หาสุขแต่ก็ไปยึดเอาความทุกข์ อยากได้สุขแต่ไปสร้างกรรมที่ให้เกิดความทุกข์แก่ตัวของเราเอง
เราแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นทุกข์แก่ตัวของเรา หาแต่สิ่งที่เป็นกังวลแก่จิตใจของเรา หาแต่สิ่งที่เดือดร้อนจิตใจของเรา
เราจึงเป็นผู้ที่เดือดร้อน เดี๋ยวก็เดือดร้อนอย่างนี้ ร้อยแปดพันอย่างที่เราจะต้องเดือดร้อน
เดือดร้อนเพราะอำนาจของกิเลสแผดเผาจิตใจของเรา เดือดร้อนเพราะกองทุกข์ที่มีอยู่ในรูปกายของเราแผดเผา
เราก็เลยมีความทุกข์ความร้อนอยู่อย่างนั้น แต่ละวันแต่ละคืนเราก็ทุกข์ เย็นมาเราก็ทุกข์ ร้อนมาเราก็ทุกข์
มีความทุกข์เป็นประจำอยู่ ทั้งที่เรามีความทุกข์ เราก็ยังหลงอยู่ในความทุกข์
สำคัญทุกข์ว่าเป็นสุข สำคัญชั่วว่าเป็นดี ก็เนื่องจากเราเป็นผู้ที่หลง

ฉะนั้นให้เรามาพิจารณาใคร่ครวญโดยปัญญาที่รอบคอบหาเหตุผล ค้นคิดติดตาม
เพื่อจะได้แก้ความหลงความเมาในภพในชาติของเรานี้ เพราะเราเมามาแล้วไม่ทราบว่ากี่ภพกี่ชาติ
หลงมาแล้วเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น ตัณหาจึงได้ชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ให้ก่อภพก่อชาติ
ท่านจึงว่า ยายัง ตณฺหา โปโนพฺกวิกา จิตใดที่ยังมีตัณหาอยู่จะต้องให้เกิดในภพในชาติ
ต่อๆ ไป เพราะอำนาจของตัณหานี้เอง เป็นผู้สร้างภพสร้างชาติให้แก่เรา จึงว่าเป็นตัวการที่สำคัญ
เราจะต้องกำจัดตัณหานี้ เพราะตัณหาเป็นตัวร้ายที่ทำลายความสุขของสัตว์ทั้งหลายอยู่"

จากพระธรรมเทศนาตอนหนึ่งซึ่งพระอาจารย์วัน อุตตโม
ได้แสดงแก่พระเณร เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2521

1988
"สมัยหลวงปู่ดูลย์ยังคงแข็งแรง (คิดว่าประมาณอายุสัก 50-60 ปี) หลวงปู่ได้พาพระหนุ่มๆ สองรูปออกเดินธุดงค์ ในการเดินธุดงค์ครั้งก็เพื่อพาพระหนุ่มไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม เดินมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านมาก คือในละแวกใกล้เคียงที่ปักกลดนี้จะไม่มีบ้านคนหรือหมู่บ้านอยู่เลย


เมื่อมาได้ที่เหมาะแก่การปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ทั้งสามรูปก็ได้ทำการจัดแจงที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทิศต่าง ๆ จะไม่พยายามปักกลดใกล้กัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระป่าผู้แสวงหาโมกขธรรม จะลดความคลุกคลี นอกจากจะมีกิจที่จะต้องทำร่วมกัน

การปฏิบัติก็เป็นไปตามปกติ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ไปด้วยกัน ได้นำเรื่องราวที่ตัวเองได้พบในขณะที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้หลวงปู่ฟัง ว่า

"เมื่อกระผมนั่งสมาธิอยู่นั้น จิตได้สงบนิ่ง ในขณะนั้นก็เกิดภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วกล่าวกับผมว่า ในอดีตชาติที่แล้วนั้น ดิฉันกับท่านนั้นเป็นสามีภรรยากันมาก่อน และชาติเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็จะขอท่านได้ลาสิขาแล้วมาอยู่ร่วมกันดังในชาติที่แล้วเถิด และผู้หญิงนั้นก็เล่าต่อไปว่า

เมื่อชาติที่แล้วเราทั้งสองได้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ปักกรดนี้ และเมื่อเราทั้งสองได้ตายไป ก็ได้ฝั่งศพทั้งสองไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อก็สามารถไปพิสูจน์ได้ แล้วผู้หญิงนั้นก็จากไป" (ลืมบอกไปว่าในขณะที่พระรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้น เป็นเวลากลางคืน)

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ได้ฟังเรื่องราวที่พระหนุ่มรูปนั้นเล่าให้ฟังแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้กล่าวหรือสอนอะไร คือรับฟังเฉยๆ
พอคืนที่สอง เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพระหนุ่มรูปนั้นอีก ตอนเช้าก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ดังต่อไปนี้ ...........


"ผู้หญิงคนเดิมที่มาในคืนแรก ก็มาอีก และก็สาธยายเรื่องราวในอดีตชาติที่แล้วให้ฟังเดิม เพื่อจะต้องการให้พระหนุ่มรูปนั้นใจอ่อนลาสิกขาออกไปครองเป็นสามีภรรยาให้ได้ ในขณะที่เล่าก็ร้องสะอึกสะอื้นไป ก่อนกลับผู้หญิงนั้นก็บอกเพิ่มเติมว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเองไปเป็นภรรยา

ขอให้ท่านรีบพิจารณา เพื่อจะได้ไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้นเสีย ถ้าท่านไม่ลาสิกขา ดิฉันก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเด็ดขาด จะขอยอมตายโดยจะฆ่าตัวตายเสีย พูดจบผู้หญิงนั้นก็จากไปพร้อมกับน้ำตา และทิ้งความลังเลสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นให้ขบคิดว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ! และจะทำอะไรต่อไป ?"

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ฟังจบ ...วันนี้ท่านอดสงสารลูกศิษย์ไม่ไหว ก็เลยแนะนำวิธีการให้พระหนุ่มนั้นนำไปปฏิบัติ..โดยวิธีการดังนี้


"ฟังนะ...ท่านไปหาถ่านฝืนมาสักก้อนหนึ่ง (ถ่านหุงต้ม) แล้วป่นให้ละเอียด และคืนนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาอีก ท่านตั้งสติให้ดี ให้ถอยออกจากฌานในระดับที่ละเอียด (ซึ่งในขณะที่พระหนุ่มรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้นจะอยู่ในภาวะของฌานที่ละเอียด) ให้ลดมาอยู่ในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวกายได้  เมื่อผู้หญิงนั้นมา ก็ให้ท่านใช้นิ้วแตะที่ถ่านที่เตรียมไว้ และลุกขึ้นไปป้ายที่หน้าผากของผู้หญิงคนนั้น"
หลวงปู่ก็เมตตาแนะนำพระหนุ่มรูปนั้นแต่เพียงเท่านี้...


คืนที่สาม

ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมาข้างหาพระหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับน้ำตา แล้วก็พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้แล้วที่หนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเอง กับพ่อแม่ ก็ขอให้ท่านรีบตัดสินใจลาสิกขา และรีบไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้น ถ้าท่านไม่ลาสิกขาดิฉันเองก็จะไม่ย่อมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเหมือนกัน จะขอยอมตายจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากท่านเท่านั้น (รักแท้ หายาก)


พระหนุ่มรูปนั้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงนั้นมาอีก ก็ตั้งสติและปฏิบัติตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ คือถอยจากฌานที่ละเอียดมาอยู่ในระดับที่เคลื่อนไหวกายกาย แต่อยู่ในฌานอยู่ แล้วใช้นิ้วแตะที่ถ่าน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น พอถึงตรงหน้า ท่านก็ทำตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ ก็คือเอานิ้วที่แตะถ่านนั้นป้ายที่หน้าผากผู้หญิงคนนั้น

หลังจากที่ป้ายเสร็จทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรี๊ดดังลั่นป่า แล้วก็วิ่งหายไปในป่า สร้างความตกตะลึงให้พระหนุ่มรูปนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง และผู้หญิงคนนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องกรี๊ด และวิ่งหนีหายไปในป่าด้วย !?"


ทุกท่านที่อ่านอยู่ คิดสงสัยเหมือนอย่างที่พระหนุ่มรูปนั้น หรือไม่ครับ ?


ตอนเช้าพระหนุ่มรูปนั้นก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟัง ดังที่เคยกระทำมาแล้วในสองวันที่ผ่านมา เมื่อพระหนุ่มเล่าเรื่องราวจบ หลวงปู่ก็ยังคงเฉย ๆ เมื่อกับว่าท่านได้รับรู้เรื่องราวและทราบเรื่องราวนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่พระหนุ่มนั้นเล่า เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเล่าจบ หลวงปู่ก็หยิบฝาบาตร ส่องไปที่หน้าพระหนุ่มรูปนั้น แล้วบอกให้พระหนุ่มนั้นมองไปที่หน้าตัวเองที่อยู่ในฝาบาตร เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นมองไปในฝาบาตร ก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นขึ้นอีก เพราะว่าที่หน้าผากของตัวเองนั้น มีรอยถ่านดำติดอยู่ในหน้าผาก ดังที่ตัวเองนำไปป้ายกับผู้หญิงคนนั้น ในคืนที่ผ่านมา แล้วทำไมรอยถ่านนั้นจึงมาอยู่ในหน้าผากเราได้อย่างไร ?


ทุกท่านก็คงยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกหรือเปล่ามั้ยครับ ว่าทำไมรอยถ่านดำจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้น ?
ผู้หญิงนั้นคือใคร ?


ทำไมรอยถ่านจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้นได้อย่างไร ? ………..


ขอย้อนไปวันที่สองนิดหนึ่งครับ หลังจากคือที่สองนั้น พระหนุ่มรูปนั้นก็รู้สึกว่ามีจิตใจเอียงเอนอ่อนไปกับคำของหญิงสาวชาวป่าคนนั้น ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย คิดจะลาสิกขาและไปสู่ขอหญิงสาวนั้นแต่งงาน แต่หลวงปู่ท่านรู้ทันอาการทั้งหมดแต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่แนะนำวิธีการดังที่กล่าวไปแล้ว เท่านั้น


ที่จริงแล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านรู้ความเป็นไปของศิษย์ผู้นี้ตลอด ตั้งแต่คืนแรก ถึงคืนที่สาม แต่หลวงปู่ท่านต้องการสอนพระหนุ่มรูปนั้น จึงปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงคืนที่สาม


ตอนเช้าเมื่อพระหนุ่มรูปนั้นนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง หลวงปู่ท่านก็หยิบฝาบาตรมาส่องไปที่หน้าของพระหนุ่มรูป เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเห็นหน้าผากตัวเองมีรอยถ่านดำ ดังที่เคยป้ายแก่หญิงสาวชาวป่าในเมื่อคืน ก็ยิ่งสร้างตกตะลึงและสงสัยเป็นอันมาก เมื่อหลวงปู่ดูลย์เห็นว่าพระหนุ่มนั้นตกตะลึงสงสัย จึงได้เล่าเรื่องราวที่เป็นจริงให้ศิษย์ฟัง ผมขออธิบายเป็นการขยายให้ฟังก็แล้วกันครับ

“ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริง ผู้หญิงที่ท่านเห็นทั้งสามคืนนั้นก็ไม่มีจริง เพราะป่าที่มาปักกลดแห่งนี้เป็นป่าที่ลึกแห่งไกลจากหมู่บ้านมาก ฉะนั้นในละแวกใกล้เคียงนี้ไม่จึงไม่มีบ้านคน (ที่หลวงปู่ทราบว่าไม่มีบ้านคน เพราะหลวงปู่ท่านเคยเดินธุดงค์และปักกลดที่นี่มาแล้ว) สิ่งที่ท่านเห็นเกิดจากจิตของท่านเอง ที่สร้างขึ้นมาหลอก ”


แล้วท่านก็สอนให้พระหนุ่มรูปนั้นเกี่ยวกับจิตของคนเรา (ซึ่งตรงนี้หลวงปู่สอนว่าอย่างไรบ้างนั้น ผมก็จำไม่ได้แล้ว เพราะจำจากครูบาอาจารย์มาอีกทีหนึ่ง)
 
ส่วนต่อไปนี้เป็นเพิ่มเติมความคิดของผมเองครับ

บางท่านเมื่อได้อ่านเรื่องของพระหนุ่ม กับหญิงสาวชาวป่า แล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นผู้หญิงนั้นเป็นจริง ๆ บ้าง เป็นผี หรือวิญญาณบ้าง แต่มีน้อยคนที่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนของจิตใจของพระหนุ่มรูปนั้น ที่ปรุงแต่งสร้างรูปขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ และก็หลงไปกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ที่เห็นว่าเหมือนจริงทุกอย่างนั้น เพราะว่าเห็นในขณะเข้าฌาน ซึ่งในขณะจิตจะละเอียด จนสามารถสร้างสิ่งระเอียดและเหมือนจริงได้ ซึ่งจุดนี้ถ้าใครเคยสังเกตตัวเองเวลาที่กำลังนั่งสมาธิ แล้วเกิดนึกหน้าใครสักคนหนึ่งที่เรารู้จัก เราจะเห็นหน้าคนตาคนนั้นอย่างชัดเจนมาก

แต่ถ้าเรานั่งธรรมดา ๆ แล้วลองนึกภาพใครสักคนหนึ่ง ภาพก็เลือนลางลง จะไม่ชัดเหมือนตอนนั่งสมาธิ และเมื่อเราลืมตาอยู่ ลองนึกหน้าใครสักคนหนึ่ง ภาพที่เห็นต่อหน้าก็เลือนลางเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ซึ่งจุดเราสามารถเปรียบเทียบกับคนที่นั่งสมาธิจนเข้าฌาน ว่าภาพที่เห็นในขณะเข้าฌานนั้นชัดเจนอย่างอะไร ก็คิดว่าเหมือนมองด้วยตาเปล่าทำนองนั้นละครับ


สิ่งต่อมาก็คือภาพที่พระหนุ่มนั้นเห็น ผู้หญิงที่พระหนุ่มรูปนั้นเห็นนั้น ไม่ใช่ภาพที่เกิดจากความตั้งใจนึกขึ้น แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นมาลอย จนตัวผู้เห็นก็ไม่ทราบว่าเกิดจากจิตภายในตัวเอง จนหลงเชื่อว่าเป็นจริง ถ้าเกิดเป็นผม ๆ ก็เชื่อว่าเป็นจริงเหมือนกันครับ เพราะเห็นชัด และผู้หญิงคนนั้นก็อ้างอิงเรื่องราวในอดีตชนิดที่เราเองต้องเชื่อครับ เช่นให้ไปดูกระดูกที่ฝั่งไว้ใต้ไม้ อันเป็นหลักฐานว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง


ภาพผู้หญิงคนนั้นผมว่าน่าจะเกิดจากจิตใจใต้สำนึก ทุกท่านก็คงเข้าใจว่าจิตใต้สำนึกนั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นภาพผู้หญิง นั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม่จึงเกิดขึ้นมาได้ รู้แต่ว่าเกิดจากจิต และจิตใต้สำนึก แต่ทำไมจึงเป็นภาพผู้หญิง ตรงนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้เล่า เพราะท่านต้องการเน้นให้เห็นถึงความพิสดารและอัศจรรย์ของจิตของคนเรามากกว่า ให้รู้จิตของคนเรานั้นมันมีอะไรให้ศึกษาและค้นคว้าอีกมาก ยังมีอะไรสลับสับซ่อนอีกมาก จนเราเองผู้เป็นเจ้าของยังรู้จิตของเราไม่หมดเลย

ตรงนี้ก็อย่าถือว่าเราเป็นเจ้าของจิต และจิตเป็นเรา จิตเป็นของเรา เพราะว่าถ้าเราเป็นเจ้าของ เราก็ต้องรู้จิตใจของเราดีทั้งหมด แต่นี้ไม่ เรายังไม่เข้าใจจิตของเราเองดีพอ บ้างครั้งเราจะสับสนกับจิตใจของเรา ว่าทำไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เราเองก็ไม่อยากจะเป็น แต่พอเราอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคิด นี่แหละครับ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าจิตใจเป็นของเรา หรือจิตใจคือเรา แล้วทำไมจิตไม่เป็นไปตามที่เราคิดล่ะ ?
ท่านมีความสงสัยอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ?

ขอขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-doon-hist-02.htm

1989
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ไม่กลัวนรก !!!!
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 09:00:24 »
ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องกลัวนรก
---------------------
การทำกุศลในพระพุทธศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระกรุณาเทศนาโปรดท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อครั้งประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ดังที่มีเรื่องบันทึกอยู่ในเวลามสูตร คัมภีร์อ้งคุตตรนิกาย นวนิบาต โดยทรงปรารภถึงพระชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็น เวลามพราหมณ์ ได้ถวายมหาทานที่ใช้ทรัพย์สิ่งของมาก แต่มีผลดีสู้การปฏิบัติศีลธรรมตามหลัก ๔ ประการไม่ได้
ข้อปฏิบัติ ๔ ประการ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้ ได้แก่
๑.มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะ คือ ที่พึ่งระลึก
๒.รักษาศีล ๕ ได้แก่ ตั้งใจงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ปรพฤติผิดในกาม(ผิดลูก-เมีย-ผัวเขา) การกล่าวเท็จ งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและเสพของมึนเมา
๓.การเจริญเมตตาจิต ได้แก่ แผ่ความปรารถนาดีไมตรีจิต คิดจะให้บุคคลและสัตว์ท้งหลาย มีความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่สูดดมของหอมก็มีอานิสงส์มาก
อนึ่ง ใน โอกชาสูตร คัมภีร์สังยุตตนิกาย นิทานวรรค กล่าวว่า การแผ่เมตตาจิต เพียงแค่รีดนมโคให้หยดน้ำนมแห่งแม่โคลง (หรือชั่วรีดขึ้นแล้วรีดลง) มีคุณค่ามากกว่าตั้งเตาหุงอาหารเลี้ยงคน ๓ มิ้อ มื้อละ ๓๐๐ กระทะ(หม้อใหญ่)
๔.การเจริญอนิจจสัญญา ได้แก่ การกำหนดหมายว่า ไม่เที่ยง แม้เพียง
ชั่วระยะเวลาแค่ลัดนิ้วมือ หรือ งอนิ้วมือเข้า หรือเหยียดนิ้วมือออกเท่านั้น
กุศลกรรมทั้ง ๔ นี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีอานิสงส์(ผลดี) มากกว่าการถวายทานแด่พระอริยะบุคคล ๔ ระดับ (๑.พระโสดาบัน ๒.พระสกทาคามี ๓.พระอนาคามี ๔.พระอรหันต์) การถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า การถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การถวายทานแด่พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข และการสร้างที่อยู่อาศัยถวายแด่พระสงฆ์ผู้มาจาก ๔ ทิศ
การถวายทานแด่ท่านผู้มีคุณอันสูงยิ่งทั้งหลายทั้ง ๕ ระดับดังกล่าวนั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการลงมือปฏิบัติที่ตัวของผู้ปฏิบัติเอง ทั้ง ๔ ข้อข้างต้น ตามพระพุทธดำรัสแนะนำว่า
การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก็มีผลมากกว่าการถวายทาน
การรักษาศีล ๕ ทีผลมากกว่าการถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
การเจริญเมตตาจิต คือ การแผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์มีผลมากกว่าการรักษาศีล ๕
และการเจริญอนิจจสัญญา คือ การกำหนดหมายว่าไม่เที่ยงมีผลมากกว่าการเจริญเมตตาจิต และการเจริญอนิจจสัญญา มีอานิสงส์ คือ ผล ดีมากกว่ากันเป็นลำดับ โดยจะสังเกตุเห็นว่า ลำดับหลังๆ ลงทุนน้อย ลงแรงน้อยกว่า แต่มีผลด้านพัฒนาจิตใจสูงกว่า เพราะฉะนั้น การเจริญอนิจจสัญญา มีผลดีสูงที่สุด และการกระทำตามหลักทั้ง ๔ ข้อ ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเลย แต่ใช้การปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมให้ถูกต้องและถูกทาง
พระพุทธศาสนาสอนให้พุทธบริษัทลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อจะได้เกิดมีคุณธรรมต่างๆที่ตัวเองบ้าง และจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเชื่อใครมาบอก ดังพระธรรมคุณว่า วิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตัว หรือมีคำพังเพยว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แล้วท่านจะไม่ลงมือปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบ้างหรือ

ขอบคุณที่มา : หนังสือชีวประวัติสามเณร (รวบรวมและเรียบเรียง โดย จำเนียร ทรงฤกษ์)

1990
คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่วยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดีหรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่าเขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวงปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว
คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคตหรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น

เรา มีโอกาสทำความดีหรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ ถึงแม้เราจะไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม จะทำได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

๑.ตื่น เช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

๒.ยิ้ม แย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้

๓.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆดีขึ้น

๔.แบ่ง ปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย


๕. ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ ครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้


๖.ให้ คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วย

๗.แนะ นำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หาก เราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆหรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต


๘.การ ให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆต่อไป

๙.ฝึก จิตให้สงบและสบายด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่

ที่ กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆได้ เริ่มทำตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"

ขอบคุณที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4364.0

1991
ถาม – ตามหลักธรรมะเท่าที่ทราบ การทำบาปคือการทำตัวเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ผมกินเหล้าอย่างมีสติเป็นประจำ ไม่ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน แต่พระก็บอกว่าผิดศีลข้อ ๕ อยู่ดี รู้สึกเหมือนเป็นคนไม่ดีเพียงเพราะถือศีล ๕ ไม่ครบน่ะครับ ขอเหตุผลชัดๆ หน่อยได้ไหมว่ากินเหล้าอย่างมีสตินั้นเสียหายอย่างไร

การละเมิดศีล ข้อ ๕ นั้น ถ้าว่ากันตามจริงก็ถือว่าเบากว่าการละเมิดศีลข้ออื่น คือนอกจากจะอยู่ในข้อสุดท้ายของศีล ๕ แล้ว พระพุทธเจ้ายังกำหนดบทลงโทษสถานเบาแก่ภิกษุผู้ละเมิดวินัยด้วยการเสพสุรา ขอเพียงไม่เสพสุราเป็นอาจิณ ก็จะไม่ขาดจากความเป็นภิกษุ แต่หากพระทำผิดศีลข้ออื่น คือฆ่ามนุษย์หรือลักทรัพย์เกินหนึ่งบาท ก็จัดเป็นผู้แพ้ภัยตนเอง ตามวินัยสงฆ์ถือว่าตายจากความเป็นพระทันที ต้องสึกสถานเดียวเบี้ยวไม่ได้

พูดแบบรวบรัดตัดความ คุณยังไม่เป็นคนเลวอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่ยังครองสติอยู่กับตัวได้ แม้เหล้าจะเข้าปากบ้างก็ตาม แต่แม้เหล้าไม่เข้าปาก ถ้าสติขาดลอย ยอมตัวให้กับบาปอกุศลแล้ว อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลว และเป็นการตัดสินใจเลวเอง ไม่ใช่ถูกเหล้าย้อมใจให้เลว

จากภาพที่ เห็นด้วยตาเปล่านั้น การดื่มเหล้าไม่ทำให้ร่างกายใครเสียหาย เหล้าต้องมีปริมาณมากพอสมควรจึงจะทำให้มึนจนขับรถออกนอกทาง หรือทำให้ตับแข็งตายในระยะยาว เพราะฉะนั้นในสังคมมนุษย์จึงไม่ติเตียนผู้บริโภคเหล้าพอประมาณ แต่กลับจะส่งเสริมด้วยซ้ำ เพราะเหล้ามีข้อดีประการต่างๆ เช่นทำให้เลือดลมแล่น และเป็นตัวปรุงรสในการชุมนุมสังสรรค์เสวนา หลายกลุ่มหลายเหล่าถึงกับตั้งข้อรังเกียจผู้หลีกเลี่ยงเหล้ายาในงานเลี้ยง ถือว่าทำตัวแปลกแยกไม่เป็นกันเองเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเล็งมาที่จิตซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะพบว่าเหล้าทำความฟกช้ำให้กับจิตทุกครั้งที่คุณปล่อยให้มันล่วงลำคอลงไป หากเอาผู้ที่ ‘คอบริสุทธิ์’ มากินเหล้าอึกแรกๆจะรู้เลยครับ ว่าจิตผิดปกติไป เหมือนฤทธิ์ของพิษร้ายที่ซ่านสู่สมองมันบีบสติให้เล็กลง แล้วขับดันกิเลสประเภทต่างๆ ให้พองโตขึ้นเรื่อยๆ สติที่เริ่มแหว่งวิ่นและกิเลสที่เริ่มกำเริบง่ายนั่นแหละ ตัวชี้ว่าจิตเริ่มช้ำแล้ว หากปล่อยให้เกิดความช้ำกับจิตมากๆ ไม่เอาบุญมาชะล้างหรือสมานแผลเสียบ้าง ในที่สุดจิตจะช้ำถาวร จิตที่บอบช้ำถาวรจะมีสภาพเหมือนคนสะบักสะบอม ยามใกล้ตายคงประคองตัวขึ้นบันไดสวรรค์ไม่ไหว แต่กลับมีแนวโน้มว่าจะทนแรงฉุดของอบายไม่อยู่

กรณีของคุณนั้น ถ้ากินเหล้าเป็นประจำแบบไม่ขาดสติเลย ไม่เคยเมาสุราอาละวาดเลย ในทางธรรมก็ต้องถือว่า ‘ไม่เลว’ ครับ แต่อย่างไรจิตของคุณก็มีความฟกช้ำดำเขียวอยู่ดี เพราะการกินเหล้าน้อยๆ เป็นประจำก็คล้ายถูกทุบเบาๆ ไม่ขาดระยะ ร้อยหนเหมือนไม่เป็นไร แต่พอขึ้นหลักพันก็ชักช้ำเข้าจนได้

อยากให้มองว่าถ้าคุณทำทานเป็น ปกติ และศีลข้ออื่นบริสุทธิ์สะอาดหมด บุญแห่งทานและศีลจะช่วยให้ ‘กล้ามเนื้อจิต’ เกิดความแข็งแรง ฟกช้ำยาก รวมทั้งคืนสภาพได้เร็ว เมื่อใกล้ตายก็อาจแทบไม่ได้รับผลร้ายจากการสั่งสมเหล้าสักเท่าไร

แต่ หากคุณเป็นคนตระหนี่ มีศีลที่บกพร่องทุกข้อ บาปทั้งหลายทำให้จิตอ่อนแอและ ‘ขี้โรค’ อยู่โดยเดิม ยิ่งเพิ่มเติมแรงทุบ แรงกระแทกจากเหล้ายาเสริมเข้าไป พอใกล้ตายโอกาสรอดจากนรกก็คงยาก

นั่นคือการพูดตามเนื้อผ้า แต่ถ้าไม่อยากให้พูดคล้ายเอาเรื่องมองไม่เห็นข้างหน้ามาขู่กัน จะลองพิจารณาความจริงที่เป็นปัจจุบันก็ได้ครับ การกินเหล้าจะทำให้คุณมองอะไรอย่างหนึ่งผิดจากความเป็นจริงเสมอ บางทีก็รู้ได้ยากครับว่าอะไรที่ผิด ยกตัวอย่างอย่างนี้ก็แล้วกัน กายที่หนักไม่ปลอดโปร่ง กับจิตที่ขุ่นมัวไม่ใสสะอาดนั้น ไม่อาจยินดีในเหตุแห่งการพ้นทุกข์ พูดง่ายๆ คือจิตไม่ใส ใจไม่เบาพอจะรับธรรมะใสๆได้ถนัดถนี่นัก คุณอาจฟังเรื่องทานแล้วยินดี อาจฟังเรื่องศีลข้ออื่นๆแล้วคล้อยตาม แต่จะไม่เห็นด้วยกับการสละต้นเหตุแห่งความมัวเมา เห็นชัดๆว่าเหล้าทำให้มัวเมา เป็นต้นเหตุแห่งความมัวเมาตรงๆ คุณยังทิ้งมันไม่ได้ แล้วจะไปทิ้งเหตุแห่งความมัวเมาอื่นๆอย่างไรไหว?

เท่า ที่ผมทราบว่ามีตัวตนจริงๆคือขี้เหล้าหลายรายฟังธรรมะเข้าใจจริงๆ ถึงระดับที่จิตเห็นโทษภัยของการผิดศีลผิดธรรมแล้ว จิตก็ปฏิวัติตัวเอง เกิดความรังเกียจเหล้าบุหรี่โดยไม่มีใครบังคับ เหมือนเกิดใหม่กลายเป็นอีกคนที่ไม่อยากให้มลทินมาแปดเปื้อนตน

พูด ง่ายๆ บางคนเมื่อเข้าใจธรรมะจริงจะเลิกเหล้า แต่บางคนต้องเลิกเหล้าเสียก่อนถึงจะเข้าใจธรรมะ อะไรจะมาก่อนมาหลังไม่สำคัญครับ สำคัญที่ธรรมแท้ไม่เข้ากับเหล้ายาแน่นอน

ถ้า ชีวิตคุณยังมาไม่ถึงคำถามว่าทำไมต้องเข้าใจธรรมะขั้นสูง หรือยังถูกเป่าหูอยู่ว่าธรรมะขั้นสูงไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ อันนี้ก็อาจคุยกันยากหน่อย ความจริงธรรมะขั้นสูงไม่ใช่เรื่องเกินตัวสำหรับใครๆ เพราะธรรมะขั้นสูงคือวิธียุติทุกข์ สรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ประการหนึ่งคือตราบเท่าที่เรายังรักษาเหตุแห่ง ทุกข์เอาไว้ ให้แสนดีเพียงใดก็ต้องเสวยทุกข์อยู่วันยังค่ำครับ จะวันหนึ่งวันใดเร็วหรือช้าเท่านั้น

ที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=3919.0

1992
นมัสการพระอาจารย์ :054:

ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
แต่จงย้ายตัวเอง ''

1993
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ไม่กลัวนรก !!!!
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2554, 09:53:05 »
ขอร่วมโพสต์ด้วยครับ
   
เมื่อ..สมภารเป็นเปรต


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่ผมได้รับฟังจากปากของท่านเกจิชื่อ....ดัง

หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย ครับ คือ สมัยนั้น กระผมเป็น พระ ก็เลยได้มีโอกาสได้

สนทนากับท่าน เรื่องมันเกิดจาก มีท่าน......สมภาร ท่านหนึ่ง มีสมณะศักดิ์เป็น

พระครูสัญญาบัตร เป็นพระ อธิการเจ้าอาวาส ท่านเป็นมานานและเป็นที่เคารพ

ศรัทธา ของญาติโยมในสมัยนั้นมากพอสมควร

ท่านปกครองคณะสงฆ์ในสังกัดของท่าน โดย ธรรม โดย วินัย มาโดยตลอด

เรียกว่า....... ดี อ่ะครับ ญาติโยม รวมไปถึง คณะกรรมการของวัด ก็รักใคร่

ศรัทธา ท่านมาก

เนื่องจาก บริเวณวัด โดยรอบ เป็นเสมือนสวนมะพร้าว อาจจะเพราะ มีเนื้อที่

เยอะ พื้นที่ว่าง ก็ปลูกมะพร้าว แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้า มะพร้าว ผ่านมาเห็น

ว่า ที่วัดมีมะพร้าวมาก เมื่อสอบถามชาวบ้าน ก็ได้ความว่า

มะพร้าวพวกนี้เป็นสมบัติของทางวัด ซึ่งปกติแล้ว ไม่ได้ขาย จะเก็บเอามาทำ

ประโยชน์ ก็ตอนที่วัดทางวัดมีงานเท่านั้น ทางพ่อค้า จึงคิดว่า ถ้าขอซื้อไป

บ้าง คงจะมีรายได้เข้าวัดบ้าง เพราะวัดบ้านนอก นานๆจะมีกิจนิมนต์สักที

เรียกง่ายๆ หวังดี นั่นแหละครับ

จึงได้ไปหา กรรมการวัด เพื่อเจรจา ซื้อขาย ทางฝ่ายกรรมการ ก็เห็นดีว่า

จะได้นำเงิน ถวายท่าน พระครู บ้าง ท่านพระครูก็มิได้ขัดอะไร พอขายได้เงิน

มาก็นำมาถวายท่าน ซึ่งท่านก็มิกล้ารับเลยในทันที แต่กรรมการวัด ก็บอกว่า

รับไปเถอะท่าน

จะได้นำเงินไปซื้อ หมาก พูล มาถวายท่าน ท่านพระครู พอพูดถึง หมากพูล

ก็เลย เปรี้ยวปาก รับเงินนั้นมา เหตุการณ์ ผ่านไปจน ท่านได้มรณะภาพ

วันหนึ่ง หลวงพ่อ พุธ ท่านได้เดินทางมาพร้อมกับลูกศิษย์ท่าน และเข้ามา

จำวัด ที่วัดแห่งนี้

ในคืนนั้นเอง....... ได้เกิดนิมิตขึ้น กับ หลวงพ่อ ว่า มี........เปรต.....ตนหนึ่ง

ใส่จีวร มาร้องขอให้ท่านช่วย โดยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดว่า สาเหตุนั้นเกิด

จากการที่เอาเงินของสงฆ์ ก็คือ เงินที่ได้จากการขายมะพร้าว นั่นเอง มาใช้ใน

การส่วนตัว โดยมิได้รับความเห็นชอบจากสงฆ์ จึงเป็นเช่นนี้

สุดท้ายก็บอกว่า ฉันรอ......ท่านมานานแล้ว ท่านผู้มีบุญ ได้โปรดช่วยฉัน

ด้วย ฉันรอท่านมานานมาก

พอเช้า........ท่านหลวงพ่อ พุธ จึงได้ประชุมสงฆ์ และเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้

ฟัง เมื่อตรวจสอบดู จึงรู้ความว่า ท่านเป็นเจ้าอาวาส แห่งนี้จริง และได้มรณะ

ภาพไปนานมากแล้ว ท่านจึงได้ประชุมสงฆ์ และถามในท่ามกลางสงฆ์เหล่า

นั้น เพื่อให้สงฆ์ ทั้งหลายร่วมลงมติ ให้ท่านนำเงินนั้นใช้ได้

เมื่อทำตามขั้นตอนเสร็จ สงฆ์ได้ร่วมกันอโหสิกรรมให้

พอตกกลางคืนของคืนนั้น ท่านสมภาร ได้มาหาท่านอีกครั้ง แต่คราวนี้มาแบบ

สวยงาม เหลืองอร่ามไปด้วยรัศมี เพราะ ท่านได้กระทำกรรมดีมามากมาย

เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจาก การนำเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัวนั้น เป็นบาปหนัก จึง

ต้องรับกรรมก่อน

เรื่องนี้คงเป็นคติ เตือนใจ แก่ท่านที่คิดหรือทำ ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ให้จง

ระวังและสังวรไว้นะครับว่า ขนาดท่านสมภาร ยังต้องเป็น เปรต เลย แล้วท่าน

ล่ะ จะเป็นอะไร.........

ที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4896.0

1994
ผลแห่งการละกิเลส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย
ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ ปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์ใน
ภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะ เพื่อจะบัญญัติต่อไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยาย
แล้ว ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕ ประการ ได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็น
โอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
ภิกษุเหล่าใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้แล้ว กับมีราคะโทสะและโมหะบางเบา
ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
ภิกษุเหล่าใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น
ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรา
กล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้นเปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด ผู้เป็นธัมมานุสารี
เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เบื้องของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
จบ อลคัททูปมสูตรที่ ๒

ขอบคุณ คุณกระเบนท้องน้ำ
http://www.yorbor.com/index.php?topic=5240.0

1995
สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา...ญาณ มี 7 อย่างคือ

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา

ญาณ มี 7 อย่างคือ


บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้

จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร

เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์

อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์

ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร

อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด

ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด

อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง

เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่

อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้

ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง

จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ

เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ

อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้



สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง

ฌาน

ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน

ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่

วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก

ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)

สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์

เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน

ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์

ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์

ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้ ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง

อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มีใครหนีไปได้

พระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอคิดถึงความตายอย่างไร พระอานนท์ตอบว่า คิดถึงทุกวันเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าก็ทรงเฉย พระอานนท์ก็ตอบอีกว่า คิดถึงวันละ 3 เวลาเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าทรงส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า เธอควรคิดถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อความไม่ประมาท

ในเมื่อเรารู้แล้วว่า เราหนีความตายไปไม่พ้น ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แล้วเราจะโลภ จะโกรธ จะหลงไปทำไม เมื่อจิตไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยาก ก็จะเข้าสู่อุเบกขา คือการวางเฉย ในฌานสี่ มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่างคือ อุเบกขา และเอกัคคตารมณ์

ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ ฌานที่ไม่มีรูป สังขาร ร่างเหมือนอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อได้ฌานสี่หรือจตุตฌาน เราสามารถถอดกายได้ วิธีการถอดกายอย่าถอดกายออกจากฐานกระหม่อมเบื้องบน เพราะถ้ากายทิพย์ลอยออกจากกระหม่อม เราก้มลงมาเห็นกายหยาบนั่งอยู่จะตกลงมาทันที ให้พยายามถอดกายออกจากด้านข้าง หรือทางด้านหน้า ถอดออกแล้วอย่าไปไหน ให้พยายามมองดูตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ มองดูกายหยาบจนเห็นชัด เห็นแล้วให้รีบพิจารณาอสุภกรรมฐาน มองดูตั้งแต่ เส้นผม หนังศีรษะ กะโหลก มันสมอง เส้นขน ผิว หนัง เนื้อ กระดูก ซี่โครง หัวใจ ตับไต ไส้พุง มองพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐาน มองจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป เรียกว่า ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง

ฌานหกหรืออรูปฌานสอง เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ให้พยายามมองดูที่ดวงจิตที่ใส เหมือนดวงแก้ว มองจนดวงจิตนั้นหายไปเรียกว่า วิญญานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณ

ฌานเจ็ดหรืออรูปฌานสาม เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ให้มองที่กาย มองดูที่จิตพร้อมกันทั้งสองอย่างมองจนกระทั่งหายไปทั้งกายและดวงจิต เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกาย ไม่มีจิต

ฌานแปดหรืออรูปฌานสี่ เรียกว่า เนวะสัญญานาสัญญายตนะ กายทิพย์นั้นจะกลับเข้าสู่ร่างเดิม แต่จะชาหมด ลมหายใจเหลือแผ่วๆ เบามากจนแทบไม่มีการหายใจ ไม่รับรู้อะไรทั้งหมด ชาไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้

เมื่อเราได้ฌานแปดหรือสมาบัติแปด ญาณหรือปัญญาจะเกิด ญาณนั้นมี 7 อย่าง บางคนอาจจะไม่ได้ถึงฌานแปด อาจจะได้ฌานหนึ่ง สอง หรือสาม ก็สามารถเกิดญาณหรือปัญญาได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกสมาธิเลยก็มีญาณเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นฌานหรือตัวรู้ ที่ติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน เช่น เราอาจจะเคยพบคนที่สามารถรู้อะไรว่าจะเกิดล่วงหน้า และก็เกิดตามที่คิดนึกรู้นั้น บางคนเรียกว่า ลางสังหร ความจริงแล้วเป็นญาณอย่างหนึ่ง เรียกว่า อนาคตตังญาณ คือปัญญาที่จะรู้เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขอบคุณ ที่มา
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dalar&month=01-2010&date=18&group=2&gblog=18

1996
ถ้าปฎิบัติแล้วมีปัญหา ให้อ่านที่นี่

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆผมกำลังฝึกปฏิบัติสมาธิอยู่พอดี จะนำวิธีนี้ไปลองใช้บ้าง   :053:
ปัญหาของผมคือ พอนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 15-20 นาทีมือผมจะเริ่มชา และชาขึ้นไปที่
แขน ที่คอ และต่อไปเป็นเวียนศรีษะ ผมต้องบังคับให้ลมหายใจแรงๆจึงจะหาย พอมันหายชา
ผมก็กลับไปหายใจปกติ สักพักมันก็จะชาอีก ขอถามผู้รู้ว่าเกิดจากอะไร และแก้ใขอย่างไร ครับ  :008:
:060:อาการที่เกิดขึ้นนั้นสืบเองมาจากเราตั้งใจมากเกินไป ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกว่า"ตั้งจิตหนัก"คือเรามีความอยากที่จะให้มันสงบ อยากจะให้เกิดสมาธิ เราไปสะกดจิตตัวเองให้มันนิ่ง มันจะเกิดความรู้สึกร้อนที่หน้าท้องหรือทรวงอก ลมที่อัดไว้ในตัวมันจะขึ้นเบื้องบน ตามธรรมชาติของลมเมื่อถูกความร้อนในกายมันจะลอบขึ้นบน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเราหายใจออกไม่หมด หายใจออกไม่สุดลม ทำให้เกิดลมค้างอยู่ในกาย ลมมันจะกระจายไปทั่วตัว เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไป ลมจะไปทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เกิดอาการชา เพราะลมมันเดินได้ไม่ปกติ และการที่เราหายใจแรงๆแล้วอาการชานั้นหายไปนั้น มันเกิดจากการคลายจิตที่จดจ้องอยู่ ภาษานักเลงจิตเรียกว่า"เคลื่อนไหวทางกาย สะลายทางจิต"
           แนวทางการแก้ไข้ก็คือ ทำใจให้สบายๆปรับกายให้มีความเคยชินกับการนั่ง หาท่านั่งที่มันสบายๆเหมาะกับตัวเรา แล้วปรับลมหายใจของเราเสียใหม่ โดยหายใจเข้าอย่างช้าๆจนสุดกำลัง แล้วหายใจออกช้าๆจนหมดลมในกระเพาะ ทำประมาณ ๑๐-๑๕ ครั้ง เพื่อปรับลมในกายให้ปกติ แล้วกลับมาดูลมหายใจใหม่ ดูไปเรื่อยๆแบบสบายๆอย่าไปตั้งใจหรือจดจ่อมากเกินไป มันจะเกิดอาการเกร็ง เพราะเราไปเคร่ง แล้วมันจะเครียด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะอินทรีย์(ร่างกายและจิตใจ กำลังภายใน)ของเรายังไม่แกร่งกล้ามีกำลังเพียงพอ ทุกๆอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อนหวังผลในการปฏิบัติจนเกินไป ว่าต้องได้อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้  ปล่อยให้มันเป็นไปตรมสภาวะของมัน
ป.ล.หากมีข้อสงสัยในการปฏิบัติ แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านบทความที่ได้เขียนไว้แล้วเรื่อง"การปฏิบัติธรรมอย่างเรียบง่ายแบบสบายๆ "บทที่๑-บทที่๘ แล้วท่านจะเข้าใจในการปฏิบัติครับ
                    แนะนำมาด้วยปรารถนาดี
                            รวี สัจจะ
                   วจีพเนจร-คนรอนแรม
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9828.msg94006#msg94006

1997
พอดีว่าพระอาจารย์ได้กล่าวเรื่องบารมี 30 ไว้
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9747.msg93095#msg93095
ท่านหมายถึงสิ่งนี้ใช่ไหมครับ


บารมี ๓o ทัศ

 บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ


บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ
ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ ถ้าเป็นฆราวาสก็ถือศีล 5 ถ้าเป็นนักบวชก็ถือศีล 8 ขึ้นไป
เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช (หากฆราวาสถือศีล๘ ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อละกาม)
ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มปัญญา
วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ
สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น
ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น
อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง
ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
 อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
เมตตาบารมี หมายถึง มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร
อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน
ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่
 บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น

บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น

บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น
 
http://www.thammachuk.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-30-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8.html

1998
ท่านที่สนใจปฎิบัติภาวนา ลองอ่านข้อนี้

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ :054:
ฝึกนั่งสมาธิมาพักใหญ่ดูเหมือนจะไม่ก้าวหน้า อาจเป็นเพราะผมไปบังคับให้ลมหายใจมันยาว
จะทดลองมานั่งมองมันเฉยๆดูบ้างครับ หรือใครมีวิธีทำสมาธีดีๆช่วยแนะนำผมด้วย ผมกำลังค้าหา
วิธีและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องครับ  :008:
ลองนึกทบทวนดูสิครับ..ว่าเราหายใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เราเกิดมา จนเป็นเรื่องปกติ แต่พอเราฝึกสมาธิไปกำหนดลมหายใจ แล้วทำไมมันจึงอึดอัด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า"ลมไม่ได้เข้าออกตามธรรมชาติของมัน" เราจึงต้องปล่อยให้มันเข้าออกตามปกติธรรมชาติของมัน อย่าไปบังคับมัน
หน้าที่ของเราคือนั่งดูมันเข้าออกให้ทัน มีสติอยู่กับการดูการเข้าออกของลม อย่าไปบังคับลม เพราะมันจะเกิดแรงต้านและมันจะเหนื่อยเมื่อเราเข้าไปเป็นตัวกระทำ เราคือผู้ชม..เราคือผู้ดู แต่ไม่ใช่ผู้แสดง(ร่างกายเป็นผู้แสดง)

ที่มา(อย่าไปขุดนะครับ)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9713.msg92970#msg92970

หน้า: 1 [2] 3