เกิดอะไรขึ้นครับ
===================================================================
เรื่อง : นาคบาศ. ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า แดดยามเย็นสาดแสงเศร้า ๆ เข้ามาทางหน้าต่างตะ วันตก แสงบางส่วนตกต้องร่างผอมบางของพ่อดูเศร้าหมอง พ่อนอนแบ็บติดฟูกผืนบางซึ่งปูลาดกับพื้น ร่างกายท่อนบนพ้น ขอบผ้าผวยดูผ่ายผอม กระดูกสีข้างขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตามลม หายใจ เหงื่อผุดพราวตามหน้าผาก ซอกคอ พับแขนและรักแร้ "พ่อ"
. ผมเรียกเบา ๆ เอื้อมมือไปหมายจะลูบเช็ดเหงื่อไคลให้ แต่เปลี่ยนใจไปหยิบพัดกาบหมากมาโบกพัดให้แทน
. ลมลูบผ่านผ้าผวยผืนบางซึ่งคลุมร่างท่อนล่าง ผิวผ้ามีริ้ว คลื่นพลิ้วไหวอยู่บ้าง ผมเลิกผ้าแผ่วเบา รู้สึกสะท้อนใจเมื่อเห็น โคนขาหลวมโพรก หัวเข่าปูดโปน และปลีน่องร่วนคลาย "พ่อ"
. แดดยามเย็นสาดแสงหม่นเศร้า พ่อยังไม่รู้สึกตัว ยังนอน แผ่หราท่าเดียวเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา พ่อนอนมาร่วมสองเดือน แล้ว พ่อล้มป่วยลุกไม่ขึ้นมาร่วมสองเดือนแล้ว สงสัยจะเป็นอัม พาต แต่พ่อไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นอัมพาต
พ่อเชื่อว่าพ่อถูกของ หรือโดนคุณไสยประเภทลมเพลมพัด พ่อพูดว่า
. "พ่อขุดแต่งฝั่งเหมืองอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็มีผึ้งมาต่อยหลังขา ต่อย แรงเหมือนโดนคนถีบ พ่อหน้าคะมำตกฝั่งเหมือง แล้วพ่อก็ลุก ไม่ขึ้นมาแต่วันนั้น"
. พ่อขยับตัว ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้น แดดอ่อนโรยเลยจากตัว พ่อไปตกต้องข้างฝา ลมนอกบ้านลูบระยอดไผ่เกิดเสียงซ่าซู่ พ่อ ยันตัวลุกนั่งด้วยแรงแขน ผมรีบเลื่อนหมอนสอดรองข้างหลัง พ่อ พ่อมองชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายของผมแล้วถามว่า "มีใครได้ข่าวครูบาฟ้าผ่าบ้างไหม ท่านล่องลงมาละยัง" "ยังเลยพ่อ" ผมถอนใจ เลื่อนตาลงต่ำมองขาผอมลีบ ของพ่อ "ผมว่าไปโรงยาเถอะพ่อ ไม่ไปมันไม่หาย"
. "มึงอย่ามาอวดรู้กว่ากู" น้ำเสียงน้ำคำของพ่อเปลี่ยนเป็น หงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมาทันที "กูเป็นพ่อหมอ กูรู้ตัวกูดี ไอ้หมอ สมัยใหม่จะมารู้เรื่องรู้ราวอะไรกับ
คุณไสยลมเพลมพัด ดีไม่ดี มันเอามีดตัดขากูทิ้ง"
. พ่อเอื้อมหยิบบุหรี่พื้นเมืองมาจุดสูบ ควันยาสีเทาทึบแผ่ เป็นผืนเมื่อผ่านแดด บ้านเงียบ มีแต่เสียงนกเขาขันมากุ๊กกรู กุ๊กกรู ไม่มีเสียงแม่ พี่สาว พี่เขย มีแต่เสียงนกกับเสียงลมพาน ยอดไผ่ไหวเอน "แม่มึงไปไหน ไอ้หล้า" "ไม่รู้เหมือนกัน กลับมาผมก็ไม่เห็นแม่แล้ว" "ผัวขาแข็งลุกไม่ขึ้น ไม่ยอมมาอยู่ใกล้ใช้สอย กูยังไม่ ตาย เสือกกลัวผีกูกันหมด" "พ่อกินน้ำไหม น้ำเย็น ๆ นะพ่อ ผมจะตักให้"
. "มึงอีกคน จะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเคล้าแข้งเคลียขาเป็น ลูกหมาลูกแมว ไปพ้นหน้าพ้นตากูก่อนไอ้หล้า อยากได้อันใดกู ค่อยเรียกเอา" ชานหลังโปร่งโล่ง แดดยามเย็นเลยพื้นชานไปสาด จับฝาเรือน เรือนนี้เป็นเรือนไม้กระดานหลังเก่า สร้างมาแต่เมื่อ ไรผมเองลืมเลือนไปแล้ว ดูเหมือนจะยี่สิบปีแล้วกระมัง ก่อนผม เกิดเสียอีก พอจำความได้ผมก็อยู่เรือนหลังนี้แล้ว ยังมั่นคงแข็ง แรงดีมาก แม่รักและเอาใจใส่เรือนเหมือนเอาใจใส่ลูก ๆ แม่บอก ว่า
. "น้ำเหื่อน้ำแรงพ่อเอ็งทั้งนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนบ้านหล่าย เหมืองเป็นโรคขาลากขาคู้ ไปรักษาถึงโรงยาก็ไม่หาย พ่อเอ็งเทียว ไปตกยามันอยู่ครึ่งปีก็หาย เรือนมันเก่า มันจะสร้างเรือนใหม่ มันเลยขายให้พ่อเอ็งครึ่งราคาเท่านั้น"
. ไม้กระดานชานหลังเป็นไม้หนาตีห่างกันขนาดนิ้วมือลอด ได้ ตากแดดมาครึ่งวัน นั่งลงจึงอุ่นก้น เอนหลังพิงโอ่งน้ำก็รู้สึก อุ่นหลัง ชานเรือนลมโกรกแรง กลับจากโรงเรียนผมชอบมานั่ง ตรงนี้ ทบทวนบทเรียนบ้าง ทำการบ้านบ้าง มันโปร่งโล่งลมพัดเย็น ดี ข้อสำคัญคือเวลาพ่อเรียก ผมลุกแล่นไปหาได้เร็วทันใจพ่อ
. ตั้งแต่ลุกไม่ขึ้นในช่วงสองเดือนมานี้ พ่อขี้มักหงุดหงิดฉุน เฉียวง่าย หากพ่อโมโหขึ้นมา อย่าว่าแต่ผมหรือพี่เลย แม้แต่แม่ก็ ยังเข้าหน้าไม่ติด นอกจากนี้ ผมว่าพ่อเป็นคนดึงดื้อถือทิฐิ อย่าง เรื่องเจ็บป่วยคราวนี้ ไม่ว่าผมหรือพี่หรือแม่จะอ้อนวอนขอร้อง ให้พ่อไปโรงพยาบาลอย่างไร พ่อก็ยังยืนยันว่าไม่อยู่คำเดียวนั่น เอง "ไอ้หล้า เอาน้ำมันมนต์ให้พ่อ"
. เสียงพ่อเรียกหา ผมยกขวดโหลจุน้ำมันมนต์เข้าไปใน ห้อง น้ำมันมนต์มีตัวยาประกอบอาคมตามความเชื่อถือแบบพื้น บ้าน เหมือนจะมีสมุนไพรชนิดหนึ่งชื่อหญ้าเอ็นยืดอยู่ด้วย นอก นั้นผมจำไม่ได้
. พ่อเปิดฝาโหล เอาไม้ชุบลงจุ่มน้ำมันแล้วเอาขึ้นมาเกลือก ทาที่ต้นขา ดวงหน้าในแสงใกล้ค่ำดูเหี่ยวตอบ ลูกคนเล็กของ พ่อรี ๆ รอ ๆ จะออกไปทำการบ้านต่อก็กลัวโดนดุ จะอาสาทา น้ำมันให้ก็กลัวไม่เป็นที่ถูกใจ พ่อหมอเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูผ่อนคลาย พูดกับผมว่า "พ่อฝันว่าครูบาฟ้าผ่าล่องลงมาเมืองเราแล้ว"
. ผมมองเห็นอะไรบางอย่างคล้ายประกายแวววับในดวงตา พ่อ พ่อมักฝันถึงครูบาฟ้าผ่า ล่วงเลยมาถึงวันนี้คืนนี้ ครูบาฟ้า ผ่าคล้ายจะเป็นความหวังอันสุดท้ายของพ่อ อื่น ๆ ใด ๆ นอก จากปาฏิหาริย์จากครูบาฟ้าผ่า พ่อคงเลิกหวังไปแล้ว
. ตอนป่วยใหม่ ๆ พ่อยังมีความหวังหลายอย่าง แต่ละอย่าง ก็ทดลองมาจนหมดเงินหมดทองไปหลาย ยาพื้นบ้าน ยาผีบอก ผีกล่าวใด ๆ พ่อก็ได้ทดลองมาหมด เจ้าพ่อเจ้าแม่สำนักไหนที่ คนลือว่าดี พ่อก็กระเสือกกระสนไปจนถึง นอนไปบนรถกระบะ เหมาเช่าราคาแพง ค่าหยูกยาก็ใช่ว่าจะถูก กี่เจ้าต่อกี่เจ้า กี่หมอ ต่อกี่หมอ ทั้งหมอยา หมออาคม หมอสวดถอนเรียกพรหม เรียกพรายอะไรก็รักษามาหมด ไม่กระเตื้องขึ้นเลย
"ลมเพลมพัดคืออะไรพ่อ" . ครั้งหนึ่ง ตอนป่วยได้ไม่นานผมเคยถาม พ่อตอบทำนอง ว่า
ลมเพลมพัดคือการถ่ายเทคาถาอาคมหรือคุณไสยที่ร้อนแรง เกินไปให้ออกไปจากตัวเสียบ้าง หากไม่ถ่ายออกไป คุณไสยจะ กลับเข้าเล่นงานตัวเอง . "มันไปกับลม ไม่เจาะจงว่าจะเล่นงานใคร ใครโดนเข้าท่าน ถึงเรียกว่า
ลมเพลมพัด" "พ่อล่ะ พ่อเคยถ่ายเทออกไปบ้างไหม" "พ่อก็เคยถ่าย ของพ่อยิ่งร้าย เป็นคาถาพญาเสือโคร่ง หากไม่ถ่ายพ่ออาจกลายเป็นเสือสมิงไปนานแล้ว"
. พ่อหมดเปลืองค่ารักษาไปเยอะ ผมว่าถ้าไปรักษาที่โรง พยาบาลอาจสิ้นเปลืองน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ อาจหายดีตั้งนานแล้ว ด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ยังไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลอยู่นั่น เอง พ่อคงดึงดื้อถือทิฐิว่าตัวเองเป็นพ่อหมอ หากพ่อยอมเข้า โรงพยาบาลแล้ว ต่อไปคงไม่มีใครเชื่อถือในวิชารักษาแบบพื้น บ้านของพ่อ
. วันคืนล่วงเลยมา พ่อเกือบปลงใจยอมรับเสียแล้วว่าคง ต้องง่อยหงิกเสียขาไปตลอดชีวิต แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งพ่อก็ฝัน ถึงครูบาฟ้าผ่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็ตั้งตาคอย คอยแล้ว คอยเล่า คอยทั้งที่ไม่รู้ว่าครูบาฟ้าผ่าเป็นใครอยู่ที่ไหน มีตัวตน อยู่หรือตายไปแล้ว
. "คนลือกันว่าท่านเป็นตนบุญวิเศษ" พ่อบอก "ฟ้าผ่าผ่าลง ปลายไม้ ต้นไม้ไหม้ กลดไหม้ แต่ตนท่านเข้าฌานล้ำลึก สุดแต่ ฟ้าก็ผ่าไม่ถึงท่าน ท่านล่องลงมาแล้ว ท่านบอกพ่อว่าจะเอายามา ให้พ่อ"
. วันแล้ววันเล่า พ่อยังคงจดจ่อรอคอยบุคคลในความฝัน ช่วงนั้นผมเองห่างพ่อไปบ้างเพราะการบ้าน รายงานและกิจกรรม เสริมหลักสูตรพันตีนพันมือไว้ยุ่งเหยิง การเรียนก็หนักหน่วง ช่วงนั้น กำหนดสอบแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์ก็ใกล้เข้า มา เหตุนี้เอง เด็กมัธยมปลายโปรแกรมวิทยาศาสตร์จึงไม่ค่อย ว่าง ประเดี๋ยวเคมี ประเดี๋ยวชีวะ ประเดี๋ยวฟิสิกส์ แม้โรงเรียน ที่ผมเรียนเป็นเพียงมัธยมระดับตำบลเท่านั้น แต่อาจารย์ก็ตั้ง หวังไว้มากเหมือนกัน ท่านว่าอย่างน้อย ๆ พวกเราคนใดคนหนึ่ง น่าจะได้เหรียญทองแดงในระดับจังหวัดสักเหรียญ จะได้เป็น เยี่ยงอย่างแก่เด็กรุ่นน้องสืบไป "ไอ้หล้า เอากลักยาให้พ่อ"
. เย็นวันหนึ่งที่พ่อป่วยมาแล้วร่วมสี่เดือน พ่อก็เรียกใช้ผม เฉกเช่นปรกติ ผมวางแบบทดสอบความพร้อมทางวิทยาศาสตร์ ไว้กับพื้นชาน แล้วลุกไปหยิบกลักยาสูบเข้าไปให้ "ครูบาฟ้าผ่าไม่มาเข้าฝันพ่ออีกหรือ" "บ่มา"
. พ่อถอนใจยาว ก้มหน้าซ่อนสีหน้าเศร้าหมอง มวนบุหรี่ เหมือนคนใจลอย จุดดูดจนแก้มตอบวาบ ไม่เฉพาะเพียงร่าง ท่อนล่างเท่านั้นที่เหี่ยวฝ่อ ร่างท่อนบนก็พลอยทรุดโทรมไปด้วย แก้มเหี่ยวมีรอยเป็นริ้ว ผมหงอกขาว ตามัวขุ่นแดงเหมือนคน นอนไม่หลับ อาการเบื่ออาหารกำเริบหนัก แกงนกเขียวเคยเป็น ของโปรดกลับบอกว่าเหม็นเขียว ลาบหมู ลาบงัว ลาบควาย เคยกินจนปากเปรอะกลับบอกว่าเหม็นคาว "แต่ผมฝันนะพ่อ ฝันว่าครูบาฟ้าผ่ามาแล้ว ในฝันท่านยัง ยิ้มให้ผมเลย" "หือ? จริงหรือ เอ็งหลอกพ่อหรือเปล่า ไอ้หล้า" "ผมฝันจริง ๆ ท่านบอกว่าให้พ่อกินข้าวกินปลามาก ๆ เสร็จภาระทางต้นแม่น้ำ ท่านจะล่องตามแม่น้ำลงมา"
. เงยหน้าสบตาพ่อ ผมฝันถึงท่านจริง ๆ ผมเองไม่เคยเห็น ท่าน แต่จากปากคำของพ่อที่พร่ำบอกกรอกหูอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อ วัน ผมอาจเกิดการยอมรับจนเก็บเอาไปฝันถึงท่านก็เป็นได้ "สาธุ" พ่อจ้องหน้าผมนานแล้วยกมือขึ้นจบ "ครูบาเจ้าจง มาโปรดข้าเจ้าให้หายวันหายคืนทีเทอะ"
. น้ำเสียง สีหน้าและแววตาของพ่อส่อแววลิงโลดจนเหมือน มันจะกระโดดออกมาเต้น อารมณ์ขุ่นมัวเหมือนจะหายไป พ่อสูบ บุหรี่วาบ ๆ อิ่มควัน และคงจะอิ่มใจด้วยกระมัง พ่อเล่าเรื่องครู บาฟ้าผ่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อมศรัทธาว่า ท่านจะเป็นคนเชื้อใด ชาติใดไม่ชัด ท่านขึ้นล่องโปรดคนตั้งแต่ลุ่มน้ำปิงขึ้นไปถึงลุ่ม คงเหนือไกลไปโพ้น อยู่เมืองเรา ท่านพูดคำเรา เข้าเมืองม่าน ท่านพูดคำม่าน ตกแดนกูลาท่านพูดกูลา คำเล่าลือถึงอภินิหาร ของท่านมีหลากหลายใช่แต่เพียงฟ้าผ่าไม่ตายเท่านั้น เขาว่า ท่านมีวิชาล่องหนหายตัว มีวิชาย่นย่อพสุธา บางครั้งเดินไปบน ยอดหญ้า บางครั้งฝนตกแต่ไม่เปียก เขาว่ามีเทวดากางร่มทิพย์ บังฝนให้ท่าน ทุกเช้าพ่อจะตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน
. ตื่นแล้วมักเร่งแม่ให้รีบนึ่งข้าวต้มแกงเตรียมใส่บาตรพระ บางเช้าพบพระแปลกหน้า พ่อก็มีอาการปากสั่นมือสั่น ยกก้อน ข้าวขึ้นจบแล้วถามว่า สาธุเจ้าคือครูบาฟ้าผ่าใช่หรือไม่ ครั้นได้รับ คำปฏิเสธพ่อก็ยังไม่หมดความหวัง ยังคงตั้งใจ มุ่งมั่นและเชื่อ มั่นว่าขาของพ่อจะหาย จะลุกเหินเดินได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของ ครูบา "ท่านต้องมา ไม่มาวันนี้ก็มาวันหน้า"
. พ่อดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่วันที่ผมฝันว่าครูบาฟ้า ผ่ากำชับให้พ่อกินข้าวมาก ๆ พ่อก็กินข้าวกินปลาได้เยอะขึ้น ฝืนใจกิน กระเดือกลงคอลวก ๆ เครื่องดื่มบำรุงกำลังจำพวก ไมโลโอวัลตินที่พี่เขยซื้อมา แต่ก่อนพ่อไม่ยอมแตะจนมันแห้งแข็งคากระป๋อง ตอนนี้พ่อยอมรับมันแล้ว แม่จะเป็นคนชงให้ วันละสองเวลา ตอนเช้าก่อนใส่บาตรพระกับตอนกลางคืนก่อน นอน
. เช้าวันหนึ่ง สีหน้าพ่อดูคึกคักแจ่มใสกว่าวันก่อน ๆ พ่อ สั่งให้ผมกับพี่เขยพยุงพ่อไปนั่งตั่งหน้าบ้าน แดดส่องอ่อน ๆ แถว แนวพระเณรเดินคุมบาตรย่างผ่าน พ่อใส่บาตรนอบน้อมตั้งใจ จนพระเณรผ่านไปหมดแล้วพ่อก็ยังไม่ยอมลุก "ขึ้นบ้านเถอะพ่อ" "เดี๋ยวก่อน รอก่อน ครูบาฟ้าผ่าท่านอาจจะมาวันนี้"
. วันนั้นท่านไม่มา พ่อไม่หมดหวัง ความหวังอาจริบหรี่ลง แต่คงไม่หมดเสียทีเดียว วันต่อมาผมไม่ทราบ เพราะรอจนสาย แดดงายแจ่มกล้าท่านก็ไม่มา ผมต้องรีบไปโรงเรียนแล้ว ต่อมา อีกวันเป็นวันเสาร์ พ่อรออยู่จนสาย จนข้าวเหนียวในกล่องเย็น ลงท่านก็ยังไม่มา "พาพ่อขึ้นเรือนเถอะ ไอ้หล้า" "เดี๋ยวก่อนพ่อ" พี่เขยทักท้วง "มาโน่นอีกองค์"
. พี่เขยชี้ พ่อมีอาการขนลุก พ่อยกมือจบตั้งแต่พระแปลก หน้ารูปนั้นยังอยู่แต่ไกล ท่านเดินเข้ามา ดูชรา เนิบนาบ อ่อนโยน จีวรท่านเป็นสีฝาด สายตาสรุปสำรวม พ่อมีอาการปีติน้ำตา ไหล พ่อยกกล่องข้าวเหนียวขึ้นจบ มือสั่นปากสั่น "ครูบาฟ้าผ่า ตนท่านมาโปรดข้าเจ้าแล้ว"
. ท่านละสายตาจากปากบาตรขึ้นมองหน้าพ่ออยู่อึดใจหนึ่ง สายตาท่านแจ่มใส ปากท่านยิ้มน้อย ๆ ผมเองแม้เป็นเพียงนัก เรียนมัธยมปลาย แต่ผมก็พบเห็นพระเณรมามากพอสมควร ผมยังไม่เคยเห็นพระรูปใดน่าเลื่อมใสอย่างท่าน "สาธุ ครูบาเป็นเจ้า" พ่อยกมือจบท่วมหัว "ข้าเจ้ารอครูบา มาร่วมสามสี่เดือนแล้ว ในที่สุดตนท่านก็มาโปรดข้าเจ้าให้หาย ให้ลุกเหินเดินได้อย่างเก่า"
. ท่านรับของที่ใส่บาตร สายตาแน่วนิ่งสำรวมเหมือนจะอ่าน หัวจิตหัวใจของพ่อ "โยมเป็นอะหยังหือ" "ข้าเจ้าโดนของ มีคนเสกของมาเข้าตัวข้าจนตกลงเหมือง แล้วก็ลุกไม่ขึ้นร่วมสี่ห้าเดือนมาแล้ว ขาหดลีบหมดแล้ว"
. ท่านนิ่งไปอีก สายตาแจ่มใสยังมองนิ่งที่หน้าพ่อ มองอยู่ นาน พ่อเองก็มองตอบท่าน สายตาพ่อเหมือนมีถ้อยคำพร่ำวอน อ้อนขอ มือพ่อยังยกพนมไม่ยอมลดลง น้ำตาพ่อเริ่มเอ่อซึมออก มาอีก ในที่สุดท่านก็ถอนใจยาว ๆ แล้วบอกว่า "อาตมาปักกลดอยู่ที่ป่าช้า ก่อนเพลโยมไปหาอาตมานะ" ก่อนเพลวันนั้นผมกับพี่เขย กับคนอื่น ๆ พาไปพบ ท่าน ครูบาฟ้าผ่าเอาห่อผ้าเล็ก ๆ ให้พ่อห่อหนึ่ง กำชับให้เอาแช่ น้ำกินหลังอาหารวันละสามมื้อ ให้พ่อรักษาศีลภาวนา ถ้าทำอย่าง นี้ได้ทุกวันจนครบร้อยวัน พ่อก็จะหายจากคุณไสยที่พ่อเข้าใจ ว่าตัวเองถูกกระทำ
. ตั้งแต่วันนั้น พ่อก็ถือปฏิบัติตามคำของครูบาฟ้าผ่าโดย เคร่งครัด ข้าวปลาเคยแตะนิดต้องหน่อยกลับกินได้มาก พ่อมี ความหวัง พ่อมักอารมณ์ดี ไม่ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ทุกคืน พ่อจะไหว้พระภาวนาทำสมาธิ ไม่กระวนกระวาย ไม่ซัดลมหาย ใจเสียงดังเฮือก ๆ ต่อไปแล้ว
. ผ้าห่อนั้นเป็นผ้าสีกรักคล้ายฉีกจากชายจีวรของท่านขนาด สักฝ่ามือ ห่อหุ้มสิ่งที่เป็นยาหรือเป็นของดีวิเศษไว้ภายใน ขนาด ใหญ่เท่าลำไยทั้งเปลือกเห็นจะได้ ผมเองอยากรู้อยากเห็นรุน แรง อยากแก้เส้นด้ายมัดกระจุกออกดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าเป็นอะไร แต่พ่อไม่ยอมให้แก้
. ใกล้ฝาที่พ่อนอนจะมีชอล์ควางอยู่ ทุกคืนพ่อจะขีดหนึ่ง ขีด ครบสิบขีดก็มีเส้นยาวกำกับอยู่ข้างใต้
. เย็นวันหนึ่ง ขณะผมนั่งทำรายงานวิชาวิทยาศาสตร์ก็มีเสียง เรียกร้อนรนแกมตื่นเต้นจากห้องพ่อ "ไอ้หล้า ไอ้หล้าโว้ย มานี่เร็ว" "อะไรพ่อ"
. แสงยามเย็นส่องลอดเข้าหน้าต่างทำให้ห้องสว่าง พ่อนั่ง เอน ๆ พิงฟูก เอาสองตาจ่อจ้องหัวแม่ตีนตัวเอง "ไอ้หล้า หัวแม่ตีนพ่อดุกดิกได้แล้ว"
. จริง ๆ ด้วย หัวแม่เท้าของพ่อกระดุกกระดิกได้จริง ๆ พ่อจ้องมองเหมือนมองสิ่งประหลาดมหัศจรรย์อะไรสักอย่าง พ่อมีอาการขนลุกขนชันขึ้นทั้งตัว ยกมือขึ้นจบท่วมหัว "สาธุ ครูบาฟ้าผ่าโปรดพ่อได้แล้ว ครบร้อยวันพ่อต้องเดิน ได้แน่ ๆ ไอ้หล้า" หญ้าเอ็นยืดกับตัวยาอื่น ๆ ซีดจางลงมากแล้ว ห่อ ผ้าแต่เดิมเป็นสีกรักก็กลายเป็นสีน้ำตาลซีด ๆ พ่อเริ่มดีขึ้น เรื่อย ๆ อารมณ์ดี ใจคอเยือกเย็น เนื้อหนังเริ่มกลับคืนมาตาม จำนวนขีดในกระดานชนวนที่เพิ่มขึ้น กระทั่งถึงขีดที่เจ็ดสิบ กว่า ๆ ขาของพ่อก็เริ่มขยับได้
. ข่าวว่าพ่อขยับขาได้ด้วยเดชะบารมีครูบาฟ้าผ่าแพร่ลาม ไปรวดเร็ว พี่น้องชาวบ้านมากหน้าหลายตาต่างแวะเวียนมาหา ต่างเล่าลือแซ่ซ้องถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน บ้างก็ว่าตัวตน ของท่านผุสลายไปนานแล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณคุมรูปสังขาร มาโปรดสัตว์ผู้ทุกข์ บ้างก็ว่าท่านสำเร็จเป็นอรหันต์ไปแล้ว บ้าง ก็สับสนปนมั่ว จับเอาท่านไปปนกับหลวงปู่แหวน ปนกับครูบา ศรีวิชัยก็มี
. ถึงรอยขีดที่เก้าสิบ พ่อก็เริ่มสาวฝาลุกขึ้นได้ เริ่มหัดเดิน กระย่องกระแย่งอย่างเด็กหัดเดิน แรก ๆ ก็บ่นอู้ว่าปวดชาเหมือน ขามัดพอกด้วยทั่งเหล็ก ความมั่นใจและศรัทธาในตัวครูบาเพิ่มพูน มากยิ่งขึ้น ใช่แต่เพียงพ่อเท่านั้นที่เคารพศรัทธา พี่น้องเหนือใต้ ใกล้ไกลได้รู้ว่าพ่อเดินได้เพราะเมตตาบารมีครูบาฟ้าผ่า พี่น้อง ไกลใกล้ต่างศรัทธาในท่านหนักแน่นยิ่งขึ้น
. ส่วนตัวพ่อเอง พ่อมักไหว้หาท่านอยู่ตลอด หลุดปากหลุด คำถึงท่านทีไรก็ยกมือท่วมหัว
. ผมเองยังจำได้ถึงสีหน้าอิ่มเอมเต็มไปด้วยความหวังของ พ่อ ช่วงนั้นผ่านพ้นการแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์นานแล้ว ผมเองไม่ได้ไปแข่งหรอกเพราะสู้เพื่อนไม่ได้ ผมอยู่กับพ่อมาก ขึ้น ผมเห็นพ่อกินได้มาก ออกกำลังมาก หลับนอนก็มากกว่าแต่ ก่อน เนื้อหนังกำลังแข้งกำลังขาของพ่อเพิ่มขึ้น น้ำนวลขึ้นหน้า จนเกือบจะเป็นพ่อคนเดิมเมื่อปีก่อน กระทั่งรอยขีดขึ้นไปเกือบ ครบร้อยพ่อก็ลงกระไดได้ พ่อใช้ไม้ค้ำยันรักแร้พาร่างออกเดิน บางวันเดินไกลไปถึงป่าช้า ไปนั่งภาวนาหงายมือซ้อนกันที่พระ ธุดงค์เคยปักกลด
. วันที่รอยขีดครบร้อย เย็นวันนั้นผมง่วนอยู่กับการเก็บ ตัวอย่างหินทำรายงานส่งอาจารย์ พ่อเดินมาต่อหน้า ยื่นไม้ยัน รักแร้ให้แล้วบอกว่า "เอาไปเก็บบนยุ้ง พ่อเลิกใช้แล้ว"
. คืนนั้น พี่น้องชาวบ้านต่างมาอัดอออยู่เต็มโถงเพื่อชมดู ของดีวิเศษที่ครูบาฟ้าผ่ามอบให้พ่อ พ่อจุดธูปเทียนอธิษฐานถึง ท่านแล้วเอาห่อผ้ามากำไว้ หัวขาวหัวดำมุงล้อมร่างพ่อเป็นชั้น ๆ ปมด้ายเปื่อยยุ่ยถูกแก้ออกช้า ๆ คนข้างหลังกลัวจะเห็นไม่ชัดก็ ลุกยืนชะเง้อข้ามหัวคนข้างหน้า เสียงพูดคุยจอแจขาดหายไปชั่ว ขณะ ห่อผ้าคลี่ออก แล้วกรวดเม็ดขาวก็ปรากฏแก่ตา เสียงฮาฮือ ดังขึ้น มีคนขอจับขอคลำแต่พ่อไม่ยอมให้ใครแตะต้อง พ่อห่อไว้ ในผ้าขาวตามเดิม บอกให้ผมเอาไปเก็บบนหิ้งพระเหนือหัวนอน พ่อ
. รายงานเรื่องหินในท้องถิ่นยังไม่เสร็จ ผมเริ่มสองจิตสอง ใจ ใจหนึ่งอยากเอากรวดกลมเกลี้ยงเม็ดนี้ไปปรึกษาวิเคราะห์ กับอาจารย์ แต่อีกใจกลับคัดค้าน ในที่สุดผมตัดสินใจวางหินไว้ บนหิ้งพระ ยอบตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบ น้อมจิตรำลึกถึง ครูบาฟ้าผ่าองค์นั้น .
--จบ--ที่มา
http://www.matichonbook.com/mail.php?send=2&id=470426103242