สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (1/9)
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ก็โปรดฟังการปฏิบัติในพระกรรมฐาน สำหรับการปฏิบัติพระกรรมฐานที่จะพูดต่อไป
นี้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติ สำหรับระเบียบภายใน หรือว่าโดยเฉพาะคนที่อยู่ภายในวัด แต่ว่าท่านทั้งหลายที่อยู่นอกวัดจะปฏิบัติด้วยก็ได้
ที่บอกว่าเฉพาะคนภายในวัดก็เพราะว่า ถ้าจะพูดมากไปถึงคนภายนอกก็เกรงว่าจะเห็นว่าเป็นการบังคับกันเกินไป แต่ความจริงวิธี
ปฏิบัตินี้ไม่ใช่การบังคับ เพราะว่าเราปฏิบัติเพื่อมรรคผล
คำว่ามรรคผลก็หมายถึงว่า ทุกคนต้องการนิพพาน ปัญหามีอยู่ว่า ทุกคนน่ะถ้าจะปฏิบัติเพื่อนิพพานน่ะ หวังกันได้แน่นอนไหมว่าจะ
ไปนิพพาน ทั้งนี้ก็ขอว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสร้างกำลังใจตามนี้
ตามธรรมดาของคนเดินทางไกล เราจะเดินกันแค่วันเดียว หรือชั่วครู่เดียวถึง ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่นัก อาศัยที่กำลังกายกำลัง
ใจมีความฉลาด ก็สามารถจะทำทางไกลให้เป็นทางใกล้ได้ ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะทำทางไกลเป็นทางใกล้ได้แต่ว่าเดินไปไม่หยุด
ยั้ง เราก็ถึงปลายทางฉันใด สำหรับพระนิพพานนี้ มีคนส่วนมากพูดว่า ไม่หวังในพระนิพพาน ก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะว่าคนบวชเข้า
มาในพระพุทธศาสนานี่ สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีกำลังใจไม่เสมอกันในเมื่อการที่มีกำลังใจไม่เสมอกันอย่างนี้ บรรดา
ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมาก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับกำลังใจ กำลังใจของคนที่ไหนเท่าไรเป็นเรื่องของท่าน เรามาพูดกันเรื่องของ
เราเวลานี้ทุกคนปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว และก็มีมากรายด้วยกันที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้ สามารถไปเห็นสวรรค์ได้ เห็นพรหมโลกได้
เห็นนิพพาน เห็นนรกเปรต อสุรกายได้ และก็บอกว่า ปรารภว่า เวลานี้จบกิจจากการศึกษาของวัดท่าซุงแล้ว แต่ความจริงบรรดาท่าน
พุทธบริษัท การปฏิบัติในมโนมยิทธิไม่ใช่จบการศึกษาทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่ามโนมยิทธิก็ดี สองในวิชชาสามก็ดี ที่องค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสามารถทำได้เห็นได้ ไปได้ เรื่องนี้เพื่อเป็นการป้องกันความสงสัยกำลังใจของเราเท่านั้น
เอง เพื่อสร้างความมั่นใจในจิตจิตเราจะได้ไม่สงสัยว่า เพราะพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จเพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่ใช่สอน
แบบเลอะเทอะเป็นการสอนตามความเป็นจริงว่ามีจริง
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงก็ดี บรรดาภิกษุสามเณรก็ดีที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ จงอย่ามีความรู้สึกว่ามโนมยิทธิที่เราได้
เป็นการพอสำหรับเราแล้ว เราทำจบแล้ว อันนั้นยังไม่จบ มโนมยิทธิที่พวกเราได้เป็นฌาณโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ถึงแม้ว่าเราจะพบอะไร
ได้ก็ตาม สามารถจะเห็นนิพพานได้ เรื่องนิพพานนี่ความจริงเป็นของไม่หนัก เพราะว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงหวง
นิพพานไว้เฉพาะพระองค์ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อพระองค์ทรงใกล้จะนิพพานสมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ คำสอนใดที่
เราจะหวงไว้เฉพาะครู อันนั้นไม่มีอยู่สำหรับเรา เราสอนแล้วทุกอย่าง เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่สอนเธอไว้ จะเป็น
ศาสดาสอนเธอ คำว่าศาสดาก็แปลว่าครู
ฉะนั้นความรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เวลานี้เราก็มีสิทธิ์นำมาใช้ทั้งหมดแม้แต่ว่าพระนิพพานที่มีหลายคนบอกว่า เกินวิสัยสำหรับ
เราก็ช่างปะไร จะเกินวิสัยสำหรับใครก็ช่าง ก็ถือว่าไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าชาตินี้เราไปไม่ได้ ชาติหน้าเราก็อาจจะไปได้ ชาติหน้าไป
ไม่ได้ ชาติโน้นเราก็อาจจะไปได้ แต่เราตั้งใจไปไว้ทุกชาติไม่รู้ละชาตินี้
ใครเขาจะว่าบ้าว่าบวมยังไงก็ตาม ถ้าเราบ้าเพื่อไปนิพพาน ดีหว่าบ้าไปนรก ดีกว่าบ้าลาภ บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสุข บ้ารับสินจ้าง
รางวัลชาวบ้านชาวเมืองทำจิตให้เป็นทาส ไม่ทำใจให้เป็นไป บ้าประเภทนั้นลำบากกว่าเรามาก
ทีนี้วิธีที่เราจะเลิกละความบ้าค่อยๆ ละมัน ละทีเดียวมันหมดความบ้าไม่ได้เวลานี้เราบ้าในอะไรบ้าง บ้าในความรัก บ้าในความโลภ
บ้าในความโกรธ บ้าในความหลง และที่ว่าบ้าก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการทรงตัว
ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรักภัยอันตรายเกิดจากความรัก
ทั้งๆ ที่เราฟังอยู่อย่างนี้ เราก็ยังบ้ารักกันอยู่ตลอดเวลาแต่ก็จำจะต้องบ้า เพราะว่าเกิดมาในกลุ่มของความเป็นคนบ้า ในเมื่อมันบ้ามา
แล้ว ก็ค่อยๆ คลายบ้าทีละน้อยๆ อย่าคลายมาก คลายมากมันจะเครียดเกินไป
วิธีคลายบ้าทำยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาภิกษุสามาเณรผู้รับฟัง ปฏิบัติตามนี้เราจะนำสังโยชน์ 10 ประการมา
เป็นเครื่องปราบความบ้า พิจารณาดูใจเราว่า ใจเราบ้าอะไรบ้างใน สังโยชน์ 10 ประการ
1.สักกายทะฏฐิ เรามีความเมาในร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราเรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือไม่ ก็รวมความว่า เรา
คิดว่าร่างกายนี้มันจะทรงตัวตลอดกาลตลอดสมัย ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักป่วยน่ะ มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม เห็นชาวบ้านเขา
แก่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าตนเองวันหนึ่งข้างหน้ามันจะแก่ เห็นชาวบ้านเขาป่วยก็ไม่มีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะป่วย
อย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขามีความตกระกำลำบาก มีการทุพพลภาพในร่างกาย เราก็ไม่เคยคิดว่าอาการร่างกายเราจะเป็นอย่างนี้ ใน
ที่สุด เห็นชาวบ้านเขาพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขาตายเราก็ไม่เคยคิดว่าเรา
จะตาย
ขอประทานอภัยเถิดขอรับ ว่าทุกท่านที่ฟังอยู่น่ะ ความบ้าอย่างนี้มีอยู่ไหมถ้ายังมีส่วนใดส่วนหนึ่งพยายามลดความบ้ามันเสีย นี่
หมายความว่าเราพยายามจะตัดความบ้า อย่าตัดให้มันมาก ตัดทีละน้อยละน้อย
และข้อที่ 2 ที่เราต้องลดความบ้าที่เราบ้า คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในความดีในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ความดีของพระอริยสงฆ์ สงสัยว่าพระอริยสงฆ์ไม่มีแล้วในโลก พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้วเวลานี้ไม่มีพระอริยสงฆ์ ความบ้า
อย่างนี้มีสำหรับเราไหม คำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ถ้าสามารถฝึกสองในวิชชาสามได้ ฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกห้าในอภิญญาหก
ได้เป็นต้น อย่างนี้ถ้อยคำใดที่องค์สมเด็จพระทศพลสอนไว้
เราฝึกได้เราไม่สงสัยติตาม พระพุทธเจ้าบอกสวรรค์มีจริงไหม เราก็ต้องไปสวรรค์ พรหมโลกมีจริกไหมเราก็ไปพรหมโลก พระ
นิพพานมีจริงไหม เราก็ไปนิพพาน นรก เปรต อสุรกายมีจริงไหมไปที่นั่น ใครเขาพูดว่าอะไรมีที่ไหนยังไม่เคยไป ไปที่นั่น ไปมันไม่
ยาก อาการอย่างนี้เราฝึกให้มันเข้าถึงเสียจริงๆ จะได้ลดความบ้าคือความสงสัย แต่ว่าบางทีเราก็ไม่บ้าคนเดียวนะ คนอื่นเขาดี เราไป
หาคนอื่นเขาบ้าเสียด้วย เพราะเราทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่ควร ความบ้าประเภทนี้ต้องลด ค่อยๆ ลดลงไปด้วยเหตุผลแล้วก็วิธีลดยังไงจะ
ว่ากันไปทีหลัง
ทีนี้สังโยชน์ข้อที่ 3 นั่นคือไม่เห็นชอบด้วยศีล ก็หมายความว่า ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติในศีลนี่ วาจาดี กายดีต้องรวมทั้งใจดีด้วย ศีลถ้าที
แต่กาย วาจา ไม่เป็นเรื่อง คือก็ต้องใจดีสำหรับฆราวาส ชาวบ้าน ใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ มือมันก็ไม่ห่า
ปากมันก็ไม่พูดจะฆ่า ใจคิดว่าจะไม่ลักไม่ขโมยของใครเมื่อใจคิดแล้ว ปากมันก็ไม่พูดเพื่อการลักขโมย มือมันก็ไม่ทำ ใจคิดว่าเราจะ
ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น เมื่อใจคิดอย่างนั้น ปากมันก็ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่พูดกายก็ไม่ทำ ใจดีว่าเราจะทรงสัจจะวาจาอย่าง
เดียว จะไม่พูดวาจาไม่จริง เมื่อใจคิดปากมันก็ไม่พูดอย่างนั้น ใจคิดว่าเราจะไม่ดื่มสุราและเมรัย ใจคิดอย่างนี้ ปากมันก็ไม่ดื่ม นี่ถ้า
เราจะละความบ้า
สำหรับฆราวาส สำหรับสามเณรต้องศีล 10 พร้อมด้วยเสขิยวัตรอีก 75 แล้วก็พระต้องพร้อมไปด้วยสิกขาบท 227
รวมทั้งอภิสมาจารด้วย บวกธรรมะด้วย พระต้องมีมาก ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เราก็บ้าในสังโยชน์ข้อที่ 3 ถ้าเราละความบ้า ค่อยๆ
คลายความบ้าลงมาเสียได้แล้ว ไม่ช้าความบ้าก็สลายตัวไป รวมความง่ายๆ ว่า อันดับแรก ถ้าจิตใจเราพยายามควบคุมสังโยชน์ 3
ประการไม่ให้เกิดกับใจนั่นมันแน่นอน นั่นก็คือว่า
1.สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันต้องตาย เราจะไม่เมาในร่างายร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่างเห็ฯร่างกายใครร่างกายนั้นก็
ตาย เห็นร่างกาใครเห็นว่าร่างกายนี้ก็ต้องทรุดโทรม ร่างกายเราร่างกายเขาก็ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายเราร่างกายเขาก็ประกอบไป
ด้วยความทุกข์ ร่างกายเราร่างกาเขาไม่ช้าก็ตายเช่นเดียวกัน ความเมาในร่างกายลดตัวลง ก็รวมว่าความบ้าและความเมาในร่างกาย
ยังไม่หมดนะ มีความรู้สึกว่าจะต้องตาย แต่ก็ยังรักร่างกายอยู่ แต่จิตคิดว่าร่างกายนี้สักวันหนึ่งมันก็ต้องพังแน่ ก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่
เมากินไป ยังมีความรักในมัน แต่ว่าคิดว่ามันจะตาย เลยไม่ประมาทในการปฏิบัติในด้านของความดี
หลังจากนั้น ก็เอาปัญญาเข้า พิจารณาความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์และก็ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งความดีของพระอริยสงฆ์ ใคร่ครวญด้วยความเป็นจริง ตกลงว่าทั้งสามสรณคมน์นี้ คือ ไตรสรณคมน์ ได้แก่
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยอมรับว่าท่านดีแน่ ไม่มีการสงสัยในพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ
หลังจากนั้นจับศีลให้เคร่งครัด ปฏิบัติในศีลยิ่งกว่าชีวิต ถือว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด ค่อยนะๆ ถ้าพูดย่างนี้แล้วจะมีใครมาลอง เอ๊ะ ที่
เค้าว่าตัวตายดีกว่าศีลขาดไปลองตีลองด่าเข้า ระวังๆ นะ เพราะว่าทุกคนกำลังฝึกเพื่อย่างนี้ แต่ยังไม่ถึงอย่างนั้น ด่าเบาๆ อาจจะทน
ได้ ด่าแรงๆ ด่าบ่อยๆ อาจจะทนไม่ไหวอย่างนี้ก็ได้ตีเบาๆ อาจจะทนได้ แต่ตีแรงๆ สปริงแข็งสปริงขามันจะเกิด อย่าไปยุ่งกัน เพราะ
ว่าทุกคนกำลังฝึก การกำลังฝึกนี่ไม่ได้หมายถึงผล
เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า บุคคลใดบรรเทาความเมาในชีวิตคือร่างกาย มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันจะต้องตาย แต่ว่า
ยังรักร่างกายอยู่ ไม่ใช่ไม่รักอย่าไปเคาะ อย่าไปตี อย่าไปแตะ อย่าไปต้องกันเข้า
แล้วก็ประการที่สอง มีความไม่สงสัยในคุณพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ
ประการที่สามมีศีลครบถ้วนตามสังโยชน์
ท่านกล่าวว่า ท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้ถือว่าเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีแต่ว่าขอบรรดาท่านภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา เมื่อ
ฟังไปแล้วก็อย่าเมากายเกินไปนะ อ่านตามหนังสือแล้ว หนังสือนี่เขาก็เขียนเฉพาะตามความเข้าใจของบุคคล ผู้เขียน จงอย่าลืมว่า
การคุยเรื่องขนม มันไม่มีความรู้สึกจริงเท่ากินขนม ฉะนั้นหนังสือเขาเขียนว่า ถ้าระวังสังโยชน์สามประการคือ สักกายทิฏฐิ มีความ
รู้สึกว่า ต้องตาย วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส รักษาศีลเคร่งครัดเป็นพระโสดาปัน หรือสกิทาคามี อันนี้ยัง
ถ้านักปฏิบัติก็คือ คนกินแกงจริงๆ ต้องบอกวายัง ยังก่อน ทำไมจึงว่ายัง ก็เพราะว่ายังไม่เป็นจริงๆ ถ้าอารมณ์แค่นี้ละก็ ยังไม่เรียกว่า
พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี ต้องเรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์
สำหรับท่านที่จะเป็นพระโสดาบันจริงๆ ต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ในพระธรรมจริง ในพระอริยสงฆ์จริงต้องปฏิบัติจิต จน
กระทั่งจิตมีอารมณ์รักในพระนิพพานอย่างยิ่ง บรรดาจะเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทำความดีแล้วจิต
คิดไว้อยู่เสมอว่าความดีที่เราทำแล้ว ตายเมื่อไรเราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน อารมณ์นี้ต้องมั่นคงแล้วก็ใจชาลงจากความรักใน
ระหว่างเพศ ชาเล็กน้อยนะคือไม่ค่อยจะแรงเหมือนเดิมชาจากกำลังของความร่ำรวย ใจชาลงจากกำลังของความโกรธ ใจชาจาก
กำลังของความหลง มันชาเล็กน้อยไม่ชามาก
หมายความว่าอารมณ์มันเกิดช้าไปนิดหนึ่ง พอเกิดแล้วอารมณ์ก็มันเฉื่อยไปหน่อยหนึ่ง ความรัก ความอยากรวย ความโกรธ ความ
หลง ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ว่ากำลังมันช้าไป
และกำลังใจของท่านผู้นั้นมีความรู้สึกอยู่บ้างว่า ในยามว่าง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกฏธรรมดาทั้งหมดแต่ว่าะให้ละได้ทั้ง
หมดน่ะยังไม่จริง ยังละไม่ได้หมด แต่คิดว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้นี่นะ
เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ถูกด่าถูกนิ
นทาน่ะไม่มีจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อถูกชาวบ้านเขาด่า เขาอยากด่าก็เชิญด่า แต่ระวังนะพระโสดาบันนี่ด่าท่านมากๆ ไม่ได้หรอก ท่าน
มีจิตเมตตามาก เกรงว่าจะขาดทุนดีไม่ดีท่านด่าให้มั่ง
ก็รวมความว่า ถ้าจะเป็นพระโสดาบันจริงๆ จิตต้องรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ อารมณ์เริ่มเฉื่อยในความต้องการ นั่นก็คือความรักยังมี
อยู่ครบถ้วนบริบูรณ์แต่เฉื่อยไปหน่อย ความโกรธยังมีช้าไปนิดความหลงยังมีจืดไปหน่อย อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน
ฟังดูจริงๆ แล้วก็เป็นของไม่ยาก ทีนี้วันนี้เราก็มาพูดกันแค่พระโสดาบันก่อน ในเมื่อการศึกษาเขาศึกษากันในพระพุทธศาสนา ซึ่ง
พระพุทธเจ้ายืนยันไว้มาก ว่าเรื่องบารมี 10 นี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าทีบารมีไม่ครบถ้วนเราจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ถ้าบารมีครบ
ถ้วน เราก็จะเป็นพระอริยเจ้า คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปได้ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษํทพระเณรทุกองค์ที่ได้มโนมยิทธิแล้วสังวรให้
มาก คำว่าสังวรคือระวังให้มาก อย่าไปหลงฌานสมาบัติเกินไป ฌานสมาบัติ
นั่นควรทำไม่ควรละ แต่ฌานสมาบัติน่ะ เป็นแต่เพียงตัวระงับกิเลสเท่านั้น ถ้าเผลอเมื่อไร มันก็ฟูเมื่อนั้นผมน่ะ นอนๆ แล้วก็แว่วๆ
เสียง บางท่านบอกว่า เวลานี้ฉันทรงอยู่ในฌานสี่บ้าง ฉันทรงอยู่ในฌานสามบ้าง กำลังใจฉันมีสภาพแจ่มใสบ้าง อันนี้ระวังๆ มันแจ่ม
ในขนาดไหน ถ้าแจ่มใสขนาดเป็นพระอรหันต์ละก็ไม่เป็นไรแต่ส่วนมากที่แจ่มใสมันเป็นการแจ่มใสของฌานโลกีย์ ระวังให้ดีนะ
ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงศึกษาอย่างนี้ ถ้าจิตเป็นฌานทรงฌานไว้เป็นของดี แต่ยังดีไม่พอ ยังไม่พ้นนรก สิ่งที่จะทำให้เราพ้นนรกก็คือ
สังโยชน์ 10 ตัดให้ได้ แต่การที่จะตัดสังโยชน์ 10 ต้องประกอบไปด้วยองค์คุณทั้ง 10 ประการก่อน สังโยชน์ที่เราจะตัด 10 แต่กำลัง
ช่วยการตัดก็10 เหมือนกัน ที่เรียกว่าบารมี 10 บารมีนี่ท่านแปลว่าเต็ม เรียนมาว่าอย่างนั้น
แต่ว่า ศัพท์ของพระพุทธเจ้า ได้ฟังมา ได้ฟังมีคนเขาพูดว่า บารมีพระพุทธเจ้าท่านแปลว่ากำลังใจเต็มจำให้ดีนะ เขาถามว่าที่วัดนี้
แปลบารมีว่ายังไงก็ตอบเขาบอกว่า ที่วัดนี้แปลบารมีว่า กำลังใจเต็ม กำลังใจให้มันเต็มทั้ง 10 อย่าง คือ เต็มในการให้ทาน เต็ม
พร้อมในการรักษาศีล เต็มพร้อมในการถือบวช เต็มพร้อมในด้านของปัญญาค้นคว้าหาความเป็นจริง เต็มพร้อมในด้านของความ
พียรเป็นการกำจัดอุปสรรค เต็มพร้อมในขันติคือ การอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ เต็มพร้อมในสัจจะ คือทรงความจริงไม่ท้อถอย ไม่ถอย
หลัง ไม่สับปลับ เต็มพร้อมในอธิษฐานคือตั้งอารมณ์ไว้ให้มันแน่นอน เต็มพร้อมในเมตตาคือความรัก ไม่มีความเลวเข้ามาผสม
ไม่มีความโหดร้ายเข้ามาผสม เต็มพร้อมในอุเบกขาคือการวางเฉย แล้วก็ค่อยฟังกันต่อไป
ตานี้ก็มานั่งคุยกัน มาคุยสักนิด มองดูเวลาเหลือประมาณ 5 นาที ได้มั้ย 4 นาที ก็มาคุยกันสักหน่อยว่าทานบารมีนี่ ความจริงบารมี
ทั้ง 10 ประการนะตื่นขึ้นมาเช้าจะต้องเขียนและท่องจำไว้ว่า บารมี 10 ประการน่ะมีอะไร คือ
1.ทาน การให้
2.ศีล การรักษา
3.เนกขัมมะ การอดใจในนิวรณ์ 5 ประการขั้นต้น ขั้นต้นนะ
4.ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ไม่เมาในร่างกายเราเขามีมั้ย
5.วิริยะ ความเพียรต่อสู้กับอุปสรรคไม่ท้อถอย
6.ขันติ ความอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ
7.สัจจะ มีความจริงมุ่งหน้าเฉพาะพระนิพพาน
8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้ตรงไม่หลีกเลี่ยงเฉพาะพระนิพพาน
9.เมตตา หน้าตาชื่นบาน เห็นคนและสัตว์เป็นมิตร แล้วก็ท้าย
10.อุเบกขา จิตคิดวางเฉยไม่โต้ตอบ ไม่รุกราน ไม่ซ้ำเติมใคร
กำลังใจทั้ง 10 ประการนี้แหละบรรดาท่านภิกษุสามเณรทั้งหลาย และอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ถ้าไม่สามารถจะทรงได้ทั้ง 10 มโน
มยิทธิที่ท่านได้น่ะมันไม่มีผลหรอก ผลน่ะมีเหมือนกัน แต่มันจะมีตรงไหนล่ะ มีตรงที่ได้ฌานโลกีย์แต่ไม่ช้าฌานนี่มันจะสลายตัว
อารมณ์เสื่อมมันจะเกิด คือความดีมันไม่ทรงตัวถ้าความดีไม่ทรงตัวแล้วเป็นยังไง ขั้นสุดท้ายสิ่งที่เราจะไปก็คือนรก เพราะอุปาทาน
มันจะกินเหลือเวลาอีก 3 นาที ขอพูดเรื่องสังโยชน์ สังโยชน์นี่มี 10 ต้องระมัดระวังให้มาก อันดับแรกตัดสามให้ได้ก่อน ต้องให้ได้
แน่นอน อย่าสักแต่ว่าทำ เรื่องฌานโลกีย์ได้เท่าไรก็ตาม แต่สังโยชน์สามยังไม่ได้นี่ ต้องมีความรู้สึกว่าเอาดีไม่ได้เรายังไม่เข้าถึง
ความดี แต่ความดีที่ตัดสังโยชน์สามได้ก็เป็นความดีเล็กน้อย
สังโยชน์อีกเจ็ดก็คือ กามฉันทะ การตัดอารมณ์ในกามคุณ ปฏิฆะ การตัดอารมณ์กระทบใจ ถ้าตัดได้อีกสองเป็นพระอนาคามี ตัดได้
อีกห้าคือไม่หลงในรูปฌาน และไม่หลงใน อรูปฌาน กันนัก ระวังให้ดีมันจะนรกไป
แล้วก็ไม่หลงใน มานะ การถือตัวถือตน อุทธัจจะ ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป อวิชชา ตัดกำลังใจที่เห็นว่ามนุษย์โลก
เทวโลก พรหมโลก พรหมโลกเป็นของดีให้สิ้นไปกำลังใจมีอารมณ์เดียวคือนิพพาน
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าทำได้อย่างนี้นะจะเป็นอรหันต์อย่าไปมัวเมาแต่ฌานโลกีย์เกินไปบางท่านบอกสำรวจใจ
แหม.. แจ่มใส ใสแจ๋วไอ้ใสนั่นมันไม่ได้ใสในสภาพของพระอริยเจ้า มันเป็นการใสในขั้นของฌานโลกีย์ จะใสขนาดไหนก็ตามที ถึง
แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ จำไว้ว่า ถ้าเรายังมีร่างกายเพียงใด เรายังไม่ดีเท่านั้น เราจะดีได้จริงๆ ก็คือ ร่างกายหมดไป เข้าพระนิพพาน
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มองดุเวลาพอดีๆ สำหรับตอนนี้ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์
พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
ขอบคุณและที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1938:-10--10--1-&catid=37:2010-03-02-03-52-18&Itemid=2